หลอดเลือดสมองอักเสบ สาเหตุ

หมอธีระเผย หลอดเลือดสมองอักเสบ สาเหตุ จากLong Covid

Alternative Textaccount_circle
event
หลอดเลือดสมองอักเสบ สาเหตุ
หลอดเลือดสมองอักเสบ สาเหตุ

หลอดเลือดสมองอักเสบ สาเหตุ จากอาการ Long Covid มาอัพเดทความรู้เกี่ยวกับลองโควิดจากหมอธีระที่เผยผลวิจัยความเกี่ยวข้องกัน เตือนอันตราย ไม่ติดเชื้อจะดีที่สุด

หมอธีระเผย หลอดเลือดสมองอักเสบ สาเหตุ จากLong Covid!!

ภาวะ Long Covid คือการที่ผู้ป่วยโควิด-19 มีอาการต่อเนื่องนานกว่า 3 เดือนหลังติดเชื้อ ส่วนใหญ่พบในผู้ป่วยที่อาการรุนแรงตั้งแต่ต้น มักพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ระยะเวลาของอาการมีตั้งแต่หลายเดือนจนถึงเป็นปี หลายอาการรักษาได้ แต่หลายอาการต้องรักษาระยะยาว และอาจจะส่งผลต่อร่างกายถาวร

ลองโควิด Long COVID
ลองโควิด Long COVID

สาเหตุของการเกิด Long Covid

จากข้อมูลปัจจุบันที่ได้เก็บข้อมูลมาพบว่า มีความเป็นไปได้ 4 สาเหตุ

  1. มีเชื้อไวรัสหลงเหลือในอวัยวะต่าง ๆ ทำให้เกิดการอักเสบต่อเนื่อง
  2. การอักเสบในหลายอวัยวะ ทำให้อวัยวะผิดปกติถาวร ส่งผลต่อสุขภาพระยะยาว
  3. ผลกระทบจากการรักษา และนอนโรงพยาบาลในระยะเวลานาน ๆ
  4. ระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ ภายหลังจากการติดเชื้อ

อาการลองโควิด ในปัจจุบันเราสามารถพบได้ในทุกระบบของร่างกาย หลากหลายอาการ และมีอาการแตกต่างกันไปในแต่ละคน ซึ่งจนถึงขณะนี้ก็ยังมีการอัพเดตเฝ้าติดตามความรู้เรื่อง “ลองโควิด” กันอย่างต่อเนื่อง

งานวิจัยพบข้อมูลใหม่ Long Covid กับหลอดเลือดในสมอง!!

หลอดเลือดสมองอักเสบ สาเหตุ จากโควิด19
หลอดเลือดสมองอักเสบ สาเหตุ จากโควิด19
หมอธีระ เผยงานวิจัยชี้ Long COVID มีการทำลายผนังหลอดเลือดในสมอง มีโอกาสนำไปสู่การอุดตัน และหลอดเลือดในสมองอักเสบ
วันที่ 6 ก.ค.65 รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ (หมอธีระ) คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊ก ‘Thira Woratanarat’ อัพเดทความรู้เรื่อง ‘ลองโควิด’ ระบุ
“… อัพเดตความรู้เกี่ยวกับ Long COVID
การติดเชื้อโรคโควิด-19 ทำให้เกิดความผิดปกติของหลอดเลือดในสมอง
ล่าสุดงานวิจัยจาก US NIH ตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ด้านระบบประสาท Brain และเผยแพร่สรุปผลการศึกษาในเว็บไซต์ของ National Institute of Neurological Disorders and Stroke เมื่อ 7 มิถุนายน 2565 ที่ผ่านมา
โดยทำการศึกษากลุ่มตัวอย่าง 9 คน อายุตั้งแต่ 24-73 ปี พบว่า หลังการติดเชื้อโรคโควิด-19 พบว่าระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ โดยทำให้เกิดการทำลายผนังหลอดเลือดในสมอง นำไปสู่โอกาสอุดตัน และกระบวนการอักเสบต่างๆ ของหลอดเลือดในสมองได้
กลไกความผิดปกติดังกล่าว จึงอาจเป็นหนึ่งในคำอธิบายการเกิดภาวะ Long COVID ในผู้ป่วยที่มีอาการผิดปกติทางสมองหรือระบบประสาทได้
ดังนั้นการป้องกันไม่ให้ติดเชื้อย่อมจะดีที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหา Long COVID ในระยะยาว …

อ้างอิง Lee M-H, et al. Neurovascular injury with complement activation and inflammation in COVID-19. Brain. 2022.”

ที่มา : FB สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว

ทำความรู้จักกับ โรคหลอดเลือดสมองอักเสบ!!

ถ้าท่านมีอาการ ข้อใดข้อหนึ่งต่อไปนี้ให้สังเกตดูทันทีว่าป่วยเป็นโรคหลอดเลือดสมองอักเสบหรือไม่

  1. แขนขาอ่อนแรงครึ่งซีกหรืออ่อนแรงทั้งสองข้าง
  2. พูดไม่ชัด ลิ้นแข็ง พูดไม่ออก ฟังไม่เข้าใจ
  3. ตามองภาพไม่ชัดเจน, เกิดภาพซ้อน
  4. เดินเซ ทรงตัวไม่อยู่
  5. ซึมลง หมดสติ
  6. ปวดศรีษะรุนแรง
  7. เวียนหัว บ้านหมุน ร่วมกับอาการดังกล่าวขั้นต้น

หากมีอาการนี้ขึ้นมาทันทีทันใด ให้นึกถึงโรคหลอดเลือดสมอง และควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วน

ภาวะผิดปกติของหลอดเลือดในสมอง แบ่งเป็น 2 กลุ่มหลัก

  • กลุ่มหนึ่ง ประมาณ 80-90% เป็นภาวะที่ไม่มีเลือดไปเลี้ยงสมองซึ่งอาจจะเกิดจากภาวะหลอดเลือดอุดตันหรือภาวะหลอดเลือดตีบ
  • กลุ่มที่สอง ประมาณ 15-20% จะเป็นภาวะที่มีเลือดออกในสมองซึ่งโรคที่ทำให้เกิดก็มาจากการฉีกขาดของหลอดเลือดเล็ก ๆ ที่หลาย ๆ คนเรียก หลอดเลือดฝอยฉีกขาด และอีกประมาณ 5% จะเป็นลักษณะของหลอดเลือดโป่งพองแล้วมันแตก อันนี้อัตราเสียชีวิตค่อนข้างสูง

เพราะฉะนั้น สรุปก็คือ ภาวะหลอดเลือดผิดปกติจะแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ กลุ่มที่สมองขาดเลือด กับ กลุ่มที่มีเลือดออกในสมอง

ป้องกันภาวะลองโควิดที่ดีที่สุด คือ การไม่ติดเชื้อ COVID19
ป้องกันภาวะลองโควิดที่ดีที่สุด คือ การไม่ติดเชื้อ COVID19

สาเหตุภาวะผิดปกติของหลอดเลือดในสมอง

โรคหรือภาวะหลอดเลือดในสมองผิดปกติ เราพบได้ตั้งแต่อายุ 20, 30, 40 ไปจนถึงวัยกลางคน ไปจนถึงผู้สูงอายุ สาเหตุรูปแบบของการผิดปกติ มันมีความแตกต่างกันหลายรูปแบบ

ในกลุ่มคนอายุน้อย ๆ อาจจะเป็นลักษณะของความผิดปกติแต่กำเนิด เป็นความผิดปกติของระดับพันธุกรรมที่ให้หลอดเลือดในสมองผิดปกติเกิดเป็นปาน เกิดมีการต่อกันของหลอดเลือดผิดปกติ

ส่วนในวัยกลางคนก็มักจะเกิดจากการใช้ชีวิต สูบบุหรี่จัด ดื่มแอลกอฮอล์ ส่วนใหญ่สาเหตุหลัก ๆ จะมาจากการสูบบุหรี่ นอกนั้นก็จะเป็นเรื่องของสารเคมีที่ใช้หรือยาที่ใช้ ยาบางอย่างก็ทำให้เกิดความผิดปกติของหลอดเลือด เช่น มีการอุดตัน หรือมีการอักเสบของหลอดเลือดได้

ส่วนในผู้สูงอายุก็จะเป็นลักษณะของความเสื่อม คือผนังหลอดเลือดมันเสียความยืดหยุ่นไป หรือมีภาวะของโรค เช่น เบาหวาน ความดัน โรคเลือด ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดความผิดปกติของหลอดเลือดในวัยกลางคน และวัยผู้สูงอายุ

สัญญาณเตือนภาวะผิดปกติของหลอดเลือดในสมอง

อาการหลักคือ อาการปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ตาพร่ามัว แขนขาอ่อนแรง หรือมีการพูดไม่ชัด แต่โอกาสที่มันจะเตือน ระยะเวลามันสั้นมาก บางคนไม่คิดด้วยซ้ำว่า อันนี้คือการเตือนของโรคหลอดเลือดสมอง เพราะจริง ๆ แล้ว อาการปวดศีรษะ อาการคลื่นไส้ อาเจียน มันเป็นอาการที่ไม่เฉพาะเจาะจง เพราะฉะนั้น มันค่อนข้างยากที่จะบอกว่าเป็นอาการของหลอดเลือดสมอง แต่ก็ต้องบอกว่าอาการปวดศีรษะ อาการคลื่นไส้ อาเจียน เป็นอาการนำของการเกิดภาวะของหลอดเลือดผิดปกติในสมอง

การรักษาภาวะผิดปกติของหลอดเลือดในสมอง

ทุกคนก็ทราบดีว่าเวลามันเกิดความเสียหายขึ้นในสมองแล้ว โอกาสที่เราจะกลับมาเหมือนเดิมเรียกว่ามันค่อนข้างยาก เพราะว่ามันขึ้นอยู่กับหลาย ๆ ปัจจัย เช่น ขนาดของเลือดที่ออก หรือขนาดของตำแหน่งของสมองที่เสียหาย ขนาดของสมองที่ขาดเลือด ตำแหน่งที่มีการเสียหายของสมอง อันนี้จะเป็นตัวแปรที่จะทำให้เราบอกได้ว่าคนไข้จะกลับมาได้แค่ไหน

ส่วนอีกเรื่องหนึ่งคือ เวลามันมีการเสียหายของระบบประสาทหรือสมองเกิดขึ้นแล้ว มันเกิดขึ้น ณ วินาทีนั้นเลย ที่มีการฉีกขาดหรือมีการขาดเลือดไปเลี้ยงสมอง เพราะฉะนั้น โอกาสที่คนไข้จะกลับมาเหมือนเดิมเลย มันก็ขึ้นอยู่กับหลาย ๆ ปัจจัย

หลอดเลือดสมองอักเสบ สาเหตุ จากอะไร
หลอดเลือดสมองอักเสบ สาเหตุ จากอะไร

แต่อย่างไรก็ตาม ก็ต้องรักษา และวิธีการรักษา เราก็ต้องจัดการในหลาย ๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นโรคประจำตัวของคนไข้เอง เบาหวาน ความดัน โรคไต โรคหัวใจ ถัดมาก็คือปัญหาที่ตัวสมองเอง เราจะสามารถควบคุมการอักเสบของสมองไม่ว่าจะเป็นจากการที่สมองขาดเลือด หรือมีเลือดออกในสมองได้อย่างไร และหลังจากนั้นแล้ว ถ้าคนไข้รอดชีวิตมาแล้ว การฟื้นฟูสภาพร่างกายให้กลับมาหรือพอที่จะขยับแขนขา หรือลดการกดทับของร่างกายได้นี่ อันนี้ต้องปฏิบัติ ต้องทำต่อไป

การป้องกันภาวะผิดปกติของหลอดเลือดในสมอง

วิธีการป้องการดีที่สุด ง่ายที่สุดและลงทุนน้อย คือ

  1. ต้องไม่สูบบุหรี่ สำหรับเรื่องแอลกอฮอล์ ถ้าหลีกเลี่ยงได้ก็ยิ่งดี
  2. การควบคุมโรคพื้นฐานที่เราเรียกว่า โรคที่ไม่ติดต่อ เบาหวาน ความดัน โรคไต ภาวะโภชนาการเกิน ถ้าเราสามารถควบคุมตรงนี้ได้ เราก็สามารถป้องกันภาวะผิดปกติของหลอดเลือดในสมองได้
  3. หลีกเลี่ยงการใช้ยาบางกลุ่มที่มีโอกาสทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดสมองผิดปกติ เช่น ยาที่กระตุ้นให้กระปรี้กระเปร่า หรือยาที่ทำให้อวัยวะเพศแข็งตัว แม้แต่ยาคุมกำเนิด วิตามินบางชนิดก็อาจจะทำให้เกิดภาวะผิดปกติของหลอดเลือดในสมองได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้น ถ้าเราสามารถหลีกเลี่ยงหรือใช้ในปริมาณที่เหมาะสม เราก็จะสามารถลดโอกาสในการเกิดความผิดปกติของหลอดเลือดในสมองได้
ข้อมูลโดย
ผศ. น.ท. นพ.สรยุทธ ชำนาญเวช
สาขาประสาทศัลยศาสตร์ ภาควิชาศัลยศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
มหาวิทยาลัยมหิดล
RAMA CHANNEL
ฉีดวัคซีน ป้องกันโควิด วิธีลดความเสี่ยงการเกิดลองโควิด
ฉีดวัคซีน ป้องกันโควิด วิธีลดความเสี่ยงการเกิดลองโควิด

โรคหลอดเลือดสมอง กับ โควิด!!

ผศ.นพ.สุรัตน์ ตันประเวช ผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทและสมอง หัวหน้าหน่วยประสาทวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ บอกว่า คนไข้ติดโควิด-19 มีโอกาสทำให้เป็นโรคหลอดเลือดสมองมากขึ้น เนื่องจากโควิด–19 ทำให้มีการอักเสบเกิดขึ้นในร่างกาย มีบางเคสเกิดขึ้นที่หลอดเลือดสมอง และทำให้เกิดลิ่มเลือดง่ายขึ้น

มีการตีพิมพ์การศึกษาวิจัยในออสเตรเลีย พบว่าในคนไข้ที่ติดเชื้อโควิดมีโอกาสเป็นโรคหลอดเลือดสมองมากกว่าคนปกติ แต่กรณีแบบนี้ก็ไม่ได้เจอบ่อย

นอกจากนี้ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น เป็นโรคเบาหวาน ไขมัน สูบบุหรี่ อายุมาก การติดโควิด–19 จะเป็นตัวกระตุ้นทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะมากขึ้น หลอดเลือดตีบมากขึ้น เกิดความผิดปกติมากขึ้นกว่าเดิม

ศ.นพ.สมศักดิ์ เทียมเก่า รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลศรีนครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวว่าเชื้อโควิด – 19 เอง ก็มีส่วนทำให้เลือดข้นง่ายขึ้น เลือดไหลยากมากขึ้น อาจทำให้เกิดอัมพาตชนิดสมองขาดเลือดได้ คนไข้โควิด-19 บางคนก็เกิดเลือดออกในเนื้อสมองได้ เนื่องจากคนไข้โควิด-19 จะเกิดภาวะหลอดเลือดดำที่ขาเกิดการอุดกั้น จำเป็นต้องได้รับยาละลายลิ่มเลือด ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาเลือดออกในเนื้อสมองได้

ดังนั้น คนที่เป็นกลุ่มเสี่ยงจึงต้องระวังเป็นพิเศษ แม้ว่าบางครั้งไม่มีปัจจัยเสี่ยงอะไรเลยก็สามารถเป็นโรคหลอดเลือดสมองได้ รู้ไว้ใช่ว่าทุกคนจะต้องเป็นกังวลว่าเป็นโควิดแล้วจะต้องเป็นโรคหลอดเลือดสมอง อัตราการเกิดไม่ได้เกิดบ่อย แต่เกิดได้ และควรจะต้องรู้อาการเบื้องต้นว่าอาการแบบไหนถึงจะสงสัยว่าเป็นภาวะนี้

ข้อมูลอ้างอิงจาก www.thecoverage.info /www.bangkokbiznews.com
อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

ประสาทสัมผัส ไวกว่าปกติต้นเหตุลูกเก็บตัวหงุดหงิดง่าย

แม่เตือน! แค่ลูกปวดหัวก็เสียชีวิตได้จาก..เส้นเลือดในสมองแตก

รวม 20 อาการต้องสงสัย ลูกไม่สบาย แบบนี้..! กำลังป่วยเป็นโรคอะไร?

ลูกปวดขาไม่ยอมเดิน! หมอชี้อาจมาจาก โรคขาดวิตามินซี

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

ฝันว่าได้ทอง

ฝันว่าได้ทอง จะได้จริงอย่างฝัน หรือแฝงความหมายใด!!

Alternative Textaccount_circle
event
ฝันว่าได้ทอง
ฝันว่าได้ทอง

ฝันว่าได้ทอง ฝันเห็นทอง ฝันว่าได้จับทอง ฝันเกื่ยวกับทองต่าง ๆ จะมีหมายความว่าอย่างไร เป็นฝันดี หรือฝันร้าย จะได้โชคลาภอย่างฝันหรือไม่

ฝันว่าได้ทอง จะได้จริงอย่างฝัน หรือแฝงความหมายใด!!

เมื่อคืน ฝันว่าได้ทอง ตื่นมาด้วยความรู้สึกดีใจ อารมณ์ดี มีความสุข แต่จะดีจริงอย่างฝันหรือไม่ ทีมงามกองบรรณาธิการ ABK รวบรวมข้อมูลมาฝากแล้วค่ะ จะฝันเกี่ยวข้องกับทองอย่างไรบ้าง มาลองดูความหมายของความฝันกันเลยค่ะ

ฝันว่าได้ทอง
ฝันว่าได้ทอง

ฝันว่าได้ทอง จะได้จริงอย่างฝัน หรือแฝงความหมายใด!!

ความฝัน คือ เรื่องที่เกิดขึ้นกับสมองในขณะที่กำลังหลับ เพราะทั้งสถานที่ คน หรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ในความฝัน ผู้ฝันอาจไม่เคยได้พบเจอกับสิ่งนั้นมาก่อน และบางคร้้งอาจรู้สึกไม่คุ้นเคย หรือไม่เคยประสบในชีวิตจริง ผู้ฝันมักเกิดความรู้สึกต่อฝันของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นฝันดี หรือฝันร้าย

อย่างไรก็ตาม หากเป็นฝันที่ดี ได้เงินทอง โชคลาภในความฝัน ก็อย่าประมาทว่าสิ่งนั้นจะเป็นจริง โดยไม่ทำงาน นั่งรอความฝันให้เป็นจริง ถ้าเช่นนั้น อาจทำให้ชีวิตยิ่งแย่ลงไปอีกก็เป็นได้ หรือหากฝันร้าย มัวแต่กังวล ระแวง ระวัง จะไม่กล้าออกจากบ้าน พลาดงานสำคัญไป นั่นอาจทำให้ฝันกลายเป็นจริงได้เพราะตัวเองนั่นเอง ดังนั้น อย่าประมาทนะคะ

ความฝันเกี่ยวกับทองต่าง ๆ มีคำทำนายดังนี้

ฝันเห็นทอง

ทำนายว่า : เป็นฝันที่ดี บ่งบอกว่าคุณจะมีความสำเร็จจากความพยายามของตัวเอง มีโอกาสจะร่ำรวยเงินทองในอนาคตจากการลงทุน หากผู้ฝันเป็นเพศหญิง มีโอกาสจะได้เจอเนื้อคู่ที่มีฐานะร่ำรวยมากกว่า

ฝันเห็นทองรูปพรรณ

ทำนายว่า : หน้าที่การงานจะก้าวหน้า มีผู้ใหญ่ให้การสนับสนุน จะผ่านพ้นอุปสรรคต่าง ๆ ไปได้ หากเป็นผู้หญิงทำนายว่าจะได้เป็นคุณแม่มือใหม่ กำลังจะตั้งครรภ์ หากตั้งครรภ์แล้ว จะได้ลูกสาวหน้าตาน่ารัก เป็นที่พึ่งให้ครอบครัวได้

ฝันเห็นทองเยอะมาก

ทำนายว่า : ผู้ที่ประสบปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ มานาน หากฝันเห็นทองเยอะ ๆ กองรวมกัน ทำนายว่ากำลังจะหมดเคราะห์ และได้รับโชคลาภ นอกจากนี้ยังอาจได้เริ่มต้นสิ่งใหม่ ๆ เช่น ได้เริ่มงานใหม่ มีความรักครั้งใหม่ เป็นต้น ทั้งนี้จะมีเพศตรงข้ามคอยให้ความช่วยเหลือ

ฝันเห็นทองคำแท่ง

ทำนายว่า : หมายถึงความ หรือสัญญาที่เคยให้ไว้กับใครสักคน ถึงเวลาที่ต้องนำกลับมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในยามคับขันซะแล้ว คนที่มีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจในช่วงนี้ ก็จะสบายขึ้น เพราะทุกอย่างกำลังคลี่คลาย ส่วนใครที่อยากจะปรับเปลี่ยนงานในช่วงนี้ ถือว่าเป็นจังหวะที่ดี เมื่อเปลี่ยนแล้ว การใช้ชีวิตของคุณก็จะดีขึ้นอีกด้วย

ฝันเห็นแหวนทอง

ทำนายว่า : จะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น มีแต่ความสุข สมหวังกับสิ่งที่เฝ้าคอยมา จะมีโชคลาภจากการเสี่ยงโชค และได้ลาภลอย ไม่ว่าจะทำอะไรก็เหมือนปลอกกล้วยเข้าปาก ง่ายไปหมด คนโสดจะได้พบรัก หรือเนื้อคู่ที่ดี คนที่ถูกใจ จะเริ่มต้นกับความสัมพันธ์ที่ดี  คอยให้ความช่วยเหลือและสนับสนุน

ฝันว่าได้ใส่สร้อยทอง

ทำนายว่า : จะสมหวังในสิ่งที่คาดหวังไว้ ประสบความสำเร็จในสิ่งที่ตั้งใจทำ หากผู้ฝันเป็นผู้หญิง มีโอกาสจะตั้งครรภ์ และได้ลูกสาวที่น่ารัก น่าเอ็นดู ใคร ๆ ก็หลงรัก ปัญหาจากการทำงานจะค่อย ๆ ลดลง จะมีคนยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ และยังคอยสนับสนุนให้ทุกอย่างสามารถผ่านไปได้ด้วยดี

ฝันว่าได้สวมแหวนทอง แหวนเพชร  

ทำนายว่า : จะได้ลาภจากการเสี่ยงโชค คนโสดได้พบเนื้อคู่ หากผู้ฝันเป็นผู้หญิงตั้งครรภ์ มีเกณฑ์จะได้ลูกสาว

ฝันว่าได้สวมแหวนทอง
ฝันว่าได้สวมแหวนทอง

ฝันว่าได้ใส่สร้อยข้อมือทอง

ทำนายว่า : หากฝันว่าได้ใส่สร้อยข้อมือทอง หรือสร้อย คุณจะได้รับความไว้วางใจจากผู้ใหญ่ จะมีกำไรจากสิ่งที่ได้ลงทุนไว้ ผู้มีความเครียดจะค่อย ๆ บรรเทาลง ในเรื่องความรัก อาจได้พบเพศตรงข้ามที่ถูกใจ หากผู้ฝันเป็นผู้หญิงตั้งครรภ์ มีเกณฑ์จะได้ลูกเป็นผู้หญิงที่น่ารัก หากคนที่ฝันเป็นผู้ชาย ก็จะได้ความสุขทางใจ และโชคลาภหลั่งไหลเข้ามา

ฝันว่าได้ใส่ต่างหูทอง

ทำนายว่า : ให้ระวังปัญหาที่กำลังจะเข้ามา คนในบ้านทะเลาะกัน การงานไม่เป็นดั่งใจหวัง มีปัญหาที่ต้องแก้ไขอยู่ตลอดเวลา สำหรับผู้ที่ทำธุรกิจ ให้ระวังการผิดนัดการจ่าย ควรลงทุนกับคนที่ไว้ใจได้จริง ๆ มีเครดิตที่ดี มีโอกาสถูกเอาเปรียบ หรือถูกฉ้อโกงในการลงทุนได้ คนโสด จะถูกจู่โจมจากเพศตรงข้าม วางตัวให้ดี คนมีคู่ ควรเอาใจใส่กันให้มากกว่าเดิม ไม่เช่นนั้นจะมีมือที่ 3 เข้ามาได้

ฝันว่าได้ใส่กำไลทอง

ทำนายว่า : ชีวิตราบเรียบ จะมีคนนำความสุขมาให้ มีโอกาสได้ไปท่องเที่ยวพักผ่อน และเป็นช่วงที่มีดวงทำมาค้าขายขึ้น ได้กำไรดี มีผลตอบแทนที่งดงาม และให้ระวังเรื่องการถูกลักขโมยเงิน ไม่ว่าจะจากคนใกล้ตัว หรือคนอื่นที่ไม่รู้จัก คนโสดยังไม่เจอคนที่ถูกใจ ต้องทนต่อไป ส่วนคนมีคู่ ควรเติมความหวานให้มากขึ้นกว่าเดิม ระวังเรื่องการใช้อารมณ์

 

ฝันว่าได้จับทอง

ทำนายว่า : หากฝันว่าได้จับทอง หมายความว่า ในอนาคตคุณจะได้รับความสำเร็จแบบเหนือความคาดหมาย จากความพยายามของตัวเอง สิ่งใดที่ได้ไปลงทุนเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจ หรืออะไรก็ตาม ถึงเวลาที่คุณจะได้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์เหล่านั้นแล้ว หากว่าคุณมีความคิดอยากจะเริ่มลงทุนอะไรสักอย่าง ให้เริ่มได้เลยอย่าลังเล นับเป็นโอกาสทองที่เราควรรีบคว้าเอาไว้ มีโอกาสดี ๆ เข้ามาในชีวิต ทั้งเรื่องการงานและการเงิน จะได้ลาภจากผู้ใหญ่ มีผู้ใหญ่อุปถัมภ์ในเรื่องต่าง ๆ

ฝันว่าได้ซื้อทอง

ทำนายว่า : คุณจะได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนสนิท หรือคนแปลกหน้า ทำให้งานที่ทำประสบความสำเร็จได้อย่างราบรื่น มีเกณฑ์ได้รับโชคลาภ เงินทอง ไปจนถึงโอกาสเหมาะ ๆ ที่จะเปลี่ยนงาน ถือว่าเป็นอะไรที่พอเหมาะพอเจาะจริง ๆ

ฝันว่าสร้อยคอขาด

ทำนายว่า : หากฝันว่าสร้อยคอขาด เป็นฝันที่บอกเหตุไม่ดีนัก อาจมีเกณฑ์ต้องเสียของรัก ให้ระวังมีปากเสียง หรือมีปัญหาขัดใจกับคนรัก การงานก็จะมีคู่แข่งคอยขัดขวางความสำเร็จ ช่วงนี้จึงต้องใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง มีสติ และไม่ประมาท

ฝันว่าทองขาด

ทำนายว่า : ให้ระวังไว้ให้ดี เพราะอาจหมายถึงความรัก ที่กำลังจะพบกับปัญหา มีเรื่องที่จะต้องผิดใจกัน หรือต้องขาดหายจากกันไป หรือต้องสูญเสียของที่รักไป ทำให้ต้องระวังเป็นพิเศษ เป็นเพราะมีคู่แข่ง หรือศัตรูเข้ามาปั่นป่วนทำให้ชีวิตของคุณไม่ราบรื่น ฉะนั้น ทำอะไรในช่วงนี้ต้องมีสติ

ฝันว่าทำทองหาย

ทำนายว่า : มีเกณฑ์จะเสียของรักของหวงไป อย่าใจดีให้ใครยืมเงินเพราะอาจจะไม่ได้คืน มีโอกาสได้เปลี่ยนงานที่ดีขึ้น ได้ทำงานร่วมกับชาวต่างชาติมากขึ้น หากคนที่กำลังมีความเครียด หรือเผชิญกับปัญหาอยู่ ปัญหานั้นจะค่อยๆเบาลง และคลี่คลายไปในที่สุด

ฝันว่าทำทองหายแล้วไม่ได้คืน

ทำนายว่า : จะมีโชคลาภเข้ามา

ฝันว่าทำทองหายแล้วได้คืน

ทำนายว่า : เรื่องของการเสี่ยงดวง ควรงดไปก่อน คนโสดถึงเวลาที่ต้องเปิดตัวแล้ว คนมีแฟนมีเกณฑ์จะได้แต่งงาน

ตัวเลขเกี่ยวกับการ ฝันว่าได้ทอง 

01, 12, 24, 36, 124, 164, 262 และ 362

ตามความเชื่อโบราณการ ฝันว่าได้ทอง ฝันเกี่ยวกับทอง ส่วนใหญ๋จะเป็นลางบอกเหตุ ที่จะสมหวังในอนาคต เป็นฝันดี ทีมกองบรรณาธิการ ABK ขอให้ผู้ที่ฝันเกี่ยวกับทองทุกคน ประสบความสำเร็จสมดั่งตั้งใจทุกประการนะคะ

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

ฝันว่าคลอดลูก ได้ลูกชาย ลูกสาว หมายความว่าอย่างไร!!

ฝันเห็นงูหลายตัว แปลว่าจะมีลูก พบเนื้อคู่ จริงหรือ?

ฝันว่าผมร่วง ผมร่วงเต็มพื้นจะดีหรือร้าย..ทำนายฝันแม่นๆ

ทำนายฝัน ฝันว่าได้แต่งงาน ฝันว่าแต่งงาน หมายถึงอะไร?

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.thainewsonline.co, https://www.thairath.co.th, https://www.aurora.co.th

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

Amarin Baby & Kids

จิตแพทย์เตือน! ลูก ชอบดึงผม อาจมีผลกระทบมาจากจิตใจ

Alternative Textaccount_circle
event

หากคุณพ่อคุณแม่พบว่าลูก ชอบดึงผม ตัวเองบ่อย ๆ และละก็ ให้ระวังให้ดี อาจมีผลมาจากความผิดปกติทางจิตใจ

 

 

พฤติกรรมดังกล่าว อาจฟังดูแล้วปกติ แต่แท้จริงแล้ว เป็นความผิดปกติหรือโรคบางอย่างที่เราเรียกกันว่า “โรคดึงผม” โรคนี้คืออะไร แล้วทำไมคุณพ่อคุณแม่อย่างเราถึงต้องให้ความสำคัญ วันนี้ทีมงาน Amarin Baby and Kids ได้นำบทความของคุณหมอมาฝากกันค่ะ เนื้อหาจะเป็นเช่นไรนั้น พร้อมแล้วไปอ่านบทความนี้กันเลยค่ะ

ลูก ชอบดึงผม อย่านิ่งนอนใจ แพทย์เตือน อาจเป็นผลมาจากจิตใจ

จากที่ได้เกริ่นกันไปบ้างแล้วถึงพฤติกรรมแปลก ๆ ที่เรามักจะพบเห็นเสมอกับคนที่มีความเครียดหรือเป็นโรคซึมเศร้า ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าว ไม่ได้จำกัดแต่เฉพาะผู้ใหญ่เท่านั้นนะคะ เด็ก ๆ ก็สามารถเป็นได้เช่นเดียวกัน และมักจะแสดงออกด้วยการชอบดึงผมของตัวเองโดยไม่รู้ตัว กว่าจะมารู้ตัวอีกทีก็ “หัวล้าน” ไปเสียแล้ว จนต้องแก้ปัญหาด้วยการใส่วิกหรือจัดแต่งผมที่มีอยู่มาปกปิดกันไป แต่เราอย่าให้ต้องถึงวันนั้นเลยค่ะ รู้เร็ว แก้ไขไว ก็ช่วยได้มากแล้วละค่ะ
พฤติกรรมการดึงผมของตัวเองนี้ ศัพท์ทางการแพทย์เรียกกันว่า “โรคดึงผม” หรือ Trichotillomania ค่ะ เป็นภาวะที่ผู้ป่วยจะมีพฤติกรรมถอนผมหรือขนของตัวเองซ้ำ ๆ จนทำให้ผมแหว่งหรือล้านเป็นหย่อม ๆ
โรคดังกล่าวจะพบเห็นได้บ่อยในเด็กผู้หญิงมากกว่าเด็กผู้ชาย โดยการดึงผมที่ว่านี้ก็ไม่ได้ดึงแบบใจจดใจจ่อทั้งวันอย่างที่เข้าใจนะคะ เพียงแต่ว่างปุ๊ปเป็นดึง และมักจะทำบ่อย ๆ เป็นพัก ๆ ไปเรื่อย ๆ ค่ะ

 

ชอบดึงผม
เครดิต: Marfmom

ลักษณะของการดึงผมของผู้ป่วยนั้น แบ่งออกเป็น

 1. ดึงโดยรู้ตัว ผู้ป่วยประเภทนี้จะมุ่งมั่นและจดจ่อกับการดึงผมของตัวเองเป็นอย่างมาก และเวลาที่ดึงก็จะรู้สึกผ่อนคลาย เพลิดเพลิน และไม่เครียด
 2. ดึงโดยที่ไม่รู้ตัว ซึ่งกรณีดังกล่าวนี้จะเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ แบบไม่ตั้งใจทำ แต่เผลอที่ไรก็เป็นอันเอามือไปดึงผมให้ได้เสียทุกทีไป

ถามว่าโรคนี้จะมีผลกระทบในชีวิตประจำวันมากหรือไม่?

คำตอบก็คือ มีค่ะ เนื่องจากผมที่แหว่งหรือล้านไปนั้น อาจทำให้เกิดภาวะซึมเศร้าหรือเครียดมากขึ้นกว่าเดิมได้ อีกทั้งยังเป็นการเสียเงินเสียทองเพื่อไปซื้อวิกอีกด้วย

และในปัจจุบันไม่จำเป็นเลยว่าที่จะพบโรคนี้เกิดขึ้นกับผู้ใหญ่เท่านั้นนะคะ เพราะในเด็กเล็กก็มีเช่นเดียวกัน และอาจจะพบมากขึ้นในวัยที่กำลังก้าวเข้าสู่วัยรุ่น หรืออยู่ในช่วงวัยรุ่นแล้ว และหากไม่ได้รักษาก็จะเป็นเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ ค่ะ ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า โรคดึงผมจะขึ้นอยู่กับปัจจัยคือ ความเครียด ความกังวล ช่วงที่มีประจำเดือน เป็นต้น

สมาคมจิตแพทย์ได้กล่าวว่า พฤติกรรมการดึงผมตัวเองที่ว่านี้ ถือเป็นพฤติกรรมที่มีปัญหาด้านอารมณ์แอบแฝงอยู่ ซึ่งเด็กที่แสดงอาการเช่นนี้ ส่วนใหญ่แล่วจะไม่คอยพูดค่ะ มีความอดทน และไม่ค่อยแสดงออกเท่าไหร่ เวลาที่ต้องเผชิญกับปัญหาก็จะไม่สามารถแก้ไขด้วยตัวเองได้ และสาเหตุทั้งหมดของการที่ ลูกดึงผม ตัวเองนั้นสืบเนื่องมาจาก ความเครียดและความวิตกกังวลใจล้วน ๆ เลยละค่ะ

แก้ไขลูกชอบดึงผมได้อย่างไร?

1. พยายามหากิจกรรมให้ลูกทั้งค่ะ
2. อย่าปล่อยให้ลูกอยู่คนเดียว พยายามชวนลูกไปทำกิจจกรมต่าง ๆ ร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นไปเที่ยว ทำงานบ้าน หรือรดน้ำต้นไม้เป็นต้น
3. พยายามชวนลูกพูดคุย รับฟังและแก้ไขปัญหาไปด้วยกันกับลูก มากกว่าการตำหนิ หรือดุด่าว่ากล่าว เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม คุณพ่อคุณแม่ต้องคอยหมั่นสังเกตลูกให้ดี ๆ นะคะว่า ลูกชอบดึงผมหรือไม่ ถ้าใช่และลูกเป็นมากเสียจนเลิกไม่ได้แล้วละก็ แนะนำให้พาลูกไปพบจิตแพทย์เพื่อขอคำแนะนำโดยเร็วค่ะ
อ่านต่อเรื่องอื่น ๆ ที่น่าสนใจ:

 

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

ตำแหน่งปวดท้อง

7 ตำแหน่งปวดท้อง บอกโรค ปวดตรงไหนเป็นอะไรรู้ได้ที่นี่

Alternative Textaccount_circle
event
ตำแหน่งปวดท้อง
ตำแหน่งปวดท้อง

คุณพ่อคุณแม่ทุกท่านย่อมเคยปวดท้องกันแน่นอนอยู่แล้ว หลาย ๆ ครั้ง แค่เราซื้อยามากินก็หายได้ แต่ถ้ากินยาที่เคยกินแล้วไม่หายล่ะจะทำอย่างไร? จริง ๆ แล้ว เวลาปวดท้องแต่ละคนอาจปวดในจุดที่แตกต่างกัน ตำแหน่งปวดท้อง บอกโรค ได้ เพราะฉะนั้นเราควรสังเกตตัวเองนะคะ วันนี้ก็มีจุดปวดท้องที่น่าสังเกตมาฝากคุณพ่อคุณแม่ค่ะ

7 ตำแหน่งปวดท้อง บอกโรค

พญ.สกุณี ภระกูลสุขสถิตย์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ได้ให้ความรู้เกี่ยวกับตำแหน่งของการปวดท้องแต่ละตำแหน่ง ว่าบ่งบอกว่าเราอาจเป็นโรคต่าง ๆ ไว้ ดังนี้

ขวาช่วงบน 

โรคที่กิดจากตับ ถุงน้ำดี ลำไส้ที่อยู่บริเวณนี้และไตขวา เช่น ตับอักเสบ นิ่วในถุงน้ำดี กรวยไตขวาอักเสบ นิ่วในไตขวา เป็นต้น

หากกดแล้วเป็นก้อนแข็ง ๆ บวกกับอาการตัวเหลือง หมายถึงความบกพร่องของตับ และถุงน้ำดี หากปวดมากควรรีบพบแพทย์

ขวาช่วงล่าง 

โรคที่เกิดจากไส้ติ่ง ลำไส้ที่อยู่บริเวณนี้ ปีกมดลูกด้านขวา เช่น ไส้ติ่งอักเสบ ปีกมดลูกขวาอักเสบ เป็นต้น อาการ ได้แก่

  • ปวดเกร็งเป็นระยะๆ แล้วร้าวมาที่ต้นขา เป็นอาการกรวยไตอักเสบ หรือนิ่วท่อไต ควรรีบพบแพทย์
  • ปวดเสียด บีบ ตลอดเวลา กดแล้วเจ็บมากบริเวณท้องน้อยด้านขวา อาจจะเป็นไส้ติ่งอักเสบ
  • ปวดร่วมมีไข้สูง มีตกขาว อาการของปีกมดลูกอักเสบ
  • คลำแล้วเจอก้อนเนื้อ อาการก้อนไส้ติ่งอักเสบ หรือรังไข่ผิดปกติ

ใต้ลิ้นปี่

โรคที่เกิดจากกระเพาะอาหาร หลอดอาหาร ถุงน้ำดี เช่น กระเพาะอาหารอักเสบ กรดไหลย้อน นิ่วในถุงน้ำดี เป็นต้น อาการคือ

  • ปวดใต้ลิ้นปี่ร่วมกับเจ็บหน้าอก หรือแน่นหน้าอก อาจจะเป็นโรคหัวใจขาดเลือด
  • ปวดเป็นประจำเวลาหิว หรืออิ่ม อาจเกี่ยวกับโรคกระเพาะอาหาร หากปวดรุนแรง หรืออาเจียนด้วยอาจเป็นตับอ่อนอักเสบ
  • หากคลำเจอก้อนเนื้อขนาดใหญ่ และแข็งแสดงว่าตับโต หรือหากคลำได้ก้อนสามเหลี่ยมแบนเล็ก ๆ อาจเป็นกระดูกลิ้นปี่
  • หากอืดแน่นท้องเป็น ๆ หาย ๆ เป็นเวลานาน อาจเป็นนิ่วในถุงน้ำดี

รอบสะดือ 

โรคที่เกิดจากลำไส้เล็ก อาจเกิดจากลำไส้อักเสบ มักจะมีอาการปวดบิด ถ่ายเหลว คลื่นไส้ อาเจียน และเป็นอาการเริ่มปวดท้องของไส้ติ่งอักเสบได้ (ค่อนจะย้ายไปปวดบริเวณด้านขวาช่วงล่าง)  หากกดแล้วปวดมาก ปวดจนทนไม่ไหวให้พบแพทย์ทันที

เหนือหัวหน่าว 

โรคที่เกิดจากกระเพาะปัสสาวะ มดลูก เช่น กระเพาะปัสสาวะอักเสบ มดลูกอักเสบ เนื้องอกมดลูก เป็นต้น อาจมีอาการ ดังนี้

  • ปัสสาวะกะปริบกะปรอย ปวดเวลาปัสสาวะ อาจเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบ หรือเป็นนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ
  • ปวดท้องน้อย มีไข้สูง ตกขาวมีกลิ่นเหม็น อาจจะเป็นมดลูกอักเสบ
  • ปวดเกร็งเวลามีประจำเดือน มีอาการปวดเรื้อรัง แสดงว่ามดลูกมีปัญหา ควรรีบพบแพทย์

ซ้ายช่วงบน 

โรคที่เกิดจากกระเพาะอาหาร ม้าม ตับอ่อน ลำไส้ที่อยู่บริเวณนี้และไตช้าย เช่น กระเพาะอาหารอักเสบ ตับอ่อนอักเสบ ม้ามแตก กรวยไตช้ายอักเสบ นิ่วในไตช้าย เป็นต้น

ข้ายช่วงล่าง 

โรคที่เกิดจากลำไส้ที่อยู่บริเวณนี้ ปีกมดลูกด้านซ้าย เช่น ลำไส้อักเสบปีกมดลูกซ้ายอักเสบ เป็นต้น

ตำแหน่งปวดท้อง
7 ตำแหน่งปวดท้อง บอกโรค ปวดตรงไหนเป็นอะไรรู้ได้ที่นี่

ขอบคุณ ภาพ จาก โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย

ปวดท้องแบบใดที่ต้องพบแพทย์

หากมีอาการปวดท้องลักษณะต่อไปนี้ ควรรีบพบแพทย์

  1. ปวดนานมากกว่า 6 ชั่วโมง แล้วอาการเป็นมากขึ้น
  2. ปวดจนกินอาหารไม่ได้
  3. ปวดท้อง และอาเจียนอย่างมาก มากกว่า 3-4 ครั้ง
  4. ปวดท้องมากขึ้นเมื่อขยับตัว
  5. ปวดที่บริเวณท้องน้อยด้านขวา
  6. ปวดท้องรุนแรง นอนไม่ได้
  7. ปวดร่วมกับเลือดออกจากช่องคลอด
  8. ปวดท้อง มีไข้ร่วมด้วย

 

ขอบคุณข้อมูลจาก
โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย, โรงพยาบาลขอนแก่น ราม

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

ช่วยด้วย ลูกอาหารเป็นพิษ ปวดท้อง อาเจียนไม่หยุด

คนท้องปวดท้องน้อย อาการแบบไหนเสี่ยงแท้ง?

เมื่อลูกปวดท้องจาก “โรคบิด” ภัยร้ายหน้าร้อนที่ต้องระวัง!!

อุทาหรณ์ 13 สิ่งของต้องระวัง ทำลูกน้อยเสี่ยงเสียชีวิต

event

เมื่ออยู่ในบ้านหากคุณพ่อคุณแม่ได้มีโอกาสหันมองสิ่งของรอบๆ ตัว ไม่ว่าจะเป็นของใช้ภายในบ้าน ของเล่นลูก ของกระจุกกระจิกของคุณแม่ เครื่องไม้เครื่องมือช่างแสนรักของคุณพ่อ หรือแม้กระทั่งหมอนใบนุ่มนิ่ม เราอาจไม่เคยนึกฝันก็ได้ว่า ในวันหนึ่งสิ่งของคุ้นเคยเหล่านี้จะสามารถเป็นอันตรายแก่ลูกน้อย หรือ ลูกน้อยเสี่ยงเสียชีวิต ได้
(more…)

Dragkooler

Dragkooler..ได้รับรางวัลนวัตกรรมระดับโลก ผ้าเปียกสมุนไพรเช็ดตัวลดไข้เด็ก แดรกคูลเลอร์ บอกเลยว่าบ้านไหนมีลูกต้องมีติดบ้าน

Alternative Textaccount_circle
event
Dragkooler
Dragkooler

ต้องบอกเลยว่ามาแรงและผลตอบรับดีจริงๆสำหรับเจ้าผ้าเปียกเช็ดตัวลดไข้ DragKooler (แดรกคูลเลอร์) และคุณแม่หลาย ๆ  ท่านน่าจะเคยเห็นและเคยซื้อติดไม้ติดมือไปแล้วจากงาน Amarin Baby & Kids Fair ครั้งที่ 20 ที่จัดขึ้นที่ไบเทค บางนา เมื่อวันที่ 24-27 มี.ค. 65 เพราะนวัตกรรมใหม่ป้ายแดงชิ้นนี้ถือเป็นไอเทมที่มาแรงที่สุดในงานเลยก็ว่าได้

นวัตกรรมชิ้นนี้ไม่ใช่มีดีที่แค่คำว่า “ใหม่” ได้ผลจริง และมีประสิทธิภาพในการเช็ดตัวลดไข้ได้ดีกว่าผ้าชุบน้ำถึง 2 เท่า (มีผลการทดสอบทางคลินิกรับรองและผ่านการทดสอบการระคายเคืองแล้วโดยสถาบัน Dermscan Asia) แต่ยังเป็นผลิตภัณฑ์ที่ Eco-Friendly สุด ๆ อีกต่างหาก เพราะผ้าที่ใช้ผลิตจากสนไซเปรส100%นำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น ที่ตัดมาใช้ 1 ต้นต้องปลูกทดแทน 2 ต้น กล่องก็ใช้กระดาษจากป่าปลูกทดแทน แม้แต่ซองยังผลิตอลูมิเนียมที่ Recycle ได้

Dragkooler

ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยที่นวัตกรรมของคนไทยชิ้นนี้ ผ้าเปียกเช็ดตัวลดไข้ DragKooler (แดรกคูลเลอร์) จะไปคว้าเหรียญทอง (Gold Medal) กลับมาเมืองไทย จากการประกวดในงานนวัตกรรม INTARG ที่เมือง Katowice ประเทศ Poland เมื่อวันที่ 11-12 พ.ค. 65 นี้จากหมวดนวัตกรรม Health / Medicine / Fitness ซึ่งในแต่ละปีมีผลงานส่งเข้าประกวดกว่า 200 ผลงาน จากทั่วทุกมุมโลก

นวัตกรรมชิ้นนี้เค้าคิดมาเพื่อแก้ปัญหาที่พ่อ-แม่ทั้งโลกต้องกลุ้มใจ นั่นคือการมีไข้ของลูก ตัวร้อน ซึ่งพ่อ-แม่ทุกคนก็รู้แหละว่าต้องรีบเช็ดตัวลดไข้ แต่เอ๊ะผ้าอยู่ไหน เอ้าแล้วถังหละ ทุกอย่างช่างดูวุ่นวาย แถมที่สำคัญเช็ดตัวลดไข้ไข้กลับไม่ลดก็มี

ซึ่งโดยปกติหลักการเช็ดตัวลดไข้ การพยาบาลจะใช้ผ้าชุบน้ำแล้วมาเช็ดตัว โดยต้องถูแรง ๆ ย้ำต้องถูแรงๆเพื่อเปิดรูขุมขนในการระบายความร้อนในร่างกายของเด็กใช่มั้ยคะ แต่พ่อแม่ที่เคยมีประสบการณ์นี้คงทราบดีว่ามันไม่ง่ายเลย ในการจะทำใจถูตัวลูกแรง ๆเพราะเค้า เจ็บ แถมเช็ดเสร็จไข้อาจจะไม่ลดอีก ไม่พอนะคะเช็ดเสร็จห้องเปียกเลอะไปหมดอีก

แต่ถ้ามี “ผลิตภัณฑ์ DragKooler (แดรกคูลเลอร์) ผ้าเปียกสมุนไพรเช็ดตัวลดไข้เด็ก” ติดบ้านไว้ เมื่อลูกมีไข้ ก็เพียงฉีกซองก็นำผ้าเปียกมาเช็ดตัวลูกได้แล้วแถมยังมีประสิทธิภาพมากกว่า การใช้ผ้าชุบน้ำถึง 2 เท่าอีกด้วย

ต้องบอกเลยว่ากว่าจะได้นวัตกรรมจะวิจัยและพัฒนาจนสำเร็จนั้นไม่ง่ายเลย “ผลิตภัณฑ์ DragKooler (แดรกคูลเลอร์) ผ้าเปียกสมุนไพรเช็ดตัวลดไข้เด็ก” ต้องใช้เวลาวิจัยและพัฒนานานกว่า 1 ปีโดย “ศาสตราจารย์ เภสัชกรหญิง ดร. พรอนงค์ อร่ามวิทย์” และคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยมีผลทดสอบทางคลินิก รับรองแล้วว่ามีประสิทธิภาพในการลดไข้ได้ดีกว่าการใช้น้ำธรรมดาถึง 2 เท่า ทั้งยังการันตีคุณภาพด้วยรางวัลผลิตภัณฑ์ Success Case จากโครงการ AGRO GENIUS DIPROM โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ที่เป็นรางวัลนวัตกรรมรางวัลแรกที่ได้รับก่อนจะไปประกวดที่ Poland

DragKooler (แดรกคูลเลอร์)

ถามว่าทำไม่ถึงมีประสิทธิภาพของในการลดไข้ดีขนาดนี้ ก็เพราะ“ผลิตภัณฑ์ DragKooler (แดรกคูลเลอร์) ผ้าเปียกเช็ดตัวลดไข้”ใส่สารสกัดสมุนไพรธรรมชาติ 100% ดีดีของไทยที่ใส่ลงไป ไม่ว่าจะเป็น มะนาว ใบย่านาง ไพล และเปปเปอร์มินต์ ซึ่งสมุนไพรเหล่านั้นจะไปช่วย ขยายรูขุมขนเพื่อระบายความร้อนในเด็กโดยคุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องถูตัวเด็กแรง ๆ เพื่อเปิดรูขุมขนอีกแล้ว แถมยังมีกลิ่นหอมสมุนไพรที่ช่วยให้เด็กหายใจสะดวก และช่วยระบายความร้อน ทางลมหายใจได้อีกด้วย

ต้องขอปรบมือดัง ๆ อีกครั้งให้กับนวัตกรรมดีดีของคนไทย ที่ไปได้รับรางวัลระดับโลก เพราะฉนั้นบ้านไหนที่มีลูกเล็ก บอกเลยต้องซื้อติดบ้านกันไว้นะคตะ เพราะเราไม่รู้หรอกว่าลูกเราจะมีไข้ตอนไหน

ข้อมูลเพิ่มเติม www.dragkooler.com

หรือสนใจสั่งซื้อได้เลยที่ Shopee, Lazada หรือ โทร 093-250-9697
Line ID : @dragkooler
FB fanpage : dragkoolerthailand

 

ประสาทสัมผัส ไวกว่าปกติ

ประสาทสัมผัส ไวกว่าปกติต้นเหตุลูกเก็บตัวหงุดหงิดง่าย

Alternative Textaccount_circle
event
ประสาทสัมผัส ไวกว่าปกติ
ประสาทสัมผัส ไวกว่าปกติ

ประสาทสัมผัส ไวกว่าปกติ(Sensory defensiveness) ความผิดปกติที่อาจไม่อันตราย แต่ส่งผลต่อพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ของลูกได้ มาทำความเข้าใจ และช่วยลูกกันเถอะ

ประสาทสัมผัส ไวกว่าปกติต้นเหตุลูกเก็บตัวหงุดหงิดง่าย!!

ภาวะที่ไวต่อการรับความรู้สึก หรือ Sensory defensiveness คืออะไร? คุณพ่อคุณแม่หลายคนคงไม่เข้าใจว่า ภาวะดังกล่าวจะเกี่ยวข้องกับลูก หรือส่งผลต่อพฤติกรรมของลูกได้อย่างไร ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจกับ Sensory Integration กันเสียก่อน

Sensory Integration (SI) คืออะไร?

SI ย่อมาจาก Sensory Integration แปลว่า การบูรณาการประสาทความรู้สึกจากอวัยวะรับสัมผัสต่างๆ ของร่างกาย เป็นกระบวนการที่ระบบประสาทส่วนกลางประมวลผลข้อมูลที่ได้รับจากประสาทสัมผัสทุกส่วนของร่างกาย แล้วตอบสนองออกมาเป็นพฤติกรรม ซึ่งกระบวนการดังกล่าวหากสามารถทำหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพ จะเกิดการสร้างองค์ประกอบพื้นฐานในทำกิจกรรมอย่างสมบูรณ์ เกิดการรับรู้ตนเอง พัฒนาความสามารถในการทำหน้าที่ของร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ ให้ตอบสนองเพื่อการปรับตัวต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างเหมาะสม เช่น การมีสมาธิเขียนอ่าน การเคลื่อนไหว การร่วมกิจกรรมทางสังคม เป็นต้น

ลูกหงุดหงิดง่าย ไม่ชอบใส่เสื้อที่ไม่นิ่ม อาการภาวะ ประสาทสัมผัส ไวผิดปกติ
ลูกหงุดหงิดง่าย ไม่ชอบใส่เสื้อที่ไม่นิ่ม อาการภาวะ ประสาทสัมผัส ไวผิดปกติ

SI แบ่งออกเป็น 3 ระบบหลัก ได้แก่

  1. ความรู้สึกจากระบบการทรงตัว และการเคลื่อนไหว (Vestibular sensation)
  2. ความรู้สึกกายสัมผัส (Tactile sensation)
  3. ความรู้สึกจากกล้ามเนื้อ เอ็น ข้อต่อ (Propioceptive sensation)

ในทางกลับกัน เมื่อระบบประสาทส่วนกลางมีปัญหาในการประมวลผลข้อมูลทางประสาทสัมผัสใด ๆ การตอบสนองของร่างกายนั้นเกิดผิดปกติ เราจะสามารถสังเกตได้จากความยากลำบากในการเคลื่อนไหว ภาษา หรือทักษะทางพฤติกรรม นักกิจกรรมบำบัดจะวินิจฉัยความผิดปกติเหล่านี้ว่าเป็น ความผิดปกติของการประมวลผลทางประสาทสัมผัสหรือเอสพีดี (SPD)

ลูกคุณมีพฤติกรรมเหล่านี้บ้างหรือไม่?

สัญญาณของการเกิดความผิดปกติของการประมวลผลทางประสาทสัมผัส หรือ การที่  ประสาทสัมผัส ไวเกินปกติ สามารถส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมในชีวิตของเด็ก  เป็นพฤติกรรมที่แสดงถึงภาวะหลีกหนีประสาทความรู้สึก หรือการป้องกันประสาทสัมผัสที่ไวเกิน การที่สมองไม่สามารถทำหน้าที่ตามธรรมชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยเฉพาะในส่วนของระบบการรับความรู้สึก สมองไม่สามารถจัดระเบียบความรู้สึกต่าง ๆ ที่เข้ามาในร่างกายผ่านอวัยวะต่าง ๆ ได้ การที่สมองไม่สามารถบูรณาการข้อมูลความรู้สึกได้ดีจะส่งผลต่อการแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ดังต่อไปนี้

  • ไม่ชอบการสัมผัสที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด เช่น การกอด หอมแก้ม
  • ไม่อยากให้มือเลอะ เปื้อน สกปรก โดยเฉพาะ มือ เท้า ใบหน้า
  • ระคายเคืองต่อป้ายแท็กคอเสื้อ ป้ายขอบเองกางเกง ไม่ยอมสวมเสื้อผ้าใหม่ ต้องทำให้เสื้อผ้ามีเนื้อผ้าที่นิ่มก่อนใส่
  • ไม่ชอบเล่นเครื่องเล่นที่มีการเคลื่อนไหว เช่น ม้าหมุน ชิงช้า จะพยายามหลีกเลี่ยงการยืนเดินบนพื้นที่ไม่มั่นคง
  • หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่มีการลงน้ำหนัก เช่น การเล่นกีฬา การวิดพื้น การคลาน เป็นต้น
  • ชอบอยู่ในที่มืด สลัว หรี่ตาเวลาเห็นแสง หรือสีมาก ไม่ชอบความไวของแสง
  • ชอบรับประทานอาหารเดิมซ้ำ ๆ ไม่ชอบลองอาหารที่มีรสชาติหลากหลาย รสชาติใหม่ ๆ
  • ต่อต้านการทำกิจกรรมประจำวัน เช่น การแปรงฟัน หวีผม ซักผ้า ตัดเล็บ ล้างหน้า เป็นต้น
  • มักจะแสดงอาการรำคาญ หงุดหงิด ไม่ชอบเวลาได้ยินเสียงกระซิบ เสียงเครื่องดูดฝุ่น เสียงดัง เสียงรบกวนต่าง ๆ

    เก็บตัว ไม่ชอบการเคลื่อนไหว สัญญาณเตือน ภาวะ ประสาทสัมผัส ไวผิดปกติ
    เก็บตัว ไม่ชอบการเคลื่อนไหว สัญญาณเตือน ภาวะ ประสาทสัมผัส ไวผิดปกติ

Sensory Defensiveness คืออะไร?

คือ ภาวะที่ไวต่อการรับความรู้สึกต่อกลิ่น แสง รสชาติ การรับสัมผัส การเคลื่อนไหว การได้ยิน หากลูกคุณมีพฤติกรรมดังกล่าวข้างต้น เป็นสัญญาณเตือนว่าลูกอาจมีภาวะที่ไวต่อการรับความรู้สึกต่อสิ่งเร้าได้ อย่างไรก็ตามหากพฤติกรรมเหล่านี้มีบ้างเล็กน้อย ไม่ได้ส่งผลกระทบกับการดำเนินชีวิต เด็กก็จะเรียนรู้ และปรับตัวต่อสิ่งแวดล้อมนั้น ๆ ได้เองในที่สุด

แต่ในเด็กบางคนที่มีพฤติกรรมหลีกหนีต่อสิ่งเร้ามาก จนส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต เด็กอาจต้องได้รับการช่วยเหลือจากนักกิจกรรมบำบัด เพื่อปรับกิจกรรม สิ่งแวดล้อม ให้เขาสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุขมากขึ้น

ประสาทสัมผัส ที่ไวต่อความรู้สึก ส่งผลต่อลูกอย่างไร?

  • ทำให้เป็นเด็กที่รู้สึกกังวล กลัว รู้สึกไม่ปลอดภัยต่อผู้คน และการทำกิจกรรม
  • ขาดความสามารถในการควบคุมอารมณ์ หงุดหงิดง่าย
  • ทำให้ขาดความสามารถในการควบคุมตัวเอง และการเข้าสังคม
  • ทำให้ขาดโอกาสในการเรียนรู้จากปัญหา และการปรับตัวจากสิ่งแวดล้อมที่หลากหลาย
  • เกิดแรงจูงใจอยากจะหนีจากสิ่งเร้า ทำให้เป็นเด็กเก็บตัว อยู่แต่ในบ้าน
  • ดิสแพร็กเซีย (Dyspraxia) เช่น มีการวางแผนการเคลื่อนไหวที่ไม่ดีทำให้เกะกะ เก้งก้าง และไม่สัมพันธ์กัน ใส่เสื้อผ้าเองลำบาก เรียนรู้ต่อกิจกรรมใหม่ได้ช้า

    พ่อแม่สามารถช่วยลูกด้วยการปรับสิ่งเร้า ปรึกษานักกิจกรรมบำบัดได้
    พ่อแม่สามารถช่วยลูกด้วยการปรับสิ่งเร้า ปรึกษานักกิจกรรมบำบัดได้

การบำบัดเด็กที่มีปัญหาทำอย่างไร?

นักกิจกรรมบำบัดจะทำการประเมิน และให้การบำบัดตามความบกพร่องในแต่ละบุคคล คุณพ่อคุณแม่ และผู้ปกครองสามารถช่วยทำได้โดยการส่งเสริมการปรับสิ่งแวดล้อมที่บ้าน เช่น กระตุ้นให้เด็ก ได้รับสัมผัสที่หลากหลายมากขึ้นทั้งการใช้มือจับชนิดของอาหาร ผิวสัมผัสของเล่น เป็นต้น กระตุ้น ให้เด็กได้มีการปรับตัวในการเล่นที่หลากหลาย เช่น นั่งชิงช้า ปีนป่าย เล่นบนทราย บนหญ้า คลาดอุโมงค์ กลิ้งตัวบนพรม เดินทรงตัว เป็นต้น

โดยเราสามารถแบ่งการบำบัดตามขั้นตอนได้ ดังต่อไปนี้

  1. การปรับสิ่งแวดล้อมเพื่อลดสิ่งเร้า
  2. จัดหาตัวที่ช่วยปรับเพื่อลด และจัดการกับสิ่งกระตุ้น
  3. การบำบัดเพื่อนเปลี่ยนแปลงทางประสาทวิทยา
  4. การเติมเต็มการรับความรู้สึก และจัดการระเบียบระบบประสาท

ตารางตัวอย่างการบำบัดด้วยการปรับสิ่งแวดล้อม และใช้อุปกรณ์ช่วย

สิ่งเร้า

การปรับ

อุปกรณ์

เสียง ปรับลดระดับเสียง

จัดการเสียงรบกวน

หลีกเลี่ยงบริเวณคนพลุกพล่านกิจกรรมที่เสียงดัง

ใช้เครื่องเล่นเพลง หูฟัง

ใส่ที่อุดหู

 

สายตา ใช้แสงไฟที่นุ่ม ไม่จ้าเกินไป

ลดการใช้สีสันสดใส

เปลี่ยนเป็นกระจกสีตัดแสง ลดความจ้าของแสง

ใส่หมวก ใช้ร่ม ใส่แว่นกันแดด

สัมผัส หลีกเลี่ยงการสัมผัสแบบแผ่วเบา

ก่อนจะสัมผัสให้บอกเด็กก่อน

ให้เด็กนั่งห่างจากคนอื่น

ปรับให้ทำกิจกรรมที่ได้สัมผัส

เลือกเนื้อผ้าที่นิ่ม เช่น ผ้าสแปนเด็กซ์ ให้ลูก

ตัวอย่างวิธีการบำบัด

  1. การแปรงตัวเด็กด้วย Sensory brush โดยแปรงอย่างเร็วบริเวณฝ่ามือ นิ้วมือ แขน ไหล่ หลัง ขา และเท้า ร่วมกับการทำ Joint compression ให้แรงกดบริเวณข้อต่ออย่างสม่ำเสมอ บริเวณนิ้วมือ ข้อมือ ข้อศอก ไหล่ สะโพก ข้อเท้า กระบวนการทั้งหมดใช้เวลาไม่กี่นาที ทำทุก ๆ 1.5-2 ชั่วโมง โดยนักกิจกรรมบำบัดจะเป็นผู้ออกแบบโปรแกรมการฝึกให้เฉพาะแต่ละบุคคล วิธีการนี้ใช้สำหรับเด็กที่มีภาวะหลีกหนีการสัมผัส TD : Tactile Defensiveness
  2. AIT : Auditory Intergration Therapy เป็นการทำรายบุคคล ให้ความถี่ต่าง ๆ ผ่านหูฟังเพื่อช่วยปรับการรับความรู้สึกให้สมดุล
  3. Visaul Integration Therapy : Irlen Method ใช้เลนส์กรองแสง ใช้เลนส์พิเศษ ปรึซึม  และการบำบัดทางสายตาเพื่อแก้ไขความผิดปกติ
  4. Sensory Integration Therapy  ทำโดยนักกิจกรรมบำบัด กระตุ้นระบบรับความรู้สึก เพื่อให้เกิดการบูรณาการประสาทความรู้สึก ส่งผลให้ภาวะที่ไวต่อการรับรู้ความรู้สึกลดลง

    หูฟัง อุปกรณ์ช่วยลดสิ่งเร้า
    หูฟัง อุปกรณ์ช่วยลดสิ่งเร้า

พฤติกรรมไม่พึงประสงค์บางอย่าง เช่น การเก็บตัว ไม่ยอมเข้าสังคม หงุดหงิดง่าย ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ เป็นต้น เหล่านี้ บางครั้งอาจทำให้พ่อแม่เข้าใจผิดคิดไปว่าเป็นจากนิสัยตัวเด็กเอง แต่ในบางครั้งเราอาจคาดไม่ถึงว่า พฤติกรรมต่าง ๆ เหล่านี้ที่เด็กแสดงออกมา เพื่อเป็นสัญญาณบ่งบอกของความผิดปกติบางอย่างทางกาย ที่ลูกต้องการได้รับความช่วยเหลือ แม้ว่าจะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่หากเขาได้รับการดูแลอย่างถูกต้องเหมาะสมก็สามารถช่วยให้ลูกมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าเดิมได้อย่างแน่นอน อย่าปล่อยให้ลูกต้องรับมือความทุกข์เพียงลำพัง หมั่นสังเกตลูกสักนิดหากเขามีอาการที่กล่าวมาข้างต้นบ่อย ๆ ลองพาลูกไปปรึกษากับนักกิจกรรมบำบัด เพื่อชีวิตลูกที่ดีกว่า

ข้อมูลอ้างอิงจาก www.facebook.com/Hugglory.th/harkla.co /www.phyathai-sriracha.com

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

เด็กแรกเกิด ควรดูแลอย่างไร ลักษณะแบบไหนถือว่าปกติ

ลำไส้กลืนกัน ภัยร้ายของเด็กเล็กที่พ่อแม่ต้องระวัง

MRIสมองเด็กชี้ชัดอันตรายเมื่อ ลูกติดโทรศัพท์ ก่อน 2ขวบ

ลูก สำลัก เรื่องเล็กที่คร่าชีวิตได้ พ่อแม่ต้องรู้วิธีช่วย

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

กินอะไรเสริมภูมิ

ควร กินอะไรเสริมภูมิ บรรเทาอาการลูกน้อยจากลองโควิด

Alternative Textaccount_circle
event
กินอะไรเสริมภูมิ
กินอะไรเสริมภูมิ

ควร กินอะไรเสริมภูมิ บรรเทาอาการลูกน้อยจากลองโควิด

สถานการณ์โควิด-19 ในประเทศไทยกลับมาเข้มข้นอีกรั้งหนึ่งเมื่อโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน สายพันธุ์ใหม่ BA.4 และ BA.5 ระบาดหนัก โดยขณะนี้เริ่มพบการระบาดในสถานที่เสี่ยงตามโรงเรียน และสถาบันการศึกษาหลายจังหวัด แม้เด็ก ๆ ที่อายุครบ 5 ขวบจะได้รับวัคซีนแล้วก็ตาม เมื่อติดแล้วหลายคนก็มักมีอาการลองโควิดตามมา เมื่อลูกติดโควิดแล้วคุณพ่อคุณแม่ก็สามารถช่วยบรรเทาอาการลูกน้อยจากลองโควิดได้ ด้วยการบำรุงร่างกายด้วยสารอาหารที่จำเป็นและมีประโยชน์ ลูกควร กินอะไรเสริมภูมิ ติดตามกันค่ะ

อาการภาวะลองโควิด

ผู้ที่มีอาการภาวะลองโควิด จะพบได้ในช่วง 1-3 เดือนแรก โดยจะพบร้อยละ 30-50 ของผู้ป่วยทั้งหมด จึงอาจไม่ต้องตกใจหรือกังวลใจ และผู้ป่วยแต่ละรายจะมีอาการแตกต่างกัน ไม่มีลักษณะตายตัว

  • อ่อนเพลียเรื้อรัง เวียนศีรษะ ปวดศีรษะ
  • ใจสั่น หายใจไม่อิ่ม รู้สึกแน่น ๆ หน้าอก
  • มีปัญหาเกี่ยวกับการนอนหลับ สมองไม่สดชื่น ความจำไม่ดีเหมือนเดิม
  • ปวดตามข้อ รู้สึกจี๊ด ๆ ตามเนื้อตัวหรือปลายมือปลายเท้า
  • รู้สึกเหมือนยังมีไข้อยู่ตลอด
  • มีภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล หรือมีผลกระทบทางจิตใจหลังเผชิญสถานการณ์รุนแรง (Post-Traumatic Stress Disorder)

เป็นภาวะลองโควิด ต้องทำอย่างไร

อาการลองโควิดเป็นผลจากความผิดปกติภายในร่างกาย เนื่องจากร่างกายยังฟื้นฟูไม่เต็มที่ พ่อแม่ของเด็กที่ติดเชื้อโควิดจึงควรสังเกตอาการของเด็ก พบแพทย์เพื่อประเมินสภาพร่างกาย และวางแผนการฟื้นฟูที่ถูกต้อง เนื่องจากอาการดังกล่าวอาจเกิดขึ้นได้ระยะยาว และส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันอย่างรุนแรง รวมถึงปล่อยนานเกินไปอาจเป็นอันตรายได้

กินอะไรเสริมภูมิ
ควรกินอะไรเสริมภูมิ บรรเทาอาการลูกน้อยจากลองโควิด

ลูกน้อยควร กินอะไรเสริมภูมิ บรรเทาภาวะลองโควิด

เด็กที่มีอาการลองโควิด (Long Covid) ควรดูแลสุขภาพให้แข็งแรงและสร้างเสริมภูมิคุ้มกันด้วยการกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นปรุงสุก สะอาด และย่อยง่าย เนื่องจากร่างกายอาจมีความผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร นอกจากนี้หากมีอาการเบื่ออาหาร ควรแบ่งอาหารเป็นมื้อย่อย ๆ หลาย ๆ มื้อ เพื่อรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ตลอดวัน ไม่ให้ร่างกายอ่อนล้า อ่อนเพลีย และควรเลือกกินอาหารดังนี้

  • ให้ลูกกินโปรตีน เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ นม เนยแข็ง ถั่วต่าง ๆ เต้าหู้ เป็นต้น
  • ให้ลูกกินอาหารที่มีจุลินทรีย์สุขภาพ หรือโพรไบโอติกส์ (Probiotics) ได้แก่ โยเกิร์ต นมเปรี้ยว โดยเลือกชนิดที่มีนํ้าตาลน้อย
  • ให้ลูกกินอาหารที่มีใยอาหารสูง เช่น ธัญพืช ถั่วเมล็ดแห้ง กล้วย หัวหอมใหญ่ กระเทียม เป็นต้น เพื่อเป็นอาหารให้จุลินทรีย์สุขภาพ และยังช่วยระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
  • ให้ลูกหลีกเลี่ยงอาหารบางอย่าง เช่น อาหารสำเร็จรูป อาหารแช่แข็ง อาหารหมักดอง อาหารปิ้งย่าง ของทอด ของมัน หรืออาหารรสจัด ย่อยยาก เพราะอาหารเหล่านี้มีผลทำให้ภูมิคุ้มกันต่ำลง

เพิ่มวิตามินสร้างภูมิคุ้มกัน

นอกจากนี้ ไม่ควรมองข้ามวิตามินและแร่ธาตุต่าง ๆ เพราะช่วยซ่อมแซมให้ร่างกายได้กลับมาฟื้นฟู แข็งแรง และสร้างภูมิคุ้มกัน ได้เป็นอย่างดี โดยวิตามินที่เหมาะสำหรับผู้ป่วย ลองโควิด (Long Covid) มีดังนี้

  1. วิตามินซี พบมากในผักและผลไม้สด เช่น ส้ม มะละกอ ฝรั่ง มะนาว มะเขือเทศ เป็นต้น ควรกินแบบสด หากนึ่งหรือผัดควรใช้ระยะเวลาสั้น ๆ เพื่อรักษาคุณค่าจากวิตามินซี
  2. วิตามินเอ เช่น เครื่องในสัตว์ ไข่แดง นม ผลิตภัณฑ์จากนม ผักใบเขียวเข้ม ผัก และผลไม้สีเหลือง และสีส้ม เช่น ตําลึง ผักบุ้ง แคร์รอต ฟักทอง มันเทศสีเหลือง มะละกอสุก เป็นต้น
  3. วิตามินดี เช่น ปลานิล ปลาทับทิม เห็ด ไข่แดง เป็นต้น
  4. วิตามินอี เช่น ไข่ ผัก และผลไม้ต่าง ๆ เช่น ถั่ว นํ้ามันถั่วเหลือง นํ้ามันมะกอก นํ้ามันดอกทานตะวัน อะโวคาโด เป็นต้น
  5. แร่ธาตุสังกะสี เช่น เนื้อสัตว์ เครื่องใน ตับ หอยนางรม ข้าวกล้อง เป็นต้น

ขอบคุณข้อมูลจาก

โรงพยาบาลเด็ก,ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ ,ThaiPBS , กรมอนามัย

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

อาการ ลองโควิด กับมิสซีเทียบอาการให้ชัดป้องกันได้ไว

เตือนพ่อแม่!!สังเกต อาการโควิดในเด็ก ย้ำดูแลใกล้ชิด

โลหิตจางในเด็ก อาการใหม่หลังโควิดเสี่ยงเสียชีวิต

7 วิธีป้องกันโรคหอบหืด

7 วิธีป้องกันโรคหอบหืด ลดความรุนแรงของโรคให้ลูกน้อย

Alternative Textaccount_circle
event
7 วิธีป้องกันโรคหอบหืด
7 วิธีป้องกันโรคหอบหืด

7 วิธีป้องกันโรคหอบหืด ลดความรุนแรงของโรคให้ลูกน้อย

โรคหอบหืดไม่ได้เกิดแต่กับผู้ใหญ่เท่านั้น แต่เกิดได้ทั้งกับเด็กเล็กและเด็กโต หากมีอาการรุนแรงอาจทำให้ลูกน้อยเสี่ยงอันตรายถึงชีวิต โรคหอบหืด เป็นโรคที่รักษาไม่หายขาด แต่สามารถควบคุมไม่ให้อาการกำเริบได้ ซึ่งมี 7 วิธีป้องกันโรคหอบหืด เพื่อช่วยลดวามรุนแรงของโรคให้ลูกน้อย มาฝากกันค่ะ

โรคหอบหืด

โรคหอบหืด เป็นโรคที่มีการอักเสบเรื้อรังของเยื่อบุหลอดลม ร่วมกับภาวะผิดปกติของหลอดลม ที่ไวต่อสิ่งกระตุ้นต่าง ๆ มากกว่าปกติ พบในเด็กจำนวนมากถึง 10 –15% เมื่อผู้ป่วยเด็กสัมผัสกับสิ่งกระตุ้น กล้ามเนื้อบริเวณหลอดลมจะหดเกร็ง ผนังหลอดลมบวมหนาขึ้น และสร้างสารคัดหลั่งหรือเสมหะมากขึ้น ทำให้หลอดลมตีบแคบลง เด็ก ๆ ที่ป่วยจึงหายใจลำบาก มีอาการเหนื่อยหอบ

เมื่อผู้ป่วยเด็กมีอาการทางจมูกมากขึ้น ก็จะทำให้ผู้ป่วยมีอาการหอบมากขึ้นได้ และในทางตรงกันข้ามถ้าได้ควบคุมอาการของโรคทางจมูกได้ดี ก็จะทำให้อาการหอบหืดน้อยลงด้วย

7 วิธีป้องกันโรคหอบหืด
7 วิธีป้องกันโรคหอบหืด ลดความรุนแรงของโรคให้ลูกน้อย

สาเหตุของโรค

โรคหอบหืดเกิดได้จาก 2 ปัจจัยหลัก คือ

  1. ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม  ผู้เด็กที่ป่วยโรคหอบหืดอาจมีอาการกำเริบเมื่อถูกกระตุ้นจากปัจจัยต่างๆ อาทิ
  • การสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ ที่กระตุ้นให้เกิดอาการทางระบบทางเดินหายใจ ซึ่งจะแตกต่างกันไปในผู้ป่วยแต่ละคน เช่น ละอองเกสรดอกไม้ เกสรหญ้า ไรฝุ่น ขนสัตว์ มลพิษในอากาศ
  • การติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ เช่น เป็นไข้หวัด ไซนัสอักเสบ
  • สัมผัสอากาศเย็น
  • ออกกำลังกายหักโหมเกินไป
  • มีภาวะกรดไหลย้อน
  • รับประทานยาบางชนิด เช่น แอสไพริน และยาในกลุ่มต้านอาการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ เช่น ไอบูโพรเฟน
  • สารกันบูดในอาหาร
  • ความเครียด
  1. ปัจจัยทางพันธุกรรม โรคหอบหืดเป็นโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม ผู้ที่มีบิดา มารดา หรือญาติเป็น จะมีโอกาสเป็นโรคนี้มากกว่าคนทั่วไป

อาการของโรคหอบหืด

จะมีอาการไอ มีเสมหะ แน่นหน้าอก หายใจไม่อิ่ม หายใจมีเสียงหวีด และเหนื่อยหอบ โดยอาการจะเป็น ๆ หาย ๆ ส่วนใหญ่เป็นช่วงกลางคืน หรือเช้ามืด และหลังจากสัมผัสปัจจัยกระตุ้นต่างๆ

ทั้งนี้ อาการของโรคมีตั้งแต่ไม่รุนแรงมาก คือ ไออย่างเดียว มีอาการเป็นช่วงสั้น ๆ หอบนาน ๆ ครั้ง ไปจนถึงอาการรุนแรงมาก เช่น หอบทุกวัน หรือมีอาการตลอดเวลา จนไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ

การรักษาโรค

การอักเสบของเยื่อบุหลอดลมในเด็กที่ป่วยโรคหอบหืดนั้น หากเกิดขึ้นเป็นเวลานาน อาจทำให้หลอดลมเปลี่ยนแปลงรูปร่างและการทำงานได้ จนทำให้สมรรถภาพปอดของผู้ป่วยต่ำกว่าปกติ และหลอดลมไวต่อสิ่งกระตุ้นอย่างถาวร การรักษาโรคหอบหืดจึงควรกระทำแต่เนิ่น ๆ

แนวทางการรักษาโรคหอบหืดประกอบไปด้วย การรักษาภาวะอักเสบเพื่อควบคุมอาการของโรคให้สงบลง และการป้องกันอาการกำเริบ ด้วยการหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดอาการหอบหืด เพื่อให้ผู้ป่วยใช้ชีวิตได้อย่างเป็นปกติที่สุด

ยาที่ใช้รักษาโรคหอบหืด มีทั้งชนิดสูดพ่นและยารับประทาน ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ

  • กลุ่มยาควบคุม หรือระงับการอักเสบของหลอดลม เช่น ยากลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์ชนิดสูดพ่น (inhaled corticosteroids)
  • กลุ่มยาบรรเทาอาการ ได้แก่ ยาขยายหลอดลม ซึ่งมีฤทธิ์ทำให้กล้ามเนื้อหลอดลมคลายตัว และขยายตัว จึงช่วยลดอาการไอ เหนื่อยหอบ หายใจไม่สะดวก ควรใช้เฉพาะเมื่อมีอาการ และไม่มีผลในการลดอาการหลอดลมอักเสบ

เนื่องจากโรคหอบหืด เป็นโรคที่อาการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา แพทย์จะประเมินผลการรักษาด้วยยาเป็นระยะ และอาจต้องปรับเปลี่ยนหรือลด-เพิ่มขนาดของยาตามความจำเป็นเพื่อให้การควบคุมโรคเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ลดอาการข้างเคียงจากการใช้ยา และลดความเสี่ยงของอาการกำเริบเฉียบพลันซึ่งอาจทำให้ผู้ป่วยต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลได้

7วิธีป้องกันโรคหอบหืด
7วิธีป้องกันโรคหอบหืด

7 วิธีป้องกันโรคหอบหืด

ควรหลีกเลี่ยง และขจัดสิ่งต่าง ๆ ที่อาจทำให้เกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้ หรือกระตุ้นอาการหอบหืด เช่น

  1. ควรหมั่นทำความสะอาดบ้าน โดยเฉพาะ ห้องนอน ห้องทำงาน รวมทั้งเฟอร์นิเจอร์ พัดลม เครื่องปรับอากาศ
  2. พยายามเปิดหน้าต่าง ให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก ให้แสงแดดส่องถึง
  3. กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ของแมลงสาบ
  4. พักผ่อนให้เพียงพอ และหลีกเลี่ยงภาวะเครียด
  5. งดสูบบุหรี่ และไม่ควรดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากสุรา ทำให้เพิ่มอาการโรคกรดไหลย้อน และส่งผลให้อาการหอบหืดกำเริบได้
  6. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ออกกำลังกายเพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน
  7. ควรใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์อย่างถูกต้อง และสม่ำเสมอ

การป้องกันโรคหอบหืดนั้น เป็นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม หลีกเลี่ยงสิ่งที่คิดว่าจะทำให้เกิดอาการ เพื่อป้องกันการเกิดโรคแทรกซ้อน ลดอาการความรุนแรงของโรค ลดโอกาสการเสียชีวิตจากโรคหอบหืด และเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของเด็กที่ป่วยค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก

TNN Online , โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์, โรงพยาบาลสมิติเวช

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก 

อันตรายหากลูกมีอาการ ภูมิแพ้เฉียบพลันรุนแรงในเด็ก

แยกให้ออก ภูมิแพ้ ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่กับโควิด -19 อาการ ต่างกันยังไง?

วิจัยชี้! ให้ลูกดื่มน้ำอัดลม เสี่ยงเป็นโรคหอบหืด

แอปพลิเคชัน Monkey Junior

คุณพ่อคุณแม่ยุคดิจิทัลควรรู้ ปกป้องลูกน้อยอย่างไรให้ห่างไกลจากภัยคุกคามในโลกออนไลน์

Alternative Textaccount_circle
event
แอปพลิเคชัน Monkey Junior
แอปพลิเคชัน Monkey Junior

นับเป็นเรื่องที่ดีที่ในปัจจุบัน เด็ก ๆ รุ่นใหม่สามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร สื่อการเรียนการสอน หรือแหล่งความรู้ในโลกอินเทอร์เน็ตด้วยความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น เพราะนั่นคือการส่งเสริมให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้ เลือกหาข้อมูลในสิ่งที่ตัวเองสนใจ เติมแต่งจินตนาการ หรือต่อยอดความคิดสร้างสรรค์ได้ด้วยตนเองอย่างไร้ขีดจำกัด

แต่อย่างไรก็ตาม ภายใต้ความสะดวกสบายของการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร แน่นอนว่าเด็ก ๆ ย่อมเสี่ยงต่อภัยคุกคามที่มาในรูปแบบออนไลน์ได้เช่นเดียวกัน คุณพ่อคุณแม่ในยุคดิจิทัลจึงควรรู้เท่าทันกับภัยร้ายบนโลกออนไลน์ที่ไม่ควรมองข้าม และอะไรคือการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศให้เป็นประโยชน์กับลูกน้อยมากที่สุด

การที่เด็ก ๆ มีโอกาสในการใช้สื่อออนไลน์ตั้งแต่อายุยังน้อย โดยปราศจากการดูแลชี้แนะจากคุณพ่อคุณแม่หรือผู้ปกครอง อาจทำให้เกิดผลเสีย เช่น เด็กต่ำกว่า 2 ขวบ ซน สมาธิสั้น ก้าวร้าว นอนไม่หลับ พัฒนาการล่าช้า เด็กอายุยังไม่ถึง 13 ขวบ ยังขาดวิจารณญาณในการแยกแยะข่าวสารข้อมูล การเลือกคบเพื่อนออนไลน์ อาจเชื่อข่าวปลอมข้อมูลเท็จ ถูกล่อลวง หรือการที่เด็กๆอาจให้ความสนใจไปกับเกมออนไลน์อาจส่งผลต่อสุขภาพจิตและส่งผลต่อการใส่ใจในเนื้อหาบทเรียนด้วยเช่นกัน

ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของคุณพ่อคุณแม่ที่ต้องดูแลใส่ใจในการใช้สื่อออนไลน์ของลูกน้อยอย่างเหมาะสม การแบ่งเวลาในการเรียนและกิจกรรมสันทนาการเพื่อเพิ่มพูนทักษะทางการใช้จินตนาการ รวมถึงการเลือกสื่อการเรียนการสอนที่มีคุณภาพที่ช่วยให้เด็ก ๆ ได้ฝึกฝนทักษะทางวิชาการได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ยกตัวอย่างเช่น 2 แอปพลิเคชันที่กำลังได้รับความนิยมเป็นอันดับหนึ่งจากผู้ใช้งานมากกว่า 10 ล้านคน แอปพลิเคชัน “Monkey Junior” และ “Monkey Stories” คือแอปพลิเคชันที่คุณพ่อคุณแม่ของเด็ก ๆ ทั่วโลกต่างเชื่อมั่นในหลักสูตรที่ได้รับการออกแบบและพัฒนาในการส่งเสริมทักษะการใช้ภาษาอังกฤษของเด็ก ๆ การันตีจากยอดการดาวน์โหลดสูงสุดเป็นอันดับ 1 ของ App Store และ Google Play ในประเทศสหรัฐอเมริกา

แอปพลิเคชัน Monkey Junior

“Monkey Junior – คำศัพท์สำหรับเด็กสู่การต่อยอด”  คือแอปพลิเคชันที่เหมาะสำหรับเด็กที่เพิ่งเริ่มต้นและต้องการปรับพื้นฐานในการเรียนภาษาอังกฤษ เด็กๆในช่วงวัย 0 – 10 ปีที่ยังไม่เคยมีพื้นฐานทางภาษาอังกฤษมาก่อน สามารถเริ่มต้นง่ายๆกับแอปพลิเคชัน Monkey Junior   ด้วยหลักสูตรที่เข้าใจง่าย ให้ตัวผู้เรียนได้มีโอกาสโต้ตอบกับเนื้อหาของหลักสูตรโดยใช้ทักษะการฟัง การดู การอ่าน การสัมผัส และ การพูด ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนเกิดความสนุกสนานและสามารถจดจำเนื้อหาจากบทเรียนได้ไปในตัว แอปพลิเคชัน Monkey Junior มีส่วนช่วยให้เด็ก ๆ สะสมคลังคำศัพท์ได้มากกว่า 1,000 คำในเวลาอันสั้น ผ่านนิทานเรื่องเล่า การเล่นเกมเชิงโต้ตอบ การจดจำคำศัพท์บนการ์ดรูปภาพควบคู่ไปกับการฝึกออกเสียงคำศัพท์ให้เป็นไปตามมาตรฐานภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน โดยในแอปพลิเคชัน Monkey Junior จะมีระบบ AI ประเมินความสามารถในการออกเสียงของเด็ก ๆ ได้อย่างแม่นยำ ทำให้คุณพ่อคุณแม่สามารถไว้วางใจถึงคุณภาพของบทเรียนที่มีการตรวจสอบความถูกต้องและสามารถใช้งานได้ดีกับเด็ก ๆ ทั่วโลก

“Monkey Stories – เรื่องราวและเกมการเรียนรู้โต้ตอบสำหรับเด็ก” แอปพลิเคชันการเรียนการสอนภาษาอังกฤษที่เหมาะกับเด็ก ๆในช่วงวัย 2 – 10 ปี ที่จะเข้ามาเติมเต็มให้เด็ก ๆ ที่พอมีพื้นฐานทางภาษาอังกฤษอยู่แล้วให้แข็งแรงและต่อยอดพัฒนาการมากยิ่งขึ้น แอปพลิเคชัน Monkey Stories จะเน้นให้เด็ก ๆได้ฝึกทักษะทางภาษาครบทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ การฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน ด้วยความสนุกสนานของเนื้อหา ไม่ว่าจะเป็นจากหนังสือเสียงที่มีมากกว่า 300 เล่ม เกม เพลง และนิทานเชิงโต้ตอบภายในแอปพลิเคชั่น จะช่วยให้เด็ก ๆ ได้พัฒนาทักษะการฟัง การอ่าน พร้อมๆกับการฝึกออกเสียงภาษาอังกฤษมาตรฐานอเมริกัน ซึ่งในแอปพลิเคชัน Monkey Stories จะมีโปรแกรม Monkey Phonics โปรแกรมการเรียนรู้แบบโฟนิกส์หนึ่งเดียวในประเทศเวียดนาม เพื่อช่วยให้เด็ก ๆ สามารถออกเสียงได้อย่างถูกต้อง นอกจากนี้ Monkey Phonics ยังช่วยให้เด็ก ๆ อ่านได้ฝึกทักษะการอ่านอย่างคล่องแคล่ว เขียนได้ถูกต้อง เพิ่มพูนคำศัพท์ และรักการอ่านมากยิ่งขึ้น เรียกได้ว่าแอปพลิเคชั่น Monkey Stories ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์คุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่และตัวผู้เรียนที่ก้าวทันเทคโนโลยีอย่างแท้จริง

รู้แบบนี้แล้ว การเลือกใช้สื่อออนไลน์ให้เป็นประโยชน์กับลูกน้อยนั้นคงไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เพียงแต่คุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ต้องให้ความใส่ใจอย่างใกล้ชิด เพื่อให้เด็กๆสามารถใช้สื่อออนไลน์ได้อย่างปลอดภัย และเกิดการเรียนรู้อย่างเต็มประสิทธิภาพ แอปพลิเคชัน “Monkey Junior” และ “Monkey Stories” จะคอยสร้างสรรค์คอนเทนต์ดี ๆ เพื่อสนับสนุนให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้และ ฝึกฝนทักษะทางภาษาอังกฤษให้แข็งแรงยิ่งขึ้นตลอดไป

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ

Monkey Junior ได้ที่ Link  

Monkey Stories ได้ที่ Link

Group Monkey Thailand ได้ที่ Link 

Website: https://www.monkeyenglish.net/th/

สิทธิบัตรทอง30บาท

เช็คสิทธิล่าสุด สิทธิบัตรทอง30บาท ครอบคลุมอะไรบ้าง

Alternative Textaccount_circle
event
สิทธิบัตรทอง30บาท
สิทธิบัตรทอง30บาท

เช็คสิทธิล่าสุด สิทธิบัตรทอง30บาท ครอบคลุมอะไรบ้าง

คุณพ่อคุณแม่หลายท่านมี สิทธิบัตรทอง30บาท รวมถึงเด็ก ๆ หลายคน ก็อาจใช้สิทธิบัตรทองเพื่อการดูแลสุขภาพกันอยู่แล้ว ซึ่งสิทธินี้ก็มีการขยายขอบเขตและอัปเดทการให้บริการอยู่เสมอ วันนี้ทีมกองบรรณาธิการ ABK จะมาอัปเดทให้คุณพ่อคุณแม่ ได้เช็คสิทธิล่าสุดของบัตรทองกันค่ะ

ประกาศสิทธิล่าสุด สิทธิบัตรทอง30บาท

ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) เมื่อวันที่ 7 มิ.ย. 2565 เรื่อง ประเภทและขอบเขตของบริการสาธารณสุข พ.ศ. 2564 ซึ่งเป็นการปรับปรุงประกาศบอร์ด สปสช. ฉบับเดิม เพื่อให้เกิดความชัดเจนเกี่ยวกับสิทธิในการรับบริการสาธารณสุข ว่าด้วยหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ โดยให้มีผลบังคับใช้ทันที

คุณสมบัติของผู้มีสิทธิบัตรทอง

มี 3 ข้อ คือ
1. เป็นบุคคลที่มีสัญชาติไทย
2. มีเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก
3. ไม่มีสิทธิประกันสุขภาพจากหน่วยงานรัฐ (ที่ใช้จ่ายจากเงินงบประมาณของรัฐ) ได้แก่ สิทธิตามกฎหมายประกันสังคม สิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการ / พนักงานส่วนท้องถิ่น หรือสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลของหน่วยงานรัฐอื่น ๆ เช่น รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน ข้าราชการการเมือง
สิทธิบัตรทอง30บาท
สิทธิบัตรทอง30บาท ครอบคลุมอะไรบ้าง

ใครมีสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ?

  • เด็กแรกเกิด ที่ไม่มีสิทธิสวัสดิการการรักษาพยาบาลข้าราชการจากบิดามารดา
  • บุตรข้าราชการที่บรรลุนิติภาวะ (อายุ 20 ปีขึ้นไปหรือสมรส) และไม่มีสิทธิประกันสุขภาพจากหน่วยงานรัฐ
  • บุตรข้าราชการคนที่ 4 ขึ้นไป และไม่มีสิทธิประกันสุขภาพจากหน่วยงานรัฐ เช่น สิทธิข้าราชการคุ้มครองบุตรเพียง 3 คน
  • ผู้ประกันตนที่ขาดการส่งเงินสมทบกองทุนประกันสังคม (หมดสิทธิประกันสังคม)
  • ข้าราชการที่เกษียณอายุหรือออกจากราชการโดยมิได้รับบำนาญ
  • ผู้ประกอบอาชีพอิสระ และไม่ได้เป็นผู้ประกันตน
มีสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติตามกฎหมาย และลงทะเบียนเพื่อเลือกหน่วยบริการประจำได้ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
***คนไทยที่อาศัยอยู่ในต่างประเทศติดต่อกันมากกว่า 2 ปีขึ้นไป (ข้อมูลจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง) หรือผู้ที่ลงทะเบียนเลือกตั้งในต่างประเทศ (ข้อมูลจากสำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง) จะใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งขาติต่อเมื่อเดินทางกลับมาอาศัยอยู่ในประเทศไทยแล้ว โดยติดต่อแก้ไขสถานะบุคคล ณ หน่วยบริการในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติที่อยู่ใกล้บ้าน

13 สิทธิบัตรทอง30บาท

แบ่งออกเป็น 13 รายการ ได้แก่

1. บริการสร้างเสริมสุขภาพ และป้องกันโรค

2. การตรวจวินิจฉัยโรค

3. การตรวจ และการรับฝากครรภ์

4. การบำบัด และการบริการทางการแพทย์

5. ยา เวชภัณฑ์ อวัยวะเทียม และอุปกรณ์ทางการแพทย์

6. การทำคลอด

7. การกินอยู่ในหน่วยบริการ

8. การบริบาลทารกแรกเกิด

9. บริการรถพยาบาล หรือบริการพาหนะรับส่งผู้ป่วย

10. บริการพาหนะรับส่งผู้ทุพพลภาพ

11. การฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกาย และจิตใจ

12. บริการสาธารณสุข ด้านการแพทย์แผนไทย และการแพทย์ทางเลือก ตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบโรคศิลปะ

13. บริการสาธารสุขอื่นที่จำเป็นต่อสุขภาพ และการดำรงชีวิต ที่คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติกำหนดเพิ่มเติม

 

ช่องทางการการตรวจสอบสิทธิบัตรทองด้วยตนเอง

ผู้ใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สิทธิบัตรทอง) ตรวจสอบสิทธิด้วยตนเองผ่านช่องทางได้ ดังต่อไปนี้

1. ไปติดต่อด้วยตนเอง ที่โรงพยาบาลของรัฐ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล สำนักงานเขต กทม. 19 เขต และ สปสช. เขตพื้นที่ 1-13

2. ทางโทรศัพท์ โทรสายด่วน สปสช. 1330 กด 2 ตามด้วยหมายเลขบัตรประชาชน 13 หลัก และเครื่องหมาย #

3. ระบบอินเทอร์เน็ต ทางเว็บไซต์ สปสช.

http://eservices.nhso.go.th/eServices/mobile/login.xhtml

4. ผ่านทาง Application “สปสช.” (สามารถติดตั้งแอพสแกน QR Code ดาวน์โหลดได้ทั้งระบบ ios และ Android) และเข้าใช้งานในฟังก์ชั่น “การตรวจสอบสิทธิ”

หากมีข้อสงสัย สอบถามเพิ่มเติม โทร สายด่วน สปสช. 1330 (ตลอด 24 ชั่วโมง)

ขอบคุณข้อมูลจาก

TNN Online, สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

เช็คเงื่อนไข! พ่อลูกอ่อน เบิกค่าคลอดบุตร ประกันสังคมได้

เช็กสิทธิใน แอปเป๋าตัง ตรวจคัดกรอง รับบริการอะไรได้บ้าง

ไทยมี ผ่าตัดฝังประสาทหูเทียม เหมือนที่ชัชชาติพาลูกรักษา

คำนวณอายุครรภ์

วิธี “คำนวณอายุครรภ์” และวันครบกำหนดคลอด ด้วยตัวเอง

Alternative Textaccount_circle
event
คำนวณอายุครรภ์
คำนวณอายุครรภ์

นับอายุครรภ์ คำนวณอายุครรภ์ แบบง่าย ๆ พร้อมทราบวันครบกำหนดคลอด ได้ด้วยตัวเอง มาดูกันว่ามีวิธีนับและคำนวณแบบไหนบ้าง และนับอย่างไร

วิธี “คำนวณอายุครรภ์” และวันครบกำหนดคลอด ด้วยตัวเอง

การ คำนวณอายุครรภ์ มีประโยชน์เป็นอย่างมาก ในทางการแพทย์ การทราบอายุครรภ์ที่ถูกต้องจะช่วยให้คุณหมอวินิจฉัยอาการต่าง ๆ ได้แม่นยำขึ้น และสำหรับคุณแม่ จะช่วยทำให้ทราบถึงพัฒนาการของทารกในครรภ์ในช่วงต่าง ๆ (อ่านต่อ เจาะลึก 40 สัปดาห์กับ พัฒนาการลูกน้อยในครรภ์) ทำให้คุณแม่สามารถสังเกตได้ว่า ทารกในครรภ์มีการพัฒนาตามเกณฑ์หรือไม่ ทั้งนี้ ยังอาจช่วยให้คุณแม่สังเกตตนเองว่ามีภาวะแทรกซ้อนที่อาจส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์หรือไม่ (อ่านต่อ 10 ภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์ ที่แม่ท้องต้องรู้!!) รวมถึงอาจช่วยให้คาดการณ์วันกำหนดคลอดคร่าว ๆ ได้อีกด้วย

อายุครรภ์ คืออะไร

อายุครรภ์ คือ ระยะเวลาตั้งแต่การตั้งครรภ์จนถึงวันคลอด โดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 38-42 สัปดาห์ หรือ 280 วัน โดยเริ่มนับตั้งแต่วันแรกที่ประจำเดือนมาครั้งสุดท้าย หากทารกคลอดก่อนครบ 37 สัปดาห์ นั่่นคือ การคลอดก่อนกำหนด แต่หากทารกคลอดหลังจากผ่านไป 42 สัปดาห์ อาจหมายถึง การตั้งครรภ์เกินกำหนด โดยอายุครรภ์แบ่งออกได้เป็น 3 ไตรมาส ดังนี้

  • ไตรมาสแรก ช่วงอายุครรภ์ 1-3 เดือน หรือสัปดาห์ที่ 1-14
  • ไตรมาสที่ 2 ช่วงอายุครรภ์ 4-6 เดือน หรือสัปดาห์ที่ 15-27
  • ไตรมาสที่ 3 หรือไตรมาสสุดท้าย ช่วงอายุครรภ์ 7-9 เดือน หรือสัปดาห์ที่ 28-40

การ คำนวณอายุครรภ์ สำคัญอย่างไร?

การนับอายุครรภ์อาจช่วยให้คุณแม่สามารถวางแผนการดูแลครรภ์ และเตรียมพร้อมในเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม เช่น

  • การคาดการณ์วันกำหนดคลอด
  • การติดตามพัฒนาการและความสมบูรณ์ของทารกในครรภ์
  • การตรวจคัดกรองสุขภาพมารดาและทารกในครรภ์ในแต่ละไตรมาส
  • การตรวจภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์ ซึ่งอาจช่วยป้องกันทารกคลอดก่อนกำหนด หรือการตั้งครรภ์เกินกำหนด

คำนวณอายุครรภ์ มีกี่วิธี?

  • คะเนวันคลอดจาก Naegele’s rule
  • คะเนวันคลอดจากประวัติเด็กดิ้น (Quickening)
  • การวัดระดับยอดมดลูกด้วยสัดส่วน (Height of fundus)
  • การคำนวณจากระดับยอดมดลูกด้วยสายเทปวัดตามวิธีของ Jimenez/ Modified McDonald’s rule
  • คำนวณจากระดับยอดมดลูกด้วยสายเทปวัดตามวิธีของ McDonald’s rule
  • การคำนวณจากการตรวจภายในครั้งแรก (Uterine assessment)
  • คะเนอายุครรภ์โดยการใช้คลื่นเสียงความถี่สูง (Ultrasonogram)

วิธีการนับอายุครรภ์นั้นมีหลายวิธี แต่วิธีต่าง ๆ นั้นอาจต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญเช่นแพทย์ เท่านั้น แต่มีอยู่ 1 วิธี ที่แม่ ๆ สามารถคำนวณได้ด้วยตัวเอง คือการคะเนวันคลอดจาก Naegele’s rule หรือเรียกกันง่าย ๆ คือการคำนวณวันคลอดจากประจำเดือนครั้งสุดท้าย

การนับอายุครรภ์
การนับอายุครรภ์

จำวันแรกของประจำเดือนครั้งล่าสุด…ก็นับอายุครรภ์ได้

การตั้งครรภ์อาจใช้เวลาประมาณ 38-42 สัปดาห์ การนับอายุครรภ์จะเริ่มนับตั้งแต่วันแรกที่ประจำเดือนมาครั้งสุดท้าย โดยการนับอายุครรภ์อาจเริ่มนับจากวันแรกที่รอบเดือนมาครั้งสุดท้าย แล้วนับย้อนหลังกลับไป 3 เดือน แล้วบวกเพิ่มไปอีก 7 วัน ยกตัวอย่างเช่น วันแรกที่รอบเดือนมาครั้งสุดท้าย คือ วันที่ 1 พฤศจิกายน หากนับย้อนหลังไป 3 เดือน จะเท่ากับวันที่ 1 กรกฎาคม จากนั้นบวกเพิ่มไปอีก 7 วัน ซึ่งวันครบกำหนดคลอดจะเป็นวันที่ 8 กรกฎาคมของปีถัดไป ซึ่งเมื่อเราทราบกำหนดคลอดแล้ว ก็นับย้อนหลังไปเรื่อย ๆ ก็จะสามารถทราบได้ว่าขณะนี้คุณแม่ตั้งครรภ์กี่สัปดาห์แล้ว

ซึ่งจากตัวอย่าง คือ วันแรกที่รอบเดือนมาครั้งสุดท้ายคือ วันที่ 1 พฤศจิกายน

วันที่ 1 พฤศจิกายน = สัปดาห์ที่ 0

วันที่ 8 พฤศจิกายน = สัปดาห์ที่ 1

และวันที่ 15 พฤศจิกายน = สัปดาห์ที่ 2

ฯลฯ

วิธีนี้จะใช้ไม่ได้ผลในกรณีที่

  • คุณแม่จำวันแรกของประจำเดือนครั้งล่าสุดไม่ได้
  • ประวัติการมีประจำเดือนไม่สม่ำเสมอ
  • หลังคลอดครรภ์ก่อนไม่เคยมีประจำเดือนมาเลยจนกระทั่งตั้งครรภ์ใหม่
  • ตั้งครรภ์แล้วมีเลือดออกผิดปกติจากการแท้งคุกคาม หรือเลือดออกจากการฝังตัว (Hartman’s sign) ซึ่งปกติแล้วจะเกิดขึ้นประมาณวันที่ 17 หลังปฏิสนธิ
  • รับประทานยาเม็ดคุมกำเนิด หรือฉีดยาคุมกำเนิดอยู่ แล้วประจำเดือนไม่มาเลย
  • มีประจำเดือนขาดหายไปหลังหยุดยาเม็ดคุมกำเนิด (post – pill amenorrhea)

ดังนั้น วิธีการ คำนวณอายุครรภ์ ด้วยวิธีนี้ อาจทำให้เกิดการคลาดเคลื่อนได้ สำหรับแม่ ๆ ที่มีกรณีข้างต้นจึงควรนับอายุครรภ์ด้วยวิธีอื่น ๆ ซึ่งการนับอายุครรภ์วิธีอื่น ๆ นั้น จะต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการนับวัดระดับยอดมดลูก หรือ อัลตราซาวน์

อัลตราซาวด์
อัลตราซาวด์

การนับอายุครรภ์ด้วยวิธีอัลตราซาวน์

อัลตราซาวน์เป็นวิธีที่แม่นยำและเป็นที่นิยมในการระบุอายุครรภ์ อาจเหมาะกับคุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีรอบเดือนมาไม่ปกติ หรือไม่แน่ใจว่าการตกไข่เกิดขึ้นเมื่อใด ซึ่งคุณแม่ตั้งครรภ์สามารถเข้ารับการตรวจอัลตราซาวน์จากสูตินารีแพทย์ วิธีนี้อาจช่วยให้คุณหมอทราบถึงขนาดของทารกในครรภ์ และคำนวณอายุครรภ์ของคุณแม่ เพื่อกำหนดวันคลอด ซึ่งการอัลตราซาวน์ช่วยให้คุณหมอสามารถประเมินพัฒนาการของทารกว่า มีความสัมพันธ์กับอายุครรภ์หรือไม่ โดยสามารถดูได้จากขนาดของทารก และน้ำหนักของทารก

การคำนวณอายุครรภ์นี้ เป็นการคำนวณด้วยตัวเองแบบง่าย ๆ เท่านั้น เพื่อให้คุณแม่ได้ทราบถึงการเจริญเติบโตของลูกน้อยในครรภ์พร้อมทั้งพัฒนาการต่าง ๆ แบบคร่าว ๆ ทำให้คุณแม่ทราบว่าในช่วงนี้ควรจะระวังเรื่องไหนบ้าง เป็นต้น แต่หากคุณแม่ต้องการทราบอายุครรภ์และกำหนดคลอดที่แน่นอน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อทราบวันที่ชัดเจนและคำแนะนำที่มีประโยชน์ต่าง ๆ จากคุณหมอค่ะ

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

10 อาการเตือนคนเริ่มท้อง และเรื่องน่ารู้สำหรับคุณแม่

ตรวจตั้งครรภ์ เร็วสุดกี่วัน ท้องไม่ท้อง เช็คเลย!!!

อาการของคนท้อง ตั้งแต่สัปดาห์แรกจนคลอด มีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง

10 ข้อห้าม คนท้องอ่อนๆ ต้องระวังอะไรบ้าง?

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : ผศ.วิรีภรณ์ ชัยเศรษฐสัมพันธ์ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี, hellokhunmor.com,

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

โรคขาดวิตามินซี

ลูกปวดขาไม่ยอมเดิน! หมอชี้อาจมาจาก โรคขาดวิตามินซี

Alternative Textaccount_circle
event
โรคขาดวิตามินซี
โรคขาดวิตามินซี

โรคขาดวิตามินซี ฟังดูไม่น่ากลัวกันใช่ไหม แต่หมอฝากเตือนหากปล่อยไว้ ลูกอาจถึงขั้นเดินไม่ได้ อันตรายหนักเพียงแค่ร่างกายขาดวิตามิน มาดูแลโภชนาการลูกก่อนสาย

ลูกปวดขาไม่ยอมเดิน! หมอชี้อาจมาจาก โรคขาดวิตามินซี

วิตามินซี วิตามินที่เราต่างคุ้นเคยกันดี เพราะเป็นวิตามินที่พบได้ในผัก ผลไม้ วิตามินซี เป็นวิตามินที่สามารถละลายในน้ำ โดยที่ร่างกายของเราไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้จำเป็นต้องได้รับวิตามินชนิดนี้จากการรับประทาน โดยมากวิตามินซีจะอยู่ในกลุ่มของอาหารประเภทผัก และผลไม้ชนิดต่างๆ พบมากในส้ม สับปะรด มะขาม สตอร์เบอร์รี่ ฝรั่ง มะนาว มะเขือเทศ

ปัจจุบันยังพบผู้ป่วยโรคขาดวิตามินซีได้เนื่องจากพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่ไม่เหมาะสม ซึ่งสามารถนำไปสู่ความผิดปกติของโครงกระดูก อาจสับสนกับโรคกระดูกอ่อน ภาวะติดเชื้อ หรือภาวะอักเสบ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีความสงสัยโรคขาดวิตามินซีอยู่เสมอเพื่อวินิจฉัยในผู้ป่วยที่มีอาการทางกระดูก และข้อ

โรคขาดวิตามินซี

ขอขอบคุณคลิปดี ๆ จาก กรมการแพทย์ 

นพ.ณรงค์ อภิกุลวณิช รองอธิบดีกรมการแพทย์และโฆษกกรมการแพทย์ กล่าวว่า วิตามินซีเป็นวิตามินละลายน้ำและเป็นสารอาหารที่สำคัญต่อร่างกายในกระบวนการสังเคราะห์คอลลาเจนในเนื้อเยื่อของกระดูกฟัน เหงือก และหลอดเลือด ซึ่งในร่างกายมนุษย์ไม่สามารถสังเคราะห์วิตามินซีได้เอง จำเป็นต้องได้รับวิตามีนซีจากสารอาหาร วิตามินซีมีอยู่มากในอาหารจำพวกผักสดและผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว โดยปกติร่างกายควรได้รับวิตามินซีอย่างน้อยวันละ 50-100 มิลลิกรัม กรณีเด็กที่เลือกกิน กินอาหารยาก กินข้าวน้อย ไม่กินผักผลไม้ที่มีวิตามินซี และกินนมกล่องยูเอชที (UHT) เป็นประจำก็อาจทำให้เกิดภาวะเด็กขาดวิตามินซี

ความเชื่อผิด ๆ ทำให้ลูกขาดวิตามินซี

ยังมีพ่อแม่บางบ้านที่มีความเชื่อว่า นมเป็นตัวแทนอาหารอื่น ๆ หากเด็กกินนมมาก จะช่วยให้สูง เจริญเติบโตได้ดี  เด็กจะมีรูปร่างสูงใหญ่ ทำให้ปล่อยให้ลูกกินแต่นม เลือกซื้อนมกล่องเก็บไว้ในตู้เย็นเพื่อให้ลูกได้หยิบกินได้สะดวก เมื่อลูกกินแต่นมจนอิ่มก็ไม่ยอมกินอาหารอย่างอื่น ส่งผลให้เด็กได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ขาดภูมิคุ้มกัน ทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ตามมา และบางคนยังอาจส่งผลไปถึงทำให้เด็กไม่ยอมเดิน เพราะปวดขาขาบวมได้อีกด้วย

นพ.สมจิตร ศรีอุดมขจร แพทย์ประจำศูนย์คลินิกสมองและระบบประสาท สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กล่าวว่า จากข้อมูลของผู้ป่วยเด็กที่เข้ารับการรักษาด้วยโรคขาดวิตามินซีมีสถิติเพิ่มมากขึ้น ผู้ป่วยเด็กส่วนมากมักมีประวัติการกินนมวัว และกินนมถั่วเหลืองชนิดกล่อง UHT เป็นประจำโดยไม่ทานอาหารอื่นร่วมด้วย ซึ่งในนมกล่องมีปริมาณวิตามินซีน้อยมากเพียง 1.5 มิลลิกรัม/100 ซีซี และเมื่อผ่านกระบวนการผลิตความร้อนจะทำให้วิตามินซีสูญเสียไปอีกมาก

วิตามินซีจากผัก ผลไม้รสเปรี้ยว
วิตามินซีจากผัก ผลไม้รสเปรี้ยว

นมแม่ดีที่สุด!!

แม้ว่านมกล่องจะมีปริมาณวิตามินซีน้อย ทำให้เด็กที่รับประทานแต่นมกล่องขาดวิตามิน แต่ในนมแม่นั้นกลับตรงกันข้าม นมแม่มีวิตามินซีสูงถึง 4 มิลลิกรัม/100 ซีซี แต่ต้องระวังการรับประทานของคุณแม่ หากแม่กินผักผลไม้ไม่เพียงพอ ลูกก็จะไม่ได้รับสารอาหารเช่นกัน เด็กก็จะมีโอกาสขาดวิตามินซีได้เช่นกัน

ดังนั้น แม่ที่ให้นมลูกควรทานผักผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง เช่น มะเขือเทศ กะหล่ำ พริกหวาน ส้ม มะนาว ฝรั่ง สับปะรด มะม่วง มะละกอ เพื่อให้ลูกได้รับปริมาณวิตามินซีที่เหมาะสม ในระยะ 6 เดือนแรก ทารกควรได้รับนมแม่อย่างเดียวโดยไม่ต้องกินน้ำหรืออาหารอื่น หลังอายุ 6 เดือน ต้องเริ่มฝึกให้เด็กทานอาหารอื่นครบ 5 หมู่ ตามวัยควบคู่กับนมแม่

เด็กขาดวิตามินซี จะเป็นอย่างไร?

หากลูกขาดวิตามินซี จะส่งผลต่อการเจริญเติบโตในร่างกายเด็ก อย่างวิตามินซีที่เกี่ยวข้องกับความแข็งแรงของเนื้อเยื่อ ทำให้เกิดอาการต่างๆ เช่น เลือดออกตามไรฟัน เป็นปัญหาที่จะพบบ่อยในผู้ที่ขาดวิตามินซี เป็นผลมาจากเนื้อเยื่อบริเวณหลอดเลือดมีความอ่อนแอ เป็นต้น

เด็กขาดวิตามินซีก็ยังมีอาการอื่นๆได้อีกหลายอย่างที่เกิดจากการขาดวิตามินซีทั้งเบื่ออาหาร อ่อนเพลีย กระสับกระส่าย ร้องกวนตลอดเวลา ซีด ซึม ถ่ายเหลวเป็นครั้งคราว น้ำหนักตัวไม่ขึ้น ติดเชื้อได้ง่าย เลือดจาง มีรอยช้ำตามร่างกาย หากอาการรุนแรงมากอาจถึงขั้นเดินไม่ได้ ซึ่งเป็นผลมาจากเลือดที่ออกบริเวณเนื้อเยื่อหุ้มเข่า ทำให้มีอาการปวดมาก และส่งผลต่อการเดิน

สาเหตุของอาการขาดวิตามิน

ได้แก่ การทานอาหารไม่ครบ 5 หมู่ หรือบางรายอาจมีโรคประจำตัว บางรายอาจได้รับยาที่ทำให้การดูดซึมวิตามินมีความผิดปกติ ส่งผลให้ร่างกายขาดวิตามิน และเกิดอาการตั้งแต่เริ่มต้นไปจนถึงขั้นรุนแรงได้

โรคขาดวิตามินซี โรคลักปิดลักเปิด เลือดออกง่าย
โรคขาดวิตามินซี โรคลักปิดลักเปิด เลือดออกง่าย

ปวดกระดูก เดินไม่ได้ เพราะ ขาดวิตามินซี!!

ตัวอย่างกรณีศึกษา ผู้ป่วยเด็กชาย 2 รายที่มีอาการปวดขา อาการบวมรอบข้อเข่า และไม่ยอมยืนเดินเป็นระยะเวลา 2-4 สัปดาห์ การตรวจโลหิตวิทยาพื้นฐานพบว่ามีโลหิตจาง ตรวจภาพถ่ายรังสีพบว่ามี osteopenia กระจายที่ metaphysis, dens metaphyseal band, lucent metaphyseal band ของกระดูกต้นขา, metaphyseal spur at distal femur ซึ่งเข้าได้กับโรคขาดวิตามินซี ผู้ป่วยได้รับการรักษาด้วยการเสริมวิตามินซี  หนึ่งเดือนต่อมา ความเจ็บปวด และอาการบวมลดลง เด็กสามารถเดินได้ ผลการตรวจภาพถ่ายรังสีซ้ำแสดงให้เห็นว่าความผิดปกติของกระดูกมีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น

ที่มาจาก วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม

โรคขาดวิตามินซี หรือโรคลักปิดลักเปิด เป็นโรคที่พบได้ไม่บ่อยในเด็ก ในบางรายที่อาการรุนแรงอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตโดย อาการแสดงอาจมีเลือดออกที่เหงือก เหงือกบวม จุดจ้ำเลือดที่ผิวหนัง มีไข้ ปวดกระดูกและไม่สามารถที่จะเดินได้ การวินิจฉัยของโรคขาดวิตามินซีทำได้โดยอาศัยข้อมูลพื้นฐานทางคลินิก และการประเมินผลจากถ่ายภาพรังสีของกระดูกท่อนยาว

ปวดกระดูกจากการขาดวิตามินซี
🙂วันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องโรคขาดวิตามินซีกันนะครับ สำหรับภาวะขาดวิตามินซีนี่เราอาจจะเคยได้ยินกันมาบ้างแล้วที่เราเรียกกันว่าโรคลักปิดลักเปิด ซึ่งเราจะคุ้นกับการที่โรคนี้ทำให้เหงือกบวมมีเลือดออกตามไรฟัน หรือทำให้เลือดออกง่าย แต่จริงแล้วเด็กขาดวิตามินซีก็ยังมีอาการอื่นๆได้อีกหลายอย่างที่เกิดจากการขาดวิตามินซีทั้งเบื่ออาหาร อ่อนเพลีย กระสับกระส่าย ร้องกวนตลอดเวลา ซีด ซึม ถ่ายเหลวเป็นครั้งคราว น้ำหนักตัวไม่ขึ้น ติดเชื้อได้ง่าย
😃สำหรับหมอกระดูกเด็กเราจะได้เจอกับเด็กขาดวิตามินซีอยู่บ้างครับส่วนใหญ่อาการที่จะมาหาหมอกระดูกคือ ปวดขาไม่ยอมเดินทั้งๆที่ไม่ได้บาดเจ็บอะไร สาเหตุเกิดจากมีเลือดออกในกระดูกครับ พอไป x ray ดูก็พบว่ามีลักษณะของโรคขาดวิตามินซีให้เห็นคือกระดูกบาง มีลักษณะของเลือดออกที่ใต้เยื่อหุ้มกระดูกให้เห็น(แบบในรูป) แต่ปัญหาคือบางรายก็มีอาการน้อยและ x ray ไม่ค่อยเห็นทำให้วินิจฉัยได้ยาก แต่มีสิ่งหนึ่งที่เจอบ่อยๆในเด็กกลุ่มนี้เลยคือมักจะยังติดขวดนมครับ ก็เคยคุยกับหมอเด็กหลายท่านอยู่ครับว่าทำไมเด็กติดขวดนมแล้วถึงขาดวิตามินซี ก็ได้ความว่าในเด็กโตแล้วที่ยังติดขวดนมมักจะใช้เวลากินนมแต่ละครั้งค่อนข้างนานและกินนมตลอดทั้งวัน ทำให้เด็กอิ่มตลอดเวลาและไม่ค่อยกินอาหารอย่างอื่น และในนมกล่องที่กินโดยเฉพาะนม UHT จะมีวิตามินซีที่ต่ำดังนั้นเวลาเด็กกินแต่นมอย่างเดียวจึงทำให้ขาดวิตามินซีครับ สำหรับการรักษาโดยปรกติเราจะให้วิตามินซีทดแทนเข้าไปและผู้ป่วยจะมีอาการดีขึ้นอย่างรวดเร็วเลยครับ แต่สิ่งที่สำคัญคือการกลับไปปรับลักษณะนิสัยการกินด้วยนี่ล่ะครับ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก นพ. ปวริศร สุขวนิช FB เพจ กระดูกเด็ก ๆ
ลูกไม่ยอมเดิน เพราะปวดขา จาก โรคขาดวิตามินซี
ลูกไม่ยอมเดิน เพราะปวดขา จาก โรคขาดวิตามินซี

วิธีรักษา โรคขาดวิตามินซี

หากเด็กเป็นโรคขาดวิตามินซี เด็กควรได้รับการให้ยาเพื่อเพิ่มวิตามินให้กับร่างกาย วันละ 300 มิลลิกรัม ก็จะทำให้มีอาการดีขึ้นในเวลา 1-2 อาทิตย์ แต่ที่สำคัญที่สุด ที่จะเป็นการรักษาภาวะขาดวิตามินซีได้ยั่งยืน คือ  การปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร โดยให้รับประทานอาหารให้ถูกต้องตามหลักโภชนาการ โรคขาดวิตามินซีเป็นโรคที่สามารถป้องกันได้เพียงพ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดูให้ความสำคัญกับอาหารของเด็ก ปรับพฤติกรรมการกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นผักสด ผลไม้สด เป็นประจำก็จะทำให้เด็กมีสุขภาพแข็งแรงห่างไกลจากโรคขาดวิตามินซี อีกทั้งยังรวมถึงโรคอื่นๆ ด้วย

กินวิตามินซี กินไหร่ถึงพอดี!!!

วิตามินซีแม้ว่าจะมีประโยชน์แต่การรับประทานมากเกินไปก็ทำให้เป็นโทษต่อร่างกายได้เช่นกัน โดยเฉพาะผู้ที่รับประทานวิตามินซีเสริม นอกเหนือจากการรับประทานวิตามินซีจากอาหาร ผักผลไม้ ทำให้ต้องระวังถึงปริมาณของวิตามินซีที่รับประทานเพิ่มเข้าไปว่ามีมากเกินความจำเป็นหรือไม่ โดยปริมาณวิตามินซีที่เด็กควรได้รับต้องไม่เกินปริมาณดังต่อไปนี้

  • เด็กอายุ 1-3 ปี รับประทานได้ไม่เกิน 400 mg ต่อวัน
  • อายุ 4-8 ปี รับประทานได้ไม่เกิน 650 mg ต่อวัน
  • อายุ 9-13 ปี รับประทานได้ไม่เกิน 1,200 mg ต่อวัน
  • เมื่อเด็กอายุ 14-18 ปี รับประทานได้ไม่เกิน 1,800 mg ต่อวัน
  • ผู้ใหญ่อายุมากกว่า 18 ขึ้นไป รับประทานได้ไม่เกิน 2,000 mg ต่อวัน

    เด็กไทยขาดวิตามินซี เพราะติดนม นมกล่อง
    เด็กไทยขาดวิตามินซี เพราะติดนม นมกล่อง

อาการหากร่างกายได้รับปริมาณวิตามินซีเกิน มีดังต่อไปนี้

  • ปวดเกร็งท้อง ถ่ายเหลว คลื่นไส้อาเจียน
  • หลอดอาหารอักเสบ แสบแน่นอก
  • อ่อนเพลีย หน้าแดง ปวดศีรษะ นอนไม่หลับ
  • เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดนิ่วที่ไต และทางเดินปัสสาวะ
  • วิตามินซีเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็ก ดังนั้นผู้ที่มีภาวะธาตุเหล็กเกิน ควรหลีกเลี่ยง เช่น ผู้ป่วยธาลัสซีเมีย
  • การอมวิตามินซีเป็นขนม ทำให้ฟันผุ เนื่องจากมีน้ำตาลมาก และมีความเป็นกรดสูง

การรับประทานอาหารให้ถูกหลักโภชนาการมีความสำคัญต่อการใช้ชีวิต โดยเฉพาะในวัยเด็กซึ่งเป็นวัยที่กำลังเสริมสร้างพัฒนาการ ทั้งในด้านร่างกายและสมอง การได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนจึงเป็นเรื่องที่ต้องใส่ใจอย่างมาก มิเช่นนั้นอาจส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโต และนำไปสู่ความผิดปกติของร่างกายของลูกได้

ข้อมูลอ้างอิงจาก www.matichon.co.th / รศ. ดร. พญ.นลินี จงวิริยะพันธุ์  คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล RAMA CHANNEL

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

รีวิว “4 วิตามินซีเด็ก วิตามินรวม” อีกหนึ่งตัวช่วยที่แม่ควรรู้จัก!

สุขภาพดีด้วยวิตามินซี ช่วยลูกแข็งแรง เรียนเก่ง เล่นสนุก

รู้จัก โรคกระดูกอ่อน ในเด็กพร้อมสาเหตุและวิธีป้องกัน

เคล็ดลับ! บำรุงสมอง ลูกน้อย ด้วยการกินที่ถูกต้อง ตั้งแต่แรกเกิด-3 ขวบ

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

เบิกค่าคลอดบุตร

เช็คเงื่อนไข! พ่อลูกอ่อน เบิกค่าคลอดบุตร ประกันสังคมได้

Alternative Textaccount_circle
event
เบิกค่าคลอดบุตร
เบิกค่าคลอดบุตร

เช็คเงื่อนไข! พ่อลูกอ่อน เบิกค่าคลอดบุตร ประกันสังคมได้

ในช่วงเวลาวิกฤติเศรษฐกิจอย่างนี้ หากคุณพ่อคุณแม่ มีสิทธิที่ช่วยลดค่าใช้จ่ายได้ ก็นับเป็นเรื่องที่ดีของครอบครัวนะคคะ ครั้งนี้เป็นสิทธิของคุณพ่อมือใหม่ที่เป็นผู้ประกันตนของประกันสังคมในมาตรา 33 และ 39 ที่สามารถ เบิกค่าคลอดบุตร ได้ค่ะ มีเงื่อนไข และหลักเกณฑ์อย่างไรบ้าง มาติดตามกันค่ะ

เงินประกันสังคมคืออะไร?

เงินประกันสังคม หรือ “เงินสมทบกองทุนประกันสังคม” เป็นเงินที่นายจ้างและลูกจ้างต้องส่งเข้ากองทุนประกันสังคมทุกเดือน โดยรูปแบบการส่งเงินสมทบประกันสังคมในปัจจุบันสามารถแบ่งได้เป็น 3 รูปแบบหลักๆ คือ

ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 และ 39

ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 คือ ลูกจ้างที่มีอายุไม่ต่ำกว่า 15 ปีบริบูรณ์ แต่ไม่เกิน 60 ปีบริบูรณ์ และทำงานอยู่ในสถานประกอบการที่มีลูกจ้าง ตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป

การคำนวณเงินประกันสังคม  คำนวณจากค่าจ้างที่ลูกจ้างได้รับในแต่ละเดือน ขั้นต่ำสุดอยู่ที่ 1,650 บาท และสูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท หรือหากคิดเป็นเงินสมทบรายเดือนจะมีขั้นต่ำที่ต้องจ่ายเดือนละ 83 บาท และสูงสุดเดือนละ 750 บาท

ผู้ประกันตนตามมาตรา 39 คือ ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ที่จ่ายเงินสมทบแล้วไม่น้อยกว่า 12 เดือน และออกจากงานไม่เกิน 6 เดือน นับตั้งแต่วันที่ออกจากงาน รวมถึงต้องไม่เป็นผู้รับประโยชน์ทดแทนกรณีทุพพลภาพจากกองทุนประกันสังคม

สำหรับผู้ประกันตนตามมาตรา 39 จะต้องนำส่งเงินกองทุนเดือนละ 432 บาท โดยต้องส่งเงินสมทบให้ครบทุกเดือนต่อเนื่องกัน ซึ่งหากไม่ส่งเงินสมทบ 3 เดือนติดต่อกัน หรือส่งเงินสมทบไม่ครบ 9 เดือน ภายในระยะเวลา 12 เดือน ก็จะถือว่าสิ้นสุดสภาพผู้ประกันตนตามมาตรานี้

คุณพ่อลูกอ่อน มาตรา 33 และ 39

เบิกค่าคลอดบุตร
เบิกค่าคลอดบุตร
  • เหมาจ่าย 15,000 บาท / ครั้ง
  • ได้รับเงินสงเคราะห์บุตร 800 บาท

ตั้งแต่แรกเกิด – 6 ปีบริบูรณ์ จำนวนคราวละไม่เกิน 3 คน

หลักเกณฑ์ เบิกค่าคลอดบุตร มีดังนี้

  • ภรรยามีบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย
  • เป็นผู้ประกันตนม. 33 และ 39 เท่านั้น
  • ผู้ประกันตนส่งเงินสมทบแล้ว ไม่น้อยกว่า 5 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือน ก่อนภรรยาคลอดบุตร
  • ผู้ประกันตนส่งเงินสมทบแล้ว ไม่น้อยกว่า 12 เดือน ภายในระยะเวลา 36 เดือน ก่อนเดือนที่มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีสงเคราะห์บุตร

ในกรณีที่ทั้งพ่อและแม่เป็นผู้ประกันตนทั้งคู่ จะสามารถเบิกได้แค่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเท่านั้นต่อบุตร 1 คน
หากใช้สิทธิของแม่ที่เป็นผู้ประกันตน จะได้รับสิทธิเพิ่มในส่วนของเงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตรเหมาจ่ายใน อัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้างเฉลี่ยเป็นระยะเวลา 90 วัน โดยใช้สิทธิได้ 2 ครั้ง

 

รับเงินสงเคราะห์บุตร

นอกจากนี้คุณพ่อคุณแม่ที่เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 หรือ มาตรา 39 มีสิทธิขอรับเงินสงเคราะห์บุตรเดือนละ 800 บาทได้ โดยเงินสงเคราะห์บุตรจะอยู่ภายใต้การดำเนินงานของของสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน ทั้งนี้ผู้ปกครองที่สนใจสามารถสมัครรับเงินสงเคราะห์บุตรได้

ช่องทางการสมัครรับเงินสงเคราะห์บุตร

  • สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่
  • สำนักงานประกันสังคมจังหวัดและสาขา ที่สะดวก (ยกเว้นสำนักงานใหญ่ในบริเวณกระทรวงสาธารณสุข)

คุณสมบัติของผู้ปกครองที่สมัครรับเงินสงเคราะห์บุตรได้

  1. ต้องเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 หรือ มาตรา 39
  2. จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 12 เดือน ภายในระยะเวลา 36 เดือน ก่อนเดือนที่มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทน สิทธิที่ท่านจะได้รับเงินสงเคราะห์บุตรเหมาจ่ายเดือนละ 800 บาทต่อบุตรหนึ่งคน
  3. ต้องเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย ยกเว้น บุตรบุญธรรมหรือบุตรซึ่งยกให้เป็นบุตรบุญธรรมของบุคคลอื่น
  4. อายุตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 6 ปีบริบูรณ์ จำนวนคราวละไม่เกิน 3 คน เว้นแต่ผู้ประกันตนเป็นผู้ทุพพลภาพหรือถึงแก่ความตาย ในขณะที่บุตรมีอายุแรกเกิดจนถึง 6 ปีบริบูรณ์ จะมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนต่อจนอายุ 6 ปีบริบูรณ์

 

หลักฐานที่ต้องใช้ในการยื่นคำขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีสงเคราะห์บุตร

1.แบบคำขอรับประโยชน์ทดแทนกองทุนประกันสังคม (สปส. 2-01)

2.กรณีผู้ประกันตนเคยยื่นใช้สิทธิแล้วและประสงค์จะใช้สิทธิสำหรับบุตรคนเดิม ให้ใช้หนังสือขอใช้สิทธิบุตรคนเดิมกรณีกลับเข้าเป็นผู้ประกันตน จำนวน 1 ฉบับ

3.กรณีผู้ประกันตนหญิงใช้สิทธิ

  • สำเนาสูติบัตรบุตร (กรณีคลอดบุตรแฝดให้แนบสำเนาสูติบัตรของคู่แฝดด้วย) จำนวน 1 ชุด

4.กรณีผู้ประกันตนชายใช้สิทธิ

  • สำเนาทะเบียนสมรส หรือสำเนาทะเบียนหย่าพร้อมบันทึกแนบท้ายของผู้ประกันตนหรือสำเนาทะเบียนรับรองบุตร หรือสำเนาคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลให้เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย จำนวน 1 ชุด
  • สำเนาสูติบัตรบุตร (กรณีคลอดบุตรแฝดให้แนบสำเนาสูติบัตรของคู่แฝดด้วยจำนวน 1 ชุด)

5.กรณีเปลี่ยนชื่อ ชื่อสกุลให้แนบสำเนาเอกสารใบเปลี่ยนชื่อ ชื่อสกุลด้วย จำนวน 1 ชุด

เงินสงเคราะห์บุตร
เงินสงเคราะห์บุตร

6.กรณีผู้ประกันตนต่างชาติขอรับประโยชน์ทดแทนให้ใช้สำเนาบัตรประกันสังคมและสำเนาหนังสือเดือนทาง (passport) หรือสำเนาหนังสือเดินทางชั่วคราวหรือเอกสารรับรองบุคคลที่ทางราชการออกให้ จำนวน 1ชุด

7.สำเนาสมุดบัญชีเงินฝากธนาคารประเภทออมทรัพย์หน้าแรกที่มีชื่อและเลขที่บัญชีของผู้ยื่นคำขอ จำนวน 1 ฉบับ ผ่านทางบัญชีธนาคารของผู้ประกันตน ดังนี้

  • ธนาคารกรุงไทย จำกัด(มหาชน)
  • ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด(มหาชน)
  • ธนาคารกรุงเทพ จำกัด(มหาชน)
  • ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)
  • ธนาคารกสิกรไทย จำกัด(มหาชน)
  • ธนาคารทหารไทย จำกัด(มหาชน)
  • ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน)
  • ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย
  • ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย จำกัด(มหาชน)

8.เอกสารประกอบการยื่นคำขอฯ ที่เป็นสำเนาให้รับรองความถูกต้องของสำเนาทุกฉบับ และแสดงเอกสารที่เป็นต้นฉบับเมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ขอตรวจสอบ กรณีเอกสารหลักฐานสำคัญต่อการพิจารณาเป็นภาษาต่างประเทศให้จัดทำคำแปลเป็นภาษาไทยและรับรองความถูกต้องให้ครบถ้วน

ขั้นตอนการขอรับประโยชน์ทดแทน

  1. ผู้ประกันตนต้องกรอกแบบ สปส.2-01 พร้อมลงลายมือชื่อและนำมายื่นที่สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่/สำนักงานประกันสังคมจังหวัดและสาขา หรือยื่นขอรับทางไปรษณีย์โดยมีหลักฐานครบถ้วน (กรณีผู้ประกันตนยื่นคำขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีสงเคราะห์บุตรสำหรับบุตร 3 คน ในคราวเดียวกันสามารถใช้แบบคำขอฯ ชุดเดียวกันได้)
  2. เจ้าหน้าที่ตรวจหลักฐานและพิจารณาอนุมัติ
  3. สำนักงานประกันสังคมมีหนังสือแจ้งผลการพิจารณา
  4. พิจารณาสั่งจ่าย จ่ายเป็นรายเดือนโดยโอนเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารประเภทออมทรัพย์ของผู้ขอรับประโยชน์ทดแทน

ผู้ประกันจะไม่มีสิทธิหรือหมดสิทธิในการรับเงินสงเคราะห์บุตร มีดังต่อไปนี้ 

  • เมื่อบุตรมีอายุครบ 6 ปีบริบูรณ์
  • บุตรเสียชีวิต
  • ยกบุตรให้เป็นบุตรบุญธรรมของคนอื่น
  • ความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง

 

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประกันสังคมได้ที่ www.sso.go.th หรือโทรสายด่วน 1506 ให้บริการทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง

 

ขอบคุณข้อมูลจาก

ฐานเศรษฐกิจ

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก 

เช็กสิทธิใน แอปเป๋าตัง ตรวจคัดกรอง รับบริการอะไรได้บ้าง

ไทยมี ผ่าตัดฝังประสาทหูเทียม เหมือนที่ชัชชาติพาลูกรักษา

แม่ๆเตรียมเฮ คัดกรองมะเร็งปากมดลูก สปสช.ดูแลทุกสิทธิ์

CPR คือ อะไร

CPR คือ อะไร? เรียนรู้ไว้ กู้ภัยให้ลูกรักปลอดภัยเมื่อสำลัก

Alternative Textaccount_circle
event
CPR คือ อะไร
CPR คือ อะไร

CPR คือ Cardio Pulmonary Resuscitation การช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน เป็นการช่วยผู้ที่กำลังจะหยุดหายใจ หรือหัวใจกำลังจะหยุดเต้น ให้ปอดและหัวใจฟื้นคืนชีพขึ้นมา

CPR คือ อะไร? เรียนรู้ไว้ กู้ภัยให้ลูกรักปลอดภัยเมื่อสำลัก

ทีมกองบรรณาธิการ ABK ขอรีวิว!! วันนี้ได้มีโอกาสไปเดินงาน Amarin Baby & Kids Fair ครั้งที่ 21 Presented By Lazada มา และได้ฟังงานเสวนาเรื่อง ภารกิจพิชิตหัวใจ กู้ภัยลูกรักและคนที่รักในครอบครัวให้ปลอดภัยจากการหมดสติ โดยทีมผู้เชี่ยวชาญจากมูลนิธิหัวใจแห่งประเทศในพระบรมราชูปถัมภ์ โครงการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน (CPR) เป็นงานเสวนาที่มีประโยชน์และได้ความรู้มาก ๆ เลยค่ะ หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด เราสามารถช่วยเหลือลูก และคนในครอบครัวที่เรารักได้ จึงขอนำความรู้ที่ได้มาแชร์ให้แม่ ๆ ได้อ่านกันค่ะ

Workshop CPR ภารกิจพิชิตหัวใจ กู้ภัยลูกรัก
Workshop CPR ภารกิจพิชิตหัวใจ กู้ภัยลูกรัก 

CPR คือ อะไร? เรียนรู้ไว้ กู้ภัยให้ลูกรักปลอดภัยเมื่อสำลัก

อุบัติเหตุเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิด โดยเฉพาะหากเกิดกับลูก หรือคนในครอบครัวที่เรารัก แต่หากเกิดขึ้นแล้ว คุณพ่อคุณแม่ต้องตั้งสติให้ดี เพื่อรับมือกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ได้อย่างรวดเร็ว และถูกต้อง ด้วยวิธีช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานในนานทีฉุกเฉิน เพื่อบรรเทาการเจ็บหนัก ลดอัตราการเสียชีวิตได้อย่างทันท่วงที

CPR หรือการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน ไม่ใช่เรียนรู้เพื่อที่จะช่วยชีวิตลูก และคนในครอบครัวเท่านั้น หากแต่ยังมีโอกาสช่วยชีวิตผู้อื่น ที่หัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันได้

ขั้นตอนการทำ CPR

  1. นำผู้ที่หมดสติมาอยู่ในที่ ๆ ปลอดภัย จากนั้นตบแรง ๆ ที่ไหล่ หรือเรียกดัง ๆ ดูว่ามีสติ หรือมีการตอบสนองหรือไม่
  2. โทรขอความช่วยเหลือที่สายด่วน 1669 โดยบอกรายละเอียดผู้ป่วย จำนวนผู้ป่วย สถานที่เกิดเหตุ และเบอร์โทรติดต่อกลับ หรือเปิดลำโพงโทรศัพท์ เพื่อทำตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่
  3. นำผู้ป่วยให้นอนหงายอยู่บนพื้นราบแข็ง จัดแขนให้อยู่ข้างลำตัว ไม่บิดไปมา
  4. หาตำแหน่งวางมือบนหน้าอก ถ้าผู้ป่วยหมดสติ ไม่ตอบสนอง ไม่มีสัญญาณชีพ ให้วางส้นมือข้างที่ถนัดไว้ที่ครึ่งล่างของกระดูกหน้าอก แล้วนำมืออีกข้างหนึ่งวางประกบด้านบน ล็อคนิ้วด้านบน และกระดกปลายนิ้วมือด้านล่างขึ้น โน้มตัวไปข้างหน้า ให้แขนตั้งฉากกับผู้ป่วย จะทำให้ส้นมือเป็นจุดที่สัมผัสกับตัวผู้ป่วยเพียงจุดเดียว ไม่วางมือลงไปบริเวณแผ่นอกทั้งหมด เพราะจะทำให้เกิดการบาดเจ็บที่ซี่โครงด้านซ้ายได้ ในการกดหน้าอก ให้ยกสะโพกขึ้น โน้มตัวไปด้านหน้า ให้แขนตรง ตึง จากนั้นทำการกดหน้าอกทันที แต่ระวังอย่ากดโดนกระดูกซี่โครง เพราะอาจหักได้
  5. กดหน้าอก 30 ครั้ง โดยมีเป้าหมายให้ระบบไหลเวียนเลือดยังทำงาน ถึงแม้ว่าหัวใจจะหยุดเต้นก็ตาม โดยกดให้ยุบลงอย่างน้อย 2 นิ้ว จากนั้นกดแล้วปล่อย กดแล้วปล่อย คือให้หน้าอกยกตัวขึ้นมาให้สุด แล้วจึงทำการกดครั้งต่อไป ทำติดต่อกัน 30 ครั้ง ให้ได้ความถี่ 100 – 120 ครั้ง/นาที โดยนับ 1 และ 2 และ 3 ไปจนถึง 30 และเป่าปาก 2 ครั้ง เป็น 1 รอบ โดยการเป่าปาก ให้ใช้สันมือกดที่หน้าผาก และ 2 นิ้วอีกข้างเชยคาง เพื่อเปิดทางเดินหายใจ ขณะทำการเป่า ประกบปากให้สนิท ใช้ 2 นิ้วบีบจมูก แล้วเป่า สังเกตให้หน้าอกของผู้ป่วยยกขึ้น ทำทั้งหมด 5 รอบ ประมาณ 2 นาที
  6. เปิดทางเดินหายใจให้โล่ง ด้วยการกดหน้าผากลงเบา ๆ แล้วเชยคางขึ้น
  7. กดหน้าอก 200 ครั้ง โดยทำอย่างต่อเนื่องประมาณ 2 นาที พร้อมประเมินอาการของผู้ป่วย ด้วยการตบไหล่ และเรียกเสียงดัง ๆ ถ้าไม่มีคนช่วย ให้พักได้ไม่เกิน 10 วินาที จากนั้นให้ทำการกดหน้าอกต่อ จนกว่าผู้ป่วยจะมีความเคลื่อนไหว หรือไอ หรือมีผู้นำเครื่องช็อคหัวใจไฟฟ้าอัตโนมัติ หรือ AED มา
  8. อีกหนึ่งตัวช่วยสำคัญในการทำการกู้ชีพขั้นพื้นฐาน คือ เครื่อง AED หรือเครื่องช็อคไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ เครื่องสามารถวินิจฉัยจังหวะของการเต้นของหัวใจ และให้การรักษาด้วยการช็อคไฟฟ้า เพื่อให้หัวใจกลับมาเต้นได้อีกครั้ง ใครที่ได้รับการฝึกก็สามารถใช้เครื่องนี้ได้ ระบบอิเลคทรอนิกส์ในเครื่อง จะออกคำสั่งให้เราเป็นผู้ปฎิบัติตาม เริ่มแรกผู้ทำการช่วยเหลือจะต้องกดปุ่มเปิดเครื่อง AED แล้วดึงแผ่นนำไฟฟ้า ติดตามรูปที่แสดง แผ่นแรกจะต้องนำไปติดที่หน้าอกตอนบน ใต้กระดูกไหปลาร้าด้านขวา และแผ่นที่ 2 จะต้องติดที่ใต้ราวนมซ้าย ด้านข้างลำตัว และที่สำคัญคือ จะต้องติดให้แนบสนิทกับหน้าอกของผู้ป่วย จากนั้น เครื่อง AED จะทำการวิเคราะห์จังหวะการเต้นของหัวใจ ซึ่งขณะนี้ ห้ามผู้ที่ช่วยเหลือสัมผัสตัวของผู้ป่วยเด็ดขาด เมื่อเครื่องวินิจฉัยเสร็จแล้ว จะขึ้นสัญญาณให้ทำการช็อคไฟฟ้า ให้ผู้ช่วยเหลือพูดดัง ๆ ว่า ชั้นถอย คุณถอย ทุกคนถอย แล้วกดปุ่มช็อค ตามสัญญาณที่ปรากฎอยู่บนตัวเครื่อง และสลับกับการทำ CPR แต่ถ้าเครื่อง AED ไม่สั่งให้ช็อค ให้เราทำ CPR อย่างต่อเนื่อง จนกว่าเจ้าหน้าที่กู้ชีพจะมาถึง โดยการช่วยเหลือควรทำให้เร็วที่สุด จะช่วยเพิ่มโอกาสการรอดชีวิตของผู้ป่วยฉุกเฉินได้มากขึ้น

วิธีการช่วยชีวิตกรณีเด็กเล็ก อายุต่ำกว่า 1 ปี สำลักนม อาหารติดคอ หมดสติ

จับบริเวณกรามเด็ก
จับบริเวณกรามเด็ก 
  1. หาที่นั่ง หรือนั่งคุกเข่า ใช้มือจับอยู่ที่บริเวณกรามของเด็ก เพื่อป้องกันไม่ให้กดที่คอเด็ก จับเด็กนอนคว่ำหน้าลงวางบนแขน วางแขนที่หน้าขาด้านเดียวกัน พร้อมทั้งเหยียดขาออกไป ให้ศีรษะเด็กอยู่ต่ำกว่าลำตัว ใช้แขนและลำตัวของเราหนีบขาเด็ก ใช้ 2 นิ้วดันคางเด็ก เพื่อเปิดทางเดินหายใจ
  2. ใช้สันมืออีกข้างนึง ทุบที่บริเวณระหว่างสะบักทั้ง 2 ข้าง ทุบพอประมาณ 5 ครั้ง
  3. สังเกตที่พื้นว่ามีอะไรออกมาหรือไม่ หรือเด็กเริ่มร้องหรือยัง ถ้ามีเสียงร้องแสดงว่าทางเดินหายใจเริ่มเปิดแล้ว
  4. ใช้มือข้างที่ทุบหลัง พลิกตัวเด็กให้นอนหงาย เปิดปากดูว่าเห็นสิ่งที่อุดกั้นทางเดินหายใจหรือเปล่า ถ้ามองเห็นสามารถหยิบออกได้ แต่ถ้าไม่เห็น ไม่ควรล้วง หรือควานหา เพราะสิ่งที่อุดกั้นอาจจะลงไปลึกกว่าเดิม
  5. ให้เด็กนอนศีรษะอยู่ต่ำกว่าลำตัว ใช้ 2 นิ้ว นิ้วชี้และนิ้วกลาง กดที่กระดูกหน้าอก ตรงกึ่งกลางระหว่างราวนมทั้ง 2 ข้าง จำนวน 5 ครั้ง ระหว่างนี้ สังเกตอีกครั้งว่า มีสิ่งใดตกมาที่พื้น หรือมีเสียงร้องหรือยัง สังเกตในปากว่าเห็นสิ่งใดหรือยัง ถ้าไม่เห็นก็ ห้ามล้วง ห้ามควัก ห้ามควาน
  6. ถ้าเด็กยังไม่ตอบสนอง ให้ทำซ้ำสลับไปมาระหว่างการทุบหลัง 5 ครั้ง และการใช้ 2 นิ้วกดที่หน้าอก จนกว่าจะมีทีมช่วยเหลือมา หรือเด็กมีอาการดีขึ้น คือเริ่มร้องได้ เริ่มหายใจเองได้ จึงหยุดทำ

วิธีการช่วยชีวิตเด็ก หรือผู้ใหญ่ อาหารติดคอ หมดสติ

หาจุดวางกำปั้น
หาจุดวางกำปั้น นิ้วกลางอยู่ที่สะดือ นิ้วโป้งอยู่ใต้ลิ้นปี่ กำมือบริเวณนิ้วชี้

 

รัด กระตุก
รัด กระตุก
  1. หากผู้ป่วยเอามือกุมที่คอ เมื่อสอบถามผู้ป่วยว่ามีอาหารติดคอใช่หรือไม่ ผู้ป่วยพยักหน้า ไม่สามารถพูดได้ นั่นแสดงว่ามีอาหารติดคอ ต้องรีบให้การช่วยเหลือ
  2. เข้าไปที่ด้านหลังของผู้ป่วย หากเป็นเด็กให้คุกเข่า โอบแขนทั้ง 2 ข้างไว้ใต้รักแร้ กำมือไว้ แล้ววางบริเวณเหนือสะดือใต้ลิ้นปี่ มืออีกข้างจับมือที่กำหมัดไว้
  3. รัดกระตุก แรง ๆ เร็ว ๆ ขึ้นไปข้างบน ลักษณะคล้ายจะยกผู้ป่วยขึ้น
  4. ทำซ้ำหลาย ๆ ครั้ง จะกว่าอาหารจะหลุดออกมา หรือจนกว่าผู้ป่วยจะหมดสติ

การไปร่วมฟังงานเสวนาของ ทีมกองบรรณาธิการ ABK ในวันนี้ ได้รับความรู้เป็นอย่างมาก การเรียนรู้วิธี CPR คือ สิ่งที่เป็นประโยชน์มาก ๆ คุณพ่อคุณแม่ควรเรียนรู้ไว้ เผื่อวันนึงอาจสามารถช่วยชีวิตคนสำคัญของเราได้นะคะ

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

อย่าล้วงคอลูก!หาก สำลักอาหาร อาจอันตรายถึงชีวิตได้

ลูก สำลัก เรื่องเล็กที่คร่าชีวิตได้ พ่อแม่ต้องรู้วิธีช่วย

วิธีทำ CPR ที่ถูกต้อง ช่วยชีวิตได้ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่

ชี้เป้า! ตารางกิจกรรมสุดสนุก งาน Amarin Baby & Kids Fair ครั้งที่ 21 “ลูกเรียนรู้เพลิน…แม่เดินช้อปฟิน”

ขอบคุณข้อมูลจาก : ทีมผู้เชี่ยวชาญจากมูลนิธิหัวใจแห่งประเทศในพระบรมราชูปถัมภ์ โครงการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน (CPR)

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

Amarin Baby & Kids

วิธีช่วยเหลือ+ป้องกัน เมื่อเด็กจมน้ำ

ผู้เชี่ยวชาญแชร์!! วิธีช่วยเหลือ+ป้องกัน เมื่อ “เด็กจมน้ำ”

Alternative Textaccount_circle
event
วิธีช่วยเหลือ+ป้องกัน เมื่อเด็กจมน้ำ
วิธีช่วยเหลือ+ป้องกัน เมื่อเด็กจมน้ำ

เด็กจมน้ำ จะมีวิธีป้องกันและให้เด็กสามารถช่วยเหลือตัวเองได้อย่างไร และหากพบเห็นเหตุการณ์เข้า จะช่วยเหลือเด็กได้อย่างไร วิธีไหนจึงช่วยให้เด็กปลอดภัยได้

ผู้เชี่ยวชาญแชร์!! วิธีช่วยเหลือ+ป้องกัน เมื่อ “เด็กจมน้ำ”

ทีมกองบรรณาธิการ ABK ขอรีวิว!! วันนี้ได้มีโอกาสไปเดินงาน Amarin Baby & Kids Fair ครั้งที่ 21 Presented By Lazada มา และได้ฟังงานเสวนาเรื่อง วิธีป้องกันและช่วยเหลือเบื้องต้น เมื่อลูกจมน้ำ โดย คุณครูซู ผู้เชี่ยวชาญ ด้านการสอนว่ายน้ำทารกและเด็กเล็ก จบหลักสูตรนานาชาติจากประเทศออสเตรเลีย เฮดโค้ช Academic  จากโรงเรียนสอนว่ายน้ำทารกและเด็กเล็ก swimming kids Thailand เป็นงานเสวนาที่ทำให้ผู้ปกครองได้รับความรู้ในการช่วย เด็กจมน้ำ ซึ่งเป็นประโยชน์มาก ๆ จึงอยากนำความรู้จากคุณครูซูมาแชร์ให้แม่ ๆ ได้อ่านกันค่ะ

วิธีป้องกันและช่วยเหลือเบื้องต้น เมื่อลูกจมน้ำ โดยคุณครูซู
วิธีป้องกันและช่วยเหลือเบื้องต้น เมื่อลูกจมน้ำ โดยคุณครูซู

ผู้เชี่ยวชาญแชร์!! วิธีช่วยเหลือ+ป้องกัน เมื่อ “เด็กจมน้ำ”

หากพบ เด็กจมน้ำ ควรทำการช่วยเหลือดังนี้

  1. ประเมินสถาณการณ์ว่าตนเองสามารถช่วยเหลือได้มากน้อยแค่ไหน อีกทั้งยังต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของเด็กและตนเองอีกด้วย
  2. โทรศัพท์แจ้งทีมแพทย์กู้ชีพที่หมายเลข 1669 หรือหน่วยพยาบาลใกล้เคียงโดยเร็วที่สุด
  3. เมื่อช่วยเหลือเด็กขึ้นจากน้ำได้แล้ว นำเด็กนอนบนพื้นราบ แห้ง และแข็ง อย่านำเด็กอุ้มพาดบ่า และกระแทก เพื่อหวังให้น้ำออกมา วิธีนี้อาจทำให้เด็กอาเจียน หรือสำลักน้ำ ทำให้เด็กขาดอากาศหายใจนานยิ่งขึ้น
  4. ตรวจดูว่าเด็กรู้สึกตัวหรือไม่
  5. หากรู้สึกตัว ให้เช็ดตัวให้แห้ง นำผ้ามาห่มให้ร่างกายอบอุ่น แล้วนำเด็กส่งโรงพยาบาล
  6. หากไม่รู้สึกตัว ให้ช่วยหายใจโดยการเป่าปาก 2 ครั้ง และกดหน้าอก 30 ครั้ง โดยกดให้ยุบประมาณ 1 ใน 3 ของความหนาของหน้าอก ความเร็วอย่างน้อย 100 ครั้งต่อนาที ทำสลับกันไปจนกว่าเด็กจะรู้สึกตัวและหายใจได้เอง แล้วรีบนำส่งโรงพยาบาลทันที

จากข้อมูลในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (2555-2564) มีเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี จมน้ำเสียชีวิต 7,374 ราย เฉลี่ยปีละ 737 ราย หรือวันละ 2 ราย และจากข้อมูลเบื้องต้นของกองยุทธศาสตร์และแผนงาน สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขพบว่า ในปี 2564 เพียงปีเดียว มีเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี จมน้ำเสียชีวิต ถึง 219 ราย คิดเป็นร้อยละ 33.3 ของการจมน้ำเสียชีวิตในกลุ่มเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี และเป็นกลุ่มเด็กที่มีอัตราการเสียชีวิตจากการจมน้ำต่อประชากรเด็กแสนคนสูงที่สุด เท่ากับร้อยละ 6.9 และจากข้อมูลระบบรายงานผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากการตกน้ำ จมน้ำ ของกองป้องกันการบาดเจ็บ

จากข้อมูลอ้างอิงของกระทรวงสาธารณสุข ระหว่างปี 2549 – 2558 สาเหตุการเสียชีวิตของเด็กและเยาวชนไทยอันดับหนึ่งคือ การจมน้ำ

อุบัติเหตุทางน้ำ เหตุการณ์ไม่คาดฝันที่คุณพ่อคุณแม่ไม่อยากให้เกิด มาป้องกันด้วยการให้ลูก เรียนว่ายน้ำกันค่ะ

โรงเรียนสอนว่ายน้ำสวิมมิ่งคิดส์ ได้ก่อตั้งขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาการร่วมเสริมสร้างพัฒนาการให้สมวัยและป้องกันการสูญเสีย ทางผู้บริหารจึงได้เริ่มค้นคว้าหาข้อมูลและงานวิจัยหลักสูตรการสอนว่ายน้ำทั้งหมดของประเทศออสเตรเลีย เพื่อปรับปรุงให้เข้าเด็กไทยมากที่สุด

เป้าหมายในการก่อตั้งโรงเรียนสอนว่ายน้ำ คือ เพื่อเป็นส่วนนึงในการ ลดการสูญเสียจาก อุบัติเหตุทางน้ำ ของเด็กไทย เป็นหลัก

เด็กสามารถเริ่มเรียนว่ายน้ำได้ตั้งแต่อายุ 4 เดือนเป็นต้นไป ซึ่งทางโรงเรียนมีสอนทั้งหมด 4 หลักสูตร เริ่มตั้งแต่ 4 เดือน หรือคอแข็งตั้งได้ สอนพัฒนาต่อเนื่องจนถึง 12 ปี โดยโรงเรียนได้จัดแบ่งกลุ่มน้องตามช่วงอายุและพัฒนาการไว้อย่างเหมาะสม สำหรับเรื่องการสอนเด็กที่มาเรียนเริ่มต้น  แต่ละช่วงอายุ คุณครูจะสอนเรื่องการคุ้นชินกับน้ำ เรื่องของความปลอดภัยสำหรับการเรียนว่ายน้ำ การเล่นน้ำเมื่ออยู่ตามแหล่งน้ำ และสอนทักษะเกี่ยวกับการเอาตัวรอดในน้ำขั้นพื้นฐานถึงแอดวานซ์ เมื่อน้อง ๆ ได้รับการฝึกอย่างต่อเนื่องและชำนาญ

ในการเรียนว่ายน้ำนั้น หากจะให้ได้พัฒนาการที่ดีและต่อเนื่องอย่างที่คุณครูซูแนะนำ ควรจะให้ลูกเริ่มเรียนตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็ก คือ ตั้งแต่ 4 เดือนนั่นเอง เพราะยิ่งเริ่มเร็ว เด็กจะไม่ลืมสัญชาติญาณตั้งแต่อยู่ในครรภ์ของคุณแม่

ในระยะนี้เรามักจะได้ยินข่าวเกี่ยวกับ อุบัติเหตุทางน้ำ ที่เกิดกับเด็ก ๆ บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นบริเวณแหล่งน้ำธรรมชาติ หรือสระว่ายน้ำ เพราะเด็กกับน้ำเป็นของคู่กัน เด็ก ๆ มักชอบเล่นน้ำ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จึงต้องดูแลลูกอย่างใกล้ชิดไม่ให้คลาดสายตา ไม่ควรปล่อยลูกให้เล่นน้ำตามลำพัง แม้แต่อ่างอาบน้ำในบ้าน บางครั้งคุณพ่อคุณแม่ เพลอไปทำธุระเพียงแป๊บเดียว ก็สามารถเกิดอุบัติเหตุไม่คาดฝันขึ้นได้ โดยเฉพาะเด็กที่ไม่มีทักษะ หรือไม่ได้มีการฝึกอย่างถูกต้อง อาจจะทำให้เกิดอาการสำลักน้ำอย่างรุนแรงในระยะเวลาสั้น ๆ ไม่เกิน 5 วินาที ก็อาจจะเกิดอันตรายกับเด็กได้

สำหรับวิธีการแก้ปัญหา อุบัติเหตุทางน้ำ ขอแนะนำว่า เด็ก ๆ ทุกคนควรได้รับการฝึก และการเรียนว่ายน้ำถูกวิธีอย่างถูกวิธี เช่น

  • สำหรับเคสเด็กเล็กๆ น้องๆหลักเดือนที่อาบน้ำในอ่าง แล้วเผลอเรอลื่นตัวไหลจมลงในน้ำ เด็ก ๆ จะมีทักษะในการกลั้นหายใจได้ ทำให้เด็ก ๆ ไม่สำลักน้ำ
  • กรณีที่ หากเป็นอุบัติเหตุที่เกิดจากแหล่งน้ำ หรือสระว่ายน้ำ หากเป็นเด็กที่ได้รับการฝึกแล้วจะสามารถกลั้นหายใจ ดำน้ำ แล้วควบคุมตัวเอง พาตัวเองไปยังจุดที่ปลอดภัยได้ในระยะเวลาสั้น ๆ
ช่วย เด็กจมน้ำ โดยใช้ 2 นิ้วกดที่กลางหน้าอกเด็ก
ช่วย เด็กจมน้ำ โดยใช้ 2 นิ้วกดที่กลางหน้าอกเด็ก

ทั้งนี้คุณพ่อคุณแม่ควรฝึกการทำ CPR ในเด็กเล็ก เผื่อวันหนึ่งเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ลูกจมน้ำ ขึ้นมา จะได้ช่วยเหลือลูกได้อย่างทันท่วงที

การทำ CPR เด็กเล็กมีดังนี้

  1. รีบช่วยเด็กขึ้นจากน้ำ ให้เด็กนอนหงายราบบนพื้นแข็ง เปิดลมหายใจให้เด็กได้หายใจสะดวก ตรวจเช็คในปาก โดยเอามือคว้านว่ามีอะไรขวางอยู่ไหม ตรวจดูว่าเด็กมีสติอยู่ไหม โดยตบบริเวณอุ้งเท้า หรือตบที่บ่า แล้วเรียกชื่อเด็กดัง ๆ ในกรณีที่รู้ชื่อ หากยังไม่มีการตอบสนอง ให้เช็คชีพจร หากไม่พบ รีบให้ผู้อื่นโทรแจ้ง 1669 แจ้งมีเด็กจมน้ำหมดสติ เช็คชีพจรไม่เจอ ขอเครื่อง AED สำหรับเด็กด่วน ห้ามวางสายเด็ดขาด เมื่อบอกให้ผู้อื่นโทรแจ้ง 1669 แล้ว ลงมือทำ CPR ทันที อย่ารอ
  2. ในกรณีที่เป็นเด็ก หากอยู่คนเดียว ให้ช่วยเด็กก่อน เพราะการที่เด็กหมดสติมักเกิดจากทางเดินหายใจอุดตัน ในกรณีที่จมน้ำ ให้เริ่มจากการเป่าปาก 2 ครั้งก่อน(หากไม่ใช่กรณีจมน้ำ ให้ทำการกดหน้าอกก่อน เป่าปาก) ในกรณีเป็นเด็กเล็ก ๆ ให้ใช้ 2 นิ้ว กดลงบริเวณกลางอก กดลึก 1 – 1.5 นิ้ว หากเป็นเด็กโต ประมาณ 5 ปีขึ้นไป ใช้สันมือกดหน้าอก ทำการกดหน้าอก 15 ครั้ง ทำสลับกันไปเป็นเซตแบบนี้ 10 ครั้ง แล้วดูปฎิกิริยาตอบสนอง หากยังไม่มีการตอบสนอง ทำอีก 10 เซต แล้วดูปฎิกิริยาตอบสนอง ทำจนกว่าเด็กจะได้สติ หากเด็กได้สติ ให้จับนอนตะแคง เพื่อรอเจ้าหน้าที่
  3. ใช้เครื่องช็อกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ (AED) หากมีเครื่องเออีดี ให้เปิดเครื่องทันทีที่เครื่องมาถึง ใช้งานตามคำแนะนำของเครื่องเออีดี จนกว่าทีมกู้ชีพจะมาถึง
  4. ทำตามคำแนะนำของเครื่องเออีดี (AED) กดหน้าอก ทำ CPR อย่างต่อเนื่องจนกว่าทีมกู้ชีพจะมาถึง

ความรู้เรื่อง เด็กจมน้ำ ที่ ทีมกองบรรณาธิการ ABK นำมาฝากจากงาน Amarin Baby & Kids Fair ครั้งที่ 21 Presented By Lazada นี้ คงทำให้คุณพ่อคุณแม่เล็งเห็นถึงความสำคัญของการให้ลูก เรียนว่ายน้ำ เพื่อป้องกันอันตรายจากการที่ ลูกจมน้ำ กันนะคะ

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

เบอร์ ฉุกเฉิน โรงพยาบาลที่คุณพ่อคุณแม่ต้องมี

อุทาหรณ์ เด็กจมน้ำ อุบัติเหตุอันดับต้น ๆ ที่เกิดกับลูกหลาน

คลิป! ช่วย “เด็กจมน้ำ” เตือนใจอย่าปล่อยลูกหลานเล่นน้ำลำพัง

เทคนิคสอนเด็กว่ายน้ำเอาตัวรอด ป้องกันเด็กจมน้ำ

ขอบคุณข้อมูลจาก : คุณครูซู ผู้เชี่ยวชาญ ด้านการสอนว่ายน้ำทารกและเด็กเล็ก จบหลักสูตรนานาชาติจากประเทศออสเตรเลีย เฮดโค้ช Academic  จากโรงเรียนสอนว่ายน้ำทารกและเด็กเล็ก swimming kids Thailand

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

Amarin Baby & Kids

Car Seat เซฟโซนเล็ก ๆ ในรถ

หมอเผย!! วิธีเลือก “Car Seat” อย่างไรให้ลูกน้อยปลอดภัย

Alternative Textaccount_circle
event
Car Seat เซฟโซนเล็ก ๆ ในรถ
Car Seat เซฟโซนเล็ก ๆ ในรถ

Car Seat หรือ คาร์ซีท อุปกรณ์สำคัญสำหรับลูกน้อย เมื่อต้องโดยสารรถยนต์ ช่วยป้องกันเด็กให้ปลอดภัย สามารถลดความรุนแรง และลดการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุได้

หมอเผย!! วิธีเลือก “Car Seat” อย่างไรให้ลูกน้อยปลอดภัย

ทีมกองบรรณาธิการ ABK ขอรีวิว!! วันนี้ได้มีโอกาสไปเดินงาน Amarin Baby & Kids Fair ครั้งที่ 21 Presented By Lazada มา และได้ฟังงานเสวนาเรื่อง Car Seat เซฟโซนเล็ก ๆ ในรถ ช่วยเซฟชีวิตลูกปลอดภัยไปตลอดทาง โดย รศ.นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์  ผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นงานเสวนาที่มีประโยชน์และได้ความรู้กับแม่ ๆ อย่างเรามากเลยค่ะ จึงขอนำความรู้จากคุณหมอมาแชร์ให้แม่ ๆ ได้อ่านกันค่ะ

การเสวนาเรื่อง Car Seat เซฟโซนเล็ก ๆ ในรถ ช่วยเซฟชีวิตลูกปลอดภัยไปตลอดทาง
การเสวนาเรื่อง Car Seat เซฟโซนเล็ก ๆ ในรถ ช่วยเซฟชีวิตลูกปลอดภัยไปตลอดทาง

หมอเผย!! วิธีเลือก “Car Seat” อย่างไรให้ลูกน้อยปลอดภัย

คาร์ซีท คืออะไร

คาร์ซีท คืออุปกรณ์หรือเบาะนั่งสำหรับเด็กในรถยนต์ ที่ทำหน้าที่เหมือนเข็มขัดนิรภัย ช่วยป้องกันไม่ให้เด็กกระเด็นจากเบาะ เมื่อเกิดการเบรค หรือชน

รศ.นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์  ผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล ได้กล่าวถึงสถิติการเกิดอุบัตเหตุบนท้องถนน ที่เกิดขึ้นกับเด็ก ๆ ว่า จากข้อมูลราชวิทยาลัยกุมารแพทย์พบว่า การเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ ทำให้เด็กที่โดยสารเสียชีวิตปีละ 140 ราย ทั้งนี้จากการศึกษาพบว่าที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็กลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตในเด็กทารกและเด็ก 1-4ปี ถึงร้อยละ 69 ถ้าใช้อย่างถูกวิธี และในเด็กอายุมากกว่า 5 ปีได้ร้อยละ 45 และลดความเสี่ยงรุนแรงได้ร้อยละ 50

ผลเสียของการไม่นั่งคาร์ซีท

เด็กที่โดยสารรถยนต์ แล้วไม่ได้นั่ง คาร์ซีท จะมีผลเสียคือ หากเกิดอุบัติเหตุเช่น รถวิ่งมาด้วยความเร็ว 80 ก.ม./ช.ม. แล้วเกิดการชน ความเร็วจะลดเหลือ 0 ทันที ทำให้วัตถุที่อยู่ในรถยนต์จะยังคงเคลื่อนตัวต่อไปด้วยความเร็วเท่าเดิม ดังนั้นหากเด็กนั่งอยู่ในรถแล้วไม่ได้นั่งคาร์ซีท เด็กจะพุ่งไปด้านหน้าด้วยความเร็ว 80 ก.ม./ช.ม. ตัวเด็กจะถูกกระแทกอย่างแรง หรืออาจทะลุกระจกออกไปนอกตัวรถเลยก็เป็นได้ จากสถิติเด็กจะพุ่งทะลุกระจกออกไปนอกตัวรถมากกว่าผู้ใหญ่ การจะช่วยให้ปลอดภัยจากอุบัติเหตุ ต้องหาวิธีที่ทำให้ร่างกายหยุดอยู่กับที่

จึงเกิดการใช้เข็มขัดนิรภัย ซึ่งเป็นอุปกรณ์ภายในรถยนต์ ช่วยลดการบาดเจ็บ ทำให้ร่างกายหยุดอยู่กับที่ เมื่อเกิดอุบัติเหตุ แต่เข็มขัดนิรภัย ใช้ได้กับเด็กที่มีอายุ 9 ปี ขึ้นไปเท่านั้น ดังนั้นคาร์ซีทจึงถูกผลิตขึ้น เพื่อเป็นอุปกรณ์ภายในรถยนต์ ที่ช่วยลดการบาดเจ็บ และเสียชีวิตในเด็ก

ทั้งนี้ การวิจัยพบว่า หากเด็กอายุต่ำกว่า 13 ปี นั่งบริเวณเบาะหน้าของรถยนต์ จะมีความเสี่ยงมากกว่านั่งบริเวณเบาะหลัง ถึง 2 เท่า และการอุ้มเด็กนั่งบนตัก ทำให้เด็กเข้าใกล้ถุงลมนิรภัยเกินไป เวลาเกิดเหตุจะมีพลังงานย้อนกลับ จึงทำให้อันตรายมาก ระยะที่เหมาะสมคือ นั่งห่างจากถุงลมนิรภัย 25 ซ.ม.

ประโยชน์ของการนั่งคาร์ซีท

  • ช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้เด็กระหว่างเดินทาง เมื่อเกิดอุบัติเหตุ ทำให้เด็กหยุดอยู่กับที่ ไม่พุ่งตัวกระแทกโครงรถ หรือทะลุกระจกออกไปด้านนอกตัวรถ ช่วยลดความรุนแรง และลดการบาดเจ็บได้
  • คุณพ่อคุณแม่ต้องตรวจสอบความแน่นหนาของการติดตั้ง คาร์ซีท ให้ดี เนื่องจากการล็อคคาร์ซีทให้ยึดอยู่กับที่ อาศัยเพียงเข็มขัดนิรภัยในรถยนต์เท่านั้น
  • ติดตั้งคาร์ซีทให้เหมาะกับช่วงอายุของเด็ก เพื่อช่วยให้ปลอดภัยมากขึ้น อีกทั้งจะทำให้เด็กนั่งให้สบายมากขึ้น
  • คาร์ซีทมีการออกแบบที่ใส่ใจถึงสรีระของเด็ก เนื่องจากเด็กแต่ละวัยจะมีสรีระที่แตกต่างกันไปตามวัย
  • เบาะของคาร์ซีท ทำจากวัสดุที่อ่อนโยนต่อผิวของทารก ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง

รศ.นพ.อดิศักดิ์กล่าวอีกว่า สำหรับคาร์ซีท หรือที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็ก ใช้ได้ตั้งแต่แรกเกิด นี่เป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ ทั้งนี้ได้มีกฏหมายเกี่ยวกับคาร์ซีท ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 5 ก.ย. 2565 นี้

กฏหมายเกี่ยวกับการนั่งคาร์ซีท

เว็บไซต์ ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ พ.ร.บ.จราจรทางบก (ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2565 เมื่อวันที่ 7 พ.ค. 2565 ได้แก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยจราจรทางบก มาตรา 7 ให้ยกเลิกความในมาตรา 123 แห่ง พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 โดยมีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับเด็กคือ

  • คนโดยสารที่เป็นเด็กอายุไม่เกิน 6 ปี ต้องจัดให้นั่งในที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็ก หรือนั่งในที่นั่งพิเศษสำหรับเด็กเพื่อป้องกันอันตราย หรือมีวิธีการป้องกันอันตรายในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ
  • คนโดยสารที่มีความสูงไม่เกิน 135 เซนติเมตร ต้องรัดร่างกายด้วยเข็มขัดนิรภัยไว้กับที่นั่ง หรือมีวิธีการป้องกันอันตรายในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ ไม่ว่าจะนั่งแถวตอนใด
  • หากฝ่าฝืนมีโทษปรับสูงสุด 2,000 บาท
มอบของที่ระลึกให้ รศ.นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์
มอบของที่ระลึกให้ รศ.นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์

คาร์ซีทมีกี่แบบ ใช้กับช่วงอายุเท่าไหร่

  • Rear-Facing Seat แบบหันหน้าเข้าหาเบาะ เหมาะสำหรับเด็กแรกเกิด – 2 ปี เนื่องจากทารกในวัยนี้กระดูกคอยังไม่แข็งแรง สัดส่วนศีรษะของเด็กจะมีสัดส่วนที่มากกว่าลำตัว น้ำหนักส่วนบนศีรษะเยอะ ทำให้เกิดการสะบัดของคอ เมื่อรถชน และเกิดสะบัดกลับเมื่อความเร็วเป็น 0 ทำให้กระดูกต้นคอส่วนบนหัก ไปกดประสาท ทำให้หยุดหายใจ จึงต้องให้เด็กเล็กนั่งหันหน้าเข้าหาเบาะ การหันหน้าเข้าหาเบาะจะช่วยลดแรงกระแทก คอไม่สะบัด หากเกิดการเบรคแรงๆ หรือเกิดการชนขึ้นได้เป็นอย่างดี
  • Forward-Facing Seat แบบเบาะหันหน้าไปหน้ารถ มีสายรัดตัวเป็นแบบยึดเหนี่ยวร่างกายเด็กไว้ 5 จุด เหมาะสำหรับเด็กอายุ 2 – 5 ปี
  • Booster Seat คาร์ซีทแบบที่นั่งเสริม โดยหันหน้าไปหน้ารถ เหมาะสำหรับเด็กอายุ 5 ปีขึ้นไป โดยนั่งจนกว่าเด็กจะสามารถคาดเข็มขัดนิรภัยได้พอดี

ฝึกลูกนั่งคาร์ซีท

คุณพ่อคุณแม่ไม่น้อยที่เกิดปัญหาลูกไม่ยอมนั่งคาร์ซีท งอแง อยากจะกระโดดมานั่งตรงที่เก็บของข้าง ๆ คุณพ่อคุณแม่ อยากจะชมวิว อาจเกิดจากการให้ลูกนั่งคาร์ซีท เมื่ออายุโตขึ้น หรือประมาณ 2 ปี เพราะวัยนี้เป็นวัยกำลังซน หรือ terrible 2 หากไม่ได้ฝึกให้นั่งมาก่อน ก็จะยากที่จะให้ลูกนั่งอยู่กับที่ได้

มาลองปรับพฤติกรรมกันดูค่ะ เมื่อซื้อคาร์ซีทมา เตรียมการให้ลูกรับรู้ถึงการนั่งคาร์ซีทก่อนจะให้นั่ง ค่อย ๆ บอกให้ลูกรู้ เมื่อลูกนั่ง ก็มีคำชมเชยให้ลูกดีใจ ที่สำคัญคือ ให้คุณแม่ไปนั่งที่เบาะหลังกับลูกด้วย ไม่ติดตั้งคาร์ซีทที่เบาะหน้า เพราะจะเกิดอันตรายถุงลมนิรภัยตามที่ได้กล่าวมาแล้ว หากขับรถไปคนเดียว แล้วต้องให้ลูกนั่งคาร์ซีทที่เบาะหลัง หากลูกร้องลองพูดคุยให้เค้าได้ยินเสียง ว่าคุณพ่อ หรือคุณแม่อยู่ตรงนี้ด้วยนะ หากไม่หยุดร้อง หาที่จอดรถที่ปลอดภัย แล้วไปคุยกับลูก เล่นกับลูกให้หยุดร้อง แล้วจึงขับรถต่อ

อาจนำคาร์ซีทที่เพิ่งซื้อ มาลองเล่นกันก่อนที่บ้าน เช่น เล่นขับรถ เล่นเป็นนักบินอวกาศ ถ่ายรูป เป็นต้น ให้ลูกเคยชินกับคาร์ซีท ก่อนนำไปใช้จริง

การใช้คาร์ซีทควรเริ่มใช้ตั้งแต่แรกเกิด เพื่อความปลอดภัยของเด็ก และทำให้เด็กเคยชินกับการนั่งคาร์ซีท ไม่ต้องมาปรับพฤติกรรมในตอนโต

รศ.นพ.อดิศักดิ์ ได้กล่าวทิ้งทายเตือนคุณพ่อคุณแม่ว่า หากใช้คาร์ซีทติดตั้งไว้ที่เบาะหลัง อย่าลิมลูกไว้ในรถด้านหลัง ซึ่งเรื่องนี้เกิดขึ้นจริงที่สหรัฐอเมริกา และเด็กเสียชีวิต ท่องไว้เสมอว่า ดูก่อนล็อค เพื่อความปลอดภัยของลูกน้อย

เมื่อมีความเข้าใจ และได้เห็นถึงประโยชน์ต่าง ๆ ของ Car Seat ที่ ทีมกองบรรณาธิการ ABK นำมาฝากกันแล้ว คุณพ่อคุณแม่อย่ารอช้า รีบไปหาซื้อมาให้ลูกน้อยใช้ เพื่อความปลอดภัยกันนะคะ

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

ติดตั้งคาร์ซีท ในรถกระบะได้ไหม? ปลอดภัยหรือไม่?

ฝึกลูกนั่งคาร์ซีท ทำอย่างไร? ให้ลูกแฮปปี้..ดี๊ดีตลอดทริป

ลูกน้อยได้รับอันตราย เพราะนั่งคาร์ซีทผิดวิธี

หมอย้ำ 8 ข้อควรรู้ กฎหมายคาร์ซีท “รักลูกอย่ากอด” นั่งคาร์ซีทปลอดภัยกว่า

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : รศ.นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์  ผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

Amarin Baby & Kids

อัมบิลี่ เจนทลี่ เบบี้เจล

เตรียมคลอดกับ อัมบิลี่ เจนทลี่ เบบี้เจล

Alternative Textaccount_circle
event
อัมบิลี่ เจนทลี่ เบบี้เจล
อัมบิลี่ เจนทลี่ เบบี้เจล

อย่าปล่อยให้ปัญหาอาการท้องอืดท้องเฟ้อ ในทารก กลายเป็นสิ่งรบกวน พัฒนาการ และ สุขภาพของลูกน้อย  อาการท้องอืดท้องเฟ้อ ส่วนใหญ่ เป็นปัญหาสุขภาพที่พบตั้งแต่เด็กทารกแรกเกิด และวัยที่มีการทานนมจากขวด อาการท้องอืดในเด็ก มักเกิดจากการกลืนลมเข้าไปมากในขณะกินนม รวมถึงเด็กที่กินนมผสมย่อยยากก็อาจทำให้ท้องอืด  อาการท้องอืดทำให้เด็กร้องไห้ งอแง อารมณ์ไม่ดี ท้องป่อง ท้องแข็ง หายใจไม่สะดวก ตดบ่อยแต่ไม่อึ หลังกินนมอิ่มจะแอ่นท้อง แอ่นตัวเหมือนอึดอัดหน้าแดง

ฝันร้ายของคุณแม่และคุณพ่อ!!! เมื่อลูกน้อยมีอาการท้องอืด งอแง ไม่สบายตัว ไม่นอน ด้วยความห่วงใยจากอัมบิลี่จึงได้มีการพัฒนาและคิดค้นเบบี้เจล ที่มีส่วนผสมของสมุนไพรไทยที่มีคุณสมบัติในการช่วยบรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และขับลมในกระเพาะของเด็กทารก และเทคโนโลยีการผสมผสาน ระหว่างกลิ่นเปปเปอร์มิ้นท์และกลิ่นมหาหิงค์ โดยกลิ่นแรกที่สัมผัสลงบนผิวน้องคือกลิ่นที่คุณแม่ชื่นชอบ เมื่อแห้งจะถอดกลิ่นมหาหิงค์อ่อน ๆ เพื่อให้คงประสิทธิภาพในการบรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ

จากทีมงานวิจัยและค้นคว้า ได้พัฒนาจากกลิ่นมหาหิงค์ที่มีความฉุน จนกลายมาเป็นเนื้อเจลที่มีความหอม เนื้อเจลเข้มข้น ซึมไว ไม่เหนอะหนะ ไม่เลอะติดเสื้อผ้าและคงสรรพคุณอย่างมีประสิทธิภาพ ออกแบบให้ถูกใจถึง 2 สูตร

  1. สีชมพูกลิ่นแป้งเด็ก เหมาะสำหรับเด็กแรกเกิด
  2. สีฟ้ากลิ่นเปปเปอมิ้นท์ สูตรเข้มข้นเหมาะน้องท้องอืด ท้องเฟ้อ

 ตามคอนเซ็ปที่เหมาะสำหรับคุณแม่ ยุคนี้  “ไม่งอแง ใช้ง่าย สบายท้อง”

นวัตกรรมใหม่ ของ อัมบิลี่ การถอดกลิ่นแบบแคปซูล!! รูปแบบเจลที่มีกลิ่นหอมสดชื่นและเมื่อทาที่ท้องจะรู้สึกเย็นสบาย ผิวชุ่มชื้น มีส่วนผสมของแตงกวา อะโลเวร่า และสารสกัดน้ำผึ้ง

ใช้ง่าย….แสนสะดวก ทาบริเวณ ลิ้นปี่ ฝ่ามือ ฝ่าเท้าและตามแนวสันหลัง หลังการอาบน้ำ หรือ จะทาบริเวณลิ้นปี่ รอบท้องเว้นสะดือ ทุกครั้งหลังการทานนมของลูกน้อย

สนใจสามารถสั่งซื้อ ผ่าน

Facebook : Umbili for mom&baby 

Line : @umbili

เบอร์โทร : 083 6364 644

อัมบิลี่ เจนทลี่ เบบี้เจล

keyboard_arrow_up