โรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง โควิด 19

โควิดปรับเป็น โรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง ติดมาต้องทำไง !!

Alternative Textaccount_circle
event
โรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง โควิด 19
โรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง โควิด 19

โรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง คืออะไร เมื่อประกาศปรับลดโควิด 19 เหลือแค่ให้เฝ้าระวัง หากติดโควิดช่วงนี้แล้วจะต้องปฎิบัติตัวอย่างไร เรามีคำตอบ

เมื่อโควิดปรับเป็น โรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง ติดมาต้องทำไง !!

โควิด 19 โรคติดต่อที่แพร่ระบาดรุนแรงในช่วงปีที่ผ่านมา ปัจจุบันมีประกาศให้ โรคโควิด 19 ปรับลดจาก “โรคติดต่อร้ายแรง” เป็น ” โรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง ” เริ่ม 1 ตุลาคม 2565 นี้ โรคทั้งสองแบบมีความแตกต่างกันอย่างไร ข้อปฎิบัติในการติดเชื้อแตกต่างกันหรือไม่ คงเป็นคำถามที่ชวนสงสัย หากเราติดเชื้อโควิดขึ้นมาในช่วงนี้ ไม่ต้องกังวล เรามีคำตอบให้คุณ

“หมอยง”ชี้ 8 เหตุผล ทำไมโควิด-19 ถึงเป็น โรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง!!

หมอยง ยก 8 เหตุผล ทำไม “โควิด-19” ถึงเป็นโรคที่ต้องเฝ้าระวัง เช่นเดียวกับ “ไข้หวัดใหญ่” พร้อมเชื่อว่าทุกอย่างจะดีขึ้นเรื่อยๆ คนส่วนใหญ่จะมีภูมิต้านทาน ยาที่ใช้รักษาก็จะดีขึ้น

ที่มา : Yong Poovorawan
ที่มา : Yong Poovorawan

วันที่ 2 ต.ค. 2565 ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความเรื่อง “โควิด-19 เป็นโรคประจำฤดูกาล หรือโรคที่ต้องเฝ้าระวัง” โดยระบุว่า เมื่อโควิด-19 เป็นโรคประจำฤดูกาล หรือโรคที่ต้องเฝ้าระวัง เช่นเดียวกับไข้หวัดใหญ่ หรือโรคทางเดินหายใจอื่นๆ อีกหลายโรค ทั้งนี้เพราะ

  1. ประชากรส่วนใหญ่มีการติดเชื้อไปแล้ว น่าจะถึง 70 เปอร์เซ็นต์ของประชากรทั้งหมด ร่วมกับการได้รับวัคซีนเป็นบางส่วน เมื่อรวมผลภูมิต้านทานที่เกิดขึ้นจากการได้รับวัคซีนและการติดเชื้อ ภูมิต้านทานที่เกิดขึ้นจะสามารถลดความรุนแรงของโรคได้ ทำให้ความรุนแรงของโรคลดลง
  2. ประชากรที่ได้รับวัคซีน ไม่ว่าจะได้กี่เข็ม ก็สามารถติดเชื้อได้ แต่ความรุนแรงลดลงเป็นที่ยอมรับได้ ต่อไปเราจะมุ่งเน้น เรื่องของการกระตุ้นด้วยวัคซีน เฉพาะในกลุ่มเสี่ยงเท่านั้น เช่นเดียวกับ “ไข้หวัดใหญ่”
  3. การระบาดของโรคนี้ จะอยู่ในรูปแบบของโรคทางเดินหายใจประจำฤดูกาล จะระบาดมากในฤดูฝนตั้งแต่เดือน มิ.ย. ถึงกลางเดือน ก.ย. แล้วก็จะลดลงเป็นประจำทุกปี และจะไประบาดเพิ่มอีกครั้งหนึ่งแต่ไม่สูงมาก ในเดือน ม.ค. ถึงเดือน มี.ค. แล้วจะเป็นวงจรเช่นนี้ทุกปี การลดลงของโรคตั้งแต่เดือน ก.ย. ถึงเดือน ธ.ค. เป็นเหตุปัจจัยปกติของโรคประจำฤดูกาล ทุกปีอยู่แล้ว เช่นเดียวกับไข้หวัดใหญ่
  4. การให้วัคซีนในอนาคต ไม่มีวัคซีนไหนเป็นวัคซีนเทพ อย่างที่เคยเรียกร้อง วัคซีนทุกตัวไม่ต่างกันเลย และวัคซีนที่ควรให้ ควรให้ก่อนฤดูฝน เพื่อป้องกันการเพิ่มขึ้นในฤดูฝน และกลุ่มเสี่ยง เป็นกลุ่มแรกที่ควรจะได้รับวัคซีนเช่นเดียวกับไข้หวัดใหญ่ วัคซีนในอนาคตไม่ว่าจะเป็น 2 สายพันธุ์ หรือ 3 สายพันธุ์ ก็เป็นเพียงแค่ลดความรุนแรงของโรคเท่านั้น ไม่ได้หวังเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
  5. ในผู้ที่ติดเชื้อและเป็นกลุ่มเสี่ยง ควรได้ยาต้านไวรัสให้เร็วที่สุดทันที ที่ตรวจเอทีเคเป็น 2 ขีด ถ้าให้เร็วจะลดระยะเวลาการดำเนินโรคลงได้ 3 วัน
  6. ผู้ที่เคยติดเชื้อมาแล้ว มีโอกาสเป็นซ้ำได้อีก เช่นเดียวกับไข้หวัดใหญ่ และในอนาคตเมื่อประชากรส่วนใหญ่มีพื้นฐานภูมิต้านทาน ความรุนแรงของโรคในกลุ่มที่มีร่างกายแข็งแรงปกติ จะน้อยลง เช่นเดียวกับไข้หวัดใหญ่
  7. ในอนาคตที่แย่งกันจองวัคซีนจากต่างประเทศ จะไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว เพราะไม่มีวัคซีนไหนเป็นวัคซีนเทพ ซึ่งขณะนี้วัคซีนที่อยู่ในประเทศไทย ก็มีเหลือเป็นจำนวนมากมาย และในที่สุดก็จะต้องหมดอายุไปตามกาลเวลา โรงงานวัคซีนหลายแห่งลดการผลิต บางแห่งก็ปิดไปก็มี
  8. การปฏิบัติตนให้แข็งแรง ป้องกันโรค ลดการแพร่กระจายโรค อย่างที่เรารู้จะช่วยลดการระบาดของโรคลง แต่ไม่สามารถที่จะทำให้โรคหมดไป และเราจะต้องอยู่ด้วยกัน ด้วยความจริง และเชื่อว่าทุกอย่างจะดีขึ้นเรื่อยๆ คนส่วนใหญ่จะมีภูมิต้านทาน ยาที่ใช้รักษาก็จะดีขึ้น โควิด-19 จะเป็นโรคทางเดินหายใจโรคหนึ่

    โรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง
    โรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง

โรคติดต่ออันตราย แตกต่างจาก โรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง อย่างไรกันนะ??

ความหมาย

  • โรคติดต่ออันตราย หมายถึง โรคติดต่อที่มีความรุนแรงสูง และสามารถแพร่ไปสู่ผู้อื่นได้อย่างรวดเร็ว ได้แก่ กาฬโรค  โรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา เป็นต้น
  • โรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง หมายถึง โรคติดต่อที่ต้องมีการติดตาม ตรวจสอบ การวิเคราะห์ข้อมูล จัดเก็บข้อมูล ตลอดจนการรายงาน และการติดตามผลของการแพร่ของโรคอย่างต่อเนื่อง ด้วยกระบวนการที่เป็นระบบเพื่อประโยชน์ในการควบคุมโรค

ระยะเวลาสังเกตอาการ

ระยะเวลาที่กำหนดให้รายงานสถานการณ์/ผู้ป่วยต้องสงสัย เปลี่ยนจากทุก 3 ชม. เป็นรายวัน หรือไม่เกิน 7 วัน

  • โรคติดต่ออันตราย ต้องรายงานให้กรมควบคุมโรคทราบทันที อย่างช้าไม่เกิน 3 ชม. ผู้สัมผัสต้องโดนกักตัว หรือคุมไว้สังเกตอาการตามระยะการฟักตัวของเชื้อ และจะมีการประกาศ “เขตติดโรค” นอกราชอาณาจักร โดย รมต.กระทรวงสาธารณสุข ทั้งนี้ หากพบผู้ป่วยต้องสงสัยแล้วไม่รายงานโรค หรือ ผู้สัมผัสไม่ให้ความร่วมมือ หรือ มีผู้ขัดขวางการปฏิบัติงาน จะมีความผิดทั้งจำและปรับ (โทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท)
  • โรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง ต้องรายงานให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทราบ โดยรายงานสัปดาห์ละ 1 ครั้ง บังคับให้ทุกโรงพยาบาล และห้อง Lab ทั้งรัฐและเอกชนมีหน้าที่รายงานสถานการณ์/ผู้ป่วยสงสัยติดเชื้อ ไม่มีมาตรการกักกันหรือคุมไว้สังเกตของผู้สัมผัส หากไม่รายงานตามหน้าที่ก็จะมีความผิด โทษปรับ 20,000 บาท

    หมั่นล้างมือ หนึ่งในมาตรการป้องกัน โรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง
    หมั่นล้างมือ หนึ่งในมาตรการป้องกัน โรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง

ขั้นตอนการแจ้งเหตุ

  • โรคติดต่ออันตราย หากพบผู้ป่วยต้องสงสัย เจ้าบ้าน แพทย์ผู้ทำการรักษา เจ้าของ หรือผู้ควบคุมสถานประกอบการ ผู้ทำการชันสูตร มีหน้าที่ต้องแจ้งต่อเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ สังกัดกรมควบคุมโรคในส่วนกลาง หรือเจ้าหน้าที่ควบคุมโรคในพื้นที่นั้นๆ โดยต้องแจ้งด้วยวิธีที่เร็วที่สุดภายใน 3 ชั่วโมง นับแต่พบผู้ที่เป็นโรคโควิด-19 หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่าเป็น
  • โรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง หากพบผู้ป่วยต้องสงสัย มีหน้าที่ต้องแจ้งต่อเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ ในสังกัด สสจ. หรือแจ้งต่อเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ สังกัดสำนักอนามัย กทม. ภายใน 7 วัน นับแต่พบผู้ที่เป็นโรคโควิด-19 หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่าเป็น โดยสามารถแจ้งได้หลากหลายช่องทาง ได้แก่
      1. แจ้งโดยตรงต่อเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ
      2. แจ้งทางโทรศัพท์
      3. แจ้งทางโทรสาร
      4. แจ้งเป็นหนังสือ
      5. แจ้งทางอีเมล
      6. แจ้งโดยวิธีการอื่นที่อธิบดีกรมควบคุมโรคกำหนดเพิ่มเติม

 

อ่านต่อ >>ข้อแนะนำการปฎิบัติตัว เมื่อติดเชื้อโควิด-19 ที่ถูกปรับเป็นโรคที่ต้องเฝ้าระวัง คลิกหน้า 2

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

แบบฝึกหัด

ดาวน์โหลดฟรี!! แบบฝึกหัด ป.1 พัฒนาทักษะวิชาต่างๆ

Alternative Textaccount_circle
event
แบบฝึกหัด
แบบฝึกหัด

แบบฝึกหัด ป.1 ใบงาน ป.1 วิชาภาษาไทย วิชาคณิตศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ วิชาสังคม วิชาพระพุทธศาสนา เสริมการเรียน ฝึกทักษะวิชาต่างๆ

ดาวน์โหลดฟรี!! แบบฝึกหัด ป.1 พัฒนาทักษะวิชาต่างๆ

การทำ แบบฝึกหัด หรือใบงาน ช่วยเสริมการเรียน ฝึกทักษะการใช้ภาษา ฝึกฝนวิชาต่างๆ นอกเหนือจากหนังสือเรียน วิชาไหนที่ลูกยังไม่ค่อยเข้าใจ คุณพ่อคุณแม่ก็สามารถนำแบบฝึกหัดมาให้เด็กฝึกทำบ่อยๆ เพื่อให้เกิดความเข้าใจ และจำบทเรียนได้ดีขึ้น ในบทความนี้ ทีมกองบรรณาธิการ ABK ได้นำข้อมูล แบบฝึกหัด ป.1 มาให้คุณพ่อคุณแม่ได้นำไปให้ลูกได้ฝึกฝนกันค่ะ

แบบฝึกหัด ป.1
                                           แบบฝึกหัด ป.1

ดาวน์โหลดฟรี!! แบบฝึกหัด ป.1 พัฒนาทักษะวิชาต่างๆ

วิชาภาษาไทย

แบบทดสอบท้ายบทเรียน ป.1 – วิชาภาษาไทย (ภาษาพาที และวรรณคดีลำนำ)

ภาษาพาที

บทที่ 1 ใบโบก ใบบัว                                     บทที่ 7 เพื่อนรักเพื่อนเล่น

บทที่ 2 ภูผา                                                   บทที่ 8 พูดเพราะ

บทที่ 3 เพื่อนกัน                                            บทที่ 9 เกือบไป

บทที่ 4 ตามหา                                               บทที่ 10 เพื่อนรู้ใจ

บทที่ 5 ไปโรงเรียน                                        บทที่ 11 ช้างน้อยน่ารัก

วรรณคดีลำนำ

บทที่ 1 เจ้าเนื้ออ่อนเอย                                 บทที่ 5 เรารักเมืองไทย

บทที่ 2 มาเล่นกันไหม                                   บทที่ 6 ตั้งไข่ล้ม ต้มไข่กิน

บทที่ 3 ของเธอ ของฉัน                                บทที่ 7 แมวเหมียว

 

ข้อสอบมาตรฐานชั้น ป.1 – วิชาภาษาไทย – หน่วยที่ 1               ข้อสอบมาตรฐานชั้น ป.1 – วิชาภาษาไทย – หน่วยที่ 9

ข้อสอบมาตรฐานชั้น ป.1 – วิชาภาษาไทย – หน่วยที่ 2               ข้อสอบมาตรฐานชั้น ป.1 – วิชาภาษาไทย – หน่วยที่ 10

ข้อสอบมาตรฐานชั้น ป.1 – วิชาภาษาไทย – หน่วยที่ 3               ข้อสอบมาตรฐานชั้น ป.1 – วิชาภาษาไทย – หน่วยที่ 11

ข้อสอบมาตรฐานชั้น ป.1 – วิชาภาษาไทย – หน่วยที่ 4               ข้อสอบมาตรฐานชั้น ป.1 – วิชาภาษาไทย – หน่วยที่ 12

ข้อสอบมาตรฐานชั้น ป.1 – วิชาภาษาไทย – หน่วยที่ 5               ข้อสอบมาตรฐานชั้น ป.1 – วิชาภาษาไทย – หน่วยที่ 13

ข้อสอบมาตรฐานชั้น ป.1 – วิชาภาษาไทย – หน่วยที่ 6               ข้อสอบมาตรฐานชั้น ป.1 – วิชาภาษาไทย – หน่วยที่ 14

ข้อสอบมาตรฐานชั้น ป.1 – วิชาภาษาไทย – หน่วยที่ 7               ข้อสอบมาตรฐานชั้น ป.1 – วิชาภาษาไทย – หน่วยที่ 15

ข้อสอบมาตรฐานชั้น ป.1 – วิชาภาษาไทย – หน่วยที่ 8               ข้อสอบมาตรฐานชั้น ป.1 – วิชาภาษาไทย – (เฉลย)

 

วิชาคณิตศาสตร์

แบบทดสอบท้ายบทเรียน – วิชาคณิตศาสตร์ ป.1

หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 จำนวนนับ 1 – 5 และ 0                                               หน่วยการเรียนรู้ที่ 9 การตวง

หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 จำนวนนับ 6 – 10                                                       หน่วยการเรียนรู้ที่ 10 จำนวนนับ 21 – 100

หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 การบวกจำนวนสองจำนวนที่มีผลบวกไม่เกิน 9        หน่วยการเรียนรู้ที่ 11 การเตรียมความพร้อมทางเรขาคณิต 

หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 การลบจำนวนสองจำนวนที่มีตัวตั้งไม่เกิน 9             หน่วยการเรียนรู้ที่ 12 เงิน

หน่วยการเรียนรู้ที่ 5 จำนวน 11 – 20                                                           หน่วยการเรียนรู้ที่ 13 เวลา

หน่วยการเรียนรู้ที่ 6 การบวก และการลบจำนวนที่มีผลลัพธ์ และตัวตั้งไม่เกิน 20

หน่วยการเรียนรู้ที่ 7 การวัดความยาว                    หน่วยการเรียนรู้ที่ 14 การบวก และการลบจำนวนที่มีผลลัพธ์ และตัวตั้งไม่เกิน 100

หน่วยการเรียนรู้ที่ 8 การชั่ง                                    หน่วยการเรียนรู้ที่ 15 การบวก ลบ ระคน

 

วิชาประวัติศาสตร์

ใบงานทบทวนเนื้อหา – วิชาประวัติศาสตร์ ป.1

เรื่องที่ 1 เรียนรู้เรื่องเวลา

เรื่องที่ 2 ประวัติข้อมูลของตนเอง และครอบครัว

เรื่องที่ 3 เรียนรู้เรื่องชาติไทย

 

แบบทดสอบท้ายบทเรียน – วิชาประวัติศาสตร์ ป.1

หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 เวลาและเหตุการณ์

หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 การเปลี่ยนแปลงรอบตัวเรา

หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 ความเป็นไทย

 

 

อ่านต่อ…ดาวน์โหลดฟรี!! แบบฝึกหัด ป.1 พัฒนาทักษะวิชาต่างๆ คลิกหน้า 2

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

น้ำตาลในเลือดต่ำ

คนท้อง น้ำตาลตก น้ำตาลในเลือดต่ำ อาการแบบไหนต้องระวัง!

Alternative Textaccount_circle
event
น้ำตาลในเลือดต่ำ
น้ำตาลในเลือดต่ำ

น้ำตาลในเลือดต่ำ – ความผิดปกติของร่างกาย และอาการต่างๆ ที่คนท้องอาจต้องเจอตลอดการตั้งครรภ์ นั้นอาจเหมือนและแตกต่างกันออกไปได้ในแต่ละคน หนึ่งในอาการที่สามารถเกิดขึ้นได้กับคนท้องหลายคน คือ เรื่องของภาวะน้ำตาลต่ำระหว่างตั้งครรภ์ ด้วยร่างกายของคนท้องจะผลิตอินซูลินมากขึ้นเพื่อช่วยให้ลูกน้อยในครรภ์ใช้เพื่อพัฒนาการเจริญเติบโตแต่ในขณะเดียวกันมีคนท้องหลายคนที่ร่างกายเกิดการดื้อต่ออินซูลิน ส่งผลให้ผู้หญิงจำนวนมากต้องเผชิญกับการเป็นเบาหวานระหว่างตั้งครรภ์ แม้ว่าระดับน้ำตาลในเลือดสูงจะพบได้บ่อยในหญิงตั้งครรภ์ แต่การเปลี่ยนแปลงของร่างกายในระหว่างตั้งครรภ์ และวิธีที่ร่างกายของคนท้องตอบสนองต่ออินซูลิน อาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดต่ำลงจนเป็นอันตรายซึ่งทำให้เกิดภาวะที่เรียกว่า น้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia) ที่อาจเป็นอันตรายต่อชีวิตได้

คนท้อง น้ำตาลตก น้ำตาลในเลือดต่ำ อาการแบบไหนต้องระวัง!

ภาวะ น้ำตาลในเลือดต่ำ ระหว่างตั้งครรภ์

ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำส่วนใหญ่เกิดจากความไม่สมดุลของการรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย และการปรับอินซูลินที่ไม่เหมาะสม การรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญในระหว่างตั้งครรภ์ เนื่องจากระดับน้ำตาลในเลือดที่มากเกินไปอาจนำไปสู่โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ และปัญหาที่เกี่ยวข้องได้ ในทางกลับกัน หากน้ำตาลในเลือดต่ำอาจทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิต และหากเกิดขึ้นบ่อยๆ ก็อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายต่อคุณแม่และลูกในครรภ์ได้

ทำความเข้าใจอินซูลิน ตัวแปรสำคัญต่อระดับน้ำตาลในเลือด

อินซูลินผลิตจากเซลล์เบต้าของตับอ่อน หน้าที่สำคัญของ อินซูลิน คือ ช่วยลดปริมาณน้ำตาลในเลือดโดยการเปลี่ยนกลูโคสเป็นพลังงาน ที่ให้พลังงานแก่สมองและร่างกายมนุษย์ ซึ่งในหญิงตั้งครรภ์บางรายร่างกายอาจผลิตอินซูลินได้ไม่เพียงพอต่อการรับมือกับกลูโคสที่เพิ่มขึ้น

ในระหว่างตั้งครรภ์ รกจะผลิต แลคโตเจน (Lactogen) ซึ่งเป็นฮอร์โมนสำคัญในระหว่างตั้งครรภ์ ซึ่งทำหน้าที่ในการสร้างสารอาหารและลำเลียงออกซิเจนให้แก่ทารกในครรภ์ เมื่อทารกในครรภ์เติบโตขึ้น ระดับฮอร์โมนแลคโตเจนในครรภ์จะค่อยๆ เพิ่มขึ้นเพื่อที่จะทำให้กลูโคสในกระแสเลือดของคนท้องนั้นเพิ่มมากขึ้นเพื่อนำไปหล่อเลี้ยงทารกในครรภ์ ซึ่งฮอร์โมนแลคโตเจนที่เพิ่มมากขึ้นอาจทำให้ร่างกายของคนท้องเกิดภาวะดื้อต่ออินซูลินได้ ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้ร่างกายคนท้องดื้ออินซูลิน

ดังนั้นสตรีมีครรภ์อาจต้องการอินซูลินมากเป็นสามเท่า เพื่อป้องกันภาวะน้ำตาลในเลือดสูง หรือ ป้องกันโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ นอกจากนี้การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในหญิงตั้งครรภ์ยังสามารถขัดขวางการทำงานของอินซูลิน ส่งผลให้เกิดการดื้อต่ออินซูลินและขัดขวางการควบคุมกลูโคสได้

โดยทั่วไปอินซูลิน มักเป็นตัวเลือกแรกสำหรับการจัดการระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานทุกประเภท รวมทั้งเบาหวานในระหว่างตั้งครรภ์ ผู้ป่วยโรคเบาหวานประเภท 1 ทุกคนต้องการอินซูลิน แต่เนื่องจากยารักษาโรคเบาหวานชนิดรับประทานโดยทั่วไปอาจไม่เพียงพอที่จะเอาชนะการดื้อต่ออินซูลินในระหว่างตั้งครรภ์ ผู้ที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 จึงมักต้องการอินซูลินด้วย

อินซูลินถือว่าปลอดภัยสำหรับทารกในครรภ์ที่กำลังพัฒนาการเจริญเติบโต ดังนั้นสตรีมีครรภ์ที่เป็นเบาหวานมักได้รับการสั่งอินซูลิน (แม้ว่ายาหลายชนิดจะควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้อย่างเหมาะสมก่อนตั้งครรภ์) เป็นผลให้ผู้ที่เป็นเบาหวานในระหว่างตั้งครรภ์ต้องติดตามและปรับปริมาณอินซูลินอย่างระมัดระวังเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะแทรกซ้อนจากภาวะน้ำตาลในเลือดสูงและภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ

สาเหตุของการเกิดภาวะ น้ำตาลในเลือดต่ำ ขณะตั้งครรภ์

ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เกิดขึ้นเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดของคุณลดลงต่ำลงน้อยกว่า 70 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร (mg/dL) มักเกิดในผู้ป่วยเบาหวานเรื้อรัง และผู้ที่เป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์  น้ำตาลในเลือดต่ำอาจทำให้คนท้องมีอาการอ่อนแรง ใจสั่น ตัวเย็น และเป็นลมหมดสติได้ ในกรณีรุนแรงอาจส่งผลให้เกิดอาการชักหรือโคม่า หากรักษาไม่ทันอาจถึงแก่ชีวิตได้ ซึ่งสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำส่วนใหญ่สามารถพบได้ใน 3 ลักษณะ ดังต่อไปนี้

  • คนท้องกินอาหารไม่เพียงพอ หรือ กินอาหารไม่เหมาะสมเพื่อรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่และเพียงพอต่อความต้องการของทารกในครรภ์ ไม่ว่าคุณจะกินมากหรือบ่อยแค่ไหนลูกน้อยของคุณก็จำเป็นต้องใช้กลูโคสจากร่างกายของคุณอยู่ตลอดเวลา
  • คนท้องออกกำลังกายมากเกินไป ร่างกายจึงใช้กลูโคสจนหมด หากร่างกายของคุณมีกลูโคสไม่เพียงพอ หรือไม่ได้รับคาร์โบไฮเดรตเพิ่มเติม คุณอาจเกิดอาการภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำได้
  • ยารักษาโรคเบาหวาน ทั้งประเภทฉีดและทานที่มีประสิทธิภาพในการลดน้ำตาลในเลือดมากเกินไป ในกรณีนี้จำเป็นต้องปรึกษาแพทย์เพื่อปรับเปลี่ยนตัวยา ซึ่งนี่เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุดสำหรับภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำในระหว่างตั้งครรภ์

นอกจากนี้ ตามมาตรฐานการดูแลทางการแพทย์ในผู้ป่วยเบาหวานโดยสมาคมโรคเบาหวานแห่งอเมริกา (ADA)  ความรุนแรงของภาวะ น้ำตาลในเลือดต่ำ สามารถแบ่งออกได้ 3 ระดับ ได้แก่

  • ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำกว่า 70 มก./ดล. แต่เท่ากับ 54 มก./ดล. หรือสูงกว่า
  • ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำปานกลาง ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำกว่า 54 มก./ดล.
  • ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำอย่างรุนแรง ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำกว่า 40 มก./ดล. และผู้ป่วยมีอาการแย่ลงทั้งทางร่างกายและจิตใจ
คนท้องน้ำตาลต่ำ
คนท้องน้ำตาลต่ำ

 

โรคเบาหวานแต่ละประเภทต่อไปนี้ ทำให้คุณมีความเสี่ยงสูงต่อภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ:

  • เบาหวานชนิดที่ 1
  • เบาหวานชนิดที่ 2
  • เบาหวานขณะตั้งครรภ์

เมื่อน้ำตาลในเลือดต่ำอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อทารกได้ทั้งก่อนและหลังคลอด อย่างไรก็ตามปัญหานี้มักสามารถจัดการได้ด้วยโภชนาการและยา การป้องกันไม่ให้น้ำตาลในเลือดของคุณลดลงอย่างกะทันหันถือเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการควบคุมภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ

ปัจจัยเสี่ยงของภาวะ น้ำตาลในเลือดต่ำ ขณะตั้งครรภ์

ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาในระหว่างตั้งครรภ์  และมีปัจจัยบางอย่างที่จะเพิ่มความเสี่ยง ได้แก่ :

  • เป็นเบาหวาน ทั้งชนิดที่เป็นระหว่างตั้งครรภ์และโรคเบาหวานก่อนตั้งครรภ์ อาจทำให้ระดับอินซูลินของคุณผันผวน เพื่อหลีกเลี่ยงการมีน้ำตาลมากเกินไปหรือน้อยเกินไป คุณจะต้องได้รับการตรวจสอบอย่างรอบคอบและอาจจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนยารักษาโรคเบาหวานของคุณ น้ำตาลในเลือดสูงและต่ำอาจเกิดขึ้นได้ในระยะต่างๆ ระหว่างตั้งครรภ์ ขึ้นอยู่กับอินซูลินและยารักษาโรคเบาหวาน สตรีมีครรภ์ต้องติดตามและปรับขนาดอินซูลินระหว่างตั้งครรภ์ เนื่องจากระดับอินซูลินอาจผันผวนได้ หญิงตั้งครรภ์ที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 1  อาจมีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำอย่างรุนแรงในช่วงไตรมาสแรกได้มากกว่าช่วงก่อนตั้งครรภ์ถึง 3 เท่า ช่วงที่มีโอกาสเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำอย่างรุนแรงที่สุดคือระหว่าง 8 ถึง 16 สัปดาห์ ของการตั้งครรภ์
  • ตั้งครรภ์ไตรมาสแรก  ที่เกิดจากการได้รับคาร์โบไฮเดรตไม่เพียงพอ ผู้หญิงที่แพ้ท้องอย่างรุนแรงอาจมีระดับน้ำตาลในเลือดต่ำหาก อาเจียนบ่อยๆ ผู้หญิงที่อาเจียนทุกวัน น้ำหนักไม่ขึ้น หรือเวียนหัวบ่อย ควรปรึกษาแพทย์
  • เคยมีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ก่อนตั้งครรภ์
  • กำลังป่วย การเจ็บป่วยหลายอย่างอาจทำให้คนท้องรู้สึกไม่อยากอาหาร และหากไม่ได้รับประทานอาหารที่เพียงพอหรือสม่ำเสมอ ร่างกายอาจพัฒนาให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำได้
  • เป็นโรคขาดสารอาหาร สิ่งสำคัญคือต้องได้รับแคลอรีเพียงพอในระหว่างตั้งครรภ์ อาหารที่คุณกินก็ควรมีคุณค่าทางโภชนาการเช่นกัน
  • ความอยากอาหารลดลง  น้ำตาลในเลือดต่ำอาจเกิดขึ้นจากการอาเจียน ความผิดปกติของการกิน และการขาดสารอาหาร
  • น้ำตาลต่ำจากยา ยาบางชนิดอาจลดน้ำตาลในเลือด เช่น  ซาลิไซเลตหรือยาแก้ปวด รวมทั้งแอสไพริน ซึ่งแพทย์ส่วนใหญ่ไม่แนะนำให้ใช้ในระหว่างตั้งครรภ์  รวมทั้งยาปฏิชีวนะซัลฟา เพนทามิดีน ยารักษาโรคปอดบวม และยารักษามาเลเรียที่เรียกว่าควินิน เป็นต้น

ความผิดปกติทางการแพทย์บางอย่างที่อาจส่งผลให้น้ำตาลในเลือดต่ำได้

ซึ่งอาการผิดปกติต่อไปนี้ อาจส่งผลต่อทารกที่กำลังพัฒนา ดังนั้นจำเป็นต้องได้รับการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้อง

ความผิดปกติที่อาจทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ได้แก่

  • มีเนื้องอกในตับอ่อน
  • ความไม่สมดุลของฮอร์โมน โดยเฉพาะ คอร์ติซอล และกลูคากอน (ฮอร์โมนที่ผลิตโดยเซลล์ของตับอ่อน มีหน้าที่กระตุ้นให้ตับสลายไกลโคเจนเป็นน้ำตาลกลูโคส)
  • ความบกพร่องของเอนไซม์ในร่างกายบางชนิด

อาการ น้ำตาลในเลือดต่ำ

อาการน้ำตาลในเลือดลดลง เมื่อน้ำตาลในเลือดต่ำเกินไปอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางจิตใจและร่างกาย อย่างไรก็ตาม อาการเหล่านี้จะหายไปเมื่อน้ำตาลในเลือดคงที่อีกครั้ง

อาการเริ่มต้น

  • คลื่นไส้และอาเจียน
  • ความหิว
  • มึนศรีษะ
  • สั่น
  • ใจสั่น
  • เหงื่อออก
  • รู้สึกวิตกกังวล
  • ผิวสีซีด

อาการอันตราย ที่ต้องระวัง!

  • รู้สึกสับสน มึนงง การประสานงานของอวัยวะบกพร่อง
  • ปวดศีรษะมาก
  • มีอาการชาในปากและลิ้น
  • เป็นลม หรือมีอาการชัก
  • หมดสติ

อ่านต่อ…คนท้อง น้ำตาลตก น้ำตาลในเลือดต่ำ อาการแบบไหนต้องระวัง! คลิกที่หน้า 2

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

เตียงนอนเด็ก

10 เตียงนอนเด็ก แข็งแรง ปลอดภัย หลับสบายทั้งคืน

Alternative Textaccount_circle
event
เตียงนอนเด็ก
เตียงนอนเด็ก

เตียงนอนเด็ก หรือ ที่นอนสำหรับเด็ก เป็นอุปกรณ์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้กับเด็กโดยเฉพาะ มีลักษณะเป็นเตียงนอนขนาดเล็ก มีที่กั้นทั้งสี่ด้านเพื่อป้องกันเด็กกลิ้งตกเตียงระหว่างนอนหลับหรือทำกิจกรรมอื่น ๆ เช่น เช็ดตัว เปลี่ยนผ้าอ้อม หัดคว่ำหงาย พลิกตะแคงตัว นอนดูดนม จึงเป็นอุปกรณ์สำคัญสำหรับเด็กที่ผู้ปกครองต้องใช้ความใส่ใจในการเลือกให้เหมาะสม คุณแม่และผู้ดูแลต้องใช้งานได้อย่างสะดวก และนอกจากจะช่วยให้เด็กนอนสบาย ต้องมีความปลอดภัย มั่นใจได้เมื่อปล่อยให้เด็กนอนอยู่ลำพังเป็นครั้งคราวหรือในช่วงตอนกลางคืน 

10 เตียงนอนเด็ก แข็งแรง ปลอดภัย หลับสบายทั้งคืน

เตียงนอนเด็ก

ประเภทของเตียงนอนเด็ก

  • เตียงนอนเด็กแบบไม้ ง่ายต่อการอุ้มวาง แข็งแรงเรียบง่าย มีความทนทานสูง โครงสร้างของเตียงเป็นพื้นไม้แผ่นเรียบและตรง ซึ่งส่งผลต่อโครงสร้างและร่างกายของลูกตอนโต
  • เตียงนอนเด็กแบบ Playpen (เตียงนอนเด็กแบบผ้าพับเก็บได้) ใช้งานง่าย และสามารถปรับเปลี่ยนใช้งาน ได้อเนกประสงค์ เหมาะสำหรับบ้านที่มีพื้นที่จำกัด เพราะเคลื่อนที่และโยกย้ายได้สะดวก
  • เตียงนอนเด็กแบบเปลไกวหรือเปลโยกกล่อมนอน รูปร่างเปลไกวสมัยนี้มีวิวัฒนาการมาจากเปลสมัยโบราณ ใช้แล้วลูกนอนเพลิน หลับได้นาน ผ่อนแรงพ่อแม่ในการอุ้มกล่อม มีส่วนช่วยในการกระตุ้นพัฒนาการด้านสมองและการทรงตัว 

ปัจจัยในการเลือกเตียงนอนเด็ก

  • กำหนดและเลือกพื้นที่ว่างสำหรับวางเตียงนอนเด็ก ต้องเป็นบริเวณที่มองเห็นได้ชัดอยู่ในสายตาผู้ดูแล
  • เลือกขนาดของเตียงนอนให้สัมพันธ์กับขนาดตัวและพัฒนาการของเด็ก ไม่มีขนาดเล็กเกินไปจนเด็กนอนไม่สบาย หรือใหญ่เกินจนเด็กรู้สึกไม่อบอุ่น
  • วัสดุที่ใช้ทำเตียงนอนเด็กต้องแข็งแรง รับน้ำหนักได้ดี ทนทานต่อการใช้งาน ข้อต่อแน่นหนาไม่หลุดร่อน และน้ำหนักเบา (แต่ต้องไม่เบามากจนพลิกคว่ำได้ง่าย) ไม่มีมุมแหลมเป็นอันตราย ไม่มีช่องหรือรูให้เด็กแหย่นิ้วเข้าไปได้ รวมถึงเตียงนอนเด็กควรผลิตจากวัสดุที่ไม่เป็นอันตรายต่อตัวเด็ก เช่น ไม่มีสารตะกั่ว
  • เคลื่อนย้ายไปบริเวณที่ต้องการใช้งานได้สะดวก
  • เลือกซื้อแบบที่เปิด-ปิด หรือดึงขึ้น-ลงได้หลายด้าน เพื่อความสะดวกต่อการใช้งาน
  • เลือกเตียงนอนเด็กที่สามารถปรับความสูงต่ำของที่นอน ที่กั้น หรือขาเตียงได้ เพื่อรองรับการใช้งานที่หลากหลาย และสะดวกต่อผู้ดูแลเด็ก
  • กรณีเลือกเตียงนอนเด็กแบบมีล้อเพื่อความสะดวกในการเคลื่อนย้ายไปยังจุดต่างๆ ได้ง่าย เช่น ข้างเตียงนอนคุณพ่อคุณแม่ หรือย้ายไปห้องต่างๆ ต้องเลือกรุ่นที่มีวัสดุห้ามล้อป้องกันการเลื่อนไถลด้วย
  • ราวกั้นเตียงนอนเด็กที่เหมาะสมต้องมีราวกั้นสูงไม่ต่ำกว่า 65 เซนติเมตร เพื่อป้องกันเด็กปืนออกจากเตียง หากเป็นลูกกรงควรเป็นลูกกรงแนวตั้งที่มีระยะห่างไม่เกิน 6 เซนติเมตร เพื่อไม่ให้เด็กลอดตัวออกมาได้

แนะนำ 10 เตียงนอนเด็ก ใช้งานสะดวกเหมาะกับลูกรัก

  1. GRACO เตียงนอนเด็ก PNP ON THE GO-TWISTER

เริ่มต้นกันที่ เตียงนอนเด็กแบบผ้าพับเก็บได้ (Playpen) ขนาดกะทัดรัด มีล้อ 2 ข้าง ขนย้ายได้สะดวก ตาข่ายโปร่ง 4 ด้านทำให้อากาศถ่ายเท เด็กและคุณแม่มองเห็นกันและกันได้รอบด้าน มีโมบายตุ๊กตาน่ารักสีสันสดใสช่วยกระตุ้นความสนใจและเสริมสร้างพัฒนาการ ทำความสะอาดได้ง่าย สะดวก

เว็บไซต์อ้างอิง: https://www.kiddopacific.com/

เตียงนอนเด็ก

อ้างอิงรูปภาพ: https://www.kiddopacific.com/

 

  1. Chicco เตียงนอนเด็ก Chicco Lullaby Dream Playard-Minerale

เตียงนอนเด็กที่ต้องประกอบเอง แต่ประกอบง่าย สามารถพับเก็บได้ ที่นอนยกออกมาวางข้างนอกแยกจากเตียงได้ ขอบตาข่ายทั้ง 4 ด้านช่วยระบายอากาศ เบาะนอนถอดซักทำความสะอาดได้ มีโมบายตุ๊กตาน่ารักและแสงไนท์ไลท์ช่วยสร้างความเพลิดเพลินให้ลูกและกระตุ้นพัฒนาการ แต่แม่นอนมองแล้วจะหลับตาม ถือว่าช่วยผ่อนคลายได้ดี

เว็บไซต์อ้างอิง: https://www.kiddopacific.com/

เตียงนอนเด็ก

อ้างอิงรูปภาพ: https://www.kiddopacific.com/

 

  1. Nuebabe

พกพาสะดวก ด้วยเตียงนอนเด็กแบบผ้าพับเก็บได้เพลย์เพน (playpen) สามารถปรับระดับชั้นการนอนได้ มีตัวล็อกปรับระดับแข็งแรง โมบายมีสีสดใสและมีเสียงสร้างความเพลิดเพลินเสริมสร้างพัฒนาการลูกน้อย ปรับเปลี่ยนเป็นคอกกั้นเด็กได้เมื่อลูกโตขึ้นและอยู่ในวัยหัดเดิน มีตัวล็อคล้อหลัง ทดสอบการใช้งานจากผู้ผลิตแล้วว่าปลอดภัยไม่มีลื่นไถล ขอบตาข่ายช่วยกันตกรอบทิศทาง และช่วยให้อากาศถ่ายเทได้ดี นอนสบาย ไม่ร้อน

เว็บไซต์อ้างอิง: https://www.facebook.com/513104438786586/posts/3067688513328153/

เตียงเด็ก

อ้างอิงรูปภาพ: https://scontent.fbkk28-1.fna.fbcdn.net/v/t1.6435-9/107800611_3067687383328266_842868629310469310_n.jpg?_nc_cat=102&ccb=1-7&_nc_sid=730e14&_nc_ohc=mgneSArokiwAX8mVphZ&tn=NX2ekxK9qoGK32Ad&_nc_pt=1&_nc_ht=scontent.fbkk28-1.fna&oh=00_AT-p8n56yU5JHNtFm6LX5D4eJDE30dXE9ms_VsHgoxAwHg&oe=635858FC

 

  1. PAPA รุ่น CAR-1008

หากคุณกำลังวลเรื่องยุง และแมลงกัดต่อย เตียงนอนเด็กมีมุ้งครอบ ปรับความสูงได้ ทำให้นอนยกหัวสูงหลังทานนมกันกรดไหลย้อนได้ มีขนาดพอเหมาะ ปรับโยกได้ น้ำหนักเบา ล้อสามารถใส่และถอดได้ ทำให้เคลื่อนย้ายสะดวกไปตามพื้นที่ต่างๆ พับเก็บง่าย ถอดซักทำความสะอาดได้ ผ้าไม่เป็นขุย

เว็บไซต์อ้างอิง: https://www.babiesplusshop.com/

เตียงเด็ก

อ้างอิงรูปภาพ: https://image.makewebeasy.net/

 

อ่านต่อ.. 10 เตียงนอนเด็ก แข็งแรง ปลอดภัย หลับสบายทั้งคืน ..ได้ที่หน้า 2

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

รีวิวครีมอาบน้ำเด็ก

รีวิวครีมอาบน้ำเด็ก 10 แบรนด์ อาบสะอาด อ่อนโยนต่อผิว

Alternative Textaccount_circle
event
รีวิวครีมอาบน้ำเด็ก
รีวิวครีมอาบน้ำเด็ก

ประเทศไทยอากาศร้อน และเด็กอยู่ในวัยต้องขยับยุกยิก หรือวิ่งเล่นไปมา ร่างกายของเขาจึงมีเหงื่อออกซึ่งสามารถสะสมเชื้อแบคทีเรียและทำให้เกิดกลิ่นได้ หรือเรื่องเลอะเทอะสกปรกที่ผู้ใหญ่อาจไม่สนุกด้วย เด็ก ๆ ก็อาจเล่นหรือทำลงไปด้วยความสนุกสนาน ทุกบ้านที่มีเด็กจึงควรมีครีมอาบน้ำดี ๆ ติดบ้านไว้เพื่อรักษาสุขภาพพลานามัยของเด็ก วันนี้กองบรรณาธิการจึงมี รีวิวครีมอาบน้ำเด็ก มาให้คุณพ่อคุณแม่ตัดสินใจเลือกให้กับลูรักของเรากัน

รีวิวครีมอาบน้ำเด็ก 10 แบรนด์ อาบสะอาด อ่อนโยนต่อผิว

รีวิวครีมอาบน้ำเด็ก

เด็กสามารถแบ่งได้หลายช่วงวัยตามพัฒนาการ แต่เมื่อดูลักษณะของครีมอาบน้ำในท้องตลาดแล้ว อาจแบ่งเด็กออกเป็นเพียง 2 กลุ่มใหญ่ ๆ นั่นคือวัยทารก (0 – 3 ขวบ) และวัยกำลังซน (3 ขวบขึ้นไป) 

  • เด็กทารก คือเด็กเล็กตั้งแต่แรกเกิดซึ่งคุณแม่อาจต้องใช้เวลาอยู่บ้างในการอาบน้ำและดูแลผิว ผิวของเด็กทารกบอบบาง ระคายเคืองง่าย และอาจแพ้ต่อสารเคมีต่าง ๆ ได้ง่ายเพราะระบบภูมิคุ้มกันยังพัฒนาไม่เต็มที่ การเลือกครีมอาบน้ำให้เด็กทารกจึงควรหลีกเลี่ยงสิ่งปลอมปนที่ไม่ได้มาจากธรรมชาติ
  • เด็กวัยกำลังซน คือเด็กวัย 3 ขวบขึ้นไปที่สามารถเคลื่อนที่ไปมาได้เอง เด็กกลุ่มนี้มีเหงื่อและกลิ่นตัวมากกว่าเด็กทารก และตลอดทั้งวันยังเผชิญกับมลภาวะและเชื้อโรคมากกว่าด้วยเพราะออกไปทำกิจกรรมกับผู้อื่น ครีมอาบน้ำที่เหมาะกับเด็กวัยนี้นอกจากจะดีต่อผิวแล้วยังต้องปกป้องพวกเขาจากแบคทีเรีย หรือระงับการเติบโตของเชื้อแบคทีเรียได้ด้วย

อาบน้ำอย่างไรถึงดี

กรณีเป็นเด็กทารก ไม่มีกิจกรรมระหว่างวันมาก ควรอาบน้ำอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง และอุณภูมิของน้ำควรจะอุ่นสักหน่อย จะได้สบายตัวและไม่เป้นหวัด แต่ถ้าเป็นเด็กโต ควรอาบน้ำอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง หรืออาจจะต้องอาบมากกว่านั้นถ้ามีกิจกรรมที่เหงื่อออกมาก หรือทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่เลอะเทอะมา

การอาบน้ำควรจะถูทำความสะอาดร่างกายบริเวณที่เป็นซอกหลืบ รักแร้ ขาหนีบ ซอกคอ หรือหลังหู ควรถูนวดวนให้สะอาด เพราะเป็นจุดที่ไคลหรือเชื้อแบคทีเรียจะไปสะสมอยู่ได้ และหลังอาบน้ำทุกครั้ง ควรจะทาผิวด้วยครีมบำรุงอีกที เพื่อไม่ให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น และเช็ดตัวให้แห้ง

ส่วนการสระผม จำนวนครั้งมาตรฐานควรเป็นอย่างน้อยหนึ่งครั้งต่อวัน แต่ถ้าช่วงที่อากาศร้อน สำหรับเด็กโตจะสระมากกว่าหนึ่งครั้งก็ได้ 

ผลของการไม่อาบน้ำ หรือไม่ใส่ใจเลือกครีมอาบน้ำ

เชื้อโรคต่าง ๆ ที่ไม่ถูกชำระล้างออกไป อาจเข้าสู่ร่างกาย เป็นสาเหตุให้เกิดอาการไข้ หรือท้องเสีย นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงจะเกิดโรคผิวหนัง ทั้งโรคกลากเกลื้อน และเชื้อราบนผิวหนัง นอกจากนี้ยังมีผลต่อคุณภาพผิว ผิวแห้ง ผิวลอก หรือเป็นผดผื่นคัน และอาการสำคัญที่ปรากฎอย่างแน่นอนคือไม่สบายตัว และหลับไม่สบาย ดังนั้นคนในครอบครัวจึงละเลยไม่ได้เลยถึงการเลือกครีมอาบน้ำที่มีคุณภาพ

 

5 ครีมอาบน้ำสำหรับเด็กทารก เด็กโตก็ใช้ได้

ครีมอาบน้ำสำหรับเด็กทารก ควรหลีกเลี่ยงที่มีสาร SLS ที่ทำให้เกิดฟอง ไม่มีซิลิโคนซึ่งสามารถสะสมบนผิว ไม่มีพาราเบนที่เป็นสารกันเสีย ไม่ใส่แอลกอฮอล์เพราะอาจเกิดการระคายเคืองและแพ้ รวมถึงอาจหลีกเลี่ยงกลูเตนเพราะมีเด็กจำนวนไม่น้อยที่แพ้กลูเตน ก่อนซื้อครีมอาบน้ำมาใช้ ต้องเช็คจากฉลากก่อนว่าไม่มีองค์ประกอบดังที่กล่าวไป

สำหรับครีมอาบน้ำ 5 ยี่ห้อ ขอแนะนำดังนี้

  • Baby Mild Ultra Mild Bioganik

สูตรยอดนิยมขวดเขียว สามารถใช้เป็นสบู่เหลวและสระผมได้ สูตรอ่อนโยนต่อผิวด้วยเอสเซ้นส์ออแกนิกจากพืชธรรมชาติ ไม่มีสารกันเสีย สารก่อฟอง จึงอ่อนโยนต่อผิว และไม่ระเคืองตาอย่างแน่นอน และยังเปี่ยมด้วยวิตามินอี บำรุงผิวให้นุ่มชุ่มชื่น ล้างออกง่าย กลิ่นหอมอ่อน ๆ มี pH Balance รักษาสมดุลผิวให้ลูกน้อย 

เว็บไซต์: www.babimild.com

รีวิวครีมอาบน้ำเด็ก

ที่มารูปภาพ: www.babimild.com/

 

  • D-NEE Organic for Newborn Head & Body

สบู่เหลวใช้อาบน้ำและสระผม มีสารสกัดจากธรรมชาติถึงเจ็ดชนิดที่ช่วยในการเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ช่วยดูแลผิวอย่างอ่อนโยน ผิวของลูกจะนุ่มนิ่มมีสุขภาพดี และให้ความสำคัญกับ pH Balance ทำให้ผิวของลูกสะอาด อีกทั้งยังล้างออกง่าย นี่เป็นอีกแบรนด์ที่ผ่านการทดสอบเพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่ทำให้แพ้และระคายเคือง เป็นผลิตภัณฑ์เป็นมิตรและปลอดภัยต่อทารกอย่างแน่นอน

เว็บไซต์: dnee.co.th/index.php/th/

รีวิวครีมอาบน้ำเด็ก

ที่มารูปภาพ: http://dnee.co.th/

 

  • Pureen Head to Toe Wash

สบู่เหลวอาบน้ำและสระผม ผสมผสานวิตามินบี 5 และวิตามินอี ช่วยบำรุงผิว ผม และเล็บ ให้แข็งแรง ไม่มีสารระคายเคืองต่อผิวหรือดวงตา มั่นใจในตอนอาบน้ำได้ว่าลูกจะไม่ร้องโยเย ปราศจากสารที่ควรหลีกเลี่ยงทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นสารกันเสีย Paraben หรือสารที่ทำให้เกิดการระคายเคืองได้ง่ายอย่าง SLS และ MIT และได้รับการรับรองคุณภาพว่าไม่ก่อให้เกิดการแพ้หรือระคายเคืองด้วยการทดสอบทางการแพทย์โดยแพทย์ผิวหนัง

เว็บไซต์: www.pureen.co.th/

ครีมอาบน้ำเด็ก

ที่มารูปภาพ: http://www.pureen.co.th/

 

  • Enfant Organic Shampoo & Body

ครีมอาบน้ำเนื้อเจลที่ใช้อาบน้ำและสระผมได้ในขวดเดียว มีคำว่า Organic กำกับทำให้มั่นใจในส่วนผสมว่ามาจากธรรมชาติ โดยมีทั้งสารสกัดจากข้าวโอ๊ต และน้ำมันมะกอก อ่อนโยนกับลูกน้อย ปลอดภัยต่อผิว และด้วยสารสกัดจากคาโมมายล์ ดูแลผมกับผิวหนังให้แข็งแรง แบรนด์นี้เหมาะใช้ยาว ๆ เพื่อดูแลปกป้องและดูแลผิวลูกน้อยจากมลภาวะในปัจจุบัน

เว็บไซต์: enfantfamily.bentoweb.com/th

ครีมอาบน้ำเด็ก

ที่มารูปภาพ: http://www.enfantfamily.com/

 

  • Johnson’s Top-To-Toe Hair & Body Baby Bath

แบรนด์นี้เน้นย้ำว่าผิวเด็กซึมซับและสูญเสียความชุ่มชื้นได้เร็วกว่าผิวของผู้ใหญ่ มีการทดสอบกับกลีบกุหลาบว่าอ่อนโยน และการทดสอบกับหัวไชเท้าถึงความชุ่มชื้นที่ซึมซับได้ง่าย มีค่า pH ที่เหมาะสมกับผิว ความกระด้างของน้ำที่ทำให้อาบแล้วชำระล้างออกได้สะอาดหมดจรด ผ่านการทดสอบโดยกุมารแพทย์ เป็นแบรนด์ที่ได้รับความนิยมมากสำหรับคุณแม่ลูกอ่อนใช้อาบน้ำให้แก่ทารกแรกเกิด

เว็บไซต์: www.johnsonsbaby.co.th

ครีมอาบน้ำเด็ก

ที่มารูปภาพ: https://www.johnsonsbaby.co.th/

 

อ่านต่อ.. รีวิวครีมอาบน้ำเด็ก 10 แบรนด์ อาบสะอาด อ่อนโยนต่อผิว ..ได้ที่หน้า 2

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

รีวิวถุงเก็บน้ำนม

รีวิวถุงเก็บน้ำนม สะอาด พกพาสะดวก

Alternative Textaccount_circle
event
รีวิวถุงเก็บน้ำนม
รีวิวถุงเก็บน้ำนม

ถุงเก็บน้ำนม จัดเป็นสิ่งจำเป็นที่ช่วยให้คุณแม่วัยทำงานหรือคุณแม่ที่ไม่มีเวลาให้นมลูกจากเต้า รวมถึงคุณแม่ที่มีปริมาณน้ำนมมากกว่าปกติ สามารถเก็บสต็อกน้ำนมของตัวเองไว้ เพื่อให้ลูกได้ทานในช่วงเวลาที่ต้องการ หรือเก็บสะสมไว้ตอนที่มีน้ำนมออกมาน้อย การใช้ถุงเก็บน้ำนมเมื่อเทียบกับการเก็บน้ำนมไว้ในขวด การใช้งานถุงเก็บน้ำนมจะประหยัดพื้นที่มากกว่า ง่ายต่อการจัดเก็บ ง่ายต่อการพกพาระหว่างเดินทาง สามารถจัดเก็บได้ในระยะยาว และน้ำนมที่ถูกเก็บไว้ในถุงเก็บน้ำนมจะมีความสะอาด สด ใหม่ สามารถให้ทารกดื่มได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องสิ่งเจือปนจากการจัดเก็บ มาดู รีวิวถุงเก็บน้ำนม ที่สะอาด ปลอดภัย และพกพาสะดวก เหมาะสำหรับไลฟ์สไตล์ของคุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่กันค่ะ

รีวิวถุงเก็บน้ำนม สะอาด พกพาสะดวก

รีวิวถุงเก็บน้ำนม

ประเภทน้ำนมแม่ ระยะเวลาการนำมาใช้และอุณหภูมิในการจัดเก็บ

  • น้ำนมแม่ที่ลูกทานไม่หมด ต้องใช้ภายใน 2 ชั่วโมงหลังจากลูกทานนมเสร็จ ถ้ายังใช้ไม่หมดต้องทิ้ง
  • น้ำนมแม่ปั๊มเสร็จใหม่ เก็บที่อุณหภูมิห้อง (25°C) อยู่ได้สูงสุด 4 ชั่วโมง เก็บในตู้เย็นช่องธรรมดา (4°C)  อยู่ได้สูงสุด 4 วัน เก็บช่องแช่แข็ง (-18°C) อยู่ได้และควรใช้ภายใน 6 เดือนดีที่สุด แต่สามารถเก็บได้สูงสุดถึง 12 เดือน
  • น้ำนมแม่ที่ละลาย หรือ แช่แข็งก่อนหน้านี้แล้วนำมาะลาย เก็บที่อุณหภูมิห้อง (25°C) อยู่ได้สูงสุด 1-2  ชั่วโมง เก็บในตู้เย็นช่องธรรมดา (4°C) อยู่ได้สูงสุด 1 วัน โดยห้ามนำนมแม่ไปแช่แข็งซ้ำอีกหลังจากละลายแล้ว เพราะจะเกิดกลิ่นหืนและสูญเสียคุณค่าทางสารอาหาร รวมถึงมีเชื้อแบคทีเรียที่ไม่ดีเกิดขึ้น

 

ทำไมถึงต้องใช้ถุงเก็บน้ำนม

  • ช่วยยืดอายุน้ำนมแม่ คุณค่าสารอาหารในนมแม่ไม่เสียหาย สามารถนำมาให้ลูกทานได้ในวันอื่นๆ เช่น ในวันที่คุณแม่มีธุระไม่อยู่บ้านหรือต้องกลับไปทำงาน โดยไม่ว่าใครจะอยู่ดูแลเด็ก ก็สามารถนำน้ำนมแม่มาให้ลูกทานได้
  • ช่วยให้น้ำนมแม่ไม่ปนเปื้อนจากเชื้อโรค หรือแบคทีเรียต่างๆ ทำให้น้ำนมแม่คงความสด สะอาด ปลอดภัย
  • ช่วยให้ลูกมีน้ำนมแม่ไว้ทานมากกว่า 6 เดือนขึ้นไป
  • สามารถเก็บฟรีซ (Freeze) ไว้ได้นานในตู้แช่เย็น ทำให้มีสต๊อกน้ำนมให้ลูก ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการซื้อนมผง
  • ประหยัดพื้นที่ในตู้แช่นมได้มากกว่าการเก็บแบบกล่องหรือขวด รวมถึงเวลานำมาใช้ ถุงเก็บน้ำนมที่ตั้งทิ้งไว้จะละลายเร็วกว่าเก็บในขวดนม หรือกล่องพลาสติก
  • สามารถใช้ถุงเก็บน้ำนมใส่น้ำลงไปแล้วแช่แข็ง ใช้แทนน้ำแข็ง แช่น้ำนมในกระติกได้ เหมาะสำหรับคุณแม่ที่ต้องปั๊มนมที่ทำงาน แล้วแช่ใส่กระติกกลับบ้าน ทำให้กระติกและถุงบรรจุน้ำนมไม่เปียกแฉะหรือน้ำหยดจากน้ำแข็งที่ละลาย และไม่สิ้นเปลือง

เลือกถุงเก็บน้ำนมอย่างไร

  • ทนทาน ตะเข็บที่ใช้ปิดเปิดเหนียวแข็งแรง ทำจากวัสดุพลาสติก 2 ชั้น เพื่อรองรับแรงกระแทกและการขีดข่วน
  • ออกแบบให้เหมาะกับการทำละลายน้ำนมในน้ำอุ่น หรือทนทานต่อการแช่แข็ง
  • ตัวถุงควรตั้งตรงเพื่อง่ายในการใส่น้ำนมแม่ และฐานของตัวถุงเก็บน้ำนมแม่ควรวางราบได้เพื่อง่ายต่อการจัดเก็บ
  • ควรเลือกแบบมีซิปล็อค 2 ชั้นขึ้นไป เพื่อป้องกันการรั่วของน้ำนม
  • ขนาดถุงเก็บน้ำนมสามารถบรรจุน้ำนมแม่ได้ตามปริมาณที่ต้องการ โดยขนาดที่เป็นที่นิยมคือ 8 ออนซ์ (240 มิลิลลิตร) เพราะเป็นปริมาณที่คุณแม่ส่วนใหญ่ปั๊มได้และทารกสามารถดื่มได้ประมาณ 2 มื้อ แต่บางคนอาจชอบที่จะเก็บในถุงเล็กมากกว่า เนื่องจากสะดวกต่อการนำออกมาละลายครั้งต่อครั้ง
  • มีฉลากที่สามารถใช้เขียนวันเดือนปีและเวลาการปั๊มนมหรือเวลาบรรจุนมลงไปแต่ละครั้ง มีตัวเลขหรือฉลากบอกปริมาณน้ำนมที่บรรจุในถุงน้ำนม
  • ผลิตภัณฑ์มีความปลอดภัย ไม่มีส่วนผสมของสาร BPA (BPA: Bisphenol A) สาร BPA นั้น พบได้ในบรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม  เมื่อโดนความร้อนจะละลายออกมาปนเปื้อนอาหาร โดยปริมาณการปนเปื้อนอาหารจะสูงขึ้นเมื่ออุณหภูมิแวดล้อมรอบภาชนะที่บรรจุสูงขึ้น

แนะนำ 10 ถุงเก็บน้ำนม ทนทานคุณภาพดีใช้งานสะดวก

  1. Philips Avent

ขนาด 6 ออนซ์ (180 มิลลิลิตร) จุดเด่นของถุงเก็บน้ำนมรุ่นนี้คือ ช่องเปิดขนาดใหญ่ที่ทำให้การจัดเก็บน้ำนมและการนำน้ำนมออกมา ง่าย รวดเร็ว สะดวก วัสดุปราศจากสาร BPA ตัวถุงเหนียว ซิปและตะเข็บข้างแข็งแรง ซีลเก็บน้ำนมถึง 2 ชั้น จัดเก็บหรือพกพาในการเดินทางทำได้สะดวก ถุงสามารถวางตั้งอยู่ได้ด้วยตนเองและวางราบเพื่อให้ง่ายต่อการจัดเก็บในตู้เย็นหรือช่องแช่แข็ง

เว็บไซต์อ้างอิง: https://www.philips.co.th/

รีวิวถุงเก็บน้ำนม

อ้างอิงรูปภาพ: https://www.philips.co.th/

 

  1. Nanny

ขนาด 5 ออนซ์ (150 มิลลิลิตร) และขนาด 8 ออนซ์ (240 มิลลิลิตร) เป็นถุงเก็บน้ำนมคุณภาพสูงที่ได้รับการรับรองจากสถาบันทั้งในไทยและต่างประเทศ วัสดุระดับพรีเมี่ยม สะอาดและปลอดภัยสูงสุด ระบบซีลปิดปากถุงเป็นแบบดับเบิ้ลซิปล็อค โดยมีพื้นที่เขียนบันทึกอยู่ด้านบนของตัวถุง และพื้นที่เขียนไม่กินบริเวณที่บรรจุน้ำนม ป้องกันการปนเปื้อนจากหมึกปากกา ตัวถุงวางตั้งได้ทำให้สะดวกเวลาเทนมใส่ และวางนอนเพื่อเพิ่มพื้นที่ในการจัดเก็บได้

เว็บไซต์อ้างอิง: http://www.nannyproducts.com/

รีวิวถุงเก็บน้ำนม

อ้างอิงรูปภาพ: https://www.facebook.com/nannybabyproduct/

  1. Nanobébé 

ขนาด 5 ออนซ์ (150 มิลลิลิตร) ถือว่าเป็นขนาดกะทัดรัด วัสดุในการผลิตปลอดสาร BPA ตัวถุงแต่ละถุงสามารถวางซ้อนกันได้อย่างพอดี สามารถจัดเรียงเข้าช่องแช่เย็นได้แบบไม่กินพื้นที่ มีตัว Storage (ซื้อคู่กันพร้อมถุงน้ำนม) ที่เป็นการออกแบบสำหรับการจัดเก็บถุงน้ำนมให้จัดเรียงตามวันที่จัดเก็บและนำออกมาใช้ตามวันหมดอายุได้อย่างสะดวก คุณแม่ที่ชอบแนว minimal น่าจะถูกใจถุงเก็บน้ำนมแบรนด์นี้

เว็บไซต์อ้างอิง: https://www.facebook.com/nanobebethailand/

รีวิวถุงเก็บน้ำนม

อ้างอิงรูปภาพ: https://www.facebook.com/nanobebethailand/

 

  1. Lamoon

ขนาด 8 ออนซ์ (240 มิลลิลิตร) มีสีสันที่น่ารัก 3 รูปแบบ เกรดเดียวกับที่นำไปใช้ผสมอาหาร ไม่ต้องกังวลว่าสีจะไปปนเปื้อนกับนมและเป็นอันตรายต่อสุขภาพเด็ก มีซิปล็อค 2 ชั้นและตัวถุงป้องกันการปนเปื้อนด้วยช่องเทเข้า-ออก แยกจากกัน สินค้าถุงเก็บน้ำนมนี้โดดเด่นด้วยตัวบอกสถานะอุณหภูมิของน้ำนมช่วยบอกอุณหภูมิที่เหมาะสม (เย็นเกินไป/ร้อนเกินไป/พร้อมดื่ม) โดยแสดงเป็นสีให้คุณแม่เห็นสะดวก ผิวสัมผัสด้านทั้งถุงทำให้จับไม่ลื่นมือ มีช่องข้อมูลขนาดใหญ่ที่เขียนง่ายด้วยปากกาลูกลื่นและมองเห็นข้อมูลได้ชัดเจน

เว็บไซต์อ้างอิง: https://www.lamoonbaby.com/press/7350/

ถุงเก็บน้ำนม

อ้างอิงรูปภาพ: https://www.lamoonbaby.com/

 

อ่านต่อ.. รีวิวถุงเก็บน้ำนม สะอาด พกพาสะดวก ..ได้ที่หน้า 2

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

คาร์ซีทแรกเกิด คาร์ซีท

คลิปจำลองเหตุรถชน 5 แบบเผยให้เห็น คาร์ซีทแรกเกิด ปกป้องลูกได้

Alternative Textaccount_circle
event
คาร์ซีทแรกเกิด คาร์ซีท
คาร์ซีทแรกเกิด คาร์ซีท

คาร์ซีทแรกเกิด สำหรับเด็ก ของจำเป็นที่คุณจะเห็นประโยชน์เมื่อยามเกิดอุบัติเหตุ มาดูคลิปแสดงความปลอดภัย สาธิตการชน 5 แบบแล้วจะรู้ว่าคาร์ซีทสำคัญ

คลิปจำลองเหตุรถชน 5 แบบเผยให้เห็น คาร์ซีทแรกเกิด ปกป้องลูกได้!!

คาร์ซีท (Car Seat) ของควรมีหากคุณพ่อคุณแม่ต้องการพาลูกนั่งรถ คาร์ซีทแรกเกิด ที่ใคร ๆ หลายคนต่างกังวลว่าควรมีหรือไม่ ลูกจะสามารถนั่งคาร์ซีทได้ตอนอายุเท่าไหร่ หรือเด็กเล็ก ทารกแค่ให้แม่อุ้มไว้ขณะนั่งรถก็เพียงพอแล้ว ไม่อันตรายหรอก ก่อนจะด่วนสรุปสิ่งใด ขอแนะนำให้ทุกท่านลองรับชมคลิปต่อไปนี้ คลิปดีดี ที่จะทำให้คุณพ่อคุณแม่มีมุมมองที่เปลี่ยนไปกับ คาร์ซีท

 

คลิปแสดงความปลอดภัยเมื่อให้เด็กทารกนั่งบนรถที่มีการชน หรือเบรคกระทันหัน โดยจำลองสถาณการณ์ 5 แบบ
  1. ไม่คาด seat belt
  2. คาด seat belt (แบบนี้จะไปอันตรายที่สมอง และกระดูกสันหลังแทน)
  3. ให้แม่ของเด็กอุ้มเอาไว้
  4. นั่ง car seat แบบหันหน้า
  5. นั่ง car seat แบบหันหลัง
ที่มา : ถึงบางอ้อกับหมอเอ

พ.ร.บ.จราจรทางบก เด็กอายุไม่เกิน 6 ปี ต้องนั่งคาร์ซีท บูสเตอร์ซีท ขณะ เด็กสูงไม่เกิน 135 ซม. ต้องคาดเข็มขัดนิรภัย ห้ามอุ้มนั่งเด็ดขาด ฝ่าฝืนมีโทษปรับ 2 พัน!!

เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ พ.ร.บ.จราจรทางบก (ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2565 เมื่อวันที่ 7 พ.ค. 2565 บัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด 120 วันนับแต่วันประกาศ ในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้

มาตรา 7 ให้ยกเลิกความในมาตรา 123 แห่งพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 14/2560 เรื่อง มาตรการ เพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการจราจรทางบก ลงวันที่ 21 มีนาคม พุทธศักราช 2560 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา 123 ภายใต้บังคับมาตรา 123/1 ในขณะขับรถยนต์ ผู้ที่อยู่ในรถยนต์ต้องปฏิบัติ ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ดังต่อไปนี้

1) ผู้ขับขี่ ต้องรัดร่างกายด้วยเข็มขัดนิรภัยไว้กับที่นั่งตลอดเวลาในขณะขับรถยนต์

(2) คนโดยสาร

(ก) คนโดยสารที่นั่งแถวตอนหน้าและที่นั่งแถวตอนอื่น ต้องรัดร่างกายด้วยเข็มขัดนิรภัย ไว้กับที่นั่งตลอดเวลาในขณะโดยสารรถยนต์

(ข) คนโดยสารที่เป็นเด็กอายุไม่เกิน 6 ปี ต้องจัดให้นั่งในที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็ก หรือนั่งในที่นั่งพิเศษสำหรับเด็กเพื่อป้องกันอันตราย หรือมีวิธีการป้องกันอันตรายในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ

(ค) คนโดยสารที่มีความสูงไม่เกิน 135 เซนติเมตร ต้องรัดร่างกายด้วย เข็มขัดนิรภัยไว้กับที่นั่ง หรือมีวิธีการป้องกันอันตรายในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ ไม่ว่าจะนั่งแถวตอนใด

ในกรณีที่ผู้ขับขี่หรือคนโดยสารมีเหตุผลทางสุขภาพอันไม่สามารถรัดร่างกายด้วยเข็มขัดนิรภัย ไว้กับที่นั่งได้ ให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามวรรคหนึ่ง แต่บุคคลนั้นต้องมีวิธีการป้องกันอันตราย ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ

ที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็กและที่นั่งพิเศษสำหรับเด็กเพื่อป้องกันอันตรายตาม (2) (ข) และวิธีการ ป้องกันอันตรายในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุตามที่บัญญัติไว้ในมาตรานี้ ให้เป็นไปตามที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติประกาศกำหนด

พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2565” มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันประกาศ ในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

ทั้งนี้ หากผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตาม ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท

ที่มา : https://www.bangkokbiznews.com
คาร์ซีทแรกเกิด จำเป็น
คาร์ซีทแรกเกิด จำเป็น

8 จุดสำคัญของเด็กที่พ่อแม่ต้องรู้ก่อนให้ทารกนั่งรถ มีดังนี้ 

  1. สมองและศีรษะที่เปราะบาง เด็กแรกเกิด จะมีขนาดศีรษะเท่ากับ 1 ใน 4 ของร่างกาย ถือได้ว่ามีน้ำหนักมากเมื่อเทียบกับ ขนาดของร่างกายโดยรวม คาร์ซีทจึงควรมีที่ปกป้องบริเวณศีรษะ
  2. ระบบหายใจที่ยังพัฒนาไม่เต็มที่ ทารกจะใช้ท้องเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งที่ช่วยในการหายใจ บ่อยครั้งเมื่อบริเวณท้องงอตัวหรือถูกกดทับ จะเกิดสภาวะหายใจติดขัดได้ง่าย คาร์ซีทจึงควรที่จะมีองศาการนอนที่เหมาะสม โดยองศาที่เหมาะสมอยู่ที่ 135-170 องศา
  3. กระดูกสันหลังที่ยังไม่สามารถทรงตัวได้ เด็กแรกเกิดจะมีแนวกระดูกสันหลังเป็นเส้นตรง สะโพกสามารถเคลื่อนได้ง่าย ดังนั้นเราจึงควรดูแลจัดให้สรีระอยู่ในท่านั่งและนอน ที่เหมาะสมสามารถขยับแขนและขาได้ง่ายเป็นธรรมชาติ คาร์ซีทแรกเกิดจึงเป็นสิ่งที่ควรมีเพื่อช่วยปกป้องเด็กในเรื่องนี้
  4. ระบบควบคุมอุณหภูมิในร่างกายที่ยังพัฒนาไม่เต็มที่เด็กแรกเกิด มีความสามารถในการควบคุมอุณหภูมิในร่างกายต่ำ ดังนั้นการช่วยปรับอุณหภูมิแวดล้อมให้เหมาะสมจึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง คาร์ซีทควรมีการระบายอากาศที่ดีโดยเฉพาะด้านหลังของตัวเด็ก เพราะเป็นจุดที่เหงื่อออกง่ายและมากกว่าจุดอื่น ๆ
  5. การนอนที่ยังไม่เป็นระบบ เด็กแรกเกิด จะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการนอน และเมื่อเข้าสู่เดือนที่ 4 จะเริ่มเรียนรู้ความแตกต่างของกลางวันกลางคืน
  6. ผิวหนังบองบางไวต่อสิ่งสัมผัส ผิวหนังของเด็กมีความหนาเพียงครึ่งเดียวของผิวผู้ใหญ่ จึงไวต่อสิ่งสัมผัสและแห้งง่าย ด้วยรูขุมขนที่ละเอียดเล็ก จึงทำให้คลายความร้อนได้ช้า มีเหงื่อออกมาก เนื้อผ้าของคาร์ซีทก็ควรที่จะปลอดภัยต่อผิวเด็ก ไม่ก่อเกิดอาการแพ้ และก็ควรระบายอากาศไม่กักเก็บเหงื่อ เพราะจะทำให้เด็กรู้สึกไม่สบายตัว หรืออาจเกิดอาการแพ้เหงื่อตัวเอง
  7. ประสาทสัมผัสที่อ่อนแอ ทารกจะมีระยะการมองเห็นสั้นๆ สายตา การมองเห็นยังไม่ดีพอ เด็กจะรับรู้ข้อมูลส่วนใหญ่ ผ่านการสัมผัสทางด้านร่างกาย คาร์ซีทจึงควรมีหลังคาที่สามารถปิดบังแสงแดด และสามารถป้องกันรังสี UV ที่เป็นอันตรายต่อทั้งผิวและสายตาของเด็ก
  8. ระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย ที่ยังพัฒนาไม่เต็มที่ สิ่งแวดล้อมรอบตัว เด็กแรกเกิด จะมีผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน และก่อให้เกิดภูมิแพ้ที่ติดตัวเด็กไปเป็นระยะเวลาหลายปี ทารกจะมีระยะมองเห็นสั้นๆ รับรู้ข้อมูลผ่านการสัมผัสทางด้านร่างกาย

อ่านต่อ>> เคล็ดลับวิธีการฝึกลูกให้นั่งคาร์ซีท คลิกหน้า 2

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

รีวิวนมกล่อง

รีวิวนมกล่อง UHT หอม อร่อย มีประโยชน์

Alternative Textaccount_circle
event
รีวิวนมกล่อง
รีวิวนมกล่อง

เมื่อเด็กโตขึ้น ข้าวจะเข้ามาเป็นอาหารหลักแทนที่นม ส่วนนมจะกลายเป็นอาหารเสริมเพื่อเพิ่มแคลเซียม โปรตีนและวิตามินต่าง ๆ ให้แก่เด็กในแต่ละช่วงวัย อย่างไรก็ตามนมยังถือเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงตลอดกาล หาดื่มได้ง่าย โดยเฉพาะนมวัว ซึ่งนมวัวจะมีแคลเซียมสูงกว่านมชนิดอื่น ๆ ตัวแคลเซียมในนมจะส่งผลต่อพัฒนาการด้านร่างกายของเด็ก มีผลต่อการเพิ่มความสูง เป็นส่วนประกอบหลักในการเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกและฟัน เป็นแร่ธาตุสำคัญในกระบวนการทำงานต่าง ๆ ของร่างกาย หากคุณพ่อคุณแม่กำลังมองหานมกล่องที่ช่วยเสริมสารอาหารให้ลูกรัก วันนี้กองบรรณาธิการมี รีวิวนมกล่อง UHT 10 แบรนด์ที่น่าสนใจ มาฝากคุณพ่อคุณแม่กันค่ะ

รีวิวนมกล่อง UHT หอม อร่อย มีประโยชน์

รีวิวนมกล่อง

ประเภทของนมกล่อง

  1. นมยูเอชที (UHTหรือ Ultra-High Temperature Milk) ขั้นตอนการผลิตมีการฆ่าเชื้อจนจุลินทรีย์ตายเกือบทั้งหมด สามารถเก็บไว้ได้นานประมาณ 6-8 เดือน มีสารอาหารครบถ้วน เพราะแทบจะไม่สูญเสียวิตามินใด ๆ จากการผลิต และมีการใส่สารอาหารที่เป็นประโยชน์เพิ่มเติมลงไปด้วย
  2. นมสเตอริไลซ์ (Sterilized Milk) ขั้นตอนการผลิตใช้ความร้อนสูงในการฆ่าเชื้อจุลินทรีย์จนตายหมด สามารถเก็บไว้ได้นานถึง 1 ปี แต่นมประเภทนี้จะสูญเสียวิตามินที่สำคัญบางอย่างไปในกระบวนการผลิต จึงมีสารอาหารไม่ครบถ้วน
  3. นมสดพาสเจอร์ไรซ์ (Pasteurized Milk) ขั้นตอนการผลิตมีการฆ่าเชื้อโดยใช้ความร้อน แต่ก็ยังมีจุลินทรีย์บางชนิดหลงเหลืออยู่บ้าง จึงต้องเก็บไว้ในตู้เย็นเท่านั้น และมีอายุประมาณ 7-10 วัน มีรสชาติที่หอมมันอร่อย ใกล้เคียงนมสดที่สุด

เลือกนมกล่องอย่างไรถึงเหมาะกับเด็ก

  • ผลิตจากแหล่งที่มีคุณภาพ ผ่านขั้นตอนการผลิตที่ได้มาตรฐาน ปลอดภัย
  • ก่อนเลือกซื้อ ต้องอ่านฉลากโภชนาการที่กล่องด้วยทุกครั้ง แต่เนื่องจากนมเป็นอาหารเสริมจากมื้อหลัก ไม่จำเป็นต้องเน้นดื่มนมกล่องที่เห็นว่าให้ปริมาณสารอาหารหรือพลังงานมากที่สุด นมกล่องที่ดีควรมีสารอาหารที่สำคัญอย่างครบถ้วน ในปริมาณที่เหมาะสมกับวัยของเด็ก เพื่อเสริมสร้างพัฒนาการและการเติบโตอย่างเต็มที่
  • กล่องนมมีสภาพปกติ ไม่มีส่วนไหนบุบ บวม หรือรั่วออกมา ต้องมีวันเดือนปีที่ผลิตและวันหมดอายุระบุไว้อย่างชัดเจน
  • ความชอบของเด็ก ควรรู้หรือสอบถามมาก่อนว่าเด็กชอบรสชาติแบบไหน เลือกแบบที่เด็กชอบ เด็กจะมีความสุขกับการดื่มนมโดยไม่ต้องบังคับ ดื่มได้ทุกวัน

แนะนำ 10 นมกล่อง แคลเซียมสูง ช่วยส่งเสริมพัฒนาการสำหรับเด็ก

  1. Enfagrow A+ Superior สูตร 3

นมเอนฟาโกร เอพลัส ซุพีเรียร์ เป็นนมกล่อง UHT แบบเติมสารอาหาร ขนาดบรรจุ 1 กล่อง มีปริมาณ 180 มิลลิลิตร นอกจากรสจืดยอดนิยมแล้ว ยังมีอีก 3 รส ได้แก่ รสวานิลลา, รถช็อกโกแลต และรสน้ำผึ้ง ตัวนมมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ดื่มง่าย อิ่มท้องนานหลังดื่ม จากฉลากโภชนาการที่กล่องมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ครบถ้วน มีแคลเซียม, ดีเอชเอ, โอเมก้าสูง ซึ่งมีส่วนสำคัญในการสร้างเซลล์สมอง ที่สำคัญมีการใส่ธาตุเหล็ก ซึ่งเป็นแร่ธาตุสำคัญที่เด็กๆ มักขาดลงในนมด้วย แต่เพราะมีสารอาหารเพิ่มเติมครบถ้วนในปริมาณสูง ราคาถ้าเทียบกับนมกล่องยี่ห้ออื่นจึงจัดว่าราคาสูง

เว็บไซต์อ้างอิง: www.enfababy.com/ยูเอชทีเอนฟาโกรเอพลัสซุพีเรียร์สูตร3

รีวิวนมกล่อง

อ้างอิงรูปภาพ: www.enfababy.com/ยูเอชทีเอนฟาโกรเอพลัสซุพีเรียร์สูตร3

 

  1. Thai-Danish UHT Fresh Milk

นม UHT ไทยเดนมาร์ค หรือที่เรียกว่านมวัวแดง (เรียกตามรูปวัวสีแดงบนกล่องนม) ทำมาจากน้ำนมโคสดแท้ ไม่ผสมนมผง มีหลายขนาดและราคา ตั้งแต่ปริมาณ 125 มิลลิลิตร 200 มิลลิลิตร และ 250 มิลลิลิตร มีแคลเซียมจากธรรมชาติและโปรตีนสูง เป็นนมที่อยู่คู่กับคนไทยมายาวนาน รสชาติอร่อย ดื่มง่าย มี 3 รส คือ รสจืด รสหวาน และรสช็อกโกแลต ถ้าเด็กทานอาหารครบมื้อครบถ้วน การดื่มนม UHT ไทยเดนมาร์คที่เป็นน้ำนมโคสดแท้ ก็เพียงพอที่จะช่วยเสริมในเรื่องของแคลเซียมและโปรตีนให้แก่ร่างกาย ราคาไม่แพง หาซื้อได้ง่าย

เว็บไซต์อ้างอิง: https://www.dpo.go.th/product/นม-ยู-เอช-ที/

รีวิวนมกล่อง

อ้างอิงรูปภาพ: https://f.btwcdn.com/store-49776/product/d7b59592-ca2c-98b7-ed1f-61f7ff660e20.jpg

 

  1. Hi-Q UHT 1 Plus ซูเปอร์โกลด์ 

นมไฮ-คิว 1 พลัส ซูเปอร์โกลด์ เป็นนมกล่อง UHT แบบเติมสารอาหาร ขนาดบรรจุ 1 กล่องมีปริมาณ 180 มิลลิลิตร มีรสจืดที่หอมมันอร่อย จากฉลากโภชนาการที่กล่องมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ครบถ้วน โดยมีโอเมก้าในปริมาณสูง ด้วยรสชาตินมที่หอมมันอร่อย เลยเป็นนมกล่องที่เด็ก ๆ ชื่นชอบและมักจะดื่มบ่อยครั้งต่อวัน

เว็บไซต์อ้างอิง: https://www.hifamilyclub.com/products/toddler-products.html

นมกล่อง UHT

อ้างอิงรูปภาพ: https://danonecareplus.com/th/product/detail/hiq-uht-1-plus-super-gold

 

  1. นมจิตรลดา

นมจิตรลดารสจืด UHT ทำมาจากน้ำนมโคสดแท้ 100% ไม่ผสมนมผง ไม่มีส่วนผสมของน้ำตาล ขนาดบรรจุ 1 กล่องมีปริมาณ 200 มิลลิลิตร รสชาติจืดเข้มมันอร่อย ทานง่าย มีแคลเซียมสูง ไม่ทำให้ท้องผูก ราคาไม่แพง มีขายในร้านสะดวกซื้อ แต่หาซื้อยากเพราะมักจะถูกซื้อยกแพ็คทำให้หมดเร็ว

เว็บไซต์อ้างอิง: https://www.theroyalproject.org/product-category/uht/

นมกล่อง UHT

อ้างอิงรูปภาพ: https://www.theroyalproject.org/wp-content/uploads/2020/09/FP-01_UHT-1000.png

 

อ่านต่อ.. รีวิวนมกล่อง UHT หอม อร่อย มีประโยชน์ ..ได้ที่หน้า 2

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

นิทานภาษาอังกฤษ

นิทานภาษาอังกฤษ สนุก และได้ฝึกทักษะด้านภาษา

Alternative Textaccount_circle
event
นิทานภาษาอังกฤษ
นิทานภาษาอังกฤษ

นิทานอีสป นิทาน 2 ภาษา นิทานภาษาอังกฤษ นอกจากความสนุกสนานเพลินเพลิดแล้ว ยังได้ฝึกพัฒนาการทางด้านภาษา และได้คติสอนใจดีๆ จากนิทานอีกด้วย

นิทานภาษาอังกฤษ สนุก และได้ฝึกทักษะด้านภาษา

การอ่าน นิทานก่อนนอน ให้ลูกฟังมีประโยชน์หลายด้าน เด็กจะมีพัฒนาการทางด้านอารมณ์ ความคิด สติปัญญา ได้รับความสุข ความอบอุ่นจากคุณพ่อคุณแม่ หากเล่า นิทานภาษาอังกฤษ ลูกก็จะได้ประโยชน์ในการพัฒนาด้านภาษาเพิ่มขึ้นอีกด้วย ดังนั้น ทีมกองบรรณาธิการ ABK จึงได้นำนิทานอีสป แบบ 2 ภาษา มาฝากในวันนี้ค่ะ

นิทานเรื่อง เด็กเลี้ยงแกะกับหมาป่า
นิทานเรื่อง เด็กเลี้ยงแกะกับหมาป่า

นิทานภาษาอังกฤษ สนุก และได้ฝึกทักษะด้านภาษา

นิทานอีสป : เด็กเลี้ยงแกะกับหมาป่า (The Shepherd Boy & the Wolf)

ณ หมู่บ้านชายป่า มีเด็กเลี้ยงแกะคนหนึ่งชอบพูดโกหกเป็นประจำ วันหนึ่งเกิดนึกสนุกอยากแกล้งชาวบ้านจึงร้องตะโกนว่า “ช่วยด้วย ๆ หมาป่ามันจะมากินแกะแล้ว” ชาวบ้านต่างพากันมาช่วย พอเด็กเลี้ยงแกะเห็นชาวบ้านวิ่งหน้าตาตื่นก็หัวเราะด้วยความชอบใจ แล้วชอบเล่นสนุปแบบนี้อีกหลายครั้ง ชาวบ้านก็พากันวิ่งหน้าตาตื่นมาช่วยเขาทุกครั้ง และพบว่าพวกเขาถูกหลอกอีกเช่นเคย จนวันหนึ่งหมาป่าก็มาจริง ๆ คราวนี้เด็กเลี้ยงแกะตะโกนให้คนมาช่วยสุดเสียง “ช่วยด้วย ๆ หมาป่ามันจะมากินแกะแล้ว” แต่ครั้งนี้กลับไม่มีชาวบ้านออกมาช่วยเด็กเลี้ยงแกะอีกแล้ว เพราะคิดว่าเขาคงจะโกหกอีก สุดท้ายเจ้าหมาป่าจึงกินแกะของเด็กเลี้ยงแกะไปทีละตัว ๆ จนหมด

A Shepherd Boy tended his master’s Sheep near a dark forest not far from the village. Soon he found life in the pasture very dull. All he could do to amuse himself was to talk to his dog or play on his shepherd’s pipe.

One day as he sat watching the Sheep and the quiet forest, and thinking what he would do should he see a Wolf, he thought of a plan to amuse himself.

His Master had told him to call for help should a Wolf attack the flock, and the Villagers would drive it away. So now, though he had not seen anything that even looked like a Wolf, he ran toward the village shouting at the top of his voice, “Wolf! Wolf!”

As he expected, the Villagers who heard the cry dropped their work and ran in great excitement to the pasture. But when they got there they found the Boy doubled up with laughter at the trick he had played on them.

A few days later the Shepherd Boy again shouted, “Wolf! Wolf!” Again the Villagers ran to help him, only to be laughed at again.

Then one evening as the sun was setting behind the forest and the shadows were creeping out over the pasture, a Wolf really did spring from the underbrush and fall upon the Sheep.

In terror the Boy ran toward the village shouting “Wolf! Wolf!” But though the Villagers heard the cry, they did not run to help him as they had before. “He cannot fool us again,” they said.

The Wolf killed a great many of the Boy’s sheep and then slipped away into the forest.

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

คนที่ชอบโกหก แม้พูดความจริงก็ไม่มีใครเชื่อ

Liars are not believed even when they speak the truth.

 

อ่านต่อ…นิทานภาษาอังกฤษ สนุก และได้ฝึกทักษะด้านภาษา คลิกหน้า 2

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

รีวิวแป้งเด็ก

รีวิวแป้งเด็ก ผิวลื่น แห้งสบาย ปลอดภัยต่อเด็ก

Alternative Textaccount_circle
event
รีวิวแป้งเด็ก
รีวิวแป้งเด็ก

แป้งเด็กเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กที่ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยในการใช้งานและต้องไม่เป็นอันตรายต่อผิวอันบอบบาง ไม่ระคายเคืองผิว ลดความอับชื้น ใช้แล้วสบายตัว แต่ในสมัยก่อนเมื่อไม่มีการวิจัยทางการแพทย์อย่างถี่ถ้วน แป้งเด็กทาตัวหรือแป้งฝุ่นโรยตัวนิยมผสมสารทัลคัมเป็นส่วนประกอบ เพราะคุณสมบัติเด่นของสารทัลคัม คือ ดูดซับความเปียกชื้นและลดการเสียดสีของผิวหนัง อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการวิจัยทางการแพทย์อย่างละเอียด กลับพบว่าแม้สารทัลคัมจะช่วยให้ผิวเรียบเนียนขึ้น แต่สารทัลคัมที่มีลักษณะเป็นผงละเอียด จะทำให้แป้งที่ผสมกับทัลคัมฟุ้งในอากาศและเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจของเด็ก จะก่อให้เกิดอาการระคายเคือง และด้วยทัลคัมเป็นสารอนินทรีย์ไม่สามารถย่อยสลายเองได้ หากเด็กใช้ในระยะเวลานาน จึงไปสะสมในร่างกายจนเป็นผลให้เด็กเป็นโรคระบบทางเดินหายใจได้ วันนี้กองบรรณาธิการ จึงมา รีวิวแป้งเด็ก พร้อมวิธีการเลือกแป้งเด็กให้ปลอดภัยกับลูกรักของเรากันค่ะ

รีวิวแป้งเด็ก ผิวลื่น แห้งสบาย ปลอดภัยต่อเด็ก

รีวิวแป้งเด็ก

ทำไมต้องปลอดสารทัลคัม (Talcum หรือ Talc) 

สารทัลคัม เป็นสารอนินทรีย์หรือแร่หินทัล (Talc) เป็นแร่ที่พบได้ทั่วไปในธรรมชาติ เป็นสารอนินทรีย์ ที่ไม่สามารถย่อยสลายได้ด้วยจุลินทรีย์ในธรรมชาติ ซึ่งองค์การอนามัยโลก (WHO ) และ U.S. Environmental Protection Agency จัดเป็นสารก่อมะเร็งที่ไม่สามารถจัดจำพวกได้ โดยในกระบวนการผลิตแป้งเด็ก ทัลคัมจะถูกนำมาใช้โดยการนำมาบดให้ละเอียด ทำให้แห้ง แล้วฆ่าเชื้อในกระบวนการผลิต

ดังนั้น การเลือกแป้งเด็กควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีฉลากแจกแจงส่วนประกอบอย่างชัดเจนเพื่อความปลอดภัย ซึ่งผู้ผลิตทั้งในประเทศและต่างประเทศหลายรายในปัจจุบันหันมาเลือกใช้ผงแป้งจากพืชทดแทนการใช้ทัลคัมแล้ว 

ประโยชน์ของแป้งเด็ก

  • ดูดซับความชื้น ช่วยดูแลผิวของเด็กให้แห้งสบายตลอดวัน ทำให้สบายตัว
  • ลดการเสียดสีจากผ้าอ้อม ลดการระคายเคือง ปกป้องผิวจากความเปียกชื้นและลดการเกิดผดผื่น
  • ควบคุมการระเหยของน้ำในชั้นผิวให้เป็นไปอย่างพอเหมาะ คงความชุ่มชื้นให้ผิวที่บอบบาง

เลือกแป้งเด็กอย่างไรให้ปลอดภัยต่อลูกรัก

  • ผ่านการทดสอบการแพ้จากแพทย์ โดยสังเกตว่ามีสัญลักษณ์ไฮโป-อัลเลอร์เจนิกกำกับ สัญลักษณ์ Hypo-Allergenic ช่วยยืนยันถึงการทดสอบทางการแพทย์ที่เป็นมาตรฐานสากลที่ควบคุมโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังอย่างใกล้ชิด ทำให้แน่ใจได้ว่าผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการทดสอบนั้นมีความอ่อนโยน จะไม่ก่อให้เกิดการแพ้และระคายเคือง สามารถใช้ได้กับทั้งผิวแพ้ง่ายหรือผิวที่บอบบาง
  • เลือกแป้งที่มีเนื้อเนียนละเอียด ไม่ฟุ้งกระจาย มีคุณสมบัติป้องกันความเปียกชื้นซึ่งจะช่วยลดผดผื่นและความระคายเคือง
  • เลือกแป้งเด็กที่ผลิตจากพืช เช่น ข้าวโพด หรือ ข้าวเจ้าที่สามารถย่อยสลายได้ ลดการสะสมตามเสื้อผ้า หรือในระบบทางเดินหายใจ

ใช้แป้งเด็กอย่างไรให้ปลอดภัยและถูกวิธี

  • ระวังอย่าให้แป้งเข้าจมูก และปาก ขณะใช้ต้องระมัดระวังไม่ให้ฟุ้งกระจาย ป้องกันเด็กสูดดมแป้ง
  • ใช้แป้งเด็กในปริมาณที่เหมาะสม เทแป้งเด็กลงบนฝ่ามือครั้งละน้อยๆ ก่อน แล้วค่อย ๆ ทาแป้งเด็กให้ทั่วตัว ห้ามโรยแป้งเด็กไปที่ตัวแล้วทาแป้งเด็กไปให้ทั่ว ๆ ตัว ซึ่งวิธีการทาแป้งเด็กแบบนี้แป้งเด็กจะฟุ้งกระจายไปทั่ว และสามารถเข้าปากและจมูกของเด็กได้ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดอาการภูมิแพ้
  • ห้ามโรยแป้งเด็กที่สะดือ โดยเฉพาะในเด็กวัยแรกเกิด เพราะแป้งเด็กจะเข้าไปอุดตันในสะดือและทำให้เกิดการอักเสบ
  • เก็บแป้งให้ห่างไกลมือเด็ก เพราะเด็กอาจเอาไปเขย่าเล่น ทำให้แป้งหกหรือเผลอสูดดมเข้าไปจนสำลักแป้งเข้าปอด
  • เช็ดแป้งที่สะสมตามข้อพับออกเพื่อป้องกันการหมักหมมจากเหงื่อไคล
  • ไม่ควรใช้กับบริเวณจุดซ่อนเร้น

 

แป้งเด็กที่ปลอดภัยจะต้องไม่มีส่วนผสมดังนี้

  • น้ำหอม (Fragrance) เป็นสาเหตุทำให้เกิดการระคายเคือง
  • พาราเบนส์ (Paraben) เป็นสารกันเสียทำให้ผิวแพ้ง่าย
  • น้ำมันมิเนอรัล (Mineral Oil) เป็นสารเคลือบผิวก่อให้เกิดการอุดตันของรูขุมขน
  • สารทัลคัม (Talcum หรือ Talc) เป็นสารอนินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรคระบบทางเดินหายใจเมื่อใช้เป็นระยะเวลานาน ทำให้เด็กอาจเป็นโรคหอบหืดได้

10 แบรนด์แป้งเด็ก ปลอดภัยจากสารเคมี อ่อนโยนต่อผิวทารก

  1. แป้งเด็กแคร์คลาสสิค สูตรไฮโป-อัลเลอร์เจนิก (Care Classic Baby Powder สีฟ้า)

ผ่านการทดสอบไฮโป-อัลเลอร์เจนิก โดยแพทย์ผิวหนังประเทศสหรัฐอเมริกาแล้วว่าเป็นสูตรที่อ่อนโยน มีส่วนประกอบเป็นสารสกัดธรรมชาติจากขมิ้น ช่วยลดผดผื่นที่เกิดจากการเปียกชื้น ไม่ทำให้เกิดการระคายเคือง ไม่กระตุ้นให้เด็กเกิดอาการผิวแพ้ง่าย มีกลิ่นหอมอ่อนโยน เนื้อแป้งเนียนสีขาว

เว็บไซต์อ้างอิง: https://www.care.co.th/

รีวิวแป้งเด็ก

 อ้างอิงรูปภาพ: https://www.care.co.th/

 

  1. Absorba (แอ็บซอร์บา)

แป้งเด็กสูตรอ่อนโยน สินค้าแบรนด์จากฝรั่งเศส กลิ่นหอมละมุน ผงแป้งไม่ฟุ้งกระจายตอนเท ใช้แป้งข้าวโพดซึ่งเป็นเกรดเดียวกับที่ได้รับการยอมรับในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางและยา เน้นความปลอดภัยต่อผิวและทำให้ผิวเรียบนุ่มลื่น แน่นอนว่าไม่มีส่วนผสมของ Talcum ซึ่งเป็นสารอนินทรีย์ที่ไม่สามารถย่อยสลายเองได้ตามธรรมชาติ รวมถึงไม่มีการทดลองหรือใช้ส่วนผสมจากสัตว์ จึงมีคุณสมบัติเป็นสินค้าที่เป็นมิตรต่อกลุ่มวีแกน (Vegan)  เนื้อแป้งสามารถซึมซับความชื้นได้ดีมาก ไม่สร้างความระคายเคืองให้แก่ผิว  

เว็บไซต์อ้างอิง: https://sahagrouponline.com/absorba

รีวิวแป้งเด็ก

อ้างอิงรูปภาพ: https://sahagrouponline.com/absorba

 

  1. ReisCare Baby Powder Extra Mild

แป้งเด็กไรซ์แคร์ มีเนื้อแป้งที่ขาวเนียนละเอียด อีกหนึ่งแบรนด์ที่มั่นใจได้ว่าปราศจากส่วนผสมของแป้งทัลคัม ผลิตจากแป้งข้าวบริสุทธิ์ ผ่านกระบวนการผลิตและฆ่าเชื้อด้วยกรรมวิธีทันสมัย สะอาดปลอดภัย ไม่ระคายเคืองต่อผิวที่บอบบาง ไม่สะสมในปอดหรือเกาะตัวเป็นคราบให้ไม่สบายตัวใต้ร่มผ้า ไม่กระตุ้นให้เกิดอาการแพ้

เว็บไซต์อ้างอิง: https://www.reiscare.com/

แป้งเด็ก

อ้างอิงรูปภาพ: https://www.facebook.com/commerce/products/reiscare

 

  1. Srichand Newborn Powder

แป้งโรยตัวสำหรับเด็กจากศรีจันทร์ เนื้อเนียนละเอียด หากทาให้เด็กสม่ำเสมอ ผิวเด็กจะเนียนนุ่ม ส่วนผสมผสานคุณค่าจากน้ำผึ้งและโปรตีนจากน้ำนมอัลมอนด์  อ่อนโยนจนใช้กับเด็กทารกตั้งแต่วัยแรกเกิดได้เลย แป้งดูดซับความเปียกชื้นส่วนเกินบนผิวได้ดี ปกป้องผิวให้แข็งแรงจนไม่ระคายเคืองได้ง่ายหรือเกิดภาวะผดผื่นคัน

เว็บไซต์อ้างอิง: https://www.facebook.com/srichandbaby/

แป้งเด็ก

อ้างอิงรูปภาพ: https://www.facebook.com/srichandbaby/photos/3534849056602389

 

อ่านต่อ.. รีวิวแป้งเด็ก ผิวลื่น แห้งสบาย ปลอดภัยต่อเด็ก ..ได้ที่หน้า 2

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

รีวิวหมอนคนท้อง

รีวิวหมอนคนท้อง แม่หลับสบาย ไม่ปวดหลัง

Alternative Textaccount_circle
event
รีวิวหมอนคนท้อง
รีวิวหมอนคนท้อง

อาการปวดหลังระหว่างตั้งครรภ์ เกิดจากโครงสร้างร่างกายของคุณแม่มีการเปลี่ยนแปลง เพื่อแบกรับน้ำหนักของทารกที่เพิ่มขึ้นตามอายุครรภ์ โดยน้ำหนักตัวของทารกที่เพิ่มขึ้น จะถ่วงท้องด้านหน้าของคุณแม่ ทำให้คุณแม่ต้องแอ่นตัวมาด้านหลัง ซึ่งพอแอ่นตัวมาทางด้านหลังจะส่งผลให้กล้ามเนื้อพยุงหลังต้องรับน้ำหนักเพิ่มมากขึ้น จนเกิดอาการเกร็งและปวดหลังปวดสะโพกตามมา นอกจากนี้ คุณแม่ตั้งครรภ์มักมีปัจจัยเรื่องการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนมากระตุ้นอาการปวดกล้ามเนื้อและหลังร่วมด้วย ฮอร์โมนที่มีการเปลี่ยนแปลงทำให้กระดูกข้อต่อหลวม นั่นคือที่มาของอาการปวดเวลาเดิน ยืน หรือแม้แต่เวลานั่งพักนิ่ง ๆ ถึงได้ยังมีอาการปวดหลัง ปวดสะโพก หรือปวดเมื่อยต่อเนื่องตลอดเวลา “หมอนคนท้อง” จึงเป็นตัวช่วยหนึ่ง ที่ช่วยให้คุณแม่อนหลับสบายมากขึ้น วันนี้กองบรรณาธิการมี รีวิวหมอนคนท้อง 10 แบรนด์น่าสนใจ มาให้คุณพ่อคุณแม่เลือกซื้อกัน

รีวิวหมอนคนท้อง แม่หลับสบาย ไม่ปวดหลัง

รีวิวหมอนคนท้อง

ทำไมต้องใช้หมอนคนท้อง

หมอนคนท้องช่วยบรรเทาความทรมานจากอาการปวดหลัง ลดอาการปวดเมื่อยตามตัว วิธีใช้งานให้เอาหมอนคนท้องวางรองเพื่อพิงหลังหรือรองไว้หลังสะโพกขณะนั่ง รวมถึงสามารถใช้รองรับน้ำหนักตัวของคุณแม่ขณะนอนก็ได้ ช่วยลดอาการปวดหลัง ปวดขา ปวดแขน คุณแม่จะสามารถนอนได้สบายตัวและหลับได้สนิท

หมอนคนท้องมีรูปร่างที่เข้ากันกับสรีระของคุณแม่ตั้งครรภ์ที่สุด โดยท่านอนตะแคงซ้ายจะเป็นท่านอนที่เหมาะสมที่สุดในระหว่างตั้งครรภ์ แต่ไม่ใช่ว่าคุณแม่จะถนัดการนอนตะแคงซ้าย และนอนตะแคงซ้ายได้ตลอดเวลา การมีหมอนคนท้องมาช่วยรองรับสรีระที่เปลี่ยนแปลงจะทำให้คุณแม่ไม่อึดอัด บรรเทาอาการปวดและสามารถพักผ่อนได้ยาวนานขึ้น ซึ่งเป็นผลดีต่อทารกในครรภ์

 

หมอนคนท้องมีกี่แบบ

หมอนคนท้องมีหลากหลายรูปแบบตามลักษณะการใช้งาน แต่ส่วนใหญ่จะมีดังนี้

  • หมอนคนท้องแบบลิ่ม มีน้ำหนักเบา พกพาง่ายใช้สะดวก ราคาไม่แพง ช่วยรองและพยุงท้องขณะคุณแม่นอนทำให้รู้สึกสบายท้องเวลานอน แต่ข้อจำกัดคือมีขนาดเล็กจึงไม่สามารถวางเข่าได้
  • หมอนคนท้องแบบตัวซี (C) ตัวหมอนเหมาะสำหรับท่านอนตะแคงตัวมาด้านใดด้านหนึ่ง ใช้รับน้ำหนักช่วงหลังและบริเวณหัวเข่า เหมาะกับบริเวณที่มีพื้นที่จำกัด
  • หมอนคนท้องแบบตัวอี (E) ตัวหมอนจะรองรับทุกสัดส่วน คุณแม่ท้องสามารถนอนตะแคงได้ทั้งซ้ายและขวา
  • หมอนคนท้องแบบตัวจี (G) ตัวหมอนรองรับได้ทุกสัดส่วนของคุณแม่ท้อง ช่วยให้นอนตะแคงซ้ายขวาได้สบาย โดยที่หมอนไม่ทับแขน และภายหลังคลอดยังสามารถปรับเปลี่ยนมาใช้งานเป็นหมอนรองให้นมลูกได้อีกด้วย
  • หมอนคนท้องแบบตัวยู (U) ตัวหมอนมีส่วนเว้าส่วนโค้งตามสรีระของคุณแม่ท้อง ช่วยให้สามารถนอนตะแคงซ้ายขวาได้สะดวก ไม่ต้องพลิกหมอนกลับด้านไปมา สามารถนอนหงายได้ และภายหลังคลอดยังสามารถปรับเปลี่ยนมาใช้งานเป็นหมอนรองให้นมลูก หรือเป็นหมอนฝึกนั่งสำหรับลูก
  • หมอนคนท้อง 5-Shape ตัวหมอนลักษณะคล้ายเลข 5 รองรับช่วงท้องและก้นได้อย่างดี ภายหลังคลอดสามารถใช้เป็นหมอนรองขณะให้นมลูก หรือใช้เป็นหมอนอิงก็ได้

เลือกหมอนคนท้องอย่างไรถึงได้ประโยชน์และคุ้มค่าที่สุด

  • รูปแบบการใช้งาน และเหมาะกับสรีระคุณแม่ตั้งครรภ์
  • ราคาและคุณภาพของสินค้าที่สมเหตุสมผล
  • ใช้วัสดุที่ดีทั้งด้านในและด้านนอก โดยภายนอกหมอนที่ต้องสัมผัสโดยตรงกับผิวเป็นประจำควรทำจากวัสดุธรรมชาติ ระบายอากาศได้ดี และป้องกันไรฝุ่น สามารถดูแลทำความสะอาดได้ง่าย ปลอกหมอนถอดซักได้ ส่วนวัสดุภายในควรเป็นวัสดุที่สามารถรองรับและกระจายน้ำหนักได้ดี ไม่นุ่มหรือไม่แข็งจนเกินไป
  • สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้งานได้ เช่น หลังคลอดใช้เป็นหมอนสำหรับนอนหรือนั่งให้นม หรือใช้เป็นหมอนที่ช่วยให้ทารกฝึกนั่งได้

รีวิวหมอนคนท้อง พร้อมใช้ ลดปวดหลัง

  1. Unilove Hopo 8 in 1 Multi Pillow

หมอนคนท้องแบบตัวยู ตัวหมอนสัมผัสเย็น ใช้แล้วสบายผิว วัสดุภายนอกผลิตจากผ้าฝ้ายธรรมชาติ ส่วนวัสดุภายในบุด้วยเส้นใยคูลไลท์ (Coolite) ที่ทางแบรนด์ระบุว่าเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะของแบรนด์นี้เท่านั้น ทำให้ไม่มีปัญหาเรื่องกลิ่นอับและไรฝุ่น ภายหลังคลอดสามารปรับเป็นหมอนสำหรับนอนหรือนั่งให้นมทารก คุณพ่อเองก็สามารถใช้งานเวลาให้นมทารกจากขวดนมได้ ปรับเปลี่ยนการใช้งานเป็นเบาะรองนอนสำหรับทารกได้ ใช้เป็นหมอนสำหรับฝึกนั่งของทารกได้ด้วย เรียกว่าใช้ได้ตั้งแต่คุณแม่ตั้งครรภ์จนลูกน้อยฝึกนั่งกันไปเลย

เว็บไซต์อ้างอิง: https://www.facebook.com/Unilove.thailand

รีวิวหมอนคนท้อง

อ้างอิงรูปภาพ:

https://www.facebook.com/Unilove.thailand/photos/pcb.637683157764721/637683084431395

 

  1. GLOWY Full Body Pillow

หมอนคนท้องแบบตัวยู ปลอกหมอนถอดซักได้ ผ้าไส้ในนั้นทางแบรนด์ระบุเคลือบกันไรฝุ่น กันเชื้อแบคทีเรีย สามารถใช้ได้ทั้งบ้าน ใช้ได้หลายท่า คุณแม่ท้องใช้ตอนหลังตื่นนอนจะสบาย ไม่ปวดเมื่อยตัว ขนาดหมอนรองรับคอ หลัง ไหล่ เนื้อหมอนให้สัมผัสนุ่มฟู เวลากดหรือลงน้ำหนักรู้สึกนุ่มแน่น ให้ความรู้สึกเหมือนมีหมอนมาโอบรอบตัวตลอดเวลาที่นอน และใช้หนุนหลังเวลานั่งอ่านหนังสือได้ดีมาก ภายหลังคลอดก็สามารปรับเป็นหมอนสำหรับนั่งให้นมทารกได้ด้วย

เว็บไซต์อ้างอิง: https://glowystar.com/th/articles/6856-glowy-full-body-pillow

รีวิวหมอนคนท้อง

อ้างอิงรูปภาพ: https://cache-igetweb-v2.mt108.info/

 

  1. ENFANT หมอน 8 IN 1 หมอนรองท้องอเนกประสงค์

ตัวหมอนสัมผัสนุ่มลื่นคล้ายกำมะหยี่ ไม่ระคายเคืองผิว ไม่เป็นขน นิ่มฟูไม่ยุบตัวง่าย ปลอกถอดออกทำความสะอาดซักได้ ใช้ได้ทั้งรองครรภ์ รองขาตั้งสูงให้เลือดไหลเวียนเพื่อลดบวม รองหลังนั่งพิงเวลาดูทีวี ปรับเป็นหมอนรองแขนลดความเมื่อยล้าเวลาให้นม เป็นเบาะนอนลูกแบบมีหมอนรองก้นหรือมีหมอนกันกรดไหลย้อนได้ รวมถึงใช้ฝึกนั่งให้กับลูกน้อยได้ด้วย คุณประโยชน์สมชื่อหมอน ใช้ได้เอนกประสงค์ทั้งคุณแม่และคุณลูก ใช้ยาวๆ ไปเลย

เว็บไซต์อ้างอิง: https://sahagrouponline.com/

หมอนคนท้อง

อ้างอิงรูปภาพ: https://i0.wp.com/

 

  1. Elava หมอนข้างคนท้อง

เวลาใช้ตัวหมอน หมอนกระจายแรงกดทับจากบริเวณอก ท้อง และขาได้ดี จะไม่อึดอัดท้องขึ้นมาที่อก ใช้แล้วจะหลับสบาย หมอนสามารถแยกออกได้เป็น 2 ชิ้นเอาไปใช้รองร่างกายส่วนอื่นๆ ที่เมื่อยล้า หรือใช้พิงหลังได้สบายๆ ตัวหมอนนุ่มนิ่มเป็นผ้าเยื่อไม้ ไม่เป็นขุย ไม่ระคายผิว ระบายอากาศได้ดี ให้สัมผัสเย็นสบาย ขนาดหมอนกะทัดรัด ไม่กินเนื้อที่ในการวางหรือเก็บ

เว็บไซต์อ้างอิง: https://www.facebook.com/elava.thailand

หมอนคนท้อง

อ้างอิงรูปภาพ: https://www.facebook.com/elava.thailand/

 

อ่านต่อ… รีวิวหมอนคนท้อง แม่หลับสบาย ไม่ปวดหลัง …ได้ที่หน้า 2

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

ขวดนมเด็ก

10 ขวดนมเด็ก Food grade ปลอดภัยต่อลูกรัก

Alternative Textaccount_circle
event
ขวดนมเด็ก
ขวดนมเด็ก

นมแม่เป็นอาหารที่ทรงคุณค่าทางโภชนาการที่สุดสำหรับทารก แต่คุณแม่อาจไม่ว่างโอบอุ้มลูกน้อยดื่มนมจากเต้าตลอดเวลา หรือเมื่อทารกเติบโตขึ้น พ้นวัยหนึ่งปีเข้าสู่วัยกำลังซน ปริมาณนมแม่อย่างเดียวอาจไม่เพียงพอหรือไม่สามารถให้คุณค่าทางอาหารที่ครบถ้วนเหมาะสมอีกแล้ว การให้นมชนิดอื่น เช่น นมวัวหรือนมแพะ จึงเป็นตัวช่วยเสริมเพื่อให้การพัฒนาการของเด็กเป็นไปอย่างเต็มที่ ดังนั้น ขวดนมเด็ก จึงเป็นสิ่งของหนึ่งที่ขาดไปเสียไม่ได้สำหรับทุกครอบครัวที่มีเด็กทารกจนถึงเด็กเล็กเป็นสมาชิกซึ่งโดยปกติก็จะเลิกดูดนมจากขวดไม่ได้เลยทันที

10 ขวดนมเด็ก Food grade ปลอดภัยต่อลูกรัก

 

ขวดนม มีส่วนประกอบสำคัญ คือ จุกนม ฝาจุกนมที่ใช้ปิดขวดนม และขวดนม ซึ่งปกติแล้วแต่ละแบรนด์จะบรรจุภัณฑ์ขายรวมกันมาเป็นเซ็ตขวดนมที่สมบูรณ์ แต่อาจจะมีการขายจุกนมแยกเพื่อให้นำไปเปลี่ยนใหม่ได้ เพราะจุกนมสามารถเก่าขาด ตันจนดูดยาก หรือเนื้อของวัตถุเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา แต่ในส่วนของฝาจุกนมจะมาพร้อมกับขวดนม ซึ่งขวดนมจะมีหลายขนาด เหมาะกับเด็กในวัยแตกต่างกัน

ขวดนมเด็ก

 

การเลือกขวดนม 

เฉพาะตัวขวดนม แบ่งเป็น 3 ประเภท ตามวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต

  1. ขวดนมแก้ว สามารถทนความร้อนได้ดี เอาเข้าเตาไมโครเวฟหรือนำไปนึ่งได้ ทำความสะอาดได้หมดจด แน่นอนว่าสามารถต้มเพื่อทำความสะอาดได้ แต่ข้อเสียคือเรื่องน้ำหนักที่ทารกในช่วงแรกจะถือเองไม่ไหว และมีความเสี่ยงคือขวดนมแก้วจะแตกได้หากตกจากที่สูง อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่ทำตก ขวดนมแก้วมีความคงทนและใช้ได้นานมาก ไม่ต้องห่วงเรื่องจะมีสารเคมีละลายมาปะปนกับนม หรือการเป็นรอยขีดข่วนซึ่งมักสะสมเชื้อโรค
  2. ขวดนมพลาสติก หาซื้อง่ายกว่าขวดนมแก้ว ราคาถูกกว่า พกพาไปนอกบ้านสะดวก ไม่ต้องกังวลเรื่องแตก ทารกสามารถถือประคองระหว่างนอนดื่มนมได้ถนัดมือ แต่จะทนความร้อนได้จำกัด อีกทั้งการทำความสะอาดอาจจะไปทำให้เกิดรอยขีดข่วนส่งผลให้เชื้อราหรือเชื้อโรคอื่น ๆ เข้าไปเติบโตและเป็นอันตรายแก่สุขภาพของลูกน้อยได้ 
  3. ขวดนม Tritan คือขวดนมพลาสติกที่ถูกพัฒนามาอีกขั้น พลาสติก Tritan เป็นสิทธิบัตรของบริษัท Eastman Chemical ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นพลาสติกที่มีความใสเหมือนแก้ว ปราศจากสารก่อมะเร็ง ทนความร้อนได้ถึง 100 องศา จึงมั่นใจในการใช้บรรจุนมร้อน ๆ  อีกทั้งยังทนทานจนยากต่อการเกิดรอยขีดข่วน 

ในส่วนของสีขวดนม เป็นปกติที่จะพบทั้งแบบแก้วใส สีขาวขุ่น สีชา สีน้ำผึ้ง หรือสีน้ำตาล โดยมาตรฐานขั้นต่ำขวดนมต้องทนความร้อนได้สูงถึง 110 องศาเซลเซียสเพื่อให้นึ่งได้ และขวดนมสีน้ำตาลมักมีอายุการใช้งานนานที่สุด สามารถใช้ได้ถึง 2 ปี 

ขวดนม จุกนม และช่วงวัย

เด็กในแต่ละช่วงวัยต้องการดื่มนมเป็นปริมาณที่แตกต่างกัน ทำให้แต่ละครั้งที่ดื่ม ก็ใช้เวลาในการดื่มแตกต่างกันด้วย รวมถึงความสามารถในการจับยกขวดนมหรือแรงดูดในแต่ละช่วงวัยก็แตกต่างกัน ดังนั้นการเลือกซื้อขวดนม จึงต้องเลือกขนาดขวดนมให้สัมพันธ์กับช่วงวัย เพื่อเด็กหรือคนป้อนจะได้ถือ และเด็กดูดนมได้คล่อง ดื่มจนหมดแทนที่จะเหลือนมติดขวดหรือก้นขวดไว้ ซึ่งปกตินมที่เหลือค้างจะเสียเร็วกว่านมในขวดนมที่ยังไม่ได้ดูดด้วย

ขวดนมและรูปร่างจุกนม มักพบว่าแบ่งขนาดบรรจุตามช่วงอายุ ดังนี้

  • สำหรับเด็กอ่อน 3 เดือนแรก
    • ขวดนมไซส์ SS-S มีความจุประมาณ 3-5 ออนซ์ (หรือประมาณ 90 – 150 มิลลิลิตร)
    • จุกนมมีรูแบบกลม นมไหลเหมือนนมแม่
  • สำหรับเด็กอายุ 3-6 เดือน 
    • ขวดนมไซส์ M มีความจุประมาณ 5-7 ออนซ์ (หรือประมาณ 150 – 210 มิลลิลิตร)
    • จุกนมมีรูแบบสามแฉก ดูดนมออกมาได้มากขึ้น
  • สำหรับเด็กอายุ 6 เดือนขึ้นไป 
    • ขวดนมไซส์ L มีความจุประมาณ 7-11 ออนซ์ (หรือประมาณ 210 – 330 มิลลิลิตร)
    • จุกนมมีรูแบบสามแฉก เพื่อให้ดูดนมได้ในปริมาณทีพอเหมาะ หรือจุกนมมีรูแบบกากบาท น้ำนมไหลออกมามากกว่าแบบอื่น ทำให้ดูดได้เร็วและอิ่ม การปรับเปลี่ยนต้องสังเกตความเร็วในการดูดของเด็กน้อยเป็นสำคัญ หากดูดช้าไม่ควรเปลี่ยนไปใช้แบบกากบาท เพราะจะทำให้สำลักได้

ในส่วนของจุกนม หากคุณแม่ซื้อเก็บสำรองไว้เยอะ และไม่อยากซื้อหามาเพิ่ม สามารถนำที่สำรองไว้มาตัดเป็นรูปร่างสามแฉก หรือกากบาทเองได้ ซึ่งก่อนนำไปใช้งาน ไม่ว่าจะเอามาตัดแต่งรูจุกนมเพิ่มหรือไม่ อย่าลืมลวกทำความสะอาดก่อนทุกครั้ง

การเตรียมขวดนมให้เพียงพอ

จำนวนขวดนมที่ต้องใช้ ขึ้นอยู่กับจำนวนมื้อของหนูน้อยในหนึ่งวันประกอบกับคุณแม่อยากเก็บน้ำนมเผื่อไว้มากน้อยเพียงใด โดยขนาดขวดนมตามช่วงวัยที่เสนอไว้ครอบคลุมหนึ่งมื้อเป็นอย่างต่ำ 

การปั๊มนมหรือชงนมแล้วเก็บไว้ในขวดนม หากเก็บไว้ที่อุณหภูมิห้อง จะอยู่ได้ 3-4 ชั่วโมง ต่างกับการเก็บไว้แช่เย็นในกระเป๋าเก็บความเย็น อาจอยู่ได้ถึง 24 ชั่วโมง แต่หากใส่ขวดนมและแช่แข็งจะเก็บไว้ได้นานถึง 3-8 วัน อย่างไรก็ตาม ถ้าจะอุ่น อย่าลืมคำนึงถึงวัสดุผลิตขวดนม ตรวจสอบจากฉลากสินค้าให้ดีเสียก่อนว่าสามารถนำเข้าไมโครเวฟได้

แม้คุณแม่ไม่ชอบแนวคิดการแช่แข็งนมเอาไว้ก่อน ก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่เผื่อจำนวนขวดนมที่จะใช้งานเลย เพราะบ่อยครั้งที่เด็ก ๆ จะอ้วกแหวะนมออกมาจนหมดหลังจากอิ่มแล้ว และเพื่อให้อิ่มท้องจริง ๆ ก็ต้องป้อนเพิ่มเติมไปอีก จึงควรมีขวดนมสำรองเอาไว้เสมอ

10 แบรนด์ ยอดขวดนมครองใจคุณแม่

  • Medela

ขวดนมหลักของ Medela มี 2 ขนาด คือ 150 มิลลิลิตร และ 250 มิลลิลิตร วัสดุในการผลิตคือ Polypropylene ที่ปราศจากสาร BPA ไม่เป็นอันครายต่อลูกน้อย จุกนมมาในเซ็ตพร้อมกันเป็นการออกแบบจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ให้สัมผัสคล้ายกับหัวนมแม่จริง ๆ ทำให้ทารกดูดอย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่ติดขัด มีผลในการลดความเสี่ยงที่เด็กจะเป็นโคลิค (ภาวะผวาและร้องไห้บ่อยในช่วงเวลาเย็นหรือกลางคืน)

เว็บไซต์อ้างอิง: www.facebook.com/MedelaThailandOfficial/

ขวดนมเด็ก

อ้างอิงรูปภาพ: https://www.facebook.com/MedelaThailandOfficial/

 

  • Attoon

ผลิตจาก Tritan ที่คุณแม่หลายท่านวางใจ ปราศจากสาร BPA หรือสารอันตรายต่าง ๆ ตามคำอธิบายผลิตภัณฑ์ สามารถทนความร้อนได้สูงถึง 110 องศาเซลเซียส จุกนมผลิตจากซิลิโคนคุณภาพสูง ยืดหยุ่นดี สีพิมพ์บนขวดเป็นสีเกรดเดียวกับสีผสมอาหาร ปลอดภัยไม่มีสารพิษ แต่อาจเลือนลงไปได้ตามกาลเวลา มีทั้งขนาด 2, 4, 5, 8, และ 9 ออนซ์ และแบบปากขวดกว้างกับปากขวดแคบ บางแบบมาพร้อมแขนจับเพื่อให้ลูกน้อยหัดถือขวดนมเองได้ถนัดมือ

เว็บไซต์อ้างอิง: www.attoonbaby.com/

ขวดนมเด็ก

อ้างอิงรูปภาพ: https://www.attoonbaby.com/

 

  • Pigeon

แบรนด์นี้นำเสนอผลิตภัณฑ์สำหรับแม่และเด็กคุณภาพสูงในประเทศญี่ปุ่น มีความปลอดภัยสูงต่อลูกน้อย ทางแบรนด์นำเสนอทั้งขวดนมแบบแก้วและแบบพลาสติกในตลาด บนกล่องบรรจุภัณฑ์จะระบุช่วงวัยที่เหมาะสมกับการใช้ขวดนมทำให้คุณแม่ไม่ต้องกังวลเรื่องซื้อผิด หากซื้อเป็นเซ็ต สามารถหาซื้อที่เป็นเซ็ตสำหรับเด็กแรกเกิดและอายุมากกว่าสามเดือนที่บรรจุมาพร้อมกันในคราวเดียว โดยขวดนมขนาด 5 ออนซ์สามารถใช้ได้ในเด็กแรกเกิด และ 8 ออนซ์เหมาะสำหรับเด็กอายุ 3 เดือนขึ้นไป

เว็บไซต์อ้างอิง: pigeon.co.th/

ขวดนม

อ้างอิงรูปภาพ: https://pigeon.co.th/assets/images/product/bo-010.jpg 

 

อ่านต่อ… 10 ขวดนมเด็ก Food grade ปลอดภัยต่อลูกรัก ..ได้ที่หน้า 2

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

ชื่อจริงลูกสาว

ชื่อจริงลูกสาว ลูกชาย ชื่อตามวันเกิด + ความหมายของชื่อ

Alternative Textaccount_circle
event
ชื่อจริงลูกสาว
ชื่อจริงลูกสาว

การตั้ง ชื่อจริงลูกสาว ลูกชาย นิยมตั้งตามหลักโหราศาสตร์ ละเว้นตัวอักษร สระ ที่ไม่เป็นมงคลตามวันเกิดนั้นๆ เพื่อเสริมให้ชีวิตลูกเจริญรุ่งเรือง

ชื่อจริงลูกสาว ลูกชาย ชื่อตามวันเกิด + ความหมายของชื่อ

คุณพ่อคุณแม่ส่วนใหญ่มักให้ความสำคัญกับการตั้ง ชื่อจริงลูกสาว ลูกชาย เพราะอยากให้ลูกมีชีวิตที่ดี มีความสุข ประสบความสำเร็จ หน้าที่การงานมั่นคง จึงมักเตรียม ตั้งชื่อลูก ตามหลักโหราศาสตร์ เพื่อความเป็นสิริมงคลในชีวิตของลูกรัก ทีมกองบรรณาธิการ ABK จึงได้รวบรวม ชื่อลูกสาว และ ชื่อลูกชาย ตามวันเกิด มาให้แล้วค่ะ

ชื่อจริงลูกสาว
ชื่อจริงลูกสาว

 

ชื่อจริงลูกสาว ลูกชาย ชื่อตามวันเกิด + ความหมายของชื่อ

ชื่อลูกสาว เกิดวันอาทิตย์ (เวลา 06.00 น. – เช้าวันจันทร์เวลา 05.59 น.)

ชื่อ อ่านว่า ความหมาย
อุรชา อุ-ระ-ชา ลูกสาว
อัญธิดา อัน-ทิ-ดา ลูกสาวผู้มีความแตกต่าง
อัญญ์ชามา อัน-ชา-มา ลูกสาวผู้มีความรู้ยิ่ง
อรอุรชา ออน-อุ-ระ-ชา ลูกสาวที่งดงาม
อณุทิดา อะ-นุ-ทิ-ดา ลูกสาวคนเล็ก
ยุธิดา ยุ-ทิ-ดา ลูกสาวที่ถูกส่งเสริม
ยลธิดา ยน-ทิ-ดา ลูกสาวผู้น่ามอง
พิชญ์ชามา พิด-ชา-มา ลูกสาวผู้เป็นนักปราชญ์
ปิยธิดา ปิ-ยะ-ทิ-ดา ลูกสาวที่น่ารัก
บุตรปรีย์ บุด-ตระ-ปรี ที่รักของลูก

ชื่อลูกชาย เกิดวันอาทิตย์ (เวลา 06.00 น. – เช้าวันจันทร์เวลา 05.59 น.)

ชื่อ อ่านว่า ความหมาย
อาทินันท์ อา-ทิ-นัน ลูกชายคนแรก
อัครดนัย อัก-คะ-ระ-ดะ-นัย ลูกผู้เด่นเป็นเยี่ยม
วีรดล วี-ระ-ดน บุตรชายผู้กล้าหาญ
วีรดนย์ วี-ระ-ดน บุตรชายผู้กล้าหาญ
ยุวรัตน์ ยุ-วะ-รัด ลูกชายที่ดี
ยชญ์ดนัย ยด-ดะ-นัย ลูกชายอันทรงเกียรติ
มนต์ดนัย มน-ดะ-ไน ลูกชายผู้มีปัญญา
พีรดนย์ พี-ระ-ดน ลูกชายผู้กล้าหาญ
พัทธดนย์ พัด-ทะ-ดน บุตรชายผู้เป็นที่รักที่ผูกพัน
พัชรดนัย พัด-ชะ-ระ-นัย ลูกชายผู้กล้าแข็งดังเพชร

ชื่อลูกสาว เกิดวันจันทร์ (เวลา 06.00 น. – เช้าวันอังคารเวลา 05.59 น.)

ชื่อ อ่านว่า ความหมาย
กันยกร กัน-ยะ-กอน สร้างสิริมงคล สร้างความสุขสมบูรณ์พูนสุข
กันตพร กัน-ตะ-พอน น่ารักและประเสริฐ
คณภัทร คะ-นะ-พัด ผู้เป็นที่รักของหมู่คณะ ความดีงาม
จันทร์วลัย จัน-วะ-ไล วงจันทร์ วงเดือน
ชนมน ชะ-นะ-มน ใจของคน ผู้เป็นดุจดวงใจของคน
นภัสกร นะ-พัด-สะ-กอน รัศมีบนท้องฟ้า แสงจันทร์ แสงอาทิตย์
ธัญชนก ทัน-ชะ-นก ให้เกิดสิริมงคล หรือให้เกิดโชค
ณฐพร นัด-ถะ-พอน นักปราชญ์ ผู้ประเสริฐ
ดลพร ดน-ละ-พอน บันดาลพร
บงกช บง-กด ดอกบัว

ชื่อลูกชาย เกิดวันจันทร์ (เวลา 06.00 น. – เช้าวันอังคารเวลา 05.59 น.)

ชื่อ อ่านว่า ความหมาย
ยชญ์ดนัย ยด-ดะ-นัย ลูกชายอันทรงเกียรติ
มนต์ดนัย มน-ดะ-ไน ลูกชายผู้มีปัญญา
พัทธดนย์ พัด-ทะ-ดน บุตรชายผู้เป็นที่รักที่ผูกพัน
พัชรดนัย พัด-ชะ-ระ-นัย ลูกชายผู้กล้าแข็งดังเพชร
ธนดน ทะ-นะ-ดน บุตรชายผู้มีทรัพย์
ดนัยณัฐ ดะ-นัย-นัด ลูกชายผู้ฉลาดปราดเปรื่อง
ดนัยณัฐ์ ดะ-นัย-นัด ลูกชายผู้ฉลาดปราดเปรื่อง
ดนยพงศกร ดะ-นะ-ยะ-พง-สะ-กอน ลูกชายที่เจริญรอยตามบรรพบุรุษ
ณัฐดนัย นัด-ดะ-นัย บุตรของนักปราชญ์
กันย์ดนัย กัน-ดะ-ไน ลูกชายผู้น่ารัก

ชื่อลูกสาว เกิดวันอังคาร (เวลา 06.00 น. – เช้าวันพุธเวลา 05.59 น.)

ชื่อ อ่านว่า ความหมาย
อุรชา อุ-ระ-ชา ลูกสาว
อัญธิดา อัน-ทิ-ดา ลูกสาวผู้มีความแตกต่าง
อัญญ์ชามา อัน-ชา-มา ลูกสาวผู้มีความรู้ยิ่ง
อรอุรชา ออน-อุ-ระ-ชา ลูกสาวที่งดงาม
อณุทิดา อะ-นุ-ทิ-ดา ลูกสาวคนเล็ก
สุวธิดา สุ-วะ-ทิ-ดา ลูกสาวผู้งดงาม
สุตาภัตร สุ-ตา-พัด ธิดาผู้เจริญ ธิดาผู้ดีงาม
สุดารมย์ สุ-ดา-รม ลูกสาว(หญิงสาว)ที่มีความสุข
สุณัฐธิดา สุ-นัด-ทิ-ดา บุตรสาวผู้มีความรู้ดี,บุตรสาวนักปราชญ์ที่ดี
ศุภสุดา สุ-พะ-สุ-ดา ธิดาผู้มีความสุข

ชื่อลูกชาย เกิดวันอังคาร (เวลา 06.00 น. – เช้าวันพุธเวลา 05.59 น.)

ชื่อ อ่านว่า ความหมาย
อาทินันท์ อา-ทิ-นัน ลูกชายคนแรก
สิริดนย์ สิ-ริ-ดน ลูกชายผู้มีสิริมงคล
ศิวัฒ สิ-วัด เกิดจากผู้ยิ่งใหญ่, ลูกพระศิวะ
วีรดล วี-ระ-ดน บุตรชายผู้กล้าหาญ
วีรดนย์ วี-ระ-ดน บุตรชายผู้กล้าหาญ
ยุวรัตน์ ยุ-วะ-รัด ลูกชายที่ดี
ยชญ์ดนัย ยด-ดะ-นัย ลูกชายอันทรงเกียรติ
มนต์ดนัย มน-ดะ-ไน ลูกชายผู้มีปัญญา
พีรดนย์ พี-ระ-ดน ลูกชายผู้กล้าหาญ
พัทธดนย์ พัด-ทะ-ดน บุตรชายผู้เป็นที่รักที่ผูกพัน

ชื่อลูกสาว เกิดวันพุธกลางวัน (เวลา 06.00 น. – เย็นวันพุธเวลา 17.59 น.)

ชื่อ อ่านว่า ความหมาย
อณุทิดา อะ-นุ-ทิ-ดา ลูกสาวคนเล็ก
สุวธิดา สุ-วะ-ทิ-ดา ลูกสาวผู้งดงาม
สุตาภัตร สุ-ตา-พัด ธิดาผู้เจริญ ธิดาผู้ดีงาม
สุดารมย์ สุ-ดา-รม ลูกสาว(หญิงสาว)ที่มีความสุข
สุณัฐธิดา สุ-นัด-ทิ-ดา บุตรสาวผู้มีความรู้ดี,บุตรสาวนักปราชญ์ที่ดี
ศุภสุดา สุ-พะ-สุ-ดา ธิดาผู้มีความสุข
ศุภธิดา สุบ-พะ-ทิ-ดา ธิดาผู้มีความสุข
วีร์สุดา วี-สุ-ดา ลูกสาวผู้กล้าหาญ
วลักษ์สุดา วะ-ลัก-สุ-ดา บุตรสาวผู้มีผิวขาวสวย
ฤทัยสุดา รึ-ทัย-สุ-ดา ลูกสาวผู้เป็นดั่งดวงใจ

ชื่อลูกชาย เกิดวันพุธกลางวัน (เวลา 06.00 น. – เย็นวันพุธเวลา 17.59 น.)

ชื่อ อ่านว่า ความหมาย
อาทินันท์ อา-ทิ-นัน ลูกชายคนแรก
อัครดนัย อัก-คะ-ระ-ดะ-นัย ลูกผู้เด่นเป็นเยี่ยม
สิริดนย์ สิ-ริ-ดน ลูกชายผู้มีสิริมงคล
ศิวัฒ สิ-วัด เกิดจากผู้ยิ่งใหญ่, ลูกพระศิวะ
วีรดล วี-ระ-ดน บุตรชายผู้กล้าหาญ
วีรดนย์ วี-ระ-ดน บุตรชายผู้กล้าหาญ
ยุวรัตน์ ยุ-วะ-รัด ลูกชายที่ดี
มนต์ดนัย มน-ดะ-นัย ลูกชายผู้มีปัญญา
พีรดนย์ พี-ระ-ดน ลูกชายผู้กล้าหาญ
พัทธดนย์ พัด-ทะ-ดน บุตรชายผู้เป็นที่รักที่ผูกพัน

 

อ่านต่อ…ชื่อจริงลูกสาว ลูกชาย ชื่อตามวันเกิด + ความหมายของชื่อ คลิกหน้า 2

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

ฝันเห็นพญานาค

ฝันเห็นพญานาค หรือจะมีโชคลาภ เลขเด็ด

Alternative Textaccount_circle
event
ฝันเห็นพญานาค
ฝันเห็นพญานาค

ฝันเห็นพญานาค ฝันเห็นพญานาคสีเขียว ฝันเห็นพญานาคสีขาว ฝันเห็นพญานาคหลายเศียร เป็นฝันดีหรือฝันร้าย จะมีโชคหรือไม่ ความฝันบอกอะไร

ฝันเห็นพญานาค หรือจะมีโชคลาภ เลขเด็ด

พญานาค ความเชื่อและศรัทธาที่อยู่คู่กับคนไทยมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะผู้คนที่อาศัยอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำโขง มีจริงหรือไม่ เป็นความเชื่อส่วนบุคคล แต่ถ้าหากเรา ฝันเห็นพญานาค จะมีความหมายว่าอย่างไร บ่งบอกถึงเรื่อง โชคลาภ หรือเงินทองหรือเปล่า ทีมกองบรรณาธิการ ABK นำการ ทำนายฝัน มาฝากแล้วค่ะ

ฝันเห็นพญานาค
ฝันเห็นพญานาค

ฝันเห็นพญานาค หรือจะมีโชคลาภ เลขเด็ด

“นาค” หรือ “พญานาค” ก็คือ มโหราด  มีความหมายว่า งูใหญ่  ตามคัมภีร์  พระพุทธศาสนา ( ปรมัตตราโชขติกมหาอภิธัมมัตถสังคทฏีกา ) แบ่งรายละเอียด คือ ๑,๐๒๔  ชนิด  คำว่านาค ปรากฏไว้ในที่หลายแห่งว่า  มีลำตัวยาวอย่างงู  แต่มีหงอนที่สวยงามตามยศศักดิ์  ดังปรากฏตามวัดวาอารามทั่วไป  กล่าวกันว่า  ที่อยู่ของเทวดาจะอยู่เหนือพิภพ  มนุษย์และสัตว์  จะอยู่บนพิภพ ส่วนใต้พิภพเป็นที่อาศัยของนาค  นาคนั้นมีอิทธิฤทธิ์สามารถแปลงกายได้ตามใจปรารถนา  แม้จะเดินทางไปไหนก็ไม่ต้องเลื้อยไปอย่างงู  แต่หากเมื่อตาย  นอนหลับหรือผสมพันธุ์  ก็ต้องกลับสู่ร่างนาคเช่นเดิม  ตำนานพุทธาวตาร  พระสมณโคดมบรมพุทธเจ้าก็มีนาคเข้ามาเกี่ยวข้องเป็นหลายคราว  ครั้งหนึ่งนาคได้แปลงกายเป็นมนุษย์เข้าบวชเป็นพระภิกษุ แต่เมื่อพอหลับนอน กายก็กลับร่างเป็นงูใหญ่  จนพระภิกษุรูปอื่นเห็นเข้า  จึงไปกราบทูลพระพุทธเจ้า  ให้ทรงทราบ  พระองค์จึงให้ลาสิกขาไป เพราะเป็นสัตว์เดรัจฉาน  แต่นาคก็ทูลขอให้พระภิกษุ  ทำพิธีบวชให้เรียกขานว่า “นาค” ด้วย ดังนั้นชายใดที่ได้เข้าบวชเป็นพระภิกษุในบวรพุทธศาสนา  จึงได้รับการเรียกขานว่า  นาคก่อนเสมอ
เมื่อครั้งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้  เสด็จไปโปรดพระพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เป็นเวลา ๑ พรรษา  ครั้นถึงวันออกพรรษา ( ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ) จึงเสด็จกลับสู่โลกมนุษย์  ซึ่งเชื่อกันว่าวันนี้  โลกทั้ง ๓ จะมองเห็นกันทั้งหมด  เหล่าบรรดาเทวดามนุษย์สัตว์และนาคมีความปิติยินดี  นำเครื่องบูชาถวายกันอย่างพร้อมเพรียง  โดยพญานาค ก็พ่นลูกไฟให้เห็นกันในวันดังกล่าวด้วย

 

ฝันเห็นพญานาค

ทำนายว่า จะได้รับการอุปถัมภ์จากผู้ใหญ่ หรือจะได้รับโชคลาภทางการเสี่ยงโชค จะมีข่าวดีเร็วๆ นี้

  • เลขนำโชค : 1 4 6 9 30 19 82 913

 

ฝันเห็นพญานาคตัวใหญ่

ทำนายว่า เป็นความฝันที่ดีและเป็นมงคล สื่อว่าในช่วงนี้จะได้รับการอุปถัมภ์จากผู้ใหญ่ รวมถึงได้รับการติดต่อจากญาติผู้ใหญ่ที่อยู่ห่างไกล มีโอกาสได้ติดต่องานกับชาวต่างชาติ-ต่างภาษา มุ่งมั่นทำความดีเข้าไว้ จะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน

  • เลขนำโชค : 3, 4, 9

 

ฝันเห็นรูปปั้นพญานาค

ทำนายว่า จะสูญเสียข้าวของ หรือเงินทองภายในบ้าน

  • เลขนำโชค : 5, 8, 0, 4

 

ฝันเห็นพญานาคสีเขียว

ทำนายว่า มิตรทางไกลจะติดต่อมาหา หรือตนเองจะได้เดินทาง หรือได้พบปะกับเพื่อนสนิทที่ห่างกันไปนาน เรื่องงานมีโอกาสได้ลาภจากการทำงานอย่างไม่คาดคิด

  • เลขนำโชค : 4, 5

 

ฝันเห็นพญานาคสีเขียวตัวใหญ่

ทำนายว่า ระวังต้องทุกข์ยากลำบากใจ ด้วยเหตุซึ่งเกิดจากบุคคลซึ่งมีวัยอ่อนกว่า

  • เลขนำโชค : 5, 2

 

ฝันเห็นพญานาคสีแดง

ทำนายว่า จะได้รับโชคลาภจากหน้าที่การงาน ได้เลื่อนตำแหน่ง  การงานจะเจริญเติบโตก้าวหน้าประสบความสำเร็จ มีดวงเกี่ยวกับการเสี่ยงโชคในช่วงนี้

  • เลขนำโชค : 2, 1

 

ฝันเห็นพญานาคขาว

ทำนายว่า ระวังเรื่องปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพ รวมถึงปัญหาการโดนใส่ร้ายป้ายสี หรือมีเรื่องที่ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง จึงต้องวางตัวอย่างมีสติให้มากๆ

  • เลขนำโชค : 3, 7

 

ฝันเห็นพญานาคสีดำ

ทำนายว่า ถ้าเป็นหญิงจะได้พบเนื้อคู่ ซึ่งเนื้อคู่คนนี้เป็นผู้มีอำนาจวาสนาดี และถ้าเป็นชายจะมีวาสนาดี

  • เลขนำโชค : 6, 5, 8, 1

 

ฝันเห็นพญานาคสีทอง

ทำนายว่า ให้วางแผนค่าใช้จ่ายดีๆ เพราะมีเกณฑ์เสียเงินเสียทอง ส่วนคนที่มีคนรักอยู่แล้ว ให้ระวังมีปัญหาทะเลาะเบาะแว้ง แต่สำหรับคนโสดถือว่าเป็นความฝันที่ดี เพราะมีเกณฑ์ได้พบเจอคนที่ถูกใจในเร็วๆ นี้

  • เลขนำโชค : 6, 4, 0, 8, 5

 

ฝันเห็นพญานาค 2 ตัว

ทำนายว่า มีเกณฑ์ได้รับเงินทองและโชคลาภ ปัญหาต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้นภายในบ้านจะค่อยๆ คลี่คลาย พบแต่ความสุขร่มเย็น

  • เลขนำโชค : 3, 5, 4

 

ฝันเห็นพญานาคหลายเศียร

ทำนายว่า ช่วงนี้ควรจะระงับยับยั้งสิ่งที่คิดไว้ หรือกำลังคิดจะทำไปก่อน เพราะอาจจะไม่เป็นผลดีแก่ตัวผู้ฝันและครอบครัว จะคิดทำการสิ่งใดต้องรอบคอบเป็นพิเศษ ใช้ชีวิตอย่างมีสติ เพราะอาจเกิดปัญหายุ่งยากบางอย่างขึ้นให้คุณต้องตามแก้ไข

  • เลขนำโชค : 6, 2, 0, 8

 

อ่านต่อ…ฝันเห็นพญานาค หรือจะมีโชคลาภ เลขเด็ด คลิกหน้า 2

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

เอาตัวรอด เหตุกราดยิง

วิ่งซ่อนต่อสู้วิธี เอาตัวรอด จากเหตุกราดยิงทักษะที่ลูกควรรู้

Alternative Textaccount_circle
event
เอาตัวรอด เหตุกราดยิง
เอาตัวรอด เหตุกราดยิง

เอาตัวรอด จากเหตุร้าย เหตุกราดยิงที่ฟังดูเหมือนเรื่องไกลตัว แต่กลับใกล้กว่าที่คิด วิ่ง ซ่อน สู้ 3 วิธีเอาตัวรอดทักษะที่ลูกควรรู้ยามวิกฤต

วิ่ง ซ่อน ต่อสู้ วิธี เอาตัวรอด จากเหตุการณ์กราดยิงทักษะที่ลูกควรรู้!!

เหตุการณ์กราดยิง เหตุร้ายที่พ่อแม่ไม่คิดว่าจะเกิดกับลูกได้ จนเมื่อเกิดเหตุการณ์กราดยิงประชาชน และเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จังหวัดนครราชสีมาขึ้น ส่งผลให้ประชาชนทั้งประเทศตกใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะฆาตกรได้กราดยิงประชาชนผู้บริสุทธิ์เสียชีวิต และได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก คงทำให้หลาย ๆ คนเริ่มตระหนักถึงการสอนทักษะวิชาเอาตัวรอดจากเหตุร้ายให้แก่เด็ก และบุคคลทั่วไปได้เรียนรู้วิธีการเอาตัวรอด เพราะแม้ว่าเหตุการณ์ทำนองนี้จะไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย ๆ ในอดีต แต่แนวโน้มในปัจจุบันที่ผู้คนในสังคมมีความเครียดสะสม และภัยร้ายต่าง ๆ ก็มีให้เห็นไม่น้อย เช่น การปล้นร้านทองในห้างสรรพสินค้า การยิงกันกลางตลาดสด เป็นต้น

ช่องมหิดลแชนแนล ได้จัดทำคลิปวิดีโอ “3 วิธีเอาตัวรอด จากเหตุการณ์กราดยิง (วิ่ง-ซ่อน-สู้)” เพื่อใช้เป็นแนวทางในการเอาตัวรอดจากเหตุการณ์กราดยิง โดยมี ผศ.ดร.ฐนันดร์ศักดิ์ บวรนันทกุล อาจารย์ประจำสาขาวิชาอาชญาวิทยา การบริหารงานยุติธรรม คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ม.มหิดล นักอาชญาวิทยาที่จะมาอธิบายทั้ง 3 ขั้นตอน วิ่ง ซ่อน สู้ เพื่อลดความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นจากกรณีการกราดยิง

 

ขอขอบคุณคลิปดี ๆ จาก mahidolchannel

เหตุการณ์กราดยิง : ความสูญเสียที่ยากจะคาดเดา

Active Shooter คือ บุคคลที่มีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการฆ่าหรือพยายามฆ่าผู้คนในพื้นที่จำกัด และมีคนหมู่มากอยู่รวมกัน ในกรณีส่วนใหญ่ผู้ร้ายมักใช้อาวุธปืน และไม่มีรูปแบบหรือวิธีการในการเลือกเหยื่อ สถานการณ์กราดยิงนั้นคาดเดาไม่ได้ และมักจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยปกติ การควบคุมเหตุร้ายให้ได้ในทันทีจำเป็นต้องหยุดการยิงให้ได้เร็วที่สุด จะช่วยบรรเทาอันตรายต่อผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ แต่ถึงกระนั้น ระยะเวลาในช่วงเวลาเกิดเหตุ อย่างน้อยต้องใช้เวลากว่าจะควบคุมสถานการณ์ได้ ผู้อยู่ในเหตุการณ์จึงควรมีทักษะการ เอาตัวรอด และเตรียมพร้อมทั้งร่างกาย และจิตใจเพื่อรับมือกับสถานการณ์กราดยิงนี้

วิ่ง ซ่อน สู้!!

ไม่ใช่ชื่อหนังภาพยนตร์แต่อย่างใด แต่เป็น 3 วิธี เอาตัวรอด จากเหตุการณ์กราดยิง ที่ผู้เชี่ยวชาญของ FBI แนะนำ หากคุณได้ยินเสียงปืนในโรงเรียน มหาวิทยาลัย หรือหากคุณเห็นคนติดอาวุธ พกปืน ยิงข่มขู่ผู้คน จงเลือกวิธีที่ดีที่สุดในการปกป้องชีวิตของตัวคุณเองทันที สังเกต และตัดสินใจอย่างรวดเร็ว ว่าเกิดอะไรขึ้น และจะทำอย่างไรต่อไป โดยเลือกวิธีการ เอาตัวรอด จากหลักการ RUN  HIDE FIGHT : วิ่ง ซ่อน สู้

RUN : วิ่งหนี ถ้าเป็นไปได้

  • หากระยะห่างระหว่างคุณกับมือปืน/ผู้ติดอาวุธมีระยะห่างพอสมควร ให้รีบอยู่ห่างจากเสียงปืน/คนถืออาวุธ หากปืน/ผู้ติดอาวุธอยู่ในอาคารของคุณ และประเมินแล้วว่า ทางที่จะพาตัวคุณออกจากอาคารสามารถทำได้อย่างปลอดภัย ให้วิ่งออกจากอาคาร และย้ายไปให้ไกลจนกว่าคุณจะอยู่ในที่หลบภัยที่ปลอดภัย
  • ทิ้งข้าวของ สัมภาระของคุณไว้ข้างหลัง ทิ้งให้มากที่สุด ไม่ควรถือข้าวของพะรุงพะรังในการพาตัวหนีออกจากที่เกิดเหตุ เพื่อให้เคลื่อนไหว เคลื่อนตัวได้เร็ว
  • ยกมือขึ้นเหนือหัว เมื่อผ่านพ้นจุดอันตราย และกำลังวิ่งเข้าสู่ที่ปลอดภัยที่ทางเจ้าหน้าที่จัดไว้ จงทำให้มือของคุณมองเห็นได้จากเจ้าหน้าที่ ที่ตั้งกองกำลังรายล้อมคนร้าย เพื่อไม่ให้เกิดการเข้าใจผิดว่าเราเป็นคนร้ายได้
  • ถ้าเจอคนอื่นช่วยได้ก็ช่วย แต่ถ้าเขาไม่ไปด้วย เราไม่ต้องห่วงเขา เราต้องวิ่งต่อไป
  • โทรแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ เมื่อทำได้อย่างปลอดภัย อย่าทึกทักเอาเองว่ามีผู้อื่นรายงานเหตุการณ์ดังกล่าว คุณจะได้ให้ข้อมูลที่คุณรู้ในอีกมุมหนึ่งแก่เจ้าหน้าที่ ข้อมูลที่คุณให้อาจมีความสำคัญ เช่น จำนวนมือปืน คำอธิบายทางกายภาพ และการระบุตัวตน จำนวนและประเภทของอาวุธ และตำแหน่งของมือปืน

    เอาตัวรอด จากเหตุกราดยิง
    เอาตัวรอด จากเหตุกราดยิง

วิธีการวิ่งหนี เหตุกราดยิง

การวิ่งหนี มี 2 ลักษณะ คือ

  1. วิ่งทางตรง ถ้าคนร้ายกราดยิงปืนรัศมี ซ้าย – ขวา แนะนำให้วิ่งหนีเป็นเส้นตรง การวิ่งหนีขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมของแต่ละสถานที่
  2. วิ่งซิกแซก ถ้าคนร้ายยิงปืนแบบกำหนดเป้าหมาย แนะนำให้วิ่งหนีแบบสลับฟันปลา หรือวิ่งซิกแซก โอกาสรอดมีสูงกว่าการวิ่งหนีขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมของแต่ละสถานที่

HIDE : ซ่อนอย่างเงียบ ๆ ในที่ที่ปลอดภัยที่สุด

  • หากผู้ก่อเหตุอยู่ใกล้กัน และคุณไม่สามารถอพยพได้อย่างปลอดภัย ให้ซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่ให้พ้นสายตาคนร้าย เป็นที่ที่เหมาะต่อการซ่อน
  • เลือกที่ซ่อนที่มีผนังหนา และหน้าต่างน้อย ถ้าเป็นไปได้
  • พยายามหมอบ เพราะระยะการยิงส่วนใหญ่แล้วจะอยู่ระดับเอว การหมอบหลังที่กำบังจึงทำให้มีโอกาสรอด
  • ล็อคประตู และนำสิ่งกีดขวางมาขวางประตูไว้ เช่น ขวางด้วยเฟอร์นิเจอร์ ถ้าเป็นไปได้ เนื่องจากบ่อยครั้งที่จะเห็นว่าคนร้ายพบว่าประตูล็อคก็จะเดินผ่านไป
  • พยายามซ่อนตัวกระจายกันไป อย่าไปซ่อนตัวในที่เดียวกัน เพื่อหลีกเลี่ยงการเป็นเป้าหมายได้ง่าย
  • ปิดไฟ ซ่อนตัว อย่าพยายามที่จะทำอะไรเสียงดังเรียกร้องความสนใจ
  • ปิดเสียงโทรศัพท์ และปิดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ
  • ปิดหน้าต่าง ม่านบังตา และมู่ลี่ และหลีกเลี่ยงการถูกมองเห็นจากภายนอกห้อง ถ้าเป็นไปได้
  • หากคุณอยู่กลางแจ้ง และไม่สามารถวิ่งหนีออกมาได้อย่างปลอดภัย ให้หาที่ซ่อนที่จะให้การป้องกันจากเสียงปืน เช่น กำแพงอิฐ ต้นไม้ใหญ่ หรืออาคาร
  • หากพบที่ซ่อนที่ปลอดภัยแล้ว ให้อยู่ในตำแหน่งเดิมจนกว่าเจ้าหน้าที่จะควบคุมสถานการณ์ไว้ได้

 

สู้ เมื่อจำเป็น
สู้ เมื่อจำเป็น

FIGHT : สู้ ขัดขวาง หรือทำให้มือปืนไร้ความสามารถ เมื่อเข้าตาจน

  • เป็นทางเลือกสุดท้าย สู้ต่อเมื่อคุณไม่สามารถหนี หรือซ่อนตัวได้อย่างปลอดภัย โดยเฉพาะเมื่อชีวิตของคุณอยู่ในอันตรายที่ใกล้เข้ามา ให้เตรียมตัวสู้
  • พยายามทำให้ไร้ความสามารถ ให้คนร้ายบาดเจ็บ หรือขัดขวางการกระทำของผู้ยิง โดยจุดที่โจมตีอันดับแรกให้โจมตีที่ดวงตา คอ และบริเวณระหว่างขา จะทำให้เขาหยุดชะงัก และถ้าเราสามารถซ้ำจุดเดิมได้จะทำให้คนร้ายหยุดได้
  • ถ้าเป็นไปได้ ในกรณีที่จุดเกิดเหตุมีผู้ประสบเหตุหลายคน ให้ออกมาช่วยกัน อย่าสู้คนเดียว
  • แสดงท่าทางก้าวร้าวต่อผู้ยิง
  • ใช้สิ่งของที่อยู่ใกล้ตัวของคุณ เช่น ถังดับเพลิง ก้อนหิน เหล็ก หรือเก้าอี้ มาเป็นอาวุธป้องกันตัว
  • นึกภาพเส้นทางหลบหนีที่เป็นไปได้ รวมถึงเส้นทางที่เข้าถึงได้ทางกายภาพสำหรับนักเรียนและเจ้าหน้าที่ที่มีความทุพพลภาพ และคนอื่นๆ ที่มีความคล่องตัวจำกัด

อ่านต่อ>> PTSD ความผิดปกติทางจิตใจหลังภยันตราย พ่อแม่รับมืออย่างไร คลิกหน้า 2

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

เจ็บท้องข้างซ้าย

เจ็บท้องข้างซ้าย ระหว่างตั้งครรภ์ เป็นเพราะอะไร อันตรายไหม?

Alternative Textaccount_circle
event
เจ็บท้องข้างซ้าย
เจ็บท้องข้างซ้าย

เจ็บท้องข้างซ้าย – ผู้หญิงหลายคนมักมีอาการปวดหรือเจ็บท้องด้านซ้ายในช่วงแรกของการตั้งครรภ์ อาการเจ็บดังกล่าวเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น มดลูกกำลังขยายตัวเพื่อให้มีที่ว่างสำหรับลูกน้อยของคุณ หรือ อาจเกิดจากปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร เช่น โรคกรดไหลย้อน (GERD) หรือ อาการท้องผูก  นอกจากนี้ยังอาจเป็นสัญญาณของอาการผิดปกติของหัวหน่าว (SPD) หรืออาการปวดกระดูกเชิงกราน (PGP) ซึ่งเป็นภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อเอ็นที่รองรับกระดูกเชิงกรานคลายตัวเนื่องจากฮอร์โมนการตั้งครรภ์ที่เรียกว่า รีแล็กซิน (relaxin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่สร้างโดยเนื้อเยื่อของรังไข่ นอกจากนี้ การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ (UTI) หรือการติดเชื้อที่ไตอาจทำให้เกิดอาการเจ็บปวดบริเวณท้องด้านซ้ายได้เช่นเดียวกันในระหว่างตั้งครรภ์

เจ็บท้องข้างซ้าย ระหว่างตั้งครรภ์ เป็นเพราะอะไร อันตรายไหม?

สาเหตุที่เป็นไปได้ของอาการ เจ็บท้องข้างซ้าย ในระหว่างตั้งครรภ์

1. การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ (UTIs)

UTIs หรือกระเพาะปัสสาวะอักเสบ เป็นเรื่องปกติธรรมดาแหล่งที่เชื่อถือได้ในระหว่างตั้งครรภ์ แต่แพทย์มักจะสามารถรักษาได้ง่าย พวกเขาสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาในขณะตั้งครรภ์ อาการรวมถึง:

  • ปวดหรือกดทับบริเวณท้องน้อย
  • ปวดหรือแสบร้อนขณะปัสสาวะ
  • ไข้
  • รู้สึกเหนื่อยมาก
  • รู้สึกสั่นคลอน
  • ปัสสาวะบ่อยขึ้น
  • ปัสสาวะมีกลิ่นเหม็นเหมือนน้ำคาวปลา
  • ปัสสาวะมีสีแดงหรือขุ่น

2. แก๊สในกระเพาะอาหาร หรือ กรดไหลย้อน (GERD)

แก๊ส หรือ กรด ที่เกิดขึ้นในระบบทางเดินอาหาร เป็นสาเหตุหนึ่งที่เป็นไปได้ของอาการปวดท้องส่วนล่างในหญิงตั้งครรภ์ เกิดขึ้นได้เนื่องจากสาเหตุต่อไปนี้

  • ฮอร์โมนตั้งครรภ์ทำให้กระเพาะย่อยอาหารได้ช้าลง
  • มดลูกที่กำลังเติบโตสร้างแรงกดต่อระบบย่อยอาหาร

3. ท้องผูก

อาการท้องผูกเป็นเรื่องปกติในสตรีมีครรภ์ ฮอร์โมนที่แปรปรวน การรับประทานอาหารที่ขาดใยอาหาร ขาดการออกกำลังกาย ยาธาตุเหล็กที่จำเป็นต้องกิน หรือความวิตกกังวลทั่วไป ล้วนนำไปสู่อาการท้องผูกได้ ซึ่งอาการท้องผูกอาจทำให้เกิดอาการปวดอย่างรุนแรงได้ในบางครั้ง

4. มดลูกหดรัดตัวตามปกติระหว่างตั้งครรภ์ (Braxton-Hicks)

ลักษณะการหดตัวของมดลูกในระหว่างตั้งครรภ์อาจไม่สม่ำเสมอและคาดเดาไม่ได้ ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการปวดท้องและรู้สึกไม่สบายตัว อย่างไรก็ตามอาการนี้ถือเป็นเรื่องปกติของการตั้งครรภ์ที่เกิดขึ้นได้ ซึ่งการหดตัวของมดลูกมักเกิดในไตรมาสที่สามของการตั้งครรภ์ ซึ่งแตกต่างจากการที่มดลูกหดหรือบีบรัดตัวก่อนคลอดหรืออาการปวดท้องคลอดหรือเจ็บครรภ์คลอด

 

ปวดท้องข้างซ้ายตอนท้อง
ปวดท้องข้างซ้ายตอนท้อง

 

5. สัญญาณเตือนการคลอดก่อนกำหนด

อาการปวดท้องที่ไม่หายไปเมื่อผู้หญิงเคลื่อนไหวไปมาอาจเป็นสัญญาณของการคลอดก่อนกำหนด ซึ่งหมายถึงการคลอดก่อนสัปดาห์ที่ 38 ของการตั้งครรภ์

อาการและอาการแสดงของการคลอดก่อนกำหนด ได้แก่ :

  • ปวดบริเวณท้องน้อย
  • มีอาการปวดหลังไม่หาย
  • ท้องเสีย
  • มดลูกบีบรัดตัวอย่างรุนแรง
  • การเปลี่ยนแปลงของปริมาณ หรือ ความสม่ำเสมอของตกขาว อาจมีมูกหรือมีเลือดมากขึ้น

อาการ เจ็บท้องข้างซ้าย ระหว่างตั้งครรภ์ ในแต่ละไตรมาส

  • ไตรมาสแรก

อาการปวดท้องข้างซ้ายในช่วงไตรมาสแรก มักเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายตามปกติจากการตั้งครรภ์ นอกจากนี้ยังอาจเกี่ยวข้องกับระบบทางเดินอาหารที่ทำงานแย่ลงในระหว่างตั้งครรภ์ เช่น โรคกรดไหลย้อน และกระเพาะย่อยอาหารได้ช้าลง อย่างไรก็ตาม อาการปวดท้องข้างซ้ายในการตั้งครรภ์ระยะแรกอาจเป็นสัญญาณเตือนของการแท้งบุตร หรือมีการตั้งครรภ์นอกมดลูกซึ่งจำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างฉุกเฉิน  การตั้งครรภ์นอกมดลูกเป็นภาวะที่พบได้ยาก แต่อาจคุกคามต่อชีวิตได้ มักเกิดขึ้นเมื่อไข่ที่ปฏิสนธิเติบโตนอกมดลูกหรือฝังตัวผิดที่ไปอยู่ในท่อนำไข่ เมื่อไข่เจริญเติบโตอาจทำให้ท่อนำไข่แตก ซึ่งอาจทำให้เลือดออกภายในอย่างรุนแรงและเป็นอันตรายต่อชีวิตได้

สัญญาณเริ่มต้นของการตั้งครรภ์นอกมดลูก ได้แก่ :

  • เริ่มด้วยปวดท้องน้อยหรือกระดูกเชิงกรานเล็กน้อย
  • มีเลือดออกทางช่องคลอด
  • ปวดบริเวณหลังส่วนล่าง
  • ตะคริวเล็กน้อยที่ด้านหนึ่งของอุ้งเชิงกราน

อาการต่างๆ อาจแย่ลงเมื่อไข่เจริญเติบโตขึ้น โดยสัญญาณของท่อนำไข่แตก ได้แก่:

  • ปวดท้องหรือกระดูกเชิงกรานกะทันหันอย่างรุนแรง
  • ปวดไหล่
  • รู้สึกอ่อนเพลีย
  • อาการวิงเวียนศีรษะ และรู้สึกเหมือนจะเป็นลม

อ่านต่อ…เจ็บท้องข้างซ้าย ระหว่างตั้งครรภ์ เป็นเพราะอะไร อันตรายไหม? คลิกที่หน้า 2

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

แพ้ท้อง

แพ้ท้อง คุณแม่ตั้งครรภ์ต้องรับมืออย่างไร

Alternative Textaccount_circle
event
แพ้ท้อง
แพ้ท้อง

แพ้ท้อง สัญญาณบ่งบอกถึงการตั้งครรภ์ แต่ไม่ใช่อาการที่จะเกิดกับคุณแม่ตั้งครรภ์ทุกคน บางคนอาจไม่มีอาการแพ้ท้องใดๆ เลย ซึ่งอาการแพ้ก็จะแตกต่างกันไปในแต่ละคน

แพ้ท้อง คุณแม่ตั้งครรภ์ต้องรับมืออย่างไร

คุณแม่ตั้งครรภ์หลายคนต้องเผชิญกับอาการ แพ้ท้อง บางคนแพ้มากไม่สามารถรับประทานอาหารได้ จนร่างกายซูบผอม อะไรคือสาเหตุของการแพ้ท้อง อาการ การรักษา หรือการช่วยบรรเทาอาการแพ้ท้อง คุณแม่ตั้งครรภ์ควรปฏิบัติตัวอย่างไร เพื่อช่วยให้อาการทุเลาลง สามารถป้องกันอาการไม่ให้เกิดได้หรือไม่ ทีมกองบรรณาธิการ ABK ได้รวบรวมข้อมูลต่างๆ มาฝากคุณแม่แล้วค่ะ

แพ้ท้อง
แพ้ท้อง

คุณแม่ตั้งครรภ์ต้องรับมืออย่างไรกับอาการแพ้ท้อง

อาการแพ้ท้อง (Morning Sickness) เป็นอาการคลื่นไส้และอาเจียนที่เกิดขึ้นในช่วงตั้งครรภ์ และอาจมีอาการวิงเวียนศีรษะ เบื่ออาหาร หรืออาการอื่นร่วมด้วย โดยจะพบได้บ่อยในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ และอาการจะเริ่มดีขึ้นแล้วหายไปในช่วงกลางหรือหลังไตรมาสที่ 2 แต่บางรายอาจมีอาการแพ้ท้องตลอดการตั้งครรภ์

อาการแพ้ท้อง

คุณแม่ตั้งครรภ์อาจมีอาการแพ้ท้องแตกต่างกันไป ซึ่งส่วนใหญ่พบว่าจะมีอาการ คลื่นไส้ เวียนศีรษะ รู้สึกแสบลิ้นปี่ เบื่ออาหาร เหม็นกลิ่นสิ่งต่าง ๆ เช่น กลิ่นอาหาร น้ำหอม เป็นต้น  และอาจมีอาการซึมเศร้าหรือวิตกกังวลร่วมด้วย

โดยทั่วไปแล้วจะพบว่าคุณแม่เริ่มมีอาการแพ้ท้องรุนแรงในช่วงสัปดาห์ที่ 4-6 และอาการจะค่อย ๆ บรรเทาลงเมื่อผ่านเข้าสู่สัปดาห์ที่ 12-14 คุณแม่บางคนอาจมีอาการแพ้ท้องตลอดช่วงระยะเวลาการตั้งครรภ์ได้

นอกจากนี้ อาการแพ้ท้องอาจถูกกระตุ้นได้ง่ายจากกลิ่น อาหารที่มีรสเผ็ด ความร้อน หรือภาวะน้ำลายมาก ในบางกรณีอาจมีอาการแพ้ท้องได้แม้ไม่มีสิ่งกระตุ้น และอาจเกิดในช่วงใดก็ได้ตลอดวัน แต่มักจะมีอาการในช่วงเช้า

ควรพบแพทย์ทันทีเมื่อมีอาการดังนี้

  1. อาเจียนรุนแรงจนควบคุมไม่ได้
  2. ปัสสาวะได้น้อยและมีสีเข้มกว่าปกติ หรือไม่ปัสสาวะเป็นเวลามากกว่า 8 ชั่วโมง
  3. รู้สึกร่างกายขาดน้ำ
  4. วิงเวียน อ่อนแรง จะเป็นลมเวลาลุกขึ้นยืน
  5. หัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ
  6. เจ็บท้อง
  7. เจ็บหรือมีเลือดออกขณะปัสสาวะ
  8. น้ำหนักลดลง

อาการแพ้ท้องเกิดจากสาเหตุใด

อาการ แพ้ท้อง มักไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อทารกในครรภ์ โดยในปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุของอาการแพ้ท้องที่แน่ชัด ส่วนมากมักถูกกระตุ้นจากกลิ่นหรือการรับประทานอาหารบางชนิดได้ง่าย ผู้ที่ตั้งครรภ์อาจปรึกษากับแพทย์เพื่อหาวิธี บรรเทาอาการแพ้ท้อง ได้ ยกเว้นในผู้ที่มีอาการแพ้ท้องอย่างรุนแรง (Hyperemesis Gravidarum) ควรพบแพทย์โดยเร่งด่วน

ทั้งนี้อาการแพ้ท้องมักเกิดขึ้นในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ โดยเฉพาะคุณแม่ที่ตั้งท้องลูกคนแรก จะมีโอกาสแพ้ได้มากขึ้น ถึงแม้ยังไม่มีผลการพิสูจน์ทางการแพทย์ถึงสาเหตุของอาการแพ้ แต่มีข้อสันนิษฐานว่าอาจเกิดจากสาเหตุดังนี้

  • การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนที่มาจากเด็กทารกในครรภ์และรกทำให้ปริมาณฮอร์โมนเพิ่มมากขึ้น
  • อาจเกิดจากสภาวะทางด้านจิตใจที่มีความเครียด
  • สัญชาตญาณการต่อต้านอาหารที่อาจส่งผลต่อเด็กในครรภ์จึงทำให้เหม็นกลิ่นอาหาร

สำหรับคุณแม่ที่มีอาการแพ้ท้องรุนแรง มีอาการคลื่นไส้หรืออาเจียนอย่างต่อเนื่อง อาจมีสาเหตุมาจากอาการของโรคหรือสภาวะอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์ อย่างโรคเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์ หรือโรคตับ แต่พบได้ค่อนข้างน้อย

คุณแม่ตั้งครรภ์จะมีโอกาสแพ้ท้องเพิ่มมากขึ้น หากมีปัจจัยดังต่อไปนี้

  • เคยมีอาการคลื่นไส้และอาเจียนจากการเมารถ ปวดไมเกรน ได้กลิ่นหรือการรับประทานอาหารบางชนิด หรือเคยได้รับยาคุมกำเนิดที่มีส่วนประกอบของเอสโตรเจน (Estrogen) ก่อนการตั้งครรภ์
  • เคยมีอาการแพ้ท้องจากการตั้งครรภ์ครั้งก่อน ๆ
  • ตั้งครรภ์ทารกแฝดหรือมากกว่า 1 คนขึ้นไป

นอกจากนี้ หากเคยตั้งครรภ์ทารกเพศหญิง สมาชิกในครอบครัวมีประวัติการแพ้ท้องอย่างรุนแรง หรือเคยมีอาการแพ้ท้องอย่างรุนแรงจากการตั้งครรภ์ครั้งก่อน ๆ อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้เสี่ยงต่ออาการแพ้ท้องที่รุนแรง

การวินิจฉัยอาการแพ้ท้อง

แพทย์สามารถวินิจฉัยอาการแพ้ท้องได้จากอาการที่เกิดขึ้นโดยทั่วไป แต่ในกรณีที่แพทย์สงสัยว่าผู้ตั้งครรภ์อาจมีอาการแพ้ท้องที่รุนแรง แพทย์อาจตรวจด้วยวิธีอื่น ๆ เพิ่มเติม อาทิ การตรวจปัสสาวะเพื่อหาภาวะขาดน้ำ การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (Complete Blood Count: CBC) เพื่อตรวจหาภาวะโลหิตจางและภาวะขาดน้ำ สมดุลเกลือแร่ สารอาหาร หรือวิตามินบางชนิด รวมไปถึงอาจมีการอัลตราซาวด์ (Ultrasound) เพื่อตรวจดูพัฒนาการของทารกว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติหรือไม่

 

อ่านต่อ…แพ้ท้อง คุณแม่ตั้งครรภ์ต้องรับมืออย่างไร คลิกหน้า 2

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

กินเจห้ามกินอะไรบ้าง

กินเจห้ามกินอะไรบ้าง กินอย่างไรไม่ทำลายสุขภาพ

Alternative Textaccount_circle
event
กินเจห้ามกินอะไรบ้าง
กินเจห้ามกินอะไรบ้าง

กินเจห้ามกินอะไรบ้าง กินเจกินอะไรได้บ้าง กินเจอย่างไรไม่ให้อ้วน ให้นมลูกกินเจได้ไหม เรื่องควรรู้ก่อนถือศีลกินเจ กินอย่างไรให้ได้บุญ พร้อมสุขภาพดี

กินเจห้ามกินอะไรบ้าง กินอย่างไรไม่ทำลายสุขภาพ เรื่องควรรู้ก่อนถือศีลกินเจ!!

เทศกาลกินเจ วนมาถึงอีกแล้ว เทศกาลบุญที่วนกลับมาประจำทุกปี ประเพณีของคนเชื้อสายจีนในประเทศไทย ที่ยึดถือสืบทอดประเพณีกันมา โดยที่มาที่ไปของประเพณีนี้ว่ากันว่า เริ่มรู้จักการกินเจกันที่แรก คือ จังหวัดภูเก็ต โดยคนจีนจากมณฑลฮกเกี้ยน (ฝูเจี้ยน) แต้จิ๋ว และซัวเถา ได้เดินทางเข้ามาอยู่อาศัยและทำมาหากินในเมืองไทย บริเวณพื้นที่หมู่บ้านกะทู้ ตำบลกะทู้ จังหวัดภูเก็ต จำนวนมาก และได้นำเอาประเพณีกินเจ กินผัก หรือ เจี๊ยะฉ่าย เข้ามาในประเทศไทย ซึ่งเป็นประเพณีที่ได้รับอิทธิพลมาจากศาสนาเต๋า (ลัทธิเต๋า) ที่พวกเขานับถือ โดยพวกเขามีความเชื่อและศรัทธาในเรื่องเทพเจ้าประจำตระกูลหรือเทพเจ้าประจำหมู่บ้าน หากมีเหตุเภทภัยอันใดเกิดขึ้น ก็จะแก้เคล็ดด้วยการอัญเชิญเทพเจ้าแต่ละพระองค์ที่ตนนับถือ มาบูชากราบไหว้เพื่อให้คุ้มครองปกป้องรักษาตน พร้อมกับการถือศีลกินผัก งดบริโภคเนื้อสัตว์ทุกชนิด งดทำบาปเพื่อส่งผลให้เภทภัยต่างๆ หายไป โดยมักจะกินเจ 9 วัน เพราะถือว่าเป็นการบูชา 9 เทวกษัตริย์ ที่เชื่อว่าจะมารับเคราะห์หรือเภทภัยต่างๆ แทนมนุษย์

กินเจห้ามกินอะไรบ้าง กินให้สุขภาพดีได้อย่างไร
กินเจห้ามกินอะไรบ้าง กินให้สุขภาพดีได้อย่างไร

คำว่า “เจ” ในภาษาจีนทางพระพุทธศาสนา หมายถึง “อุโบสถ หรือการรักษาศีล 8” ของศาสนาพุทธนิกายมหายาน ที่จะมีการรักษาอุโบสถศีล ไม่บริโภคอะไรหลังเที่ยงวันตามหลักศีล 8 ข้อ และไม่บริโภคเนื้อสัตว์ เพื่อเป็นการไม่เบียดเบียนสิ่งมีชีวิต ช่วงหลังจึงเรียกคนที่ไม่กินเนื้อสัตว์ว่า “กินเจ” ไปด้วย แต่ถึงกระนั้นการกินเจไม่ใช่เพียงแต่งดเนื้อสัตว์ อาหาร และเครื่องปรุงที่มีส่วนประกอบของเนื้อสัตว์ แต่ยังรวมถึงการรักษาศีล ประพฤติตัวเป็นคนดีทั้งกาย วาจา ใจ อีกด้วย

แต่อีกหนึ่งที่มาของการกินเจที่น่าสนใจ คุณจิตรา ก่อนันทเกียรติ นักสะสมความรู้เรื่องจีน บอกว่า เป็นเรื่องจากทางการแพทย์จีน เนื่องจากก่อนที่สัตว์จะถูกฆ่านั้นมีความเครียดทำให้มีการหลั่งสารพิษออกมา ผู้บริโภคอย่างเราๆ ก็สะสมสารพิษจากเนื้อสัตว์ที่กินเข้าไปตลอดทั้งปี ทางการแพทย์จีนเชื่อว่าหากหยุดกินเนื้อสัตว์สัก 9-10 วันต่อปีได้ จะช่วยสลายสารพิษเหล่านี้ออกไปบ้าง และทำให้อายุยืนขึ้น

กินเจห้ามกินอะไรบ้าง ??

อย่างที่ได้กล่าวมาแล้วว่า การกินเจไม่ใช่เพียงแต่การงดเว้นรับประทานเนื้อสัตว์เท่านั้น แต่ยังเป็นการฝึกจิตใจ บำเพ็ญรักษาศีล จึงเรียกได้ว่าเป็น การถือศีลกินเจ นั่นเอง ดังนั้นธรรมเนียมปฎิบัติของผู้ที่ต้องการถือศีลกินเจ จึงมิใช่เพียงแค่การรับประทานผัก ละเว้นเนื้อสัตว์เท่านั้น แต่ยังมีข้อปฎิบัติที่แตกต่างจากการรับประทานมังสวิรัติอีกเล็ก ๆ น้อย ๆ ดังนี้

  1. งดเว้นการกินเนื้อสัตว์ทุกชนิด รวมถึงผลิตภัณฑ์อาหารอื่น ๆ ที่ได้มาจากการเบียดเบียนสัตว์ เช่น นม เนย ไข่ ไขมันสัตว์ น้ำผึ้ง เป็นต้น
  2. งดเว้นการกินผักที่มีกลิ่นฉุน หรือผักที่มีกลิ่นแรง ซึ่งผักเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของผู้ที่ถือศีลกินเจทำให้มีจิตใจที่เร่าร้อน ขัดขวางการรักษาศีล ผักต้องห้ามทั้ง 5 ชนิด ได้แก่
    • กระเทียม (หัวกระเทียม, ต้นกระเทียม)
    • หัวหอม และพืชตระกูลหอม หัวหอมใหญ่ หอมแดง ต้นหอม (บางคนอาจจะรวมผักชีด้วย)
    • หลักเกียว หรือ กระเทียมโทนจีน
    • กุยช่าย
    • ใบยาสูบ (บุหรี่, ยาเส้น, ของเสพติดมึนเมา)
  3. งดเว้นการใช้ เครื่องปรุงรส ที่เป็นผลผลิตที่มาจากสัตว์ มาประกอบอาหาร เช่น น้ำปลา น้ำมันหอย ผงชูรส ผงปรุงรสหมู และไก่ เป็นต้น
  4. งดเว้นการกินอาหารที่มีรสจัด เน้นอาหารรสชาติอ่อน ๆ  เช่น เผ็ดจัด เปรี้ยวจัด หวานจัด เค็มจัด ไม่ปรุงแต่งรสชาติมากเกินไป เพราะถือว่าจะเข้าไปทำลายสุขภาพร่างกาย เป็นการฝึกให้จิตใจไม่ยึดติดกับรสชาติ
  5. งดเว้นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และของมึนเมาทุกชนิด
  6. ห้ามกินอาหารที่คนปรุงไม่ได้ถือศีลกินเจ
  7. ถ้วยชาม ภาชนะใส่อาหารจะต้องไม่ปะปนกันกับคนที่ไม่ได้กินเจ

    ประวัติการ ถือศีล กินเจ
    ประวัติการ ถือศีล กินเจ

กินเจแตกต่างจากมังสวิรัติ อย่างไร??

มังสวิรัติแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ มังสวิรัติแบบไม่เคร่งครัดที่สามารถบริโภคนม และไข่ได้ ส่วนอีกประเภทคือมังสวิรัติแบบเคร่งครัด ซึ่งจะมีความคล้ายกับการกินเจตรงที่งดเว้นเนื้อสัตว์ และผลิตภัณฑ์จากสัตว์เหมือนกัน แต่มังสวิรัติจะสามารถนำผักทุกชนิดมาปรุงได้ ในขณะที่อาหารเจมีการปรุงอาหารที่เข้มงวดกว่า เช่น งดผักที่มีกลิ่นฉุน รวมถึงยังต้องรักษาศีลให้จิตใจบริสุทธิ์ด้วย

อ่านต่อ >>กินเจอย่างไร ไม่ทำลายสุขภาพ แม่ให้นมกินเจได้ไหม คลิกหน้า 2

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

keyboard_arrow_up