ลูกสำลัก

ป้อนอาหารลูกในท่านอน ลูกสำลัก อันตรายถึงตาย !!

Alternative Textaccount_circle
event
ลูกสำลัก
ลูกสำลัก

ป้อนอาหารลูกในท่านอน ลูกสำลัก อันตรายถึงตาย !!

สาเหตุการการเสียชีวิตที่พบบ่อยในเด็กเล็กสาเหตุหนึ่ง ก็คือ การเสียชีวิตจากภาวะทางเดินหายใจ หรือหลอดอาหารถูกอุดกั้นจากสิ่งแปลกปลอมจน ลูกสำลัก ทั้งจากเหตุที่พ่อ แม่ ญาติพี่น้อง ป้อนอาหารที่ยังไม่เหมาะสมกับช่วงวัยให้เด็ก รวมทั้งป้อนอาหารให้เด็ก ในขณะที่เด็กอยู่ในท่าทางที่ไม่เหมาะสม เช่น เด็กอยู่ในท่านอน เช่นที่ล่าสุด พบคุณแม่ป้อนอาหารให้ลูกในขณะที่ลูกยังนอนอยู่ค่ะ ดังนั้น หากคุณพ่อคุณแม่ ญาติพี่น้องที่ช่วยกันดูแล มีความรู้ความเข้าใจ ในการรับมือและป้องกันเบื้องต้น ก็จะช่วยให้เด็กปลอดภัยมากขึ้น หรือหากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เด็กก็จะได้รับการดูแล และช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงทีค่ะ

ป้อนอาหารลูกท่านอน อันตราย

นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า จากกรณี Drama-addict โพสต์เกี่ยวกับแม่วัยใส โพสต์คลิปตอนป้อนข้าวลูกน้อย ในท่านอน ลงทาง TikTok รายหนึ่งนั้น ถือเป็นการกระทำที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพทารกอย่างยิ่ง และไม่ควรนำไปเป็นแบบอย่าง เนื่องจากการกินอาหารในท่านอน อาจทำให้เด็กสำลักอาหาร เศษอาหารจะหลุดเข้าไปในหลอดลม อาจเกิดการอุดกลั้นทางเดินหายใจ เพราะช่องทางเดินหายใจมีขนาดเล็ก ซึ่งอาจเกิดภาวะหายใจไม่ออก ปอดแฟบ ปอดพอง หรือหอบหืดได้

นอกจากนี้ หากเศษอาหารหลุดเข้าไปในปอด อาจทำให้ปอดเกิดการอักเสบติดเชื้อตามมาได้ หากไม่ได้รับการรักษาหรือดูแลที่ถูกต้อง และอาจเกิดอันตรายถึงชีวิต

ลูกสำลัก
ป้อนอาหารลูกในท่านอน ลูกสำลัก อันตรายถึงตาย !!

หมอแนะนำ ควรป้อนอาหารลูกอย่างไรไม่ให้ ลูกสำลัก

นายแพทย์สุวรรณชัย แนะนำว่า การป้อนอาหารให้ลูกน้อย ควรทำดังนี้

  • จัดให้อยู่ในท่านั่ง
  • ประคองศีรษะให้ตั้งตรง
  • ป้อนอาหารให้พอดีคำ

การให้อาหารลูกน้อย ควรเริ่มให้อาหารหลังจากอายุ 6 เดือน ขึ้นไป โดยให้กินอาหารที่เหมาะสมตามวัย เช่น กล้วยน้ำว้า ไข่แดง ข้าว ผัก ผลไม้ และสารอาหารอื่น ๆ ควบคู่กับการกินนมแม่ต่อเนื่องไปจนถึงอายุอย่างน้อย 2 ปี หรือนานกว่านั้น

การเริ่มต้น ควรให้อาหารในปริมาณน้อย ๆ และมีความเหลวเพื่อความง่ายในการฝึกกลืน และกระบวนการย่อย ช่วงเวลาในการให้อาหารเสริมชนิดใหม่ ๆ ที่เด็กยังไม่เคยกิน ควรเป็นเวลาเช้า หรือกลางวัน ที่ผู้เลี้ยงดูสามารถสังเกตเห็นท่าทีของเด็กหลังการได้รับอาหารได้ใกล้ชิด เมื่อเด็กกินได้ดีในวันแรก ๆ จึงเพิ่มปริมาณ และความเข้มข้นของอาหารทีละน้อยให้เหมาะสมกับช่วงอายุ

อาหารสำหรับทารกแรกเกิด – 6 เดือน

อาหารของทารกแรกเกิดถึง 6 เดือน ควรให้น้ำนมแม่เพียงอย่างเดียว ซึ่งธรรมชาติได้ปรับแต่งให้สะอาด มีคุณค่า เพียงพอ และสารอาหารครบถ้วน ทั้งโปรตีน วิตามิน ไขมัน แร่ธาตุต่าง ๆ  ครบ จะทำให้ลูกเจริญเติบโตทั้งทางร่างกายและสมอง ลดโอกาสเกิดภูมิแพ้ และการติดเชื้อที่ปนเปื้อนมากับน้ำและอาหารอื่น มีโคลอสตรัม หรือนมน้ำสีเหลือง ๆ ช่วงแรกของหลังคลอด  ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันโรค และยังช่วยระบายขี้เทาซึ่งค้างอยู่ในลำไส้ทารก ช่วยให้มดลูกแม่เข้าอู่เร็ว น้ำหนักตัวของแม่ลดลงอย่างรวดเร็วด้วย เพราะฉะนั้น ช่วงนี้ไม่จำเป็นต้องป้อนอาหารอย่างอื่นเพิ่มเติมเลยค่ะ เลี่ยงการสำลักอาหารได้โดยอัตโนมัติ

อาหารที่เหมาะสำหรับเด็ก 6 เดือนขึ้นไป

พญ.อุรารมย์  พันธุมะผล กุมารแพทย์ทารกแรกเกิด และปริกำเนิด ศูนย์สุขภาพเด็ก โรงพยาบาลพญาไท 2 ได้อธิบายไว้ว่า ช่วงวัยนี้ นอกจากนมแม่แล้ว จะเริ่มให้กินอาหาร 1 มื้อ เริ่มต้นด้วยข้าว 3 – 4 ช้อนโต๊ะ ไข่แดงครึ่งฟอง สลับ หมู ไก่ กับปลาน้ำจืด ตับบด ผักสุกบด ฟักทอง และเพิ่มปริมาณอาหารขึ้นไปเรื่อย ๆ

แนะนำให้คุณแม่ทำอาหารเอง มากกว่าซื้อตามท้องตลาด ด้วยเมนูง่าย ๆ เช่น ต้มจืดตำลึงกระดูกหมู กับข้าวต้มหอมมะลิ ไม่แนะนำให้บดอาหารทุกอย่างเข้าด้วยกัน เพราะเด็กมักมีปัญหาไม่ยอมเคี้ยวข้าว หรือเคี้ยวข้าวไม่เป็น ใช้แค่ตะแกรงบดอาหารก็เพียงพอ

สำหรับเด็ก 8 เดือนขึ้นไป ช่วงวัยนี้ ต้องเพิ่มปริมาณมื้ออาหารเป็น 2 มื้อ ในช่วงเวลาไหนก็ได้ รวมถึงเพิ่มปริมาณอาหารขึ้นด้วย

สำหรับเด็ก 10 เดือน – 1 ปี จะเริ่มกินอาหาร 3 มื้อแทนนมแม่ นมแม่จะกลายเป็นอาหารเสริม คุณแม่สามารถให้นมลูกในช่วงระหว่างมื้ออาหาร เช่น ก่อนมื้อเช้า หลังมื้อเที่ยง หรือก่อนนอน เป็นต้น

สำหรับเด็กอายุ 1 ปี ขึ้นไป เมื่อลูกน้อยอายุครบ 1 ปี จะสามารถกินอาหารได้เหมือนคนทั่วไป เน้นอาหารที่ไม่แข็งมาก เช่น ก๋วยเตี๋ยวน้ำ โจ๊ก ข้าวต้ม ราดหน้า เป็นต้น

ช่วงวัยตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป ลูกจะได้รับอาหารอื่น ๆ ที่มากกว่านมแม่แล้ว ดังนั้น จึงควรระมัดระวังการติดคอและการสำลักให้ดีมากยิ่งขึ้นนะคะ

ลูกสำลัก
ป้อนอาหารลูกในท่านอน ลูกสำลัก อันตรายถึงตาย !!

วิธีปฐมพยาบาลเมื่อ ลูกสำลัก อาหารติดคอ

1. ให้รีบช่วยเหลือในเบื้องต้น โดยใช้วิธีจับเด็กนอนคว่ำ และตบแรง ๆ บริเวณทรวงอกด้านหลัง ระหว่างกระดูกสะบัก จนอาหารกระเด็นหลุดออกมา ห้ามใช้นิ้วมือล้วงช่องปาก หรือจับเด็กห้อยศีรษะ และตบหลังเป็นอันขาด เพราะอาจทำให้เศษอาหารตกมาอุดที่กล่องเสียง จนขาดอากาศหายใจได้

2. ในกรณีที่สำลัก แล้วหายใจไม่ออก ริมฝีปากเขียว ถือเป็นภาวะฉุกเฉิน อาจเสียชีวิตได้ภายในเวลาไม่กี่นาที ควรรีบใช้วิธีช่วยเหลือแบบ Heimlich โดยให้ลูกนั่ง หรือยืนโน้มตัว ไปทางด้านหน้าเล็กน้อย คุณแม่ยืนทางด้านหลัง ใช้แขนสอดสองข้างโอบลำตัว กำมือวางไว้ที่ใต้ลิ้นปี่ ดันมือลงตรงตำแหน่งลิ้นปี่อย่างรวดเร็ว เพื่อให้เกิดแรงดันในช่องท้อง ดันให้อาหารหลุดออกมา

3. สิ่งที่สำคัญที่สุด ในการช่วยลูกจากภาวะฉุกเฉินนั้น คุณแม่จะต้องตั้งสติให้ดี ๆ รีบช่วยเหลือลูกโดยเร็วที่สุด อย่างถูกวิธี เพราะหากสมองของลูกขาดออกซิเจนเพียง 4 นาที อาจทำให้กลายเป็นเจ้าหญิงหรือเจ้าชายนิทรา

วิธีป้องกันไม่ให้ลูกอาหารติดคอ

  • เก็บอาหารชิ้นเล็ก ๆ ให้พ้นมือเด็ก พ่อแม่ควรเก็บอาหารชิ้นเล็ก ๆ เช่น เมล็ดถั่ว เมล็ดข้าวโพด ลูกอม ข้าวโพดคั่ว องุ่น ลูกเกด ขนมเยลลี่ ฯลฯ ให้พ้นมือเด็ก เพื่อหลีกเลี่ยงการที่เด็กอาจจะหยิบกิน โดยที่ไม่ได้อยู่ในสายตา และความดูแลของพ่อแม่
  • ควรสอนให้เด็กเคี้ยวอาหารช้าๆ ให้ละเอียดก่อนกลืน ไม่กินอาหารขณะนอนราบ รวมถึงไม่ให้พูดหัวเราะ หรือวิ่งเล่นขณะที่มีอาหารอยู่ในปาก
  • ไม่ควรให้เด็กเล็ก กินอาหารที่มีลักษณะเป็นเส้น มีขนาดกลม ลื่นและแข็ง เช่น ลูกชิ้น ไส้กรอก รวมไปถึงปลาที่มีก้าง เนื้อสัตว์ที่ติดกระดูก และผลไม้ที่มีเม็ดขนาดเล็ก ควรเอาเม็ดออก พร้อมตัดแบ่งเป็นคำเล็กพอ ที่เด็กจะสามารถเคี้ยวได้ เนื่องจากเม็ดของผลไม้ มีความลื่น และมีโอกาสหลุดเข้าหลอดลมได้ง่าย

อาหารติดคอ จนเกิดการสำลักที่เกิดในเด็กเล็กนั้น ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ เลยนะคะ ุณพ่อคุณแม่ต้องระวัง กำชับคนในบ้าน คนที่เลี้ยงน้องให้ระวังให้ดี หากเกิดเหตุไม่คาดฝัน ก็ให้ช่วยเหลือตามวิธีที่แนะนำไว้ เพื่อรักษาชีวิตน้องค่ะ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก
กรุงเทพธุรกิจ, โรงพยาบาลเปาโล, สำนักสารนิเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข, ฝ่ายโภชนาการ คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล, โรงพยาบาลพญาไท 2 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

เตือนป้อนน้ำส้ม น้ำผลไม้สําหรับทารก ก่อนอายุ 6 เดือน เสี่ยงลูกสำลักเสียชีวิตได้!

คัมภีร์ “ตารางอาหารตามวัย” สำหรับลูกน้อยในวัยขวบปีแรก

อย่าล้วงคอลูก!หาก สำลักอาหาร อาจอันตรายถึงชีวิตได้

อาบน้ำลูก อุทาหรณ์

อุทาหรณ์ใช้อุปกรณ์ อาบน้ำลูก ไม่ได้มาตรฐานอันตราย!!

Alternative Textaccount_circle
event
อาบน้ำลูก อุทาหรณ์
อาบน้ำลูก อุทาหรณ์

อาบน้ำลูก เด็กทารก อุปกรณ์ต้องมา! พ่อแม่ทุกบ้านมักเตรียมพร้อมจัดเต็มกับอุปกรณ์ช่วยอาบน้ำลูก ชิ้นไหนใครว่าดีว่าเด็ดเป็นไม่พลาด แต่อย่าลืมความปลอดภัยสำคัญ!!

อุทาหรณ์ใช้อุปกรณ์ อาบน้ำลูก ไม่ได้มาตรฐานอันตราย!!

เตรียมของให้ลูกน้อย อีกหนึ่งกิจวัตรประจำวันที่แม่ชื่นชอบ การได้ช้อปปิ้งเลือกสินค้าเด็ก ที่ทั้งน่ารัก และช่างน่าเพลิดเพลิน อุปกรณ์อาบน้ำเด็กทารก เป็นอีกหนึ่งไอเทมยอดฮิตที่พ่อแม่ต้องตระเตรียมกันไว้เพื่อเจ้าตัวเล็ก เรียกได้ว่าเป็นภาระกิจอันใหญ่ยิ่ง แม้เจ้าของอุปกรณ์เหล่านั้นจะตัวเล็กจิดริดก็ตามที

การอาบน้ำทารก เป็นขั้นตอนการดูแลเด็กแรกเกิด ที่ทั้งคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ต่างเป็นกังวลอยู่ไม่น้อย ดังนั้นการเตรียมอุปกรณ์อาบน้ำให้พร้อมสรรพจึงเป็นตัวช่วยที่พ่อแม่หลายคนเลือกใช้มาเสริมกำลังใจ การเลือกซื้ออุปกรณ์ที่ดีได้มาตรฐานจึงเป็นสิ่งจำเป็นไม่แพ้ไปกว่าการรู้วิธีอาบน้ำทารกอย่างถูกต้องเช่นกัน

เตรียม อาบน้ำลูก ต้องทำอย่างไร
เตรียม อาบน้ำลูก ต้องทำอย่างไร

อุปกรณ์ใช้ อาบน้ำลูก ของมันต้องมี!!

อ่างอาบน้ำ หรือกะละมัง

แนะนำให้ใช้อ่างที่อ่อนนุ่ม มีที่กั้นกันลื่น สิ่งจำเป็นในการเลือกอ่างอาบน้ำเด็ก ที่กั้นกันลื่นช่วยให้พ่อแม่สบายใจไม่กลัวลูกลื่นหล่นไปในอ่าง นอกจากนี้ ยังควรต้องระมัดระวังเลือกดูว่าขอบอ่างมีความคมไหม เพราะอาจบาด และเป็นอันตรายต่อผิวของลูกได้ ขนาดของอ่างอาบน้ำ ไม่ควรเลือกอ่างอาบน้ำ หรือ กะละมังที่ใหญ่เกินตัวเด็กไปมาก พ่อแม่บางท่านอาจคิดว่าเป็นการซื้อเผื่อโต แต่การที่กะละมังอาบน้ำใหญ่เกินไป จะทำให้ไม่ถนัด และเมื่อพลาดพลั้ง ระดับน้ำที่มากเกินไป อาจเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ แต่ไม่ควรที่จะเล็กเกินไป ต้องมีพื้นที่ให้เด็กได้กวักแกว่งแขวนเล็ก ๆ ได้ด้วย

อ่างอาบน้ำเด็กที่มีขายกสูง บางบ้านที่คุณพ่อคุณแม่มีปัญหาเรื่องปวดหลัง หรือขาเวลานั่งอาบน้ำให้ลูก อุปกรณ์ดังกล่าวก็เป็นอีกไอเท็มที่ช่วยแก้ปัญหาในจุดนี้ได้ แต่พ่อแม่ควรเลือกที่ได้มาตราฐาน แข็งแรง และคำนึงถึงความสามารถในการรับน้ำหนักของอ่างอาบน้ำยกสูงด้วยเช่นกัน เพราะเมื่อเติมน้ำ บวกกับน้ำหนักตัวของเด็ก ต้องมั่นใจว่าอุปกรณ์ดังกล่าวมีความสมดุล และแข็งแรงมากพอที่จะรับน้ำหนักได้ นอกจากนี้ยังควรระมัดระวังในเรื่องของอุบัติเหตุ ลื่นล้มเมื่อพื้นเปียก ความแข็งแรงของขาตั้งอ่างอาบน้ำต้องแข็งแรงมั่นคงพอ รวมถึงสถานที่ตั้งอ่างอาบน้ำควรชิดกำแพงเพื่อป้องกันการล้มพับอีกด้วย

ผ้าขนหนู

ผ้าเช็ดตัวควรเป็นผ้าที่ทำจาก Cotton 100% หรือเป็นผ้าใยไผ่ ที่ซืมซับน้ำได้ดี และมีความนุ่มไม่บาดผิว ทำให้ลูกน้อยรู้สึกสบาย ไม่อับชื้น เลือกผ้าที่ขนน้อย จะได้ไม่เกิดฝุ่น คุณแม่ควรเตรียมผ้าทั้งขนาดเล็ก และขนาดใหญ่ เพื่อเลือกใช้ได้อย่างเฉพาะจุด เช่น ผืนใหญ่ไว้ห่อตัว ผืนเล็กไว้คลุมศีรษะ เป็นต้น

ฟองน้ำธรรมชาติ

ฟองน้ำที่อ่อนโยนต่อผิวเด็ก ซึมซับดี ควรเลือกเป็นฟองน้ำธรรมชาติซึ่งมีความอ่อนโยน ถนอมผิวของลูกน้อย ป้องกันการแพ้ และซึมซับได้ดีกว่าฟองน้ำสังเคราะห์ แม้ว่าจะมีราคาสูงกว่าก็ตาม แต่รับรองว่าดีต่อลูกน้อยแน่นอน ฟองน้ำธรรมชาติ แหล่งกำเนิดมาจากปะการังใต้มหาสมุทร ทำให้ลักษณะไม่ตายตัวเหมือนฟองน้ำสังเคราะห์ เมื่อใช้เสร็จควรผึ่งให้แห้งทุกครั้ง ไม่ควรโดนแสง หรือความร้อนโดยตรง จะช่วยยืดอายุการใช้งานได้

อุปกรณ์ อาบน้ำลูก ต้องเตรียมอะไรบ้าง
อุปกรณ์ อาบน้ำลูก ต้องเตรียมอะไรบ้าง

สำลี

ควรเลือกใช้สำลีที่ผลิตจากฝ้าย 100% อ่อนนุ่ม เบา อุ้มน้ำได้ดี ปราศจากสารเรืองแสง สารเคมี หรือกาว PVA ผ่านการสเตอริไรซ์ด้วยความร้อนสูง ให้ปลอดเชื้อโรค เพราะสำลีจะเป็นอุปกรณ์สำคัญอีกชิ้นหนึ่งในการอาบน้ำทารก ไว้เช็ดบริเวณรอบดวงตา ซึ่งเป็นจุดที่ต้องการความอ่อนโยน และต้องมั่นใจว่าปลอดเชื้อ ไม่เกิดอาการแพ้

เทอโมมิเตอร์วัดอุณหภูมิ

เป็นอุปกรณ์เสริมของคุณแม่ยุคใหม่ ตัวช่วยเพิ่มความมั่นใจว่าอุณหภูมิของน้ำที่อาบไม่ร้อนเกินไป อุณหภูมิควรอยู่ที่ 33-37 องศา ในปัจจุบันมีการพัฒนาติดแถบวัดอุณหภูมิที่ตัวอ่างอาบน้ำไว้เลย เพื่อความสะดวกของพ่อแม่ แต่หากบ้านไหนไม่สะดวก ก็สามารถใช้วิธีรุ่นคุณพ่อคุณแม่ของเราก็ได้นะ ใช้มือของตัวเราเองสัมผัสรับความรู้สึกว่าน้ำอุ่นใช้ได้หรือยัง แต่ควรระวังสักหน่อยว่า บางครั้งความรู้สึกของผู้ใหญ่กับเด็กอาจไม่เหมือนกัน แนะนำให้ค่อย ๆ พาลูกลงน้ำทีละน้อย เพื่อสังเกตอาการให้ชัวร์

แปรงสีฟัน ยาสีฟัน

ควรเลือกแปรงสีฟันที่มีขนาดเหมาะสมกับช่องปากของเด็ก หรือเลือกตามอายุเด็กที่ระบุไว้บนผลิตภัณฑ์ ขนแปรงนุ่ม ด้ามจับเรียบไม่มีขอบคม ควรเปลี่ยนแปรงสีฟันทุก ๆ 3 เดือน หรือเริ่มเห็นว่าแปรงเริ่มบาน สำหรับเด็กทารกหากไม่เลือกใช้แปรงสำหรับเด็กทารก คุณพ่อคุณแม่อาจใช้ผ้าอ้อมชุบน้ำอุ่นต้มสุก ไว้ถูเหงือก และลิ้นลูกแทนได้เช่นกัน

สำหรับยาสีฟันควรเป็นยาสีฟันที่ผลิตจากวัตถุดับจากธรรมชาติ ไม่เป็นอันตรายหากกลืนเข้าไป และมีส่วนผสมของฟลูออไรด์ป้องกันฟันผุ

อ่างอาบน้ำลูก แบบไหนถึงดี
อ่างอาบน้ำลูก แบบไหนถึงดี

แชมพู และครีมอาบน้ำสำหรับเด็ก

วิธีการเลือกแชมพูและครีมอาบน้ำสำหรับเด็ก ควรเลือกที่มีส่วนผสมหลักจากธรรมชาติ อ่อนโยนต่อผิวเด็ก ไม่ระคายผิว ปราศจากสารเคมี ไม่ใส่สารทำให้เกิดฟอง (SLS,SLESM DEA) ไม่ใส่สารกันเสีย ไม่ใส่สารกันบูดไม่ใส่ซิลิโคน ไม่ใส่สี  ไม่ใส่น้ำหอมสังเคราะห์

หมวกสระผมสำหรับเด็ก

ตัวช่วยสำหรับคุณแม่มือใหม่  ควรเลือกตัวที่สามารถปรับขนาดได้ เพื่อให้สามารถปรับได้พอดีกับขนาดศรีษะของลูกน้อย และยังช่วยไม่ให้แชมพูเข้าตา ทำให้แสบ และระคายเคืองตา

ของเล่นอาบน้ำ

ของเล่นที่ปลอดภัย สีสันสดใส และเป็นการดึงดูดเสริมพัฒนาการลูกน้อยระหว่างการอาบน้ำ ทำให้ลูกรักการอาบน้ำ

เมื่อนำลูกน้อยมาอาบน้ำแล้ว คุณแม่เองจะไม่สามารถปลีกตัวออกห่างจากลูกได้เลย ก่อนอาบจึงควรเตรียมของใช้ต่าง ๆ ที่ต้องใช้ระหว่างอาบน้ำให้ใกล้มือพร้อมหยิบมากที่สุด และสิ่งสำคัญในการเตรียมอุปกรณ์อาบน้ำลูก คือ ความปลอดภัย

สิ่งที่ควรระวังเมื่ออาบน้ำเด็ก

  • ในระหว่างการอาบน้ำเด็ก ควรประคองตัวตลอดการอาบน้ำเพื่อป้องกันการจมน้ำ ห้ามปล่อยให้ทารกอยู่ในอ่างน้ำหรือห้องน้ำเพียงลำพังแม้เวลาเพียงวินาทีเดียวก็ตาม อุบัติเหตุสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
  • หากต้องทำกิจกรรมอื่น ๆ กลางคันระหว่างอาบน้ำเด็ก ควรนำลูกขึ้นจากน้ำโดยห่อตัวไว้ด้วยผ้าขนหนูและอุ้มลูกไปด้วย ควรสังเกตว่าทารกมีอาการหวาดกลัว ร้องไห้งอแงหรือไม่
  • ตรวจอุณหภูมิภายในห้องน้ำให้เหมาะสม หากอุ้มลูกวางในอ่างอาบน้ำ คุณแม่ควรตักน้ำราดตัวลูกในส่วนที่โผล่พ้นน้ำ เพื่อไม่ให้ลูกหนาวจากอุณหภูมิที่แตกต่างกัน ลูกอาจไม่สบายได้
  • ควรล้างสบู่ออกจากมือของเราออกก่อน เพื่อป้องกันทารกลื่นหลุดมือ และควรระมัดระวังการใช้สบู่มากเกินไปเพราะอาจทำให้ผิวของเด็กทารกแห้งได้
  • หากพบว่าเด็กทารกมีอาการผิดปกติอย่างอาการหวัด หายใจลำบาก เกิดผื่น คัน อ่อนแรง ชัก เบื่ออาหาร อาเจียนหรือขับถ่ายเป็นเลือด ควรนำตัวเด็กส่งโรงพยาบาลเพื่อเข้ารับการรักษาโดยเร็วที่สุด
  • การสระผมทารก ไม่จำเป็นต้องสระบ่อย ทารกในช่วง 1-2 เดือนสระผมเพียงสัปดาห์ละ 1 ครั้งก็เพียงพอ
  • ช่วงแรกที่เด็กอายุไม่ครบ 1 เดือน ผิวจะแห้งง่ายมาก คุณแม่ไม่จำเป็นต้องอาบน้ำบ่อย ๆ และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มอบความชุ่มชื้นให้แก่ผิวลูกในระดับที่อ่อนโยนต่อผิวมากที่สุด

อุทาหรณ์เตือนใจ! เมื่อใช้อุปกรณ์อาบน้ำลูกไม่เหมาะสม ไม่ได้มาตราฐาน

จากกรณีแม่เด็กโพสเตือนอุทาหรณ์ที่นำลูกไปอาบน้ำที่อ่างล้างจาน แต่นิ้วเท้าของลูกเข้าไปติดที่ฝารูระบายน้ำอ่างล้างจาน

อุทาหรณ์ อาบน้ำลูก กับอุปกรณ์ไม่เหมาะสม
อุทาหรณ์ อาบน้ำลูก กับอุปกรณ์ไม่เหมาะสม

นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าเตือนใจในชุมชนแม่และเด็ก ที่เล่าไว้เป็นอุทาหรณ์กับขาตั้งอาบน้ำเด็ก เพื่อให้ความสะดวกสบายกับพ่อแม่ สามารถยืนอาบน้ำให้ลูกได้ไม่ปวดหลัง แต่อุบัติเหตุก็เกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อขาตั้งอ่างอาบน้ำที่ไม่ได้มาตรฐานรับน้ำหนักไม่ไหว ประกอบกับพื้นที่ลื่นเพราะเปียกน้ำ จึงล้มพับลงมาทั้งแม่และลูก โชคดีที่ไม่ได้เป็นอะไรมาก

ดังนั้นหากพ่อแม่ที่คิดจะซื้ออุปกรณ์เตรียมไว้ให้ลูกน้อย ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ใด ๆ เกี่ยวกับเด็กแล้ว ควรต้องคำนึงถึงความปลอดภัยให้มาก ทางที่ดีควรเลือกอุปกรณ์ที่ได้มาตรฐาน ได้รับการรับรองที่น่าเชื่อถือจะดีกว่า เพราะชีวิตน้อย ๆ ไม่ควรมาเสี่ยงกับของที่ไม่มีคุณภาพ พ่อแม่ไม่ควรต้องมาเสียใจภายหลัง เมื่อเราได้อุปกรณ์อาบน้ำลูก กันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดนั่นคือ ขั้นตอนการลงมืออาบน้ำให้ลูก วันนี้เรานำเทคนิคดี ๆ มาฝากคุณพ่อคุณแม่ไว้ให้ได้ศึกษากัน เพื่อจะได้รู้ขั้นตอนที่ถูกต้องเพื่อความปลอดภัยให้แก่ลูกไปอีกขั้น

เทคนิคอาบน้ำเด็กสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่

ก่อนการอาบน้ำเด็กทารก ควรเตรียมอุปกรณ์อาบน้ำให้อยู่ใกล้มือที่สุดและเตรียมสถานที่ให้พร้อม เช่น น้ำอุ่น สบู่ หรือแชมพู สำลีแผ่น อุปกรณ์สำหรับวัดอุณหภูมิน้ำ ฟองน้ำ ผ้าเช็ดตัว ผ้าห่ม ชุดสะอาด ผ้าอ้อมและที่เปลี่ยนผ้าอ้อม ปิดหน้าต่างเพื่อป้องกันลมเย็น ควรใช้ศอกหรืออุปกรณ์วัดอุณหภูมิน้ำในอ่าง โดยอุณหภูมิของน้ำที่เหมาะสมควรอยู่ระหว่าง 33–37 องศาเซลเซียส และไม่ควรสูงเกิน 40 องศาเซลเซียส

หลังจากเตรียมอุปกรณ์และสถานที่เสร็จแล้ว คุณพ่อคุณแม่สามารถอาบน้ำทารกได้ตามขั้นตอนต่อไปนี้

  • ถอดเสื้อผ้าหรือผ้าอ้อมออกและห่อตัวทารกด้วยผ้าขนหนู หากเด็กปัสสาวะหรืออุจจาระ ควรทำความสะอาดอวัยวะเพศและทวารหนักก่อนให้เด็กลงอ่างอาบน้ำ
  • อุ้มลูกน้อยลงในอ่างที่เตรียมไว้อย่างช้า ๆ โดยประคองหัวและคอไว้ด้วยและใช้แขนอีกข้างอุ้มตัวเด็กไว้จากบริเวณก้น
  • ใช้สำลีชุบน้ำอุ่นในอ่าง บีบน้ำออกและเช็ดหน้าทารกเบา ๆ โดยควรใช้น้ำเปล่าเท่านั้น หากเด็กมีคราบน้ำมูกหรือขี้ตา ควรใช้สำลีซับเพื่อให้คราบต่าง ๆ อ่อนตัวลงแล้วจึงเช็ดออก

    ของเล่นอาบน้ำ ช่วยให้ลูกชอบการอาบน้ำ
    ของเล่นอาบน้ำ ช่วยให้ลูกชอบการอาบน้ำ
  • ใช้สบู่หรือแชมพูสูตรอ่อนโยนเพื่อทำความสะอาดร่างกาย อย่างในบริเวณหัว หลังใบหู คอ แขน ตัว บริเวณที่สวมใส่ผ้าอ้อม หลังจากนั้นให้ล้างสบู่หรือแชมพูออกทันที หากทารกผิวแห้ง สามารถเติมผลิตภัณฑ์เพิ่มความชุ่มชื้นสูตรอ่อนโยนผสมกับน้ำในอ่างอาบน้ำได้ เพื่อช่วยให้เกราะป้องกันผิวทำงานได้ดียิ่งขึ้น
  • เมื่อล้างสบู่หรือแชมพูออกเรียบร้อยแล้ว ให้ห่อตัวและหัวลูกด้วยผ้าขนหนูเพื่อให้เด็กรู้สึกอุ่นแล้วจึงค่อย ๆ เช็ดตัวให้แห้งและแต่งตัวให้เด็ก ในกรณีที่ทารกมีอายุมากกว่า 1 เดือน สามารถทาโลชั่นเพิ่มความชุ่มชื้นแบบไม่ผสมน้ำหอมให้แก่ลูกเพื่อป้องกันผิวแห้งหรือโรคผิวหนังอักเสบได้

นอกจากนี้ผู้ปกครองควรใช้เวลาในการอาบน้ำอย่าพิถีพิถันและเล่นกับลูกระหว่างการอาบน้ำเพื่อให้เด็กรู้สึกผ่อนคลาย ลดการกลัวน้ำ อีกทั้งยังช่วยสร้างสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครองกับทารกด้วยเช่นกัน

ข้อมูลอ้างอิงจาก  www.mommories-store.com/pantip.com/www.pobpad.com /www.amarintv.com

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

วิธีอาบน้ำให้ลูกน้อย ถูกต้อง ปลอดภัย สำหรับพ่อแม่มือใหม่

ลูกท้องเสียหลายวัน อย่าวางใจความเชื่อ”เด็กยืดตัว”มีจริงหรือ

เพราะเวลาทั้งหมดเพื่อลูก! ระวัง”แม่ฟลูไทม์” ซึมเศร้า

5 ไม่! พ่อแม่ดูลูกให้ดี ก่อน ลูกโดนลักพาตัว

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

เตือน!! คนท้องเก็บขี้แมว เสี่ยงแท้ง!!

Alternative Textaccount_circle
event

เตือน!! คนท้องเก็บขี้แมว เสี่ยงแท้ง!!

คนท้องเก็บขี้แมว ก็อาจเสี่ยงต่อการแท้งได้!! สุขภาพของคุณแม่สำคัญต่อสุขภาพของลูกน้อยขณะตั้งครรภ์มาก หากคุณแม่ได้รับเชื้อโรคชนิดใดชนิดหนึ่ง ลูกในท้องอาจมีความเสี่ยงที่จะได้รับเชื้อโรคชนิดนั้น ๆ ไปด้วย ซึ่งเรื่องที่คุณแม่อาจคิดไม่ถึงล้วนเป็นเรื่องใกล้ตัว ก็คือ โรคที่มากับอุจจาระของน้องแมว ที่คุณพ่อคุณแม่เลี้ยงไว้ภายในบ้าน นั่นคือ โรคทอกโซพลาสโมซิส โดยคุณแม่อาจมีความเสี่ยงติดเชื้อโรคและแท้งได้จากการที่ทำความสะอาด หรือสัมผัสใกล้ชิดกับอุจจาระของแมวค่ะ

โรคทอกโซพลาสโมซิส โรคของ คนท้องเก็บขี้แมว

โรคทอกโซพลาสโมซิส (Toxoplasmosis) หรือโรคขี้แมว เป็นโรคติดเชื้อจากปรสิตที่มีชื่อว่า Toxoplasma gondii โดยสามารถพบได้ในมูลของแมว เนื้อสัตว์ดิบหรือปรุงสุก ๆ ดิบ ๆ แม้ปกติมักจะไม่ก่อให้เกิดอาการใด ๆ แต่ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการคล้ายไข้หวัด และเชื้อยังสามารถแพร่จากแม่สู่ทารกในครรภ์ได้

สาเหตุของโรค

โรคทอกโซพลาสโมซิส เกิดได้กับคนทุกเพศทุกวัย โดยสาเหตุที่ทำให้ได้รับเชื้อมาได้จากหลายทาง ได้แก่

  1. เผลอสัมผัสปากตนเอง หรือนำเชื้อโรคเข้าปาก หลังจากสัมผัสดิน หรืออุจจาระแมว ที่มีเชื้อปรสิตปนเปื้อน โดยอาจเกิดขึ้นได้หลังจากทำความสะอาดกระบะทรายแมว เล่นกับแมว หรือปลูกต้นไม้แล้วล้างมือไม่สะอาด
  2. รับประทานอาหาร หรือเครื่องดื่ม ที่มีการปนเปื้อนของเชื้อปรสิต
    • โดยเฉพาะเนื้อสัตว์ดิบอย่าง เนื้อหมู หรือแกะดิบ
    • สัตว์น้ำอย่าง หอยนางรม หรือหอยแมลงภู่
    • ผลิตภัณฑ์นมที่ไม่ผ่านการพาสเจอร์ไรส์ หรือกระบวนการฆ่าเชื้อ
    • ผัก และผลไม้ที่ล้างไม่สะอาด
    • รวมไปถึงการใช้เครื่องครัวอย่าง มีด เขียง และช้อนส้อม กับเนื้อสัตว์ดิบ และสัตว์น้ำ ก็อาจก่อให้เกิดการปนเปื้อนเช่นกัน
  3. ถ่ายทอดจากแม่สู่ลูก สตรีที่ป่วยเป็นโรคทอกโซพลาสโมซิสในระหว่างตั้งครรภ์ อาจส่งต่อเชื้อไปสู่ทารกได้
  4. กรณีที่พบได้น้อยมาก คือ ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะที่ติดเชื้อ หรือการถ่ายเลือดที่ติดเชื้อ

ที่อันตรายคือ เชื้อปรสิตชนิดนี้ สามารถแฝงอยู่ภายในร่างกายของผู้ที่มีสุขภาพดี แต่หากระบบภูมิคุ้มกันของนที่แข็งแรงนั้น อ่อนแอลงจากการเจ็บป่วย หรือจากการใช้ยาบางชนิด อาจส่งผลให้การติดเชื้อกำเริบขึ้นมา และทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้ค่ะ

อาการของโรคทอกโซพลาสโมซิส

ผู้ป่วยโรคทอกโซพลาสโมซิส มักจะไม่มีอาการแสดงออกมา แม้จะมีปรสิตชนิดนี้อยู่ภายในร่างกาย แต่บางรายอาจมีอาการคล้ายไข้หวัด เช่น

  • มีไข้
  • ต่อมน้ำเหลืองบวม
  • ปวดศีรษะ
  • ปวดกล้ามเนื้อ
  • เจ็บคอ เป็นต้น

อาการจะหายไปได้เองภายในระยะเวลาไม่นาน ทำให้แม่ที่อาจติดโรคไม่ทราบว่ากำลังได้รับเชื้ออยู่

ทั้งนี้ ผู้ป่วยบางกลุ่มควรเข้ารับการรักษาอย่างเร่งด่วน อาจพบอาการที่เป็นอันตรายต่อสมอง ดวงตา และอวัยวะอื่น ๆ ได้ โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงต่อไปนี้

ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ

การรักษาด้วยเคมีบำบัด หรือการปลูกถ่ายอวัยวะใหม่ในผู้ป่วยโรคเอดส์ หรือผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวี อาจไปกระตุ้นเชื้อปรสิตในร่างกาย ทำให้เกิดอาการต่าง ๆ เช่น ปวดศีรษะ รู้สึกสับสน ร่างกายทำงานไม่ประสานกัน ชัก โคม่า มีอาการของโรคติดเชื้อฉวยโอกาส อย่างไอแห้งติดต่อกันเป็นเวลานาน หรือหายใจไม่อิ่ม ปวดตา ตามัวจากการอักเสบของจอตา เป็นต้น

คนท้องเก็บขี้แมว
เตือน!! คนท้องเก็บขี้แมว เสี่ยงแท้ง!!

ผู้ที่ติดเชื้อก่อน หรือในระหว่างการตั้งครรภ์ 

ผู้ที่ได้รับเชื้อในช่วงแรกของการตั้งครรภ์ อาจถ่ายทอดเชื้อไปยังทารกได้น้อย แต่มักส่งผลให้ทารกเสียชีวิตในครรภ์ หรือเกิดการแท้งบุตร สำหรับทารกที่รอดชีวิต มีแนวโน้มจะพบปัญหาสุขภาพรุนแรงตามมา เช่น ชัก ตับโต ม้ามโต ดีซ่าน หรือติดเชื้อที่ดวงตาอย่างรุนแรง

ผู้ที่ติดเชื้อนี้ในช่วงไตรมาสที่ 3 อาจเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อสู่ทารกได้มากที่สุด แต่มักพบอาการผิดปกติได้น้อย  และเด็กที่เกิดมาอาจจะพัฒนาอาการได้เมื่อโตขึ้น

หมอเตือน คนท้องเก็บขี้แมว เสี่ยงแท้ง

ผศ. นพ.จักรพงษ์ บรูมินเหนทร์ สาขาวิชาโรคติดเชื้อ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เตือนไว้ว่าในกรณีของการติดเชื้อในหญิงตั้งครรภ์นั้น มีความสำคัญ โดยถึงแม้ว่าการติดเชื้อครั้งเเรกในขณะตั้งครรภ์นั้นอาจมีอาการไม่รุนเเรงต่อหญิงตั้งครรภ์ แต่อาจส่งผลไปยังเด็กในครรภ์ได้

  • เด็กอาจเกิดการติดเชื้อทำให้มีขนาดตัวเล็ก ศีรษะโตจากโพรงสมองที่ใหญ่ขึ้น
  • นอกจากนั้นยังอาจมีปัญหาเรื่องการมองเห็น การได้ยิน
  • อาจถึงขั้นแท้ง หรือตายคลอดได้

การส่งต่อเชื้อจากหญิงตั้งครรภ์ไปสู่เด็กได้นั้น มักเกิดจากการติดเชื้อครั้งแรก แต่ถ้าหากเคยได้รับเชื้อมาแล้ว เเละเกิดการกำเริบช่วงที่ตั้งครรภ์ มักจะไม่ติดไปสู่เด็ก เนื่องจากร่างกายจะมีภูมิคุ้มกันอยู่บ้างแล้ว

จากการศึกษา โดยการตรวจเลือดผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ในประเทศไทยพบว่า ผู้ที่เคยติดเชื้อชนิดนี้อยู่ประมาณร้อยละ 28 โดยส่วนใหญ่มักไม่ทราบว่าตนเองได้รับเชื้อมาก่อน จึงเป็นการยากที่จะทราบว่า เราเคยติดเชื้อมาก่อนหรือไม่ ดังนั้น การป้องกันการรับเชื้อตั้งแต่แรกจึงดีที่สุด

การรักษาโรค

การรักษาโรคทอกโซพลาสโมซิสในหญิงตั้งครรภ์ มีอยู่หลายวิธี ขึ้นอยู่กับระยะที่ติดเชื้อ และความรุนแรงของเชื้อ เช่น

  • การติดเชื้อภายใน 16 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์ อาจต้องรับประทานยาปฏิชีวนะอย่าง สไปรามัยซิน เพื่อลดอัตราการติดเชื้อจากมารดาสู่ทารกในครรภ์
  • การติดเชื้อหลังสัปดาห์ที่ 16 ของการตั้งครรภ์ หรือทารกในครรภ์ติดเชื้อ อาจต้องรับประทานยาไพริเมตามีน ยาซัลฟาไดอะซีน กรดโฟลิก และยาลูวโคโวริน ทั้งนี้ ยาทั้ง 2 ชนิดนี้อาจส่งผลข้างเคียงต่อมารดา และทารกในครรภ์ได้ เช่น กดไขกระดูกที่ช่วยสร้างเซลล์เม็ดเลือด เกิดความเป็นพิษต่อตับ เป็นต้น

การรักษาผู้ป่วยที่มีร่างกายแข็งแรง ผู้ที่ร่างกายแข็งแรง มักไม่ต้องรักษา แต่หากมีสัญญาณของโรคทอกโซพลาสโมซิสเฉียบพลัน มีอาการรุนแรง เช่น ส่งผลต่อดวงตา และอวัยวะภายในอื่น ๆ แพทย์อาจให้รับประทานยารักษาโรคมาลาเรียอย่าง ไพริเมตามีน ร่วมกับยาปฏิชีวนะอย่าง ซัลฟาไดอะซีน เช่นเดียวกับผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวี หรือโรคเอดส์อาจใช้ยาเหล่านี้ร่วมกับกรดโฟลิก เพื่อป้องกันการขาดวิตามินบี 9 หรือใช้ยาไพริเมตามีน คู่กับยาคลินดามัยซินแทนได้

การป้องกันการติดเชื้อ

ผศ. นพ.จักรพงษ์ เตือนว่า หากหญิงตั้งครรภ์ที่เลี้ยงแมวรู้สึกกังวลใจ ควรปฏิบัติตัวดังนี้ค่ะ

  • อาจหาคนช่วยดูแลแมวในขณะตั้งครรภ์
  • ควรห่างจากแมว
  • งดเว้นการเก็บอุจจาระแมวด้วยมือเปล่า ควรสวมถุงมือทุกครั้ง
  • หมั่นรักษาความสะอาด โดยการล้างมือเป็นประจำก่อนรับประทานอาหาร
  • นอกจากนั้นการรับประทานอาหารที่ปรุงสุกอยู่เสมอ โดยเฉพาะเนื้อหมู เนื้อวัว หอยนางรม และหอยแมลงภู่ ช่วยลดโอกาสในการติดเชื้อได้อีกด้วย

และเนื่องจากเชื้อโรคนี้ ติดต่อทางอื่นได้ด้วย นอกจากทางอุจจาระของน้องแมว การป้องกันที่ดีก็คือ การปรับพฤติกรรมของตัวเราเอง ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อด้วยการปฏิบัติตามคำแนะนำ ดังนี้

  1. สวมถุงมือเมื่อต้องขุดดิน ปลูกต้นไม้ หรือสัมผัสกับดิน และควรล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่ทุกครั้งหลังจากเสร็จแล้ว
  2. ล้างผัก และผลไม้ให้สะอาดก่อนรับประทาน หรือก่อนนำไปประกอบอาหารทุกครั้ง และอาจปอกเปลือกผลไม้หลังล้างเสร็จแล้ว
  3. ล้างเครื่องมือ และเครื่องใช้ในครัวทุกครั้งหลังจากประกอบอาหาร ด้วยน้ำร้อน เพื่อฆ่าเชื้อโรคที่อาจปนเปื้อนตามเขียง มีด จานชาม หรือช้อนส้อม รวมไปถึงล้างมือหลังจากสัมผัสกับเนื้อดิบ
  4. เลือกดื่มผลิตภัณฑ์นมที่ผ่านกระบวนฆ่าเชื้อแล้วเท่านั้น
  5. เลี้ยงแมวในระบบปิด และให้อาหารเม็ด หรืออาหารกระป๋องแทนเนื้อสัตว์ดิบที่อาจปนเปื้อนเชื้อโรค
  6. สวมถุงมือ และหน้ากากอนามัย หากต้องทำความสะอาดกระบะทรายแมว ล้างมือด้วยสบู่ให้สะอาดหลังเสร็จภารกิจ และควรเปลี่ยนทรายทุกวัน เพื่อป้องกันเชื้อปรสิตที่ออกมาพร้อมมูลแมว

โรคที่เกิดจากการติดเชื้อในแม่ตั้งครรภ์นั้น นับว่าเป็นส่งผลต่อลูกในท้องไม่มากก็น้อย หากคุณแม่คุณพ่อเลี้ยงสัตว์ เช่น แมว ไว้ในบ้าน ย่อมมีความเสี่ยงที่จะส่งต่อเชื่อโรคไปยังลูกในท้อง จนกระทั่งทำให้แท้งได้ การป้องกันสาเหตุตั้งแต่เบื้องต้นจึงเป็นสิ่งที่แม่ท้องวรทำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อไม่ให้เสียลูกน้อยในครรภ์อันเป็นที่รักไปนะคะ

ขอบคุณข้อมูลจาก

คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล, pobpad

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

10 ภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์ ที่แม่ท้องต้องรู้!!

แม่ท้องกินอะไรได้บ้าง? เมนูอาหารแม่ท้อง 1-3 เดือน เติมคุณค่าอาหารให้แม่และลูกแข็งแรง

แม่ท้องใช้กัญชา ห้ามเด็ดขาดทำลูกในท้องตายหรือผิดปกติ

เพิ่มความสูง

เคล็ดลับ เพิ่มความสูง ให้ลูกวัยคิดส์ อยากสูงต้องเสริมแคลเซียม

Alternative Textaccount_circle
event
เพิ่มความสูง
เพิ่มความสูง

กลัวลูกไม่สูง โตไม่ทันเพื่อนวัยเดียวกัน เป็นเรื่องที่พ่อแม่กังวลกันมากค่ะ เอาเป็นว่าไม่ต้องขอคาถาเพิ่มความสูงจากเฮอร์ไมโอนี่ แต่กองบรรณาธิการ Amarin Baby & Kids จะให้เคล็ดลับ เพิ่มความสูง กับเด็ก ๆ เองค่ะ บ้านไหนที่หลังไมค์มาว่า อยากสูงต้องกินอะไร เรามีเคล็ดลับมาบอกให้ค่ะ

ความสูงของลูก จริง ๆ ก็มีหลายปัจจัยที่จะทำให้มีพัฒนาการการเจริญเติบโตไม่เป็นตามเกณฑ์ เช่น กรรมพันธุ์ , ได้รับโภชนาการสารอาหารไม่เพียงพอ , นอนดึก , ไม่ออกกำลังกาย หรือการเจ็บป่วยต่อเนื่องมาตั้งแต่เด็กก็กระทบกับพัฒนาการด้านร่างกายได้เช่นกันค่ะ

เพิ่มความสูง

เพิ่มความสูง ให้ลูกวัยคิดส์ ง่ายนิดเดียว

ก่อนที่ลูกจะถึงวัยคิดส์ คุณพ่อคุณแม่ต้องใส่ใจดูแลลูกตั้งแต่เล็ก ๆ เลยจะดีที่สุดค่ะ ฉะนั้นถ้าจะ เพิ่มความสูง ให้ลูก ก็ต้องเช็กว่า…

1. โภชนาการสารอาหาร ลูกได้รับอย่างเพียงพอ และเป็นประโยชน์ต่อร่างกายหรือเปล่า อาหารที่ดีต้องสด สะอาด มีคุณค่าสารอาหารครบ 5 หมู่ คุณแม่ต้องดูแลจัดอาหารการกินของลูกให้ครบหมู่ มีสารอาหารที่หลากหลาย

2. นอนดึก นอนไม่พอ ทำให้เตี้ยได้ค่ะ สแตนดาร์ดการนอน ควรนอนให้ได้ 8-14 ชั่วโมง การเข้านอนเร็วตั้งแต่หัวค่ำทำให้ร่างกายหลับลึก ต่อมใต้สมองจะมีการหลั่ง Growth Hormone (ฮอร์โมนความสูง) ออกมา โกรทฮอร์โมนมีอิทธิพลต่อความสูง และควมแข็งแรงของกล้ามเนื้อและกระดูกของเด็ก ๆ

3. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ พาลูกออกนอกบ้านไปวิ่งเล่น ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน เตะบอล ฯลฯ ให้ได้ 3-4 วันต่อสัปดาห์ จะช่วยให้กล้ามเนื้อและกระดูกแข็งแรงมากขึ้น

4. กรรมพันธุ์ พ่อแม่ไม่สูง ลูกก็อาจจะสูงไม่มาก อย่าเพิ่งท้อใจค่ะ เพราะถ้าดูแลข้อ 1-3 ให้ลูกอย่างเข้มงวด ให้กินดี นอนอิ่ม ไม่ขาดการออกกำลังกาย รับรองลูกสูงขึ้นได้ตามเกณฑ์ เผลอ ๆ อาจสูงกว่าเกณฑ์ค่ะ

NUBOLIC MILK COLOSTRUM TABLET

อยาก เพิ่มความสูง แคลเซียมต้องเสริมให้ลูก

อาหารสำคัญกับความสูงของเด็กมากนะคะ โดยเฉพาะอาหารกลุ่มโปรตีน และแร่ธาตุแคลเซียม จำเป็นต่อการเจริญเติบโต สำหรับเด็กที่เข้าสู่วัยขวบปีแรกขึ้นไป นอกจากการให้รับประทานอาหาร 3 มื้อหลักแล้ว แนะนำคุณแม่เสริมลูกด้วยการให้ดื่มนมวันละ 2 แก้ว หรือถ้าจะสะดวกเทรนดี้สุด ๆ ในตอนนี้ก็คือให้กินเป็น นมเม็ด นมอัดเม็ดแคลเซียมสูง อย่าง NUBOLIC MILK COLOSTRUM TABLET ค่ะ

NUBOLIC MILK COLOSTRUM TABLET นมอัดเม็ด ที่มีความเข้มข้นที่สุดโดสสูง 1000 mg. ทำจากน้ำนมเหลืองจากแม่วัว ธรรมชาติ 100% เชื่อว่าเด็ก ๆ จะต้องชอบกันค่ะ เพราะกินง่าย พอเข้าปากเคี้ยวจะได้รสชาติอร่อย หอมมัน และยังสามารถทานได้ทุกเพศทุกวัย ผ่าน FDA GMP Australia Made มีความปลอดภัยต่อสุขภาพ

นมอัดเม็ด NUBOLIC MILK COLOSTRUM TABLET มีแคลเซียมสูง สามารถกินแทนแคลเซียมเม็ดได้ในเด็กเล็กตั้งแต่ 2 ขวบขึ้นไปค่ะ การกินนมอัดเม็ด Nubolic Milk Colostrum แนะนำให้ทานพร้อมอาหารเช้า วันละ 1-3 เม็ด

  • จะช่วยเสริมภูมิต้านทานและป้องกันภูมิแพ้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ด้วยค่า IGG สูงเทียบเท่ากับนมผง
  • ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกและฟัน สำหรับคนเน้นเพิ่มความสูง

ตัวช่วยดี ๆ แบบนี้ถ้าอยาก เพิ่มความสูง ให้ลูกวัยกำลังโต ก็ต้องมี NUBOLIC MILK COLOSTRUM TABLET นมอัดเม็ด ติดบ้านไว้เลยนะคะ 1 กระปุกนี่คุ้มมาก เพราะกินได้ทั้งครอบครัว มาค่ะ มาแข็งแรงสุขภาพดี เด็ก ๆ สูงสมวัยไปพร้อมกัน

สนใจข้อมูลผลิตภัณฑ์ NUBOLIC MILK COLOSTRUM TABLET เพิ่มเติม คลิก >> https://www.nblhealth.com.au/product/174976-165865/nbl-milk-colostrum-tablet-30-tablets

 

เครื่องปั๊มนม Super Mama รุ่น Air Plus

รีวิว เครื่องปั๊มนม Super Mama รุ่น Air Plus ไอเทมใหม่! ของแม่นักปั๊ม

Alternative Textaccount_circle
event
เครื่องปั๊มนม Super Mama รุ่น Air Plus
เครื่องปั๊มนม Super Mama รุ่น Air Plus

คุณแม่ Working Mom สมัยนี้เขาจัดสรรเวลาในการทำงาน และให้เวลากับลูกน้อยได้อย่างลงตัว โดยเฉพาะการทำสต๊อกนมแม่ พูดเลยว่ามีให้ลูกกินอิ่มครบมื้อ เพราะอะไรรู้ไหมคะ เดี๋ยวนี้คุณแม่มือใหม่ เขามีตัวช่วยไร้สายนั่นก็คือ เครื่องปั๊มนม Super Mama รุ่น Air Plus ที่ช่วยให้คุณแม่ปั๊มนมที่บ้าน นอกบ้านที่ทำงาน ก็สะดวกสบายสุด ๆ  แถมคุณแม่ยังทำกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันได้คล่องตัวด้วยนะคะ

กองบรรณาธิการ Amarin Baby & Kids ไม่พลาดที่จะรีวิวความสุดยอดของไอเทมปั๊มนมน้องใหม่กำลังมาแรงแซงทุกการปั๊มกับ “เครื่องปั๊มนมไร้สาย Super Mama รุ่น Air Plus” เพื่อเป็นข้อมูลให้กับว่าที่คุณแม่มือใหม่ ได้มีเครื่องปั๊มนมคุณภาพดีคู่ใจไว้ใช้ เพื่อทำสต๊อกนมแม่ใช้เลี้ยงลูกได้ประสบความสำเร็จกันทุกคนค่ะ

เครื่องปั๊มนม Super Mama รุ่น Air Plus

Unboxing… เครื่องปั๊มนม Super Mama รุ่น Air Plus เครื่องปั๊มนมไร้สาย

อุปกรณ์ที่ช่วยให้ชีวิตแม่หลังคลอดดีขึ้น หนึ่งในนั้นต้องมีเครื่องปั๊มนมค่ะ เพราะการจะให้ร่างกายผลิตน้ำนมได้ตลอดไม่มีสะดุด นอกจากต้องให้ลูกน้อยดูดกระตุ้นแล้ว ก็ต้องมีตัวช่วยเป็นเครื่องปั๊มนมด้วยค่ะ เครื่องปั๊มนม Super Mama ที่เห็นอยู่นี้เป็นรุ่น Air Plus Wearable Pump จากแบรนด์ Super Mama Lab Thailand ขอบอกว่าถึงจะเป็นแบรนด์น้องใหม่ แต่ก็ทัชใจคนเป็นแม่มากค่ะ ชอบตรงที่แบรนด์คิดค้นผลิตภัณฑ์ปั๊มนมมาเพื่อให้ตอบโจทย์กับคุณแม่หลังคลอด ที่ส่วนใหญ่จะต้องกลับไปทำงานหลังจากลาคลอด 3 เดือน และถ้าแม่ไม่ได้ให้ลูกเข้าเต้าต่อเนื่อง แน่นอนว่าปัญหาที่ตามมาคือร่างกายค่อย ๆ ผลิตน้ำนมได้น้อยลง จนในที่สุดก็ไม่มีน้ำนมให้ลูกกิน รวมถึงการจะปั๊มนมในที่ทำงานก็อาจจะไม่คล่องตัว และรบกวนเพื่อนร่วมงานได้ค่ะ จุดเล็ก ๆ แต่เป็นปัญหาใหญ่ของคุณแม่ ต้องนี้แหละค่ะที่แบรนด์ Super Mama Lab Thailand เขาเข้าใจความเป็นแม่ จึงได้ออกแบบที่ปั๊มนมแบบไร้สาย ที่มีความกระทัดรัด  และมีเสียงที่เงียบมากไม่รบกวนคนรอบข้างเลยค่ะ 

เครื่องปั๊มนม Super Mama

คุณแม่ลบภาพที่ปั๊มนมไซส์ใหญ่อลังการไปได้เลยค่ะ ยุคนี้ต้อง “เล็กกระทัดรัด” เท่านั้นสำหรับเครื่องปั๊มนม และดูซิค่ะ แกะกล่องเครื่องปั๊มนม Super Mama รุ่น Air Plus Wearable Pump ออกมา คือ WOW!!  สวยมากแม่ ตัวเครื่องเล็ก ถูกใจที่สุ๊ดดด นี่แค่รูปลักษณ์ภายนอกนะคะ มาดูคุณสมบัติการใช้งานกันค่ะ

เช็ก 9 คุณสมบัติเด่นเหนือระดับที่ได้จากเครื่องปั๊มนม Super Mama รุ่น Air Plus

1. เครื่องปั๊มนมไร้สายแบบ 2 มอเตอร์

แบรนด์ Super Mama Lab เป็นเจ้าแรกและเจ้าเดียวในประเทศไทย ที่ได้พัฒนาระบบมอเตอร์เครื่องปั๊มให้แตกต่างเพื่อประสิทธิภาพของแรงดูดที่เสถียรมากขึ้น ซึ่ง เครื่องปั๊มนม Super Mama รุ่น Air Plus เป็นเครื่องปั๊มนมไร้สาย ออกแบบให้มี 2 มอเตอร์ เพื่อให้ตอบโจทย์ในการผลิตน้ำนมได้มากขึ้น และง่ายขึ้นโดยไม่ต้องมีสายยางเป็นอุปสรรคในการปั๊มนม คุณแม่ไม่ต้องคอยจับกรวยระหว่างปั๊มนม

เครื่องปั๊มนม Super Mama

2. ตัวเครื่องปั๊มมีดีไซน์สวยหรู โค้งรับกับสรีระ

ความโดดเด่นเครื่องปั้มนม Super Mama รุ่น Air Plus คือเขาออกแบบมาไม่ใช่แค่ให้คุณแม่สะดวกใช้งานเท่านั้น แต่ยังใส่ใจในรายละเอียดของตัวเครื่องปั๊มนม ที่มีความสวยงามหรูหรา ตัวเครื่องมีความโค้งของกรวยที่ดีไซน์มาแบบโล่งสบายไม่อึดอัดหน้าอกหน้าใจคุณแม่ เพื่อแค่แนบเข้าเสื้อในแล้วเปิดให้เครื่องทำงาน ตัวเครื่องเล็กกะทัดรัดเมื่อประกบเข้าเต้าแล้วดูไม่เหมือนคุณแม่ปั๊มนมอยู่เลยแม้แต่น้อย

3. กรวยและขวดรองรับน้ำนม

ตัวกรวยและขวดรองรับน้ำนมของเครื่องปั๊มนม Super Mama รุ่น Air Plus ผลิตจากพลาสติก Tritan US ที่มีคุณสมบัติทนทานกว่าพลาสติกชนิดอื่นและมีลักษณะใสเหมือนแก้วปราศจากสารก่อมะเร็ง BPA Free

4. มีโหมดการทำงาน 4 แบบ

จุดใจกับโหมดการทำงานที่หลากหลาย 4 โหมด 4 สไตล์การดูดที่แตกต่างอย่างลงตัว

– โหมดปั๊มอัตโนมัติ เริ่มต้นจากเครื่องทำงานโหมดกระตุ้น เครื่องจะปรับระดับอัตโนมัติจากระดับ1 -6 ทุกๆ 20 วินาทีนาน 3 นาทีและจะเปลี่ยนจากโหมดกระตุ้นมาเป็นโหมดดูดให้เองในระดับ 6 นาน 22 นาที หากผู้ใช้งานต้องการปรับลด/ เพิ่มระดับให้กดปุ่ม +-โหมดนี้เครื่องจะทำงานรวมทั้งหมด 25 นาที

– โหมดนวดกระตุ้น จังหวะการดูดจะสั้นและเร็ว โหมดนี้ใช้สำหรับเริ่มต้นการปั๊มเพื่อปรับสภาพเต้าให้เตรียมพร้อม

–  โหมด 2IN1 โหมดนี้เป็นการผสมระหว่างโหมดกระตุ้นและโหมดดูด จังหวะการทำงานจะเป็นโหมดกระตุ้น 9 ครั้งและโหมดดูด 1 ครั้งวนไปเรื่อยๆ จนครบ 25 นาที

– โหมดดูด จังหวะการดูดจะยาวและลึก โหมดนี้เหมาะสำหรับใช้ตอนที่น้ำนมพุ่งออกมาเพื่อดึงน้ำนมให้ออกจนเกลี้ยงเต้า

หมายเหตุ

**โหมดกระตุ้นปรับได้ 9 ระดับ ความถี่สูงสุด 100 รอบ/นาที

**โหมดดูดปรับได้ 9 ระดับ ความถี่สูงสุด 48รอบ/นาที

5. มอเตอร์ทำงานเสียงไม่ดัง (เสียงเงียบ)

เวลาที่คุณแม่ต้องปั๊มนมในที่ทำงาน ปัญหาหนักใจคือ กลัวเสียงดังรบกวนเพื่อนร่วมงาน แต่ถ้าได้ใช้เครื่องปั้มนม Super Mama รุ่น Air Plus ไร้สายที่ถึงจะมี 2 มอเตอร์ แต่บอกเลยว่าเสียงของน้องแอร์พลัสเงียบมากจริง ๆ  ไม่รบกวนคนรอบข้างเลยค่ะ

6. เครื่องปั๊มใช้งานแบตเตอรี่

เครื่องปั๊มนม Super Mama รุ่น Air Plus มีแบตเตอรี่ในตัว สามารถใช้งานได้ถึง 150 นาทีหรือนับตามรอบได้ 6 รอบ เครื่องจะหยุดการทำงานให้เอง อัตโมนัติรอบละ 25 นาที

7. ระบบกันย้อนป้องกันการไหลกลับของน้ำนมเข้าสู่ตัวเครื่อง

8. ตัวเครื่องน้ำหนักเบา

เพื่อตอบโจทย์การใช้งานให้กับคุณแม่ Working Mom ตัวเครื่องของ Super Mama รุ่น Air Plus มีน้ำหนักเพียง 260 กรัม ช่วยให้คุณแม่พกพาไปใช้งานได้สะดวก พกง่ายใช้คล่องไม่เป็นภาระในการใช้ชีวิตประจำวัน

9. ผลิตภัณฑ์และบริการ

Super Mama รุ่น Air Plus Wearable Pump แบรนด์ Super Mama Lab ถึงจะเป็นน้องใหม่ในตลาด แต่คุณภาพของผลิตภัณฑ์ไม่เป็นสองรองใครเลยค่ะ คุณแม่สามารถมั่นใจในผลิตภัณฑ์และบริการหลังการขายได้ 100%  เพราะว่าผลิตภัณฑ์แบรนด์ Super Mama Lab จะมีการควบคุมทุกกระบวนการในการผลิตและนำเข้าโดยเครื่องปั๊มนมบริษัท Malish Thailand ที่มีความเชี่ยวชาญในเครื่องปั๊มนมมานานกว่า 6 ปี รับรองว่าคุณแม่จะไม่ผิดหวังกับการบริการแน่นอนค่ะ

Super Mama รุ่น Air Plus

เครื่องปั๊มคุณภาพดีงามขนาดนี้ต้องหาซื้อมาใช้กันแล้วนะคะ หากสนใจหรือต้องการสอบถามซื้อผลิตภัณฑ์ปั๊มนม Super Mama รุ่น Air Plus เพิ่มเติม คุณแม่สามารถติดต่อได้ตามช่องทางดังนี้ค่ะ

โทร : 086-7024373

Line : https://lin.ee/oZbVFA0

FACEBOOK : Malish Thailand , Super Mama Lab Thailand

IG : Malish Thailand , SuperMamaLabThailand 

Believe In Us เพราะเราต้องการให้คุณแม่ทุกท่านเริ่มต้นการปั๊มนมมได้ดี และเป็นเครื่องปั๊มแบบไร้สายที่ดีที่สุดให้กับคุณ

#เครื่องปั๊มนมไร้สาย

#supermamalabthailand 

 

Minoru Spray สเปรย์ฆ่าเชื้อโรคสำหรับเด็ก

รีวิว..ไอเทมใหม่ล่าสุด!! Minoru Spray สเปรย์ฆ่าเชื้อโรค 99.9% อ่อนโยน ปลอดภัยต่อเด็ก สารสกัดจากธรรมชาติ

Alternative Textaccount_circle
event
Minoru Spray สเปรย์ฆ่าเชื้อโรคสำหรับเด็ก
Minoru Spray สเปรย์ฆ่าเชื้อโรคสำหรับเด็ก

คุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ เรื่องสุขภาพ และความสะอาดของลูกน้อยต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับหนึ่งนะคะ ด้วยเพราะเชื้อโรคมีอยู่รอบตัว ทั้งในและนอกบ้านตามสิ่งของต่าง ๆ ที่อาจทำให้ลูกป่วยได้ค่ะ

และเพื่อให้อุ่นใจว่าลูกน้อยจะปลอดภัยจากเชื้อโรค กองบรรณาธิการ Amarin Baby & Kids มีไอเทมใหม่ล่าสุดมาแนะนำ นั่นคือ ‘Minoru Nature Care Mist Spray’ สเปรย์ฆ่าเชื้อโรคสำหรับเด็กที่อ่อนโยนเทียบเท่าน้ำนมแม่ ปราศจากสารเคมี ทั้งยังเป็น Premium Food Grade หากโดนหน้าหรือเข้าก็ปากไม่เป็นอันตราย ใช้ Minoru Spray ได้ทุกวัน ทุกที่ ทุกเวลา อ่อนโยน และปลอดภัยต่อเด็กค่ะ

Minoru Spray ดูแลลูกน้อยอย่างอ่อนโยนทุกวัน

ครั้งแรกที่ได้ลองใช้ Minoru Spary เข้าใจว่าเป็นสเปรย์แอลกอฮอล์ แต่จริง ๆ ไม่ใช่นะคะ มิโนรุ สเปรย์ ที่อยู่ในขวดสีสันน่ารัก หยิบใช้สะดวกขวดนี้ คือสเปรย์ฆ่าเชื้อโรคแบบ NON-ALCOHOL SPRAY หรือไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ และสารเคมีค่ะ

เพราะมิโนรุ เนเจอร์ แคร์ มิส สเปรย์ ออกแบบมาสำหรับเด็กโดยเฉพาะ เป็นสเปรย์สารสกัดธรรมชาติ ออร์แกนิก 100% ด้วยสาร MONOLAURIN (มอโนลอริน) ที่สกัดได้จากน้ำมันมะพร้าว ซึ่งเป็นสารชนิดเดียวกันกับที่พบได้ในน้ำนมแม่ค่ะ มีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อไวรัส และแบคทีเรียมากถึง 99.9% ไม่เพียงเท่านั้น MONOLAURIN ยังเต็มไปด้วยคุณประโยชน์ดังนี้ค่ะ

♥ ช่วยป้องกันไวรัสโควิด-19 ได้ถึง 99.9%

♥ ช่วยฆ่าเชื้อไวรัส แบคทีเรีย ยีสต์ และโปรโตซัว

♥ ช่วยรักษาโรคต่าง ๆ เช่น โรคไข้หวัดใหญ่ ไข้หวัด โรคงูสวัด โรคเริม ไซนัส คางทูม เชื้อรา โรคซาร์

♥ ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายได้ในเด็กอายุ 6 เดือนขึ้นไป

♥ มอโนลอริน เป็นสารสกัดจากธรรมชาติ จึงอ่อนโยนและไม่เป็นอันตรายต่อผิว สามารถโดนหน้าและเข้าปากได้ค่ะ

Minoru Spray

คุณสมบัติของสารสกัด MONOLAURIN ดีขนาดนี้ แต่ยังไม่หมดแค่นี้ค่ะ เพราะใน Minoru Spary ขวดนี้ยังมีส่วนผสมที่เป็นธรรมชาติอีก 11 ชนิด รับรองว่าคุ้มค่ามาก ๆ ค่ะ

-Glyceryl ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวหนัง

-Glucoside มีฤทธิ์ต้านเชื้อโรค

-Aloe Barebadensis Gel ช่วยให้ความชุ่มชื้นและช่วยบำรุงผิว

-Glycerine  ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับเกราะของผิว

-Methylpropanediol ช่วยทำให้ผิวเรียบเนียนสดชื่น

-Peppermint Oil ช่วยเพิ่มความรู้สึกสดชื่น ต้านการเกิดเชื้อรา

-Glyceryl Monolaurate ช่วยต้านเชื้อโรค ป้องกันไวรัส แบคทีเรีย

-Tocopherol ช่วยปกป้องผิวจากอนุมูลอิสระ

-Sodium Levulinate ช่วยปรับสภาพผิว เพิ่มความเนียนของผิว

-Levulinic Acid เป็นตัวเคลือบและทำละลาย

-Edta ช่วยลดความกระด้างของน้ำ เป็นสารช่วยปรับ pH ของผิวให้สมดุล

Minoru Spray สเปรย์ฆ่าเชื้อโรค

Minoru Spray เป็นสเปรย์ฆ่าเชื้อโรคสำหรับเด็ก ที่ได้รับมาตรฐานการรับรองจากญี่ปุ่น มีส่วนผสมหลักอย่าง MONOLAURIN ซึ่งสกัดจากน้ำมันมะพร้าว และเป็นสารตัวเดียวกับที่พบในน้ำนมแม่  Premium Food Grade 100% อ่อนโยน ปลอดภัย สามารถใช้ได้ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า

Minoru Spray

นอกจากใช้ฉีดผิวมือ ผิวกายแล้ว คุณแม่ยังใช้มิโนรุ สเปรย์ฉีดทำความสะอาดอุปกรณ์ และของใช้ต่าง ๆ ทั้งกับของเด็ก และผู้ใหญ่ ซึ่งสามารถทำความสะอาดได้บ่อยตามที่ต้องการเลยค่ะ

1. ฉีดสเปรย์ทำความสะอาดมือสำหรับเด็ก และผู้ใหญ่

2. ฉีดสเปรย์ทำความสะอาดชุดอุปกรณ์ทานข้าวเด็ก

3. ฉีดสเปรย์ทำความสะอาดหน้าจอโทรศัพท์

4. ฉีดสเปรย์ทำความสะอาดของเล่น

5. ฉีดสเปรย์ทำความสะอาดสุขภัณฑ์สาธารณะก่อนใช้ เพื่อป้องกันไวรัส

6. ฉีดสเปรย์ทำความสะอาดกระเป๋า

7. ฉีดสเปรย์ทำความสะอาดพื้นผิวในห้องครัว ได้อย่างปลอดภัย ไม่ต้องกังวลว่าจะติดไฟ

8. ฉีดสเปรย์ทำความสะอาดบนพื้นผิวโต๊ะทานข้าว / ขอบเตียงนอน / ขอบเปลเด็ก

9. ฉีดสเปรย์ทำความสะอาดบนชุดเครื่องนอน  ฯลฯ

 

นอกจากนี้คุณแม่ยังไม่ต้องกังวลเวลาที่ฉีดมิโนรุ สเปรย์ลงบนมือลูก ของเล่น หรือช้อน จาน แก้วน้ำ แล้วลูกเอาเข้าปากนะคะ ด้วยความที่มิโนรุนั้นอ่อนโยนมาก ๆ ไม่มีแอลกอฮอล์ และสารเคมีอันตราย สามารถใช้ได้อย่างปลอดภัยค่ะ

มิโนรุสเปรย์

และอีกหนึ่งความพิเศษของ มิโนรุ สเปรย์ คือ เป็นผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อโรคที่รับรองประสิทธิภาพจากมหาวิทยาลัยมหิดล ผ่านการทดสอบชนิดสารละลายเข้มข้น หลังจากฉีดพ่นมิโนรุลงพื้นผิว 5 ครั้ง ด้วยการฉีดพ่นระยะห่าง 15 เซนติเมตร จากนั้นนำมาทดสอบกับเชื้อไวรัส โดยใช้เวลาในการทดสอบนาน 5 นาที ได้ผลการทดสอบว่า มิโนรุ สเปรย์ มีผลต่อการฆ่าเชื้อไข้หวัดใหญ่ชนิด A(H1N1) ได้ถึง 99.98%

มิโนรุสเปรย์

มิโนรุ สเปรย์ ไอเทมฆ่าเชื้อโรคสำหรับเด็กชิ้นนี้ แนะนำให้คุณแม่มีติดบ้าน หรือพกติดกระเป๋าไว้ใช้ทุกวันกันนะคะ เพื่อให้ลูกน้อย รวมถึงทุกคนในครอบครัวปลอดภัยจากเชื้อโรค และเชื้อไวรัสกันค่ะ

สามารถหาซื้อได้ที่
🛒สั่งซื้อได้ที่ : Facebook Inbox : https://bit.ly/3aMp786

Line : @minoru หรือ https://bit.ly/3AYuYle

Lazada : https://bit.ly/3RK4CJF

Shopee : https://bit.ly/3RM65PO

Minoru Spray

ปวดท้องน้อยจี๊ดๆ

ระวัง! ปวดท้องน้อยจี๊ดๆ อาจเป็นต้นเหตุจากโรคเหล่านี้

Alternative Textaccount_circle
event
ปวดท้องน้อยจี๊ดๆ
ปวดท้องน้อยจี๊ดๆ

ปวดท้องน้อยจี๊ดๆ อาการประจำของผู้หญิงหลาย ๆ คนระหว่างมีประจำเดือน จึงมักถูกมองข้าม เพราะคิดว่าเดี๋ยวก็หายเหมือนช่วงที่มีประจำเดือน

ระวัง! ปวดท้องน้อยจี๊ดๆ อาจเป็นต้นเหตุจากโรคเหล่านี้

อาการที่มักเกิดกับผู้หญิงในระหว่างมีรอบเดือนคือ ปวดท้องน้อยจี๊ดๆ บางคนปวดมากขนาดไม่สามารถทำกิจกรรมอะไรได้เลย ได้แต่รับประทานยาและนอนอย่างเดียว แต่อาการปวดนี้คุณผู้หญิงไม่ควรไว้วางใจ ทีมกองบรรณาธิการ ABK ได้รวบรวมข้อมูลโรคที่เกี่ยวข้องกับอาการ ปวดท้องน้อย มาฝากเป็นความรู้ให้คอยระวังกันค่ะ

ปวดท้องน้อยจี๊ดๆ
ปวดท้องน้อยจี๊ดๆ

ระวัง! ปวดท้องน้อยจี๊ดๆ อาจเป็นต้นเหตุจากโรคเหล่านี้

อาการปวดท้องน้อย (pelvic pain) ในผู้หญิง เป็นอาการปวดตั้งแต่บริเวณใต้สะดือลงไปจนถึงหัวหน่าว มีทั้งการปวดแบบเฉียบพลัน และการปวดแบบเรื้อรัง อาจจะสัมพันธ์หรือไม่สัมพันธ์กับประจำเดือนได้ อาการปวดท้องน้อย อาจจะเกี่ยวข้องกับ 4 ระบบภายในร่างกาย ไม่ได้เกิดจากความผิดปกติภายในระบบสืบพันธุ์เพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมไปถึงระบบทางเดินปัสสาวะ ระบบลำไส้ และระบบกล้ามเนื้อด้วยเช่นกัน

อาการปวดท้องอย่างไร ที่ควรพบสูตินรีแพทย์

  • ปวดเฉียบพลัน ทันที และมีอาการรุนแรง
  • อาการปวดไม่ดีขึ้นหลังจากทานยาแก้ปวด
  • อาการปวดที่เป็นนานเรื้อรัง รบกวนชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะเป็นมานานกว่า 6 เดือน
  • อาการปวดที่มีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น มีไข้ คลื่นไส้อาเจียน ปัสสาวะแสบขัด มีประวัติมีบุตรยาก
  • ปวดท้องประจำเดือนมาก และเป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ

ซึ่งสาเหตุของอาการปวดนั้นมีได้ทั้งจากโรคเกี่ยวกับลำไส้ ทางเดินอาหาร ระบบทางเดินปัสสาวะ กล้ามเนื้อ หรืออาจเป็นมาจากโรคทางนรีเวช เช่น เนื้องอกมดลูก เยื่อบุโพรงมดลุกเจริญผิดที่ ถุงน้ำ (cyst) รังไข่

ปวดท้องน้อย อาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคดังนี้

  • โรคที่เกิดในระบบสืบพันธุ์

โรคที่พบได้บ่อยในระบบนี้ ได้แก่ โรคเนื้องอกมดลูก (Myoma Uteri) และโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis) ในกลุ่มนี้จะมีอาการปวดประจำเดือนมาก ประจำเดือนมามาก มีลักษณะเป็นลิ่มเลือดหรือเป็นก้อน เวลาปวดจะปวดประจำเดือนและมักปวดร้าวไปทั้งหลัง ก้น จนถึงขา

ซึ่งในกลุ่มนี้หากมีอาการปวดท้องน้อย แพทย์จะต้องซักประวัติว่าก่อนว่าเคยมีประวัติโรคเกี่ยวกับมดลูกหรือรังไข่หรือไม่ เพราะโดยส่วนใหญ่มักจะมีอาการสัมพันธ์กับรอบเดือน หรือมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ปวดท้องน้อย มีเลือดออกผิดปกติ มีปริมาณประจำเดือนมากกว่าปกติ ปัสสาวะบ่อย ท้องผูก ฯลฯ

    • โรคเนื้องอกมดลูก (Myoma Uteri) อาการปวดมักเกิดจากการที่ก้อนเนื้องอกใหญ่จนมีการกดเบียดอวัยวะข้างเคียง การบิดขั้วของเนื้องอกจะทำให้เกิดการปวดที่รุนแรง ปวดท้องประจำเดือน หรือ มีเนื้อตายภายในเนื้องอก
    • โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis) เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของการ ปวดท้องประจำเดือน โดยเฉพาะในคนที่มีประวัติมีบุตรยาก ปวดเรื้อรังนานกว่า 6 เดือน ปวดหน่วงขณะมีเพศสัมพันธ์ หรือ มีคลื่นไส้ อาเจียน ท้องอืด ระหว่างมีประจำเดือน กลุ่มโรคเยื่อบุโพรงมดลุกเจริญผิดที่ยังรวมถึงโรค chocolate cyst อีกด้วย
    • เนื้องอก หรือ ถุงน้ำรังไข่ (Ovarian tumor) อาจเกิดการบิดขั้ว แตก รั่ว ของถุงน้ำ จะทำให้เกิดอาการปวดท้องแบเฉียบพลัน อาจมีเลือดออกในช่องท้อง หรือ ติดเชื้อได้ หากถุงน้ำมีขนาดใหญ่มากจะทำให้เกิดอาการแน่นท้อง จุก เสียด ทานอาหารอิ่มง่ายได้
  • โรคที่เกิดในระบบทางเดินปัสสาวะ

โรคที่พบได้บ่อยในระบบนี้ ได้แก่ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ, ท่อปัสสาวะอักเสบ, นิ่ว, กรวยไตอักเสบ เป็นต้น มักจะมีความผิดปกติเกิดขึ้นกับปัสสาวะสามารถที่สังเกตได้ทันที เช่น รู้สึกแสบขัดขณะปัสสาวะ ปัสสาวะไม่สุด และปวดท้องน้อยร่วมด้วย หรือสีของน้ำปัสสาวะมีความผิดปกติ เช่น ปัสสาวะเป็นเลือด มีฟอง สีขุ่น

  • โรคที่เกิดในระบบลำไส้

โรคที่พบได้บ่อยในระบบนี้ ได้แก่ โรคลำไส้อักเสบ อาหารเป็นพิษ ติดเชื้อทางเดินอาหาร หรือโรคลำไส้แปรปรวน ซึ่งในกลุ่มนี้มักมีความผิดปกติที่ทางเดินอาหารหรือสำไส้ คนไข้จึงมักมีอาการคลื่นไส้อาเจียน ท้องผูก ท้องเสีย ถ่ายอุจจาระมีมูกปนเลือด หรือถ่ายเหลว ร่วมด้วย

  • โรคที่เกิดในระบบกล้ามเนื้อ

โรคที่พบได้บ่อยในระบบนี้ ได้แก่ กล้ามเนื้ออักเสบ มักพบว่าเป็นไปตามประวัติการใช้งานของคนไข้ อาการคือปวดบริเวณหน้าท้อง ท้องน้อย ไปจนถึงหัวหน่าว คนไข้ที่ปวดบริเวณนี้มักจะมีประวัติยกของหนัก หรือเกร็งกล้ามเนื้อ จากการออกกำลังกายอย่างหนัก

ปวดท้องน้อย ระวังโรคต่างๆ
ปวดท้องน้อย ระวังโรคต่างๆ

วิธีป้องกันและบรรเทาอาการปวดท้องน้อย

สำหรับผู้หญิงที่มีอาการปวดท้องประจำเดือนเป็นประจำ อาจป้องกันไม่ให้มีอาการปวดที่รุนแรงได้ โดยดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ด้วยการออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ และรู้จักผ่อนคลายความเครียดเพื่อให้ประจำเดือนมาอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ในช่วงที่มีประจำเดือน ควรรับประทานอาหารอ่อนที่ย่อยง่าย เพื่อไม่ให้ลำไส้เกิดการบีบรัดเกินไป จะช่วยทุเลาอาการปวดท้องน้อยได้

สำหรับอาการปวดท้องน้อยจากสาเหตุอื่น สามารถป้องกันได้ด้วยการดูแลรักษาสุขภาพ ออกกำลังกาย และควบคุมอาหาร รวมถึงมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงต่อความผิดปกติต่าง ๆ อันเป็นสาเหตุของอาการปวดท้องน้อยได้

สิ่งที่สำคัญ! คือผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์แล้วควรตรวจภายในเป็นประจำทุกปี ส่วนในกลุ่มที่ยังไม่มีเพศสัมพันธ์ ควรตรวจภายในปีละครั้งเมื่ออายุมากกว่า 30 ปี หากตรวจติดต่อกัน 3 ปีแล้วไม่พบความผิดปกติก็สามารถตรวจเว้นปีได้

การตรวจและการวินิจฉัย

  1. การซักประวัติและการตรวจร่างกาย
  2. การตรวจภายใน
  3. การตรวจด้วยอัลตราซาวด์
  4. การส่องกล้องเพื่อดูพยาธิสภาพบริเวณอุ้งเชิงกราน

อาการปวดท้องน้อยจากเนื้องอกมดลูกหรือเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ สามารถรักษาได้ด้วยวิธีการดังนี้

  1. รักษาด้วยการให้ยา มีทั้งยาทานและยาฉีด ยาทั่วไปที่แพทย์มักจะใช้ในการรักษาโรคปวดท้องน้อยก็คือ ยาลดปวด ยาคุมกำเนิด และยาฮอร์โมนชนิดอื่น ๆ
  2. รักษาด้วยการผ่าตัด หากผู้ป่วยมีอาการรุนแรง และมีสาเหตุของโรคที่เกิดจากเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่, มีเนื้องอกขึ้นตามอวัยวะต่าง ๆ ที่รักษาด้วยยาแล้วไม่ดีขึ้น ก็จำเป็นที่จะต้องรักษาด้วยการผ่าตัด อย่างไรก็ตาม แพทย์จะทำการวินิจฉัยอีกทีว่าควรรักษาด้วยการผ่าตัดหรือไม่
    โดยการผ่าตัดทำได้ 2 วิธีคือ ผ่าตัดผ่านกล้องซึ่งมีข้อดีคือมีแผลเล็ก ฟื้นตัวได้เร็ว และคนไข้ไม่เจ็บตัวมาก และการผ่าตัดเปิดหน้าท้องที่คนไข้จะต้องพักฟื้นนานกว่า  แต่ก็มีข้อดีคือค่าใช้จ่ายถูกกว่า
  3. รักษาด้วยวิธีอื่น ๆ นอกจากวิธีดังกล่าวแล้ว ยังสามารถทำการรักษาได้ด้วยวิธีอื่น ๆ อีก เช่น ทำกายภาพบำบัด เพื่อรักษาอาการปวดเกร็งของกล้ามเนื้อ และออกกำลังกายด้วยวิธีต่าง ๆ รวมไปถึงการฝึกบุคลิกภาพแบบใหม่ เป็นต้น
ผ่าตัดเปิดหน้าท้อง ผ่าตัดส่องกล้อง
ข้อดี ใช้ในกรณีเนื้องอกขนาดใหญ่มาก หรือมีการลุกลามอวัยวะข้างเคียง – ใช้ได้ดีในโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ เพราะสามารถเห็นรอยโรคชัดเจน
แผลเล็ก
– ฟื้นตัวเร็วระยะการนอนโรงพยาบาลและการพักฟื้นที่บ้านสั้น
– เสียเลือดน้อย
-ปวดหลังผ่าตัดน้อย
ข้อเสีย – เสียเลือดมากกว่า
– เกิดพังผีดหลังการผ่าตัดมากกว่า
– ไม่ใช้ในบางกรณี เช่น มีการติดเชื้อกระจายในช่องท้อง
– ไม่สามารถทำได้ในกรณีฉุกเฉิน เช่น มีภาวะช็อค

ทั้งนี้การรักษาจะมีประสิทธิภาพดีหรือไม่ดี ล้วนขึ้นอยู่กับความร่วมมือของผู้ป่วยร่วมด้วย หากผู้ป่วยสามารถจดจำรายละเอียด หรือให้ข้อมูลในขณะปวดท้องได้อย่างชัดเจน ย่อมมีโอกาสที่แพทย์จะหาสาเหตุให้ตรงกับโรคที่เป็นอยู่ได้มากยิ่งขึ้น

เพราะอาการปวดท้องน้อย อาจเป็นสัญญาณอันตรายที่กำลังบอกว่าระบบการทำงานของอวัยวะที่อยู่ในหรือใกล้กับท้องน้อยของเรากำลังมีปัญหา ดังนั้น คุณผู้หญิงไม่ควรชะล่าใจ หากสังเกตพบความผิดปกติจำเป็นต้องพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อทำการรักษาตามสาเหตุของโรค ความรุนแรงและอายุของผู้ป่วย และควรรับการตรวจสุขภาพประจำปีอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งจะช่วยคัดกรองโรคทางนรีเวชเหล่านี้ได้ หากตรวจพบได้เร็ว รักษาได้ไว ก็จะช่วยให้กลับมามีสุขภาพที่ดีเหมือนเดิมได้

บทความเกี่ยวกับการ ปวดท้องน้อยจี๊ดๆ ที่ทีมกองบรรณาธิการ ABK รวบรวมข้อมูลมาฝากนี้ คงเป็นประโยชน์สำหรับคุณผู้หญิงที่มีอาการดังกล่าวนี้นะคะ หากคุณผู้หญิงเกิดอาการ ปวดท้องน้อยใต้สะดือ ขึ้นมา ทั้งแบบเฉียบพลัน และแบบเรื้อรัง ถ้ารักษาเบื้องต้นด้วยตนเองแล้วไม่ดีขึ้น ควรรีบไปพบแพทย์นะคะ

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

ไม่ใช่คุณไสยฯ!ก้อนเส้นผมในรังไข่เป็น โรคเดอร์มอยด์ซีสต์

เพราะเวลาทั้งหมดเพื่อลูก! ระวัง”แม่ฟลูไทม์” ซึมเศร้า

ลดน้ำหนักหลังคลอด วิธีง่ายๆ แค่ “กินกล้วย” ก็ผอมได้

อาหารสร้างภูมิคุ้มกันตาม “กรุ๊ปเลือด” หลีกหนีภูมิแพ้ !!!

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.phyathai.com, https://www.nakornthon.com

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

Amarin Baby & Kids

มือเท้าปากเปื่อย

มือเท้าปากเปื่อย ระบาดอีกแล้วเตือนพ่อแม่ระวังเชื้อแรงขึ้น

Alternative Textaccount_circle
event
มือเท้าปากเปื่อย
มือเท้าปากเปื่อย

มือเท้าปากเปื่อย โรคเดิมแต่กลับมาคราวนี้รุนแรงขึ้น เมื่อลูกมีแผลตามปาก มือ หรือเท้าอย่าเพิ่งวางใจ เพราะเชื้อไวรัสตัวนี้น่ากลัว อันตรายพาติดคนทั้งบ้านได้

มือเท้าปากเปื่อย ระบาดอีกแล้ว!! เตือนพ่อแม่ระวังเชื้อแรงขึ้น

โรคมือเท้าปากเปื่อย ไม่ใช่โรคใหม่ เป็นโรคที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยเฉพาะในประเทศไทยเกิดการระบาดเป็นครั้งคราวพบได้มานานแล้ว แต่ที่สำคัญในปีนี้พบการระบาดของ มือเท้าปากเปื่อย ในตัวไวรัสที่รุนแรง อันตรายกว่าเดิม จากเชื้อ Enterovirus 71 และการติดเชื้อเป็นไปได้ง่ายมาก แถมเจลล้างมือแอลกอฮอล์ไม่สามารถฆ่าเชื้อตัวนี้ได้ด้วย!!

เมื่อวันที่ 2 ส.ค.65 นายแพทย์สุเมธ องค์วรรณดี ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 9 นครราชสีมา เปิดเผยว่า ช่วงนี้ประเทศไทยเข้าสู่ฤดูฝนแล้ว หลายพื้นที่มีฝนตกอย่างต่อเนื่อง อากาศเย็นลง และมีความชื้น เอื้อต่อการเจริญเติบโตของเชื้อโรคต่างๆ โดยเฉพาะโรคมือ เท้า ปาก ที่มักพบบ่อยในช่วงนี้ ประกอบกับเป็นช่วงที่เด็กๆ เปิดเทอม และมีการรวมตัวกัน ดังนั้นจึงฝากเตือนครูพี่เลี้ยง ผู้ดูแลเด็ก และโรงเรียนอนุบาล ควรสังเกตอาการของเด็กอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ระวังป่วยด้วยโรคมือ เท้า ปาก หากมีไข้ต่ำๆ อ่อนเพลีย เจ็บปาก ร่วมกับมีตุ่มพองเล็กๆ บริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้า หรือตุ่มแผลในปาก ควรแยกเด็กป่วยไม่ให้คลุกคลีกับคนอื่นๆ และไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยต่อไป

ทั้งนี้ โรคมือ เท้า ปาก เป็นโรคที่พบบ่อยในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี สำหรับอาการของโรคมือ เท้า ปาก จะเริ่มด้วยมีไข้ต่ำๆ อ่อนเพลีย ต่อมา 1-2 วัน จะมีอาการเจ็บปาก ร่วมกับมีตุ่มพองเล็กๆ บริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้า ตุ่มแผลในปาก เพดานอ่อน กระพุ้งแก้ม ลิ้น ต่อมาจะแตกออกเป็นแผลหลุมตื้นๆ หากอาการไม่ดีขึ้น เช่น มีไข้ขึ้นสูง ซึมลง เดินเซ ชัก เกร็ง หายใจหอบเหนื่อย อาเจียนมาก ต้องรีบไปพบแพทย์ทันทีเพราะอาจติดเชื้อโรคมือ เท้า ปากชนิดรุนแรง อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้

มือเท้าปากเปื่อย ระบาดในเด็กเล็ก
มือเท้าปากเปื่อย ระบาดในเด็กเล็ก

สถานการณ์ของโรคมือ เท้า ปาก ในประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 26 ก.ค.2565 ประเทศไทยพบผู้ป่วยโรค มือ เท้า ปาก อายุต่ำกว่า 5 ปี จำนวน 8,798 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต ส่วนสถานการณ์ของโรค มือ เท้า ปากในเขตสุขภาพที่ 9 ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 25 ก.ค.2565 มีรายงานผู้ป่วยรวม 521 ราย แยกเป็นรายจังหวัด ดังนี้

1.นครราชสีมา มีผู้ป่วย 87 ราย

2.ชัยภูมิ มีผู้ป่วย 85 ราย

3.บุรีรัมย์ มีผู้ป่วย 128 ราย

4.สุรินทร์ มีผู้ป่วย 221 ราย

ส่วนใหญ่พบในเด็กอายุ 3 ปี รองลงมาคือ 2 ปี และ อายุ 1 ปี ตามลำดับ

นายแพทย์สุเมธ องค์วรรณดี กล่าวต่อไปว่า แนะนำให้ครูพี่เลี้ยง ผู้ดูแลเด็ก และพ่อแม่ ผู้ปกครองดูแลและสังเกตอาการของบุตรหลานอย่างใกล้ชิด

ที่มาจาก www.bangkokbiznews.com

โรคมือเท้าปากเปื่อย” เกิดจากเชื้อไวรัสลำไส้ หรือ Eneterovirus หลายชนิด แต่ส่วนใหญ่ที่พบคือ Coxsackie virus A16 และ Enterovirus 71 พบบ่อยในเด็กทารก และเด็กอายุต่ำกว่า ปี สำหรับประเทศไทยพบการระบาดตลอดทั้งปี แต่จะมากเป็นพิเศษในช่วงฤดูฝนและช่วงที่มีอากาศร้อนชื้น

*โดยทั่วไปโรคนี้มีอาการไม่รุนแรง มีลักษณะเฉพาะคือ มีตุ่มน้ำใสขอบแดงขึ้นที่บริเวณปาก มือ และเท้า”

มือเท้าปากเปื่อย โรคที่มากับหน้าฝน
มือเท้าปากเปื่อย โรคที่มากับหน้าฝน

อาการของโรค

หลังจากได้รับเชื้อ 3-6 วัน ผู้ติดเชื้อจะเริ่มมีไข้ต่ำ ๆ อ่อนเพลีย ต่อมาอีก 1-2 วัน จะเจ็บปากจนไม่อยากรับประทานอาหาร เนื่องจากมีตุ่มแดงเจ็บที่ลิ้น เหงือก เพดานปาก กระพุ้งแก้ม และที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า ซึ่งต่อมาตุ่มนี้จะกลายเป็นตุ่มน้ำพองใส ซึ่งบริเวณฐานของตุ่มจะอักเสบและแดง นอกจากนี้สามารถพบอาการที่ระบบอื่นได้อีก เช่น
– อาการทางระบบประสาท เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ
– อาการทางระบบทางเดินอาหาร เช่น อาการท้องเสีย ถ่ายเหลว และคลื่นไส้อาเจียนได้
– อาการทางตา มักพบเยื่อบุตาอักเสบ
– อาการทางหัวใจ(พบไม่บ่อยแต่มีความรุนแรง)เนื่องจากสามารถทำให้เกิดกล้ามเนื้อหรือเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบได้
*อาการของผู้ป่วย อาจมีตั้งแต่เล็กน้อยไปจนถึงมีภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง แต่จะทุเลาและหายเป็นปกติได้เองภายในประมาณ 7-10 วัน

มือเท้าปากเปื่อย ติดต่อง่ายมาก ระวัง!ติดทั้งบ้าน

อย่างที่ทราบกันดีว่า โรคมือเท้าปากเป็นโรคที่ติดต่อได้ง่ายมาก ยิ่งเป็นการระบาดในเด็กเล็กยิ่งทำให้ป้องกันได้ยาก โดยเฉพาะเด็กที่เข้าเรียน ที่ต้องอยู่ในกลุ่มคนมาก ยิ่งทำให้การป้องกันการติดเชื้อยิ่งยากขึ้นไปอีกหลายเท่า นอกจากตัวเด็กเองที่ได้รับเชื้อ และต้องทรมานจากโรคมือเท้าปาก ยังสามารถเป็นพาหะนำเชื้อโรคมาสู่บุคคลในครอบครัวได้อีกด้วย ซึ่งหากคนในครอบครัวนั้นมีผู้ที่มีความเสี่ยงที่จะมีอาการรุนแรงจากเชื้อไวรัสนี้ก็จะยิ่งเพิ่มอันตรายมากยิ่งขึ้น ดังเช่นครอบครัวของคุณแม่ผู้ใช้ @Kantika Nakapakorn ได้เล่าเรื่องราวของครอบครัวผ่านเพจ Drama-addict ไว้ว่า ลูกสาวคนที่สองติดเชื้อจากโรงเรียน และนำมาติดน้องคนเล็กที่เป็นผื่นภูมิแพ้บ่อย จึงทำให้อาการหนักกว่าปกติ

มือเท้าปากเปื่อย กับเด็กที่เป็นผื่นภูมิแพ้
มือเท้าปากเปื่อย กับเด็กที่เป็นผื่นภูมิแพ้
คุณแม่ที่ลูกเขาป่วยเป็นโรคมือเท้าปากฝากมาครับผม ช่วงนี้ระบาด พ่อแม่ที่มีลูกเล็กๆต้องระวังนะครับ
ช่วงนี้โรคมือปากเท้าเปื่อย มาแรงนะคะ
อันนี้น้องเป็นโรคมือเท้าปาก +กับอาการแทรกซ้อนภูมิแพ้ ผื่นเลยขึ้นทั้งตัว อันนี้เป็นไวรัสอีกตัวนึง ที่มีความรุนแรง
เริ่มแรกบ้านนี้มีลูกสาว 3คนคะ 2คนแรกไป ร.ร แต่เหตุเกิดจาก ลูกสาวคนที่สอง ติดมาจาก ร.ร แล้วนำมาติดสู่น้องคนเล็ก แต่เดิมทีน้องคนเล็กเป็นผื่นภูมิแพ้บ่อยอยู่แล้ว เลยทำให้ เป็นผื่นซ้ำเข้าไปอีก จนอาการ นั้น คูณ 2 จนกลายเป็นเพิ่มความรุนแรง ตอนนี้ น้องเข้าแอดมิด ที่โรงพยาบาลแล้วเรียบร้อยคะ
(จากในภาพคือสภาพอาการน้องแค่2วันเท่านั้น)
อาการเริ่มแรกคือมีไข้ต่ำๆ วันถัดมา เริ่มมีผื่นขึ้นที่ปาก มือ เท้า ก้น แล้วล่ามไปเรื่อยๆ ถ้าเป็นในเด็กอายุน้อย จะมีความรุนแรงมากกว่าเด็กที่โตแล้ว ทางคุณหมอแจ้งว่า โรคติดไม่ใช่ติดกับเด็กอย่างเดียว สามารถติดกับผู้ใหญ่ได้ด้วยนะคะ ระยะแพร่เชื้อ 1-2 สัปดาห์ เคยติดแล้วหายแล้วติดซ้ำได้อีก
อนุญาติให้แชร์ภาพได้ กรณีศึกษา กรณีเตือนภัยนะคะ
เพราะไวรัสตัวนี้น่ากลัวจริง
Cr. FB Kantika Nakapakorn
ที่มา เพจ Drama-addict

ป้องกันไม่ให้ระบาด คุ้มครองสมาชิกในครอบครัว

เนื่องจากโรคนี้ติดต่อง่าย และอาจพบภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง การป้องกันไม่ให้มีการระบาด เป็นสิ่งที่ดีที่สุด เพราะหากเชื้อไปติดในเด็กเล็ก ผู้ที่มีโรคประจำตัว หรือผู้สูงอายุ บุคคลที่มีภูมิคุ้มกันร่างกายอ่อนแอ ก็จะทำให้เป็นอันตรายได้

สอนลูกหมั่นล้างมือ แอลกอฮอล์เจลไม่สามารถฆ่าเชื้อได้
สอนลูกหมั่นล้างมือ แอลกอฮอล์เจลไม่สามารถฆ่าเชื้อได้
  • การดูแลรักษาความสะอาดทั่วไป และสุขอนามัยส่วนบุคคล โดยการล้างมือ ฟอกสบู่ให้สะอาดก่อนเตรียมอาหาร ก่อนรับประทานอาหาร และหลังขับถ่ายทุกครั้ง (การล้างมือด้วยแอลกอฮอล์เจล ไม่สามารถฆ่าเชื้อได้)
  • รับประทานอาหารที่สะอาด ปรุงใหม่ๆ ไม่มีแมลงวันตอม
  • ควรใช้ช้อนกลางในการรับประทานอาหาร ไม่ใช้แก้วน้ำ หลอดดูด ช้อน ขวดนมร่วมกับผู้อื่น
  • หลีกเหลี่ยงการคลุกคลี อยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วย แยกเด็กป่วยออกจากเด็กปกติ และให้หยุดเรียนจนกว่าจะหายป่วย
  • หลีกเหลี่ยงการนำเด็กทารกและเด็กเล็กเข้าไปในสถานที่แออัด หรือที่ๆ เด็กอยู่รวมกันจำนวนมาก หรือเล่นของเล่นร่วมกันในที่สาธารณะในช่วงที่มีโรคระบาดมาก
  • ผู้ดูแลเด็กต้องตัดเล็บให้สั้น หมั่นล้างมือบ่อยๆ และรีบล้างมือให้สะอาดโดยเร็ว เมื่อเช็ดน้ำมูกน้ำลาย หรือเปลี่ยนผ้าอ้อม เสื้อผ้าที่เปื้อนอุจจาระ
  • ไม่ไปเล่นในสระว่ายน้ำ และควรฆ่าเชื้อในสระว่ายน้ำด้วยคลอรีนในจำนวนที่เหมาะสม
  • ทำความสะอาดพื้น เครื่องใช้ หรือของเล่นเด็กที่อาจปนเปื้อน เชื้อโรคอย่างสม่ำเสมอ ด้วยน้ำยาฟอกขาว (คลอเร็กซ์) อัตราส่วน คือ น้ำยา 20 CC ต่อน้ำ 1000 CC และล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง โดยเชื้ออยู่ในสภาพแวดล้อมได้ 2-3 วัน เชื้อตายง่ายในที่แห้งและร้อน ดังนั้นควรทำความสะอาดของเล่นด้วย
  • ถ้าพบผู้ป่วยโรคมือ เท้า ปาก ควรรับแจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณะสุขในพื้นที่โดยเร็ว เพื่อดำเนินการควบคุมโรคต่อไป

โรคนี้ไม่มีการป้องกันด้วยการวัคซีน ดังนั้นผู้ปกครองและผู้ดูแลเด็กควรเน้นที่สุขอนามัยของเด็กมากที่สุด โดยสอนให้เด็กล้างมือให้เป็นนิสัย ไม่เอาของเข้าปาก เป็นต้น

หากมีข้อสงสัยอื่นใด สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422

ข้อมูลอ้างอิงจาก www.thonburi2hospital.com/www.si.mahidol.ac.th

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

เช็ค 6 อาการ ติดโรคมือ เท้า ปาก มาจากโรงเรียน

วิธีสังเกต อาการมือเท้าปาก และ วิธีดูแลรักษาลูกโดยไม่ต้องแอดมิด

ประจําเดือนไม่มา กินยาอะไรดี!! ปัญหากลุ้มใจของสาวๆ

บอกหมดไม่กั๊ก วิธีสต๊อคนมแม่ พร้อมส่งนมข้ามจังหวัดฟรี!

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

ประจำเดือนไม่มา กินยาอะไรดี

ประจําเดือนไม่มา กินยาอะไรดี!! ปัญหากลุ้มใจของสาวๆ

Alternative Textaccount_circle
event
ประจำเดือนไม่มา กินยาอะไรดี
ประจำเดือนไม่มา กินยาอะไรดี

ประจําเดือนไม่มา กินยาอะไรดี คำถามที่เป็นปัญหากลุ้มใจของสาว ๆ ทำให้เกิดความกังวลใจ เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความผิดปกติใด ๆ ในร่างกายหรือไม่

ประจําเดือนไม่มา กินยาอะไรดี!! ปัญหากลุ้มใจของสาวๆ

ผู้หญิงหลายคนคงประสบปัญหา ประจำเดือนไม่มา ทั้งที่ตรวจการตั้งครรภ์แล้วแต่ผลปรากฏว่าไม่ได้ตั้งครรภ์ แล้วสาเหตุเกิดจากอะไร ได้แต่คิดว่า ประจำเดือนไม่มา กินยาอะไรดี อย่าเพิ่งวิตกไปค่ะ ทีมกองบรรณาธิการ ABK ได้รวบรวมข้อมูลถึงสาเหตุมาให้แล้วค่ะ

ประจําเดือนไม่มา กินยาอะไรดี!! ปัญหากลุ้มใจของสาวๆ

ประจำเดือนไม่มา กินยาอะไรดี
ประจำเดือนไม่มา กินยาอะไรดี

ประจำเดือน คือ เลือดที่ไหลออกมาจากทางช่องคลอดเป็นประจำทุกเดือนเมื่อถึงวัยเจริญพันธุ์ ซึ่งเป็นหนึ่งในกระบวนการสืบพันธุ์ของร่างกาย เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย โดยสมองจะสั่งให้ต่อมใต้สมองผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน ฮอร์โมนเหล่านี้จะทำให้เยื่อบุมดลูกหนาขึ้น เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการฝังตัวของไข่ที่ปฏิสนธิกับอสุจิแล้ว แต่ถ้าหากไข่ไม่มีการปฏิสนธิกับอสุจิ เยื่อบุมดลูกก็จะหลุดลอกออกมากลายเป็นประจำเดือน โดยปกติประจำเดือนจะมาประมาณ 4-6 วัน ซึ่งขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

ประจำเดือนไม่มา (Missed Period) หรือภาวะขาดประจำเดือน (Amenorrhea) คือ ภาวะที่ไม่มีรอบเดือนหรือประจำเดือนขาด ไม่มาตามปกติ ซึ่งเกิดขึ้นได้ 2 กรณี กรณีแรกเกิดขึ้นกับผู้ที่รอบเดือนครั้งแรกไม่มาเมื่ออายุถึงเกณฑ์ และอีกกรณีเกิดขึ้นกับผู้ที่เคยมีประจำเดือนแต่รอบเดือนขาดหรือไม่มาตามปกติ ผู้หญิงส่วนใหญ่จะมีประจำเดือนประมาณ 11-13 ครั้งต่อปี โดยรอบเดือนปกติจะประมาณ 28 วัน (อยู่ในช่วง 21- 35วัน)  แต่ในบางครั้งประจำเดือนอาจไม่มาตามกำหนดในช่วงดังกล่าวคือเกิน 35 วัน โดย 2-3 ปีแรกนับตั้งแต่เริ่มมีประจำเดือน ประจำเดือนมักมาไม่สม่ำเสมอ ร่างกายอาจใช้เวลานานหลายปีในการปรับระดับฮอร์โมนที่ควบคุมการมีรอบเดือนให้สมดุล ทั้งนี้ อาการประจำเดือนมาไม่ปกติอาจเกิดขึ้นในช่วงปีสุดท้ายของการมีรอบเดือน สาเหตุที่ทำให้ประจำเดือนไม่มามีหลายอย่าง ทั้งจากการทำงานของร่างกาย การใช้ชีวิตประจำวัน หรือระดับฮอร์โมนที่ไม่สมดุล อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ประสบภาวะนี้ควรไปพบแพทย์ เนื่องจากสาเหตุที่ทำให้ประจำเดือนไม่มาบางสาเหตุอาจต้องได้รับการรักษา ประจำเดือนจึงจะกลับมาตามปกติ

สาเหตุของอาการประจำเดือนไม่มา มี  2 กรณี ได้แก่ ภาวะขาดประจำเดือนปฐมภูมิ และภาวะขาดประจำเดือนทุติยภูมิ ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้

  • ภาวะขาดประจำเดือนปฐมภูมิ (Primary Amenorrhea) คือ ภาวะที่ไม่เคยมีประจำเดือนเมื่ออายุถึง 15 ปี วัยรุ่นผู้หญิงมักเริ่มมีรอบเดือนในช่วงอายุระหว่าง 9-18 ปี โดยทั่วไปแล้วมักเริ่มมีรอบเดือนเมื่ออายุ 12 ปี
  • ภาวะขาดประจำเดือนทุติยภูมิ (Secondary Amenorrhea) คือภาวะที่ประจำเดือนขาดไปอย่างน้อย 3 เดือน ภาวะขาดประจำเดือนทุติยภูมิถือเป็นภาวะขาดประจำเดือนที่พบได้บ่อย

อย่างไรก็ตาม ภาวะขาดประจำเดือนปฐมภูมิและภาวะขาดประจำเดือนทุติยภูมิ สามารถรักษาให้หาย และกลับมามีประจำเดือนได้ตามปกติ

สาเหตุประจำเดือนไม่มา

อาการประจำเดือนไม่มาหรือภาวะขาดประจำเดือนเกิดขึ้นได้จากสาเหตุหลายอย่าง ซึ่งอาจเกิดจากความเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติของร่างกาย กิจวัตรในชีวิตประจำวัน ระดับฮอร์โมนในร่างกาย หรือการใช้ยาบางอย่าง สาเหตุที่ทำให้ประจำเดือนไม่มาแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ ได้แก่ สาเหตุที่พบได้ทั่วไป และสาเหตุที่พบได้ไม่บ่อย ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้

  • สาเหตุที่พบได้ทั่วไป อาการประจำเดือนไม่มาอันเกิดจากสาเหตุที่พบได้ทั่วไป มีดังนี้
    • ตั้งครรภ์ การตั้งครรภ์ถือเป็นสาเหตุที่พบได้ทั่วไปมากที่สุด หากยังไม่แน่ใจว่าอาการประจำเดือนไม่มานั้น มีสาเหตุมาจากการตั้งครรภ์หรือไม่ ควรใช้ที่ตรวจครรภ์ตรวจให้แน่ใจ
    • การให้นมบุตร เนื่องจากโพรแลคติน (Prolactin) ที่เป็นฮอร์โมนสำหรับการผลิตน้ำนมอาจส่งผลยับยั้งการหลั่งฮอร์โมนสืบพันธุ์ ทำให้ช่วงให้นมบุตรอาจยังไม่มีการตกไข่
    • เข้าวัยทอง วัยทองหรือวัยหมดประจำเดือนถือเป็นความเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติที่เกิดขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น โดยมักเกิดขึ้นกับผู้ที่มีอายุระหว่าง 45-55 ปี ประจำเดือนจะเริ่มขาดเมื่อเข้าสู่วัยทอง เนื่องจากระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนเริ่มลดลง ทำให้ไข่ตกไม่สม่ำเสมอ เมื่อเลยวัยทองแล้ว รอบเดือนจะหยุดมา อย่างไรก็ตาม ผู้ที่อายุ 40 ปีบางรายอาจประสบภาวะหมดประจำเดือนก่อนกำหนด (Premature Menopause)
    • ฮอร์โมนไม่สมดุล ระดับฮอร์โมนที่ไม่สมดุลทำให้ประจำเดือนไม่มาได้ ปัญหาดังกล่าวอาจมาจากเนื้องอกที่ต่อมใต้สมองหรือต่อมไทรอยด์ ทั้งนี้ ยังรวมไปถึงระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนต่ำ หรือระดับเทสโทสเตอโรนสูง ซึ่งทำให้ประจำเดือนขาด
    • น้ำหนักเพิ่มหรือลดมากเกินไป ผู้ที่มีน้ำหนักตัวเพิ่มหรือลดมากเกินไปอาจเกิดอาการประจำเดือนไม่มา โดยผู้ที่น้ำหนักตัวลดลงมากอย่างรวดเร็วนั้นมักรับประทานอาหารน้อย ทำให้ไม่มีสารอาหารไปกระตุ้นการผลิตฮอร์โมนที่ทำให้ไข่ตก ส่วนผู้ที่มีน้ำหนักตัวมากเกินไปหรืออ้วนมากนั้น จะทำให้ร่างกายผลิตเอสโตรเจนมากซึ่งส่งผลต่อรอบเดือน และทำให้ประจำเดือนไม่มา
    • ออกกำลังกายมากเกินไป การออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมที่ต้องใช้ร่างกายออกแรงหนักหน่วง จะส่งผลต่อระดับฮอร์โมนที่เกี่ยวกับรอบเดือน เนื่องจากร่างกายสูญเสียไขมันมากเกินไปจากการหักโหมทำกิจกรรมดังกล่าว
    • เกิดความเครียด ผู้ที่มีความเครียดอาจส่งผลต่อรอบเดือน ทำให้ประจำเดือนมามาก มาน้อย เกิดอาการปวดท้องรุนแรงเมื่อมีรอบเดือน หรือประจำเดือนไม่มาเลย
    • ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด เช่น ยารักษาจิตเวท ยาต้านซึมเศร้า ยารักษาโรคภูมิแพ้ ยาลดความดันโลหิต เนื่องจากตัวยาอาจมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของการหลั่งฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการมีประจำเดือน
    • รับประทานยาคุมกำเนิด ผู้ที่รับประทานยาคุมกำเนิดอาจมีประจำเดือนมาน้อย มามาก มาไม่สม่ำเสมอ หรือไม่มาเลย โดยยาคุมกำเนิดชนิดที่มีโปรเจสเตอโรนอย่างเดียว ยาคุมแบบฉีด หรือห่วงอนามัยชนิดที่มีฮอร์โมนอาจส่งผลให้ประจำเดือนไม่มาได้ อย่างไรก็ตาม หากหยุดใช้ยาคุมแล้ว จะกลับมามีประจำเดือนตามปกติ ทั้งนี้ ผู้ที่ใช้ยารักษาทางจิตเวช ยาต้านซึมเศร้า ทำเคมีบำบัด ยารักษาความดันโลหิตสูง และสารเสพติดอื่น ๆ ก็อาจทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับรอบเดือนด้วย
    • ประสบภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ ภาวะนี้เกิดจากรังไข่มีถุงน้ำรังไข่เป็นจำนวนมาก โดยถุงน้ำเหล่านี้จะไม่ปล่อยไข่ให้ตกออกมา
    • ปัญหาสุขภาพ ปัญหาสุขภาพและโรคต่าง ๆ ที่อาจส่งผลให้ร่างกายมีระดับฮอร์โมนไม่สมดุล เช่น ภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS) ต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติ เนื้องอกใต้สมอง
ประจำเดือนยังไม่มา
ประจำเดือนยังไม่มา

ประจําเดือนไม่มา กินยาอะไรดี!! ปัญหากลุ้มใจของสาวๆ

  • สาเหตุที่พบได้ไม่บ่อย ผู้ป่วยหรือผู้ที่ประสบปัญหาสุขภาพบางอย่างอาจเกิดอาการประจำเดือนไม่มาร่วมด้วย โดยปัญหาสุขภาพเหล่านี้จัดเป็นสาเหตุของภาวะขาดประจำเดือนที่พบได้ไม่บ่อยนัก ได้แก่
    • รังไข่เสื่อมก่อนกำหนด ภาวะรังไข่หยุดทำงานก่อนกำหนด (Premature Ovarian Failure) หรือรังไข่เสื่อมก่อนกำหนด คือภาวะที่หมดรอบเดือนก่อนอายุครบ 40 ปี สาเหตุของภาวะนี้เกิดจากการผ่าตัดศัลยกรรม การทำเคมีบำบัด และการฉายรังสีบริเวณท้องหรืออุ้งเชิงกราน
    • ท้องนอกมดลูก ภาวะนี้ถือเป็นภาวะที่พบได้ยาก และบางครั้งผลตรวจครรภ์อาจปรากฏออกมาเป็นลบ ผู้ที่ประจำเดือนไม่มาและผลตรวจครรภ์ออกมาเป็นลบ แต่เกิดปวดท้องน้อยอย่างรุนแรง มีเลือดออก เวียนศีรษะ คลื่นไส้ และอาเจียน ควรพบแพทย์ทันที
    • ปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ผู้ที่ป่วยเป็นโรคลำไส้แปรปรวน วัณโรค โรคตับ หรือเบาหวาน อาจประสบภาวะขาดประจำเดือนหรือประจำเดือนมาไม่ปกติได้ ส่วนในบางราย ที่อวัยวะเกี่ยวข้องกับการสืบพันธุ์เกิดความผิดปกติ ก็อาจทำให้ประจำเดือนไม่มาหรือมาช้า โดยความผิดปกตินี้อาจเกิดจากความผิดปกติตั้งแต่แรกเกิด เนื้องอก หรือการติดเชื้อที่มดลูก ทั้งนี้ อาการประจำเดือนไม่มาเป็นอาการหนึ่งของการเกิดภาวะพังผืดในโพรงมดลูก (Asherman Syndrome) ซึ่งเกิดจากการขูดมดลูก
    • ป่วยเป็นโรคทางพันธุกรรม ผู้ที่ป่วยเป็นโรคทางพันธุกรรม เช่น กลุ่มอาการเทอร์เนอร์ (Turner Syndrome) อาจทำให้ประจำเดือนมาช้าได้บางครั้ง

การวินิจฉัยอาการประจำเดือนไม่มา

ผู้ที่ประสบภาวะขาดประจำเดือนโดยไม่ได้มีสาเหตุมาจากการตั้งครรภ์ ควรไปพบแพทย์ทันที ซึ่งผู้ที่ประจำเดือนไม่มาแล้วควรไปพบแพทย์ ได้แก่

  • ผู้ที่มีอาการปวดท้องน้อย และคาดว่าอาจตั้งครรภ์
  • ผู้ที่ใช้ที่ตรวจการตั้งครรภ์และพบว่าตนเองท้อง หรือผู้ที่คาดว่าอาจตั้งครรภ์แม้ที่ตรวจครรภ์จะแสดงผลว่าไม่ได้ท้อง
  • ผู้ที่ประจำเดือนไม่มาเป็นเวลา 2 เดือนโดยไม่ทราบสาเหตุ
  • ผู้ที่ประจำเดือนไม่มาเป็นเวลา 2 เดือน ระหว่างรับประทานยาคุมกำเนิด แม้ว่าจะรับประทานยาคุมกำเนิดครบทุกเม็ด
  • วัยรุ่นอายุ 16 ปี ที่ประจำเดือนครั้งแรกยังไม่มา
  • วัยรุ่นอายุ 14 ปี ที่ไม่ปรากฏสัญญาณของการเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์
  • ผู้ที่ประจำเดือนขาดก่อนอายุครบ 45 ปี
  • ผู้ที่ยังมีประจำเดือนอยู่เมื่ออายุ 55 ปี

แพทย์จะตรวจร่างกายและถามคำถามเพื่อวินิจฉัยสาเหตุ เช่น ความปกติของรอบเดือน ประวัติการรักษาทั่วไป ประวัติการมีเพศสัมพันธ์ กิจกรรมที่ทำในแต่ละวัน และอาการที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ แพทย์อาจตรวจการตั้งครรภ์สำหรับผู้ที่ประจำเดือนไม่มาเป็นเวลา 3 เดือน การวินิจฉัยอาการประจำเดือนไม่มา ประกอบด้วย

  • การตรวจเลือด แพทย์ตรวจเลือดเพื่อดูระดับฮอร์โมนในร่างกายของผู้ป่วย โดยจะดูฮอร์โมนโพรแลกติน (Prolactin) ลูทิไนซิงฮอร์โมน (Luteinizing Hormone) และฟอลลิเคิลสติมิวเลติงฮอร์โมน (Follicle Stimulating Hormone: FSH) หรือฮอร์โมนเอฟเอสเอช ซึ่งล้วนแต่เป็นฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับรอบเดือนผู้หญิง แพทย์จะวินิฉัยหาสาเหตุของอาการประจำเดือนไม่มาจากระดับฮอร์โมนเหล่านี้
  • การทำอัลตราซาวด์ แพทย์จะตรวจรังไข่และมดลูก เพื่อหาความผิดปกติที่เกิดขึ้นภายในอวัยวะดังกล่าว โดยใช้คลื่นเสียงความถี่สูงประมวลภาพสแกนอวัยวะภายในร่างกายออกมา
  • การทำซีที สแกน แพทย์จะตรวจเนื้องอกที่เกิดขึ้นภายในต่อมหรืออวัยวะตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย โดยใช้ภาพเอกซเรย์จากหลายมุมมาประกอบกันและแสดงผลออกมาเป็นภาพสแกน

การรักษาอาการประจำเดือนไม่มา

วิธีรักษาอาการประจำเดือนไม่มาขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะขาดประจำเดือน ผู้ที่ประจำเดือนไม่มาอันเนื่องมาจากปัญหาสุขภาพนั้น จะได้รับการรักษาที่แตกต่างกันไป ซึ่งมีรายละเอียดพอสังเขป ดังนี้

  • ฮอร์โมนไม่สมดุล ผู้ที่ประสบภาวะขาดประจำเดือนจากปัญหาฮอร์โมนไม่สมดุลจะได้รับฮอร์โมนเสริมหรือฮอร์โมนสังเคราะห์ เพื่อปรับระดับฮอร์โมนให้เป็นปกติ
  • ถุงน้ำรังไข่หลายใบ กรณีที่ผู้ป่วยเกิดภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ แพทย์อาจจ่ายยาคุมกำเนิดแบบเม็ด หรือยาที่มีส่วนผสมของฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนเพื่อช่วยรักษาอาการ
  • รังไข่เสื่อมก่อนกำหนด ผู้ที่ประจำเดือนไม่มาจากสาเหตุนี้อาจได้รับการรักษาด้วยยาคุมกำเนิดแบบเม็ดหรือกลุ่มยาฮอร์โมนทดแทน (Hormone Replacement Therapy: HRT)
  • ต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกินไป ผู้ที่ประสบภาวะขาดประจำเดือนจากสาเหตุนี้ จะได้รับยาที่ช่วยหยุดการผลิตฮอร์โมนไทรอยด์ของต่อมไทรอยด์เพื่อรักษาอาการของโรค

บทความเกี่ยวกับปัญหา ประจำเดือนไม่มา กินยาอะไรดี ที่ทีมกองบรรณาธิการ ABK นำข้อมูลมาฝากนี้ คงช่วยให้ผู้ที่มีปัญหาได้รับความรู้ความเข้าใจกันมากขึ้นนะคะ

 

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

เช็กอาการ มดลูกโต สังเกตได้จากอะไร? รู้เร็วไม่ต้องผ่า!

วิธีเก็บสิ่งส่งตรวจHPVด้วยตนเองและ ตรวจภายในเจ็บไหม

ปากมดลูก สำคัญไฉนกับวัคซีนมะเร็งปากมดลูก 9สายพันธุ์

7 ตำแหน่งปวดท้อง บอกโรค ปวดตรงไหนเป็นอะไรรู้ได้ที่นี่

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : https://hellokhunmor.com, https://www.pobpad.com

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

Amarin Baby & Kids

วิธีเอาตัวรอดจากไฟไหม้

10 วิธีเอาตัวรอดจากไฟไหม้ พ่อแม่ต้องรู้ไว้เอาไปสอนลูก

Alternative Textaccount_circle
event
วิธีเอาตัวรอดจากไฟไหม้
วิธีเอาตัวรอดจากไฟไหม้

10 วิธีเอาตัวรอดจากไฟไหม้ พ่อแม่ต้องรู้ไว้เอาไปสอนลูก

จากเหตุการณ์ ไฟไหม้ผับชลบุรี MountainB เมาท์เทนบี เมื่อช่วงกลางดึกที่ผ่านมา ส่งผลให้มีนักเที่ยวเสียชีวิตมากกว่า 13 ราย และบาดเจ็บอีกจำนวนมาก บางรายวิ่งออกมาจากผับทั้ง ๆ ที่ยังมีไฟลุกตามตัว หลายคนวิ่งออกมาโดยทั้งที่ยังมีไฟไหม้ตามร่างกาย น่ากลัวมากทีเดียว เราไม่รู้เลยค่ะว่า เหตุการณ์ไฟไหม้จะเกิดกับเราไหม จะเกิดเมื่อไหร่ เกิดแล้วควรทำอย่างไร ทีมบรรณาธิการ ABK ขอแนะนำ วิธีเอาตัวรอดจากไฟไหม้ ให้คุณพ่อคุณไว้เป็นข้อมูล สำหรับไปสอนลูก เพื่อเป็นความรู้และแนวทางเอาตัวรอดจากอุบัติเหตุที่ไม่คาดดิดค่ะ

ควรปฏิบัติอย่างไรก่อนเกิดเหตุไฟไหม้

ไม่ว่าจะเข้าพักที่ใดก็ตาม ทั้งการเช่าอยู่ห้องพักระยะยาว และระยะสั้น ควรสังเกตทางหนีไฟ และจดจำตำแหน่งเอาไว้อย่างแม่นยำ เพื่อที่เวลาเกิดเหตุ จะได้พาตัวเองออกจากที่เกิดเหตุได้ทันเวลา เพราะที่ผ่านมาพบว่า มีผู้ประสบภัยหลายรายไม่ได้จดจำทางหนีไฟเอาไว้ ทำให้เมื่อเกิดเหตุไม่สามารถหลบหนีได้ทันเวลา

10 วิธีเอาตัวรอดจากไฟไหม้

แนวทางและหลักปฎิบัติ 10 วิธีเอาตัวรอด มีดังนี้
1. หากเพลิงไหม้เกิดขึ้นภายในห้อง สิ่งแรกที่ต้องทำ คือ การตั้งสติ อย่าตื่นตระหนก

2. ดึง หรือกดสัญญานแจ้งเหตุเพลิงไหม้ที่กล่องแดงข้างผนังทางเดินทันทีที่พบเหตุเพลิงไหม้ แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม

3. หากเพลิงไหม้ยังอยู่ในระยะเริ่มต้น พยายามดับเพลิงโดยการใช้อุปกรณ์ดับเพลิงในอาคารให้ได้ภายใน 2 นาที โดยเริ่มจากดึงสลักนิรภัย ออกจากคันบีบบริเวณหัวถังดับเพลิง โดยหมุนสลักจนตัวยึดขาด และดึงสลักทิ้ง ปลดสายฉีดออกจากตัวถังดับเพลิง โดยดึงจากปลายสาย และใช้มือจับสายให้มั่นคง จากนั้นให้คุณพ่อคุณแม่ กดคันบีบด้านบนของถังดับเพลิง เพื่อให้น้ำยาดับเพลิงพุ่งออกจากหัวฉีดไปยังต้นเพลิง ส่ายหัวฉีดของถังดับเพลิงให้ทั่วบริเวณต้นเพลิงค่ะ อย่ามัวแต่รอความช่วยเหลือจากพนักงานดับเพลิง

4. หากไม่สามารถดับเพลิงไหม้ได้ ให้ออกจากห้อง และปิดประตูให้สนิทเพื่อชะลอการลุกลามของเพลิงไหม้ จากนั้นรีบออกจากอาคารให้เร็วที่สุด

5. แต่หากต้นเพลิงเกิดจากส่วนอื่นของอาคาร เมื่อทราบว่ามีเหตุเพลิงไหม้ ให้ตั้งสติ มองหาอุปกรณ์ส่องสว่าง ที่จะช่วยให้สามารถออกจากอาคารในความมืดได้ เช่น ไฟฉาย โทรศัพท์มือถือ

วิธีเอาตัวรอดจากไฟไหม้
10 วิธีเอาตัวรอดจากไฟไหม้ พ่อแม่ต้องรู้ไว้เอาไปสอนลูก

6. หาผ้าชุบน้ำปิดปาก ปิดจมูก หรือหาผ้าห่มชุบน้ำแล้วห่มตัว เพื่อป้องกันการสูดควันไฟ และเพื่อป้องกันความร้อนจากเปลวไฟ

7. ก่อนเปิดประตูให้แตะ หรือคลำลูกบิด หากร้อนจัดแสดงว่ามีเปลวเพลิงอยู่ด้านนอก อย่าตื่นตระหนกเปิดประตูทันทีเพราะจะถูกเปลวไฟพุ่งเข้าหาตัวได

8. ห้ามใช้ลิฟต์เด็ดขาด เพราะหากติดอยู่ในลิฟต์ มีโอกาสสูงมากที่จะเสียชีวิตจากควันไฟ ให้ใช้บันไดหนีไฟ

9. หากติดอยู่ในกลุ่มควันไฟ ให้ก้มตัวลงต่ำ และคลานไปกับพื้น เพราะออกซิเจนจะลอยอยู่ที่ต่ำ ควันไฟเป็นเหตุที่ทำให้คนส่วนใหญ่เสียชีวิตมากกว่าเปลวไฟถึง 3 เท่าตัว

10. กรณีที่ไม่สามารถออกจากห้องได้ เนื่องจากมีเปลวไฟอยู่บริเวณภายนอกห้อง ให้อยู่ภายในห้องพัก และปิดประตู ใช้ผ้าชุบน้ำอุดบริเวณขอบบานประตู และให้ขอความช่วยเหลือที่หน้าต่างหรือระเบียง

การช่วยเหลือผู้ประสบเหตุการณ์จากสถานการณ์ไฟไหม้

นอกจากวิธีเอาตัวรอดเมื่อเกิดไฟไหม้แล้ว วิธีปฐมพยาบาลผู้ประสบเหตุไฟไหม้ก็เป็นอีกเรื่อง ที่คุณพ่อคุณแม่ควรทราบไว้เช่นกัน อ. นพ.พงศศิษฏ์ สิงหทัศน์ สาขาวิชาศัลยศาสตร์อุบัติเหตุและเวชบำบัดวิกฤตศัลยกรรม ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ได้แนะนำไว้ ต้องทำอย่างไรบ้างมาดูกันค่ะ

  • หากอยู่ในสถานการณ์คับขันให้รีบพาผู้ประสบภัยออกมาจากที่เกิดเหตุให้เร็วที่สุด
  • หากเพลิงไหม้สงบลงแล้ว การช่วยเหลือผู้ประสบภัย ควรดูแลเรื่องกระดูกต้นคอเป็นหลัก โดยการขนย้ายด้วยเปลหรือเบาะ อย่าหิ้วแขน หรือยกศีรษะห้อยลงในขณะเคลื่อนย้าย เพราะอาจทำให้กระดูกเคลื่อนได้
  • กรณีที่ผู้ประสบภัยถูกไฟครอกจนเสียหายรุนแรง หลังช่วยเหลือออกจากที่เกิดเหตุได้แล้ว ให้รีบถอดหรือตัดเสื้อผ้าออกจากร่างกายผู้ประสบภัย เพราะเสื้อผ้าจะอมความร้อนเอาไว้มาก แต่อย่าใช้วิธีกระชาก เพราะเนื้อผ้าบางส่วนอาจติดที่บริเวณผิวหนัง ทำให้ผิวหนังหลุดออกมาด้วย
  • ถอดเครื่องประดับ เช่น นาฬิกาข้อมือ กำไล ต่างหู ออกจากตัวผู้ประสบภัย เพราะของเหล่านี้อมความร้อนจะทำให้เกิดการพอง
  • ใช้น้ำสะอาดอุณหภูมิปกติ รดตัวผู้ประสบภัย เพื่อลดความร้อนให้กับร่างกาย
  • ใช้ผ้าชุบน้ำห่มตัวผู้ประสบภัยไว้ก่อน แล้วนำผ้าบางคลุมอีกชั้นหนึ่ง จากนั้นให้รีบนำส่งโรงพยาบาล
  • หากที่เกิดเหตุ และโรงพยาบาลอยู่ไกล ให้ผู้ประสบภัยดื่มน้ำก่อน เพราะผู้ประสบภัยมักจะมีภาวะขาดน้ำ แต่ถ้าโรงพยาบาลอยู่ไม่ไกลจากที่เกิดเหตุมากนัก ให้รีบนำส่งโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด
  • รีบเปิดทางเดินหายใจให้ผู้ประสบภัยหลังนำตัวออกมาจากที่เกิดเหตุ

วิธีป้องกันการเกิดเหตุไฟไหม้

เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุเพลิงไหม้ภายในบ้าน มีข้อควรปฏิบัติดังนี้ค่ะ

  1. ตรวจสอบอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้าน และสายไฟ ว่ามีการชำรุดหรือไม่
  2. เลือกใช้ปลั๊กพ่วงที่มีคุณภาพ ได้รับมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม
  3. ถอดปลั๊กออกทุกครั้งหลังจากที่ใช้งานเสร็จ
  4. ตรวจเช็คเตา และก๊าซหุงต้ม ว่าอยู่ในสภาพพร้อมใช้งานหรือไม่ และควรปิดวาลว์ทุกครั้งหลังจากที่ใช้งานเสร็จ
  5. เก็บวัสดุที่เป็นเชื้อเพลิงให้ห่างจากความร้อน

ขอบคุณข้อมูลจาก

workpoint today, Rama Channel,คมชัดลึก, กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

CPR ช่วยชีวิตลูกจากการสำลัก ของติดคอ หากลูกหมดสติ

อุทาหรณ์ ลูกถูกไฟช็อต จากสายชาร์จโทรศัพท์มือถือ

อุทาหรณ์! เด็ก 8 เดือน ลูกโป่งระเบิด ใส่แขนไหม้!

ฤกษ์ดี

โหรเผย! ฤกษ์คลอดบุตร 2566 เกิด ฤกษ์ดี มีบารมีติดตัว!!

Alternative Textaccount_circle
event
ฤกษ์ดี
ฤกษ์ดี

ฤกษ์ดี ฤกษ์มงคล ฤกษ์คลอด ฤกษ์ผ่าคลอด ฤกษ์คลอดบุตร วางแผนมีบุตรเมื่อไหร่ดี จะได้คลอดทัน ฤกษ์คลอดบุตร 2566 ลูกคลอดวันมงคล ชีวิตเจริญรุ่งเรือง

โหรเผย! ฤกษ์คลอดบุตร 2566 เกิด ฤกษ์ดี มีบารมีติดตัว!!

คุณพ่อคุณแม่ที่กำลังวางแผนจะมีลูกในปี 2566 หรือปีเถาะ มาดู ฤกษ์ดี ที่ทีมกองบรรณาธิการ ABK รวบรวมมาฝากกันเลยค่ะ จะได้เตรียมตัวให้พร้อม นับวัน นับเดือนให้ดี เพื่อให้ตรงกับ ฤกษ์คลอด 2566 ที่ได้เล็งเอาไว้ พร้อมแล้วไปดูกันเลยค่ะ

ฤกษ์ดี ฤกษ์คลอดบุตร 2566
ฤกษ์ดี ฤกษ์คลอดบุตร 2566

โหรเผย! ฤกษ์คลอดบุตร 2566 เกิด ฤกษ์ดี มีบารมีติดตัว!!

“โหรวสุ” เผยฤกษ์ดี ปลายปีนี้ให้เตรียมปั๊มทายาท เด็กคลอดเดือนกรกฏาคม-สิงหาคม ปี 66 ถือว่าเป็นคนมีบุญบารมีมาเกิด เป็นอภิชาตบุตร

โดยเฟซบุ๊กเพจ โหรวสุ ได้ระบุว่า

“ครอบครัว หรือคู่แต่งงานใด ที่กำลังวางแผนมีบุตร และอยากได้ลูกเป็นอภิชาตบุตร เลี้ยงดูง่าย ฉลาด เป็นที่พึ่งพาอาศัยของครอบครัวได้ แนะนำให้วางแผนเริ่มท้องตั้งแต่ปลายปี 2565 ในช่วงเดือน พ.ย. – ธ.ค. นี้ได้เลยครับ เพราะถ้าได้คลอดช่วงเดือน กรกฏาคม – สิงหาคมปี 2566 จะเป็นช่วงที่ดาวอาทิตย์ จันทร์ และพฤหัส โคจรได้เกณฑ์จันทรครุ สุริยา ซึ่งเป็นเกณฑ์ใหญ่ ซึ่งปกติการโคจรได้ตำแหน่งแบบนี้ส่วนใหญ่ 4-5 ปีจะมีสักครั้ง แต่ปี 2566 จะพิเศษตรงที่เป็นช่วงที่พฤหัสทับลัคนาดวงเมืองราศีเมษด้วย เพราะฉะนั้นเด็กที่เกิดมาในช่วงปี 2566 จะถือว่าเป็นคนมีบุญบารมีมาเกิดครับ ที่เอามาแจ้งเพราะช่วงนี้มีคนปรึกษาเรื่องการมีบุตรหลายคน และมีคนให้วางฤกษ์แต่งงาน กับเปิดกิจการในช่วงปี 2566 ซึ่งผมก็เลยเห็นว่าช่วงเดือนก.ค. – ส.ค. เป็นช่วงที่ดี เหมาะกับการวางฤกษ์คลอดบุตร

ส่วนคนที่เกิดมาในฤกษ์แล้วในดวงได้เกณฑ์จันทรครุ สุริยา ดีอย่างไร ทำไมที่ผมถึงแนะนำ เพราะจากที่ผมตรวจดวงชะตาเห็นคนที่มีดวงแบบนี้มักได้ทำงานเป็นใหญ่เป็นโต มีชื่อเสียง เป็นเศรษฐีร่ำรวยด้วยตัวเองทั้งนั้น แถมดวงแบบนี้มักจะล้มแล้วลุกได้ ยิ่งเจออุปสรรค เจอคนเหยียดหยาม หรือมีคนอิจฉาจ้องทำลายจะยิ่งแข็งแกร่ง ซึ่งในยุคสมัยที่การเมืองย่ำแย่ และสภาพเศรษฐกิจปากกัดตีนถีบแบบนี้ คนที่มีดวงประเภทนี้จะได้เปรียบกว่า คนดวงมีดาวมหาอุจณ์ หรือพวกอุดมเกณฑ์ปกติ ซึ่งถ้าเป็นสมัย 20-30 ปี ก่อนหน้านี้พวกคนมีดาวมหาอุจณ์ในดวง หรืออุดมเกณฑ์โหรเค้าจะทำนายว่าเป็นคนเกิดมาสบาย สมบูรณ์ทุกอย่าง ไม่ต้องไปทำอะไรให้เหนื่อย แต่ยุคนี้ถ้ามาเจอการเมือง สภาพบ้านเมืองที่ย่ำแย่ในยุคนี้ บอกเลยว่าไม่รอด เพราะการต่อสู้มันรุนแรง ถ้าล้มแล้วจะลุกขึ้นสู้ยาก และอาจจะไม่เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมคนสมัยนี้ ดูง่ายๆ ครับยุคหลังจากปี 2565 เป็นต้นไป ลูกเศรษฐี และเจ้าสัวทั้งหลาย จะประสบปัญหากับพฤติกรรมคนที่เปลี่ยนไป การ Interrupt ของเทคโนโลยี นวัตรกรรม และวัฒนธรรมใหม่ๆ ถ้าไม่ปรับตัวธุรกิจใหม่เปลี่ยนแปลงให้ทันตามยุคสมัย กิจการหรือธุรกิจที่สืบทอดมาจากตระกูลมีสิทธิ์เจ๊งที่รุ่นนี้เลย

ขอบคุณขอมูลจาก เฟซบุ๊กเพจ โหรวสุ
ขอบคุณขอมูลจาก เฟซบุ๊กเพจ โหรวสุ

ทำไมต้องดูฤกษ์?

เพราะฤกษ์เปรียบเสมือนการเริ่มต้น เมื่อสอดคล้องกับเจ้าชะตาก็จะส่งผลให้

  1. ชีวิตมีแต่ความผาสุก ราบรื่น ประกอบกิจการสำเร็จโดยง่าย
  2. ผลดีต่าง ๆ เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ได้ผลมาก และได้ผลนาน
  3. ส่งผลดีต่อเรื่องที่ต้องการ เช่น ตำแหน่งหน้าที่เจริญก้าวหน้าขึ้น ชีวิตและสุขภาพปลอดภัย ฯลฯ

ถ้ากระทำการโดยไม่ดูฤกษ์จะเกิดอะไรขึ้น? โทษภัยที่จะเกิดขึ้นตามมาได้แก่

  1. เกิดการทะเลาะวิวาท เกิดคดีความ ธุรกิจหยุดชะงัก สูญเสียเงินทองก้อนโต
  2. ปัญหาสุขภาพ เจ็บป่วยเรื้อรัง ผ่าตัด
  3. เกิดอุบัติเหตุ อุบัติภัย ที่ไม่คาดฝัน
  4. รุนแรงที่สุดอาจถึงแก่ชีวิต

ใครบ้างที่จะได้รับผลกระทบจากฤกษ์ที่เสีย?

  1. เจ้าชะตา
  2. ผู้ประกอบพิธี
  3. บุคคลในครอบครัว
  4. บุคคลผู้ให้ฤกษ์

ผลร้ายจะส่งผลนานเท่าไร?

ถ้ากระทบจุดสำคัญ ก็จะยาวนานถึง 3 ปี

ฤกษ์คลอดบุตรที่ดีควรประกอบด้วยหลักสำคัญ 4 ประการดังนี้

  1. ต้องส่งเสริมให้บุตร มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง
  2. ส่งเสริมให้บุตร มีสติปัญญาดี เฉลียวฉลาด
  3. เป็นคนที่มีโชคลาภอยู่เสมอ
  4. เมื่อเติบใหญ่ มีอำนาจ มีบารมี

ฤกษ์ผ่าคลอด

ถ้าจะหาฤกษ์ผ่าคลอดให้ลูก ควรทราบก่อนว่า ในแต่ละวันหรือในเวลา 24 ชม.นั้น มี 27 ดาวฤกษ์ และแต่ละฤกษ์จะประกอบด้วยลูกพิษมากมาย

ลูกพิษคืออะไร

ลัคนาหรือดาวเคราะห์ใดถูกลูกพิษในดวงชะตา จัดเป็นจุดเสื่อมของดวงชะตาประการหนึ่ง การหาฤาษ์ผ่าคลอด หัวใจสำคัญประการหนึ่งที่โหราผู้ให้ฤกษ์พลาดไม่ได้เลยคือ การหลบลูกพิษทุกชนิดในพื้นดวงกำเนิด

พิษนาค ในตรียางค์ที่ ๑ ของราศีเมษ, กันย์, ธนู, มีน หากลัคนาหรือดาวเคราะห์มีจุดเกาะตรียางค์แรกระหว่าง 0-10 องศา เรียกว่า ลัคนาหรือดาวเคราะห์นั้นถูกพิษนาค ถ้าลัคนาถูกพิษนาคแล้วผู้นั้นมักขี้โรคตั้งแต่เด็ก เช่น เป็นโรคน้ำเหลืองเสีย โรคพุพอง เป็นฝี เป็นต้น

ถ้าดาวเคราะห์ใดหรือดาวเคราะห์เจ้าเรือนใดถูกพิษนาค ก็เป็นจุดเสื่อมแก่ดาวเคราะห์นั้นทำให้สภาพชีวิตเกี่ยวกับเรือนภพนั้นไม่สมบูรณ์ เช่น ชีวิตมีอุปสรรคมาก อนึ่ง โรคภัยไข้เจ็บอาจจะมาจากสัตว์ก็ได้เช่น ถูกงูกัด หรือภัยพิบัติอาจจะมีมาจากทางน้ำทางทะเล เป็นต้น (พิษนาค หมายถึง พญานาค งู สัตว์น้ำ และสัตว์ประเภทเลื้อยคลานทุกชนิด)

พิษครุฑ ในตรียางค์ที่ ๒ ของราศีพฤษภ, สิงห์, ตุลย์ และกุมภ์ ถูกพิษครุฑ ผู้ใดมีลัคนาในราศีดังกล่าวหรือดาวเคราะห์ใดอยู่ แต่ 11-20 องศา เรียกว่า ลัคนาหรือดาวเคราะห์นั้นถูกพิษครุฑ

ผู้ใดลัคนาถูกพิษเล็บครุฑ ผู้นั้นมักขี้โรค ถูกอะไรขีดข่วนเล็กๆ น้อยๆ ก็จะเป็นหนอง เป็นแผลไปนาน ทำให้เกิดแผลเป็น ถ้าดาวเคราะห์ถูกพิษครุฑ หรือดาวเคราะห์เจ้าเรือนถูกพิษครุฑ ก็จะเป็นจุดเสื่อมแก่เรือนภพนั้นๆ ทำให้เกิดอุปสรรคในการดำเนินชีวิตเกี่ยวกับเรือนภพนั้นๆ (พิษครุฑ หมายถึง พญาครุฑ สัตว์ปีกทุกชนิด ภยันตรายจากสัตว์จำพวกนก แมลง เช่นถูกต่อยหรือแตนต่อย ภัยทางอากาศ ตกจากที่สูง ภัยจากลมพายุ จากเครื่องบิน โรคภัยไข้เจ็บ หมายถึงโรคลมด้วย)

พิษสุนัข ในตรียางค์ที่ ๓ ของราศีมิถุน, กรกฎ, พิจิก และมังกร แต่ 21-30 องศาของราศี ลัคนาหรือดาวเคราะห์ใดอยู่ระหว่างจุดพิกัดในตรียางค์ที่ 3 ของราศีดังกล่าว เรียกว่า ถูกพิษสุนัข

ลัคนาของผู้ใดถูกพิษสุนัข (หรือพิษสุนัขบ้า)ผู้นั้นมักมีอารมณ์หงุดหงิดง่าย และมักจะทำอะไรบุ่มบ่ามขาดความยั้งคิด ดื้อรั้น เอาแต่ใจตัว มักจะถูกสุนัขกัด ถ้าดาวเคราะห์เจ้าเรือนใดถูกพิษสุนัข ก็จะเป็นจุดเสื่อมของดาวเคราะห์ดวงนั้นๆ (พิษสุนัข หมายถึง ภัยจากสัตว์สี่เท้าทุกชนิด เขี้ยวงา เช่น สุนัขกัด ภัยจากแผ่นดิน เช่น แผ่นดินไหว บ้านเรือนถล่มทับ ภูเขาพังทับ ภัยจากสัตว์จำพวกหนู ภัยจากการเดินทางโดยรถไฟและรถยนต์ เป็นต้น)

เมื่อทราบ ฤกษ์ดี ที่ทีมกองบรรณาธิการ ABK นำมาฝากแล้ว เตรียมตัวตั้งครรภ์ตามฤกษ์ที่บอกกันเลยนะคะ หรือถ้าใครอยากได้ฤกษ์ผ่าคลอดในวัน เวลาที่แน่นอนช่วงเดือนกรกฎาคม – สิงหาคมปี 2566 งานนี้คงต้องปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางด้านโหราศาสตร์กันแล้วล่ะค่ะ

 

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

คุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่วางแผนได้ มีลูกเมื่อพร้อม เทคโนโลยีตอบโจทย์ เพิ่มโอกาสการมีลูกให้สำเร็จได้ ครอบคลุมทุกขั้นตอนการรักษา พร้อมออกแบบแผนการรักษาเฉพาะแต่ละครอบครัว ที่ “Superior A.R.T.”

ที่ตรวจครรภ์ มีกี่แบบ? พร้อมวิธีใช้และวิธีอ่านผล

ตัดเล็บวันไหนดี 2565 / 2022 ให้โชคดี มีลาภใหญ่ เป็นมงคลแก่ตัวเอง

สีกระเป๋าตามวันเกิด ปี 2565 เสริมให้ชีวิตปังๆ เงินเข้ารัวๆ

ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.amarintv.com, เฟซบุ๊กเพจ โหรวสุ, อ.อรุณวิชญ์ วงศ์จตุพัฒน์ จากเวบ http://www.mahamongkol.com

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

Amarin Baby & Kids

วิธีสต๊อคนมแม่

บอกหมดไม่กั๊ก วิธีสต๊อคนมแม่ พร้อมส่งนมข้ามจังหวัดฟรี!

Alternative Textaccount_circle
event
วิธีสต๊อคนมแม่
วิธีสต๊อคนมแม่

วิธีสต๊อคนมแม่ เรื่องสำคัญสำหรับคุณแม่ที่มุ่งมั่นเลี้ยงลูกด้วยนมแม่100% รู้ไหม?สต๊อคแล้วส่งฟรีได้เมื่อกรมอนามัยหนุนจับมือบริษัทขนส่ง ส่งนมแม่ให้ฟรี!

บอกหมดไม่กั๊ก วิธีสต๊อคนมแม่ พร้อมส่งนมข้ามจังหวัดฟรี!

กรมอนามัย จับมือภาคีเครือข่าย MOU “ร่วมใจส่งรักส่งนมจากอกแม่สู่ลูก” หนุนแม่มือใหม่ส่งนมข้ามจังหวัด ช่วยลูกไม่พลาดนมแม่

​เมื่อวันที่ 27 ม.ค. 2565 ที่กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ“โครงการภาคีร่วมใจส่งรักส่งนมจากอกแม่สู่ลูก” พร้อมด้วย พญ.ศิริพร กัญชนะ ประธาน มูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย คุณชนิดา สมานจิตร ผู้อำนวยการกองสื่อสารองค์กรและการตลาด ผู้แทนบริษัท ขนส่ง จำกัด คุณยอดพจน์ วงศ์รักมิตร ประธานกรรมการบริษัท นครชัยแอร์ จำกัด คุณธีลฎี พันธุมจินดา ผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรบุคคล ผู้แทนบบริษัท ไทยแอร์เอเชีย จำกัด และคุณกฤษดา อารัมภวิโรจน์ กรรมการผู้จัดการบริษัท เอเวอรี่เดย์ ด๊อกเตอร์ จำกัด

รณรงค์ดื่มนมแม่ ลดการใช้นมผง
รณรงค์ดื่มนมแม่ ลดการใช้นมผง

นพ.สุวรรณชัย กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายที่จะส่งเสริม สนับสนุนและปกป้องให้เด็กทุกคนได้กินนมแม่อย่างเต็มที่ ตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก คือ กินนมแม่ตั้งแต่ 1 ชั่วโมงแรกหลังคลอด กินนมแม่เพียงอย่างเดียวในช่วง 6 เดือนแรกของชีวิต และกินนมแม่ต่อเนื่องควบคู่อาหารตามวัยจนถึงอายุ 2 ปี หรือนานกว่านั้น โดยกระทรวงสาธารณสุขตั้งเป้าหมายไว้ว่า ในปี 2568 ทารกร้อยละ 50 จะได้กินนมแม่อย่างเดียวถึง 6 เดือน ซึ่งสอดคล้องตามเป้าหมายของทุกประเทศทั่วโลก

แม้อยู่กันคนละจังหวัด ก็สามารถให้ลูกกินนมแม่ได้ต่อเนื่อง!!

การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ “โครงการภาคีร่วมใจส่งรักส่งนมจากอกแม่สู่ลูก” ระหว่างกระทรวงสาธารณสุข โดยกรมอนามัย ร่วมกับมูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย บริษัท ขนส่ง จำกัด  บริษัท นครชัยแอร์ จำกัด  บริษัท ไทยแอร์เอเชีย จำกัด  และบริษัท เอเวอรี่เดย์ ด๊อกเตอร์ จำกัด ในครั้งนี้ จะสนับสนุนให้แม่ที่ทำงานต่างจังหวัดสามารถส่งนมแม่ข้ามจังหวัดได้ โดยไม่มีภาระ ถือเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมสนับสนุนให้แม่ที่ทำงานนอกบ้าน หรือแม่ที่ทำงานต่างจังหวัดที่ต้องการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ยังคงสามารถให้ลูกได้กินนมแม่ อย่างต่อเนื่องเท่าที่ต้องการ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่นอกจากเป็นการส่งต่อภูมิคุ้มกันทางธรรมชาติให้ลูกน้อยแล้ว ยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย เพราะนมแม่สามารถผลิตได้เองโดยธรรมชาติ โดยไม่ต้องเดินทางออกนอกบ้านเพื่อไปหาซื้อ สามารถให้ลูกกินได้ ทุกที่ ทุกเวลา

วิธีสตีอคนมแม่ ให้ลูกมีกินแม้แม่อยู่ไกล
วิธีสตีอคนมแม่ ให้ลูกมีกินแม้แม่อยู่ไกล

นมแม่กับเด็กไทย

นพ.สุวรรณชัย กล่าวว่า จากการสำรวจสถานการณ์เด็กและสตรีในประเทศไทย ปี 2562 โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติร่วมกับองค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ พบว่า

  • ทารกไทยเพียงร้อยละ 34 ได้กินนมแม่ภายใน 1 ชั่วโมงแรกหลังคลอด
  • มีเพียงร้อยละ 14 ที่ได้กินนมแม่อย่างเดียวในช่วง 6 เดือนแรกของชีวิต
  • ทารกเพียงร้อยละ 15 ที่ได้กินนมแม่ต่อเนื่องถึง 2 ปี

ดังนั้น จึงเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วนที่ทุกคนในสังคม ต้องร่วมมือกันอย่างจริงจัง สนับสนุนและปกป้องให้เด็กไทยทุกคนได้กินนมแม่ตามสิทธิของเด็ก ขณะเดียวกันแม่ที่ต้องออกไปทำงานนอกบ้านยังคงสามารถเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้อย่างต่อเนื่อง เพราะนมแม่เป็นอาหารที่ดีที่สุดสำหรับลูก เนื่องจากมีสารอาหารมากกว่า 200 ชนิด และเหมาะสมที่สุดสำหรับเด็กเล็กทุกช่วงวัย นมแม่จึงเปรียบเสมือนวัคซีนในการป้องกันโรค ตั้งแต่หยดแรก เพราะในน้ำนมแม่มีภูมิคุ้มกันโรค ที่ไม่สามารถหาได้จากอาหารอื่น และยังส่งผลดีต่อพัฒนาการทางกาย สติปัญญา อารมณ์ และสังคม

ส่งนมแม่ข้ามจังหวัด ๆ ฟรี!!

อธิบดีกรมอนามัย กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ นับตั้งแต่ ปี 2563-2564 ที่เริ่มมีการดำเนินงานร่วมกับภาคีเครือข่ายในการให้บริการขนส่งนมแม่ฟรี มีผู้เข้าร่วมโครงการฯ จำนวน 3,690 ราย และเพื่อเป็นการสนับสนุนให้แม่ที่ต้องทำงานนอกบ้าน ยังคงสามารถเลี้ยงลูก ด้วยนมแม่ได้ จึงได้จัดโครงการต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 3 ปี โดยจะสิ้นสุดในปี 2567 เป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายในการขนส่งนม และยังช่วยชะลอการเริ่มเลี้ยงลูกด้วยนมผงได้อีกด้วย ซึ่งในการลงนามในครั้งนี้ ทางมูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย ได้จัดทำคำแนะนำขั้นตอนการเก็บนมแช่แข็ง การบรรจุนมเพื่อขนส่ง รวมทั้งบริษัท ขนส่ง จำกัด บริษัท นครชัยแอร์ จำกัด บริษัท ไทยแอร์เอเชีย จำกัด ดำเนินงานแจ้งเส้นทางการขนส่ง จุดรับ – ส่งนมเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้บริการ และให้ความอนุเคราะห์โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายทุกเส้นทางที่บริษัทให้บริการ ยกเว้นการให้บริการระหว่างประเทศ และบริษัท เอเวอรี่เดย์ ด๊อกเตอร์ จำกัด ที่ช่วยดำเนินงานดูแลและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกับระบบ Line@

วิธีสต๊อคนมแม่ เก็บนมแม่ เพื่อนำส่งข้ามจังหวัด
วิธีสต๊อคนมแม่ เก็บนมแม่ เพื่อนำส่งข้ามจังหวัด

พญ.ศิริพร กัญชนะ ประธานมูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย กล่าวว่า การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสอันดีที่สนับสนุนให้ลูกได้กินนมแม่อย่างเดียว 6 เดือน ไม่ว่าจะเป็นการขนส่งน้ำนมฟรี การสนับสนุนให้มีการลาคลอด เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ นับเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยให้แม่สามารถเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้ โดยเฉพาะในช่วงโควิด-19 นี้ แม่ที่ฉีดวัคซีนสามารถส่งต่อภูมิคุ้มกันสู่ลูกโดยผ่านน้ำนมได้

ขั้นตอนการส่งนมแม่ฟรี กับนครชัยแอร์

1. ลงทะเบียนร่วมโครงการ ผ่าน Line Official ของโครงการได้ที่ Line : @anamaimilk

2. สร้างใบปะหน้ากล่อง ก่อนส่งน้ำนมทุกครั้ง โดยเข้าไปที่ Line : @anamaimilk เลือกเมนู “สร้างใบปะหน้า” พิมพ์ใบปะหน้าและติดที่กล่องโฟมที่บรรจุน้ำนมแม่ที่แพ็กไว้แล้ว

3. แพ็กน้ำนมแม่แบบแห้ง เท่านั้น พร้อมบรรจุในกล่องโฟมตามมาตรฐานกรมอนามัย

4. นำส่งน้ำนมแม่ได้ทุกเส้นทางเดินรถ ของนครชัยแอร์ โดยแจ้งพนักงานก่อนส่งทุกครั้ง ว่าต้องการส่งน้ำนมแม่ฟรี (โดยผู้ส่งต้องเปิดกล่องให้พนักงานตรวจสอบทุกครั้งก่อนส่ง)

5. สามารถส่งและรับได้ที่ สถานีเดินรถนครชัยแอร์ ทุกสาขา บริการส่งน้ำนมแม่ยังไม่ครอบคลุมส่งถึงบ้าน กรุงเทพฯ สามารถส่งน้ำนมแม่ได้ที่ นครชัยแอร์ (สำนักงานใหญ่) ถ.วิภาวดีรังสิต เท่านั้น

***สงวนสิทธิ์เฉพาะผู้ลงทะเบียนกับกรมอนามัยและปฏิบัติตามเงื่อนไขการจัดส่งของบริษัทฯ เท่านั้น

ส่งนมแม่ข้ามจังหวัดฟรี กับนครชัยแอร์
ส่งนมแม่ข้ามจังหวัดฟรี กับนครชัยแอร์

วิธีสต๊อคนมแม่ ไม่เหม็นหืน ประโยชน์อยู่ครบ!!

สูตรในการปั๊มนม คุณแม่สามารถเลือกได้ตามความสะดวก

  • สูตรที่ 1 : ปั๊มทันทีหลังลูกดูดไปแล้ว 10-15 นาที
  • สูตรที่ 2 : ปั๊มนมระหว่างมื้อนม ให้ปั๊มนมหลังจากเข้าเต้าไปแล้วประมาณ 1 ชั่วโมง โดยปั๊มพร้อมกันทั้ง 2 เต้า นาน 10-15 นาที

วิธีเก็บนมสต๊อกให้ลูก ต้องปั๊มนมอย่างไร?

  1. ควรเลือกเครื่องปั๊มนมชนิดที่ปั๊มนมพร้อมกันทั้ง 2 ข้าง เพราะการปั๊มทีละข้างจะต้องใช้เวลานานเป็น 2 เท่า
  2. เลือกขนาดกรวยครอบ (breastsheild/fange) ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางของอุโมงค์กรวย (tunnel) พอดีกับเส้นผ่านศูนย์กลางฐานนมเมื่อขยายเต็มที่จากการปั๊ม
  3. ระยะแรกหลังคลอด ควรปั๊มนมให้ได้ 8- 10 มื้อต่อวัน โดยปั๊มนมนานครั้งละ 15-20 นาที
  4. ระยะ 2-3 เดือนแรกหลังคลอด ควรปั๊มอย่างน้อยทุก 5-6 ชั่วโมง โดยกลางคืนควรปั๊มอย่างน้อย 1 ครั้ง

นมแม่เก็บที่อุณหภูมิต่างๆ ได้นานแค่ไหน?

  • อุณหภูมิห้อง > 25 องศาเซลเซียส  เก็บได้นาน 1 ชั่วโมง
  • อุณหภูมิห้อง < 25 องศาเซลเซียส  เก็บได้นาน 4 ชั่วโมง
  • กระติกน้ำแข็ง  อุณหภูมิ <15 องศาเซลเซียส  เก็บได้นาน 24 ชั่วโมง
  • ตู้เย็นช่องธรรมดา อุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียส   เก็บได้นาน 4 วัน (96 ชั่วโมง)
  • ตู้เย็นช่องแช่แข็งแบบประตูเดียว   เก็บได้นาน 2 สัปดาห์
  • ตู้เย็นช่องแช่แข็งแบบประตูแยก   เก็บได้นาน 3 เดือน
  • ตู้เแช่แข็งแบบประตูแบบ deep freezer อุณหภูมิ -19 องศาเซลเซียส  เก็บได้นาน 6 เดือน

    วิธีสตีอคนมแม่ เก็บรักษาไม่ให้เหม็นหืน
    วิธีสตีอคนมแม่ เก็บรักษาไม่ให้เหม็นหืน

เก็บนมแม่ในช่องแช่แข็งอย่างไร ให้เหม็นหืนน้อยที่สุด ?

  1. อุปกรณ์ที่ใช้ปั๊มน้ำนม และภาชนะที่เก็บน้ำนมต้องสะอาด ปลอดเชื้อ
  2. ควรรีดอากาศออกจากถุงเก็บน้ำนมให้มากที่สุดก่อนเก็บ และรีบนำนมเข้าช่องแช่แข็ง
  3. ในกรณีที่เก็บนมแม่ในถุงพลาสติกแล้วมีกลิ่มเหม็นหืนมาก อาจเปลี่ยนเป็นภาชนะเก็บน้ำนมเป็นภาชนะที่ทำจากแก้วแทน
  4. ไม่ควรจัดเก็บน้ำนมแม่รวมกับอาหารอื่น
  5. ไม่ควรเรียงนมแม่ชิดผนังของช่องแข็งที่มีระบบละลายน้ำแข็งอัตโนมัติ
  6. สำหรับกรณีที่คุณแม่พยายามดูแลการเก็บน้ำนมอย่างเต็มที่แล้ว แต่นมแม่ยังมีกลื่นเหม็นหืนมาก และทารกไม่ยอมกิน ควรปรับปั๊มกินวันต่อวัน หรือเก็บในช่องเย็นธรรมดา ร่วมกับพิจารณาต้มน้ำนมที่เก็บใหม่ที่อุณหภูมิ 82 องศาเซลเซียส โดยดูได้จากเริ่มเห็นฟองเล็กๆ ผุดขึ้นในหม้อ จากนั้นให้ดับไฟ รอจนนมเย็นขึ้น แล้วจึงนำไปแช่แข็ง ซึ่งการต้มนมด้วยวิธีนี้จะช่วยยับยั้งการทำงานของไลเปสในน้ำนม ทำให้ลดการเหม็นหืนได้ดี อย่างไรก็ตามการต้มจะทำให้น้ำนมเสียภูมิคุ้มกัน และสารอาหารบางส่วนไป
ข้อมูลอ้างอิงจาก www.hfocus.org/ www2.nakhonchaiair.com/vichaivej-omnoi.com /www.thansettakij.com

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

Stock milk เคล็ดลับการจัดเก็บสต็อกนมแม่

น้ำผึ้ง ป้อนทารก ระวังอันตราย!จากภาวะโบทูลิซึม

แม่ท้องกินอะไรได้บ้าง? เมนูอาหารแม่ท้อง 1-3 เดือน เติมคุณค่าอาหารให้แม่และลูกแข็งแรง

ปั๊มนม อย่างไรให้ถูกต้อง ปั๊มถูกวิธีมีดีกว่าที่คิด!!

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

รถรับ-ส่งนักเรียน

กรมควบคุมโรคแนะการป้องกันอุบัติเหตุกับ รถรับ-ส่งนักเรียน

Alternative Textaccount_circle
event
รถรับ-ส่งนักเรียน
รถรับ-ส่งนักเรียน

กรมควบคุมโรคแนะการป้องกันอุบัติเหตุกับ รถรับ-ส่งนักเรียน

กรมควบคุมโรค ขอความร่วมมือประชาชนตรวจสอบสภาพรถยนต์ ความพร้อมของร่างกาย ก่อนการขับขี่ยานยนต์ และปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด พร้อมแนะนำการป้องกันอุบัติเหตุทางถนน สำหรับ รถรับ-ส่งนักเรียน เพื่อลดการบาดเจ็บ และเสียชีวิตของเยาวชน

สถิติอุบัติเหตุทางถนน

ข้อมูลจากศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน ตั้งแต่เดือนมกราคม – มิถุนายน 2565 พบการเกิดอุบัติเหตุรถรับ-ส่งนักเรียนรวมทั้งสิ้น 16 ครั้ง มีนักเรียนบาดเจ็บไปแล้ว มากกว่า 165 ราย ข้อมูลสถิติย้อนหลัง 5 ปี จะมีเหตุการณ์ เฉลี่ย 2 ครั้งต่อ 1 เดือน หรือ 1 ปีจะมีอุบัติเหตุประมาณ 30 ครั้ง แต่สถานการณ์ในปัจจุบัน เป็นเรื่องที่น่ากังวลอย่างยิ่ง ที่พบว่าในช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน 2565 พบการเกิดอุบัติเหตุมากถึง 13 ครั้ง ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเปิดเรียนหลังจากปิดโรงเรียนมาเป็นเวลานานกว่า 2 ปี

คำแนะนำสำหรับการป้องกันการเกิดอุบัติเหตุทางถนนที่เกิดกับ รถรับ-ส่งนักเรียน

มีดังนี้

1) เลือกใช้บริการรถที่ได้มาตรฐาน ตามกรมการขนส่งทางบกกำหนด เช่น ที่นั่งโดยสารต้องยึดแน่น อย่างมั่นคงแข็งแรง ห้ามนักเรียนยืนโดยสาร รถทุกคันต้องติดแผ่นป้ายพื้นสีส้ม มีข้อความตัวอักษรสีดำ “รถโรงเรียน” ติดอยู่ด้านหน้าและท้ายรถ มีไฟสัญญาณสีเหลืองอำพันหรือไฟสีแดง เปิด – ปิด เป็นระยะ มีเครื่องมือจำเป็นกรณีฉุกเฉินติดตั้งในรถ เช่น เครื่องดับเพลิง ค้อนทุบกระจก และมีผู้ดูแลนักเรียนประจำอยู่ในรถตลอดเวลา

2) รถที่นำมาใช้ต้องได้รับการตรวจสภาพรถและซ่อมบำรุงรักษา ให้ได้มาตรฐานสม่ำเสมอตามระยะเวลาที่กำหนดหรือตรวจสภาพรถทันทีเมื่อพบว่าสภาพรถมีปัญหา

3) ไม่ใช้รถ รับ -ส่ง นักเรียน ที่ดัดแปลงสภาพ หรือกลุ่มรถกระบะต่อเติมหลังคา

4) ห้ามบรรทุกนักเรียนเกินกว่าจำนวนที่นั่งบนรถ

5) มีการตรวจสอบชื่อเด็กนักเรียนขณะขึ้น-ลง และอย่าปล่อยเด็กขึ้นลงรถโดยลำพังเด็ดขาด

6) ต้องมีหนังสือรับรองจากโรงเรียนหรือสถานศึกษาให้รับ-ส่งนักเรียน

7) ผู้ขับขี่ต้องได้รับใบอนุญาตขับรถส่วนบุคคลมาแล้ว ไม่น้อยกว่า 3 ปี หรือได้รับใบอนุญาตขับรถสาธารณะ และผู้ขับขี่ต้องปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด ไม่ขับรถเร็ว ไม่ดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ หรือใช้ยา หรือสารที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท คาดเข็มขัดนิรภัยทุกครั้ง

รถรับ-ส่งนักเรียน
กรมควบคุมโรคแนะการป้องกันอุบัติเหตุกับ รถรับ-ส่งนักเรียน

อุบัติเหตุ จากการใช้รถใช้ถนน ที่ต้องระวัง!

1. กรณีโดยสารรถจักรยานยนต์

ความจริงแล้ว เราไม่ควรให้เด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี โดยสารรถจักรยานยนต์ เพราะเด็กมีโอกาสเสี่ยงสูงที่จะได้รับบาดเจ็บรุนแรง และมีผลกระทบต่อร่างกายตลอดทั้งชีวิต แต่หากมีความจำเป็นจริงๆ

  • ควรใช้เป้ หรือถุงจิงโจ้ ที่สามารถรองรับน้ำหนักเด็กได้อย่างปลอดภัย
  • พร้อมใช้มือประคองลำตัวเด็ก (กรณีคนซ้อนท้าย)
  • แต่ต้องระวังไม่ให้ชายผ้าเกี่ยวเข้าไปซี่ล้อรถ

ผู้โดยสารที่เป็นเด็กอายุ 3-5 ปี  เมื่อต้องโดยสารรถจักรยานยนต์

  • ควรอยู่ในความดูแลอย่างใกล้ชิดจากผู้ใหญ่
  • ควรให้เด็กสวมหมวกนิรภัยที่มีขนาดพอดีกับศีรษะ
  • และคาดสายรัดคางให้กระชับเสมอ
  • นอกจากนี้ กรณีเดินทางด้วยรถจักรยานยนต์เพียงสองคนกับเด็ก ควรให้เด็กนั่งอยู่หน้าผู้ใหญ่ ที่ด้านหน้าของผู้ขับขี่เท่านั้น

มีการเปิดเผยสถิติ พบว่าเด็กไทยประมาณ 1 ล้าน 3 แสนคน ที่เดินทางด้วยรถจักรยานยนต์ แต่มีเพียงร้อยละ 7 เท่านั้นที่สวมหมวกนิรภัยขณะโดยสารรถจักรยานยนต์   ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เด็กได้รับอันตรายถึงขั้นเสียชีวิต และบาดเจ็บ

ทั้งนี้ งานวิจัยโดยศูนย์วิจัยอุบัติเหตุแห่งประเทศไทย และสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย ระบุว่า การสวมหมวกกันน็อกช่วยลดโอกาสการเสียชีวิตเนื่องจากการบาดเจ็บที่ศีรษะในผู้ขับขี่ได้ 43 % และผู้ซ้อนท้าย 58%

2. กรณีโดยสารรถยนต์ 

ทุกครั้งที่ต้องพาลูกเดินทางโดยรถยนต์

  • คุณพ่อคุณแม่ ควรจัดหาที่นั่งนิรภัยที่มีขนาดเหมาะสมกับวัย รูปร่าง และส่วนสูงของลูก โดยยึดติดไว้บริเวณเบาะด้านหลังรถ และคาดสายรัดที่นั่งนิรภัยให้กระชับตัวลูก
  • หากไม่มีที่นั่งนิรภัย ควรให้ลูกนั่งบริเวณเบาะหลังรถค่อนไปด้านใดด้านหนึ่ง

ที่สำคัญ ไม่ควรให้ลูกนั่งด้านหน้าข้างคนขับ เพียงลำพังโดยไม่มีอุปกรณ์นิรภัย และ ห้ามให้ลูกนั่งตักขณะขับรถ ตลอดจนไม่ควรให้ลูกคาดเข็มขัดนิรภัยเส้นเดียวกับผู้ใหญ่ เพราะหากประสบอุบัติเหตุเด็กจะได้รับบาดเจ็บรุนแรง

 

สำหรับ เด็กอายุ 6 ขวบขึ้นไป พ่อแม่สามารถสอนทักษะความปลอดภัยให้เขา เพื่อปลูกฝังให้ลูกรู้จักทักษะการระมัดระวังอุบัติเหตุ ด้วยตัวเอง เช่น ต้องไม่วิ่งเล่นบนถนนที่มีรถวิ่งไปมา ต้องข้ามถนนตรงทางที่กำหนดไว้ เวลานั่งรถจักรยานยนต์รับจ้าง ต้องใส่หมวกนิรภัย หรือ นั่งรถยนต์ต้องคาดเข็มขัดนิรภัย ต้องสอนให้เด็กเข้าใจเหตุผล และสามารถปฏิบัติได้ หากเราไม่สอนหรือทำตัวอย่างไม่ดี ลูกก็จะไม่ปฏิบัติตามค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก

กรุงเทพธุรกิจ 

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 อ่านต่อบทวามดี ๆ คลิก

อุทาหรณ์ อุบัติเหตุในเด็กเล็ก พร้อม 6 วิธี ลดเสี่ยงเกิดเหตุ

10 วิธีป้องกันอุบัติเหตุในบ้าน สำหรับเด็กเล็ก

อุทาหรณ์ เด็กจมน้ำ อุบัติเหตุอันดับต้น ๆ ที่เกิดกับลูกหลาน

โรคเดอร์มอยด์ซีสต์

ไม่ใช่คุณไสยฯ!ก้อนเส้นผมในรังไข่เป็น โรคเดอร์มอยด์ซีสต์

Alternative Textaccount_circle
event
โรคเดอร์มอยด์ซีสต์
โรคเดอร์มอยด์ซีสต์

ไม่ใช่คุณไสยฯ!ก้อนเส้นผมในรังไข่เป็น โรคเดอร์มอยด์ซีสต์

คุณแม่ ๆ แทบทุกคนน่าจะเคยได้ยินถึง โรคซีสต์ หรือ ถุงน้ำที่รังไข่ แต่หลายคนอาจไม่คุ้นเคยกับ โรคเดอร์มอยด์ซีสต์ (Dermoid Cyst) ที่เกิดจากเซลล์ที่มีความสามารถพัฒนาไปเป็นเซลล์ชนิดต่าง ๆ มาอยู่ที่บริเวณรังไข่ตั้งแต่แรกเกิด แล้วพัฒนา หรือถูกกระตุ้นด้วยปัจจัยบางอย่าง ให้เจริญไปเป็นเซลล์ไขมัน เส้นผม กระดูกอ่อน หรือฟัน จนเกิดเป็นถุงน้ำที่รังไข่ ที่เหมือนจะเป็นคุณไสยฯ แต่ไม่ใช่นะคะ โรคนี้เป็นอย่างไร คุณแม่ต้องระวังแค่ไหน มาติดตามกันค่ะ

ชนิดของซีสต์รังไข่

ซีสต์รังไข่มีหลายชนิดและพบบ่อยในช่วงวัยตั้งแต่ 15 – 49 ปี ที่ควรรู้จักไว้มี 5 ชนิด คือ

  1. ซีสต์ที่เกิดขึ้นในระหว่างการตกไข่ (Functional Cyst) พบได้บ่อยที่สุดในผู้หญิง
  2. ภาวะที่รังไข่มีถุงน้ำจำนวนมาก (Polycystic Ovaries) เกิดจากการที่ถุงไข่ (Follicle) ที่มีหน้าที่สร้างไข่ เปิดออกไม่ได้จนทำให้ซีสต์ก่อตัวขึ้น
  3. โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis) หากเป็นโรคนี้เนื้อเยื่อจากเยื่อบุโพรงมดลูกจะไปเจริญขึ้นในบริเวณอื่นของร่างกายรวมถึงรังไข่ ทำให้ปวดรุนแรงและส่งผลต่อการมีบุตร
  4. ซีสต์ที่เซลล์บนพื้นผิวรังไข่ (Cystadenomas) ซีสต์ชนิดนี้ส่วนมากจะมีของเหลวอยู่ด้านใน
  5. ซีสต์ที่ภายในมีเนื้อเยื่อลักษณะเหมือนกับเนื้อเยื่อส่วนอื่นๆ ของร่างกาย (Dermoid Cysts) เช่น เนื้อเยื่อผิวหนัง ผม ฟัน

อาการของ โรคเดอร์มอยด์ซีสต์

  • อาการปวดหน่วงๆ ในท้องน้อย หรือ อุ้งเชิงกราน
  • คลำพบก้อนได้ในท้องน้อย
  • ปวดท้องเฉียบพลัน ที่เกิดจากการมีภาวะแทรกซ้อน บิดขั้ว , แตก หรือเกิดการติดเชื้อ
  • มักไม่มีอาการใด ๆ ไม่มีประจำเดือนผิดปกติ แต่สามารถตรวจพบได้ โดยการตรวจสุขภาพประจำปี
    ด้วยการตรวจอัลตราซาวด์
โรคเดอร์มอยด์ซีสต์
ไม่ใช่คุณไสยฯ!ก้อนเส้นผมในรังไข่เป็น โรคเดอร์มอยด์ซีสต์

ขอบคุณภาพจาก โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย

ภาวะแทรกซ้อน

ภาวะแทรกซ้อนของโรคถุงน้ำเดอร์มอยด์ ได้แก่

  • บิดขั้ว (Torsion) เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้มากที่สุด ในโรคถุงน้ำเดอร์มอยด์ (Dermoid Cyst) คนไข้จะมีอาการปวดบริเวณท้องน้อยด้านซ้าย หรือขวา กดเจ็บบริเวณท้องน้อย คลื่นไส้ อาเจียน หรืออาจมีไข้ต่ำ ๆ ได้ ถ้าไม่ได้รับการรักษาโดยการผ่าตัดฉุกเฉิน จะทำให้รังไข่ข้างนั้น ๆ ขาดเลือดไปเลี้ยงเป็นเวลานาน ส่งผลให้รังไข่เน่า ทำให้จำเป็นต้องตัดรังไข่ข้างนั้นทิ้งในที่สุด
  • แตกหรือรั่ว (Rupture or Leakage) เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้กับโรคถุงน้ำรังไข่ทุกชนิด รวมทั้งโรคถุงน้ำเดอร์มอยด์ คนไข้จะมีอาการปวดท้องน้อยฉับพลัน และปวดตลอดเวลา ซึ่งถ้ามีเลือดออกในช่องท้องจำนวนมาก จะทำให้เกิดภาวะช็อกได้
  • ติดเชื้อ (Infection) เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้ไม่บ่อยนัก แต่ก็ทำให้เกิดอาการรุนแรงได้ คนไข้จะมีอาการไข้สูง ร่วมกับการปวดท้องน้อยที่รุนแรง
  • มะเร็ง (Cancer) ถุงน้ำรังไข่ชนิดนี้แม้ส่วนใหญ่จะไม่ใช่มะเร็ง แต่ก็มีโอกาสเป็นมะเร็งได้ประมาณ 1% โดยไม่จำเป็นต้องพบในคนอายุมากเท่านั้น เป็นมะเร็งที่พบในคนอายุน้อยได้ ซึ่งวิธีการตรวจให้ทราบได้นั้น คือการผ่าตัดเท่านั้น การอัลตราซาวนด์บอกได้เพียงว่ามีถุงน้ำที่รังไข่ แต่ไม่สามารถบอกได้ว่ามีเซลล์มะเร็งหรือไม่

วิธีการรักษา

โรคถุงน้ำเดอร์มอยด์ เป็นโรคที่ต้องรักษาด้วยการผ่าตัดเท่านั้น ไม่สามารถทำให้เล็กลงด้วยยา หรือฮอร์โมน ซึ่งต่างจากช็อกโกแลตซีสต์

  • ผ่าตัดเลาะเฉพาะถุงน้ำ (Ovarian Cystectomy) โดยจะทำในกรณีที่ยังไม่มีรังไข่เน่า จากภาวะแทรกซ้อนจากรังไข่บิดขั้ว และถุงน้ำมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก ดังนั้นการตรวจพบถุงน้ำรังไข่ก่อนที่จะมีขนาดใหญ่จนเกิดภาวะแทรกซ้อน จึงเป็นการดีที่สุด เพราะการผ่าตัดในขณะที่ขนาดถุงน้ำรังไข่มีขนาดเล็กนั้นทำได้ง่ายกว่า และสูญเสียเนื้อรังไข่น้อยกว่า ส่งผลดีในกรณีที่คนไข้อายุยังน้อย และมีความต้องการมีบุตรในอนาคต
  • ผ่าตัดรังไข่ข้างนั้น ๆ (Unilateral Oophorectomy) จะทำในกรณีที่มีภาวะรังไข่เน่า จากการที่รังไข่บิดขั้ว ทำให้รังไข่ขาดเลือดไปเลี้ยงเป็นเวลานานจนรังไข่เน่า กรณีที่ถุงน้ำมีขนาดใหญ่มาก ๆ ไม่มีเนื้อรังไข่ส่วนที่ดีเหลืออยู่ และรังไข่อีกข้างดูปกติดี เพราะการเหลือรังไข่ 1 ข้าง เพียงพอสำหรับการผลิตฮอร์โมนเพศหญิงได้ หรือกรณีที่อายุมาก ๆ สงสัยว่าอาจมีเซลล์มะเร็ง

การผ่าตัดถุงน้ำเดอร์มอยด์แบบไม่เปิดหน้าท้อง Advanced Minimal Invasive Surgery (MIS)

การผ่าตัดถุงน้ำเดอร์มอยด์ (Dermoid Cyst) นั้น สามารถทำได้ทั้งแบบเปิดหน้าท้อง และแบบไม่เปิดหน้าท้อง ซึ่งการผ่าตัดแบบไม่เปิดหน้าท้อง สามารถทำได้โดยการผ่าตัดผ่านกล้องแผลเล็ก โดยแพทย์เฉพาะทางด้านการผ่าตัดผ่านกล้อง ประกอบกับเครื่องมือที่ทันสมัยได้มาตรฐาน ช่วยให้การผ่าตัดง่ายขึ้น แผลผ่าตัดมีขนาดเล็กเพียง 5 – 10 มิลลิเมตร เจ็บน้อย ฟื้นตัวได้เร็ว ลดการเกิดพังผืดในช่องท้อง ภาวะแทรกซ้อนต่ำ ลดการอักเสบติดเชื้อของแผลได้เป็นอย่างดี

ขอบคุณข้อมูลจาก

PPTV HD, โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย, โรงพยาบาลกรุงเทพ

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

วิธีสังเกตอาการ ซีสต์ในรังไข่ รู้ไว้..รักษาได้ทัน ไม่อันตราย!

ให้นมลูกแล้วเจอ ก้อนที่เต้านม ควรทำอย่างไร อันตรายไหม?

เปิดบันทึก “แม่” มดลูกพิการ แต่สร้างปาฏิหาริย์ด้วย “เด็กหลอดแก้ว”

คัดกรองการได้ยิน

สปสช.ขยายสิทธิ คัดกรองการได้ยิน เด็กไทยแรกเกิดฟรี

Alternative Textaccount_circle
event
คัดกรองการได้ยิน
คัดกรองการได้ยิน

สปสช.ขยายสิทธิ คัดกรองการได้ยิน เด็กไทยแรกเกิดฟรี

บอร์ด สปสช. มีมติเห็นชอบ ดูแลเด็กที่มีภาวะบกพร่องการได้ยิน เข้าสู่การรักษา ด้วยการขยายสิทธิ คัดกรองการได้ยิน ครอบคลุมดูแลเด็กไทยแรกเกิดทุกคน ฟรี!! ค่ะคุณพ่อคุณแม่

สปสช.ขยายสิทธิ คัดกรองการได้ยิน เด็กไทยแรกเกิดฟรี

นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า การได้ยินเสียงเป็นหนึ่งใน 5 สัมผัสพื้นฐาน มีการทำงานร่วมกับระบบประสาท และสมอง เป็นจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัว โดยเฉพาะในเด็กแรกเกิดอันนำไปสู่การพัฒนาการที่ดีในทุกๆ ด้าน หากสูญเสียการได้ยินแล้วก็จะส่งผลต่อการพูดและภาษาได้ ทำให้เกิดอุปสรรคในการสื่อสารที่มีผลในการเข้าสังคม การเรียน ภาวะจิตใจ ความจำ พฤติกรรม อารมณ์และสูญเสียโอกาสทางสังคม ดังนั้น การตรวจคัดกรองการได้ยินในเด็กแรกเกิด จึงเป็นบริการทางการแพทย์ที่จำเป็น เพื่อค้นหาเด็กแรกเกิดที่มีความบกพร่องการได้ยินและนำเข้าสู่การรักษาโดยเร็ว

เพื่อครอบคลุมการดูแลเด็กแรกเกิดทุกคน ให้ได้รับบริการตรวจคัดกรองการได้ยินอย่างทั่วถึง สปสช. จึงเห็นชอบเพิ่มบริการตรวจคัดกรองการได้ยินในเด็กแรกเกิดทุกคนที่มีสัญชาติไทยเป็นสิทธิประโยชน์ในระบบบัตรทอง โดยให้เริ่มมีผลทันทีในปีงบประมาณ 2565

วิธีตรวจ คัดกรองการได้ยิน

  1. Otoacoustic Emissions(OAEs) การตรวจวัดเสียงสะท้อนจากเซลล์ขนในหูชั้นใน ตรวจการทำงานของปลายประสาทรับเสียงในหูชั้นใน ทำโดยใส่เสียงเข้าไปในหูขณะเด็กอยู่นิ่ง และวัดเสียงที่เกิดขึ้น จากการทำงานของหูชั้นใน เครื่องจะบันทึกการตอบสนองโดยอัตโนมัติ การตรวจทำง่าย ใช้เวลาน้อย ไม่เจ็บปวด สามารถทราบผลทันที และผลมีความเชื่อถือได้มากกว่า 95%
  2. Auditory Brainstem Response (ABR) การตรวจการได้ยินระดับการสมอง เพื่อวินิจฉัยความผิดปกติของการได้ยินในเด็กเล็ก ทำโดยการติดสื่อนำสัญญาณ (Electrode) เพื่อวัดคลื่นไฟฟ้าที่เกิดขึ้นในระบบประสาทหูชั้นในส่วนลึก เมื่อปล่อยเสียงเข้าไปตรวจในหู เด็กต้องหลับสนิท ใช้เวลาในการตรวจประมาณครึ่งชั่วโมง ผลมีความแม่นยำมากกว่า 98%

เด็กที่จำเป็นต้องตรวจคัดกรองการได้ยิน

ผศ.นพ.สมพร โชตินฤมล กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านทารกแรกเกิด ศูนย์ศรีพัฒน์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ให้ข้อมูลว่า ทารกทุกคนควรได้รับการตรวจคัดกรองการได้ยิน โดยเฉพาะทารกที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง ดังนี้

  •  เด็กที่มีประวัติคนในครอบครัวหูตึงตั้งแต่ยังเล็ก
  •  เด็กที่มีความผิดปกติของหน้าตา โครงหน้าที่ผิดปกติ รวมทั้งปากแหว่ง เพดานโหว่
  •  โรคทางพันธุกรรม
  •  มารดามีภาวะติดเชื้อระหว่างตั้งครรภ์ เช่น หัดเยอรมัน เริม ติดเชื้อไซโตเมคตะโสไวรัส เป็นต้น
  •  เด็กที่คลอดออกมาแล้ว น้ำหนักตัวน้อยกว่า 1,500 กรัม
  •  มีตัวเหลืองมากในระหว่างแรกคลอด จนต้องถ่ายเลือด
  •  มีภาวะขาดออกซิเจนรุนแรงตั้งแต่แรกเกิด
  •  มีภาวะติดเชื้อตั้งแต่แรกเกิด เพราะการติดเชื้อ จะไปทำลายประสาทหูชั้นใน รวมถึงการใช้ยาปฏิชีวนะบางตัวที่เด็กได้รับซ้ำ อาจไปทำลายหูชั้นในเช่นกัน
คัดกรองการได้ยิน
สปสช.ขยายสิทธิ คัดกรองการได้ยิน เด็กไทยแรกเกิดฟรี

จะรู้ได้อย่างไรว่าลูกไม่ได้ยิน

เนื่องจากความพิการทางการได้ยิน โดยส่วนใหญ่เป็นความพิการที่มองภายนอกไม่เห็น โดยทั่วไปจึงไม่พบความผิดปกติของร่างกาย ยกเว้นในบางราย ที่มีความผิดปกติของหู ใบหน้า และศีรษะ ตั้งแต่เกิดร่วมด้วย จึงต้องอาศัยการประเมินปัจจัยเสี่ยง อาการหูเสียและสังเกตการตอบสนองต่อเสียง เช่น

  1. เรียกไม่หัน
  2. ร้องไห้โวยวายเสียงดัง
  3. ดื้อมากกว่าปกติ หรือมีปัญหาพูดช้า หรือพูดไม่ชัด
  4. ไม่ทำตามคำสั่ง
  5. ดูโทรทัศน์ เล่มคอมพิวเตอร์ แล้วเปิดเสียงดังกว่าปกติ

นอกจากนี้ บางครั้งเด็กอาจมีปัญหาด้านการเรียน หรือไม่เข้าสังคม หากคุณพ่อคุณแม่ หรือญาติ สงสัยว่าเด็กอาจมีปัญหาการได้ยิน แนะนำให้พาไปพบแพทย์ เพื่อให้ได้การวินิจฉัยและรับการรักษาอย่างเหมาะสมต่อไป

การรักษาหูหนวก

การรักษาหูหนวกมีหลากหลายวิธี ขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรงของอาการ ซึ่งวิธีการรักษา ได้แก่

  • หากการสูญเสียการได้ยิน มาจากการติดเชื้อแบคทีเรีย รักษาได้ด้วยการให้ผู้ป่วยใช้ยาปฏิชีวนะ
  • การผ่าตัดจะมีความจำเป็นหากเกิดการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ หรือหากเกิดการติดเชื้อซ้ำที่ต้องสอดท่อเพื่อระบายน้ำออก รวมไปถึงการผ่าตัดเพื่อระบายของเหลว ซ่อมแซมแก้วหูที่ทะลุ หรือแก้ไขกระดูกที่เกิดปัญหา

การสูญเสียการได้ยิน ที่มีสาเหตุมาจากความเสียหายของหูชั้นใน หรือโสตประสาทจะเป็นการสูญเสียอย่างถาวร โดยวิธีที่ช่วยให้ได้ยิน และมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ ดังนี้

  • เครื่องช่วยฟัง (Hearing Aids) เป็นเครื่องที่ช่วยขยายเสียง ให้ได้ยินชัดขึ้น และช่วยให้ได้ยินง่ายขึ้น โดยผู้ป่วยต้องปรึกษากับนักตรวจการได้ยิน ถึงประโยชน์ในการใช้เครื่องช่วยฟัง หรือวิธีการใช้ และความเหมาะสมในการใช้กับผู้ป่วยแต่ละราย
  • ประสาทหูเทียม (Cochlear Implant) เป็นเครื่องมือที่จะช่วยทำงานทดแทนหูชั้นใน ส่วนที่ได้รับความเสียหาย หรือไม่ทำงาน โดยอุปกรณ์ดังกล่าว จะแปลงสัญญาณเสียงให้เป็นสัญญาณไฟฟ้า ในระดับที่ไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ แต่จะช่วยกระตุ้นเซลล์ขนภายในอวัยวะรับเสียง ให้ทำหน้าที่ได้ดีขึ้น มักจะใช้กับผู้ป่วยที่ประสาทหูเสื่อมอย่างรุนแรง เช่น หูหนวกหรือหูเกือบหนวก

 

ขอบคุณข้อมูลจาก

The Coverage, สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ, ศูนย์ศรีพัฒน์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

แม่ๆเตรียมเฮ คัดกรองมะเร็งปากมดลูก สปสช.ดูแลทุกสิทธิ์

สปสช.ให้สิทธิคัดกรอง ภาวะปัญญาอ่อน เด็กแรกเกิด

สปสช. มอบ สิทธิบัตรทอง คัดกรองดาวน์ซินโดรม

สธ.คาดพบผู้ป่วย โรคไข้มาลาเรีย จากยุงก้นปล่องเพิ่มขึ้น

Alternative Textaccount_circle
event

สธ.คาดพบผู้ป่วย โรคไข้มาลาเรีย จากยุงก้นปล่องเพิ่มขึ้น

กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เผยแพร่พยากรณ์โรคและภัยรายสัปดาห์ ระหว่างวันที่ 24-30 ก.ค. 2565 ซึ่งคาดว่าจะมีแนวโน้มผู้ป่วย โรคไข้มาลาเรีย เพิ่มขึ้น เนื่องจากประเทศไทยอยู่ในช่วงฤดูฝน ซึ่งเป็นช่วงที่เหมาะสมต่อการเจริญพันธุ์ของยุง ซึ่งเป็นพาหะนำโรค โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่ชนบทชายป่า หรือพื้นที่ที่มีแหล่งน้ำ ทำให้มีโอกาสเกิดโรค และมีผลกระทบต่อสุขภาพ และความเป็นอยู่ของประชาชนได้

สถานการณ์ โรคไข้มาลาเรีย ในไทย 2565

จากการเฝ้าระวังของกรมควบคุมโรค สถานการณ์ไข้มาลาเรียในปีนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 13 ก.ค. 2565 พบผู้ป่วย จำนวน 4,765 ราย มากกว่าจำนวนการรายงานผู้ติดเชื้อในปี 2564 ถึง 2.6 เท่า

กลุ่มอายุที่พบผู้ป่วยมากที่สุด คือ อายุ 25-44 ปี รองลงมาคือ 15-24 ปี  และอายุ 5-14 ปี ตามลำดับ จังหวัดที่พบผู้ป่วยมากที่สุด ได้แก่ ตาก 2,724 ราย  แม่ฮ่องสอน 757 ราย และกาญจนบุรี 429 ราย ตามลำดับ

นอกจากนี้ พบว่าส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเกษตรกร (ร้อยละ 48.0)  รับจ้าง (ร้อยละ 25.0) และเด็ก/นักเรียน (ร้อยละ 24.0)

ชนิดเชื้อส่วนใหญ่ คือ P.vivax (ร้อยละ 93.8) รองลงมา P.falciparum (ร้อยละ 3.0)  ทั้งนี้ ถึงแม้ว่าเชื้อ P.vivax จะเป็นเชื้อชนิดรุนแรงน้อยกว่า P.falciparum แต่ถ้าไม่ได้รักษาให้หายขาด เชื้อสามารถอยู่ในร่างกายคนได้นานหลายปี ทําให้มีอาการของโรคไข้มาลาเรียแบบเป็น ๆ หายๆ

โรคไข้มาลาเรีย
สธ.คาดพบผู้ป่วย โรคไข้มาลาเรีย จากยุงก้นปล่องเพิ่มขึ้น

โรคไข้มาลาเรีย คืออะไร

ไข้มาลาเรีย หรือมีชื่อเรียกได้อีกว่า ไข้จับสั่น ไข้ป่า ไข้ดง ไข้ร้อนเย็น ไข้ดอกสัก ไข้ป้าง มียุงก้นปล่องเป็นพาหะนำโรค ซึ่งเป็นยุงที่ออกหากินเวลากลางคืน

อาการของมาลาเรีย

อาการของมาลาเรียจะแตกต่างกันไป ระยะเวลาที่เกิดจะขึ้นอยู่กับชนิดของโปรโตซัวที่เป็นสาเหตุ โดยอาการของมาลาเรียที่พบบ่อย ได้แก่

  • มีไข้สูง หนาวสั่น
  • เหงื่อออกมาก
  • ปวดศีรษะ
  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
  • ท้องเสีย
  • ภาวะโลหิตจาง
  • อุจจาระเป็นเลือด
  • อาการหมดสติไม่รับรู้ต่อการกระตุ้นต่าง ๆ หรือโคม่า

การรักษามาลาเรีย

มาลาเรียรักษาได้ หากได้รับการวินิจฉัย และการรักษาอย่างทันท่วงที แพทย์จะรักษาด้วยการดูแลประคับประคองอาการ รวมทั้งบำบัดรักษาภาวะแทรกซ้อน และให้ยาฆ่าเชื้อมาลาเรีย (Antimalarial) ซึ่งการเลือกชนิดของยา หรือรูปแบบการให้ยา จะประกอบไปด้วยหลายปัจจัยด้วยกัน เช่น ชนิดของโปรโตซัว ความรุนแรงของอาการ อายุของผู้ป่วย การตั้งครรภ์ รวมไปถึงการดื้อยา

การป้องกันโรค

ผู้ที่อาศัยหรือต้องเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีการระบาดป้องกันตนเองจากการถูกยุงกัดได้ดังนี้

  • สวมเสื้อผ้าสีอ่อน และปกปิดร่างกายได้อย่างมิดชิด เช่น เสื้อแขนยาว และกางเกงขายาว
  • ใช้ยาที่มีสารไล่แมลงทาผิวหนัง ซึ่งสารไล่แมลงที่มีประสิทธิภาพที่สุด ได้แก่ สาร Diethyltoluamide: DEET ซึ่งมีจำหน่ายทั้งรูปแบบสเปรย์ โรลออน แบบแท่งและครีม โดยอาจต้องทาซ้ำบ่อย ๆ เพื่อการป้องกันที่มีประสิทธิภาพ ไม่ควรใช้ในเด็กเล็ก
  • นอนในมุ้ง หรือบริเวณที่ปลอดจากยุง อาจใช้มุ้งชุบยาไล่ยุง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันยุง
  • หากสงสัย หรือต้องการตรวจสอบการระบาดของมาลาเรีย โดยเฉพาะผู้ที่ต้องเดินทางไปยังพื้นที่เสี่ยง ตรวจสอบและหาข้อมูลได้จากกรมควบคุมโรค โทร. 1422 เพื่อการป้องกัน

มาลาเรียป้องกัน และ รักษาได้ ขอเพียงคุณพ่อุณแม่ระมัดระวัง ปฏิบัติตัวตามำแนะนำด้านการป้องกัน เพียงเท่านี้ก็ลดความเสี่ยงของการระบาดมายังลูกน้อยได้แล้วค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก

The Coverage, pobpad

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

10 สติ๊กเกอร์กันยุง สำหรับเด็ก ติดแน่น ปลอดภัย ไล่ยุง

รวม 15 สเปรย์กันยุง สูตรอ่อนโยนสำหรับเด็ก ฉีดกันไว้ก่อนยุงกัด ยี่ห้อไหนดี

ลูกแพ้ยุง โดนยุงกัดทีไร เป็นผื่นแพ้ยุง ทำยังไงดี?

แม่ท้องกินอะไรได้บ้าง? เมนูอาหารแม่ท้อง 1-3 เดือน เติมคุณค่าอาหารให้แม่และลูกแข็งแรง

Alternative Textaccount_circle
event

สำหรับคุณแม่มือใหม่ที่เพิ่งจะตั้งครรภ์เป็นครั้งแรก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงอายุครรภ์ 1-3 เดือนแรก อาจจะยังไม่แน่ใจในเรื่องอาหารการกินว่า คนท้องควรดูแลตัวเองอย่างไรบ้าง ลูกน้อยในครรภ์ถึงจะได้รับโภชนาการที่ดีและครบถ้วน อาหารและโภชนาการที่สำคัญที่คุณแม่ตั้งครรภ์ควรรับประทานให้เป็นประจำ ในช่วงระยะเวลาการตั้งครรภ์ ได้แก่ เน้นกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ได้แก่ ข้าวหรือแป้ง เนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้ ไขมันดี ควบคู่กับการดื่มนมรสจืด 2-3 แก้วทุกวัน เพื่อให้ได้รับสารอาหารให้ครบถ้วนเพียงพอสำหรับการเจริญเติบโตของลูกในครรภ์

อีกทั้งยังมีกลุ่มอาหารที่คนท้องควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ อาหารรสจัด อาหารหมักดอง กาแฟ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และบุหรี่ นอกจากนี้หญิงตั้งครรภ์ในแต่ละช่วงอายุครรภ์ ก็มีความต้องการสารอาหารแตกต่างกันไป โดยในช่วงอายุครรภ์ 1-3 เดือนแรก อายุครรภ์ในช่วงนี้ทารกเริ่มมีการสร้างอวัยวะ แต่ยังไม่มีการขยายขนาดของร่างกายมากนัก น้ำหนักตัวคุณแม่อาจเพิ่มขึ้นเพียง 1-2 กิโลกรัม แต่ถ้ามีอาการแพ้ท้อง ก็อาจทำให้น้ำหนักตัวลดลงไปบ้าง พลังงานสารอาหารที่ร่างกายควรได้รับในระยะนี้ใกล้เคียงกับก่อนตั้งครรภ์ ควรเน้นรับประทานอาหารกลุ่มโปรตีนจากเนื้อสัตว์ วิตามินและเกลือแร่  หากแพ้ท้องมากจนทำให้กินอาหารได้น้อย วิธีแก้ไขคือแบ่งมื้ออาหารเป็นมื้อย่อยๆ ในปริมาณน้อยลง แล้วกินให้บ่อยขึ้น

แม่ท้องกินอะไรได้บ้าง? เมนูอาหารแม่ท้อง 1-3 เดือน เติมคุณค่าอาหารให้แม่และลูกแข็งแรง

เมนูอาหารแม่ท้อง 1-3 เดือน

ในช่วงไตรมาสเดือนที่ 1-3 ของการตั้งครรภ์ คุณแม่หลายคนอาจจะมีอาการแพ้ท้อง อาการคลื่นไส้ และอาเจียน จึงทำให้ไม่สามารถรับประทานอาหารได้ ดังนั้น คุณแม่ควรเลือกเมนูอาหารอ่อน ๆ เพื่อให้คุณแม่มีพลังงานและสารอาหารส่งต่อไปยังลูกน้อย ซึ่งก็ได้แก่อาหารประเภท

  • อาหารที่มีโปรตีนและโอเมก้า 3 เช่น ปลาแซลมอน เต้าหู้ ไข่ ไก่ เนื่องจากโปรตีนจะช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ และการเจริญเติบโตของเด็กทารก ยกเว้นอาหารเนื้อสัตว์ติดมัน และอาหารทะเลบางชนิดที่มีสารพิษตกค้าง เพื่อป้องกันการติดเชื้อในทารก
  • ผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากนม หากคุณแม่ตั้งครรภ์ที่ไม่แพ้นม ก็สามารถดื่มนมในปริมาณที่เหมาะสมได้ เพราะนมจะมีทั้งโปรตีน เเคลเซียม วิตามิน และกรดโฟลิก ที่ช่วยเสริมสร้างกระดูกของทารกและคุณแม่ให้แข็งแรงควรดื่ม 2-3 แก้วต่อวัน
  • อาหารที่มีธาตุเหล็ก สำหรับเมนูคนท้องที่แนะนำให้ทาน ได้แก่ ตับ เนื้อแดง ข้าวโอ๊ต ถั่ว ลูกเดือย และข้าวกล้อง ธาตุเหล็กจะมีส่วนสำคัญในการสร้างเซลล์เม็ดเลือดในร่างกายของเด็กทารก และช่วยป้องกันภาวะโลหิตจางด้วย
  • อาหารที่มีโฟเลต จำพวกผักและผลไม้ เช่น มะเขือเทศ ส้ม บร็อกโคลี ผักโขม มันฝรั่ง รวมถึงผักใบเขียวต่างๆ ทั้งนี้อาหารที่มีโฟเลตจะมีผลต่อการพัฒนาสมอง ไขสันหลัง กระดูกสันหลังของทารกในระยะแรก

เมื่อลูกน้อยกินอาหารที่ดีตั้งแต่อยู่ในครรภ์ จะช่วยเสริมสร้างพัฒนาการให้กับลูก ด้วยโภชนาการอาหารง่ายๆ เพราะอาหารสำหรับคนท้องจะมีผลต่อร่างกายของเด็กโดยตรง คุณแม่ตั้งครรภ์จึงควรเลือกทานเมนูอาหารที่เป็นประโยชน์ตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์ และเหมาะสมตามแต่ละไตรมาสด้วย ไม่ว่าจะเป็นไตรมาสแรกจนถึงไตรมาสใกล้คลอด ก็จะทำให้ลูกน้อยได้รับสารอาหารครบถ้วนมากขึ้น พร้อมช่วยบำรุงร่างกายคุณแม่ให้แข็งเเรง ทีมแม่ ABK จึงรวบรวมเกี่ยวกับเมนูอาหารที่คุณแม่ตั้งครรภ์ควรรับประทานในช่วงอายุครรภ์ 1-3 เดือน ที่เป็นช่วงเวลาที่สำคัญของทารกในครรภ์ที่กำลังเสริมสร้างและพัฒนาร่างกาย เพื่อเป็นการบำรุงทั้งคุณแม่คุณลูกให้ได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน ดีต่อสุขภาพทั้งคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์

 

เมนูอาหารแม่ท้อง 1-3 เดือน

  1. ไข่ตุ๋นผักโขมทรงเครื่องหมูสับ

วัตถุดิบ

  • – ไข่ไก่ 3 ฟอง
  • – หมูสับ 2 ช้อนโต๊ะ
  • – ผักโขมหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ 3 ช้อนโต๊ะ
  • – แครอทหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ 2 ช้อนโต๊ะ
  • – เกลือป่น 1 ช้อนชา
  • – ซอสถั่วเหลือง 1 ช้อนโต๊ะ
  • – พริกไทยป่น 1 ช้อนชา

วิธีทำ

  • ตอกไข่ใส่ภาชนะที่สามารถนึ่งได้ เติมน้ำเปล่า หมูสับ แครอท ลงไปตีให้เข้ากัน ปรุงรสด้วย เกลือ พริกไทย ซอสถั่วเหลือง ปรุงรสตามต้องการ
  • ใส่ผักโขมลงไป ตีให้ผักโขมเข้ากับไข่
  • ใส่น้ำเปล่าในภาชนะที่เราจะนึ่ง ตั้งน้ำให้เดือดจัด แล้วเบาไฟลง ให้เป็นไฟอ่อนๆ แล้วนำไข่ที่ใส่ส่วนผสมทั้งหมดวางลงในภาชนะปิดฝาให้สนิท
  • นึ่งไปได้สัก 10 นาที นำแครอทหั่นชิ้นเล็กๆ ไปวางไว้ด้านบนไข่ตุ๋น แล้วปิดฝาให้สนิทนึ่งต่อไปอีก 20 นาที จนไข่ตุ๋นสุกพร้อมรับประทาน

เมนูอาหารแม่ท้อง 1-3 เดือน

ขอขอบคุณรูปภาพ https://www.wongnai.com/recipes/ugc/3c7a8f128c0e4c11a6fc554543ff8e9f

 

  1. บล็อกโคลี่ผัดกุ้ง

วัตถุดิบ

  • – กุ้งขาว 1 ถ้วย
  • – บล็กโคลี่ 2 ถ้วย
  • – แครอท 1/3 ถ้วย
  • – กระเทียมสับ 1 ช้อนโต๊ะ
  • – ซอสหอยนางรม 2 ช้อนโต๊ะ
  • – ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ
  • – น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
    • – น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ
    • – น้ำเปล่า 3 ถ้วย

วิธีทำ

  • เทน้ำเปล่าใส่หม้อ ตั้งไฟแรงเพื่อลวกบล็อกโคลีให้สุกก่อน จากนั้นลวกบล็อกโคลีสักครู่พอสุก แล้วตกบล็อกโคลีมาพักไว้โดยแช่ในน้ำเย็นจนหายร้อน สะเด็ดน้ำเตรียมไว้ผัดต่อไป
  • เทน้ำมันใส่กระทะ ตั้งไฟกลาง เมื่อกระทะร้อนใส่กระเทียมผัดพอหอม แล้วจึงใส่กุ้งขาวผัดพอสุก
  • ใส่บล็อกโคลีที่ลวกไว้ ปรุงรสด้วยซอสหอยนางรม ซีอิ๊วขาว น้ำตาลทราย ใส่แครอท ผัดต่อไปจนสุก พร้อมรับประทาน

เมนูอาหารแม่ท้อง 1-3 เดือน

ขอขอบคุณรูปภาพ https://pantip.com/topic/40113785

 

  1. ซุปไก่มันฝรั่ง

วัตถุดิบ

  • – ปีกบนไก่ 10-15 ชิ้น
  • – มันฝรั่ง ปอกเปลือกหั่นเต๋า 1-2 หัว
  • – แครอท ปอกเปลือกหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ 1 หัว
  • – หอมหัวใหญ่ ปอกเปลือกหั่นเต๋า 1-2 หัว
  • – มะเขือเทศลูกใหญ่ หั่นเต๋า 6 ลูก
  • – รากผักชี 1 ช้อนชา
  • – พริกไทยดำ 10-15 เม็ด
    • – ผักชี 1 ช้อนโต๊ะ
    • – เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ
    • – น้ำปลา 1-2 ช้อนโต๊ะ
    • – น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
    • – ซุปไก่ก้อน 1 ก้อน

วิธีทำ

  • ใส่น้ำลงในหม้อประมาณ 1 ลิตร นำขึ้นตั้งไฟปานกลาง
  • ใส่ซุปไก่ก้อน คนไปให้ละลาย ใส่ปีกบนไก่ รากผักชี พริกไทยดำเม็ด มันฝรั่ง และแครอทลงไปต้ม
  • ปรุงรสด้วยน้ำปลา เกลือ น้ำตาลทราย จากนั้นคนส่วนให้เข้ากัน แล้วจึงเติมมะเขือเทศและหอมหัวใหญ่ลงไปเป็นลำดับสุดท้าย ต้มจนเดือดอีกครั้งและผักสุก ตักใส่ถ้วย โรยด้วยผักชี พร้อมเสิร์ฟ

อาหารคนท้อง

ขอขอบคุณรูปภาพ https://www.wongnai.com/recipes/ugc/29e0db674a9b4d5d9fc3fd3524368954

 

  1. ตับผัดพริกหวาน

วัตถุดิบ

  • ตับหมู หั่นเป็นชิ้น 200 กรัม
  • พริกหวาน หั่นเป็นชิ้น เอา 3 สีเหลือง แดง เขียว 5 ช้อนโต๊ะ
  • หอมหัวใหญ่ซอย 2 ช้อนโต๊ะ
  • กระเทียมสับ1 ช้อนชา
  • น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ
  • ซอสถั่วเหลือง 1 ช้อนโต๊ะ
  • ซอสน้ำมันหอย 1 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำตาล 1 ช้อนชา
  • น้ำซุปหมู 5 ช้อนโต้ะ

วิธีทำ

  • นำตับหมูมาลวกในน้ำร้อน จากนั้นนำมาแช่ในน้ำเย็น
  • ตั้งกระทะน้ำมัน ใส่กระเทียมลงไปผัด ใส่หอมใหญ่ และ พริกหวาน ลงไปผัด ปรุงรสด้วย ซอสถั่วเหลือง ซอสน้ำมันหอย และ น้ำตาล
  • ใส่ตับลงไปผัด และ ตามด้วยน้ำซุป ผัดให้ส่วนผสมเข้ากัน เสิร์ฟใส่จานรับประทานได้

อาหารคนท้อง

ขอขอบคุณรูปภาพ https://cooking.kapook.com/view113582.html

 

  1. โจ๊กข้าวโอ๊ตปลากะพง

วัตถุดิบ

  • เนื้อปลากะพง 300 กรัม
  • ข้าวโอ๊ตชนิดละเอียด ½ ถ้วย
  • ฟักทองหั่นเต๋าเล็ก 3 ช้อนโต๊ะ
  • แครอทหั่นเต๋าเล็ก 3 ช้อนโต๊ะ
  • ต้นหอมซอย ½ ช้อนชา
  • ผักชีซอย ½ ช้อนชา
  • ขิงแก่ซอย 1 ช้อนโต๊ะ
  • กระเทียมเจียว 1 ช้อนชา
  • เกลือป่น 1-2 ช้อนชา
  • ซอสปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำ 3 ถ้วย

วิธีทำ

  • ตั้งหม้อ ใส่น้ำสะอาด รอจนเดือด ใส่เนื้อปลากะพงขาว เดือดอีกครั้ง
  • ใส่เครื่องปรุงรส เกลือป่น ซอสปรุงรส น้ำตาลทราย ลวกปลากะพงในน้ำซุปพอสุก จากนั้นตักขึ้นพักไว้
  • ใส่ใส่ฟักทอง แครอท ข้าวโอ๊ต ลงไปในน้ำซุปที่ต้มปลาไว้ ต้มจนข้าวโอ๊ตสุกกลายเป็นเนื้อโจ๊ก
  • ตักใส่ชาม วางเนื้อปลากะพงลงไป โรยต้นหอม ผักชี ขิง และกระเทียมเจียวพร้อมเสิร์ฟ

อาหารคนท้อง

ขอขอบคุณรูปภาพ http://www.ajinomoto.co.th/th/our-activity/our-magazines/2022

 

  1. ข้าวกล้องผัดไก่

วัตถุดิบ

  • ข้าวกล้องหุงสุก 200 กรัม
  • อกไก่หั่นชิ้น 100 กรัม
  • ไข่ไก่ 1 ฟอง
  • แครอทหั่นเต๋าเล็ก 2 ช้อนโต๊ะ
  • ต้นหอมซอย 1 ช้อนโต๊ะ
  • ซีอิ๊วขาว 2 ช้อนชา
  • ซอสปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
  • กระเทียมสับ 1 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ

  • ตั้งกระทะให้ร้อนใส่น้ำมันพืชลงไป รอน้ำมันร้อนใส่กระเทียมสับผัดให้หอม จากนั้นใส่เนื้อไก่หั่นชิ้น ผัดพอสุก แล้วตอกไข่ไก่ลงไป
  • จากนั้นใส่แครอทผัดพอสุก ใส่ข้าวกล้องหุงสุกลงไป ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว ซอสปรุงรส น้ำตาลทราย ผัดให้เข้ากัน เมื่อผัดข้าวได้แห้งแล้ว ใส่ต้นหอมลงไป ผัดต่ออีกสักครู่ พร้อมเสิร์ฟรับประทาน

อาหารคนท้อง

ขอขอบคุณรูปภาพ https://www.wongnai.com/recipes/fried-brown-rice-with-chicken

 

  1. แกงจืดเต้าหู้หมูสับ

วัตถุดิบ

  • หมูสับบด 200 กรัม
  • เต้าหู้ไข่ 270 กรัม
  • ผักกาดขาว 100 กรัม
  • สาหร่ายสำหรับทำอาหาร 50 กรัม
  • ซุปหมูก้อน 1 ก้อน
  • ซอสถั่วเหลือง2 ช้อนชา
  • น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ
  • รากผักชีบุบ 1 ช้อนชา
  • ขึ้นฉ่าย 1 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำ 1 ลิตร

วิธีทำ

  • ผสมหมูบด พริกไทยป่น ซอสถั่วเหลือง คลุกเคล้าพอเข้ากัน
  • ต้มน้ำสะอาด ใส่กระเทียม รากผักชี และซุปหมูก้อน  พอเดือด ปั้นหมูบดที่หมักไว้เป็นก้อนกลมลงต้มพอสุก คอยช้อนฟองออก
  • ปรุงรสด้วยน้ำปลา คนให้เข้ากัน ใส่ผักกาดขาว สาหร่าย เต้าหู้ไข่ โรยด้วยขึ้นฉ่าย รอให้เดือดสักครู่แล้วปิดไฟ พร้อมเสิร์ฟรับประทาน

อาหารคนท้อง

ขอขอบคุณรูปภาพ http://www.ajinomoto.co.th/th/recipe

 

  1. ดอกกุยช่ายผัดตับ

วัตถุดิบ

  • ดอกกุยช่ายสด 250 กรัม
  • ตับหมู 200 กรัม
  • น้ำซุปหมู 4 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำมันหอย 1 ช้อนโต๊ะ
  •  น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
  •  ซีอิ๊วขาว   2 ช้อนโต๊ะ
  •  น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ
  • กระเทียบทุบ 1 ช้อนชา

วิธีทำ

  • ตั้งกระทะบนเตาโดยใช้ไฟกลาง ใส่น้ำมันพืชลงไป พอน้ำมันร้อนก็ใส่กระเทียมทุบลงไปเจียวจนเหลืองหอม
  • พอกระเทียมเหลือง ก็ใส่ตับหมูลงไปผัดได้สักครู่ ให้ด้านนอกสุกแต่ด้านในยังไม่สุกมาก   ก็ใส่ดอกกุยช่ายลงไป ปรุงรสด้วยเครื่องปรุงรส สุดท้ายเติมน้ำซุปแล้วก็เร่งไฟแรงขึ้น เพื่อผัดให้หมูและดอกกุยช่ายสุกดี พร้อมเสิร์ฟรับประทาน

อาหารคนท้อง

ขอขอบคุณรูปภาพ https://www.pim.in.th/side-dish-by-pork/194-fried-flowering-chive

 

  1. ราดหน้าเต้าหู้น้ำแดง

วัตถุดิบ

  • ก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ 150 กรัม
  • ซีอิ๊วดำหวาน 1 ช้อนชา
  • เต้าหู้ถั่วเหลือง (หั่นชิ้น) 1 หลอด
  • น้ำมันพืช (สำหรับจี่เต้าหู้)
  • น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ
  • กระเทียมสับ 2 ช้อนชา
  • หอมหัวใหญ่ (หั่นเต๋า) 2 ช้อนโต๊ะ
  • ผงกะหรี่ 1 ช้อนชา
  • มะเขือเทศ (หั่นเต๋า) 2 ช้อนโต๊ะ
  • เห็ดฟาง 3 ดอก
  • เห็ดชิเมจิ 30 กรัม
  • น้ำซุปผัก 3/4 ถ้วยตวง
  • ซอสเห็ดหอม 1 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำตาลทราย 1/2 ช้อนชา
  • ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนชา
  • ซอสปรุงรส 1 ช้อนชา
  • แป้งมันสำปะหลังผสมน้ำเปล่าเล็กน้อย
  • ขึ้นฉ่าย (หั่นท่อนสั้น) 2 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ

  • คลุกเคล้าซีอิ๊วดำหวานกับก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ให้เข้ากัน ใส่ลงผัดในกระทะพอหอม ตักใส่จานเตรียมไว้
  • ตั้งกระทะใส่น้ำมันพืชเล็กน้อยพอร้อน นำเต้าหู้ถั่วเหลืองลงจี่จนสุกเหลืองตักขึ้น เติมน้ำมันพืชอีก 1 ช้อนโต๊ะ ใส่กระเทียม ลงผัดพอหอม ใส่หอมหัวใหญ่ลงผัดจนสุก ใส่ผงกะหรี่ลงผัดพอหอม
  • ใส่มะเขือเทศ เห็ดฟาง และเห็ดชิเมจิลงผัดพอสุก เติมน้ำซุปผัก ปรุงรสด้วยซอสเห็ดหอม น้ำตาลทราย ซีอิ๊วขาว และซอสปรุงรส พอเดือดเติมแป้งมันสำปะหลังคนจนสุกข้นเล็กน้อย โรยขึ้นฉ่ายลงไปคลุกเคล้าพอเข้ากัน ตักราดบนก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ที่เตรียมไว้ จัดเสิร์ฟ

อาหารคนท้อง

ขอขอบคุณรูปภาพ https://cooking.kapook.com/view139070.html

 

  1. พาสต้าครีมแซลมอน

วัตถุดิบ

  • เส้นพาสตาที่เด็กชอบต้มสุก 3 ถ้วย
  • เนื้อปลาแซลมอนหั่นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าเล็ก 200 กรัม
  • หอมหัวใหญ่สับ 1/4 ถ้วย
  • ใบไทม์สด 1 กิ่ง
  • แป้งสาลีอเนกประสงค์ 2 ช้อนโต๊ะ
  • เนยสดเค็ม 2 ช้อนโต๊ะ
  • นมสดจืด 2 ถ้วย
  • น้ำซุปปลา 1/4 ถ้วย
  • เกลือป่นและพริกไทยป่นสำหรับปรุงรสเล็กน้อย

วิธีทำ

  • ผัดเนยสดกับหอมหัวใหญ่ให้สุก ใส่แป้ง ผัดให้เข้ากัน เติมน้ำซุป ผัดให้ข้น เติมนม รอจนเดือด
  • ใส่เนื้อปลาแซลมอน ผัดเบาๆ ให้สุก ปรุงรสด้วยเกลือและพริกไทย ใส่ใบไทม์ ผัดให้เข้ากันจนข้น
  • จัดเส้นพาสตาใส่จาน ตักครีมแซลมอนราดให้ทั่ว โรยชีสพาร์เมซานขูดเล็กน้อย

อาหารคนท้อง

ขอขอบคุณรูปภาพ https://www.gourmetandcuisine.com/cooking_recipes/detail/1030

 

จะเห็นได้ว่า เมนูอาหารแม่ท้อง 1-3 เดือน จะเน้นอาหารที่มีโปรตีนเป็นองประกอบหลัก ที่สำคัญต้องครบครันด้วยวิตามันและเกลือแร่ที่จำเป็นต่อการตั้งครรภ์ จะช่วยให้คุณแม่ได้รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายพร้อมส่งต่อไปให้ลูกน้อยในครรภ์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ แม่ท้องควรรับประมานอาหารให้หลากหลายเพื่อสารอาหารครบหมู่ หากคุณแม่ท่านใดมีอาการแพ้ท้องก็สามารถเลือกรับประทานอาหารอ่อนๆ ที่ง่ายต่อการรับประทาน ก็จะช่วยให้ร่างกายของคุณแม่ไม่เหนื่อยง่าย ทีมกองบรรณาธิการขอเป็นกำลังใจให้คุณแม่ทุกท่านมีสุขภาพครรภ์ดีตลอดการตั้งครรภ์นี้นะคะ

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

อาหารเพิ่มน้ำหนักลูกในครรภ์ แพ้ท้องไตรมาสแรก กินอะไรดี?

คนท้องกินอย่างไรไม่ให้อ้วน กับ 9 วิธีคุมน้ำหนักตอนท้องให้ได้ผล

เตือนจากแม่ถึงแม่!! ลูกแพ้อาหาร เพราะแม่ท้องโด๊ปอาหารกลุ่มเสี่ยงมากเกินไป

ยาสามัญ

เช็คลิสต์ ยาสามัญ ที่ควรเตรียมพร้อมประจำบ้านไว้ให้ลูก

Alternative Textaccount_circle
event
ยาสามัญ
ยาสามัญ

เช็คลิสต์ ยาสามัญ ที่ควรเตรียมพร้อมประจำบ้านไว้ให้ลูก

เด็ก ๆ มักป่วยบ่อย ทั้งมีไข้ ปวดท้อง ปวดหัว ท้องอืด เป็นหวัด คัดจมูก ผื่นแพ้ต่าง ๆ พ่อแม่จึงควรเตรียม ยาสามัญ ประจำบ้านไว้เพื่อบรรเทาอาการเบื้องต้นให้ลูกน้อย วันนี้ทีมแม่ ABK มีลิสต์ยาที่คุณพ่อคุณแม่วรเตรียมไว้สำหรับลูกน้อยมาฝากค่ะ

ยาสามัญประจำบ้านที่ควรเตรียมไว้ให้ลูก

  1. ยาลดไข้

เป็นเรื่องปกติหากอากาศเปลี่ยนแปลง ก็อาจจะทำให้ลูกน้อยมีอาการเป็นไข้ขึ้นมาได้ โดยยาลดไข้สำหรับเด็ก จะช่วยลดอาการตัวร้อน และทำให้ไข้ลดลง ซึ่งหากเป็นเด็กเล็กส่วนใหญ่จะเป็นยาน้ำ แต่ห้ามใช้ยาลดไข้เองในเด็กแรกเกิดถึง 3 เดือน หากทารกตัวร้อนหรือไม่สบาย คุณแม่ควรพาไปพบแพทย์เพื่อตรวจและรักษาอย่างเหมาะสม

สำหรับเด็กที่อายุ 3 เดือนไปจนถึง 3 ปี ที่มีไข้ต่ำ ๆ โดยเฉพาะเด็กอายุ 3–6 เดือน ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาลดไข้โดยไม่จำเป็น โดยอาจใช้วิธีลดไข้โดยไม่ใช้ยา เช่น เช็ดตัว ดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสม พักผ่อนให้เพียงพอ

สำหรับวิธีการให้ยาก็ขึ้นอยู่กับอายุ และน้ำหนักของลูกน้อย แต่ไม่ควรให้ติดต่อกันนานเกิน 3-5 วัน หากไม่ดีขึ้นควรพบแพทย์จะดีที่สุด

2. ยาแก้ปวดท้อง

เด็กเล็ก ๆ มักมีอาการปวดท้อง เนื่องจากท้องอืด เพราะระบบกระเพาะยังทำงานได้ไม่ดีนัก ทำให้หลังกินนมอาจมีอาการท้องอืดแน่นเฟ้อ จึงควรเตรียมยาแก้ปวดท้องไว้เสมอ เช่น ยาธาตุน้ำขาว สำหรับทาน มหาหิงส์สำหรับทาที่ท้อง

การใช้ยาแก้ปวดท้องในเด็กควรเป็นดังนี้

  1. ไม่ควรใช้ยาต้านฤทธิ์มัสคารินิก ในเด็กอายุน้อยกว่า 6 ปี ควรใช้เมื่อจำเป็นตามแพทย์สั่งเท่านั้น และต้องเฝ้าระวังผลข้างเคียงที่อาจเกิดจากยา
  2. ห้ามใช้ยาไดไซโคลมีน ในเด็กอายุน้อยกว่า 6 เดือน เนื่องจากมีผลข้างเคียงรุนแรง เช่น ชัก หมดสติ กล้ามเนื้ออ่อนแรง การหายใจผิดปกติ เป็นต้น

3. ยาแก้แพ้ แก้คัน

เด็กอาจจะโดนยุง หรือแมลงกัดต่อย ทำให้เป็นตุ่มคัน แต่ยาแก้แพ้ แก้คันสำหรับเด็ก ก็ควรเลือกที่ส่วนผสมจากธรรมชาติ ปลอดภัยสำหรับเด็ก เช่น ขี้ผึ้งที่หากเด็กเอามือไปโดน ก็ไม่ทำให้เกิดอาการแสบได้ หรือคาลาไมด์โลชั่นทาผิวแก้ผื่นคัน ก็อ่อนโยนสำหรับเด็กเล็ก

สำหรับเด็กวัยที่ต้องไปโรงเรียน สามารถกินยาแก้แพ้ แก้คัน เพื่อช่วยบรรเทาอาการได้ โดยสามารถเลือกกินยาต้านฮีสตามีน กลุ่มที่ไม่ทำให้ง่วงนอน เช่น ลอราทาดีน (Loratadine), เซทิริซีน (Cetirizine), เฟโซเฟนาดีน (Fexofenadine), เลโวเซทีริซีน (Levocetirizine), เดสลอราทาดีน (Desloratadine) เป็นต้น

ยาในกลุ่มนี้สามารถรักษาอาการต่าง ๆ ได้คล้ายกับยากลุ่มดั้งเดิม คือ เยื่อบุจมูกอักเสบ เนื่องจากภูมิแพ้ เยื่อตาขาวอักเสบ เนื่องจากภูมิแพ้ที่เป็นตามฤดูกาล ผื่นลมพิษ สามารถรับประทานเพียง 1-2 ครั้งต่อวัน ขึ้นอยู่กับขนาด และชนิดของยา

ยาสามัญ
เช็คลิสต์ ยาสามัญ ที่ควรเตรียมพร้อมประจำบ้านไว้ให้ลูก

4. ยาแก้ผื่นผ้าอ้อม

เป็นอีกหนึ่งยาสามัญประจำบ้านที่ควรเตรียมไว้ ทาป้องกันไว้ทุกครั้งหลังอาบน้ำ หรือก่อนเปลี่ยนผ้าอ้อม การรักษาผื่นผ้าอ้อม ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของตัวโรค ถ้าเป็นผื่นแดงเล็กน้อย ใช้การทำความสะอาด เปลี่ยนผ้าอ้อมบ่อย ๆ และใช้ผลิตภัณฑ์เคลือบผิวอย่างเหมาะสม ก็จะดีขึ้น ถ้าผื่นดูแดงอักเสบมาก พิจารณายาทาต้านการอักเสบชนิดอ่อน ( low-potency topical steroid ) ทาวันละ 2 เวลา เช้า เย็น จะช่วยป้องกัน และลดผื่นผ้าอ้อมได้เป็นอย่างดี

5. เกลือแร่

เผื่อไว้ในกรณีที่เด็กเล็กมีอาการท้องเสีย ซึ่งปกติแล้วส่วนใหญ่หลังถ่ายท้อง จะสามารถหายเองได้ แต่ต้องเตรียมเกลือแร่ป้องกันอาการขาดน้ำ สำหรับให้เด็กจิบตลอดทั้งวัน

6. เจลร้อน – เย็น

เอาไว้สำหรับประคบเวลาเด็กหกล้ม หรือเกิดอาการฟกช้ำตามร่างกาย

7. ยาทาสำหรับคัดจมูก

ช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลง เด็กหลายคนมีอาการคัดจมูก ทำให้บางครั้งนอนหลับไม่สบาย หลังอาบน้ำสามารถทาที่หน้าอก หลัง และฝ่าเท้า หรืออาจป้ายที่เสื้อผ้าบาง ๆ จะช่วยให้ระบบหายใจดีขึ้น

ขอบคุณข้อมูลจาก
PPTV HD , pobpad, haamor, gedgoodlife, โรงพยาบาลพญาไท

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

ยา อะม็อกซี่ รักษาหวัดได้ไหม ลูกเป็นหวัดควรกินยาอะไร

ใครเก็บ ยาน้ำ ในตู้เย็นบ้าง?เลิกด่วน!ยาบางชนิดงดแช่เย็น

ยาน้ำเชื่อมฟาวิพิราเวียร์ รับยาที่ไหน ลูกควรกินเท่าไหร่?

keyboard_arrow_up