ปกป้องลูกมาเกินไป

11 สัญญาณพ่อแม่ ปกป้องลูกมากเกินไป ระวัง! อาจทำร้ายลูกทางอ้อม!

Alternative Textaccount_circle
event
ปกป้องลูกมาเกินไป
ปกป้องลูกมาเกินไป

ปกป้องลูกมากเกินไป – คุณเคยเดินตามลูกของคุณไปรอบ ๆ สนามเด็กเล่นทุกฝีก้าวหรือไม่? คุณเคยจ้องที่จะจับลูกขณะเดินลงบันไดแบบไม่ละสายตาเพราะคุณกังวลว่าพวกเขาจะก้าวผิดและพลัดหกล้ม คุณจึงคอยเดินตามลูก จ้องมองลูกโดยให้พวกเขาอยู่ในระยะเอื้อมมือถึงเพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาล้มหรือประสบอุบัติเหตุ

ความจริงแล้วเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กันกับความปลอดภัยของลูก คือ เด็ก ๆ จำเป็นที่จะต้องได้เรียนรู้ผ่านประสบการณ์ของตนเอง แม้พวกเขาอาจจะพลาดหกล้มเจ็บตัวบ้าง แต่พวกเขาจะได้เรียนรู้วิธีหลีกเลี่ยงอันตราย และใช้ดุลยพินิจส่วนตัวเกี่ยวกับความเสี่ยงต่างๆ ผ่านประสบการณ์ของพวกเขาเอง  ถ้าพ่อแม่คอยอยู่ประชิดลูกเสมอเพื่อป้องกันพวกเขาไม่ให้ล้มเลย พวกเขาอาจพลาดโอกาสชีวิตที่จะได้เรียนรู้และระมัดระวังด้วยตัวเอง  แน่นอน! ในฐานะพ่อคุณยังคงมีความรับผิดชอบ ที่จะไม่วางพวกเขาไว้ในสถานการณ์ที่พวกเขาอาจได้รับบาดเจ็บสาหัสได้แน่นอนจริงมั้ยคะ?

ทำไมพ่อแม่ถึงปกป้องลูกมากเกินไป

ความตั้งใจเลี้ยงดูเด็กๆ ด้วยการปกป้องมากเกินไป  มักเกิดขึ้นจากความกังวลที่มากเกินไปเกี่ยวกับความปลอดภัยและการตัดสินใจของบุตรหลาน  เป้าหมายสูงสุด คือ การปกป้องเด็กจากอันตรายทุกรูปแบบ แต่ความจริงแล้ว เราควรกังวลเกี่ยวกับ ความปลอดภัย และความเป็นอยู่ที่ดีที่ส่งเสริมพัฒนาการและการเรียนรู้ของบุตรหลานควบคู่กันไปด้วย

อย่างไรก็ตามในทางกลับกันพ่อแม่ควรสอนลูก ๆ เกี่ยวกับความเสี่ยง และความรับผิดชอบต่อตนเอง ซึ่งบทเรียนเหล่านั้นสามารถสอนได้ดีที่สุดจากการได้ผ่านประสบการณ์ในชีวิตจริง หากเรามักจะตามหลังลูก ๆ ของเรา และพร้อมที่จะจับพวกเขาทันทีทันใด พวกเขาจะไม่มีโอกาสได้เรียนรู้เกี่ยวกับความเสี่ยง และความรับผิดชอบต่อตัวเอง

มีงานวิจัย เกี่ยวกับการเลี้ยงดูที่มีการปกป้อง และป้องกันมากเกินไป โดยผู้วิจัยแนะนำว่าผู้ปกครองควรอนุญาตให้เด็กมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ ด้วยตนเอง ที่ ถือว่ามีความเสี่ยงต่ำ ซึ่งหมายถึงการอนุญาตให้เด็กมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆด้วยตนเอง ซึ่งมี “ความเสี่ยงและความรับผิดชอบในระดับที่สามารถจัดการได้”

ปกป้องลูกมากเกินไป
ปกป้องลูกมากเกินไป

ปัญหาในการเป็นพ่อแม่ที่มีการปกป้องลูกมากเกินไป คือ เด็กมักพลาดโอกาสในการสร้างทักษะชีวิตต่าง ๆ เช่น ความรับผิดชอบด้วยตัวเอง ความเป็นอิสระ และการพัฒนาความภาคภูมิใจในตนเอง ความมั่นใจของพวกเขาอาจถูกทำลายได้เมื่อแม่หรือพ่อคอยเฝ้าดูและชี้แนะพฤติกรรมของพวกเขาอยู่เสมอ

ท้ายที่สุดเด็กที่ถูกเลี้ยงดูในลักษณะนี้ จะพัฒนาความรู้สึกของการไม่สามารถตัดสินใจได้ด้วยตนเอง เพราะพวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้ทำเช่นนั้นในชีวิต ความมั่นใจและความนับถือตนเองของพวกเขาถูกขัดขวางเมื่อพวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้ทำสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเองหากพ่อแม่ไม่ได้ดูแล หรือคอยเฝ้ามองดู

11 สัญญาณพ่อแม่ ปกป้องลูกมากเกินไป ระวัง! อาจทำร้ายลูกทางอ้อม!

พ่อแม่ที่มีแนวโน้มป้องกันและปกป้องลูกมากเกินไป มักคิดเข้าข้างตัวเองว่าพวกเขากำลังช่วยลูก เป้าหมายคือการปกป้องลูกจากสิ่งไม่ดีต่างๆ แต่ความจริงแล้วการทำลักษณะนี้ ส่งผลเสียต่อตัวลูกได้มากกว่าที่คิด ด้านล่างนี้เป็นสัญญาณที่บอกว่าคุณอาจเป็นพ่อแม่ที่ปกป้องลูกมากเกินไป ซึ่งพฤติกรรมประเภทนี้อาจส่งผลร้ายต่อพัฒนาการของเด็ก เมื่อมีพฤติกรรมเหล่านี้อย่างน้อยหนึ่งอย่าง มีแนวโน้มว่าจะมีวิธีอื่นๆ ที่ผู้ปกครองสามารถปกป้องบุตรหลานของตนมากเกินไปได้ นี่คือตัวอย่างเพื่อให้คุณสามารถประเมินพฤติกรรมของคุณ เพื่อพิจารณาว่าคุณจำเป็นต้องคลายนิสัยการเลี้ยงดูลูกที่ป้องกันและปกป้องลูกมากเกินไปหรือไม่

  1. คุณมักเลือกเพื่อนเล่นให้ลูก หรือชี้นำลูกให้เล่นกับเด็กคนใดคนหนึ่งมากเกินไป
  2. คุณไม่อนุญาตให้ลูกทำกิจกรรมด้วยตนเอง เช่น ไม่อนุญาตให้ลูกพาสุนัขเดินเล่นหน้าบ้าน แม้ว่าคุณจะอยู่ใกล้ๆ และยังสามารถเฝ้าดูสุนัขจากหน้าต่างด้านหน้าได้
  3. คุณเฝ้าติดตามลูกของคุณอยู่ตลอดเวลา ตัวอย่างเช่น คุณปรากฏตัวที่การฝึกซ้อมกีฬาของพวกเขาบ่อยครั้ง และคอยดูว่าลูกจะปลอดภัยดีมั้ย
  4. คุณป้องกันไม่ให้พวกเขาทำผิดพลาดแม้ในเรื่องเล็กน้อย เช่น ไม่อนุญาตให้ลูกวัย 3 ขวบเทขวดซอสมะเขือเทศลงบนแพนเค้ก เพราะคุณรู้ว่าถ้าห้ามพวกเขาจะร้องไห้ และอารมณ์เสียซึ่งคุณไม่อยากให้ลูกต้องอารมณ์เสีย
  5. คุณไม่อนุญาตให้ลูกไปเที่ยวเล่นบ้านเพื่อนโดยไม่มีคุณ
  6. ไม่อนุญาตให้ลูกเข้าค่ายพักแรมกับทางโณงเรียน หรือกิจกรรมนอกสถานที่อื่น ๆ ในช่วงวัยเด็ก
  7. คุณถามคำถาม เกี่ยวกับชีวิตลูกเมื่อไม่มีคุณ เช่น อยากรู้เรื่องของลูกที่โรงเรียนแบบละเอียดทุกวัน
  8. คุณแนะนำลูกในแนวทางที่ป้องกันไม่ให้เกิดความล้มเหลว ตัวอย่าง เช่น ไม่อนุญาตให้ลูกวัยรุ่นของคุณลงคัดเลือกเข้าทีมบาสเก็ตบอลของโรงเรียนเพราะกลัวว่าลูกจะเสียใจหากไม่ได้รับคัดเลือก
  9. คุณตัดสินใจแทนพวกเขา ตัวอย่างเช่น คุณไม่อนุญาตให้พวกเขาเลือกว่าจะเดินไปโรงเรียนหรือนั่งรถประจำทางไป คุณมักจะขับรถไปส่งพวกเขา และไม่อนุญาตให้มีการตัดสินใจใด ๆ นอกเหนือจากนี้ เพราะคุณต้องการให้พวกเขาปลอดภัยมากที่สุด
  10. คุณมักจะอาสารับใช้ในห้องเรียนของโรงเรียน หรือเป็นประธานในการทัศนศึกษาของโรงเรียนเพราะคุณต้องการ “จับตาดูสิ่งที่เกิดขึ้นในชั้นเรียนของบุตรหลานของคุณ”
  11. คุณไม่อนุญาตให้พวกเขามีความลับหรือความเป็นส่วนตัว ตัวอย่างเช่น ไม่อนุญาตให้ล็อคประตูห้องนอนของพวกเขาเลย

ปกป้องลูกมากเกินไป

เหตุใดการปกป้องลูกมากเกินไปจึงไม่ใช่ความคิดที่ดี

เด็ก ๆ เรียนรู้จากผลกระทบทางธรรมชาติ หากพวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้มีผลตามธรรมชาติ เนื่องจากพ่อแม่ของพวกเขาปกป้องพวกเขาจากความล้มเหลวและอันตรายอย่างต่อเนื่อง การพัฒนาของพวกเขาจะถูกขัดขวาง ตัวอย่างเช่น เด็กที่พ่อแม่ดูแลมากเกินไปและไม่ได้รับอนุญาตให้ไปนอนค้างคืนหรือไปบ้านเพื่อนคนอื่นเพราะพ่อแม่กังวลเกี่ยวกับอันตรายจากคนแปลกหน้าและจะเกิดอะไรขึ้นหากพวกเขาไม่ได้อยู่กับลูก การไม่ปล่อยลูกอยู่คนเดียวกับเพื่อน ๆ นอกโรงเรียน พ่อแม่ต้องอยู่ด้วยตลอดเวลา การปรากฏตัวของพ่อแม่แบบตามติดลูกเสมอ จะขัดขวางพัฒนาการของลูกอย่างรุนแรง เด็กมีแนวโน้มมีปัญหาความขัดแย้งระหว่างเพื่อนร่วมงานและไม่สามารถจัดการปัญหาเองได้ เพราะไม่เคยได้รับโอกาสให้ลองทำ เด็กจะขาดทักษะทางสังคม เนื่องจากพ่อแม่เข้ามาแทรกแซงพฤติกรรมของลูกในขณะที่ลูกอยู่กับเพื่อน ๆ เสมอ

ผลเสียต่อตัวเด็กที่ถูกพ่อแม่เลี้ยงแบบปกป้องมากเกินไป

แม้ว่าแต่ละบ้านอาจมีการเลี้ยงดูที่ไม่เหมือนกันซะทีเดียว อย่างไรก็ตามรายการนี้สามารถช่วยให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผลเสียที่เกิดจากการเลี้ยงดูที่มีการป้องกันมากเกินไป ซึ่งอาจทำให้เกิดผลเสียต่อตัวเด็กได้ เช่น

1. ขาดการพัฒนาความนับถือตนเอง
หากเด็กไม่ได้รับอนุญาตให้ลองทำสิ่งต่างๆ ด้วยตนเอง พวกเขาจะไม่สามารถสร้างความมั่นใจในตนเองและความภาคภูมิใจในตนเองได้อย่างที่ควรเป็น

2. ขาดทักษะในการตัดสินใจด้วยตัวเอง
หากเด็กคุ้นเคยกับการมีพ่อแม่คอยดูแลและดูแลพฤติกรรมของพวกเขาอยู่เสมอพวกเขาอาจต้องพึ่งพาการตัดสินใจของพ่อแม่เพราะพวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้อยู่คนเดียวหรือทำสิ่งต่างๆ ตามลำพัง

3. ความวิตกกังวล
เด็กที่ไม่เคยได้รับอนุญาตให้ลองทำสิ่งต่างๆด้วยตนเอง อาจเป็นกังวลเมื่อพวกเขาได้รับอนุญาตให้ลองทำสิ่งต่างๆ ด้วยตนเองในที่สุด พวกเขาจะกังวลเกี่ยวกับการทำผิดพลาดหรือล้มเหลวเพราะพวกเขามีพ่อแม่ที่คอยช่วยเหลือพวกเขาอย่างต่อเนื่องเพื่อหลีกเลี่ยงความผิดพลาดและความล้มเหลว

ปกป้องลูกมากเกินไป

4. ขาดความรับผิดชอบ
เมื่อพ่อแม่คอยช่วยเหลือและชี้แนะลูกอย่างสุดโต่งอยู่เสมอเด็ก ๆ จะไม่สามารถพัฒนาทักษะความรับผิดชอบของตนเองได้ หากพวกเขาไม่เคยรับผิดชอบต่อสิ่งใดเลยพวกเขาจะพัฒนาความรับผิดชอบได้อย่างไร?

5. มีความกดดันในชีวิตสูง
เด็กที่มีพ่อแม่คอยปกป้องมากเกินไป ที่มักเจ้ากี้เจ้าการ ชี้นำพฤติกรรมของลูก ๆ อยู่ตลอดเวลา เช่น ลูกต้องขอความเห็นชอบในการทำสิ่งต่างๆ จากพ่อแม่ก่อนเสมอ เด็กเหล่านี้จะเติบโตขึ้นโดยคุ้นเคยกับการที่ใครบางคนบอกพวกเขาอยู่เสมอว่า “ พฤติกรรมที่ถูกต้องหรือที่ดี” มีลักษณะอย่างไร หากพวกเขาไม่ได้รับคำชม หรือปลอบใจจากคนที่บอกว่าพวกเขาทำในสิ่งที่ถูกต้อง พวกเขาอาจวิตกกังวลหรือรู้สึกหดหู่ และรู้สึกผิดหวังกับชีวิตและจมอยู่กับความรู้สึกผิดพลาดได้มากกว่าคนทั่วไป

6. จัดการกับปัญหาในชีวิตได้ไม่ดี
เมื่อเด็กได้รับการเลี้ยงดูในบ้านที่มีการปกป้องมากเกินไปพวกเขามักจะไม่สามารถจัดการกับปัญหาในชีวิตต่างๆ ได้เอง พวกเขาไม่เคยประสบกับสถานการณ์ยากลำบากในชีวิตหรือเจอปัญหาใดๆ ตั้งแต่อายุยังน้อยเนื่องจากพ่อแม่ที่ปกป้องมากเกินไป ดังนั้นเมื่อพวกเขาอายุมากขึ้นและอาจต้องตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากที่ต้องใช้ทักษะในการแก้ปัญหา พวกเขาจะไม่สามารถทำได้ดีพอ เนื่องจากไม่มีประสบการณ์ในการแก้ปัญหาต่าง ๆ ด้วยตัวเองมาก่อนในวัยเด็ก

7. ขาดทักษะจัดการกับความกลัว ทักษะทางสังคม และทักษะการเผชิญกับปัญหา 
เด็กที่มีพ่อแม่ที่มีการป้องกันมากเกินไปจะมีปัญหาด้านพัฒนาการที่สำคัญ เช่น ไม่สามารถจัดการกับความเครียด และขาดทักษะทางการเข้าสังคม  ตัวอย่างเช่นเด็กที่ไม่ได้รับอนุญาตให้เล่นในสนามเด็กเล่นเนื่องจากผู้ปกครองต้องการปกป้องเด็กจากการบาดเจ็บจะได้รับการป้องกันไม่ให้เรียนรู้เกี่ยวกับการรับความเสี่ยงในสนามเด็กเล่นและการกระแทกและฟกช้ำจากผลที่ตามมา เด็กคนนี้อาจเติบโตมาโดยมีความกลัวมากเกินไป ไม่สามารถเผชิญหน้ากับปัญหาต่างๆ และอาจขาดทักษะในการเข้าสังคมที่เหมาะสม

8. ขาดภูมิคุ้มกันโรค
เด็กที่มีพ่อแม่ปกป้องมากเกินไปจนไม่ยอมให้สัมผัสกับเชื้อโรคอาจกลายเป็นเด็กที่มีระบบภูมิคุ้มโรคที่อ่อนแอ การสัมผัสกับเชื้อโรคในวัยเด็กเป็นสิ่งจำเป็นในการพัฒนาระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงตามธรรมชาติ เมื่อพ่อแม่ฆ่าเชื้อทุกชนิดที่เด็กๆ อาจพบเจอ และไม่ยอมให้สัมผัสกับเชื้อโรค เช่น ไม่อนุญาตให้ไปสวนสัตว์ลูบคลำหรือเล่นในกระบะทรายเพราะมีเชื้อโรคในสถานที่เหล่านั้น อาจทำให้ความสามารถของระบบภูมิคุ้มกันของเด็กๆทำงานได้ไม่ดี

9. เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ชอบควบคุมคนอื่น
เด็กที่ถูกเลี้ยงดูโดยคนที่ชอบควบคุมจะเรียนรู้พฤติกรรมนี้จากพ่อแม่ พ่อแม่เป็นแบบอย่างหลักของพฤติกรรมสำหรับบุตรหลานของตน หากเด็ก ๆ เห็นพ่อแม่ทำตัวราวกับว่าพวกเขาต้องมีอำนาจควบคุมผู้อื่นในทุกๆ สถานการณ์ตลอดเวลา พวกเขาก็จะเรียนรู้ที่จะปฏิบัติตนในลักษณะเดียวกันนี้ได้เช่นกัน

ไม่มีคำว่าสายเกินไป ที่จะพัฒนาทักษะการเลี้ยงดูลูกที่เหมาะสม ในโลกนี้ไม่มีพ่อแม่ที่สมบูรณ์แบบ เราจึงสามารถปรับปรุงวิธีการเลี้ยงดูของเราได้ตลอดเวลา เราทุกคนต้องการให้ลูก ๆ ของเราประสบความสำเร็จมีความสุข มีความสามารถ  และสิ่งต่างๆไม่ได้เกิดขึ้นได้ในชั่วข้ามคืน การเลี้ยงดูด้วยกระบวนการที่ต่อเนื่อง พยายามปลูกฝังสิ่งดีๆในทุกวัน จะช่วยให้ลูกมีชีวิตและเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ชีวิตของพวกเขาเอง

หากเราพยายามปกป้องพวกเขาทุกย่างก้าวก็จะไม่ได้รับอนุญาตให้สัมผัสชีวิตอย่างแท้จริง เพราะฉะนั้นควรอนุญาตให้ลูกได้มีประสบการณ์ที่เหมาะสมกับวัย และอนุญาตให้เกิดความล้มเหลวบ้างเพื่อที่พวกเขาจะได้เรียนรู้วิธีจัดการกับสิ่งเหล่านั้นและเรียนรู้ที่จะทำให้ดีขึ้นได้เองในอนาคต ซึ่งเด็กจะเกิดทักษะความฉลาดด้วย Power BQ ในหลายด้านเลยค่ะ อาทิ ความฉลาดต่อการเผชิญกับปัญหา (AQ)  ความฉลาดของการเข้าสังคม (SQ) ความฉลาดทางอารมณ์ (EQ)  ความฉลาดในการคิดเป็น (TQ) เมื่อลูกมีทักษะความฉลาดด้านต่างๆ ที่หลากหลาย ก็ย่อมใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข และมีโอกาสที่ประสบความสำเร็จในชีวิตได้อย่างที่ตั้งใจเมื่อพวกเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในอนาคตค่ะ

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : lifehack.org

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

หมอแนะเทคนิค เลี้ยงลูกยังไงให้มี CQ ฉลาดคิดสร้างสรรค์

เปิดเทคนิค เลี้ยงลูกแบบสวีเดน ฝึกลูกให้อยู่เป็นในสังคม

7เทคนิคเลี้ยงลูกให้มั่นใจด้วยคำชมและ คำพูดให้กำลังใจ

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

เรื่องที่คนอ่านมากสุด

keyboard_arrow_up