โรคหลงตัวเอง บุคลิกภาพที่พ่อแม่สร้างสู่อาการทางจิต

Alternative Textaccount_circle
event

โรคหลงตัวเอง บุคลิภาพที่ส่งผลต่อความสุขในการดำเนินชีวิต จากแค่นิสัยอาจกลายมาเป็นปัญหาทางจิต ปรับเปลี่ยนการเลี้ยงดูก่อนสาย อย่าให้ความรักทำให้ลูกทุกข์ใจ

โรคหลงตัวเอง บุคลิกภาพที่พ่อแม่สร้างสู่อาการทางจิต!!

บุคลิกภาพ ของแต่ละคนจะเป็นสิ่งประจำตัวของคนคนนั้น ที่ทำให้แตกต่างจาก คนอื่น และมีหลายสิ่งหลายอย่าง ที่จะประกอบกัน ทำให้คนแต่ละคนมี บุคลิกภาพ เป็นของตัวเอง ซึ่งเป็นผลมาจาก การทำงานประสานกันของ สมอง ที่ขึ้นอยู่กับพันธุกรรม และประสบการณ์ ที่ได้รับจาก สิ่งแวดล้อม และการเลี้ยงดู

ฟิลลิป จี.ซิมบาร์โด และฟลอยด์ แอล.รูช (Zimbardo and Ruch 1980:292) อธิบายว่า บุคลิกภาพ เป็นผลรวมของลักษณะ เชิงจิตวิทยาของบุคคล แต่ละคน มีผลต่อการแสดงออกซึ่งพฤติกรรมหลากหลายของบุคคลนั้น ทั้งส่วนที่เป็นลักษณะภายนอก ที่สังเกตได้ง่ายและพฤติกรรมภายในที่สังเกตได้ยาก ลักษณะที่หลากหลายดังกล่าว ส่งผลให้บุคคลแสดงออก ต่างกันใน แต่ละสถานการณ์ และช่วงเวลา

ที่มา : www.digitalschool.club
โรคหลงตัวเอง สามารถทำให้ลูกเข้าสู่ภาวะซึมเศร้าได้
โรคหลงตัวเอง สามารถทำให้ลูกเข้าสู่ภาวะซึมเศร้าได้

บุคลิกภาพที่ผิดปกติ!!

โรคหลงตัวเอง (Narcissistic Personality Disorder)

คือ โรคบุคลิกภาพผิดปกติชนิดหนึ่ง โดยผู้ป่วยโรคนี้จะมีลักษณะยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง ต้องการการยกยอชื่นชม และขาดความเห็นใจผู้อื่น มักหมกมุ่นอยู่กับการโอ้อวดตัวตนของตัวเอง เช่น ความสำเร็จ รูปร่างหน้าตา หรือฐานะทางการเงิน เชื่อว่าตัวเองนั้นเหนือกว่าผู้อื่น รวมทั้งมักคบค้าสมาคมกับบุคคลที่เห็นว่ามีความพิเศษหรือสำคัญมาก การกระทำดังกล่าวจะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นและเคารพนับถือตัวเองให้มากขึ้น เนื่องจากผู้ป่วยโรคนี้มีความนับถือตัวเองต่ำ ไม่สามารถทนการวิพากษ์วิจารณ์ได้ และมักอับอายหรือรู้สึกอ้างว้างเมื่อถูกปฏิเสธหรือได้รับการวิจารณ์ข้อเสียของตัวเอง

อาการของโรคหลงตัวเอง

ผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าป่วยเป็นโรคหลงตัวเองจะปรากฏสัญญาณหรือพฤติกรรมของโรค 5 ลักษณะ หรือมากกว่านั้น ดังนี้

  • มักยึดตัวเองเป็นสำคัญมากเกินไป เช่น หวังว่าผู้อื่นจะเห็นว่าตัวเองพิเศษหรือเหนือกว่าในด้านต่าง ๆ
  • มักหมกหมุ่นกับการคิดถึงความสำเร็จ อำนาจ ความร่ำรวย ความงาม หรือความรักในอุดมคติของตัวเอง
  • เชื่อว่าตัวเองเป็นคนพิเศษ และบุคคลที่มีความพิเศษหรือสถานะทางสังคมที่สูงเทียบเท่ากันเท่านั้นถึงจะเข้าใจตน
  • ต้องการความสนใจ การยอมรับ และความชื่นชมจากผู้อื่น
  • คิดว่าสมควรได้รับอภิสิทธิ์ต่าง ๆ อย่างไม่มีเหตุผล
  • แสวงหาประโยชน์จากผู้อื่น เพื่อให้ตนเองบรรลุเป้าหมายที่ต้องการ
  • ขาดความเห็นใจและนึกถึงผู้อื่น
  • มักริษยาผู้อื่น หรือเชื่อว่าคนรอบข้างอิจฉาตนเอง
  • มีความคิดหรือพฤติกรรมที่เย่อหยิ่ง จองหอง
ที่มา : www.pobpad.com

ขอขอบคุณคลิปดี ๆ จาก Rama Square  ให้ความรู้โดย รศ. พญ.สุวรรณี พุทธิศรี ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

เลี้ยงลูกอย่างไร ทำให้ลูกเป็นเด็กที่หลงตัวเอง??

พัฒนาการทางด้านจิตใจ หรือพัฒนาการทางบุคลิกภาพของแต่ละบุคคลนั้น จะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป จะเรียนรู้ เติบโต พัฒนาการไปตามแต่ละช่วงวัย  การสร้างบุคลิกภาพเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่จะทำให้คนเรามีคุณภาพชีวิตที่ดี มีจิตใจปกติ สามารถมีความสุข มีความรับผิดชอบ ปรับตัวได้ในสถานการณ์ต่าง ๆ พัฒนาการที่ดีต้องอาศัยปฏิสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยทางชีวภาพของเด็ก กับประสบการณ์จากสิ่งแวดล้อมที่เด็กเติบโตมา

พ่อแม่ ผู้เลี้ยงดูเด็ก จึงมีความสำคัญ และมีความจำเป็นที่ต้องมีความรู้ความเข้าใจในบทบาทตนเองที่ส่งผลต่อการพัฒนาบุคลิกภาพของเด็ก เพราะจะช่วยป้องกันปัญหาทางจิตใจ อารมณ์ และพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ หรือหากว่าพ่อแม่สังเกตได้ว่าลูกมีความเบี่ยงเบน พบสัญญาณของปัญหาต่อบุคลิกภาพ ก็จะได้รีบแก้ไข หรือขอความช่วยเหลือจากจิตแพทย์เด็ก หรือผู้ที่มีความเชี่ยวชาญต่อไปได้

สังเกตอาการลูกมีความเสี่ยงเป็น โรคหลงตัวเอง หรือไม่??

  • ต้องการความสนใจมากเป็นพิเศษ แต่เมื่อได้รับแล้วกลับไม่รู้สึกปลาบปลื้ม หรือขอบคุณกับความรักที่ได้รับมา รู้สึกความรักนั้นไม่เพียงพอ
  • มีความคาดหวังกับตัวเองสูง เมื่อทำอะไรผิดพลาดจะรู้สึกแย่ และรู้สึกไม่ดีต่อตนเอง ลดทอนคุณค่าของตัวเอง ไม่สามารถปรับตัวให้ยอมรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่จะแสดงออกมาเป็นอาการโมโห เกรี้ยวกราด และหากต้องเผชิญกับความผิดหวังบ่อยครั้ง อาจนำไปสู่อาการของโรคซึมเศร้าได้ เพราะไม่สามารถยอมรับตัวเองได้
  • ไม่ชอบเล่นบทบาทสมมติ ตามปกติในวัยเด็กเล็กมักจะชื่นชอบต่อการเล่นบทบาทสมมติเป็นตัวฮีโร่ที่ตนเองชื่นชอบ แต่เด็กที่มีบุคลิกหลงตัวเองนั้น มักจะไม่เล่นบทบาทสมมติเป็นตัวละครอื่น แต่จะจินตนาการว่าตัวเองพิเศษ เหนือกว่าคนอื่น และจะรู้สึกอิจฉา จนอาจไปทำลายความสำเร็จของเพื่อนได้ เมื่อเห็นใครได้รับการยอมรับมากกว่า เช่น หากเห็นเพื่อนต่อบล็อกได้สูงกว่า หรือครูชมว่าของเพื่อนสวย แต่ไม่ได้รับคำชมบ้าง อาจไปทำลายบล็อกของเพื่อน เป็นต้น
  • มีเพื่อนน้อย เพราะมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีต่อคนรอบข้าง ไม่ฟังใคร ชอบออกคำสั่งมากกว่ารับฟังความเห็นผู้อื่น เพื่อนจึงไม่ค่อยเล่นด้วย
ต้องพยายามเป็นที่หนึ่งตลอด อาการ โรคหลงตัวเอง
ต้องพยายามเป็นที่หนึ่งตลอด อาการ โรคหลงตัวเอง

ครอบครัวแบบไหนเสี่ยงต่อการเกิดบุคลิกภาพหลงตัวเอง

ครอบครัวที่ชื่นชมแต่ผลสำเร็จ ชอบแข่งขัน

พ่อแม่บางคนอาจทำไปโดยไม่ตั้งใจ หรือไม่ทันระวัง กับพฤติกรรมการชมเชย ชื่นชม สนใจ หรือแสดงความรักเมื่อลูกได้รับรางวัล หรือทำอะไรบางอย่างสำเร็จเท่านั้น โดยลืมไปว่าความเป็นจริงแล้ว พ่อแม่ควรชื่นชมในความตั้งใจ การกระทำของลูกมากกว่า และมักพบว่าครอบครัวแบบนี้มักมี พ่อหรือแม่คนใดคนหนึ่ง เป็น โรคหลงตัวเอง เช่นกัน จึงมักจะกระตุ้นให้ลูก แสดงศักยภาพที่สูงที่สุด ดีที่สุด เพราะพ่อแม่ที่เป็นโรคหลงตัวเองก็ต้องการความเป็นที่หนึ่งเช่นกัน

เด็กเหล่านี้ จะได้รับความสนใจ หรือ ความรัก อย่างมีเงื่อนไข เช่น สอบได้ที่หนึ่ง ได้คะแนนดี ได้รางวัลต่าง ๆ จากโรงเรียน และเมื่อทำได้ พวกเขาก็จะได้รับคำชื่นชมยินดีอย่างมาก แต่เมื่อไรก็ตาม ที่เราไม่ได้รับรางวัลใด ๆ เด็กเหล่านั้นก็จะรู้สึกผิดหวัง และไม่ว่าเขาจะประสบความสำเร็จมากเพียงใด ก็ไม่เคยสิ้นสุด ความกดดัน ที่จะต้องทำให้ดีขึ้นยังคงอยู่

สิ่งแวดล้อมทำให้เขารู้สึกว่า เขาจะไม่ได้รับความรัก และ ความสนใจ ถ้าไม่ประสบความสำเร็จ แทนที่พวกเขาจะมีความสุขในสิ่งที่ทำ พวกเขาวิ่งตามหาความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิมเรื่อยๆ พ่อกับแม่ของพวกเขา ไม่ได้สนับสนุนในสิ่งที่เขาชอบ โดยไม่มีเงื่อนไข พวกเขาจะได้รับการสนับสนุน หรือ ชื่นชม ก็ต่อเมื่อเป็นความสำเร็จที่ครอบครัวยอมรับ ทำให้ครอบครัวดูดี เพื่อที่พ่อกับแม่ จะได้ไปคุยกับคนอื่น ถึงความสำเร็จของลูกได้

ครอบครัวที่ชอบเปรียบเทียบ
พ่อแม่ที่นำลูกไปเปรียบเทียบ ไม่ว่าจะเปรียบเทียบกับคนอื่น ญาติสนิทมิตรสหาย หรือเปรียบเทียบกับพี่น้องกันเองก็ตาม โดยความมุ่งหวังว่าเด็กจะได้มีแรงผลักดัน และมีตัวอย่างที่จะดำเนินรอยตาม แต่รู้หรือไม่ว่า การเปรียบเทียบกับคนที่เก่งกว่า ดีกว่า จะทำให้เด็กรู้สึกว่าตัวเองไม่ดีพออยู่เสมอ เด็กมักมีอารมณ์โกรธ อับอาย และรู้สึกว่าตัวเองไม่ดีพออยู่เสมอ ๆ ทำให้แสดงออกมาเป็นพฤติกรรมที่ตอบสนองต่อสถานการณ์ต่าง ๆ แตกต่างกันไป โดยอาจแบ่งได้ดังนี้
  • แสดงออกเป็นเด็กขี้แพ้

เมื่อลูกถูกเปรียบเทียบกับคนที่เก่งกว่าบ่อยครั้ง จะทำให้เขารู้สึกว่า ตัวเองไม่ดีพอ ไม่มีทางทำได้ ทำให้รู้สึกไม่ชอบตัวเอง มีอาการของโรคซึมเศร้า และวิธีการที่เด็กกลุ่มนี้จะใช้ในการหนีความเจ็บปวด ได้แก่ การเสพติดบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ยาเสพติด เหล้า บุหรี เกมส์ เป็นต้น ชีวิตของเด็กที่มีบุคลิกภาพแบบนี้มักไม่ค่อยประสบความสำเร็จ ด้วยการคิดว่า พวกเขาไม่มีความสามารถมากพอ จึงยอมแพ้ตั้งแต่ต้น

เมื่อไม่เป็นที่หนึ่ง จะผิดหวังรุนแรง ไม่สามารถปรับตัวได้
เมื่อไม่เป็นที่หนึ่ง จะผิดหวังรุนแรง ไม่สามารถปรับตัวได้
  • เด็กต่อต้าน

เด็กบางคนจะแสดงออกมาในรูปแบบต่อต้าน โกรธที่พ่อแม่มองไม่เห็นคุณค่า หากมีเหตุการณ์ใดก็ตามที่ทำให้พวกเขารู้สึกว่า ถูกกระทำคล้าย ๆ กับที่พ่อกับแม่ทำกับเขา พวกเขาก็จะระบายความโกรธอย่างรุนแรงกับคนเหล่านั้น พวกเขาชอบที่จะทำลาย ทำร้ายคน

ครอบครัวที่ปกป้องมากเกินไป
พ่อแม่ที่ปกป้องลูก ย่อมเป็นเรื่องปกติ แต่หากเป็นการปกป้องที่ทำให้ลูกหมดทุกอย่าง ตามใจ ลูกไม่เคยผิด การชื่นชมลูกมากจนเกินความเป็นจริง ผลที่ได้ในทางกลับกันจะเป็นการสร้างแรงกดดันให้กับลูก ทำให้เขารู้สึกว่า เขาจะไม่ได้ความรัก ถ้าพวกเขาไม่เป็นอย่างที่พ่อแม่ชื่นชม

เด็กที่ต้องพยายามทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อให้ได้รับความรัก และ ความสนใจ ทำให้พวกเขาไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง ไม่รู้ว่าตัวเอง ชอบ หรือ ไม่ชอบอะไร หรือ มีความสุขอย่างแท้จริงกับการทำอะไร เพราะพวกเขาพยายามทุกวิถีทางเพื่อจะได้รับการยอมรับจากพ่อกับแม่

ผู้ที่มีบุคลิกภาพแบบหลงตัวเองอย่างแท้จริง (proper narcissist) มองภายนอกอาจดูเข้มแข็ง ไม่กลัวสิ่งใด ยึดถือภูมิใจในตนเอง แต่ความเป็นจริงกลับมีความรู้สึกผิดในเบื้องลึกของจิตใจ ทั้งยังนับถือตนเองต่ำ จึงแสดงการโอ้อวดตนเองเพื่อให้ได้มาซึ่งการยอมรับ และสถานะทางสังคม

รักโดยไม่มีเงื่อนไข ช่วยได้
รักโดยไม่มีเงื่อนไข ช่วยได้

ดังนั้นผู้คนรอบข้างจึงควรทำความเข้าใจ โดยเฉพาะพ่อแม่สามารถปรับพฤติกรรม และความรู้สึกของลูกได้ด้วยการมอบความรักอย่างไม่มีเงื่อนไขให้กับลูก อย่านำความรักที่ให้ไปผูกติดกับความสำเร็จ หรือการเป็นที่หนึ่ง ทำให้ลูกรับรู้ได้ว่าเรารักเขาที่เป็นตัวเขาเอง ให้ลูกค่อย ๆ ปรับความคิด และจะได้ไม่ต้องไขว้คว้าแสวงหาแต่การเป็นที่หนึ่งอยู่ตลอดเวลา จะทำให้การดำเนินชีวิตของลูกตลอดชีวิตพบแต่ความเหนื่อยใจ ไม่เต็มเติมเสียที จนอาจนำพาไปสู่อาการทางจิตที่รุนแรงขึ้นได้

ข้อมูลอ้างอิงจาก www.istrong.co /www.bbc.com

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

อาการลองโควิด กระทบ 6 อวัยวะภายใน ดูแลยังไง

แก้ปัญหาลูกติดมือถือ ง่ายๆ ด้วย คู่มือตารางเวลา จากกรมสุขภาพจิต

120 ชื่ออังกฤษ สำหรับลูกสาว ลูกชาย เพราะๆ เก๋ๆ

ควร กินอะไรเสริมภูมิ บรรเทาอาการลูกน้อยจากลองโควิด

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

ยาสีฟันเด็ก Toothpaste

รวม 14 ยาสีฟันเด็ก ยี่ห้อไหนดี กลิ่นหอมน่าใช้ แปรงฟันสะอาด พร้อมวิธีเลือกซื้อยาสีฟัน

Alternative Textaccount_circle
event
ยาสีฟันเด็ก Toothpaste
ยาสีฟันเด็ก Toothpaste

ลูกน้อยยิ้มสวยฟันขาวสะอาดไม่มีฟันผุ คุณแม่ ๆ ต้องเริ่มฝึกลูกให้รักการแปรงฟันกันมาตั้งแต่เล็ก ๆ ถึงจะมีสุขภาพช่องปากและฟันแข็งแรง ซึ่งไอเทมสำคัญตัวช่วยทำให้มีสุขภาพฟันดีทั้งฟันน้ำนม และฟันแท้ นั่นก็คือ “ยาสีฟันเด็ก” วันนี้ทีมแม่ABK รวบรวมยาสีฟันเด็กสุดฮอตใช้ดี มาแนะนำให้เลือกใช้กันแบบจุใจ 14 ยี่ห้อเลยค่ะ

ยาสีฟันเด็ก ต้องมีปริมาณฟลูออไรด์เท่าไหร่ ?

ฟลูออไรด์ที่ผสมอยู่ใน ยาสีฟันเด็ก และ ยาสีฟันทั่วไป นั่นมาจากเกลือของธาตุฟลูออรีนที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ (ดิน น้ำ อากาศ หินแร่ อาหารทะเล) ซึ่งสารฟลูออไรด์จะมีประโยชน์ในการช่วยเคลือบฟัน ทำให้ยับยั้งการผุของผิวเคลือบฟัน  แต่การใช้ฟลูออไรด์ก็ต้องอยู่ในปริมาณที่เหมาะสมด้วยเช่นกันค่ะ เพราะการใช้ในปริมาณมากเกินไป ก็เสี่ยงที่จะทำให้เป็นโรคฟันตกกระ(Fluorosis) ทำให้เนื้อฟันมีแถบหรือจุดสีขาว สีเหลืองเข้ม หรือสีน้ำตาลเข้มได้ค่ะ

ปริมาณฟลูออไรด์ที่เหมาะสมในยาสีฟันคือ ประมาณ 1,000 – 1,500 ppm (ส่วนในล้านส่วน) เพื่อเป็นการป้องกันฟันผุ และช่วยให้สุขภาพฟันแข็งแรง ควรแปรงฟันด้วยยาสีฟันที่ผสมฟลูออไรด์วันละ 2 ครั้ง เช้า – ก่อนนอน

จดโน้ตไว้เลยว่า ยาสีฟันเด็ก ไม่ควรมีส่วนผสมของน้ำตาล เพราะจะทำฟันผุ และการใช้ยาสีฟันที่ผสมฟลูออไรด์ ก็ต้องดูที่ปริมาณ ppm ด้วยนะคะ สำหรับในเด็กเล็กมาก ๆ (น้อยกว่า 3 ขวบ) อาจเลือกเป็นยาสีฟันที่ไม่มีฟลูออไรด์ก็ได้เช่นกันค่ะ 

ต้องใช้ยาสีฟันเด็ก ป้ายที่แปรงสีฟันปริมาณแค่ไหน ?

ได้ยินกันบ่อย ๆ ว่าเมล็ดถั่วเขียวใช่ไหมคะ ทีนี้ขนาดถั่วเขียวของแต่ละบ้านก็กะขนาดไม่เท่ากัน มาดูวิธีการใช้ปริมาณยาสีฟันง่ายกับช่องปากของลูก ให้ดูที่ “แปรงสีฟัน” เป็นหลักค่ะ

  • ตั้งแต่ฟันซี่แรกขึ้น – อายุต่ำกว่า 3 ปี ปริมาณยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ที่ใช้ คือ แตะขนแปรงพอเปียก โดยที่ต้องมีคุณพ่อคุณแม่แปรงให้และเช็ดฟองออก ลูกระหว่างวัยนี้ยังแปรงฟันเองได้ไม่ถนัด และยังแปรงฟันเองได้ไม่สะอาดค่ะ
  • เด็กอายุ 3 ปี – อายุต่ำกว่า 6 ปี ปริมาณยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ที่ใช้ คือ เท่ากับความกว้างของแปรง คุณพ่อคุณแม่ก็ยังต้องช่วยดูในเรื่องการบีบใช้ยาสีฟัน และการแปรงฟันให้ลูกอยู่นะคะ
  • เด็กอายุ 6 ปีขึ้นไป ปริมาณยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ที่ใช้ คือ เท่ากับความยาวของแปรง ลูก ๆ วัยระหว่างนี้ เริ่มให้เขาแปรงฟันกันได้เองแล้วค่ะ โดยคุณพ่อคุณแม่แปรงฟันไปพร้อมกับลูก สร้างบรรยากาศให้สนุก ซึ่งพอเมื่อลูกโตพอที่จะแปรงฟันได้เอง เราก็ไม่ต้องช่วยเขาแล้ว ลูกจะแปรงฟันเองได้อย่างมีวินัยค่ะ

พอจะได้ข้อมูลการใช้ยาสีฟันที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์กันไปคร่าว ๆ แล้วนะคะ จริง ๆ แล้วฟลูออไรด์มีประโยชน์มากนะคะเพียงแค่ต้องใช้ในปริมาณที่เหมาะสมก็จะช่วยให้เกิดประโยชน์ค่ะ ทีนี้มาดูกันว่ามียาสีฟันสำหรับเด็กยี่ห้อไหน คุณแม่ถูกใจ ลูกใช้แล้วชอบกันบ้าง ขอบอกแต่ละยี่ห้อใช้ดี ทำมาเพื่อการดูแลฟันเด็กโดยเฉพาะค่ะ

15 ยาสีฟันเด็ก ยี่ห้อไหนดี กลิ่นหอม ฟันขาวสะอาด ป้องกันฟันผุ

ยาสีฟันเด็ก Kodomo

1. KODOMO ยาสีฟันเด็ก สูตรอัลตร้า ชิลด์

ยาสีฟัน : เนื้อเจลสีสดใส ปราศจากน้ำตาล

ขนาด :  40 กรัม

กลิ่น / รส : กลิ่นผลไม้หอมหวาน ได้แก่ กลิ่นสตรอเบอร์รี่ กลิ่นส้ม และกลิ่นบับเบิ้ลฟรุ๊ต ช่วยให้เด็กๆ สนุกสนานและรักการแปรงฟันมากขึ้น

เหมาะสำหรับเด็กอายุ : 0.5 – 12 ปี

ปริมาณฟลูออไรด์ : 1000 ppm

ราคา : 22 บาท/หลอด  SHOW NOW คลิก >> Lionshoponline

 

Dr.Wise ยาสีฟันเด็ก

2. Dr.Wise ยาสีฟันเด็ก พรีเมี่ยมออร์แกนิค สูตรทันตแพทย์

ยาสีฟัน : ดูแลสุขภาพทั้งช่องปาก ลิ้น ฟัน เหงือก กระพุ้งแก้ม – ป้องกันฟันผุ ลดการเกิดคราบขี้ฟันเหลือง เติมแคลเซียมให้ผิวฟันแข็งแรงขึ้น ช่วยให้เหงือกมีสุขภาพดี ลดกลิ่นปาก สร้างสมดุลแห่งความชุ่มชื้นให้กับช่องปาก เนื้อเจลใส กลืนได้ ปราศจากสารเคมีอันตราย สารก่อฟองและสารกันบูด

ขนาด : 30 กรัม

กลิ่น / รส : กลิ่นสตรอว์เบอร์รี่ หอมหวานจาก Japan อร่อยถูกใจเด็ก ๆ ช่วยให้แปรงฟันได้ง่ายขึ้น

เหมาะสำหรับเด็กอายุ : 6 เดือน – 12 ปี

ปริมาณฟลูออไรด์ : 1000 ppm

ราคา : ปกติ 265 บาท ราคาโปรโมชั่น 225 บาท SHOP NOW คลิก >>  m.me/DrWiseOrganic

 

ฺBrush Me toothpaste

3. บลัชมี ยาสีฟันกึ่งสมุนไพรสำหรับเด็ก

ยาสีฟัน :ปราศจากน้ำตาล ไม่มีสารโซเดียม ลอริล ซัลเฟต(SLS) และ พาราเพน

ขนาด : 40 กรัม

กลิ่น / รส : กลิ่นแยมสตรอเบอร์รี่+ส้มมาร์มาเลด

เหมาะสำหรับเด็กอายุ : 6 เดือนขึ้นไป

ปริมาณฟลูออไรด์ : 500 ppm

ราคา : 85 บาท/แพ็ค  SHOW NOW คลิก >> Amvata

ยาสีฟันสำหรับเด็ก Lamoon

4. LAMOON  ยาสีฟันเด็ก สูตรออร์แกนิค

ยาสีฟัน : ปราศจากน้ำตาล และสารอันตราย

ขนาด : 40 กรัม

กลิ่น / รส : กลิ่นแอปเปิ้ล

เหมาะสำหรับเด็กอายุ : 6 เดือน – 3 ปี

ปริมาณฟลูออไรด์ :  ปราศจากฟลูออไรด์

ราคา : 250 บาท/หลอด  SHOW NOW คลิก >> Amvata

Oral-B ยาสีฟันเด็ก มิกกี้มินนี่

5. Oral-B ยาสีฟันเด็ก มิกกี้มินนี่

ยาสีฟัน : เนื้อเจล ปราศจากน้ำตาล

ขนาด : 92 กรัม

กลิ่น / รส : กลิ่นหอมเหมือนหมากฝรั่งรสเบอร์รี

เหมาะสำหรับเด็กอายุ : 3 – 6 ปี

ปริมาณฟลูออไรด์ :  500 ppm

ราคา : 55 บาท/หลอด  SHOW NOW คลิก >> SHOPEE

ยาสีฟันเด็ก Pigeon

6. ยาสีฟันเด็ก Pigeon

ยาสีฟัน : เนื้อเจล ส่วนผสมทั้งหมดเป็น Food grade ปราศจากน้ำตาล ไม่มีพาราเบน ไม่มีสาร SLS ฟองน้อย และไม่แต่งสี

ขนาด :  45 กรัม

กลิ่น / รส : รสธรรมชาติ และ รสองุ่น

เหมาะสำหรับเด็กอายุ : 1 ปีขึ้นไป

ปริมาณฟลูออไรด์ :  1000 ppm

ราคา :  89 บาท/หลอด  SHOW NOW คลิก >> SHOPEE

Kindee Organic Oral Gel

7. Kindee Organic Oral Gel

ยาสีฟัน : สูตรออร์แกนิค เกรดอาหาร ผลิตจากสารสกัดธรรมชาติออร์แกนิค เช่น ว่านหางจระเข้ ข้าวโพด

 กลืนได้ ไม่เป็นอันตราย ยาสีฟันเนื้อเจล ปราศจากน้ำตาล

ขนาด :  50 กรัม

กลิ่น / รส : กลิ่นสตอเบอร์รี่

เหมาะสำหรับเด็กอายุ : 6 เดือนขึ้นไป

ปริมาณฟลูออไรด์ : ปราศจากฟลูออไรด์

ราคา :  150 บาท/หลอด  SHOW NOW คลิก >> Kindeekids

ยาสีฟันเบย์บี

8. ยาสีฟันเด็ก Baybee

ยาสีฟัน : ปราศจากน้ำตาล และสารเพิ่มฟอง SLS, SLES  มีมิลค์แคลเซียม ช่วยบำรุงฟันให้แข็งแรง ส่วนผสมมาจากสารสกัดออร์แกนิคจากว่านหางจระเข้ แอปเปิ้ล และชะเอมเทศ

ขนาด : 40 กรัม   

กลิ่น / รส : กลิ่นสตรอเบอร์รี่ และ ส้ม

เหมาะสำหรับเด็กอายุ : 1 ปีขึ้นไป

ปริมาณฟลูออไรด์ : ปราศจากฟลูออไรด์

ราคา : 95 บาท/หลอด  SHOW NOW คลิก >>  Amvata

Baby Moby ผ้าก๊อซสเตอไรส์เช็ดฟันเด็ก

9. Baby Moby ผ้าก๊อซสเตอไรส์เช็ดฟันเด็ก

ยาสีฟัน : เช็ดทำความสะอาดฟัน ลิ้น และกระพุ้งแก้ม สามารถใช้ได้ตั้งแต่แรกเกิด ผ้าก๊อซเช็ดฟันผลิตจากผ้าฝ้ายธรรมชาติ 100% ผ่านการสเตอไรส์ฆ่าเชื้อ สะอาดยิ่งขึ้น ทำจากฝ้ายแท้ 100% ปราศจากสารเรืองแสง พับปลาย ใช้ง่าย ไม่รุ่ย สะดวก ใช้แล้วทิ้ง ปราศจากน้ำตาล สี และกลิ่น

 ขนาด :  40 ซอง

กลิ่น / รส : – 

เหมาะสำหรับเด็กอายุ : แรกเกิด

ปริมาณฟลูออไรด์ : ปราศจากฟลูออไรด์

ราคา : 158 บาท/กล่อง  SHOW NOW คลิก >> babymoby

ยาสีฟันเด็ก Chicco Oral Care

10. ยาสีฟันเด็ก Chicco Oral Care

ยาสีฟัน : เนื้อครีม ปราศจากน้ำตาล ปราศจากสารทำความสะอาดอย่าง SLS และสารกันเสีย จึงอ่อนโยนและไม่ทำให้ช่องปากของลูกน้อยระคายเคือง

 ขนาด :

กลิ่น / รส : กลิ่นผลไม้แอปเปิ้ล กล้วย

เหมาะสำหรับเด็กอายุ : 6 เดือนขึ้นไป

ปริมาณฟลูออไรด์ :  ปราศจากฟลูออไรด์

ราคา : 173 บาท/หลอด  SHOP NOW คลิก >>SSHOPEE

Pigeon พีเจ้น ผ้าเช็ดฟันเด็กทารก

11. Pigeon พีเจ้น ผ้าเช็ดฟันเด็กทารก

ยาสีฟัน : ผ้าเช็ดฟันสำหรับเด็กทารก ผ่านการสเตอริไรส์ บรรจุในซองแยกชิ้น จึงสะอาดและดวกในการพกพา ปราศจากแอลกอฮอล์และน้ำหอม ไม่มีสี ไม่มีสารปนเปื้อนที่เป็นอันตรายต่อเด็ก ส่วนประกอบต่าง ๆ ผลิตจากวัตถุดิบเกรดที่ใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร 100%

ขนาด : 20 ชิ้น / 70 ชิ้น

กลิ่น / รส : กลิ่นธรรมชาติ และ สตรอเบอร์รี่

เหมาะสำหรับเด็กอายุ : ทารก

ปริมาณฟลูออไรด์ : ปราศจากฟลูออไรด์

ราคา : 135 บาท/กล่อง  SHOW NOW คลิก >>  SHOPEE

Jordan ยาสีฟันเด็ก Step 1

12. Jordan ยาสีฟันเด็ก Step 1

ยาสีฟัน : ปราศจากน้ำตาล ไม่มีสาร SLS ที่ทำให้เกิดฟอง

ขนาด : 75 กรัม

กลิ่น / รส : กลิ่นสตรอเบอร์รี่

เหมาะสำหรับเด็กอายุ : 1 – 5 ปี

ปริมาณฟลูออไรด์ : 500 ppm

ราคา : 89 บาท/หลอด  SHOW NOW คลิก >>  Lazada

ยาสีฟันเด็ก Enfant Organic Plus Gentle First

13. ยาสีฟันเด็ก Enfant Organic Plus Gentle First

ยาสีฟัน : เนื้อเจล ปลอดภัยจากส่วนผสมของสารเคมี ที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองในช่องปาก ปราศจากสาร SLS หรือสารทำความสะอาดและเพิ่มฟอง

ขนาด : 30 ml

กลิ่น / รส : กลิ่นหอมผลไม้สตอเบอรี่ และกล้วยหอม

เหมาะสำหรับเด็กอายุ : 6 เดือนขึ้นไป

ปริมาณฟลูออไรด์ : ปราศจากฟลูออไรด์ 

ราคา : 275 บาท/หลอด  SHOW NOW คลิก >>  iccshopping

ยาสีฟันเด็ก คอลเกต

14. คอลเกต มินเนี่ยน

ยาสีฟัน : เนื้อเจลประกายสดใส ปราศจากน้ำตาล 

ขนาด : 40 กรัม

กลิ่น / รส : รสบับเบิ้ลฟรุต

เหมาะสำหรับเด็กอายุ : 2 – 6 ปี

ปริมาณฟลูออไรด์ : 1000 ppm

ราคา : 21 บาท/หลอด  SHOP NOW คลิก >> SHOPEE

วิธีเลือกซื้อยาสีฟันเด็ก สำหรับพ่อแม่มือใหม่

เดี๋ยวนี้ตามชั้นแผนกสินค้าเด็ก หรือแม่แต่ในซูเปอร์มาร์เก็ต ก็มียาสีฟันสำหรับเด็กให้เลือกซื้อใช้หลากหลายยี่ห้อเลยค่ะ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วถ้าเป็นยาสีฟันสำหรับเด็ก มักจะมีส่วนประกอบที่ปลอดภัย คิดค้นมาเพื่อดูแลฟันเด็กโดยเฉพาะ ฉะนั้นถ้าจะเลือกยาสีฟันเด็กให้ลูก แนะนำคุณพ่อคุณแม่ดูที่ข้อมูลเหล่านี้เป็นหลัก สามารถดูได้จากด้านข้างกล่องของผลิตภัณฑ์ยี่ห้อนั่น ๆ ค่ะ

  • มีตรายี่ห้อที่น่าเชื่อถือ
  • ส่วนประกอบของยาสีฟันผ่านมาตรฐานองค์การอาหารและยา (มีเครื่องหมายอย.)
  • มีปริมาณฟลูออไรด์ตามปริมาณที่กำหนด / หรืออาจไม่มีก็ได้ หากเป็นยาสีฟันสำหรับเด็กเล็ก
  • มีการบอกช่วงอายุการใช้ยาสีฟัน ที่เหมาะกับเด็กแต่ละช่วงวัย
  • ไม่มีสารเคมีอันตราย
  • บอกวันเดือนปีที่ผลิต / วันหมดอายุอย่างชัดเจน

รู้ไหมคะว่า ฟันน้ำนมที่เป็นฟันชุดแรกของเด็ก ๆ สามารถอยู่ได้จนถึงลูกอายุ 6 ขวบ ถ้าดูแลอย่างดีก็จะไม่ผุไปก่อนเวลาค่ะ ฝันน้ำนมที่แข็งแรง ยังจะมีผลดีต่อฟันแท้ ที่เป็นฟันชุดที่สองของลูกด้วยนะคะ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : สำนักงานองค์การอาหารและยา อย.

อ่านบทความน่าสนใจเรื่องอื่น ๆ ต่อ คลิก >>

รวม 15 สเปรย์กันยุง สูตรอ่อนโยนสำหรับเด็ก ฉีดกันไว้ก่อนยุงกัด ยี่ห้อไหนดี

19 อันดับ ถุงเก็บนมแม่ ถุงเก็บน้ำนม ยี่ห้อไหนดี

 

อาการลองโควิด

อาการลองโควิด กระทบ 6 อวัยวะภายใน ดูแลยังไง

Alternative Textaccount_circle
event
อาการลองโควิด
อาการลองโควิด

อาการลองโควิด กระทบ 6 อวัยวะภายใน ดูแลยังไง

อาการลองโควิด เป็นผลข้างเคียงที่ผู้ที่เคยติดเชื้อโควิดมักจะประสบปัญหา หลังจากที่หายจากการติดเชื้อมาแล้ว ข้อมูลจาก กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า ผู้ที่หายจากการโควิด แล้วมักจะเจออาการลองโควิด ซึ่งสร้างความกังวลต่อผู้ที่มีอาการค่อนข้างมาก เนื่องจากระบบอวัยวะที่โดนโจมตี เป็นส่วนสำคัญของระบบร่างกายอย่างมาก แต่หากได้รับการดูแล และมีการฟื้นฟูอวัยวะส่วนไม่ว่าจะเป็น ระบบทางเดินหายใจ ระบบทางจิตใจ ระบบสุขภาพจิต ระบบประสาท ระบบทั่วไป ระบบหัวใจและหลอดเลือด ระบบผิวหนัง อย่างถูกวิธี ก็จะช่วยให้ร่างกายสามารถกลับมาทำงานได้อย่างปกติ

อาการลองโควิด กระทบ 6 อวัยวะภายใน

ลองโควิดส่งผกระทบต่อ 6 ระบบร่างกาย ได้แก่
1.ระบบทางเดินหายใจ 44.38% เช่น เหนื่อยง่าย หายใจไม่เต็มปอด ไอเรื้อรัง
2.ระบบสุขภาพ 32.1% เช่น นอนไม่หลับ วิตกกังวล ซึมเศร้า
3.ระบบประสาท  27.33% เช่น อ่อนแรงเฉพาะที่แบบเฉียบพลัน ปวดศีรษะ หลงลืม
4.ระบบทั่วไป  23.41% เช่น อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดตามข้อ
5.ระบบหัวใจและหลอดเลือด 22.86% เช่น เจ็บหน้าอก ใจสั่น
6.ระบบผิวหนัง  22.8% เช่น ผมร่วง ผื่นแพ้

อาการลองโควิดดูแลยังไง

สำหรับแนวทางการดูแลอาการลองโควิด กับระบบอวัยวะทั้ง 6 อย่าง ทำได้ดังนี้

1. ระบบทางเดินหายใจ

พบภาวะ ไอเรื้อรัง เนื่องจากการติดเชื้อโควิด ส่วนใหญ่มักจะมีอาการไอทั้งไอแห้ง ไอมีเสมหะ บางรายไอแบบมีเลือดปนมา อาการดังกล่าวเกิดจากการที่เชื้อไวรัสเข้าไปทำลายเนื้อเยื้อทางเดินหายใจ จึงทำให้ระบบทางเดินหายใจไวต่อสิ่งเร้าได้ง่ายขึ้น  โดยเฉพาะอาการไอ แต่โดยปกติแล้วอาการดังกล่าวจะสามารถหายไปเองได้ ขึ้นอยู่กับเวลาและความเสียหายของเนื้อเยื้อทางเดินหายใจ

วิธีดูแล “อาการไอเรื้อรัง” ทำได้ดังนี้

-ทานยาแก้ไอ เพื่อลดอาการระคายเคืองในลำคอ
-ดื่มน้ำในปริมาณมาก เพื่อบรรเทาอาการระคายเคืองคอ
-ดื่มน้ำอุ่นผสมน้ำผึ้งมะนาว เพิ่มความชุ่มชื้นในลำคอ และลดเสมหะ
-ใช้สเปรย์พ่น เพื่อลดการอักเสบและลดการระคายเคืองในลำคอ
-นอนหลับให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายฟื้นฟูได้อย่างเต็มที่
-ไม่อยู่ในสถานที่ ที่มีอากาศแห้งมากเกินไป เพราะอาจเกิดการระคายเคืองในลำคอได้
-หลีกเลียงบริเวณที่มีฝุ่นหรือควันเยอะ เพราะอาจทำให้อาการไอกำเริบ

อาการลองโควิด
อาการลองโควิด กระทบ 6 อวัยวะภายใน ดูแลยังไง

2.ระบบทางเดินหายใจ

เบื้องต้นคาดว่าเกิดจากการต่อสู้ของระบบภูมิคุ้มกัน อาการเบื้องต้นมักจะเจอภาวะ ใจสั่น เหนื่อยล้า อ่อนเพลีย  มีอาการเจ็บบริเวณหน้าอกแบบแปลก ๆ  หัวใจเต้นผิดจังหวะ  หากมีอาการอย่างใดอย่างหนึ่งควรพบแพทย์ทันที เนื่องจากภาวะลองโควิดที่กระทบระบบหัวใจไม่สามารถรักษาเองได้ ต้องให้แพทย์วินิจฉัย

3.ระบบทั่วไป

เนื่องจากเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จะเข้าไปทำลายระบบทางเดินหายใจและปอด ทำให้ร่างกายไม่สามารถรับอ๊อกซิเจน เข้าไปได้เต็มที่ส่งผลให้เกิดการอักเสบตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ทำให้เกิดภาวะอ่อนเพลีย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ  ปวดตามข้อ วิธีการดูแลอย่างด่วนที่สุด ดังนี้

-ฝึกหายใจ เพื่อฟื้นฟูปอดให้ร่างกายได้รับอ็อกซิเจนเข้าไปเต็มปอด
-ออกกำลังกายในระดับที่เหมาะสมกับร่างกาย เพื่อให้ร่างกายรู้สึกกระฉับกระเฉง ไม่ง่วงซึม อ่อนล้า  อ่อนเพลีย
-พักผ่อนระหว่างวันไม่โหมทำกิจกรรมหนัก เช่น ไม่หักโหมเดินทางไกล ไม่ตากแดดนานเกินไป
-ทานอาหารที่เป็นประโยชน์ เน้นโปรตีน โพรไบโอติก อาหารที่มีกากใย เลี่ยงอาหาร Junk Food

4.ระบบประสาท

สาเหตุที่ทำให้โควิด มีผลกับระบบประสาทโดยตรง มาจากภูมิคุ้มกันในตัวผู้ป่วยทำงานต่อสู้กับไวรัส จนเกิดการอักเสบกับระบบประสาทและสมอง การตรวจเช็คเบื้องต้น ว่าอาการปวดหัว อ่อนเพลีย ว่าเป็นผลกระทบเรื้อรังจากการติดเชื้อหรือไม่ ทำได้ดังนี้

-ปวดศีรษะ
-มึนงงสับสน
-มีอาการสมาธิสั้น
-มีอาการซึม
-มีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง ชาตามร่างกาย หรือชาแขนขา
-หน้าเบี้ยว พูดไม่ได้หรือพูดไม่ชัด สมองไม่โปร่ง

5.อาการที่เกี่ยวข้องกับผิวหนัง

อาการทางผิวหนังที่เกิดขึ้นหลังจากติดโควิด เกิดจากภูมิต้านทานสร้างเม็ดเลือดขาวมาต่อสู้กับไวรัสภายในร่างกาย  มักจะทำให้เป็นผื่นคัน ผื่นนูนแดง ผื่นตุ่มใสๆ ผื่นแบบลมพิษ หรือบางรายอาจมีอาการผมร่วง
วิธีการแยกระหว่างอาการทางผิวหนังปกติกับอาการผิวหนังปกติ สังเกตุจากอาการผลข้างเคียงจาก Long covid อื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น เป็นไข้ ตัวร้อน ปวดหัว อ่อนเพลีย  หากพบ “อาการลองโควิด” ที่มีผลกระทบจากผิวหนังให้ดูตัวเองด้วยการทาโลชัน ไม่เกาบริเวณที่คัน แต่ให้ลูบเบา ๆ ในจุดที่คันแทน

6.อาการที่เกี่ยวข้องกับภาวะจิตใจ

จากข้อมูลพบว่า หลังจากที่หายจากโควิดพบว่าผู้ป่วยกว่า 32.1% มีภาวะซึมเศร้าเป็นเวลานาน โดยอาจมีผลกระทบต่อระบบประสาทโดยตรงที่ทำให้เกิดการทำงานที่ผิดปกติ และทางจิตใจที่เกิดจากสภาวะจิตใจของผู้ป่วย  อย่างไรก็ตามผู้ที่เคยป่วยโควิด และคนใกล้ชิดสามารถดูแลจิตใจหลังจากหายโควิดได้ ดังนี้

– หางานอดิเรกทำ
-ทำกิจกรรม พูดคุบกับครอบครัว
-หลีกเลี่ยงข่าว หรือสถานการณ์ที่จะทำให้เกิดภาวะเครียด
-หากยังไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย์ด้านสุขภาพจิตโดยเฉพาะ

ขอบคุณข้อมูลจาก

คมชัดลึก

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

ควร กินอะไรเสริมภูมิ บรรเทาอาการลูกน้อยจากลองโควิด

กทม.เปิดคลินิกดูแล ผู้ป่วยลองโควิด ในรพ. 9 แห่ง 

อาการ ลองโควิด กับมิสซีเทียบอาการให้ชัดป้องกันได้ไว

ของใช้เด็กที่ขาดไม่ได้ช่วง.. หน้าฝน

รวมไอเทมของใช้เด็กที่ขาดไม่ได้ช่วง.. หน้าฝน

Alternative Textaccount_circle
event
ของใช้เด็กที่ขาดไม่ได้ช่วง.. หน้าฝน
ของใช้เด็กที่ขาดไม่ได้ช่วง.. หน้าฝน

หน้าฝน มาอีกแล้ว!! ละอองฝนบวกกับอากาศชื้นหนาวเย็นแบบนี้ รู้ไหมคะว่าทำลูกเล็ก เด็กวัยเรียน ป่วยกันได้ง่ายมาก ไม่ว่าจะเป็นโรคมือเท้าปาก มีไข้ ปวดหัว เป็นหวัดคัดจมูก น้ำมูกไหล

หน้าฝนมักมาพร้อมกับเชื้อโรค เชื้อไวรัส ฯลฯ แถมโควิดก็ยังอยู่ เหมือนหนีเสือปะจระเข้ใช่ไหมคะ แต่กังวลใจไปก็เท่านั้น เรามาเตรียมพร้อมรับมือปกป้องสุขภาพของเด็ก ๆ ไม่ให้เจ็บป่วยในช่วงฤดูฝนนี้กันดีกว่าค่ะ กองบรรณาธิการ Amarin Baby & Kids มีของใช้เด็ก ไอเทมเด็ด เพื่อให้คุณแม่ได้ใช้ดูแลสุขภาพลูกน้อย และทุกคนในครอบครัวให้แข็งแรงสุขภาพดี ที่ไม่ว่าจะฤดูไหนแม่ก็รับมือได้สบาย มาฝากกันค่ะ

4 ไอเทมหน้าฝน ที่ต้องมีติดบ้าน ติดกระเป๋าไว้ใช้

ไอเทมหน้าฝน Little Bear

เครดิตภาพ :  FB Little Bear

1. Little bear สเปรย์กันยุงสูตรออร์แกนิค

เมืองไทยมียุงชุมมาก ที่ไม่ใช่แค่เฉพาะหน้าฝน เพราะไม่ว่าจะฤดูไหนก็สามารถพบเจอยุงตัวร้ายได้ที่บ้านค่ะ ฉะนั้นแนะนำคุณพ่อคุณแม่ว่าควรมีตัวช่วยอย่าง “สเปรย์กันยุง” ใช้ที่บ้าน หรือพกติดใส่กระเป๋าใช้ได้ทุกที่ ทุกเวลา ป้องกันยุงไม่ให้มากัดลูก พอพูดถึงสเปรย์กันยุงที่ใช้ได้อย่างปลอดภัยกับผิว และสุขภาพของเด็ก ๆ เป็นสูตรออร์แกนิคที่มีสารสกัดจากธรรมชาติ ปราศจากสารเคมี มีประสิทธิภาพในการป้องกันยุงตัวร้ายได้อย่างดีเยี่ยม ก็ต้องยี่ห้อนี่เลยค่ะ “LITTLE BEAR สเปรย์กันยุงสูตรออร์แกนิค” ขอบอกว่าผลิตภัณฑ์แบรนด์นี้ดีจริง ๆ แล้วก็มีรางวัลการันตีเพิ่มความมั่นใจให้กับแม่ ๆ จากงานประกวด Amarin Baby & Kids Award 2021 ในสาขาผลิตภัณฑ์กันยุงสำหรับเด็ก รางวัล RISING STAR : BEST MOSQUITO REPELLENT FOR KIDS มาดูส่วนผสมและคุณสมบัติของสเปรย์กันยุง Little Bear กันค่ะ ภายในสเปรย์ดีไซน์น่ารักหยิบใช้ถนัดมือขวดนี้ คุณแม่สามารถใช้กับลูกได้อย่างปลอดภัยไร้กังวล ไม่มีส่วนผสมของสารเคมีอันตรายทุกชนิด เพราะมาจากธรรมชาติ 100% มีน้ำแร่บริสุทธิ์จากใบสนฮิโนกิ ประเทศญี่ปุ่น ส้มยูสุจากญี่ปุ่น ลาเวนเดอร์จากฮอกไกโด วิตามินข้าวญี่ปุ่น ดอกคาโมมายด์ น้ำมันมะพร้าวออแกนิค สารสกัดจากรากต้นโอ๊คออแกนิคส์ ว่านหางจระเข้ออแกนิค โรสแมรี่ เจอราเนี่ยม ตะไคร้หอม และมะกรูด แค่รู้ส่วนผสมก็ว้าวมากแม่!! ส่วนเรื่องคุณสมบัติก็ไม่เป็นสองรองใครเพราะนอกจากจะปกป้องผิวจากยุงและแมลง ยังช่วยบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น ลดการอักเสบ มีกลิ่นหอมสดชื่น คุณแม่สามารถฉีดลงบนผิวโดยตรง จะช่วยป้องกันยุงได้นานถึง 7 ชั่วโมง หรือฉีดลงบนเสื้อผ้ากับของใช้ลูกจะช่วยป้องกันยุงได้ถึง 8 ชั่วโมง Little Bear สเปรย์กันยุงสูตรออร์แกนิค ผ่านมาตรฐานรับรองสารสกัดที่เป็นออร์แกนิคจากสถาบัน USDA ประเทศสหรัฐอเมริกา และสถาบัน ECOCERT จากประเทศฝรั่งเศส

ของใช้เด็กหน้าฝน เดทตอล

เครดิตภาพ : dettolthailand

2. เดทตอล ผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อโรคอเนกประสงค์

หน้าฝน เสื้อผ้าซักตากอาจแห้งไม่สนิท ทำให้เนื้อผ้าชื้น มีกลิ่นเหม็นอับ อันนี้ไม่ดีนะคะไม่แนะนำให้เด็ก ๆ หรือคุณพ่อคุณแม่สวมใส่เสื้อผ้าที่ยังแห้งไม่สนิทและมีกลิ่นหม็นอับ เพราะอาจจะมีเชื้อรา เชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนัง เสี่ยงต่อการเกิดผื่นแพ้ผิวหนัง หรืออาการคันในร่มผ้าได้ค่ะ

การดูแลเสื้อผ้าของเด็ก ๆ และทุกคนในบ้านให้สะอาด ปราศจากกลิ่นเหม็นอับชื้นในช่วงหน้าฝน เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก คุณแม่จำเป็นต้องมีตัวช่วยอย่าง “เดทตอล” เป็นผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อโรคอเนกประสงค์ ช่วยฆ่าเชื้อโรคได้ถึง 99.9 % การใช้เดทตอล ใช้กับอะไรได้บ้าง ข้อแนะนำ วิธีใช้

  • สำหรับพื้นผิวทั่วไปและฆ่าเชื้ออุปกรณ์ต่างๆ

ผสมผลิตภัณฑ์ 4.5 ฝา* ต่อน้ำ 2 ลิตร ใช้ผ้าหรือฟองน้ำชุบ แล้วนำมาเช็ดให้ทั่วพื้นผิวที่ทำความสะอาดแล้ว ทิ้งไว้ให้เปียก นาน 10 นาที จึงเช็ดออกด้วยผ้าชุบน้ำสะอาด *สำหรับขนาด 1 ฝา = 21 มล.

  • สำหรับห้องน้ำ อ่างล้างหน้า อ่างอาบน้ำ (ที่ไม่ใช่วัสดุอะคิลิค)

เทผลิตภัณฑ์ลงบนพื้นที่ทำความสะอาดแล้วโดยไม่ต้องผสมน้ำ ทิ้งไว้ให้เปียกนาน 10 นาทีแล้ว จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง

  • สำหรับซักผ้า

ผสมผลิตภัณฑ์ 2 ฝา* ต่อน้ำ 2 ลิตร แช่ผ้าทิ้งไว้อย่างน้อย 10 นาที เพื่อการฆ่าเชื้อโรค จากนั้นซักผ้าตามปกติด้วยมือหรือเครื่องซักผ้า *สำหรับขนาด 1 ฝา = 21 มล.

สมกับที่เป็นน้ำยาฆ่าเชื้อโรคอเนกประสงค์ที่อยู่คู่ครอบครัวไทยมาอย่างยาวนาน เรื่องประสิทธิภาพการใช้งานปรบมือให้เลยค่ะ คุณแม่ควรมีเดทตอลติดบ้านไว้ใช้กันนะคะ (หมายเหตุ เสื้อผ้าด็กทารกไม่แนะนำให้แช่ หรือซักด้วยผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อโรคเดทตอล)

Nubolic DHA Algae Oil ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเด็ก

3. Nubolic DHA Algae Oil ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเด็ก

คุณแม่กำลังมองหาวิตามินอาหารเสริมสำหรับลูกอยู่หรือเปล่าคะ หน้าฝน นี้เด็ก ๆ ต้องมีร่างกายแข็งแรง และสมองการเรียนรู้ต้องดีควบคู่ไปพร้อมกันนะคะ แนะนำนี่เลย Nubolic DHA Algae Oil วิตามินแบรนด์ดังจากประเทศออสเตรเลีย มีดีเอชเอจากสาหร่ายเข้มข้น ช่วยเสริมพัฒนาการให้กับเด็กที่อยู่ในวัยเรียนได้ดีมาก ๆ ค่ะ ที่สำคัญเขาไม่ได้มาเล่น ๆ นะคะ เพราะมีรางวัลการันตีคุณภาพจากงานประกวด Amarin Baby & Kids Award 2021 ในสาขาผลิตภัณฑ์เสริมโภชนาการสำหรับเด็ก RISING STAR : KIDS DIETARY SUPPLEMENT AWARD

Nubolic DHA Algae Oil (นูโบลิก ดีเอชเอ อัลก้า ออยล์) สกัดจากสาหร่าย บำรุงสมองและสายตา วัยเรียนรู้ ใช้สมองเยอะ ต้องจดจำ เสริมด้วย DHA รูปปลากลิ่นเลม่อน ซอฟเจลใส ๆ ทานง่าย ไม่คาว นำเข้มาตรฐานการผลิตออสเตรเลีย ปลอดภัยจากโลหะหนักมากกว่าปลาทะเล มี DHA มากถึง 188 มก. วิตามินบำรุงสมอง บำรุงสายตา ป้องกันสมาธิสั้น ช่วยเรื่อง เจริญอาหารบำรุงเซลล์ประสาท กระตุ้นการเรียนรู้ และยังช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงมากขึ้น เหมาะกับเด็กอายุ 1 ปีขึ้นไป ช่วยในเรื่องการเรียนรู้พัฒนาการจดจำ Nubolic DHA Algae Oil (นูโบลิก ดีเอชเอ อัลก้า ออยล์) เป็นเจ้าแรกที่ได้ CPP และมาตรฐานการผลิตจากออสเตรเลียได้รับการจดทะเบียน 3 หน่วยงาน ได้แก่ องค์การอนามัยโลก 21/0240 รัฐบาลออสเตรเลีย มีอย.ไทย

Vicks Vaporub

เครดิตภาพ : FB VicksThailand

4. Vicks Vaporub

ช่วง หน้าฝน เย็นชุ่มฉ่ำคลายร้อนได้ก็จริงค่ะ แต่อากาศเย็น ๆ แบบนี้ ทำเด็ก ๆ ป่วยเป็นหวัดได้ง่ายมาก ๆ ซึ่งวิธีดูแลสุขภาพบรรเทาอาการหวัด แนะนำนี่เลยค่ะ Vicks Vaporub ผลิตภัณฑ์เพื่อบรรเทาหวัด คัดจมูก ช่วยให้ลูกหายใจได้โล่งจมูก คุณสมบัติของ Vicks Vaporub นอกจากจะใช้ในการช่วยบรรเทาอาการหวัด คัดจมูกแล้ว ยังสามารถใช้ทาบรรเทาอาการปวดศีรษะ และอีก 1 เคล็ดลับพิเศษคือ คุณแม่สามารถผสม Vicks Vaporub ในน้ำร้อน 1 แก้วแล้วนำไปตั้งที่หัวเตียงหรือบริเวณรอบ ๆ จะช่วยทำให้อากาศภายในห้องโล่งขึ้นและทำให้ลูกน้อยที่มีอาการคัดจมูกก็จะหายใจได้สะดวกยิ่งขึ้นอีกด้วย

เพื่อลูกรักจะได้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงตลอด 365 วัน สิ่งสำคัญต้องได้รับโภชนาการสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ต้องได้รับการนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ และต้องได้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอด้วยนะคะ ท้ายที่สุดแล้วอย่าลืมนำเคล็ดลับการดูแลสุขภาพของลูก และทุกคนในครอบครัวในช่วง หน้าฝน นี้ กับไอเทมของใช้เด็กที่น่าใช้ทั้ง 4 ชิ้นนี้ ที่กองบรรณาธิการ Amarin Baby & Kids ใช้แล้วดีจึงอยากบอกต่อให้กับคุณพ่อคุณแม่ได้หาซื้อมาใช้กันค่ะ  

 

ชื่อเล่น ลูกผู้หญิง

ชื่อเล่น ลูกผู้หญิง ตามวันเกิด น่ารักๆ เพราะๆ เรียกง่าย!!

Alternative Textaccount_circle
event
ชื่อเล่น ลูกผู้หญิง
ชื่อเล่น ลูกผู้หญิง

ชื่อเล่น ลูกผู้หญิง ทันสมัย เก๋ๆ เพราะๆ ความหมายดี ตามวันเกิด ชื่อแบบหนึ่งพยางค์ และสองพยางค์ ทั้งชื่อไทย และชื่อภาษาอังกฤษ ไม่มีอักษรที่เป็นกาลกิณี

ชื่อเล่น ลูกผู้หญิง ตามวันเกิด น่ารักๆ เพราะๆ เรียกง่าย!!

คุณพ่อคุณแม่ที่กำลังจะมีลูกสาวเป็นสมาชิกใหม่ของครอบครัว คงกำลังมองหา ชื่อเล่น ลูกผู้หญิง ให้กับลูกน้อย บางครอบครัวอาจหาชื่อที่มีพยัญชนะเหมือนกับคุณพ่อหรือคุณแม่ บางครอบครัวอาจหาชื่อที่เกี่ยวกับสิ่งที่ตนเองชื่นชอบ วันนี้ ทีมกองบรรณาธิการ ABK ได้รวบรวมชื่อเพราะๆ ที่อาจตรงกับความต้องการของคุณพ่อคุณแม่ มาให้ได้เลือกกันแล้วค่ะ

ชื่อเล่น ลูกผู้หญิง
ชื่อเล่น ลูกผู้หญิง

ชื่อเล่น ลูกผู้หญิง ตามวันเกิด น่ารักๆ เพราะๆ เรียกง่าย!!

ชื่อเล่นลูกสาว เกิดวันอาทิตย์

ชื่อ ความหมาย
กอดอุ่น อ้อมกอดอบอุ่น
กอดใจ อ้อมกอดที่โอบอุ้มหัวใจ
ขนมผิง ขนมไทยชนิดหนึ่ง ทำมาจากแป้งผสมกับน้ำตาล
ของขวัญ สิ่งของที่มอบให้กันเพื่อแสดงไมตรี
จ๊ะจ๋า เป็นคำรับ คำตอบรับ
จอลลี่ สนุกสนาน ครึกครื้น
คนดี คนที่มีคุณธรรม, คนที่ประพฤติดี
แครอต พืชมีหัวชนิดหนึ่ง
ครัวซองต์ ขนมของฝรั่งเศส
จัสมิน ดอกมะลิ (Jasmine) ภาษาอังกฤษ
จริงใจ บริสุทธิ์ใจ, สุจริตใจ
เจ้าเอย คำลงท้ายเวลาเรียกชื่อ
ชูใจ บำรุงใจให้มีกำลังขึ้น
ชาเย็น เครื่องดื่มชนิดหนึ่ง
ซ่อนกลิ่น ดอกไม้ชนิดหนึ่ง

 

ชื่อเล่นลูกสาว เกิดวันจันทร์

ชื่อ ความหมาย
กรร จับ
กมล บัว, หัวใจ
ขนม ของหวานต่าง ๆ ที่เป็นอาหาร
ชล น้ำ
ณมล อยู่ในหัวใจ
ต้นกก ชื่อหญ้าพันธุ์หนึ่งขึ้นในที่ชุ่มแฉะ
ตวง ตักด้วยภาชนะต่าง ๆ ให้รู้ปริมาณ
นก สัตว์ชนิดหนึ่งมี 2 เท้า 2 ปีก
นท ผู้บันลือ, ผู้ร้อง, แม่น้ำ
นมสด นมพาสเจอร์ไรส์เป็นนมสด 100%
ฝน น้ำใสที่ตกลงมาจากเมฆ
พลอย อัญมณีชนิดหนึ่ง มีหลายสี
มณ ชื่อเฉพาะ
มด สัตว์รวมหมู่ตัวเล็ก ๆ
ลมฝน ลมที่พัดก่อนฝนจะตก

 

ชื่อเล่นลูกสาว เกิดวันอังคาร

ชื่อ ความหมาย
จ๋อมแจ๋ม เสียงของวัตถุกระทบกับผิวน้ำ
จอยซ์ รื่นเริง, เบิกบาน, ปลื้มปีติ (Joice) – อังกฤษ
จันดา ดวงจันทร์ที่กำลังส่องสว่าง
จันทร์เจ้า พระจันทร์
ชมพู สีสีหนึ่ง
ชิชา ชื่อเฉพาะ
ซีรีส์ เรื่องยาว (Series) ภาษาอังกฤษ
เซญ่า ชื่อเฉพาะ
ญาญ่า ชื่อเฉพาะ
ณาลัลน์ สาวสวยที่มีความรู้
ดีไซน์ ออกแบบ (Design) ภาษาอังกฤษ
ตามฝัน ทำตามความฝัน, ได้ตามที่ฝัน
ธารา แม่น้ำ, สายน้ำ
น้ำฟ้า ฝน
นิทาน เรื่องเล่า

ชื่อเล่นลูกสาว เกิดวันพุธกลางวัน

ชื่อ ความหมาย
กอเตย เตย พืชไม้พุ่มขึ้นเป็นกอ
กะทิ น้ำสีขาวขุ่นจากการคั้นมะพร้าว
กันยา สาวน้อย, สาวรุ่น
ขนมหวาน ขนมที่มีรสหวาน
คัพเค้ก ขนมชนิดหนึ่ง เป็นเค้กที่มีขนาดเล็ก บรรจุในถ้วย
คุกกี้ ขนมชนิดหนึ่ง
ดาต้า ข้อมูล, ข้อเท็จจริง (Data) ภาษาอังกฤษ
ดิสนีย์ ชื่อเฉพาะ (Disney)
ไดมอนด์ เพชร (Diamond) ภาษาอังกฤษ
ต้นรัก ชื่อต้นไม้, ต้นกำเนิดของความรัก
เติมรัก เพิ่มความรัก
เตยหอม พืชชนิดหนึ่ง มีกลิ่นหอม
แต๊งก์กิ้ว ขอบคุณ (Thank You) ภาษาอังกฤษ
ถุงแป้ง ถุงใส่แป้ง
เทียนหอม เทียนที่ถูกแต่งกลิ่นให้มีกลิ่นหอม

 

ชื่อเล่น ลูกสาว เพราะๆ
ชื่อเล่น ลูกสาว เพราะๆ

ชื่อเล่นลูกสาว เกิดวันพุธกลางคืน

ชื่อ ความหมาย
กัสจัง ชื่อตัวการ์ตูน
ก้านอ้อ ก้านของต้นอ้อ
คิตตี้ ลูกแมว
แคนดี้ ลูกอม ลูกกวาด
จินจิน ชื่อเฉพาะ
ใจดี มีใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่, มีความเมตตากรุณา
จิ๊กซอว์ ตัวต่อแบบภาพ
ชีสเค้ก ขนมเค้กชนิดหนึ่ง
ชาช่า ชื่อเฉพาะ
โซดา เครื่องดื่มมีรสซ่า
ญานิน นักปราชญ์, ผู้มีความรู้
โดนัท ขนมหวานชนิดหนึ่ง
ตาหวาน ดวงตาสวยหยาดเยิ้ม
ถุงเงิน ถุงเงิน
ธารน้ำ แม่น้ำ

ชื่อเล่นลูกสาว เกิดวันพฤหัสบดี

ชื่อ ความหมาย
กอหญ้า กลุ่มต้นหญ้า
กอบัว กลุ่มบัว
แก้มหอม แก้มที่มีกลิ่นหอม
กลาส แก้ว (Glass) ภาษาอังกฤษ
ข้าวหอม ชื่อพันธุ์ข้าว
ข้าวใหม่ ข้าวที่เพิ่งเก็บเกี่ยว
เค้ก ขนมชนิดหนึ่ง
จีจี้ ชื่อเฉพาะ
ชมเชย ยกย่อง, สรรเสริญ
ชาร์มมิ่ง มีเสน่ห์ (Charming) ภาษาอังกฤษ
โซล เมืองในประเทศเกาหลี, จิตวิญญาณ (Soul) ภาษาอังกฤษ
ใบปอ ใบของต้นปอ
ใบฝ้าย ใบของต้นฝ้าย
เบลเบล กระดิ่ง, ระฆัง (Bell) ภาษาอังกฤษ, สาวงาม, สวย (Belle) ภาษาฝรั่งเศส
บับเบิ้ล ฟองสบู่ (Bubble) ภาษาอังกฤษ

 

ชื่อเล่นลูกสาว เกิดวันศุกร์

ชื่อ ความหมาย
แก้มใส แก้มงามผุดผ่อง
ไข่มุก วัตถุมีค่า มักมีลักษณะกลม ๆ เกิดจากหอยบางชนิด
คะน้า ผักใบเขียวชนิดหนึ่ง
จีน่า ชื่อเฉพาะ
เจ้าหญิง ชายาของเจ้าชาย, กษัตริย์ที่เป็นหญิง, หญิงที่มีชื่อเสียง
แชมเปญ เครื่องดื่มชนิดหนึ่ง
เฌอแตม ฉันรักคุณ (Je t’aime) ภาษาฝรั่งเศส
ณิชา สะอาด, บริสุทธิ์
ณัชชา เกิดเพื่อความรู้ ยังความรู้ให้เกิด
ดอกหญ้า ส่วนดอกของต้นหญ้า
ต้นน้ำ แหล่งกำเนิดของลำน้ำ
แตงหอม ผลไม้ชนิดหนึ่ง
แต้มใจ เติมสีที่หัวใจ
ทอฝัน ผู้สานสายใยแห่งความหวัง
นะโม ความนอบน้อม

 

ชื่อเล่นลูกสาว เกิดวันเสาร์

ชื่อ ความหมาย
กระตัง เงิน
กระต่าย สัตว์สี่เท้าขนาดแมว หูยาว เลี้ยงลูกด้วยนม
ขวัญข้าว พิธีที่ชาวนาทำขึ้นเพื่อให้เป็นมงคลแก่ข้าว
ข้าวตัง ข้าวสุกที่ไหม้เกรียมติดอยู่ก้นหม้อหรือก้นกระทะ
เขียนฟ้า วาดนิ้วกลางอากาศเพื่อขีดเขียนบนท้องฟ้า
คิวตี้ น่ารัก (Cutie) ภาษาอังกฤษ
จินนี่ ชื่อยักษ์ในตะเกียงจากเรื่องอาละดิน
เจ้าขา เสียงขานรับ
เชอเอม ชะเอม
ซัมเมอร์ ฤดูร้อน (Summer) ภาษาอังกฤษ
ญาริน ความรู้ที่ไหลมาต่อเนื่องไม่ขาดสาย
ดาด้า ชื่อเฉพาะ
ต้นข้าว พืชชนิดหนึ่ง
ตังเม ขนมชนิดหนึ่ง เนื้อเหนียว
ตังค์ตังค์ เงิน

ชื่อเล่น ลูกผู้หญิง ที่ ทีมกองบรรณาธิการ ABK นำมาฝากนี้ คงจะมีชื่อเพราะๆที่ถูกใจคุณพ่อคุณแม่ ได้เลือกชื่อที่โดนใจตามวันเกิด แล้วนำไปตั้งให้เกิดความเป็นสิริมงคลแก่ลูกสาวตัวน้อยๆกันนะคะ

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

ตั้งชื่อลูก ตามหลักทักษาปกรณ์ เป็นอย่างไร?

ชื่อมงคล ตามวันเกิด ชีวิตรุ่งเรือง ทั้งลูกชาย ลูกสาว!!

ชื่อไทยแปลกๆ แต่เพราะ ความหมายดี เป็นสิริมงคล

100 ชื่อภาษาอังกฤษ ลูกสาว/ลูกชาย ความหมายดีๆ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : https://baby.kapook.com

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

Amarin Baby & Kids

time out vs time in

time in vs time out คือ การลงโทษอย่างไรให้เหมาะสมกับลูกคุณ!

Alternative Textaccount_circle
event
time out vs time in
time out vs time in

time out คือ วิธีการลงโทษ หยุดพฤติกรรมเมื่อลูกดื้ออย่างได้ผล แต่หากคุณพ่อคุณแม่ใช้วิธีนี้แล้วลูกเกิดปัญหา มาลองวิธี time in เทคนิคที่ รร.มอนเตสซอรี่ใช้กันดูไหม

time in vs time out คือ การลงโทษอย่างไรให้เหมาะสมกับลูกคุณ!

เมื่อลูกน้อย กลายร่างเป็นวายร้ายจอมดื้อ คุณพ่อคุณแม่มีวิธีการจัดการอย่างไรกันนะ?

เป็นเรื่องปกติธรรมชาติที่เด็กต้องมีช่วงอารมณ์ดี และอารมณ์ร้าย เพราะเขากำลังเติบโตไปพร้อม ๆ กับการเรียนรู้การจัดการกับพฤติกรรมของตนเองให้เข้ากับสังคม และความต้องการของตัวเอง ดังนั้น หากคุณพ่อคุณแม่เห็นลูกแสดงอารมณ์ หรือพฤติกรรมในอีกด้านที่ไม่น่ารักเอาเสียเลย อย่าเพิ่งไปดุด่าว่ากล่าวลูก หรือลงโทษใด ๆ ไปเสียก่อน หากคุณยังไม่ได้รู้จักวิธีการปรับพฤติกรรมเด็กด้วยวิธีtime outและ time in เสียก่อน

เมื่อลูกดื้อ…คุณลงโทษลูกแบบไหน?

ต้องยอมรับว่า ลูกน้อยของคุณพ่อคุณแม่คงไม่ได้มีช่วงเวลาเป็นนางฟ้า หรือเทวดาตัวน้อยตลอดเวลา เมื่อไรก็ตามที่เขาซน ดื้อ ไม่ฟังคุณ จนคุณพ่อคุณแม่เริ่มหงุดหงิด ลองมาทบทวนตัวเองกันดูดีไหม ว่าเราเลือกทำแบบใด

  1. ทนไม่ได้ ตวาดเสียงดังใส่ลูกทันที
  2. พูดไม่เชื่อก็ต้องมีสักป๊าบเบา ๆ เพื่อให้จำ
  3. เดินหนีไป ปล่อยลูกอยู่ตรงนั้นคนเดียว
  4. ทำทุกข้อ

    คุณลงโทษลูกแบบไหนกัน
    คุณลงโทษลูกแบบไหนกัน

ถ้าคุณเป็นพ่อแม่ที่เข้าข่ายข้อใดข้อหนึ่ง หรือทุกข้อที่กล่าวมา คุณกำลังสอนให้ลูกมีภาพจำของพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเสียเอง และอาจนำไปสู่การเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีปัญหาก้าวร้าวต่อไปได้

ผลการสำรวจพบว่า 3 ใน 4 ของพ่อแม่จะตะโกน กรีดร้องใส่ลูกหนึ่งครั้งต่อเดือน จิตแพทย์กล่าวว่า การขึ้นเสียง หรือส่งเสียงดังเพื่อดึงความสนใจให้ลูกฟังหรือเปลี่ยนพฤติกรรมนั้น ส่วนใหญ่ไม่ได้ผล เพราะการทำเช่นนั้น เป็นเหมือนการปิดประตูการสื่อสาร “ทันทีที่คุณเริ่มส่งเสียงดัง พวกเด็กๆ ก็จะเริ่มเข้าสู่โหมดชัดดาวน์”

นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยพบว่า เด็กที่มักโดนพ่อแม่ตะคอกอยู่เสมอมีแนวโน้มจะมีปัญหาด้านพฤติกรรม มีอาการซึมเศร้า และเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ก็ไม่มีความพึงพอใจในความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง

♥♥♥โปรดลงโทษลูกด้วยความรัก♥♥♥

นักจิตวิทยาแนะนำว่า เมื่อใดก็ตามที่ลูกเริ่มแผลงฤทธิ์ ทางที่ดีให้คุณกระซิบ เพราะวิธีการสื่อสารแบบนี้ต่างจากที่พวกเขาได้ยินตามปกติ พวกเขาจะหยุดพูดและสนใจฟังคุณ ก็เพราะเด็กๆ อยากรู้มากๆ น่ะสิว่าคุณพูดอะไร

สิ่งสำคัญประการก็คือ การเข้าใจธรรมชาติของเด็ก ที่พ่อแม่ควรรู้ว่าลูกของเราเป็นเด็กอย่างไร ยิ่งว่าเหมือนยิ่งยุหรือไม่ หรือพื้นฐานเอาแต่ใจตัวเองหรือไม่ ถ้าพ่อแม่เข้าใจธรรมชาติของเด็ก การจัดการก็ต้องคำนึงถึงธรรมชาติของเด็กด้วย เป็นเทคนิคของคนเป็นพ่อแม่ที่ต้องรู้ให้เท่าทันและมีไหวพริบให้เท่าทันลูกน้อยด้วย เพราะบางครั้งลูกของเราสองคน ทำผิดเรื่องเดียวกัน ก็ไม่ได้หมายความว่าจะใช้วิธีการลงโทษแบบเดียวกันแล้วจะได้ผลเหมือนกัน

การลงโทษทุกครั้ง ลูกจะรับรู้และสัมผัสได้ว่าการลงโทษของพ่อแม่ เป็นการลงโทษด้วยอารมณ์โกรธหรือความรัก เป็นการลงโทษด้วยอารมณ์ชั่ววูบหรือระงับโทสะไม่ได้ เพราะผลภายหลังของการลงโทษลูกจะกลายเป็นภาพฝังใจประทับตรึงใจเขาไปตลอดชีวิต โปรดลงโทษลูกด้วยความรักมิใช่ความโกรธ !!

วิธีการลงโทษแบบ Time in และTime out

วิธีการที่น่าสนใจ สำหรับพ่อแม่ที่ต้องการหลีกเลี่ยงการลงโทษแบบเดิม ๆ ที่รุ่นเราเติบโตขึ้นมา คือ การตี ดุด่าว่ากล่าว จึงเกิดแนวทางการปรับพฤติกรรมเด็กด้วยวิธีการให้เวลานอก

time out คือ อะไร

วิธีการนี้ เป็นการปรับพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ของเด็ก เป็นการแยกเด็กออกจากสถานการณ์ที่ทำให้เกิดปัญหา เช่น เด็กกำลังไปแย่งของเล่นจากเพื่อน กำลังตี หรือขว้างปาสิ่งของ เป็นต้น ไปยังจุด ๆ หนึ่งในบ้านที่ได้กำหนดไว้เป็นระยะเวลาสั้น ๆ  ซึ่งการแยกเด็กออกมาจากสถานการณ์นั้นเป็นการช่วยให้เด็กได้มีเวลานอกในการสงบสติอารมณ์ของตัวเอง เมื่อเขาสงบสติลงได้ก็สามารถกลับไปยังสิ่งที่ทำอยู่ก่อนหน้า หรือกลับเข้ากลุ่มได้

แม้ว่าการใช้วิธีนี้ จะได้ผลชะงัด สามารถหยุดพฤติกรรมก้าวร้าวนั้นได้ในทันที แต่หากคุณพ่อคุณแม่ทำไม่ถูกวิธีแล้ว วิธีนี้อาจทำให้เกิดปัญหาได้เช่นกัน

การให้เวลานอก ช่วยหยุดพฤติกรรมรุนแรงได้จริงหรือ
การให้เวลานอก ช่วยหยุดพฤติกรรมรุนแรงได้จริงหรือ

time out ที่ผิดวิธี

  • ใช้วิธีการนี้เป็นคำขู่เมื่อลูกไม่เชื่อฟัง ทำให้เด็กเข้าใจว่าการให้เวลาเขาไปนั่งสงบสติอารมณ์เป็นเรื่องน่าอับอาย ซึ่งผิดวัตถุประสงค์
  • ใช้การบังคับด้วยกำลังในการให้เด็กเข้าพื้นที่ที่ใช้ให้เวลานอกที่ได้ตกลงกันไว้ อาจทำให้เขารู้สึกเสียหน้า และไม่พอใจโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งตามหลักการแล้วเด็กจะต้องเต็มใจ และยอมรับในกฎกติกาที่ได้คุยกันไว้ เหมือนเป็นข้อตกลงที่ทำร่วมกันในครอบครัว หากใครมีพฤติกรรมที่ก้าวร้าว ฉุนเฉียวจนเกิดปัญหาระหว่างกันต้องไปสงบสติอารมณ์ที่พื้นที่ที่จัดไว้ หรือตกลงกันไว้ ด้วยความเข้าใจ และยอมรับในกติกานั้น
  • ใช้เวลามากเกินไป การให้เวลาลูกสงบสติใช้เพียงเวลาสั้น ๆ และไม่ใช่การปล่อยเขาไว้เพียงลำพัง และไม่สนใจอีกต่อไป เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณแยกเขาออกไปนั่งสำนึกผิดในมุมใดมุมหนึ่งของบ้าน เขาอาจจะสงบก็จริง แต่ลูกอาจไม่ได้เรียนรู้วิธีจัดเก็บอารมณ์ของตัวเองในเรื่องอื่น หรือในเหตุการณ์ครั้งต่อๆ ไป พ่อแม่ควรต้องกลับมาทำความเข้าใจกับลูกเมื่อเวลาผ่านไปสักระยะหนึ่ง ถึงแม้เขาจะยังไม่สามารถสงบอารมณ์ลงได้ หากเป็นเช่นนั้นค่อยเพิ่มเวลาหลังจากที่ได้พูดคุยกับลูกแล้ว
  • พื้นที่ในการให้เวลานอกไม่เหมาะสม พื้นที่จะต้องเป็นส่วนที่พ่อแม่ยังคงมองเห็นลูก และลูกยังคงมองเห็นเราได้เช่นกัน หากเป็นพื้นที่หลบมุม จนมองไม่เห็นกัน เขาจะรู้สึกโดดเดี่ยวมากเกินไป ดร. แดน ซีเกน ศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียลอสแอนเจลิส (University of California, Los Angeles: UCLA) ได้แสดงความเห็นว่า ความเจ็บปวดจากการถูกทอดทิ้งในเวลาไทม์เอาต์ สามารถบาดลึกไปถึงก้นบึ้งจิตใจของเด็กน้อย และเขาจะจดจำมันอย่างไม่มีวันลืม และประสบการณ์ในการถูกไทม์เอาต์ สามารถเปลี่ยนโครงสร้างทางกายภาพของสมองเด็กได้
  • ทำไปด้วยอารมณ์โกรธ พ่อแม่ต้องระมัดระวัง ควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ได้ ก่อนทำใช้วิธีนี้

Time in vs Time out

วิธี time out แม้ว่าจะเป็นวิธีที่ได้ผลในระดับหนึ่ง แต่ที่ได้กล่าวไปข้างต้นว่า หากคุณพ่อคุณแม่ใช้ผิดวิธีก็อาจส่งผลทางด้านลบได้เช่นกัน ผู้เชี่ยวชาญเริ่มมีการถกเถียงกันถึงเรื่องดังกล่าวว่า การใช้วิธีให้เวลานอกนั้นอาจส่งผลต่อพัฒนาการควบคุมตนเอง และวินัยในตนเองสำหรับเด็กบางคน อีกทั้งยังพิสูจน์ได้ว่าไม่ได้ผลในระยะยาวอีกด้วย เนื่องจากเด็กเล็กยังแยกตัวตน และอารมณ์ออกจากกันไม่ได้ ไม่มีความสามารถในการคิดเชิงตรรกะที่สอดคล้องกัน เขาจึงมักสรุปเอาเองว่าตัวเองไม่เป็นที่รักของพ่อแม่อีกต่อไปแล้ว และคอยเก็บกดอารมณ์ร้ายเอาไว้เงียบ ๆ

Time in คืออะไร

ความจริงแล้ว time in ค่อนข้างคล้ายกับการให้เวลานอก โดยเราจะให้เด็กหยุดพักกิจกรรมเพื่อให้เด็กได้สงบสติอารมณ์เช่นกัน แต่มีความแตกต่างที่สำคัญอย่างหนึ่ง คือ แทนที่เราจะไล่เขาไปนั่งสงบสติ หรือสำนึกผิดอย่างเดียวดาย โดยที่เราไม่ให้ความสนใจใด ๆ แก่เขาเลย แต่เปลี่ยนมาเป็นคอยนั่งข้าง ๆ ลูก คอยให้คำแนะนำ ให้การปลอบโยน และชี้ให้เขาเห็นถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นว่าคืออะไร และควรจัดการอย่างไร หรือในบางกรณีเด็กอาจต้องการแค่ให้พ่อแม่นั่งอยู่ด้วยข้าง ๆ ไม่จำเป็นต้องทำอะไร เพื่อให้ลูกรู้ว่าพ่อแม่ยังอยู่ข้าง พร้อมจะช่วยเขาในเวลาที่เจอปัญหาเสมอนั่นเอง

time in ให้เวลาสงบสติอารมณ์ พร้อมพ่อแม่นั่งอยู่ข้าง ๆ
time in ให้เวลาสงบสติอารมณ์ พร้อมพ่อแม่นั่งอยู่ข้าง ๆ

วิธีการ time in

  1. นำเด็กออกจากสถานการณ์ตึงเครียด
  2. นำพวกเขาไปยังพื้นที่ที่เงียบกว่า หรือพื้นที่ที่กำหนดในบ้านของคุณ
  3. ให้การปลอบโยนจนกว่าพวกเขาจะสงบพอที่จะสื่อสารกับคุณหรือให้คุณสื่อสารกับพวกเขาได้หากเด็กไม่พูด
  4. บอก หรือชี้ให้เด็กรู้ถึงอารมณ์ของพวกเขาโดยอาจใช้คำเช่น “ ฉันเห็นคุณหงุดหงิดที่บล็อกของคุณล้มลง ” เพื่อเป็นการบอกให้เขาเข้าใจความรู้สึกที่เกิดขึ้นของตัวเอง
  5. ทำให้เด็กรับรู้ได้ว่าเราเข้าใจ พร้อมยกตัวอย่างการจัดการอารมณ์ของพ่อแม่ว่าสามารถเกิดขึ้นได้กับเราเช่นกัน และพ่อแม่จัดการกับมันอย่างไร ตัวอย่างเช่น  “ บางครั้งพ่อแม่ก็รู้สึกหงุดหงิดเหมือนกัน แต่พ่อแม่ทำอย่างอื่นนอกจากการขว้างบล็อคเมื่อเราผิดหวัง? เรามาลองหายใจเข้าลึกๆ นับถึง 5 กันดูว่าจะช่วยได้หรือเปล่า
  6. กระตุ้นให้ลูกได้พูดแสดงความรู้สึกออกมา และแนะนำวิธีการจัดการกับอารมณ์นั้น ๆ ให้แก่ลูก
  7. เข้าร่วมกิจกรรมอีกครั้ง หากลูกต้องการและพร้อมที่จะเข้าร่วม

การใช้เวลาร่วมกับลูกในการ time in เป็นวิธีการที่เรียบง่าย และอ่อนโยนในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมซึ่งจะให้ผลในระยะยาว สามารถปรับปรุงความฉลาดทางอารมณ์ของลูกได้ ไม่เหมือนการลงโทษ เมื่อเป็นวิธีที่หวังผลระยะยาว ดังนั้นอย่าคาดหวังผลในทันทีว่าจะสามารถปรับพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ออกไปในทันที เหมือนกับการลงโทษที่มีความกลัวทำให้เด็กหยุดพฤติกรรมดังกล่าวในทันทีเพราะความกลัว

สรุป ข้อดีของการ Time in

  1. ช่วยหยุดพฤติกรรมก้าวร้าว รุนแรง และไม่ปลูกฝังนิสัยเชิงลบดังกล่าวให้กับเด็ก
  2. ไม่ทิ้งบาดแผลในใจ ไม่ทำให้เด็กรู้สึกถูกทอดทิ้ง หรืออยู่กับความรู้สึกว่าตัวเองเป็นเด็กไม่ดี ไม่น่าคบ แก้ไขไม่ได้
  3. ฝึกให้เด็กรู้จักควบคุมตัวเอง ควบคุมอารมณ์ต่าง ๆ ทั้งด้านดี และไม่ดี เพราะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ในทุกคน
  4. ลูกจะได้ระบายความรู้สึก ในขณะที่พ่อแม่ให้เวลากับลูก ร่วมนั่งอยู่ข้าง ๆ ขณะ time in
  5. ลูกจะรู้จักวิธีจัดการอารมณ์ และปัญหาได้อย่างตรงจุด ไม่ต้องให้เขาไปค้นหาคำตอบด้วยตนเอง ซึ่งเราไม่สามารถควบคุมได้ บางครั้งอาจเป็นวิธีที่แย่กว่าเดิมด้วยซ้ำไป
ลูกรู้จักจัดการอารมณ์ ช่วยให้เขาเข้าสังคมได้ไม่ยาก
ลูกรู้จักจัดการอารมณ์ ช่วยให้เขาเข้าสังคมได้ไม่ยาก

ดังนั้น การลงโทษแม้จะฟังดูไม่น่าให้เกิดขึ้นกับลูก แต่เราก็ไม่อาจปฎิเสธได้ว่า การที่จะสอนให้เด็กมีพฤติกรรมที่เป็นที่ยอมรับได้ของสังคม เพื่อให้ลูกสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ การลงโทษเพื่อให้เขารู้ว่าสิ่งใดควรทำ หรือไม่ควรทำ จึงยังเป็นสิ่งที่จำเป็น แต่การลงโทษไม่จำเป็นที่เราพ่อแม่จะต้องทำให้เกิดบาดแผลในใจของลูกเสมอไป การใช้การลงโทษด้วยเวลา และความเข้าใจกับเด็ก นอกจากจะช่วยให้ลูกสามารถเรียนรู้ ควบคุมอารมณ์ จัดการปัญหาต่าง ๆ ได้ด้วยตนเองแล้ว การอยู่ด้วยข้าง ๆ เวลาที่เขาถูกลงโทษก็ยังช่วยปิดจุดอ่อน และทำให้ลูกรู้สึกอุ่นใจ และรู้สึกถึง safe zone ที่เขาได้รับจากพ่อแม่ตลอดเวลาที่เขาต้องการอีกด้วย

 ข้อมูลอ้างอิงจาก สถาบันราชานุกูล /reachformontessori.com/

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

safe zone คือ พื้นที่ปลอดภัยที่พ่อแม่เป็นให้ลูกได้!!

อุทาหรณ์ 13 สิ่งของต้องระวัง ทำลูกน้อยเสี่ยงเสียชีวิต

3 วิธีเลือก หนังสือนิทาน ตามวัยให้ลูกอยากฟังได้ประโยชน์

เด็กปฐมวัยเรียนรู้อะไรใน หลักสูตร Early Years ของไบรท์ตัน คอลเลจ กรุงเทพฯ

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

ยารักษาโควิด19

เกณฑ์ใช้ ยารักษาโควิด19 ระดับไหนจะให้ยาฟาวิพิราเวียร์

Alternative Textaccount_circle
event
ยารักษาโควิด19
ยารักษาโควิด19

เกณฑ์ใช้ ยารักษาโควิด19 ระดับไหนจะให้ยาฟาวิพิราเวียร์

ปัจจุบันนอกจากการรับวัคซีนเพื่อป้องกันโรคโควิด 19 แล้ว ยังมี ยารักษาโควิด19 ออกมาหลายตัว สำหรับรักษาผู้ที่ติดเชื้อโควิด19 ยาที่เรารู้จักและใช้รักษากันมาตลอดช่วงระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมาก็คือ ยาฟาวิพิราเวียร์ ล่าสุดทางกรมการแพทย์ได้ออกเกณฑ์ในการใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ และยารักษาโควิด19ตัวอื่น ๆ ขึ้นมา ลองไปดูกันค่ะว่า ป่วยระดับไหนเราถึงจะได้รับยาฟาวิพิราเวียร์ค่ะ

เกณฑ์ใช้ ยารักษาโควิด19 ของผู้ป่วยทั่วไปอายุมากกว่า 18 ปี

ผู้ติดเชื้อเข้าข่าย (Probable case) ผู้ที่มีผลตรวจ ATK ต่อ SARS-CoV-2 ให้ผลบวก และรวมผู้ติดเชื้อยืนยันทั้งผู้ที่มีอาการและไม่แสดงอาการ แบ่งเป็นกลุ่มตามความรุนแรงของโรคและปัจจัยเสี่ยงได้เป็น 4 กรณี ดังนี้

1. ผู้ป่วยที่ไม่มีอาการหรือสบายดี(Asymptomatic COVID-19)

o ให้การรักษาแบบผู้ป่วยนอก โดยแยกกักตัวที่บ้าน (Out-patient with self Isolation)
o ให้ดูแลรักษาตามอาการตามดุลยพินิจของแพทย์ ไม่ให้ยาต้านไวรัส เช่น favipiravir เนื่องจากส่วนมากหายได้เอง
o อาจพิจารณาให้ยาฟ้าทะลายโจรตามดุลยพินิจของแพทย์

2. ผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง ไม่มีปอดอักเสบ ไม่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรครุนแรง/โรคร่วมสำคัญและภาพถ่ายรังสีปอดปกติ(Symptomatic COVID-19 without pneumonia and no risk factors for severe disease)

o อาจพิจารณาให้ favipiravir ควรเริ่มยาโดยเร็วที่สุด ตามดุลยพินิจของแพทย์
o หากตรวจพบเชื้อเมื่อผู้ป่วยมีอาการมาแล้วเกิน 5 วัน และผู้ป่วยไม่มีอาการหรือมีอาการน้อยอาจไม่จำเป็นต้องให้ยาต้านไวรัส เพราะผู้ป่วยจะหายได้เองโดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน

3. ผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง แต่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรครุนแรงหรือมีโรคร่วมสำคัญ หรือ ผู้ป่วยที่ไม่มีปัจจัยเสี่ยงแต่มีปอดอักเสบ (pneumonia) เล็กน้อยถึงปานกลางยังไม่ต้องให้ oxygen

ปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรครุนแรง ได้แก่

1) อายุมากกว่า 60 ปี ขึ้นไป
2) โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) (GOLD grade 2 ขึ้นไป) รวมโรคปอดเรื้อรังอื่น ๆ
3) โรคไตเรื้อรัง (CKD) (stage 3 ขึ้นไป)
4) โรคหัวใจและหลอดเลือด (NYHA functional class 2 ขึ้นไป รวมโรคหัวใจแต่ก าเนิด
5) โรคหลอดเลือดสมอง
6) เบาหวานที่ควบคุมไม่ได้
7) ภาวะอ้วน (น้ าหนักมากกว่า 90 กก. หรือ BMI ≥30 กก./ตร.ม.)
8) ตับแข็ง (Child-Pugh class B ขึ้นไป)
9) ภาวะภูมิคุ้มกันต่ า (เป็นโรคที่อยู่ในระหว่างได้รับยาเคมีบ าบัดหรือยากดภูมิหรือ corticosteroid equivalent to
prednisolone 15 มก./วัน นาน 15 วัน ขึ้นไป)
10) ผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่มี CD4 cell count น้อยกว่า 200 เซลล์/ลบ.มม.

ยารักษาโควิด19
ระดับไหนจะให้ยาฟาวิพิราเวียร์

การให้ยาต้านไวรัสในผู้ป่วยกลุ่มที่ 3

แนะนำให้ยาต้านไวรัสเพียง 1 ชนิด โดยควรเริ่มภายใน 5 วัน ตั้งแต่เริ่มมีอาการจึงจะได้ผลดีให้ยาโดยพิจารณาจากปัจจัยต่อไปนี้ ได้แก่ ประวัติโรคประจำตัว ข้อห้ามการใช้ยา ปฏิกิริยาต่อกันของยาต้านไวรัสกับยาเดิมของผู้ป่วย (drug-drug interaction) และการบริหารเตียง ความสะดวกของการให้ยารวมถึงปริมาณยาสำรองที่มี

  • ไม่มีปัจจัยเสี่ยง ให้ยา Favipiravir 
  • มีปัจจัยเสี่ยง 1 ข้อ ให้ยา Molnupiravir หรือ Remdesivir หรือ Nirmatrelvir/ritonavir หรือ Favipiravir
  • มีปัจจัยเสี่ยงมากกว่า 2 ข้อ ให้ยา  Remdesivir หรือ Nirmatrelvir/ritonavir หรือ Molnupiravir

 

ยารักษาโควิด19 ในผู้ป่วยเด็กอายุน้อยกว่า 18 ปี

ผู้ติดเชื้อเข้าข่าย (Probable case) ผู้ที่มีผลตรวจ ATK ต่อ SARS-CoV-2 ให้ผลบวก และรวมผู้ติดเชื้อยืนยันทั้งผู้ที่มี
อาการและไม่แสดงอาการ ให้ใช้ยาในการรักษาจ าเพาะดังนี้ โดยมีระยะเวลาในการนอนโรงพยาบาลเหมือนผู้ใหญ่

1. ผู้ป่วยที่ไม่มีอาการ (Asymptomatic COVID-19)

  • แนะนำให้ดูแลรักษาตามดุลยพินิจของแพทย์

2. ผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง ไม่มีปอดอักเสบ ไม่มีปัจจัยเสี่ยง (Mild symptomatic COVID-19 without pneumonia
and no risk factors)

  • แนะนำให้ดูแลรักษาตามอาการ พิจารณาให้ favipiravir เป็นเวลา 5 วัน

3. ผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง แต่มีปัจจัยเสี่ยง หรือมีอาการปอดอักเสบ (pneumonia) เล็กน้อยไม่เข้าเกณฑ์ข้อ 4 (Mild symptomatic COVID-19 pneumonia but with risk factors) ทั้งนี้ ปัจจัยเสี่ยง/โรคร่วมสำคัญ ได้แก่ อายุน้อยกว่า 1 ปี และภาวะเสี่ยงอื่น ๆ ได้แก่ โรคอ้วน (น้ำหนักเทียบกับความสูง (weight for height) มากกว่า +3 SD) โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง รวมทั้งหอบหืดที่มีอาการปานกลางหรือรุนแรง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง โรคไตวายเรื้อรัง โรคมะเร็งและภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ โรคเบาหวาน กลุ่มโรคพันธรรม รวมทั้งกลุ่มอาการดาวน์
เด็กที่มีภาวะบกพร่องทางระบบประสาทอย่างรุนแรง เด็กที่มีพัฒนาการช้า

  • แนะนำให้ favipiravir เป็นเวลา 5 วัน อาจให้นานกว่านี้ได้หากอาการยังมาก โดยแพทย์พิจารณาตามความ
    เหมาะสม

ขอบคุณข้อมูลจาก
กรมการแพทย์

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

อัปเดทล่าสุด ATK ขึ้น 2 ขีด ลูกติดโควิดพ่อแม่ควรทำยังไง

อัปเดท คนท้องติดโควิด รักษาอย่างไร?

ควร กินอะไรเสริมภูมิ บรรเทาอาการลูกน้อยจากลองโควิด

ตรวจ ATK อ.เจษฎ์แนะ

อ.เจษฎาแนะวิธีเก็บเชื้อ ตรวจ ATK ด้วยตนเองลดผลลบปลอม

Alternative Textaccount_circle
event
ตรวจ ATK อ.เจษฎ์แนะ
ตรวจ ATK อ.เจษฎ์แนะ

ตรวจ ATK เองที่บ้านไม่แม่นยำจริงหรือ ต้องเก็บตัวอย่างเชื้อวิธีไหนถึงจะได้ปริมาณเชื้อเยอะไม่ทำให้ผลตรวจเป็นผลลบปลอม อ.เจษฎาแนะสว็อปแบบนี้ให้ผลค่อนข้างแม่นยำ

อ.เจษฎาแนะวิธีเก็บเชื้อ ตรวจ ATK ด้วยตนเองลดผลลบปลอม

โอมิครอน ยังคงระบาดอยู่ในปัจจุบัน และยังคงอยู่ในวันที่สังคมต้องยอมรับกับความเป็นโรคประจำถิ่นของเจ้าเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่กลายพันธุ์มาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ดังนั้นเมื่อต้องเปิดประเทศควบคู่ไปกับการอยู่ร่วมกันกับเชื้อโควิด-19 สิ่งที่จำเป็นในการใช้ชีวิตต่อจากนี้ เห็นทีจะเป็นการตรวจหาเชื้อโควิด-19 การตรวจ ATK ที่สามารถตรวจได้ด้วยตนเอง เพื่อให้เรารู้ตัวได้เร็วว่าติดเชื้อ จะได้รีบทำการรักษา และหยุดการแพร่กระจายเชื้อต่อไป แต่เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่า การตรวจ ATK ด้วยตนเองนั้น เราทำได้ถูกวิธีหรือยัง ผลที่ได้เชื่อถือได้มากแค่ไหน

ตรวจ ATK ด้วยตนเอง ให้ถูกวิธี
ตรวจ ATK ด้วยตนเอง ให้ถูกวิธี

อ.เจษฎา แนะวิธีตรวจATK ให้ได้ผลแม่นยำ!!

เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม  รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความพร้อมภาพประกอบในเพจ Jessada Denduangboripant ว่า

มีหลายท่านส่งการบ้านมาให้ดูนะครับ ว่าพอตรวจโควิดด้วยตัวเอง ด้วยการสว๊อบเก็บที่จมูก ได้ผลเป็นลบ แต่ถ้าเก็บที่คอด้วย กลับได้ผลเป็นบวก เกมส์เลยครับ
ลองอ่านวิธีที่ผมแนะนำไว้เดิมนะครับ เรื่อง “การเก็บตัวอย่างจากทั้งต่อมทอนซิลในคอและจมูก” จะทำให้ได้ผลที่แม่นยำขึ้นมากครับ

ตรวจ ATK โควิดสายพันธุ์โอมิครอน กับ การเก็บตัวอย่างจากต่อมทอนซิลในคอและจมูก

 “ตรวจ ATK โควิดสายพันธุ์โอมิครอน ควรสว๊อบที่ต่อมทอนซิลในคอ ก่อนจะไปแยงที่จมูกนะครับ จะได้ผลที่แม่นยำขึ้นเยอะ “
อ.เจษฎา ได้แนะนำวิธีการเก็บตัวอย่างเชื้อ “ทั้งจากคอและจมูก” ในการตรวจ ATK ไว้ โดยให้คำแนะนำว่า การระบาดของเชื้อโควิด สายพันธุ์โอมิครอน ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่แพร่กระจายเชื้อในระบบทางเดินหายใจช่วงบน การตรวจด้วยวิธีการเก็บตัวอย่างเชื้อทั้งจากคอและจมูก จะทำให้ได้เชื้อปริมาณเยอะ และส่งผลให้ผลที่ออกมาค่อนข้างแม่นยำ ลดอาการเกิดผลลบปลอม ซึ่งจะได้ผลดีกว่าการเก็บแค่ในโพรงจมูกอย่างเดียวมาก
“วิธีเก็บตัวอย่างเชื้อ “ทั้งจากคอและจมูก” เพื่อตรวจโควิดแบบนี้ ผมเคยแนะนำมาตั้งแต่ที่ไทยเราเริ่มมีชุด ATK ตรวจแล้วครับ และก็ขอแนะนำอีกครั้ง โดยเฉพาะในสถานการณ์ระบาดของเชื้อโควิด สายพันธุ์โอมิครอน (ซึ่งแพร่กระจายเชื้อในระบบทางเดินหายใจช่วงบน ได้ดี)

อย่างกรณีในภาพนี้ ก็เป็นบ้านของแฟนเพจคนหนึ่ง ที่สงสัยว่าในบ้านจะติดโควิดกัน แต่สว๊อบจมูกตรวจไม่พบ พอลองทำตามวิธีที่ผมแนะนำ ก็พบว่าติดจริงๆครับ”

ขอขอบคุณภาพจาก เฟสบุ๊คเพจ อ๋อมันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์
ขอขอบคุณภาพจาก เฟสบุ๊คเพจ อ๋อมันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์
คำแนะนำวิธีการเก็บตัวอย่าง
  1. งดน้ำ งดอาหารก่อนตรวจ 30 นาที ถึงจะเก็บตัวอย่างจากช่องปาก เพื่อเพิ่มความแม่นยำ
  2. ให้ใช้ไม้สว็อบ มาป้ายเก็บตามต่อมทอนซิล (อยู่สองข้างของลิ้นไก่ ) ก่อน
  3. นำไม้สว็อบอันเดิมมาแหย่เช็ด ๆ วน ๆ จมูกทั้ง 2 ข้าง โดยทำเบา ๆ พอลึกประมาณ 1 นิ้ว (ไม่ต้องแยงลึกถึงด้านหลังโพรงจมูก ลดการเจ็บแสบโพรงจมูกได้อีกด้วย)
  4. เวลาเก็บตัวอย่างจากช่องปาก ป้ายเช็ดเบา ๆ พอ อย่าไปขูดโดนเนื้อเยื่ออ่อน ๆ ในปาก จะทำให้บาดเจ็บได้
  5. สารคัดหลั่งที่เหนียวไป เช่น ขี้มูก เสลด ไม่ควรเอามาตรวจหาเชื้อ เพราะจะไปขัดขวางการเคลื่อนที่ของน้ำยาในตลับตรวจ
  6. เมื่อได้ตัวอย่างเชื้อแล้วก็ทำตามขั้นตอนการตรวจที่ระบุไว้ข้างกล่องได้เลย

คำแนะนำการอ่านผล

  • ถ้าผลออกมาเป็น บวก มีแนวโน้มสูงมากว่าคุณได้ติดเชื้อโควิดแล้ว ควรทำการทดสอบซ้ำอีกครั้ง หรือควรไปตรวจด้วยวิธี PCR ก่อนรับการรักษา โดยจะรักษาแยกอาการตามกลุ่มความรุนแรงของโรค แยกตามระดับสี ต่อไป
  • ถ้าผลออกมาเป็น ลบ ก็ห้ามประมาทเด็ดขาด เพราะถ้าเราเป็นผู้ที่มีความเสี่ยงสูง อาจจะต้องตรวจซ้ำภายใน 3-4 วัน เนื่องจากชุดตรวจแม้จะมีความจำเพาะเจาะจงสูงมากในการตรวจเชื้อโควิด แต่ความไวต่ำกว่าวิธี PCR มาก
พร้อมกันนี้ อ.เจษฎ์ ได้มีคลิปแนะนำ การสาธิตการใช้ ATK ตรวจเด็กเล็กมาฝากกันด้วย

ปัจจัยที่ทำให้ผลการตรวจโควิด-19 ด้วย ชุดตรวจ ATK แล้วให้ผลลบปลอม(False Negative)

เมื่อใช้ชุดตรวจแอนติเจนแบบเร็ว (Antigen Test Kit) แล้วแสดงผลการทดสอบเป็นลบ (ไม่ติดเชื้อ) แต่พบว่าการตรวจยืนยันด้วยวิธี RT-PCR ผู้ตรวจติดเชื้อ

สาเหตุ

  1. เพิ่งติดเชื้อในระยะแรก ร่างกายจึงมีปริมาณเชื้อไวรัสต่ำ
  2. การเก็บสิ่งส่งตรวจไม่ถูกต้อง เช่น ทิศทางการแหย่จมูกไม่ถูกต้องตามวิธีทดสอบ
  3. ช่วงเวลาตรวจไม่เหมาะสม เช่น อาจเป็นผู้ป่วยที่แสดงอาการอยู่ แต่ปริมาณไวรัสลดลงแล้ว
  4. ปฏิบัติตามขั้นตอนวิธีทดสอบไม่ถูกต้อง เช่น ปริมาณตัวอย่างที่หยดมากหรือน้อยเกินไป ไม่อ่านผลในช่วงเวลาที่กำหนด
  5. นำมาใช้ผิดประเภท เช่น การนำ ATK ชนิดตรวจหาเชื้อทางจมูกมาใช้ตรวจหาเชื้อในน้ำลาย

คำแนะนำจากแพทย์

ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ไม่ว่าผลตรวจ ATK จะเป็นบวก หรือลบ ให้แยกกักตัวทันที หากมีอาการเล็กน้อย แต่ผลตรวจไม่พบเชื้อ ให้ตรวจซ้ำ 3-5 วันถัดมา กรณีที่มีอาการรุนแรง ควรไปสถานพยาบาลเพื่อตรวจหาเชื้อด้วยวิธีมาตรฐานซ้ำอีกครั้ง

ปัจจัยที่ทำหใ้ผลการตรวจโควิด-19 ด้วยชุดตรวจ ATK แล้วให้ผลบวกปลอม (False Positive)

เมื่อตรวจยืนยันด้วยวิธี RT-PCR แล้วไม่ได้ติดเชื้อ แต่ชุดตรวจแอนติเจนแบบเร็ว (Antigen Test Kit) แสดงผลการทดสอบเป็นบวก

สาเหตุ

  1. การปนเปื้อนจากพื้นที่ที่ทำการทดสอบลงบนอุปกรณ์ที่ใช้
  2. การติดเชื้อไวรัสหรือจุลชีพอื่น ๆ
  3. ปฏิบัติตามขั้นตอนวิธีทดสอบไม่ถูกต้อง เช่น อ่านผลเกินเวลาที่กำหนด
  4. สภาพสิ่งส่งตรวจไม่เหมาะสม
  5. ชุดตรวจไม่ได้มาตรฐาน
ข้อมูล ณ วันที่ 29 มกราคม 2565
ที่มา : อ. ดร. พญ. วรรษมน จันทรเบญจกุล
ศูนย์โรคอุบัติใหม่ด้านคลินิก chulalongkornhospital.go.th
วัคซีน กับการ ตรวจ ATK
วัคซีน กับการ ตรวจ ATK

วัคซีนโควิด-19 กับการตรวจ ATK  

หลายคนคงมีคำถามในใจกันว่า การฉีดวัคซีนโควิด-19 จะมีผลต่อการตรวจทำให้ผลไม่ตรงหรือไม่ เนื่องจากว่า วัคซีนเป็นการนำยาหรือสารชนิดหนึ่งที่ฉีดเข้าไปในร่างกาย เพื่อให้ร่างกายเกิดการสร้างภูมิคุ้มกันที่จะไปต่อสู้กับเชื้อโรคได้ เช่น วัคซีนชนิดเชื้อตาย (Inactivated vaccine) วัคซีนกลุ่มนี้ผลิตโดยนําไวรัสโรคโควิด19 มาเลี้ยงขยายจํานวนมาก และนํามาทำให้เเชื้อตาย  การฉีดวัคซีนจะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อไวรัสทุกส่วน เสมือนได้รับเชื้อไวรัสโดยตรงแต่ไม่ทำให้เกิดโรค เพราะเชื้อตายแล้ว

ดังนั้น การฉีดวัคซีนโควิด -19 มาก่อนการตรวจหาเชื้อ จะมีผลต่อการตรวจโรคโควิด-19 ด้วยวิธี real-time RT-PCR หรือวิธี Antigen test kit (ATK) หรือไม่

ตอบข้อกังวลใจในเรื่องดังกล่าว เราขอนำคำตอบของ ดร.ทนพ.เมธี ศรีประพันธ์ ภาควิชาจุลชีววิทยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลที่ได้ไขข้อสงสัยไว้ ดังนี้ การรับวัคซีนโควิด-19 ไม่ได้ส่งผลทำให้เกิดผลบวกลวงหรือผลบวกปลอมเมื่อตรวจทางห้องปฏิบัติการด้วยเทคนิค real-time RT-PCR หรือ ATK แต่ผู้ที่ได้รับวัคซีนจะสามารถตรวจพบแอนติบอดีต่อโรค COVID-19 ได้ในกระแสเลือดเมื่อเวลาผ่านไปในระยะที่เหมาะสม อย่างไรก็ตามถ้าผู้ที่ได้รับวัคซีนให้ผล real-time RT-PCR เป็น detected หรือ ATK เป็นผลบวกแสดงว่ามีการติดเชื้อเกิดขึ้น

ดูแลตนเอง ใส่หน้ากาก หมั่นล้างมือ รักษาระยะห่าง
ดูแลตนเอง ใส่หน้ากาก หมั่นล้างมือ รักษาระยะห่าง
เมื่อเราต้องดำเนินชีวิตอยู่กับเชื้อไวรัสโควิด-19 เพราะมันไม่สามารถหายไปจากโลกนี้ได้ กลายมาเป็นโรคประจำถิ่น ดังนั้นการรู้วิธีรับมือ ป้องกัน และดูแลตนเองจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้การใช้ชีวิตประจำวันภายใต้การระบาดของเชื้อโควิด เป็นไปได้อย่างไม่ประมาททั้งต่อตนเอง และคนรอบข้าง อย่าลืมใส่หน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือ รักษาระยะห่าง ดูแลตนเองให้แข็งแรงกันด้วยนะทุกคน
อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

คนท้องติดโควิด คนท้องทำ Home isolation ได้ไหม?

เมื่อคุณและลูก ติดโควิด ทำยังไง ? เปิดขั้นตอนการรักษาที่นี่

ติดโควิด 5 วิธีกักตัวที่บ้าน ดูแลตัวเองและลูกๆ ระหว่างรอเตียง

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

กรุ๊ปเลือด

อาหารสร้างภูมิคุ้มกันตาม “กรุ๊ปเลือด” หลีกหนีภูมิแพ้ !!!

Alternative Textaccount_circle
event
กรุ๊ปเลือด
กรุ๊ปเลือด

กรุ๊ปเลือด มนุษย์เรามีกลุ่มเลือดหลักอยู่ 4 กลุ่ม คือ A B O และ AB ซึ่งความแตกต่างนี้เอง ที่ส่งผลถึงอาหารที่ควรรับประทาน ให้เหมาะกับกรุ๊ปเลือดของตนเอง

อาหารสร้างภูมิคุ้มกันตาม “กรุ๊ปเลือด” หลีกหนีภูมิแพ้ !!!

เราจะรู้ได้อย่างไรว่า อาหารที่เรารับประทานเข้าไปทุกวันนั้น เหมาะกับร่างกายของเราหรือไม่ ทีมกองบรรณาธิการ ABK ได้รวบรวมข้อมูลอาหาร ที่จะเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายได้ หากรับประทานตามกรุ๊ปเลือดของเรา รายละเอียดเป็นอย่างไร ไปดูกันเลยค่ะ

อาหารเสริมภูมิคุ้มกันตาม กรุ๊ปเลือด หลีกหนีภูมิแพ้
อาหารเสริมภูมิคุ้มกันตาม กรุ๊ปเลือด หลีกหนีภูมิแพ้

อาหารสร้างภูมิคุ้มกันตาม “กรุ๊ปเลือด” หลีกหนีภูมิแพ้ !!!

การแบ่งกรุ๊ปเลือด และการรับเลือดใช้หลักเกณณ์อะไร ?

ในเลือดคนเรามีส่วนประกอบที่สำคัญอยู่ 2 ส่วนคือ แอนติเจน และ แอนติบอดี โดยแอนติเจนจะอยู่บนผิวของเซลล์เม็ดเลือด ส่วนแอนติบอดีอยู่บนน้ำเลือด

แอนติเจนแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ A และ B ซึ่งแต่ละคนจะมีไม่เหมือนกันและนักวิทยาศาสตร์ก็ได้ใช้หลักเกณฑ์นี้ในการแบ่งกรุ๊ปเลือดดังนี้

คนที่มีแต่แอนติเจน A อย่างเดียวคือกรุ๊ปเลือด A

คนที่มีแต่แอนติเจน B อย่างเดียวคือกรุ๊ปเลือด B

สำหรับคนที่มีทั้งแอนติเจน A และ B คือกรุ๊ปเลือด AB

ส่วนคนที่ไม่มีทั้งแอนติเจน A และ B คือกรุ๊ปเลือด O

นอกจากแอนติเจนจะมี A และ B แล้ว แอนดิบอดีก็มี A และ B ด้วย ซึ่งปกติ แอนดิบอดี A จะโจมตี แอนติเจน B และ แอนดิบอดี B จะโจมตี แอนติเจน A และด้วยสาเหตุดังกล่าวการรับเลือดบางกรุ๊ปเลือดอาจเกิดการโจมตีระหว่างแอนดิบอดีและแอนติเจน จึงต้องมีการกำหนดไว้ว่ารับเลือดกรุ๊ปใดรับกรุ๊ปใดได้บ้างดังนี้

เลือดกรุ๊ป A จะรับ B และ AB ไม่ได้ รับได้แต่ A และ O

เลือดกรุ๊ป B จะรับ A และ AB ไม่ได้ รับได้แต่ B และ O

สำหรับเลือดกรุ๊ป AB จะรับได้ทุกกรุ๊ป

เลือดกรุ๊ป O จะรับได้เฉพาะกรุ๊ป O

อาหารสร้างภูมิคุ้มกันตาม “กรุ๊ปเลือด” หลีกหนีภูมิแพ้ !!!

การรับประทานอาหารให้เหมาะกับกรุ๊ปเลือด ได้รับการยอมรับมาอย่างยาวนานว่า ช่วยรักษาโรคภูมิแพ้ต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี โดย ดร.ปีเตอร์ ดี อาดาโม ผู้ที่ได้รับรางวัลแพทย์ธรรมชาติบำบัดยอดเยี่ยมจากสหรัฐอเมริกา ปี ค.ศ.1990 ได้อธิบายไว้ในหนังสือ Eat Right for Your Type โดยเขาเชื่อว่า เลือดแต่ละกรุ๊ปมีสารเคมีในเลือดที่แตกต่างกัน โดยมีแอนติเจนกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ซึ่งอาหารทุกชนิดล้วนมีโปรตีนที่เป็นอนุมูลอิสระ มีคุณสมบัติในการเหนี่ยวนำและจับเกาะติดเลือดที่เรียกว่า “เลกติน” ถ้าเรากินอาหารที่มีเลกตินไม่เหมาะกับเลือด ก็จะทำให้เลกตินเข้าไปรบกวนการทำงานของระบบย่อยอาหาร การเผาผลาญ การสร้างอินซูลิน และความสมดุลของฮอร์โมน

อาหารตามกรุ๊ปเลือด
อาหารตามกรุ๊ปเลือด
อาหารที่เหมาะสมกับกรุ๊ปเลือดต่าง ๆ เพื่อให้ร่างกายย่อยได้ดี สร้างภูมิคุ้มกันที่ดีได้นั้น แบ่งได้ตามนี้
กรุ๊ปเลือด O
กระเพาะสามารถย่อยอาหารจำพวกเนื้อได้ดีที่สุด สามารถกินอาหารทะเลได้เป็นประจำ เนื้อที่ควรกินได้แก่ เนื้อปลา กุ้ง ปู และอาหารจำพวกแป้งสาลี ข้าวโอ๊ต และบรรดาถั่วต่างๆ

กรุ๊ปเลือด A

เลือดค่อนข้างเหนียวข้น จึงเหมาะกับการทานมังสวิรัติที่ย่อยง่าย เหมาะกับการทานผักผลไม้ทุกชนิด เช่น บร็อคโคลี่ แครอท ฟักทอง ผักโขม เลือกดื่มนมถั่วเหลือง นมแพะ หรือโยเกิร์ตไขมันต่ำ แทนนมวัว

กรุ๊ปเลือด B

สามารถทานได้ทั้งเนื้อสัตว์ และ ผลไม้ได้ดีทั้งสองอย่างเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นจะทานปลาแซลมอน ปลาหิมะ ปลาเนื้อขาว อย่างปลาจาระเม็ด ปลาตาเดียว หรือจะเนื้อแพะ แกะ ไก่งวงก็ยังได้ รวมถึงผักใบเขียวที่ทานได้ทุกชนิด หลีกเลี่ยงแต่มะเขือเทศ และข้าวโพดเท่านั้น

กรุ๊ปเลือด AB

สามารถทานได้ทั้งผัก ผลไม้ และเนื้อสัตว์เช่นกัน รวมถึงผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง และเต้าหู้ สามารถกิน นม เนย ไข่ และโยเกิร์ตไขมันต่ำได้ แต่ไม่ควรกินปลาเนื้อขาว และแซลมอนรมควัน เพราะย่อยยาก และควรทานผักบ่อย ๆ จะเป็นผักสดจิ้มน้ำพริก หรือผักสลัดก็ได้
อย่างไรก็ตามการทานอาหารที่ดี ครบ 5 หมู่ในแต่ละมื้ออาหาร ก็เป็นสิ่งที่เหมาะสม และก่อให้เกิดสุขภาพที่ดี ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันได้ดีเช่นกัน
แต่สำหรับคนที่มีอาการของโรคภูมิแพ้ จากการที่ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันได้ไม่มากเท่าที่ควรนั้น การเลือกทานอาหารที่ดีก็สามารถช่วยรักษาอาการภูมิแพ้ได้เช่นกัน โดย
  1. ทานอาหารที่มีโปรไบโอติกส์สูง เช่น โยเกิร์ต
  2. ทานผลไม้วิตามินซีสูง เพื่อต้านอนุมูลอิสระ บรรเทาอาการแพ้ ลดการอักเสบได้ เช่น ส้ม มะขามป้อม ฝรั่ง
  3. อาหารที่อุดมด้วยแมกนีเซียม เช่น อัลมอนด์ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ รำข้าว
  4. อาหารที่มี Omega-3 เช่น ปลาทูน่า มีฤทธิ์ที่สามารถบรรเทาอาการแพ้ได้

วิธีประเมินว่าอาหารที่รับประทานนั้นเหมาะกับร่างกายของเราหรือไม่

พยายามสังเกตแและจดบันทึกอาหารที่รับประทานในแต่ละวัน หรือมีปฏิกิริยาใดเกิดขึ้นบ้าง เช่น วันนี้รับประทานอะไรแล้วทำให้รู้สึกเหนื่อย หรือหมดแรง จากนั้นทำการจดบันทึก เพื่อทดสอบว่า เรารับประทานอาหารได้อย่างเหมาะสมแล้วหรือยัง ซึ่งเราอาจค้นพบว่า เรารับประทานอาหารไม่เหมาะสมมาโดยตลอดก็เป็นได้

ส่วนผู้ที่กำลังลดน้ำหนัก หลาย ๆ คนอาจคิดว่า อ้วนเพราะการรับประทานเยอะ จึงพยายามรับประทานน้อยลง จนร่างกายขาดสารอาหาร สมองจึงไม่สั่งให้หยุดกิน เป็นเหตุให้รับประทานแล้วไม่รู้สึกอิ่ม ร่ายกายจึงได้รับอาหารมากเกินไป แต่หากเรารับประทานอาหารตามกรุ๊ปเลือด อย่างเหมาะสม สมองก็จะรับรู้ และทำให้รู้สึกอิ่ม รับประทานอาหารน้อยลง ดังนั้น ไม่ว่าเราจะรับประทานอาหารที่ดีมากแค่ไหน แต่หากรับประทานไม่เหมาะกับกรุ๊ปเลือดของเรา มันก็จะไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย

อาหารเป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญต่อการดำรงชีวิต แต่ร่างกายของเราจะดีหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับอาหารที่เรารับประทานเช่นกัน ดังเช่นประโยคที่ว่า You are what you eat. ทีมกองบรรณาธิการ ABK จึงได้นำบทความนี้มาฝาก เพื่อหวังให้ทุกท่านมีสุขภาพที่ดีกันทุกคนนะคะ

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

ลูกตัวเหลือง เพราะกรุ๊ปเลือดไม่เข้ากับแม่ (เรื่องจริงจากแม่)

กรุ๊ปเลือด พ่อแม่ต่างกัน ลูกจะได้กรุ๊ปเลือดใคร?

กรุ๊ปเลือดบอกนิสัย ลองทายนิสัยลูกจากกรุ๊ปเลือด เด็กแต่ละคนมีนิสัยอย่างไรกันบ้าง?!

รู้จัก ฮีโมฟีเลีย “โรคเลือดออกง่ายแต่หยุดยาก” โรคทางพันธุกรรมที่รักษาไม่หาย!

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : https://redcross-ptl.or.th, https://www.synphaet.co.th, https://medthai.com

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

Amarin Baby & Kids

ทราฟฟี่ฟองดูว์

สปสช.ใช้ ทราฟฟี่ฟองดูว์ รับแจ้งปัญหาใช้สิทธิบัตรทอง

Alternative Textaccount_circle
event
ทราฟฟี่ฟองดูว์
ทราฟฟี่ฟองดูว์

สปสช.ใช้ ทราฟฟี่ฟองดูว์ รับแจ้งปัญหาใช้สิทธิบัตรทอง

นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เปิดเผยว่า สปสช.จะเริ่มเปิดช่องทางแอป ทราฟฟี่ฟองดูว์ เพื่อรับเรื่องร้องเรียน รวมถึงปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ในการใช้บริการสิทธิบัตรทอง 30 บาทจากประชาชน โดย สปสช.ได้จัดเจ้าหน้าที่ในการติดตามและทันทีที่มีการแจ้งเรื่องเข้ามาในระบบจะเร่งแก้ไขปัญหาให้โดยเร็ว

ใครมีสิทธิบัตรทอง ?

  • เด็กแรกเกิด ที่ไม่มีสิทธิสวัสดิการการรักษาพยาบาลข้าราชการจากบิดามารดา
  • บุตรข้าราชการที่บรรลุนิติภาวะ (อายุ 20 ปีขึ้นไปหรือสมรส) และไม่มีสิทธิประกันสุขภาพจากหน่วยงานรัฐ
  • บุตรข้าราชการคนที่ 4 ขึ้นไป และไม่มีสิทธิประกันสุขภาพจากหน่วยงานรัฐ เช่น สิทธิข้าราชการคุ้มครองบุตรเพียง 3 คน
  • ผู้ประกันตนที่ขาดการส่งเงินสมทบกองทุนประกันสังคม (หมดสิทธิประกันสังคม)
  • ข้าราชการที่เกษียณอายุหรือออกจากราชการโดยมิได้รับบำนาญ
  • ผู้ประกอบอาชีพอิสระ และไม่ได้เป็นผู้ประกันตน
มีสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติตามกฎหมาย และลงทะเบียนเพื่อเลือกหน่วยบริการประจำได้ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
***คนไทยที่อาศัยอยู่ในต่างประเทศติดต่อกันมากกว่า 2 ปีขึ้นไป (ข้อมูลจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง) หรือผู้ที่ลงทะเบียนเลือกตั้งในต่างประเทศ (ข้อมูลจากสำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง) จะใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งขาติต่อเมื่อเดินทางกลับมาอาศัยอยู่ในประเทศไทยแล้ว โดยติดต่อแก้ไขสถานะบุคคล ณ หน่วยบริการในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติที่อยู่ใกล้บ้าน

13 สิทธิ บัตรทอง 30 บาท

แบ่งออกเป็น 13 รายการ ได้แก่

1. บริการสร้างเสริมสุขภาพ และป้องกันโรค

2. การตรวจวินิจฉัยโรค

3. การตรวจ และการรับฝากครรภ์

4. การบำบัด และการบริการทางการแพทย์

5. ยา เวชภัณฑ์ อวัยวะเทียม และอุปกรณ์ทางการแพทย์

6. การทำคลอด

7. การกินอยู่ในหน่วยบริการ

8. การบริบาลทารกแรกเกิด

9. บริการรถพยาบาล หรือบริการพาหนะรับส่งผู้ป่วย

10. บริการพาหนะรับส่งผู้ทุพพลภาพ

11. การฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกาย และจิตใจ

12. บริการสาธารณสุข ด้านการแพทย์แผนไทย และการแพทย์ทางเลือก ตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบโรคศิลปะ

13. บริการสาธารสุขอื่นที่จำเป็นต่อสุขภาพ และการดำรงชีวิต ที่คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติกำหนดเพิ่มเติม

ทราฟฟี่ฟองดูว์
สปสช.ใช้ ทราฟฟี่ฟองดูว์ รับแจ้งปัญหาใช้สิทธิบัตรทอง

นำแอปฯ ทราฟฟี่ฟองดูว์ มาใช้รับฟังปัญหา

จากข้อมูลปีงบประมาณ 2564 พบว่ามีประชาชนใช้สิทธิบัตรทอง 30 บาท เข้ารับบริการผู้ป่วยนอกถึง 161.71 ล้านครั้ง และผู้ป่วยในอีกจำนวน 5.682 ล้านครั้ง ด้วยจำนวนการใช้สิทธิบัตรทอง การเข้ารับบริการในบางครั้งย่อมเกิดความไม่สะดวก หรือมีปัญหา และอุปสรรคเกิดขึ้นได้ เพื่อแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน และนำไปสู่การพัฒนาและปรับปรุงระบบ เพื่อเป็นการเพิ่มช่องทางการติดต่อสื่อสาร รับแจ้งปัญหาการใช้สิทธิบัตรทอง 30 บาท ระหว่าง สปสช. กับประชาชนที่สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น สปสช. จึงได้ประสานกับทางเนคเทค สวทช. เพื่อเข้าร่วมนำแอปพลิเคชันทราฟฟี่ฟองดูว์ โดย สวทช. ยินดีเปิดระบบเครือข่ายให้ สปสช. เข้าร่วมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

วิธีการแจ้งเรื่องผ่าน ทราฟฟี่ฟองดูว์ ผู้ใช้สิทธิบัตรทอง 30 บาท

1. เพิ่ม Traffy Fondue เป็นเพื่อนใน LINE ค้นหาไอดี @traffyfondue หรือคลิกที่ลิงค์  https://landing.traffy.in.th?key=zHdDaLxF

2. พิมพ์ปัญหาที่ต้องการแจ้งในช่องแชท แล้วกดส่ง

3. ถ่ายรูปและระบุประเภทปัญหา และแชร์ตำแหน่งที่เกิดปัญหา

4. หลังจากนั้น ระบบจะแจ้งเตือนเจ้าหน้าที่ สปสช. ให้เข้าไปติดตามข้อมูลเพื่อนำมาแก้ไขปัญหาต่อไป

5. ผู้แจ้งรอรับการแจ้งเตือนเมื่อมีความก้าวหน้า

สำหรับช่องทางบริการอื่นๆ ของ สปสช. เพื่อรับข้อมูล ข้อเสนอแนะ และข้อร้องเรียนต่างๆ ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ได้แก่ สายด่วน สปสช. 1330 หรือช่องทางระบบออนไลน์ทั้งไลน์ สปสช. ไลน์ไอดี @nhso หรือคลิก https://lin.ee/zzn3pU6 และ Facebook : สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ https://www.facebook.com/NHSO.Thailand

 

ขอบคุณข้อมูลจาก

Workpoint Today, สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

สปสช. มอบ สิทธิบัตรทอง คัดกรองดาวน์ซินโดรม

บัตรทองให้เข้าถึงยา โรคข้ออักเสบไม่ทราบสาเหตุในเด็ก  

แม่ๆเตรียมเฮ คัดกรองมะเร็งปากมดลูก สปสช.ดูแลทุกสิทธิ์

ภาวะสมองพิการ

เช็ค 6 อาการของเด็กที่มี ภาวะสมองพิการ !

Alternative Textaccount_circle
event
ภาวะสมองพิการ
ภาวะสมองพิการ

เช็ค 6 อาการของเด็กที่มี ภาวะสมองพิการ !

คุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกน้อยอยู่ในวัยเตาะแตะ คงมีความสุขที่ได้เห็นพัฒนาการของลูกที่กำลังน่ารัก หัดคลาน หัดนั่ง หัดเดิน แต่หากบ้านใดที่คุณพ่อคุณแม่สังเกตว่า ลูกน้อยมีทักษะการเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อล่าช้า เช่น การเงยหน้าขึ้น การพลิกตัว การนั่ง คลาน และการเดิน ชอบใช้ร่างกายส่วนเดียว ฯลฯ ต้องระวังนะคะ เพราะลูกอาจมี ภาวะสมองพิการ ค่ะ วันนี้เรามี 6 อาการบ่งบอกมาให้คุณพ่อคุณแม่สังเกตดูค่ะ

สมองพิการ คืออะไร

พญ.ณิชา  ลิ้มตระกูล กุมารแพทย์ด้านพฤติกรรม และพัฒนาการ ศูนย์สุขภาพเด็ก โรงพยาบาลพญาไท 2 ได้เผยแพร่ความรู้ไว้ว่า สมองพิการ (cerebral palsy) หรือที่นิยมเรียกตามตัวย่อว่า CP เป็นกลุ่มอาการที่เกิดจากการบาดเจ็บอย่างถาวรในสมองที่ยังพัฒนาได้ไม่เต็มที่ ส่งผลให้เกิดความผิดปกติของการเคลื่อนไหวและท่าทาง โดยที่การบาดเจ็บในสมองนั้นจะต้องเป็นชนิดคงที่ไม่รุนแรงมากขึ้น

ปัจจุบันพบว่าผู้ป่วยเด็กสมองพิการมีจำนวนเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งอาจเป็นผลมาจากศักยภาพในการดูแลผู้ป่วยทารกแรกเกิดของแพทย์ที่มากขึ้น ทำให้ทารกแรกเกิดคลอดก่อนกำหนด น้ำหนักตัวน้อย ซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงในการเกิดสมองพิการ มีอัตราการรอดชีวิตที่สูงขึ้น

ปัญหาและความผิดปกติที่อาจเกิดร่วม

  • พิการด้านการเคลื่อนไหว และการเดิน
  • ปัญหาการสื่อสาร ภาษา และการพูด
  • ความบกพร่องทางสติปัญญา และการเรียนรู้
  • สูญเสียการได้ยิน หรือการมองเห็น หรืออาจมีอาการตาเหล่ร่วมด้วย
  • โรคลมชัก
  • อารมณ์ และพฤติกรรมผิดปกติ
  • กระดูกสันหลังมีความผิดปกติ
  • มีปัญหามากกว่า 1 อย่างร่วมกัน
ภาวะสมองพิการ
เช็ค 6 อาการของเด็กที่มี ภาวะสมองพิการ !

สาเหตุของเด็กที่มี ภาวะสมองพิการ

ในปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจนแต่ก็มีหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อพัฒนาการทางสมองของทารกได้

ความเสี่ยงตั้งแต่อยู่ในครรภ์

  • ภาวะทารกตัวเล็กในครรภ์
  • น้ำหนักแรกคลอดน้อย
  • มีการติดเชื้อระหว่างตั้งครรภ์ เช่น โรคหัดเยอรมัน โรคอีสุกอีใส โรคเริม โรคซิฟิลิส การ
  • ติดเชื้อไวรัสซิกา การติดเชื้อไวรัสไซโตเมกะโลโวรัส โรคท็อกโซพลาสโมซิส เป็นต้น
  • แม่ได้รับยา สารพิษระหว่างตั้งครรภ์
  • เด็กในครรภ์มีปัญหาสมองขาดเลือด หรือผิดปกติ
  • สมองเด็กพัฒนาไม่ดีในครรภ์
  • แม่มีโรคประจำตัว เช่น ไทรอยด์ผิดปกติ ภาวะเลือดออกง่าย เป็นต้น
  • การกลายพันธุ์ หรือความผิดปกติของพันธุกรรม ที่ส่งผลต่อการพัฒนาสมอง
  • อุบัติเหตุที่ทำให้สมองของทารกได้รับการกระทบกระเทือนตั้งแต่อยู่ในครรภ์

ความเสี่ยงระหว่างคลอด

  • เด็กคลอดก่อนกำหนด
  • มีปัญหาคลอดยาก
  • มีความเสียหายต่อศีรษะ หรือกะโหลกศีรษะในระหว่างการคลอด
  • มีภาวะเลือดออกในสมอง หรือสมองขาดออกซิเจนในช่วงแรกเกิด

ปัจจัยเสี่ยงหลังคลอด

  • มีการบาดเจ็บ เลือดออกในสมอง
  • ติดเชื้อของสมองภายหลังคลอด
  • ภาวะตัวเหลือง
  • โรคทางพันธุกรรม

ปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ

  • การตั้งครรภ์ทารกแฝด หรือมีทารกในครรภ์ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป
  • มารดาตั้งครรภ์ขณะมีอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป
  • หมู่เลือดอาร์เอชของมารดา และทารกไม่ตรงกัน

 

6 อาการที่สังเกตได้

พญ.ณิชา ได้ให้ข้อสังเกตของภาวะนี้ไว้ 6 อาการ ดังนี้

  1. มีพัฒนาการล่าช้า
  2. มีการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะกล้ามเนื้อแขนขา ทำให้ไม่สามารถหยิบจับสิ่งของได้สะดวก แขนขาเกร็ง เดินได้อย่างยากลำบาก เดินปลายเท้าเขย่ง บางคนเกร็งมากจนทำให้เกิดความเจ็บปวด มีกระดูก และข้อผิดรูป อาจเกิดภาวะข้อเคลื่อน หรือข้อหลุดตามมาได้
  3. ความตึงตัวของกล้ามเนื้อลดลง อาจมีตัวอ่อนปวกเปียก ส่งผลให้ไม่สามารถทรงตัวในท่านั่ง ยืน หรือเดินได้
  4. การดูดกลืน, ดูดนม ทำได้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ เคี้ยวอาหารไม่ได้ และเสี่ยงต่อการสำลัก
  5. มีปัญหาด้านการพูด
  6. ความผิดปกติอื่น ๆ เช่น สติปัญญาบกพร่อง ความสามารถในการเรียนรู้ต่ำกว่าปกติ มีปัญหาการมองเห็น และการได้ยิน ปัญหาพฤติกรรม และอารมณ์ เช่น ซึมเศร้า หรือมีอาการชัก ร่วมด้วย

แนวทางการบำบัดฟื้นฟู

เด็กสมองพิการมักจะมีปัญหาร่างกายหลายระบบร่วมกัน การรักษาจึงต้องอาศัยทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญหลายสาขา เพื่อป้องกันและลดภาวะแทรกซ้อน และกระตุ้นพัฒนาการและศักยภาพของเด็กสมองพิการให้ได้สูงสุด ให้ดำรงชีวิตในสังคมได้ ซึ่งทำได้หลายวิธี ดังนี้

  • กายภาพบำบัด
  • กิจกรรมบำบัด
  • อรรถบำบัด
  • นันทนาการบำบัด
  • การปรับปรุงวิธีรับประทานอาหาร
  • การรักษาด้วยยา
  • การผ่าตัด
  • การใช้เครื่องมือและอุปกรณ์เสริมร่วมกับการรักษา

ขอบคุณข้อมูลจาก
โรงพยาบาลพญาไท, ศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู สภากาชาดไทย

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

MRIสมองเด็กชี้ชัดอันตรายเมื่อ ลูกติดโทรศัพท์ ก่อน 2ขวบ

กุมารแพทย์ห่วง กัญชา ! กระทบสมองเด็กและวัยรุ่น

หมอเตือน! เด็กติดโรคโควิด ทำลายสมอง เสี่ยงเสียชีวิต

แอสเพอร์เกอร์ ซินโดรม

แอสเพอร์เกอร์ ซินโดรม กับทนายสาวในซีรี่เกาหลี

Alternative Textaccount_circle
event
แอสเพอร์เกอร์ ซินโดรม
แอสเพอร์เกอร์ ซินโดรม

แอสเพอร์เกอร์ ซินโดรม กับทนายสาวในซีรี่เกาหลี

ในช่วงนี้มีซีรีส์เกาหลีเรื่อง Extraordinary Attorney Woo กำลังมาแรงค่ะคุณพ่อคุณแม่ หากได้ดู คุณพ่อคุณแม่อาจจะชื่นชอบในบุคลิกของนางเอกในเรื่องซึ่งเป็นทนายสาว เพราะสิ่งที่น่าสนใจก็คือ เธอเป็นทนายสาวที่มีอาการ แอสเพอร์เกอร์ ซินโดรม ซึ่งเป็นโรคในกลุ่ม ‘Autism Spectrum Disorder’  แต่เธอก็มีไอคิวที่สูงมากด้วย ซีรีย์เรื่องนี้เผยให้เราได้เห็นอีกหนึ่งแง่มุมของความเป็นออทิสติกที่ “แตกต่าง” จากคนอื่น แต่ไม่ใช่ “ความผิดปกติ” สิ่งสำคัญของการดูแลคนกลุ่มนี้ คือความเข้าใจ เหมือนอย่างที่พ่อของอูยองอยู่ อุทิศตัวเองเลี้ยงดูลูกสาวของเขาให้เติบโตมาอย่างดี

คุณพ่อคุณแม่อาจจะสงสัยว่าผู้ที่มีภาวะแอสเพอร์เกอร์ ซินโดรมจะประกอบอาชีพเป็นถึงทนายได้อย่างไร ต้องดูแลอย่างไรหากลูก หรือคนใกล้ชิดประสบภาวะนี้ ลองมาหาคำตอบจากบทความนี้กันค่ะ

เรื่องราวในซีรี่

อูยองอู เป็นทนายความหญิง วัย 27 ปี ที่มีภาวะแอสเพอร์เกอร์ ซึ่งเป็นโรคในกลุ่มสเปกตรัมเดียวกับออทิสติก แต่เธอเป็นอัจฉริยะที่มีไอคิวสูงถึง 164 มีความทรงจำที่ดีเลิศ และกระบวนการความคิดที่เยี่ยมกว่าคนปกติ เธอเรียนจบเป็นที่ 1 ในชั้นเรียน ทั้งสถาบันนิติศาสตร์ชื่อดัง และสาขาวิชากฎหมายมหาวิทยาลัยแห่งชาติของโซล อย่างไรก็ตาม เธอก็พบว่าตัวเองกำลังมีปัญหาอย่างหนักเกี่ยวกับการเข้าสังคม

แอสเพอร์เกอร์ ซินโดรม
แอสเพอร์เกอร์ ซินโดรม กับทนายสาวในซีรี่เกาหลี

ขอบคุณภาพจาก asianwiki.com

แอสเพอร์เกอร์ ซินโดรม คืออะไร

นพ.ทวีศักดิ์ สิริรัตน์เรขา จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น ได้กล่าวไว้ในบทความเรื่อง เมื่อลูกเป็นแอสเพอร์เกอร์ซินโดรม ว่าแอสเพอร์เกอร์ซินโดรม เป็นความบกพร่องของพัฒนาการที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวรูปแบบหนึ่ง โดยบกพร่องในทักษะทางสังคม ร่วมกับมีพฤติกรรมหมกมุ่น ทำซ้ำ ๆ ไม่ค่อยยืดหยุ่น จนเกิดผลเสียต่อการดำรงชีวิต การเรียน การทำงาน และการเข้าสังคม ส่วนด้านการใช้ภาษา สามารถพูดคุยสื่อสารปกติ แต่ไม่เข้าใจลูกเล่น สำนวน มุกตลก มีระดับสติปัญญาปกติ ความจำดี แต่มีปัญหาในการประยุกต์ใช้

เดิมจัดเป็นกลุ่มอาการที่คล้ายกับออทิสติก อยู่ในกลุ่มการวินิจฉัยที่เรียกว่า Pervasive Developmental Disorders (PDDs) เหมือนกัน แต่ไม่เหมือนกันเสียทีเดียว คือพัฒนาการด้านภาษาจะดีกว่าออทิสติก และมีระดับสติปัญญาที่ปกติหรือสูงกว่าปกติ หลังปรับเกณฑ์การวินิจฉัยออทิสติกใหม่ ไม่มีการแบ่งแยกกลุ่มย่อย จึงเรียกรวมกันอยู่ในชื่อ ออทิสติก (Autism Spectrum Disorder) เหมือนกัน แต่มีบางคนที่ไม่เข้าเกณฑ์การวินิจฉัยออทิสติกในปัจจุบัน ก็อาจจัดอยู่ในอีกกลุ่มการวินิจฉัยที่เรียกว่า Social (Pragmatic) Communication Disorder

สาเหตุของการเกิดอาการแอสเพอร์เกอร์

ในปัจจุบันไม่ทราบว่า อะไรคือสาเหตุที่ชัดเจน ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่ามีหลายปัจจัยร่วมกัน ทั้ง

  • การทำงานที่ผิดปกติทางสมอง
  • พันธุกรรม
  • สิ่งแวดล้อม

แต่ยังไม่สามารถสรุปได้แน่ชัด และในปัจจุบันยังไม่มียาใดที่ใช้รักษาอาการเหล่านี้ให้หายเป็นปกติ

แต่พบว่าเด็กเหล่านี้ส่วนใหญ่ เมื่อได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้องและให้ความรู้ความเข้าใจ และคำแนะนำแก่พ่อแม่ รวมทั้งทางโรงเรียน ในการปรับตัวและการปรับพฤติกรรมของเด็ก ก็ช่วยให้เด็กเหล่านี้อยู่ร่วมในสังคมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข และประสบความสำเร็จได้ดี

พฤติกรรมที่สังเกตได้ของ แอสเพอร์เกอร์ ซินโดรม

พฤติกรรมและลักษณะอาการของเด็กที่เป็นแอสเพอร์เกอร์สามารถแบ่งออกเป็น 3 ด้าน คือ

1. ด้านภาษา 

การพูดและทักษะการใช้ภาษาอยู่ในเกณฑ์ปกติ เด็กอาจพูดได้ถูกหลักไวยากรณ์ แต่ไม่สามารถเข้าใจเนื้อหาที่ลึกซึ้งหรือความหมายโดยนัยที่แฝงอยู่ เช่น มุกตลก คำเปรียบเปรย และคำประชดประชันต่างๆ เป็นต้น

2. ด้านสังคม 

เมื่อต้องมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นๆ อาจมีพฤติกรรมการแสดงออกที่ดูแปลกกว่าเด็กวัยเดียวกัน เช่น

  • ไม่ค่อยมองหน้าหรือสบตาเวลาพูดคุย
  • แยกตัวอยู่คนเดียว
  • ไม่ค่อยสนใจบุคคลรอบข้าง
  • เล่นกับเด็กคนอื่นไม่ค่อยเป็น
  • ไม่รู้จักการทักทาย
  • พอเจอปุ๊บอยากถามอะไร อยากรู้อะไรก็จะพูดโพล่งออกมา ไม่มีการเกริ่นนำ ถามเรื่องที่สนใจโดยไม่เสียเวลา และไม่ค่อยรู้จักกาลเทศะ
  • เรื่องที่พูดคุยมักเป็นเรื่องของตนเองมากกว่าเรื่องอื่นๆ
  • ไม่แสดงความใส่ใจหรือสนใจเรื่องราวของคนอื่น
  • ขาดความเข้าใจหรือเห็นใจผู้อื่น
  • มักชอบพูดซ้ำๆ เรื่องเดิมๆ ที่ตนเองสนใจ

3. ด้านพฤติกรรม 

มีความสนใจเฉพาะเรื่องและชอบทำอะไรซ้ำๆ เช่น

  • ถ้าสนใจอะไรก็สนใจมากจนถึงขั้นหมกมุ่น โดยเฉพาะกับเรื่องที่ค่อนข้างมีความซับซ้อน และอาจเป็นเรื่องที่คนอื่นไม่สนใจ เช่น แผนที่โลก วงจรไฟฟ้า ยี่ห้อรถยนต์ ดนตรีคลาสสิค ไดโนเสาร์ ระบบสุริยจักรวาล เป็นต้น โดยความสนใจเหล่านี้อาจเปลี่ยนแปลงได้ตามกาลเวลา
  • บางรายไวต่อสิ่งเร้าที่มาจากภายนอกค่อนข้างมากกว่าคนทั่วไป
  • โดยทั่วไปแล้ว เด็กเหล่านี้มักมีสติปัญญาดี
  • มีความสามารถในการช่วยเหลือตนเองในเรื่องต่างๆ ที่ต้องทำในชีวิตประจำวัน
  • บางคนอาจมีปัญหาเรื่องที่ไม่สามารถมีสมาธิกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้นานนัก หรือมีปัญหาในการจัดลำดับเรื่องต่างๆ
  • มีทักษะในบางเรื่องที่อาจจะดูดีกว่าเด็กอื่น

แต่โดยรวมแล้วเด็กเหล่านี้จะมีระดับสติปัญญาที่เป็นปกติ หรืออาจจะดีกว่าปกติด้วยซ้ำ

แอสเพอร์เกอร์ ซินโดรม
ทนายสาวในซีรี่เกาหลี ที่มีภาวะแอสเพอร์เกอร์ ซินโดรม

ขอบคุณภาพจาก The Korea Times

จะช่วยเด็กแอสเพอร์เกอร์ได้อย่างไร

ทุกคนในครอบครัวถือว่ามีบทบาทสำคัญที่ต้องช่วยกันดูแล ต้องทำความเข้าใจกับปัญหาและศึกษาวิธีแก้ไขปัญหา เรียนรู้ทักษะต่างๆ จากผู้เชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ซึ่งมีวิธีการต่างๆ ดังนี้

1. เล่นกับเด็กโดยเอาความสนใจของเด็กเป็นที่ตั้ง แล้วค่อยๆ ขยายความสนใจเหล่านั้นไปในแง่มุมอื่นๆ โดยมีเป้าหมายที่จะแบ่งปันความสนใจ และอารมณ์ซึ่งกันและกัน

2. สนทนากับเด็กด้วยคำง่ายๆ ชัดเจน และถ้าเป็นตัวอย่างก็ควรเป็นสิ่งของในสถานการณ์จริงหรือรูปภาพ จะทำให้เด็กเข้าใจง่ายและเกิดการเรียนรู้ได้เร็ว

3. สร้างบรรยากาศในการทำกิจกรรมให้รู้สึกสบายๆ ไม่เครียด มีความอบอุ่นและเป็นกันเอง

4. ในการเล่นหรือการเรียนของเด็ก ควรจัดเป็นกลุ่มเล็ก ๆ เพื่อให้เด็กได้คุ้นเคยกับกฎระเบียบของกลุ่มเล็กก่อน ก่อนให้เด็กเข้าในกลุ่มใหญ่

5. การใช้คำสั่งกับเด็กต้องมีความสม่ำเสมอ คงเส้นคงวาไม่เปลี่ยนแปลงบ่อย

6. สนับสนุนให้เด็กเข้าเรียนร่วม ทำให้สามารถปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ในชีวิตประจำวัน และใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคนอื่นได้

7. สนับสนุนกิจกรรมหลากหลายเพื่อให้เด็กได้มีประสบการณ์ใหม่ๆ อย่างสม่ำเสมอ ทั้งนี้เพื่อลดความสนใจและความเคยชินที่ซ้ำซาก

หากเด็กได้รับการดูแลช่วยเหลืออย่างเหมาะสม ทั้งในการพัฒนาด้านสังคมและพฤติกรรม เด็กจะใช้ชีวิตอยู่ในสังคมและเติบโตได้อย่างดีและเป้นปกติ

ขอบคุณข้อมูลจาก

โรงพยาบาลมนารมย์, ศูนย์วิชาการแฮปปี้โฮม, The Standard

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

แม่เตือน ลูกไม่สบตา เรียกไม่หัน อาการออทิสติกเทียม เหตุเพราะมือถือ!

แม่แชร์ วิธีสังเกต อาการเด็กออทิสติก รู้ก่อนรักษาได้เร็ว

14 ข้อสำคัญ เพื่อรับมือกับลูกน้อยที่เป็น “เด็กออทิสติก”

โอมิครอนสายพันธุ์ใหม่ BA.4/BA.5

โอมิครอนสายพันธุ์ใหม่ BA.4/BA.5 ต้องระวังตัวอย่างไร?

Alternative Textaccount_circle
event
โอมิครอนสายพันธุ์ใหม่ BA.4/BA.5
โอมิครอนสายพันธุ์ใหม่ BA.4/BA.5

โอมิครอนสายพันธุ์ใหม่ ติดเชื้อง่าย ไวกว่าเดิม ยังไม่มีรายงานความรุนแรง ทำให้เกิดคำถามมากมายกับการระมัดระวังตัว ต้องทำตัวอย่างไร ระวังแค่ไหน มาฟังหมอตอบกัน

โอมิครอนสายพันธุ์ใหม่ BA.4/BA.5 ต้องระวังตัวอย่างไร?

องค์กรอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศให้สายพันธุ์ BA.4/BA.5 เป็นสายพันธุ์ย่อยที่ต้องเฝ้าระวัง (VOC) และคาดว่าจะกลายเป็นสายพันธุ์หลักของการแพร่ระบาดทั่วโลก

โอมิครอน BA.4/BA.5 ติดเชื้อง่าย ไวกว่าเดิม!!

สาเหตุที่ต้องเฝ้าระวังของสายพันธุ์ BA.4/BA.5 คือ สายพันธุ์นี้มีการกลายพันธุ์ในตำแหน่ง L452R ซึ่งเป็นตำแหน่งเดียวกันกับสายพันธุ์เดลตา (Delta) เชื้อไวรัสมีความสามารถในการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนในเซลล์ปอดได้ดี ซึ่งอาจก่อให้เกิดอาการปอดอักเสบในผู้ติดเชื้อ แตกต่างจากสายพันธุ์ BA.1 / BA.2 ที่เชื้อมีความสามารถในการแบ่งตัวได้ดีในเซลล์ของเยื่อบุระบบทางเดินหายใจส่วนบน

โอมิครอนสายพันธุ์ใหม่ BA.4/BA.5
โอมิครอนสายพันธุ์ใหม่ BA.4/BA.5

สายพันธุ์ย่อย BA.4/BA.5 ยังมีความสามารถในการหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกัน ดื้อต่อแอนติบอดี้ของมนุษย์ นั่นจึงเป็นสาเหตุให้เกิดการติดเชื้อซ้ำ (Re-infection) แม้ว่าจะเคยติดเชื้อหรือฉีดวัคซีนมาแล้วก็ตาม สำหรับประเทศไทยมีระบบเฝ้าระวังสายพันธุ์อย่างต่อเนื่อง ขณะนี้ยังพบ BA.4 และ BA.5 ในกลุ่มผู้เดินทางจากต่างประเทศในสัดส่วนสูงกว่าผู้ติดเชื้อในประเทศ และจะมีการศึกษาในผู้ป่วยอาการหนักว่ามีความสัมพันธ์กับ 2 สายพันธุ์นี้หรือไม่

โอมิครอน BA.4 / BA.5 ทำไมต้องเฝ้าระวัง!

  • แบ่งตัวเพิ่มจำนวนได้ดีในเซลล์ปอด อาจจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดปอดอักเสบ
  • แพร่ระบาดได้ง่าย และรวดเร็วยิ่งขึ้นกว่าเดิม
  • หลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันเก่ง เคยติดเชื้อหรือฉีดวัคซีนแล้วก็ติดเชื้อซ้ำได้ (วัคซีนได้ผลน้อยลง)

จุดเด่นของโควิดสายพันธุ์โอมิครอน คือ การแพร่เชื้อได้เร็ว (High transmissibility) กว่าสายพันธุ์อื่น 5 เท่า โดยอาการของโควิดสายพันธุ์ BA.4/BA.5 ไม่แตกต่างอย่างชัดเจนจากสายพันธุ์โอมิครอน

อาการของโอมิครอน BA.4/BA.5 

  • อาการที่เด่นชัดของสายพันธุ์นี้ จะมีอาการเจ็บคอมาก คอแห้งเหมือนมีเข็มทิ่ม และยังมีอาการอื่น ๆ ร่วม ได้แก่ อ่อนเพลีย เหนื่อย, ไอแห้ง, เจ็บคอ, ไข้, มีน้ำมูก, ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ คลื่นไส้ ปวดเมื่อยตามร่างกาย และถ่ายเหลว
  • อาการทางเดินหายใจ ได้แก่ หายใจถี่ และหายใจลำบาก
  • อาการทางเดินอาหาร ได้แก่ อาการท้องเสีย
ข้อมูลอ้างอิงจาก www.sikarin.com
อาการ โอมิครอนสายพันธุ์ใหม่ CR:ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา
อาการ โอมิครอนสายพันธุ์ใหม่ CR:ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา

คุณหมอแนะ ดูแลตัวเองอย่างไรจาก โอมิครอนสายพันธุ์ใหม่ ในวันที่โควิดเป็นโรคประจำถิ่น!!

วัคซีน กับ โอมิครอนสายพันธุ์ใหม่

เมื่อโควิดยังคงไม่หายไป แต่ได้กลายเป็นโรคประจำถิ่นไปเสียแล้วนั้น ทำให้เรายังไม่สามารถวางใจกับเจ้าเชื้อไวรัสนี้ได้มากเท่าไหร่นัก ดังนั้นวัคซีนยังคงเป็นสิ่งจำเป็นในการช่วยป้องกัน และลดความรุนแรงเมื่อติดเชื้อได้ แต่ประสิทธิภาพของวัคซีนรุ่นเก่ายังคงประสิทธิภาพกับสายพันธุ์ใหม่นี้หรือไม่ อย่างไร

วัคซีนรุ่นเก่าที่เคยได้รับกันมาแล้ว มีความสามารถในการป้องกันการติดเชื้อรุ่นใหม่นี้ ได้เพียง 60% แต่ยังมีประสิทธิภาพมากพอในการลดความรุนแรงของโรคได้ การเข้ารับวัคซีนเข็มกระตุ้นเพื่อให้มีภูมิคุ้มกันสูงมากพอยังเป็นเรื่องที่สำคัญ และมีความจำเป็น เพราะจะทำให้ช่วยลดความเสี่ยงการติดเชื้อ และป้องกันอาการรุนแรงได้ แต่หลาย ๆ คนได้เกิดคำถามที่ว่า ควรฉีดวัคซีนกี่เข็มถึงกันตายได้กันนะ??

จากรายงานการศึกษา Efficacy of Fourth Dose of Covid-19 mRNA Vaccine against Omicron ได้ทำการทดลองให้บุคลากรทางการแพทย์สองกลุ่ม ระหว่างกลุ่มที่ได้รับวัคซีน mRNA 4 เข็ม กับ กลุ่มที่ได้รับวัคซีน mRNA 3 เข็ม มาสังเกตการติดเชื้อโอมิครอน พบว่า

  • การติดเชื้อโอมิครอนของทั้งสองกลุ่มไม่ต่างกัน
  • กลุ่มที่ฉีดวัคซีน mRNA เข็ม 4 กระตุ้นภูมิขึ้นเพียงเล็กน้อย

จากรายงานดังกล่าว พอจะสรุปได้ว่า ถ้าเราได้รับวัคซีน mRNA 3 เข็มขึ้นไป สามารถช่วยป้องกัน และลดความเสี่ยงไม่แตกต่างจาก 4 เข็ม ขอเน้นย้ำว่ารายงานผลดังกล่าวเป็นการนำกลุ่มทดลองที่ได้รับวัคซีน mRNA เท่านั้น แต่ในประเทศไทยมีวัคซีนทั้งแบบเชื้อตาย เช่น ซิโนแวค ซิโนฟาร์ม เป็นต้น และวัคซีนแบบ mRNA เช่น ไฟเซอร์ โมเดอร์น่า เป็นต้น ดังนั้นจึงต้องคำนึงถึงวัคซีนที่ตนเองได้รับมาด้วยก่อนตัดสินใจ

โอมิครอนสายพันธุ์ใหม่ ระบาดไว ติดง่าย ให้ระวังเด็กติดเชื้อเมื่อไปโรงเรียน
โอมิครอนสายพันธุ์ใหม่ ระบาดไว ติดง่าย ให้ระวังเด็กติดเชื้อเมื่อไปโรงเรียน

ถ้าติดแล้วรักษาอย่างไร?

เนื่องจากปัจจุบัน โควิด19 ได้กลายเป็นโรคประจำถิ่นแล้ว ดังนั้นการดูแลรักษาจึงมีความเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเล็กน้อย เน้นการรักษาให้ยาตามอาการ และขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ โดยคุณหมอได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับยาไว้ ดังนี้

ยาที่จะได้รับในการรักษาเมื่อติดเชื้อ จะประกอบไปด้วย

  • ยาเพื่อรักษาตามอาการ ซึ่งยากลุ่มนี้สามารถมีติดบ้านไว้ได้ตามปกติ เพื่อบรรเทาอาการของโรคที่อาจเกิดขึ้น
  • ยาประเภทที่สอง คือ ยาเพื่อรักษาเพื่อลดการเกิดปอดอักเสบ หรือลดการเสียชีวิต เป็นการรักษาเฉพาะเพื่อต่อสู้กับไวรัส ซึ่งจะเป็นยาที่ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของแพทย์

ยาที่ควรมีติดบ้านในช่วงโควิดระบาด!!

ในเบื้องต้นในช่วงการระบาดของสถานการณ์โควิด-19 ยาที่ควรจะมี หรือสามารถซื้อไว้ติดบ้านได้ จะเป็นยาในกลุ่มแรก คือ ยารักษาตามอาการ หรือยาเพื่อบรรเทาอาการของโรค ได้แก่

  1. ยาประจำตัว สำหรับผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว ควรวางแผนเรื่องของยาให้มียาทานต่อเนื่อง 1-2 เดือน เพื่อลดการเดินทางไปโรงพยาบาล และลดการกำเริบของโรค
  2. ยาพาราเซตามอล โดยให้กินยาพาราเซตามอลทันทีเมื่อมีไข้ หรือมีไข้สูงเกิน 37 องศาเซลเซียส เนื่องจากอาการโควิด-19 การมีไข้สูงอาจทำให้เกิดอันตรายได้ เช่น หัวใจเต้นเร็ว ร่างกายอ่อนเพลีย หรือร่างกายขาดน้ำ เป็นต้น ไม่แนะนำให้ใช้ยาแอสไพรินในการลดไข้  จากข้อมูลเบื้องต้นคุณหมอมักไม่แนะนำให้ใช้ยาแอสไพรินในการรักษาอาการไข้หวัดใหญ่ หรือผู้ที่มีไข้สูง โดยเฉพาะในเด็ก เพราะอาจจะเป็นการเพิ่มสาเหตุของอาการตับอักเสบมากขึ้น
  3. ยาฟ้าทะลายโจร เป็นยาช่วยบรรเทาอาการที่ไม่รุนแรง แต่ไม่ได้ช่วยป้องกันการป่วยจากโควิด-19 ใช้ในผู้ที่มีความเสี่ยงต่ำต่อการเกิดโรครุนแรง หรือผู้ป่วยกลุ่มสีเขียว ใช้เมื่อเริ่มมีอาการป่วยเล็กน้อย เช่น คัดจมูก มีน้ำมูก ไม่ควรกินเกินวันละ 180 มิลลิกรัม แบ่งกินวันละ 3-4 ครั้ง ข้อควรระวัง : ไม่ควรกินเกิน 5 วัน หลังกินยาฟ้าทะลายโจรไป 3 วันหากอาการไม่ดีขึ้น ควรพบแพทย์ ไม่ควรกินยาฟ้าทะลายโจร ร่วมกับยาบางชนิด เช่น ยาต้านการแข็งตัวของเลือด หรือยาลดความอ้วน ควรเลือกซื้อยาฟ้าทะลายโจรที่ผ่านการรับรองจาก อย.เท่านั้น

    ตรวจ ATK เมื่อเริ่มมีอาการแม้เล็กน้อย
    ตรวจ ATK เมื่อเริ่มมีอาการแม้เล็กน้อย
  4. ยาแก้ไอแบบเม็ด Dextromethorphan ถ้ามีอาการไอเยอะ สามารถกินได้ แต่ควรกินตามขนาดที่แพทย์ หรือเภสัชกรแนะนำ และกินเฉพาะผู้ที่ยังไม่มีอาการปอดอักเสบ เนื่องจากสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการปอดอักเสบแล้ว หลายคนจะมีอาการไอมากกว่าปกติ รวมถึงมีเสมหะจำนวนมาก ซึ่งผลิตจากถุงลมส่วนล่าง ที่พยายามจะขับออกมาเวลามีเชื้อ ดังนั้นหากมีอาการปอดอักเสบแล้ว กินยาแก้ไอลักษณะนี้ เหมือนเป็นการไปกดอาการไอมากจนเกินไป ทำให้ร่างกายจะขับเสมหะออกมาตามธรรมชาติ ซึ่งอาจทำให้เกิดอันตรายกับร่างกายได้ **ยานี้เป็นยาเพื่อบรรเทาอาการไอเท่านั้น ไม่ได้มีผลเกี่ยวกับการที่เชื้อจะลงปอดหรือไม่
  5. ยาลดน้ำมูก Chlorpheniramine หรือ CPM เป็นยาเพื่อช่วยลดเสมหะ ช่วยให้หายใจสะดวกขึ้น สามารถบรรเทาอาการได้ ในคนที่มีอาการเยอะ ข้อควรระวัง : หากเป็นผู้ป่วยโรคไต หรือ โรคตับบางอย่างที่มีข้อห้ามในการใช้ก็ต้องระมัดระวัง ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น : หากใช้มากเกินไปอาจทำให้น้ำมูกแห้ง คอแห้ง ปากแห้ง หรือมีอาการง่วงซึมได้ ควรใช้เท่าที่จำเป็น หรือใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์
  6. ยาแก้แพ้ Fexofenadine เป็นยาที่มีฤทธิ์ช่วยลดน้ำมูก สามารถมีติดบ้านได้ แต่ให้รับประทานเท่าที่จำเป็น หรือใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์
  7. ผงเกลือแร่ ORS (Oral Rehydration Salts) หรือที่เรียกว่า ผงน้ำตาลเกลือแร่ (Electrolyte Powder Packet) คือ สารที่ช่วยทดแทนการสูญเสียเกลือแร่ มีคุณสมบัติในการช่วยเพิ่มพลังงาน เกลือแร่ และน้ำในร่างกาย รวมทั้งป้องกันความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นจากการสูญเสียน้ำ และเกลือแร่จากอาการท้องเสีย หรือ อาเจียน ให้ชงเกลือแร่ ORS ผสมน้ำต้มสุก น้ำสะอาด จิบเรื่อยๆ ทั้งวัน (ในผู้ป่วยที่เป็นโรคไตและโรคหัวใจควรปรึกษาแพทย์ก่อน)

เป็นไปได้ว่า ที่ BA.4 และ BA.5 จะมาแทนที่สายพันธุ์อื่นได้นั้น เนื่องจากว่ามันมีความสามารถในการที่จะหลบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ที่เกิดจากการที่เคยติดเชื้อหรือจากการฉีดวัคซีน จนทำให้เกิดการติดเชื้อซ้ำได้ อย่างไรก็ตาม วัคซีนก็ยังเป็นเกราะป้องกันที่ดี ต่อการป่วยรุนแรงและเสียชีวิตจากเชื้อพวกนี้ การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นบูสเตอร์ ก็ยังมีแนวโน้มที่จะสามารถช่วยเสริมระดับภูมิคุ้มกันในร่างกาย ในการรับมือกับสายพันธุ์ย่อยใหม่นี้

ใส่หน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือ รักษาระยะห่าง ยังคงจำเป็นแม้โควิดจะกลายเป็นโรคประจำถิ่น
ใส่หน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือ รักษาระยะห่าง ยังคงจำเป็นแม้โควิดจะกลายเป็นโรคประจำถิ่น

สรุป เชื้อโควิดโอมิครอน สายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 อยู่ในกลุ่มของเชื้อที่ต้องจับตามอง ว่าจะมาแทนที่สายพันธุ์ย่อยเดิม อย่าง BA.2 เมื่อไหร่ ซึ่งการคาดการณ์ที่มีอยู่ขนาดนี้ ยังไม่มีตัวชี้บ่งว่า จะทำให้เกิดการแพร่ระบาดที่รุนแรง และมีผู้เสียชีวิตมาก เหมือนช่วงปีก่อน ๆ การระมัดระวัง ปฎิบัติตัวป้องกันอย่างที่เคยทำมายังคงเป็นสิ่งจำเป็น ใส่หน้ากากอนามัย รักษาระยะห่าง หมั่นล้างมือ เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้เราห่างไกลจากการเจ็บป่วยจากเชื้อไวรัสโควิด 19 ได้เป็นอย่างดี

ข้อมูลอ้างอิงจาก หมอเฉพาะทางบาทเดียว /www.bangkokbiznews.com

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

วัคซีนโควิด-19 ในเด็ก : ทำความเข้าใจ ปลอดภัย หายห่วง

เมื่อคุณและลูก ติดโควิด ทำยังไง ? เปิดขั้นตอนการรักษาที่นี่

ผื่นกุหลาบ โรคผิวหนังพบบ่อยในหน้าฝน พบได้ทั้งแม่ลูก

หมอธีระเผย หลอดเลือดสมองอักเสบ สาเหตุ จากLong Covid

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

ผื่นกุหลาบ โรคผิวหนังพบบ่อยในหน้าฝน พบได้ทั้งแม่ลูก

Alternative Textaccount_circle
event

ผื่นกุหลาบ โรคผิวหนังพบบ่อยในหน้าฝน พบได้ทั้งแม่ลูก

ช่วงหน้าฝนแบบนี้ คุณแม่หลายท่านรวมทั้งลูกน้อยเกิดผดผื่นขึ้นตามลำตัว และมักมีอาการคันร่วมด้วย ซึ่งผื่นนั้นก็มีหลายแบบ เกิดได้จากหลายสาเหตุ วันนี้ทีมกองบรรณาธิการ ABK ขอแนะนำให้คุณแม่รู้จัก โรคผิวหนังพบบ่อยในหน้าฝน ชนิดหนึ่งคือ ผื่นกุหลาบ นั่นเองค่ะ จะมีอาการอย่างไร ดูแลรักษาอย่างไร หาคำตอบได้จากบทความนี้ค่ะ

ผื่นกุหลาบ โรคผิวหนังพบบ่อยในหน้าฝน

ผื่นกุหลาบ หรือผื่นขุยกุหลาบ เป็นอาการทางผิวหนังชนิดหนึ่งที่พบได้ทั่วไป อาจมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อไวรัส  ส่งผลให้ผู้ป่วยมีผื่นขึ้นในลักษณะเป็นวงกว้างสีชมพู หรือเป็นจุดรูปไข่ขึ้นตามหน้าอก หน้าท้อง และแผ่นหลัง โดยมักมีอาการคันร่วมด้วย ส่วนใหญ่จะเกิดในช่วงอายุ 10-35 ปี

สาเหตุของผื่นกุหลาบ

สาเหตุของผื่นกุหลาบยังไม่ทราบเป็นที่แน่ชัด สันนิษฐานว่าอาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัสตระกูลเฮอร์ปีส์ (Herpes Virus) แต่ไม่ใช่ไวรัสสายพันธ์ุที่เป็นสาเหตุของโรคเริม และโรคอีสุกอีใส และผื่นกุหลาบไม่สามารถติดต่อจากคนสู่คนผ่านการสัมผัสผิวหนังที่เป็นโรคได้

การใช้ยาบางประเภทก็อาจกระตุ้นให้เกิดผื่นขุยกุหลาบได้ เช่น ยาลดความดันโลหิตกลุ่มยาต้านเอนไซม์เอซีอี ยาฆ่าเชื้อเมโทรนิดาโซล ยาไอโซเตรติโนอินที่ใช้รักษาสิว ยาโอเมพราโซลสำหรับรักษาโรคกระเพาะอาหารอักเสบ เป็นต้น

ผื่นกุหลาบ โรคผิวหนังพบบ่อยในหน้าฝน พบได้ทั้งแม่ลูก
ผื่นกุหลาบ โรคผิวหนังพบบ่อยในหน้าฝน พบได้ทั้งแม่ลูก

อาการของผื่นกุหลาบ

โดยทั่วไปแล้ว ผู้ป่วยอาจมีอาการอื่น ๆ มาก่อน ได้แก่ มีไข้ ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย เจ็บคอ และปวดตามข้อ จากนั้นจะมีผื่นขึ้น โดยแบ่งอาการออกเป็น 2 ระยะ ดังนี้

  • ผื่นปฐมภูมิ ในช่วงเริ่มแรก ผู้ป่วยจะมีผื่นสีชมพู หรือสีแดง อาจมีรูปร่างกลม หรือเป็นวงรี และมีขุยล้อมรอบปรากฏเป็นปื้นใหญ่โดด ๆ ขนาด 2-10 เซนติเมตร บริเวณหลัง หน้าอก ใบหน้า และคอ บางรายอาจมีผื่นขึ้นบนใบหน้า หนังศีรษะ หรือบริเวณใกล้อวัยวะสืบพันธุ์ โดยอาจเรียกผื่นปฐมภูมินี้ว่า ผื่นแจ้งโรค หรือผื่นแจ้งข่าว (Herald Patch)
  • ผื่นแพร่กระจาย หลังจากเกิดผื่นปฐมภูมิ ภายในไม่กี่วัน หรือไม่กี่สัปดาห์ผู้ป่วยจะเกิดผื่นขุยเล็ก ๆ สีชมพูขนาด 0.5-1.5 เซนติเมตร แพร่กระจายบริเวณหน้าอก หน้าท้อง หลัง คอ ต้นขา และต้นแขน ซึ่งอาจมีอาการคันร่วมด้วย โดยผื่นที่เกิดขึ้นนั้น มักมีลักษณะตามแนวรอยพับของผิวหนัง คล้ายต้นคริสต์มาส จึงเรียกว่า Christmas Tree Distribution แต่มักไม่พบผื่นนี้ที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า และใบหน้า

ทั้งนี้ อาการผื่นขุยทั้ง 2 ระยะจะปรากฏอยู่นาน 2-12 สัปดาห์ แต่บางรายอาจมีอาการคงอยู่นานถึง 5 เดือนและหายไปเอง

โรคผิวหนังพบบ่อยในหน้าฝน
ผื่นกุหลาบ โรคผิวหนังพบบ่อยในหน้าฝน

การรักษาผื่นกุหลาบ

โดยปกติแล้ว อาการผื่นกุหลาบมักจะหายไปได้เองภายใน 6 – 8 สัปดาห์ การรักษาจึงเป็นแบบการประคับประคองตามอาการเป็นหลัก แต่หากอาการคงอยู่นานกว่า 3 เดือน ก็ควรไปพบแพทย์

วิธีบรรเทาอาการผื่นกุหลาบด้วยตนเองในเบื้องต้น มีดังนี้

  • อาบน้ำด้วยน้ำเย็น และหลีกเลี่ยงการอาบน้ำร้อน
  • เลือกใช้สบู่ที่อ่อนโยนต่อผิว และไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม
  • หลีกเลี่ยงการอยู่ในสภาพอากาศร้อน เพราะสภาพอากาศที่อบอ้าว และการมีเหงื่อออกมาก อาจทำให้อาการรุนแรงขึ้น

นอกจากนี้ อาจใช้ยาตามร้านขายยาทั่วไปเพื่อช่วยบรรเทาอาการคัน เช่น

  • ครีมแก้คัน ทาครีมที่มีส่วนผสมของยาไฮโดรคอร์ติโซน 1 เปอร์เซ็นต์ บริเวณที่เป็นผื่น
  • ยาต้านฮิสตามีนหรือยาแก้แพ้ เช่น ยาคลอเฟนิรามีน ยาไดเฟนไฮดรามีน เป็นต้น
  • ยารักษาการติดเชื้อรา เช่น อะไซโคลเวียร์ เป็นต้น
  • โลชั่นบำรุงผิว เพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวบริเวณที่เกิดผื่น

ทั้งนี้ หากใช้ยาและดูแลตนเองตามวิธีข้างต้นแล้วไม่ได้ผล มีผื่นแพร่กระจายจำนวนมาก หรือผู้ป่วยมีอาการคันรุนแรงจนกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน แพทย์อาจแนะนำให้รับประทานยาปฏิชีวนะกลุ่มแมคโครไลด์ เพื่อช่วยให้ผื่นหายเร็วขึ้น เช่น ยาอิริโทรมัยซิน ยารอกซิโทรมัยซิน เป็นต้น และบางรายอาจต้องรับการรักษาด้วยการฉายแสงอัลตราไวโอเลตบี (UVB Light Therapy) เพื่อช่วยให้อาการของโรคทุเลาลง

ขอบคุณข้อมูลจาก

โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย, pobpad

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

ผื่นคันระหว่างตั้งครรภ์ รอยแตกลายที่ท้อง ป้องกันได้

ลูกแพ้ยุง โดนยุงกัดทีไร เป็นผื่นแพ้ยุง ทำยังไงดี?

วิธีสังเกต ลูกเป็น “ผื่นแพ้นมวัว” หรือไม่? โดยคุณหมอนิอร

เด็กทารก

เด็กทารก อายุ 1 เดือน เติบโตแค่ไหน ควรดูแลอย่างไร!!

Alternative Textaccount_circle
event
เด็กทารก
เด็กทารก

เด็กทารก จากแรกคลอดถึงอายุ 1 เดือน มีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว มีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง ดูแลการรับประทาน การนอน การอาบน้ำ การขับถ่ายอย่างไร

เด็กทารก อายุ 1 เดือน เติบโตแค่ไหน ควรดูแลอย่างไร!!

วัยแรกเกิด คือ ระยะเวลาจากแรกเกิดจนถึง 1 เดือน เป็นช่วงเวลาแห่งการเรียนรู้ของคุณพ่อคุณแม่และลูกน้อย  จากนั้นเข้าสู่วัย เด็กทารก อายุ 1 – 12  เดือน จะเริ่มมีพัฒนาการใหม่ ๆ เกิดขึ้น ทั้งนี้คุณพ่อคุณแม่ควรส่งเสริมพัฒนาการทารกในด้านต่าง ๆ เพื่อให้ทารกเติบโตอย่างมีประสิทธภาพ ทีมกองบรรณาธิการ ABK ได้รวบรวมข้อมูลต่าง ๆ มาให้แล้วค่ะ

เด็กทารก 1 เดือน เติบโตแค่ไหน
เด็กทารก 1 เดือน เติบโตแค่ไหน

เด็กทารก อายุ 1 เดือน เติบโตแค่ไหน ควรดูแลอย่างไร!!

การเจริญเติบโตของทารกในเดือนแรกเป็นอย่างไร ?

เด็กทารกในช่วงเดือนแรกนั้น จะมีการเจริญเติบโตที่รวดเร็ว แต่ยังคงทำได้เพียงกิน นอน ร้องไห้ และขับถ่าย จึงต้องอาศัยการดูแลเอาใจใส่ของผู้ปกครอง โดยเด็กทารกวัย 1 เดือน มีการเจริญเติบโตในแต่ละด้าน ดังนี้

การเจริญเติบโตของร่างกาย

เด็กจะมีน้ำหนักตัวลดลงในช่วงสัปดาห์แรกหลังคลอด ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ โดยหลังจากนั้นน้ำหนักจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเอง ซึ่งในช่วงเดือนแรกหลังคลอด เด็กอาจตัวยาวขึ้นถึง 3.8 เซนติเมตร และอาจมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นถึง 900 กรัมจากแรกเกิด แต่การเจริญเติบโตของเด็กแต่ละคนอาจไม่เท่ากันเพราะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยด้วย

การใช้กล้ามเนื้อ

เมื่ออายุได้ 1 เดือน เด็กทารก จะสามารถยกหัวขึ้นเองได้บ้างแล้วในขณะนอนคว่ำ แต่ก็ยังคงต้องระวัง คอยประคองหัวของเด็กไว้ตอนอุ้มเด็กขึ้นมา เพราะคอยังไม่แข็งแรงมากนัก

การกิน

ปุ่มรับรสที่อยู่บนลิ้นของเด็กวัยนี้จะยังทำงานได้ไม่ค่อยดีนัก โดยลิ้นของเด็กจะรับรสหวานได้ดีที่สุด แต่ยังไม่สามารถแยกแยะรสเปรี้ยวหรือรสขมได้ ส่วนเรื่องอาหาร เด็กควรดื่มแค่นมแม่หรือนมผงสำหรับทารกแรกเกิดก็เพียงพอแล้ว

การนอน

เด็กทารก ในช่วงเดือนแรกนั้นควรนอนวันละประมาณ 15-16 ชั่วโมง แบ่งเป็นนอนกลางวันประมาณ 3 ครั้ง รวมแล้วประมาณ 7 ชั่วโมง และนอนตอนกลางคืนเป็นช่วง ๆ อีกประมาณ 8.5 ชั่วโมง แต่ทั้งนี้อาจจะแตกต่างกันไปในเด็กแต่ละคน

การมองเห็นและการจดจำ

เด็กทารกวัย 1 เดือนจะมองเห็นได้ชัดที่สุดในระยะ 20-30 เซนติเมตร และจะมองเห็นสีตัดกันอย่างสีขาวดำและสีที่ชัดเจนได้ดีกว่าสีทั่วไป โดยเด็กแรกเกิดอาจมีอาการตาเหล่ด้วย ซึ่งอาการจะหายไปเองหลังจากผ่านไป 3-4 เดือน นอกจากนี้ เด็กจะสามารถจดจำใบหน้า เสียง และกลิ่นที่คุ้นเคยได้ อย่างหน้าตาของแม่ เสียงของแม่ และกลิ่นของน้ำนมแม่ อีกทั้งเด็กอาจจำเสียงของแม่หรือคนในครอบครัวได้และอาจหันไปหาเสียงที่คุ้นเคยด้วย ดังนั้น ผู้ปกครองจึงควรเล่นกับเด็กบ่อย ๆ เพื่อให้เด็กเกิดการจดจำ

การสื่อสาร

เด็กทารกในวัยนี้ทำได้แต่ร้องไห้เพียงอย่างเดียว ยังไม่สามารถพูดเป็นภาษาเพื่อสื่อสารกับคนอื่นได้ ดังนั้นผู้ปกครองจึงควรสังเกตลักษณะและอาการต่าง ๆ เพราะอาจทำให้ทราบได้ว่าการร้องไห้แบบไหนสื่อถึงอะไรบ้าง เมื่อรู้ถึงความต้องการของเด็กแล้ว อาจตอบสนองความต้องการของเด็กได้อย่างถูกวิธี เช่น ให้เด็กกินนม หรืออุ้มเด็กเดินไปมาพร้อมร้องเพลงกล่อม เป็นต้น แต่หากเด็กร้องไห้นานหรือบ่อยผิดปกติ อาจเป็นสัญญาณของอาการโคลิคหรือโรคอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นกับเด็กได้ ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ควรไปปรึกษาแพทย์หรือนำเด็กไปตรวจหาสาเหตุ

เทคนิคต่าง ๆ ในการดูแลเด็กทารก

สำหรับเด็กทารกในวัยนี้มีกิจกรรมที่ทำอยู่ไม่กี่อย่างเท่านั้น หากเด็กทำกิจกรรมใดน้อยกว่าหรือมากกว่าปกติ นั่นอาจเป็นสัญญาณของความผิดปกติที่เกิดขึ้น

โดยเรื่องที่พ่อแม่ควรให้ความสำคัญเป็นพิเศษในการดูแลเด็กวัยนี้ ได้แก่

  • ดูแลเรื่องการกินนม หากเป็นนมมารดา เด็กจะดูดนมประมาณ 8 ครั้งต่อวัน แต่ละครั้งเป็นเวลาอย่างน้อยประมาณ 10-15 นาที หรือเมื่อสังเกตได้ว่าเด็กอิ่ม แต่หากเป็นนมผง เด็กอาจดื่มถึงครั้งละประมาณ 120 มิลลิลิตร หรือ 4 ออนซ์ ในทุก ๆ 3-4 ชั่วโมง
  • สังเกตการขับถ่าย เด็กทารกวัยนี้ควรต้องขับถ่ายและใช้ผ้าอ้อม 4-6 ผืนต่อวัน แต่เด็กอาจอุจจาระวันละครั้ง หรือไม่อุจจาระเลยเป็นเวลา 1-2 วันก็ได้หากลักษณะอุจจาระปกติดี ซึ่งอุจจาระของเด็กที่กินนมมารดาจะค่อนข้างเหลว แต่หากเด็กกินนมผง อุจจาระจะยังเหลวอยู่แต่ดูเป็นก้อนกว่าอุจจาระของเด็กที่ดื่มนมมารดา แต่ก็ไม่ควรมีลักษณะแข็งจนเกินไป
ดูแลเด็กทารก 1 เดือนอย่างไร
ดูแลเด็กทารก 1 เดือนอย่างไร

ปัญหาสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นกับเด็กทารก

นอกจากการเจริญเติบโตที่รวดเร็วของเด็กแล้ว คุณพ่อคุณแม่ต้องคำนึงถึงปัญหาด้านอื่นที่อาจเกิดขึ้นกับเด็กอายุ 1 เดือนด้วย เพราะเด็กทารกยังพูดไม่ได้ ฉะนั้นหากเกิดความผิดปกติขึ้้นเด็กก็จะไม่สามารถบอกผู้ปกครองเป็นคำพูดได้ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จึงควรหมั่นสังเกตความผิดปกติของลูกอย่างสม่ำเสมอ

ดังนั้น หากลูกน้อยมีอาการดังต่อไปนี้ ผู้ปกครองควรรีบพาเด็กไปพบแพทย์

  • กินนมช้ากว่าปกติ หรือมีอาการกลืนลำบาก
  • ไม่กระพริบตาเมื่อเห็นแสงสว่าง
  • ไม่มองตามวัตถุที่เคลื่อนผ่านสายตา
  • ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเมื่อได้ยินเสียงดัง
  • ไม่ค่อยขยับแขนขาเท่าที่ควร หรือเมื่อขยับแล้วแลดูติดขัด
  • มีอาการคางสั่นหรือปากสั่น อย่างต่อเนื่องตอนไม่ได้ร้องไห้หรือตื่นเต้น
  • ร้องไห้นานผิดปกติ หรือร้องไห้บ่อยผิดปกติ
  • มีปัญหาเกี่ยวกับการนอน เช่น ไม่นอนเลย หรือนอนมากเกินไป เป็นต้น
  • มีปัญหาสุขภาพ เช่น ไอ ท้องผูก เป็นต้น

สาเหตุที่ทารกไม่ยอมนอนกลางวัน

ทารก 1 เดือน ไม่นอนกลางวันทำให้คุณพ่อคุณแม่เกิดความวิตกกังวลเป็นอย่างมาก เพราะอาจไม่เข้าใจถึงว่าเพราะอะไร สาเหตุที่ทารก 1 เดือนไม่นอนกลางวันนั้นอาจเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย ได้แก่

  • ทารกรู้สึกหิว เป็นหนึ่งในสาเหตุที่พบได้บ่อย นมที่ดื่มก่อนหน้านั้นอาจย่อยไวเกินไป มีการเว้นระยะห่างในการให้เด็กกินนมนานเกินไป หรือเด็กกินนมน้อยเกินไป จนทำให้เด็กหิว และนอนไม่หลับ
  • ทารกไม่สบาย การไม่นอนกลางวันของ ทารก 1 เดือน อาจเกิดจากการไม่สบาย เช่น เป็นหวัด มีไข้ แก๊สในกระเพาะอาหาร ท้องผูก ภูมิแพ้ อาการเจ็บป่วยเหล่านี้ มักทำให้เด็กรู้สึกไม่สบายตัว จนหลับยาก
  • ทารกไม่สบายตัว อาจเกิดจากที่นอนของทารกแข็งจนเกินไป ถูกมดหรือแมลงกัดหรือต่อย อากาศร้อนเกินไป ไปจนถึงบรรยากาศหรือสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อการนอน ทารกจึงรู้สึกไม่สบายตัว จนทำให้นอนไม่หลับ หรือไม่ยอมนอน
  • อุณหภูมิไม่เหมาะสม อุณหภูมิที่เหมาะสมเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ทารกนอนหลับได้ง่ายขึ้น อากาศที่ร้อนหรือเย็นจนเกินไป อาจทำให้ทารกหลับได้ยาก
  • เสียงรบกวน ทารกไม่ชอบให้มีเสียงรบกวนเวลานอน โดยเฉพาะเสียงที่ดังจนเกินไป อาจรบกวนการนอนหลับของเด็ก หรือทำให้เด็กนอนไม่หลับ หรือไม่ยอมนอน

ทำอย่างไรให้ทารกนอนกลางวัน

เพื่อให้ทารก 1 เดือน เข้านอนกลางวันได้ง่ายขึ้น หรือหลับได้ง่ายขึ้น คุณพ่อคุณแม่ และผู้ปกครอง อาจลองทำตามนี้ ได้แก่

  • ใช้เวลากับทารกบ้าง หากทารกนอนหลับยาก หลังจากให้นม คุณพ่อคุณแม่ควรเล่นกับลูกสักครู่หนึ่ง หรืออย่างน้อย 2-3 นาที การได้ใกล้ชิด ได้รับความอบอุ่นจากคุณพ่อหรือคุณแม่อาจช่วยให้เด็กอยากนอนมากขึ้น
  • พาทารกออกไปเดินเล่นบ้าง เพื่อให้ทารกได้สัมผัสกับบรรยากาศใหม่ ๆ สิ่งแวดล้อมใหม่ ๆ หรือการพาเด็กไปสัมผัสกับแสงแดดอ่อน ๆ บ้าง สามารถช่วยกระตุ้นให้นาฬิกาชีวภาพภายในร่างกายของทารกทำงานได้ดีขึ้น นอนหลับง่ายขึ้น
  • จัดบรรยากาศให้เหมาะแก่การนอน เช่น ปรับอุณหภูมิห้องให้เหมาะสม จัดแสงสว่างให้เหมาะสม ลดเสียงรบกวน
  • ตอบรับสัญญาณ เมื่อทารกเริ่มมีอาการง่วงนอน แต่ยังตื่นอยู่ คุณพ่อคุณแม่อาจนวดตัวให้ทารกเบา ๆ หรือร้องเพลงกล่อมเด็กให้เขาฟัง เพื่อฝึกให้ทารกจดจำได้ว่า เมื่อคุณพ่อคุณแม่เริ่มทำเช่นนี้ เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าได้เวลานอนแล้ว
  • พาทารกเข้านอนในเวลาเดิมทุกวัน เพื่อให้ เด็กทารก 1 เดือน เริ่มเรียนรู้ว่า ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่จะต้องเข้านอน นาฬิกาชีวภาพในร่างกายของทารกก็จะจดจำช่วงเวลาดังกล่าวนี้ ทำให้ทารกมีโอกาสที่จะเข้านอนได้ง่ายขึ้น
  • วางทารกลงบนที่นอนในท่านอนหงาย ไม่คว่ำหน้า หรือตะแคง เพื่อให้ทารกได้นอนในท่าที่สบาย
  • ที่นอนไม่ควรอัดแน่นไปด้วยของเล่น หรือตุ๊กตา สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ช่วยในการนอนแต่อย่างใด ทั้งยังกินพื้นที่ในการนอนของทารกด้วย
  • ใส่ใจเรื่องความปลอดภัย เช่น ที่นอนได้มาตรฐานหรือไม่ มีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในที่นอนหรือไม่ หากนอนเปล เปลมีความแข็งแรงเพียงพอหรือเปล่า เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝันขณะทารกกำลังนอนหลับ

การเจริญเติบโต และการดูแล เด็กทารก อายุ 1 เดือน ตามข้อมูลที่ ทีมกองบรรณาธิการ ABK นำมาฝากนี้ คงเป็นประโยชน์สำหรับคุณพ่อคุณแม่เพื่อรับมือกับลูกน้อยกันนะคะ

 

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

อาการหลับไม่ตื่นในทารก SIDSอายุ 1 เดือน-1 ปี เสี่ยงมาก

น้ำผึ้ง ป้อนทารก ระวังอันตราย!จากภาวะโบทูลิซึม

รู้เร็วยิ่งดี! ปอมเปย์ โรคทางพันธุกรรมที่เจอตั้งแต่เป็นทารก

ทารกท้องอืด ลูกท้องอืด แบบไหนอันตรายพร้อมวิธีรับมือ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.pobpad.com, https://hellokhunmor.com

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

Amarin Baby & Kids

วัคซีนเข็มกระตุ้น

จุดฉีด วัคซีนเข็มกระตุ้น วอล์คอิน จองคิวผ่านแอปฯ ล่าสุด

Alternative Textaccount_circle
event
วัคซีนเข็มกระตุ้น
วัคซีนเข็มกระตุ้น

จุดฉีด วัคซีนเข็มกระตุ้น วอล์คอิน จองคิวผ่านแอปฯ ล่าสุด

การฉีด วัคซีนเข็มกระตุ้น เป็นเรื่องสำคัญ ในภาวะที่โควิดสายพันธุ์โอมิรอนสายพันธุ์ย่อย BA.4/BA.5 ระบาดอย่างหนัก แนะนำให้มีการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นเพิ่ม โดยผู้ที่ฉีด 3 เข็มแล้ว หากถึงระยะเวลาที่แนะนำ คือ 4 เดือน ควรมาฉีดกระตุ้นซ้ำ เพราะมีข้อมูลในต่างประเทศว่า ถ้าได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้น หากติดโควิดแล้วอาการป่วยจะน้อยกว่าคนที่ไม่ได้ฉีด ซึ่งชัดเจนว่า “วัคซีน” ยังได้ผลในการป้องกันอาการหนักและเสียชีวิต โดยวัคซีนเข็มกระตุ้นเข็ม 4 และเข็ม 5 ทาง ศบค. ก็มีการจัดสรรให้ฉีดฟรีตามจุดต่างๆ ทั้งแบบวอล์คอิน และจองคิวผ่านแอปฯ มาให้ทราบกัน ดังนี้

 

จุดฉีด วัคซีนเข็มกระตุ้น ในกรุงเทพ

  • สถานีกลางบางซื่อ

ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ ให้บริการวัคซีนป้องกันโควิด ทุกเข็ม ตั้งแต่ เข็มที่ 1, 2 และ ตั้งแต่เข็มที่ 3 ขึ้นไป ในรูปแบบ Walk in โดยไม่ต้องจองคิวล่วงหน้า ให้กับประชาชนอายุ 5 ปีขึ้นไป ทุกคน ทุกสัญชาติ ไม่จำกัดภูมิลำเนา ไม่จำกัดจำนวนวัคซีนต่อวัน สามารถเลือกรับบริการตามชนิดวัคซีน

โดยเปิดทุกวัน เวลา 9.00-16.00 น.

– ประตู 1

วัคซีนโมเดอร์นาสำหรับผู้มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

– ประตู 2

วัคซีนไฟเซอร์ฝาสีม่วง สำหรับผู้มีอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป

(วัคซีนแอสตร้าเซเนก้า และวัคซีนซิโนแวค แจ้งเจ้าหน้าที่)

– ประตู 3

วัคซีนไฟเซอร์ฝาสีส้ม สำหรับเด็กอายุ 5-11 ปี ให้บริการเข็มที่ 1 จนถึงวันที่ 19 มิ.ย. เพื่อให้ทันรับเข็มที่ 2 ก่อนวันที่ 31 ก.ค.

  • จุดฉีดสนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น

กรุงเทพมหานคร (กทม.) เชิญชวน “ฉีดวัคซีนโควิด-19” เข็มกระตุ้น ฟรี ทุกสัญชาติ โดยไม่ต้องจองคิวล่วงหน้า และไม่จำกัดจำนวนตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2565

สามารถ Walk in หรือจองผ่านแอปฯ QueQ เพื่อเข้ารับการ “ฉีดวัคซีนโควิด-19” ณ ลานกีฬาเวสน์ 1 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น) เขตดินแดง

เงื่อนไข :

  • สำหรับผู้ที่มีอายุ 5 ปีขึ้นไป
  • ทุกสัญชาติ

เอกสารที่ต้องเตรียม :

  • บัตรประชาชน หรือ Passport
  • หลักฐานรับรองการได้รับวัคซีน
  • และปากกาส่วนตัว
วัคซีนเข็มกระตุ้น
จุดฉีด วัคซีนเข็มกระตุ้น
  • 69 ศูนย์บริการสาธารณสุขใกล้บ้าน

สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร เปิดบริการฉีดวัคซีน COVID-19 เข็มกระตุ้นที่ 69 ศูนย์บริการสาธารณสุขใกล้บ้าน โดยเงื่อนไขคือ ฉีดทุกวันศุกร์ ฉีดทุกสูตร ฉีดทุกเข็ม สำหรับประชาชนทุกช่วงวัย ทุกสัญชาติ ตั้งแต่อายุ 5 ปีขึ้นไป

สามารถจองคิวผ่านทางแอปพลิเคชัน QueQ หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์บริการสาธารณสุขใกล้บ้าน ติดต่อสอบถาม สำนักอนามัย กทม. โทร 0 2203 2883

  • โรงพยาบาลราชวิถี

โรงพยาบาลราชวิถี เปิดให้ลงทะเบียนจองคิวออนไลน์ เพื่อเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกัน COVID-19 โดยกลุ่มเป้าหมาย คือ วัคซีน Pfizer, Covavax เข็มที่ 1 คลิก วัคซีน Pfizer , Covavax เข็มกระตุ้น (เข็มที่ 2,3,4,5) คลิก

  • สถานเสาวภา สภากาชาดไทย

สถานเสาวภา สภากาชาดไทย เปิดลงทะเบียนเพื่อรับวัคซีน “โมเดอร์นา” (ฟรี) “เข็ม 2,3,4” สําหรับประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไป ให้บริการขนาดเต็มโดส (100 ไมโครกรัม) ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ โดยให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันโควิดตามเงื่อนไขดังนี้

เข็ม 2

– เคยได้รับซิโนแวค/ซิโนฟาร์ม/แอสตร้าเซนเนก้า/โมเดอร์นา เป็นเข็ม 1 ภายในวันที่ 30 พ.ค.2565

เข็ม 3

– เคยได้รับซิโนแวค 2 เข็ม หรือ ซิโนฟาร์ม 2 เข็ม โดยฉีดเข็ม 2 ภายในวันที่ 30 พ.ค.2565

– เคยได้รับแอสตร้าเซนเนก้า ครบ 2 เข็ม โดยฉีดเข็ม 2 ภายในวันที่ 30 มี.ค.2565

– เคยได้รับวัคซีนสูตรไขว้ ดังนี้

– ซิโนแวค+แอสตร้าเซนเนก้า หรือ ซิโนฟาร์ม+แอสตร้าเซนเนก้า

– ซิโนแวค+โมเดอร์นา หรือ ซิโนฟาร์ม+โมเดอร์นา

– แอสตร้าเซนเนก้า+โมเดอร์นา โดยฉีดเข็ม 2 ภายในวันที่ 30 มี.ค. 2565

เข็ม 4

– เคยได้รับซิโนแวค 2 เข็ม หรือ ซิโนฟาร์ม 2 เข็ม และได้รับแอสตร้าเซนเนก้าเป็นเข็ม 3 หรือ เคยได้รับซิโนแวค 2 เข็ม หรือ ซิโนฟาร์ม 2 เข็ม และได้รับโมเดอร์นาเป็นเข็ม 3

– เคยได้รับซิโนฟาร์ม/ซิโนแวค เป็นเข็ม 1 และได้รับแอสตร้าเซนเนก้าเป็นเข็ม 2 และ 3

– เคยได้รับซิโนฟาร์ม/ซิโนแวค เป็นเข็ม 1 และได้รับแอสตร้าเซนเนก้าเป็นเข็ม 2 และโมเดอร์นาเป็นเข็ม 3

– เคยได้รับแอสตร้าเซนเนก้าเป็นเข็ม 1,2 และโมเดอร์นาเป็นเข็ม 3 โดยฉีดเข็ม 3 ภายในวันที่ 28 ก.พ.2565

เปิดลงทะเบียนเพื่อรับวัคซีน “โมเดอร์นา” วันที่ 29 มิถุนายน 2565 เวลา 13.00 น. เป็นต้นไปจนกว่าจะเต็มจํานวน

เลือกฉีดวัคซีนเข็ม 2,3,4 ในวันที่ 1,4,5,6,7,8 ก.ค. 2565 โดยให้ลงทะเบียนทาง https://qsmi-booster.kcmh.or.th/

เงื่อนไขคือ

  • สถานที่ให้บริการฉีดวัคซีนโควิด-19 ตึกอํานวยการ สถานเสาวภา สภากาชาดไทย กรุงเทพฯ
  • กรุณาเลือกวันและเวลารับวัคซีน กดยืนยันจะขึ้นว่า บันทึกข้อมูลสําเร็จ ให้ถ่ายภาพหน้าจอไว้เป็นหลักฐาน > กรุณานํา บัตรประชาชน สมุดฝากครรภ์ ปากกา มาด้วยในวันนัดหมาย
  • สตรีมีครรภ์ต้องมีอายุครรภ์มากกว่า 12 สัปดาห์ในการเข้ารับวัคซีน
  • กรุณามาตรงตามวันและเวลาที่ได้นัดหมาย หากไม่มาตามวันและเวลาที่ลงทะเบียนไว้จะถือว่าสละสิทธิ์ (รอบ 11.00 น. กรุณามาก่อนเวลา 11.45 น.)
  • LOT วัคซีนโมเดอร์นาที่ให้บริการเป็นช่วงขยายอายุวัคซีนที่ได้รับการรับรองจากสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา

จุดฉีดวัคซีนในจังหวัดนนทบุรี

สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนนทบุรี เปิด “ฉีดวัคซีนเข็ม 5” เดือนกรกฎาคม 2565 สำหรับคนไทยและทุกสัญชาติอายุ 18 ปีขึ้นไปที่ “ฉีดวัคซีนเข็ม 4” มาแล้วไม่น้อยกว่า 4 เดือน

สามารถลงทะเบียน “ฉีดวัคซีนเข็ม 5” ตามลิงก์ (คลิกที่นี่) หรือ โดยเงื่อนไขสำหรับเข็มที่ 5 ทุกสูตรที่ “ฉีดวัคซีนเข็ม 4” มาแล้วไม่น้อยกว่า 4 เดือน

สนามฉีดวัคซีนเข็ม 5

  • เซ็นทรัลพลาซ่า แจ้งวัฒนะ วันที่ 19 กรกฎาคม 2565 วันละ 2,000 คน รับบัตรคิว อาคารจอดรถ B ชั้น 3 ครึ่ง
  • เซ็นทรัล รัตนาธิเบศร์ วันที่ 1 , 8 และ 22 กรกฎาคม 2565 วันละ 2,000 คน รับบัตรคิว ลานจอดรถชั้น 3 , บุคคลทั่วไป รับบัตรคิว ลานจอดรถ ชั้น 3 ผู้สูงอายุ 70 ปีขึ้นไป ผู้พิการ ผู้ใช้รถเข็น เข้าประตูทางเข้าห้างท้อปส์ด้านหลังห้างฯ และขึ้นลิฟท์หรือบันไดเลื่อนมาที่ชั้น 2 รับบัตรคิว ชั้น 2 หน้าจุดฉีดวัคซีน
  • เซ็นทรัล เวสต์เกต วันที่ 7 , 21 กรกฎาคม 2565 วันละ 2,000 คน รับบัตรคิว ลานจอดรถ 2C

ขอบคุณข้อมูลจาก
Biz prompt, คมชัดลึก,กรุงเทพธุรกิจ

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

Amarin Baby & Kids

 

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

วัคซีนโควิด-19 ในเด็ก : ทำความเข้าใจ ปลอดภัย หายห่วง

ฉีดวัคซีนโควิดตอนตั้งครรภ์ ช่วยทารกเข้า รพ. น้อยลง

เปิด 5 สูตร ฉีดวัคซีนโควิด19 ในเด็ก อายุต่ำกว่า 18 ปี

ตรวจคัดกรองดาวน์ซินโดรม

กรมอนามัยหนุน ตรวจคัดกรองดาวน์ซินโดรม ตั้งแต่ในครรภ์

Alternative Textaccount_circle
event
ตรวจคัดกรองดาวน์ซินโดรม
ตรวจคัดกรองดาวน์ซินโดรม
ตรวจคัดกรองดาวน์ซินโดรม ตั้งแต่ในครรภ์ช่วยเตรียมความพร้อมให้ครอบครัวได้เตรียมตัว และตัดสินใจ กรมอนามัยหนุนตรวจคัดกรองเบิกจ่ายได้ตามสิทธิ์หลักประกันสุขภาพ

กรมอนามัยหนุน ตรวจคัดกรองดาวน์ซินโดรม ตั้งแต่ในครรภ์!!

หนึ่งในความกังวลใจของคุณแม่ตั้งครรภ์ทุกคน นั่นคือ ความกังวลใจต่อสุขภาพลูกน้อยในครรภ์ โดยเฉพาะคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ในช่วงอายุมาก ความกังวลใจดังกล่าวก็จะมีมากขึ้นตามด้วย เช่น ความห่วงกังวลเรื่องความสมบูรณ์ของลูกในครรภ์ ภาวะครรภ์เป็นพิษ เบาหวานขณะตั้งครรภ์ ตกเลือดหลังคลอด ภาวะโครโมโซมผิดปกติ หรือกลุ่มอาการดาวน์ซิมโดรม เป็นต้น

ดาวน์ซินโดรม (Down syndrome) เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของโครโมโซมแต่กำเนิด ซึ่งทำให้เด็กมีปัญหาด้านร่างกาย พัฒนาการ และสติปัญญา โดยปกติคนเราจะมีโครโมโซมจำนวน 23 คู่ หรือ 46 แท่ง แต่ในกรณีที่เป็นดาวน์ซินโดรม มักเกิดความผิดปกติที่เรียกว่า Trisomy 21 คือการที่มีโครโมโซมคู่ที่ 21 เกินมาแท่งหนึ่ง กลายเป็น 3 แท่ง ซึ่งพบได้บ่อยเกิน 90% นอกจากนี้ก็อาจเกิดจากความผิดปกติรูปแบบอื่นได้ เช่น การเกิด Translocation หรือการย้ายตำแหน่งของโครโมโซม

ตรวจคัดกรองดาวน์ซินโดรม
ตรวจคัดกรองดาวน์ซินโดรม

ลักษณะของเด็กที่เป็นดาวน์ซินโดรม ที่เห็นได้ชัดเจนคือมีศีรษะเล็กแบน รูปหน้าผิดปกติ ตาเฉียงและห่าง ดั้งจมูกแบน หูต่ำ ปากเล็ก และลิ้นโตคับปาก ซึ่งลักษณะที่เหมือนกันทั้งหมด ส่วนร่างกาย จะตัวเตี้ย มีขาสั้น มือและนิ้วสั้น กระดูกข้อกลางนิ้วก้อยหายไป ลายฝ่ามือตัดขวาง นิ้วโป้งและนิ้วชี้เท้าห่าง กล้ามเนื้ออ่อนนิ่มปวกเปียก ไม่ตึงตัว นอกจากนี้ เด็กที่เป็นดาวน์ซินโดรมจะมีพัฒนาการช้าทั้งด้านร่างกายและสติปัญญา มีไอคิวต่ำ หรือภาวะปัญญาอ่อน และเด็กหลายคนก็มักมีความผิดปกติอื่นๆ เช่น หัวใจพิการแต่กำเนิด หรือลำไส้อุดตัน เป็นต้น

รู้ได้อย่างไรว่าลูกเป็นดาวน์ซินโดรม???

ในอดีต การจะรู้ว่าลูกเป็นเด็กกลุ่มอาการดาวน์ซินโดรมหรือไม่ ต้องเจาะน้ำคร่ำเพื่อตรวจโครโมโซมซึ่งมีโอกาสแท้งจากการตรวจได้ และมีค่าใช้จ่ายสูง และมักตรวจเฉพาะแม่ที่อายุมากกว่า 35 ปีเท่านั้น แม่ที่อายุน้อยกว่า 35 ปี จึงไม่ทราบล่วงหน้าว่าตั้งครรภ์ทารกที่เป็นดาวน์
ปัจจุบัน มีการตรวจกรองทารกกลุ่มอาการดาวน์ซินโดรม เพื่อให้แม่ทุกคนสามารถรู้ได้ว่าลูกเสี่ยงต่อการเป็นดาวน์ซินโดรมหรือไม่ หลายวิธีการมากขึ้น เช่น ตรวจโดยการตรวจเลือดแม่ ร่วมกับการทำอัลตราซาวด์ ซึ่งไม่เสี่ยงต่อการแท้ง และมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่า เพื่อให้แม่ทุกคนสามารถตรวจได้โดยเฉพาะแม่ที่มีอายุน้อย เป็นต้น
การตรวจคัดกรองดาวน์ซินโดรม ทำได้อย่างไร?
  • การเจาะน้ำคร่ำ
    เป็นการใช้เข็มเจาะน้ำคร่ำออกมา เพื่อนำเซลล์ของทารกที่หลุดลอยอยู่ในน้ำคร่ำมาเพาะเลี้ยงและศึกษาลักษณะโครโมโซม ซึ่งจะทำได้ในช่วงอายุครรภ์ 16-20 สัปดาห์ ข้อดีของวิธีนี้คือให้ผลที่แม่นยำมาก แต่ข้อเสียก็มีเช่นกัน เช่น อาจทำให้ถุงน้ำคร่ำรั่ว หรือเข็มเจาะไปโดนทารกจนทำให้แท้งบุตรได้ ซึ่งก็มีโอกาสเกิดได้น้อยมากๆ นอกจากนี้ การเจาะน้ำคร่ำอาจใช้เวลาตรวจนาน 3-4 สัปดาห์
  • การเจาะเลือดแม่เพื่อหาสารบ่งชี้
    ขณะตั้งครรภ์ จะมีสารหลายตัวถูกสร้างขึ้นและตรวจพบได้ในเลือดแม่ เช่น อัลฟ่า ฟีโตโปรตีน (alpha feto-protein) เอสตริออล (estriol) เอชซีจี (hCG) อินฮิบิน เอ (Inhibin A) และ แพบเอ (PAPP-A) หากแม่ตั้งครรภ์ทารกดาวน์ซินโดรม ระดับสารดังกล่าวในเลือดก็จะผิดปกติ เช่น มี alpha feto-protein ต่ำ แต่มี hCG สูง ซึ่งเราสามารถนำมาคำนวณเพื่อคัดกรองดาวน์ซินโดรมได้ วิธีนี้เป็นวิธีที่ง่ายและได้ผลค่อนข้างไว อีกทั้งแทบไม่มีความเสี่ยง แต่ข้อเสียคือผลอาจไม่แม่นยำนัก

    รู้ก่อน ได้รับคำปรึกษาพร้อมวางแผนรับมือ
    รู้ก่อน ได้รับคำปรึกษาพร้อมวางแผนรับมือ
  • การอัลตราซาวน์ร่วมกับการเจาะเลือด
    เป็นวิธีตรวจคัดกรองยอดนิยมซึ่งสามารถตรวจได้ตั้งแต่อายุครรภ์ 10-14 สัปดาห์ การอัลตราซาวน์จะดูลักษณะของทารกในครรภ์ และวัดความหนาของผิวหนังบริเวณต้นคอ ส่วนการเจาะเลือดแม่ก็จะตรวจสารบ่งชี้ต่างๆ ดังที่กล่าวมา วิธีนี้ทำได้ง่าย รู้ผลไว แต่ยังมีความแม่นยำต่ำ โดยจะแบ่งวิธีการตรวจได้ 3 วิธี

วิธีที่ 1 : ตรวจครั้งเดียวในไตรมาสแรก (Combined Test) : ทำได้ตั้งแต่อายุครรภ์ 11-13  สัปดาห์ จะใช้วิธีการตรวจอัลตราซาวด์วัดความหนาต้นคอทารก ร่วมกับการเจาะเลือดแม่ วิธีนี้จะสามารถตรวจคัดกรองดาวน์ซินโดรมได้ 87%

วิธีที่ 2 : ตรวจ 2 ครั้งในไตรมาสแรกและต้นไตรมาสที่ 2 (Integrated Test)เป็นวิธีที่สามารถตรวจกรองดาวน์ซินโดรมได้สูงถึง 96% โดยการตรวจอัลตราซาวด์วัดความหนาต้นคอทารก ร่วมกับเจาะเลือดแม่ครั้งแรกตอนอายุครรภ์ 11-13 สัปดาห์ แล้วต้องตรวจเลือดอีก 1 ครั้งในช่วง 2-4 สัปดาห์ต่อมา รายงานผลหลังจากเจาะเลือด ครั้งที่ 2

วิธีที่ 3 : ตรวจครั้งเดียวในไตรมาสที่ 2 (Quaduple test)สามารถตรวจกรองดาวน์ซินโดรมได้สูงถึง 81% โดยการตรวจเลือดแม่ในช่วงอายุครรภ์ 15-20 สัปดาห์
การตรวจทั้ง 3 วิธี ข้างต้น แม้ว่าผลการตรวจจะปกติ ไม่สามารถยืนยันว่าลูกจะไม่เป็นทารกดาวน์ซินโดรมแน่ ๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่สามารถบอกว่ามีโอกาสน้อยมากที่ทารกจะเกิดอาการดาวน์ซินโดรม
  • การตรวจด้วยเทคนิค Non-Invasive Prenatal Testing (NIPT)
    เป็นการใช้เทคนิคขั้นสูงคือ Single Nucleotide Polymorphism (SNP) เพื่อแยก DNA ของลูกออกจากของแม่ และนำมาวิเคราะห์หาความผิดปกติ ซึ่งเป็นวิธีที่ให้ผลแม่นยำมาก ไม่ต้องทำการเจาะซึ่งเสี่ยงต่อการกระทบทารกในครรภ์ อีกทั้งทราบผลตรวจได้รวดเร็ว แต่ข้อเสียคือมีค่าใช้จ่ายสูงมาก คือประมาณ 20,000-30,000 บาท
ตรวจคัดกรองดาวน์ซินโดรม ได้ทุกช่วงอายุ
ตรวจคัดกรองดาวน์ซินโดรม ได้ทุกช่วงอายุ

รู้หรือไม่?? ภาวะอาการดาวน์ซินโดรมนั้นสามารถเกิดได้กับคุณแม่ทุกอายุ

เด็กในกลุ่มอาการดาวน์ซินโดรม เกิดได้กับคุณแม่ทุกอายุ ซึ่งผิดจากความเชื่อของคนส่วนใหญ่ที่มักเข้าใจผิดว่าเด็กดาวน์ซินโดรมจะเกิดจากแม่อายุมากกว่า 35 ปีเท่านั้น โดยพบว่าในกลุ่มเด็กอาการดาวน์ 100 คน จะคลอดจากแม่ที่มีอายุมากกว่า 35 ปี เพียง 25-30 คน อีก 70-75 คนเกิดจากแม่ที่มีอายุน้อย แม้แม่ที่มีอายุมากจะมีความเสี่ยงที่จะมีลูกดาวน์ซินโดรมสูงกว่า แต่เนื่องจากแม่เหล่านี้มีจำนวนน้อย ประกอบกับแม่อายุมากมักจะได้รับการแนะนำจากแพทย์ให้ตรวจโครโมโซมของทารกในครรภ์อยู่แล้ว จึงทำให้สามารถตรวจพบได้มากกว่าแม่ที่มีอายุน้อย ที่ได้รับการตรวจคัดกรองเพียงแค่ 25-30 % ดังนั้น คุณแม่ทุกคนควรได้รบการตรวจคัดกรองทารกหาอาการดาวน์ซินโดรม

กรมอนามัย หนุนหญิงตั้งครรภ์ทุกอายุ ทุกสิทธิ์ เข้ารับการตรวจคัดกรองทารกกลุ่มอาการดาวน์ เตรียมความพร้อมให้ครอบครัว!!

นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า กลุ่มอาการดาวน์หรือดาวน์ซินโดรม เป็นโรคความผิดปกติทางพันธุกรรมชนิดหนึ่งซึ่งพบได้บ่อย ที่เกิดความบกพร่องของร่างกายและสติปัญญา ในแต่ละปีประเทศไทยมีเด็กเกิดใหม่ ปีละประมาณ 600,000 คน จะมีทารกแรกเกิดที่เป็นกลุ่มอาการดาวน์ ประมาณปีละ 750 ราย เด็กกลุ่มนี้จะมีค่าใช้จ่ายที่นอกเหนือจากการเลี้ยงดูปกติสูงถึงรายละ 2,500,000 บาท ผู้ปกครองของเด็กต้องรับภาระค่าใช้จ่ายเหล่านี้ ถือเป็นภาระที่หนักมากสำหรับครอบครัวที่ไม่พร้อม จึงควรมีการตรวจค้นหาแต่เนิ่นๆ ว่า ทารกในครรภ์มีภาวะเสี่ยงอยู่ในกลุ่มอาการดาวน์หรือไม่ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมให้แก่ครอบครัวด้วย
สำหรับการเข้ารับบริการการตรวจคัดกรองทารกกลุ่มอาการดาวน์ หญิงตั้งครรภ์ทุกคน ที่สามารถเบิกจ่ายตามสิทธิ์ได้นั้น จะต้องเข้ารับบริการตามเงื่อนไขของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ดังนี้
1.กระบวนการในการเข้ารับการปรึกษาทางพันธุศาสตร์
2.การเข้ารับการตรวจเลือดคัดกรองโดย Quadruple Test หากมีความเสี่ยงต่ำจะเข้าสู่กระบวนการฝากครรภ์ตามปกติ หรือหากมีความเสี่ยงสูง จะเข้าสู่กระบวนการ ตรวจวินิจฉัย ก่อนคลอด
3.รับการตรวจวินิจฉัยก่อนคลอด โดยการเจาะตรวจหาโครโมโซมของทารกจากน้ำคร่ำหรือเลือดจากสายสะดือทารก หากพบโครโมโซมผิดปกติ จะให้คำปรึกษาแก่หญิงตั้งครรภ์และสามี ในการเลือกฝากครรภ์ต่อหรือยุติการตั้งครรภ์ หากหญิงตั้งครรภ์และครอบครัวต้องการตั้งครรภ์ต่อ ก็พร้อมให้คำแนะนำ ช่องทางการดูแลต่อเนื่องสำหรับเด็กกลุ่มอาการดาวน์ที่เหมาะสมต่อไป
ที่มา : Amarin News
ตรวจคัดกรองดาวน์ซินโดรม รู้ก่อนได้เตรียมพร้อมก่อน
ตรวจคัดกรองดาวน์ซินโดรม รู้ก่อนได้เตรียมพร้อมก่อน

ตรวจฟรี Quadruple Test คืออะไร ใช้วิธีไหน แม่นยำแค่ไหนกัน??

คือวิธีการเจาะเลือดหาสารชีวเคมีในเลือดของมารดา 4 ค่า (Quad test) ซึ่งมีความแม่นยำประมาณ 80-85% และหากผลตรวจผิดปกติ หรือเลือกที่จะเจาะน้ำคร่ำ ก็สามารถตรวจได้ฟรีเช่นกัน แต่ก็มีความเสี่ยงที่จะเกิดการแท้งบุตรได้

ตรวจคัดกรองดาวน์ซินโดรมด้วยวิธีไหนดี?

สำหรับแม่ที่มีความเสี่ยงน้อย คือมีอายุขณะตั้งครรภ์น้อยกว่า 35 ปี และไม่มีประวัติตั้งครรภ์ทารกดาวน์ซินโดรมมาก่อน แนะนำให้ตรวจคัดกรองด้วยวิธีอัลตราซาวน์ ร่วมกับการเจาะเลือดตรวจสารบ่งชี้ เนื่องจากเป็นวิธีที่ค่าใช้จ่ายต่ำ และไม่ต้องรอผลนาน

สำหรับแม่ที่มีความเสี่ยงสูง คือมีอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป หรือเคยตั้งครรภ์ทารกดาวน์ซินโดรม ควรตรวจคัดกรองโดยการเจาะน้ำคร่ำ ซึ่งเป็นวิธีที่ให้ผลแม่นยำกว่า และมีค่าใช้จ่ายปานกลาง แต่หากเพิ่งตรวจกรองตอนอายุครรภ์มากแล้ว ไม่ต้องการรอผลนาน รวมถึงมีกำลังในการใช้จ่าย ก็สามารถตรวจด้วยวิธี NIPT ได้ ซึ่งให้ผลแม่นยำและรวดเร็วกว่า แต่ต้องดูให้ดีก่อนว่าโรงพยาบาลที่ฝากครรภ์มีบริการตรวจวิธี NIPT หรือไม่

Source: https://www.ram-hosp.co.th/news_detail/1489
© โรงพยาบาลรามคำแหง – แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางครบทุกสาขา
ข้อมูลอ้างอิงจาก healthsmile.co.th/www.bccgroup-thailand.com
อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

ตั้งครรภ์อายุมาก กว่า 30 อย่างไรให้ปลอดภัย?

วิธี “คำนวณอายุครรภ์” และวันครบกำหนดคลอด ด้วยตัวเอง

แม่ท้องใช้กัญชา ห้ามเด็ดขาดทำลูกในท้องตายหรือผิดปกติ

หมอธีระเผย หลอดเลือดสมองอักเสบ สาเหตุ จากLong Covid

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

โอมิครอน BA.4 BA.5

โอมิครอน BA.4 BA.5 ติดง่ายกว่าเดิม อันตรายแค่ไหน

Alternative Textaccount_circle
event
โอมิครอน BA.4 BA.5
โอมิครอน BA.4 BA.5

โอมิครอน BA.4 BA.5 ติดง่ายกว่าเดิม อันตรายแค่ไหน

โอมิครอน BA.4 BA.5 เป็นโควิดเชื้อสายพันธุ์ย่อยชนิดใหม่ ของเชื้อกลายพันธุ์โอมิครอนที่แพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อโรคโควิดพุ่งสูงขึ้นทั่วโลก รวมทั้งในไทยด้วย องค์กรอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศให้สายพันธุ์ BA.4 BA.5 เป็นสายพันธุ์ย่อยที่ต้องเฝ้าระวัง และคาดว่าจะกลายเป็นสายพันธุ์หลักของการแพร่ระบาดทั่วโลก สายพันธุ์นี้คิดง่าย ติดไว กว่าเดิม อันตรายแค่ไหน มาดูกันค่ะ

สถานการณ์การแพร่ระบาดของ โอมิครอน BA.4 BA.5 ในไทย

ท่ามกลางมาตรการผ่อนคลายต่าง ๆ และการเปิดประเทศ กระทรวงสาธารณสุขออกมายอมรับว่า มีแนวโน้มผู้ติดเชื้อ ผู้ป่วยกำลังรักษา ผู้ป่วยอาการหนัก และผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากการแพร่ระบาดของสายพันธุ์ย่อยของโอมิครอน BA.4/BA.5 ซึ่งพบมากจากผู้เดินทางจากต่างประเทศเข้าไทย

ทำไมถึงต้องเฝ้าระวัง

สาเหตุที่ต้องเฝ้าระวังโอมิครอน สายพันธุ์ BA.4 และ BA.5 คือ

  • สายพันธุ์นี้มีการกลายพันธุ์ในตำแหน่ง L452R ซึ่งเป็นตำแหน่งเดียวกันกับสายพันธุ์เดลตา (Delta) เชื้อไวรัสมีความสามารถในการแบ่งตัว เพิ่มจำนวนในเซลล์ปอดได้ดี ซึ่งอาจก่อให้เกิดอาการปอดอักเสบในผู้ติดเชื้อ แตกต่างจากสายพันธุ์ BA.1 และ BA.2 ที่เชื้อมีความสามารถในการแบ่งตัวได้ดีในเซลล์ของเยื่อบุระบบทางเดินหายใจส่วนบน
  • สายพันธุ์ย่อย BA.4/BA.5 ยังมีความสามารถในการหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกัน ดื้อต่อแอนติบอดี้ของมนุษย์ นั่นจึงเป็นสาเหตุให้เกิดการติดเชื้อซ้ำ (Re-infection) แม้ว่าจะเคยติดเชื้อหรือฉีดวัคซีนมาแล้วก็ตาม
  • แพร่ระบาดได้ง่าย และรวดเร็วยิ่งขึ้นกว่าเดิม

จุดเด่นของโควิดสายพันธุ์โอมิครอน คือ การแพร่เชื้อได้เร็ว (High transmissibility) กว่าสายพันธุ์อื่น 5 เท่า

โอมิครอน BA.4 BA.5
โอมิครอน BA.4 BA.5 ติดง่ายกว่าเดิม

ขอบคุณภาพจากโรงพยาบาลศิครินทร์

อาการที่เด่นชัด

โดยอาการของโควิดสายพันธุ์ BA.4 และ BA.5 ไม่แตกต่างอย่างชัดเจนจากสายพันธุ์โอมิครอน อาการที่เด่นชัดของสายพันธุ์นี้ได้แก่ “อ่อนเพลีย เหนื่อย, ไอแห้ง, เจ็บคอ, ไข้, มีน้ำมูก, ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ คลื่นไส้ ปวดเมื่อยตามร่างกาย และถ่ายเหลว”

นอกจากนี้ยังพบอาการ สูญเสียการได้กลิ่น และการรับรส อาการผิดปกติเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร กลุ่มอาการของระบบทางเดินหายใจ หายใจถี่ หายใจลำบาก และกลุ่มอาการนอกระบบที่ไปคล้ายกันกับสายพันธุ์เดลตาได้เช่นกัน

โอมิครอน BA.4 BA.5
อาการโอมิครอน BA.4 BA.5

ขอบคุณภาพจากโรงพยาบาลศิครินทร์

กลุ่มเสี่ยงคือ ผู้สูงอายุ เด็ก และผู้มีโรคประจำตัวร้ายแรง

BA.4 และ BA.5 จะสามารถแพร่ระบาดได้ง่ายขึ้น อาจเป็นเพราะภูมิคุ้มกันที่ผู้คนมีในร่างกายเริ่มลดลง หรืออาจเป็นเพราะเชื้อไวรัสเกิดการกลายพันธุ์ ขณะเดียวกัน การที่ประเทศต่าง ๆ เริ่มยกเลิกมาตรการควบคุมโรคโควิด แล้ว ก็ทำให้เชื้อไวรัสชนิดนี้มีโอกาสที่จะแพร่ระบาดได้มากขึ้น

BA.4 และ BA.5 ยังทำให้คนที่เพิ่งติดเชื้อโอมิครอนชนิดอื่นติดเชื้อซ้ำได้อีก และการระบาดระลอกใหม่อาจทำให้มีผู้ป่วยเข้ารักษาที่โรงพยาบาล หรือมีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นอีก

เช่นเดียวกับโควิดสายพันธุ์อื่น ๆ ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัวร้ายแรง คือกลุ่มเสี่ยงที่สุดที่จะล้มป่วยหนักจากการติดเชื้อ BA.4 และ BA.5

นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) กล่าวว่า สัดส่วนการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นในกลุ่มผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และผู้ที่มีอายุระหว่าง 12-17 ปี น่ากังวล โดยตัวเลขผู้สูงอายุที่ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้น หรือเข็มที่สาม มีเพียง 47.1% ของตัวเลขผู้สูงอายุทั้งหมด ขณะที่ฝั่งนักเรียนซึ่งได้รับเข็มกระตุ้นมีเพียงแค่ 20.5% เท่านั้น

ป้องกันอย่างไร

การป้องกันตนเอง ก็ยังช่วยป้องกันความเสี่ยงจากการติดเชื้อได้ โดยควรสวมหน้ากากอนามัย เมื่อต้องเดินทางไปในสถานที่แออัด หรือสถานที่อับอากาศ หมั่นล้างมือบ่อย ๆ หลังสัมผัสสิ่งของ หรือจุดสัมผัสสาธารณะ

สำหรับผู้ที่สัมผัสเสี่ยงสูง หรือมีอาการเสี่ยงติดเชื้อ แนะนำให้ตรวจ ATK ด้วยตนเอง โดยควรเลือก ATK ที่ได้รับมาตรฐาน และมีค่าความไว (Sensitivity) และค่าความจำเพาะ (Specificity) ไม่ต่ำกว่า 90%

แม้วัคซีนต้านโควิดที่มีอยู่ในปัจจุบันจะไม่ใช่สูตรที่พัฒนาขึ้นเพื่อต่อต้าน BA.4 และ BA.5 โดยเฉพาะ แต่ก็ยังเป็นเครื่องมือดีที่สุดในการต่อสู้กับเชื้อทั้งสองชนิด เพราะฉะนั้นจึงควรฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น

ทำไมต้องฉีดเข็มกระตุ้น

สถิติจากกระทรวงสาธารณสุขไทยที่ศึกษาข้อมูลจากประชากร 5 แสนราย พบว่า ประสิทธิภาพของการฉีดวัคซีน 2 เข็ม นับว่าป้องกันการติดชื้อ “น้อยมาก” และป้องกันการป่วยหนักจนต้องใส่ท่อช่วยหายใจและเสียชีวิตได้ราว 75%

ขณะที่การฉีดวัคซีน 3 เข็ม ช่วยป้องกันการติดเชื้อได้ราว 15% แต่สามารถป้องกันการป่วยหนักจนต้องใส่ท่อช่วยหายใจหรือเสียชีวิตได้ถึง 93%

นอกจากนี้ สถิติของผู้ฉีดวัคซีน 4 เข็ม ชี้ว่า สามารถลดการติดเชื้อได้ถึง 76% และลดการป่วยหนักจนต้องใส่ท่อช่วยหายใจและเสียชีวิตได้ถึง 96%

ข้อมูลปัจจุบันยังไม่พบผู้เสียชีวิตในกลุ่มที่ฉีดวัคซีน 4 เข็ม

ขอบคุณข้อมูลจาก

โรงพยาบาลศิครินทร์, BBC NEWS ไทย

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

เปลี่ยนแม่เป็นหมอ เปลี่ยนพ่อเป็นพยาบาล รับมือ โอมิครอนในเด็ก

CDC ชี้ ไฟเซอร์เด็ก ลดเสี่ยงโอมิครอน พร้อมจุดฉีดล่าสุด!

เช็กเลย! อาการ โอมิครอน ไข้หวัดใหญ่ ไข้เลือดออก ต่างกันอย่างไร

keyboard_arrow_up