ปวดท้องน้อยจี๊ดๆ

ระวัง! ปวดท้องน้อยจี๊ดๆ อาจเป็นต้นเหตุจากโรคเหล่านี้

ปวดท้องน้อยจี๊ดๆ อาการประจำของผู้หญิงหลาย ๆ คนระหว่างมีประจำเดือน จึงมักถูกมองข้าม เพราะคิดว่าเดี๋ยวก็หายเหมือนช่วงที่มีประจำเดือน

ระวัง! ปวดท้องน้อยจี๊ดๆ อาจเป็นต้นเหตุจากโรคเหล่านี้

อาการที่มักเกิดกับผู้หญิงในระหว่างมีรอบเดือนคือ ปวดท้องน้อยจี๊ดๆ บางคนปวดมากขนาดไม่สามารถทำกิจกรรมอะไรได้เลย ได้แต่รับประทานยาและนอนอย่างเดียว แต่อาการปวดนี้คุณผู้หญิงไม่ควรไว้วางใจ ทีมกองบรรณาธิการ ABK ได้รวบรวมข้อมูลโรคที่เกี่ยวข้องกับอาการ ปวดท้องน้อย มาฝากเป็นความรู้ให้คอยระวังกันค่ะ

ปวดท้องน้อยจี๊ดๆ
ปวดท้องน้อยจี๊ดๆ

ระวัง! ปวดท้องน้อยจี๊ดๆ อาจเป็นต้นเหตุจากโรคเหล่านี้

อาการปวดท้องน้อย (pelvic pain) ในผู้หญิง เป็นอาการปวดตั้งแต่บริเวณใต้สะดือลงไปจนถึงหัวหน่าว มีทั้งการปวดแบบเฉียบพลัน และการปวดแบบเรื้อรัง อาจจะสัมพันธ์หรือไม่สัมพันธ์กับประจำเดือนได้ อาการปวดท้องน้อย อาจจะเกี่ยวข้องกับ 4 ระบบภายในร่างกาย ไม่ได้เกิดจากความผิดปกติภายในระบบสืบพันธุ์เพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมไปถึงระบบทางเดินปัสสาวะ ระบบลำไส้ และระบบกล้ามเนื้อด้วยเช่นกัน

อาการปวดท้องอย่างไร ที่ควรพบสูตินรีแพทย์

  • ปวดเฉียบพลัน ทันที และมีอาการรุนแรง
  • อาการปวดไม่ดีขึ้นหลังจากทานยาแก้ปวด
  • อาการปวดที่เป็นนานเรื้อรัง รบกวนชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะเป็นมานานกว่า 6 เดือน
  • อาการปวดที่มีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น มีไข้ คลื่นไส้อาเจียน ปัสสาวะแสบขัด มีประวัติมีบุตรยาก
  • ปวดท้องประจำเดือนมาก และเป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ

ซึ่งสาเหตุของอาการปวดนั้นมีได้ทั้งจากโรคเกี่ยวกับลำไส้ ทางเดินอาหาร ระบบทางเดินปัสสาวะ กล้ามเนื้อ หรืออาจเป็นมาจากโรคทางนรีเวช เช่น เนื้องอกมดลูก เยื่อบุโพรงมดลุกเจริญผิดที่ ถุงน้ำ (cyst) รังไข่

ปวดท้องน้อย อาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคดังนี้

  • โรคที่เกิดในระบบสืบพันธุ์

โรคที่พบได้บ่อยในระบบนี้ ได้แก่ โรคเนื้องอกมดลูก (Myoma Uteri) และโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis) ในกลุ่มนี้จะมีอาการปวดประจำเดือนมาก ประจำเดือนมามาก มีลักษณะเป็นลิ่มเลือดหรือเป็นก้อน เวลาปวดจะปวดประจำเดือนและมักปวดร้าวไปทั้งหลัง ก้น จนถึงขา

ซึ่งในกลุ่มนี้หากมีอาการปวดท้องน้อย แพทย์จะต้องซักประวัติว่าก่อนว่าเคยมีประวัติโรคเกี่ยวกับมดลูกหรือรังไข่หรือไม่ เพราะโดยส่วนใหญ่มักจะมีอาการสัมพันธ์กับรอบเดือน หรือมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ปวดท้องน้อย มีเลือดออกผิดปกติ มีปริมาณประจำเดือนมากกว่าปกติ ปัสสาวะบ่อย ท้องผูก ฯลฯ

    • โรคเนื้องอกมดลูก (Myoma Uteri) อาการปวดมักเกิดจากการที่ก้อนเนื้องอกใหญ่จนมีการกดเบียดอวัยวะข้างเคียง การบิดขั้วของเนื้องอกจะทำให้เกิดการปวดที่รุนแรง ปวดท้องประจำเดือน หรือ มีเนื้อตายภายในเนื้องอก
    • โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis) เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของการ ปวดท้องประจำเดือน โดยเฉพาะในคนที่มีประวัติมีบุตรยาก ปวดเรื้อรังนานกว่า 6 เดือน ปวดหน่วงขณะมีเพศสัมพันธ์ หรือ มีคลื่นไส้ อาเจียน ท้องอืด ระหว่างมีประจำเดือน กลุ่มโรคเยื่อบุโพรงมดลุกเจริญผิดที่ยังรวมถึงโรค chocolate cyst อีกด้วย
    • เนื้องอก หรือ ถุงน้ำรังไข่ (Ovarian tumor) อาจเกิดการบิดขั้ว แตก รั่ว ของถุงน้ำ จะทำให้เกิดอาการปวดท้องแบเฉียบพลัน อาจมีเลือดออกในช่องท้อง หรือ ติดเชื้อได้ หากถุงน้ำมีขนาดใหญ่มากจะทำให้เกิดอาการแน่นท้อง จุก เสียด ทานอาหารอิ่มง่ายได้
  • โรคที่เกิดในระบบทางเดินปัสสาวะ

โรคที่พบได้บ่อยในระบบนี้ ได้แก่ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ, ท่อปัสสาวะอักเสบ, นิ่ว, กรวยไตอักเสบ เป็นต้น มักจะมีความผิดปกติเกิดขึ้นกับปัสสาวะสามารถที่สังเกตได้ทันที เช่น รู้สึกแสบขัดขณะปัสสาวะ ปัสสาวะไม่สุด และปวดท้องน้อยร่วมด้วย หรือสีของน้ำปัสสาวะมีความผิดปกติ เช่น ปัสสาวะเป็นเลือด มีฟอง สีขุ่น

  • โรคที่เกิดในระบบลำไส้

โรคที่พบได้บ่อยในระบบนี้ ได้แก่ โรคลำไส้อักเสบ อาหารเป็นพิษ ติดเชื้อทางเดินอาหาร หรือโรคลำไส้แปรปรวน ซึ่งในกลุ่มนี้มักมีความผิดปกติที่ทางเดินอาหารหรือสำไส้ คนไข้จึงมักมีอาการคลื่นไส้อาเจียน ท้องผูก ท้องเสีย ถ่ายอุจจาระมีมูกปนเลือด หรือถ่ายเหลว ร่วมด้วย

  • โรคที่เกิดในระบบกล้ามเนื้อ

โรคที่พบได้บ่อยในระบบนี้ ได้แก่ กล้ามเนื้ออักเสบ มักพบว่าเป็นไปตามประวัติการใช้งานของคนไข้ อาการคือปวดบริเวณหน้าท้อง ท้องน้อย ไปจนถึงหัวหน่าว คนไข้ที่ปวดบริเวณนี้มักจะมีประวัติยกของหนัก หรือเกร็งกล้ามเนื้อ จากการออกกำลังกายอย่างหนัก

ปวดท้องน้อย ระวังโรคต่างๆ
ปวดท้องน้อย ระวังโรคต่างๆ

วิธีป้องกันและบรรเทาอาการปวดท้องน้อย

สำหรับผู้หญิงที่มีอาการปวดท้องประจำเดือนเป็นประจำ อาจป้องกันไม่ให้มีอาการปวดที่รุนแรงได้ โดยดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ด้วยการออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ และรู้จักผ่อนคลายความเครียดเพื่อให้ประจำเดือนมาอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ในช่วงที่มีประจำเดือน ควรรับประทานอาหารอ่อนที่ย่อยง่าย เพื่อไม่ให้ลำไส้เกิดการบีบรัดเกินไป จะช่วยทุเลาอาการปวดท้องน้อยได้

สำหรับอาการปวดท้องน้อยจากสาเหตุอื่น สามารถป้องกันได้ด้วยการดูแลรักษาสุขภาพ ออกกำลังกาย และควบคุมอาหาร รวมถึงมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงต่อความผิดปกติต่าง ๆ อันเป็นสาเหตุของอาการปวดท้องน้อยได้

สิ่งที่สำคัญ! คือผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์แล้วควรตรวจภายในเป็นประจำทุกปี ส่วนในกลุ่มที่ยังไม่มีเพศสัมพันธ์ ควรตรวจภายในปีละครั้งเมื่ออายุมากกว่า 30 ปี หากตรวจติดต่อกัน 3 ปีแล้วไม่พบความผิดปกติก็สามารถตรวจเว้นปีได้

การตรวจและการวินิจฉัย

  1. การซักประวัติและการตรวจร่างกาย
  2. การตรวจภายใน
  3. การตรวจด้วยอัลตราซาวด์
  4. การส่องกล้องเพื่อดูพยาธิสภาพบริเวณอุ้งเชิงกราน

อาการปวดท้องน้อยจากเนื้องอกมดลูกหรือเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ สามารถรักษาได้ด้วยวิธีการดังนี้

  1. รักษาด้วยการให้ยา มีทั้งยาทานและยาฉีด ยาทั่วไปที่แพทย์มักจะใช้ในการรักษาโรคปวดท้องน้อยก็คือ ยาลดปวด ยาคุมกำเนิด และยาฮอร์โมนชนิดอื่น ๆ
  2. รักษาด้วยการผ่าตัด หากผู้ป่วยมีอาการรุนแรง และมีสาเหตุของโรคที่เกิดจากเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่, มีเนื้องอกขึ้นตามอวัยวะต่าง ๆ ที่รักษาด้วยยาแล้วไม่ดีขึ้น ก็จำเป็นที่จะต้องรักษาด้วยการผ่าตัด อย่างไรก็ตาม แพทย์จะทำการวินิจฉัยอีกทีว่าควรรักษาด้วยการผ่าตัดหรือไม่
    โดยการผ่าตัดทำได้ 2 วิธีคือ ผ่าตัดผ่านกล้องซึ่งมีข้อดีคือมีแผลเล็ก ฟื้นตัวได้เร็ว และคนไข้ไม่เจ็บตัวมาก และการผ่าตัดเปิดหน้าท้องที่คนไข้จะต้องพักฟื้นนานกว่า  แต่ก็มีข้อดีคือค่าใช้จ่ายถูกกว่า
  3. รักษาด้วยวิธีอื่น ๆ นอกจากวิธีดังกล่าวแล้ว ยังสามารถทำการรักษาได้ด้วยวิธีอื่น ๆ อีก เช่น ทำกายภาพบำบัด เพื่อรักษาอาการปวดเกร็งของกล้ามเนื้อ และออกกำลังกายด้วยวิธีต่าง ๆ รวมไปถึงการฝึกบุคลิกภาพแบบใหม่ เป็นต้น
ผ่าตัดเปิดหน้าท้องผ่าตัดส่องกล้อง
ข้อดีใช้ในกรณีเนื้องอกขนาดใหญ่มาก หรือมีการลุกลามอวัยวะข้างเคียง– ใช้ได้ดีในโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ เพราะสามารถเห็นรอยโรคชัดเจน
แผลเล็ก
– ฟื้นตัวเร็วระยะการนอนโรงพยาบาลและการพักฟื้นที่บ้านสั้น
– เสียเลือดน้อย
-ปวดหลังผ่าตัดน้อย
ข้อเสีย– เสียเลือดมากกว่า
– เกิดพังผีดหลังการผ่าตัดมากกว่า
– ไม่ใช้ในบางกรณี เช่น มีการติดเชื้อกระจายในช่องท้อง
– ไม่สามารถทำได้ในกรณีฉุกเฉิน เช่น มีภาวะช็อค

ทั้งนี้การรักษาจะมีประสิทธิภาพดีหรือไม่ดี ล้วนขึ้นอยู่กับความร่วมมือของผู้ป่วยร่วมด้วย หากผู้ป่วยสามารถจดจำรายละเอียด หรือให้ข้อมูลในขณะปวดท้องได้อย่างชัดเจน ย่อมมีโอกาสที่แพทย์จะหาสาเหตุให้ตรงกับโรคที่เป็นอยู่ได้มากยิ่งขึ้น

เพราะอาการปวดท้องน้อย อาจเป็นสัญญาณอันตรายที่กำลังบอกว่าระบบการทำงานของอวัยวะที่อยู่ในหรือใกล้กับท้องน้อยของเรากำลังมีปัญหา ดังนั้น คุณผู้หญิงไม่ควรชะล่าใจ หากสังเกตพบความผิดปกติจำเป็นต้องพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อทำการรักษาตามสาเหตุของโรค ความรุนแรงและอายุของผู้ป่วย และควรรับการตรวจสุขภาพประจำปีอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งจะช่วยคัดกรองโรคทางนรีเวชเหล่านี้ได้ หากตรวจพบได้เร็ว รักษาได้ไว ก็จะช่วยให้กลับมามีสุขภาพที่ดีเหมือนเดิมได้

บทความเกี่ยวกับการ ปวดท้องน้อยจี๊ดๆ ที่ทีมกองบรรณาธิการ ABK รวบรวมข้อมูลมาฝากนี้ คงเป็นประโยชน์สำหรับคุณผู้หญิงที่มีอาการดังกล่าวนี้นะคะ หากคุณผู้หญิงเกิดอาการ ปวดท้องน้อยใต้สะดือ ขึ้นมา ทั้งแบบเฉียบพลัน และแบบเรื้อรัง ถ้ารักษาเบื้องต้นด้วยตนเองแล้วไม่ดีขึ้น ควรรีบไปพบแพทย์นะคะ

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

ไม่ใช่คุณไสยฯ!ก้อนเส้นผมในรังไข่เป็น โรคเดอร์มอยด์ซีสต์

เพราะเวลาทั้งหมดเพื่อลูก! ระวัง”แม่ฟลูไทม์” ซึมเศร้า

ลดน้ำหนักหลังคลอด วิธีง่ายๆ แค่ “กินกล้วย” ก็ผอมได้

อาหารสร้างภูมิคุ้มกันตาม “กรุ๊ปเลือด” หลีกหนีภูมิแพ้ !!!

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.phyathai.com, https://www.nakornthon.com

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

Amarin Baby & Kids

    มือเท้าปากเปื่อย

    มือเท้าปากเปื่อย ระบาดอีกแล้วเตือนพ่อแม่ระวังเชื้อแรงขึ้น

    มือเท้าปากเปื่อย โรคเดิมแต่กลับมาคราวนี้รุนแรงขึ้น เมื่อลูกมีแผลตามปาก มือ หรือเท้าอย่าเพิ่งวางใจ เพราะเชื้อไวรัสตัวนี้น่ากลัว อันตรายพาติดคนทั้งบ้านได้

    มือเท้าปากเปื่อย ระบาดอีกแล้ว!! เตือนพ่อแม่ระวังเชื้อแรงขึ้น

    โรคมือเท้าปากเปื่อย ไม่ใช่โรคใหม่ เป็นโรคที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยเฉพาะในประเทศไทยเกิดการระบาดเป็นครั้งคราวพบได้มานานแล้ว แต่ที่สำคัญในปีนี้พบการระบาดของ มือเท้าปากเปื่อย ในตัวไวรัสที่รุนแรง อันตรายกว่าเดิม จากเชื้อ Enterovirus 71 และการติดเชื้อเป็นไปได้ง่ายมาก แถมเจลล้างมือแอลกอฮอล์ไม่สามารถฆ่าเชื้อตัวนี้ได้ด้วย!!

    เมื่อวันที่ 2 ส.ค.65 นายแพทย์สุเมธ องค์วรรณดี ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 9 นครราชสีมา เปิดเผยว่า ช่วงนี้ประเทศไทยเข้าสู่ฤดูฝนแล้ว หลายพื้นที่มีฝนตกอย่างต่อเนื่อง อากาศเย็นลง และมีความชื้น เอื้อต่อการเจริญเติบโตของเชื้อโรคต่างๆ โดยเฉพาะโรคมือ เท้า ปาก ที่มักพบบ่อยในช่วงนี้ ประกอบกับเป็นช่วงที่เด็กๆ เปิดเทอม และมีการรวมตัวกัน ดังนั้นจึงฝากเตือนครูพี่เลี้ยง ผู้ดูแลเด็ก และโรงเรียนอนุบาล ควรสังเกตอาการของเด็กอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ระวังป่วยด้วยโรคมือ เท้า ปาก หากมีไข้ต่ำๆ อ่อนเพลีย เจ็บปาก ร่วมกับมีตุ่มพองเล็กๆ บริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้า หรือตุ่มแผลในปาก ควรแยกเด็กป่วยไม่ให้คลุกคลีกับคนอื่นๆ และไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยต่อไป

    ทั้งนี้ โรคมือ เท้า ปาก เป็นโรคที่พบบ่อยในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี สำหรับอาการของโรคมือ เท้า ปาก จะเริ่มด้วยมีไข้ต่ำๆ อ่อนเพลีย ต่อมา 1-2 วัน จะมีอาการเจ็บปาก ร่วมกับมีตุ่มพองเล็กๆ บริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้า ตุ่มแผลในปาก เพดานอ่อน กระพุ้งแก้ม ลิ้น ต่อมาจะแตกออกเป็นแผลหลุมตื้นๆ หากอาการไม่ดีขึ้น เช่น มีไข้ขึ้นสูง ซึมลง เดินเซ ชัก เกร็ง หายใจหอบเหนื่อย อาเจียนมาก ต้องรีบไปพบแพทย์ทันทีเพราะอาจติดเชื้อโรคมือ เท้า ปากชนิดรุนแรง อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้

    มือเท้าปากเปื่อย ระบาดในเด็กเล็ก
    มือเท้าปากเปื่อย ระบาดในเด็กเล็ก

    สถานการณ์ของโรคมือ เท้า ปาก ในประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 26 ก.ค.2565 ประเทศไทยพบผู้ป่วยโรค มือ เท้า ปาก อายุต่ำกว่า 5 ปี จำนวน 8,798 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต ส่วนสถานการณ์ของโรค มือ เท้า ปากในเขตสุขภาพที่ 9 ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 25 ก.ค.2565 มีรายงานผู้ป่วยรวม 521 ราย แยกเป็นรายจังหวัด ดังนี้

    1.นครราชสีมา มีผู้ป่วย 87 ราย

    2.ชัยภูมิ มีผู้ป่วย 85 ราย

    3.บุรีรัมย์ มีผู้ป่วย 128 ราย

    4.สุรินทร์ มีผู้ป่วย 221 ราย

    ส่วนใหญ่พบในเด็กอายุ 3 ปี รองลงมาคือ 2 ปี และ อายุ 1 ปี ตามลำดับ

    นายแพทย์สุเมธ องค์วรรณดี กล่าวต่อไปว่า แนะนำให้ครูพี่เลี้ยง ผู้ดูแลเด็ก และพ่อแม่ ผู้ปกครองดูแลและสังเกตอาการของบุตรหลานอย่างใกล้ชิด

    ที่มาจาก www.bangkokbiznews.com

    โรคมือเท้าปากเปื่อย” เกิดจากเชื้อไวรัสลำไส้ หรือ Eneterovirus หลายชนิด แต่ส่วนใหญ่ที่พบคือ Coxsackie virus A16 และ Enterovirus 71 พบบ่อยในเด็กทารก และเด็กอายุต่ำกว่า ปี สำหรับประเทศไทยพบการระบาดตลอดทั้งปี แต่จะมากเป็นพิเศษในช่วงฤดูฝนและช่วงที่มีอากาศร้อนชื้น

    *โดยทั่วไปโรคนี้มีอาการไม่รุนแรง มีลักษณะเฉพาะคือ มีตุ่มน้ำใสขอบแดงขึ้นที่บริเวณปาก มือ และเท้า”

    มือเท้าปากเปื่อย โรคที่มากับหน้าฝน
    มือเท้าปากเปื่อย โรคที่มากับหน้าฝน

    อาการของโรค

    หลังจากได้รับเชื้อ 3-6 วัน ผู้ติดเชื้อจะเริ่มมีไข้ต่ำ ๆ อ่อนเพลีย ต่อมาอีก 1-2 วัน จะเจ็บปากจนไม่อยากรับประทานอาหาร เนื่องจากมีตุ่มแดงเจ็บที่ลิ้น เหงือก เพดานปาก กระพุ้งแก้ม และที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า ซึ่งต่อมาตุ่มนี้จะกลายเป็นตุ่มน้ำพองใส ซึ่งบริเวณฐานของตุ่มจะอักเสบและแดง นอกจากนี้สามารถพบอาการที่ระบบอื่นได้อีก เช่น
    – อาการทางระบบประสาท เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ
    – อาการทางระบบทางเดินอาหาร เช่น อาการท้องเสีย ถ่ายเหลว และคลื่นไส้อาเจียนได้
    – อาการทางตา มักพบเยื่อบุตาอักเสบ
    – อาการทางหัวใจ(พบไม่บ่อยแต่มีความรุนแรง)เนื่องจากสามารถทำให้เกิดกล้ามเนื้อหรือเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบได้
    *อาการของผู้ป่วย อาจมีตั้งแต่เล็กน้อยไปจนถึงมีภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง แต่จะทุเลาและหายเป็นปกติได้เองภายในประมาณ 7-10 วัน

    มือเท้าปากเปื่อย ติดต่อง่ายมาก ระวัง!ติดทั้งบ้าน

    อย่างที่ทราบกันดีว่า โรคมือเท้าปากเป็นโรคที่ติดต่อได้ง่ายมาก ยิ่งเป็นการระบาดในเด็กเล็กยิ่งทำให้ป้องกันได้ยาก โดยเฉพาะเด็กที่เข้าเรียน ที่ต้องอยู่ในกลุ่มคนมาก ยิ่งทำให้การป้องกันการติดเชื้อยิ่งยากขึ้นไปอีกหลายเท่า นอกจากตัวเด็กเองที่ได้รับเชื้อ และต้องทรมานจากโรคมือเท้าปาก ยังสามารถเป็นพาหะนำเชื้อโรคมาสู่บุคคลในครอบครัวได้อีกด้วย ซึ่งหากคนในครอบครัวนั้นมีผู้ที่มีความเสี่ยงที่จะมีอาการรุนแรงจากเชื้อไวรัสนี้ก็จะยิ่งเพิ่มอันตรายมากยิ่งขึ้น ดังเช่นครอบครัวของคุณแม่ผู้ใช้ @Kantika Nakapakorn ได้เล่าเรื่องราวของครอบครัวผ่านเพจ Drama-addict ไว้ว่า ลูกสาวคนที่สองติดเชื้อจากโรงเรียน และนำมาติดน้องคนเล็กที่เป็นผื่นภูมิแพ้บ่อย จึงทำให้อาการหนักกว่าปกติ

    มือเท้าปากเปื่อย กับเด็กที่เป็นผื่นภูมิแพ้
    มือเท้าปากเปื่อย กับเด็กที่เป็นผื่นภูมิแพ้
    คุณแม่ที่ลูกเขาป่วยเป็นโรคมือเท้าปากฝากมาครับผม ช่วงนี้ระบาด พ่อแม่ที่มีลูกเล็กๆต้องระวังนะครับ
    ช่วงนี้โรคมือปากเท้าเปื่อย มาแรงนะคะ
    อันนี้น้องเป็นโรคมือเท้าปาก +กับอาการแทรกซ้อนภูมิแพ้ ผื่นเลยขึ้นทั้งตัว อันนี้เป็นไวรัสอีกตัวนึง ที่มีความรุนแรง
    เริ่มแรกบ้านนี้มีลูกสาว 3คนคะ 2คนแรกไป ร.ร แต่เหตุเกิดจาก ลูกสาวคนที่สอง ติดมาจาก ร.ร แล้วนำมาติดสู่น้องคนเล็ก แต่เดิมทีน้องคนเล็กเป็นผื่นภูมิแพ้บ่อยอยู่แล้ว เลยทำให้ เป็นผื่นซ้ำเข้าไปอีก จนอาการ นั้น คูณ 2 จนกลายเป็นเพิ่มความรุนแรง ตอนนี้ น้องเข้าแอดมิด ที่โรงพยาบาลแล้วเรียบร้อยคะ
    (จากในภาพคือสภาพอาการน้องแค่2วันเท่านั้น)
    อาการเริ่มแรกคือมีไข้ต่ำๆ วันถัดมา เริ่มมีผื่นขึ้นที่ปาก มือ เท้า ก้น แล้วล่ามไปเรื่อยๆ ถ้าเป็นในเด็กอายุน้อย จะมีความรุนแรงมากกว่าเด็กที่โตแล้ว ทางคุณหมอแจ้งว่า โรคติดไม่ใช่ติดกับเด็กอย่างเดียว สามารถติดกับผู้ใหญ่ได้ด้วยนะคะ ระยะแพร่เชื้อ 1-2 สัปดาห์ เคยติดแล้วหายแล้วติดซ้ำได้อีก
    อนุญาติให้แชร์ภาพได้ กรณีศึกษา กรณีเตือนภัยนะคะ
    เพราะไวรัสตัวนี้น่ากลัวจริง
    Cr. FB Kantika Nakapakorn
    ที่มา เพจ Drama-addict

    ป้องกันไม่ให้ระบาด คุ้มครองสมาชิกในครอบครัว

    เนื่องจากโรคนี้ติดต่อง่าย และอาจพบภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง การป้องกันไม่ให้มีการระบาด เป็นสิ่งที่ดีที่สุด เพราะหากเชื้อไปติดในเด็กเล็ก ผู้ที่มีโรคประจำตัว หรือผู้สูงอายุ บุคคลที่มีภูมิคุ้มกันร่างกายอ่อนแอ ก็จะทำให้เป็นอันตรายได้

    สอนลูกหมั่นล้างมือ แอลกอฮอล์เจลไม่สามารถฆ่าเชื้อได้
    สอนลูกหมั่นล้างมือ แอลกอฮอล์เจลไม่สามารถฆ่าเชื้อได้
    • การดูแลรักษาความสะอาดทั่วไป และสุขอนามัยส่วนบุคคล โดยการล้างมือ ฟอกสบู่ให้สะอาดก่อนเตรียมอาหาร ก่อนรับประทานอาหาร และหลังขับถ่ายทุกครั้ง (การล้างมือด้วยแอลกอฮอล์เจล ไม่สามารถฆ่าเชื้อได้)
    • รับประทานอาหารที่สะอาด ปรุงใหม่ๆ ไม่มีแมลงวันตอม
    • ควรใช้ช้อนกลางในการรับประทานอาหาร ไม่ใช้แก้วน้ำ หลอดดูด ช้อน ขวดนมร่วมกับผู้อื่น
    • หลีกเหลี่ยงการคลุกคลี อยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วย แยกเด็กป่วยออกจากเด็กปกติ และให้หยุดเรียนจนกว่าจะหายป่วย
    • หลีกเหลี่ยงการนำเด็กทารกและเด็กเล็กเข้าไปในสถานที่แออัด หรือที่ๆ เด็กอยู่รวมกันจำนวนมาก หรือเล่นของเล่นร่วมกันในที่สาธารณะในช่วงที่มีโรคระบาดมาก
    • ผู้ดูแลเด็กต้องตัดเล็บให้สั้น หมั่นล้างมือบ่อยๆ และรีบล้างมือให้สะอาดโดยเร็ว เมื่อเช็ดน้ำมูกน้ำลาย หรือเปลี่ยนผ้าอ้อม เสื้อผ้าที่เปื้อนอุจจาระ
    • ไม่ไปเล่นในสระว่ายน้ำ และควรฆ่าเชื้อในสระว่ายน้ำด้วยคลอรีนในจำนวนที่เหมาะสม
    • ทำความสะอาดพื้น เครื่องใช้ หรือของเล่นเด็กที่อาจปนเปื้อน เชื้อโรคอย่างสม่ำเสมอ ด้วยน้ำยาฟอกขาว (คลอเร็กซ์) อัตราส่วน คือ น้ำยา 20 CC ต่อน้ำ 1000 CC และล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง โดยเชื้ออยู่ในสภาพแวดล้อมได้ 2-3 วัน เชื้อตายง่ายในที่แห้งและร้อน ดังนั้นควรทำความสะอาดของเล่นด้วย
    • ถ้าพบผู้ป่วยโรคมือ เท้า ปาก ควรรับแจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณะสุขในพื้นที่โดยเร็ว เพื่อดำเนินการควบคุมโรคต่อไป

    โรคนี้ไม่มีการป้องกันด้วยการวัคซีน ดังนั้นผู้ปกครองและผู้ดูแลเด็กควรเน้นที่สุขอนามัยของเด็กมากที่สุด โดยสอนให้เด็กล้างมือให้เป็นนิสัย ไม่เอาของเข้าปาก เป็นต้น

    หากมีข้อสงสัยอื่นใด สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422

    ข้อมูลอ้างอิงจาก www.thonburi2hospital.com/www.si.mahidol.ac.th

    อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

    เช็ค 6 อาการ ติดโรคมือ เท้า ปาก มาจากโรงเรียน

    วิธีสังเกต อาการมือเท้าปาก และ วิธีดูแลรักษาลูกโดยไม่ต้องแอดมิด

    ประจําเดือนไม่มา กินยาอะไรดี!! ปัญหากลุ้มใจของสาวๆ

    บอกหมดไม่กั๊ก วิธีสต๊อคนมแม่ พร้อมส่งนมข้ามจังหวัดฟรี!

    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

      ประจำเดือนไม่มา กินยาอะไรดี

      ประจําเดือนไม่มา กินยาอะไรดี!! ปัญหากลุ้มใจของสาวๆ

      ประจําเดือนไม่มา กินยาอะไรดี คำถามที่เป็นปัญหากลุ้มใจของสาว ๆ ทำให้เกิดความกังวลใจ เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความผิดปกติใด ๆ ในร่างกายหรือไม่

      ประจําเดือนไม่มา กินยาอะไรดี!! ปัญหากลุ้มใจของสาวๆ

      ผู้หญิงหลายคนคงประสบปัญหา ประจำเดือนไม่มา ทั้งที่ตรวจการตั้งครรภ์แล้วแต่ผลปรากฏว่าไม่ได้ตั้งครรภ์ แล้วสาเหตุเกิดจากอะไร ได้แต่คิดว่า ประจำเดือนไม่มา กินยาอะไรดี อย่าเพิ่งวิตกไปค่ะ ทีมกองบรรณาธิการ ABK ได้รวบรวมข้อมูลถึงสาเหตุมาให้แล้วค่ะ

      ประจําเดือนไม่มา กินยาอะไรดี!! ปัญหากลุ้มใจของสาวๆ

      ประจำเดือนไม่มา กินยาอะไรดี
      ประจำเดือนไม่มา กินยาอะไรดี

      ประจำเดือน คือ เลือดที่ไหลออกมาจากทางช่องคลอดเป็นประจำทุกเดือนเมื่อถึงวัยเจริญพันธุ์ ซึ่งเป็นหนึ่งในกระบวนการสืบพันธุ์ของร่างกาย เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย โดยสมองจะสั่งให้ต่อมใต้สมองผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน ฮอร์โมนเหล่านี้จะทำให้เยื่อบุมดลูกหนาขึ้น เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการฝังตัวของไข่ที่ปฏิสนธิกับอสุจิแล้ว แต่ถ้าหากไข่ไม่มีการปฏิสนธิกับอสุจิ เยื่อบุมดลูกก็จะหลุดลอกออกมากลายเป็นประจำเดือน โดยปกติประจำเดือนจะมาประมาณ 4-6 วัน ซึ่งขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

      ประจำเดือนไม่มา (Missed Period) หรือภาวะขาดประจำเดือน (Amenorrhea) คือ ภาวะที่ไม่มีรอบเดือนหรือประจำเดือนขาด ไม่มาตามปกติ ซึ่งเกิดขึ้นได้ 2 กรณี กรณีแรกเกิดขึ้นกับผู้ที่รอบเดือนครั้งแรกไม่มาเมื่ออายุถึงเกณฑ์ และอีกกรณีเกิดขึ้นกับผู้ที่เคยมีประจำเดือนแต่รอบเดือนขาดหรือไม่มาตามปกติ ผู้หญิงส่วนใหญ่จะมีประจำเดือนประมาณ 11-13 ครั้งต่อปี โดยรอบเดือนปกติจะประมาณ 28 วัน (อยู่ในช่วง 21- 35วัน)  แต่ในบางครั้งประจำเดือนอาจไม่มาตามกำหนดในช่วงดังกล่าวคือเกิน 35 วัน โดย 2-3 ปีแรกนับตั้งแต่เริ่มมีประจำเดือน ประจำเดือนมักมาไม่สม่ำเสมอ ร่างกายอาจใช้เวลานานหลายปีในการปรับระดับฮอร์โมนที่ควบคุมการมีรอบเดือนให้สมดุล ทั้งนี้ อาการประจำเดือนมาไม่ปกติอาจเกิดขึ้นในช่วงปีสุดท้ายของการมีรอบเดือน สาเหตุที่ทำให้ประจำเดือนไม่มามีหลายอย่าง ทั้งจากการทำงานของร่างกาย การใช้ชีวิตประจำวัน หรือระดับฮอร์โมนที่ไม่สมดุล อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ประสบภาวะนี้ควรไปพบแพทย์ เนื่องจากสาเหตุที่ทำให้ประจำเดือนไม่มาบางสาเหตุอาจต้องได้รับการรักษา ประจำเดือนจึงจะกลับมาตามปกติ

      สาเหตุของอาการประจำเดือนไม่มา มี  2 กรณี ได้แก่ ภาวะขาดประจำเดือนปฐมภูมิ และภาวะขาดประจำเดือนทุติยภูมิ ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้

      • ภาวะขาดประจำเดือนปฐมภูมิ (Primary Amenorrhea) คือ ภาวะที่ไม่เคยมีประจำเดือนเมื่ออายุถึง 15 ปี วัยรุ่นผู้หญิงมักเริ่มมีรอบเดือนในช่วงอายุระหว่าง 9-18 ปี โดยทั่วไปแล้วมักเริ่มมีรอบเดือนเมื่ออายุ 12 ปี
      • ภาวะขาดประจำเดือนทุติยภูมิ (Secondary Amenorrhea) คือภาวะที่ประจำเดือนขาดไปอย่างน้อย 3 เดือน ภาวะขาดประจำเดือนทุติยภูมิถือเป็นภาวะขาดประจำเดือนที่พบได้บ่อย

      อย่างไรก็ตาม ภาวะขาดประจำเดือนปฐมภูมิและภาวะขาดประจำเดือนทุติยภูมิ สามารถรักษาให้หาย และกลับมามีประจำเดือนได้ตามปกติ

      สาเหตุประจำเดือนไม่มา

      อาการประจำเดือนไม่มาหรือภาวะขาดประจำเดือนเกิดขึ้นได้จากสาเหตุหลายอย่าง ซึ่งอาจเกิดจากความเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติของร่างกาย กิจวัตรในชีวิตประจำวัน ระดับฮอร์โมนในร่างกาย หรือการใช้ยาบางอย่าง สาเหตุที่ทำให้ประจำเดือนไม่มาแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ ได้แก่ สาเหตุที่พบได้ทั่วไป และสาเหตุที่พบได้ไม่บ่อย ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้

      • สาเหตุที่พบได้ทั่วไป อาการประจำเดือนไม่มาอันเกิดจากสาเหตุที่พบได้ทั่วไป มีดังนี้
        • ตั้งครรภ์ การตั้งครรภ์ถือเป็นสาเหตุที่พบได้ทั่วไปมากที่สุด หากยังไม่แน่ใจว่าอาการประจำเดือนไม่มานั้น มีสาเหตุมาจากการตั้งครรภ์หรือไม่ ควรใช้ที่ตรวจครรภ์ตรวจให้แน่ใจ
        • การให้นมบุตร เนื่องจากโพรแลคติน (Prolactin) ที่เป็นฮอร์โมนสำหรับการผลิตน้ำนมอาจส่งผลยับยั้งการหลั่งฮอร์โมนสืบพันธุ์ ทำให้ช่วงให้นมบุตรอาจยังไม่มีการตกไข่
        • เข้าวัยทอง วัยทองหรือวัยหมดประจำเดือนถือเป็นความเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติที่เกิดขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น โดยมักเกิดขึ้นกับผู้ที่มีอายุระหว่าง 45-55 ปี ประจำเดือนจะเริ่มขาดเมื่อเข้าสู่วัยทอง เนื่องจากระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนเริ่มลดลง ทำให้ไข่ตกไม่สม่ำเสมอ เมื่อเลยวัยทองแล้ว รอบเดือนจะหยุดมา อย่างไรก็ตาม ผู้ที่อายุ 40 ปีบางรายอาจประสบภาวะหมดประจำเดือนก่อนกำหนด (Premature Menopause)
        • ฮอร์โมนไม่สมดุล ระดับฮอร์โมนที่ไม่สมดุลทำให้ประจำเดือนไม่มาได้ ปัญหาดังกล่าวอาจมาจากเนื้องอกที่ต่อมใต้สมองหรือต่อมไทรอยด์ ทั้งนี้ ยังรวมไปถึงระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนต่ำ หรือระดับเทสโทสเตอโรนสูง ซึ่งทำให้ประจำเดือนขาด
        • น้ำหนักเพิ่มหรือลดมากเกินไป ผู้ที่มีน้ำหนักตัวเพิ่มหรือลดมากเกินไปอาจเกิดอาการประจำเดือนไม่มา โดยผู้ที่น้ำหนักตัวลดลงมากอย่างรวดเร็วนั้นมักรับประทานอาหารน้อย ทำให้ไม่มีสารอาหารไปกระตุ้นการผลิตฮอร์โมนที่ทำให้ไข่ตก ส่วนผู้ที่มีน้ำหนักตัวมากเกินไปหรืออ้วนมากนั้น จะทำให้ร่างกายผลิตเอสโตรเจนมากซึ่งส่งผลต่อรอบเดือน และทำให้ประจำเดือนไม่มา
        • ออกกำลังกายมากเกินไป การออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมที่ต้องใช้ร่างกายออกแรงหนักหน่วง จะส่งผลต่อระดับฮอร์โมนที่เกี่ยวกับรอบเดือน เนื่องจากร่างกายสูญเสียไขมันมากเกินไปจากการหักโหมทำกิจกรรมดังกล่าว
        • เกิดความเครียด ผู้ที่มีความเครียดอาจส่งผลต่อรอบเดือน ทำให้ประจำเดือนมามาก มาน้อย เกิดอาการปวดท้องรุนแรงเมื่อมีรอบเดือน หรือประจำเดือนไม่มาเลย
        • ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด เช่น ยารักษาจิตเวท ยาต้านซึมเศร้า ยารักษาโรคภูมิแพ้ ยาลดความดันโลหิต เนื่องจากตัวยาอาจมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของการหลั่งฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการมีประจำเดือน
        • รับประทานยาคุมกำเนิด ผู้ที่รับประทานยาคุมกำเนิดอาจมีประจำเดือนมาน้อย มามาก มาไม่สม่ำเสมอ หรือไม่มาเลย โดยยาคุมกำเนิดชนิดที่มีโปรเจสเตอโรนอย่างเดียว ยาคุมแบบฉีด หรือห่วงอนามัยชนิดที่มีฮอร์โมนอาจส่งผลให้ประจำเดือนไม่มาได้ อย่างไรก็ตาม หากหยุดใช้ยาคุมแล้ว จะกลับมามีประจำเดือนตามปกติ ทั้งนี้ ผู้ที่ใช้ยารักษาทางจิตเวช ยาต้านซึมเศร้า ทำเคมีบำบัด ยารักษาความดันโลหิตสูง และสารเสพติดอื่น ๆ ก็อาจทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับรอบเดือนด้วย
        • ประสบภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ ภาวะนี้เกิดจากรังไข่มีถุงน้ำรังไข่เป็นจำนวนมาก โดยถุงน้ำเหล่านี้จะไม่ปล่อยไข่ให้ตกออกมา
        • ปัญหาสุขภาพ ปัญหาสุขภาพและโรคต่าง ๆ ที่อาจส่งผลให้ร่างกายมีระดับฮอร์โมนไม่สมดุล เช่น ภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS) ต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติ เนื้องอกใต้สมอง
      ประจำเดือนยังไม่มา
      ประจำเดือนยังไม่มา

      ประจําเดือนไม่มา กินยาอะไรดี!! ปัญหากลุ้มใจของสาวๆ

      • สาเหตุที่พบได้ไม่บ่อย ผู้ป่วยหรือผู้ที่ประสบปัญหาสุขภาพบางอย่างอาจเกิดอาการประจำเดือนไม่มาร่วมด้วย โดยปัญหาสุขภาพเหล่านี้จัดเป็นสาเหตุของภาวะขาดประจำเดือนที่พบได้ไม่บ่อยนัก ได้แก่
        • รังไข่เสื่อมก่อนกำหนด ภาวะรังไข่หยุดทำงานก่อนกำหนด (Premature Ovarian Failure) หรือรังไข่เสื่อมก่อนกำหนด คือภาวะที่หมดรอบเดือนก่อนอายุครบ 40 ปี สาเหตุของภาวะนี้เกิดจากการผ่าตัดศัลยกรรม การทำเคมีบำบัด และการฉายรังสีบริเวณท้องหรืออุ้งเชิงกราน
        • ท้องนอกมดลูก ภาวะนี้ถือเป็นภาวะที่พบได้ยาก และบางครั้งผลตรวจครรภ์อาจปรากฏออกมาเป็นลบ ผู้ที่ประจำเดือนไม่มาและผลตรวจครรภ์ออกมาเป็นลบ แต่เกิดปวดท้องน้อยอย่างรุนแรง มีเลือดออก เวียนศีรษะ คลื่นไส้ และอาเจียน ควรพบแพทย์ทันที
        • ปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ผู้ที่ป่วยเป็นโรคลำไส้แปรปรวน วัณโรค โรคตับ หรือเบาหวาน อาจประสบภาวะขาดประจำเดือนหรือประจำเดือนมาไม่ปกติได้ ส่วนในบางราย ที่อวัยวะเกี่ยวข้องกับการสืบพันธุ์เกิดความผิดปกติ ก็อาจทำให้ประจำเดือนไม่มาหรือมาช้า โดยความผิดปกตินี้อาจเกิดจากความผิดปกติตั้งแต่แรกเกิด เนื้องอก หรือการติดเชื้อที่มดลูก ทั้งนี้ อาการประจำเดือนไม่มาเป็นอาการหนึ่งของการเกิดภาวะพังผืดในโพรงมดลูก (Asherman Syndrome) ซึ่งเกิดจากการขูดมดลูก
        • ป่วยเป็นโรคทางพันธุกรรม ผู้ที่ป่วยเป็นโรคทางพันธุกรรม เช่น กลุ่มอาการเทอร์เนอร์ (Turner Syndrome) อาจทำให้ประจำเดือนมาช้าได้บางครั้ง

      การวินิจฉัยอาการประจำเดือนไม่มา

      ผู้ที่ประสบภาวะขาดประจำเดือนโดยไม่ได้มีสาเหตุมาจากการตั้งครรภ์ ควรไปพบแพทย์ทันที ซึ่งผู้ที่ประจำเดือนไม่มาแล้วควรไปพบแพทย์ ได้แก่

      • ผู้ที่มีอาการปวดท้องน้อย และคาดว่าอาจตั้งครรภ์
      • ผู้ที่ใช้ที่ตรวจการตั้งครรภ์และพบว่าตนเองท้อง หรือผู้ที่คาดว่าอาจตั้งครรภ์แม้ที่ตรวจครรภ์จะแสดงผลว่าไม่ได้ท้อง
      • ผู้ที่ประจำเดือนไม่มาเป็นเวลา 2 เดือนโดยไม่ทราบสาเหตุ
      • ผู้ที่ประจำเดือนไม่มาเป็นเวลา 2 เดือน ระหว่างรับประทานยาคุมกำเนิด แม้ว่าจะรับประทานยาคุมกำเนิดครบทุกเม็ด
      • วัยรุ่นอายุ 16 ปี ที่ประจำเดือนครั้งแรกยังไม่มา
      • วัยรุ่นอายุ 14 ปี ที่ไม่ปรากฏสัญญาณของการเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์
      • ผู้ที่ประจำเดือนขาดก่อนอายุครบ 45 ปี
      • ผู้ที่ยังมีประจำเดือนอยู่เมื่ออายุ 55 ปี

      แพทย์จะตรวจร่างกายและถามคำถามเพื่อวินิจฉัยสาเหตุ เช่น ความปกติของรอบเดือน ประวัติการรักษาทั่วไป ประวัติการมีเพศสัมพันธ์ กิจกรรมที่ทำในแต่ละวัน และอาการที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ แพทย์อาจตรวจการตั้งครรภ์สำหรับผู้ที่ประจำเดือนไม่มาเป็นเวลา 3 เดือน การวินิจฉัยอาการประจำเดือนไม่มา ประกอบด้วย

      • การตรวจเลือด แพทย์ตรวจเลือดเพื่อดูระดับฮอร์โมนในร่างกายของผู้ป่วย โดยจะดูฮอร์โมนโพรแลกติน (Prolactin) ลูทิไนซิงฮอร์โมน (Luteinizing Hormone) และฟอลลิเคิลสติมิวเลติงฮอร์โมน (Follicle Stimulating Hormone: FSH) หรือฮอร์โมนเอฟเอสเอช ซึ่งล้วนแต่เป็นฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับรอบเดือนผู้หญิง แพทย์จะวินิฉัยหาสาเหตุของอาการประจำเดือนไม่มาจากระดับฮอร์โมนเหล่านี้
      • การทำอัลตราซาวด์ แพทย์จะตรวจรังไข่และมดลูก เพื่อหาความผิดปกติที่เกิดขึ้นภายในอวัยวะดังกล่าว โดยใช้คลื่นเสียงความถี่สูงประมวลภาพสแกนอวัยวะภายในร่างกายออกมา
      • การทำซีที สแกน แพทย์จะตรวจเนื้องอกที่เกิดขึ้นภายในต่อมหรืออวัยวะตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย โดยใช้ภาพเอกซเรย์จากหลายมุมมาประกอบกันและแสดงผลออกมาเป็นภาพสแกน

      การรักษาอาการประจำเดือนไม่มา

      วิธีรักษาอาการประจำเดือนไม่มาขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะขาดประจำเดือน ผู้ที่ประจำเดือนไม่มาอันเนื่องมาจากปัญหาสุขภาพนั้น จะได้รับการรักษาที่แตกต่างกันไป ซึ่งมีรายละเอียดพอสังเขป ดังนี้

      • ฮอร์โมนไม่สมดุล ผู้ที่ประสบภาวะขาดประจำเดือนจากปัญหาฮอร์โมนไม่สมดุลจะได้รับฮอร์โมนเสริมหรือฮอร์โมนสังเคราะห์ เพื่อปรับระดับฮอร์โมนให้เป็นปกติ
      • ถุงน้ำรังไข่หลายใบ กรณีที่ผู้ป่วยเกิดภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ แพทย์อาจจ่ายยาคุมกำเนิดแบบเม็ด หรือยาที่มีส่วนผสมของฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนเพื่อช่วยรักษาอาการ
      • รังไข่เสื่อมก่อนกำหนด ผู้ที่ประจำเดือนไม่มาจากสาเหตุนี้อาจได้รับการรักษาด้วยยาคุมกำเนิดแบบเม็ดหรือกลุ่มยาฮอร์โมนทดแทน (Hormone Replacement Therapy: HRT)
      • ต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกินไป ผู้ที่ประสบภาวะขาดประจำเดือนจากสาเหตุนี้ จะได้รับยาที่ช่วยหยุดการผลิตฮอร์โมนไทรอยด์ของต่อมไทรอยด์เพื่อรักษาอาการของโรค

      บทความเกี่ยวกับปัญหา ประจำเดือนไม่มา กินยาอะไรดี ที่ทีมกองบรรณาธิการ ABK นำข้อมูลมาฝากนี้ คงช่วยให้ผู้ที่มีปัญหาได้รับความรู้ความเข้าใจกันมากขึ้นนะคะ

       

      อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

      เช็กอาการ มดลูกโต สังเกตได้จากอะไร? รู้เร็วไม่ต้องผ่า!

      วิธีเก็บสิ่งส่งตรวจHPVด้วยตนเองและ ตรวจภายในเจ็บไหม

      ปากมดลูก สำคัญไฉนกับวัคซีนมะเร็งปากมดลูก 9สายพันธุ์

      7 ตำแหน่งปวดท้อง บอกโรค ปวดตรงไหนเป็นอะไรรู้ได้ที่นี่

       

      ขอบคุณข้อมูลจาก : https://hellokhunmor.com, https://www.pobpad.com

       

      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

      Amarin Baby & Kids

        วิธีเอาตัวรอดจากไฟไหม้

        10 วิธีเอาตัวรอดจากไฟไหม้ พ่อแม่ต้องรู้ไว้เอาไปสอนลูก

        10 วิธีเอาตัวรอดจากไฟไหม้ พ่อแม่ต้องรู้ไว้เอาไปสอนลูก

        จากเหตุการณ์ ไฟไหม้ผับชลบุรี MountainB เมาท์เทนบี เมื่อช่วงกลางดึกที่ผ่านมา ส่งผลให้มีนักเที่ยวเสียชีวิตมากกว่า 13 ราย และบาดเจ็บอีกจำนวนมาก บางรายวิ่งออกมาจากผับทั้ง ๆ ที่ยังมีไฟลุกตามตัว หลายคนวิ่งออกมาโดยทั้งที่ยังมีไฟไหม้ตามร่างกาย น่ากลัวมากทีเดียว เราไม่รู้เลยค่ะว่า เหตุการณ์ไฟไหม้จะเกิดกับเราไหม จะเกิดเมื่อไหร่ เกิดแล้วควรทำอย่างไร ทีมบรรณาธิการ ABK ขอแนะนำ วิธีเอาตัวรอดจากไฟไหม้ ให้คุณพ่อคุณไว้เป็นข้อมูล สำหรับไปสอนลูก เพื่อเป็นความรู้และแนวทางเอาตัวรอดจากอุบัติเหตุที่ไม่คาดดิดค่ะ

        ควรปฏิบัติอย่างไรก่อนเกิดเหตุไฟไหม้

        ไม่ว่าจะเข้าพักที่ใดก็ตาม ทั้งการเช่าอยู่ห้องพักระยะยาว และระยะสั้น ควรสังเกตทางหนีไฟ และจดจำตำแหน่งเอาไว้อย่างแม่นยำ เพื่อที่เวลาเกิดเหตุ จะได้พาตัวเองออกจากที่เกิดเหตุได้ทันเวลา เพราะที่ผ่านมาพบว่า มีผู้ประสบภัยหลายรายไม่ได้จดจำทางหนีไฟเอาไว้ ทำให้เมื่อเกิดเหตุไม่สามารถหลบหนีได้ทันเวลา

        10 วิธีเอาตัวรอดจากไฟไหม้

        แนวทางและหลักปฎิบัติ 10 วิธีเอาตัวรอด มีดังนี้
        1. หากเพลิงไหม้เกิดขึ้นภายในห้อง สิ่งแรกที่ต้องทำ คือ การตั้งสติ อย่าตื่นตระหนก

        2. ดึง หรือกดสัญญานแจ้งเหตุเพลิงไหม้ที่กล่องแดงข้างผนังทางเดินทันทีที่พบเหตุเพลิงไหม้ แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม

        3. หากเพลิงไหม้ยังอยู่ในระยะเริ่มต้น พยายามดับเพลิงโดยการใช้อุปกรณ์ดับเพลิงในอาคารให้ได้ภายใน 2 นาที โดยเริ่มจากดึงสลักนิรภัย ออกจากคันบีบบริเวณหัวถังดับเพลิง โดยหมุนสลักจนตัวยึดขาด และดึงสลักทิ้ง ปลดสายฉีดออกจากตัวถังดับเพลิง โดยดึงจากปลายสาย และใช้มือจับสายให้มั่นคง จากนั้นให้คุณพ่อคุณแม่ กดคันบีบด้านบนของถังดับเพลิง เพื่อให้น้ำยาดับเพลิงพุ่งออกจากหัวฉีดไปยังต้นเพลิง ส่ายหัวฉีดของถังดับเพลิงให้ทั่วบริเวณต้นเพลิงค่ะ อย่ามัวแต่รอความช่วยเหลือจากพนักงานดับเพลิง

        4. หากไม่สามารถดับเพลิงไหม้ได้ ให้ออกจากห้อง และปิดประตูให้สนิทเพื่อชะลอการลุกลามของเพลิงไหม้ จากนั้นรีบออกจากอาคารให้เร็วที่สุด

        5. แต่หากต้นเพลิงเกิดจากส่วนอื่นของอาคาร เมื่อทราบว่ามีเหตุเพลิงไหม้ ให้ตั้งสติ มองหาอุปกรณ์ส่องสว่าง ที่จะช่วยให้สามารถออกจากอาคารในความมืดได้ เช่น ไฟฉาย โทรศัพท์มือถือ

        วิธีเอาตัวรอดจากไฟไหม้
        10 วิธีเอาตัวรอดจากไฟไหม้ พ่อแม่ต้องรู้ไว้เอาไปสอนลูก

        6. หาผ้าชุบน้ำปิดปาก ปิดจมูก หรือหาผ้าห่มชุบน้ำแล้วห่มตัว เพื่อป้องกันการสูดควันไฟ และเพื่อป้องกันความร้อนจากเปลวไฟ

        7. ก่อนเปิดประตูให้แตะ หรือคลำลูกบิด หากร้อนจัดแสดงว่ามีเปลวเพลิงอยู่ด้านนอก อย่าตื่นตระหนกเปิดประตูทันทีเพราะจะถูกเปลวไฟพุ่งเข้าหาตัวได

        8. ห้ามใช้ลิฟต์เด็ดขาด เพราะหากติดอยู่ในลิฟต์ มีโอกาสสูงมากที่จะเสียชีวิตจากควันไฟ ให้ใช้บันไดหนีไฟ

        9. หากติดอยู่ในกลุ่มควันไฟ ให้ก้มตัวลงต่ำ และคลานไปกับพื้น เพราะออกซิเจนจะลอยอยู่ที่ต่ำ ควันไฟเป็นเหตุที่ทำให้คนส่วนใหญ่เสียชีวิตมากกว่าเปลวไฟถึง 3 เท่าตัว

        10. กรณีที่ไม่สามารถออกจากห้องได้ เนื่องจากมีเปลวไฟอยู่บริเวณภายนอกห้อง ให้อยู่ภายในห้องพัก และปิดประตู ใช้ผ้าชุบน้ำอุดบริเวณขอบบานประตู และให้ขอความช่วยเหลือที่หน้าต่างหรือระเบียง

        การช่วยเหลือผู้ประสบเหตุการณ์จากสถานการณ์ไฟไหม้

        นอกจากวิธีเอาตัวรอดเมื่อเกิดไฟไหม้แล้ว วิธีปฐมพยาบาลผู้ประสบเหตุไฟไหม้ก็เป็นอีกเรื่อง ที่คุณพ่อคุณแม่ควรทราบไว้เช่นกัน อ. นพ.พงศศิษฏ์ สิงหทัศน์ สาขาวิชาศัลยศาสตร์อุบัติเหตุและเวชบำบัดวิกฤตศัลยกรรม ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ได้แนะนำไว้ ต้องทำอย่างไรบ้างมาดูกันค่ะ

        • หากอยู่ในสถานการณ์คับขันให้รีบพาผู้ประสบภัยออกมาจากที่เกิดเหตุให้เร็วที่สุด
        • หากเพลิงไหม้สงบลงแล้ว การช่วยเหลือผู้ประสบภัย ควรดูแลเรื่องกระดูกต้นคอเป็นหลัก โดยการขนย้ายด้วยเปลหรือเบาะ อย่าหิ้วแขน หรือยกศีรษะห้อยลงในขณะเคลื่อนย้าย เพราะอาจทำให้กระดูกเคลื่อนได้
        • กรณีที่ผู้ประสบภัยถูกไฟครอกจนเสียหายรุนแรง หลังช่วยเหลือออกจากที่เกิดเหตุได้แล้ว ให้รีบถอดหรือตัดเสื้อผ้าออกจากร่างกายผู้ประสบภัย เพราะเสื้อผ้าจะอมความร้อนเอาไว้มาก แต่อย่าใช้วิธีกระชาก เพราะเนื้อผ้าบางส่วนอาจติดที่บริเวณผิวหนัง ทำให้ผิวหนังหลุดออกมาด้วย
        • ถอดเครื่องประดับ เช่น นาฬิกาข้อมือ กำไล ต่างหู ออกจากตัวผู้ประสบภัย เพราะของเหล่านี้อมความร้อนจะทำให้เกิดการพอง
        • ใช้น้ำสะอาดอุณหภูมิปกติ รดตัวผู้ประสบภัย เพื่อลดความร้อนให้กับร่างกาย
        • ใช้ผ้าชุบน้ำห่มตัวผู้ประสบภัยไว้ก่อน แล้วนำผ้าบางคลุมอีกชั้นหนึ่ง จากนั้นให้รีบนำส่งโรงพยาบาล
        • หากที่เกิดเหตุ และโรงพยาบาลอยู่ไกล ให้ผู้ประสบภัยดื่มน้ำก่อน เพราะผู้ประสบภัยมักจะมีภาวะขาดน้ำ แต่ถ้าโรงพยาบาลอยู่ไม่ไกลจากที่เกิดเหตุมากนัก ให้รีบนำส่งโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด
        • รีบเปิดทางเดินหายใจให้ผู้ประสบภัยหลังนำตัวออกมาจากที่เกิดเหตุ

        วิธีป้องกันการเกิดเหตุไฟไหม้

        เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุเพลิงไหม้ภายในบ้าน มีข้อควรปฏิบัติดังนี้ค่ะ

        1. ตรวจสอบอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้าน และสายไฟ ว่ามีการชำรุดหรือไม่
        2. เลือกใช้ปลั๊กพ่วงที่มีคุณภาพ ได้รับมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม
        3. ถอดปลั๊กออกทุกครั้งหลังจากที่ใช้งานเสร็จ
        4. ตรวจเช็คเตา และก๊าซหุงต้ม ว่าอยู่ในสภาพพร้อมใช้งานหรือไม่ และควรปิดวาลว์ทุกครั้งหลังจากที่ใช้งานเสร็จ
        5. เก็บวัสดุที่เป็นเชื้อเพลิงให้ห่างจากความร้อน

        ขอบคุณข้อมูลจาก

        workpoint today, Rama Channel,คมชัดลึก, กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย

         

        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

         อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

        CPR ช่วยชีวิตลูกจากการสำลัก ของติดคอ หากลูกหมดสติ

        อุทาหรณ์ ลูกถูกไฟช็อต จากสายชาร์จโทรศัพท์มือถือ

        อุทาหรณ์! เด็ก 8 เดือน ลูกโป่งระเบิด ใส่แขนไหม้!

          ฤกษ์ดี

          โหรเผย! ฤกษ์คลอดบุตร 2566 เกิด ฤกษ์ดี มีบารมีติดตัว!!

          ฤกษ์ดี ฤกษ์มงคล ฤกษ์คลอด ฤกษ์ผ่าคลอด ฤกษ์คลอดบุตร วางแผนมีบุตรเมื่อไหร่ดี จะได้คลอดทัน ฤกษ์คลอดบุตร 2566 ลูกคลอดวันมงคล ชีวิตเจริญรุ่งเรือง

          โหรเผย! ฤกษ์คลอดบุตร 2566 เกิด ฤกษ์ดี มีบารมีติดตัว!!

          คุณพ่อคุณแม่ที่กำลังวางแผนจะมีลูกในปี 2566 หรือปีเถาะ มาดู ฤกษ์ดี ที่ทีมกองบรรณาธิการ ABK รวบรวมมาฝากกันเลยค่ะ จะได้เตรียมตัวให้พร้อม นับวัน นับเดือนให้ดี เพื่อให้ตรงกับ ฤกษ์คลอด 2566 ที่ได้เล็งเอาไว้ พร้อมแล้วไปดูกันเลยค่ะ

          ฤกษ์ดี ฤกษ์คลอดบุตร 2566
          ฤกษ์ดี ฤกษ์คลอดบุตร 2566

          โหรเผย! ฤกษ์คลอดบุตร 2566 เกิด ฤกษ์ดี มีบารมีติดตัว!!

          “โหรวสุ” เผยฤกษ์ดี ปลายปีนี้ให้เตรียมปั๊มทายาท เด็กคลอดเดือนกรกฏาคม-สิงหาคม ปี 66 ถือว่าเป็นคนมีบุญบารมีมาเกิด เป็นอภิชาตบุตร

          โดยเฟซบุ๊กเพจ โหรวสุ ได้ระบุว่า

          “ครอบครัว หรือคู่แต่งงานใด ที่กำลังวางแผนมีบุตร และอยากได้ลูกเป็นอภิชาตบุตร เลี้ยงดูง่าย ฉลาด เป็นที่พึ่งพาอาศัยของครอบครัวได้ แนะนำให้วางแผนเริ่มท้องตั้งแต่ปลายปี 2565 ในช่วงเดือน พ.ย. – ธ.ค. นี้ได้เลยครับ เพราะถ้าได้คลอดช่วงเดือน กรกฏาคม – สิงหาคมปี 2566 จะเป็นช่วงที่ดาวอาทิตย์ จันทร์ และพฤหัส โคจรได้เกณฑ์จันทรครุ สุริยา ซึ่งเป็นเกณฑ์ใหญ่ ซึ่งปกติการโคจรได้ตำแหน่งแบบนี้ส่วนใหญ่ 4-5 ปีจะมีสักครั้ง แต่ปี 2566 จะพิเศษตรงที่เป็นช่วงที่พฤหัสทับลัคนาดวงเมืองราศีเมษด้วย เพราะฉะนั้นเด็กที่เกิดมาในช่วงปี 2566 จะถือว่าเป็นคนมีบุญบารมีมาเกิดครับ ที่เอามาแจ้งเพราะช่วงนี้มีคนปรึกษาเรื่องการมีบุตรหลายคน และมีคนให้วางฤกษ์แต่งงาน กับเปิดกิจการในช่วงปี 2566 ซึ่งผมก็เลยเห็นว่าช่วงเดือนก.ค. – ส.ค. เป็นช่วงที่ดี เหมาะกับการวางฤกษ์คลอดบุตร

          ส่วนคนที่เกิดมาในฤกษ์แล้วในดวงได้เกณฑ์จันทรครุ สุริยา ดีอย่างไร ทำไมที่ผมถึงแนะนำ เพราะจากที่ผมตรวจดวงชะตาเห็นคนที่มีดวงแบบนี้มักได้ทำงานเป็นใหญ่เป็นโต มีชื่อเสียง เป็นเศรษฐีร่ำรวยด้วยตัวเองทั้งนั้น แถมดวงแบบนี้มักจะล้มแล้วลุกได้ ยิ่งเจออุปสรรค เจอคนเหยียดหยาม หรือมีคนอิจฉาจ้องทำลายจะยิ่งแข็งแกร่ง ซึ่งในยุคสมัยที่การเมืองย่ำแย่ และสภาพเศรษฐกิจปากกัดตีนถีบแบบนี้ คนที่มีดวงประเภทนี้จะได้เปรียบกว่า คนดวงมีดาวมหาอุจณ์ หรือพวกอุดมเกณฑ์ปกติ ซึ่งถ้าเป็นสมัย 20-30 ปี ก่อนหน้านี้พวกคนมีดาวมหาอุจณ์ในดวง หรืออุดมเกณฑ์โหรเค้าจะทำนายว่าเป็นคนเกิดมาสบาย สมบูรณ์ทุกอย่าง ไม่ต้องไปทำอะไรให้เหนื่อย แต่ยุคนี้ถ้ามาเจอการเมือง สภาพบ้านเมืองที่ย่ำแย่ในยุคนี้ บอกเลยว่าไม่รอด เพราะการต่อสู้มันรุนแรง ถ้าล้มแล้วจะลุกขึ้นสู้ยาก และอาจจะไม่เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมคนสมัยนี้ ดูง่ายๆ ครับยุคหลังจากปี 2565 เป็นต้นไป ลูกเศรษฐี และเจ้าสัวทั้งหลาย จะประสบปัญหากับพฤติกรรมคนที่เปลี่ยนไป การ Interrupt ของเทคโนโลยี นวัตรกรรม และวัฒนธรรมใหม่ๆ ถ้าไม่ปรับตัวธุรกิจใหม่เปลี่ยนแปลงให้ทันตามยุคสมัย กิจการหรือธุรกิจที่สืบทอดมาจากตระกูลมีสิทธิ์เจ๊งที่รุ่นนี้เลย

          ขอบคุณขอมูลจาก เฟซบุ๊กเพจ โหรวสุ
          ขอบคุณขอมูลจาก เฟซบุ๊กเพจ โหรวสุ

          ทำไมต้องดูฤกษ์?

          เพราะฤกษ์เปรียบเสมือนการเริ่มต้น เมื่อสอดคล้องกับเจ้าชะตาก็จะส่งผลให้

          1. ชีวิตมีแต่ความผาสุก ราบรื่น ประกอบกิจการสำเร็จโดยง่าย
          2. ผลดีต่าง ๆ เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ได้ผลมาก และได้ผลนาน
          3. ส่งผลดีต่อเรื่องที่ต้องการ เช่น ตำแหน่งหน้าที่เจริญก้าวหน้าขึ้น ชีวิตและสุขภาพปลอดภัย ฯลฯ

          ถ้ากระทำการโดยไม่ดูฤกษ์จะเกิดอะไรขึ้น? โทษภัยที่จะเกิดขึ้นตามมาได้แก่

          1. เกิดการทะเลาะวิวาท เกิดคดีความ ธุรกิจหยุดชะงัก สูญเสียเงินทองก้อนโต
          2. ปัญหาสุขภาพ เจ็บป่วยเรื้อรัง ผ่าตัด
          3. เกิดอุบัติเหตุ อุบัติภัย ที่ไม่คาดฝัน
          4. รุนแรงที่สุดอาจถึงแก่ชีวิต

          ใครบ้างที่จะได้รับผลกระทบจากฤกษ์ที่เสีย?

          1. เจ้าชะตา
          2. ผู้ประกอบพิธี
          3. บุคคลในครอบครัว
          4. บุคคลผู้ให้ฤกษ์

          ผลร้ายจะส่งผลนานเท่าไร?

          ถ้ากระทบจุดสำคัญ ก็จะยาวนานถึง 3 ปี

          ฤกษ์คลอดบุตรที่ดีควรประกอบด้วยหลักสำคัญ 4 ประการดังนี้

          1. ต้องส่งเสริมให้บุตร มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง
          2. ส่งเสริมให้บุตร มีสติปัญญาดี เฉลียวฉลาด
          3. เป็นคนที่มีโชคลาภอยู่เสมอ
          4. เมื่อเติบใหญ่ มีอำนาจ มีบารมี

          ฤกษ์ผ่าคลอด

          ถ้าจะหาฤกษ์ผ่าคลอดให้ลูก ควรทราบก่อนว่า ในแต่ละวันหรือในเวลา 24 ชม.นั้น มี 27 ดาวฤกษ์ และแต่ละฤกษ์จะประกอบด้วยลูกพิษมากมาย

          ลูกพิษคืออะไร

          ลัคนาหรือดาวเคราะห์ใดถูกลูกพิษในดวงชะตา จัดเป็นจุดเสื่อมของดวงชะตาประการหนึ่ง การหาฤาษ์ผ่าคลอด หัวใจสำคัญประการหนึ่งที่โหราผู้ให้ฤกษ์พลาดไม่ได้เลยคือ การหลบลูกพิษทุกชนิดในพื้นดวงกำเนิด

          พิษนาค ในตรียางค์ที่ ๑ ของราศีเมษ, กันย์, ธนู, มีน หากลัคนาหรือดาวเคราะห์มีจุดเกาะตรียางค์แรกระหว่าง 0-10 องศา เรียกว่า ลัคนาหรือดาวเคราะห์นั้นถูกพิษนาค ถ้าลัคนาถูกพิษนาคแล้วผู้นั้นมักขี้โรคตั้งแต่เด็ก เช่น เป็นโรคน้ำเหลืองเสีย โรคพุพอง เป็นฝี เป็นต้น

          ถ้าดาวเคราะห์ใดหรือดาวเคราะห์เจ้าเรือนใดถูกพิษนาค ก็เป็นจุดเสื่อมแก่ดาวเคราะห์นั้นทำให้สภาพชีวิตเกี่ยวกับเรือนภพนั้นไม่สมบูรณ์ เช่น ชีวิตมีอุปสรรคมาก อนึ่ง โรคภัยไข้เจ็บอาจจะมาจากสัตว์ก็ได้เช่น ถูกงูกัด หรือภัยพิบัติอาจจะมีมาจากทางน้ำทางทะเล เป็นต้น (พิษนาค หมายถึง พญานาค งู สัตว์น้ำ และสัตว์ประเภทเลื้อยคลานทุกชนิด)

          พิษครุฑ ในตรียางค์ที่ ๒ ของราศีพฤษภ, สิงห์, ตุลย์ และกุมภ์ ถูกพิษครุฑ ผู้ใดมีลัคนาในราศีดังกล่าวหรือดาวเคราะห์ใดอยู่ แต่ 11-20 องศา เรียกว่า ลัคนาหรือดาวเคราะห์นั้นถูกพิษครุฑ

          ผู้ใดลัคนาถูกพิษเล็บครุฑ ผู้นั้นมักขี้โรค ถูกอะไรขีดข่วนเล็กๆ น้อยๆ ก็จะเป็นหนอง เป็นแผลไปนาน ทำให้เกิดแผลเป็น ถ้าดาวเคราะห์ถูกพิษครุฑ หรือดาวเคราะห์เจ้าเรือนถูกพิษครุฑ ก็จะเป็นจุดเสื่อมแก่เรือนภพนั้นๆ ทำให้เกิดอุปสรรคในการดำเนินชีวิตเกี่ยวกับเรือนภพนั้นๆ (พิษครุฑ หมายถึง พญาครุฑ สัตว์ปีกทุกชนิด ภยันตรายจากสัตว์จำพวกนก แมลง เช่นถูกต่อยหรือแตนต่อย ภัยทางอากาศ ตกจากที่สูง ภัยจากลมพายุ จากเครื่องบิน โรคภัยไข้เจ็บ หมายถึงโรคลมด้วย)

          พิษสุนัข ในตรียางค์ที่ ๓ ของราศีมิถุน, กรกฎ, พิจิก และมังกร แต่ 21-30 องศาของราศี ลัคนาหรือดาวเคราะห์ใดอยู่ระหว่างจุดพิกัดในตรียางค์ที่ 3 ของราศีดังกล่าว เรียกว่า ถูกพิษสุนัข

          ลัคนาของผู้ใดถูกพิษสุนัข (หรือพิษสุนัขบ้า)ผู้นั้นมักมีอารมณ์หงุดหงิดง่าย และมักจะทำอะไรบุ่มบ่ามขาดความยั้งคิด ดื้อรั้น เอาแต่ใจตัว มักจะถูกสุนัขกัด ถ้าดาวเคราะห์เจ้าเรือนใดถูกพิษสุนัข ก็จะเป็นจุดเสื่อมของดาวเคราะห์ดวงนั้นๆ (พิษสุนัข หมายถึง ภัยจากสัตว์สี่เท้าทุกชนิด เขี้ยวงา เช่น สุนัขกัด ภัยจากแผ่นดิน เช่น แผ่นดินไหว บ้านเรือนถล่มทับ ภูเขาพังทับ ภัยจากสัตว์จำพวกหนู ภัยจากการเดินทางโดยรถไฟและรถยนต์ เป็นต้น)

          เมื่อทราบ ฤกษ์ดี ที่ทีมกองบรรณาธิการ ABK นำมาฝากแล้ว เตรียมตัวตั้งครรภ์ตามฤกษ์ที่บอกกันเลยนะคะ หรือถ้าใครอยากได้ฤกษ์ผ่าคลอดในวัน เวลาที่แน่นอนช่วงเดือนกรกฎาคม – สิงหาคมปี 2566 งานนี้คงต้องปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางด้านโหราศาสตร์กันแล้วล่ะค่ะ

           

          อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

          คุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่วางแผนได้ มีลูกเมื่อพร้อม เทคโนโลยีตอบโจทย์ เพิ่มโอกาสการมีลูกให้สำเร็จได้ ครอบคลุมทุกขั้นตอนการรักษา พร้อมออกแบบแผนการรักษาเฉพาะแต่ละครอบครัว ที่ “Superior A.R.T.”

          ที่ตรวจครรภ์ มีกี่แบบ? พร้อมวิธีใช้และวิธีอ่านผล

          ตัดเล็บวันไหนดี 2565 / 2022 ให้โชคดี มีลาภใหญ่ เป็นมงคลแก่ตัวเอง

          สีกระเป๋าตามวันเกิด ปี 2565 เสริมให้ชีวิตปังๆ เงินเข้ารัวๆ

          ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.amarintv.com, เฟซบุ๊กเพจ โหรวสุ, อ.อรุณวิชญ์ วงศ์จตุพัฒน์ จากเวบ http://www.mahamongkol.com

           

          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

          Amarin Baby & Kids

            วิธีสต๊อคนมแม่

            บอกหมดไม่กั๊ก วิธีสต๊อคนมแม่ พร้อมส่งนมข้ามจังหวัดฟรี!

            วิธีสต๊อคนมแม่ เรื่องสำคัญสำหรับคุณแม่ที่มุ่งมั่นเลี้ยงลูกด้วยนมแม่100% รู้ไหม?สต๊อคแล้วส่งฟรีได้เมื่อกรมอนามัยหนุนจับมือบริษัทขนส่ง ส่งนมแม่ให้ฟรี!

            บอกหมดไม่กั๊ก วิธีสต๊อคนมแม่ พร้อมส่งนมข้ามจังหวัดฟรี!

            กรมอนามัย จับมือภาคีเครือข่าย MOU “ร่วมใจส่งรักส่งนมจากอกแม่สู่ลูก” หนุนแม่มือใหม่ส่งนมข้ามจังหวัด ช่วยลูกไม่พลาดนมแม่

            ​เมื่อวันที่ 27 ม.ค. 2565 ที่กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ“โครงการภาคีร่วมใจส่งรักส่งนมจากอกแม่สู่ลูก” พร้อมด้วย พญ.ศิริพร กัญชนะ ประธาน มูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย คุณชนิดา สมานจิตร ผู้อำนวยการกองสื่อสารองค์กรและการตลาด ผู้แทนบริษัท ขนส่ง จำกัด คุณยอดพจน์ วงศ์รักมิตร ประธานกรรมการบริษัท นครชัยแอร์ จำกัด คุณธีลฎี พันธุมจินดา ผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรบุคคล ผู้แทนบบริษัท ไทยแอร์เอเชีย จำกัด และคุณกฤษดา อารัมภวิโรจน์ กรรมการผู้จัดการบริษัท เอเวอรี่เดย์ ด๊อกเตอร์ จำกัด

            รณรงค์ดื่มนมแม่ ลดการใช้นมผง
            รณรงค์ดื่มนมแม่ ลดการใช้นมผง

            นพ.สุวรรณชัย กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายที่จะส่งเสริม สนับสนุนและปกป้องให้เด็กทุกคนได้กินนมแม่อย่างเต็มที่ ตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก คือ กินนมแม่ตั้งแต่ 1 ชั่วโมงแรกหลังคลอด กินนมแม่เพียงอย่างเดียวในช่วง 6 เดือนแรกของชีวิต และกินนมแม่ต่อเนื่องควบคู่อาหารตามวัยจนถึงอายุ 2 ปี หรือนานกว่านั้น โดยกระทรวงสาธารณสุขตั้งเป้าหมายไว้ว่า ในปี 2568 ทารกร้อยละ 50 จะได้กินนมแม่อย่างเดียวถึง 6 เดือน ซึ่งสอดคล้องตามเป้าหมายของทุกประเทศทั่วโลก

            แม้อยู่กันคนละจังหวัด ก็สามารถให้ลูกกินนมแม่ได้ต่อเนื่อง!!

            การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ “โครงการภาคีร่วมใจส่งรักส่งนมจากอกแม่สู่ลูก” ระหว่างกระทรวงสาธารณสุข โดยกรมอนามัย ร่วมกับมูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย บริษัท ขนส่ง จำกัด  บริษัท นครชัยแอร์ จำกัด  บริษัท ไทยแอร์เอเชีย จำกัด  และบริษัท เอเวอรี่เดย์ ด๊อกเตอร์ จำกัด ในครั้งนี้ จะสนับสนุนให้แม่ที่ทำงานต่างจังหวัดสามารถส่งนมแม่ข้ามจังหวัดได้ โดยไม่มีภาระ ถือเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมสนับสนุนให้แม่ที่ทำงานนอกบ้าน หรือแม่ที่ทำงานต่างจังหวัดที่ต้องการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ยังคงสามารถให้ลูกได้กินนมแม่ อย่างต่อเนื่องเท่าที่ต้องการ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่นอกจากเป็นการส่งต่อภูมิคุ้มกันทางธรรมชาติให้ลูกน้อยแล้ว ยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย เพราะนมแม่สามารถผลิตได้เองโดยธรรมชาติ โดยไม่ต้องเดินทางออกนอกบ้านเพื่อไปหาซื้อ สามารถให้ลูกกินได้ ทุกที่ ทุกเวลา

            วิธีสตีอคนมแม่ ให้ลูกมีกินแม้แม่อยู่ไกล
            วิธีสตีอคนมแม่ ให้ลูกมีกินแม้แม่อยู่ไกล

            นมแม่กับเด็กไทย

            นพ.สุวรรณชัย กล่าวว่า จากการสำรวจสถานการณ์เด็กและสตรีในประเทศไทย ปี 2562 โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติร่วมกับองค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ พบว่า

            • ทารกไทยเพียงร้อยละ 34 ได้กินนมแม่ภายใน 1 ชั่วโมงแรกหลังคลอด
            • มีเพียงร้อยละ 14 ที่ได้กินนมแม่อย่างเดียวในช่วง 6 เดือนแรกของชีวิต
            • ทารกเพียงร้อยละ 15 ที่ได้กินนมแม่ต่อเนื่องถึง 2 ปี

            ดังนั้น จึงเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วนที่ทุกคนในสังคม ต้องร่วมมือกันอย่างจริงจัง สนับสนุนและปกป้องให้เด็กไทยทุกคนได้กินนมแม่ตามสิทธิของเด็ก ขณะเดียวกันแม่ที่ต้องออกไปทำงานนอกบ้านยังคงสามารถเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้อย่างต่อเนื่อง เพราะนมแม่เป็นอาหารที่ดีที่สุดสำหรับลูก เนื่องจากมีสารอาหารมากกว่า 200 ชนิด และเหมาะสมที่สุดสำหรับเด็กเล็กทุกช่วงวัย นมแม่จึงเปรียบเสมือนวัคซีนในการป้องกันโรค ตั้งแต่หยดแรก เพราะในน้ำนมแม่มีภูมิคุ้มกันโรค ที่ไม่สามารถหาได้จากอาหารอื่น และยังส่งผลดีต่อพัฒนาการทางกาย สติปัญญา อารมณ์ และสังคม

            ส่งนมแม่ข้ามจังหวัด ๆ ฟรี!!

            อธิบดีกรมอนามัย กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ นับตั้งแต่ ปี 2563-2564 ที่เริ่มมีการดำเนินงานร่วมกับภาคีเครือข่ายในการให้บริการขนส่งนมแม่ฟรี มีผู้เข้าร่วมโครงการฯ จำนวน 3,690 ราย และเพื่อเป็นการสนับสนุนให้แม่ที่ต้องทำงานนอกบ้าน ยังคงสามารถเลี้ยงลูก ด้วยนมแม่ได้ จึงได้จัดโครงการต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 3 ปี โดยจะสิ้นสุดในปี 2567 เป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายในการขนส่งนม และยังช่วยชะลอการเริ่มเลี้ยงลูกด้วยนมผงได้อีกด้วย ซึ่งในการลงนามในครั้งนี้ ทางมูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย ได้จัดทำคำแนะนำขั้นตอนการเก็บนมแช่แข็ง การบรรจุนมเพื่อขนส่ง รวมทั้งบริษัท ขนส่ง จำกัด บริษัท นครชัยแอร์ จำกัด บริษัท ไทยแอร์เอเชีย จำกัด ดำเนินงานแจ้งเส้นทางการขนส่ง จุดรับ – ส่งนมเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้บริการ และให้ความอนุเคราะห์โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายทุกเส้นทางที่บริษัทให้บริการ ยกเว้นการให้บริการระหว่างประเทศ และบริษัท เอเวอรี่เดย์ ด๊อกเตอร์ จำกัด ที่ช่วยดำเนินงานดูแลและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกับระบบ Line@

            วิธีสต๊อคนมแม่ เก็บนมแม่ เพื่อนำส่งข้ามจังหวัด
            วิธีสต๊อคนมแม่ เก็บนมแม่ เพื่อนำส่งข้ามจังหวัด

            พญ.ศิริพร กัญชนะ ประธานมูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย กล่าวว่า การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสอันดีที่สนับสนุนให้ลูกได้กินนมแม่อย่างเดียว 6 เดือน ไม่ว่าจะเป็นการขนส่งน้ำนมฟรี การสนับสนุนให้มีการลาคลอด เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ นับเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยให้แม่สามารถเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้ โดยเฉพาะในช่วงโควิด-19 นี้ แม่ที่ฉีดวัคซีนสามารถส่งต่อภูมิคุ้มกันสู่ลูกโดยผ่านน้ำนมได้

            ขั้นตอนการส่งนมแม่ฟรี กับนครชัยแอร์

            1. ลงทะเบียนร่วมโครงการ ผ่าน Line Official ของโครงการได้ที่ Line : @anamaimilk

            2. สร้างใบปะหน้ากล่อง ก่อนส่งน้ำนมทุกครั้ง โดยเข้าไปที่ Line : @anamaimilk เลือกเมนู “สร้างใบปะหน้า” พิมพ์ใบปะหน้าและติดที่กล่องโฟมที่บรรจุน้ำนมแม่ที่แพ็กไว้แล้ว

            3. แพ็กน้ำนมแม่แบบแห้ง เท่านั้น พร้อมบรรจุในกล่องโฟมตามมาตรฐานกรมอนามัย

            4. นำส่งน้ำนมแม่ได้ทุกเส้นทางเดินรถ ของนครชัยแอร์ โดยแจ้งพนักงานก่อนส่งทุกครั้ง ว่าต้องการส่งน้ำนมแม่ฟรี (โดยผู้ส่งต้องเปิดกล่องให้พนักงานตรวจสอบทุกครั้งก่อนส่ง)

            5. สามารถส่งและรับได้ที่ สถานีเดินรถนครชัยแอร์ ทุกสาขา บริการส่งน้ำนมแม่ยังไม่ครอบคลุมส่งถึงบ้าน กรุงเทพฯ สามารถส่งน้ำนมแม่ได้ที่ นครชัยแอร์ (สำนักงานใหญ่) ถ.วิภาวดีรังสิต เท่านั้น

            ***สงวนสิทธิ์เฉพาะผู้ลงทะเบียนกับกรมอนามัยและปฏิบัติตามเงื่อนไขการจัดส่งของบริษัทฯ เท่านั้น

            ส่งนมแม่ข้ามจังหวัดฟรี กับนครชัยแอร์
            ส่งนมแม่ข้ามจังหวัดฟรี กับนครชัยแอร์

            วิธีสต๊อคนมแม่ ไม่เหม็นหืน ประโยชน์อยู่ครบ!!

            สูตรในการปั๊มนม คุณแม่สามารถเลือกได้ตามความสะดวก

            • สูตรที่ 1 : ปั๊มทันทีหลังลูกดูดไปแล้ว 10-15 นาที
            • สูตรที่ 2 : ปั๊มนมระหว่างมื้อนม ให้ปั๊มนมหลังจากเข้าเต้าไปแล้วประมาณ 1 ชั่วโมง โดยปั๊มพร้อมกันทั้ง 2 เต้า นาน 10-15 นาที

            วิธีเก็บนมสต๊อกให้ลูก ต้องปั๊มนมอย่างไร?

            1. ควรเลือกเครื่องปั๊มนมชนิดที่ปั๊มนมพร้อมกันทั้ง 2 ข้าง เพราะการปั๊มทีละข้างจะต้องใช้เวลานานเป็น 2 เท่า
            2. เลือกขนาดกรวยครอบ (breastsheild/fange) ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางของอุโมงค์กรวย (tunnel) พอดีกับเส้นผ่านศูนย์กลางฐานนมเมื่อขยายเต็มที่จากการปั๊ม
            3. ระยะแรกหลังคลอด ควรปั๊มนมให้ได้ 8- 10 มื้อต่อวัน โดยปั๊มนมนานครั้งละ 15-20 นาที
            4. ระยะ 2-3 เดือนแรกหลังคลอด ควรปั๊มอย่างน้อยทุก 5-6 ชั่วโมง โดยกลางคืนควรปั๊มอย่างน้อย 1 ครั้ง

            นมแม่เก็บที่อุณหภูมิต่างๆ ได้นานแค่ไหน?

            • อุณหภูมิห้อง > 25 องศาเซลเซียส  เก็บได้นาน 1 ชั่วโมง
            • อุณหภูมิห้อง < 25 องศาเซลเซียส  เก็บได้นาน 4 ชั่วโมง
            • กระติกน้ำแข็ง  อุณหภูมิ <15 องศาเซลเซียส  เก็บได้นาน 24 ชั่วโมง
            • ตู้เย็นช่องธรรมดา อุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียส   เก็บได้นาน 4 วัน (96 ชั่วโมง)
            • ตู้เย็นช่องแช่แข็งแบบประตูเดียว   เก็บได้นาน 2 สัปดาห์
            • ตู้เย็นช่องแช่แข็งแบบประตูแยก   เก็บได้นาน 3 เดือน
            • ตู้เแช่แข็งแบบประตูแบบ deep freezer อุณหภูมิ -19 องศาเซลเซียส  เก็บได้นาน 6 เดือน

              วิธีสตีอคนมแม่ เก็บรักษาไม่ให้เหม็นหืน
              วิธีสตีอคนมแม่ เก็บรักษาไม่ให้เหม็นหืน

            เก็บนมแม่ในช่องแช่แข็งอย่างไร ให้เหม็นหืนน้อยที่สุด ?

            1. อุปกรณ์ที่ใช้ปั๊มน้ำนม และภาชนะที่เก็บน้ำนมต้องสะอาด ปลอดเชื้อ
            2. ควรรีดอากาศออกจากถุงเก็บน้ำนมให้มากที่สุดก่อนเก็บ และรีบนำนมเข้าช่องแช่แข็ง
            3. ในกรณีที่เก็บนมแม่ในถุงพลาสติกแล้วมีกลิ่มเหม็นหืนมาก อาจเปลี่ยนเป็นภาชนะเก็บน้ำนมเป็นภาชนะที่ทำจากแก้วแทน
            4. ไม่ควรจัดเก็บน้ำนมแม่รวมกับอาหารอื่น
            5. ไม่ควรเรียงนมแม่ชิดผนังของช่องแข็งที่มีระบบละลายน้ำแข็งอัตโนมัติ
            6. สำหรับกรณีที่คุณแม่พยายามดูแลการเก็บน้ำนมอย่างเต็มที่แล้ว แต่นมแม่ยังมีกลื่นเหม็นหืนมาก และทารกไม่ยอมกิน ควรปรับปั๊มกินวันต่อวัน หรือเก็บในช่องเย็นธรรมดา ร่วมกับพิจารณาต้มน้ำนมที่เก็บใหม่ที่อุณหภูมิ 82 องศาเซลเซียส โดยดูได้จากเริ่มเห็นฟองเล็กๆ ผุดขึ้นในหม้อ จากนั้นให้ดับไฟ รอจนนมเย็นขึ้น แล้วจึงนำไปแช่แข็ง ซึ่งการต้มนมด้วยวิธีนี้จะช่วยยับยั้งการทำงานของไลเปสในน้ำนม ทำให้ลดการเหม็นหืนได้ดี อย่างไรก็ตามการต้มจะทำให้น้ำนมเสียภูมิคุ้มกัน และสารอาหารบางส่วนไป
            ข้อมูลอ้างอิงจาก www.hfocus.org/ www2.nakhonchaiair.com/vichaivej-omnoi.com /www.thansettakij.com

            อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

            Stock milk เคล็ดลับการจัดเก็บสต็อกนมแม่

            น้ำผึ้ง ป้อนทารก ระวังอันตราย!จากภาวะโบทูลิซึม

            แม่ท้องกินอะไรได้บ้าง? เมนูอาหารแม่ท้อง 1-3 เดือน เติมคุณค่าอาหารให้แม่และลูกแข็งแรง

            ปั๊มนม อย่างไรให้ถูกต้อง ปั๊มถูกวิธีมีดีกว่าที่คิด!!

            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

              รถรับ-ส่งนักเรียน

              กรมควบคุมโรคแนะการป้องกันอุบัติเหตุกับ รถรับ-ส่งนักเรียน

              กรมควบคุมโรคแนะการป้องกันอุบัติเหตุกับ รถรับ-ส่งนักเรียน

              กรมควบคุมโรค ขอความร่วมมือประชาชนตรวจสอบสภาพรถยนต์ ความพร้อมของร่างกาย ก่อนการขับขี่ยานยนต์ และปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด พร้อมแนะนำการป้องกันอุบัติเหตุทางถนน สำหรับ รถรับ-ส่งนักเรียน เพื่อลดการบาดเจ็บ และเสียชีวิตของเยาวชน

              สถิติอุบัติเหตุทางถนน

              ข้อมูลจากศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน ตั้งแต่เดือนมกราคม – มิถุนายน 2565 พบการเกิดอุบัติเหตุรถรับ-ส่งนักเรียนรวมทั้งสิ้น 16 ครั้ง มีนักเรียนบาดเจ็บไปแล้ว มากกว่า 165 ราย ข้อมูลสถิติย้อนหลัง 5 ปี จะมีเหตุการณ์ เฉลี่ย 2 ครั้งต่อ 1 เดือน หรือ 1 ปีจะมีอุบัติเหตุประมาณ 30 ครั้ง แต่สถานการณ์ในปัจจุบัน เป็นเรื่องที่น่ากังวลอย่างยิ่ง ที่พบว่าในช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน 2565 พบการเกิดอุบัติเหตุมากถึง 13 ครั้ง ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเปิดเรียนหลังจากปิดโรงเรียนมาเป็นเวลานานกว่า 2 ปี

              คำแนะนำสำหรับการป้องกันการเกิดอุบัติเหตุทางถนนที่เกิดกับ รถรับ-ส่งนักเรียน

              มีดังนี้

              1) เลือกใช้บริการรถที่ได้มาตรฐาน ตามกรมการขนส่งทางบกกำหนด เช่น ที่นั่งโดยสารต้องยึดแน่น อย่างมั่นคงแข็งแรง ห้ามนักเรียนยืนโดยสาร รถทุกคันต้องติดแผ่นป้ายพื้นสีส้ม มีข้อความตัวอักษรสีดำ “รถโรงเรียน” ติดอยู่ด้านหน้าและท้ายรถ มีไฟสัญญาณสีเหลืองอำพันหรือไฟสีแดง เปิด – ปิด เป็นระยะ มีเครื่องมือจำเป็นกรณีฉุกเฉินติดตั้งในรถ เช่น เครื่องดับเพลิง ค้อนทุบกระจก และมีผู้ดูแลนักเรียนประจำอยู่ในรถตลอดเวลา

              2) รถที่นำมาใช้ต้องได้รับการตรวจสภาพรถและซ่อมบำรุงรักษา ให้ได้มาตรฐานสม่ำเสมอตามระยะเวลาที่กำหนดหรือตรวจสภาพรถทันทีเมื่อพบว่าสภาพรถมีปัญหา

              3) ไม่ใช้รถ รับ -ส่ง นักเรียน ที่ดัดแปลงสภาพ หรือกลุ่มรถกระบะต่อเติมหลังคา

              4) ห้ามบรรทุกนักเรียนเกินกว่าจำนวนที่นั่งบนรถ

              5) มีการตรวจสอบชื่อเด็กนักเรียนขณะขึ้น-ลง และอย่าปล่อยเด็กขึ้นลงรถโดยลำพังเด็ดขาด

              6) ต้องมีหนังสือรับรองจากโรงเรียนหรือสถานศึกษาให้รับ-ส่งนักเรียน

              7) ผู้ขับขี่ต้องได้รับใบอนุญาตขับรถส่วนบุคคลมาแล้ว ไม่น้อยกว่า 3 ปี หรือได้รับใบอนุญาตขับรถสาธารณะ และผู้ขับขี่ต้องปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด ไม่ขับรถเร็ว ไม่ดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ หรือใช้ยา หรือสารที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท คาดเข็มขัดนิรภัยทุกครั้ง

              รถรับ-ส่งนักเรียน
              กรมควบคุมโรคแนะการป้องกันอุบัติเหตุกับ รถรับ-ส่งนักเรียน

              อุบัติเหตุ จากการใช้รถใช้ถนน ที่ต้องระวัง!

              1. กรณีโดยสารรถจักรยานยนต์

              ความจริงแล้ว เราไม่ควรให้เด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี โดยสารรถจักรยานยนต์ เพราะเด็กมีโอกาสเสี่ยงสูงที่จะได้รับบาดเจ็บรุนแรง และมีผลกระทบต่อร่างกายตลอดทั้งชีวิต แต่หากมีความจำเป็นจริงๆ

              • ควรใช้เป้ หรือถุงจิงโจ้ ที่สามารถรองรับน้ำหนักเด็กได้อย่างปลอดภัย
              • พร้อมใช้มือประคองลำตัวเด็ก (กรณีคนซ้อนท้าย)
              • แต่ต้องระวังไม่ให้ชายผ้าเกี่ยวเข้าไปซี่ล้อรถ

              ผู้โดยสารที่เป็นเด็กอายุ 3-5 ปี  เมื่อต้องโดยสารรถจักรยานยนต์

              • ควรอยู่ในความดูแลอย่างใกล้ชิดจากผู้ใหญ่
              • ควรให้เด็กสวมหมวกนิรภัยที่มีขนาดพอดีกับศีรษะ
              • และคาดสายรัดคางให้กระชับเสมอ
              • นอกจากนี้ กรณีเดินทางด้วยรถจักรยานยนต์เพียงสองคนกับเด็ก ควรให้เด็กนั่งอยู่หน้าผู้ใหญ่ ที่ด้านหน้าของผู้ขับขี่เท่านั้น

              มีการเปิดเผยสถิติ พบว่าเด็กไทยประมาณ 1 ล้าน 3 แสนคน ที่เดินทางด้วยรถจักรยานยนต์ แต่มีเพียงร้อยละ 7 เท่านั้นที่สวมหมวกนิรภัยขณะโดยสารรถจักรยานยนต์   ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เด็กได้รับอันตรายถึงขั้นเสียชีวิต และบาดเจ็บ

              ทั้งนี้ งานวิจัยโดยศูนย์วิจัยอุบัติเหตุแห่งประเทศไทย และสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย ระบุว่า การสวมหมวกกันน็อกช่วยลดโอกาสการเสียชีวิตเนื่องจากการบาดเจ็บที่ศีรษะในผู้ขับขี่ได้ 43 % และผู้ซ้อนท้าย 58%

              2. กรณีโดยสารรถยนต์ 

              ทุกครั้งที่ต้องพาลูกเดินทางโดยรถยนต์

              • คุณพ่อคุณแม่ ควรจัดหาที่นั่งนิรภัยที่มีขนาดเหมาะสมกับวัย รูปร่าง และส่วนสูงของลูก โดยยึดติดไว้บริเวณเบาะด้านหลังรถ และคาดสายรัดที่นั่งนิรภัยให้กระชับตัวลูก
              • หากไม่มีที่นั่งนิรภัย ควรให้ลูกนั่งบริเวณเบาะหลังรถค่อนไปด้านใดด้านหนึ่ง

              ที่สำคัญ ไม่ควรให้ลูกนั่งด้านหน้าข้างคนขับ เพียงลำพังโดยไม่มีอุปกรณ์นิรภัย และ ห้ามให้ลูกนั่งตักขณะขับรถ ตลอดจนไม่ควรให้ลูกคาดเข็มขัดนิรภัยเส้นเดียวกับผู้ใหญ่ เพราะหากประสบอุบัติเหตุเด็กจะได้รับบาดเจ็บรุนแรง

               

              สำหรับ เด็กอายุ 6 ขวบขึ้นไป พ่อแม่สามารถสอนทักษะความปลอดภัยให้เขา เพื่อปลูกฝังให้ลูกรู้จักทักษะการระมัดระวังอุบัติเหตุ ด้วยตัวเอง เช่น ต้องไม่วิ่งเล่นบนถนนที่มีรถวิ่งไปมา ต้องข้ามถนนตรงทางที่กำหนดไว้ เวลานั่งรถจักรยานยนต์รับจ้าง ต้องใส่หมวกนิรภัย หรือ นั่งรถยนต์ต้องคาดเข็มขัดนิรภัย ต้องสอนให้เด็กเข้าใจเหตุผล และสามารถปฏิบัติได้ หากเราไม่สอนหรือทำตัวอย่างไม่ดี ลูกก็จะไม่ปฏิบัติตามค่ะ

              ขอบคุณข้อมูลจาก

              กรุงเทพธุรกิจ 

               

              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

               อ่านต่อบทวามดี ๆ คลิก

              อุทาหรณ์ อุบัติเหตุในเด็กเล็ก พร้อม 6 วิธี ลดเสี่ยงเกิดเหตุ

              10 วิธีป้องกันอุบัติเหตุในบ้าน สำหรับเด็กเล็ก

              อุทาหรณ์ เด็กจมน้ำ อุบัติเหตุอันดับต้น ๆ ที่เกิดกับลูกหลาน

                โรคเดอร์มอยด์ซีสต์

                ไม่ใช่คุณไสยฯ!ก้อนเส้นผมในรังไข่เป็น โรคเดอร์มอยด์ซีสต์

                ไม่ใช่คุณไสยฯ!ก้อนเส้นผมในรังไข่เป็น โรคเดอร์มอยด์ซีสต์

                คุณแม่ ๆ แทบทุกคนน่าจะเคยได้ยินถึง โรคซีสต์ หรือ ถุงน้ำที่รังไข่ แต่หลายคนอาจไม่คุ้นเคยกับ โรคเดอร์มอยด์ซีสต์ (Dermoid Cyst) ที่เกิดจากเซลล์ที่มีความสามารถพัฒนาไปเป็นเซลล์ชนิดต่าง ๆ มาอยู่ที่บริเวณรังไข่ตั้งแต่แรกเกิด แล้วพัฒนา หรือถูกกระตุ้นด้วยปัจจัยบางอย่าง ให้เจริญไปเป็นเซลล์ไขมัน เส้นผม กระดูกอ่อน หรือฟัน จนเกิดเป็นถุงน้ำที่รังไข่ ที่เหมือนจะเป็นคุณไสยฯ แต่ไม่ใช่นะคะ โรคนี้เป็นอย่างไร คุณแม่ต้องระวังแค่ไหน มาติดตามกันค่ะ

                ชนิดของซีสต์รังไข่

                ซีสต์รังไข่มีหลายชนิดและพบบ่อยในช่วงวัยตั้งแต่ 15 – 49 ปี ที่ควรรู้จักไว้มี 5 ชนิด คือ

                1. ซีสต์ที่เกิดขึ้นในระหว่างการตกไข่ (Functional Cyst) พบได้บ่อยที่สุดในผู้หญิง
                2. ภาวะที่รังไข่มีถุงน้ำจำนวนมาก (Polycystic Ovaries) เกิดจากการที่ถุงไข่ (Follicle) ที่มีหน้าที่สร้างไข่ เปิดออกไม่ได้จนทำให้ซีสต์ก่อตัวขึ้น
                3. โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis) หากเป็นโรคนี้เนื้อเยื่อจากเยื่อบุโพรงมดลูกจะไปเจริญขึ้นในบริเวณอื่นของร่างกายรวมถึงรังไข่ ทำให้ปวดรุนแรงและส่งผลต่อการมีบุตร
                4. ซีสต์ที่เซลล์บนพื้นผิวรังไข่ (Cystadenomas) ซีสต์ชนิดนี้ส่วนมากจะมีของเหลวอยู่ด้านใน
                5. ซีสต์ที่ภายในมีเนื้อเยื่อลักษณะเหมือนกับเนื้อเยื่อส่วนอื่นๆ ของร่างกาย (Dermoid Cysts) เช่น เนื้อเยื่อผิวหนัง ผม ฟัน

                อาการของ โรคเดอร์มอยด์ซีสต์

                • อาการปวดหน่วงๆ ในท้องน้อย หรือ อุ้งเชิงกราน
                • คลำพบก้อนได้ในท้องน้อย
                • ปวดท้องเฉียบพลัน ที่เกิดจากการมีภาวะแทรกซ้อน บิดขั้ว , แตก หรือเกิดการติดเชื้อ
                • มักไม่มีอาการใด ๆ ไม่มีประจำเดือนผิดปกติ แต่สามารถตรวจพบได้ โดยการตรวจสุขภาพประจำปี
                  ด้วยการตรวจอัลตราซาวด์
                โรคเดอร์มอยด์ซีสต์
                ไม่ใช่คุณไสยฯ!ก้อนเส้นผมในรังไข่เป็น โรคเดอร์มอยด์ซีสต์

                ขอบคุณภาพจาก โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย

                ภาวะแทรกซ้อน

                ภาวะแทรกซ้อนของโรคถุงน้ำเดอร์มอยด์ ได้แก่

                • บิดขั้ว (Torsion) เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้มากที่สุด ในโรคถุงน้ำเดอร์มอยด์ (Dermoid Cyst) คนไข้จะมีอาการปวดบริเวณท้องน้อยด้านซ้าย หรือขวา กดเจ็บบริเวณท้องน้อย คลื่นไส้ อาเจียน หรืออาจมีไข้ต่ำ ๆ ได้ ถ้าไม่ได้รับการรักษาโดยการผ่าตัดฉุกเฉิน จะทำให้รังไข่ข้างนั้น ๆ ขาดเลือดไปเลี้ยงเป็นเวลานาน ส่งผลให้รังไข่เน่า ทำให้จำเป็นต้องตัดรังไข่ข้างนั้นทิ้งในที่สุด
                • แตกหรือรั่ว (Rupture or Leakage) เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้กับโรคถุงน้ำรังไข่ทุกชนิด รวมทั้งโรคถุงน้ำเดอร์มอยด์ คนไข้จะมีอาการปวดท้องน้อยฉับพลัน และปวดตลอดเวลา ซึ่งถ้ามีเลือดออกในช่องท้องจำนวนมาก จะทำให้เกิดภาวะช็อกได้
                • ติดเชื้อ (Infection) เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้ไม่บ่อยนัก แต่ก็ทำให้เกิดอาการรุนแรงได้ คนไข้จะมีอาการไข้สูง ร่วมกับการปวดท้องน้อยที่รุนแรง
                • มะเร็ง (Cancer) ถุงน้ำรังไข่ชนิดนี้แม้ส่วนใหญ่จะไม่ใช่มะเร็ง แต่ก็มีโอกาสเป็นมะเร็งได้ประมาณ 1% โดยไม่จำเป็นต้องพบในคนอายุมากเท่านั้น เป็นมะเร็งที่พบในคนอายุน้อยได้ ซึ่งวิธีการตรวจให้ทราบได้นั้น คือการผ่าตัดเท่านั้น การอัลตราซาวนด์บอกได้เพียงว่ามีถุงน้ำที่รังไข่ แต่ไม่สามารถบอกได้ว่ามีเซลล์มะเร็งหรือไม่

                วิธีการรักษา

                โรคถุงน้ำเดอร์มอยด์ เป็นโรคที่ต้องรักษาด้วยการผ่าตัดเท่านั้น ไม่สามารถทำให้เล็กลงด้วยยา หรือฮอร์โมน ซึ่งต่างจากช็อกโกแลตซีสต์

                • ผ่าตัดเลาะเฉพาะถุงน้ำ (Ovarian Cystectomy) โดยจะทำในกรณีที่ยังไม่มีรังไข่เน่า จากภาวะแทรกซ้อนจากรังไข่บิดขั้ว และถุงน้ำมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก ดังนั้นการตรวจพบถุงน้ำรังไข่ก่อนที่จะมีขนาดใหญ่จนเกิดภาวะแทรกซ้อน จึงเป็นการดีที่สุด เพราะการผ่าตัดในขณะที่ขนาดถุงน้ำรังไข่มีขนาดเล็กนั้นทำได้ง่ายกว่า และสูญเสียเนื้อรังไข่น้อยกว่า ส่งผลดีในกรณีที่คนไข้อายุยังน้อย และมีความต้องการมีบุตรในอนาคต
                • ผ่าตัดรังไข่ข้างนั้น ๆ (Unilateral Oophorectomy) จะทำในกรณีที่มีภาวะรังไข่เน่า จากการที่รังไข่บิดขั้ว ทำให้รังไข่ขาดเลือดไปเลี้ยงเป็นเวลานานจนรังไข่เน่า กรณีที่ถุงน้ำมีขนาดใหญ่มาก ๆ ไม่มีเนื้อรังไข่ส่วนที่ดีเหลืออยู่ และรังไข่อีกข้างดูปกติดี เพราะการเหลือรังไข่ 1 ข้าง เพียงพอสำหรับการผลิตฮอร์โมนเพศหญิงได้ หรือกรณีที่อายุมาก ๆ สงสัยว่าอาจมีเซลล์มะเร็ง

                การผ่าตัดถุงน้ำเดอร์มอยด์แบบไม่เปิดหน้าท้อง Advanced Minimal Invasive Surgery (MIS)

                การผ่าตัดถุงน้ำเดอร์มอยด์ (Dermoid Cyst) นั้น สามารถทำได้ทั้งแบบเปิดหน้าท้อง และแบบไม่เปิดหน้าท้อง ซึ่งการผ่าตัดแบบไม่เปิดหน้าท้อง สามารถทำได้โดยการผ่าตัดผ่านกล้องแผลเล็ก โดยแพทย์เฉพาะทางด้านการผ่าตัดผ่านกล้อง ประกอบกับเครื่องมือที่ทันสมัยได้มาตรฐาน ช่วยให้การผ่าตัดง่ายขึ้น แผลผ่าตัดมีขนาดเล็กเพียง 5 – 10 มิลลิเมตร เจ็บน้อย ฟื้นตัวได้เร็ว ลดการเกิดพังผืดในช่องท้อง ภาวะแทรกซ้อนต่ำ ลดการอักเสบติดเชื้อของแผลได้เป็นอย่างดี

                ขอบคุณข้อมูลจาก

                PPTV HD, โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย, โรงพยาบาลกรุงเทพ

                 

                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                วิธีสังเกตอาการ ซีสต์ในรังไข่ รู้ไว้..รักษาได้ทัน ไม่อันตราย!

                ให้นมลูกแล้วเจอ ก้อนที่เต้านม ควรทำอย่างไร อันตรายไหม?

                เปิดบันทึก “แม่” มดลูกพิการ แต่สร้างปาฏิหาริย์ด้วย “เด็กหลอดแก้ว”

                  คัดกรองการได้ยิน

                  สปสช.ขยายสิทธิ คัดกรองการได้ยิน เด็กไทยแรกเกิดฟรี

                  สปสช.ขยายสิทธิ คัดกรองการได้ยิน เด็กไทยแรกเกิดฟรี

                  บอร์ด สปสช. มีมติเห็นชอบ ดูแลเด็กที่มีภาวะบกพร่องการได้ยิน เข้าสู่การรักษา ด้วยการขยายสิทธิ คัดกรองการได้ยิน ครอบคลุมดูแลเด็กไทยแรกเกิดทุกคน ฟรี!! ค่ะคุณพ่อคุณแม่

                  สปสช.ขยายสิทธิ คัดกรองการได้ยิน เด็กไทยแรกเกิดฟรี

                  นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า การได้ยินเสียงเป็นหนึ่งใน 5 สัมผัสพื้นฐาน มีการทำงานร่วมกับระบบประสาท และสมอง เป็นจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัว โดยเฉพาะในเด็กแรกเกิดอันนำไปสู่การพัฒนาการที่ดีในทุกๆ ด้าน หากสูญเสียการได้ยินแล้วก็จะส่งผลต่อการพูดและภาษาได้ ทำให้เกิดอุปสรรคในการสื่อสารที่มีผลในการเข้าสังคม การเรียน ภาวะจิตใจ ความจำ พฤติกรรม อารมณ์และสูญเสียโอกาสทางสังคม ดังนั้น การตรวจคัดกรองการได้ยินในเด็กแรกเกิด จึงเป็นบริการทางการแพทย์ที่จำเป็น เพื่อค้นหาเด็กแรกเกิดที่มีความบกพร่องการได้ยินและนำเข้าสู่การรักษาโดยเร็ว

                  เพื่อครอบคลุมการดูแลเด็กแรกเกิดทุกคน ให้ได้รับบริการตรวจคัดกรองการได้ยินอย่างทั่วถึง สปสช. จึงเห็นชอบเพิ่มบริการตรวจคัดกรองการได้ยินในเด็กแรกเกิดทุกคนที่มีสัญชาติไทยเป็นสิทธิประโยชน์ในระบบบัตรทอง โดยให้เริ่มมีผลทันทีในปีงบประมาณ 2565

                  วิธีตรวจ คัดกรองการได้ยิน

                  1. Otoacoustic Emissions(OAEs) การตรวจวัดเสียงสะท้อนจากเซลล์ขนในหูชั้นใน ตรวจการทำงานของปลายประสาทรับเสียงในหูชั้นใน ทำโดยใส่เสียงเข้าไปในหูขณะเด็กอยู่นิ่ง และวัดเสียงที่เกิดขึ้น จากการทำงานของหูชั้นใน เครื่องจะบันทึกการตอบสนองโดยอัตโนมัติ การตรวจทำง่าย ใช้เวลาน้อย ไม่เจ็บปวด สามารถทราบผลทันที และผลมีความเชื่อถือได้มากกว่า 95%
                  2. Auditory Brainstem Response (ABR) การตรวจการได้ยินระดับการสมอง เพื่อวินิจฉัยความผิดปกติของการได้ยินในเด็กเล็ก ทำโดยการติดสื่อนำสัญญาณ (Electrode) เพื่อวัดคลื่นไฟฟ้าที่เกิดขึ้นในระบบประสาทหูชั้นในส่วนลึก เมื่อปล่อยเสียงเข้าไปตรวจในหู เด็กต้องหลับสนิท ใช้เวลาในการตรวจประมาณครึ่งชั่วโมง ผลมีความแม่นยำมากกว่า 98%

                  เด็กที่จำเป็นต้องตรวจคัดกรองการได้ยิน

                  ผศ.นพ.สมพร โชตินฤมล กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านทารกแรกเกิด ศูนย์ศรีพัฒน์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ให้ข้อมูลว่า ทารกทุกคนควรได้รับการตรวจคัดกรองการได้ยิน โดยเฉพาะทารกที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง ดังนี้

                  •  เด็กที่มีประวัติคนในครอบครัวหูตึงตั้งแต่ยังเล็ก
                  •  เด็กที่มีความผิดปกติของหน้าตา โครงหน้าที่ผิดปกติ รวมทั้งปากแหว่ง เพดานโหว่
                  •  โรคทางพันธุกรรม
                  •  มารดามีภาวะติดเชื้อระหว่างตั้งครรภ์ เช่น หัดเยอรมัน เริม ติดเชื้อไซโตเมคตะโสไวรัส เป็นต้น
                  •  เด็กที่คลอดออกมาแล้ว น้ำหนักตัวน้อยกว่า 1,500 กรัม
                  •  มีตัวเหลืองมากในระหว่างแรกคลอด จนต้องถ่ายเลือด
                  •  มีภาวะขาดออกซิเจนรุนแรงตั้งแต่แรกเกิด
                  •  มีภาวะติดเชื้อตั้งแต่แรกเกิด เพราะการติดเชื้อ จะไปทำลายประสาทหูชั้นใน รวมถึงการใช้ยาปฏิชีวนะบางตัวที่เด็กได้รับซ้ำ อาจไปทำลายหูชั้นในเช่นกัน
                  คัดกรองการได้ยิน
                  สปสช.ขยายสิทธิ คัดกรองการได้ยิน เด็กไทยแรกเกิดฟรี

                  จะรู้ได้อย่างไรว่าลูกไม่ได้ยิน

                  เนื่องจากความพิการทางการได้ยิน โดยส่วนใหญ่เป็นความพิการที่มองภายนอกไม่เห็น โดยทั่วไปจึงไม่พบความผิดปกติของร่างกาย ยกเว้นในบางราย ที่มีความผิดปกติของหู ใบหน้า และศีรษะ ตั้งแต่เกิดร่วมด้วย จึงต้องอาศัยการประเมินปัจจัยเสี่ยง อาการหูเสียและสังเกตการตอบสนองต่อเสียง เช่น

                  1. เรียกไม่หัน
                  2. ร้องไห้โวยวายเสียงดัง
                  3. ดื้อมากกว่าปกติ หรือมีปัญหาพูดช้า หรือพูดไม่ชัด
                  4. ไม่ทำตามคำสั่ง
                  5. ดูโทรทัศน์ เล่มคอมพิวเตอร์ แล้วเปิดเสียงดังกว่าปกติ

                  นอกจากนี้ บางครั้งเด็กอาจมีปัญหาด้านการเรียน หรือไม่เข้าสังคม หากคุณพ่อคุณแม่ หรือญาติ สงสัยว่าเด็กอาจมีปัญหาการได้ยิน แนะนำให้พาไปพบแพทย์ เพื่อให้ได้การวินิจฉัยและรับการรักษาอย่างเหมาะสมต่อไป

                  การรักษาหูหนวก

                  การรักษาหูหนวกมีหลากหลายวิธี ขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรงของอาการ ซึ่งวิธีการรักษา ได้แก่

                  • หากการสูญเสียการได้ยิน มาจากการติดเชื้อแบคทีเรีย รักษาได้ด้วยการให้ผู้ป่วยใช้ยาปฏิชีวนะ
                  • การผ่าตัดจะมีความจำเป็นหากเกิดการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ หรือหากเกิดการติดเชื้อซ้ำที่ต้องสอดท่อเพื่อระบายน้ำออก รวมไปถึงการผ่าตัดเพื่อระบายของเหลว ซ่อมแซมแก้วหูที่ทะลุ หรือแก้ไขกระดูกที่เกิดปัญหา

                  การสูญเสียการได้ยิน ที่มีสาเหตุมาจากความเสียหายของหูชั้นใน หรือโสตประสาทจะเป็นการสูญเสียอย่างถาวร โดยวิธีที่ช่วยให้ได้ยิน และมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ ดังนี้

                  • เครื่องช่วยฟัง (Hearing Aids) เป็นเครื่องที่ช่วยขยายเสียง ให้ได้ยินชัดขึ้น และช่วยให้ได้ยินง่ายขึ้น โดยผู้ป่วยต้องปรึกษากับนักตรวจการได้ยิน ถึงประโยชน์ในการใช้เครื่องช่วยฟัง หรือวิธีการใช้ และความเหมาะสมในการใช้กับผู้ป่วยแต่ละราย
                  • ประสาทหูเทียม (Cochlear Implant) เป็นเครื่องมือที่จะช่วยทำงานทดแทนหูชั้นใน ส่วนที่ได้รับความเสียหาย หรือไม่ทำงาน โดยอุปกรณ์ดังกล่าว จะแปลงสัญญาณเสียงให้เป็นสัญญาณไฟฟ้า ในระดับที่ไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ แต่จะช่วยกระตุ้นเซลล์ขนภายในอวัยวะรับเสียง ให้ทำหน้าที่ได้ดีขึ้น มักจะใช้กับผู้ป่วยที่ประสาทหูเสื่อมอย่างรุนแรง เช่น หูหนวกหรือหูเกือบหนวก

                   

                  ขอบคุณข้อมูลจาก

                  The Coverage, สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ, ศูนย์ศรีพัฒน์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                   อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                  แม่ๆเตรียมเฮ คัดกรองมะเร็งปากมดลูก สปสช.ดูแลทุกสิทธิ์

                  สปสช.ให้สิทธิคัดกรอง ภาวะปัญญาอ่อน เด็กแรกเกิด

                  สปสช. มอบ สิทธิบัตรทอง คัดกรองดาวน์ซินโดรม

                    สธ.คาดพบผู้ป่วย โรคไข้มาลาเรีย จากยุงก้นปล่องเพิ่มขึ้น

                    สธ.คาดพบผู้ป่วย โรคไข้มาลาเรีย จากยุงก้นปล่องเพิ่มขึ้น

                    กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เผยแพร่พยากรณ์โรคและภัยรายสัปดาห์ ระหว่างวันที่ 24-30 ก.ค. 2565 ซึ่งคาดว่าจะมีแนวโน้มผู้ป่วย โรคไข้มาลาเรีย เพิ่มขึ้น เนื่องจากประเทศไทยอยู่ในช่วงฤดูฝน ซึ่งเป็นช่วงที่เหมาะสมต่อการเจริญพันธุ์ของยุง ซึ่งเป็นพาหะนำโรค โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่ชนบทชายป่า หรือพื้นที่ที่มีแหล่งน้ำ ทำให้มีโอกาสเกิดโรค และมีผลกระทบต่อสุขภาพ และความเป็นอยู่ของประชาชนได้

                    สถานการณ์ โรคไข้มาลาเรีย ในไทย 2565

                    จากการเฝ้าระวังของกรมควบคุมโรค สถานการณ์ไข้มาลาเรียในปีนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 13 ก.ค. 2565 พบผู้ป่วย จำนวน 4,765 ราย มากกว่าจำนวนการรายงานผู้ติดเชื้อในปี 2564 ถึง 2.6 เท่า

                    กลุ่มอายุที่พบผู้ป่วยมากที่สุด คือ อายุ 25-44 ปี รองลงมาคือ 15-24 ปี  และอายุ 5-14 ปี ตามลำดับ จังหวัดที่พบผู้ป่วยมากที่สุด ได้แก่ ตาก 2,724 ราย  แม่ฮ่องสอน 757 ราย และกาญจนบุรี 429 ราย ตามลำดับ

                    นอกจากนี้ พบว่าส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเกษตรกร (ร้อยละ 48.0)  รับจ้าง (ร้อยละ 25.0) และเด็ก/นักเรียน (ร้อยละ 24.0)

                    ชนิดเชื้อส่วนใหญ่ คือ P.vivax (ร้อยละ 93.8) รองลงมา P.falciparum (ร้อยละ 3.0)  ทั้งนี้ ถึงแม้ว่าเชื้อ P.vivax จะเป็นเชื้อชนิดรุนแรงน้อยกว่า P.falciparum แต่ถ้าไม่ได้รักษาให้หายขาด เชื้อสามารถอยู่ในร่างกายคนได้นานหลายปี ทําให้มีอาการของโรคไข้มาลาเรียแบบเป็น ๆ หายๆ

                    โรคไข้มาลาเรีย
                    สธ.คาดพบผู้ป่วย โรคไข้มาลาเรีย จากยุงก้นปล่องเพิ่มขึ้น

                    โรคไข้มาลาเรีย คืออะไร

                    ไข้มาลาเรีย หรือมีชื่อเรียกได้อีกว่า ไข้จับสั่น ไข้ป่า ไข้ดง ไข้ร้อนเย็น ไข้ดอกสัก ไข้ป้าง มียุงก้นปล่องเป็นพาหะนำโรค ซึ่งเป็นยุงที่ออกหากินเวลากลางคืน

                    อาการของมาลาเรีย

                    อาการของมาลาเรียจะแตกต่างกันไป ระยะเวลาที่เกิดจะขึ้นอยู่กับชนิดของโปรโตซัวที่เป็นสาเหตุ โดยอาการของมาลาเรียที่พบบ่อย ได้แก่

                    • มีไข้สูง หนาวสั่น
                    • เหงื่อออกมาก
                    • ปวดศีรษะ
                    • คลื่นไส้ อาเจียน
                    • ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
                    • ท้องเสีย
                    • ภาวะโลหิตจาง
                    • อุจจาระเป็นเลือด
                    • อาการหมดสติไม่รับรู้ต่อการกระตุ้นต่าง ๆ หรือโคม่า

                    การรักษามาลาเรีย

                    มาลาเรียรักษาได้ หากได้รับการวินิจฉัย และการรักษาอย่างทันท่วงที แพทย์จะรักษาด้วยการดูแลประคับประคองอาการ รวมทั้งบำบัดรักษาภาวะแทรกซ้อน และให้ยาฆ่าเชื้อมาลาเรีย (Antimalarial) ซึ่งการเลือกชนิดของยา หรือรูปแบบการให้ยา จะประกอบไปด้วยหลายปัจจัยด้วยกัน เช่น ชนิดของโปรโตซัว ความรุนแรงของอาการ อายุของผู้ป่วย การตั้งครรภ์ รวมไปถึงการดื้อยา

                    การป้องกันโรค

                    ผู้ที่อาศัยหรือต้องเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีการระบาดป้องกันตนเองจากการถูกยุงกัดได้ดังนี้

                    • สวมเสื้อผ้าสีอ่อน และปกปิดร่างกายได้อย่างมิดชิด เช่น เสื้อแขนยาว และกางเกงขายาว
                    • ใช้ยาที่มีสารไล่แมลงทาผิวหนัง ซึ่งสารไล่แมลงที่มีประสิทธิภาพที่สุด ได้แก่ สาร Diethyltoluamide: DEET ซึ่งมีจำหน่ายทั้งรูปแบบสเปรย์ โรลออน แบบแท่งและครีม โดยอาจต้องทาซ้ำบ่อย ๆ เพื่อการป้องกันที่มีประสิทธิภาพ ไม่ควรใช้ในเด็กเล็ก
                    • นอนในมุ้ง หรือบริเวณที่ปลอดจากยุง อาจใช้มุ้งชุบยาไล่ยุง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันยุง
                    • หากสงสัย หรือต้องการตรวจสอบการระบาดของมาลาเรีย โดยเฉพาะผู้ที่ต้องเดินทางไปยังพื้นที่เสี่ยง ตรวจสอบและหาข้อมูลได้จากกรมควบคุมโรค โทร. 1422 เพื่อการป้องกัน

                    มาลาเรียป้องกัน และ รักษาได้ ขอเพียงคุณพ่อุณแม่ระมัดระวัง ปฏิบัติตัวตามำแนะนำด้านการป้องกัน เพียงเท่านี้ก็ลดความเสี่ยงของการระบาดมายังลูกน้อยได้แล้วค่ะ

                    ขอบคุณข้อมูลจาก

                    The Coverage, pobpad

                     

                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                     อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                    10 สติ๊กเกอร์กันยุง สำหรับเด็ก ติดแน่น ปลอดภัย ไล่ยุง

                    รวม 15 สเปรย์กันยุง สูตรอ่อนโยนสำหรับเด็ก ฉีดกันไว้ก่อนยุงกัด ยี่ห้อไหนดี

                    ลูกแพ้ยุง โดนยุงกัดทีไร เป็นผื่นแพ้ยุง ทำยังไงดี?

                      แม่ท้องกินอะไรได้บ้าง? เมนูอาหารแม่ท้อง 1-3 เดือน เติมคุณค่าอาหารให้แม่และลูกแข็งแรง

                      สำหรับคุณแม่มือใหม่ที่เพิ่งจะตั้งครรภ์เป็นครั้งแรก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงอายุครรภ์ 1-3 เดือนแรก อาจจะยังไม่แน่ใจในเรื่องอาหารการกินว่า คนท้องควรดูแลตัวเองอย่างไรบ้าง ลูกน้อยในครรภ์ถึงจะได้รับโภชนาการที่ดีและครบถ้วน อาหารและโภชนาการที่สำคัญที่คุณแม่ตั้งครรภ์ควรรับประทานให้เป็นประจำ ในช่วงระยะเวลาการตั้งครรภ์ ได้แก่ เน้นกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ได้แก่ ข้าวหรือแป้ง เนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้ ไขมันดี ควบคู่กับการดื่มนมรสจืด 2-3 แก้วทุกวัน เพื่อให้ได้รับสารอาหารให้ครบถ้วนเพียงพอสำหรับการเจริญเติบโตของลูกในครรภ์

                      อีกทั้งยังมีกลุ่มอาหารที่คนท้องควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ อาหารรสจัด อาหารหมักดอง กาแฟ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และบุหรี่ นอกจากนี้หญิงตั้งครรภ์ในแต่ละช่วงอายุครรภ์ ก็มีความต้องการสารอาหารแตกต่างกันไป โดยในช่วงอายุครรภ์ 1-3 เดือนแรก อายุครรภ์ในช่วงนี้ทารกเริ่มมีการสร้างอวัยวะ แต่ยังไม่มีการขยายขนาดของร่างกายมากนัก น้ำหนักตัวคุณแม่อาจเพิ่มขึ้นเพียง 1-2 กิโลกรัม แต่ถ้ามีอาการแพ้ท้อง ก็อาจทำให้น้ำหนักตัวลดลงไปบ้าง พลังงานสารอาหารที่ร่างกายควรได้รับในระยะนี้ใกล้เคียงกับก่อนตั้งครรภ์ ควรเน้นรับประทานอาหารกลุ่มโปรตีนจากเนื้อสัตว์ วิตามินและเกลือแร่  หากแพ้ท้องมากจนทำให้กินอาหารได้น้อย วิธีแก้ไขคือแบ่งมื้ออาหารเป็นมื้อย่อยๆ ในปริมาณน้อยลง แล้วกินให้บ่อยขึ้น

                      แม่ท้องกินอะไรได้บ้าง? เมนูอาหารแม่ท้อง 1-3 เดือน เติมคุณค่าอาหารให้แม่และลูกแข็งแรง

                      เมนูอาหารแม่ท้อง 1-3 เดือน

                      ในช่วงไตรมาสเดือนที่ 1-3 ของการตั้งครรภ์ คุณแม่หลายคนอาจจะมีอาการแพ้ท้อง อาการคลื่นไส้ และอาเจียน จึงทำให้ไม่สามารถรับประทานอาหารได้ ดังนั้น คุณแม่ควรเลือกเมนูอาหารอ่อน ๆ เพื่อให้คุณแม่มีพลังงานและสารอาหารส่งต่อไปยังลูกน้อย ซึ่งก็ได้แก่อาหารประเภท

                      • อาหารที่มีโปรตีนและโอเมก้า 3 เช่น ปลาแซลมอน เต้าหู้ ไข่ ไก่ เนื่องจากโปรตีนจะช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ และการเจริญเติบโตของเด็กทารก ยกเว้นอาหารเนื้อสัตว์ติดมัน และอาหารทะเลบางชนิดที่มีสารพิษตกค้าง เพื่อป้องกันการติดเชื้อในทารก
                      • ผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากนม หากคุณแม่ตั้งครรภ์ที่ไม่แพ้นม ก็สามารถดื่มนมในปริมาณที่เหมาะสมได้ เพราะนมจะมีทั้งโปรตีน เเคลเซียม วิตามิน และกรดโฟลิก ที่ช่วยเสริมสร้างกระดูกของทารกและคุณแม่ให้แข็งแรงควรดื่ม 2-3 แก้วต่อวัน
                      • อาหารที่มีธาตุเหล็ก สำหรับเมนูคนท้องที่แนะนำให้ทาน ได้แก่ ตับ เนื้อแดง ข้าวโอ๊ต ถั่ว ลูกเดือย และข้าวกล้อง ธาตุเหล็กจะมีส่วนสำคัญในการสร้างเซลล์เม็ดเลือดในร่างกายของเด็กทารก และช่วยป้องกันภาวะโลหิตจางด้วย
                      • อาหารที่มีโฟเลต จำพวกผักและผลไม้ เช่น มะเขือเทศ ส้ม บร็อกโคลี ผักโขม มันฝรั่ง รวมถึงผักใบเขียวต่างๆ ทั้งนี้อาหารที่มีโฟเลตจะมีผลต่อการพัฒนาสมอง ไขสันหลัง กระดูกสันหลังของทารกในระยะแรก

                      เมื่อลูกน้อยกินอาหารที่ดีตั้งแต่อยู่ในครรภ์ จะช่วยเสริมสร้างพัฒนาการให้กับลูก ด้วยโภชนาการอาหารง่ายๆ เพราะอาหารสำหรับคนท้องจะมีผลต่อร่างกายของเด็กโดยตรง คุณแม่ตั้งครรภ์จึงควรเลือกทานเมนูอาหารที่เป็นประโยชน์ตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์ และเหมาะสมตามแต่ละไตรมาสด้วย ไม่ว่าจะเป็นไตรมาสแรกจนถึงไตรมาสใกล้คลอด ก็จะทำให้ลูกน้อยได้รับสารอาหารครบถ้วนมากขึ้น พร้อมช่วยบำรุงร่างกายคุณแม่ให้แข็งเเรง ทีมแม่ ABK จึงรวบรวมเกี่ยวกับเมนูอาหารที่คุณแม่ตั้งครรภ์ควรรับประทานในช่วงอายุครรภ์ 1-3 เดือน ที่เป็นช่วงเวลาที่สำคัญของทารกในครรภ์ที่กำลังเสริมสร้างและพัฒนาร่างกาย เพื่อเป็นการบำรุงทั้งคุณแม่คุณลูกให้ได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน ดีต่อสุขภาพทั้งคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์

                       

                      เมนูอาหารแม่ท้อง 1-3 เดือน

                      1. ไข่ตุ๋นผักโขมทรงเครื่องหมูสับ

                      วัตถุดิบ

                      • – ไข่ไก่ 3 ฟอง
                      • – หมูสับ 2 ช้อนโต๊ะ
                      • – ผักโขมหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ 3 ช้อนโต๊ะ
                      • – แครอทหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ 2 ช้อนโต๊ะ
                      • – เกลือป่น 1 ช้อนชา
                      • – ซอสถั่วเหลือง 1 ช้อนโต๊ะ
                      • – พริกไทยป่น 1 ช้อนชา

                      วิธีทำ

                      • ตอกไข่ใส่ภาชนะที่สามารถนึ่งได้ เติมน้ำเปล่า หมูสับ แครอท ลงไปตีให้เข้ากัน ปรุงรสด้วย เกลือ พริกไทย ซอสถั่วเหลือง ปรุงรสตามต้องการ
                      • ใส่ผักโขมลงไป ตีให้ผักโขมเข้ากับไข่
                      • ใส่น้ำเปล่าในภาชนะที่เราจะนึ่ง ตั้งน้ำให้เดือดจัด แล้วเบาไฟลง ให้เป็นไฟอ่อนๆ แล้วนำไข่ที่ใส่ส่วนผสมทั้งหมดวางลงในภาชนะปิดฝาให้สนิท
                      • นึ่งไปได้สัก 10 นาที นำแครอทหั่นชิ้นเล็กๆ ไปวางไว้ด้านบนไข่ตุ๋น แล้วปิดฝาให้สนิทนึ่งต่อไปอีก 20 นาที จนไข่ตุ๋นสุกพร้อมรับประทาน

                      เมนูอาหารแม่ท้อง 1-3 เดือน

                      ขอขอบคุณรูปภาพ https://www.wongnai.com/recipes/ugc/3c7a8f128c0e4c11a6fc554543ff8e9f

                       

                      1. บล็อกโคลี่ผัดกุ้ง

                      วัตถุดิบ

                      • – กุ้งขาว 1 ถ้วย
                      • – บล็กโคลี่ 2 ถ้วย
                      • – แครอท 1/3 ถ้วย
                      • – กระเทียมสับ 1 ช้อนโต๊ะ
                      • – ซอสหอยนางรม 2 ช้อนโต๊ะ
                      • – ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ
                      • – น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
                        • – น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ
                        • – น้ำเปล่า 3 ถ้วย

                      วิธีทำ

                      • เทน้ำเปล่าใส่หม้อ ตั้งไฟแรงเพื่อลวกบล็อกโคลีให้สุกก่อน จากนั้นลวกบล็อกโคลีสักครู่พอสุก แล้วตกบล็อกโคลีมาพักไว้โดยแช่ในน้ำเย็นจนหายร้อน สะเด็ดน้ำเตรียมไว้ผัดต่อไป
                      • เทน้ำมันใส่กระทะ ตั้งไฟกลาง เมื่อกระทะร้อนใส่กระเทียมผัดพอหอม แล้วจึงใส่กุ้งขาวผัดพอสุก
                      • ใส่บล็อกโคลีที่ลวกไว้ ปรุงรสด้วยซอสหอยนางรม ซีอิ๊วขาว น้ำตาลทราย ใส่แครอท ผัดต่อไปจนสุก พร้อมรับประทาน

                      เมนูอาหารแม่ท้อง 1-3 เดือน

                      ขอขอบคุณรูปภาพ https://pantip.com/topic/40113785

                       

                      1. ซุปไก่มันฝรั่ง

                      วัตถุดิบ

                      • – ปีกบนไก่ 10-15 ชิ้น
                      • – มันฝรั่ง ปอกเปลือกหั่นเต๋า 1-2 หัว
                      • – แครอท ปอกเปลือกหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ 1 หัว
                      • – หอมหัวใหญ่ ปอกเปลือกหั่นเต๋า 1-2 หัว
                      • – มะเขือเทศลูกใหญ่ หั่นเต๋า 6 ลูก
                      • – รากผักชี 1 ช้อนชา
                      • – พริกไทยดำ 10-15 เม็ด
                        • – ผักชี 1 ช้อนโต๊ะ
                        • – เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ
                        • – น้ำปลา 1-2 ช้อนโต๊ะ
                        • – น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
                        • – ซุปไก่ก้อน 1 ก้อน

                      วิธีทำ

                      • ใส่น้ำลงในหม้อประมาณ 1 ลิตร นำขึ้นตั้งไฟปานกลาง
                      • ใส่ซุปไก่ก้อน คนไปให้ละลาย ใส่ปีกบนไก่ รากผักชี พริกไทยดำเม็ด มันฝรั่ง และแครอทลงไปต้ม
                      • ปรุงรสด้วยน้ำปลา เกลือ น้ำตาลทราย จากนั้นคนส่วนให้เข้ากัน แล้วจึงเติมมะเขือเทศและหอมหัวใหญ่ลงไปเป็นลำดับสุดท้าย ต้มจนเดือดอีกครั้งและผักสุก ตักใส่ถ้วย โรยด้วยผักชี พร้อมเสิร์ฟ

                      อาหารคนท้อง

                      ขอขอบคุณรูปภาพ https://www.wongnai.com/recipes/ugc/29e0db674a9b4d5d9fc3fd3524368954

                       

                      1. ตับผัดพริกหวาน

                      วัตถุดิบ

                      • ตับหมู หั่นเป็นชิ้น 200 กรัม
                      • พริกหวาน หั่นเป็นชิ้น เอา 3 สีเหลือง แดง เขียว 5 ช้อนโต๊ะ
                      • หอมหัวใหญ่ซอย 2 ช้อนโต๊ะ
                      • กระเทียมสับ1 ช้อนชา
                      • น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ
                      • ซอสถั่วเหลือง 1 ช้อนโต๊ะ
                      • ซอสน้ำมันหอย 1 ช้อนโต๊ะ
                      • น้ำตาล 1 ช้อนชา
                      • น้ำซุปหมู 5 ช้อนโต้ะ

                      วิธีทำ

                      • นำตับหมูมาลวกในน้ำร้อน จากนั้นนำมาแช่ในน้ำเย็น
                      • ตั้งกระทะน้ำมัน ใส่กระเทียมลงไปผัด ใส่หอมใหญ่ และ พริกหวาน ลงไปผัด ปรุงรสด้วย ซอสถั่วเหลือง ซอสน้ำมันหอย และ น้ำตาล
                      • ใส่ตับลงไปผัด และ ตามด้วยน้ำซุป ผัดให้ส่วนผสมเข้ากัน เสิร์ฟใส่จานรับประทานได้

                      อาหารคนท้อง

                      ขอขอบคุณรูปภาพ https://cooking.kapook.com/view113582.html

                       

                      1. โจ๊กข้าวโอ๊ตปลากะพง

                      วัตถุดิบ

                      • เนื้อปลากะพง 300 กรัม
                      • ข้าวโอ๊ตชนิดละเอียด ½ ถ้วย
                      • ฟักทองหั่นเต๋าเล็ก 3 ช้อนโต๊ะ
                      • แครอทหั่นเต๋าเล็ก 3 ช้อนโต๊ะ
                      • ต้นหอมซอย ½ ช้อนชา
                      • ผักชีซอย ½ ช้อนชา
                      • ขิงแก่ซอย 1 ช้อนโต๊ะ
                      • กระเทียมเจียว 1 ช้อนชา
                      • เกลือป่น 1-2 ช้อนชา
                      • ซอสปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ
                      • น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
                      • น้ำ 3 ถ้วย

                      วิธีทำ

                      • ตั้งหม้อ ใส่น้ำสะอาด รอจนเดือด ใส่เนื้อปลากะพงขาว เดือดอีกครั้ง
                      • ใส่เครื่องปรุงรส เกลือป่น ซอสปรุงรส น้ำตาลทราย ลวกปลากะพงในน้ำซุปพอสุก จากนั้นตักขึ้นพักไว้
                      • ใส่ใส่ฟักทอง แครอท ข้าวโอ๊ต ลงไปในน้ำซุปที่ต้มปลาไว้ ต้มจนข้าวโอ๊ตสุกกลายเป็นเนื้อโจ๊ก
                      • ตักใส่ชาม วางเนื้อปลากะพงลงไป โรยต้นหอม ผักชี ขิง และกระเทียมเจียวพร้อมเสิร์ฟ

                      อาหารคนท้อง

                      ขอขอบคุณรูปภาพ http://www.ajinomoto.co.th/th/our-activity/our-magazines/2022

                       

                      1. ข้าวกล้องผัดไก่

                      วัตถุดิบ

                      • ข้าวกล้องหุงสุก 200 กรัม
                      • อกไก่หั่นชิ้น 100 กรัม
                      • ไข่ไก่ 1 ฟอง
                      • แครอทหั่นเต๋าเล็ก 2 ช้อนโต๊ะ
                      • ต้นหอมซอย 1 ช้อนโต๊ะ
                      • ซีอิ๊วขาว 2 ช้อนชา
                      • ซอสปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ
                      • น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
                      • กระเทียมสับ 1 ช้อนโต๊ะ
                      • น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ

                      วิธีทำ

                      • ตั้งกระทะให้ร้อนใส่น้ำมันพืชลงไป รอน้ำมันร้อนใส่กระเทียมสับผัดให้หอม จากนั้นใส่เนื้อไก่หั่นชิ้น ผัดพอสุก แล้วตอกไข่ไก่ลงไป
                      • จากนั้นใส่แครอทผัดพอสุก ใส่ข้าวกล้องหุงสุกลงไป ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว ซอสปรุงรส น้ำตาลทราย ผัดให้เข้ากัน เมื่อผัดข้าวได้แห้งแล้ว ใส่ต้นหอมลงไป ผัดต่ออีกสักครู่ พร้อมเสิร์ฟรับประทาน

                      อาหารคนท้อง

                      ขอขอบคุณรูปภาพ https://www.wongnai.com/recipes/fried-brown-rice-with-chicken

                       

                      1. แกงจืดเต้าหู้หมูสับ

                      วัตถุดิบ

                      • หมูสับบด 200 กรัม
                      • เต้าหู้ไข่ 270 กรัม
                      • ผักกาดขาว 100 กรัม
                      • สาหร่ายสำหรับทำอาหาร 50 กรัม
                      • ซุปหมูก้อน 1 ก้อน
                      • ซอสถั่วเหลือง2 ช้อนชา
                      • น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ
                      • รากผักชีบุบ 1 ช้อนชา
                      • ขึ้นฉ่าย 1 ช้อนโต๊ะ
                      • น้ำ 1 ลิตร

                      วิธีทำ

                      • ผสมหมูบด พริกไทยป่น ซอสถั่วเหลือง คลุกเคล้าพอเข้ากัน
                      • ต้มน้ำสะอาด ใส่กระเทียม รากผักชี และซุปหมูก้อน  พอเดือด ปั้นหมูบดที่หมักไว้เป็นก้อนกลมลงต้มพอสุก คอยช้อนฟองออก
                      • ปรุงรสด้วยน้ำปลา คนให้เข้ากัน ใส่ผักกาดขาว สาหร่าย เต้าหู้ไข่ โรยด้วยขึ้นฉ่าย รอให้เดือดสักครู่แล้วปิดไฟ พร้อมเสิร์ฟรับประทาน

                      อาหารคนท้อง

                      ขอขอบคุณรูปภาพ http://www.ajinomoto.co.th/th/recipe

                       

                      1. ดอกกุยช่ายผัดตับ

                      วัตถุดิบ

                      • ดอกกุยช่ายสด 250 กรัม
                      • ตับหมู 200 กรัม
                      • น้ำซุปหมู 4 ช้อนโต๊ะ
                      • น้ำมันหอย 1 ช้อนโต๊ะ
                      •  น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
                      •  ซีอิ๊วขาว   2 ช้อนโต๊ะ
                      •  น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ
                      • กระเทียบทุบ 1 ช้อนชา

                      วิธีทำ

                      • ตั้งกระทะบนเตาโดยใช้ไฟกลาง ใส่น้ำมันพืชลงไป พอน้ำมันร้อนก็ใส่กระเทียมทุบลงไปเจียวจนเหลืองหอม
                      • พอกระเทียมเหลือง ก็ใส่ตับหมูลงไปผัดได้สักครู่ ให้ด้านนอกสุกแต่ด้านในยังไม่สุกมาก   ก็ใส่ดอกกุยช่ายลงไป ปรุงรสด้วยเครื่องปรุงรส สุดท้ายเติมน้ำซุปแล้วก็เร่งไฟแรงขึ้น เพื่อผัดให้หมูและดอกกุยช่ายสุกดี พร้อมเสิร์ฟรับประทาน

                      อาหารคนท้อง

                      ขอขอบคุณรูปภาพ https://www.pim.in.th/side-dish-by-pork/194-fried-flowering-chive

                       

                      1. ราดหน้าเต้าหู้น้ำแดง

                      วัตถุดิบ

                      • ก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ 150 กรัม
                      • ซีอิ๊วดำหวาน 1 ช้อนชา
                      • เต้าหู้ถั่วเหลือง (หั่นชิ้น) 1 หลอด
                      • น้ำมันพืช (สำหรับจี่เต้าหู้)
                      • น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ
                      • กระเทียมสับ 2 ช้อนชา
                      • หอมหัวใหญ่ (หั่นเต๋า) 2 ช้อนโต๊ะ
                      • ผงกะหรี่ 1 ช้อนชา
                      • มะเขือเทศ (หั่นเต๋า) 2 ช้อนโต๊ะ
                      • เห็ดฟาง 3 ดอก
                      • เห็ดชิเมจิ 30 กรัม
                      • น้ำซุปผัก 3/4 ถ้วยตวง
                      • ซอสเห็ดหอม 1 ช้อนโต๊ะ
                      • น้ำตาลทราย 1/2 ช้อนชา
                      • ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนชา
                      • ซอสปรุงรส 1 ช้อนชา
                      • แป้งมันสำปะหลังผสมน้ำเปล่าเล็กน้อย
                      • ขึ้นฉ่าย (หั่นท่อนสั้น) 2 ช้อนโต๊ะ

                      วิธีทำ

                      • คลุกเคล้าซีอิ๊วดำหวานกับก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ให้เข้ากัน ใส่ลงผัดในกระทะพอหอม ตักใส่จานเตรียมไว้
                      • ตั้งกระทะใส่น้ำมันพืชเล็กน้อยพอร้อน นำเต้าหู้ถั่วเหลืองลงจี่จนสุกเหลืองตักขึ้น เติมน้ำมันพืชอีก 1 ช้อนโต๊ะ ใส่กระเทียม ลงผัดพอหอม ใส่หอมหัวใหญ่ลงผัดจนสุก ใส่ผงกะหรี่ลงผัดพอหอม
                      • ใส่มะเขือเทศ เห็ดฟาง และเห็ดชิเมจิลงผัดพอสุก เติมน้ำซุปผัก ปรุงรสด้วยซอสเห็ดหอม น้ำตาลทราย ซีอิ๊วขาว และซอสปรุงรส พอเดือดเติมแป้งมันสำปะหลังคนจนสุกข้นเล็กน้อย โรยขึ้นฉ่ายลงไปคลุกเคล้าพอเข้ากัน ตักราดบนก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ที่เตรียมไว้ จัดเสิร์ฟ

                      อาหารคนท้อง

                      ขอขอบคุณรูปภาพ https://cooking.kapook.com/view139070.html

                       

                      1. พาสต้าครีมแซลมอน

                      วัตถุดิบ

                      • เส้นพาสตาที่เด็กชอบต้มสุก 3 ถ้วย
                      • เนื้อปลาแซลมอนหั่นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าเล็ก 200 กรัม
                      • หอมหัวใหญ่สับ 1/4 ถ้วย
                      • ใบไทม์สด 1 กิ่ง
                      • แป้งสาลีอเนกประสงค์ 2 ช้อนโต๊ะ
                      • เนยสดเค็ม 2 ช้อนโต๊ะ
                      • นมสดจืด 2 ถ้วย
                      • น้ำซุปปลา 1/4 ถ้วย
                      • เกลือป่นและพริกไทยป่นสำหรับปรุงรสเล็กน้อย

                      วิธีทำ

                      • ผัดเนยสดกับหอมหัวใหญ่ให้สุก ใส่แป้ง ผัดให้เข้ากัน เติมน้ำซุป ผัดให้ข้น เติมนม รอจนเดือด
                      • ใส่เนื้อปลาแซลมอน ผัดเบาๆ ให้สุก ปรุงรสด้วยเกลือและพริกไทย ใส่ใบไทม์ ผัดให้เข้ากันจนข้น
                      • จัดเส้นพาสตาใส่จาน ตักครีมแซลมอนราดให้ทั่ว โรยชีสพาร์เมซานขูดเล็กน้อย

                      อาหารคนท้อง

                      ขอขอบคุณรูปภาพ https://www.gourmetandcuisine.com/cooking_recipes/detail/1030

                       

                      จะเห็นได้ว่า เมนูอาหารแม่ท้อง 1-3 เดือน จะเน้นอาหารที่มีโปรตีนเป็นองประกอบหลัก ที่สำคัญต้องครบครันด้วยวิตามันและเกลือแร่ที่จำเป็นต่อการตั้งครรภ์ จะช่วยให้คุณแม่ได้รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายพร้อมส่งต่อไปให้ลูกน้อยในครรภ์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ แม่ท้องควรรับประมานอาหารให้หลากหลายเพื่อสารอาหารครบหมู่ หากคุณแม่ท่านใดมีอาการแพ้ท้องก็สามารถเลือกรับประทานอาหารอ่อนๆ ที่ง่ายต่อการรับประทาน ก็จะช่วยให้ร่างกายของคุณแม่ไม่เหนื่อยง่าย ทีมกองบรรณาธิการขอเป็นกำลังใจให้คุณแม่ทุกท่านมีสุขภาพครรภ์ดีตลอดการตั้งครรภ์นี้นะคะ

                      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                       

                      อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                      อาหารเพิ่มน้ำหนักลูกในครรภ์ แพ้ท้องไตรมาสแรก กินอะไรดี?

                      คนท้องกินอย่างไรไม่ให้อ้วน กับ 9 วิธีคุมน้ำหนักตอนท้องให้ได้ผล

                      เตือนจากแม่ถึงแม่!! ลูกแพ้อาหาร เพราะแม่ท้องโด๊ปอาหารกลุ่มเสี่ยงมากเกินไป

                        ยาสามัญ

                        เช็คลิสต์ ยาสามัญ ที่ควรเตรียมพร้อมประจำบ้านไว้ให้ลูก

                        เช็คลิสต์ ยาสามัญ ที่ควรเตรียมพร้อมประจำบ้านไว้ให้ลูก

                        เด็ก ๆ มักป่วยบ่อย ทั้งมีไข้ ปวดท้อง ปวดหัว ท้องอืด เป็นหวัด คัดจมูก ผื่นแพ้ต่าง ๆ พ่อแม่จึงควรเตรียม ยาสามัญ ประจำบ้านไว้เพื่อบรรเทาอาการเบื้องต้นให้ลูกน้อย วันนี้ทีมแม่ ABK มีลิสต์ยาที่คุณพ่อคุณแม่วรเตรียมไว้สำหรับลูกน้อยมาฝากค่ะ

                        ยาสามัญประจำบ้านที่ควรเตรียมไว้ให้ลูก

                        1. ยาลดไข้

                        เป็นเรื่องปกติหากอากาศเปลี่ยนแปลง ก็อาจจะทำให้ลูกน้อยมีอาการเป็นไข้ขึ้นมาได้ โดยยาลดไข้สำหรับเด็ก จะช่วยลดอาการตัวร้อน และทำให้ไข้ลดลง ซึ่งหากเป็นเด็กเล็กส่วนใหญ่จะเป็นยาน้ำ แต่ห้ามใช้ยาลดไข้เองในเด็กแรกเกิดถึง 3 เดือน หากทารกตัวร้อนหรือไม่สบาย คุณแม่ควรพาไปพบแพทย์เพื่อตรวจและรักษาอย่างเหมาะสม

                        สำหรับเด็กที่อายุ 3 เดือนไปจนถึง 3 ปี ที่มีไข้ต่ำ ๆ โดยเฉพาะเด็กอายุ 3–6 เดือน ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาลดไข้โดยไม่จำเป็น โดยอาจใช้วิธีลดไข้โดยไม่ใช้ยา เช่น เช็ดตัว ดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสม พักผ่อนให้เพียงพอ

                        สำหรับวิธีการให้ยาก็ขึ้นอยู่กับอายุ และน้ำหนักของลูกน้อย แต่ไม่ควรให้ติดต่อกันนานเกิน 3-5 วัน หากไม่ดีขึ้นควรพบแพทย์จะดีที่สุด

                        2. ยาแก้ปวดท้อง

                        เด็กเล็ก ๆ มักมีอาการปวดท้อง เนื่องจากท้องอืด เพราะระบบกระเพาะยังทำงานได้ไม่ดีนัก ทำให้หลังกินนมอาจมีอาการท้องอืดแน่นเฟ้อ จึงควรเตรียมยาแก้ปวดท้องไว้เสมอ เช่น ยาธาตุน้ำขาว สำหรับทาน มหาหิงส์สำหรับทาที่ท้อง

                        การใช้ยาแก้ปวดท้องในเด็กควรเป็นดังนี้

                        1. ไม่ควรใช้ยาต้านฤทธิ์มัสคารินิก ในเด็กอายุน้อยกว่า 6 ปี ควรใช้เมื่อจำเป็นตามแพทย์สั่งเท่านั้น และต้องเฝ้าระวังผลข้างเคียงที่อาจเกิดจากยา
                        2. ห้ามใช้ยาไดไซโคลมีน ในเด็กอายุน้อยกว่า 6 เดือน เนื่องจากมีผลข้างเคียงรุนแรง เช่น ชัก หมดสติ กล้ามเนื้ออ่อนแรง การหายใจผิดปกติ เป็นต้น

                        3. ยาแก้แพ้ แก้คัน

                        เด็กอาจจะโดนยุง หรือแมลงกัดต่อย ทำให้เป็นตุ่มคัน แต่ยาแก้แพ้ แก้คันสำหรับเด็ก ก็ควรเลือกที่ส่วนผสมจากธรรมชาติ ปลอดภัยสำหรับเด็ก เช่น ขี้ผึ้งที่หากเด็กเอามือไปโดน ก็ไม่ทำให้เกิดอาการแสบได้ หรือคาลาไมด์โลชั่นทาผิวแก้ผื่นคัน ก็อ่อนโยนสำหรับเด็กเล็ก

                        สำหรับเด็กวัยที่ต้องไปโรงเรียน สามารถกินยาแก้แพ้ แก้คัน เพื่อช่วยบรรเทาอาการได้ โดยสามารถเลือกกินยาต้านฮีสตามีน กลุ่มที่ไม่ทำให้ง่วงนอน เช่น ลอราทาดีน (Loratadine), เซทิริซีน (Cetirizine), เฟโซเฟนาดีน (Fexofenadine), เลโวเซทีริซีน (Levocetirizine), เดสลอราทาดีน (Desloratadine) เป็นต้น

                        ยาในกลุ่มนี้สามารถรักษาอาการต่าง ๆ ได้คล้ายกับยากลุ่มดั้งเดิม คือ เยื่อบุจมูกอักเสบ เนื่องจากภูมิแพ้ เยื่อตาขาวอักเสบ เนื่องจากภูมิแพ้ที่เป็นตามฤดูกาล ผื่นลมพิษ สามารถรับประทานเพียง 1-2 ครั้งต่อวัน ขึ้นอยู่กับขนาด และชนิดของยา

                        ยาสามัญ
                        เช็คลิสต์ ยาสามัญ ที่ควรเตรียมพร้อมประจำบ้านไว้ให้ลูก

                        4. ยาแก้ผื่นผ้าอ้อม

                        เป็นอีกหนึ่งยาสามัญประจำบ้านที่ควรเตรียมไว้ ทาป้องกันไว้ทุกครั้งหลังอาบน้ำ หรือก่อนเปลี่ยนผ้าอ้อม การรักษาผื่นผ้าอ้อม ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของตัวโรค ถ้าเป็นผื่นแดงเล็กน้อย ใช้การทำความสะอาด เปลี่ยนผ้าอ้อมบ่อย ๆ และใช้ผลิตภัณฑ์เคลือบผิวอย่างเหมาะสม ก็จะดีขึ้น ถ้าผื่นดูแดงอักเสบมาก พิจารณายาทาต้านการอักเสบชนิดอ่อน ( low-potency topical steroid ) ทาวันละ 2 เวลา เช้า เย็น จะช่วยป้องกัน และลดผื่นผ้าอ้อมได้เป็นอย่างดี

                        5. เกลือแร่

                        เผื่อไว้ในกรณีที่เด็กเล็กมีอาการท้องเสีย ซึ่งปกติแล้วส่วนใหญ่หลังถ่ายท้อง จะสามารถหายเองได้ แต่ต้องเตรียมเกลือแร่ป้องกันอาการขาดน้ำ สำหรับให้เด็กจิบตลอดทั้งวัน

                        6. เจลร้อน – เย็น

                        เอาไว้สำหรับประคบเวลาเด็กหกล้ม หรือเกิดอาการฟกช้ำตามร่างกาย

                        7. ยาทาสำหรับคัดจมูก

                        ช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลง เด็กหลายคนมีอาการคัดจมูก ทำให้บางครั้งนอนหลับไม่สบาย หลังอาบน้ำสามารถทาที่หน้าอก หลัง และฝ่าเท้า หรืออาจป้ายที่เสื้อผ้าบาง ๆ จะช่วยให้ระบบหายใจดีขึ้น

                        ขอบคุณข้อมูลจาก
                        PPTV HD , pobpad, haamor, gedgoodlife, โรงพยาบาลพญาไท

                        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                         อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                        ยา อะม็อกซี่ รักษาหวัดได้ไหม ลูกเป็นหวัดควรกินยาอะไร

                        ใครเก็บ ยาน้ำ ในตู้เย็นบ้าง?เลิกด่วน!ยาบางชนิดงดแช่เย็น

                        ยาน้ำเชื่อมฟาวิพิราเวียร์ รับยาที่ไหน ลูกควรกินเท่าไหร่?

                          ชื่อภาษาอังกฤษเท่ๆ

                          200 ชื่อภาษาอังกฤษเท่ๆ เก๋ๆ อินเทรนด์ ลูกสาว ลูกชาย

                          ชื่อภาษาอังกฤษเท่ๆ เพราะๆ ตั้งชื่อลูกภาษาอังกฤษ ลูกสาว ลูกชาย อินเทรนด์ ปี 2022 ชื่อจริง ชื่อเล่น 2 พยางค์ 3 พยางค์ พยัญชนะเหมือนชื่อคุณพ่อหรือคุณแม่

                          200 ชื่อภาษาอังกฤษเท่ๆ เก๋ๆ อินเทรนด์ ลูกสาว ลูกชาย

                          ว่าที่คุณพ่อคุณแม่ที่กำลังมองหา ชื่อภาษาอังกฤษ เพื่อนำไป ตั้งชื่อลูก มาลองหา ชื่อ ที่ทีมกองบรรณาธิการ ABK นำมาฝากในวันนี้ดูค่ะ เป็นชื่อที่ได้รับความนิยมจากคุณพ่อคุณแม่ ปี 2022 ข้อมูลจากหน่วยงาน Social Security ประเทศสหรัฐอเมริกา

                          ชื่อภาษาอังกฤษลูกชาย
                          ชื่อภาษาอังกฤษลูกชาย

                          200 ชื่อภาษาอังกฤษเท่ๆ เก๋ๆ อินเทรนด์ ลูกสาว ลูกชาย

                          ชื่อภาษาอังกฤษ ลูกชาย

                          ชื่ออ่านว่า
                          Liamเลียม
                          Noahโนอาห์
                          Oliverโอลิเวอร์
                          Elijahอีไลจาห์
                          Jamesเจมส์
                          Williamวิลเลี่ยม
                          Benjaminเบนจามิน
                          Lucasลูคัส
                          Henryเฮนรี่
                          Theodoreธีโอดอร์
                          Jackแจ็ค
                          Leviลีวาย
                          Alexanderอเล็กซานเดอร์
                          Jacksonแจ็คสัน
                          Mateoมาทีโอ
                          Danielแดเนียล
                          Michaelไมเคิล
                          Masonเมสัน
                          Sebastianเซบาสเตียน
                          Ethanอีตัน
                          Loganโลแกน
                          Owenโอเว่น
                          Samuelซามูเอล
                          Jacobเจคอบ
                          Asherแอชเชอร์
                          Aidenเอเดน
                          Johnจอห์น
                          Josephโจเซฟ
                          Wyattไวแอท
                          Davidเดวิด
                          Leoลีโอ
                          Lukeลูค
                          Julianจูเลี่ยน
                          Hudsonฮัดสัน
                          Graysonเกรย์สัน
                          Matthewแมท
                          Ezraเอซร่า
                          Gabrielเกเบรียล
                          Carterคาเตอร์
                          Isaacไอแซค
                          Jaydenเจเดน
                          Lucaลูค่า
                          Anthonyแอนโทนี่
                          Dylanดีแลน
                          Lincolnลินคอล์น
                          Thomasโทมัส
                          Maverickมาเวอริค
                          Eliasอีไลแอส
                          Josiahโจไซอาห์
                          Charlesชาร์ล
                          Calebคาเลบ
                          Christopherคริสโตเฟอร์
                          Ezekielอีเซเคียล
                          Milesไมลส์
                          Jaxonแจ็คสัน
                          Isaiahไอเซอาห์
                          Andrewแอนดรูว์
                          Joshuaโจชัว
                          Nathanเนตัน
                          Nolanโนแลน
                          adrianเอเดรียน
                          Cameronคาเมรอน
                          Santiagoซานติอาโก
                          Eliอีไล
                          Aaronแอรอน
                          Ryanไรอัน
                          Angelแองเจิล
                          Cooperคูเปอร์
                          Waylonเวย์ลัน
                          Eastonเวสตัน
                          Kaiไค
                          Christianคริสเตียน
                          Landonแลนดอน
                          Coltonโคลตัน
                          Romanโรแมน
                          Axelแอคเซล
                          Brooksบรูคส์
                          Jonathanโจนาตัน
                          Robertโรเบริ์ต
                          Jamesonเจมสัน
                          Ianเอียน
                          Everettเอเวอเรทท์
                          Greysonเกรย์สัน
                          Wesleyเวสลี่ย์
                          Jeremiahเจอราไมอาห์
                          Hunterฮันเทอะ
                          Leonardoลีโอนาร์โด
                          Jordanจอร์แดน
                          Joseโฮเซ่
                          Bennettเบนเนท
                          Silasไซลัส
                          Nicholasนิโคลัส
                          Parkerปาร์คเกอร์
                          Beauโบว์
                          Westonเวสตัน
                          Austinออสติน
                          Connorคอนเนอร์
                          Carsonคาร์สัน
                          Dominicโดมินิก
                          Xavierเซเวียร์

                           

                          ชื่อภาษาอังกฤษลูกสาว
                          ชื่อภาษาอังกฤษลูกสาว

                          ชื่อภาษาอังกฤษ ลูกสาว

                          ชื่ออ่านว่า
                          Oliviaโอลิเวีย
                          Emmaเอ็มม่า
                          Charlotteชาร์ลอตต์
                          Ameliaอมีเลีย
                          Avaเอวา
                          Sophiaโซเฟีย
                          Isabellaอิซาเบลล่า
                          Miaมีอา
                          Evelynเอเวลิน
                          Harperฮาร์เปอร์
                          Lunaลูน่า
                          Camilaคามิล่า
                          Giannaจีอันน่า
                          Elizabethเอลิซาเบธ
                          Eleanorเอเลนอร์
                          Ellaเอลล่า
                          Abigailอบิเกล
                          Sofiaโซเฟีย
                          Averyเอเวอรี่
                          Scarlettสการ์เล็ตต์
                          Emilyเอมิลี่
                          Ariaอาเรีย
                          Penelopeเพเนโลพี
                          Chloeโคลอี้
                          Laylaเลย์ล่า
                          Milaมิล่า
                          Noraนอร่า
                          Hazelฮาเซล
                          Madisonเมดิสัน
                          Ellieเอลลี
                          Lilyลิลี่
                          Novaโนวา
                          Islaอิสล่า
                          Graceเกรซ
                          Violetไวโอเลต
                          Auroraออโรร่า
                          Rileyไรลีย์
                          Zoeyโซอี้
                          Willowวิลโลว์
                          Emiliaเอมิเลีย
                          Stellaสเตลล่า
                          Zoeโซอี้
                          Victoriaวิคตอเรีย
                          Hannahฮันน่าห์
                          Addisonแอดดิสัน
                          Leahลีอาห์
                          Lucyลูซี่
                          Elianaเอเลียนา
                          Ivyไอวี่
                          Everlyเอเวอรี่
                          Lillianลิเลียน
                          Paisleyเพซลี
                          Elenaเอเลน่า
                          Naomiนาโอมิ
                          Mayaมายะ
                          Natalieนาตาลี
                          Kinsleyคินซ์ลี่
                          Delilahดีไลล่าห์
                          Claireแคลร์
                          Audreyออเดรย์
                          Aaliyahอาลียาห์
                          Rubyรูบี้
                          Brooklynบรู๊คลิน
                          Aliceอลิส
                          Aubreyออเบรย์
                          Autumnออทั่ม
                          Leilaniเลลานี
                          Savannahสะวันนา
                          Valentinaวาเลนติน่า
                          Kennedyเคนเนดี้
                          Madelynเมดิลีน
                          Josephineโจเซฟีน
                          Bellaเบลล่า
                          Skylarสกายล่าร์
                          Genesisเจเนซิส
                          Sophieโซฟี
                          Haileyเฮลลีย์
                          Sadieเซดี้
                          Nataliaนาตาเลีย
                          Quinnควินน์
                          Carolineแคโรไลน์
                          Allisonแอลลิสัน
                          Gabriellaกาเบรียลลา
                          Annaแอนนา
                          Serenityเซเรนิที
                          Nevaehเนเวอา
                          Coraโคร่า
                          Arianaอารีอาน่า
                          Emeryเอเมรี่
                          Lydiaลิเดีย
                          Jadeเจด
                          Sarahซาร่า
                          Evaเอวา
                          Adelineอเดไลน์
                          Madelineแมเดอลีน
                          Piperไพเพอร์
                          Ryleeไรลีย์
                          Athenaอะธีนา
                          Peytonเพย์ตัน
                          Everleighเอเวอลี่

                          ชื่อภาษาอังกฤษเท่ๆ ที่ทีมกองบรรณาธิการ ABK นำมาฝากนี้ คงถูกใจคุณพ่อคุณแม่ และสามารถเลือกชื่อเพราะๆที่เหมาะกับลูกน้อยกันได้นะคะ

                          อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                          ชื่อเล่น ลูกผู้หญิง ตามวันเกิด น่ารักๆ เพราะๆ เรียกง่าย!!

                          ตั้งชื่อลูกชาย ตามวันเกิด 2565 เสริมมงคล มั่งคั่ง สุขภาพดี

                          100 ชื่อจริง ลูกชาย+ความหมายดี เสริมเดช ศรี มนตรี อายุ

                          ชื่อมงคล ตามวันเกิด ชีวิตรุ่งเรือง ทั้งลูกชาย ลูกสาว!!

                           

                          ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.thebump.com

                           

                          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                          Amarin Baby & Kids

                            ผลไม้บำรุงคนท้อง เพิ่มวิตามินและสารอาหารเน้น ๆ ได้ประโยชน์ทั้งแม่และลูก

                            เมื่อตั้งครรภ์ ผลไม้บำรุงคนท้อง อาจเป็นสิ่งที่คุณแม่หลายคนมองหา เพราะมีประโยชน์ต่อร่างกายและอาจเป็นตัวช่วยในเรื่องอาการแพ้ท้อง การบริโภคผลไม้จะช่วยให้คุณแม่ได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อทั้งตัวคุณแม่และทารกในครรภ์ โดยคุณแม่ควรศึกษาว่าผลไม้ที่เหมาะสำหรับคนท้องมีอะไรบ้าง แต่ละอย่างมีผลดีอย่างไร และควรรับประทานแบบไหนให้ปลอดภัยและดีต่อสุขภาพครรภ์

                            ระหว่างตั้งครรภ์ คุณแม่สามารถรับประทานผลไม้ได้ตามปกติ เพราะผลไม้เป็นแหล่งแร่ธาตุและวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกาย รวมทั้งอุดมไปด้วยไฟเบอร์ที่ช่วยในการขับถ่ายและป้องกันอาการท้องผูกระหว่างตั้งครรภ์ได้ โดยคนท้องควรรับประทานผลไม้ให้ครบ 5 ส่วนต่อวัน และหลีกเลี่ยงผลไม้ที่มีน้ำตาลและไขมันสูงเพื่อป้องกันภาวะน้ำหนักเกินเกณฑ์และโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ซึ่งข้อควรระวังในการรับประทานผลไม้ขณะตั้งครรภ์เพิ่มเติมคือ หากต้องการรับประทานผลไม้สดก็ควรล้างให้สะอาดก่อน เพื่อป้องกันสารตกค้างและเชื้อโรคที่เป็นอันตรายต่อแม่และลูกน้อยในครรภ์ หากต้องการดื่มน้ำผลไม้ โดยเฉพาะน้ำผลไม้ที่คั้นสดและไม่ผ่านการฆ่าเชื้อ คุณแม่ต้องเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะอาจมีการปนเปื้อนของเชื้อแบคทีเรียที่เป็นอันตรายต่อทั้งแม่และลูกน้อยในครรภ์ ดังนั้น ควรเลือกดื่มน้ำผลไม้ที่ผ่านการฆ่าเชื้อและบรรจุในขวดหรือกระป๋องมิดชิด เพื่อลดความเสี่ยงในการได้รับเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย หรืออาจเป็นผลไม้คั้นสดที่ทำรับประทานเองที่บ้านแล้วรับประทานหมดในคราวเดียว

                            ผลไม้บำรุงคนท้อง เพิ่มวิตามินและสารอาหารเน้น ๆ ได้ประโยชน์ทั้งแม่และลูก

                            ผลไม้บำรุงคนท้อง

                            เป็นที่ทราบกันดีว่า ผลไม้หลาย ๆ ชนิดนั้น ให้สารอาหารที่สำคัญ และมีประโยชน์กับแม่และลูกน้อยในครรภ์มากมาย ยกตัวอย่างเช่น ช่วยในเรื่องพัฒนาการของเนื้อเยื่อและเซลล์ต่าง ๆ ของทารกในครรภ์ ในขณะเดียวกันก็ช่วยสร้างระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง เสริมสร้างการเจริญเติบโตของกระดูกและฟัน อีกทั้งยังช่วยในการป้องกันการเกิดความผิดปกติของทารกในครรภ์ ป้องกันโรคท้องผูก และริดสีดวงทวารที่มีโอกาสเกิดขึ้นในขณะตั้งครรภ์ได้อีกด้วย ทีมแม่ ABK จึงขอแนะนำผลไม้ที่เหมาะสำหรับคนท้อง เรามาดูกันว่า ผลไม้สำหรับรับประทานของคนท้อง ที่จะช่วยบำรุงครรภ์ที่คุณแม่ควรกินตอนท้องมีอะไรบ้าง

                            1. ส้ม

                            ผลไม้ตระกูลส้มไม่ว่าจะเป็นส้มเขียวหวาน ส้มเช้ง ส้มสายน้ำผึ้ง ส้มบางมด ฯลฯ ล้วนให้คุณค่าสารอาหารคล้าย ๆ กัน คือเป็นแหล่งของวิตามิน C ชั้นดีที่จะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันร่างกายของคุณแม่ ป้องกันการเป็นหวัดระหว่างตั้งครรภ์ และยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์ในร่างกายอีกด้วย ที่สำคัญคือมีกากใย ที่ช่วยกระตุ้นระบบขับถ่ายให้กับแม่ท้อง ช่วยลดอาการท้องผูกระหว่างตั้งครรภ์ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังมีโฟเลตซึ่งมีความจำเป็นในเรื่องช่วยสร้างตัวอ่อน ช่วยป้องกันความผิดปกติของระบบประสาท ป้องกันภาวะไม่มีเนื้อสมองและภาวะไขสันหลังไม่ปิดจากการขาดโฟเลต อีกทั้งยังช่วยดูดซึมธาตุเหล็กในร่างกายด้วย

                            ผลไม้บำรุงคนท้อง

                            ขอขอบคุณรูปภาพ http://www.freshfoodsbkk.com/product/oranges/

                             

                            1. กล้วย

                            กล้วยเป็นผลไม้ที่หาซื้อและรับประทานได้ง่ายอีกหนึ่งชนิดที่อุดมไปด้วยสารอาหารสำคัญมากมายเช่น วิตามินบี 6 โฟเลต วิตามินซี ไฟเบอร์ โพแทสเซียม และแมกนีเซียมที่จะช่วยให้ระดับโซเดียมในร่างกายคงที่ เพราะถ้าระดับของเหลวในร่างกายไม่คงที่ จะทำให้คุณแม่เกิดอาการ อาเจียน คลื่นไส้ได้ ซึ่งแก้ได้โดยแมกนีเซียม  ในช่วงไตรมาสแรกคุณแม่ที่ตั้งครรภ์สามารถรับประทาน กล้วย 1 ลูก ได้ต่อ 1 วันซึ่งช่วยแก้ปัญหาท้องผูกและอาการคลื่นไส้อาเจียนระหว่างตั้งครรภ์ได้ รวมทั้งมีกรดอะมิโนที่ชื่อTryptophan ที่ช่วยทำให้ผ่อนคลายอารมณ์ ช่วยให้คุณแม่อารมณ์ดี แก้ปัญหาภาวะซึมเศร้าระหว่างตั้งครรภ์ได้

                            ผลไม้บำรุงคนท้อง

                            ขอขอบคุณรูปภาพ http://www.freshfoodsbkk.com/product/bananas-halfhand/

                             

                            1. แอปเปิ้ล

                            แอปเปิ้ลเป็นผลไม้ที่อุดมด้วยสารอาหารทั้งสารต้านอนุมูลอิสระ สารฟลาโวนอยด์ มีเส้นใยอาหารสูง วิตามินซีสูง วิตามินเอ วิตามินบี 1 บี 2 บี 3 บี 5 บี 6 กรดโฟลิก แคลเซียม แมกนีเซียม โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส สังกะสี เหล็ก เป็นต้น และประโยชน์ต่อสุขภาพเป็นอย่างมากต่อคุณแม่และลูกในครรภ์ อาทิเช่น

                            • ในแอปเปิ้ลมีวิตามินซีสูงที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันต้านทานเชื้อโรค และอาการติดเชื้อต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นกับคุณแม่และลูกในครรภ์ได้
                            • มีงานวิจัยพบว่าการกินแอปเปิ้ลขณะตั้งครรภ์อาจช่วยลดโอกาสที่ทารกจะเป็นโรคหอบหืดและภูมิแพ้เมื่อโตขึ้นได้ อีกทั้งยังสามารถลดอาการตีบแคบของทางเดินหายใจได้อีกด้วย
                            • แอปเปิ้ลยังอุดมไปด้วยสารอาหารและมีวิตามิน A, E, D และสังกะสี
                            • มีคาร์โบไฮเดรต ที่ช่วยเพิ่มพลังงานแก่ร่างกายให้กับแม่ท้อง
                            • มีแคลเซียมสูงช่วยเสริมสร้างกระดูกของแม่และลูกในท้องให้แข็งแรง
                            • แอปเปิ้ลเป็นผลไม้ที่เต็มไปด้วยไฟเบอร์หรือเส้นใยอาหารที่ช่วยในระบบย่อยอาหาร ช่วยบรรเทาอาการอาหารไม่ย่อยระหว่างตั้งครรภ์ได้เป็นอย่างดีและลดความผิดปกติของลำไส้
                            • มีสารต้านอนุมูลอิสระที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งแม่และลูก ซึ่งจะส่งผลดีให้กับการทำงานของปอด ช่วยให้ระบบการหายใจของคุณแม่และลูกในท้องทำงานได้ดีขึ้น
                            • กินแอปเปิ้ลขณะตั้งครรภ์มีส่วนช่วยในการเสริมสร้างสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด ป้องกันเส้นเลือดอุดตัน อาการแสบร้อนกลางอกซึ่งเป็นอาการที่พบได้บ่อยในตอนตั้งครรภ์

                            สำหรับแอปเปิ้ลนั้นเป็นผลไม้ที่คุณแม่ตั้งครรภ์สามารถกินอย่างน้อยวันละ 1 ลูก เป็นประจำทุกวัน เพราะเป็นผลไม้ที่มีปริมาณแคลอรี่ต่ำ จึงไม่ต้องกลัวว่าจะส่งผลกระทบต่อน้ำหนักตัวหากคุณแม่อยู่ในช่วงควบคุมน้ำหนัก

                            ผลไม้บำรุงคนท้อง

                            ขอขอบคุณรูปภาพ http://www.freshfoodsbkk.com/product/apple-red/

                             

                            1. ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่

                            ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่อุดมไปด้วยสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายมากมาย ไม่ว่าจะเป็นคาร์โบไฮเดรต วิตามินซี ไฟเบอร์ โฟเลต รวมทั้งฟลาโวนอยด์และแอนโทรไซยานินที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเหมาะสำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ ส่วนคุณแม่ที่เป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ การรับประทานเบอร์รี่จะช่วยให้ได้รับพลังงานมากขึ้นและยังส่งผ่านทางรกไปเลี้ยงทารกในครรภ์ได้ดี เพราะคาร์โบไฮเดรตที่อยู่ในเบอร์รี่เป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนซึ่งมีประโยชน์มากกว่าคาร์โบไฮเดรตที่มีในขนมหวานจำพวกเค้ก โดนัท หรือคุกกี้

                            • บลูเบอร์รี่มีรสชาติเปรี้ยวอมหวานที่ช่วยลดอาการแพ้ท้องได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังมีสารอาหารที่จำเป็นโดยเฉพาะอย่างยิ่งโพแทสเซียม ซึ่งสำคัญมากต่อการควบคุมระดับความดันโลหิต ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ และยังมีวิตามินซี โฟเลต แคลเซียม และใยอาหาร
                            • เชอร์รี่ เป็นแหล่งวิตามินซีที่ยอดเยี่ยม ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันในระหว่างตั้งครรภ์ให้กับคุณแม่และลูกน้อยจากโรคติดเชื้อ เช่น โรคหวัด การรับประทานเชอร์รี่ยังช่วยในการส่งเลือดไปเลี้ยงรกและทารกได้อย่างมีประสิทธิภาพ เชอร์รี่ยังมีสารเมลาโทนินซึ่งเป็นฮอร์โมนที่จะช่วยทำให้คุณแม่นอนหลับสนิทได้อีกด้วย
                            • สตรอเบอร์รี่เป็นผลไม้แสนอร่อยเหมาะที่คุณแม่ท้องจะกินในมื้อว่างได้ดี เพื่อเพิ่มสารอาหารและวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกาย ในสตรอวเบอร์รี่อุดมไปด้วย วิตามินซีและวิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย อาทิเช่น ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ป้องกันหวัด ลดอาการภูมิแพ้ ลดอาการเลือดออกตามไรฟันที่เกิดจากการขาดวิตามินซี และช่วยบำรุงสายตา เป็นต้น มีไฟเบอร์และโฟเลต รวมทั้งธาตุเหล็ก แมงกานีส และโพแทสเซียมที่ช่วยเสริมสร้างกระดูกของลูกน้อยในครรภ์ที่กำลังเติบโตให้แข็งแรงขึ้น และช่วยในการปรับความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติ มีฟลาโวนอยด์สูงที่มีศักยภาพสูง อุดไปด้วยใยอาหารสูง ช่วยทำให้ระบบขับถ่ายทำงานเป็นปกติ

                            ผลไม้สำหรับคนท้อง

                            ขอขอบคุณรูปภาพ https://www.freepik.com/premium-photo/mix-berry-sweet-cherry-raspberry-currants-strawberry-blueberry-isolated_10530509.htm

                             

                            1. อะโวคาโด

                            อะโวคาโดจัดว่าเป็นผลไม้เพื่อสุขภาพ ที่มีคุณค่าทางอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่าผลไม้ชนิดอื่นอยู่หลายชนิด และยังเป็นแหล่งรวมสารอาหารสำคัญมากมายที่ส่งผลดีต่อสุขภาพ อาทิเช่น

                            • มีโฟเลตมากกว่าผลไม้ชนิดอื่น อะโวคาโดถ้วยเดียวมีสารอาหารเกือบเท่ากับโฟเลตที่ร่างกายของทุกคนต้องการต่อวัน ซึ่งเป็นสารอาหารที่จำเป็นสำหรับแม่ท้องตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์ที่ช่วยป้องกันการเกิดการพิการตั้งแต่เริ่มสร้างตัวอ่อน ช่วยให้ลูกในครรภ์ แข็งแรงสมบูรณ์ และถ้าหากว่าร่างกายของคุณแม่ได้รับสารโฟเลตอย่างเต็มที่ก็จะสามารถลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจ และความดันเลือดได้
                            • มีไขมันที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายซึ่งให้พลังงานและช่วยป้องกันข้อบกพร่องของท่อประสาท และยังเพิ่มเซลล์ที่รับผิดชอบในการสร้างผิวหนังและเนื้อเยื่อสมองของทารกที่กำลังพัฒนา
                            • โพแทสเซียมในอะโวคาโดสามารถบรรเทาอาการปวดขาซึ่งเป็นอาการที่พบได้บ่อยในระหว่างตั้งครรภ์โดยเฉพาะในไตรมาสที่สาม
                            • เป็นแหล่งที่อุดมไปด้วยวิตามิน เอ (เบต้าแคโรทีน) ช่วยบำรุงสายตา, วิตามิน บี ช่วยป้องกันโรคเหน็บชา ปากนกกระจอก, วิตามิน ซี ช่วยป้องกันหวัด เลือดออกตามไรฟัน, วิตามิน อี ซึ่งเป็นสาร ต้านอนุมูลอิสระ  ที่มีคุณค่าในการปกป้องเซลล์ร่างกายจากมลพิษทางอากาศ น้ำ และอาหาร ป้องกันร่างกายจากโรคมะเร็งชนิดต่าง ๆ และโรคหัวใจ และวิตามิน เค
                            • มีธาตุเหล็ก โคลีน ที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาสมองและระบบเส้นประสาทของทารก ช่วยป้องกันการเสื่อมของสมอง
                            • มีสารกลูตาไธโอน ที่มีคุณสมบัติเป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง มีหน้าที่ปกป้องเนื้อเยื่อของอวัยวะทุกส่วนโดยการต่อต้านอนุมูลอิสระที่สะสมอยู่ตามส่วนต่าง ๆ และกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย
                            • อะโวคาโดอุดมไปด้วยไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว เป็นไขมันที่ย่อยง่ายมีคาร์โบไฮเดรตต่ำ ช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือด ช่วยลดความเสี่ยงเบาหวานขณะตั้งครรภ์และอาการที่เสี่ยงในกลุ่มครรภ์เป็นพิษ
                            • มีโปรตีนที่ย่อยง่าย มีเส้นใยอาหารสูง ช่วยให้ระบบขับถ่ายให้ดีขึ้นแก้ปัญหาอาการท้องผูกของคุณแม่ระหว่างตั้งครรภ์ได้
                            • ในอะโวคาโดมีทั้ง โอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 ที่บำรุงสมองและระบบประสาทและเพิ่มความฉลาดให้ลูกน้อยในครรภ์

                            อะโวคาโดนั้นนอกจากจะดีต่อสุขภาพคุณแม่ยังดีต่อพัฒนาการและการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ด้วย อย่างไรก็ตามการกินอะโวคาโดแบบได้ประโยชน์ที่สุดควรกินอะโวคาโดสุกและแนะนำให้รับประทานปริมาณครั้งละไม่เกิน ครึ่งผล หรืออย่างมากที่สุดไม่เกิน 1 ผลต่อ ถ้ากินมากไปหรือกินผลดิบ จะทำให้มีรสขมอาจทำให้เกิดอาการปวดหัวได้

                            ผลไม้สำหรับคนท้อง

                            ขอขอบคุณรูปภาพ http://www.freshfoodsbkk.com/product/avocado/

                             

                            1. ฝรั่ง

                            ฝรั่งนับเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์ มีคุณค่าทางโภชนาการสูงและสารอาหารที่หลากหลายเหมาะสำหรับรับประทานระหว่างตั้งครรภ์ได้ดี ในฝรั่งน้ำหนัก 165 กรัม จะให้วิตามินสูงถึง 377 มิลลิกรัม หากเทียบกับส้มที่ว่าเป็นผลไม้ที่วิตามินซีสูงแล้ว ฝรั่งยังมีวิตามินซีสูงกว่าถึง 5 เท่า  และยังประกอบด้วยวิตามินเอสูง ที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายและความดันโลหิตในระหว่างตั้งครรภ์ ทั้งยังช่วยเรื่องเหงือกและฟันให้แข็งแรง อุดมไปด้วยวิตามิน E, iso-flavonoids, Carotenoids และ Polyphenols สารอาหารเหล่านี้มีส่วนช่วยย่อยอาหาร ลดอาการท้องผูก และให้ความแข็งแรงแก่ระบบประสาทของทารก นอกจากนี้รสชาติอร่อย กลิ่นหอมสดชื่นของฝรั่งยังช่วยในเรื่องอาการแพ้ท้องได้เป็นอย่างดีด้วย แต่อย่างไรก็ตามก็ไม่ควรกินฝรั่งในปริมาณที่มากเกินไป เนื่องจากจะทำให้ย่อยยากและส่งผลทำให้ท้องอืดได้ ดังนั้นคุณแม่ท้องควรเลือกกินแต่พอดีและควรเคี้ยวให้ละเอียดก่อนเสมอ เท่านี้การกินฝรั่งก็จะมีประโยชน์ต่อสุขภาพต่อคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์

                            ผลไม้สำหรับคนท้อง

                            ขอขอบคุณรูปภาพ http://www.freshfoodsbkk.com/product/guava/

                             

                            1. มะพร้าว

                            มะพร้าวเป็นอีกหนึ่งผลไม้ที่คุณแม่สามารถกินได้ตอนท้อง มีคุณค่าทางอาหารสูงและสารอาหารต่าง ๆ มากมาย อาทิเช่น โปรตีน โพแทสเซียม วิตามินซี โซเดียม แคลเซียม คลอไรด์ และเส้นใยอาหาร ที่ให้คุณประโยชน์สำหรับคุณแม่ท้อง เช่น

                            • โซเดียมโพแทสเซียม ช่วยควบคุมความดันโลหิต และการทำงานของหัวใจคุณแม่ตั้งครรภ์ให้เป็นปกติ
                            • แมงกานีส ช่วยบำรุงโลหิตและเสริมสร้างกระดูกให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง
                            • วิตามินซี ช่วยให้คุณแม่ตั้งครรภ์ มีผิวพรรณสดใส
                            • กลูโคสและฟรักโทสในปริมาณมาก ร่างกายสามารถนำไปใช้เป็นพลังงานได้ทันที เมื่อแม่ท้องได้ดื่มก็จะช่วยให้รู้สึกสดชื่น แก้กระหาย
                            • กรดลอริก ที่มีคุณสมบัติต้านเชื้อไวรัส เชื้อหวัด และเชื้อรา จึงช่วยในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของแม่และทารกในครรภ์ และช่วยป้องกันการติดเชื้อของโรคไข้หวัดใหญ่ เอชไอวี และโรคเริม
                            • มีไขมันอิ่มตัวที่มีคุณสมบัติละลายน้ำดี (MCT) ซึ่งมีหน้าที่ช่วยดูดซึมแคลเซียมที่มีส่วนช่วยทำให้กระดูกแข็งแรงและป้องกันโรคกระดูกพรุนได้อีกด้วย
                            • มีโฟเลตประกอบอยู่เป็นจำนวนมาก เมื่อร่างกายได้รับโฟเลตในปริมาณที่เพียงพอ ก็จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดต่าง ๆ ทำให้ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจและโรคหลอดเลือด
                            • เกลือแร่ที่มาจากธรรมชาติ ช่วยลดภาวะการขาดน้ำและช่วยลดอาการอ่อนเพลียได้ดีทีเดียว

                            สำหรับคุณแม่ท้องที่ต้องการกินมะพร้าว ควรกินในปริมาณที่พอดีหรือ 1 ลูกต่อวัน ควรเลือกซื้อมะพร้าวอ่อนแบบเป็นลูก เพื่อความปลอดภัย สะอาด เท่านี้ก็จะได้ประโยชน์จากสารอาหารครบถ้วนในมะพร้าวได้เป็นอย่างดีด้วย

                            ผลไม้สำหรับคนท้อง

                            ขอขอบคุณรูปภาพ https://www.jmthaifood.com/en/product/coconut/

                             

                            1. ลูกพรุน

                            ลูกพรุนเป็นอีกหนึ่งผลไม้ที่เหมาะสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีปัญหาเรื่องโลหิตจาง เพราะในลูกพรุนจะมีธาตุเหล็กเป็นส่วนประกอบหลัก จึงช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง และยังมีวิตามิน B2 ที่จะช่วยสร้างแคลเซียม ทำให้กระดูกและฟันแข็งแรงอีกด้วย รวมทั้งลูกพรุนยังเป็นผลไม้ที่ตอบโจทย์สำหรับแม่ท้องที่มีอาการท้องผูกได้เป็นอย่างดี เนื่องจากลูกพรุนมีไฟเบอร์กากอาหารมาก ซึ่งจะช่วยในการขับถ่ายที่ดี

                            ผลไม้สำหรับคนท้อง

                            ขอขอบคุณรูปภาพ https://www.shutterstock.com/th/image-photo/plums-plum-prunes-prune-slice-leaves-468880694

                             

                            1. องุ่น

                            องุ่นสามารถเป็นผลไม้ทานเล่นระหว่างมื้อที่ดีต่อสุขภาพในระหว่างตั้งครรภ์ ในองุ่นเต็มไปด้วยสารอาหารที่สำคัญ เช่นวิตามินนานาชนิด, สารต้านอนุมูลอิสระ มีเส้นใย น้ำตาลกลูโคส ฟรุกโตสที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ทั้งยังมีแมกนีเซียม แคลเซียม เหล็ก กรดโฟลิก และอื่น ๆ อีกมากมายที่ส่วนช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันและป้องกันการติดเชื้อ และนอกจากนี้องุ่นสีเข้มยังมีคุณสมบัติต่อต้านริ้วรอยที่สำคัญและทำให้ผิวของคุณแม่ดูอ่อนเยาว์อีกด้วย อย่างไรก็ตาม แม่ท้องควรกินในปริมาณที่เหมาะสมคือ 10-12 ผล เพราะเป็นผลไม้ที่มีน้ำตาลสูง ควรล้างทำความสะอาดเปลือกผิวด้านนอกขององุ่นก่อนรับประทานเนื่องจากอาจมีสารเคมีที่ตกค้างอยู่บนเปลือก

                            ผลไม้สำหรับคนท้อง

                            ขอขอบคุณรูปภาพ http://www.freshfoodsbkk.com/product/grapes-red/

                             

                            1. อินทผลัม

                            อินทผลัม เป็นผลไม้ที่หากินได้ไม่ยาก มีทั้งชนิดอบแห้งหรืออินทผลัมแบบผลไม้สด นอกจากนี้อินทผลัมยังเป็นผลไม้ที่ไม่มีคอเลสเตอรอล และอุดมไปด้วยสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เป็นผลไม้ที่มีไฟเบอร์ซึ่งจะช่วยลดอาการท้องผูกในระหว่างตั้งครรภ์ได้เป็นอย่างดี ช่วยสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อมดลูก ช่วยให้การบีบตัวของมดลูกในช่วงการคลอดได้ดี ช่วยลดอาการตกเลือดหลังจากคลอดลูก สำหรับคุณแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมแม่ การกินอินทผลัมจะช่วยบรรเทาอาการซึมเศร้าได้ ช่วยเพิ่มสารอาหารสำคัญในน้ำนมแม่ ซึ่งสารอาหารที่ได้จากอินทผลัมเมื่อลูกกินนมแม่จะช่วยในเรื่องภูมิคุ้มกันในร่างกาย ทำให้ลูกน้อยมีสุขภาพที่แข็งแรง

                            ด้วยความที่อินทผลัม เป็นผลไม้รสหวาน ที่มีปริมาณน้ำตาลสูง หากกินมากไป อาจส่งผลให้น้ำตาลในเลือดสูงได้ ดังนั้นช่วงแรก ๆ ของการตั้งครรภ์ควรกินแต่พอดี วันละไม่เกิน 3-5 ผลก็พอ หลังจากนั้น แนะนำให้กินเป็นของว่างเสริมในช่วงใกล้คลอด หรืออาจจะเริ่มตั้งแต่เดือนที่ 8 ของการตั้งครรภ์ก็ได้ สำหรับปริมาณที่ควรกินในช่วงนี้ก็คือประมาณวันละ 6-7 ผล

                            ผลไม้สำหรับคนท้อง

                            ขอขอบคุณรูปภาพ https://bohemiandates.com/blogs/lifestyle/10-date-fruit-varieities

                             

                            จะเห็นได้ว่าการรับประทาน ผลไม้บำรุงคนท้อง เป็นอาหารว่างที่ดีในระหว่างตั้งครรภ์ จะช่วยให้คุณแม่ได้รับวิตามินและเกลือแร่ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย ที่ช่วยเรื่องพัฒนาการของทารกในครรภ์ ช่วยลดความเสี่ยงของโรคและข้อบกพร่องบางอย่างและช่วยบำรุงสุขภาพร่างกายของคุณแม่ ทั้งนี้ผลไม้แต่ละอย่างแม่ท้องควรกินในปริมาณที่เหมาะสม เพราะหากรับประทานมากเกินไปอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อทั้งแม่และลูกน้อยในครรภ์ได้ ควรกินผลไม้ที่หลากหลายสลับกันไปในแต่ละวัน ควบคู่กับอาหารทั้ง 5 หมู่ เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน ก็จะช่วยให้มีสุขภาพครรภ์ดีตลอดการตั้งครรภ์นี้

                            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                             

                            อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                            9 ผลไม้เพิ่มน้ำนม แม่หลังคลอดน้ำนมน้อย ต้องกิน!

                            22 ผลไม้สำหรับคนท้อง สารอาหารแน่น แม่กินดีลูกได้ประโยชน์

                            20 แหล่ง อาหารโฟเลตสูง ครบทั้งผักผลไม้ เนื้อสัตว์ ดีต่อแม่และลูกในท้อง

                              Tags

                              ลูกท้องเสียหลายวัน เด็กยืดตัว

                              ลูกท้องเสียหลายวัน อย่าวางใจความเชื่อ”เด็กยืดตัว”มีจริงหรือ

                              ลูกท้องเสียหลายวัน ไม่ใช่เรื่องปกติ อย่าให้ความเชื่อเรื่องเด็กยืดตัวแล้วจะถ่ายท้อง มาทำให้ลูกเสี่ยงอันตรายจากการสูญเสียน้ำในร่างกาย และโรคร้ายแรงต่าง ๆ ได้

                              ลูกท้องเสียหลายวัน อย่าวางใจความเชื่อ”เด็กยืดตัว”มีจริงหรือ??

                              พ่อแม่ที่กำลังประสบกับปัญหาลูกน้อยท้องเสียเรื้อรัง ลูกท้องเสียหลายวัน ติดต่อกัน แต่ก็ยังคงเห็นลูกไม่ซึม ไม่งอง แต่อาการท้องเสียก็ไม่ดีขึ้นเสียทีจนเริ่มกังวลใจ ปู่ย่าตายายที่บ้านก็ให้คำแนะนำต่อความเชื่อโบราณที่ว่า “เด็กยืดตัว” เลยถ่ายท้อง ไม่ต้องคิดมาก แล้วมันเป็นเรื่องจริงหรือ พ่อแม่ไม่ต้องกังวล รอเด็กหายได้เองจริงหรือไม่

                              ลูกท้องเสียหลายวัน อันตรายไหม
                              ลูกท้องเสียหลายวัน อันตรายไหม

                              อันตราย!! ลูกท้องเสียหลายวัน ควรดูแลใกล้ชิด..เด็กยืดตัว ไม่มีจริง 

                              ในเด็กทารกนั้น หากมีอาการท้องเสีย โดยลักษณะถ่ายเป็นน้ำ แต่ยังเป็นสีเหลืองไม่มีกลิ่นเหม็นคาว และกินเฉพาะนมแม่ อาจเป็นเพราะได้รับนมส่วนหน้ามากเกินไป ให้คุณแม่บีบน้ำนมส่วนหน้าทิ้งไปสักช่วงนึงก่อน เพื่อให้ลูกได้กินน้ำนมส่วนหลังให้มากขึ้น

                              หากพบว่าลูกท้องเสีย ร่วมกับอาการเหล่านี้ อย่าเพิ่งเชื่อกับคำกล่าวโบราณเรื่อง “เด็กยืดตัว” รีบพาไปพบคุณหมอโดยด่วน

                              1. ถ่ายอุจจาระเป็นมูกหรือ เป็นมูกเลือด
                              2. ไข้สูง
                              3. มีอาการชัก
                              4. อาเจียนบ่อย
                              5. ท้องอืด
                              6. หายใจหอบลึก ๆ
                              7. ไม่ยอมดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ทุกชนิด ไม่ยอมกินข้าว หรือไม่ยอมดื่มนม
                              8. ดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่แล้วแต่ยังดูเพลีย
                              9. มีอาการซึมมากขึ้น
                              10. ถ่ายอุจจาระเป็นน้ำบ่อยมากกว่า 10 ครั้งต่อวัน

                              โรคท้องเสียในเด็ก น่ากังวลใจแค่ไหน ??

                              โรคท้องเสียในเด็ก เป็นภาวะที่มีการถ่ายอุจจาระเหลว จำนวน 3 ครั้งต่อวัน หรือมากกว่า หรือถ่ายมีมูกเลือดอย่างน้อย 1 ครั้งต่อวัน โดยสาเหตุเกิดจากการติดเชื้อจากแบคทีเรีย ไวรัสและพยาธิ จากการรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่มีเชื้อโรคปนเปื้อนเข้าไป หากถ่ายติดต่อกันหลายครั้งอาจทำให้เกิดภาวะขาดน้ำ และเกลือแร่ในช่วงแรก และภาวะขาดสารอาหารในช่วงหลัง

                              เชื้อโรคที่ทำให้เด็กท้องเสียมักจะพบว่าเป็นเชื้อไวรัสมากกว่าเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งไวรัสที่พบบ่อยในประเภทนี้คือ : โรต้าไวรัส,โนโรไวรัส,อะดีโนไวรัส

                              ลูกท้องเสียหลายวัน เพราะยืดตัวตามคำโบราณจริงหรือ
                              ลูกท้องเสียหลายวัน เพราะยืดตัวตามคำโบราณจริงหรือ

                              ทำไมจึงกล่าวว่า เด็กยืดตัว ไม่มีจริง??

                              ผศ.พญ.นิยะดา วิทยาศัย กุมารแพทย์ สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี ให้ความรู้ในเรื่องนี้ว่า  คำว่าท้องเสีย เพราะ “ยืดตัว” ไม่ใช่ความจริง ธรรมชาติของเด็กในขวบปีแรกจะมีพัฒนาการของร่างกาย ได้แก่ นอนหงายเป็นนอนคว่ำ คืบ นั่ง ยืน เดิน เป็นต้น ซึ่งการพัฒนาการต่าง ๆ เหล่านี้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดภาวะท้องเสียใด ๆ เพราะการท้องเสียมีสาเหตุมาจากการที่ร่างกายได้รับเชื้อโรค ซึ่งอาจติดมาจากอาหารเมื่อรับประทาน หรือการกินนม น้ำที่ปนเปื้อนเชื้อโรค หรือแม้กระทั่งมือของเด็กเองที่ชอบนำสิ่งของเข้าปากตัวเอง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กในวัยนี้เป็นวัยกำลังซน และมีพัฒนาการทางร่างกายที่พัฒนาขึ้นอย่างมาก สามารถคลาน หยิบจับสิ่งของได้ดีขึ้น ทำให้โอกาสในการได้รับเชื้อโรคก็มีมากขึ้นกว่าตอนเป็นทารก

                              ทำให้คนโบราณสังเกตได้ว่าเด็กในวัยที่กำลังโตนี้ มักพบอาการท้องเสียได้บ่อย ๆ จึงเกิดความเชื่อเรื่อง “เด็กยืดตัว” ขึ้น

                              ภาวะท้องเสีย ที่เกิดจากการติดเชื้อ เช่น ไวรัส แบคทีเรีย จำเป็นต้องไปพบแพทย์เพื่อดูอาการ และหาสาเหตุที่เกิดขึ้นให้เจอ และปรับเปลี่ยนวิธีการดูแลลูกเสียใหม่ เช่น อาจเกิดจากกรณีที่ล้างขวดนมไม่สะอาด หรือมีภาวะแพ้โปรตีนหรือสิ่งแปลกปลอมผ่านนมแม่ คุณแม่ก็อาจจะต้องงดอาหารที่อาจส่งผลให้ลูกแพ้ แต่หากกินนมผง อาจมีความจำเป็นต้องเปลี่ยนชนิดของนมผง ซึ่งหากคุณแม่ไม่มั่นใจ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์

                              สัญญาณของภาวะขาดน้ำในเด็ก 

                              ภาวะขาดน้ำ เป็นอีกหนึ่งอาการอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้กับเด็กที่มีอาการท้องเสีย โดยเฉพาะในเด็กเล็กที่เขาไม่สามารถบอกให้เราทราบได้ถึงอาการไม่สบายตัวของตัวเอง ดังนั้นหากลูกน้อยมีไข้ ท้องเสีย อาเจียน หรือมีเหงื่อออกมาก พ่อแม่ควรสังเกตอาการที่บ่งบอกว่าลูกอาจเสี่ยงต่อภาวะขาดน้ำ ที่เป็นภาวะที่เป็นอันตราย ดังนี้

                              • ปากแห้ง
                              • ปัสสาวะน้อยกว่าปกติ อาจสังเกตได้ว่าเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูกไม่เกิน 6 ชิ้นต่อวัน
                              • มีน้ำตาออกมาน้อยหรือไม่มีน้ำตาเลยขณะร้องไห้
                              • ผิวเย็นและแห้ง
                              • ฉุนเฉียวง่าย
                              • ง่วงซึม หรือเวียนศีรษะ
                              • ตาโหลหรือตาลึก
                              • ทารกหรือเด็กวัยหัดเดินอาจมีกระหม่อมบุ๋ม
                              • เล่นน้อยกว่าปกติ
                              • เด็กที่ขาดน้ำจากอาการท้องเสียอาจมีอุจจาระเหลว
                              • เด็กที่ขาดน้ำจากการอาเจียนหรือดื่มน้ำน้อยอาจถ่ายอุจจาระน้อยลง
                              สัญญาณภาวะขาดน้ำในเด็ก
                              สัญญาณภาวะขาดน้ำในเด็ก

                              ในกรณีที่มีอาการรุนแรง เด็กอาจจะมีอาการหงุดหงิดมาก ตาโหล รู้สึกง่วงซึมมาก มือเท้าเย็นและเปลี่ยนสีไปจากปกติ ผิวหนังเหี่ยวย่น และปัสสาวะเพียงวันละ 1-2 ครั้งเท่านั้น หากลูกน้อยมีอาการดังกล่าว คุณพ่อคุณแม่ควรรีบพาไปพบแพทย์ทันที

                              อาการท้องเสียฉับพลันมักหายได้เองภายใน 1 สัปดาห์ แต่หากมีอาการท้องเสียนานกว่า 2 สัปดาห์ขึ้นไป ถือว่าเป็นภาวะอุจจาระร่วงเรื้อรัง ควรพบแพทย์เพื่อทำการรักษา และไม่ควรซื้อยาหยุดถ่ายมารับประทาน เพราะการท้องเสีย คือการขับเอาเชื้อโรคออกจากร่างกาย หากมีถ่ายบ่อย ให้ดื่มน้ำเกลือแร่ เพื่อลดการสูญเสียน้ำ

                              นอกจากนั้นแล้ว การได้รับวัคซีน เพื่อป้องกันสาเหตุของการเกิดอาการท้องเสีย หรือลำไส้อักเสบ ที่อาจส่งผลให้เกิดภาวะท้องร่วงรุนแรงและอาจเกิดอันตรายร้ายแรงได้อย่าง ไวรัสโรต้า ก็เป็นสิ่งที่สำคัญและควรป้องกัน คุณพ่อคุณแม่ควรพาลูกไปรับวัคซีนโรต้าให้ครบและตรงตามกำหนดอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะในขณะนี้ วัคซีนไวรัสโรต้าได้ถูกบรรจุให้เป็นวัคซีนสามัญรับฟรีได้ตามสถานอนามัยทุกแห่ง และการหยอดครั้งแรกไม่ควรเกินอายุ 2 เดือน เพื่อให้มีประสิทธิ์ภาพมากที่สุด

                              การป้องกันโรคท้องเสียในเด็ก

                              • ส่งเสริมให้มารดาเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เพื่อให้ลูกมีภูมิคุ้มกันต้านทานโรค
                              • รับประทานทานอาหารที่ปรุงสุก และสะอาดไม่มีแมลงวันตอม
                              • หากจะเก็บอาหารควรเก็บไว้ในตู้เย็น และต้องอุ่นให้ร้อนก่อนให้เด็กรับประทานทุกครั้ง
                              • ผักสดหรือผลไม้ ควรล้างด้วยน้ำสะอาดก่อนให้เด็กรับประทาน
                              • กำจัดขยะมูลฝอยเพื่อไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์แมลงวัน
                              • ถ่ายอุจจาระลงในส้วมที่ถูกสุขลักษณะ
                              • ผู้ดูแลเด็กควรล้างมือให้สะอาดก่อนปรุงอาหาร ก่อนรับประทานอาหารและหลังจากการใช้ห้องน้ำหรือเปลี่ยนผ้าอ้อมเด็ก
                              • สอนเด็กให้รู้จักล้างมือบ่อยๆ โดยเฉพาะก่อนรับประทานอาหารและหลังใช้ห้องน้ำ
                              • การให้วัคซีน ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันโรคท้องเสียจากเชื้อโรต้า ซึ่งสามารถช่วยลดความรุนแรงของโรคได้

                              ทารกถ่ายเหลว ถ่ายบ่อย ใช่อาการท้องเสียหรือไม่

                              ในบางครั้งการที่จะดูว่าลูกท้องเสียหรือไม่ อาจเป็นเรื่องที่พ่อแม่มือใหม่ตัดสินได้ลำบาก โดยเฉพาะเด็กนมแม่ จำนวนครั้งของการขับถ่ายไม่สามารถบ่งบอกได้แน่ชัดว่าลูกเกิดอาการท้องเสีย เพราะเด็กนมแม่นั้นมักจะถ่ายบ่อย ถ่ายเหลว ถ่ายทันทีหลังกินนมเป็นเรื่องปกติ ดังนั้นให้คุณพ่อคุณแม่สังเกตที่ลักษณะของอุจจาระประกอบด้วย เช่น ถ้าอุจจาระที่ลูกถ่ายมีกากออกมาด้วยในทุกครั้ง และลูกยังร่าเริงดี เล่นได้ กินนมได้ปกติ น้ำหนักขึ้นดี แม้จะถ่าย 10 ครั้งต่อวันก็ยังถือว่าปกติ แต่หากลักษณะอุจจาระเหลว เป็นน้ำ ไม่มีกากปนเลย หรือมีมูกเลือดปน ลักษณะแบบนี้เป็นอาการบ่งบอกว่าลูกท้องเสีย

                              เด็กนมแม่ ถ่ายเหลว เรื่องปกติ หรือท้องเสียกันนะ
                              เด็กนมแม่ ถ่ายเหลว เรื่องปกติ หรือท้องเสียกันนะ

                              เด็กนมแม่

                              สาเหตุที่เด็กกินนมแม่ จะมีอาการถ่ายเหลว ถ่ายบ่อย แต่ไม่มีอาการผิดปกติอื่นร่วมด้วย ยังไม่นับว่าเป็นอาการท้องเสียในเด็ก แต่อาจมีสาเหตุมาจาก นมแม่มีคุณสมบัติที่ย่อยง่าย  และสามารถดูดซึมสารอาหารได้เกือบหมด ทำให้อุจจาระของลูก มีกากน้อย และมีน้ำมาก โดยเฉพาะในน้ำนมส่วนหน้าของเต้า ที่มีน้ำ และน้ำตาลแลคโตสเป็นส่วนประกอบค่อนข้างมาก จึงสามารถผ่านลงลำไส้ได้รวดเร็ว ทำให้ลำไส้ย่อยและดูดซึมไม่ทัน เป็นผลให้เด็กถ่ายทันทีหลังกินนมแม่

                              หากคุณพ่อคุณแม่พบปัญหาลูกถ่ายเหลว ถ่ายบ่อยจากการกินนมแม่ แนะนำว่าพยายามให้ลูกดูดนมแม่ให้เกลี้ยงเต้า เพราะน้ำนมส่วนหลังมีไขมันสูง จะใช้เวลาย่อย และดูดซึมนานกว่าส่วนหน้า วิธีการนี้ก็จะสามารถทิ้งช่วงห่างการขับถ่ายออกไปได้ หรือบีบน้ำนมแม่ส่วนหน้าที่มีลักษณะใสทิ้งไปก่อนนำลูกเข้าเต้า ประมาณ 20-30 มิลลิลิตร หรือประมาณ 10-15 นาที เพื่อให้ลูกไม่อิ่มก่อนที่จะได้รับน้ำนมส่วนหลัง ก็จะช่วยในการลดอาการถ่ายบ่อย ถ่ายเหลวของเด็กนมแม่ไปได้บ้าง

                              เด็กกินนมผง

                              เด็กที่กินนมผง และมีอาการถ่ายเหลว ถ่ายบ่อย อาจเป็นไปได้ว่าลูกมีปัญหาในการย่อยสารอาหารในนมผง เนื่องจากระบบการย่อยอาหารของลูกยังพัฒนาได้ไม่สมบูรณ์ โดยเฉพาะเอนไซม์ในลำไส้ที่ใช้ย่อยโปรตีน และน้ำตาลแลคโตสยังทำงานไม่เต็มที่

                              เมื่อลูกกินนมสูตรปกติที่มีโปรตีนเป็นโมเลกุลใหญ่ และมีน้ำตาลแลคโตสเป็นส่วนผสม ลำไส้จะย่อยได้ไม่หมด สารอาหารบางส่วนจึงตกค้างในลำไส้จนเกิดเป็นแก๊ส ซึ่งเป็นสาเหตุให้เด็กปวดท้อง แน่นท้อง ท้องอืด ร้องกวน รวมทั้งอาการถ่ายทันทีหลังกินนม พ่อแม่สามารถปรึกษาคุณหมอเพื่อเลือกนมสูตรย่อยง่าย ที่มีโปรตีนที่ผ่านการย่อยบางส่วน และมีสัดส่วนของน้ำตาลแลคโตสต่ำกว่าปกติ ซึ่งสอดคล้องกับระบบการย่อยของลูกที่ยังพัฒนาไม่สมบูรณ์

                              เด็กกินนมผง ถ่ายเหลว สาเหตุจากอะไร
                              เด็กกินนมผง ถ่ายเหลว สาเหตุจากอะไร

                              อาการถ่ายบ่อย ถ่ายเหลว ส่งผลต่อพัฒนาการของลูก!!

                              อาการเหล่านี้ไม่ใช่อาการปกติ การถ่ายเหลวจะทำให้ลูกได้รับสารอาหารจากนมไม่เต็มที่ และส่งผลกระทบต่อสุขภาพกาย และพัฒนาการของลูกได้ การที่ลูกถ่ายบ่อยไป อาจทำให้ลูกก้นแดง เป็นแผล เกิดผื่นคล้าย ๆ ผื่นผ้าอ้อม รอบ ๆ ก้นและบริเวณขาหนีบ ซึ่งจะทำให้ลูกหงุดหงิด งอแง ร้องกวน ส่งผลต่อพัฒนาการด้านอารมณ์ และการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ รอบตัวก็ทำได้น้อยลงกว่าที่ควรจะเป็น

                              หากเกิดอาการดังกล่าวขึ้น แนะนำให้หมั่นเปลี่ยนผ้าอ้อม ทำความสะอาดหลังการขับถ่ายทุกครั้ง และเช็ดก้นของลูกให้แห้งอยู่เสมอ เพื่อลดความอับชื้นของผิวหนังบริเวณผ้าอ้อม รวมถึงทาครีมเพื่อช่วยปกป้องผิวของลูกจากการขับถ่ายที่บ่อย

                              ข้อมูลอ้างอิงจาก รพ.นครธน /www.pobpad.com/www.enfababy.com

                              อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                              ไวรัสมาร์บวร์ก มาแล้วตระกูลเดียวกับอีโบลาน่ากลัวแค่ไหน

                              ปากมดลูก สำคัญไฉนกับวัคซีนมะเร็งปากมดลูก 9สายพันธุ์

                              อัปเดต ป่วยโควิด สิทธิบัตรทอง 30 บาทรักษาที่ไหนได้บ้าง

                              โรคมือเท้าปาก อาการ เริ่มต้น เฝ้าระวังเชื้อใหม่แรงกว่าเดิม

                              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                พัฒนาการเด็ก

                                10 ไอเทมเสริม พัฒนาการเด็ก 1 ขวบขึ้นไป ให้ลูกรักฉลาด แข็งแรง สมวัย

                                เมื่อลูกน้อยเติบโตขึ้นจากทารกเป็นเด็กน้อย คุณพ่อคุณแม่ที่คอยโอบอุ้มเลี้ยงดูมาอย่างดีก็คงปลื้มปริ่มใจนะคะ หลังจากเข้าสู่ช่วงวัย 1 ขวบขึ้นไป พัฒนาการของลูกน้อยจะเริ่มก้าวกระโดด และถือเป็นช่วงเวลาสำคัญที่คุณพ่อคุณแม่จะต้องปูพื้นฐานให้สำหรับการเผชิญโลกกว้าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสุขภาพ สติปัญญา การเข้าสังคมต่าง ๆ วันนี้กองบรรณาธิการ Amarin Baby & Kids ขอแนะนำ 10 ไอเทมช่วยเสริม พัฒนาการเด็ก ให้คุณพ่อคุณแม่ไปตามหาเพื่อมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกเติบโตได้อย่างสมวัยค่ะ

                                พัฒนาการเด็ก 1 ขวบ++ ต้องกระตุ้นเสริมด้วย 10 ไอเทมที่คัดสรรมาอย่างใส่ใจ มีรางวัล Amarin Baby & Kids Awards 2021 การันตีคุณภาพ และดีมีประโยชน์กับลูกน้อย

                                พัฒนาการเด็ก คอกกั้น BEBEPLAY

                                1. คอกกั้น BEBEPLAY

                                เมื่อลูกน้อยโตขึ้นพื้นที่สนุกของเขาก็กว้างขึ้นตามพัฒนาการ คอกกั้น รุ่นนี้บอกเลยว่าทั้งน่ารัก ฟังก์ชั่นเพียบ ปลอดภัยหายห่วง เพราะผลิตด้วยวัสดุ HDPE Food Grade และเม็ดสีที่คิดค้นด้วยนวัตกรรม Food Grade Pigment ซึ่งเป็นสีที่ใช้ในการผลิต ขวดนมและยางกัด ผ่านมาตรฐาน Food Contact เจ้าเดียวในไทย แผ่นคอกมีขนาดสูงถึง 62 ซม. ซึ่งเด็กเล็กใช้เกาะเดินได้ แต่ข้ามออกมาไม่ได้ มาพร้อมจุกสูญญากาศที่พื้นกันขยับ ดีไซน์น่ารักเป็นรูปหมี สีสันพาสเทล ส่วนด้านในมีบอร์ดกิจกรรมเสริมสร้าง พัฒนาการเด็ก ทั้งการฝึกยืน ฝึกเดิน และยังประกอบง่าย จะปรับทรง เพิ่มขนาด เสริมเครื่องเล่นเป็นเพลย์ยาร์ดเมื่อลูกโตขึ้นก็ได้ด้วย คอกกั้น bebeplay ได้รับการการันตีคุณภาพและประสิทธิภาพการใช้งานที่ดีและปลอดภัยสำหรับเด็ก จนได้รับรางวัล EDITOR’s CHOICE สาขา BEST SAFETY FENCE PLAYPEN จากการประกวด Amarin Baby & Kids Awards 2021

                                ข้อมูลเพิ่มเติม https://www.bebeshop.co/products/bebeplay-hugbear

                                นม UHT จิตรลดา

                                2. นม UHT จิตรลดา

                                เป็นแบรนด์สุดคลาสสิคที่เชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่ตอนเด็ก ๆ ก็คงเคยกินนมกล่องสีเหลืองนี้กัน นมยูเอชทีแบบนี้มาในรูปแบบกล่อง ทั้งเก็บง่าย กินง่าย เหมาะกับลูกน้อยกำลังโตตั้งแต่ 1 ขวบขึ้นไป หลังจากหย่านมแม่แล้ว เป็นนมสดแท้ 100% รสจืด ไม่เติมแต่งใด ๆ มีปริมาณแคลเซียมต่อกล่องมากถึง 30% ช่วยทั้งในเรื่องการเติบโต พัฒนาการด้านต่าง ๆ ไปจนถึงระบบขับถ่าย เก็บรักษาก็ง่ายเพียงเก็บให้พ้นแสงแดด จะแช่เย็นก่อนดื่มก็ชื่นใจ หรือจะอุ่นไว้ดื่มก่อนนอน ก็อิ่มท้อง หลับสบาย นม UHT จิตรลดา เป็นอีกหนึ่งไอเทมเสริม พัฒนาการเด็ก ที่เป็นนมโคแท้ไม่มีส่วนผสมของน้ำตาล จากโครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา มีหลายรูปแบบทั้งนมชนิดกล่อง นมบรรจุถุง นมโรงเรียน และนมยู.เอช.ที. ผสมฟลูออไรด์ชนิดบรรจุกล่อง และได้รับการการันตีคุณภาพจากทีมบรรณาธิการ Amarin Baby & Kids  ให้ได้รับรางวัล EDITOR’s CHOICE สาขา UHT MILK AWARD จากการประกวด Amarin Baby & Kids Awards 2021

                                ข้อมูลเพิ่มเติม https://www.naiin.com/product/detail/510132

                                ขนมสำหรับเด็ก Dozo Baby Bite

                                3. ขนมสำหรับเด็ก Dozo Baby Bite

                                เด็กน้อยกับขนมกลายเป็นของคู่กันไปแล้ว แต่จะกินยังไงให้ได้ประโยชน์ด้วย คุณพ่อคุณแม่ต้องเลือกให้ดีนะคะ อย่างโดโซะ เป็นขนมที่ทำจากข้าวญี่ปุ่นพันธุ์ดี ผ่านการอบ ไม่ทอด จึงดีต่อสุขภาพลูกน้อย เหมาะสำหรับเด็กวัยตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 3 ปี ชิ้นพอดีมือเด็ก เคี้ยวง่าย ช่วยเสริม พัฒนาการเด็ก ในการเคี้ยวอาหารและหยิบจับของลูกน้อย ช่วยให้เค้าไม่เบื่ออาหาร ส่วนรสชาติมีให้เลือกทั้งรสดั้งเดิม รสผัก รสแครอต และรสกล้วย นอกจากนี้ยังได้รับเครื่องหมายฮาลาล เรียกว่าเป็นขนมอร่อยกินง่าย เหมาะกับเด็กน้อยวัยกำลังฟันขึ้นเลย DOZO เบบี้ไบท์ข้าวหอมญี่ปุ่นอบกรอบ เมนูฟิงเกอร์ฟู้ดสำหรับวัยหัดกินอายุ 6 เดือนขึ้นไป ผลิตจากส่วนผสมออร์แกนิคทั้งข้าวญี่ปุ่น แครอท ซึ่งผ่านการรับรองมาตรฐานจาก USDA ORGANIC ตรารับรองอาหาร และผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคของสหรัฐอเมริกา ไม่มีส่วนผสมของกลูเตน ถั่วเปลือกแข็งและนม ไม่เจือสีและกลิ่นสังเคราะห์ ไร้วัตถุกันเสีย ที่ก่อให้เกิดการแพ้อาหาร ขนมเด็กที่มีประโยชน์กับลูกน้อยวัยกำลังหัดกินแบบนี้ มีรางวัลการันตีจากการประกวด Amarin Baby & Kids Awards 2021 จนได้รับรางวัล 100 % ORGANIC สาขา BEST BABY FOOD AND SNACKS มาด้วยนะคะ

                                ข้อมูลเพิ่มเติม https://www.tops.co.th/th/dozo-baby-bite-japanese-rice-cracker-carrot-24pcs-50g-8851004813538

                                พัฒนาการเด็ก

                                4. แหล่งเรียนรู้นอกบ้าน Sea Life Bangkok

                                เมื่อลูกน้อยเติบโต แหล่งท่องเที่ยวที่พาลูกไปก็ควรจะเป็นที่ที่มีความรู้และเสริมสร้างประสบการณ์เพื่อพัฒนาการของเค้าด้วยนะคะ อย่างอควาเรียมที่ Sea Life Bangkok เป็นแหล่งท่องเที่ยวเรียนรู้โลกใต้น้ำที่อยู่ใจกลางเมืองเลย ไปมาสะดวกมาก ภายในมีไฮไลท์เยอะมาก ไม่ว่าจะเป็น นั่งเรือท้องกระจกชมปลาในแท๊งค์ ได้เห็นสัตว์น้ำตัวเป็น ๆ แบบไม่มีอะไรกั้น อาณาจักรม้าน้ำ หอยเม่น และสัตว์แปลก ๆ หลายสายพันธุ์ สัตว์ในป่าเขตร้อน ป่าโกงกาง ทดลองสัมผัสดาวทะเล ปลิงทะเล ลอดอุโมงค์ใต้น้ำที่ยาวที่สุดในไทย ชมฉลามหลายสายพันธุ์และปลากระเบน ยืนชมแท้งค์น้ำขนาดใหญ่ มองปลาว่ายไปมาพร้อมโชว์ให้อาหาร รับรองว่ามาแล้วลูก ๆ จะได้ความรู้เต็มอิ่มกลับไปอย่างแน่นอน SEALIFE BAGKOK โลกใต้ทะเลใจกลางกรุงเทพฯ คือแหล่งเรียนรู้นอกบ้านที่มีประโยชน์กับเด็กและทุกคนในครอบครัว ได้รับรางวัลEDITOR’s CHOICE สาขา BEST KIDS OUTDOOR-LEARNING CENTER จากการประกวด Amarin Baby & Kids Awards 2021

                                ข้อมูลเพิ่มเติม https://www.visitsealife.com/bangkok/

                                ผลิตภัณฑ์โลชั่นกันยุง White Papel

                                5. ผลิตภัณฑ์โลชั่นกันยุง White Papel

                                ผลิตภัณฑ์กันยุงเป็นไอเทมที่คุณพ่อคุณแม่ต้องพกติดตัวเพื่อปกป้องลูกน้อยเสมอนะคะ ซึ่งผลิตภัณฑ์กันยุง White Papel เป็นโลชั่นกันยุงออร์แกนิค คิดค้นเพื่อลูกน้อยโดยเฉพาะด้วยสูตรปกป้องผิวจากยุงและแมลงรบกวน จากประสิทธิภาพของดอกลาเวนเดอร์ และตะไคร้หอม ผสมผสานคุณค่าของสารสกัดออร์แกนิก เช่น Shea Butter น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น และว่านหางจระเข้ ที่อุดมไปด้วยวิตามินและกรดไขมันที่จำเป็นต่อผิว จึงช่วยถนอมผิวลูกน้อย เนื้อครีมไม่เหนียวเหนอะหนะ และยังปราศจากสาร DEET และสารที่เป็นอันตราย จนยังได้รับการรับรองมาตรฐานออร์แกนิคจาก USDA Organic สหรัฐอเมริกา เพื่อให้ลูกน้อยสนุกกับทุกกิจกรรมเสริม พัฒนาการเด็ก ที่ไม่ว่าจะอยู่ในบ้านหรือนอกบ้านก็ปอลดภัยจากยุงงร้าย โลชั่นกันยุง White Papel เป็นผลิตภัณฑ์กันยุงที่ใช้ดีและปลอดภัย ได้รับรางวัล NATURAL & ORGANIC สาขา BEST MOSQUITO SOLUTION FOR KIDS จากการประกวด Amarin Baby & Kids Awards 2021

                                ข้อมูลเพิ่มเติม https://www.whitepapel.com/%e0%b8%aa%e0%b8%b4%e0%b8%99%e0%b8%84%e0%b9%89%e0%b8%b2/

                                วิตามินเสริมภูมิคุ้มกันสำหรับเด็ก MUNO

                                6. วิตามินเสริมภูมิคุ้มกันสำหรับเด็ก MUNO

                                การกินอาหารที่มีวิตามินจึงสิ่งจำเป็น คุณแม่สามารถเสริมวิตามินให้ลูกได้ด้วยผลิตภัณฑ์เสริมโภชนาการแบรนด์ MUNO ในรูปแบบของวิตามินผงซึ่งคงคุณค่าของวิตามินต่างๆ ได้ยาวนานกว่า เป็นตัวเลือกในการเพิ่มภูมิคุ้มกันให้ลูกแข็งแรงได้ทุกวัน MUNO Powder คิดค้นโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เป็นวิตามินเพิ่มภูมิคุ้มกันสำหรับเด็กประกอบด้วย 9 วิตามินที่มีวิจัยรองรับว่าช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน เหมาะสำหรับเด็กที่ป่วยบ่อย ป่วยง่าย หรือกำลังไม่สบาย วิตามินเสริมภูมิคุ้มกัน MUNO RISING STAR สาขา KIDS DIETARY SUPPLEMENT AWARD จากการประกวด Amarin Baby & Kids Awards 2021

                                ข้อมูลเพิ่มเติม https://www.pharmashop4u.com/product/12749/muno-powder-kids-28g-วิตามินเพิ่มภูมิคุ้มกันสำหรับเด็ก-sambucus-bio-matrix-elderberry-extract

                                แปรงสีฟันและยาสีฟันเด็ก JORDAN

                                7. แปรงสีฟันและยาสีฟันเด็ก JORDAN

                                อีกหนึ่ง พัฒนาการเด็ก ที่สำคัญของลูกน้อยก็คือการฝึกให้เขาใส่ใจดูแลสุขภาพปากและฟัน โดยเฉพาะตั้งแต่ฟันซี่แรก แปรงสีฟันและยาสีฟันเด็กแบรนด์ JORDAN ตอบโจทย์มาก เพราะออกแบบให้เลือกใช้ได้ตั้งแต่วัยเบบี๋ฟันขึ้นซี่แรก จนถึงเด็กโตที่ต้องดูแลฟันด้วยตัวเอง ด้ามจับออกแบบให้เหมาะกับขนาดมือของเด็ก ซึ่งจะช่วยส่งเสริมพัฒนาการในเรื่องของกล้ามเนื้อมือได้ดี สำหรับยาสีฟัน Jordan มีให้เลือกกันตั้งแต่ 2 ช่วงวัย คือช่วงอายุ 1-5 ขวบ มีปริมาณฟูลออไรด์ 500 ppm และ 6-12 ขวบ มีปริมาณฟูลออไรด์ 1,000 ppm ส่วนผสมของยาสีฟันปราศจากน้ำตาลและสารโซเดียม ลอริล ซัลเฟต (0% SLS) มีรสสัมผัสและกลิ่นที่เด็กชอบ ทั้งแปรงสีฟันและยาสีฟัน Jordan ใช้ดีมีคุณภาพแบบนี้ ทางทีมบรรณาธิการ Amarin Baby & Kids จึงได้คัดเลือกให้รับรางวัล EDITOR’s CHOICE สาขา BEST ORAL CARE PRODUCT FOR KIDS จากการประกวด Amarin Baby & Kids Awards 2021

                                ข้อมูลเพิ่มเติม https://www.facebook.com/jordanthailand/

                                พัฒนาการเด็ก โปสเตอร์พูดได้ MIS Book

                                8. โปสเตอร์พูดได้ MIS Book

                                สำหรับเด็กน้อยที่กำลังฝึกพูดอ่านเขียน โปสเตอร์แผ่นใหญ่แบบนี้ก็น่าสนุกไม่แพ้กันนะคะ ที่สำคัญนี่คือ โปสเตอร์พูดได้ มีทั้งเสียงพยัญชนะ สระ และสัตว์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นอักษรไทย กขค อังกฤษ ABC และสวนสัตว์หรรษา เมื่อกดแล้วก็จะได้ยินเสียงให้ออกเสียงตาม โปสเตอร์สัตว์นอกจากได้คำศัพท์ก็ยังมีเสียงสัตว์ให้ร้องเล่นตามด้วย ฝึกทักษะการฟังแล้ว ในชุดยังมีสมุดหัดอ่าน สมุดหัดคัด รวมทั้งแบบฝึกหัดสนุก ๆ ให้ทำตามด้วย ส่วนวัสดุทำจากพลาสติกเกรดพรีเมี่ยม ทนทาน ภาพการ์ตูนน่ารัก ตัวอักษรใหญ่ชัดเจน มีปุ่มเพิ่มลดเสียง และยังมีเสียงเพลงให้เด็ก ๆ กดเลือกฟังด้วย คุณพ่อคุณแม่ที่อยากได้หนังสือสำหรับช่วยกระตุ้น พัฒนาการเด็ก ให้กับลูกน้อย โปสเตอร์พูดได้ MIS Book เป็นหนึ่งในไอเทมที่ต้องมีให้ลูกนะคะ

                                ข้อมูลเพิ่มเติม http://misbook.lnwshop.com/product/3925/misbook-โปสเตอร์พูดได้-กดแล้วมีเสียง-กขค-abc-animals-poster-โปสเตอร์เด็ก-โปสเตอร์ปุ่มกด-จิ้มแล้วมีเส

                                พัฒนาการเด็ก จักรยานขาไถ Cruzee

                                9. จักรยานขาไถ Cruzee

                                เสริม พัฒนาการเด็ก ด้วยกิจกรรมสนุก ๆ ดีกว่า อย่างจักรยานขาไถ ที่จะช่วยฝึกให้ลูกน้อยรู้จักการทรงตัวเพื่อขยับไปสู่การปั่นจักรยาน 2 ล้อค่ะ จักรยานแบบนี้เหมาะกับลูกน้อยวัยตั้งแต่ 18 เดือนถึง 5 ขวบ ซื้อครั้งเดียวปรับขนาดตามตัวลูกได้ยาว ๆ เลย และยังปรับได้ง่ายไม่ต้องพึ่งอุปกรณ์ใด ๆ ล้อเป็นโพลิเมอร์ตัน ไม่ต้องกังวลเรื่องลมยาง ไปได้หมดทุกสภาพถนน วัสดุก็ทนทานเพราะผลิตจากอลูมินัมอัลลอยเกรดพรีเมี่ยม ที่ใช้ในอุตสาหกรรมการบิน เก็บขอบมน ลดโอกาสบาดเจ็บ ที่สำคัญคือเบาด้วยน้ำหนักเพียง 1.9 กก. ลูกน้อยจะได้จับถนัด เล่นสนุกได้แบบไร้กังวล

                                ข้อมูลเพิ่มเติม https://www.cruzeethailand.com/product.html

                                จิ๊กซอว์สำหรับเด็ก Mideer My First Puzzle

                                10. จิ๊กซอว์สำหรับเด็ก Mideer My First Puzzle

                                ของเล่นที่จะช่วยเสริม พัฒนาการเด็ก ให้เขาได้เรียนรู้ไปอีกระดับกับตัวต่อแบบต่าง ๆ ซึ่งรุ่นนี้เหมาะสำหรับเด็กเล็กตั้งแต่ 2 ขวบขึ้นไปค่ะ ชิ้นใหญ่ จับถนัดมือ สีสันสวยงาม เป็นตัวต่อน่ารักน่าเล่นที่จะช่วยเสริมสร้างปัญญาด้านมิติสัมพันธ์ (Visual-Spatial Intelligence) เสริมความสามารถในการรับรู้ทางสายตาได้ดี สามารถมองเห็นพื้นที่ รูปทรง ระยะทาง และตำแหน่ง อย่างสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน ช่วยให้สามารถถ่ายทอดแสดงออกอย่างกลมกลืน และยังไวต่อการรับรู้ในเรื่องทิศทาง มีให้เลือก 3 แบบ คือ รูปสัตว์ รูปรถ และรูปแม่ลูก

                                ข้อมูลเพิ่มเติม https://www.mideerthailand.com/product/95/mideer-มิเดียร์-my-first-puzzle-จิ๊กซอว์สำหรับเด็กเล็ก-2-md0077md0078md3012  

                                 

                                อยากให้ลูกมีพัฒนาการดีสมวัย คุณพ่อคุณแม่ก็ต้องกระตุ้นเสริมพัฒนาการให้ลูกตั้งแต่วัยเริ่ม 1 ขวบ เพื่อที่ลูกจะได้มีพื้นฐานไปสู่อนาคตทีมั่นคง เติบโตได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ที่สำคัญอย่าลืมหาซื้อไอเทมทั้ง 10 ชิ้นนี้มาใช้กับลูกนะคะ

                                  เด็กทารก

                                  เด็กทารก พัฒนาการแต่ละช่วงวัย จากแรกเกิด – อายุ 1 ปี

                                  เด็กทารก จากแรกคลอดถึงอายุ 1 ปี มีความเจริญเติบโต และพัฒนาการอย่างรวดเร็ว ทารกแต่ละคนจะมีการพัฒนาที่แตกต่างกันไป บางคนอาจช้าหรือเร็วในแต่ละด้านไม่เท่ากัน

                                  เด็กทารก พัฒนาการแต่ละช่วงวัย จากแรกเกิด – อายุ 1 ปี

                                  พัฒนาการเด็กแรกเกิด 0-12 เดือน จะเป็นการเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆของ เด็กทารก ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงเริ่มเดินได้ ทารกจะมีพัฒนาการใหม่ๆทุกเดือน ทั้งนี้พัฒนาการด้านต่างๆของทารกแบ่งออกเป็น 3 ด้าน ได้แก่ พัฒนาการทางร่างกาย พัฒนาการทางสติปัญญาและภาษา และพัฒนาการด้านสังคม ซึ่งทีมกองบรรณาธิการ ABK ได้รวบรวมข้อมูล พัฒนาการด้านต่างๆของทารก มาให้คุณพ่อคุณแม่ในวันนี้แล้วค่ะ

                                  เด็กทารก พัฒนาการจากแรกเกิด - 1 ปี
                                  เด็กทารก พัฒนาการจากแรกเกิด – 1 ปี

                                  เด็กทารก พัฒนาการแต่ละช่วงวัย จากแรกเกิด – อายุ 1 ปี

                                  พัฒนาการทารกในแต่ละช่วงวัย

                                  พัฒนาการแต่ละวัย ทารกแต่ละคนจะมีพัฒนาการทางร่างกาย สติปัญญาและภาษา และด้านสังคม แตกต่างกันไปตามช่วงวัย อย่างไรก็ดี พัฒนาการทารกในช่วงตั้งแต่แรกคลอดถึงอายุ  1 ปี มักเกิดความเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ ดังนี้

                                  ช่วงวัย 1-3 เดือน

                                  พัฒนาการทารกเริ่มตั้งแต่แรกคลอดจนถึงอายุ 3 เดือน ถือเป็นช่วงที่ร่างกายและสมองของทารกเริ่มเรียนรู้การใช้ชีวิตอยู่กับโลกภายนอก ทารกจะเปลี่ยนแปลงทางพัฒนาการในด้านต่าง ๆ ดังนี้

                                  • พัฒนาการทางร่างกาย
                                    • เมื่ออายุครบ 1-2 เดือน เด็กจะมีพัฒนาการด้านการเคลื่อนไหวร่างกายได้บางส่วน ซึ่งเริ่มจากกล้ามเนื้อคอ เด็กจะเริ่มหันศีรษะจากด้านหนึ่งไปยังอีกด้าน หรือชันคอขึ้นเมื่อนอนคว่ำท้องแนบพื้น โดยท่านอนคว่ำที่ใช้ท้องพยุงช่วยนี้แสดงให้เห็นว่าเด็กเริ่มมีพัฒนาการด้านการเคลื่อนไหวร่างกายที่ปกติตามวัย เมื่ออายุครบ 2-3 เดือน เด็กจะชันคอเองได้นานขึ้น โดยตั้งศีรษะหรือคอค้างไว้สักพักหนึ่ง
                                    • กำและแบมือ
                                    • สัมผัสและจับสิ่งของได้ โดยอาจหยิบฉวยมาถือไว้แน่น
                                  • พัฒนาการทางสติปัญญาและภาษา
                                    • จ้องหน้า สบตาและสังเกตใบหน้ามารดาขณะที่ให้นม รวมทั้งสังเกตความซับซ้อนของลักษณะสิ่งของ เช่น สี ขนาด รูปร่าง ทั้งนี้ ทารกจะชอบมองมือหรือเท้าตัวเองและเริ่มเล่นนิ้วมือ
                                    • เมื่ออายุครบ 2 เดือน เด็กจะเล่นนิ้วตัวเอง และมองตามสิ่งของที่เคลื่อนจากด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่ง และเมื่ออายุครบ 3 เดือน เด็กจะมองสิ่งต่าง ๆ ที่เคลื่อนไหวไปมารอบตัว
                                    • มีปฏิกิริยาต่อเสียงที่ได้ยิน โดยอาจนิ่งฟังหรือยิ้มตอบ ซึ่งมักเกิดขึ้นภายใน 2-3 สัปดาห์
                                    • เมื่ออายุครบ 3 เดือน จะสนใจรูปร่างหรือเสียงที่ดึงดูดความสนใจ รวมทั้งหันมองตามเสียงนั้น
                                    • หัดพูดอ้อแอ้
                                  • พัฒนาการด้านสังคม
                                    • เมื่อพ่อแม่คุยหรือเล่นด้วย ทารกอาจยิ้มตอบ หรือพูดอ้อแอ้และเป่าน้ำลายเป็นฟอง
                                    • เลียนแบบสีหน้าของพ่อแม่ รวมทั้งโผเข้าหาพ่อแม่หรือผู้เลี้ยงเมื่อต้องการความปลอดภัย ความรัก และการปลอบโยน

                                  ช่วงวัย 4-6 เดือน

                                  ทารกในช่วงวัยนี้จะเริ่มรับรู้สิ่งต่าง ๆ รอบตัว เด็กจะเรียนรู้และต้องการจัดการทุกสิ่งด้วยตัวเอง โดยพัฒนาการทารกช่วงวัย 4-6 เดือน เกิดความเปลี่ยนแปลงด้านต่าง ๆ ดังนี้

                                  • พัฒนาการทางร่างกาย
                                    • ขยับแขนขาแรงขึ้น
                                    • ยกศีรษะขึ้นเองได้เมื่อต้องนอนคว่ำหน้า
                                    • ใช้แขนยันตัวเองขึ้นมาได้เมื่อต้องนอนคว่ำหน้า
                                    • เมื่ออายุครบ 4 เดือน เด็กจะเริ่มพลิกคว่ำพลิกหงาย โดยกลิ้งตัวจากหน้ามาหลัง และกลิ้งกลับจากหลังไปหน้าได้ โดยมักกลิ้งจากหน้าไปหลังได้ก่อน
                                    • เอื้อมมือจับของและนำมาถือไว้ในท่านอนหงายได้ รวมทั้งเริ่มหยิบของเข้าปากตัวเอง
                                    • เรียนรู้การส่งของจากมือข้างหนึ่งไปยังอีกมือข้างหนึ่ง รวมทั้งใช้มือคุ้ยของชิ้นเล็ก ๆ
                                    • เมื่ออายุครบ 6 เดือน นั่งได้เองโดยไม่ล้ม โดยจะใช้มือช่วยพยุงตัวเองชั่วครู่ในช่วงแรก และต่อมาจะนั่งได้เองนานถึง 30 วินาที และมากขึ้นเรื่อย ๆ
                                  • พัฒนาการทางสติปัญญาและภาษา
                                    • แยกความแตกต่างของใบหน้าคนแปลกหน้าและคนที่รู้จักได้
                                    • เริ่มให้ความสนใจกับของเล่น สังเกตนิ้วมือและเท้าของตัวเอง รวมทั้งมองเงาสะท้อนของตัวเอง
                                    • หัวเราะออกมาเสียงดัง และยังพูดอ้อแอ้
                                    • เลียนแบบการแสดงสีหน้าและเสียงของพ่อแม่ ทั้งนี้ ทารกอาจพูดอ้อแอ้และหยุดเว้นช่วง เพื่อรอให้คนที่ตัวเองสื่อสารด้วยโต้ตอบกลับมา
                                  • พัฒนาการด้านสังคม
                                    • รู้สึกสนุกเมื่อได้เล่น และจะร้องไห้เมื่อหยุดเล่น
                                    • เลียนแบบการเล่นทำเสียงได้
                                    • มักโผเข้าหาแม่หรือพ่อ และจะร้องไห้ทุกครั้งเมื่อไม่เห็นพ่อแม่หรือผู้เลี้ยงอยู่ใกล้ ๆ
                                    • จดจำใบหน้าพ่อแม่หรือคนใกล้ชิดได้ รวมทั้งรู้จักชื่อของตัวเอง
                                  ใช้แขนยันตัวเองขึ้นมาได้
                                  ใช้แขนยันตัวเองขึ้นมาได้

                                  ช่วงวัย 7-9 เดือน

                                  ทารกในช่วงวัยนี้จะมีพัฒนาการด้านต่าง ๆ ที่มากขึ้น เมื่อเริ่มเคลื่อนไหวและกลิ้งตัวได้มากขึ้น ทารกจะคิดหาวิธีเคลื่อนไหวไปข้างหน้าหรือข้างหลัง โดยจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทาง พัฒนาการ ดังนี้

                                  • พัฒนาการทางร่างกาย
                                    • เคลื่อนไหวไปมามากขึ้น โดยเริ่มจากหัดคลาน และไถก้นไปกับพื้น ทั้งนี้ เด็กอาจหัดคลานโดยใช้แขนและขาช่วยนอกเหนือไปจากการคลานด้วยมือหรือเข่า อย่างไรก็ตาม ทารกบางคนอาจไม่คลานเลย แต่จะหัดเคลื่อนไหวจากการไถก้นไปกับพื้นไปจนถึงเริ่มเดินได้
                                    • นั่งได้เองโดยไม่ล้ม
                                    • หมุนกลิ้งได้ทั้งจากหน้าไปหลัง หรือจากหลังมาหน้า รวมทั้งกลิ้งตัวขณะที่หลับอยู่
                                    • ดึงตัวเองให้ลุกขึ้นมายืนได้
                                    • มักปีนป่ายเก้าอี้หรือโต๊ะ
                                    • เรียนรู้การใช้นิ้วมือ รู้จักหยิบของด้วยนิ้วสองนิ้ว รวมทั้งเริ่มปรบมือเป็น
                                    • ปีนป่ายและคลานได้
                                  • พัฒนาการทางสติปัญญาและภาษา
                                    • มีปฏิกิริยาต่อถ้อยคำที่คุ้นเคย โดยเด็กอาจหยุดหรือจ้องหน้าแม่ หากได้ยินคำว่า     “ไม่” รวมทั้งหันมองเมื่อได้ยินคนเรียกชื่อตัวเอง
                                    • แยกอารมณ์ความรู้สึกได้จากการฟังน้ำเสียง
                                    • เริ่มเปล่งเสียงพูดคำว่า “พ่อ” หรือ “แม่” ได้
                                    • รู้จักเรียนรู้การใช้สิ่งของต่าง ๆ
                                  • พัฒนาการด้านสังคม
                                    • เล่นเกมที่ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น เช่น เล่นจ๊ะเอ๋
                                    • กังวลเมื่อต้องอยู่กับคนแปลกหน้า เด็กจะไม่อยากอยู่กับคนอื่นนอกจากแม่ หรือจะหาทางหนีไปที่อื่นหากรู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจเมื่อพ่อแม่ไม่อยู่ใกล้ ๆ
                                    • มีปฏิกิริยาต่ออารมณ์ความรู้สึกที่พ่อแม่แสดงออกมา

                                  ช่วงวัย 10-12 เดือน

                                  ช่วงสุดท้ายของพัฒนาการทารกในช่วง 1 ปีแรกนี้ นับเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของทารก เนื่องจากทารกอายุ 10-12 เดือน กำลังจะก้าวเข้าสู่การเป็นเด็กเล็กหัดเดินได้ ทารกจะมีพัฒนาการด้านต่าง ๆ ดังนี้

                                  • พัฒนาการทางร่างกาย
                                    • เกาะราวและลุกขึ้นยืนได้เอง และอาจเดินก้าวแรกได้ด้วย โดยเด็กจะก้าวได้เองเมื่ออายุครบ 12 เดือน
                                    • เริ่มเดินเตาะแตะเพื่อสำรวจพื้นที่ต่าง ๆ ไปทั่วบ้าน
                                    • ปีนป่ายตามเก้าอี้หรือโต๊ะ ซึ่งช่วยกระตุ้นการเดินของเด็ก
                                    • วางของเล่นเรียงซ้อนกัน
                                    • เปิดหนังสือไปหน้าอื่นขณะที่พ่อแม่กำลังอ่านอยู่
                                    • มักช่วยพ่อแม่แต่งตัวให้ตัวเอง
                                    • เริ่มหยิบอาหารกินเอง
                                  • พัฒนาการทางสติปัญญาและภาษา
                                    • ส่งเสียงอ้อแอ้และพูดคำง่าย ๆ ได้ เช่น คำว่า “หม่ำ ๆ”  “มามา” “ปาปา” หรือ “ดาดา” ได้
                                    • มักพูดคำที่พูดได้บ่อยอยู่ 2-3 คำ ซึ่งมักเป็นคำว่า “หม่ำ ๆ” “มามา” และ “ปาปา”
                                    • เลียนแบบการกระทำของผู้ใหญ่ เช่น หวีผมตัวเอง กดรีโมตเล่น หรือทำเป็นคุยโทรศัพท์ เป็นต้น
                                    • ชี้ไปที่สิ่งของที่อยากได้เพื่อให้พ่อแม่สนใจ
                                    • เข้าใจประโยคบางประโยคที่คนใกล้ชิดสื่อสารออกมา รวมทั้งทำตามคำสั่งง่าย ๆ ได้
                                    • เปล่งเสียงอุทานออกมาได้
                                    • โบกไม้โบกมือ หรือชี้นิ้วไปยังสิ่งของที่อยู่เกินเอื้อม
                                  • พัฒนาการด้านสังคม
                                    • รู้จักแสดงความรู้สึกว่าชอบหรือไม่ชอบกินอะไร เช่น ทิ้งช้อนไม่กินข้าวต่อ หรือเลื่อนจานอาหารที่ไม่ชอบออกไป
                                    • ชอบเล่นเลียนแบบผู้ใหญ่ เช่น เลียนแบบการคุยโทรศัพท์
                                    • รู้ความสัมพันธ์ระหว่างสาเหตุและผลลัพธ์ เช่น เด็กจะรู้ได้ว่าหากร้องไห้ แม่จะมาหา

                                  วิธีดูแลความปลอดภัยของทารก

                                  พ่อแม่หรือผู้เลี้ยงช่วยเสริมสร้างพัฒนาการทารก และดูแลทารกให้ปลอดภัยได้ โดยวิธีดูแลทารกให้ปลอดภัยทำได้ ดังนี้

                                  • ไม่เขย่าตัวทารก เนื่องจากอาจเป็นอันตรายต่อสมองหรือเป็นอันตรายถึงชีวิต
                                  • ควรให้เด็กนอนหลับในท่านอนหงาย เพื่อป้องกันภาวะเสียชีวิตเฉียบพลันในเด็กทารก (Sudden Infant Death Syndrome: SIDS)
                                  • ไม่ควรให้เด็กได้รับอันตรายจากควันบุหรี่จากคนที่สูบบุหรี่
                                  • ควรให้เด็กนั่งเบาะหลังโดยใช้ที่นั่งสำหรับเด็กทารกโดยเฉพาะเมื่อต้องโดยสารรถยนต์
                                  • ควรตัดอาหารเป็นชิ้นเล็ก ๆ และเลี่ยงให้เด็กกินผลไม้ที่มีเมล็ดหรือถั่วต่าง ๆ เพื่อป้องกันไอาหารติดคอ รวมทั้งไม่ให้เด็กเล่นของเล่นที่มีชิ้นส่วนเล็ก ๆ เพื่อป้องกันเด็กเอาเข้าปากและกลืนลงคอ
                                  • ไม่ถือของร้อนเข้าใกล้เด็ก
                                  • ควรพาเด็กไปรับวัคซีนป้องกันโรคให้ครบอย่างสม่ำเสมอ

                                  เมื่อคุณพ่อคุณแม่ได้ทราบถึงพัฒนาการของ เด็กทารก จากแรกเกิดถึง 1 ปี ที่ทีมกองบรรณาธิการ ABK นำมาฝากในวันนี้แล้ว จะเห็นได้ว่า พัฒนาการแต่ละวัย ของลูกเป็นช่วงเวลาสำคัญที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรพลาดนะคะ

                                  อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                                  อาการหลับไม่ตื่นในทารก SIDSอายุ 1 เดือน-1 ปี เสี่ยงมาก

                                  ตารางนอน “ทารก” นอนกี่ชั่วโมงถึงเพียงพอต่อการเติบโต?

                                  เด็กแรกเกิด ควรดูแลอย่างไร ลักษณะแบบไหนถือว่าปกติ

                                  ปู่ย่าให้ ทารก 6 เดือน กินน้ำ หลังกินนมจะเป็นอะไรไหม?

                                   

                                  ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.pobpad.com

                                   

                                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                  Amarin Baby & Kids

                                    ถุงเก็บนมแม่ Cleanimom ลายท่องเที่ยว

                                    รีวิว..ใหม่! ถุงเก็บนมแม่ Cleanimom ลายท่องเที่ยว จบปัญหานมสต็อกเหม็นหืน

                                    จะดีกว่าไหม ถ้าน้ำนมแม่ที่ปั๊มออกมาสามารถเก็บไว้ให้ลูกกินได้นาน โดยที่ไม่มีกลิ่นเหม็นหืน กองบรรณาธิการ Amarin Baby & Kids เรามีเคล็ดลับง๊าย ง่าย เพียงแค่ใช้ถุงเก็บนมแม่ที่ได้คุณภาพ ปัญหานมมีกลิ่นเหม็นหืนก็จะหมดไปค่ะ วันนี้จึงขอแนะนำ “ ถุงเก็บนมแม่ Cleanimom ” ถุงเก็บนมแม่คุณภาพเยี่ยมที่มาพร้อมกับลวดลายท่องเที่ยวน่ารัก

                                    กลิ่นหืน..ในน้ำนมแม่ เกิดจากอะไร ?

                                    1. น้ำนมแม่จะมีเอนไซม์ไลเปส (Lipase) ซึ่งในร่างกายของผู้หญิงแต่ละคนจะมีไลเปสมากน้อยแตกต่างกันไป หน้าที่ของไลเปส คือทำให้ไขมันในนมแม่แตกตัวเป็นอนุภาคเล็ก ๆ เพื่อให้ผสมเข้ากับโปรตีนเวย์ ซึ่งไขมันในนมแม่สามารถเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นได้ขณะเก็บอยู่ในฟรีซ ไขมันมีการเปลี่ยนแปลงที่อาจมาจากอุณหภูมิในตู้เย็น หรืออากาศที่อยู่ในถุงเก็บนมแม่ ทำให้นมแม่มีกลิ่นหืนขึ้นได้

                                    2. นมแม่ที่เก็บฟรีซในตู้เย็นที่มีระบบทำละลายอัตโนมัติ นมแม่ที่ละลายแล้วกลับมาเย็นแข็งตัวใหม่ จะทำให้ไขมันในนมแม่มีการเปลี่ยนแปลงจนเกิดกลิ่นเหม็นหืนของน้ำนมแม่ขึ้นได้เช่นกัน

                                    วิธีป้องกันไม่ให้ นมแม่เหม็นหืน

                                    1. ตรวจเครื่องปั๊มน้ำนมว่าสะอาดหรือไม่ ต้องนึ่งฆ่าเชื้อโรคทุกวัน ภาชนะที่เก็บน้ำนมต้องสะอาด ปลอดเชื้อ

                                    2. นำน้ำนมที่ปั๊มเก็บสต็อกแช่แข็งให้เร็วที่สุด ถ้าน้ำนมละลายแล้ว ไม่แช่ซ้ำ ต้องใช้ภายใน 24 ชั่วโมง

                                    3. ไม่ควรจัดเรียงนมแม่ให้ชิดผนังของช่องแข็งที่มีระบบละลายน้ำแข็งอัตโนมัติ

                                    4. อย่าเก็บน้ำนมรวมกับอาหารอย่างอื่น ควรปิดอาหารอื่น ๆ ให้มิดชิด เพราะกลิ่นอาหารอาจจะมารวมกันได้

                                    5. ควรรีดอากาศออกไปจากถุงเก็บนมแม่ก่อนปิดปาก ให้เหลือฟองอากาศประมาณปลายนิ้วก้อย เผื่อน้ำนมขยายตอนแข็งตัว

                                    หมดปัญหานมแม่มีกลิ่นหืน ถุงเก็บนมแม่ Cleanimom ช่วยได้  

                                    ฮอตฮิตไม่ไหว คุณแม่สมัยใหม่ใคร ๆ ก็ใช้ ถุงเก็บนมแม่ Cleanimom ขอบอกว่าเป็นถุงเก็บนมแม่ที่คุณภาพดีจริง ๆ นะคะ สำหรับถุงเก็บนมแม่คลีนนิมัม ซึ่งคุณแม่มั่นใจได้ในเรื่องคุณภาพค่ะ ที่สำคัญไม่พูดถึงไม่ได้เลย กับรางวัล EDITOR’s CHOICE: BEST BREAST MILK STORAGE BAGS ที่ได้รับการการันตีคุณภาพจากงานประกวด Amarin Baby & Kids Award 2021

                                    ถุงเก็บนมแม่ Cleanimom ลายท่องเที่ยว

                                    ถุงเก็บนมแม่ Cleanimom ลายท่องเที่ยว ทำจากส่วนผสมฟู้ดเกรด BPA Free ปลอดภัยจากสารก่อมะเร็ง ผ่านการฆ่าเชื้อด้วยรังสีแกมม่า เพื่อให้มั่นใจว่าสะอาดปลอดภัยทุกครั้งที่บรรจุน้ำนมลงในถุง โดดเด่นด้วยลายท่องเที่ยว Journey Collection น่ารัก สดใส คุณสมบัติพิเศษของถุงเก็บนมแม่คลีนนิมัม คือออกแบบมาเพื่อช่วยลดกลิ่นหืนของน้ำนมแม่ ถุงเก็บนมเป็นแบบทึบแสง มีความหนา 90 micron ตะเข็บด้านข้างถุงหนา 5 mm. ซิปล็อก 2 ชั้น ทำให้ปิดปากถุงได้สนิท ช่วยรักษาคุณค่าสารอาหารของน้ำนม ส่วนด้านหลังถุงเก็บนมจะมีช่องใส เพื่อให้เห็นฟองอากาศ

                                    ถุงเก็บนมแม่คลีนนิมัม ยังทนต่ออุณหภูมิได้ -20 ถึง 110 องศาเซลเซียส คุณแม่สามารถอุ่นน้ำนมในถุงเก็บนมด้วยเครื่องอุ่นนมได้อย่างปลอดภัย ส่วนด้านหน้าของถุงเก็บนมจะมีพื้นที่ให้เขียนชื่อ ลำดับ วันที่ เวลา และปริมาณออนซ์ อยู่เหนือพื้นที่เก็บน้ำนม เพื่อให้ปลอดภัยจากการปนเปื้อนของน้ำหมึกปากกา

                                    ประโยชน์ของถุงเก็บนมแม่คลีนนิมัม นอกจากจะใช้เก็บสต็อกนมแม่แล้ว คุณแม่ยังสามารถนำมาใช้บรรจุอาหารได้อีกด้วยนะคะ เช่น ใส่อาหารปั่น , น้ำผลไม้ , ผลไม้ ฯลฯ สารพัดการใช้งาน คุ้มค่ามากค่ะ

                                    ถุงเก็บนมแม่ Cleanimom ลายท่องเที่ยว มีให้เลือกใช้ 3 ขนาด

                                    1. 3oz บรรจุ 27 ใบ มี 3 ลายท่องเที่ยว
                                    2. 5oz บรรจุ 24 ใบ มี 4 ลายท่องเที่ยว
                                    3. 8oz บรรจุ 20 ใบ มี 5 ลายท่องเที่ยว

                                    คุณแม่สามารถหาซื้อได้ที่ช่องทาง ↓↓

                                    Facebook : www.facebook.com/jpenpumpnom

                                    Link : @jpenshop

                                    Shopee : jpenpumpnom

                                    #ถุงเก็บนมแม่Cleanimom #นมแม่

                                    ุถุงเก็บนมแม่ Cleanimom ลายท่องเที่ยว Breast Milk Storage Bag