ชื่อภาษาอังกฤษเท่ๆ

200 ชื่อภาษาอังกฤษเท่ๆ เก๋ๆ อินเทรนด์ ลูกสาว ลูกชาย

Alternative Textaccount_circle
event
ชื่อภาษาอังกฤษเท่ๆ
ชื่อภาษาอังกฤษเท่ๆ

ชื่อภาษาอังกฤษเท่ๆ เพราะๆ ตั้งชื่อลูกภาษาอังกฤษ ลูกสาว ลูกชาย อินเทรนด์ ปี 2022 ชื่อจริง ชื่อเล่น 2 พยางค์ 3 พยางค์ พยัญชนะเหมือนชื่อคุณพ่อหรือคุณแม่

200 ชื่อภาษาอังกฤษเท่ๆ เก๋ๆ อินเทรนด์ ลูกสาว ลูกชาย

ว่าที่คุณพ่อคุณแม่ที่กำลังมองหา ชื่อภาษาอังกฤษ เพื่อนำไป ตั้งชื่อลูก มาลองหา ชื่อ ที่ทีมกองบรรณาธิการ ABK นำมาฝากในวันนี้ดูค่ะ เป็นชื่อที่ได้รับความนิยมจากคุณพ่อคุณแม่ ปี 2022 ข้อมูลจากหน่วยงาน Social Security ประเทศสหรัฐอเมริกา

ชื่อภาษาอังกฤษลูกชาย
ชื่อภาษาอังกฤษลูกชาย

200 ชื่อภาษาอังกฤษเท่ๆ เก๋ๆ อินเทรนด์ ลูกสาว ลูกชาย

ชื่อภาษาอังกฤษ ลูกชาย

ชื่อ อ่านว่า
Liam เลียม
Noah โนอาห์
Oliver โอลิเวอร์
Elijah อีไลจาห์
James เจมส์
William วิลเลี่ยม
Benjamin เบนจามิน
Lucas ลูคัส
Henry เฮนรี่
Theodore ธีโอดอร์
Jack แจ็ค
Levi ลีวาย
Alexander อเล็กซานเดอร์
Jackson แจ็คสัน
Mateo มาทีโอ
Daniel แดเนียล
Michael ไมเคิล
Mason เมสัน
Sebastian เซบาสเตียน
Ethan อีตัน
Logan โลแกน
Owen โอเว่น
Samuel ซามูเอล
Jacob เจคอบ
Asher แอชเชอร์
Aiden เอเดน
John จอห์น
Joseph โจเซฟ
Wyatt ไวแอท
David เดวิด
Leo ลีโอ
Luke ลูค
Julian จูเลี่ยน
Hudson ฮัดสัน
Grayson เกรย์สัน
Matthew แมท
Ezra เอซร่า
Gabriel เกเบรียล
Carter คาเตอร์
Isaac ไอแซค
Jayden เจเดน
Luca ลูค่า
Anthony แอนโทนี่
Dylan ดีแลน
Lincoln ลินคอล์น
Thomas โทมัส
Maverick มาเวอริค
Elias อีไลแอส
Josiah โจไซอาห์
Charles ชาร์ล
Caleb คาเลบ
Christopher คริสโตเฟอร์
Ezekiel อีเซเคียล
Miles ไมลส์
Jaxon แจ็คสัน
Isaiah ไอเซอาห์
Andrew แอนดรูว์
Joshua โจชัว
Nathan เนตัน
Nolan โนแลน
adrian เอเดรียน
Cameron คาเมรอน
Santiago ซานติอาโก
Eli อีไล
Aaron แอรอน
Ryan ไรอัน
Angel แองเจิล
Cooper คูเปอร์
Waylon เวย์ลัน
Easton เวสตัน
Kai ไค
Christian คริสเตียน
Landon แลนดอน
Colton โคลตัน
Roman โรแมน
Axel แอคเซล
Brooks บรูคส์
Jonathan โจนาตัน
Robert โรเบริ์ต
Jameson เจมสัน
Ian เอียน
Everett เอเวอเรทท์
Greyson เกรย์สัน
Wesley เวสลี่ย์
Jeremiah เจอราไมอาห์
Hunter ฮันเทอะ
Leonardo ลีโอนาร์โด
Jordan จอร์แดน
Jose โฮเซ่
Bennett เบนเนท
Silas ไซลัส
Nicholas นิโคลัส
Parker ปาร์คเกอร์
Beau โบว์
Weston เวสตัน
Austin ออสติน
Connor คอนเนอร์
Carson คาร์สัน
Dominic โดมินิก
Xavier เซเวียร์

 

ชื่อภาษาอังกฤษลูกสาว
ชื่อภาษาอังกฤษลูกสาว

ชื่อภาษาอังกฤษ ลูกสาว

ชื่อ อ่านว่า
Olivia โอลิเวีย
Emma เอ็มม่า
Charlotte ชาร์ลอตต์
Amelia อมีเลีย
Ava เอวา
Sophia โซเฟีย
Isabella อิซาเบลล่า
Mia มีอา
Evelyn เอเวลิน
Harper ฮาร์เปอร์
Luna ลูน่า
Camila คามิล่า
Gianna จีอันน่า
Elizabeth เอลิซาเบธ
Eleanor เอเลนอร์
Ella เอลล่า
Abigail อบิเกล
Sofia โซเฟีย
Avery เอเวอรี่
Scarlett สการ์เล็ตต์
Emily เอมิลี่
Aria อาเรีย
Penelope เพเนโลพี
Chloe โคลอี้
Layla เลย์ล่า
Mila มิล่า
Nora นอร่า
Hazel ฮาเซล
Madison เมดิสัน
Ellie เอลลี
Lily ลิลี่
Nova โนวา
Isla อิสล่า
Grace เกรซ
Violet ไวโอเลต
Aurora ออโรร่า
Riley ไรลีย์
Zoey โซอี้
Willow วิลโลว์
Emilia เอมิเลีย
Stella สเตลล่า
Zoe โซอี้
Victoria วิคตอเรีย
Hannah ฮันน่าห์
Addison แอดดิสัน
Leah ลีอาห์
Lucy ลูซี่
Eliana เอเลียนา
Ivy ไอวี่
Everly เอเวอรี่
Lillian ลิเลียน
Paisley เพซลี
Elena เอเลน่า
Naomi นาโอมิ
Maya มายะ
Natalie นาตาลี
Kinsley คินซ์ลี่
Delilah ดีไลล่าห์
Claire แคลร์
Audrey ออเดรย์
Aaliyah อาลียาห์
Ruby รูบี้
Brooklyn บรู๊คลิน
Alice อลิส
Aubrey ออเบรย์
Autumn ออทั่ม
Leilani เลลานี
Savannah สะวันนา
Valentina วาเลนติน่า
Kennedy เคนเนดี้
Madelyn เมดิลีน
Josephine โจเซฟีน
Bella เบลล่า
Skylar สกายล่าร์
Genesis เจเนซิส
Sophie โซฟี
Hailey เฮลลีย์
Sadie เซดี้
Natalia นาตาเลีย
Quinn ควินน์
Caroline แคโรไลน์
Allison แอลลิสัน
Gabriella กาเบรียลลา
Anna แอนนา
Serenity เซเรนิที
Nevaeh เนเวอา
Cora โคร่า
Ariana อารีอาน่า
Emery เอเมรี่
Lydia ลิเดีย
Jade เจด
Sarah ซาร่า
Eva เอวา
Adeline อเดไลน์
Madeline แมเดอลีน
Piper ไพเพอร์
Rylee ไรลีย์
Athena อะธีนา
Peyton เพย์ตัน
Everleigh เอเวอลี่

ชื่อภาษาอังกฤษเท่ๆ ที่ทีมกองบรรณาธิการ ABK นำมาฝากนี้ คงถูกใจคุณพ่อคุณแม่ และสามารถเลือกชื่อเพราะๆที่เหมาะกับลูกน้อยกันได้นะคะ

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

ชื่อเล่น ลูกผู้หญิง ตามวันเกิด น่ารักๆ เพราะๆ เรียกง่าย!!

ตั้งชื่อลูกชาย ตามวันเกิด 2565 เสริมมงคล มั่งคั่ง สุขภาพดี

100 ชื่อจริง ลูกชาย+ความหมายดี เสริมเดช ศรี มนตรี อายุ

ชื่อมงคล ตามวันเกิด ชีวิตรุ่งเรือง ทั้งลูกชาย ลูกสาว!!

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.thebump.com

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

Amarin Baby & Kids

ผลไม้บำรุงคนท้อง เพิ่มวิตามินและสารอาหารเน้น ๆ ได้ประโยชน์ทั้งแม่และลูก

Alternative Textaccount_circle
event

เมื่อตั้งครรภ์ ผลไม้บำรุงคนท้อง อาจเป็นสิ่งที่คุณแม่หลายคนมองหา เพราะมีประโยชน์ต่อร่างกายและอาจเป็นตัวช่วยในเรื่องอาการแพ้ท้อง การบริโภคผลไม้จะช่วยให้คุณแม่ได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อทั้งตัวคุณแม่และทารกในครรภ์ โดยคุณแม่ควรศึกษาว่าผลไม้ที่เหมาะสำหรับคนท้องมีอะไรบ้าง แต่ละอย่างมีผลดีอย่างไร และควรรับประทานแบบไหนให้ปลอดภัยและดีต่อสุขภาพครรภ์

ระหว่างตั้งครรภ์ คุณแม่สามารถรับประทานผลไม้ได้ตามปกติ เพราะผลไม้เป็นแหล่งแร่ธาตุและวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกาย รวมทั้งอุดมไปด้วยไฟเบอร์ที่ช่วยในการขับถ่ายและป้องกันอาการท้องผูกระหว่างตั้งครรภ์ได้ โดยคนท้องควรรับประทานผลไม้ให้ครบ 5 ส่วนต่อวัน และหลีกเลี่ยงผลไม้ที่มีน้ำตาลและไขมันสูงเพื่อป้องกันภาวะน้ำหนักเกินเกณฑ์และโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ซึ่งข้อควรระวังในการรับประทานผลไม้ขณะตั้งครรภ์เพิ่มเติมคือ หากต้องการรับประทานผลไม้สดก็ควรล้างให้สะอาดก่อน เพื่อป้องกันสารตกค้างและเชื้อโรคที่เป็นอันตรายต่อแม่และลูกน้อยในครรภ์ หากต้องการดื่มน้ำผลไม้ โดยเฉพาะน้ำผลไม้ที่คั้นสดและไม่ผ่านการฆ่าเชื้อ คุณแม่ต้องเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะอาจมีการปนเปื้อนของเชื้อแบคทีเรียที่เป็นอันตรายต่อทั้งแม่และลูกน้อยในครรภ์ ดังนั้น ควรเลือกดื่มน้ำผลไม้ที่ผ่านการฆ่าเชื้อและบรรจุในขวดหรือกระป๋องมิดชิด เพื่อลดความเสี่ยงในการได้รับเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย หรืออาจเป็นผลไม้คั้นสดที่ทำรับประทานเองที่บ้านแล้วรับประทานหมดในคราวเดียว

ผลไม้บำรุงคนท้อง เพิ่มวิตามินและสารอาหารเน้น ๆ ได้ประโยชน์ทั้งแม่และลูก

ผลไม้บำรุงคนท้อง

เป็นที่ทราบกันดีว่า ผลไม้หลาย ๆ ชนิดนั้น ให้สารอาหารที่สำคัญ และมีประโยชน์กับแม่และลูกน้อยในครรภ์มากมาย ยกตัวอย่างเช่น ช่วยในเรื่องพัฒนาการของเนื้อเยื่อและเซลล์ต่าง ๆ ของทารกในครรภ์ ในขณะเดียวกันก็ช่วยสร้างระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง เสริมสร้างการเจริญเติบโตของกระดูกและฟัน อีกทั้งยังช่วยในการป้องกันการเกิดความผิดปกติของทารกในครรภ์ ป้องกันโรคท้องผูก และริดสีดวงทวารที่มีโอกาสเกิดขึ้นในขณะตั้งครรภ์ได้อีกด้วย ทีมแม่ ABK จึงขอแนะนำผลไม้ที่เหมาะสำหรับคนท้อง เรามาดูกันว่า ผลไม้สำหรับรับประทานของคนท้อง ที่จะช่วยบำรุงครรภ์ที่คุณแม่ควรกินตอนท้องมีอะไรบ้าง

  1. ส้ม

ผลไม้ตระกูลส้มไม่ว่าจะเป็นส้มเขียวหวาน ส้มเช้ง ส้มสายน้ำผึ้ง ส้มบางมด ฯลฯ ล้วนให้คุณค่าสารอาหารคล้าย ๆ กัน คือเป็นแหล่งของวิตามิน C ชั้นดีที่จะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันร่างกายของคุณแม่ ป้องกันการเป็นหวัดระหว่างตั้งครรภ์ และยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์ในร่างกายอีกด้วย ที่สำคัญคือมีกากใย ที่ช่วยกระตุ้นระบบขับถ่ายให้กับแม่ท้อง ช่วยลดอาการท้องผูกระหว่างตั้งครรภ์ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังมีโฟเลตซึ่งมีความจำเป็นในเรื่องช่วยสร้างตัวอ่อน ช่วยป้องกันความผิดปกติของระบบประสาท ป้องกันภาวะไม่มีเนื้อสมองและภาวะไขสันหลังไม่ปิดจากการขาดโฟเลต อีกทั้งยังช่วยดูดซึมธาตุเหล็กในร่างกายด้วย

ผลไม้บำรุงคนท้อง

ขอขอบคุณรูปภาพ http://www.freshfoodsbkk.com/product/oranges/

 

  1. กล้วย

กล้วยเป็นผลไม้ที่หาซื้อและรับประทานได้ง่ายอีกหนึ่งชนิดที่อุดมไปด้วยสารอาหารสำคัญมากมายเช่น วิตามินบี 6 โฟเลต วิตามินซี ไฟเบอร์ โพแทสเซียม และแมกนีเซียมที่จะช่วยให้ระดับโซเดียมในร่างกายคงที่ เพราะถ้าระดับของเหลวในร่างกายไม่คงที่ จะทำให้คุณแม่เกิดอาการ อาเจียน คลื่นไส้ได้ ซึ่งแก้ได้โดยแมกนีเซียม  ในช่วงไตรมาสแรกคุณแม่ที่ตั้งครรภ์สามารถรับประทาน กล้วย 1 ลูก ได้ต่อ 1 วันซึ่งช่วยแก้ปัญหาท้องผูกและอาการคลื่นไส้อาเจียนระหว่างตั้งครรภ์ได้ รวมทั้งมีกรดอะมิโนที่ชื่อTryptophan ที่ช่วยทำให้ผ่อนคลายอารมณ์ ช่วยให้คุณแม่อารมณ์ดี แก้ปัญหาภาวะซึมเศร้าระหว่างตั้งครรภ์ได้

ผลไม้บำรุงคนท้อง

ขอขอบคุณรูปภาพ http://www.freshfoodsbkk.com/product/bananas-halfhand/

 

  1. แอปเปิ้ล

แอปเปิ้ลเป็นผลไม้ที่อุดมด้วยสารอาหารทั้งสารต้านอนุมูลอิสระ สารฟลาโวนอยด์ มีเส้นใยอาหารสูง วิตามินซีสูง วิตามินเอ วิตามินบี 1 บี 2 บี 3 บี 5 บี 6 กรดโฟลิก แคลเซียม แมกนีเซียม โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส สังกะสี เหล็ก เป็นต้น และประโยชน์ต่อสุขภาพเป็นอย่างมากต่อคุณแม่และลูกในครรภ์ อาทิเช่น

  • ในแอปเปิ้ลมีวิตามินซีสูงที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันต้านทานเชื้อโรค และอาการติดเชื้อต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นกับคุณแม่และลูกในครรภ์ได้
  • มีงานวิจัยพบว่าการกินแอปเปิ้ลขณะตั้งครรภ์อาจช่วยลดโอกาสที่ทารกจะเป็นโรคหอบหืดและภูมิแพ้เมื่อโตขึ้นได้ อีกทั้งยังสามารถลดอาการตีบแคบของทางเดินหายใจได้อีกด้วย
  • แอปเปิ้ลยังอุดมไปด้วยสารอาหารและมีวิตามิน A, E, D และสังกะสี
  • มีคาร์โบไฮเดรต ที่ช่วยเพิ่มพลังงานแก่ร่างกายให้กับแม่ท้อง
  • มีแคลเซียมสูงช่วยเสริมสร้างกระดูกของแม่และลูกในท้องให้แข็งแรง
  • แอปเปิ้ลเป็นผลไม้ที่เต็มไปด้วยไฟเบอร์หรือเส้นใยอาหารที่ช่วยในระบบย่อยอาหาร ช่วยบรรเทาอาการอาหารไม่ย่อยระหว่างตั้งครรภ์ได้เป็นอย่างดีและลดความผิดปกติของลำไส้
  • มีสารต้านอนุมูลอิสระที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งแม่และลูก ซึ่งจะส่งผลดีให้กับการทำงานของปอด ช่วยให้ระบบการหายใจของคุณแม่และลูกในท้องทำงานได้ดีขึ้น
  • กินแอปเปิ้ลขณะตั้งครรภ์มีส่วนช่วยในการเสริมสร้างสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด ป้องกันเส้นเลือดอุดตัน อาการแสบร้อนกลางอกซึ่งเป็นอาการที่พบได้บ่อยในตอนตั้งครรภ์

สำหรับแอปเปิ้ลนั้นเป็นผลไม้ที่คุณแม่ตั้งครรภ์สามารถกินอย่างน้อยวันละ 1 ลูก เป็นประจำทุกวัน เพราะเป็นผลไม้ที่มีปริมาณแคลอรี่ต่ำ จึงไม่ต้องกลัวว่าจะส่งผลกระทบต่อน้ำหนักตัวหากคุณแม่อยู่ในช่วงควบคุมน้ำหนัก

ผลไม้บำรุงคนท้อง

ขอขอบคุณรูปภาพ http://www.freshfoodsbkk.com/product/apple-red/

 

  1. ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่

ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่อุดมไปด้วยสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายมากมาย ไม่ว่าจะเป็นคาร์โบไฮเดรต วิตามินซี ไฟเบอร์ โฟเลต รวมทั้งฟลาโวนอยด์และแอนโทรไซยานินที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเหมาะสำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ ส่วนคุณแม่ที่เป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ การรับประทานเบอร์รี่จะช่วยให้ได้รับพลังงานมากขึ้นและยังส่งผ่านทางรกไปเลี้ยงทารกในครรภ์ได้ดี เพราะคาร์โบไฮเดรตที่อยู่ในเบอร์รี่เป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนซึ่งมีประโยชน์มากกว่าคาร์โบไฮเดรตที่มีในขนมหวานจำพวกเค้ก โดนัท หรือคุกกี้

  • บลูเบอร์รี่มีรสชาติเปรี้ยวอมหวานที่ช่วยลดอาการแพ้ท้องได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังมีสารอาหารที่จำเป็นโดยเฉพาะอย่างยิ่งโพแทสเซียม ซึ่งสำคัญมากต่อการควบคุมระดับความดันโลหิต ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ และยังมีวิตามินซี โฟเลต แคลเซียม และใยอาหาร
  • เชอร์รี่ เป็นแหล่งวิตามินซีที่ยอดเยี่ยม ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันในระหว่างตั้งครรภ์ให้กับคุณแม่และลูกน้อยจากโรคติดเชื้อ เช่น โรคหวัด การรับประทานเชอร์รี่ยังช่วยในการส่งเลือดไปเลี้ยงรกและทารกได้อย่างมีประสิทธิภาพ เชอร์รี่ยังมีสารเมลาโทนินซึ่งเป็นฮอร์โมนที่จะช่วยทำให้คุณแม่นอนหลับสนิทได้อีกด้วย
  • สตรอเบอร์รี่เป็นผลไม้แสนอร่อยเหมาะที่คุณแม่ท้องจะกินในมื้อว่างได้ดี เพื่อเพิ่มสารอาหารและวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกาย ในสตรอวเบอร์รี่อุดมไปด้วย วิตามินซีและวิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย อาทิเช่น ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ป้องกันหวัด ลดอาการภูมิแพ้ ลดอาการเลือดออกตามไรฟันที่เกิดจากการขาดวิตามินซี และช่วยบำรุงสายตา เป็นต้น มีไฟเบอร์และโฟเลต รวมทั้งธาตุเหล็ก แมงกานีส และโพแทสเซียมที่ช่วยเสริมสร้างกระดูกของลูกน้อยในครรภ์ที่กำลังเติบโตให้แข็งแรงขึ้น และช่วยในการปรับความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติ มีฟลาโวนอยด์สูงที่มีศักยภาพสูง อุดไปด้วยใยอาหารสูง ช่วยทำให้ระบบขับถ่ายทำงานเป็นปกติ

ผลไม้สำหรับคนท้อง

ขอขอบคุณรูปภาพ https://www.freepik.com/premium-photo/mix-berry-sweet-cherry-raspberry-currants-strawberry-blueberry-isolated_10530509.htm

 

  1. อะโวคาโด

อะโวคาโดจัดว่าเป็นผลไม้เพื่อสุขภาพ ที่มีคุณค่าทางอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่าผลไม้ชนิดอื่นอยู่หลายชนิด และยังเป็นแหล่งรวมสารอาหารสำคัญมากมายที่ส่งผลดีต่อสุขภาพ อาทิเช่น

  • มีโฟเลตมากกว่าผลไม้ชนิดอื่น อะโวคาโดถ้วยเดียวมีสารอาหารเกือบเท่ากับโฟเลตที่ร่างกายของทุกคนต้องการต่อวัน ซึ่งเป็นสารอาหารที่จำเป็นสำหรับแม่ท้องตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์ที่ช่วยป้องกันการเกิดการพิการตั้งแต่เริ่มสร้างตัวอ่อน ช่วยให้ลูกในครรภ์ แข็งแรงสมบูรณ์ และถ้าหากว่าร่างกายของคุณแม่ได้รับสารโฟเลตอย่างเต็มที่ก็จะสามารถลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจ และความดันเลือดได้
  • มีไขมันที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายซึ่งให้พลังงานและช่วยป้องกันข้อบกพร่องของท่อประสาท และยังเพิ่มเซลล์ที่รับผิดชอบในการสร้างผิวหนังและเนื้อเยื่อสมองของทารกที่กำลังพัฒนา
  • โพแทสเซียมในอะโวคาโดสามารถบรรเทาอาการปวดขาซึ่งเป็นอาการที่พบได้บ่อยในระหว่างตั้งครรภ์โดยเฉพาะในไตรมาสที่สาม
  • เป็นแหล่งที่อุดมไปด้วยวิตามิน เอ (เบต้าแคโรทีน) ช่วยบำรุงสายตา, วิตามิน บี ช่วยป้องกันโรคเหน็บชา ปากนกกระจอก, วิตามิน ซี ช่วยป้องกันหวัด เลือดออกตามไรฟัน, วิตามิน อี ซึ่งเป็นสาร ต้านอนุมูลอิสระ  ที่มีคุณค่าในการปกป้องเซลล์ร่างกายจากมลพิษทางอากาศ น้ำ และอาหาร ป้องกันร่างกายจากโรคมะเร็งชนิดต่าง ๆ และโรคหัวใจ และวิตามิน เค
  • มีธาตุเหล็ก โคลีน ที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาสมองและระบบเส้นประสาทของทารก ช่วยป้องกันการเสื่อมของสมอง
  • มีสารกลูตาไธโอน ที่มีคุณสมบัติเป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง มีหน้าที่ปกป้องเนื้อเยื่อของอวัยวะทุกส่วนโดยการต่อต้านอนุมูลอิสระที่สะสมอยู่ตามส่วนต่าง ๆ และกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย
  • อะโวคาโดอุดมไปด้วยไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว เป็นไขมันที่ย่อยง่ายมีคาร์โบไฮเดรตต่ำ ช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือด ช่วยลดความเสี่ยงเบาหวานขณะตั้งครรภ์และอาการที่เสี่ยงในกลุ่มครรภ์เป็นพิษ
  • มีโปรตีนที่ย่อยง่าย มีเส้นใยอาหารสูง ช่วยให้ระบบขับถ่ายให้ดีขึ้นแก้ปัญหาอาการท้องผูกของคุณแม่ระหว่างตั้งครรภ์ได้
  • ในอะโวคาโดมีทั้ง โอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 ที่บำรุงสมองและระบบประสาทและเพิ่มความฉลาดให้ลูกน้อยในครรภ์

อะโวคาโดนั้นนอกจากจะดีต่อสุขภาพคุณแม่ยังดีต่อพัฒนาการและการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ด้วย อย่างไรก็ตามการกินอะโวคาโดแบบได้ประโยชน์ที่สุดควรกินอะโวคาโดสุกและแนะนำให้รับประทานปริมาณครั้งละไม่เกิน ครึ่งผล หรืออย่างมากที่สุดไม่เกิน 1 ผลต่อ ถ้ากินมากไปหรือกินผลดิบ จะทำให้มีรสขมอาจทำให้เกิดอาการปวดหัวได้

ผลไม้สำหรับคนท้อง

ขอขอบคุณรูปภาพ http://www.freshfoodsbkk.com/product/avocado/

 

  1. ฝรั่ง

ฝรั่งนับเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์ มีคุณค่าทางโภชนาการสูงและสารอาหารที่หลากหลายเหมาะสำหรับรับประทานระหว่างตั้งครรภ์ได้ดี ในฝรั่งน้ำหนัก 165 กรัม จะให้วิตามินสูงถึง 377 มิลลิกรัม หากเทียบกับส้มที่ว่าเป็นผลไม้ที่วิตามินซีสูงแล้ว ฝรั่งยังมีวิตามินซีสูงกว่าถึง 5 เท่า  และยังประกอบด้วยวิตามินเอสูง ที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายและความดันโลหิตในระหว่างตั้งครรภ์ ทั้งยังช่วยเรื่องเหงือกและฟันให้แข็งแรง อุดมไปด้วยวิตามิน E, iso-flavonoids, Carotenoids และ Polyphenols สารอาหารเหล่านี้มีส่วนช่วยย่อยอาหาร ลดอาการท้องผูก และให้ความแข็งแรงแก่ระบบประสาทของทารก นอกจากนี้รสชาติอร่อย กลิ่นหอมสดชื่นของฝรั่งยังช่วยในเรื่องอาการแพ้ท้องได้เป็นอย่างดีด้วย แต่อย่างไรก็ตามก็ไม่ควรกินฝรั่งในปริมาณที่มากเกินไป เนื่องจากจะทำให้ย่อยยากและส่งผลทำให้ท้องอืดได้ ดังนั้นคุณแม่ท้องควรเลือกกินแต่พอดีและควรเคี้ยวให้ละเอียดก่อนเสมอ เท่านี้การกินฝรั่งก็จะมีประโยชน์ต่อสุขภาพต่อคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์

ผลไม้สำหรับคนท้อง

ขอขอบคุณรูปภาพ http://www.freshfoodsbkk.com/product/guava/

 

  1. มะพร้าว

มะพร้าวเป็นอีกหนึ่งผลไม้ที่คุณแม่สามารถกินได้ตอนท้อง มีคุณค่าทางอาหารสูงและสารอาหารต่าง ๆ มากมาย อาทิเช่น โปรตีน โพแทสเซียม วิตามินซี โซเดียม แคลเซียม คลอไรด์ และเส้นใยอาหาร ที่ให้คุณประโยชน์สำหรับคุณแม่ท้อง เช่น

  • โซเดียมโพแทสเซียม ช่วยควบคุมความดันโลหิต และการทำงานของหัวใจคุณแม่ตั้งครรภ์ให้เป็นปกติ
  • แมงกานีส ช่วยบำรุงโลหิตและเสริมสร้างกระดูกให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง
  • วิตามินซี ช่วยให้คุณแม่ตั้งครรภ์ มีผิวพรรณสดใส
  • กลูโคสและฟรักโทสในปริมาณมาก ร่างกายสามารถนำไปใช้เป็นพลังงานได้ทันที เมื่อแม่ท้องได้ดื่มก็จะช่วยให้รู้สึกสดชื่น แก้กระหาย
  • กรดลอริก ที่มีคุณสมบัติต้านเชื้อไวรัส เชื้อหวัด และเชื้อรา จึงช่วยในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของแม่และทารกในครรภ์ และช่วยป้องกันการติดเชื้อของโรคไข้หวัดใหญ่ เอชไอวี และโรคเริม
  • มีไขมันอิ่มตัวที่มีคุณสมบัติละลายน้ำดี (MCT) ซึ่งมีหน้าที่ช่วยดูดซึมแคลเซียมที่มีส่วนช่วยทำให้กระดูกแข็งแรงและป้องกันโรคกระดูกพรุนได้อีกด้วย
  • มีโฟเลตประกอบอยู่เป็นจำนวนมาก เมื่อร่างกายได้รับโฟเลตในปริมาณที่เพียงพอ ก็จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดต่าง ๆ ทำให้ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจและโรคหลอดเลือด
  • เกลือแร่ที่มาจากธรรมชาติ ช่วยลดภาวะการขาดน้ำและช่วยลดอาการอ่อนเพลียได้ดีทีเดียว

สำหรับคุณแม่ท้องที่ต้องการกินมะพร้าว ควรกินในปริมาณที่พอดีหรือ 1 ลูกต่อวัน ควรเลือกซื้อมะพร้าวอ่อนแบบเป็นลูก เพื่อความปลอดภัย สะอาด เท่านี้ก็จะได้ประโยชน์จากสารอาหารครบถ้วนในมะพร้าวได้เป็นอย่างดีด้วย

ผลไม้สำหรับคนท้อง

ขอขอบคุณรูปภาพ https://www.jmthaifood.com/en/product/coconut/

 

  1. ลูกพรุน

ลูกพรุนเป็นอีกหนึ่งผลไม้ที่เหมาะสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีปัญหาเรื่องโลหิตจาง เพราะในลูกพรุนจะมีธาตุเหล็กเป็นส่วนประกอบหลัก จึงช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง และยังมีวิตามิน B2 ที่จะช่วยสร้างแคลเซียม ทำให้กระดูกและฟันแข็งแรงอีกด้วย รวมทั้งลูกพรุนยังเป็นผลไม้ที่ตอบโจทย์สำหรับแม่ท้องที่มีอาการท้องผูกได้เป็นอย่างดี เนื่องจากลูกพรุนมีไฟเบอร์กากอาหารมาก ซึ่งจะช่วยในการขับถ่ายที่ดี

ผลไม้สำหรับคนท้อง

ขอขอบคุณรูปภาพ https://www.shutterstock.com/th/image-photo/plums-plum-prunes-prune-slice-leaves-468880694

 

  1. องุ่น

องุ่นสามารถเป็นผลไม้ทานเล่นระหว่างมื้อที่ดีต่อสุขภาพในระหว่างตั้งครรภ์ ในองุ่นเต็มไปด้วยสารอาหารที่สำคัญ เช่นวิตามินนานาชนิด, สารต้านอนุมูลอิสระ มีเส้นใย น้ำตาลกลูโคส ฟรุกโตสที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ทั้งยังมีแมกนีเซียม แคลเซียม เหล็ก กรดโฟลิก และอื่น ๆ อีกมากมายที่ส่วนช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันและป้องกันการติดเชื้อ และนอกจากนี้องุ่นสีเข้มยังมีคุณสมบัติต่อต้านริ้วรอยที่สำคัญและทำให้ผิวของคุณแม่ดูอ่อนเยาว์อีกด้วย อย่างไรก็ตาม แม่ท้องควรกินในปริมาณที่เหมาะสมคือ 10-12 ผล เพราะเป็นผลไม้ที่มีน้ำตาลสูง ควรล้างทำความสะอาดเปลือกผิวด้านนอกขององุ่นก่อนรับประทานเนื่องจากอาจมีสารเคมีที่ตกค้างอยู่บนเปลือก

ผลไม้สำหรับคนท้อง

ขอขอบคุณรูปภาพ http://www.freshfoodsbkk.com/product/grapes-red/

 

  1. อินทผลัม

อินทผลัม เป็นผลไม้ที่หากินได้ไม่ยาก มีทั้งชนิดอบแห้งหรืออินทผลัมแบบผลไม้สด นอกจากนี้อินทผลัมยังเป็นผลไม้ที่ไม่มีคอเลสเตอรอล และอุดมไปด้วยสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เป็นผลไม้ที่มีไฟเบอร์ซึ่งจะช่วยลดอาการท้องผูกในระหว่างตั้งครรภ์ได้เป็นอย่างดี ช่วยสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อมดลูก ช่วยให้การบีบตัวของมดลูกในช่วงการคลอดได้ดี ช่วยลดอาการตกเลือดหลังจากคลอดลูก สำหรับคุณแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมแม่ การกินอินทผลัมจะช่วยบรรเทาอาการซึมเศร้าได้ ช่วยเพิ่มสารอาหารสำคัญในน้ำนมแม่ ซึ่งสารอาหารที่ได้จากอินทผลัมเมื่อลูกกินนมแม่จะช่วยในเรื่องภูมิคุ้มกันในร่างกาย ทำให้ลูกน้อยมีสุขภาพที่แข็งแรง

ด้วยความที่อินทผลัม เป็นผลไม้รสหวาน ที่มีปริมาณน้ำตาลสูง หากกินมากไป อาจส่งผลให้น้ำตาลในเลือดสูงได้ ดังนั้นช่วงแรก ๆ ของการตั้งครรภ์ควรกินแต่พอดี วันละไม่เกิน 3-5 ผลก็พอ หลังจากนั้น แนะนำให้กินเป็นของว่างเสริมในช่วงใกล้คลอด หรืออาจจะเริ่มตั้งแต่เดือนที่ 8 ของการตั้งครรภ์ก็ได้ สำหรับปริมาณที่ควรกินในช่วงนี้ก็คือประมาณวันละ 6-7 ผล

ผลไม้สำหรับคนท้อง

ขอขอบคุณรูปภาพ https://bohemiandates.com/blogs/lifestyle/10-date-fruit-varieities

 

จะเห็นได้ว่าการรับประทาน ผลไม้บำรุงคนท้อง เป็นอาหารว่างที่ดีในระหว่างตั้งครรภ์ จะช่วยให้คุณแม่ได้รับวิตามินและเกลือแร่ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย ที่ช่วยเรื่องพัฒนาการของทารกในครรภ์ ช่วยลดความเสี่ยงของโรคและข้อบกพร่องบางอย่างและช่วยบำรุงสุขภาพร่างกายของคุณแม่ ทั้งนี้ผลไม้แต่ละอย่างแม่ท้องควรกินในปริมาณที่เหมาะสม เพราะหากรับประทานมากเกินไปอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อทั้งแม่และลูกน้อยในครรภ์ได้ ควรกินผลไม้ที่หลากหลายสลับกันไปในแต่ละวัน ควบคู่กับอาหารทั้ง 5 หมู่ เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน ก็จะช่วยให้มีสุขภาพครรภ์ดีตลอดการตั้งครรภ์นี้

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

9 ผลไม้เพิ่มน้ำนม แม่หลังคลอดน้ำนมน้อย ต้องกิน!

22 ผลไม้สำหรับคนท้อง สารอาหารแน่น แม่กินดีลูกได้ประโยชน์

20 แหล่ง อาหารโฟเลตสูง ครบทั้งผักผลไม้ เนื้อสัตว์ ดีต่อแม่และลูกในท้อง

ลูกท้องเสียหลายวัน เด็กยืดตัว

ลูกท้องเสียหลายวัน อย่าวางใจความเชื่อ”เด็กยืดตัว”มีจริงหรือ

Alternative Textaccount_circle
event
ลูกท้องเสียหลายวัน เด็กยืดตัว
ลูกท้องเสียหลายวัน เด็กยืดตัว

ลูกท้องเสียหลายวัน ไม่ใช่เรื่องปกติ อย่าให้ความเชื่อเรื่องเด็กยืดตัวแล้วจะถ่ายท้อง มาทำให้ลูกเสี่ยงอันตรายจากการสูญเสียน้ำในร่างกาย และโรคร้ายแรงต่าง ๆ ได้

ลูกท้องเสียหลายวัน อย่าวางใจความเชื่อ”เด็กยืดตัว”มีจริงหรือ??

พ่อแม่ที่กำลังประสบกับปัญหาลูกน้อยท้องเสียเรื้อรัง ลูกท้องเสียหลายวัน ติดต่อกัน แต่ก็ยังคงเห็นลูกไม่ซึม ไม่งอง แต่อาการท้องเสียก็ไม่ดีขึ้นเสียทีจนเริ่มกังวลใจ ปู่ย่าตายายที่บ้านก็ให้คำแนะนำต่อความเชื่อโบราณที่ว่า “เด็กยืดตัว” เลยถ่ายท้อง ไม่ต้องคิดมาก แล้วมันเป็นเรื่องจริงหรือ พ่อแม่ไม่ต้องกังวล รอเด็กหายได้เองจริงหรือไม่

ลูกท้องเสียหลายวัน อันตรายไหม
ลูกท้องเสียหลายวัน อันตรายไหม

อันตราย!! ลูกท้องเสียหลายวัน ควรดูแลใกล้ชิด..เด็กยืดตัว ไม่มีจริง 

ในเด็กทารกนั้น หากมีอาการท้องเสีย โดยลักษณะถ่ายเป็นน้ำ แต่ยังเป็นสีเหลืองไม่มีกลิ่นเหม็นคาว และกินเฉพาะนมแม่ อาจเป็นเพราะได้รับนมส่วนหน้ามากเกินไป ให้คุณแม่บีบน้ำนมส่วนหน้าทิ้งไปสักช่วงนึงก่อน เพื่อให้ลูกได้กินน้ำนมส่วนหลังให้มากขึ้น

หากพบว่าลูกท้องเสีย ร่วมกับอาการเหล่านี้ อย่าเพิ่งเชื่อกับคำกล่าวโบราณเรื่อง “เด็กยืดตัว” รีบพาไปพบคุณหมอโดยด่วน

  1. ถ่ายอุจจาระเป็นมูกหรือ เป็นมูกเลือด
  2. ไข้สูง
  3. มีอาการชัก
  4. อาเจียนบ่อย
  5. ท้องอืด
  6. หายใจหอบลึก ๆ
  7. ไม่ยอมดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ทุกชนิด ไม่ยอมกินข้าว หรือไม่ยอมดื่มนม
  8. ดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่แล้วแต่ยังดูเพลีย
  9. มีอาการซึมมากขึ้น
  10. ถ่ายอุจจาระเป็นน้ำบ่อยมากกว่า 10 ครั้งต่อวัน

โรคท้องเสียในเด็ก น่ากังวลใจแค่ไหน ??

โรคท้องเสียในเด็ก เป็นภาวะที่มีการถ่ายอุจจาระเหลว จำนวน 3 ครั้งต่อวัน หรือมากกว่า หรือถ่ายมีมูกเลือดอย่างน้อย 1 ครั้งต่อวัน โดยสาเหตุเกิดจากการติดเชื้อจากแบคทีเรีย ไวรัสและพยาธิ จากการรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่มีเชื้อโรคปนเปื้อนเข้าไป หากถ่ายติดต่อกันหลายครั้งอาจทำให้เกิดภาวะขาดน้ำ และเกลือแร่ในช่วงแรก และภาวะขาดสารอาหารในช่วงหลัง

เชื้อโรคที่ทำให้เด็กท้องเสียมักจะพบว่าเป็นเชื้อไวรัสมากกว่าเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งไวรัสที่พบบ่อยในประเภทนี้คือ : โรต้าไวรัส,โนโรไวรัส,อะดีโนไวรัส

ลูกท้องเสียหลายวัน เพราะยืดตัวตามคำโบราณจริงหรือ
ลูกท้องเสียหลายวัน เพราะยืดตัวตามคำโบราณจริงหรือ

ทำไมจึงกล่าวว่า เด็กยืดตัว ไม่มีจริง??

ผศ.พญ.นิยะดา วิทยาศัย กุมารแพทย์ สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี ให้ความรู้ในเรื่องนี้ว่า  คำว่าท้องเสีย เพราะ “ยืดตัว” ไม่ใช่ความจริง ธรรมชาติของเด็กในขวบปีแรกจะมีพัฒนาการของร่างกาย ได้แก่ นอนหงายเป็นนอนคว่ำ คืบ นั่ง ยืน เดิน เป็นต้น ซึ่งการพัฒนาการต่าง ๆ เหล่านี้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดภาวะท้องเสียใด ๆ เพราะการท้องเสียมีสาเหตุมาจากการที่ร่างกายได้รับเชื้อโรค ซึ่งอาจติดมาจากอาหารเมื่อรับประทาน หรือการกินนม น้ำที่ปนเปื้อนเชื้อโรค หรือแม้กระทั่งมือของเด็กเองที่ชอบนำสิ่งของเข้าปากตัวเอง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กในวัยนี้เป็นวัยกำลังซน และมีพัฒนาการทางร่างกายที่พัฒนาขึ้นอย่างมาก สามารถคลาน หยิบจับสิ่งของได้ดีขึ้น ทำให้โอกาสในการได้รับเชื้อโรคก็มีมากขึ้นกว่าตอนเป็นทารก

ทำให้คนโบราณสังเกตได้ว่าเด็กในวัยที่กำลังโตนี้ มักพบอาการท้องเสียได้บ่อย ๆ จึงเกิดความเชื่อเรื่อง “เด็กยืดตัว” ขึ้น

ภาวะท้องเสีย ที่เกิดจากการติดเชื้อ เช่น ไวรัส แบคทีเรีย จำเป็นต้องไปพบแพทย์เพื่อดูอาการ และหาสาเหตุที่เกิดขึ้นให้เจอ และปรับเปลี่ยนวิธีการดูแลลูกเสียใหม่ เช่น อาจเกิดจากกรณีที่ล้างขวดนมไม่สะอาด หรือมีภาวะแพ้โปรตีนหรือสิ่งแปลกปลอมผ่านนมแม่ คุณแม่ก็อาจจะต้องงดอาหารที่อาจส่งผลให้ลูกแพ้ แต่หากกินนมผง อาจมีความจำเป็นต้องเปลี่ยนชนิดของนมผง ซึ่งหากคุณแม่ไม่มั่นใจ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์

สัญญาณของภาวะขาดน้ำในเด็ก 

ภาวะขาดน้ำ เป็นอีกหนึ่งอาการอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้กับเด็กที่มีอาการท้องเสีย โดยเฉพาะในเด็กเล็กที่เขาไม่สามารถบอกให้เราทราบได้ถึงอาการไม่สบายตัวของตัวเอง ดังนั้นหากลูกน้อยมีไข้ ท้องเสีย อาเจียน หรือมีเหงื่อออกมาก พ่อแม่ควรสังเกตอาการที่บ่งบอกว่าลูกอาจเสี่ยงต่อภาวะขาดน้ำ ที่เป็นภาวะที่เป็นอันตราย ดังนี้

  • ปากแห้ง
  • ปัสสาวะน้อยกว่าปกติ อาจสังเกตได้ว่าเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูกไม่เกิน 6 ชิ้นต่อวัน
  • มีน้ำตาออกมาน้อยหรือไม่มีน้ำตาเลยขณะร้องไห้
  • ผิวเย็นและแห้ง
  • ฉุนเฉียวง่าย
  • ง่วงซึม หรือเวียนศีรษะ
  • ตาโหลหรือตาลึก
  • ทารกหรือเด็กวัยหัดเดินอาจมีกระหม่อมบุ๋ม
  • เล่นน้อยกว่าปกติ
  • เด็กที่ขาดน้ำจากอาการท้องเสียอาจมีอุจจาระเหลว
  • เด็กที่ขาดน้ำจากการอาเจียนหรือดื่มน้ำน้อยอาจถ่ายอุจจาระน้อยลง
สัญญาณภาวะขาดน้ำในเด็ก
สัญญาณภาวะขาดน้ำในเด็ก

ในกรณีที่มีอาการรุนแรง เด็กอาจจะมีอาการหงุดหงิดมาก ตาโหล รู้สึกง่วงซึมมาก มือเท้าเย็นและเปลี่ยนสีไปจากปกติ ผิวหนังเหี่ยวย่น และปัสสาวะเพียงวันละ 1-2 ครั้งเท่านั้น หากลูกน้อยมีอาการดังกล่าว คุณพ่อคุณแม่ควรรีบพาไปพบแพทย์ทันที

อาการท้องเสียฉับพลันมักหายได้เองภายใน 1 สัปดาห์ แต่หากมีอาการท้องเสียนานกว่า 2 สัปดาห์ขึ้นไป ถือว่าเป็นภาวะอุจจาระร่วงเรื้อรัง ควรพบแพทย์เพื่อทำการรักษา และไม่ควรซื้อยาหยุดถ่ายมารับประทาน เพราะการท้องเสีย คือการขับเอาเชื้อโรคออกจากร่างกาย หากมีถ่ายบ่อย ให้ดื่มน้ำเกลือแร่ เพื่อลดการสูญเสียน้ำ

นอกจากนั้นแล้ว การได้รับวัคซีน เพื่อป้องกันสาเหตุของการเกิดอาการท้องเสีย หรือลำไส้อักเสบ ที่อาจส่งผลให้เกิดภาวะท้องร่วงรุนแรงและอาจเกิดอันตรายร้ายแรงได้อย่าง ไวรัสโรต้า ก็เป็นสิ่งที่สำคัญและควรป้องกัน คุณพ่อคุณแม่ควรพาลูกไปรับวัคซีนโรต้าให้ครบและตรงตามกำหนดอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะในขณะนี้ วัคซีนไวรัสโรต้าได้ถูกบรรจุให้เป็นวัคซีนสามัญรับฟรีได้ตามสถานอนามัยทุกแห่ง และการหยอดครั้งแรกไม่ควรเกินอายุ 2 เดือน เพื่อให้มีประสิทธิ์ภาพมากที่สุด

การป้องกันโรคท้องเสียในเด็ก

  • ส่งเสริมให้มารดาเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เพื่อให้ลูกมีภูมิคุ้มกันต้านทานโรค
  • รับประทานทานอาหารที่ปรุงสุก และสะอาดไม่มีแมลงวันตอม
  • หากจะเก็บอาหารควรเก็บไว้ในตู้เย็น และต้องอุ่นให้ร้อนก่อนให้เด็กรับประทานทุกครั้ง
  • ผักสดหรือผลไม้ ควรล้างด้วยน้ำสะอาดก่อนให้เด็กรับประทาน
  • กำจัดขยะมูลฝอยเพื่อไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์แมลงวัน
  • ถ่ายอุจจาระลงในส้วมที่ถูกสุขลักษณะ
  • ผู้ดูแลเด็กควรล้างมือให้สะอาดก่อนปรุงอาหาร ก่อนรับประทานอาหารและหลังจากการใช้ห้องน้ำหรือเปลี่ยนผ้าอ้อมเด็ก
  • สอนเด็กให้รู้จักล้างมือบ่อยๆ โดยเฉพาะก่อนรับประทานอาหารและหลังใช้ห้องน้ำ
  • การให้วัคซีน ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันโรคท้องเสียจากเชื้อโรต้า ซึ่งสามารถช่วยลดความรุนแรงของโรคได้

ทารกถ่ายเหลว ถ่ายบ่อย ใช่อาการท้องเสียหรือไม่

ในบางครั้งการที่จะดูว่าลูกท้องเสียหรือไม่ อาจเป็นเรื่องที่พ่อแม่มือใหม่ตัดสินได้ลำบาก โดยเฉพาะเด็กนมแม่ จำนวนครั้งของการขับถ่ายไม่สามารถบ่งบอกได้แน่ชัดว่าลูกเกิดอาการท้องเสีย เพราะเด็กนมแม่นั้นมักจะถ่ายบ่อย ถ่ายเหลว ถ่ายทันทีหลังกินนมเป็นเรื่องปกติ ดังนั้นให้คุณพ่อคุณแม่สังเกตที่ลักษณะของอุจจาระประกอบด้วย เช่น ถ้าอุจจาระที่ลูกถ่ายมีกากออกมาด้วยในทุกครั้ง และลูกยังร่าเริงดี เล่นได้ กินนมได้ปกติ น้ำหนักขึ้นดี แม้จะถ่าย 10 ครั้งต่อวันก็ยังถือว่าปกติ แต่หากลักษณะอุจจาระเหลว เป็นน้ำ ไม่มีกากปนเลย หรือมีมูกเลือดปน ลักษณะแบบนี้เป็นอาการบ่งบอกว่าลูกท้องเสีย

เด็กนมแม่ ถ่ายเหลว เรื่องปกติ หรือท้องเสียกันนะ
เด็กนมแม่ ถ่ายเหลว เรื่องปกติ หรือท้องเสียกันนะ

เด็กนมแม่

สาเหตุที่เด็กกินนมแม่ จะมีอาการถ่ายเหลว ถ่ายบ่อย แต่ไม่มีอาการผิดปกติอื่นร่วมด้วย ยังไม่นับว่าเป็นอาการท้องเสียในเด็ก แต่อาจมีสาเหตุมาจาก นมแม่มีคุณสมบัติที่ย่อยง่าย  และสามารถดูดซึมสารอาหารได้เกือบหมด ทำให้อุจจาระของลูก มีกากน้อย และมีน้ำมาก โดยเฉพาะในน้ำนมส่วนหน้าของเต้า ที่มีน้ำ และน้ำตาลแลคโตสเป็นส่วนประกอบค่อนข้างมาก จึงสามารถผ่านลงลำไส้ได้รวดเร็ว ทำให้ลำไส้ย่อยและดูดซึมไม่ทัน เป็นผลให้เด็กถ่ายทันทีหลังกินนมแม่

หากคุณพ่อคุณแม่พบปัญหาลูกถ่ายเหลว ถ่ายบ่อยจากการกินนมแม่ แนะนำว่าพยายามให้ลูกดูดนมแม่ให้เกลี้ยงเต้า เพราะน้ำนมส่วนหลังมีไขมันสูง จะใช้เวลาย่อย และดูดซึมนานกว่าส่วนหน้า วิธีการนี้ก็จะสามารถทิ้งช่วงห่างการขับถ่ายออกไปได้ หรือบีบน้ำนมแม่ส่วนหน้าที่มีลักษณะใสทิ้งไปก่อนนำลูกเข้าเต้า ประมาณ 20-30 มิลลิลิตร หรือประมาณ 10-15 นาที เพื่อให้ลูกไม่อิ่มก่อนที่จะได้รับน้ำนมส่วนหลัง ก็จะช่วยในการลดอาการถ่ายบ่อย ถ่ายเหลวของเด็กนมแม่ไปได้บ้าง

เด็กกินนมผง

เด็กที่กินนมผง และมีอาการถ่ายเหลว ถ่ายบ่อย อาจเป็นไปได้ว่าลูกมีปัญหาในการย่อยสารอาหารในนมผง เนื่องจากระบบการย่อยอาหารของลูกยังพัฒนาได้ไม่สมบูรณ์ โดยเฉพาะเอนไซม์ในลำไส้ที่ใช้ย่อยโปรตีน และน้ำตาลแลคโตสยังทำงานไม่เต็มที่

เมื่อลูกกินนมสูตรปกติที่มีโปรตีนเป็นโมเลกุลใหญ่ และมีน้ำตาลแลคโตสเป็นส่วนผสม ลำไส้จะย่อยได้ไม่หมด สารอาหารบางส่วนจึงตกค้างในลำไส้จนเกิดเป็นแก๊ส ซึ่งเป็นสาเหตุให้เด็กปวดท้อง แน่นท้อง ท้องอืด ร้องกวน รวมทั้งอาการถ่ายทันทีหลังกินนม พ่อแม่สามารถปรึกษาคุณหมอเพื่อเลือกนมสูตรย่อยง่าย ที่มีโปรตีนที่ผ่านการย่อยบางส่วน และมีสัดส่วนของน้ำตาลแลคโตสต่ำกว่าปกติ ซึ่งสอดคล้องกับระบบการย่อยของลูกที่ยังพัฒนาไม่สมบูรณ์

เด็กกินนมผง ถ่ายเหลว สาเหตุจากอะไร
เด็กกินนมผง ถ่ายเหลว สาเหตุจากอะไร

อาการถ่ายบ่อย ถ่ายเหลว ส่งผลต่อพัฒนาการของลูก!!

อาการเหล่านี้ไม่ใช่อาการปกติ การถ่ายเหลวจะทำให้ลูกได้รับสารอาหารจากนมไม่เต็มที่ และส่งผลกระทบต่อสุขภาพกาย และพัฒนาการของลูกได้ การที่ลูกถ่ายบ่อยไป อาจทำให้ลูกก้นแดง เป็นแผล เกิดผื่นคล้าย ๆ ผื่นผ้าอ้อม รอบ ๆ ก้นและบริเวณขาหนีบ ซึ่งจะทำให้ลูกหงุดหงิด งอแง ร้องกวน ส่งผลต่อพัฒนาการด้านอารมณ์ และการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ รอบตัวก็ทำได้น้อยลงกว่าที่ควรจะเป็น

หากเกิดอาการดังกล่าวขึ้น แนะนำให้หมั่นเปลี่ยนผ้าอ้อม ทำความสะอาดหลังการขับถ่ายทุกครั้ง และเช็ดก้นของลูกให้แห้งอยู่เสมอ เพื่อลดความอับชื้นของผิวหนังบริเวณผ้าอ้อม รวมถึงทาครีมเพื่อช่วยปกป้องผิวของลูกจากการขับถ่ายที่บ่อย

ข้อมูลอ้างอิงจาก รพ.นครธน /www.pobpad.com/www.enfababy.com

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

ไวรัสมาร์บวร์ก มาแล้วตระกูลเดียวกับอีโบลาน่ากลัวแค่ไหน

ปากมดลูก สำคัญไฉนกับวัคซีนมะเร็งปากมดลูก 9สายพันธุ์

อัปเดต ป่วยโควิด สิทธิบัตรทอง 30 บาทรักษาที่ไหนได้บ้าง

โรคมือเท้าปาก อาการ เริ่มต้น เฝ้าระวังเชื้อใหม่แรงกว่าเดิม

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

พัฒนาการเด็ก

10 ไอเทมเสริม พัฒนาการเด็ก 1 ขวบขึ้นไป ให้ลูกรักฉลาด แข็งแรง สมวัย

Alternative Textaccount_circle
event
พัฒนาการเด็ก
พัฒนาการเด็ก

เมื่อลูกน้อยเติบโตขึ้นจากทารกเป็นเด็กน้อย คุณพ่อคุณแม่ที่คอยโอบอุ้มเลี้ยงดูมาอย่างดีก็คงปลื้มปริ่มใจนะคะ หลังจากเข้าสู่ช่วงวัย 1 ขวบขึ้นไป พัฒนาการของลูกน้อยจะเริ่มก้าวกระโดด และถือเป็นช่วงเวลาสำคัญที่คุณพ่อคุณแม่จะต้องปูพื้นฐานให้สำหรับการเผชิญโลกกว้าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสุขภาพ สติปัญญา การเข้าสังคมต่าง ๆ วันนี้กองบรรณาธิการ Amarin Baby & Kids ขอแนะนำ 10 ไอเทมช่วยเสริม พัฒนาการเด็ก ให้คุณพ่อคุณแม่ไปตามหาเพื่อมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกเติบโตได้อย่างสมวัยค่ะ

พัฒนาการเด็ก 1 ขวบ++ ต้องกระตุ้นเสริมด้วย 10 ไอเทมที่คัดสรรมาอย่างใส่ใจ มีรางวัล Amarin Baby & Kids Awards 2021 การันตีคุณภาพ และดีมีประโยชน์กับลูกน้อย

พัฒนาการเด็ก คอกกั้น BEBEPLAY

1. คอกกั้น BEBEPLAY

เมื่อลูกน้อยโตขึ้นพื้นที่สนุกของเขาก็กว้างขึ้นตามพัฒนาการ คอกกั้น รุ่นนี้บอกเลยว่าทั้งน่ารัก ฟังก์ชั่นเพียบ ปลอดภัยหายห่วง เพราะผลิตด้วยวัสดุ HDPE Food Grade และเม็ดสีที่คิดค้นด้วยนวัตกรรม Food Grade Pigment ซึ่งเป็นสีที่ใช้ในการผลิต ขวดนมและยางกัด ผ่านมาตรฐาน Food Contact เจ้าเดียวในไทย แผ่นคอกมีขนาดสูงถึง 62 ซม. ซึ่งเด็กเล็กใช้เกาะเดินได้ แต่ข้ามออกมาไม่ได้ มาพร้อมจุกสูญญากาศที่พื้นกันขยับ ดีไซน์น่ารักเป็นรูปหมี สีสันพาสเทล ส่วนด้านในมีบอร์ดกิจกรรมเสริมสร้าง พัฒนาการเด็ก ทั้งการฝึกยืน ฝึกเดิน และยังประกอบง่าย จะปรับทรง เพิ่มขนาด เสริมเครื่องเล่นเป็นเพลย์ยาร์ดเมื่อลูกโตขึ้นก็ได้ด้วย คอกกั้น bebeplay ได้รับการการันตีคุณภาพและประสิทธิภาพการใช้งานที่ดีและปลอดภัยสำหรับเด็ก จนได้รับรางวัล EDITOR’s CHOICE สาขา BEST SAFETY FENCE PLAYPEN จากการประกวด Amarin Baby & Kids Awards 2021

ข้อมูลเพิ่มเติม https://www.bebeshop.co/products/bebeplay-hugbear

นม UHT จิตรลดา

2. นม UHT จิตรลดา

เป็นแบรนด์สุดคลาสสิคที่เชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่ตอนเด็ก ๆ ก็คงเคยกินนมกล่องสีเหลืองนี้กัน นมยูเอชทีแบบนี้มาในรูปแบบกล่อง ทั้งเก็บง่าย กินง่าย เหมาะกับลูกน้อยกำลังโตตั้งแต่ 1 ขวบขึ้นไป หลังจากหย่านมแม่แล้ว เป็นนมสดแท้ 100% รสจืด ไม่เติมแต่งใด ๆ มีปริมาณแคลเซียมต่อกล่องมากถึง 30% ช่วยทั้งในเรื่องการเติบโต พัฒนาการด้านต่าง ๆ ไปจนถึงระบบขับถ่าย เก็บรักษาก็ง่ายเพียงเก็บให้พ้นแสงแดด จะแช่เย็นก่อนดื่มก็ชื่นใจ หรือจะอุ่นไว้ดื่มก่อนนอน ก็อิ่มท้อง หลับสบาย นม UHT จิตรลดา เป็นอีกหนึ่งไอเทมเสริม พัฒนาการเด็ก ที่เป็นนมโคแท้ไม่มีส่วนผสมของน้ำตาล จากโครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา มีหลายรูปแบบทั้งนมชนิดกล่อง นมบรรจุถุง นมโรงเรียน และนมยู.เอช.ที. ผสมฟลูออไรด์ชนิดบรรจุกล่อง และได้รับการการันตีคุณภาพจากทีมบรรณาธิการ Amarin Baby & Kids  ให้ได้รับรางวัล EDITOR’s CHOICE สาขา UHT MILK AWARD จากการประกวด Amarin Baby & Kids Awards 2021

ข้อมูลเพิ่มเติม https://www.naiin.com/product/detail/510132

ขนมสำหรับเด็ก Dozo Baby Bite

3. ขนมสำหรับเด็ก Dozo Baby Bite

เด็กน้อยกับขนมกลายเป็นของคู่กันไปแล้ว แต่จะกินยังไงให้ได้ประโยชน์ด้วย คุณพ่อคุณแม่ต้องเลือกให้ดีนะคะ อย่างโดโซะ เป็นขนมที่ทำจากข้าวญี่ปุ่นพันธุ์ดี ผ่านการอบ ไม่ทอด จึงดีต่อสุขภาพลูกน้อย เหมาะสำหรับเด็กวัยตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 3 ปี ชิ้นพอดีมือเด็ก เคี้ยวง่าย ช่วยเสริม พัฒนาการเด็ก ในการเคี้ยวอาหารและหยิบจับของลูกน้อย ช่วยให้เค้าไม่เบื่ออาหาร ส่วนรสชาติมีให้เลือกทั้งรสดั้งเดิม รสผัก รสแครอต และรสกล้วย นอกจากนี้ยังได้รับเครื่องหมายฮาลาล เรียกว่าเป็นขนมอร่อยกินง่าย เหมาะกับเด็กน้อยวัยกำลังฟันขึ้นเลย DOZO เบบี้ไบท์ข้าวหอมญี่ปุ่นอบกรอบ เมนูฟิงเกอร์ฟู้ดสำหรับวัยหัดกินอายุ 6 เดือนขึ้นไป ผลิตจากส่วนผสมออร์แกนิคทั้งข้าวญี่ปุ่น แครอท ซึ่งผ่านการรับรองมาตรฐานจาก USDA ORGANIC ตรารับรองอาหาร และผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคของสหรัฐอเมริกา ไม่มีส่วนผสมของกลูเตน ถั่วเปลือกแข็งและนม ไม่เจือสีและกลิ่นสังเคราะห์ ไร้วัตถุกันเสีย ที่ก่อให้เกิดการแพ้อาหาร ขนมเด็กที่มีประโยชน์กับลูกน้อยวัยกำลังหัดกินแบบนี้ มีรางวัลการันตีจากการประกวด Amarin Baby & Kids Awards 2021 จนได้รับรางวัล 100 % ORGANIC สาขา BEST BABY FOOD AND SNACKS มาด้วยนะคะ

ข้อมูลเพิ่มเติม https://www.tops.co.th/th/dozo-baby-bite-japanese-rice-cracker-carrot-24pcs-50g-8851004813538

พัฒนาการเด็ก

4. แหล่งเรียนรู้นอกบ้าน Sea Life Bangkok

เมื่อลูกน้อยเติบโต แหล่งท่องเที่ยวที่พาลูกไปก็ควรจะเป็นที่ที่มีความรู้และเสริมสร้างประสบการณ์เพื่อพัฒนาการของเค้าด้วยนะคะ อย่างอควาเรียมที่ Sea Life Bangkok เป็นแหล่งท่องเที่ยวเรียนรู้โลกใต้น้ำที่อยู่ใจกลางเมืองเลย ไปมาสะดวกมาก ภายในมีไฮไลท์เยอะมาก ไม่ว่าจะเป็น นั่งเรือท้องกระจกชมปลาในแท๊งค์ ได้เห็นสัตว์น้ำตัวเป็น ๆ แบบไม่มีอะไรกั้น อาณาจักรม้าน้ำ หอยเม่น และสัตว์แปลก ๆ หลายสายพันธุ์ สัตว์ในป่าเขตร้อน ป่าโกงกาง ทดลองสัมผัสดาวทะเล ปลิงทะเล ลอดอุโมงค์ใต้น้ำที่ยาวที่สุดในไทย ชมฉลามหลายสายพันธุ์และปลากระเบน ยืนชมแท้งค์น้ำขนาดใหญ่ มองปลาว่ายไปมาพร้อมโชว์ให้อาหาร รับรองว่ามาแล้วลูก ๆ จะได้ความรู้เต็มอิ่มกลับไปอย่างแน่นอน SEALIFE BAGKOK โลกใต้ทะเลใจกลางกรุงเทพฯ คือแหล่งเรียนรู้นอกบ้านที่มีประโยชน์กับเด็กและทุกคนในครอบครัว ได้รับรางวัลEDITOR’s CHOICE สาขา BEST KIDS OUTDOOR-LEARNING CENTER จากการประกวด Amarin Baby & Kids Awards 2021

ข้อมูลเพิ่มเติม https://www.visitsealife.com/bangkok/

ผลิตภัณฑ์โลชั่นกันยุง White Papel

5. ผลิตภัณฑ์โลชั่นกันยุง White Papel

ผลิตภัณฑ์กันยุงเป็นไอเทมที่คุณพ่อคุณแม่ต้องพกติดตัวเพื่อปกป้องลูกน้อยเสมอนะคะ ซึ่งผลิตภัณฑ์กันยุง White Papel เป็นโลชั่นกันยุงออร์แกนิค คิดค้นเพื่อลูกน้อยโดยเฉพาะด้วยสูตรปกป้องผิวจากยุงและแมลงรบกวน จากประสิทธิภาพของดอกลาเวนเดอร์ และตะไคร้หอม ผสมผสานคุณค่าของสารสกัดออร์แกนิก เช่น Shea Butter น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น และว่านหางจระเข้ ที่อุดมไปด้วยวิตามินและกรดไขมันที่จำเป็นต่อผิว จึงช่วยถนอมผิวลูกน้อย เนื้อครีมไม่เหนียวเหนอะหนะ และยังปราศจากสาร DEET และสารที่เป็นอันตราย จนยังได้รับการรับรองมาตรฐานออร์แกนิคจาก USDA Organic สหรัฐอเมริกา เพื่อให้ลูกน้อยสนุกกับทุกกิจกรรมเสริม พัฒนาการเด็ก ที่ไม่ว่าจะอยู่ในบ้านหรือนอกบ้านก็ปอลดภัยจากยุงงร้าย โลชั่นกันยุง White Papel เป็นผลิตภัณฑ์กันยุงที่ใช้ดีและปลอดภัย ได้รับรางวัล NATURAL & ORGANIC สาขา BEST MOSQUITO SOLUTION FOR KIDS จากการประกวด Amarin Baby & Kids Awards 2021

ข้อมูลเพิ่มเติม https://www.whitepapel.com/%e0%b8%aa%e0%b8%b4%e0%b8%99%e0%b8%84%e0%b9%89%e0%b8%b2/

วิตามินเสริมภูมิคุ้มกันสำหรับเด็ก MUNO

6. วิตามินเสริมภูมิคุ้มกันสำหรับเด็ก MUNO

การกินอาหารที่มีวิตามินจึงสิ่งจำเป็น คุณแม่สามารถเสริมวิตามินให้ลูกได้ด้วยผลิตภัณฑ์เสริมโภชนาการแบรนด์ MUNO ในรูปแบบของวิตามินผงซึ่งคงคุณค่าของวิตามินต่างๆ ได้ยาวนานกว่า เป็นตัวเลือกในการเพิ่มภูมิคุ้มกันให้ลูกแข็งแรงได้ทุกวัน MUNO Powder คิดค้นโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เป็นวิตามินเพิ่มภูมิคุ้มกันสำหรับเด็กประกอบด้วย 9 วิตามินที่มีวิจัยรองรับว่าช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน เหมาะสำหรับเด็กที่ป่วยบ่อย ป่วยง่าย หรือกำลังไม่สบาย วิตามินเสริมภูมิคุ้มกัน MUNO RISING STAR สาขา KIDS DIETARY SUPPLEMENT AWARD จากการประกวด Amarin Baby & Kids Awards 2021

ข้อมูลเพิ่มเติม https://www.pharmashop4u.com/product/12749/muno-powder-kids-28g-วิตามินเพิ่มภูมิคุ้มกันสำหรับเด็ก-sambucus-bio-matrix-elderberry-extract

แปรงสีฟันและยาสีฟันเด็ก JORDAN

7. แปรงสีฟันและยาสีฟันเด็ก JORDAN

อีกหนึ่ง พัฒนาการเด็ก ที่สำคัญของลูกน้อยก็คือการฝึกให้เขาใส่ใจดูแลสุขภาพปากและฟัน โดยเฉพาะตั้งแต่ฟันซี่แรก แปรงสีฟันและยาสีฟันเด็กแบรนด์ JORDAN ตอบโจทย์มาก เพราะออกแบบให้เลือกใช้ได้ตั้งแต่วัยเบบี๋ฟันขึ้นซี่แรก จนถึงเด็กโตที่ต้องดูแลฟันด้วยตัวเอง ด้ามจับออกแบบให้เหมาะกับขนาดมือของเด็ก ซึ่งจะช่วยส่งเสริมพัฒนาการในเรื่องของกล้ามเนื้อมือได้ดี สำหรับยาสีฟัน Jordan มีให้เลือกกันตั้งแต่ 2 ช่วงวัย คือช่วงอายุ 1-5 ขวบ มีปริมาณฟูลออไรด์ 500 ppm และ 6-12 ขวบ มีปริมาณฟูลออไรด์ 1,000 ppm ส่วนผสมของยาสีฟันปราศจากน้ำตาลและสารโซเดียม ลอริล ซัลเฟต (0% SLS) มีรสสัมผัสและกลิ่นที่เด็กชอบ ทั้งแปรงสีฟันและยาสีฟัน Jordan ใช้ดีมีคุณภาพแบบนี้ ทางทีมบรรณาธิการ Amarin Baby & Kids จึงได้คัดเลือกให้รับรางวัล EDITOR’s CHOICE สาขา BEST ORAL CARE PRODUCT FOR KIDS จากการประกวด Amarin Baby & Kids Awards 2021

ข้อมูลเพิ่มเติม https://www.facebook.com/jordanthailand/

พัฒนาการเด็ก โปสเตอร์พูดได้ MIS Book

8. โปสเตอร์พูดได้ MIS Book

สำหรับเด็กน้อยที่กำลังฝึกพูดอ่านเขียน โปสเตอร์แผ่นใหญ่แบบนี้ก็น่าสนุกไม่แพ้กันนะคะ ที่สำคัญนี่คือ โปสเตอร์พูดได้ มีทั้งเสียงพยัญชนะ สระ และสัตว์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นอักษรไทย กขค อังกฤษ ABC และสวนสัตว์หรรษา เมื่อกดแล้วก็จะได้ยินเสียงให้ออกเสียงตาม โปสเตอร์สัตว์นอกจากได้คำศัพท์ก็ยังมีเสียงสัตว์ให้ร้องเล่นตามด้วย ฝึกทักษะการฟังแล้ว ในชุดยังมีสมุดหัดอ่าน สมุดหัดคัด รวมทั้งแบบฝึกหัดสนุก ๆ ให้ทำตามด้วย ส่วนวัสดุทำจากพลาสติกเกรดพรีเมี่ยม ทนทาน ภาพการ์ตูนน่ารัก ตัวอักษรใหญ่ชัดเจน มีปุ่มเพิ่มลดเสียง และยังมีเสียงเพลงให้เด็ก ๆ กดเลือกฟังด้วย คุณพ่อคุณแม่ที่อยากได้หนังสือสำหรับช่วยกระตุ้น พัฒนาการเด็ก ให้กับลูกน้อย โปสเตอร์พูดได้ MIS Book เป็นหนึ่งในไอเทมที่ต้องมีให้ลูกนะคะ

ข้อมูลเพิ่มเติม http://misbook.lnwshop.com/product/3925/misbook-โปสเตอร์พูดได้-กดแล้วมีเสียง-กขค-abc-animals-poster-โปสเตอร์เด็ก-โปสเตอร์ปุ่มกด-จิ้มแล้วมีเส

พัฒนาการเด็ก จักรยานขาไถ Cruzee

9. จักรยานขาไถ Cruzee

เสริม พัฒนาการเด็ก ด้วยกิจกรรมสนุก ๆ ดีกว่า อย่างจักรยานขาไถ ที่จะช่วยฝึกให้ลูกน้อยรู้จักการทรงตัวเพื่อขยับไปสู่การปั่นจักรยาน 2 ล้อค่ะ จักรยานแบบนี้เหมาะกับลูกน้อยวัยตั้งแต่ 18 เดือนถึง 5 ขวบ ซื้อครั้งเดียวปรับขนาดตามตัวลูกได้ยาว ๆ เลย และยังปรับได้ง่ายไม่ต้องพึ่งอุปกรณ์ใด ๆ ล้อเป็นโพลิเมอร์ตัน ไม่ต้องกังวลเรื่องลมยาง ไปได้หมดทุกสภาพถนน วัสดุก็ทนทานเพราะผลิตจากอลูมินัมอัลลอยเกรดพรีเมี่ยม ที่ใช้ในอุตสาหกรรมการบิน เก็บขอบมน ลดโอกาสบาดเจ็บ ที่สำคัญคือเบาด้วยน้ำหนักเพียง 1.9 กก. ลูกน้อยจะได้จับถนัด เล่นสนุกได้แบบไร้กังวล

ข้อมูลเพิ่มเติม https://www.cruzeethailand.com/product.html

จิ๊กซอว์สำหรับเด็ก Mideer My First Puzzle

10. จิ๊กซอว์สำหรับเด็ก Mideer My First Puzzle

ของเล่นที่จะช่วยเสริม พัฒนาการเด็ก ให้เขาได้เรียนรู้ไปอีกระดับกับตัวต่อแบบต่าง ๆ ซึ่งรุ่นนี้เหมาะสำหรับเด็กเล็กตั้งแต่ 2 ขวบขึ้นไปค่ะ ชิ้นใหญ่ จับถนัดมือ สีสันสวยงาม เป็นตัวต่อน่ารักน่าเล่นที่จะช่วยเสริมสร้างปัญญาด้านมิติสัมพันธ์ (Visual-Spatial Intelligence) เสริมความสามารถในการรับรู้ทางสายตาได้ดี สามารถมองเห็นพื้นที่ รูปทรง ระยะทาง และตำแหน่ง อย่างสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน ช่วยให้สามารถถ่ายทอดแสดงออกอย่างกลมกลืน และยังไวต่อการรับรู้ในเรื่องทิศทาง มีให้เลือก 3 แบบ คือ รูปสัตว์ รูปรถ และรูปแม่ลูก

ข้อมูลเพิ่มเติม https://www.mideerthailand.com/product/95/mideer-มิเดียร์-my-first-puzzle-จิ๊กซอว์สำหรับเด็กเล็ก-2-md0077md0078md3012  

 

อยากให้ลูกมีพัฒนาการดีสมวัย คุณพ่อคุณแม่ก็ต้องกระตุ้นเสริมพัฒนาการให้ลูกตั้งแต่วัยเริ่ม 1 ขวบ เพื่อที่ลูกจะได้มีพื้นฐานไปสู่อนาคตทีมั่นคง เติบโตได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ที่สำคัญอย่าลืมหาซื้อไอเทมทั้ง 10 ชิ้นนี้มาใช้กับลูกนะคะ

เด็กทารก

เด็กทารก พัฒนาการแต่ละช่วงวัย จากแรกเกิด – อายุ 1 ปี

Alternative Textaccount_circle
event
เด็กทารก
เด็กทารก

เด็กทารก จากแรกคลอดถึงอายุ 1 ปี มีความเจริญเติบโต และพัฒนาการอย่างรวดเร็ว ทารกแต่ละคนจะมีการพัฒนาที่แตกต่างกันไป บางคนอาจช้าหรือเร็วในแต่ละด้านไม่เท่ากัน

เด็กทารก พัฒนาการแต่ละช่วงวัย จากแรกเกิด – อายุ 1 ปี

พัฒนาการเด็กแรกเกิด 0-12 เดือน จะเป็นการเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆของ เด็กทารก ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงเริ่มเดินได้ ทารกจะมีพัฒนาการใหม่ๆทุกเดือน ทั้งนี้พัฒนาการด้านต่างๆของทารกแบ่งออกเป็น 3 ด้าน ได้แก่ พัฒนาการทางร่างกาย พัฒนาการทางสติปัญญาและภาษา และพัฒนาการด้านสังคม ซึ่งทีมกองบรรณาธิการ ABK ได้รวบรวมข้อมูล พัฒนาการด้านต่างๆของทารก มาให้คุณพ่อคุณแม่ในวันนี้แล้วค่ะ

เด็กทารก พัฒนาการจากแรกเกิด - 1 ปี
เด็กทารก พัฒนาการจากแรกเกิด – 1 ปี

เด็กทารก พัฒนาการแต่ละช่วงวัย จากแรกเกิด – อายุ 1 ปี

พัฒนาการทารกในแต่ละช่วงวัย

พัฒนาการแต่ละวัย ทารกแต่ละคนจะมีพัฒนาการทางร่างกาย สติปัญญาและภาษา และด้านสังคม แตกต่างกันไปตามช่วงวัย อย่างไรก็ดี พัฒนาการทารกในช่วงตั้งแต่แรกคลอดถึงอายุ  1 ปี มักเกิดความเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ ดังนี้

ช่วงวัย 1-3 เดือน

พัฒนาการทารกเริ่มตั้งแต่แรกคลอดจนถึงอายุ 3 เดือน ถือเป็นช่วงที่ร่างกายและสมองของทารกเริ่มเรียนรู้การใช้ชีวิตอยู่กับโลกภายนอก ทารกจะเปลี่ยนแปลงทางพัฒนาการในด้านต่าง ๆ ดังนี้

  • พัฒนาการทางร่างกาย
    • เมื่ออายุครบ 1-2 เดือน เด็กจะมีพัฒนาการด้านการเคลื่อนไหวร่างกายได้บางส่วน ซึ่งเริ่มจากกล้ามเนื้อคอ เด็กจะเริ่มหันศีรษะจากด้านหนึ่งไปยังอีกด้าน หรือชันคอขึ้นเมื่อนอนคว่ำท้องแนบพื้น โดยท่านอนคว่ำที่ใช้ท้องพยุงช่วยนี้แสดงให้เห็นว่าเด็กเริ่มมีพัฒนาการด้านการเคลื่อนไหวร่างกายที่ปกติตามวัย เมื่ออายุครบ 2-3 เดือน เด็กจะชันคอเองได้นานขึ้น โดยตั้งศีรษะหรือคอค้างไว้สักพักหนึ่ง
    • กำและแบมือ
    • สัมผัสและจับสิ่งของได้ โดยอาจหยิบฉวยมาถือไว้แน่น
  • พัฒนาการทางสติปัญญาและภาษา
    • จ้องหน้า สบตาและสังเกตใบหน้ามารดาขณะที่ให้นม รวมทั้งสังเกตความซับซ้อนของลักษณะสิ่งของ เช่น สี ขนาด รูปร่าง ทั้งนี้ ทารกจะชอบมองมือหรือเท้าตัวเองและเริ่มเล่นนิ้วมือ
    • เมื่ออายุครบ 2 เดือน เด็กจะเล่นนิ้วตัวเอง และมองตามสิ่งของที่เคลื่อนจากด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่ง และเมื่ออายุครบ 3 เดือน เด็กจะมองสิ่งต่าง ๆ ที่เคลื่อนไหวไปมารอบตัว
    • มีปฏิกิริยาต่อเสียงที่ได้ยิน โดยอาจนิ่งฟังหรือยิ้มตอบ ซึ่งมักเกิดขึ้นภายใน 2-3 สัปดาห์
    • เมื่ออายุครบ 3 เดือน จะสนใจรูปร่างหรือเสียงที่ดึงดูดความสนใจ รวมทั้งหันมองตามเสียงนั้น
    • หัดพูดอ้อแอ้
  • พัฒนาการด้านสังคม
    • เมื่อพ่อแม่คุยหรือเล่นด้วย ทารกอาจยิ้มตอบ หรือพูดอ้อแอ้และเป่าน้ำลายเป็นฟอง
    • เลียนแบบสีหน้าของพ่อแม่ รวมทั้งโผเข้าหาพ่อแม่หรือผู้เลี้ยงเมื่อต้องการความปลอดภัย ความรัก และการปลอบโยน

ช่วงวัย 4-6 เดือน

ทารกในช่วงวัยนี้จะเริ่มรับรู้สิ่งต่าง ๆ รอบตัว เด็กจะเรียนรู้และต้องการจัดการทุกสิ่งด้วยตัวเอง โดยพัฒนาการทารกช่วงวัย 4-6 เดือน เกิดความเปลี่ยนแปลงด้านต่าง ๆ ดังนี้

  • พัฒนาการทางร่างกาย
    • ขยับแขนขาแรงขึ้น
    • ยกศีรษะขึ้นเองได้เมื่อต้องนอนคว่ำหน้า
    • ใช้แขนยันตัวเองขึ้นมาได้เมื่อต้องนอนคว่ำหน้า
    • เมื่ออายุครบ 4 เดือน เด็กจะเริ่มพลิกคว่ำพลิกหงาย โดยกลิ้งตัวจากหน้ามาหลัง และกลิ้งกลับจากหลังไปหน้าได้ โดยมักกลิ้งจากหน้าไปหลังได้ก่อน
    • เอื้อมมือจับของและนำมาถือไว้ในท่านอนหงายได้ รวมทั้งเริ่มหยิบของเข้าปากตัวเอง
    • เรียนรู้การส่งของจากมือข้างหนึ่งไปยังอีกมือข้างหนึ่ง รวมทั้งใช้มือคุ้ยของชิ้นเล็ก ๆ
    • เมื่ออายุครบ 6 เดือน นั่งได้เองโดยไม่ล้ม โดยจะใช้มือช่วยพยุงตัวเองชั่วครู่ในช่วงแรก และต่อมาจะนั่งได้เองนานถึง 30 วินาที และมากขึ้นเรื่อย ๆ
  • พัฒนาการทางสติปัญญาและภาษา
    • แยกความแตกต่างของใบหน้าคนแปลกหน้าและคนที่รู้จักได้
    • เริ่มให้ความสนใจกับของเล่น สังเกตนิ้วมือและเท้าของตัวเอง รวมทั้งมองเงาสะท้อนของตัวเอง
    • หัวเราะออกมาเสียงดัง และยังพูดอ้อแอ้
    • เลียนแบบการแสดงสีหน้าและเสียงของพ่อแม่ ทั้งนี้ ทารกอาจพูดอ้อแอ้และหยุดเว้นช่วง เพื่อรอให้คนที่ตัวเองสื่อสารด้วยโต้ตอบกลับมา
  • พัฒนาการด้านสังคม
    • รู้สึกสนุกเมื่อได้เล่น และจะร้องไห้เมื่อหยุดเล่น
    • เลียนแบบการเล่นทำเสียงได้
    • มักโผเข้าหาแม่หรือพ่อ และจะร้องไห้ทุกครั้งเมื่อไม่เห็นพ่อแม่หรือผู้เลี้ยงอยู่ใกล้ ๆ
    • จดจำใบหน้าพ่อแม่หรือคนใกล้ชิดได้ รวมทั้งรู้จักชื่อของตัวเอง
ใช้แขนยันตัวเองขึ้นมาได้
ใช้แขนยันตัวเองขึ้นมาได้

ช่วงวัย 7-9 เดือน

ทารกในช่วงวัยนี้จะมีพัฒนาการด้านต่าง ๆ ที่มากขึ้น เมื่อเริ่มเคลื่อนไหวและกลิ้งตัวได้มากขึ้น ทารกจะคิดหาวิธีเคลื่อนไหวไปข้างหน้าหรือข้างหลัง โดยจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทาง พัฒนาการ ดังนี้

  • พัฒนาการทางร่างกาย
    • เคลื่อนไหวไปมามากขึ้น โดยเริ่มจากหัดคลาน และไถก้นไปกับพื้น ทั้งนี้ เด็กอาจหัดคลานโดยใช้แขนและขาช่วยนอกเหนือไปจากการคลานด้วยมือหรือเข่า อย่างไรก็ตาม ทารกบางคนอาจไม่คลานเลย แต่จะหัดเคลื่อนไหวจากการไถก้นไปกับพื้นไปจนถึงเริ่มเดินได้
    • นั่งได้เองโดยไม่ล้ม
    • หมุนกลิ้งได้ทั้งจากหน้าไปหลัง หรือจากหลังมาหน้า รวมทั้งกลิ้งตัวขณะที่หลับอยู่
    • ดึงตัวเองให้ลุกขึ้นมายืนได้
    • มักปีนป่ายเก้าอี้หรือโต๊ะ
    • เรียนรู้การใช้นิ้วมือ รู้จักหยิบของด้วยนิ้วสองนิ้ว รวมทั้งเริ่มปรบมือเป็น
    • ปีนป่ายและคลานได้
  • พัฒนาการทางสติปัญญาและภาษา
    • มีปฏิกิริยาต่อถ้อยคำที่คุ้นเคย โดยเด็กอาจหยุดหรือจ้องหน้าแม่ หากได้ยินคำว่า     “ไม่” รวมทั้งหันมองเมื่อได้ยินคนเรียกชื่อตัวเอง
    • แยกอารมณ์ความรู้สึกได้จากการฟังน้ำเสียง
    • เริ่มเปล่งเสียงพูดคำว่า “พ่อ” หรือ “แม่” ได้
    • รู้จักเรียนรู้การใช้สิ่งของต่าง ๆ
  • พัฒนาการด้านสังคม
    • เล่นเกมที่ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น เช่น เล่นจ๊ะเอ๋
    • กังวลเมื่อต้องอยู่กับคนแปลกหน้า เด็กจะไม่อยากอยู่กับคนอื่นนอกจากแม่ หรือจะหาทางหนีไปที่อื่นหากรู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจเมื่อพ่อแม่ไม่อยู่ใกล้ ๆ
    • มีปฏิกิริยาต่ออารมณ์ความรู้สึกที่พ่อแม่แสดงออกมา

ช่วงวัย 10-12 เดือน

ช่วงสุดท้ายของพัฒนาการทารกในช่วง 1 ปีแรกนี้ นับเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของทารก เนื่องจากทารกอายุ 10-12 เดือน กำลังจะก้าวเข้าสู่การเป็นเด็กเล็กหัดเดินได้ ทารกจะมีพัฒนาการด้านต่าง ๆ ดังนี้

  • พัฒนาการทางร่างกาย
    • เกาะราวและลุกขึ้นยืนได้เอง และอาจเดินก้าวแรกได้ด้วย โดยเด็กจะก้าวได้เองเมื่ออายุครบ 12 เดือน
    • เริ่มเดินเตาะแตะเพื่อสำรวจพื้นที่ต่าง ๆ ไปทั่วบ้าน
    • ปีนป่ายตามเก้าอี้หรือโต๊ะ ซึ่งช่วยกระตุ้นการเดินของเด็ก
    • วางของเล่นเรียงซ้อนกัน
    • เปิดหนังสือไปหน้าอื่นขณะที่พ่อแม่กำลังอ่านอยู่
    • มักช่วยพ่อแม่แต่งตัวให้ตัวเอง
    • เริ่มหยิบอาหารกินเอง
  • พัฒนาการทางสติปัญญาและภาษา
    • ส่งเสียงอ้อแอ้และพูดคำง่าย ๆ ได้ เช่น คำว่า “หม่ำ ๆ”  “มามา” “ปาปา” หรือ “ดาดา” ได้
    • มักพูดคำที่พูดได้บ่อยอยู่ 2-3 คำ ซึ่งมักเป็นคำว่า “หม่ำ ๆ” “มามา” และ “ปาปา”
    • เลียนแบบการกระทำของผู้ใหญ่ เช่น หวีผมตัวเอง กดรีโมตเล่น หรือทำเป็นคุยโทรศัพท์ เป็นต้น
    • ชี้ไปที่สิ่งของที่อยากได้เพื่อให้พ่อแม่สนใจ
    • เข้าใจประโยคบางประโยคที่คนใกล้ชิดสื่อสารออกมา รวมทั้งทำตามคำสั่งง่าย ๆ ได้
    • เปล่งเสียงอุทานออกมาได้
    • โบกไม้โบกมือ หรือชี้นิ้วไปยังสิ่งของที่อยู่เกินเอื้อม
  • พัฒนาการด้านสังคม
    • รู้จักแสดงความรู้สึกว่าชอบหรือไม่ชอบกินอะไร เช่น ทิ้งช้อนไม่กินข้าวต่อ หรือเลื่อนจานอาหารที่ไม่ชอบออกไป
    • ชอบเล่นเลียนแบบผู้ใหญ่ เช่น เลียนแบบการคุยโทรศัพท์
    • รู้ความสัมพันธ์ระหว่างสาเหตุและผลลัพธ์ เช่น เด็กจะรู้ได้ว่าหากร้องไห้ แม่จะมาหา

วิธีดูแลความปลอดภัยของทารก

พ่อแม่หรือผู้เลี้ยงช่วยเสริมสร้างพัฒนาการทารก และดูแลทารกให้ปลอดภัยได้ โดยวิธีดูแลทารกให้ปลอดภัยทำได้ ดังนี้

  • ไม่เขย่าตัวทารก เนื่องจากอาจเป็นอันตรายต่อสมองหรือเป็นอันตรายถึงชีวิต
  • ควรให้เด็กนอนหลับในท่านอนหงาย เพื่อป้องกันภาวะเสียชีวิตเฉียบพลันในเด็กทารก (Sudden Infant Death Syndrome: SIDS)
  • ไม่ควรให้เด็กได้รับอันตรายจากควันบุหรี่จากคนที่สูบบุหรี่
  • ควรให้เด็กนั่งเบาะหลังโดยใช้ที่นั่งสำหรับเด็กทารกโดยเฉพาะเมื่อต้องโดยสารรถยนต์
  • ควรตัดอาหารเป็นชิ้นเล็ก ๆ และเลี่ยงให้เด็กกินผลไม้ที่มีเมล็ดหรือถั่วต่าง ๆ เพื่อป้องกันไอาหารติดคอ รวมทั้งไม่ให้เด็กเล่นของเล่นที่มีชิ้นส่วนเล็ก ๆ เพื่อป้องกันเด็กเอาเข้าปากและกลืนลงคอ
  • ไม่ถือของร้อนเข้าใกล้เด็ก
  • ควรพาเด็กไปรับวัคซีนป้องกันโรคให้ครบอย่างสม่ำเสมอ

เมื่อคุณพ่อคุณแม่ได้ทราบถึงพัฒนาการของ เด็กทารก จากแรกเกิดถึง 1 ปี ที่ทีมกองบรรณาธิการ ABK นำมาฝากในวันนี้แล้ว จะเห็นได้ว่า พัฒนาการแต่ละวัย ของลูกเป็นช่วงเวลาสำคัญที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรพลาดนะคะ

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

อาการหลับไม่ตื่นในทารก SIDSอายุ 1 เดือน-1 ปี เสี่ยงมาก

ตารางนอน “ทารก” นอนกี่ชั่วโมงถึงเพียงพอต่อการเติบโต?

เด็กแรกเกิด ควรดูแลอย่างไร ลักษณะแบบไหนถือว่าปกติ

ปู่ย่าให้ ทารก 6 เดือน กินน้ำ หลังกินนมจะเป็นอะไรไหม?

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.pobpad.com

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

Amarin Baby & Kids

ถุงเก็บนมแม่ Cleanimom ลายท่องเที่ยว

รีวิว..ใหม่! ถุงเก็บนมแม่ Cleanimom ลายท่องเที่ยว จบปัญหานมสต็อกเหม็นหืน

Alternative Textaccount_circle
event
ถุงเก็บนมแม่ Cleanimom ลายท่องเที่ยว
ถุงเก็บนมแม่ Cleanimom ลายท่องเที่ยว

จะดีกว่าไหม ถ้าน้ำนมแม่ที่ปั๊มออกมาสามารถเก็บไว้ให้ลูกกินได้นาน โดยที่ไม่มีกลิ่นเหม็นหืน กองบรรณาธิการ Amarin Baby & Kids เรามีเคล็ดลับง๊าย ง่าย เพียงแค่ใช้ถุงเก็บนมแม่ที่ได้คุณภาพ ปัญหานมมีกลิ่นเหม็นหืนก็จะหมดไปค่ะ วันนี้จึงขอแนะนำ “ ถุงเก็บนมแม่ Cleanimom ” ถุงเก็บนมแม่คุณภาพเยี่ยมที่มาพร้อมกับลวดลายท่องเที่ยวน่ารัก

กลิ่นหืน..ในน้ำนมแม่ เกิดจากอะไร ?

1. น้ำนมแม่จะมีเอนไซม์ไลเปส (Lipase) ซึ่งในร่างกายของผู้หญิงแต่ละคนจะมีไลเปสมากน้อยแตกต่างกันไป หน้าที่ของไลเปส คือทำให้ไขมันในนมแม่แตกตัวเป็นอนุภาคเล็ก ๆ เพื่อให้ผสมเข้ากับโปรตีนเวย์ ซึ่งไขมันในนมแม่สามารถเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นได้ขณะเก็บอยู่ในฟรีซ ไขมันมีการเปลี่ยนแปลงที่อาจมาจากอุณหภูมิในตู้เย็น หรืออากาศที่อยู่ในถุงเก็บนมแม่ ทำให้นมแม่มีกลิ่นหืนขึ้นได้

2. นมแม่ที่เก็บฟรีซในตู้เย็นที่มีระบบทำละลายอัตโนมัติ นมแม่ที่ละลายแล้วกลับมาเย็นแข็งตัวใหม่ จะทำให้ไขมันในนมแม่มีการเปลี่ยนแปลงจนเกิดกลิ่นเหม็นหืนของน้ำนมแม่ขึ้นได้เช่นกัน

วิธีป้องกันไม่ให้ นมแม่เหม็นหืน

1. ตรวจเครื่องปั๊มน้ำนมว่าสะอาดหรือไม่ ต้องนึ่งฆ่าเชื้อโรคทุกวัน ภาชนะที่เก็บน้ำนมต้องสะอาด ปลอดเชื้อ

2. นำน้ำนมที่ปั๊มเก็บสต็อกแช่แข็งให้เร็วที่สุด ถ้าน้ำนมละลายแล้ว ไม่แช่ซ้ำ ต้องใช้ภายใน 24 ชั่วโมง

3. ไม่ควรจัดเรียงนมแม่ให้ชิดผนังของช่องแข็งที่มีระบบละลายน้ำแข็งอัตโนมัติ

4. อย่าเก็บน้ำนมรวมกับอาหารอย่างอื่น ควรปิดอาหารอื่น ๆ ให้มิดชิด เพราะกลิ่นอาหารอาจจะมารวมกันได้

5. ควรรีดอากาศออกไปจากถุงเก็บนมแม่ก่อนปิดปาก ให้เหลือฟองอากาศประมาณปลายนิ้วก้อย เผื่อน้ำนมขยายตอนแข็งตัว

หมดปัญหานมแม่มีกลิ่นหืน ถุงเก็บนมแม่ Cleanimom ช่วยได้  

ฮอตฮิตไม่ไหว คุณแม่สมัยใหม่ใคร ๆ ก็ใช้ ถุงเก็บนมแม่ Cleanimom ขอบอกว่าเป็นถุงเก็บนมแม่ที่คุณภาพดีจริง ๆ นะคะ สำหรับถุงเก็บนมแม่คลีนนิมัม ซึ่งคุณแม่มั่นใจได้ในเรื่องคุณภาพค่ะ ที่สำคัญไม่พูดถึงไม่ได้เลย กับรางวัล EDITOR’s CHOICE: BEST BREAST MILK STORAGE BAGS ที่ได้รับการการันตีคุณภาพจากงานประกวด Amarin Baby & Kids Award 2021

ถุงเก็บนมแม่ Cleanimom ลายท่องเที่ยว

ถุงเก็บนมแม่ Cleanimom ลายท่องเที่ยว ทำจากส่วนผสมฟู้ดเกรด BPA Free ปลอดภัยจากสารก่อมะเร็ง ผ่านการฆ่าเชื้อด้วยรังสีแกมม่า เพื่อให้มั่นใจว่าสะอาดปลอดภัยทุกครั้งที่บรรจุน้ำนมลงในถุง โดดเด่นด้วยลายท่องเที่ยว Journey Collection น่ารัก สดใส คุณสมบัติพิเศษของถุงเก็บนมแม่คลีนนิมัม คือออกแบบมาเพื่อช่วยลดกลิ่นหืนของน้ำนมแม่ ถุงเก็บนมเป็นแบบทึบแสง มีความหนา 90 micron ตะเข็บด้านข้างถุงหนา 5 mm. ซิปล็อก 2 ชั้น ทำให้ปิดปากถุงได้สนิท ช่วยรักษาคุณค่าสารอาหารของน้ำนม ส่วนด้านหลังถุงเก็บนมจะมีช่องใส เพื่อให้เห็นฟองอากาศ

ถุงเก็บนมแม่คลีนนิมัม ยังทนต่ออุณหภูมิได้ -20 ถึง 110 องศาเซลเซียส คุณแม่สามารถอุ่นน้ำนมในถุงเก็บนมด้วยเครื่องอุ่นนมได้อย่างปลอดภัย ส่วนด้านหน้าของถุงเก็บนมจะมีพื้นที่ให้เขียนชื่อ ลำดับ วันที่ เวลา และปริมาณออนซ์ อยู่เหนือพื้นที่เก็บน้ำนม เพื่อให้ปลอดภัยจากการปนเปื้อนของน้ำหมึกปากกา

ประโยชน์ของถุงเก็บนมแม่คลีนนิมัม นอกจากจะใช้เก็บสต็อกนมแม่แล้ว คุณแม่ยังสามารถนำมาใช้บรรจุอาหารได้อีกด้วยนะคะ เช่น ใส่อาหารปั่น , น้ำผลไม้ , ผลไม้ ฯลฯ สารพัดการใช้งาน คุ้มค่ามากค่ะ

ถุงเก็บนมแม่ Cleanimom ลายท่องเที่ยว มีให้เลือกใช้ 3 ขนาด

  1. 3oz บรรจุ 27 ใบ มี 3 ลายท่องเที่ยว
  2. 5oz บรรจุ 24 ใบ มี 4 ลายท่องเที่ยว
  3. 8oz บรรจุ 20 ใบ มี 5 ลายท่องเที่ยว

คุณแม่สามารถหาซื้อได้ที่ช่องทาง ↓↓

Facebook : www.facebook.com/jpenpumpnom

Link : @jpenshop

Shopee : jpenpumpnom

#ถุงเก็บนมแม่Cleanimom #นมแม่

ุถุงเก็บนมแม่ Cleanimom ลายท่องเที่ยว Breast Milk Storage Bag

น้ำนมน้อย

น้ำนมน้อย แก้ไขได้ แค่มีตัวช่วยกระตุ้นน้ำนมที่ปลอดภัย

Alternative Textaccount_circle
event
น้ำนมน้อย
น้ำนมน้อย

“นมแม่” ทุกคนรู้ว่า “ดีมีประโยชน์” กับลูกน้อยมากแค่ไหน แต่ก็ไม่ใช่แม่หลังคลอดทุกคนจะมีน้ำนมให้ลูกกินเพียงพอ เพราะต้องเจอกับอาการ น้ำนมน้อย น้ำนมไม่มา หรือจู่ๆ น้ำนมหดหายไปซะดื้อ ๆ ปล่อยไว้เดียวจะบานปลาย ต้องรีบกู้น้ำนมแม่กลับมาด่วน ! กองบรรณาธิการ Amarin Baby & Kids มีเคล็ดลับในการกระตุ้นนมแม่มาแนะนำให้ค่ะ ว่าที่คุณแม่ คุณแม่มือใหม่ห้ามพลาดกันนะคะ

ประโยชน์ของนมแม่ ต่อลูกน้อย

องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำว่าคุณแม่หลังคลอดควรเลี้ยงลูกด้วยน้ำนมแม่อย่างเดียวตั้งแต่ลูกแรกเกิดถึง 6 เดือน ซึ่งในระหว่าง 6 เดือนแรกที่ให้นมลูก ไม่ควรป้อนน้ำ หรืออาหารเสริมอื่นใดให้ลูก และหลัง 6 เดือนคุณแม่สามารถให้ลูกกินนมแม่ต่อเนื่องไปจนอายุ 2 ปี ควบคู่กับการให้รับประทานอาหารมีประโยชน์ครบ 5 หมู่อย่างเหมาะสมตามวัยของลูก

นมแม่เป็นอาหารที่ดีที่สุดสำหรับลูกน้อย เพราะในน้ำนมแม่มีทั้ง น้ำ , สารภูมิคุ้มกัน(จากน้ำนมเหลือง Colostrums) , คาร์โบไฮเดรต , โปรตีน , น้ำตาล , ไขมัน , วิตามินและแร่ธาตุ รวมถึงมีจุลินทรีย์สุขภาพที่ดีต่อระบบทางเดินอาหารของลูก นมแม่มีคุณค่าสารอาหารครบถ้วนที่ให้ประโยชน์ดีต่อลูกน้อยตั้งแต่แรกคลอด

นมแม่มีประโยชน์ต่อพัฒนาการทางสมอง านวิจัยเผยว่าทารกที่กินนมแม่มีโอกาสในด้านพัฒนาการทางสมองและเชาว์ปัญญา (IQ) ที่ดีกว่าเด็กที่กินนมผสม โดยสามารถวัดได้เมื่อเด็กโตขึ้นและกำลังเข้าสู่วัยเรียน สารอาหารและวิตามินจากน้ำนมแม่ยังช่วยให้พัฒนาการของสมองเด็กและเซลล์ประสาททำงานได้อย่างสมบูรณ์1

นมแม่มีประโยชน์ต่อระบบภูมิคุ้มกันโรค นมแม่ช่วยให้ร่างกายลูกสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อต่อต้านการเจ็บป่วย ด้วยการสร้างแอนติบอดี (Antibody) มาต่อต้านอาการเจ็บป่วยทั่วไปอย่างไข้หวัด การติดเชื้อจากแบคทีเรีย ไปจนถึงการป้องกันการติดเชื้อไวรัสบางชนิด เช่น โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ (RSV) โรคงูสวัด2

นมแม่มีประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตของร่างกาย นมแม่มีความสำคัญต่อพัฒนาการทางร่างกายให้ลูกเติบโตได้อย่างปกติ เมื่อลูกเข้าสู่วัยเริ่มเดินจะมีการทรงตัวที่ดีเนื่องจากมีกระดูกและกล้ามเนื้อที่แข็งแรงจากการได้รับสารอาหารจากนมแม่3

น้ำนมน้อย

5 สาเหตุ…ต้นตอทำแม่หลังคลอด น้ำนมน้อย น้ำนมไม่มี

1. ความเครียด

คุณแม่มือใหม่หลังคลอดส่วนใหญ่ยังรับมือกับการเลี้ยงลูกวัยทารกได้ไม่เต็มที่ เพราะร่างกายยังฟื้นฟูไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ ยังมีอาการเจ็บแผลคลอด มีความอ่อนเพลีย นอนไม่หลับนอนไม่เต็มอิ่ม และมีความกังวลต่าง ๆ ในเรื่องลูก คุณแม่บางคนเครียดสะสมจนทำให้เกิดภาวะเศร้าหลังคลอด (Postpartum Blue) ก็มีค่ะ ความเครียดส่งผลโดยตรงต่อฮอร์โมนการสร้างและหลั่งน้ำนม ทำให้ร่างกายผลิตน้ำนมได้ไม่เต็มที่ และหากไม่ได้รับการกระตุ้น (ลูกไม่ได้เข้าเต้าตรงรอบ) ก็จะทำให้ร่างกายค่อย ๆ หยุดผลิตน้ำนม

2. ผ่าคลอด

การผ่าคลอด ทำให้นมแม่มาช้า น้ำนมน้อย ได้เหมือนกันค่ะ การคลอดด้วยวิธีผ่าคลอด คุณแม่ต้องบล็อกหลังวางยาสลบ หลังคลอดเสร็จคุณแม่จะยังไม่รู้สึกตัวในทันที จะเจ็บแผลผ่าตัด กว่าลูกจะได้เข้าเต้าดูดนมแม่ ก็อาจเป็น 1 ชั่วโมงหลังคลอดไปแล้ว การไม่ได้ให้ลูกดูดกระตุ้นเต้านมภายใน 1 ชั่วโมงหลังคลอด ส่งผลให้ร่างกายไม่สามารถผลิตน้ำนมได้ทันที และบางครั้งอาจทำให้เต้านมเป็นไตแข็งขึ้นมา ลูกดูดน้ำนมไม่ออกมา

3. ลูกไม่เข้าเต้า

ลูกไม่ยอมเข้าเต้า ไม่ดูดนมแม่ อาจมาจากลูกดูดเต้าไม่เป็น คุณแม่เอาลูกเข้าเต้าผิดวิธี ทำให้ลูกอมงับไม่ลึกพอ หรือลูกมีพังผืดใต้ลิ้น ก็จะทำห้ลูกดูดนมไม่ได้ แนะนำว่าให้สังเกตดูลูกว่าทำไมไม่ยอมเข้าเต้า หรือใช้เวลาในการดูดนมแม่น้อยเกินไป เพราะการที่เต้านมไม่ได้รับการกระตุ้นที่เพียงพอทำให้ น้ำนมน้อย ได้ค่ะ

4. ท่อน้ำนมอุดตัน

ท่อน้ำนมอุดตัน ทำให้ น้ำนมน้อย ไหลได้ไม่ดี และเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดเต้านมอักเสบได้ เกิดจากการที่ไม่ได้ให้ลูกดูดนมแม่บ่อย หรือลูกน้อยดูดนมไม่เกลี้ยงเต้า หรือปริมาณน้ำนมที่มากเกินไปและระบายออกได้ไม่สมดุลกับปริมาณน้ำนมที่ผลิต แนะนำคุณแม่ให้ลูกดูดนมจากเต้าให้บ่อยขึ้น อย่างน้อย 8-12 ครั้ง/วัน และดูดนานอย่างน้อยข้างละ 15-20 นาที

5. กินไม่ดี พาน้ำนมหด

นอกจากปริมาณน้ำนมจะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับความถี่ในการดูดนมของลูกและเข้าเต้าถูกวิธีแล้ว การรับประทานอาหารและการดื่มน้ำของคุณแม่ในแต่ละวันก็มีส่วนต่อปริมาณน้ำนมด้วยนะคะ คุณแม่ที่ให้นมลูกแนะนำให้ทานอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่ เน้นเนื้อปลา เนื้อไก่ และผลไม้ พืชผักสมุนไพรอย่าง ขิง หัวปลี ฟักทอง งา ใบแมงลัก ใบกะเพรา แก้วมังกร อินทผลัม ฯลฯ และดื่มน้ำเปล่าให้ได้ 2-3 ลิตรต่อวัน คุณแม่กินดีมีประโยชน์ จะช่วยให้ร่างกายผลิตน้ำนมได้ทั้งปริมาณและคุณภาพ

น้ำนมน้อย กระตุ้นอย่างไรดี ?

เป็นเทคนิคง่าย ๆ ที่คุณแม่หลังคลอดสามารถนำไปใช้กันได้ค่ะ นั่นก็คือต้องให้ลูก “ดูดเร็ว ดูดบ่อย ดูดนาน”

  • ดูดเร็ว คือเมื่อลูกคลอดออกมาภายใน 15-30 นาที ควรให้ลูกดูดนมทันที เพื่อกระตุ้นน้ำนมครั้งแรก
  • ดูดบ่อย คือให้ลูกดูดนมบ่อย ๆ วันละ 8-12 ครั้ง
  • ดูดนาน คือในแต่ละครั้งที่ลูกดูดนมให้ดูดนาน ๆ ประมาณข้างละ 15 นาที หรือดูดจนกว่าลูกจะเลิกดูด

… Jessie Mum อาหารเสริมกระตุ้นน้ำนมเพื่อคุณแม่หลังคลอด

รู้กันแล้วนะคะว่า “น้ำนมแม่” มีประโยชน์กับลูกน้อย และสาเหตุอะไรบ้างที่ทำให้ น้ำนมน้อย น้ำนมหดหาย ทีนี้เรามาดูตัวช่วยจากธรรมชาติที่ปลอดภัยกับคุณแม่หลังคลอด รับประทานเพื่อช่วยในการกระตุ้นน้ำนมให้มีปริมาณเพียงพอสำหรับใช้เลี้ยงลูกน้อยไปได้นานจนถึงวัยขวบ

๋Jessie Mum น้ำนมน้อย

Jessie Mum ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมกระตุ้นน้ำนม ที่คิดค้นมาเพื่อคุณแม่หลังคลอดโดยเฉพาะ และยังเป็นผลิตภัณฑ์อันดับ 1 ในไทยที่คุณแม่หลังคลอดเลือกรับประทานกันค่ะ Jessie Mum ผ่านการรับรองโดย อย. GMP HACCP คุณแม่รับประทานได้อย่างปลอดภัย ที่สำคัญยังได้รับการการันตีคุณภาพจากทีมบรรณาธิการ Amarin Baby & Kids จนได้รับรางวัล EDITOR’s
CHOICE สาขา BEST BREASTFEEDING SUPPLEMENT จากงานประกาศ Amarin Baby &Kids Awards
ประจำปี 2021 ภายในปีเดียวกัน Jessie Mum ยังได้รับรางวัล Young-Self Made High Growth Business และ Young-Self Made Best Of Health และล่าสุดในปี 2022 นี้ Jessie Mum ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมกระตุ้นน้ำนมเพื่อคุณแม่หลังคลอด
ได้รับรางวัล Proudly Local จาก The Asian Parent และ รางวัล The Masterpiece Business of Supplements for
Healthy Mom จากรายการอายุน้อยร้อยล้าน

ได้รับรางวัลการันตีคุณภาพมาแบบนี้ คุณแม่มือใหม่ที่อยากทำสต๊อกนมแม่ และเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ให้ประสบความสำเร็จ ต้องมี Jessie Mum ไว้รับประทานเป็นอาหารเสริมกระตุ้นน้ำนมกันนะคะ เรามาดูกันค่ะว่าภายใน 1 แคปซูลมีส่วนประกอบจากธรรมชาติที่ดีต่อร่างกายของแม่หลังคลอดอะไรกันบ้าง

Jessie Mum อาหารเสริมกระตุ้นน้ำนม

ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมกระตุ้นน้ำนมเพื่อคุณแม่ Jessie Mum มีส่วนผสมจากสมุนไพร และวิตามินกว่า 10 ชนิด ได้แก่

  • ฟีนูกรีก สมุนไพรที่ช่วยเร่งการผลิตน้ำนม มีความปลอดภัยสูง ผ่านรับการรับรองความปลอดภัยจากองค์การอาหารและยาของอเมริกา ฟีนูกรีกช่วยกระตุ้นการหลั่งของฮอร์โมนโปรแลคติน (Prolactin) ให้ร่างกายสามารถสร้างและผลิตน้ำนมได้อย่างสมบูรณ์
  • ผลเมล็ดผักชีล้อม ช่วยเพิ่มปริมาณน้ำนม ช่วยป้องกันการเกิดแก๊สในกระเพาะอาหาร และลดอาการโคลิคในทารก
  • สารสกัดจากขิง ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ทำให้น้ำนมไหลดี
  • ซิงค์อะมิโน แอซิด คีเลต ช่วยต้านอนุมูลอิสระ (Antiozidant) ตามธรรมชาติของร่างกาย ช่วยเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
  • สารสกัดจากขมิ้น ช่วยให้เลือดลมไหลเวียนดี ลดอาการจุกเสียด แน่นท้อง และช่วยเพิ่มน้ำนมแม่
  • กรดโฟลิค ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้เม็ดเลือดแดง ซึ่งเลือดแดงจะถูกเปลี่ยนเป็นน้ำนมแม่ ลดโอกาสการเกิดอาการเม็ดเลือดจางในคุณแม่
  • ดี-ไบโอติน ช่วยในเรื่องการทำงานของระบบประสาท และลดอาการหลุดร่วงของเส้นผม รอยผิวแตก อาการอ่อนล้า
  • วิตามินบี 1 ช่วยลดความเครียด
  • วิตามินบี 6 ช่วยป้องกันการทำลายของเซลล์ในร่างกาย ลดอาการปวดหัวไมเกรน
  • วิตามินบี 12 ช่วยในการทำงานของระบบประสาทและสมอง

คุณแม่หลังคลอด หรือคุณแม่ใกล้คลอด ที่สนใจผลิตภัณฑ์อาหารเสริมกระตุ้นน้ำนม Jessie Mum สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ได้ที่ช่องทาง

เว็บไซต์   : https://www.jessiemum.com/

และสามารถสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ Jessie Mum ได้ที่ตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ

Jessie Mum มี 2 ขนาดให้คุณแม่สะดวกในการรับประทาน ได้แก่ ขนาดทดลอง มี 5 แคปซูล ราคา 180 บาท และ ขนาดกล่อง 30 แคปซูล ราคา 890 บาท วิธีรับประทานวันละ 1-2 แคปซูลก่อนอาหารเช้าหรือเย็น

#JessieMum #หนึ่งเดียวที่แคร์ดูแลจนคุณแม่ทำสต๊อกนมได้

 

 

 


เครดิต : 123ประโยชน์ของนมแม่ กรมอนามัย  , เทคนิคจัดการนมแม่ Vejthani Hospital  , น้ำนมแม่ประโยชน์อเนกอนันต์ มหาวิทยาลัยมหดล คณะเภสัชศาสตร์

 

ป่วยโควิด สิทธิบัตรทอง

อัปเดต ป่วยโควิด สิทธิบัตรทอง 30 บาทรักษาที่ไหนได้บ้าง

Alternative Textaccount_circle
event
ป่วยโควิด สิทธิบัตรทอง
ป่วยโควิด สิทธิบัตรทอง

อัปเดต ป่วยโควิด สิทธิบัตรทอง 30 บาทรักษาที่ไหนได้บ้าง

สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ สปสช. เปิดเผยข้อมูลอัปเดตล่าสุด ว่าถ้า ป่วยโควิด สิทธิบัตรทอง 30 บาท รักษาที่ไหนได้บ้าง คุณพ่อคุณแม่ต้องติดตามข้อมูลนี้ค่ะ

ป่วยโควิด สิทธิบัตรทอง 30 บาท รักษาที่ไหนได้บ้าง ?

หน่วยบริการ (สถานพยาบาล) ประจำที่ท่านลงทะเบียนไว้ หรือหน่วยบริการปฐมภูมิทุกที่ ตามนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ ได้แก่

  • ศูนย์บริการสาธารณสุข (พื้นที่ กทม.)
  • คลินิกชุมชนอบอุ่น
  • สถานีอนามัย
  • โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบล (รพ.สต.)
  • หน่วยบริการปฐมภูมิของโรงพยาบาล
  • ศูนย์สุขภาพชุมชน
ป่วยโควิด สิทธิบัตรทอง
อัปเดต ป่วยโควิด สิทธิบัตรทอง 30 บาทรักษาที่ไหนได้บ้าง

สามารถค้นหาหน่วยบริการในระบบหลักประกันสุขภาพ (สปสช.) สำหรับผู้มีสิทธิบัตรทอง 30 บาท ได้ที่นี่ (โรงพยาบาลรัฐ/เอกชน/คลินิก) https://www.nhso.go.th/page/hospital เลือกประเภทการขึ้นทะเบียน ที่ระบุว่า

– บริการตรวจรักษาโรคทั่วไปหรือ

– หน่วยบริการประจำในระบบหลักประกันสุขภาพ

แล้ว Walk in (เดินทาง) ไปรักษาได้ทันที ไม่ว่าจะเป็น รักษาแบบผู้ป่วยนอกและแยกกักตัวที่บ้าน (เจอ แจก จบ) หรือการรักษาอื่นๆ ตามดุลพินิจของแพทย์

4 วิธีเช็กสิทธิรักษาพยาบาล ทำได้ง่าย ๆ ด้วยตนเอง 

1.โทร.สายด่วน สปสช. 1330 กด 2

2.เว็บไซต์ สปสช. https://eservices.nhso.go.th/eServices/mobile/login.xhtml

3.แอปพลิเคชัน สปสช. เลือกเมนู ตรวจสอบสิทธิตนเอง

4.ไลน์ สปสช. @nhso หรือคลิก https://lin.ee/zzn3pU6 เลือกเมนู ตรวจสอบสิทธิ

ATK ขึ้น 2 ขีด หาที่รักษา โทร 1330

สปสช.ยังได้ปรับระบบสายด่วน 1330 เป็นระบบเสริมกับหน่วยบริการหรือสถานพยาบาลเพื่อดูแลผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีผลตรวจ ATK ขึ้น 2 ขีด และยังไม่ได้รับบริการ สามารถติดต่อประสานขอความช่วยเหลือมาที่สายด่วน 1330 ได้ โทรได้ทั้งกลุ่ม 608 และกลุ่มที่ไม่ใช่ 608 ซึ่งเจ้าหน้าที่สายด่วนจะให้คำแนะนำในการปฏิบัติ ช่องทางการรับบริการ หรือประสานหน่วยบริการให้

สำหรับกลุ่มที่ไม่ใช่ 608

ในกรณีไม่มีอาการ เจ้าหน้าที่จะแนะนำให้กักตัวเองที่บ้านเป็นเวลา 7 วันและสามารถออกจากบ้านได้โดยต้องป้องกันตัวเองอย่างเข้มงวดอีก 3 วัน ตามหลักเกณฑ์ของกรมควบคุมโรค แต่ในกรณีที่มีอาการ สามารถไปรับยาแบบ “เจอ แจก จบ” ได้ที่คลินิก/โรงพยาบาลตามสิทธิสุขภาพของตัวเอง รวมทั้งรับยาที่ร้านยาที่เข้าร่วมโครงการก็ได้ แต่หากไม่สามารถเข้ารับบริการได้ด้วยสาเหตุใดก็ตาม ให้โทรมาที่สายด่วน 1330 เจ้าหน้าที่จะแนะนำขั้นตอนการใช้บริการตามสิทธิการรักษา

กรณีไม่สะดวกเดินทางไปรับบริการเจอ แจก จบ ที่สถานพยาบาลตามสิทธิ ก็มีทางเลือก เช่น

ลงทะเบียนออนไลน์ของหน่วยบริการที่จัดระบบนี้ หรือร้านขายยาที่เข้าร่วมโครงการ รอรับยาที่บ้าน หรือรับการดูแลในระบบแพทย์ทางไกล (Telemedicine) ผ่านแอปพลิเคชัน คือ แอป Good Doctor และแอปหมอดี

ในรายที่เจ้าหน้าที่ 1330 ประเมินอาการแล้วพบว่าเข้าเกณฑ์ต้องได้รับยาฟาวิพิราเวียร์ ก็จะจัดส่งยาไปให้ที่บ้าน ซึ่งเป็นยาที่ได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงสาธารณสุข แต่ครอบคลุมเฉพาะ กทม.และปริมณฑล

ในส่วนของกลุ่ม 608  จะมีรูปแบบการรับบริการ 3 แบบ คือ

1.เข้ารับบริการที่คลินิก/โรงพยาบาล ตามสิทธิสุขภาพของตัวเอง

2.รับบริการในระบบแพทย์ทางไกล ซึ่งทีมผู้ให้บริการจะตรวจคัดกรองเบื้องต้น หากไม่มีอาการ จะจ่ายยาแล้วติดตามอาการภายใน 24 ชั่วโมง แต่ถ้ามีอาการจะประสานส่งต่อคลินิก/โรงพยาบาลเพื่อดูแลตามแต่ละการจัดการของโรงพยาบาล

3. กรณีที่ไม่สามารถรับบริการตาม 2 รูปแบบข้างต้นได้ สามารถประสานสายด่วน 1330 เจ้าหน้าที่จะคัดกรองเบื้องต้น หากไม่มีอาการ จะทำการส่งยาให้ทางไปรษณีย์หรือ สปสช. จัดรถไปส่งให้ พร้อมติดตามอาการภายใน 24 ชั่วโมง แต่หากมีอาการ เจ้าหน้าที่จะประสานหาเตียงในโรงพยาบาล หรือ จัดหาหน่วยบริการเพื่อดูแลแบบ Home Isolation และถ้ามีอาการรุนแรงก็จะประสานสายด่วน 1669 เพื่อส่งรถฉุกเฉินมารับตัวไปยังโรงพยาบาลต่อไป

ป่วยโควิด สิทธิบัตรทอง
อัปเดต ป่วยโควิด สิทธิบัตรทอง

ส่งยาฟาวิพิราเวียร์ให้ผู้ป่วยโควิดพื้นที่ กทม.-ปริมณฑล

เพื่อเพิ่มทางเลือกให้ผู้ติดเชื้อโควิด-19 สปสช.ได้ร่วมกับ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และบริษัท ไปรษณีย์ไทยดิสทริบิวชั่น จำกัด จัดส่งยาฟาวิฟิราเวียร์ให้กับผู้ป่วยโควิด-19 อีกครั้ง โดยกระทรวงสาธารณสุขได้สนับสนุนยาฟาวิพิราเวียร์เพื่อเป็นการดูแลผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีอาการและจำเป็นต้องได้รับยาฟาวิพิราเวียร์ ได้รับยาโดยเร็ว

ผู้ป่วยโควิด-19 ในพื้นที่ กทม.-ปริมณฑล 5 จังหวัด คือ นนทบุรี ปทุมธานี นครปฐม สมุทรปราการ และสมุทรสาคร ที่ต้องการรับยาฟาวิพิราเวียร์ ให้โทร.มาที่สายด่วน สปสช. 1330 เจ้าหน้าที่จะทำการคัดกรองอาการตามหลักเกณฑ์ของกรมการแพทย์ โดยอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์และเภสัชกร หากพบว่าผู้ติดเชื้อเริ่มมีอาการที่จำเป็นต้องได้รับยาฟาวิพิราเวียร์ สปสช.ก็จะจัดส่งยาให้ผู้ติดเชื้อทันทีภายใน 24 ชั่วโมง

ขอบคุณข้อมูลจาก

TNN Thailand, TNews, ejan

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

เช็คสิทธิต้องรู้! บัตรทอง30บาท ให้อะไรกับพ่อแม่ฟรีแลนซ์

สปสช.ใช้ ทราฟฟี่ฟองดูว์ รับแจ้งปัญหาใช้สิทธิบัตรทอง

เช็คสิทธิล่าสุด สิทธิบัตรทอง30บาท ครอบคลุมอะไรบ้าง

ฝันว่าอุ้มทารก

ฝันว่าอุ้มทารก ฝันเห็นเด็ก หมายความว่าอย่างไร?

Alternative Textaccount_circle
event
ฝันว่าอุ้มทารก
ฝันว่าอุ้มทารก

ฝันว่าอุ้มทารก ฝันว่าอุ้มทารกแรกเกิด ฝันว่าอุ้มเด็กผู้หญิง ฝันว่าอุ้มเด็กผู้ชาย แต่เรายังไม่มีลูก เรายังไม่ได้แต่งงาน

ฝันว่าอุ้มทารก ฝันเห็นเด็ก หมายความว่าอย่างไร?

ขึ้นชื่อว่า ความฝัน คือ เรื่องที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง แต่สิ่งที่เราฝันนั้น จะกลายเป็นจริงอย่างที่เราฝันหรือไม่ หรือสิ่งที่เราฝัน คือสัญญาณบ่งบอกอะไรบางอย่าง ที่กำลังเกิดขึ้นจริงหรือไม่ ทีมกองบรรณาธิการ ABK ได้รวบรวมข้อสงสัยเกี่ยวกับการ ฝันว่าอุ้มทารก ว่าจะมีความหมายใดแอบแฝงตามความเชื่อของคนไทย ตามไปดูกันเลยค่ะ

ฝันว่าอุ้มทารก
ฝันว่าอุ้มทารก

ฝันว่าอุ้มทารก ฝันเห็นเด็ก หมายความว่าอย่างไร?

ฝันว่าอุ้มทารก

ทำนายว่า จะได้โชคลาภและตำแหน่งการงานดีขึ้น จะได้ลาภ ได้เงิน จะมีสิ่งดีเกิดขึ้น หรือจะมีบุตร บริวารเพิ่มในบ้าน

ฝันว่าอุ้มทารกผู้หญิง 

ทำนายว่า ชีวิตจะมีความสุขมากกว่าทุกครั้ง ต้องระวังคนจ้องอิจฉา ความรักของคุณไม่หวือหวา คนโสดถ้ากำลังหาคนรู้ใจ แนะนำให้ขอความช่วยเหลือจากเพื่อนจะสมหวัง และถ้าใครมีรักอยู่ ให้ระวังการมีปากเสียง

ฝันว่าอุ้มทารกผู้ชาย

ทำนายว่า หากคิดอะไรก็จะเป็นไปตามที่คิด แต่ในช่วงนี้ให้ระวังเนื้อระวังตัว เพราะอาจจะมีคนที่คิดร้าย หรือทำให้คุณต้องเหนื่อยใจกังวลใจ การงานไม่ค่อยราบรื่น จะมีคนขัดขา การเงินจะมีรายได้จากงานที่ทำอยู่ ความรักของคุณอาจจะไม่สมหวัง ให้ระวัง

ฝันว่าได้อุ้มลูกคนอื่น

ทำนายว่า คนในครอบครัวจะมีเรื่องของการเจ็บป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่หนักหนา ระวังเรื่องอารมณ์ของคุณให้ดี เพราะมันจะนำมาซึ่งความเลวร้าย จะได้รับข่าวดีเกินคาดจากเพื่อน หรือผู้คุ้นเคยในทางบวก

ฝันว่าได้อุ้มทารกผู้หญิงผิวขาว

ทำนายว่า จะได้ลาภการเงิน หรือมีบุตรในเร็ววัน

ฝันว่าอุ้มลูกตัวเอง

ทำนายว่า การเสี่ยงโชค จงแสวงโชคจากที่ที่คุณยังไม่เคยไป จะมีงานสังสรรค์กับญาติมิตร ความรักระหองระแหง รู้สึกว่าคุณจะมีความลับต่อกัน เพราะกลัวว่าพูดอะไรออกไปแล้วจะมีผลเสีย หรือเกิดเรื่อง การงานของคุณจะได้รับงานใหม่ๆ และมีรายได้จากงานมากกว่า 1 ชิ้น

เลขเด็ดทำนายฝันว่าได้อุ้มทารก 02, 05, 08, 33, 37, 011

ฝันว่าอุ้มทารกแล้วทารกอึใส่มือ

ทำนายว่า ระยะนี้ท่านจะติดต่อกับคนต่างชาติหรือมิตรสหายที่เป็นคนต่างถิ่นต่างภาค พวกเขาเหล่านี้จะนำลาภมาให้ จะทำของหาย หรือสูญเสียของที่รัก โชคดีจะเกิดขึ้นจากคนที่คุณไปช่วยเหลือ

  • ความรัก : คนโสดจะได้พบรักกับคนที่อยู่ทางไกล หรือพบรักในต่างแดน ระวังจะเกิดอาการรักสั่นคลอน เพราะไม่รู้จะเลือกใครดี ค่อยๆคิดไปก่อน จะมีคนมาทำให้คุณรู้สึกสดชื่น แต่ก็ยังไม่ใช่คนที่คุณหวังไว้
  • การงานและการเงิ : ริเริ่มทำการใดๆ อย่านั่งรอแค่หวังน้ำบ่อหน้า เพราะอาจจะไม่ได้อย่างที่ใจเราต้องการ งาน ที่ทำร่วมกับผู้อื่นเป็นทีมเป็นคณะจะมีปัญหาแตกแยก คนร่วมทีมจะเกิดปากเสียงกัน แตกแยกกันเป็นกลุ่ม หากหวังให้เงินเดือนขึ้นตามการเลื่อนขั้นเห็นทีคงยังไม่ใช่ตอนนี้
  • เลขนำโชค : 26, 10, 88, 27, 48, 03, 72

ฝันว่าอุ้มเด็กร้องไห้

ทำนายว่า ช่วงนี้อาจจะได้รับอุบัติเหตุ ทำให้บาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ ชีวิตราบเรียบ จะมีแต่ความสุขอย่างต่อเนื่อง โชคลาภมีแต่ต้องไขว่คว้าเอง

  • ความรัก : คนโสดจับพลัดจับผลูอาจได้เพื่อนรู้ใจมาเป็นแฟน คุณควรระวังเกี่ยวกับคู่ครองของคุณ เพราะอาจจะมีเรื่องร้อนใจหรือเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ คุณมีโอกาสที่จะได้คู่รักเป็นคนต่างชาติ คนๆนี้ดูดีเลยทีเดียว
  • การเงิน การงาน : การทำงานร่วมกับพรรคพวกต้องใช้สติกับมิตรภาพมากเป็นพิเศษ และงานจะลุล่วงผ่านพ้นไปด้วยดี งาน ที่ทำร่วมกับผู้อื่นเป็นทีมเป็นคณะจะมีปัญหาแตกแยก คนร่วมทีมจะเกิดปากเสียงกัน แตกแยกกันเป็นกลุ่ม คุณจะหาเงินได้ก้อนใหญ่จากกิจการที่คุณทำอยู่และอาจมีผู้มาร่วมลงทุนกับคุณเพิ่มจากเดิม
  • เลขนำโชค : 5, 6, 7, 8, 50, 14, 93, 567, 226
ฝันเห็นเด็ก
ฝันเห็นเด็ก

ฝันเห็นทารก

ทำนายว่า หากใครฝันเห็นเด็กทารก ขาวอวบสมบูรณ์ ทำนายฝันได้ว่าจะได้ลาภทางการเงิน หรือได้บุตรในเร็ววันหากคิดอะไรก็จะเป็นไปตามที่คิด แต่ให้ระวังเนื้อระวังตัว เพราะอาจจะมีคนที่คิดร้ายหรือทำให้คุณต้องเหนื่อยใจกังวลใจ โดยเฉพาะเพศตรงข้าม และขอเตือนว่าจะมีคนเข้ามาขอความช่วยเหลือจากคุณ ควรคิดให้ดีก่อน เพราะเขาอาจนำความเดือดร้อนมาถึงตัวคุณได้

  • ความรัก : คนที่ยังโสดอยู่ในเวลานี้หากมีคนที่แอบชอบแอบรักอยู่ก็ให้รีบบอกความในใจไปตรง ๆ เลย เพราะไม่มีเวลาไหนเหมาะเท่านี้อีกแล้ว ส่วนคนที่มีคู่ต้องระวังคู่ตัวเองให้มาก ๆ เพราะคนรักของคุณกับเพื่อนคุณอาจจะมีอะไรที่ลึกซึ้งก็ได้
  • การงานและการเงิน : มีงานที่รัดตัวเลยล่ะ คนที่กำลังเบื่อที่ทำงานที่เดิม มีโอกาสจะได้ที่ทำงานใหม่ ทำให้ได้แสดงฝีมือที่คุณมีอย่างเต็มที่ มีเกณฑ์ได้ลาภจากงาน แต่ต้องใช้อย่างมีสติ เพราะจะมีเรื่องทำให้ต้องเสียเงินจากคนใกล้ตัว
  • เลขนำโชค : 17, 13, 33, 317, 311, 513

ฝันเห็นเด็กทารกชาย ฝันเห็นเด็กชาย

ทำนายว่า ฝันเห็นเด็กผู้ชาย ทำนายฝันได้ว่าจะมีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้น จะได้รับโชคลาภจากคนรัก ควรระวังเรื่องสุขภาพของคนในบ้านให้ดีอาจจะมีเรื่องเจ็บป่วยเกิดขึ้น แต่ก็ไม่หนักมากเท่าไหร่ สำหรับผู้ที่อยากได้บุตรก็มีโอกาสเช่นกัน หรืออาจจะทายได้ว่าอาจจะมีโอกาสได้อุปการะคนหรือสัตว์เลี้ยงก็เป็นไปได้

  • ความรัก : คนที่มีคู่แล้ว ตอนนี้สถานะยังไม่ชัดเจนว่าเขาคนนั้นจะเป็นแค่เพื่อนหรือแฟนกันแน่ ต้องดูกันไปสักพัก ส่วนคนที่โสดอยู่ยังต้องรอต่อไป
  • การงานและการเงิน : อีกไม่นานจะได้รับเงินก้อนใหญ่จากงานที่ทำอยู่ แต่ต้องระวังการใช้เงินให้มาก ๆ จะซื้ออะไรต้องคิดถึงเงินในกระเป๋าให้ดีก่อน
  • เลขนำโชค : 1, 23, 38, 51 ,22, 762, 477

ฝันเห็นเด็กทารกหญิง ฝันเห็นเด็กหญิง

ทำนายว่า ถ้าฝันเห็นเด็กผู้หญิง ทำนายว่าในช่วงนี้ดวงยังดีอยู่ เพราะเวลาที่มีปัญหาติดขัดก็จะมีคนยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเรื่อย ๆ ชีวิตช่วงนี้จะมีความสุข มีสีสัน คนอื่นเห็นแล้วต่างก็อิจฉา แต่อย่าลืมดูแลตัวเอง เพราะอาจเจอปัญหาสุขภาพได้

  • ความรัก : คนโสดถ้ากำลังหาคนรู้ใจ แนะนำว่าให้ขอความช่วยเหลือจากเพื่อน ให้เป็นแม่สื่อแม่ชักให้ รับรองว่าสมหวังชัวร์ แต่ถ้าจะให้ดี ควรเลือกคนที่อายุใกล้เคียงกัน ส่วนคนที่มีคู่แล้วอาจเกิดปากเสียงกระทบกระทั่ง ดังนั้นต้องควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ได้ แล้วความรักก็จะดีตลอดไป
  • การงานและการเงิน : มีเกณฑ์จะได้รับทรัพย์ก้อนโตจากงานธุรกิจของคุณ อาจมีคนมาร่วมหุ้นด้วย ส่วนงานที่ดูเหมือนมีอุปสรรค ช่วงนี้ต้องอดทนอีกนิด งานที่ทำอยู่จึงจะลุล่วงไปด้วยดี
  • เลขนำโชค : 1, 3, 5, 6, 8, 07, 35, 42, 92, 098

ฝันเห็นเด็กทารกแฝด ฝันเห็นเด็กทารก 2 คน

ทำนายว่า หากฝันเห็นทารกแฝด แปลว่ามีเกณฑ์ได้ทุกขลาภ หรือได้ลาภแล้วจะเจ็บป่วย กิจการที่กำลังลงมือทำ อาจจะสำเร็จลุล่วงช้ากว่าที่คิด หรืออีกนัยหนึ่งก็อาจจะดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ โดยได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนฝูงหรือคนใกล้ชิดที่เป็นมิตรต่อกัน

  • เลขนำโชค : 22, 44, 66, 662, 442, 664

ฝันว่าเลี้ยงเด็กทารก

ทำนายว่า หากใครฝันว่าเลี้ยงเด็กทารก ทำนายว่าจะเจอเรื่องที่ทำให้ปวดหัว อารมณ์เสียได้ ส่วนมากจะมาจากคนที่เป็นเพศตรงข้าม ช่วงนี้คุณอาจขี้หลงขี้ลืม ทำของหายบ่อย ๆ หรือระวังจะโดนโกง มีเรื่องเสียเงิน ซึ่งจะมาจากความใจดีของคุณเอง ดังนั้นต้องคิดหน้าคิดหลังให้มากเข้าไว้

  • เลขนำโชค : 0, 8, 13, 51, 83, 327

ฝันเห็นเด็กมาขออยู่ด้วย

ทำนายว่า ฝันเห็นเด็กมาขออยู่ด้วย อาจจะดูน่าขนลุกเล็ก ๆ แต่คำทำนายบอกว่า ช่วงนี้คุณจะมีดวงที่ดีเลยล่ะและดวงจะดีขึ้นเรื่อย ๆ หากใครที่ให้คนอื่นยืมเงินจะได้เงินคืนในเวลาไม่นาน การงานในตอนนี้ก็กำลังดีเลย ความคิดเห็นของคุณจะเป็นสิ่งที่ทุกคนยอมรับ ให้ใช้ความสามารถที่มีอยู่อย่างเต็มที่ และมีสติอยู่เสมอ ส่วนความรักยังต้องใจเย็น ๆ ไปก่อน ไม่นานอาจเจอคนที่ใช่

  • เลขนำโชค : 1, 2, 3, 8, 549, 436

 

หากเมื่อคืนใครที่ ฝันว่าอุ้มทารก ตื่นมาแล้วเกิดความสงสัย และกำลังค้นหาคำ ทำนายฝัน คงจะได้รับคำตอบจากบทความนี้ที่ ทีมกองบรรณาธิการ ABK นำมาฝากกันแล้วนะคะ

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

ฝันว่าได้ทอง จะได้จริงอย่างฝัน หรือแฝงความหมายใด!!

ฝันว่าแม่เสียชีวิต เป็นลางดีหรือลางร้ายกันแน่ เช็คเลย!!!

ฝันว่าคลอดลูก ได้ลูกชาย ลูกสาว หมายความว่าอย่างไร!!

ทำนายฝัน ฝันว่าได้แต่งงาน ฝันว่าแต่งงาน หมายถึงอะไร?

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.thairath.co.th, https://www.kapook.com, https://monohoro.com

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

Amarin Baby & Kids

ไวรัสมาร์บวร์ก

ไวรัสมาร์บวร์ก มาแล้วตระกูลเดียวกับอีโบลาน่ากลัวแค่ไหน

Alternative Textaccount_circle
event
ไวรัสมาร์บวร์ก
ไวรัสมาร์บวร์ก

ไวรัสมาร์บวร์ก มาแล้ว ตระกูลเดียวกับอีโบลาน่ากลัวแค่ไหน?

ทางการ “กานา” ยืนยันว่าพบผู้ติดเชื้อ ไวรัสมาร์บวร์ก (Marburg) จำนวน 2 รายในประเทศ ซึ่งเป็นโรคติดต่อร้ายแรงตระกูลเดียวกับ อีโบลา โดยผู้ป่วยทั้ง 2 รายได้เสียชีวิตแล้วที่โรงพยาบาล ทางภาคใต้ของประเทศ หลังจากที่ผลการตรวจไวรัสมาร์บวร์กออกมาเป็นบวก โดยสาธารณสุขกานาเผยว่า ขณะนี้มีผู้ต้องสงสัยเสี่ยงติดเชื้อไวรัสชนิดนี้เกือบ 100 ราย และอยู่ระหว่างกักตัวสังเกตอาการ แม้จะยังไม่ระบาดในประเทศไทย แต่การท่องเที่ยวไทยรับชาวต่างชาติจากทวีปแอฟริกาเป็นจำนวนมาก จึงต้องระวังให้ดี เพราะการเข้ามาของโรค ฝีดาษลิง ก็เกิดขึ้นในลักษณะเดียวกันนี้ค่ะ

สถานการณ์ทั่วโลก และในประเทศไทยของ ไวรัสมาร์บวร์ก

ไวรัสตัวนี้พบการระบาดครั้งแรกในปี พ.ศ. 2519 ที่จังหวัดแห่งหนึ่งในซูดาน  ตรวจพบเชื้อครั้งแรกในผู้ป่วยที่ติดเชื้อจากการชำแหละลิงชิมแปนซี ที่ไอวอรี่โค้ด ปี พ.ศ. 2547
โรคนี้ เป็นกลุ่มโรคที่เป็นไข้แล้วมีเลือดออกชนิดหนึ่ง อัตราการแพร่ระบาดสูง และเร็ว และอัตราค่อนข้างสูง (50-90%) สถานการณ์การแพร่ระบาดในประเทศไทยนั้น ยังไม่มีข้อมูลการป่วยด้วยโรคนี้ และโรคนี้ยังไม่อยู่ในระบบเฝ้าระวัง แต่อาจเกิดความเสี่ยงได้จากการท่องเที่ยว เพราะเชื้ออาจมาจากพื้นที่ระบาดของโรค แล้วคนจากประเทศนั้นเข้ามาในประเทศ ดังนั้น อาจต้องให้ความระมัดระวังเป็นพิเศษสำหรับบางกลุ่ม

อาการของโรค 

เป็นโรคติดเชื้อไวรัสชนิดเฉียบพลันรุนแรงที่มีอัตราป่วยตายสูงถึง 80% ไข้สูงทันทีทันใด อ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อ และปวดศีรษะมาก ตามด้วยอาการเจ็บคอ อาเจียน ท้องเสีย และมีผื่นนูนแดงตามตัว (maculopapular rash) ในรายที่รุนแรง หรือในบางรายที่เสียชีวิต อาการเลือดออกง่ายมักเกิดร่วมกับภาวะตับถูกทำลาย ไตวายอาการทางระบบประสาทส่วนกลาง และช็อก โดยอวัยวะหลายระบบเสื่อมลง โรคนี้มีระยะฟักตัวของโรค ประมาณ 2 – 21 วัน

ไวรัสมาร์บวร์ก
ไวรัสมาร์บวร์ก มาแล้ว ตระกูลเดียวกับอีโบลาน่ากลัวแค่ไหน?

การวินิจฉัยและการรักษาโรค

อาจใช้วิธี RT-PCR หรือการตรวจหาแอนติเจนโดยวิธี ELISA ในตัวอย่างเลือด นํ้าเหลือง หรือจากอวัยวะ

การวินิจฉัย มักจะเป็นการตรวจผสมผสาน ระหว่างการตรวจหาแอนติเจน หรือ RNA ร่วมกับหาแอนติบอดี IgM หรือ IgG (การตรวจพบแอนติบอดี IgM แสดงให้เห็นว่า เพิ่งพบการติดเชื้อไม่นานมานี้) การแยกเชื้อไวรัสโดยการเพาะเชื้อ  หรือการเลี้ยงในหนูตะเภา ต้องทำให้ในห้องทดลองที่มีการป้องกันอันตรายระดับสูงสุด (BSL-4)

การตรวจด้วยวิธี ELISA จะใช้เพื่อตรวจหาความเฉพาะเจาะจงกับแอนติเจนชนิด IgM และ IgG ในนํ้าเหลือง (serum) ของผู้ป่วย บางครั้งอาจตรวจพบเชื้อได้จาก การส่องด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน ในชื้นเนื้อจากตับ ม้าม ผิวหนัง หรืออวัยวะอื่น ๆ การชันสูตรศพโดยการตรวจชื้นเนื้อ (Formalin-fi xed skin biopsy) หรือการผ่าศพพิสูจน์ด้วยการตรวจหาภูมิคุ้มกัน หรือองค์ประกอบทางเคมีของเซลล์ และเนื้อเยื่อ สามารถทำได้

การตรวจหาเชื้อด้วยวิธี IFA เพื่อหาแอนติบอดี มักทำให้แปลผลผิดพลาด โดยเฉพาะในการตรวจนํ้าเหลืองเพื่อดูการติดเชื้อในอดีต เนื่องจากโรคนี้มีอันตรายต่อมนุษย์สูงมาก ดังนั้นการตรวจ และศึกษาทางห้องปฏิบัติการที่เกี่ยวข้องกับโรคนี้ ทำได้เฉพาะในระบบป้องกันอันตรายที่อาจเกิดแก่ผู้ปฏิบัติงาน รวมทั้งชุมชนในระดับสูงสุด (BSL ระดับ 4)

ส่วนการรักษานั้น ไม่มีการรักษาเฉพาะ ในรายที่มีอาการรุนแรง ต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิด ให้สารนํ้าอย่างเพียงพอ

การแพร่ระบาด

การติดเชื้อไวรัสอีโบลาของคน เกิดขึ้นจากสาเหตุ ดังนี้

ในทวีปแอฟริกา เกิดขณะจัดการ หรือชำแหละสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ที่ตายในป่า ที่มีฝนตกชุก

สำหรับไวรัสอีโบลา สายพันธุ์เรสตัน จะพบการติดต่อสู่คน โดยการสัมผัสโดยตรงกับเลือด หรือเครื่องในของลิง cynomolgus ที่ติดเชื้อ และยังไม่พบรายงานจากการติดเชื้อ ผ่านทางละอองฝอย ที่ลอยในอากาศ

การติดต่อจากคนสู่คน เกิดจากการสัมผัสโดยตรงกับเลือดที่ติดเชื้อ สารคัดหลั่ง อวัยวะ หรือนํ้าอสุจิ นอกจากนี้การติดเชื้อในโรงพยาบาล ก็พบได้บ่อย ผ่านทางเข็ม และหลอดฉีดยาที่ปนเปื้อนเชื้อ

มาตรการป้องกันโรค

  • ยังไม่มีวัคซีน หรือการรักษาแบบเฉพาะเจาะจง สำหรับทั้งไวรัสอีโบลา หรือมาร์บวร์ก
  • ควรป้องกันการมีเพศสัมพันธ์หลังการเจ็บป่วยเป็นเวลา 3 เดือน หรือจนกระทั่งตรวจไม่พบไวรัสในนํ้าอสุจิ

9. มาตรการควบคุมการระบาด 

แยกผู้ป่วยสงสัยจากผู้ป่วยอื่น ๆ และเฝ้าระวังผู้สัมผัสใกล้ชิด ใช้มาตรการป้องกันการติดเชื้อในสถานพยาบาลอย่างเข้มงวด รวมถึงดำเนินการให้ความรู้แก่ชุมชนอย่างเหมาะสมและรวดเร็ว

ขอบคุณข้อมูลจาก

สมาคมโรคติดเชื้อในเด็ก แห่งประเทศไทย , กรุงเทพธุรกิจ

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 อ่านต่อบทวามดี ๆ คลิก

WHO เตือน ไวรัสอีโบลา ระบาดซ้ำ โรคร้ายต่างแดนแม่ต้องระวัง

5 อันดับ โรคติดต่อระหว่างสัตว์และคน พ่อแม่ต้องระวังเข้ม

โรคอุบัติใหม่ คืออะไร? ทำไมถึงระบาดหนัก?

ทารก 6 เดือน กินน้ำ

ปู่ย่าให้ ทารก 6 เดือน กินน้ำ หลังกินนมจะเป็นอะไรไหม?

Alternative Textaccount_circle
event
ทารก 6 เดือน กินน้ำ
ทารก 6 เดือน กินน้ำ

ทารก 6 เดือน กินน้ำ เพราะความเชื่อโบราณ ดีจริงหรือคิดไปเอง เปิดสถิติคนไทยให้ทารกกินน้ำก่อน6เดือนเกิน80%เหตุใดหมอถึงไม่แนะนำ ความเชื่อนี้ควรไปต่อหรือพอแค่นี้

ปู่ย่าให้ ทารก 6 เดือน กินน้ำ หลังกินนมจะเป็นอะไรไหม?

กรมอนามัย เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับการให้น้ำเปล่าแก่ทารกอายุน้อยกว่า 6 เดือน ว่า มีผลการศึกษาช่วงเวลา และปัจจัยสำคัญในการเริ่มต้นเลี้ยงลูกด้วยนมผสม หรืออาหารอื่น เมื่อปี 2559 ในกลุ่มแม่และผู้ดูแลหลักของทารก และเด็กเล็กอายุ 0-ปี จำนวน 1,147 คน จาก 16 จังหวัดทั่วประเทศ พบว่า อาหารอื่นที่ทารกได้กินมากที่สุดในช่วง 6 เดือนแรก คือ น้ำเปล่า โดยแม่หรือผู้ดูแลหลักของทารกและเด็กเล็ก ร้อยละ 86.4 เคยให้ทารกกินน้ำในช่วงก่อนอายุ 6 เดือน โดยเหตุผลหลักที่ให้ทารกกินน้ำเปล่าก่อนอายุครบ 6 เดือน คือ

ทารก 6 เดือน กินน้ำ ได้ไหม
ทารก 6 เดือน กินน้ำ ได้ไหม
  1. ให้ทารกดื่มน้ำเพื่อล้างปาก ร้อยละ 55
  2. คิดว่าการกินน้ำเป็นเรื่องปกติ ร้อยละ 21.7
  3. ผู้ดูแลที่ไม่ใช่แม่ให้กิน ร้อยละ 15.6
  4. ทำให้ทารกไม่มีอาการตัวเหลือง ร้อยละ 10.7
  5. ช่วยระบบขับถ่าย ร้อยละ 10.1
  6. ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ร้อยละ 5.9
  7. คิดว่าทารกอาจหิวน้ำ คอแห้ง ร้อยละ 4.1
  8. ทารกกินนมผสม ร้อยละ 3.7
  9. ป้องกันอาการลิ้นเป็นฝ้า ร้อยละ 2.7
  10. ให้กินน้ำเมื่อมีอาการสะอึก ร้อยละ 2.7
  11. ได้รับคำแนะนำจากหมอ พยาบาล ร้อยละ 2.1
  12. คิดว่าการกินน้ำบำรุงสายตา ร้อยละ 2
  13. มีคนอื่นที่ไม่ใช่คนในครอบครัวแนะนำ ร้อยละ 2
  14. ทารกกินยา ร้อยละ 1.9
  15. เด็กเริ่มกินอาหารแล้วจึงต้องดื่มน้ำ ร้อยละ 1.6
  16. อื่นๆ ร้อยละ 4.3

อันตราย!! หากให้ ทารก 6 เดือน กินน้ำ

เหตุใดในปัจจุบันถึงมีการรณรงค์ไม่ให้ป้อนน้ำแก่ทารกก่อน 6 เดือน พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า เด็กควรได้กินนมแม่อย่างเดียวติดต่อกันตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 6 เดือน โดยไม่ต้องให้น้ำหรืออาหารอื่น เนื่องจากนมแม่เป็นอาหารที่ย่อยง่าย และถูกสร้างมาให้เหมาะสมที่สุดกับสภาพร่างกายของทารก ช่วยป้องกันการติดเชื้อในทารกแรกเกิด ลดอัตราการเสียชีวิต พัฒนาระดับสติปัญญา

การป้อนน้ำให้ทารกอันตราย เพราะทารกมีน้ำหนักน้อยมาก การได้รับน้ำมากเกินไป สามารถทำให้เกลือแร่ในร่างกายเจือจางลง และเกิดภาวะน้ำเป็นพิษ หรือ Water Intoxication ทำให้ชัก สมองบวม และเสียชีวิตได้

ข้อดีของการให้นมแม่เพียงอย่างเดียวตั้งแต่แรกเกิด -6 เดือน

หากคุณแม่ยังคงไม่สบายใจกันว่า การให้นมแม่เพียงอย่างเดียวนั้นดีจริงหรือ เราลองมาดูถึงข้อดีของการให้นมแม่เพียงอย่างเดียวจนถึงอายุ 6 เดือนกันดูว่ามีข้อดีอะไรบ้าง

  1. พัฒนาการทางสมอง งานวิจัยเผยว่าทารกที่กินนมแม่มีโอกาสในด้านพัฒนาการทางสมอง และเชาว์ปัญญา ที่ดีกว่าเด็กที่กินนมผสม สารอาหาร และวิตามินจากน้ำนมแม่ช่วยให้สมอง และเซลล์ประสาททำงานได้อย่างเต็มที่สมบูรณ์ สำหรับทารกที่คลอดก่อนกำหนดจะได้รับประโยชน์จากนมแม่เพื่อช่วยให้พัฒนาทางสมองเป็นไปอย่างปกติ และช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นโรคจิตเวชได้ในอนาคตด้วย
  2. ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันโรคที่ดี ด้วยการสร้างแอนติบอดี้ (Antibody) และภูมิคุ้มกันจากแม่ที่ส่งผ่านต่อมาทางน้ำนม มาต่อต้านอาการเจ็บป่วยทั่วไป เช่น ไข้หวัด แบคทีเรีย โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ (RSV) เป็นต้น นอกจากนี้นมแม่ยังสามารถช่วยลดการเกิดโรคภูมิแพ้ในเด็กได้ รวมไปถึงโรคร้ายแรงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เช่น โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคไหลตายในเด็กทารก (SIDS) เป็นต้น
  3. ช่วยพัฒนาการทางร่างกายให้ลูกเติบโตได้อย่างปกติ ได้รับสารอาหารที่จำเป็น และที่ร่างกายต้องการ ทำให้กระดูก และกล้ามเนื้อแข็งแรง นอกจากนี้การดูดนมแม่จากอกยังช่วยในเรื่องของสุขภาพช่องปากในเด็ก เมื่อฟันบนขึ้นจะเรียงตัวไม่ทับซ้อนกัน และไม่ผุกร่อนอีกด้วย
สารอาหารใน นมแม่
สารอาหารใน นมแม่

สารอาหารในน้ำนมแม่

สารอาหารในน้ำนมแม่มีการเปลี่ยนแปลงตามระยะเวลาหลังการคลอดเพื่อให้เหมาะสมกับตัวลูกน้อย ผ่านกระบวนการสร้างน้ำนมในร่างกายของแม่ที่เกิดจากการหลั่งฮอร์โมนกระตุ้นโดยแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่

ระยะที่ 1 (Colostrum) เป็นระยะ 1-3 วันแรก น้ำนมจะมีสีเหลือง (น้ำนมเหลือง) เนื่องจากมีแคโรทีนสูงกว่านมระยะหลังมาก น้ำนมในระยะนี้อุดมสมบูรณ์มาก มีโปรตีนที่ช่วยสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย เกลือแร่ วิตามิน สารอาหารที่จำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตของสมอง และการมองเห็นของลูก อีกทั้งยังมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อน ๆ ช่วยขับขี้เทาของลูกได้ด้วย

น้ำนมระยะที่ 2 (Transitional Milk) ในช่วงนี้น้ำนมจะเปลี่ยนเป็นสีขาวขุ่น  ซึ่งมีสารอาหารเพิ่มขึ้นทั้งไขมัน และน้ำตาลที่มีเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของร่างกาย

ระยะที่ 3 (Mature Milk) เมื่อผ่าน 2 สัปดาห์แรกแล้ว น้ำนมแม่จะมีปริมาณที่มากขึ้น และมีสารอาหารหลักที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของลูก ได้แก่

  • โปรตีน ที่มีส่วนช่วยในการยับยั้งจากเจริญเติบโตของเชื้อโรคบางชนิด เพิ่มภูมิต้านทาน และเอนไซม์ที่สามารถทำลายผนังเซลล์ของแบคทีเรียได้
  • ไขมัน ที่เป็นกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย ได้แก่ DHA (Docosahexaenoic Acid) และ AA (Arachidonic Acid) ที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาระบบประสาทและการมองเห็น
  • น้ำตาลแลคโตส โดยพบว่าในนมแม่มีโอลิโกแซคคาไรด์หรือคาร์โบไฮเดรตสายสั้น (Human Milk Oligosaccharides หรือ HMOs) มากกว่า 200 ชนิด และมีปริมาณมากกว่าปริมาณที่พบในนมวัวถึง 5 เท่า และยังพบอีกว่า HMOs ในน้ำนมแม่มีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์และแบคทีเรียที่ช่วยสร้างระบบภูมิคุ้มกันได้
  • วิตามินและแร่ธาตุที่มีความสำคัญต่อการเจริญเติบโต ได้แก่ A, B1, B2, B6, B12, C, D, E, K และแร่ธาตุซึ่งได้แก่ เหล็ก แคลเซียม ไอโอดีน เป็นต้น
ทารก 6 เดือน กินน้ำ หลังกินนมได้ไหม
ทารก 6 เดือน กินน้ำ หลังกินนมได้ไหม

นอกจากนี้ในน้ำนมแม่ยังมีสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพที่ส่งผลต่อการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย ได้แก่ แอนตี้ออกซิแดนท์ (Antioxidant) โกรทแฟคเตอร์ (Growth Factor) ที่มีส่วนช่วยในการทำงานของระบบทางเดินลำไส้ เส้นเลือด ระบบประสาท และระบบฮอร์โมนที่ควบคุมการเจริญเติบโต

หาคำตอบมาให้แล้วที่นี่!! หากคุณยังคงให้ ทารก 6 เดือน กินน้ำ ด้วยเหตุผลต่อไปนี้

เพื่อล้างปาก (55%) ป้องกันอาการลิ้นเป็นฝ้า (2.7%)

นมแม่มีสารต้านเชื้อราที่จะเกิดในช่องปากทารก และมีปริมาณน้ำตาลที่เหมาะสมต่อร่างกายของเด็ก จึงไม่จำเป็นต้องป้อนน้ำตามเพื่อล้างปาก หากคุณแม่อยากล้างปากให้ลูก แนะนำให้ใช้ผ้าอ้อมสะอาดพันที่นิ้ว ชุบน้ำต้มสุกสะอาด เช็ดเหงือก ช่องปาก กระพุ้งแก้ม ให้ลูกน้อยหลังอาบน้ำก็พอ ก็สามารถแก้ไขอาการลิ้นเป็นฝ้าของลูกได้

คิดว่าการกินน้ำเป็นเรืองปกติ (21.7%)

นมแม่มีน้ำเป็นส่วนประกอบถึง 80% ซึ่งเป็นปริมาณน้ำ และสารอาหารที่เพียงพอต่อความต้องการของทารกอยู่แล้ว ดังนั้นไม่จำเป็นที่ทารกจะต้องได้รับน้ำหลังอาหารเหมือนกับผู้ใหญ่ การที่ให้ลูกกินน้ำเข้าไปอีกยังเป็นอันตรายมากกว่าด้วยซ้ำ เพราะจะทำให้ร่างกายของทารกได้รับน้ำมากเกินไป นอกจากจะทำให้อิ่มเร็วแล้ว ยังส่งผลให้กินนมได้น้อยลง เกลือแร่ในร่างกายเกิดการเจือจาง น้ำหนักไม่ขึ้นตามเกณฑ์อีกด้วย

ทำให้ไม่มีอาการตัวเหลือง (10.7%)

จากความเชื่อนี้ของนำคำตอบของทาง เพจ นมแม่แฮปปี้ ที่ได้กล่าวเกี่ยวกับประเด็นนี้ไว้ว่า อาการตัวเหลืองเกิดจากเม็ดเลือดแดงที่แตกตัว แต่ละคนเหลืองมากน้อยไม่เท่ากัน ตับของทารกยังพัฒนาไม่เต็มที่จึงขจัดสารเหลืองออกจากร่างกายได้ช้า ซึ่งการป้อนน้ำไม่ช่วยให้หายเหลือง และนมแม่ไม่ทำให้เหลือง ส่วนทารกที่กินนมผงก็ตัวเหลืองได้สำหรับทารกที่กินนมแม่แล้วตัวเหลือง สาเหตุเพราะดูดผิดท่า อมไม่ลึก จึงไม่ได้น้ำนม หรือกินนมไม่บ่อยพอ นอนนานเกินไป หรือมีพังผืดใต้ลิ้น จึงดูดน้ำนมได้น้อย

อย่างไรก็ดี การแก้ปัญหาตัวเหลือง ไม่ควรเสริมน้ำหรือเสริมนมผง แต่ควรให้ลูกกินนมแม่บ่อย ๆ ดูดจริงจัง ไม่ตอด วันละ 8-10 มื้อ เพราะในน้ำนมส่วนหน้า มีแลคโตสช่วยให้ขับถ่ายสารเหลืองออกทางอุจจาระ

ทารกไม่กินน้ำ ตัวเหลือง จริงหรือไม่
ทารกไม่กินน้ำ ตัวเหลือง จริงหรือไม่

เหตุผลอื่น ๆ 

มีคำแนะนำ ดังนี้

  • เมื่อลูกสะอึก ปากแห้ง เหมือนหิวน้ำ ให้นมแม่แทนให้น้ำ
  • ลูกป่วยต้องกินยา ให้ลูกกินยา วิตามินในช่วง 6 เดือนแรกได้ตามจำเป็น
  • หากลูกจำเป็นต้องกินนมผง ไม่จำเป็นต้องให้น้ำเพิ่ม

เมื่อคุณพ่อคุณแม่ทราบกันอย่างที่กล่าวมาถึง สาเหตุที่ไม่ให้ทารกกินน้ำ ก่อน 6 เดือนแล้ว คงต้องช่วยกันสนับสนุน รวมถึงทำความเข้าใจกับคุณปู่คุณย่า คุณตาคุณยาย หรือผู้เลี้ยงดูลูกเราท่านอื่นที่ยังคงมีความเข้าใจผิด ๆ อยู่ โดยหากพวกท่านได้รับรู้ถึงข้อมูล ข้อเท็จจริงที่หมอได้แนะนำตักเตือนแล้ว เชื่อว่าผู้ใหญ่ทุกท่านต้องเข้าใจอย่างแน่นอน เพราะทุกคนก็หวังดีต่อลูก หลาน เหลน กันอย่างแน่นอน

ข้อมูลอ้างอิงจาก กรมอนามัย /mgronline.com/baby.kapook.com/เพจนมแม่แฮปปี้

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

4 วิธีกระตุ้นนมแม่ อย่างได้ผลดี ไม่เหนื่อย ไม่เจ็บ

โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง สำคัญแค่ไหนกับทารกแรกเกิด!

เด็กแรกเกิดตัวเหลือง อันตรายหรือไม่? รักษาอย่างไร?

7 ท่าคลานทารก เมื่อลูกน้อยคลาน ลูกเราคลานท่าไหนนะ

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

นิทานพื้นบ้านสั้นๆ

5 นิทานพื้นบ้านสั้นๆ ภาคเหนือ สืบสานวัฒนธรรมไทย

Alternative Textaccount_circle
event
นิทานพื้นบ้านสั้นๆ
นิทานพื้นบ้านสั้นๆ

นิทานพื้นบ้านสั้นๆ มรดกทางวัฒนธรรมของชาติ เรื่องราวที่ถูกเล่าต่อมาเป็นเวลาช้านาน จากรุ่นสู่รุ่น เล่าให้ลูกฟังก่อนนอน เสริมสร้างพัฒนาการด้านต่างๆให้ลูกน้อย

5 นิทานพื้นบ้านสั้นๆ ภาคเหนือ สืบสานวัฒนธรรมไทย

นิทานพื้นบ้าน ในแต่ละท้องถิ่นก็จะมีเรื่องเล่าที่แตกต่างกันไป ตามลักษณะภูมิประเทศ วัฒนธรรม และขนบธรรมเนียมประเพณี ของภูมิภาคนั้นๆ บทความนี้ ทีมกองบรรณาธิการ ABK ขอนำเสนอ นิทานพื้นบ้านสั้นๆ ภาคเหนือ มาดูกันค่ะว่า นิทานพื้นบ้านไทย ของทางภาคเหนือจะเป็นอย่างไรกันบ้าง

นิทานพื้นบ้านสั้นๆ ภาคเหนือ
นิทานพื้นบ้านสั้นๆ ภาคเหนือ

นิทานพื้นบ้านสั้นๆ ภาคเหนือ สีบสานวัฒนธรรมไทย

นิทานล้านนา เรื่อง ใครโง่กว่าใคร

หลายปีมาแล้ว มีชายผู้หนึ่งชื่อ คง”… ทิดคนนี้เคยบวชเป็นพระภิกษุหลายพรรษา… ต่อมาได้สึกและแต่งงานอยู่กินกับภรรยาจนมีบุตรคนหนึ่ง…ทิดคงและครอบครัวมีอาชีพในทางทำนา แกมีนาส่วนตัวอยู่แปลงหนึ่ง แกทำนาด้วยตนเองทุกๆปี นานี้อยู่ห่างจากบ้านของแกราว ๆ 4–5 กิโลเมตร… เวลาเช้าทิดคงจะออกไปไถนาพร้อมกับควาย ครั้นตอนสายและกลางวันลูกสาวจะเป็นผู้นำอาหารไปส่งให้เสมอ

วันหนึ่งตอนบ่าย… ภรรยาไปตลาดซื้อปลามาตัวหนึ่งเอาไปแกงส้มอร่อยมาก… นางคิดถึงสามีจึงขอร้องให้ลูกสาวช่วยนำอาหารมื้อนี้ไปส่งให้ด้วย… ลูกสาวรับของออกเดินจากบ้านไป ขณะที่เดินทางฝ่าแดดที่กำลังร้อนจัด ประกอบกับวันนั้นบุตรสาวต้องทำงานที่บ้านแต่เช้าจนบ่ายเมื่อฝ่าแดดมารู้สึกเหน็ดเหนื่อยยิ่งนัก นางจึงหยุดพักวางหม้อข้าวหม้อแกงลง นั่งพักผ่อนใต้ร่มไม้คิดว่าพอหายเหนื่อยแล้วตนจึงค่อยเดินทางต่อไป พอดีมีลมโชยมานางเลื่อนตัวเอนกายพิงกับต้นไม้ม่อยหลับไป… ขณะที่หลับนางฝันว่ามีบุตรเศรษฐีมาชอบพอและสู่ขอนางกับพ่อแม่ ได้อยู่กินกันอย่างเป็นสุข จนกระทั่งมีครรภ์ ต่อจากนั้นไม่นานนักนางก็คลอดบุตรออกมาเป็นชาย อ้วนท้วนน่ารักต่อมาเด็กคนนั้นได้ล้มป่วยลงโดยกะทันหันถึงแก่ความตาย นางร้องไห้ด้วยความเสียใจ ขณะที่ละเมอไขว่คว้าอยู่นั้น มือไปปัดเอาหม้อแกงหกเรื่ยราดหมด เลยไม่มีอาหารไปให้พ่อ…

… เมื่อนางตื่นขึ้นจึงร้องไห้กลับบ้าน เล่าเรื่องราวต่าง ๆที่เกิดขึ้นให้แม่ฟัง แม่ได้ยินดังนั้นพลอยร้องไห้เสียใจด้วยพร้อมกับรำพันว่า โธ่เอ๋ยหลานรัก เกิดมาไม่ทันไรมาด่วนตายเสียได้ ยายไม่ทันได้กอดได้อุ้ม ฮือๆๆ… พอดีขณะนั้นสามีหิวข้าวรีบเดินกลับบ้าน เมื่อมาถึงพบคนทั้งสองกำลังร้องไห้ด้วยความเสียใจจึงไต่ถามเรื่องราวเมีย พอเห็นสามีมา รีบวิ่งเข้าไปหาพร้อมกับบอกว่า ตาเอ๋ยตา หลานเกิดมาไม่ทันไรก็ตายเสียก่อน โธ่ไม่น่าเลยช่างบุญน้อยจริงๆ น่าจะคอยให้ตายายอุ้มบ้างก็ไม่ได้” ทิดคงสงสัย…ไต่ถามลูกสาวก็ทราบเรื่องราวทั้งหมด จึงพูดออกมาว่า มันฝันนี่หว่า มันจริงเมื่อไร เอ็งทำไมจึงโง่เขลาเช่นนี้”

เมื่อทิดคงเห็นว่าภรรยาและลูกสาวของตนโง่เขลายิ่งนัก… แกจึงตัดสินใจขายควาย รวบรวมเงินทองติดตัวออกเดินทางลงเรือไปยังเมืองอื่นๆ ขณะที่พายเรือไปตามแม่น้ำนั้น เขาพบชายคนหนึ่งนั่งร้องไห้อยู่จึงแวะเข้าไปถามว่า ท่านร้องไห้ทำไม” ชายผู้นั้นบอกว่า ข้าพเจ้าเอามือออกจากไหเกลือไม่ได้” ทิดคงมองเห็นชายนั้นล้วงมือลงไปในไหเกลือและกำเกลือจนเต็มกำมือปากไหนั้นแคบ เขาจึงเอามือออกไม่ได้ ทิดคงหัวเราะ บอกให้เขาปล่อยเกลือเสีย มือก็จะออกได้… ชายผู้นั้นทำตาม จึงเอามือออกได้และกล่าวคำขอบใจ พร้อมกับมอบเป็ดให้เป็นรางวัลตอบแทนหนึ่งตัว

… ทิดคงพายเรือต่อไป… เขาพบคนหมู่หนึ่งกำลังเอาเชือกผูกหัวเสาอยู่ ต่างฉุดดึงกันไปคนละทาง… ทิดคงรู้สึกสงสัยแวะเรือเข้าไปร้องถามว่า พวกท่านทำอะไรนั่น”เสามันสั้นไป เราพยายามจะดึงมันให้ยาวอีกสักหน่อย” ทิดคงบอกว่า ท่านเอ๋ย เสาดึงมันไม่ยืดออกได้หรอก ท่านต้องการจะให้เสายาวขึ้น ก็หาเสามาต่อเข้าซิ พวกนั้นปฏิบัติตามและดีใจมากที่เสายาวออกมาตามที่ต้องการ แต่ละคนได้ชมเชยต่างๆ นานาว่า ท่านช่างมีปัญญาแท้ๆ” แล้วต่างก็หาไก่มามอบให้เป็นรางวัล

… ทิดคงพายเรือต่อไปจนกระทั่งพบคนอีกกลุ่มหนึ่ง… เขาสร้างตึกก่ออิฐถือปูน เนื่องจากไม่มีหน้าต่างดังนั้นภายในห้องจึงมืด พวกนั้นต่างช่วยกันเอาตะกร้า กระบุง หีบ และถังต่างๆ ออกวางกลางแดด… พอสักครู่ก็ยกเข้าไปเทในห้องเพื่อให้ห้องสว่างขึ้น… แม้ว่าเขาจะขนสักเท่าไรห้องนั้นก็ไม่สว่างขึ้น… ทิดคงรู้สึกแปลกใจจึงร้องถามออกไปว่า ท่านทำอะไร ขนกันไม่รู้จักหมดจักสิ้น พวกนั้นบอกว่า พวกเราขนแดดไปเทในห้องเพื่อให้มันสว่างขึ้น ทิดคงหัวเราะ พร้อมกับบอกว่า สหายเอ๋ย ท่านอยากให้ห้องสว่าง ก็เจาะกำแพงหน้าต่างซิ… พอพูดจบทิดคงก็ขึ้นจากเรือไปช่วยทำหน้าต่างให้… ตึกที่มืดกลับสว่างขึ้นทันที พวกนั้นพากันไชโยโห่ร้องด้วยความยินดีและกล่าวคำชมเชยว่า ท่านช่างมีปัญญาจริงๆ… ทุกๆคนต่างรวบรวมรางวัลมอบให้เป็นที่ระลึก

… ทิดคงเริ่มรู้สึกว่าที่ตนคิดว่าภรรยาและบุตรของตนโง่นั้น… พวกที่ตนมาพบนี้ยิ่งโง่กว่าเสียอีก… ทางที่ดีควรกลับไปคืนดีกับลูกเมียเสียดีกว่า… หากลูกเมียผิดพลาดไปตนยังพอจะแนะนำสั่งสอนให้เป็นคนดีได้… ทิดคงจึงกลับบ้านอยู่กันกับภรรยาและบุตรอย่างเป็นสุขต่อไป

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
1. อันคนโง่นั้นมีอยู่ทั่วไป… อย่าคิดว่ามีแต่คนในครอบครัวเราเท่านั้น… ทางแก้ปัญญามิใช่จะหนีปัญหา… พึงใช้ปัญญาแก้ไข… เช่น อบรม สั่งสอน ชี้แนะแนวทางให้
2. คติ เหนือฟ้ายังมีฟ้า

นิทานล้านนา เรื่องย่าผันคอเหนียง

กาลก่อน ณ หมู่บ้านตั้งอยู่ในชนบท ไกลออกไปจากเมืองหลวง ชาวบ้านมีอาชีพทำไร่ ทำนาหาของป่ามาขาย หมู่บ้านแห่งนี้มีหญิงสาวรูปร่างอาภัพผู้หนึ่ง นางไม่มีชายหนุ่มผู้ใดไปเที่ยวหาเลยเนื่องจากนางคอพอกโตใหญ่น่าเกลียด ชาวบ้านเรียกนางว่า อีตาคอเหนียง

ทุกๆคืนแม้ว่านางจะนั่งปั่นฝ้ายอยู่กลางลานบ้านรอหนุ่มๆมาเที่ยวหา ก็ปรากฏว่าไม่มีใครมาหานางเลย แม้ว่าจะได้ยินเสียงร้องเพลงและเล่นดนตรีของพวกหนุ่มๆที่ผ่านมา นางคิดว่าเขาคงจะแวะมาเที่ยวหาตน แต่ปรากฏว่าหนุ่มเหล่านั้นกลับเลยไปบ้านอื่นเสียทุกๆคราว

เมื่อเป็นเช่นนี้ นางสาวตารู้สึกน้อยใจ อยากจะตายเสียให้พ้นความชอกช้ำใจ วันหนึ่งขณะที่นางเห็นปลอดคน จึงจัดการตระเตรียมเครื่องใช้ตั้งใจว่าจะเข้าไปตายในป่าเสียให้รู้แล้วรู้รอดไป บางทีความตายอาจช่วยให้ตนพ้นทุกข์ไปได้… นางมุ่งหน้าออกเดินทางเข้าป่าขึ้นเขาไป โดยตั้งใจเด็ดขาดว่าเป็นตายร้ายดีจะไม่ยอมกลับบ้าน วันที่ 14 นางบรรลุถึงกลางดงลึก ซึ่งนางเลือกว่าที่นี่คงจะไม่มีใครตามมารบกวน นางคงจะตายอย่างเป็นสุข

… เนื่องจากความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า นางล้มฟุบเป็นลมอยู่กลางดงนั้นเอง ขณะที่นางนอนสลบไสลอยู่ที่นั้น คืนวันนั้นเป็นคืนที่เหล่าผีป่าทั้งหลายตระเตรียมยืมข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ เพื่อนำไปใช้ในการจัดงานเลี้ยงดูกันตามประเพณีของตน
ผีตนหนึ่งเดินมาเห็นคอพอกของนางสาวตา มันคิดในใจว่า เราอุตส่าห์ยืมหม้อแกงที่ไหนๆก็หาไม่ได้ เพิ่งมาพบที่นี่ ผีจึงตรงคว้าเอาคอพอกของนางไป พร้อมกับพูดว่า แม่นาง ข้าขอยืมหม้อแกงหน่อยนะ เสร็จธุระแล้วจะเอามาส่งให้… นางสาวตารู้สึกตัวตื่นขึ้น เอามือคลำต้นคอของตนรู้สึกว่าคอพอกของตนที่เป็นอยู่นั้น ขณะนี้หายไปสิ้น นางรู้สึกดีใจยิ่งนัก รีบวิ่งบ้างเดินบ้างจนถึงบ้านโดยไม่เหน็ดเหนื่อย พอถึงบ้านก็เล่าเรื่องราวทั้งหลายให้เพื่อนๆฟัง

เพื่อนๆที่ทราบเรื่องคอพอกของสาวตาหาย ต่างพากันมาซักถามจนรู้ถึงเรื่องราว ณ ที่นั้น มีหญิงสาววัยกลางคนผู้หนึ่งชื่อ “ผัน” แกก็คอพอกเหมือนกัน แต่ไม่ได้โตใหญ่เท่าของสาวตา นางเองต้องการอยากให้คอพอกของตนหาย นางเฝ้าซักไซ้ไล่เลียงจนทราบความจริง…นางผันจึงออกเดินเข้าป่าไป เป็นเวลาร่วมๆสิบวัน จนถึงป่าที่นางสาวตาไปนอนสลบไสล ด้วยความเหน็ดเหนื่อยและอ่อนเพลียนางจึงแวะพักนอนกลางวันกลางทางนั่นเอง

… เมื่อผีมาดูนางสาวตาไม่พบ มันเห็นหญิงวัยกลางคนนอนแทนที่ จึงส่งหม้อนั้นคืน พอรุ่งเช้านางผันตื่นขึ้น เมื่อเอามือลูบคลำคอของตน แทนที่คอพอกของตนจะหาย กลับโตกว่าเดิมขึ้นอีกมากมาย นางร้องไห้เสียใจที่ตนเสียแรงอุตส่าห์ดั้นด้นเข้าป่ามาทั้งทีอยากจะให้คอพอกหาย… กลับกลายเป็นโตยิ่งกว่าเดิมเสียอีก เมื่อเป็นเช่นนี้นางผันไม่รู้จะทำอย่างไร… เมื่อหมดหนทางแก้ ประกอบกับนางคิดไว้ว่าวัยของตนก็ล่วงเข้ากลางคนแล้ว แม้ว่าคอจะพอกก็ไม่เห็นเป็นอะไร สู้ตนพยายามทำความดีแล้วความดีนั้นคงจะสนองให้นางเป็นสุขใจได้บ้างกระมัง…

…นับแต่นั้นมา นางพยายามประกอบกรรมดี ช่วยเหลือกิจกรรมงานของชาวบ้านโดยไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย ชาวบ้านทุกคนถึงกับออกปากสรรเสริญคุณงามความดีที่นางได้ปฏิบัติไป ถึงแม้ว่านางจะตายไปหลายปีแล้วก็ตาม ชาวบ้านยังกล่าวขวัญถึงนางเสมอว่า “ใจบุญเหมือนย่าผันคอเหนียง”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
1. ดั่งคติที่ว่า “แข่งเรือแข่งพายแข่งได้ แข่งบุญแข่งวาสนาแข่งไม่ได้”
2. โชควาสนาของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน…แต่ทุกคนสามารถสร้างโชควาสนาให้ดีให้มีมากขึ้นได้ด้วยตัวเราเอง…หากมีความตั้งใจจริง
ทิดคงเดินทางลงเรือไปยังเมืองอื่นๆ
ทิดคงเดินทางลงเรือไปยังเมืองอื่นๆ

นิทานล้านนา เรื่องคนแจวเรือจ้างกับนักศึกษา

มีนักศึกษาผู้คงแก่เรียนคนหนึ่ง ได้ทำการว่าจ้างเรือแจวให้พาข้ามฟาก ในขณะที่ท้องฟ้าเต็มไปด้วยเมฆดูมืดครึ้ม และลมเริ่มพัดจนน้ำเกิดเป็นระลอกคลื่นเล็กๆ เรือแจวได้แล่นไปอย่างช้าๆ จนเมื่อเรือได้เข้าสู่กระแสน้ำอันเชี่ยวกราด คนแจวเรือจึงต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างมาก ส่วนฝ่ายนักศึกษานั้นกำลังนั่งก้มหน้าหนังสือเล่มใหญ่อยู่ จนในที่สุดนักศึกษาก็ได้เงยหน้าขึ้นมาจากตำราแล้วมองไปยังคนแจวเรือและพูดคุย
“ลุงๆ เคยอ่านหนังสือประวัติศาสตร์บ้างไหม?” นักศึกษาเอ่ยถามขึ้น
“ไม่เคยเลยครับ” คนแจวเรือจ้างตอบด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
นักศึกษาจึงพูดขึ้นว่า “ถ้างั้นลุงก็พลาดโอกาสเสียแล้วหละ ในหนังสือประวัติศาสตร์นะลุง เต็มไปด้วยเรื่องราวที่น่าอ่าน มีเรื่องของกษัตริย์และพระราชินีในสมัยอดีต รวมถึงเรื่องของสงคราม การต่อสู้ ทำให้เราสามารถรู้ว่าคนในสมัยโบราณ ใช้ชีวิตกันแบบไหน แต่งกายกันอย่างไร ประวัติศาสตร์จะบอกให้ได้รู้ถึงความเจริญและความเสื่อมลงของชนชาติต่างๆ ทำไมลุงไม่อ่านประวัติศาสตร์บ้างเล่า?”
“ผมไม่เคยเรียนหนังสือครับ” คนแจวเรือตอบ

ในเวลานั้นคนแจวเรือก็ยังคงแจวเรือต่อไป ส่วนนักศึกษาก็ก้มหน้าอ่านตำราต่อไป คงมีแต่เสียงใบแจวกระทบพื้นน้ำเท่านั้น เมื่อผ่านไปสักครู่หนึ่ง นักศึกษาก็เอ่ยถามคนแจวเรือขึ้นอีก
“ภูมิศาสตร์เล่าลุง เคยอ่านบ้างไหม?” นักศึกษาเอ่ยถาม
“ไม่เคยเลยครับ” คนแจวเรือตอบ
นักศึกษาจึงกล่าวว่า “ภูมิศาสตร์ เป็นวิชาที่สอนให้เราได้รู้จักกับโลกและประเทศต่างๆ และยังรวมถึงกระทั่งภูเขา แม่น้ำ ลม พายุ ฝน นะลุง วิชาภูมิศาสตร์เป็นวิชาที่น่าสนใจมาก ลุงไม่รู้จักวิชานี้เลยรึ?”
“ไม่เคยเลยครับ” คนแจวเรือตอบ
นักศึกษาส่ายหน้า “ถ้าไม่รู้จักวิชานี้ ชีวิตลุงก็เหมือนไม่มีค่าอะไรเลย”
“วิทยาศาสตร์ละลุง เคยอ่านบ้างรึเปล่า”
“ไม่เคยอีกแหละคุณ” คนแจวเรือตอบ
“ลุงเนี่ยนะเป็นคนยังไงกันแน่? วิทยาศาสตร์ที่ช่วยอธิบายถึงเหตุและผลต่างๆ ลุงรู้มั้ยความก้าวหน้าของคนเราในทุกวันนี้ขึ้นอยู่กับวิทยาศาสตร์โดยตรงเลยนะ นักวิทยาศาสตร์เป็นคนที่สำคัญอย่างมากในโลกนี้เลยก็ว่าได้ แต่นี่อะไรลุงกลับไม่รู้เรื่องพวกนี้เอาเสียเลย ชีวิตของลุงช่างมีค่าน้อยเสียเหลือเกิน”
นักศึกษาปิดตำราของเขาและนั่งเงียบไม่พูดอะไรขึ้นอีก

ในช่วงเวลานั้นก้อนเมฆสีดำได้แผ่ขยายและปกคลุมเต็มไปทั่วทั้งท้องฟ้า ลมเริ่มพัดแรงขึ้น มีฟ้าแลบแปลบปลาบ เป็นเหตุบอกว่าพายุกำลังจะมา และเรือก็ยังเหลือระยะทางอีกกว่าครึ่งซึ่งไกลมากกว่าจะถึงฝั่ง

คนแจวเรือแหงนขึ้นมองท้องฟ้าด้วยสีหน้าที่หวาดหวั่น “ดูเมฆนั่นซิคุณ พายุคงจะมาถึงเราในไม่ช้า คุณว่ายน้ำเป็นไหมครับ?”
นักศึกษาพูดขึ้นอย่างตื่นตกใจกลัว “ว่ายน้ำ ผมว่ายไม่เป็นหรอกลุง”
บัดนี้คนแจวเรือเป็นฝ่ายเลิกคิ้วมองนักศึกษาอย่างประหลาดใจบ้างแล้ว และพูดว่า “อะไรกัน นี่คุณว่ายน้ำไม่เป็นหรอกรึ คุณมีความรอบรู้มากมายออกขนาดนี้ ประวัติศาสตร์เอย ภูมิศาสตร์เอย และวิชาวิทยาศาสตร์เอยคุณก็รู้ แต่ทำไมคุณถึงไม่ไปเรียนการว่ายน้ำด้วยเล่า อีกสักประเดี๋ยวเถอะ คุณก็จะได้รู้ว่าชีวิตของคุณไม่มีค่าเลย”
ลมพายุพัดแรงขึ้นเรื่อยๆ เรือแจวลำน้อยถูกคลื่นและลมโหมซัดพัดกระหน่ำใส่เข้ามา ในไม่ช้าไม่นานเรือแจวก็ถูกคลื่นและพายุซัดจนเรือพลิกคว่ำ คนแจวเรือจ้างสามารถว่ายน้ำขึ้นฝั่งมาได้อย่างปลอดภัย แต่ทว่านักศึกษาผู้น่าสงสารได้จมหายไปในกระแสน้ำอันเชี่ยวกราดนั้นแล้ว

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
อย่าได้เที่ยวไปมองคนอื่นว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้และคิดดูถูกดูแคลนว่าเขาต่ำต้อยกว่าเรา…แต่เราควรหันมามองตัวเองว่าจิตใจเรานั้นต่ำต้อยกว่าคนอื่นบ้างหรือเปล่า และพัฒนาฝึกจิตใจเราให้ดียิ่งๆขึ้นไป ความรู้ท่วมหัว…แต่เอาตัวไม่รอด ชัยชนะใดๆ ในโลกนี้ ไม่ยิ่งใหญ่เท่า…ชนะใจตนเอง

นิทานล้านนา เศรษฐีกับยาจก

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายสองคนเป็นเพื่อนกัน ชายคนแรกมีชีวิตอยู่เพียงลำพังไม่มีครอบครัวหรือญาติพี่น้อง แต่เขามีทรัพย์สมบัติ มีฐานะร่ำรวย… แต่ชายคนที่สองมีครอบครัวแต่ฐานะยากจน

อยู่มาวันหนึ่งชายคนแรกบอกกับชายคนที่สองว่าถึงเจ้าจะมีภรรยามีลูกแล้ว แต่ข้าก็ไม่เคยนึกอิจฉาเจ้าเลยเพราะว่าเจ้ายากจน ข้าแม้จะอยู่เพียงลำพังแต่ฐานะร่ำรวยกว่าเจ้า” ชายคนที่สองกลับบอกว่า แม้เจ้าจะมีฐานะร่ำรวย มีทรัพย์สินเงินทองมาก แต่ข้าก็ไม่นึกอิจฉาเจ้าเหมือนกัน เพราะข้ามีภรรยา มีลูก ข้ามีข้าวกิน มีลูกหลานคอยปรนนิบัติดูแลข้าอย่างใกล้ชิด… แต่เจ้าต้องอยู่โดดเดี่ยวและทำงานเองทุกอย่าง ไม่มีคนช่วย” ชายคนแรกก็บอกอีกว่า แต่บ้านข้ามีทุกอย่างที่บ้านเจ้าไม่มี”

ดังนั้นเมื่อต่างคนต่างก็เห็นว่าตัวเองมีชีวิตที่สุขสบายกว่า ชายคนที่สองจึงออกความเห็นว่าให้เปลี่ยนกันไปกินข้าวบ้านละเมื้อ โดยไปกินข้าวที่บ้านของคนแรกก่อน พอไปถึงบ้านของชายคนแรกพบว่าภายในบ้านมีทรัพย์สมบัติทุกอย่างครบถ้วน แต่เขาไม่มีคนช่วยงานบ้านเลย ต้องทำงานทำอาหารเองทุกอย่าง เขาจึงต้องเหนื่อยเพียงคนเดียว

ต่อมาวันรุ่งขึ้นก็เปลี่ยนไปกิน ข้าวที่บ้านของชายคนที่สองต่อ ชายคนแรกจึงพบว่าชายคนที่สองแทบจะไม่ได้ทำอะไรเลย เขาเพียงแต่นั่งอยู่เฉยๆพูดเคยกับเขาบ้าง พูดกับลูกหลานบ้างอย่างมีความสุข ลูกๆของเขาเป็นคนจัดการทุกอย่าง กวาดบ้าน เลี้ยงสัตว์ ทำอาหาร พอถึงเวลากินข้าว ลูกๆก็เข้ามาอุ้มชายคนที่สองและภรรยาไปกินข้าว พอกินได้สักช่วงชายคนที่สองก็บ่นว่าหนาว อยากไปกินข้าวข้างนอก ลูกๆจึงยกสำรับกับข้าวไปไว้หน้าบ้าน และอุ้มพ่อแม่ไปด้วยต่างคนต่างช่วยกัน โดยไม่เกี่ยงกันแต่พอกินได้สักพักก็บ่นว่าร้อนอีกลูกๆก็ช่วยกันเคลื่อนย้าย เข้าไปในบ้านอีก

… หลังจากกินข้าวเสร็จชายคนที่สองจึงถามชายคนแรกว่า เจ้ารู้หรือยังว่าใครสุขสบายที่สุด เพราะข้าไม่ต้องทำอะไรเลย…มีคนช่วยเหลือข้าทุกอย่างไม่ว่าข้าจะเคลื่อนไหวไปทางใดข้าเปรียบเสมือน… กษัตริย์ที่มีบริวารให้รับใช้มากมาย… ในขณะที่เจ้ามีเงินทองแต่ไม่มีความสุขเลย เพราะเจ้าต้องเหนื่อยไม่มีบริวารให้รับใช้เหมือนข้า ข้าจึงไม่อิจฉาเจ้าเลย”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
การอยู่เพียงลำพังไม่มีครอบครัวหรือญาติพี่น้อง… ทำให้ลำบาก เหนื่อยต้องทำเอง ถ้าไม่ทำก็ไม่มีกิน
แต่ถ้ามีครอบครัวดี…ก็เหมือนกษัตริย์ มีลูกหลานคอนดูแลอย่างใกล้ชิดแทบไม่ต้องทำอะไรเลย

 

นิทานล้านนา เรื่องคนคดดีหรือคนซื่อดี

มีชายสามคนซึ่งเป็นเพื่อนกัน… อยู่มาวันหนึ่งก็ได้ชวนกันไปเที่ยวหมู่บ้านอื่น พอไปได้ครึ่งทางเก็บเงินได้ …ชายอีกสองคนนั้นคิดไม่ซื่อกับเพื่อนอีกคนหนึ่ง โดยการออกเสียงว่า คนคดกับคนซื่ออย่างไหนจะดีกว่า เพื่อนอีกคนบอกว่า คนซื่อดีกว่า แต่อีกสองคนที่ได้วางแผนกันไว้ก็บอกว่า คนคดดีกว่า… สรุปแล้วสองคนนี้จึงชนะ เลยไม่แบ่งเงินให้เพื่อนคนที่บอกว่าคนซื่อดีกว่า

ในระหว่างการเดินทางพวกเขาก็ได้เข้าพักหมู่บ้านร้างแห่งหนึ่ง คนที่ถูกรังแกฝันว่าเห็นเทพองค์นาง และเทพบอกกับเขาว่าในเมืองนี้มีพระธิดาทรงป่วย ไม่มีใครรักษาได้ ให้เจ้าเอาฟืน 3 มัด ไปเผาก้อนหินก้อนใหญ่ๆ ที่อยู่ใกล้ๆ เมือง พอก้อนหินไหม้ก็จะกลายเป็นแม่น้ำ ชาวบ้านก็ได้ทำนาอาการของพระธิดาก็จะหายจากการป่วย

พอรุ่งขึ้นมาเขาได้ทำตามที่เทพบอกและทุกอย่างก็เป็นจริง พระราชาทรงพระราชทานรางวัลให้ชายคนนี้ พอเพื่อนอีกสองคนเห็นก็มาหา แล้วถามว่า เจ้าทำอย่างไรถึงได้ดีขนาดนี้ ชายคนนี้ก็บอกว่า ข้าเป็นคนซื่อข้าก็ได้ดี เจ้าสองคนละเป็นอย่างไรบ้าง ไหนว่าคนคดดีกว่าไม่ใช่หรือทำไมถึงมีสภาพอย่างนี้” และเขาก็หัวเราะดังๆออกมาอย่างมีความสุข

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“ซื่อกินไม่หมด…คดกินไม่นาน”

นิทาน ที่ ทีมกองบรรณาธิการ ABK นำเสนอนี้ ได้สอดแทรกให้เห็นถึงวัฒนธรรม ความเป็นอยู่ ของผู้คนทางภาคเหนือผ่าน นิทานเรื่องสั้น ๆ ที่ปู่ย่าตายายเล่าให้ลูกหลานฟัง คงจะถูกใจคุณพ่อคุณแม่กันนะคะ

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

5 นิทานพื้นบ้าน ซึมซับความเป็นไทย พร้อมคติสอนใจ!!

โสนน้อยเรือนงาม นิทานยาวๆ เล่าให้ลูกฟังก่อนนอน

นิทานเจ้าหญิง นิทานเสริมสร้างจินตนาการสำหรับลูกสาว

10 นิทานอีสปสั้นๆ เล่าให้ลูกฟังก่อนนอน พร้อมคติสอนใจ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : https://nitanstory.com

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

Amarin Baby & Kids

โรคลืมใบหน้า

แบรด พิตต์ป่วย โรคลืมใบหน้า คืออะไรน่ากลัวแค่ไหน

Alternative Textaccount_circle
event
โรคลืมใบหน้า
โรคลืมใบหน้า

แบรด พิตต์ป่วย โรคลืมใบหน้า คืออะไรน่ากลัวแค่ไหน

“แบรต พิตต์” นักแสดงฮอลลิวูด ชื่อดัง เจ้าของรางวัลออสการ์นักแสดงสมทบชาย ระบุว่าตัวเองนั้นกำลังเป็น โรคลืมใบหน้า !! โดยตัวเค้านั้นมีอาการ คือ ไม่สามารถจดจำใบหน้าของผู้คนได้ และบางครั้งก็ลืมแม้กระทั่งใบหน้าตัวเอง โรคนี้คือ อะไร น่ากลัวแค่ไหน มาเช็คกันค่ะ ว่าคุณพ่อคุณแม่มีสิทธิเป็นโรคนี้ไหม

โรคลืมใบหน้า คืออะไร

โรคนี้ หมายถึง อาการที่ไม่สามารถจดจำใบหน้าของใครได้เลย แม้แต่คนใกล้ชิด อย่าง พ่อแม่ ญาติ และเพื่อน โรคนี้มักจะเป็นกันตั้งแต่กำเนิด และมีแนวโน้มที่จะเป็นไปตลอดชีวิต แม้ว่าส่วนใหญ่แล้ว ผู้ป่วยโรคลืมใบหน้านั้น อาจจะไม่สามารถจดจำได้แค่เฉพาะใบหน้าของมนุษย์ด้วยกัน แต่ก็มีบางส่วน ที่อาการนั้นจะครอบคลุมไปถึงความสามารถในการจดจำ และรับรู้สิ่งต่าง ๆ รอบตัว เช่น สัตว์เลี้ยง รถยนต์ หรือสิ่งของเครื่องใช้อีกด้วย

ผู้ป่วยโรคลืมใบหน้าส่วนใหญ่ มักจะมีเทคนิคในการจดจำคน แทนการจำใบหน้า ด้วยการจำลักษณะท่าทาง การพูด การแสดงออก รูปร่าง การแต่งกาย ทรงผม เสียง หรืออะไรก็ตามที่เป็นเอกลักษณ์ เพื่อให้พวกเขาสามารถแยกแยะคนออกจากกันได้ แต่เทคนิคเหล่านี้ ใช่ว่าจะสามารถใช้ได้กับทุกคน และอาจจะไม่ได้ผลทุกครั้ง ยิ่งโดยเฉพาะเวลาที่ต้องพบเจอกับคนใหม่ ๆ

โรคลืมใบหน้า
แบรด พิตต์ป่วย โรคลืมใบหน้า คืออะไรน่ากลัวแค่ไหน

ภาวะจดจำใบหน้าไม่ได้ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท

1. ภาวะจดจำใบหน้าไม่ได้ ที่เป็นมาแต่กำเนิด Developmental Prosopagnosia ซึ่งผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีอาการตั้งแต่เด็ก ทำให้จดจำใบหน้าคนได้ล่าช้าแต่พัฒนาการส่วนอื่นมักจะปกติ

2. ภาวะจดจำใบหน้าไม่ได้ที่เป็นภายหลัง Acquired Prosopagnosia ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บของสมองที่มักเป็นซีกขวา เกิดในวัยผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น การเกิดหลอดเลือดสมองตีบ หรือแตก, การติดเชื้อ, การอักเสบจากภาวะแพ้ภูมิตนเอง, เนื้องอกสมอง, อุบัติเหตุทางสมอง หรือแม้กระทั่งสมองเสื่อมบางชนิด ก็มีโอกาสทำให้เกิดภาวะนี้ได้ทั้งสิ้นอาการหลัก คือ ผู้ป่วยจะจดจำใบหน้าคนไม่ได้ แม้เป็นคนที่รู้จักมักคุ้นมาก่อน เช่น ญาติพี่น้องที่ใกล้ชิด โดยมักจะยังจำเกี่ยวกับตัวตนบุคคลนั้นได้ โดยการเล่าจากลักษณะต่าง ๆ ให้ฟัง หรืออาจคาดเดาจากเสียง  ท่าเดิน หรือลักษณะการแต่งตัวได้

อาการ

  • ไม่สามารถจดจำใบหน้าของคนใกล้ชิดได้ ไม่สามารถนึกหน้าของคนที่รู้จักได้ แม้ว่าจะใกล้ชิดสนิทสนมเพียงใด
  • สับสนกับตัวละครในหนัง ผู้ป่วยมักจะไม่ชอบที่จะดูภาพยนตร์ หรือละคร เนื่องจากมักจะสับสน และไม่สามารถแยกแยะตัวละครออกจากกันได้
  • จำไม่ได้แม้แต่หน้าตัวเอง บางคนอาจจะไม่สามารถจดจำได้แม้แต่กระทั่งกับใบหน้าของตัวเอง โดยเฉพาะเวลามองมองรูปถ่าย แล้วไม่สามารถระบุได้ว่าตัวเอง คือคนไหน
  • จำไม่ได้หากคุณเปลี่ยนทรงผม ผู้ป่วยส่วนใหญ่ มักจะใช้วิธีในการจดจำทรงผม แทนการจำใบหน้า ดังนั้นหากเปลี่ยนทรงผม ก็อาจทำให้พวกเขาไม่สามารถจำได้

ผลกระทบจากการเป็นโรคนี้

ผลกระทบที่สำคัญ คือ

  • การสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่น เนื่องจากพวกเขาไม่สามารถจดจำใบหน้าผู้อื่นได้ และการจะหวังพึ่งการจำทรงผม เสื้อผ้า น้ำเสียง หรือท่าทาง ก็ไม่สามารถช่วยได้เสมอไป ดังนั้นการจะสานสัมพันธ์กับผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนรัก หรือเพื่อนร่วมงานจึงเป็นไปได้ยาก
  • ส่งผลกระทบได้ถึงหน้าที่การงาน เพราะการไม่สามารถจดจำใบหน้าได้ เป็นการจำกัดเส้นทางใช้ชีวิตบางส่วนไป เช่น การจะไปติดต่อลูกค้า หากไม่สามารถจำหน้าลูกค้าได้ ก็อาจจะส่งผลให้เกิดปัญหาในภายหลัง
  • ส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมการแสดงออกของผู้ที่เป็นโรคนี้ ผู้ที่เป็นโรคลืมใบหน้านั้น มักจะหลีกเลี่ยงการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น จนสุดท้าย ก็กลายเป็นโรคหวาดกลัวการเข้าสังคมไปในที่สุด และยิ่งหากไม่สามารถจดสิ่งของรอบตัวได้ ก็จะสิ่งสร้างปัญหาในการใช้ชีวิตประจำวันขึ้นอีกด้วย

การรักษา

ทั้งนี้ หากสงสัยว่ามีคนใกล้ชิดมีภาวะจดจำใบหน้าไม่ได้ หรือมีความผิดปกติด้านการมองเห็นอื่น ๆ ร่วมด้วย ควรรีบพาไปพบแพทย์ทันที เพื่อประเมินอาการ ตรวจวัดระดับสายตา ลานสายตา ตรวจวัดการมองเห็น ทำแบบทดสอบสมรรถภาพสมอง และตรวจภาพถ่ายรังสีสมอง เพื่อวินิจฉัยสาเหตุ และอาจพิจารณาส่งปรึกษาแพทย์ประสาทวิทยาเพื่อให้การประเมินเพิ่มเติม

สำหรับการรักษา จะเน้นการรักษาตามสาเหตุเป็นหลัก เช่น การผ่าตัดเลือดออกในสมอง หรือเนื้องอก การให้ยาต้านอักเสบหรือฆ่าเชื้อ

ในกรณีเกิดจากสาเหตุแต่กำเนิด หรือสมองเสื่อม จะเน้นรักษาตามอาการ โดยการฝึกจดจำใบหน้า โดยนักกิจกรรมบำบัด เป็นต้น

ขอบคุณข้อมูลจาก

Hello คุณหมอ, คมชัดลึก, ไทยรัฐ ออนไลน์

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 อ่านต่อบทความ ดี ๆ คลิก

ทำไมแม่หลังคลอดขี้ลืม ความจำสั้น หรือคือสัญญาณของความจำเสื่อม

ระวังเด็กถูกลืม! 9 ข้อสำคัญต้องท่องจำเมื่อพาลูกเที่ยว

ขี้ลืม หรือ สมาธิสั้น ..ลูกทำอะไรๆ หายตลอด

เพราะเวลาทั้งหมดเพื่อลูก! ระวัง”แม่ฟลูไทม์” ซึมเศร้า

Alternative Textaccount_circle
event

ซึมเศร้า โรคใกล้ตัวกว่าที่คิด เมื่อผลสำรวจพบ แม่ฟลูไทม์ มีภาวะซึมเศร้ามากกว่าแม่ที่ไปทำงานเสียอีก มาดูวิธีจัดการอารมณ์ให้เราเป็นแม่ที่แกร่งที่สุดในปฐพีกัน

เพราะเวลาทั้งหมดเพื่อลูก! ระวัง”แม่ฟลูไทม์” ซึมเศร้า

แม่ฟลูไทม์ (Full Time) อาชีพใหม่ที่ผู้หญิงหลาย ๆ คนเลือก เพื่อต้องการทุ่มเทชีวิต จิตใจ และเวลา ให้ลูกน้อยของเราให้ได้เติบโตขึ้นมาภายใต้การดูแลของผู้หญิงที่มีความหวังดีกับลูกมากที่สุด ผู้หญิงที่ถูกเรียกว่า “แม่”

อาชีพ แม่ฟลูไทม์ เป็นอาชีพที่ไม่มีให้เลือกอยู่ในช่องกรอกตำแหน่งใด ๆ แต่รู้หรือไม่ว่า กลับกลายเป็นอาชีพที่มีหน้าที่ตลอดแทบทั้งวัน ไม่มีวันหยุด ยิ่งกว่าร้านสะดวกซื้ออีกนะเออ แม้จะเป็นหน้าที่ที่ดูเหมือนหนักหนามากแค่ไหนก็ตามที แต่แม่ทุกคนก็ทำด้วยความเต็มใจ และยังมีผู้หญิงที่เป็นแม่อีกหลาย ๆ คนแอบอิจฉา กับการได้เป็นแม่ที่เลี้ยงดูลูกได้เต็มเวลา

เมื่อลูกเกิด แม่บางคนตัดสินใจทิ้งงาน มาเป็นแม่เต็มเวลา
เมื่อลูกเกิด แม่บางคนตัดสินใจทิ้งงาน มาเป็นแม่เต็มเวลา

ข้อดีของการเป็นแม่ (พ่อ) ฟลูไทม์

การที่เด็กได้รับการดูแลอย่างเต็มที่ไม่ว่าจะเป็นแม่หรือพ่อก็ตามนั้น ส่งผลดีต่อเด็กในทุกช่วงอายุทั้งในด้านของพฤติกรรม และพัฒนาการเรียนรู้ อีกทั้งยังส่งผลดีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยเฉพาะในระดับประถมศึกษา วัยที่เป็นการเรียนรู้พื้นฐานด้านวิชาการ และพัฒนาการหลากหลายด้าน ในแง่ของความประพฤติ ยังพบว่าเด็มีความเครียดน้อยกว่า และก้าวร้าวน้อยกว่าอีกด้วย

หากลองจำแนกข้อดีของการเลี้ยงลูกแบบเต็มเวลาแล้ว ได้ข้อดีดังต่อไปนี้ (ใครมีข้อดีเพิ่มเติมจากนี้สามารถบอกกล่าวต่อกันอีกได้นะ)

  1. ได้เห็นพัฒนาการทุกช่วงเวลาของลูก นอกจากเราจะได้เห็นการเจริญเติบโตของลูกทางด้านร่างกายแล้ว ยังได้เป็นผู้ร่วมก่อร่างสร้างพัฒนาการด้านจิตใจ อารมณ์ สติปัญญาให้แก่เขาในแนวทางที่เราเห็นว่าเหมาะกับลูกอีกด้วย ช่วงเวลาที่ได้เห็นลูกคลานครั้งแรก พูดได้คำแรก และอีกหลาย ๆ พัฒนาการนั้น ช่างเป็นช่วงเวลามีค่า ที่แม่จะจดจำไปไม่ลืมจริง ๆ
  2. ได้ดูแลโภชนาการของลูกด้วยตนเอง การได้ทำอาหารให้ลูกรับประทานนั้น นอกจากจะสามารถดูแลโภชนาการที่ดีให้กับลูกแล้ว คุณยังสามารถมีโอกาสได้สังเกตอีกด้วยว่าลูกแพ้อาหารชนิดใดบ้าง หรือไม่
  3. ปลอดภัย แน่ละว่า ไม่มีใครรัก และเลี้ยงลูกของเราได้ดีเท่าตัวแม่เอง การที่แม่สามารถเลี้ยงลูกได้เอง ไม่ได้ไปฝากให้ใครเลี้ยงให้ย่อมมีความปลอดภัย ทั้งต่อร่างกาย ไม่ต้องกลัวลูกถูกทำร้าย และต่อจิตใจของลูก

เห็นข้อดีกันไปมากมายแบบนี้แล้ว คุณแม่บ้านไหนที่ไม่สามารถเลี้ยงลูกได้เต็มเวลาก็อย่าเพิ่งอิจฉากันไปเลย เพราะในความโชคดีที่ได้เป็นแม่ฟลูไทม์นั้น ก็แฝงไปด้วยเรื่องเครียด และข้อเสียในแบบที่คุณแม่ที่ได้ไปทำงานไม่อาจรู้

แม่ฟลูไทม์ ได้เห็นทุกพัฒนาการของลูก
แม่ฟลูไทม์ ได้เห็นทุกพัฒนาการของลูก

แม่ฟลูไทม์ กับอาการ ซึมเศร้า !!

จากการสำรวจความคิดเห็นของบรรดาคุณแม่ในสหรัฐอเมริกา ที่มีอายุระหว่าง 18-64 ปี ทางโทรศัพท์ พบว่า คุณแม่ฟลูไทม์นั้น มีโอกาสเกิดอารมณ์ในเชิงลบได้มาก ซึ่งอาจเทียบเท่าหรือมากกว่าคุณแม่ที่ต้องทำงานประจำ

โดยจากผู้ร่วมตอบแบบสอบถามจำนวน 60,799 ราย พบว่า แม่ฟลูไทม์ และแม่ที่ทำงานนั้นมีปัญหาเรื่องดังต่อไปนี้ แตกต่างกัน

  • วิตกกังวล มี 41%ของแม่ฟลูไทม์ ระบุว่า ตนเองเป็นคนช่างวิตกกังวล และ 34%ของแม่ทำงานเท่านั้นที่รู้สึกถึงอาการนี้
  • ภาวะซึมเศร้า แม่ฟลูไทม์เคยเกิดภาวะซึมเศร้า 28% เทียบกับแม่ที่ทำงานที่มีเพียง 17%
  • ความรู้สึกในแง่บวกกับตนเอง พบในแม่ทำงานถึง 91% ส่วนแม่ฟลูไทม์มีเพียง 86%

นอกจากอารมณ์ซึมเศร้า และความวิตกกังวลแล้ว ความเครียด และอารมณ์โกรธก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ผลสำรวจชี้ว่าแม่ฟูลไทม์มีสูงกว่าแม่ทำงานด้วย

ดร.Robi Ludwig นักจิตวิทยาชื่อดังในนิวยอร์ก เผยว่า “การอยู่โดดเดี่ยว คือ สัญญาณอันตราย เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม การที่มนุษย์แยกตัวอยู่คนเดียว จะยิ่งเพิ่มความรู้สึกไม่ดีให้กับตัวเอง มองเห็นสิ่งต่างๆ รอบตัวไม่ถูกใจ หรืออาจกล่าวได้ว่า การอยู่อย่างโดดเดี่ยวนั้นจะทำให้ผู้คนมองโลกในแง่ลบ และอาจเกิดการทำร้ายตัวเองได้”

ดังนั้นการที่แม่ฟลูไทม์เกิดความรู้สึกในแง่ลบขึ้นได้โดยง่าย สาเหตุมาจากการต้องเลี้ยงดูลูกอยู่เพียงลำพัง ทำให้มีโอกาสพูดน้อยลง ได้พบปะสังสรรค์น้อยลง ภาระงานต่าง ๆ ในบ้านก็อยู่ในความดูแลเพียงคนเดียว เรียกได้ว่าต้องแบกภาระหน้าที่บนบ่าเพียงลำพัง ทั้งการเลี้ยงลูก การทำงานบ้าน การดูแลเรื่องอาหารให้กับคนในครอบครัว ซึ่งเป็นงานที่ไม่มีวันเสร็จเสียด้วย ทำให้แม่ฟลูไทม์นั้นไม่มีโอกาสที่จะได้รู้สึกถึงความสุข ความร่าเริง ในชีวิต

แม่ฟลูไทม์ มีภาวะ ซึมเศร้า สูงกว่าแม่ทำงาน
แม่ฟลูไทม์ มีภาวะ ซึมเศร้า สูงกว่าแม่ทำงาน

ซึมเศร้า เรื่องใหญ่ อย่า! ละเลย

โรคซึมเศร้าเกิดจากความผิดปกติของสมองในส่วนที่มีผลกระทบต่อความคิด อารมณ์ ความรู้สึก พฤติกรรม รวมถึงสุขภาพทางกาย แต่ที่คนส่วนใหญ่รู้เกี่ยวกับโรคซึมเศร้าก็มักจะนึกถึงเพียงอาการหรือสภาพจิตใจที่เปลี่ยนไป จึงคิดว่าโรคซึมเศร้าเกิดจากความผิดหวัง หรือการได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจ และจะสามารถรักษาหรือแก้ไขได้ด้วยการให้กำลังใจ ซึ่งในความจริงแล้ว โรคซึมเศร้าเป็นโรคที่เกิดจากความไม่สมดุลของสารสื่อประสาท 3 ชนิด คือ ซีโรโตนิน นอร์เอปิเนฟริน และโดปามีน จึงจำเป็นที่ต้องได้รับการรักษาจากจิตแพทย์ เพราะนอกจากจะต้องบำบัดอย่างถูกวิธีแล้ว ยังอาจจะต้องใช้ยาในการรักษาร่วมด้วย

ซึมเศร้า ไม่ใช่ก็แค่…เศร้า!

ปัจจุบันโลกของเรามีประชากรราว 7.6 พันล้านคน และมีคนเป็นโรคซึมเศร้าถึง 300 ล้านคน หรือเกือบ 4% เลยทีเดียว ส่วนในคนไทยเองนั้นพบว่ามีผู้ป่วยโรคซึมเศร้าถึง 1.5 ล้านคน หรือ 2.2% ของคนไทยทั้งหมด 69 ล้านคน และน่าตกใจว่าคนไทยฆ่าตัวตายสำเร็จถึง 4,000 คนต่อปี ซึ่งสาเหตุสำคัญของการฆ่าตัวตายก็คือโรคซึมเศร้านั่นเอง

ปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าประกอบไปด้วยพันธุกรรม สิ่งแวดล้อม และการใช้ชีวิต

  • หากมีฝาแฝดคนหนึ่งเป็นโรคซึมเศร้า หรือ bipolar ฝาแฝดอีกคนมีโอกาสเป็นสูงถึง 60-80%
  • หากคนในครอบครัวที่เป็นญาติสายตรง (พ่อ แม่ พี่ น้อง) ที่เป็นโรคซึมเศร้า ก็จะมีโอกาสเป็นมากกว่าคนทั่วไป 20%
  • อาจสรุปได้ว่าระหว่างพันธุกรรมกับสิ่งแวดล้อม ปัจจัยที่ส่งผลให้เป็นโรคซึมเศร้านั้นเป็นสัดส่วนอยู่ที่ 40:60%
  • การใช้ยาบางอย่างก็ส่งผลให้เกิดอาการซึมเศร้าได้ เช่น ยานอนหลับบางตัว ยารักษาสิว ยาแก้อักเสบ ยาแก้ปวด สารเสพติดหรือแอลกอฮอล์

9 ข้อสำรวจเข้าข่ายโรคซึมเศร้า
การสังเกตตัวเองหรือคนรอบข้างว่าเข้าข่ายโรคซึมเศร้าหรือไม่ สามารถตรวจจากข้อสำรวจง่ายๆ 9 ข้อนี้ ซึ่งข้อสำรวจนี้ก็ คือ เกณฑ์ที่แพทย์ใช้ในการวินิจฉัยโรคซึมเศร้า หากมีอาการ 5 ข้อขึ้นไป โดยต้องมีข้อ 1.) และ/หรือข้อ 2.) อยู่ด้วย หากอาการ 5 ใน 9 ข้อดังกล่าวเป็นยาวนานติดต่อกันเกินกว่า 2 สัปดาห์ ก็เข้าข่ายเสี่ยง ควรปรึกษาจิตแพทย์ เพื่อวิเคราะห์และหาแนวทางแก้ไขหรือรักษาต่อไป

งานบ้าน ไม่ใช่เรื่องของแม่บ้านคนเดียว
งานบ้าน ไม่ใช่เรื่องของแม่บ้านคนเดียว
  1. รู้สึกเศร้า เบื่อ ท้อแท้ หรือหงุดหงิดง่ายอย่างต่อเนื่อง
  2. เลิกสนใจสิ่งที่เคยชอบมากๆ หรือไม่อยากทำสิ่งที่เคยชอบทำ
  3. พฤติกรรมการกินเปลี่ยนไป กินมากไป กินน้อยไป จนทำให้น้ำหนักขึ้นหรือลงผิดปกติ
  4. จากที่เคยหลับง่ายก็หลับยากขึ้น หรือไม่ก็นอนมากเกินไป
  5. มีอาการกระวนกระวายหรือเฉื่อยชาที่แสดงออกให้เห็นชัด
  6. รู้สึกหมดเรี่ยวแรง ไม่มีพลัง ไม่อยากลุกขึ้นมาทำอะไรเลย
  7. รู้สึกไร้ค่าหรือรู้สึกผิด โทษตัวเองในทุกๆ เรื่อง
  8. ไม่มีสมาธิในการทำสิ่งต่างๆ มีปัญหาเรื่องการคิดหรือตัดสินใจ
  9. คิดถึงความตายหรืออยากตาย หรืออยากฆ่าตัวตายบ่อย ๆ

ดูแลตัวเองไม่ให้เป็นโรคซึมเศร้า

  1. หมั่นดูแลตนเองให้มีสุขภาพดี ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกาย พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ กินอาหารถูกสุขลักษณะ ไม่ใช้สารเสพติด ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ และเข้ารับการตรวจสุขภาพอย่างน้อยปีละครั้ง
  2. ในด้านจิตใจ ฝึกให้เป็นคนคิดบวก มองโลกในแง่ดี ไม่คิดร้ายกับใคร ไม่กล่าวโทษตัวเองไปซะทุกเรื่อง ควรหางานอดิเรก คลายเครียด เข้าชมรมต่างๆ ที่เหมาะกับวัย หรือเป็นจิตอาสา ทําสิ่งที่ทำให้รู้สึกตัวเองมั่นใจ มีคุณค่า รู้ว่าใครรักและเป็นห่วงก็ให้อยู่ใกล้คนๆ นั้น และให้อยู่ห่างจากคนที่ไม่ถูกใจ
  3. ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต ควรหาเวลาออกไปทำกิจกรรมที่สนุกสนาน ไม่เคร่งเครียดหรือทำงานหนักเกินไป ไม่ไปอยู่ในสถานการณ์หรือดูข่าวร้ายที่ทำให้จิตใจหดหู่ หากมีการใช้ยาเพื่อรักษาโรคใดๆ อยู่ไม่ควรหยุดยาเอง โดยเฉพาะถ้ารักษาโรคด้านจิตเวชอยู่ควรกินยาตามแพทย์สั่ง อย่าได้ขาดหรือหยุดยาเอง
ที่มาจาก www.phyathai.com

มีเวลาส่วนตัวบ้าง ช่วยแม่ฟลูไทม์ห่างไกลโรคซึมเศร้า

จริงอยู่ว่าสำหรับแม่แล้ว ลูกคือหัวใจสำคัญ ลูกย่อมมาก่อนเสมอ แต่การมีเวลาส่วนตัวให้ได้พักผ่อนหย่อนใจ วางภาระลงจากบ่าบ้างบางครั้ง ก็มีความสำคัญต่อจิตใจ ช่วยเพิ่มความสุข ส่งผลต่ออารมณ์ที่ดี ผ่อนคลาย และยังเป็นการชาร์จพลังให้เราเพิ่ม เพื่อไว้สู้ต่อได้เป็นอย่างดี

คุณแม่ลองมาสำรวจตัวเองว่าไม่ได้ออกไปช้อปปิ้งคนเดียวมานานแค่ไหนกัน??? เรามาทวงคืนเวลาส่วนตัวของแม่ฟลูไทม์กันดูดีไหม

แบ่งปันให้พ่อช่วยเลี้ยงลูก ลดภาวะ ซึมเศร้า ของแม่ฟลูไทม์
แบ่งปันให้พ่อช่วยเลี้ยงลูก ลดภาวะ ซึมเศร้า ของแม่ฟลูไทม์

สูตรไม่ลับ เพื่อให้แม่มีเวลาส่วนตัว

  • ลดความคิดที่ว่า Oneman show งานบ้านไม่จำเป็นต้องเป็นงานแม่ฟลูไทม์เท่านั้น ลองพูดคุยกับคนในบ้าน ให้ช่วยแบ่งหน้าที่งานบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ไป คุณแม่สามารถแบ่งภาระงานบ้านให้ลูกช่วยทำตามวัยที่เหมาะสมได้อีกด้วย เพื่อเป็นการฝึกความรับผิดชอบให้กับลูก และคุณแม่จะได้สามารถจัดสรรเวลาสำหรับตัวเอง
  • เวลาส่วนตัวของแม่ไม่ใช่ความผิด หรือบกพร่อง แม่หลาย ๆ คนมักคิดว่า งานบ้านเป็นงานที่ไม่ได้รับความสำคัญ เป็นงานสบายอยู่บ้านทั้งวัน จึงไม่มีสิทธิ์ที่จะได้รับวันหยุด โดยเฉพาะสังคมชาวเอเซีย เช่น ญี่ปุ่นที่มักให้ความสำคัญกับงานนอกบ้านที่สามารถทำเงินได้ของผู้ชาย แต่ละเลยความสำคัญของงานบ้าน จึงเป็นธรรมเนียมปฎิบัติที่พ่อบ้านญี่ปุ่นมักไม่เคยช่วยงานบ้าน หรือช่วยแบ่งเบาภาระการเลี้ยงลูก ทำให้แม่บ้านญี่ปุ่นเกิดความเครียดสูง เป็นต้น ดังนั้นเรามาทำความเข้าใจ ปรับธรรมเนียมปฎิบัติ กฎของครอบครัวกันเสียใหม่ ให้ทุกคนมีเวลาส่วนตัว ไม่ว่าจะมีหน้าที่ทำงานนอกบ้านหรือในบ้านก็ตาม
  • ตื่นก่อนลูก นอนหลังลูก ช่วงเวลาทองของแม่ฟลูไทม์ นั่นคือ ช่วงเวลาที่ลูกหลับนั่นเอง คุณแม่ลองตื่นก่อน หรือนอนหลังลูกวันละครึ่งชั่วโมงดูดีไหม แล้วจะพบว่าเวลาเพียงเล็กน้อยนี้ ที่เราสามารถนำมาใช้ทำกิจกรรมส่วนตัวนั้น ช่างมีค่า ช่วยฟื้นฟูจิตใจได้ดีไม่น้อย
ข้อมูลอ้างอิงจาก www.the1.co.th/thematter.co / daylimail

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

ฝีดาษลิงติดยังไง คำถามควรรู้เมื่อพบผู้ป่วยรายแรกในไทย!

เช็คด่วน!! 12 พฤติกรรมเข้าข่ายเป็นโรคซึมเศร้า

จิตแพทย์เตือน! ลูก ชอบดึงผม อาจมีผลกระทบมาจากจิตใจ

ซึมเศร้าในเด็ก ภัยเงียบจากโควิดที่พ่อแม่ควรระวัง

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

Meiji EZcube

ไทย เมจิ ฟู๊ด เปิดตัว Meiji EZcube ผลิตภัณฑ์นมผงชนิดก้อน เอกสิทธิ์หนึ่งเดียวจากเมจิประเทศญี่ปุ่น

Alternative Textaccount_circle
event
Meiji EZcube
Meiji EZcube

ไทย เมจิ ฟู๊ด เปิดตัว Meiji EZcube ผลิตภัณฑ์นมผงชนิดก้อน เอกสิทธิ์หนึ่งเดียวจากเมจิประเทศญี่ปุ่น ตัวช่วยคุณแม่เจนใหม่ สะดวก ชงง่าย ไม่ต้องตวง

เปิดตัวครั้งแรกในไทยกับนวัตกรรมใหม่จากประเทศญี่ปุ่น “Meiji GU FORMULA GOLD EZcube 3” (เมจิ จียู ฟอร์มูล่า โกลด์ อีซี่คิวบ์ 3) ผลิตภัณฑ์นมผงรูปแบบก้อน ตัวช่วยประหยัดเวลา ที่คุณแม่ยุคใหม่ต้องร้องว้าว! เอกสิทธิ์หนึ่งเดียวจาก Meiji ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการในผลิตภัณฑ์นม โดยบริษัท ไทย เมจิ ฟู๊ด จำกัด ผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์คุณภาพ ภายใต้ แบรนด์เมจิ ประเทศญี่ปุ่น พร้อมเผยโฉมแบรนด์แอมบาสเดอร์ ตัวแทนครอบครัวคนรุ่นใหม่ “ลีเดีย” ศรัณย์รัชต์ ดีน คุณแม่และนักร้องสาวเสียงคุณภาพ ควง “น้องดีแลน” ลูกชายคนโต ร่วมบอกเล่าไลฟ์สไตล์การเป็นคุณแม่ที่สมาร์ทยิ่งขึ้น ในงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์และแบรนด์แอมบาสเดอร์ เมจิ อีซี่คิวบ์ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Happy mom, Happy kids” ในวันพุธที่ 27 กรกฎาคมนี้ ที่แฟชั่น ฮอลล์  ชั้น 1 สยามพารากอน 

ไทย เมจิ ฟู๊ด เปิดตัว Meiji EZcube

มร.นาโอกิ คาวามาตะ ซีอีโอ บริษัท ไทย เมจิ ฟู๊ด จำกัด ผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์คุณภาพ ภายใต้แบรนด์เมจิ ประเทศญี่ปุ่น อาทิ  “เมจิ อีซี่คิวบ์” “เมจิ ช็อกโกแลต กัมมี และบิสกิต” “เมจิ อะมิโน คอลลาเจน” เผยแนวคิดในการคิดค้นผลิตภัณฑ์นมในรูปแบบก้อน Meiji EZcube ที่ตอบสนองอินไซด์ของผู้บริโภคในปัจจุบันว่า เพราะเราเข้าใจคุณแม่ยุคใหม่ที่มีบทบาทหลายด้าน ทั้งทำงานนอกบ้าน ดูแลเรื่องในบ้าน จึงคิดค้นนวัตกรรมของผลิตภัณฑ์นมรูปแบบก้อน ที่ตอบโจทย์ความสะดวก ประหยัดเวลา เพื่อให้คุณแม่มีความสุข และสามารถเต็มที่กับทุกบทบาทที่ได้รับ โดยเฉพาะกลุ่มคุณแม่วัยทำงานที่ค่อนข้างยุ่งกับงาน หรือมีไลฟ์สไตล์ที่ชอบทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น เดินทางท่องเที่ยว ออกกำลังกาย รวมถึงคุณแม่ที่มองหาสิ่งใหม่ ๆ และดีที่สุดเพื่อลูกและเพื่อครอบครัว ผลิตภัณฑ์นมเมจิ อีซี่คิวบ์ จึงเข้ามาตอบโจทย์ให้คุณแม่ที่มองหาผลิตภัณฑ์นมที่สะดวกในการชงมากขึ้น เพื่อให้คุณแม่มีเวลาทำในสิ่งที่อยากทำได้อย่างเพิ่มขึ้น”  

สำหรับจุดเด่นของผลิตภัณฑ์นมเมจิ อีซี่คิวบ์ ตอบโจทย์เรื่องความสะดวกในการเตรียมนม ใครก็สามารถชงได้ ไม่ต้องใช้ช้อนตวงปาด ไม่ต้องกังวลเรื่องหกเลอะเทอะ  และด้วยสูตรเฉพาะจากเมจิ ถึงจะเป็นรูปแบบก้อน ชงง่าย ละลายง่าย เหมาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาเร่งรีบ หรือตอนกลางคืน เพียงแค่ฉีกซอง เทใส่แก้ว เติมน้ำอุ่น หรือร้อน คนละลายก็พร้อมดื่ม อีกทั้งแพคเกจจิ้งยังบรรจุซองแยก พกพาสะดวกชงได้ทุกที่ และมีสารอาหารที่หลากหลาย คุณประโยชน์ครบถ้วน เหมาะสำหรับเด็กวัยหัดเรียนรู้ และทุกคนในครอบครัว   

  มร. นาโอกิ คาวามาตะ ยังเผยเหตุผลที่เลือก “ลีเดีย” ศรัณย์รัชต์ ดีน และ “น้องดีแลน” ลูกชายคนโต เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์คู่แรกของเมจิ อีซี่คิวบ์ ว่า “คุณลีเดียเป็นแบบอย่างของคุณแม่ที่ประสบความสำเร็จทั้งในเรื่องงานและ มีความสุขกับการดูแลลูกและครอบครัว เปรียบเสมือนคุณแม่ยุคใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์และกิจกรรมหลากหลาย เป็นทั้งนักร้อง นักแสดง ชอบออกกำลังกาย นอกจากนี้ยังมีเวลาใส่ใจดูแลตัวเอง ลูก ๆ และครอบครัวในทุกวัน ซึ่งตรงกับลักษณะของผลิตภัณฑ์นมเมจิ อีซี่คิวบ์ ที่ต้องการให้คุณแม่ยุคใหม่เป็นคุณแม่ที่สมาร์ท และได้เป็นแม่ในแบบที่อยากเป็น เพราะเราเชื่อว่าคุณแม่ที่มีความสุข จะส่งผลให้การดูแลลูกและครอบครัวให้มีความสุขด้วยเช่นกัน” 

Meiji EZcube นมผงชนิดก้อน

ด้านแบรนด์แอมบาสเดอร์คู่แม่ลูกสุดน่ารัก “ลีเดีย” ศรัณย์รัชต์ ดีน และ “น้องดีแลน” เผยความรู้สึกว่ารู้สึกยินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเมจิ และเชื่อมั่นในแบรนด์อันดับ 1 จากญี่ปุ่น และเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ไม่เคยมีในประเทศไทยมาก่อน ก็รู้สึกว้าวมาก ส่วนตัวได้ให้ดีแลนด์ลองแล้ว ลูกชอบมาก จึงมั่นใจว่าเมจิ อีซี่คิวบ์ จะสามารถเข้าถึงคุณแม่ยุคใหม่ได้มากขึ้น เพราะพกพาสะดวก ชงง่าย ละลายง่าย ใคร ๆ ก็สามารถชงได้ ทำให้ง่ายต่อการเตรียมนม ไม่ต้องกังวลเรื่องหก เลอะเทอะ นอกจากความสะดวกก็ยังมีเรื่องสารอาหารที่เหมาะสมกับเด็กวัยกำลังเรียนรู้ด้วย

นอกจากนี้เมจิยังเตรียมจัดกิจกรรมใหญ่เอาใจคุณแม่ยุคใหม่ และคุณแม่ที่เป็นแฟนคลับผลิตภัณฑ์นมเมจิจากญี่ปุ่น ภายใต้แคมเปญ The Best Mommy Life Awards เฟ้นหาคุณแม่ในแบบที่อยากเป็นกับเมจิ อีซี่คิวบ์ พร้อมลุ้นรับของรางวัลต่าง ๆ อาทิ บัตรกำนัลที่พักโรงแรมดัง และผลิตภัณฑ์นมเมจิ อีซี่คิวบ์ เป็นต้น

Meiji GU FORMULA GOLD EZcube 3 ผลิตภัณฑ์นมผงรูปแบบก้อนใหม่ สำหรับเด็กที่ใช้เทคโนโลยีในการแปรสภาพนมผงขึ้นเป็นรูปแบบก้อน รวมทั้งน้ำหนัก เท่ากันทุกก้อน และเป็นเอกสิทธิ์หนึ่งเดียวจากเมจิ ประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น  ด้านโภชนาการมีสารอาหารที่แตกต่างจากนมผงทั่วไปอย่าง แลคตาเดริน (Lactadherin) ซึ่งเป็นสารอาหารที่มีประโยชน์ในการสร้างภูมิคุ้มกัน รวมทั้งครบถ้วนด้วยสารอาหารอื่น ๆ อีกมากมาย ทั้ง DHA, ธาตุเหล็ก, FOS, นิวคลีโอไทด์ แร่ธาตุและวิตามิน ทั้งยังมีแคลเซียมสูง โดยพัฒนาสูตรขึ้นมาให้เหมาะกับเด็กในวัยเริ่มเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมพัฒนาการของร่างกายและสมองให้พร้อมรับการเรียนรู้ใหม่ ๆ

เลือกสิ่งใหม่ที่ดีให้แก่ลูกน้อยสุดรัก ด้วยตัวช่วยคุณแม่เจนใหม่อย่างแท้จริง ต้อง Meiji GU FORMULA GOLD EZcube 3  ผลิตภัณฑ์นมชนิดก้อน สะดวก ชงง่าย ไม่ต้องตวง โดย 1 ซอง บรรจุ 5 ก้อน สามารถชงได้นมปริมาณ 200 มล. ซึ่งเท่ากับปริมาณที่เด็กต้องการใน 1 มื้อ มี 2 ขนาด ได้แก่ ขนาด 448 กรัม หรือ 16 ซอง ราคา 338 บาท และ ขนาดพกพา 56 กรัม หรือ 2 ซอง ราคา 55 บาท  

หาซื้อได้แล้วที่ห้างสรรพสินค้า, ซุปเปอร์มาร์เก็ต, ไฮเปอร์มาร์เก็ต, ร้านค้า และร้านแม่และเด็กชั้นนำ รวมทั้งช่องทางออนไลน์บนแอปพลิเคชั่น Lazada, Shopee และ Moongshop ติดตามข่าวสารและกิจกรรมต่าง ๆ ได้ที่ Facebook Meiji EZcube Thailand หรือ Line Official Account : @meijiezcubethai  

Meiji GU FORMULA GOLD EZcube 3

ฟาวิพิราเวียร์ โมลนูพิราเวียร์

ฟาวิพิราเวียร์ โมลนูพิราเวียร์ ใช้ต่างกันอย่างไรใครใช้ได้บ้าง

Alternative Textaccount_circle
event
ฟาวิพิราเวียร์ โมลนูพิราเวียร์
ฟาวิพิราเวียร์ โมลนูพิราเวียร์

ฟาวิพิราเวียร์ โมลนูพิราเวียร์ ใช้ต่างกันอย่างไร ใครใช้ได้บ้าง

ฟาวิพิราเวียร์ โมลนูพิราเวียร์ คือยารักษาอาการโควิด-19 ที่ใช้กันอยู่ในประเทศไทยในปัจจุบัน ยาทั้งสองชนิดนี้ใช้ต่างกันอย่างไร อาการแบบไหนใช้ยาตัวไหน ใครใช้ยา 2 ตัวนี้ได้บ้าง ทีมกองบรรณาธิการ ABK มีำตอบมาฝากคุณพ่อคุณแม่ค่ะ

ฟาวิพิราเวียร์ โมลนูพิราเวียร์ ใช้ต่างกันอย่างไร

ยาฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir)

ยาฟาวิพิราเวียร์ เป็นยาตัวแรกที่นำมาใช้ในประเทศไทย ตั้งแต่ในช่วงแรกของการแพร่ระบาดโควิด-19 โดยจากการศึกษาข้อมูลในต่างประเทศพบว่า กลไกการออกฤทธิ์ของยาชนิดนี้ เป็นการยับยั้งการเพิ่มจำนวนของ RNA ไวรัส ทำให้เชื้อไวรัสเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งข้อมูลล่าสุดพบว่า ผู้ป่วยที่ได้รับยาฟาวิพิราเวียร์ มีอาการดีขึ้น เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้รับยาฟาวิพิราเวียร์ โดยเฉพาะเมื่อใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ติดต่อกันเป็นเวลาใน 14 วัน มีสัดส่วนอาการดีขึ้นอยู่ที่ 86.9%

ข้อบ่งใช้: ผู้ป่วยโควิดอาการเล็กน้อย ถึงปานกลาง ใช้ได้ทั้งเด็ก และผู้ใหญ่ รวมถึงกลุ่มเสี่ยง 608 เช่น ผู้มีภาวะอ้วน, ผู้มีโรคประจำตัว ขณะที่สตรีตั้งครรภ์ในช่วงไตรมาสที่ 2-3 อาจพิจารณาให้ใช้ได้
การให้ยา: ขนาดยารับประทานสำหรับผู้ใหญ่ ในวันแรกอยู่ที่ 1,600 มิลลิกรัม และลดลงเหลือ 600 มิลลิกรัม ในวันที่ 2 ถึงวันที่ 5 ระยะเวลาการรักษาโดยรวม คือ 5 วัน ด้วยยาเม็ดขนาด 200 มิลลิกรัม ดังนั้นจึงต้องรับประทานประมาณ 40 เม็ดต่อคน

ราคาต่อคอร์ส: 800 บาท

ยาโมลนูพิราเวียร์ (Molnupiravir)

ยาโมลนูพิราเวียร์ มีกลไกการออกฤทธิ์ ไม่ต่างจากยาฟาวิพิราเวียร์ ซึ่งเป็นการยับยั้งการเพิ่มจำนวนของ RNA ไวรัส  และลดความเสี่ยงที่จะเกิดอาการรุนแรง โดยได้รับการอนุมัติจากศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน (อีโอซี) กระทรวงสาธารณสุข และ ศบค. ให้ใช้ในประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ข้อบ่งใช้: ผู้ป่วยโควิดอาการเล็กน้อยถึงปานกลาง เน้นในกลุ่มเสี่ยง 608 เช่น ผู้มีภาวะอ้วน, ผู้มีโรคประจำตัว ที่มีอายุมากกว่า 18 ปีขึ้นไป ห้ามใช้ในสตรีตั้งครรภ์ และผู้ที่ให้นมบุตร
การให้ยา: ขนาดยารับประทานสำหรับผู้ใหญ่ 800 มิลลิกรัม หรือ 4 แคปซูล โดยให้รับประทานทุก 12 ชั่วโมง เป็นระยะเวลา 5 วัน รวม 40 แคปซูลต่อคน ทั้งนี้จะต้องได้รับยาภายใน 5 วัน หลังได้รับการวินิจฉัยเริ่มมีอาการป่วยโควิด

ราคาต่อคอร์ส: ประมาณ 10,000 บาท

ฟาวิพิราเวียร์ โมลนูพิราเวียร์
โมลนูพิราเวียร์

แนวทางการรักษาผู้ป่วยโควิดล่าสุด

แนวทางการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 จะมีการปรับเปลี่ยนตามหลักฐานเชิงประจักษ์ อยู่ภายใต้การประชุมหารือของผู้เชี่ยวชาญโดยตลอด ล่าสุดมีการปรับปรุงเกณฑ์การให้ยาผู้ป่วยโควิด-19 เป็นไปตาม แนวทางเวชปฏิบัติ การวินิจฉัย ดูแลรักษา และป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาล กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 สำหรับแพทย์และบุคลากรสาธารณสุข ฉบับปรับปรุง วันที่ 18 พฤษภาคม 2565 ระบุไว้ว่า

ผู้ติดเชื้อเข้าข่าย ผู้ที่มีผลตรวจ ATK ต่อ SARS-CoV-2 ให้ผลบวก รวมถึงผู้ติดเชื้อยืนยันทั้งผู้ที่มีอาการและไม่แสดงอาการ แบ่งเป็นกลุ่มตามความรุนแรงของโรค และปัจจัยเสี่ยงได้เป็น 4 กรณี ดังนี้

1. ผู้ป่วยที่ไม่มีอาการหรือสบายดี 

  • ให้การรักษาแบบผู้ป่วยนอก โดยแยกกักตัวที่บ้าน หรือ ทำโฮมไอโซเลชัน หรือสถานที่รัฐจัดให้ตามความเหมาะสม
  • ให้ดูแลรักษาตามอาการตามดุลยพินิจของแพทย์ ไม่ให้ยาต้านไวรัส เนื่องจากส่วนมากหายได้เอง
  • อาจพิจารณาให้ยาฟ้าทะลายโจรตามดุลยพินิจของแพทย์

 

2. ผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง ไม่มีปอดอักเสบ ไม่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรครุนแรง โรคร่วมสำคัญ และภาพถ่ายรังสีปอดปกติ

  • อาจพิจารณาให้ยาฟาวิพิราเวียร์ ควรเริ่มให้ยาโดยเร็ว
  • หากตรวจพบเชื้อเมื่อผู้ป่วยมีอาการมาแล้วเกิน 5 วัน และผู้ป่วยไม่มีอาการหรือมีอาการน้อยอาจไม่ จำเป็นต้องให้ยาต้านไวรัส เพราะผู้ป่วยจะหายได้เองโดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน

 

3. ผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง แต่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรครุนแรง หรือมีโรคร่วมสำคัญ หรือผู้ป่วยที่ไม่มีปัจจัยเสี่ยงแต่มีปอดอักเสบเล็กน้อยถึงปานกลาง ยังไม่ต้องให้ออกซิเจน โดยปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรครุนแรง ได้แก่

1) อายุมากกว่า 60 ปี ขึ้นไป

2) โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) (GOLD grade 2 ขึ้นไป) รวมโรคปอดเรื้อรังอื่นๆ

3) โรคไตเรื้อรัง (CKD) (stage 3 ขึ้นไป)

4) โรคหัวใจ และหลอดเลือด (NYHA functional class 2 ขึ้นไป) และโรคหัวใจแต่กำเนิด

5) โรคหลอดเลือดสมอง

6) เบาหวานที่ควบคุมไม่ได้

7) ภาวะอ้วน (น้ำหนักมากกว่า 90 กก. หรือ BMI 230 กก./ตร.ม.)

8) ตับแข็ง (Child-Pugh class B ขึ้นไป)

9) ภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ (เป็นโรคที่อยู่ในระหว่างได้รับยาเคมีบำบัดหรือยากดภูมิหรือ corticosteroid equivalent to prednisolone 15 มก./วัน ระยะเวลา 15 วัน ขึ้นไป

10) ผู้ติดเชื้อเอชไอวี ที่มี CD. cell count น้อยกว่า 200 เซลล์/ลบ.มม.

แนะนำให้ยาต้านไวรัสเพียง 1 ชนิด โดยควรเริ่มภายใน 5 วัน ตั้งแต่เริ่มมีอาการจึงจะได้ผลดี

  • หากไม่มีปัจจัยเสี่ยง ให้ยาฟาวิพิราเวียร์
  • หากมีปัจจัยเสี่ยง 1 ข้อ ให้ยาฟาวิพิราเวียร์ หรือ เรมเดซิเวียร์ หรือ โมลนูพิราเวียร์ หรือ เนอร์มาเทรลเวียร์/ริโทนาเวียร์
  • หากมีปัจจัยเสี่ยงมากกว่า 2 ข้อ ให้ยาเรมเดซิเวียร์ หรือ โมลนูพิราเวียร์ หรือ เนอร์มาเทรลเวียร์/ริโทนาเวียร์

 

4. ผู้ป่วยยืนยันที่มีปอดอักเสบที่มี hypoxia (resting O, saturation < 94 % ปอดอักเสบรุนแรง ไม่เกิน 10 วันหลังจากมีอาการ และได้รับออกซิเจน แนะนำให้ เรมเดซิเวียร์ เป็นเวลา 5-10 วัน ขึ้นกับอาการทางคลินิก และควรติดตามอาการของผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด

 

แม้ว่าทั้งยาฟาวิพิราเวียร์และยาโมลนูพิราเวียร์ จะใช้ได้กับผู้ป่วยที่มีอาการน้อยจนถึงปานกลาง แต่จากแนวทางเวชปฏิบัติ การวินิจฉัย ดูแลรักษา และป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาล กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ฉบับล่าสุด จะเห็นได้ว่า ยาโมลนูพิราเวียร์ จะถูกใช้ในผู้ป่วยกรณีที่ 3 เท่านั้น ขณะที่ยาฟาวิพิราเวียร์จะใช้ได้ทั้งผู้ป่วยกรณีที่ 2 และ 3 ค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก

กรมการแพทย์, กรุงเทพธุรกิจ

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

เกณฑ์ใช้ ยารักษาโควิด19 ระดับไหนจะให้ยาฟาวิพิราเวียร์

ด่วน!เด็กชาย 6 ขวบ ติดโควิดเสียชีวิต จากภาวะ MIS-C

อาการลองโควิด กระทบ 6 อวัยวะภายใน ดูแลยังไง

5 ไม่! พ่อแม่ดูลูกให้ดี ก่อน ลูกโดนลักพาตัว

Alternative Textaccount_circle
event

5 ไม่! พ่อแม่ดูลูกให้ดี ก่อน ลูกโดนกลักพาตัว

ลูกโดนลักพาตัว หรือเด็กหายเป็นปัญหาที่หลาย ๆ คนคงปฏิเสธไม่ได้ว่า เป็นเรื่องใหญ่เกี่ยวกับเด็กที่สร้างความสะเทือนใจให้สังคม โดยเฉพาะกับพ่อแม่ หรือ ญาติ ๆ ของเด็กคนนั้น เด็ก ๆ มักหายตัวหรือถูกลักพาตัวจากที่ไหน โดยใคร พ่อแม่ควรระวังอย่างไร มาติดตามกันห้ามพลาดค่ะ

ลูกโดนลักพาตัว สถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด กลับอันตรายที่สุด

นายเอกลักษณ์ หลุ่มชุมแข หัวหน้าโครงการศูนย์ข้อมูลคนหายฯ มูลนิธิกระจกเงา ถอดบทเรียนกว่า 18 ปี คดีลักพาตัวเด็กในประเทศไทยว่า จากการหายตัวไปของเด็กหลายคน เมื่อตรวจสอบจะพบว่าสถานที่เกิดเหตุไม่ได้อยู่ไกล แต่กลับอยู่บริเวณแถว ๆ บ้านของตัวเอง เช่น สวนสาธารณะแถวบ้าน สนามเด็กเล่นในหมู่บ้าน โรงเรียน ห้างสรรพสินค้าใกล้บ้าน หรือแม้กระทั่งหน้าบ้านตัวเอง จึงอาจพูดได้ว่า  สถานที่ปลอดภัยที่สุด คือ สถานที่อันตรายที่สุด
ช่วงวัยอายุของเด็กที่มักถูกลักพาตัว พบว่ามีอายุน้อยลงเรื่อย ๆ อย่าง ‘เด็กแรกเกิด (ทารก)’ ยังเป็นเหยื่อของคนใกล้ชิดอีกด้วย บุคคลที่ไม่น่าไว้วางใจ ได้แก่ พี่เลี้ยงเด็ก เพื่อนบ้าน หรือหมอดู เพราะเป็นบุคคลที่พ่อแม่ไว้ใจมากที่สุด
ลูกโดนลักพาตัว
5 ไม่! พ่อแม่ดูลูกให้ดี ก่อน ลูกโดนลักพาตัว

10 บทเรียนลักพาตัวเด็ก

มูลนิธิกระจกเงาถอด 10 บทเรียนลักพาตัวเด็ก จากสถิติร้องเรียนเด็กหายปี 2546 – 2564 ได้ดังนี้
1. ผู้ก่อเหตุส่วนใหญ่มีวัตถุประสงค์ลักเด็กเพื่อกระทำทางเพศ
2. วัตถุประสงค์รองลงมา เพื่อนำไปเลี้ยงดูด้วยความเสน่หา
3. เด็กถูกลักพาตัว มีตั้งแต่อายุแรกเกิด – 12 ปี
4. กลุ่มเสี่ยงที่สุดคือเด็ก ช่วงอายุ 3-8 ปี ทั้งชาย และหญิง
5. ไม่พบการลักพาตัวในลักษณะกลุ่มแก๊งค์ขบวนการ
6. ไม่พบการลักพาตัวในลักษณะแก๊งค์รถตู้
7. ไม่พบการลักพาตัวในลักษณะลักพา เพื่อนำเด็กไปขายต่อ
8. ผู้ก่อเหตุมีได้ทั้งคนที่เด็กรู้จัก และคนแปลกหน้า
9. จุดที่เด็กถูกลักพาตัวมากที่สุด คือ บริเวณใกล้บ้านที่เด็กวิ่งเล่นลำพัง
10. หลายคดีตอนเกิดเหตุ ประเมินว่าเป็นการลักพาตัวเด็ก แต่พอข้อเท็จจริงปรากฏอาจเป็นเรื่องอื่น เช่น เด็กพลัดหลงด้วยตัวเอง, ปกปิดการเกิดความรุนแรงในครอบครัว หรือสร้างการสถานการณ์

5 ไม่! พ่อแม่ดูลูกให้ดี ก่อน ลูกโดนลักพาตัว

1 .ไม่พาลูกเล็กไปยังที่ ที่มีคนพลุกพล่านเกินไป โดยไม่จำเป็น 
แม้คุณพ่อคุณแม่ หรือบุคคลใกล้ชิดจะเป็นผู้พาไปยังสถานที่นั้น ๆ ก็ไม่ควรไว้วางใจ แต่เนื่องจากสถานที่ที่มีคนพลุกพล่าน มักชุลมุน วุ่นวาย ทำให้คนร้ายที่อาจจ้องมองลูกเราอยู่สามารถสร้างสถานการณ์ร้ายได้ง่าย ยิ่งหากว่าผู้ที่พาไปเผลอคลาดสายตาจากเด็กแม้แต่นิดเดียว ก็อาจเกิดเหตุการณ์ลักพาตัวโดยไม่คาดคิดได้
2. ไม่ปล่อยให้ลูกเล็กไปวิ่งเล่นตามลำพัง แม้จะใกล้บ้านก็ตาม
พ่อแม่ ญาติพี่น้อง ของเด็ก ๆ ก็อาจคิดว่า ถ้าเด็ก ๆ จะ ออกไปวิ่งเล่นยังสถานที่ใกล้บ้าน ก็คงไม่เป็นไร เพราะมีคนรู้จักทั้งนั้นคอยดูลูกอยู่ มีแต่คนแถวบ้านที่คุ้นหน้าคุ้นตากัน แต่จากสถิติของมูลนิธิกระจกเงาที่พบว่า เด็กมักถูกลักพาตัวในที่ใกล้บ้าน และจากคนที่ไม่คาดคิด เพราะฉะนั้น ถ้าลูกจะไปเล่นแถวบ้าน ควรมีผู้ดูแลในสายตา หรือมีเพื่อนกลุ่มใหญ่ไปด้วยกัน เพื่อความปลอดภัยนะคะ
3. ไม่ให้ใครมารับลูกเล็กที่โรงเรียน เว้นแต่จะได้โทรศัพท์บอกครูทุกครั้งที่มีคนมารับแทน
แน่นอนว่า โรงเรียนเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่คุณพ่อคุณแม่ และญาติพี่น้อง ไว้ใจนำลูกของเราไปฝากไว้ คุณพ่อคุณแม่หลาย ๆ ท่าน ก็ไปรับลูกที่โรงเรียนเอง แต่อีกหลาย ๆ ท่านอาจให้รถโรงเรียนไปรับ – ส่ง ทั้งนี้ หลายท่าน อาจให้คนอื่น ๆ มารับลูกแทน แต่จากสถิติของมูลนิธิกระจกเงาที่พบว่า คนใกล้ตัวมักเป็นคนที่ลักพาตัวเด็กไป ซึ่งเค้าอาจจะใช้ช่องที่เด็กรู้จักเค้า พาเด็กออกไปจากโรงเรียน แต่ไม่พากลับไปที่บ้าน ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรโทรกำชับคุณครูทุกครั้ง ว่าใครจะมารับลูกแทนตัวเองค่ะ
4. ไม่ทิ้งลูกเล็กไว้กับญาติสูงอายุ ที่อาจดูแลเด็กเล็กวัยกำลังซนไม่ไหว 
เด็กวัยกำลังซนมักอยากรู้อยากเห็น เป็นวัยที่อยากออกไปเที่ยวเล่นโดยเฉพาะวิ่งเล่นบริเวณแถวบ้าน การฝากลูกไว้กับผู้สูงอายุที่บ้านแม้จะไว้ใจได้ว่าเป็นญาติที่ดูแลกันได้ แต่หากถึงเวลาที่เด็กออกไปวิ่งเล่น ผู้สูงอายุย่อมตามเด็กไม่ทัน เพราะเดินเหินไม่สะดวก เมื่อเด็กคลาดสายตาอะไรก็ย่อมเกิดขึ้นได้
5. ไม่ยอมให้ลูกรับของจากคนแปลกหน้า หมั่นสอนเด็กเล็กในเรื่องนี้
นอกจากคนใกล้ชิดที่ต้องระวังแล้ว แน่นอนว่าคุณพ่อคุณแม่ต้องสอนให้ลูกระวังคนแปลกหน้า ห้ามรับของจากคนแปลกหน้าไม่ว่าจะเป็นอะไร โดยเฉพาะคนแปลกหน้าที่เอาของต่าง ๆ มาให้ลูก เช่น ขนม ของเล่น เงิน หรือสิ่งของต่าง ๆ เพื่อล่อลวงให้เด็ก เข้าใกล้ และจับเด็กไปในที่สุด
ลูกโดนลักพาตัว
5 ไม่! พ่อแม่ดูลูกให้ดี ก่อน ลูกถูกลักพาตัว

ขอบคุณภาพจาก ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมประเทศไทย

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

อุทาหรณ์เด็กหาย ป้องกันลูกหนีออกจากบ้าน

6 แนวทางนำเสนอข้อมูลเด็ก ไม่ให้ ละเมิดสิทธิเด็ก

ระวังลูกหาย!! อย่าอายที่จะใช้ “เป้จูงลูก” เวลาออกนอกบ้าน

นิทานกล่อมนอน

นิทานกล่อมนอน ลงทุนน้อย แต่ลูกได้รับประโยชน์มากมาย

Alternative Textaccount_circle
event
นิทานกล่อมนอน
นิทานกล่อมนอน

นิทานกล่อมนอน กิจกรรมในครอบครัวก่อนนอนที่ ช่วยสร้างความรัก ความอบอุ่น และสัมพันธ์อันดีในครอบครัว ทำให้ลูกนอนหลับอย่างมีความสุข

นิทานกล่อมนอน ลงทุนน้อย แต่ลูกได้รับประโยชน์มากมาย

เมื่อถึงเวลานอนลูกจะไม่ปฏิเสธเพราะมี นิทานกล่อมนอน ที่ลูกรอฟังอยู่ทุกคืน นอกจากความสนุกสนานเพลิดเพลินที่ลูกได้รับแล้ว ยังมีประโยชน์อีกมากมายจากการอ่านนิทานให้ลูกฟัง ทีมกองบรรณาธิการ ABK จึงรวบรวมข้อมูลดี ๆ ที่จะพาไปรู้จักและเข้าใจประโยชน์ของการอ่านนิทาน ว่าทำไมบางครอบครัวถึงให้ความสำคัญกับการอ่านนิทานให้ลูกฟังกันเป็นพิเศษ

นิทานกล่อมนอน
นิทานกล่อมนอน

นิทานกล่อมนอน ลงทุนน้อย แต่ลูกได้รับประโยชน์มากมาย

การที่จะเลี้ยงดูให้เด็กเจริญเติบโตขึ้นมาเป็น คนดี คนเก่ง ได้นั้น มีปัจจัยหลายอย่าง และสิ่งหนึ่งที่บางครอบครัวลืมนึกไปนั่นก็คือ “การอ่านนิทานให้ลูกฟัง”

เพียงแค่คุณพ่อคุณแม่หยิบ นิทานกล่อมนอน มาเล่า อ่าน เปล่งเสียง ให้ลูกฟัง หรือหยิบหนังสือภาพมาให้เด็กดูตาม ก็จะเกิดผลดีมากมาย ไม่จำเป็นต้องรอให้ลูกรู้ภาษาก่อน สามารถทำได้เลย ซึ่งสามารถทำได้ตั้งแต่ลูกอยู่ในครรภ์คุณแม่เลยทีเดียว

“การอ่านนิทานให้ลูกฟัง” เป็นช่วงเวลาทองที่ควรค่าแก่การปลูกฝังในทุก ๆ ครอบครัว เพราะในช่วงปฐมวัย เป็นวัยแห่งการเริ่มต้นเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ เป็นช่วงที่มนุษย์เรามีความสามารถในการพัฒนาสมอง และทักษะทุกด้านกว่า 80% ของชีวิต 

ประโยชน์จากการ อ่านนิทาน ให้ลูกฟัง

นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ จิตแพทย์ และนักเขียน ได้กล่าวว่า การอ่านนิทานให้ลูกฟังเป็นกิจกรรมที่ทุกบ้านสามารถทำได้ ขอแค่มีหนังสือนิทาน มีผู้ปกครองคอยเล่าให้ฟัง แม้จะไม่ได้อ่านสนุกหรือตลกมาก ก็เกิดประโยชน์ต่อพัฒนาการของเด็กอย่างมหาศาล ความจริงแล้วผู้ปกครองจะเลือกอ่านให้เด็กฟังในช่วงเวลาไหน ตอนไหนก็ได้ แต่โดยส่วนตัวตนจะสนับสนุนให้อ่าน นิทานก่อนนอน เพราะอยากให้ผู้ปกครองใช้เวลาส่งลูกเข้านอน หากิจกรรมทำร่วมกัน ถือเป็นเวลาคุณภาพ (Quality Time) ในช่วง 20.30 น. ไม่เกิน 21.00 น. ใช้เวลาเพียงแค่ 30 นาที หากเทียบกับกิจกรรมอื่น ๆ ถือว่าใช้เวลาน้อยมาก หากทำติดต่อกันทุกวันเป็นระยะเวลา 3 ปี จะเกิดประโยชน์มากมาย เด็กจะมีพัฒนาการอย่างรวดเร็ว เฉลียวฉลาด รักการอ่าน เป็นเด็กดี เชื่อฟัง ที่สำคัญเป็นการกระตุ้นพัฒนาการของสมองส่วนหน้า และเป็นเหมือนข้อบังคับของบ้านว่า ไม่ว่าผู้ปกครองจะทำงานหรือมีกิจกรรมอะไร อย่างน้อยในหนึ่งวันจะต้องส่งลูกเข้านอน และมีเวลาคุณภาพร่วมกัน

นพ.ประเสริฐ สรุปภาพรวมการอ่านนิทานไว้ดังนี้

1. การอ่านนิทานเป็นการผจญภัยไปกับพ่อแม่ : เป็นช่วงเวลาคุณภาพที่ผู้ปกครองจะจดจ่ออยู่กับการอ่านและลูก สร้างความคิดที่ว่าแม่มีอยู่จริง การอ่านนิทานก่อนนอนในช่วงเวลาเดียวกันในทุก ๆ วัน จะเป็นจุดเริ่มต้นของการปลูกฝังวินัยการตรงต่อเวลา เช่นเดียวกับการกำหนดเวลาตื่นนอน กินอาหารเช้า-กลางวัน-เย็น เมื่อเด็กมีความตรงต่อเวลาเหล่านี้อย่างแม่นยำ ก็มีแนวโน้มว่าเรื่องอื่น ๆ ก็จะทำได้ตรงเวลาเช่นกัน

2. การอ่านนิทานเป็นการผจญภัยไปในสมอง : ทุกครั้งที่เด็กได้ฟังนิทานหรือได้อ่านด้วยตัวเอง เซลล์ประสาทจะแตกแขนงออกมาเป็นร่างแหของเส้นประสาท ดังนั้นใน 2 ขวบปีแรก สมองของเด็กจึงเปลี่ยนแปลงทุกวัน ที่สำคัญอย่าเป็นกังวลหากเด็ก ๆ จะชอบฟัง หรืออ่านนิทานเล่มเดิม เพราะถึงแม้ว่าหนังสือจะเป็นเล่มเดิม เรื่องราวเดิม แต่การคิด การตีความ หรือการวาดภาพในสมองของเด็กจะต่างกันออกไป

3. การอ่านนิทานเป็นการผจญภัยไปในจิตใต้สำนึก : เพราะหนังสือนิทานมีหลากหลายเรื่องราว มีทั้งด้านดี สมหวัง สนุกสนาน สดชื่น แจ่มใส และบางเรื่องก็อาจแฝงด้านมืดมาเป็นข้อคิดเล็ก ๆ น้อย ๆ ผู้ปกครองต้องอย่ากลัวที่จะหยิบยื่นเรื่องราวที่หลากหลาย เพราะร้อยละ 99 ของนิทานประกอบหนังสือภาพ ศิลปินนั้นสร้างสรรค์ผลงานโดยใช้ศิลปะเป็นสื่อ การที่เด็กได้ฟังหรืออ่านนิทานเหล่านี้ ก็เหมือนกับการระบายความรู้สึกในใจออกมา และหนังสือเหล่านี้ยังให้แง่คิดในเรื่องของการพลัดพราก ผี ปีศาจ และความตาย ที่จะเป็นส่วนหนึ่งให้เด็กซึมซับและเรียนรู้

ช่วงอายุ 3 – 7 ปี ปีทองของพัฒนาการด้านภาษา

1. เด็กมีแรงจูงใจในตนเองที่จะใช้ภาษา เพื่อสื่อสารกับบุคคลรอบข้างตลอดเวลา เพราะต้องการหาความหมาย

2. สมรรถภาพทางความคิดดีขึ้น ยิ่งคิดได้ ยิ่งถาม ยิ่งพูด ยิ่งเชื่อมโยงความหมายเดิม เข้ากับความหมายใหม่ ยิ่งทำให้เกิดจินตนาการ

3. เด็กพร้อมทำความเข้าใจเรื่องนามธรรม อย่างเรื่อง ความคิด อารมณ์ นิสัย เป็นเรื่องท้าทายให้เด็กเริ่มค้นหาความหมาย ช่วยกระตุ้นให้เด็กช่างถามมากขึ้น ช่างพูดมากขึ้น

4. มีสมรรถภาพทางกล้ามเนื้อและประสาทสัมผัสดีมากขึ้น ยิ่งได้ออกไปประสบกับสิ่งใหม่ ๆ ยิ่งเพิ่มความอยากรู้อยากเห็น ความสงสัย ทำให้ช่างถาม ช่างพูด

อ่านนิทานก่อนนอน
อ่านนิทานก่อนนอน

การอ่านกับการพัฒนาทักษะสมองส่วนหน้า (EF)

“EF (Executive Function) หรือ ทักษะการพัฒนาสมองส่วนหน้า” เป็นกระบวนการที่ใช้กำกับความคิด ความรู้สึก และการกระทำ อีกทั้งยังเป็นทักษะที่สำคัญต่อความสำเร็จในการเรียน การงาน การอยู่ร่วมกับเพื่อน การคิดสร้างสรรค์ และการจัดการทุกด้านตลอดชีวิต เรียกได้ว่า EF เป็นการพัฒนาทักษะสมองส่วนหน้าที่เป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาความฉลาดทางเชาว์ปัญญา (IQ) และความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายที่ตนเองตั้งไว้

นพ.ประเสริฐ ได้อธิบายการ อ่านนิทาน กับการพัฒนา EF ว่า เนื้อหาในหนังสือนิทานไม่ได้เป็นส่วนสร้าง EF ไปเสียทั้งหมด แต่เกิดจากการที่พ่อแม่อ่านให้ลูกฟัง หรือเกิดจากลูกสามารถอ่านได้ด้วยตัวเอง EF จะต่อยอดได้ต้องเกิดจากการใช้การอ่านเป็นสื่อกลางในการพัฒนา เช่น การถามตอบ การชื่นชมเมื่อลูกตอบถูก ให้ลูกมีส่วนร่วมในการอ่าน ลำดับเรื่องราว ชวนคิด ชวนตั้งคำถาม เป็นต้น

สิ่งที่ได้จากการอ่าน จาก นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

– การอ่านหนังสือที่เป็นกระดาษ จะทำให้สมองรับสัญญาณจากนิ้วมือที่ข้างซ้ายคอยทำหน้าที่จับรวบเล่มหนังสือ ส่วนนิ้วมือข้างขวาจะคอยทำหน้าที่แตะกระดาษเพื่อรอเปลี่ยนหน้าถัดไป การอ่านหนังสือที่เป็น Book Print จะทำให้นิ้วมือผู้อ่านได้สัมผัสกระดาษตลอด ซึ่งตรงนี้จะทำให้สมองจับสัญญาณ และจดจำได้ว่าเนื้อหาที่อ่านมาแล้วอยู่ช่วงใด อยู่บทใด หน้าใด ย่อหน้าใด

– หนังสือนิทาน เมื่อซื้อมาแล้วไม่ว่าจะมีราคาเท่าใด จะเกิดความคุ้มค่าในตัวก็ต่อเมื่อ เด็กได้ฟังหรืออ่านในทุก ๆ วัน

7 เคล็ดลับในการ อ่านนิทานกล่อมนอน

  1. เริ่มอ่าน…ยิ่งไว ยิ่งดี คุณพ่อคุณแม่ไม่จำเป็นต้องรอให้ลูกพูดได้ หรือเข้าใจภาษาก่อน จึงเริ่มอ่านหนังสือให้ลูกฟัง แต่สามารถเริ่มอ่านให้ลูกฟังได้ตั้งแต่แรกเกิด หรืออาจเริ่มตั้งแต่ตั้งครรภ์ได้เลย ถึงแม้ลูกจะยังไม่เข้าใจความหมาย แต่สมองของลูกจะเริ่มเรียนรู้ และพัฒนาผ่านน้ำเสียงของคุณพ่อคุณแม่ จากเสียงสูงต่ำของคำต่างๆ รวมไปถึงสัมผัส หรืออ้อมกอดของคุณพ่อคุณแม่ในขณะที่ เล่านิทาน ให้ลูกฟัง
  2. อ่านอย่างสม่ำเสมอ วิธีที่ได้ผลดีที่สุดคือการ อ่านนิทาน อย่างสม่ำเสมอ โดยอาจใช้วิธีกำหนดเวลาเดิมๆในทุกๆวัน เช่น หลังอาหารมื้อเช้า หลังจากนอนกลางวัน หรือก่อนนอนในเวลากลางคืน โดยอาจเริ่มจากการ อ่านนิทานสั้นๆ แล้วค่อยๆเพิ่มความยาวไปตามวัยและความสนใจของลูก ทำทุกวันจนเป็นกิจกรรมประจำของครอบครัว ทั้งนี้ในขณะอ่านนิทานให้ลูกฟัง ควรปิดสื่อต่างๆที่อาจรบกวนสมาธิ เช่น วิทยุ โทรทัศน์ หรือโทรศัพท์
  3. ใส่น้ำเสียงไปตามเรื่องราวของนิทาน การใช้เสียงไปตามตัวละครจะช่วยทำให้ลูกมีความสนใจและสนุกสนานไปกับเนื้อเรื่องของนิทาน โดยเฉพาะเด็กเล็กที่ยังไม่เข้าใจภาษามากนัก การใช้น้ำเสียงจะช่วยดึงดูดความสนใจของลูกได้เป็นอย่างดี
  4. เลือกนิทานที่เหมาะสม หานิทานที่เหมาะกับวัย พัฒนาการ พื้นนิสัย และประสบการณ์ชีวิตของลูก คุณพ่อคุณแม่จะเป็นผู้ที่รู้จักลูกดีที่สุด ฉะนั้นคุณพ่อคุณแม่ต้องหานิทานที่เหมาะสมกับลูกของเราให้พบ
  5. กระตุ้นให้ติดตาม ในระหว่างอ่านนิทานหรือเมื่ออ่านจบแล้ว ชวนลูกถามตอบ เช่น “หมูอยู่ไหนน้า?” “นี่ตัวอะไร?” “อันไหนสีชมพู?” “ถ้าเป็นหนู จะทำอย่างไร?” อาจให้ลูกเป็นฝ่ายตั้งคำถามกับเราบ้าง หรืออาจเชื่อมโยงนิทานกับเรื่องราวในชีวิตประจำวัน นิทานบางเรื่องสอดแทรกบทเรียนที่เป็นประโยชน์ เช่น การไปโรงเรียน การแปรงฟัน ซึ่งบางครั้งลูกเชื่อหนังสือมากกกว่าเชื่อคุณพ่อคุณแม่เสียอีก ดังนั้นการเลือกหนังสือที่จะอ่านให้ลูกฟังจึงเป็นสิ่งสำคัญ
  6. จำนวนไม่ใช่ปัญหา การอ่านนิทานให้ลูกฟังเยอะๆ บ่อยๆ เป็นเรื่องที่ดี แต่คุณพ่อคุณแม่ไม่จำเป็นต้องซื้อหนังสือจำนวนมากๆ เพราะสิ่งนี้ไม่ได้บ่งบอกถึงความสำเร็จของลูก แต่เป็น “เวลาคุณภาพ” ที่คุณพ่อคุณแม่นั่งอ่านหนังสือกับลูกต่างหาก คุณพ่อคุณแม่สามารถหยิบหนังสือนิทานเล่มเดิมๆมาอ่านซ้ำๆได้ ตราบใดที่ลูกยังมีความสุขกับการได้ฟังนิทานเรื่องเดิมๆที่เล่าโดยคุณพ่อคุณแม่ที่มอบอ้อมกอดอันอบอุ่นให้กับลูกในขณะอ่านนิทาน
  7. อ่านได้ทุกที่ นอกจากหนังสือนิทานแล้ว คุณพ่อคุณแม่อาจชวนลูกอ่านหรือสังเกตคำต่างๆรอบตัว เช่น ป้ายชื่อร้าน ป้ายบอกทาง สลากสินค้า ตามระดับความสามารถของลูก โดยอาจเชื่อมโยงกับเรื่องราวหรือคำที่เหมือนในหนังสือนิทานที่ได้อ่านให้ลูกฟัง

เมื่อคุณพ่อคุณแม่รู้ถึงประโยชน์ต่างๆจากการอ่าน นิทานกล่อมนอน ที่ ทีมกองบรรณาธิการ ABK ได้รวบรวมข้อมูลมาฝากนี้แล้ว รีบไปหาหนังสือนิทานที่เหมาะกับลูกน้อยมาอ่านให้เค้าฟังคืนนี้กันนะคะ

 

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

นิทานเจ้าหญิง นิทานเสริมสร้างจินตนาการสำหรับลูกสาว

10 นิทานอีสปสั้นๆ เล่าให้ลูกฟังก่อนนอน พร้อมคติสอนใจ

5 นิทานพื้นบ้าน ซึมซับความเป็นไทย พร้อมคติสอนใจ!!

นิทานกระต่ายกับเต่า สอนลูกผ่านนิทานอีสปสนุกๆ!!

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.thaihealth.or.th, https://www.matichon.co.th

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

Amarin Baby & Kids

keyboard_arrow_up