ลูกชาย

How to เลี้ยง!! “ลูกชาย” แบบลูกผู้ชายตัวจริง!!

สอนลูกชายให้เป็นสุภาพบุรุษ นับเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างหนึ่ง หากคุณพ่อคุณแม่พยายามปลูกฝังลูกตั้งแต่เขายังเล็กๆ คุณก็จะได้ ลูกชาย ที่เป็นคนมีคุณภาพและเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดีในอนาคต

How to เลี้ยง!! “ลูกชาย” แบบลูกผู้ชายตัวจริง!!

สมัยนี้หากพูดถึงความเป็นสุภาพบุรุษในตัวลูกผู้ชาย ถือเป็นเรื่องสำคัญยิ่งที่สังคมในปัจจุบันกำลังถามหา เพราะท่ามกลางยุคสมัยที่ เร่งด่วน อาจทำให้มีความเห็นแก่ตัวเกิดขึ้นมากมาย นำไปสู่ปัญหาที่ขาดความรับผิดชอบต่างๆ ตามมา โดยเฉพาะการไม่ให้เกียรติกันทั้งทางร่างกาย และจิตใจ ซึ่งผู้ชาย จึงตกเป็นจำเลยคนสำคัญที่ถูกจับตามอง ทีมกองบรรณาธิการ ABK ขอแชร์ How to เลี้ยง ลูกชาย แบบลูกผู้ชายตัวจริง ให้เข้มแข็ง แต่ไม่ก้าวร้าว!!

เรื่องที่ต้องรับมือ เมื่อมีลูกชาย

เลี้ยงลูกชาย
เลี้ยงลูกชาย

ถ้าคุณพ่อ คุณแม่คนไหน เตรียมที่จะมีลูกชาย ตั้งท้องลูกชาย มีลูกชายวัยแรกเกิด หรือลูกชายวัยกำลังซน สิ่งที่คุณพ่อ คุณแม่ต้องเตรียมรับมือจากนิสัยของลูกชายที่จะพบเจอซึ่งมีดังนี้

  1. ลูกชายมักจะซุกซน วิ่งเล่น หกล้ม เตะโน่น ชนนี่จนเกิดบาดแผล คุณพ่อ คุณแม่ต้องเตรียม แอลกอฮอล์ล้างแผล เบตาดีน พลาสเตอร์ติดแผล ผ้าพันแผลเอาไว้ใช้ประจำบ้าน
  2. ลูกชายชอบเล่นรถแข่ง หุ่นยนต์ ตัวต่อ และจะไม่เล่นแบบปกติ มักจะทำของเล่นพังเสียหาย ด้วยการแกะ รื้อ ค้น แกะชิ้นส่วนต่างๆ ของของเล่น แล้วนำมาประกอบกลับคืนไม่ได้ บางครั้งก็ทำของเล่นเลอะเทอะไปหมด
  3. บ้านไหนมีความเชื่อว่าคนในครอบครัวต้องมีลูกชายสืบสกุล บ้านนั้นปู่ย่าตายายจะโอ๋หลานหนักมากเป็นพิเศษ ทั้งตามใจ ซื้อของเล่นให้ ประคบประหงม จนบางครั้งอาจทำให้คุณพ่อ คุณแม่ไม่สบายใจ กลัวลูกน้อยจะนิสัยเสีย
  4. คุณแม่จะรู้สึกกลัว หวาดเสียว ตกใจ และโกรธเคืองทุกครั้ง ที่คุณพ่อ และลูกชายเล่นต่อสู้ ยกตัว เหวี่ยงกันแรงๆ ตามประสาผู้ชาย จนทำให้คุณแม่เป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของลูกน้อย
  5. คุณพ่อ จะรู้สึกว่าตัวเองโดนแย่งความรักไป เมื่อเห็นคุณแม่รักลูกชายมากๆ เกิดอาการน้อยใจ อยากกลายเป็นเด็กอ้อนคุณแม่บ้าง
  6. เมื่อลูกชายแตกเนื้อหนุ่ม อาการฝันเปียกเป็นเรื่องธรรมชาติ ลูกน้อยอาจจะสงสัยและตั้งคำถามกับพ่อแม่ แต่คุณแม่ หรือคุณพ่อ อาจจะเขินอายที่จะคุยเรื่องเพศกับลูก
  7. เมื่อลูกชายโตเป็นหนุ่ม อย่าหวังว่าจะให้ลูกชายมากอดจูบแบบตอนเด็กๆ เพราะลูกจะรู้สึกอายเพื่อนเมื่อโตขึ้น
  8. ทุกครั้งที่ลูกชายออกจากบ้าน คุณพ่อ คุณแม่จะกังวลว่า จะเดินทางปลอดภัยรึเปล่า? ลูกคบเพื่อนดีไหม? แอบเที่ยวที่ไหนรึเปล่า? ลูกติดยาไหม? ลูกติดผู้หญิงเปล่า? ลูกจะทำผู้หญิงท้องหรือไม่? ทั้งหมดคือความจริงที่พ่อแม่คนไหนๆ ก็กลัว
  9. อย่าคาดหวังเรื่องความเรียบร้อย และความสะอาดกับลูกชาย เพราะเน้นความไวเป็นหลัก ทำให้เรื่องห้องรก เสื้อผ้ากองบนพื้น ไม่อาบน้ำ และอีกสารพัดที่ลูกอ้างว่าเป็นวิถีของลูกผู้ชาย
  10. เวลาลูกมีเพื่อนผู้หญิงมากกว่า 2 คน สิ่งที่คุณพ่อ คุณแม่เกิดความกังวลมากที่สุด มีอยู่ 2 เรื่องคือ กลัวว่าลูกจะทำเขาท้อง กับกลัวว่าลูกจะเบี่ยงเบนทางเพศเลี้ยงลูกชาย
  11. ในวันที่ลูกชายพาแฟนมาให้คุณพ่อ คุณแม่รู้จัก คุณพ่อ คุณแม่อาจจะตั้งแง่ โดยไม่รู้ตัว ว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร นิสัยดีหรือไม่ หลอกลูกเราหรือเปล่า
  12. อย่าคาดหวังว่าลูกชายจะมานั่งเล่าความในใจ หรือความรู้สึกให้ฟังแบบลูกสาว เพราะลูกชายมักจะเก็บเรื่องพวกนี้ไว้เก่งมาก คุณพ่อ คุณแม่ต้องคอยสังเกต จับทางให้ถูก และเป็นฝ่ายถามให้ลูกพูดออกมา
  13. นอกจากการเรียนจบปริญญาแล้ว การบวชเรียน ก็เป็นอีกหนึ่งความคาดหวังของคนเป็นพ่อ เป็นแม่เช่นกัน

How to เลี้ยง!! “ลูกชาย” แบบลูกผู้ชายตัวจริง!!

สอนลูกชาย
สอนลูกชาย

มีต้นแบบ “ลูกผู้ชาย” ที่ดี ข้างกายลูก

คำว่าต้นแบบลูกผู้ชาย ไม่จำเป็นต้องยึดติดกับการมีพ่อ ต้นแบบที่ดี สามารถเป็นได้ทั้งคุณแม่ที่สตรอง คุณปู่ที่มีประสบการณ์ลูกผู้ชายที่ดี คุณอาที่น่ารัก ก็ได้ การเป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกน้อย เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของการเลี้ยงลูกชาย เพราะว่าลูกน้อยจะเจริญรอยตามคนเป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นสิ่งที่ช่วยให้เขาขีดเส้นทางเดินในชีวิตของตัวเอง และยึดถือไว้เป็นแบบอย่าง ต้นแบบที่ดี ควรมีคุณลักษณะที่เหมาะสมที่ลูกผู้ชายควรมี

กำหนดกติการให้ชัดเจน พ่อแม่ต้องเอาจริง

บอกลูกถึงสิ่งที่สามารถทำได้ และไม่ควรทำ กำหนดขอบเขตให้ชัดเจน เพราะลูกชายมักอยากละเมิดกฎข้อห้ามต่างๆ อยู่เสมอ แม้จะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็ตาม ถ้าคุณพ่อ คุณแม่ไม่เด็ดขาด ก็อาจจะส่งผลต่อไปในอนาคตได้

อ่านต่อ การสอนแบบญี่ปุ่น กับกฎ 18 ข้อ ที่เด็กๆต้องทำได้ก่อนเข้า ป.1

หมั่นพูดคุย ให้ลูกหัดเปิดใจ

โดยนิสัยของผู้ชาย มักจะเป็นคนไม่ค่อยพูดเยอะ ดังนั้น คุณพ่อ คุณแม่ที่มีลูกชาย ควรที่จะสื่อสารกับลูกมากๆ โดยพยายามเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้ลูกฟัง แล้วลองถามลูกกลับถึงความคิดเห็น หรืออาจจะลองให้ลูกเล่าเรื่องราวที่โรงเรียนกลับบ้าง เมื่อทำเป็นกิจวัตรประจำวันแล้ว ลูกจะรู้จักเปิดใจให้คุณพ่อคุณแม่ฟัง เมื่อลูกเกิดปัญหาใด ๆ ก็จะกลับมาปรึกษาคุณพ่อคุณแม่เช่นกันค่ะ

อ่านต่อ หมอเด็กแนะ 3 เทคนิค ชวนลูกคุย เรื่องโรงเรียน ให้ลูกยอมเปิดใจ

ลูกชาย
ลูกชาย

มอบหน้าที่ให้คอยปกป้องดูแลแม่

การมอบหน้าที่ให้ลูก สอนลูกว่าเกิดเป็นผู้ชาย ข้อได้เปรียบคือ ผู้ชายจะมีกำลังที่มากกว่าผู้หญิง การมีพละกำลังที่มากกว่านั้น ไม่ได้ใช้เพื่อรังแกผู้หญิง แต่ต้องใช้เพื่อปกป้องคนที่เรารัก ลูกมีหน้าที่จะต้องปกป้อง ดูแล คุณแม่ พี่สาว และน้องสาว นะครับ!!

ฝึกทำงานบ้าน ช่วยเหลือตัวเอง

ในยุคปัจจุบัน งานบ้าน ไม่ใช่เรื่องของผู้หญิงเพียงฝ่ายเดียว การสอนให้ลูกชายรู้จักทำงานบ้าน ถือเป็นเรื่องที่ดีมากๆ เพราะช่วยฝึกเรื่องความรับผิดชอบให้ลูกตั้งแต่ยังเล็กๆ เมื่อโตขึ้นไปมีครอบครัว ก็จะสามารถช่วยภรรยาทำงานบ้านได้ ช่วยลดความเหนื่อยให้คุณแม่ น้องสาว พี่สาว และคนรัก ที่ต้องทำงานนอกบ้านเหมือนกัน หรือถ้าในอนาคตลูกชาย อยากจะอยู่เป็นโสด ก็จะสามารถช่วยเหลือ และดูแลตัวเองได้ ลูกจะรู้จัก ซักผ้า รีดผ้า ล้างจาน ขัดห้องน้ำ กวาดบ้าน ถูบ้านได้ด้วยตัวเอง

อ่านต่อ ฝึกลูก ทำงานบ้าน ให้อะไรมากกว่าที่คิด งานบ้านสร้างลูก!!

สอนให้ควบคุมอารมณ์ ยอมรับความผิดหวัง

ลูกผู้ชายไม่ใช่น้อย ถูกสอนให้เป็นคนเข้มแข็ง คุณพ่อ คุณแม่หลายคน มักจะบอกกับลูกเสมอว่า “เป็นผู้ชายต้องไม่ร้องไห้” เด็กจึงเข้าใจไปเองว่าการไม่ร้องไห้ คือความเข้มแข็ง จึงไม่ยอมร้องไห้ต่อหน้าคนอื่น ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้ว เด็กผู้ชายก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ที่มีความรู้สึก รู้จักความเจ็บปวดได้เท่าๆ กับเด็กผู้หญิง ถ้าคุณพ่อ คุณแม่เปิดโอกาสให้ลูกได้แสดงความรู้สึกออกมาบ้าง ก็จะเป็นเรื่องที่ดีกับตัวลูกน้อย ถ้าลูกร้องไห้แล้วมีน้ำตา ก็ไม่ควรไปต่อว่าลูก ปลดปล่อยความรู้สึกเสียใจที่เก็บกดอยู่ข้างในออกมาดีกว่าปล่อยให้ลูกไปหาทางระบายความรู้สึกนั้นออกมาแบบผิดๆ

อ่านต่อ ลูกควบคุมอารมณ์ไม่ได้ อ่าน! 3 เทคนิคเชิงบวกฝึกลูกเล็ก ควบคุมอารมณ์ โตไปไม่ก้าวร้าว

สอนลูก
สอนลูก

สอนวิธีรับมือที่ถูกต้อง เมื่อลูกโกรธ

เด็กผู้ชาย มักจะมีวิธีการระบายอารมณ์โกรธที่แตกต่างออกไปจากเด็กผู้หญิง ในบางครั้งลูกก็เลือกที่จะทำลายข้าวของ ทำร้ายคนรอบข้าง ซึ่งการระบายอารมณ์โกรธเหล่านี้ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง

อ่านต่อ..ลูกโกรธ ลูกโมโห เรื่องธรรมดา แต่ต้องสอนลูกแสดงออก “ให้เป็น”

อย่าปล่อยให้ลูกเสพสื่อมากเกินไป

ไม่ว่าจะเป็นเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิง การเสพสื่อโดยไม่มีผู้ปกครองคอยดูแลนั้นมีแต่ผลเสีย แต่ ทีมกองบรรณาธิการ ABK ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ให้ลูกเสพสื่อต่าง ๆ เลยนะคะ สามารถดูทีวี สมาร์ทโฟน แท็ปเลต ได้ตามวัยค่ะ เพียงแต่ควรจะมีผู้ปกครองคอยดูว่าสิ่งที่ลูกกำลังดูอยู่นั้นเหมาะสมกับวัยหรือไม่ คอยคุมเวลาการเสพสื่อให้เหมาะสมกับอายุของลูก เป็นต้น

อ่านต่อ พ่อแชร์มาตรการเจ๋ง! รักษา ลูกติดแท็บเล็ต จนหาย

ยอมรับในสิ่งที่ลูกเป็น

ในยุคสมัยนี้ LGBTQ+ เป็นสิ่งที่ยอมรับได้ในสังคม ไม่ว่าลูกจะเป็นอย่างไร มีความชอบทางด้านไหน หากลูกได้รับการเลี้ยงดูที่เหมาะสม ยอมรับและให้เกียรติกับทุกคน ลูกก็จะเติบโตมาได้อย่างมีความสุขและสามารถรับมือกับสังคมภายนอกได้เป็นอย่างดี

ลูกชาย
ลูกชาย

ตั้งคำถามให้คิด เสนอความเห็นที่แตกต่าง ปล่อยวาง…เปิดทางให้ลูกแก้ปัญหาเอง

ทักษะการแก้ปัญหา เป็นทักษะที่จำเป็นต่อชีวิต การแก้ปัญหา โดยใช้เหตุผลและสติแทนการใช้อารมณ์ เพื่อให้ปัญหาคลี่คลายไปในทางที่ถูกต้อง จะทำให้ปัญหาต่าง ๆ ได้รับการแก้ไขให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่จึงควรผลักดันให้ลูกรู้จักแก้ปัญหาได้ด้วยตัวเอง สิ่งนี้จะทำให้ ลูกชาย เติบโตไปด้วยทักษะและกระบวนการทางความคิดที่ดี มีตรรกะ แนวทาง ในการดำเนินชีวิตให้มีความสุขได้ค่ะ

อ่านต่อ… วิธีการ พัฒนาทักษะ “การแก้ปัญหา” อย่างเป็นขั้นตอน

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

ตั้งชื่อลูกชาย ตามวันเกิด 2565 เสริมมงคล มั่งคั่ง สุขภาพดี

วิธีสอนลูกเรียนเก่ง เริ่มต้นได้ที่บ้าน

6 ข้อสอนลูกเป็น คนดี มีภูมิคุ้มกัน ชีวิตพบแต่ความสุข

12 วิธี สำหรับพ่อแม่สอนลูก “ฝึกพูด”

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

    เตรียมลูกเข้าอนุบาล

    สิ่งที่ต้องสอนลูกก่อนวัย 3 ขวบ เพื่อ เตรียมลูกเข้าอนุบาล

    เตรียมลูกเข้าอนุบาล …คุณพ่อคุณแม่สงสัยกันบ้างไหมคะว่า ก่อนที่ลูกจะถึงวัย 3 ขวบหรือก่อนที่ลูกจะเข้าโรงเรียนนั้น เราจะต้องฝึกสอนลูกในเรื่องใดก่อนบ้าง จึงจะให้ลูกอยู่ร่วมกับเพื่อนๆ หรือสังคมรอบข้างได้

    สิ่งที่ต้องสอนลูกก่อนวัย 3 ขวบ เพื่อ เตรียมลูกเข้าอนุบาล

    ลูกในวัย 3 ขวบของคุณแม่คุณพ่อ อาจนับเลข 1 – 30 หรือจำคำศัพท์ได้บ้างแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ จำเป็นไหมที่ควรสอนให้เขาอ่านเขียนก่อนเข้าโรงเรียน คำตอบ คือ ไม่จำเป็นเลย เพราะเด็กส่วนใหญ่จะเข้าใจภาษาและตัวเลขได้ก็ต่อเมื่ออายุ 5 ขวบขึ้นไป ดร.แอน เอฟสเตน ผู้อำนวยการแผนกเด็กเล็ก มูลนิธิวิจัยเพื่อการศึกษาระดับสูง ใน Ypsilanti มิชิแกน แนะนำว่า “ถ้าพ่อแม่ไปเร่งลูกตอนที่ยังไม่ถึงเวลา เขาจะรู้สึกฝืนและไม่อยากทำ” แล้วเด็กในวัยนี้รู้อะไรบ้าง ไปดูกันค่ะ

    สอนลูกก่อนเข้าอนุบาล
    สอนลูกก่อนเข้าอนุบาล

    สิ่งที่เด็ก 3 ขวบ ทำได้

    • จำตัวอักษรที่มีในชื่อตัวเองได้
    • แยกประเภทของตามสี
    • เข้าใจความเป็นเหตุเป็นผล เช่น สีแดงรวมกับสีเหลืองเป็นสีส้ม เป็นต้นสิ่งที่ทำไม่ได้
    • เขียนตัวหนังสือตามให้ถูกต้อง
    • จำรายละเอียดของกิจกรรมต่างๆ
    • จำเลขได้ทุกตัวหรือเข้าใจค่าของตัวเลขวิธีเสริมสร้างทักษะ


    วิธีช่วยเสริมสร้างทักษะ

    • พยายามชี้ชวนให้ลูกดูตัวหนังสือ ป้ายจราจร หรือเลขที่บ้าน
    • สอนให้ลูกรู้จักจับคู่ถุงเท้าตามสีและขนาดที่ต่างกัน เพื่อเป็นการฝึกทักษะการแยกประเภทและการจับคู่

    เด็ก 4 ขวบสิ่งที่ทำได้

    • แยกประเภทสิ่งของตามสีและขนาด
    • วาดรูปภาพง่ายๆ เช่น วาดภาพเป็นเส้นๆ มีรายละเอียดนิดหน่อย
    • บอกได้ว่าชื่อตัวเองสะกดอย่างไร
    • จำแนกอะไรออกเป็น 3 กลุ่ม (count out at least three crackers) สิ่งที่ทำไม่ได้
    • จำรายละเอียดแบบเป็นเรื่องเป็นราว
    • วาดภาพที่มีรายละเอียดเยอะๆ

    วิธีเสริมสร้างทักษะ : เมื่อคุณอ่านหนังสือกับลูก ออกเสียงให้เขาฟังว่ากากับไก่มีเสียงต่างกันอย่างไรจะช่วยให้ลูกแยกความแตกต่างของคำได้

    เด็ก 5 ขวบสิ่งที่ทำได้

    • เขียนภาพที่มีรายละเอียดได้แล้ว เช่น ต้นไม้ที่มีใบบนต้นและมีนกเกาะอยู่
    • เขียนประโยคหรือเรื่องราวได้ แต่ยังสะกดผิดๆ ถูกๆ อยู่สิ่งที่ทำไม่ได้
    • สะกดคำควบกล้ำต่างๆ
    • ปะติดปะต่อรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆเป็นเรื่องราว
    • คิดเลขในใจ

    วิธีเสริมสร้างทักษะ

    • บอกให้เขาออกเสียงไปด้วยขณะเขียนหนังสือ ดูว่าสิ่งที่เขียนกับที่พูดตรงกันหรือไม่
    • สอนให้ลูกเตรียมถ้วยจาน ช้อนส้อมให้พอดีกับจำนวนคนที่จะทาน

    7 ทักษะสำคัญ ต้องสอนลูกก่อน เตรียมลูกเข้าอนุบาล

    แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการเลี้ยงลูกในวัยไม่เกิน 3 ขวบ มีความสำคัญมาก เพราะมีการศึกษาพบว่า ความสามารถและอุปนิสัยของคนนั้น ส่วนใหญ่จะก่อรูปเรียบร้อยระหว่างอายุ 0-3 ขวบ หากพ้นจากวัยนี้ไปแล้วการปูพื้นฐานการเรียนรู้หลาย ๆ อย่างก็อาจฝึกได้ยากขึ้นกว่าเดิมมาก ๆ ค่ะ ฉะนั้นหากคุณพ่อคุณแม่ไม่อยากได้ยินคำว่า “รอให้ถึงอนุบาลก็สายเกินไปแล้ว”

    การปูพื้นฐานการเรียนรู้หลายๆ ให้กับลูกก่อนอายุ 3 ขวบ หรือวัยก่อนไปโรงเรียน จึงเรียกได้ว่าเป็นโอกาสทองที่คุณแม่จะต้องเติมเต็มและสอนสิ่งที่ควรรู้ตามวัยให้เจ้าตัวเล็กค่ะ ทีมกองบรรณาธิการ ABK จึงขอแนะนำกิจกรรมต่าง ๆ ที่จะนำมาฝึกหัดให้กับลูกน้อยของคุณก่อนไปโรงเรียนมาฝากกันค่ะ

    อ่านต่อ >> “7 ทักษะสำคัญ เตรียมลูกก่อนเข้าอนุบาล” คลิกหน้า 2

    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

     

      สร้างวินัยเชิงบวก

      4 เทคนิค “สร้างวินัยเชิงบวก” พูดแบบไหน?..ให้ลูกยอมทำตามแต่โดยดี

      สอนลูกแบบไหน ให้ลูกรู้สึกว่าเราไม่ได้สั่งหรือบังคับให้ลูกทำ มาดู 4 เทคนิค สร้างวินัยเชิงบวก รู้จักพูดให้ลูกเข้าใจและยอมทำตามด้วยความเต็มใจ กันค่ะ

      4 เทคนิค “สร้างวินัยเชิงบวก” พูดแบบไหน?..ให้ลูกยอมทำตาม

      ทำความเข้าใจกับ “เหตุผล” ของลูก

      การที่เด็กมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เช่น โมโหร้าย ตี ทำร้าย กัด พ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดู ไม่แบ่งปัน ไม่ทำตามกฎกติกา พฤติกรรมเหล่านี้ ไม่ได้เป็นเพราะลูกอยากจะทำตัวไม่ดีให้พ่อแม่ดุหรอกนะคะ พฤติกรรมเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่มีเหตุผลของลูกซ่อนอยู่ ดังนี้

      1. ลูกยังไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้ สาเหตุหลักที่ลูกอาละวาด โมโหร้ายนั้น เป็นเพราะว่า สมองของเด็กวัยนี้ยังไม่ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่ จึงยังไม่รู้ถึงวิธีการรับมือเมื่อมีอารมณ์โกรธ และยังไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้เหมือนผู้ใหญ่ ดังนั้น เมื่อลูกโกรธ และลูกต้องการระบายอารมณ์โกรธ สิ่งที่ทำได้คือการอาละวาดให้หายโมโหนั่นเอง
      2. ลูกอยู่ในวัยที่กำลังเรียนรู้ถึงกฎเกณฑ์และกติกา เด็กวัยนี้กำลังอยู่ในวัยที่ลองผิดลองถูก ในบางครั้งลูกก็อาจจะอยากที่จะแหกกฎเกณฑ์ที่พ่อแม่รวมถึงคนรอบข้างตั้งไว้ดูบ้าง เพื่อดูว่าพ่อแม่จะมีปฏิกิริยาอย่างไร และผลของการแหกกฎเกณฑ์ครั้งนี้เป็นอย่างไร
      3. เด็กกำลังเรียนรู้ภาษา เด็กวัย 2 ขวบจะยังไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่ผู้ใหญ่พูดได้ 100% ดังนั้นการที่พ่อแม่คาดหวังให้ลูกจะสามารถเข้าใจสิ่งที่พ่อแม่กำลังพูดกำลังสอนได้เหมือนผู้ใหญ่เลย เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
      4. พ่อแม่คาดหวังมากไปหรือเปล่า? ลอง​คิด​ถึง​การ​เปลี่ยน​แปลง​ที่​เกิด​ขึ้น​กับ​เด็ก​วัย​สอง​ขวบ ที่ตั้ง​แต่​เกิด​มา พ่อ​แม่​คอย​ดู​แล​เอา​ใจ​ใส่​เขา​ทุก​อย่าง ​เช่น วิ่งไปหาทันทีเมื่อลูกร้องไห้ เพื่อดูว่าลูกหิวนมหรือไม่ ต้องการเปลี่ยนผ้าอ้อมหรือไม่ พ่อ​แม่​ทำ​ทุก​อย่าง​เพื่อ​ให้​ลูก​รู้สึก​สบาย​ขึ้น ​เพราะ​ลูก​​ยัง​ช่วยเหลือ​ตัว​เอง​ไม่​ได้ แต่เมื่อลูกอายุสอง​ขวบ เริ่มที่จะสื่อสารสิ่งต่าง ๆ ได้มากขึ้น สามารถทำอะไรเองได้มากขึ้นกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นการเดินไปหยิบสิ่งที่ต้องการ การกินอาหารได้เอง ลูกจะ​เริ่ม​รู้​ว่า​พ่อ​แม่​ไม่​ได้​ทำ​อะไร​ให้​เขา​ทุก​อย่าง​อีก​ต่อ​ไป เมื่อพ่อแม่ไม่ทำสิ่งต่าง ๆ ​ให้​ลูกเหมือนตอนเป็นทารก แถมยังต้องการให้ลูกทำ​ตาม​ที่​พ่อ​แม่ต้องการ ตามกฎกติกาต่าง ๆ ​เด็ก​วัย​สอง​ขวบ​จึงอาจ​ไม่​ยอม​รับ​การ​เปลี่ยน​แปลงนี้ จึง​เริ่ม​ต่อต้าน​ด้วย​การ​ร้อง​อาละวาด

      การที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ทราบถึงเหตุผลของลูก และดุด่าว่ากล่าวเพื่อไม่ให้ทำอีก จึงไม่ใช่ทางออกที่เหมาะสม เพราะเมื่อลูกไม่ได้รับการแก้ปัญหาที่ถูกต้อง ก็จะทำพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมต่อไปอีกเรื่อย ๆ ดังนั้น เมื่อรู้ถึงสาเหตุที่ลูกอาละวาดแล้ว ทีมกองบรรณาธิการ ABK ก็มีวิธีรับมือและ สร้างวินัยเชิงบวก ให้กับเด็กอาละวาด เอาแต่ใจ มาฝากค่ะ

      พูดแบบไหน?..ให้ลูกยอมทำตามแต่โดยดี

      วินัยเชิงบวก
      วินัยเชิงบวก

      บางครั้งการออกคำสั่งก็ไม่ได้ช่วยให้ลูกเชื่อฟัง แต่อาจทำให้ต่อต้านกว่าเดิมด้วย

      การ “สร้างวินัยเชิงบวก” ถือเป็นเรื่องที่พ่อแม่ยุคใหม่ต้องรู้จัก

      เป็นการสอนและฝึกฝนเด็กให้มีพฤติกรรมตามที่เราคาดหวัง ด้วยการใช้การสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ

      ตรงกับธรรมชาติการรับรู้และการเรียนรู้ของเด็ก

      สร้างวินัยเชิงบวก
      สร้างวินัยเชิงบวก
      “สั่ง” แบบนี้ ไม่ดีแน่“สอน” แบบนี้สิ ใช่เลย!
      ใช้คำพูด “ห้าม” “ไม่ได้” “อย่า” “หยุด” เช่น

      ห้ามเอามือเข้าปากนะ

      เล่นต่อไม่ได้นะ เราจะกลับบ้านกันแล้ว

      อย่าอมข้าว

      หยุดร้องไห้

      ใช้คำ ขอบคุณ ตามด้วยพฤติกรรมที่เราต้องการให้ลูกทำ เช่น

      แม่ขอบคุณที่หนูจับช้อน แล้วตักข้าวเข้าปากเอง

      ขอบคุณที่หนูเลิกเล่น แล้วกลับบ้านกับแม่

      แม่ขอบคุณที่หนูเคี้ยวข้าว

      ขอบคุณที่หนูใช้คำพูดดีๆ กับแม่

      เลี้ยงลูก
      เลี้ยงลูก
      “สั่ง” แบบนี้ ไม่ดีแน่“สอน” แบบนี้สิ ใช่เลย!
      สั่งให้ทำกิจวัตรประจำวัน “เดี๋ยวนี้!” เช่น

      “ตื่นเดี๋ยวนี้!”

      “ไปอาบน้ำเดี๋ยวนี้!”

      “เก็บของเล่นเดี๋ยวนี้!”

      ให้ทางเลือกและให้ลูกตัดสินใจ เช่น

      “หนูจะตื่นเลยหรือจะนอนต่ออีก 5 นาที”

      “หนูจะเอาของเล่นพี่เป็ด หรือพี่ปลาโลมาไปอาบน้ำด้วย”

      “หนูจะให้แม่ช่วยเก็บของเล่นหรือหนูจะเก็บคนเดียว”

      พูดกับลูก
      พูดกับลูก
      “สั่ง” แบบนี้ ไม่ดีแน่“สอน” แบบนี้สิ ใช่เลย!
      สั่งให้ทำกิจวัตรประจำวัน “ดีๆ” เช่น

      “นั่งดีๆ!”

      “พูดดีๆ!”

      บอกพฤติกรรมที่เหมาะสม เช่น

      “นั่งหลังตรง ก้นติดเบาะ เท้าติดพื้นค่ะลูก”

      “หนูกลืนข้าว แล้วค่อยพูดครับ”

      สร้างวินัยเชิงบวก
      สร้างวินัยเชิงบวก
      “สั่ง” แบบนี้ ไม่ดีแน่“สอน” แบบนี้สิ ใช่เลย!
      ขู่ ให้ทำ เช่น

      “ถ้าทานข้าวไม่เสร็จ ไม่ต้องไปเล่น จะปล่อยให้อยู่คนเดียวเลย”

      บอกพฤติกรรมที่ต้องการให้เด็กทำ ตามด้วยสิ่งที่เขาอยากทำ เช่น

      “เมื่อกินข้าวหมดแล้ว ไปเล่นได้เลยค่ะ”

       

      จะเห็นว่า “การสั่ง” ไม่สามารถตอบสนองความต้องการพื้นฐานทางจิตใจของลูกได้ เนื่องจากในขณะที่ลูกอยากทำสิ่งหนึ่ง แล้วถูกห้ามหรือสั่งลูกจะรู้สึกว่าพ่อแม่ขัดใจ ทำให้เขาไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ และเกิดความรู้สึกไม่ดี ความไม่มั่นคงทางจิตใจที่เกิดขึ้นจะทำให้ลูกไม่พร้อมรับฟังสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่พูด และจะใช้พลังงานทั้งหมดในการแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมหรือต่อต้าน เพื่อให้ได้ในสิ่งที่เขาต้องการ

      ในทางตรงกันข้ามหากคุณพ่อคุณแม่ใช้เทคนิคเชิงบวกด้วย  “การสอน” เช่น การขอบคุณ การให้ทางเลือก และการบอกพฤติกรรมที่เหมาะสม จะสามารถตอบสนองความต้องการพื้นฐานทางจิตใจของลูกน้อย เพราะลูกจะไม่รู้สึกว่าพ่อแม่ห้ามในสิ่งที่เขาอยากทำและไม่รู้สึกถูกต่อว่าจากพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ทำให้เขาอยู่ในอารมณ์ที่พร้อมจะรับฟัง เรียนรู้สิ่งที่พ่อแม่บอก และอยากจะทำตามด้วยตัวเอง เมื่อใช้เทคนิคการสร้างวินัยเชิงบวกในการสื่อสารเป็นประจำแล้ว เด็กๆ ก็จะมีโอกาสได้ฝึกฝนพฤติกรรมที่เหมาะสมจนติดเป็นนิสัยและกลายเป็นวินัยในตนเองได้นั่นเอง

      การ สร้างวินัยเชิงบวก จึงเป็นหนทางหนึ่งที่ควรนำมาใช้ “สอน” แทนการ “สั่ง”เพื่อปลูกฝังให้เด็กมีหัวใจสวย ปัญญาเลิศเชิดชูคุณธรรมและอารมณ์ดีได้อย่างมีประสิทธิภาพ

      อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

      8 วิธี สร้างวินัยเชิงบวก ง่ายๆ ป้องกันลูกดื้อ เริ่มได้ตั้งแต่ 1 ขวบ

      เลี้ยงลูกวินัยเชิงลบ ส่งผลต่อพัฒนาการสมอง

      6 ข้อสอนลูกเป็น คนดี มีภูมิคุ้มกัน ชีวิตพบแต่ความสุข

      วิธีสอนลูกเรียนเก่ง เริ่มต้นได้ที่บ้าน

       

      ขอบคุณข้อมูลจาก อ.ดร. ปนัดดา ธนเศรษฐกร อาจารย์สาขาพัฒนาการมนุษย์ สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล

       

      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

        ยาเม็ดคุมกำเนิด ฟรี

        เผื่อใครยังไม่รู้! เป๋าตัง เปิดจองรับ ยาเม็ดคุมกำเนิด ฟรี

        ยาเม็ดคุมกำเนิด รับประทานถูกวิธีสามารถป้องกันการตั้งครรภ์อันไม่พึงประสงค์ได้ แล้วรู้หรือยัง? ว่าผู้หญิงอายุ 15-59 ปี ไปขอรับยาคุมได้ฟรีแสนง่ายผ่าน “เป๋าตัง”

        เผื่อใครยังไม่รู้! เป๋าตัง เปิดจองรับ ยาเม็ดคุมกำเนิด ฟรี

        หญิงไทยที่มีอายุตั้งแต่ 15-59 ปี มีเฮ! สิทธิประโยชน์เพื่อสาว ๆ สำหรับ ยาเม็ดคุมกำเนิด ที่มีแจกให้ฟรี ได้ง่าย ๆ โดยสามารถรับยาเม็ดคุมกำเนิดได้ฟรีสูงสุดไม่เกินคนละ 13 แผง ต่อปี ผ่านแอปพลิเคชั่น “เป๋าตัง” โดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)ได้เปิดให้หญิงไทยอายุตั้งแต่ 15 -59 ปีสามารถรับยาเม็ดคุมกำเนิดได้ฟรี ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา วันนี้เรามาขอแจ้งข่าว เผื่อใครยังไม่รู้ หรือไม่ทราบขั้นตอนการขอรับยาคุมฟรี ว่ามีรายละเอียด หรือกระบวนการวิธีต่าง ๆ อย่างไร ความจริงแล้ววิธีการจอง และรับยาก็ง๊าย…ง่าย สะดวก มีขั้นตอนอย่างไรนั้น มาดูกัน

        ยาเม็ดคุมกำเนิด ป้องกันการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์
        ยาเม็ดคุมกำเนิด ป้องกันการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์

        “เป๋าตัง” แจกฟรี ยาเม็ดคุมกำเนิด ง่าย ๆ แค่ทำตามนี้

        ขั้นตอนการจองสิทธิรับ ยาคุม ฟรี มีดังนี้

        1. เปิดแอปพลิเคชั่น “เป๋าตัง” ไปที่เมนู “กระเป๋าเพื่อสุขภาพ”
        2. กด “สมัครใช้งานกระเป๋าสุขภาพ” แล้วกรอกข้อมูล และรอการยืนยัน
        3. เมื่อได้รับการยืนยันแล้ว ให้เลือกเมนู “บริการสร้างเสริมสุขภาพ”
        4. ผู้หญิงอายุ 15-59 ปีจะแสดงสิทธิ เลือกไปที่ “ยาเม็ดคุมกำเนิด”
        5. ค้นหาหน่วยบริการ และทำการจองสิทธิภายในวันที่จองสิทธิ
        6. รับยาคุมกำเนิดภายในวันที่จองสิทธิ ตามเวลาทำการของหน่วยบริการที่เข้าร่วมโครงการ เช่น ร้านขายยา คลินิกเวชกรรม คลินิกพยาบาล เป็นต้น
        7. หน่วยบริการตรวจสอบสิทธิ และบันทึกการรับบริการ
        ยาเม็ดคุมกำเนิด ฟรี
        ยาเม็ดคุมกำเนิด ฟรี

        ไม่มี สมาร์ทโฟน ก็สามารถรับสิทธิได้!!

        ส่วนผู้ที่ไม่มีสมาร์ทโฟน สามารถรับยาเม็ดคุมกำเนิดฟรีได้เช่นเดียวกัน โดยมีขั้นตอนและวิธีการดังต่อไปนี้

        1. เข้ารับบริการได้ที่หน่วยบริการ
        2. แสดงบัตรประชาชน ยืนยันตัวตนเพื่อรับบริการ
        3. หน่วยบริการตรวจสอบสิทธิ และบันทึกการรับบริการ

        นโยบายการให้บริการยาเม็ดคุมกำเนิดฟรีในครั้งนี้ เพื่อวัตถุประสงค์ ช่วยแก้ปัญหาการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ ทางสปสช.ได้ร่วมกับคลิกนิการพยาบาล และการผดุงครรภ์ ร้านขายยา โรงพยาบาลเอกชน คลินิกเวชกรรม แลหน่วยบริการปฐมภูมิในเขต กทม. รวมกว่า 2500 แห่งทั่วประเทศ ทำให้ประชาชนได้รับความสะดวก สบาย และเข้าถึงสิทธิดังกล่าวได้ง่ายขึ้น ทั้งนี้ผู้ที่มาขอรับ ยาเม็ดคุมกำเนิด จะได้รับยาไม่เกิน 3 แผง ต่อครั้ง และคนละไม่เกิน 13 แผงต่อปี

        นอกจากนโยบายเพื่อช่วยแก้ปัญหาการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ ด้วยยาเม็ดคุมกำเนิดแล้ว ยังมีนโยบายดี ๆ ที่สามารถเข้ารับสิทธิได้ในแอป “เป๋าตัง” อีกมากมาย ใน “กระเป๋าตังสุขภาพ” ทำให้เราสามารถเข้าถึง และตรวจสอบสิทธิหลักประกันสุขภาพของตนเอง นัดหมายล่วงหน้า เรียกดู และจัดการนัดหมาดของตนเอง พร้อมการบริการแจ้งเตือนนัดหมายล่วงหน้า สามารถสร้าง Digital Health ID เพื่อให้ผู้เข้าบริการใช้ยืนยันตัวตนแทนบัตรประชาชน และดูประวัติการใช้สิทธิย้อนหลังได้

        กระเป๋าตังสุขภาพเพื่อผู้หญิง

        สิ่งหนึ่งที่ผู้หญิงทุกคนไม่สามารถละเลยได้ คือ การดูแลตัวเอง ดูแลสุขภาพเพื่อชะลอสัญญาณต่าง ๆ กระเป๋าสุขภาพก็เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เกิดการเข้าถึงสิทธิสุขภาพ ได้สะดวกรวดเร็วขึ้นได้ไม่ว่าจะเป็นการจองสิทธิประโยชน์ในการเข้ารับการปรึกษาต่าง ๆ อีกทั้งเป็นการช่วยในการป้องกันโรคต่าง ๆ ก่อนเกิดการรักษาได้อีกด้วย ดังนั้นเรามาดูสิทธิประโยชน์ดี ๆ และฟรี ในกระเป๋าตังสุขภาพกันว่ามีอะไรบ้าง

        กระเป๋าสุขภาพ เพื่อผู้หญิง
        กระเป๋าสุขภาพ เพื่อผู้หญิง

        สิทธิประโยชน์ที่ได้รับฟรี มีดังนี้

        • ยาเม็ดคุมกำเนิด ฟรี 13แผง /ปี

        สิทธิรับการตรวจรักษา รับยา 

        • การคุมกำเนิด โดยมี 3 บริการให้เลือกได้แก่
          1. ใส่ห่วงอนามัย สำหรับหญิง อายุ 10-59 ปี   ไม่เกิน 1 ครั้ง/ปี
          2. ฉีดยาคุมกำเนิด สำหรับหญิง อายุ 10-59 ปี ไม่เกิน 5 ครั้ง/ปี
          3. ฝังยาคุมกำเนิด สำหรับหญิง อายุ 10-20 ปี ไม่เกิน 1 ครั้ง/ 3 ปี
        • การฝากครรภ์ การตรวจร่างกาย
        • ตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม
        • ตรวจคัดกรองมะเร็งสตรี มะเร็งปากมดลูก
        • ตรวจคัดกรองโรคเมตาบอลิก ได้แก่ โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดสมอง โรคอ้วน
        • ตรวจสุขภาพช่องปาก
        • สร้างเสริมภูมิคุ้มกันด้วยวัคซีน

        แอปพลิเคชั่น “เป๋าตัง” มีดี และฟรี แบบนี้ เรียกได้ว่า ไม่โหลดไม่ได้แล้ว เพราะดูแลเราทั้งการเงิน และสุขภาพ ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้หญิงอย่างเรา ๆ ใส่ใจกันไม่น้อยเลยทีเดียว

        อ่านต่อ>> ยาเม็ดคุมกำเนิดใช้อย่างไรให้ถูกวิธี เพิ่มประสิทธิภาพสูงสุด คลิกหน้า 2

         

        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

         

          โรคแพนิค

          ทำความเข้าใจ โรคแพนิค ในเด็ก ถึงลูกยังเล็กแต่มีโอกาสเป็นได้!

          โรคแพนิค – หรือโรคตื่นตระหนก (Panic Disorder) เป็นโรคที่พบได้ในเด็กและวัยรุ่น เด็กที่เป็นโรคตื่นตระหนกจะมีช่วงเวลาที่พวกเขาต้องอยู่กับห่วงเวลาแห่งความสึกกลัวอย่างรุนแรง ซึ่งเกิดขึ้นได้โดยไม่คาดคิด และมักจะเกิดขึ้นร่วมกับอาการอื่นๆ เช่น หัวใจเต้นเร็ว รู้สึกหายใจไม่อิ่ม มือชา แขนชา ไม่สบายท้อง ซึ่งช่วงเวลาเหล่านี้ ทางการแพทย์ เรียกว่า อาการ  “Panic Attack” ที่สำคัญ อาการแพนิคมักเกิดขึ้นโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า

          ทำความเข้าใจ โรคแพนิค ในเด็ก ถึงลูกยังเล็กแต่มีโอกาสเป็นได้!

          โรคแพนิค คืออะไร?

          โรคแพนิค หรือ โรคตื่นตระหนก เป็นโรควิตกกังวลชนิดหนึ่ง (Anxiety Disorder) ที่มักเกิดขึ้นอย่างกะทันหันโดยผู้ป่วยไม่ทันตั้งตัว และอาจไม่มีตัวกระตุ้นที่ชัดเจน เด็กที่เป็นโรคตื่นตระหนกจะมีอาการวิตกกังวลอย่างกะทันหันซึ่งมาพร้อมกับความรู้สึกหวาดกลัวทางจิตใจและอาการทางร่างกายอย่างรุนแรงที่อาจทำให้รู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังจะตายในระหว่างที่อาการกำเริบ ซึ่งความคาดเดาไม่ได้ของการเกิดอาการตื่นตระหนกจะทำให้สถานการณ์โดยรวมยิ่งเลวร้ายลง

          ความกลัวว่าจะเกิด Panic Attack อีกครั้ง สามารถกระตุ้นให้เกิดอาการครั้งใหม่ได้เรื่อยๆ  เด็กที่เป็นโรคตื่นตระหนกมักหลีกเลี่ยงสถานที่ที่พวกเขาเชื่อมโยงหรือจดจำได้ว่าทำให้พวกเขาเกิดอาการแพนิค การถูก Panic Attack เล่นงาน เป็นเรื่องที่ทุกทรมานใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่ผู้ประสบกับอาการนี้ยังเป็นเด็ก การเห็นบุตรหลานของคุณต้องทนรับมือกับอาการตื่นตระหนกนั้นอาจทำให้ทั้งคุณและครอบครัวรู้สึกไม่สบายใจ คุณอาจรู้สึกหมดหนทางและไม่รู้ว่าจะหันไปทางไหน หรือทำอะไรเพื่อที่จะช่วยเหลือลูกหรือบุตรหลานของคุณ อย่างไรก็ตามยังมีขั้นตอนต่างๆ ที่คุณสามารถดำเนินการเพื่อช่วยพวกเขาได้

          สาเหตุของ โรคแพนิค ในเด็ก คืออะไร?

          อาการตื่นตระหนก เป็นอาการวิตกกังวลอย่างฉับพลันและรุนแรงโดยไม่มีสาเหตุภายนอกที่ชัดเจน สำหรับเด็กที่เป็นโรคตื่นตระหนก สิ่งกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการตื่นตระหนก มักเกี่ยวข้องกับตัวเองมากกว่าสถานการณ์ ซึ่งหมายความว่าเด็ก ๆ กลัวอาการตื่นตระหนกที่อาจเกิดขึ้นได้ มากกว่าสิ่งที่จะทำให้พวกเขาเกิดความวิตกกังวลโดยทั่วไป เช่น คนที่หัวเราะเยาะพวกเขา กลัวถูกสุนัขกัด หรือการหลงทาง เมื่อเกิดอาการแพนิคจะทำให้หัวใจของเด็กเต้นแรงและอาจรู้สึกหายใจไม่ออก ลูกของคุณอาจตัวสั่นหรือรู้สึกวิงเวียนศรีศะและมึนงง

          โดยทั่วไป มีปัจจัยหลายประการที่อาจเพิ่มโอกาสที่บุตรหลานของคุณจะประสบกับอาการ Panic Attack ซึ่งรวมถึงปัจจัยต่อไปนี้

          • ปัจจัยทางกรรมพันธุ์/พันธุกรรม – การวิจัยแสดงให้เห็นว่าการมีญาติสนิท (เช่น พ่อแม่หรือพี่น้อง) ที่เป็นโรคแพนิค ทำให้มีโอกาสมากขึ้นที่เด็กจะประสบกับโรคนี้ได้เช่นกัน
          • ความกลัวแบบสุดขีด – เด็กอาจประสบกับโรคแพนิค ซึ่งเป็นผลมาจากการสัมผัสกับสิ่งที่พวกเขารู้สึกกลัวมาก
          • ภาวะสุขภาพจิต เช่น ความวิตกกังวล โรคซึมเศร้า โรคย้ำคิดย้ำทำ (OCD) หรือโรคเครียดหลังเหตุการณ์ร้ายแรงในชีวิต (PTSD)
          • สิ่งกระตุ้นทางอารมณ์ ในระยะสั้น เช่น ความเศร้า ความทุกข์ ความรู้สึกหดหู่
          • ความนับถือตนเองต่ำ
          • สารกระตุ้นบางชนิด อาจทำให้เกิดอาการตื่นตระหนกในเด็กได้ เช่น คาเฟอีน

          หากไม่ได้รับการรักษา โรคตื่นตระหนก และ ภาวะแทรกซ้อน ต่างๆ สามารถส่งผลเสียต่อคุณภาพชีวิตโดยรวมของเด็กได้  เช่น เด็กอาจมีปัญหาด้านความสัมพันธ์กับผู้คนรอบข้าง มีปัญหาด้านการเรียนรู้ และพัฒนาการที่เหมาะสมตามวัยของเด็ก และยังส่งผลต่อส่วนอื่นๆ ของอารมณ์ หรือการทำงานของเด็กด้วย เด็กที่เป็นโรคตื่นตระหนกอาจรู้สึกวิตกกังวลเกือบตลอดเวลาแม้ว่าจะไม่ได้มีอาการตื่นตระหนกก็ตาม

          บางคนเริ่มหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่พวกเขากลัวว่าจะทำให้อาการแพนิคเกิดขึ้น หรือสถานการณ์ที่ที่อาจไม่มีใครสามารถช่วยเหลือพวกเขาได้หากเกิดอาการขึ้น ตัวอย่างเช่น เด็กอาจลังเลที่จะไปโรงเรียนหรือกลัวการถูกแยกจากพ่อแม่ ในกรณีที่รุนแรงเด็กอาจกลัวที่จะออกจากบ้าน

          เช่นเดียวกับโรควิตกกังวลอื่น ๆ รูปแบบการหลีกเลี่ยงสถานที่ หรือสถานการณ์บางอย่างนี้ สามารถเชื่อมโยงกับโรค “Social Anxiety” นอกจากนี้ เด็กและวัยรุ่นบางคนที่เป็นโรคตื่นตระหนกอาจมีภาวะซึมเศร้ารุนแรงและอาจเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายอีกด้วยได้

          อาการของ โรคแพนิค ในเด็ก

          ความตื่นตระหนกที่เกิดขึ้น อาจส่งผลให้เด็กเกิดอาการทางจิตใจและร่างกายที่หลากหลาย ซึ่งอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ลูกของคุณอาจรู้สึกราวกับว่าพวกเขาสูญเสียการควบคุมตัวเองและพบว่าพวกเขาไม่สามารถปลดปล่อยตัวเองจากสถานการณ์บางอย่างได้ ซึ่งอาการแพนิคส่วนใหญ่มักมาพร้อมกับอาการทางกายภาพ ต่อไปนี้

          • เกิดความกลัวอย่างรุนแรงแบบฉับพลัน และรู้สึกว่ามีบางสิ่งที่เป็นอันตรายต่อชีวิตกำลังเกิดขึ้น
          • กลัวว่าตัวเองจะตาย สูญเสียการควบคุมตัวเอง เสียสติ
          • ใจสั่น หัวใจเต้นแรงมากกว่า 100 ครั้งต่อนาที
          • วิงเวียนศีรษะหรือหน้ามืด
          • หายใจถี่ เนื่องจากรู้สึกว่าหายใจไม่อิ่ม
          • ตัวสั่น
          • รู้สึกคลื่นไส้ ไม่สบายท้อง
          • อุณหภูมิร่างกายแปรปรวน
          ในกรณีส่วนใหญ่ อาการแพนิค จะคงอยู่เพียงไม่กี่นาทีก่อนจะสงบลง อย่างไรก็ตาม หลังเกิดอาการ สามารถทำให้เด็กเกิดความวิตกกังวลว่าจะมีอาการตื่นตระหนกเกิดขึ้นอีกครั้ง และนำไปสู่ ‘วงจรอุบาทว์’ ในที่สุด
          โรคแพนิคในเด็ก
          โรคแพนิคในเด็ก

          วิธีรับมือเมื่อเด็กเกิดอาการตื่นตระหนก

          ขั้นตอนที่คุณสามารถทำเพื่อช่วยให้บุตรหลานของคุณรับมือกับอาการแพนิคได้

          • ผู้ใหญ่ต้องมีสติในระหว่างที่เด็กเกิดอาการ

          หากลูกของคุณมีอาการตื่นตระหนก มีแนวโน้มว่าพวกเขาจะรู้สึกราวกับว่าพวกเขาสูญเสียการควบคุมตัวเอง ด้วยเหตุนี้จึงเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับพ่อแม่ที่จะควบคุมตัวเองให้ได้ตลอดช่วงเวลาที่ลูกเกิดอาการ Panic Attack พยายามสงบสติอารมณ์และพูดคุยกับพวกเขาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน และผ่อนคลาย บอกให้พวกเขาหายใจเข้าลึก ๆ ช้าๆ  และทำให้พวกเขามั่นใจว่าความตื่นตระหนกจะหมดไปในไม่ช้า เมื่ออาการตื่นตระหนกดูสงบลงแล้ว ให้เวลาและพื้นที่มากพอแก่เด็กๆ เพื่อให้พวกเขาได้สงบสติอารมณ์

          • แบบฝึกการหายใจ

          อธิบายให้ลูกฟังว่าเมื่อพวกเขามีอาการตื่นตระหนก การหายใจจะเร็วขึ้น อาจทำให้รู้สึกเวียนหัว และเจ็บหน้าอกได้ ดังนั้นควรสอนให้พวกเขาหายใจช้าลง สิ่งนี้สามารถช่วยลดอาการทางกายภาพของแพนิคและช่วยให้อาการผ่านไปเร็วขึ้น บอกลูกของคุณให้หายใจเข้าทางจมูกเป็นเวลาสามวินาที (พวกเขาควรรู้สึกว่าหน้าอกของพวกเขาขยายออกเมื่อทำเช่นนี้) กลั้นหายใจเป็นเวลาสองวินาทีก่อนที่จะหายใจออกจนสุดและเต็มที่ ลูกของคุณสามารถใช้กลยุทธ์การหายใจนี้ในครั้งต่อไปที่พวกเขามีอาการตื่นตระหนก นอกจากนี้ ข้อสำคัญที่สุดที่จะช่วยบรรเทาอาการตื่นตระหนกก่อนที่อาการจะกำเริบและกินเวลาเป็นนาทีหรือชั่วโมง คือ ถ้าลูกของคุณบอกว่าพวกเขารู้สึกหายใจไม่ออก ให้บอกพวกเขาว่าให้หายใจช้าๆ ด้วยการหายใจลึกๆ ซึ่งการหายใจด้วยถุงกระดาษสีน้ำตาลจะช่วยพวกเขาให้อาการทุเลาลงได้

          • สอนลูกของคุณเกี่ยวกับโรคแพนิค

          อาการตื่นตระหนกอาจทำให้เด็กตกใจ และลูกของคุณอาจกังวลเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ได้มากมาย เช่น กังวลว่าคนอื่นจะหัวเราะเยาะพวกเขา ไปจนถึงกังวลว่าพวกเขาจะหัวใจวาย หรือแม้กระทั่งกำลังจะตาย การสอนลูกของคุณเกี่ยวกับข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอาการของโรคแพนิค จะช่วยปัดเป่าความกังวลเหล่านี้ของลูกได้ อธิบายให้ลูกฟังว่าอาการตื่นตระหนกเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้และไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แม้ว่าพวกเขาจะรู้สึกกลัวและไม่สบายใจอย่างมากก็ตาม ควรให้ความมั่นใจแก่พวกเขาว่าอาการแพนิคนั้นเกิดเพียงชั่วครู่ซึ่งในที่สุดแล้วมันจะจบลง

          • ส่งเสริมให้ลูกของคุณเผชิญกับความกลัว

          หากลูกของคุณมีอาการตื่นตระหนกในการตอบสนองต่อสถานการณ์ สถานที่หรือวัตถุบางอย่าง สิ่งสำคัญคือต้องสนับสนุนให้พวกเขาเผชิญกับความกลัว ตัวอย่างเช่น หากลูกของคุณตื่นตระหนกเมื่ออยู่ในรถ ให้ค่อยๆ พาพวกเขานั่งรถอย่างระมัดระวัง เช่น การนั่งในรถเมื่อรถจอด ก่อนที่จะค่อยๆ เคลื่อนรถออกในระยะทางสั้นๆ สิ่งนี้จะช่วยให้ลูกของคุณตระหนักว่าความกลัวของพวกเขานั้นไร้เหตุผล นอกจากนี้การให้คำชมและให้กำลังใจแก่บุตรหลานของคุณจะช่วยให้พวกเขาว่าพวกเขารู้สึกอุ่นใจว่าพวกเขาไม่ได้ถูกทิ้งให้ทุกข์ทรมานเพียงลำพัง

          อ่านต่อ…ทำความเข้าใจ โรคแพนิค ในเด็ก ถึงลูกยังเล็กแต่มีโอกาสเป็นได้! คลิกหน้า 2

          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

          ทำบุญ บริจาคเสื้อผ้า ไม่ใช้

          เสื้อผ้าของเล่นลูกไม่ใช้อย่าทิ้งมา ทำบุญ ส่งต่อความสุขกัน

          ทำบุญ ไม่จำเป็นต้องทุ่มเงินมากมายก็ได้บุญเช่นกัน มาร่วมบริจาคเสื้อผ้า เครื่องใช้ ของลูกที่เราไม่ใช้แล้วแก่ 10 สถานที่รับบริจาคกัน อย่าทิ้งส่งต่อได้บุญ

          แม่จ๋า…เสื้อผ้าของเล่นลูกไม่ใช้อย่าทิ้ง! มาทำบุญส่งต่อความสุขกันเถอะ

          ทำบุญ ทำทาน เป็นสิ่งที่ชาวพุทธ ยึดถือปฎิบัติ คำว่า “บุญ” มีความหมายว่า การชำระล้างจิตใจให้บริสุทธิ์ ผ่องใส ดังนั้นการทำบุญที่ถูกต้อง และได้ผลดี ผู้ทำควรกระทำด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์สะอาด ปราศจากความโลภใด ๆ จึงกล่าวได้ว่า การทำบุญก็คือการทำความดีนั่นเอง ในความเข้าใจของผู้คนทั่วไป การทำบุญต้องมีปัจจัย มีทรัพย์สินเงินทองเท่านั้น ทำให้หลาย ๆ คนมักคิดว่าคนยากคนจน หรือคนที่มีกำลังทรัพย์ไม่มาก ก็มีโอกาสน้อยกว่าคนมั่งมีในการทำบุญ แต่แท้ที่จริงแล้ว ตามหลักคำสอนในพระพุทธศาสนา การทำบุญมีได้ถึง 10 ประการ การทำทานเป็นเพียงข้อหนึ่งในวิธีการทำบุญ 10 ประการนั้นเท่านั้นเอง

          ทำบุญ แบบไหนถึงได้บุญ
          ทำบุญ แบบไหนถึงได้บุญ

          10 วิธีการทำบุญ

          1. เอื้อเฟื้อแบ่งปัน ทำบุญทำทาน บริจาคตามกำลังทรัพย์
          2. การรักษาศีล อย่างน้อยควรรักษาศีล 5 ให้ได้เป็นประจำ
          3. การทำใจให้สงบ ทำปัญญาให้เกิด
          4. อ่อนน้อม แสดงความคารวะต่อผู้ที่ควรคารวะ
          5. ขวนขวายในกิจการที่ชอบที่ควร ได้แก่ ทำงานสุจริต ช่วยผู้อื่น มีจิตอาสา เป็นต้น
          6. การให้ส่วนบุญ แบ่งบุญให้แก่ผู้อื่น
          7. ยินดีในการทำความดีของผู้อื่น
          8. ฟังธรรม มีจิตใจตั้งมั่นในธรรม
          9. การแสดงธรรม หรือการให้คำแนะนำอันเป็นธรรม
          10. การทำความเห็นให้ถูกให้ตรง ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม

          จากวิธี 10 ประการดังกล่าวจะเห็นได้ว่า การได้บุญ ทำบุญ ไม่จำเป็นต้องใช้เงินเพียงเท่านั้น การประพฤติตนให้ดีงาม การแบ่งปัน ก็สามารถทำให้เราเกิดบุญได้เช่นกัน

          ทำบุญ ทำทาน

          ทาน แปลว่า การให้คือตั้งใจให้ สละให้ หรือบริจาคในทางพระพุทธศาสนา กำหนดวิธีทำบุญที่เป็นทานไว้หลายอย่าง โดยมีวัตถุประสงค์ของการให้ทาน ดังนี้

          1. เพื่ออนุเคราะห์ คือ ช่วยเหลือผู้มีความต้องการ เช่น ประสบภัยหรือขาดแคลน หรือได้รับความทุกข์ยาก ด้วยความกรุณา คือ คิดจะช่วยให้พ้นทุกข์
          2. เพื่อสงเคราะห์ คือ เกื้อกูลกันในระหว่างญาติ เพื่อนบ้าน มิตรสหาย เป็นการแสดงไมตรีจิตต่อกัน ด้วยความเมตตา คือคิดจะให้เป็นสุข
          3. เพื่อบูชาคุณ เช่น บูชาคุณมารดา บิดา ผู้มีอุปการคุณอื่น ๆ รวมทั้งพระภิกษุสามเณร ผู้ประพฤติดีประพฤติชอบ เป็นการบูชาท่านผู้ควรบูชา

            ทำบุญตักบาตร
            ทำบุญตักบาตร

          10 สถานที่บริจาคของเหลือใช้ เสื้อผ้า ส่งต่อได้บุญ!!

          ข้าวของเครื่องใช้ของเด็ก ใช้งานได้ไม่นาน ก็ไม่สามารถใช้ต่อได้แล้ว โดยเฉพาะเสื้อผ้าลูก เมื่อถึงวันโล๊ะบ้าน คุณพ่อคุณแม่คงได้ข้าวของ เครื่องใช้ เสื้อผ้าของเจ้าตัวน้อยกันมากมาย หลายกล่องเลยทีเดียว นอกจากตัวเลือกในการทิ้ง หรือเก็บลืมแล้ว เราอยากมาชวนคุณพ่อคุณแม่ให้ลองทำสิ่งของเหลือใช้เหล่านี้ มาให้เกิดประโยชน์แก่ผู้ที่ต้องการกันดีไหม มาดูสถานที่บริจาคสิ่งของมีที่ไหนบ้าง แล้วของใช้ประเภทไหนที่เราสามารถส่งต่อได้ ตามมาดูพร้อม ๆ กันเลย

          1.Help Keeper คนจิตอาสา

          รับบริจาคชุดนักเรียนใหม่ เสื้อกันหนาว ตุ๊กตา ผ้าห่ม ชุดอุปกรณ์การเรียน กระเป๋า ข้าวสาร อาหารแห้ง

          เกี่ยวกับ”Help Keeper คนจิตอาสา”  : กลุ่มคนอาสาที่เดินทางช่วยเหลือพี่น้องทั่วประเทศไทย อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง ทุกเดือน ไม่มีหยุด เรารับของบริจาคเรื่อย ๆ ต้องใช้ของบริจาคจำนวนมาก เพราะออกกิจกรรมบ่อย

          ที่อยู่ : Help Keeper  เลขที่ 85 หมู่ 10 ต.ช่างเคิ่ง อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ 50270 โทร : 090-2613805

          2.มูลนิธิบ้านนกขมิ้น

          เปิดรับบริจาคเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ของเล่น ตุ๊กคา เครื่องกีฬา และเครื่องใช้ไฟฟ้า ทั้งเก่าและใหม่ ดีและเสีย มือหนึ่งและมือสอง รวมไปถึงของใช้จิปาถะและวัสดุรีไซเคิลต่าง ๆ

          เกี่ยวกับ”มูลนิธิบ้านนกขมิ้น” : องค์กรที่ให้การช่วยเหลือเด็กกำพร้า เด็กเร่ร่อน เด็กด้อยโอกาส คนชรา และอีกมากมาย  นำของบริจาคเพื่อนำมาคัดแยก แล้วส่งมอบให้กับเด็กที่ต้องการ หรือเปลี่ยนเป็นโอกาสช่วยเหลือเด็กต่อไป โดยสามารถเข้ามาส่งมอบได้ที่โครงการเหลือ-ขอ มูลนิธิบ้านนกขมิ้น หรือส่งต่อมาที่มูลนิธิบ้านนกขมิ้น หรือจะติดต่อนัดรถไปรับถึงบ้านก็ได้เช่นกัน

          ที่อยู่: มูลนิธิบ้านนกขมิ้น 89/6 ซ.เสรีไทย 17 แขวงคลองกุ่ม เขตบึ่งกุ่ม กรุงเทพมหานคร 10240 โทร: 02-375-6497

          จัดเก็บตู้เสื้อผ้า นำมาบริจาค
          จัดเก็บตู้เสื้อผ้า นำมาบริจาค

          3.มูลนิธิสวนแก้ว

          เปิดรับบริจาคของเหลือใช้และของใช้ในบ้านต่าง ๆ เช่น เสื้อผ้า หนังสือ เฟอร์นิเจอร์ เครื่องมือ และเครื่องใช้ไฟฟ้า ที่เก่าหรือชำรุดแล้วพอซ่อมได้

          เกี่ยวกับ “มูลนิธิสวนแก้ว” : องค์กรสาธารณะประโยชน์จากวัดสวนแก้ว มีโครงการ “คุณไม่ใช้ เราขอ”  เพื่อนำไปบริจาคให้แก่ผู้ยากไร้ ทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อไป โดยสามารถส่งต่อได้ด้วยการเข้าไปบริจาคหรือส่งพัสดุไปที่มูลนิธิสวนแก้ว ไม่ก็ติดต่อกับเจ้าหน้าที่โดยตรงเพื่อนัดหมายสถานที่ที่ต้องการ

          ที่อยู่ : มูลนิธิสวนแก้ว  ที่อยู่ : เลขที่ 55/1 หมู่ 1 ต.บางเลน อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี 11140 โทร : 0-2595-1444, 0-2595-1946

          อ่านต่อ>> 10 สถานที่รับบริจาคของเหลือใช้ ของเด็ก คลิกหน้า 2

           

          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

           

            พ่อแม่ฝึกการทำ CPR

            พ่อแม่ฝึกการทำ CPR ยิ่งช่วยลูกได้เร็ว โอกาสรอดยิ่งสูง

            อุบัติเหตุ สิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น โดยเฉพาะกับลูกของเรา จึงขอเชิญชวนคุณพ่อคุณแม่มาเรียนรู้ วิธีการทำ CPR เพื่อช่วยชีวิตลูกหากเกิดเรื่องไม่ขาดฝันขึ้น

            พ่อแม่ฝึกการทำ CPR ยิ่งช่วยลูกได้เร็ว โอกาสรอดยิ่งสูง

            ทีมกองบรรณาธิการ ABK ได้มีโอกาสไปร่วมงาน Amarin Baby & Kids Fair ครั้งที่ 22 Presented By Lazada นอกจากสินค้าดี ๆ มากมายแล้ว ยังได้มีโอกาสได้ฟังเสวนาเรื่อง  “การปฐมพยาบาลเบื้องต้น และ CPR (การช่วยฟื้นคืนชีพในเด็ก)” โดย แพทย์หญิงนงนภัส เก้าเอี้ยน กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบบทางเดินหายใจในเด็ก และทีมพยาบาล โรงพยาบาลพระรามเก้า จึงขอนำเนื้อหาที่มีประโยชน์มาถ่ายทอดให้คุณแม่ทั้งหลายได้อ่านกันค่ะ

            เมื่อลูกหกล้ม ปฐมพยาบาลอย่างไร

            • ให้รีบเข้าไปประคอง และดูว่าเป็นการหกล้มอย่างรุนแรงหรือไม่
            • หากพบว่ามีบาดแผล ให้ทำความสะอาดบาดแผล (ผู้ที่ทำแผลควรล้างมือให้สะอาด) เพื่อฆ่าเชื้อและกำจัดสิ่งสกปรกที่อาจติดอยู่ในบาดแผล จากนั้นให้ทายาสำหรับรักษาแผลสดและปิดด้วยพลาสเตอร์หรือผ้าพันแผล
            • ถ้าเลือดไหลเยอะให้กดบาดแผล
            • เพื่อป้องกันไม่ให้มีการฟกช้ำ หรือบวมอย่างรุนแรง ให้ทำการประคบเย็นบริเวณบาดแผล บริเวณฟกช้ำ หรือบวม
            • ในกรณีที่มีอาการปวด ให้รับประทานยาแก้ปวด
            • พักผ่อนและรอดูอาการ และสังเกตอาหารใน 24 ชั่วโมงแรก

            ข้อควรระวัง

            • หากเป็นการ พลัดตก หกล้มที่ไม่รุนแรงก็สามารถปฐมพยาบาล และให้พักผ่อนได้
            • หากเป็นการบาดเจ็บที่รุนแรง เช่น ศีรษะ คอ ดวงตาได้รับการกระทบกระเทือน ควรรีบปฐมพยาบาลเบื้องต้นและนำส่งโรงพยาบาลทันที
            • ล้างแผลด้วยน้ำสะอาด แอลกอฮอล์ล้างแผล หรือผลิตภัณฑ์สำหรับทำความสะอาดบาดแผลเท่านั้น
            • การประคบเย็นควรใช้ผ้าสะอาดห่อน้ำแข็ง ไม่ควรใช้น้ำแข็งประคบโดยตรง
            • หากมีเลือดไหลต่อเนื่อง ให้ทำการห้ามเลือดด้วยผ้าสะอาดเท่านั้น ไม่ควรใช้มือหรืออุปกรณ์อื่นที่ไม่สะอาดทำการห้ามเลือด
            • ในกรณีที่มีการหกล้มจนกระดูกหัก พยายามอย่าให้ผู้บาดเจ็บเคลื่อนไหวเพราะอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บมากยิ่งขึ้น

             

            การปฐมพยาบาลเด็กที่สำลัก หรือมีสิ่งแปลกปลอมอุดกั้นทางเดินหายใจ

            สำลัก….สังเกตจากอาการอย่างไร

            • ระหว่างที่เด็กกินนม จะไอ มีอาการเหมือนกับจะขย้อนนมหรืออาหารออกมา หากสำลักไม่มาก ก็อาจไอเล็กน้อย 2-3 ครั้งแล้วก็หายไป
            • หากสำลักมาก จะไอแรงถึงขนาดหน้าเขียว หรือมีเสียงหายใจผิดปกติ ดังครืดคราด
            • การไอเป็นกลไกการขับสิ่งแปลกปลอมออกจากท่อหลอดลม
            • หากไอออกมาสำเร็จ เขาจะหยุดไอและเป็นปกติ

            อาการแสดงว่ากำลังสำลัก

            • ถ้าขับออกไม่สำเร็จ สิ่งแปลกปลอมขนาดเล็กอาจลงไปสู่ทางเดินหายใจส่วนล่าง เกิดปอดอักเสบ หรือลงไปอุดในหลอดลมขนาดเล็กเกิดภาวะปอดแฟบหรือปอดแตกตามมา
            • ถ้าสิ่งแปลกปลอมมีขนาดใหญ่จะอุดท่อหลอดลมขนาดใหญ่ จะทำให้เด็กหายใจไม่ได้โดยเฉียบพลัน

            อาการที่แสดงว่ามีอาการรุนแรง

            • ลูกจะมีอาการ คือ พยายามไอแต่ไม่มีเสียงไอออกมา หายใจไม่ได้ หน้าเขียว ตาเหลือก ร้องไห้ไม่มีเสียง พูดไม่มีเสียง หรือหมดสติ เป็นกรณีฉุกเฉินที่คุณต้องใช้วิธีการต่อไปนี้ในการทำให้สิ่งอุดกั้นหลุดออก จากหลอดลมโดยด่วน
            • ถ้าลูกยังหายใจได้ พูดได้ ร้องไห้มีเสียง ไม่ควรพยายามเอาสิ่งแปลกปลอมออกด้วยตัวเอง เพราะทำให้ของเข้าไปลึกมากขึ้นจนอุดหลอดลมได้ หรือบางครั้งของนั้นอาจอยู่ในหลอดลมอยู่แล้วแต่ตำแหน่งไม่ได้อุดกั้น 100% การไปพยายามเคลื่อนไหวให้ของนั้นหลุด อาจทำให้เปลี่ยนลักษณะเป็นการอุดกั้น 100%ได้
            • ให้คุณพยายามปลอบลูกไม่ให้ตกใจและรีบพาไปพบแพทย์ฉุกเฉินโดยเร็วที่สุด โดยสังเกตการหายใจของลูกอย่างใกล้ชิด

            วิธีป้องกัน

            • จับลูกเรอทุกครั้งหลังจากที่กินนมเสร็จ
            • ห้ามใช้หรือเล่น ของเล่น ชิ้นเล็ก เหรียญ
            • เลือกประเภทอาหารที่เหมาะสมเช่น เด็กที่อายุน้อยกว่า 3 ปี ไม่แนะนำให้กินถั่วเม็ดเล็ก ข้าวโพด เมล็ดทานตะวัน น้อยหน่า มะขาม
            • ควรเริ่มฝึกให้เด็กนั่งกินข้าวได้เองที่โต๊ะอาหาร ไม่เล่น กระโดด นอนกิน หัวเราะ พูด
            • สอนให้เคี้ยวอาหารให้ละเอียด ไม่มูมมาม
            • ห้ามอมวัตถุแปลกปลอม
            • เด็กเล็กกว่า 3 ปี ยังไม่ควรกิน เยลลี่ ขนมเหนียวหนึบ เป่าลูกโป่ง
            • อย่าปล่อยให้เด็กอยู่ตามลำพัง
            จับลูกเรอทุกครั้งหลังกินนม
            แพทย์หญิงนงนภัส เก้าเอี้ยน สาธิตการจับเด็กเรอหลังกินนม

            วิธีช่วยเหลือเบื้องต้น

            สำลักนมธรรมดา จับเด็กนอนตะแคง ให้ศีรษะเด็กต่ำลง เพื่อป้องกันไม่ให้นมหรืออาหารที่อาจมีอยู่ในปากไหลย้อนกลับไปที่ปอด ที่สำคัญ ไม่ควรจับเด็กอุ้มขึ้นทันทีเมื่อเกิดอาการสำลัก

            จับเด็กนอนตะแคง ให้ศีรษะเด็กต่ำลง
            จับเด็กนอนตะแคง ให้ศีรษะเด็กต่ำลง

            อ่านต่อ…พ่อแม่ฝึกการทำ CPR ยิ่งช่วยลูกได้เร็ว โอกาสรอดยิ่งสูง คลิกหน้า 2

            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

              กิจกรรมบำบัด

              กิจกรรมบำบัด คลายเครียดสำหรับเด็ก สำคัญอย่างไร มีแบบไหนบ้าง?

              กิจกรรมบำบัด – สำหรับเด็กๆ ในวัยเรียนแล้ว แน่นอนว่าการเรียนเป็นสิ่งที่สำคัญอันดับแรกๆ ในชีวิตที่ต้องเอาใจใส่ อย่างไรก็ตามคุณพ่อคุณแม่ควรหาเวลาให้เด็กๆ ได้ผ่อนคลายในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์  ด้วยการเล่นหรือทำกิจกรรมต่างๆ ซึ่งจะช่วยบำบัดความเครียดในเด็กที่สะสมมาตลอดทั้งสัปดาห์ทั้งจากการต้องใช้สมองในการเรียนและการตื่นเช้าไปโรงเรียนได้ วันนี้เรามาดูกันค่ะว่ากิจกรรมบำบัดในเด็ก หรือการเล่นบำบัดสำหรับเด็กนั้นสำคัญอย่างไร และ มีกิจกรรมแบบไหนบ้างที่เหมาะสำหรับการผ่อนคลายความเครียดสำหรับเด็ก

              กิจกรรมบำบัด คลายเครียดสำหรับเด็ก สำคัญอย่างไร มีแบบไหนบ้าง?

              ในฐานะผู้ปกครอง บางครั้งอาจไม่ใช่เรื่องง่าย ที่จะตัดสินว่าพฤติกรรมต่างๆ ที่ดีและไม่ดีของลูก ที่เกิดขึ้นในแต่ละวันเป็นส่วนหนึ่งของการเติบโตขึ้น หรือเป็นสัญญาณของปัญหาที่ใหญ่กว่า ความหงุดหงิด ความเครียด ความวิตกกังวล และปัญหาทางสังคมและในโรงเรียนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้เมื่อเด็กๆ โตขึ้นเพื่อใช้ชีวิตในสังคม  อย่างไรก็ตาม คุณพ่อคุณแม่สามารถหาข้อมูลต่างๆ  เพื่อตัดสินใจว่าเราสามารถทำอะไรได้บ้างเพื่อช่วยผ่อนคลายอารมณ์ความรู้สึกของลูกซึ่งเป็นหนึ่งแนวทางการเลี้ยงลูกแบบเชิงรุก  

              ผู้ปกครองต้องเรียนรู้วิธีสังเกตสัญญาณความเครียดและความวิตกกังวลของเด็กๆ  ซึ่งหนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการแก้ไขปัญหา คือ การสอนให้เด็กๆ ได้รู้จักกับอารมณ์และอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้น เมื่อพวกเขาเริ่มประสบกับอาการเหล่านั้น ซึ่งจะช่วยให้เด็กๆ รับมือกับความเครียดต่างๆได้ดี นอกจากนี้ เมื่อเด็กๆ รู้สึกหนักใจหรือวิตกกังวล  แน่นอนว่าสามารถเพิ่มระดับความเครียดและความกังวลให้กับทั้งครอบครัวได้ การค้นหากลยุทธ์การผ่อนคลายที่ช่วยให้เด็กๆ จัดการกับช่วงเวลาที่กังวลใจจึงเป็นรากฐานสำหรับการจัดการความเครียดที่ดีต่อสุขภาพตลอดชีวิต ซึ่งนั่นก็คือการให้เด็กๆ ได้ทำกิจกรรมบางอย่างที่ช่วยบำบัดอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ ในทางลบได้ ซึ่งก็คือ สิ่งที่เรียกว่า กิจกรรมบำบัด (Occupational Therapy) เพื่อผ่อนคลายความเครียดสำหรับเด็กๆ นั่นเองค่ะ

              ความสำคัญของ กิจกรรมบำบัด คลายเครียดสำหรับเด็ก

              ความเครียดเรื้อรัง อาจส่งผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจของเด็กๆ ซึ่งเทคนิคการผ่อนคลายด้วยกิจกรรมต่างๆ ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพในการลดผลกระทบในทางลบได้ การฝึกผ่อนคลายทุกรูปแบบเป็นเวลาหนึ่งนาทีขึ้นไปจะช่วยลดอัตราการเต้นของหัวใจ อัตราการหายใจ อุณหภูมิผิวหนัง และความตึงเครียดของกล้ามเนื้อของเด็ก สิ่งสำคัญที่สุดคือวิธีการผ่อนคลายที่ทำให้การหายใจของเด็กช้าลงและลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อนั้นย่อมมีประโยชน์

              ในระยะยาว เทคนิคการผ่อนคลายสำหรับเด็กด้วยกิจกรรมต่างๆ จะช่วยปรับปรุงความเป็นอยู่และความสุขโดยรวม ซึ่งรวมถึงความสามารถในการรับมือกับความเจ็บปวด สมาธิโดยรวม และความสามารถในการนอนหลับตอนกลางคืน ตลอดจนยังลดความวิตกกังวลและพฤติกรรมก้าวร้าวในเด็กและพัฒนาทักษะทางสังคม ความสามารถในการแก้ปัญหา ความมั่นคงทางอารมณ์ และที่สำคัญคือผลการเรียนได้อีกด้วย

              เทคนิคการผ่อนคลายไม่เพียงแต่สามารถบรรเทาอาการทางร่างกายของเด็กเท่านั้น แต่ยังช่วยให้เด็กๆ รู้สึกมั่นคงและมั่นใจในสถานการณ์ต่างๆ ซึ่งช่วยให้พวกเขาพบช่วงเวลาแห่งความสงบท่ามกลางความสับสนวุ่นวาย

              นอกจากนี้ การบำบัดด้วยกิจกรรม จะช่วยให้เด็กประมวลผลและแสดงความคิดและอารมณ์ผ่านการเล่น การนำเสนอแนวทางที่สนุกสนานและเป็นมิตรกับเด็กในการสำรวจกิจกรรมและหัวข้อที่ท้าทาย ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นมากกว่าแค่ความ “สนุก” ในระหว่างการร่วมกิจกรรม

              ขั้นตอนแรกในการจัดการกับความวิตกกังวลและความเครียดในเด็ก คือ การตระหนักถึงผลกระทบทางกายภาพของความรู้สึกเป็นทุกข์ หงุดหงิด กังวลใจ หรือโกรธ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นผลกระทบระยะสั้นจากระดับความเครียดในระดับสูงของเด็ก ซึ่งสามารถส่งผบกระทบทางลบ ต่อเด็กๆ ได้ดังนี้

              • เกิดความสับสนทางความคิด
              • สื่อสารด้วยความยากลำบาก
              • ความสามารถในการจดจำเรื่องที่ซับซ้อนลดลง

              นอกจากนี้ ผลกระทบระยะยาวจากความเครียดและความวิตกกังวลเรื้อรังต่อเด็กและวัยรุ่นมีศักยภาพที่จะร้ายแรงกว่านั้นมาก ซึ่งจะทำให้พวกเขาเกิดอาการดังนี้

              • มีแนวโน้มที่จะปวดหัว ปวดท้อง และปวดกล้ามเนื้อ เรื้อรัง
              • รูปแบบการนอนหลับที่ดีต่อสุขภาพของพวกเขาจะถูกขัดจังหวะ
              • ความผิดปกติทางจิตที่ไม่ได้รับการรักษาจะเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตทางอารมณ์ของเด็กและการเปลี่ยนไปสู่วัยผู้ใหญ่

              ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไม่ กิจกรรมบำบัด จึงสำคัญสำหรับเด็กที่กำลังตกอยู่ในความเครียดสะสม ซึ่งต่อไปนี้ คือกิจกรรมที่เหมาะสมสำหรับการบำบัดความเครียดในเด็กประเภทต่างๆ ที่ผู้ปกครองควรรู้ค่ะ

              อ่านต่อ…กิจกรรมบำบัด คลายเครียดสำหรับเด็ก สำคัญอย่างไร มีแบบไหนบ้าง? คลิกที่หน้า 2

              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

              เลี้ยงลูกอย่างไรให้ฉลาด เป็นเด็กอัจฉริยะ

              แม่แชร์!! เลี้ยงลูกอย่างไรให้ฉลาด เป็นเด็ก “อัจฉริยะ”

              เด็ก อัจฉริยะ เป็นเด็กที่มีความสามารถบางอย่างโดดเด่นมากกว่าเด็กในวัยเดียวกัน โดยเปรียบเทียบกับเด็กกลุ่มเดียวกัน พ่อแม่ควรสังเกตและสนับสนุนความสามารถของลูก

              แม่แชร์!! เลี้ยงลูกอย่างไรให้ฉลาด เป็นเด็ก “อัจฉริยะ”

              ทีมกองบรรณาธิการ ABK ได้มีโอกาสไปร่วมงาน Amarin Baby & Kids Fair ครั้งที่ 22 Presented By Lazada นอกจากสินค้าดี ๆ มากมายแล้ว ยังได้มีโอกาสชมการแสดงของน้องๆ ที่เป็นเด็ก อัจฉริยะ ทั้ง 5 คน พร้อมทั้งฟังการถ่ายทอดประสบกาณ์ของคุณแม่น้องๆ ในการเลี้ยงลูกให้เป็นเด็กอัจฉริยะ จึงขอนำเนื้อหาที่มีประโยชน์มาถ่ายทอดให้คุณแม่ทั้งหลายได้อ่านกันค่ะ

              แม่แชร์!! เลี้ยงลูกอย่างไรให้ฉลาด เป็นเด็ก “อัจฉริยะ”

              เด็กอัจฉริยะ เกิดขึ้นได้จากตัวเด็กเอง หรือเป็นเพราะการเลี้ยงดู วันนี้เรามาหาคำตอบกัน เริ่มจากน้องคนแรกกันเลยค่ะ

              น้องข้าวปุ้น อายุ 6 ปี แสดงความสามารถในการวาดรูปแบบดูเดิ้ลอาร์ท (Doodle Art)

              น้องข้าวปุ้นใช้เวลาในการวาดรูปในกระดาษเปล่าเพียงแค่ 8 นาที โดยที่ไม่ได้ลงสี เนื่องจากเวลาที่มีจำกัด เป็นรูปเด็กผู้หญิง ซึ่งต่อมาน้องบอกว่า วาดรูปของตัวเอง ในผมคือของกินต่างๆ ที่น้องชอบรับประทาน เป็นรูปตามจินตนาการของเด็กที่สวยงามมาก

              น้องข้าวปุ้นชอบวาดรูปตั้งแต่สามารถจับปากกาได้ โดยชอบการขีดเขียนมาเรื่อยๆ และเริ่มฉายแววเมื่อโรงเรียนปิดเป็นเวลา 1 ปี  เนื่องจากการระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งน้องเรียนออนไลน์อยู่บ้าน โดยเรียนเพียงครึ่งวันเช้า เวลาที่เหลือน้องชอบวาดรูป ทุกเช้าเมื่อตื่นนอน น้องข้าวปุ้นจะถามหากระดาษ คุณแม่ก็จะจัดเตรียมกระดาษ ดินสอ ปากกาไว้ให้ เพื่อน้องจะได้หยิบใช้สะดวก

              คุณพ่อคุณแม่จะส่งเสริมการวาดรูปของน้องข้าวปุ้น โดยการพาน้องไปเรียนลงสี เพื่อเพิ่มทักษะในส่วนนี้ นอกจากนี้คุณพ่อคุณแม่ยังร่วมกันวาดรูปกับน้อง อาจเปิดยูทูปวาดตามไปด้วยกัน ทั้งนี้คุณพ่อคุณแม่เป็นผู้ที่ชื่นชอบในศิลปะการวาดรูป แต่ไม่ได้มีทักษะในการวาดรูปมากนัก จนน้องเริ่มสนใจการวาดรูปแบบดูเดิ้ลอาร์ทเนื่องจากเห็นในอินเตอร์เน็ต และเห็นเพื่อนวาด จึงเกิดความชอบและเริ่มหันมาวาดรูปแบบดูเดิ้ลอาร์ท

              คุณแม่ที่อยากชื่นชมผลงาน และให้กำลังใจน้องข้าวปุ้น สามารถติดตามน้องได้ทางเพจ Kaopoon Story นะคะ

              น้องข้าวปุ้น อัจฉริยะ ในการวาดรูปแบบดูเดิ้ล
              น้องข้าวปุ้น อัจฉริยะ ในการวาดรูปแบบดูเดิ้ล

               

              ผลงานรูปวาดจากการแสดงของ น้องข้าวปุ้น
              ผลงานรูปวาดจากการแสดงของ น้องข้าวปุ้น

              น้องจัสมิน อายุ 10 ปี และน้องจัสทีน่า อายุ 8 ปี แสดงความสามารถในการร้อง และเต้น

              น้องจัสมินและน้องจัสทีน่าเป็นพี่น้องกัน เริ่มเข้าวงการบันเทิงโดยการถ่ายโฆษณาเมื่ออายุ 6 เดือน เมื่อออกไปนอกบ้านน้องจะไม่กลัวคน จะยิ้มทักทายผู้อื่นอยู่เสมอ และจะขยับร่างกายเมื่อได้ยินเสียงเพลง ไม่ว่าจะเป็นเพลงแนวไหน ภาษาอะไร สถานที่ใดก็ตาม น้องจะชอบเข้าร่วมกิจกรรมตามสถานที่ต่าง ๆ ที่ไป ไม่ว่าจะตามงานอีเว้นท์ ถนนคนเดิน กิจกรรมในห้าง หรือในรายการเกมส์โชว์ทางโทรทัศน์

              คุณแม่ชอบในการร้องเพลง แต่เพียงแค่ร้องเล่นๆ ไม่ใช่ร้องเพื่อประกวด และไม่ได้มีความสามารถในการเต้น คุณแม่จะส่งเสริมความสามารถของน้องควบคู่ไปกับการเรียน เพราะน้องมีกิจกรรมเยอะ เนื่องจากน้องจัสมินและน้องจัสทีน่าเป็นนักแสดงด้วย ครอบครัวไม่ได้อาศัยอยู่ที่กรุงเทพฯ เมื่อต้องเดินทางมากรุงเทพฯ เพื่อถ่ายละครทุกอาทิตย์ น้องจะเตรียมหนังสือในวิชาที่น้องจะต้องขาดเรียนมาด้วย โดยคุณแม่จะเป็นผู้สอน เพื่อให้น้องได้เรียนตามทันเพื่อน และไม่เป็นภาระของครูที่โรงเรียน

              น้องจัสมินมีความชื่นชอบในการร้องเพลงมากกว่าการเต้น ส่วนน้องจัสทีน่ามีความชื่นชอบในการเต้นและการแสดงมากกว่าการร้องเพลง ทั้งสองคนจะคอยช่วยเหลืออีกฝ่ายในสิ่งที่ตัวเองถนัด เป็นพี่น้องที่รักและคอยดูแลช่วยเหลือซึ่งกันและกันเป็นอย่างดี อีกทั้งยังได้รับการสนับสนุนจากคุณพ่อคุณแม่ให้ทำในสิ่งที่ตนเองมีการฉายแววถึงความเป็นอัจฉริยะและชื่นชอบอีกด้วย

              คุณแม่ที่อยากชื่นชมผลงาน และให้กำลังใจน้องจัสมินและน้องจัสทีน่า สามารถติดตามน้องได้ทางเพจ น้องจัสมิน Jasmine Fanpage และ น้องทีน่า Justina Fanpage นะคะ

              น้องจัสมินและน้องจัสทีน่า อัจฉริยะ ด้านร้องและเต้น
              น้องจัสมินและน้องจัสทีน่า อัจฉริยะ ด้านร้องและเต้น

               

              อ่านต่อ…แม่แชร์!! เลี้ยงลูกอย่างไรให้ฉลาด เป็นเด็ก “อัจฉริยะ” คลิกหน้า 2

               

              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                อาละวาด บ้านแตก tantrums รับมืออย่างไร

                นิ่งไว้แม่!เมื่อลูกน้อย อาละวาด บ้านแตกหมอแนะทำยังไงดี

                อาละวาด บ้านแตก ร้องกรี๊ดตลอดทางพ่อแม่ที่มีลูกคงเคยประสบพบเจอกันมาแน่ tantrums อาการโวยวายของเด็กเล็กที่พ่อแม่ควรใส่ใจ รับมือดีช่วยลูกก้าวผ่านได้ไร้ปัญหา

                นิ่งไว้แม่!! เมื่อลูกน้อย อาละวาด บ้านแตกหมอแนะทำยังไงดี?

                อาละวาด โมโห เกรี้ยวกราด เป็นอารมณ์ในแบบหนึ่งของมนุษย์ คนทุกเพศทุกวัยสามารถเกิดอารมณ์โมโห โกรธ จนอาละวาดได้ แต่ที่ดูจะเป็นปัญหากับการ อาละวาด นั้นมักจะถูกโฟกัสไปที่เด็ก นั่นก็เพราะว่า ในผู้ใหญ่นั้นเรามีคำว่า “วุฒิภาวะ” ที่มาช่วยจัดการกับอารมณ์โกรธเหล่านั้น ให้แสดงออกมาได้อย่างเหมาะสม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ผู้ใหญ่ทุกคน และทุกครั้งที่ผู้ใหญ่โกรธ หรือโมโหจะแสดงพฤติกรรมออกมาได้อย่างเหมาะสมเสมอไป เหมือนที่เราอาจจะเคยพบเห็น ผู้ใหญ่โกรธแล้วขว้างปาขว้างของ โมโหแล้วชกต่อย ด่าทอกันอย่างรุนแรง จนบางครั้งถึงขั้นฆ่ากันตายเลยก็มี

                Tantrums ที่มีความหมายถึง ความโมโหโทโส ความโกรธเคือง จึงเป็นอารมณ์ปกติของมนุษย์ที่สามารถเกิดขึ้นได้ ไม่เพียงแต่ในเด็กเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ เวลาคุณพ่อคุณแม่เจอลูก อาละวาด หรือ Tantrum ก็โปรดเข้าใจเขา อย่าไปหงุดหงิด ไม่พอใจใส่ลูก เพราะขนาดผู้ใหญ่ยังมีที่ไม่สามารถจัดการอารมณ์เหล่านี้ได้เช่นกัน การที่พ่อแม่ไม่ช่วยลูกในการจัดการอารมณ์ให้แสดงออกมาอย่างถูกต้องเหมาะสม แต่กลับไปลงโทษ ต่อว่านั่นยิ่งเป็นการเติมเชื้อไฟ แล้ววิธีการช่วยเหลือลูกในการจัดการอารมณ์ที่ดีจะเป็นเช่นไร ลองมาฟังคำแนะนำดี ๆ จากคุณหมอ ที่จะช่วยให้ลูกได้พัฒนาทักษะในการจัดการกับอารมณ์ของตัวเองได้ดี ให้ลูกมีความฉลาดทางอารมณ์กันดีกว่า

                อาละวาด ร้องกรี๊ด tantrums
                อาละวาด ร้องกรี๊ด tantrums

                วัยทอง 2 ขวบ หรือ terrible two

                เป็นภาวะหนึ่งของช่วงวัยเด็กประมาณ 2-3 ขวบที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก โดยเฉพาะด้านความคิดและอารมณ์ และเริ่มแสดงความเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น ทำให้อยากตัดสินใจด้วยตัวเองมากขึ้น จากที่คุณพ่อคุณแม่จะเป็นคนเลือกให้ลูกก็อาจจะอยากร่วมตัดสินใจด้วยบ้าง และต้องการอิสระมากขึ้น หากถูกบังคับ ปฏิเสธ หรือไม่เป็นไปตามที่ต้องการก็จะมีอาการต่อต้าน หรือ “ดื้อ” ที่ค่อนข้างรุนแรงกว่าปกติ และอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ได้ง่ายมาก จนบางคนเรียกว่า วัยทองช่วงสองขวบ

                terrible two นับว่าเป็นการแสดงอาการ tantrums ของเด็กวัย 2-3 ขวบ นั่นเอง ดังนั้น หากจะนับเรื่องการ อาละวาดหรือ tantrums ที่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกวัย terrible(ตัวร้าย)  ก็ไม่จำเป็นต้องมีเพียงแค่ two หรือวัย 2 ขวบเท่านั้น หากแต่ว่าถ้าเด็กไม่สามารถจัดการอารมณ์ของตัวเองได้ดี ก็สามารถ terrible ได้ทุกวัย

                Temper Tantrums 

                การร้องอาละวาด (Temper Tantrums) หมายถึง พฤติกรรมแสดงความไม่พอใจ เช่น การกรีดร้อง ตะโกน กระทืบเท้า นอนดิ้นกับพื้น ฟาดแขนขา จนถึงทำร้ายตนเองหรือผู้อื่น เพื่อระบายความโกรธหรือความคับข้องใจ ซึ่งเป็นอารมณ์ที่ควบคุมได้ยากในเด็กเล็ก

                การร้องอาละวาดเป็นพัฒนาการปกติที่เด็กกำลังเรียนรู้การควบคุมตนเอง เริ่มพบได้ตั้งแต่อายุ 12 ถึง 18 เดือน พบบ่อยในช่วงอายุ 2 ถึง 3 ปี จึุงเป็นที่มาของคำว่า “วัยทอง 2 ขวบ (Terrible Two) พบร้อยละ 50-80 มีการร้องอาละวาดอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งในช่วงวัยนี้ และจะค่อย ๆ ลดลงจนหายไปเมื่ออายุ 4 ปี การร้องอาละวาดรุนแรงพบประมาณร้อยละ 5

                terrible two คือ อะไร
                terrible two คือ อะไร

                เด็ก ๆ Tantrums กันยังไง??

                เมื่อลูกเกิดอารมณ์ขัดใจ ไม่พอใจ โกรธ และเริ่มร้องไห้อย่างรุนแรง ล้มตัวนอนกับพื้น ฟาดแขนฟาดขาไปมา ร้องกรี๊ดบ้านแตก หรืออาจทำร้ายตนเอง และคนอื่น ทำลายข้าวของโดยตั้งใจ บางคนร้องมากจนเกิดการร้องกลั้น (breath holding spell) ส่วนใหญ่การร้องอาละวาดใช้เวลาไม่เกิน 5 นาที

                ทำความเข้าใจกันเสียก่อนว่า Tantrums เป็นเรื่องที่เจอได้ปกติ ในเด็กช่วง 1-4 ขวบ และเมื่อเด็กถูกขัดใจ ก็จะแสดงอารมณ์โกรธ ก้าวร้าวที่มากล้นเหลือเฟือออกมา ทำให้เรามักพบว่าลูกจะอาละวาดในช่วงเวลาต่อไปนี้ ได้แก่ ใกล้นอน ใกล้เวลารับประทานอาหาร ตื่นนอนใหม่ ๆ ก่อนอาบน้ำ ก่อนปิดทีวี ช่วงที่มีแขกมาบ้าน มีงานปาร์ตี้ หรือพ่อแม่กำลังคุยโทรศัพท์ หรือแม้แต่ตอนที่ลูกเล่นกับพี่น้อง หรือเพื่อน ๆ เป็นต้น หากลองพิจารณาดูในช่วงเวลาดังกล่าวแล้ว จะพบว่าเป็นช่วงเวลาที่พวกเด็ก ๆ จะต้องหยุด หรือออกไปทำพฤติกรรมที่เขาไม่ชอบ ทำให้ลูกมักมีอาการ tantrums อยู่เสมอ อาการอาละวาดนี้ถึงแม้จะเป็นเรื่องปกติ แต่สร้างความลำบากใจให้พ่อแม่เป็นอย่างมาก เพราะทำให้พ่อแม่รู้สึกเหมือนถูกท้าทาย รู้สึกอับอาย ขายหน้า เมื่อเกิดเหตุการณ์ในที่มีคนอื่นอยู่ด้วย และที่สำคัญ พวกเราส่วนใหญ่ไม่รู้ว่า “จะหยุดมันยังไง”
                Tantrums จะไม่ปกติ ไม่ธรรมดาอีกต่อไปถ้ามีปัจจัย ดังต่อไปนี้

                การร้องอาละวาดที่เป็นปัญหา         

                1. พ่อแม่คิดว่าเป็นปัญหา เช่น เป็นบ่อยขึ้น เป็นนานขึ้น เป็นรุนแรงขึ้น หรือเกิดขึ้นบ่อยที่โรงเรียน
                2. ร้องตั้งแต่ 3 ครั้งขึ้นไปต่อวัน แต่ละครั้งร้องนานเกิน 15 นาที
                3. มีปัญหาพฤติกรรมอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ปัญหาการนอน ปัญหาการเรียน ปัญหาความสัมพันธ์กับเพื่อน เป็นต้น
                4. มีการทำลายข้าวของ ทำร้ายตนเอง ทำร้ายผู้อื่นร่วมด้วย

                อ่านต่อ>> ปัจจัยที่สัมพันธ์กับการร้องอาละวาด และวิธีรับมือเมื่อลูก tantrums จากคุณหมอ คลิกหน้า 2

                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                 

                  ให้ลูกเรียนว่ายน้ำ

                  ให้ลูกเรียน ว่ายน้ำ เล่นน้ำได้-ว่ายน้ำเป็น ป้องกันลูกจมน้ำ!

                  ว่ายน้ำ เล่นน้ำ เป็นกิจกรรมที่เด็กๆ โปรดปราน แต่การเสียชีวิตของเด็กที่ จมน้ำ มีมากในทุกปี ดังนั้นพ่อแม่จึงควรป้องกันด้วยการให้ลูก เรียนว่ายน้ำ

                  ให้ลูกเรียน ว่ายน้ำ เล่นน้ำได้-ว่ายน้ำเป็น ป้องกันลูกจมน้ำ!

                  ทีมกองบรรณาธิการ ABK ได้มีโอกาสไปร่วมงาน Amarin Baby & Kids Fair ครั้งที่ 22 Presented By Lazada นอกจากสินค้าดี ๆ มากมายแล้ว ยังได้มีโอกาสได้ฟังเสวนาเรื่อง “ให้ลูกเรียนว่ายน้ำสำคัญยังไง จะดูแลป้องกันยังไงไม่ให้ลูกจมน้ำ” โดย คุณครูซู ผู้เชี่ยวชาญ ด้านการสอนว่ายน้ำทารกและเด็กเล็ก จบหลักสูตรนานาชาติจากประเทศออสเตรเลีย Head of Academic จากโรงเรียนสอนว่ายน้ำทารกและเด็กเล็ก Swimming Kids Thailand จึงขอนำเนื้อหาที่มีประโยชน์มาถ่ายทอดให้คุณแม่ทั้งหลายได้อ่านกันค่ะ

                  ขอขอบคุณ คุณครูซู ผู้เชี่ยวชาญ ด้านการสอนว่ายน้ำทารกและเด็กเล็ก จากโรงเรียน Swimming Kids Thailand
                  ขอขอบคุณ คุณครูซู ผู้เชี่ยวชาญ ด้านการสอนว่ายน้ำทารกและเด็กเล็ก จากโรงเรียน Swimming Kids Thailand

                  ให้ลูกเรียน ว่ายน้ำ เล่นน้ำได้ ว่ายน้ำเป็น ป้องกันลูกจมน้ำ

                  ประโยชน์ของการ เรียนว่ายน้ำ

                  การเรียนว่ายน้ำของทารกและเด็กเล็กช่วยเสริมสร้างพัฒนาการด้านร่างกาย อารมณ์ สติปัญญา และเป็นการเพิ่มความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว เป็นการสร้างความคุ้นชินกับน้ำ สร้างทักษะพื้นฐานต่างๆ เช่น การฝึกกลั้นหายใจ การนอนหงายลอยตัว การใช้มัดกล้ามเนื้อในการ kick paddle การจับ เกาะและไต่ขอบสระ อีกทั้งยังมีกิจกรรมโดยใช้น้ำเป็นสื่อผ่าน สี ของเล่น การเคลื่อนไหวตามจังหวะ การร้องเพลง และเกมส์กิจกรรมฐานแบบต่างๆ ตามพัฒนาการของหนูๆ เพื่อกระตุ้นการเรียนรู้สภาพแวดล้อม และประสาทการรับรู้ ช่วยให้มีร่างกายและอารมณ์ดี มีพัฒนาการเติบโตสมวัย

                  ในปัจจุบันการเรียน การสอน ว่ายน้ำ เป็นหลักสูตรสมัยใหม่ ซึ่งจะสอนให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้ และฝึกกิจกรรม โดยสามารถเริ่มได้ตั้งแต่วัยเด็กเล็ก ซึ่งเด็กสามารถเริ่มเรียนว่ายน้ำได้ตั้งแต่อายุ 4 เดือนเป็นต้นไป สิ่งที่เด็ก ๆ จะได้จากการเรียนว่ายน้ำประกอบไปด้วย ทักษะสำคัญที่เกี่ยวกับการว่ายน้ำ ที่ให้เด็กแต่ละช่วงวัยได้ฝึกและพัฒนาต่อยอดไปตามช่วงวัยได้ เช่น

                  • เด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี การกลั้นหายใจเมื่อน้ำสัมผัสหน้า และการดำน้ำในระยะเวลาสั้นๆ ช่วยพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็กมัดใหญ่ให้แข็งแรง กระตุ้นพัฒนาการและประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของเด็กๆ
                  • เด็กอายุ 1-3 ปี ก็จะได้ทักษะการรอคอย รู้จักสัญญาณความปลอดภัยต่างๆ การเอาตัวรอดในน้ำในรัศมี 1-2 เมตรไปยังจุดปลอดภัย เช่น การลอยตัว การฮาฟเทรินไปยังจุดปลอดภัย เป็นต้น
                  • เด็กอายุ 3 ปีขึ้นไป จะเริ่มมีมัดกล้ามเนื้อที่แข็งแรง สามารถฝึกว่ายน้ำในระยะไกลขึ้น ฝึกทักษะการเอาตัวรอดในน้ำ การจัดระเบียบร่างกายเพื่อเรียนท่าว่ายน้ำต่างๆ ได้ทักษะการว่ายน้ำที่ถูกต้อง  นอกจากนี้ยังฝึกช่วยเหลือตัวเองและผู้ประสบภัยทางน้ำให้ปลอดภัยเมื่อมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น

                  **หัวใจสำคัญของการ เรียนว่ายน้ำ คือ เพื่อความปลอดภัย ให้เด็กๆ สามารถเอาตัวรอดได้เมื่อเกิดอุบัติเหตุทางน้ำ นอกเหนือจากความสุขและความสนุกที่ได้ขณะเรียนว่ายน้ำ

                  วิธีป้องกันเด็ก จมน้ำ

                  • คุณพ่อคุณแม่หรือผู้ปกครอง จะต้องดูแลเด็กอย่างใกล้ชิด ห้ามคลาดสายตา โดยเฉพาะเด็กที่ไม่มีประสบการณ์การเรียนว่ายน้ำมาก่อน
                  • ถ้าแหล่งน้ำนั้นลึกและกว้าง คุณพ่อคุณแม่ยิ่งต้องมีความระมัดระวังในการดูแลลูกให้ดี
                  • อย่าคิดว่า น้ำน้อย ไม่ลึก ไม่อันตราย แม้แต่กิจกรรมที่ทำในสถานที่เดิมทุกวัน ก็อาจเกิดอุบัติเหตุได้ เช่น การอาบน้ำในอ่างอาบน้ำเล็กๆ เเล้วปล่อยให้เด็กเล่นตามลำพัง หรือคลาดสายตาไปเพียงเสี้ยววินาที เมื่อเด็กเกิดอุบัติเหตุลื่นไถลตัวอยู่ในอ่างอาบน้ำ ถ้าเด็กไม่มีประสบการณ์ฝึกมาก่อน ก็จะทำให้เกิดอาการตกใจสำลักน้ำอย่างรุนแรง เพียงระยะเวลา 5-10วินาที ก็สามารถเกิดอันตรายกับเด็กได้ คุณพ่อคุณแม่จึงควรดูแลอย่างใกล้ชิด ไม่ปล่อยให้เด็กอยู่เพียงลำพัง
                  • หากเด็กได้รับการฝึกฝนเมื่อเกิดสถานการณ์ต่างๆ เด็กจะมีทักษะการเอาตัวรอดได้ในระยะเวลาหนึ่ง เช่น การกลั้นหายใจในน้ำเป็น หรือบางคนได้รับการฝึกให้สามารถควบคุมร่างกายและพาตัวเองขึ้นมายังจุดปลอดภัยได้ เนื่องจากมีประสบการณ์ฝึก จะเกิดการจดจำและการตอบสนองอย่างถูกต้องได้ทันที

                   

                  อ่านต่อ…ให้ลูกเรียน ว่ายน้ำ เล่นน้ำได้ ว่ายน้ำเป็น ป้องกันลูกจมน้ำ คลิกหน้า 2

                   

                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                    ควีนเอลิซาเบธที่ 2 สวรรคต

                    อาลัย ควีนเอลิซาเบธที่ 2 เปิดพระราชดำรัส“คิงชาร์ลส์”ถึงพระมารดาอันเป็นที่รัก

                    ควีนเอลิซาเบธที่ 2 เสด็จสวรรคต ทั่วโลกแห่ไว้อาลัย “คิงส์ชาร์ลส์” มีพระราชดำรัสถึงพระมารดาอันเป็นที่รัก มาย้อนดูบทบาทราชินิในฐานะแม่เพื่อความระลึกถึงพระองค์

                    อาลัย! ควีนเอลิซาเบธที่ 2 เปิดพระราชดำรัส“คิงชาร์ลส์”ถึงพระมารดาอันเป็นที่รัก

                    วันนี้ (9 ก.ย. 2565) ตามเวลาประเทศไทย ได้รับข่าวเศร้า การสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระบรมราชินีนาถ เอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร ทำให้ทั่วโลกร่วมอาลัยกับการสูญเสียในครั้งนี้ ในฐานะประมุข พระองค์ทรงปฎิบัติหน้าที่ได้อย่างดี จนเป็นที่รักของพสกนิกร ทำให้ผู้คนต่างออกมาร่วมไว้อาลัยที่หน้าพระราชวังกันเป็นจำนวนมาก

                    ขอขอบคุณภาพจาก Getty Images
                    ขอขอบคุณภาพจาก Getty Images

                     

                    พระบาทสมเด็จพระบรมราชินีนาถ เอลิซาเบธ ที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร สวรรคต เมื่อเวลา 00.32 น. วันศุกร์ (9 ก.ย.) ตามเวลาไทย ณ พระราชวังบัลมอรอล ในสกอตแลนด์ สิริพระชนมพรรษา 96 พรรษา

                    ด้านเจ้าฟ้าชายชาร์ลส พระราชโอรส ทรงเลื่อนสถานะขึ้นมาเป็นพระมหากษัตริย์แห่งสหราชอาณาจักร โดยใช้พระนามาภิไธย “พระเจ้าชาร์ลส ที่ 3” ขณะที่นางคามิลลา ปาร์เกอร์ โบวล์ส พระชายาในเจ้าฟ้าชายชาร์ลส ก็เลื่อนสถานะขึ้นมาเป็นพระราชินี

                    สำนักพระราชวังบักกิงแฮม ออกแถลงการณ์ตามหลังการเสด็จสวรรคตว่า

                    “พระบาทสมเด็จพระราชินีนาถสวรรคตโดยสงบ ณ พระราชวังบัลมอรอล บ่ายนี้ (ตามเวลาท้องถิ่น) สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (พระองค์ใหม่) และสมเด็จพระราชินีจะประทับที่พระราชวังบัลมอรอลค่ำนี้ และจะเสด็จพระราชดำเนินกลับกรุงลอนดอนวันพรุ่งนี้”

                    พระบาทสมเด็จพระบรมราชินีนาถ เอลิซาเบธ ที่ 2 (ควีนเอลิซาเบธที่ 2)ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงครองสิริราชสมบัติยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหราชอาณาจักร ด้วยระยะเวลา 70 ปี 214 วัน โดยทรงก้าวขึ้นสู่บัลลังก์ตั้งแต่มีพระชนมพรรษา 25 พรรษาเท่านั้น หลังจากการสวรรคตของพระราชบิดา (พระบาทสมเด็จพระราชาธิบดี จอร์จที่ 6) เมื่อปี 2495 และยังทรงเป็นประมุขของประเทศอื่นอีก 14 ประเทศ ไม่รวมสหราชอาณาจักร ได้แก่

                    • กรีเนดา
                    • แคนาดา
                    • จาเมกา
                    • เซนต์คิตส์และเนวิส
                    • เซนต์ลูเชีย
                    • เซนต์วินเซนต์และเกรนาดีนส์
                    • ตูวาลู
                    • นิวซีแลนด์
                    • บาฮามาส
                    • เบลีซ
                    • ปาปัวนิวกินี
                    • หมู่เกาะโซโลมอน
                    • ออสเตรเลีย
                    • แอนทีกาและบาร์บิวดา
                    ที่มา : https://www.sanook.com
                    ควีนเอลิซาเบธที่ 2
                    ควีนเอลิซาเบธที่ 2

                    ควีนเอลิซาเบธที่ 2 ในฐานะ “แม่”

                    แม้ว่า ควีนเอลิซาเบธที่ 2จะทรงเริ่มต้นปฏิบัติพระราชกรณียกิจ ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ตั้งแต่พระชนมายุได้ 16 พรรษา ได้เริ่มปฏิบัติพระราชกรณียกิจแห่งองค์รัชทายาทเป็นครั้งแรก และในฐานะพระราชินีด้วยพระชนมพรรษา 25 พรรษาเท่านั้น แต่ในมุมของความเป็นแม่นั้น ก็ทรงปฎิบัติไม่ละเลย ถึงแม้ว่าจะได้รับคำกล่าวที่ว่า ทรงเป็นพระมารดาที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดที่สละเวลาในบัลลังก์มากกว่าครอบครัวของเธอแต่เธอยังคงเป็นแม่ที่รัก ห่วงใย และให้ความสำคัญกับครอบครัวของเธอเสมอ แม้ในรูปแบบของแม่ที่มีงานยุ่งแทบตลอดเวลาก็ตาม

                    พระราชินีเอลิซาเบธที่ 2 ทรงพบกับเจ้าชายฟิลิปแห่งกรีซและเดนมาร์ก พระสวามีในอนาคต เมื่อปี ค.ศ. 1934 และ ค.ศ. 1937 ทั้งสองพระองค์เป็นพระญาติชั้นที่หนึ่งของกันและกัน ผ่านทางสายพระโลหิตของพระเจ้าคริสเตียนที่ 9 แห่งเดนมาร์ก และเป็นพระญาติชั้นที่สามผ่านทางสายพระโลหิตของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย จากนั้นทรงพบปะกันอีกครั้งที่วิทยาลัยราชนาวีอังกฤษในปี ค.ศ. 1939 ซึ่งขณะนั้นมีพระชนมายุ 13 พรรษา และทรงยอมรับว่ามีพระเสน่หากับเจ้าชายฟิลิป ทั้งสองพระองค์จึงทรงมีจดหมาย และหัตถเลขาถึงกันและกันแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ต่อมาพิธีหมั้นจึงประกาศออกมาอย่างเป็นทางการในวันที่ 9 กรกฎาคม ค.ศ. 1947 และพระองค์อภิเษกกันในวันที่ 20 พฤศจิกายน ค.ศ. 1947 ณ เวสต์มินสเตอร์แอบบีย์

                    อ่านต่อ>>พระราชินีเอลิซาเบธที่ 2 กับบทบาทความเป็น “แม่” และคำอาลัยจาก “คิงส์ชาร์ลส์” คลิกหน้า 2

                     

                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                     

                      เลี้ยงเด็ก

                      แพทย์เผย! เลี้ยงเด็ก ให้มีความสุข ต้องใช้ จิตวิทยา ให้เป็น

                      จิตวิทยาการเลี้ยงลูก เลี้ยงเด็ก ทำอย่างไรให้ครอบครัวมีความสุข อบอุ่น ลูกเจริญเติบโตอย่างมีสุขภาพดีทั้งกายและใจ มีพัฒนาการสมวัย พร้อมก้าวเดินไปสู่สังคมภายนอก

                      แพทย์เผย! เลี้ยงเด็ก ให้มีความสุข ต้องใช้ จิตวิทยา ให้เป็น

                      ทีมกองบรรณาธิการ ABK ได้มีโอกาสไปร่วมงาน Amarin Baby & Kids Fair ครั้งที่ 22 Presented By Lazada นอกจากสินค้าดี ๆ มากมายแล้ว ยังได้มีโอกาสได้ฟังเสวนาเรื่อง “จิตวิทยาการเลี้ยงลูกน้อยอย่างมีความสุข” โดย อาจารย์ ดร.นิปัทม์ พิชญโยธิน นักจิตวิทยาพัฒนาการเรื่องการเปลี่ยนผ่านจากคู่รักสู่การเป็นพ่อแม่ ประธานแขนงวิชาจิตวิทยาพัฒนาการ คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และอาจารย์อาภาพร อุษณรัศมี นักจิตวิทยาพัฒนาการด้านการเล่นเพื่อส่งเสริมพัฒนาการ อาจารย์ประจำแขนงวิชาจิตวิทยาพัฒนาการ คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงขอนำเนื้อหาที่มีประโยชน์มาถ่ายทอดให้คุณแม่ทั้งหลายได้อ่านกันค่ะ

                      ขอขอบคุณ อาจารย์ ดร.นิปัทม์ พิชญโยธิน และอาจารย์อาภาพร อุษณรัศมี
                      ขอขอบคุณ อาจารย์ ดร.นิปัทม์ พิชญโยธิน ประธานแขนงวิชาจิตวิทยาพัฒนาการ และอาจารย์อาภาพร อุษณรัศมี อาจารย์ประจำแขนงวิชาจิตวิทยาพัฒนาการ คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

                      แพทย์เผย!! เลี้ยงเด็ก ให้มีความสุข ต้องใช้ จิตวิทยา ให้เป็น

                      จิตวิทยา คือ ศาสตร์ที่ศึกษาค้นคว้าเพื่อนำข้อมูลความรู้มาเสนอ อธิบาย และเพื่อควบคุม และเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของมนุษย์และสัตว์ จิตวิทยามุ่งศึกษาด้านความสัมพันธ์ระหว่างกระบวนการของร่างกายกับจิตใจ ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นระเบียบแบบแผน เพราะร่างกายและจิตใจมักมีการแสดงออกร่วมกัน อีกทั้งยังแสดงออกในแนวทางที่สามารถทำนายได้

                       

                      อาจารย์ ดร.นิปัทม์ พิชญโยธิน และอาจารย์อาภาพร อุษณรัศมี ได้ให้ความรู้ในเรื่อง การเลี้ยงเด็กให้มีความสุข ดังนี้

                      ความกังวลของคุณพ่อคุณแม่มือใหม่

                      คุณพ่อคุณแม่อาจกังวลถึง การเลี้ยงลูก ว่าจะเป็นพ่อแม่ที่ดีได้ไหม มีความรู้พอไหมในการเตรียมตัว ออกมาแล้วจะมีปัญหาพัฒนาการไหม จะเก่งเหมือนลูกข้างบ้านไหม กลัวไม่มีน้ำนม กลัวจะเลี้ยงลูกได้ไม่ดีเท่าที่ควร เกิดความวิตกกังวลในเรื่องต่างๆ คุณหมอแนะนำว่าให้คุณพ่อคุณแม่ลองเขียนปัญหาออกมาเป็นรายการ แล้วดูว่าจะแก้ไขปัญหาเหล่านี้ยังไง เมื่อเห็นว่าสามารถจัดการปัญหาที่เขียนออกมาได้ ก็จะคลายความกังวลลง การเขียนปัญหาออกมาเป็นตัวหนังสือ ทำให้หลุดออกมาจากการคิดที่วนอยู่ในหัวไม่จบสิ้น เมื่อเขียนออกมาแล้วก็จะหยุดคิด และเปลี่ยนมาเป็นหาวิธีแก้ไขแทน จิตวิทยา คือ การไม่คิดซ้ำ เอาสิ่งที่อยู่ในหัวเราออกมาข้างนอกเพื่อให้รู้ปัญหาที่เกิดขึ้นคืออะไร การวิตกกังวลเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นได้ แต่เราต้องรู้ทัน และหาวิธีการแก้ปัญหาที่ดีต่อสุขภาพจิตของเรา หากรู้สึกว่าตัวเองคนเดียวไม่ไหว ก็ให้มองไปรอบๆข้างเราว่ามีใครช่วยเราได้บ้าง การที่เราไม่พูดความกังวลออกมาทำให้คนข้างๆเราไม่เข้าใจ และไม่รู้ว่าจะช่วยเราอย่างไร แต่หากเราพูดออกมาเค้าอาจจะช่วยเราได้ หากไม่มีคนรอบข้างที่จะช่วยเราได้ สามารถปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ นักจิตวิทยา จิตแพทย์ เพื่อทำให้เราคลายความกังวลลงได้

                      ความกังวลคือความคาดหวัง สิ่งที่คิดล่วงหน้า โดยการหาข้อมูลจากการดูชีวิตของคนอื่น แล้วเอาเค้ามาเปรียบเทียบว่าลูกเราน่าจะเป็นแบบลูกดาราที่เราเห็นตามสื่อโซเชียลหรือลูกเพื่อน เราเห็นต้นแบบหรือองค์ประกอบส่วนเล็กเพียงส่วนหนึ่งของชีวิตของคนอื่นๆ เอามาประกอบเป็นภาพที่เราคาดหวังว่าถ้าวันที่ลูกออกมาลืมตาดูโลก เขาจะเป็นอย่างไร คุณแม่ตั้งครรภ์มีสิทธิ์ที่จะกังวล แต่ว่าเราต้องเข้าใจว่าเราไม่สามารถคาดเดาอะไรได้ ความคาดหวังกับความเป็นจริง ถ้าห่างกันมากจะเกิดความเครียดได้ เช่น เราคาดหวังว่าลูกจะต้องเลี้ยงง่ายเหมือนน้องคนนั้น แต่เมื่อลูกเกิดมาแล้วมันไม่ใช่สิ่งที่เราคาดหวัง ฉะนั้นเราต้องยอมรับว่าเด็กทุกคนมีธรรมชาติของเขาเอง ธรรมชาติของเด็กแต่ละคนต่างกัน หากเรากังวลหรือคาดหวังไว้สูงอาจทำให้เราเครียดได้

                       

                      มีวิธีปรับเปลี่ยนแนวคิดการเลี้ยงลูกเลียนแบบดารา เซเลบ ซึ่งเด็กอาจไม่ชอบ

                      ต้องเข้าใจธรรมชาติของเด็กและวางใจให้เย็น อย่าทำให้ความคาดหวังกับความเป็นจริงห่างกันมาก สิ่งที่รับมาจากบ้านอื่นให้เก็บเป็นข้อมูลพื้นฐานก็พอ อย่าไปยึดติดว่าลูกเราจะต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ เราสามารถเตรียมความรู้พื้นฐานได้ เช่น เข้าคอร์สฝึกเตรียมตัวการเป็นพ่อแม่ ฝึกอาบน้ำ ฝึกให้นม เป็นต้น แต่เมื่อลูกคลอดแล้วคุณพ่อคุณแม่ต้องสังเกตลูกว่าเขาต้องการอะไรมากน้อยแค่ไหน เช่น แม่ซื้อของเตรียมให้ลูก คาดหวังว่าลูกจะได้ใช้ทุกชิ้นที่ซื้อ แต่สุดท้ายลูกไม่ชอบไม่ยอมใช้ เมื่อเรามีความรู้พื้นฐานก็จะทำให้เราใจเย็นยอมรับธรรมชาติของลูกและปรับตัวเราให้เค้ากับลูกได้ เราสามารถหาความรู้พื้นฐานได้ทั้งยูทูป หนังสือ เพื่อนเล่า ช่วยทำให้เราคลายกังวล แต่สิ่งนั้นอาจจะเกิดหรือไม่เกิดกับลูกเราก็ได้ ต้องเข้าใจ ยอมรับ และเลี้ยงลูกด้วยธรรมชาติของเขา

                       

                      3 เดือนแรกเมื่อลูกคลอด

                      3 เดือนแรกเป็นการทำความรู้จักกับลูก เมื่อพ้น 3 เดือนแล้วจะเข้าใจว่าลูกเป็นแบบไหน ขี้ร้อน ขี้หนาว ชอบอาบน้ำตอนไหน วิธีกล่อมนอนแบบไหนเหมาะกับลูก

                       

                      การเปิดเพลง หรืออ่านหนังสือให้ลูกในท้องฟัง 

                      มีงานวิจัยที่ระบุว่า พัฒนาการทางการได้ยินของเด็กเกิดขึ้นตั้งแต่ในครรภ์ เด็กสามารถได้ยินและจดจำเสียงของคุณพ่อคุณแม่ได้ตั้งแต่ในครรภ์ มีการพิสูจน์โดยให้เด็กฟังเสียงของแม่สลับกับการให้ฟังเสียงผู้หญิงอื่นที่เด็กไม่คุ้นเคย ปรากฎว่าเด็กมีอัตราการดูดจุกนมที่ถี่กว่าเมื่อได้ยินเสียงของคนที่ไม่คุ้นเคย และเมื่อได้ยินเสียงของคุณแม่จะเปลี่ยนเป็นจุกดูดนมแบบช้าๆ

                      การเล่านิทานและพูดคุยกับลูกในครรภ์เป็นการสร้างสายใยความผูกพันตั้งแต่ก่อนที่ลูกจะเกิด เด็กจะสามารถได้ยินเสียงตั้งแต่ 4-5 เดือนในท้อง เล่านิทานให้ลูกฟังด้วยความดังปกติเหมือนเวลาพูดก็เพียงพอแล้ว ไม่ต้องพูดให้เสียงดังกว่าเดิม คุณพ่อสามารถพูดใกล้ๆท้องแม่ได้ เมื่อคลอดแล้วคุณแม่เล่านิทาน หรือร้องเพลงเดิมๆให้ลูกฟัง ลูกจำเสียงได้ จะรู้สึกปลอดภัยและอุ่นใจ

                       

                      อ่านต่อ…แพทย์เผย! เลี้ยงเด็ก ให้มีความสุข ต้องใช้ จิตวิทยา ให้เป็น คลิกหน้า 2

                       

                      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                        ผิวแพ้ง่าย

                        เด็กทารก ผิวแพ้ง่าย อาบน้ำใช้สบู่แบบไหน ?

                        ช่วงสั้น ๆ ไม่กี่นาทีของการอาบน้ำลูก คือช่วงเวลาแสนพิเศษที่ช่วยเพิ่มสายใยรักแม่ลูกให้มีขึ้นอย่างทวีคูณ กองบรรณาธิการ Amarin Baby & Kids มีไอเทมอาบน้ำ 2 in 1 ที่จะช่วยเพิ่มความสุข เติมเสียงหัวเราะให้คุณแม่คุณลูกได้ในทุกวันของการอาบน้ำ ขอแนะนำ แชมพูสบู่หลว โคโดโม โอกานิคุ คุณแม่สามารถใช้อาบน้ำ สระผมครบจบในขวดเดียว เหมาะกับเด็กทารกตั้งแต่แรกเกิด เด็กเล็ก ถนอมผิวบอบบาง ผิวแพ้ง่าย ให้แลดูมีสุขภาพผิวดี

                         ผิวแพ้ง่าย

                        ทำไมเด็กทารกมี… ผิวแพ้ง่าย

                        เบบี๋น้อยแรกเกิด เห็นผิวนุ๊มนุ่ม น่ากอด น่าหอม แต่จริง ๆ แล้วโครงสร้างผิวยังไม่แข็งแรง ผิวทารกจะมีความบอบบาง และไวต่อการระคายเคือง และก็แพ้ง่ายมาก ถ้าสังเกตดูผิวใกล้ ๆ จะเห็นว่าผิวแห้ง ลอกเป็นขุยขาว ๆ ทั้งผิวหน้า และผิวกาย คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ที่มีลูกอยู่ในวัยทารก เด็กเล็ก ควรต้องดูแลทะนุถนอมผิวลูกน้อยให้อ่อนโยนที่สุดกันนะคะ

                        ผิวแพ้ง่าย ของลูกน้อยยังมีสาเหตุมาจากปัจจัยแวดล้อมอย่าง สภาพอากาศ , การอาบน้ำ รวมถึงผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ใช้กับผิวลูก ก็สามารถทำให้ผิวมีปัญหาได้เช่นกันค่ะ

                        วิธีดูแลผิวลูกน้อยให้แลดูสุขภาพดี ตั้งแต่อาบน้ำ

                        ช่วงเวลาการอาบน้ำให้ลูกน้อยถือเป็นขั้นตอนแรกของการดูแลถนอมผิว อย่างที่บอกคุณพ่อคุณแม่ไปว่าผิวทารกบอบบาง ผิวมีความไวต่อการระคายเคือง ผิวแพ้ง่าย ซึ่งการอาบน้ำที่ถูกวิธีจะช่วยให้ผิวของลูกน้อยนุ่ม ชุ่มชื้น ผิวแข็งแรงแลดูสุขภาพดีขึ้นได้ค่ะ

                        1. อาบน้ำวันละครั้ง

                        ในเด็กทารกช่วงเดือนแรก คุณแม่ไม่จำเป็นต้องอาบน้ำให้ลูกทุกวัน อาจจะอาบน้ำให้วันเว้นวันก็ได้ และก็อาบน้ำให้ลูกแค่วันละครั้งก็พอแล้วค่ะ

                        2. อุณหภูมิน้ำอาบที่เหมาะสม

                        การเตรียมน้ำอาบให้ลูก อาจทำให้คุณพ่อคุณแม่มือใหม่มึนงงกันได้ค่ะ เพราะถ้าน้ำร้อนไป หรือน้ำเย็นไป ก็จะทำให้ผิวลูกน้อยแห้งได้ง่าย น้ำอาบสำหรับเด็กทารก เด็กเล็ก ควรให้อุ่นกำลังดีอยู่ที่อุณหภูมิ 27-28 องศาเซลเซียส

                        3. อาบน้ำแค่ 5 นาทีก็พอ

                        ไม่ใช่แค่คุณพ่อคุณแม่มือใหม่สงสัยว่าจะอาบน้ำให้ลูกนานแค่ไหน อาบกี่นาที เราก็เคยสงสัยมาก่อนตอนที่มีลูกคนแรก คุณหมอ คุณพยาบาลแนะนำว่าเด็กทารกอาบน้ำแค่ 5 นาทีก็พอแล้วค่ะ

                        4. หยดเบบี้ออยล์ลงในน้ำอาบ

                        เทคนิคนี้ได้มาจากเพื่อน ๆ คุณแม่ด้วยกันแนะนำมา แค่ใช้เบบี้ออยล์ 1-2 หยดผสมลงในน้ำอาบ ก็ช่วยให้ผิวลูกน้อยชุ่มชื่น ผิวไม่แห้งตึงหลังอาบน้ำได้ดีมาก ๆ ค่ะ

                        5. สบู่เหลวอาบน้ำ

                        ถ้าน้ำอาบเป็นนางเอก สบู่เหลวอาบน้ำคือพระเอก สองอย่างนี้ต้องคู่กันค่ะ ผิวลูกจึงจะไม่ถูกทำร้ายจากการอาบน้ำ ผลิตภัณฑ์สบู่เหลวอาบน้ำต้องใช้ของเด็กเท่านั้นนะคะ ไม่แนะนำให้ใช้สบู่เหลวผู้ใหญ่มาอาบน้ำให้ลูก สบู่เหลวอาบน้ำสำหรับเด็กที่ดีต้องอ่อนโยนต่อ ผิวแพ้ง่าย ของทารก

                        แชมพูสบู่เหลว โคโดโม โอกานิคุ

                        แชมพูสบู่เหลว โคโดโม โอกานิคุ ความอ่อนโยนที่แม่ใช้ดูแลผิวลูกน้อยตอนอาบน้ำ

                        ไอเทมอาบน้ำขวดนี้อยากให้ทุกครอบครัวที่มีลูกตั้งแต่แรกเกิดได้ใช้กันค่ะ เพราะด้วยความที่เป็น 2in1 Head To Toe ตอบโจทย์คุณแม่มือใหม่ที่สุด ใช้สะดวก สระผม อาบน้ำลูกก็ครบจบในขวดเดียว ที่สำคัญคือมีความอ่อนโยนเป็นธรรมชาติ ดีต่อเส้นผมและผิวของลูกน้อย ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อดวงตา และผิว มาดูคุณสมบัติที่แม่ ๆ เลิฟกันมาก ของแชมพูสบู่เหลว โคโดโม โอกานิคุ ในขวดสีสวยสบายตาขวดนี้กันต่อค่ะ

                        • มีสารสกัด Organic Olive Oil คุณค่าออร์แกนิคจากธรรมชาติ ที่ผ่านการรับรองจากสถาบันโลก ECOCERT COSMOS Organic ช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิวและผมของลูกน้อย
                        • ปราศจากสารสบู่ SLS พาราเบน ซิลิโคน สี และแอลกอฮอล์
                        • No Tears formula ผ่านการทดสอบว่าไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อดวงตา
                        • Hypoallergenic Tested ผ่านการทดสอบว่าไม่ก่อให้เกิดการแพ้และการระคายเคืองต่อผิว

                        (โดย Dermscan Asia Co.,Ltd. ในกลุ่มตัวอย่าง 53 คน ในช่วงพ.ย.-ธ.ค.2562 การแพ้และระคายเคืองเป็นปัจจัยเฉพาะบุคคล)

                        • หลังอาบน้ำเสร็จ เส้นผม ผิวลูกน้อยจะชุ่มชื่น มีกลิ่นหอมละมุน น่าหอม น่ากอดทั้งวัน
                        • รางวัลแชมพูสบู่เหลวสูตรออร์แกนิคอันดับ 1 ในใจแม่*

                        (*ผลิตภัณฑ์แชมพูสบู่เหลว โคโดโม เป็นผลิตภัณฑ์อันดับ 1 ในใจคุณแม่ เมื่อกล่าวถึงผลิตภัณฑ์แชมพูสบู่เหลวสำหรับเด็ก สูตรออร์แกนิค ภายใต้การเก็บข้อมูลโดย บริษัท เอคอร์น มาร์เก็ตติ้ง แอนด์ รีเสิร์ช คอนซัลแทนส์ จำกัด ซึ่งจัดทำโครงการนี้ในช่วงวันที่ 30 ม.ค. 64 – 27 ก.พ. 64)

                        แชมพูสบู่เหลว โคโดโม โอกานิคุ ขวดนี้คุ้มมากนะคะ เพราะใช้สระผม ทำความสะอาดผิวลูกได้ตั้งแต่แรกเกิด แล้วยังจะใช้ได้ดีกับผู้ใหญ่ที่มีผิวแพ้ง่ายด้วยนะคะ ที่บ้านเราก็ใช้กันค่ะ ใช้ดีจึงอยากส่งมอบไอเทมอาบน้ำสุดเริ่ดขวดนี้ให้กับว่าที่คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ ให้ทุกครอบครัวที่มีลูกได้ใช้กันค่ะ

                        มาสร้างช่วงเวลาแสนพิเศษของการอาบน้ำให้กับลูกน้อยด้วยความอ่อนโยนที่ได้จาก “แชมพูสบู่เหลว โคโดโม โอกานิคุ” กันนะคะ

                        KODOMO Ogniku Head To Toe Wash

                        KODOMO Ogniku Head To Toe Wash มีให้คุณแม่เลือกใช้มากถึง 5 ขนาด

                        1. ขนาดพกพา 100 มล.

                        2. ขนาดมาตรฐาน 200 มล. ฝา cap เปิดปิด ใช้งานง่าย 

                        3. ขนาดถุงเติม สุดประหยัด 380 มล.

                        4. ขนาดใหญ่ ฝาปั๊ม ใช้งานสะดวก 400 มล.

                        5. ขนาดใหญ่พิเศษ ฝาปั๊ม คุ้มสุด ๆ 800 มล.

                         ช้อปผลิตภัณฑ์แชมพูสบู่เหลวโคโดโม โอกานิคุ คลิก LionShopOnline

                         

                         

                         

                          Tags

                          เลี้ยงลูกด้วยนมแม่

                          หมอเผย!! เลี้ยงลูกด้วย นมแม่ ให้มีความสุข ทำอย่างไร?

                          หมออร จากเพจเลี้ยงลูกโตไปด้วยกันกับหมออร และ คุณสุภาพร เรียงหา พยาบาลนมแม่และเด็ก แนะวิธี เลี้ยงลูกด้วย นมแม่ ให้มีความสุข ต้องทำอย่างไร?

                          หมอเผย!! เลี้ยงลูกด้วย นมแม่ ให้มีความสุข ต้องทำอย่างไร?

                          ทีมกองบรรณาธิการ ABK ได้มีโอกาสไปร่วมงาน Amarin Baby & Kids Fair ครั้งที่ 22 Presented By Lazada นอกจากสินค้าดี ๆ มากมายแล้ว ยังได้มีโอกาสได้ฟังเสวนาเรื่อง เลี้ยงลูกด้วย นมแม่ ให้มีความสุข” ร่วมกับ พญ.กัลย์สุดา อริยะวัตรกุล จากเพจ เลี้ยงลูกโตไปด้วยกันกับหมออร และ คุณสุภาพร เรียงหา พยาบาลนมแม่และเด็ก เพจแม่โบ พยาบาลนมแม่และเด็ก หญิงตั้งครรภ์และหลังคลอด NurseKids จึงขอนำเนื้อหาที่มีประโยชน์มาถ่ายทอดให้คุณแม่ทั้งหลายได้อ่านกันค่ะ

                          พญ.กัลย์สุดา อริยะวัตรกุล ร่วมให้ความรู้ในงานสัมนาเรื่อง เลี้ยงลูกด้วย นมแม่ ให้มีความสุข
                          พญ.กัลย์สุดา อริยะวัตรกุล ร่วมให้ความรู้ในงานสัมนาเรื่อง เลี้ยงลูกด้วย นมแม่ ให้มีความสุข

                          หมอเผย!! เลี้ยงลูกด้วย นมแม่ ให้มีความสุข ต้องทำอย่างไร?

                          พญ.กัลย์สุดา อริยะวัตรกุล หรือหมออร ได้ให้ความรู้เรื่องเตรียมตัวอย่างไรเมื่อฉันเป็นแม่ดังนี้

                          เตรียมตัวอย่างไรเมื่อทราบว่าตั้งครรภ์

                          • บอกคนใกล้ตัวและเพื่อนร่วมงานก่อน เพื่ออาจมีการปรับเปลี่ยนงานให้เหมาะในช่วงตั้งครรภ์
                          • ระวังโรคโควิด-19 ทั้งนี้คุณแม่ตั้งครรภ์ที่ได้รับวัคซีนเกิน 4 เดือน ควรฉีดเข็มกระตุ้นเป็นวัคซีนชนิด MRNA เพราะสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดีและยังสามารถส่งผ่านไปยังลูกในครรภ์ได้ด้วย ในช่วง 6 เดือนแรกลูกจะได้รับภูมิคุ้มกันจากแม่ที่ฉีดวัคซีนกระตุ้น
                          • หากติดโควิด-19 ห้ามรับประทานยา ฟ้าทะลายโจร และยาโมนูลพิราเวียร์
                          • วัคซีนที่ควรฉีดได้แก่ วัคซีนโควิด-19 วัคซีนไข้หวัดใหญ่ และวัคซีนคอตีบ-ไอกรน-บาดทะยัก ซึ่งจะฉีดเมื่ออายุครรภ์ 27 สัปดาห์ขึ้นไป
                          • อาหาร คุณแม่ตั้งครรภ์ต้องการสารอาหารและพลังงานเพิ่มขึ้นจากก่อนตั้งครรภ์ วันละ 300 กิโลแคลอรี่ เป็นปริมาณที่ไม่มากนัก ควรระวังการรับประทานหวาน คุณแม่บางคนรู้สึกหิวบ่อย อยากรับประทานของหวาน กินจุบกินจิบ ทำให้ได้น้ำตาลหรือคาร์โบไฮเครตมากเกินไป ควรระวังโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ อาจรับประทานผลไม้ ถั่ว ขนมปังธัญพืช ทดแทนขนมหวานต่างๆ
                          • เน้นรับประทานโปรตีนที่มีคุณภาพดี เช่น ปลา ไข่ นม รับประทานปลาที่มี DHA สูง เช่น ปลาแซลมอน ปลากะพง ปลาจาระเม็ด เป็นต้น สลับสับเปลี่ยนกันไป ไม่ควรรับประทานอาหารซ้ำๆ รับประทานไข่ได้วันละ 1 ฟอง
                          • ไม่ควรรับประทานแอลกอฮอล์ อาหารหมักดอง
                          • หากคุณแม่ติดดื่มชา กาแฟ สามารถดื่มได้ในปริมาณ 200 มิลลิกรัมต่อวัน หรือวันละแก้ว อาจหันมาดื่มชาหรือโกโก้ ซึ่งมีปริมาณคาเฟอีนน้อยกว่า
                          • อาหารเสริม วิตามิน คุณแม่ตั้งครรภ์ต้องการวิตามินมากขึ้น ควรรับประทานโฟลิคก่อนการตั้งครรภ์ 3 เดือนและระหว่างตั้งครรภ์ ธาตุเหล็ก ไอโอดีน แคลเซียมสำหรับผู้ที่ไม่ดื่มนม และวิตามินดี ทั้งนี้มีผลการวิจัยว่า คุณแม่ที่ปกติไม่ดื่มนมแต่มาดื่มช่วงตั้งครรภ์ มีความเสี่ยงมากขึ้นที่ลูกจะแพ้นมวัว หากคุณแม่เคยดื่มนมเท่าไรก่อนตั้งครรภ์ ก็ควรดื่มนมในปริมาณปกติที่เคยดื่มนั้นในช่วงตั้งครรภ์ และหากคุณแม่ปกติไม่ดื่มนมก็สามารถรับประทานแคลเซียมเสริมร่วมกับวิตามินดีได้

                          แนะนำคุณแม่การเตรียมตัวไปคลอด

                          • เตรียมตัวล่วงหน้า 2 อาทิตย์ คุณแม่ที่ทำงานก็เตรียมส่งต่องานให้ผู้อื่น
                          • หากมีลูกคนโด ต้องเตรียมวางแผนว่าจะนำลูกคนโตไปด้วยหรือฝากให้ใครดูแล
                          • เตรียมเอกสารต่างๆ เอกสารฝากครรภ์ เอกสารการทำสูติบัตรลูก สำเนาบัตรประชาชนของคุณพ่อและคุณแม่
                          • ของใช้ส่วนตัวของคุณแม่ ชุดให้นมลูก ชุดแต่งหน้า ครีมทาผิว กล้อง สายชาร์จแบตเตอรี่ต่างๆ และ car seat
                          • การฝากครรภ์ ควรเป็นโรงพยาบาลที่ใกล้บ้านหรือที่ทำงาน ในกรณีเหตุฉุกเฉินจะได้ไปได้ในทันที และดูราคาค่าใช้จ่ายที่เหมาะสมกับเรา
                          • ตรวจเช็คว่าโรงพยาบาลที่จะไปคลอดมีพยาบาลนมแม่ ดูแลหลังคลอด คลีนิคนมแม่ หรือระบบสนับสนุนการให้นมแม่หรือไม่ เพราะการให้นมแม่หลังคลอด ยิ่งเริ่มเร็ว เริ่มถูกจะยิ่งดี หากทางโรงพยาบาลมีระบบในการช่วยเหลือให้คำแนะนำ จะเป็นผลดีกับคุณแม่ที่เพิ่งคลอด เพราะหลังคลอดร่างกายคุณแม่ยังไม่ฟื้นดี การมีระบบช่วยเหลือจะช่วยคุณแม่ได้มาก

                          การดูแลตัวเองหลังคลอด

                          • การให้นมแม่ควรให้ดูดเร็วที่สุด ดูดบ่อย และดูดถูก หากช่วงแรกน้ำนมยังไม่มาไม่เป็นไร ให้ลูกดูดกระตุ้นไปก่อน บางคนน้ำนมอาจมาวันที่ 3-4 หรือบางคนอาจมาในช่วงปลายสัปดาห์
                          • ควรเอาเข้าเต้าก่อนเริ่มปั๊มนม ลูกจะกระตุ้นน้ำนมคุณแม่ได้ดีที่สุด
                          • คุณแม่หลังคลอดสามารถรับประทานได้ตามปกติ ไม่จำเป็นต้องงดอาหารใดๆ สามารถรับประทานได้เพิ่มจากปกติ(ก่อนตั้งครรภ์)อีกวันละ 500 กิโลแคลอรี่
                          • การให้นมแม่สามารถช่วยคุณแม่ลดน้ำหนักได้ โดยเฉพาะ 3-6 เดือนแรก

                          แม่ป่วย สามารถให้นมได้หรือไม่

                          คุณแม่สามารถรับประทานยาได้ตามปกติ แต่อาจมียาบางชนิดที่อาจส่งผลถึงทารกได้ สามารถปรึกษาคุณหมอหรือเช็คตามเวบไซด์ได้

                          วัคซีนที่ลูกน้อยควรได้รับ

                          หลังคลอดทารกควรได้รับวัคซีนตับอักเสบบี และวัคซีนวัณโรคหรือวัคซีนBCG จากนั้นควรเช็คดูตามสมุดวัคซีนที่ได้รับและนำลูกไปฉีดตามเวลา

                           

                          อ่านต่อ….หมอเผย!! เลี้ยงลูกด้วย นมแม่ ให้มีความสุข ทำอย่างไร? คลิกหน้า 2

                           

                           

                          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                            ผ่าคลอดลูก สำลักน้ำคร่ำ

                            ลูกสำลักน้ำคร่ำตายเหตุคลอดยากแม่ร้องขอ ผ่าคลอดลูก รพ.ชี้ไม่เข้าเกณฑ์

                            ผ่าคลอดลูก สำหรับแม่ท้องที่ไม่สามารถคลอดแบบปกติได้ รู้ทันภาวะสำลักน้ำคร่ำ ภาวะอันตรายต่อทารกที่อาจเกิดได้สำหรับแม่ท้องใกล้คลอดที่มีข้อบ่งชี้ว่าคลอดยาก

                            ลูกสำลักน้ำคร่ำตาย!! เหตุคลอดยากแม่ร้องขอ ผ่าคลอดลูก รพ.ชี้ไม่เข้าเกณฑ์

                            เมื่อวันที่ 6 ก.ย.2565 เพจสายไหมต้องรอด ได้แชร์ภาพเด็กทารกเสียชีวิต โดยมีข้อความว่า #โรงพยาบาลในจังหวัดปทุมธานี แม่ใจสลาย ทารกน้อยสำลักน้ำคร่ำเสียชีวิต หลังไปคลอดลูกที่ รพ.รัฐแห่งหนึ่ง ใน จ.ปทุมธานี เมื่อช่วงปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โดยคุณหมอใช้วิธีการวีดีโอคอล มาอธิบายวิธีการทำคลอด ให้พยาบาลและผู้ช่วยพยาบาลช่วยกันทำคลอดอย่างทุลักทุเล ใช้เวลาทำคลอดนานกว่า 3 ช.ม. ตั้งแต่ 12.00 – 15.30 น. แม่พยายามร้องขอให้ผ่าคลอด เนื่องจากแบ่งจนสุดแรงแล้วแต่หัวของทารกก็ยังไม่ออกมา

                            ขอขอบคุณภาพจาก เพจสายไหมต้องรอด
                            ขอขอบคุณภาพจาก เพจสายไหมต้องรอด

                            สุดท้ายผ่านไป 3 ชม. จนแม่หายใจรวยริน คุณหมอที่วีดีโอคอลจึงตัดสินใจให้พยาบาลใช้เครื่องดูดทารกออกมาจากช่องคลอด แต่ไม่ทันการ ทารกสำลักน้ำคร่ำ จนนอนแน่นิ่งไม่รู้สึกตัว ต้องส่งไปรักษาตัวที่ รพ.ปทุมธานี ผ่านไป 2 สัปดาห์ รพ.แจ้งว่าสุดยื้อชีวิต ต้องปล่อยลูกน้อยจากไป พ่อ-แม่ ประสาน #เพจสายไหมต้องรอด ส่งรถรับศพทารกน้อยไปประกอบพิธีทางศาสนาทั้งน้ำตา   #แอดขอแสดงความเสียใจด้วยนะคะ #เรื่องนี้ใครควรรับผิดชอบคะ  กระทรวงสาธารณสุข กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ สบส. กระทรวงสาธารณสุข??

                            ที่มา : https://www.facebook.com/saimaitongrot

                            คลอดยาก…ฝันร้ายแม่ท้อง!!

                            ภาวะคลอดยาก หรือ คลอดบุตรยาก หรือ คลอดลูกยาก (Fetal dystocia หรือ Dystocia หรือ Obstructed labor) เป็นคำกล่าวรวมๆ หมายถึง การคลอดบุตรที่ไม่ได้ดำเนินไปตามปกติ มีความยากลำบากในการคลอดบุตรทางช่องคลอด ระยะเวลาในการดำเนินไปสู่การคลอดยาวนานกว่าปกติ ซึ่งต้องนำไปสู่การทำหัตถการต่างๆ เพื่อช่วยในการคลอด เช่น ใช้เครื่องดูดสุญญากาศ(Vacuum extraction) การใช้คีมช่วยคลอด(Forcep extraction delivery) และการผ่าตัดคลอด ทำให้มีโอกาสเกิด ผลข้างเคียงหรือผลเสียต่อทั้งมารดา และทารกในภาวะที่มีการคลอดยากเพิ่มมากขึ้นด้วย

                            อนึ่ง ภาวะคลอดบุตรยากพบได้ในอัตราที่แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ โดยทั่วไปพบได้ประมาณ 0.3-1%ของการคลอดปกติทางช่องคลอด

                            ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้มีภาวะคลอดบุตรยาก ได้แก่

                            1. อายุมารดามากหรือน้อยเกินไป ในสตรีที่อายุมากเกินไปนั้น การขยายตัวของเอ็นยึดกระดูกต่างๆ ไม่ดี ทำให้การยืดขยายไม่ดี ส่วนสตรีที่อายุน้อยเกินไป การพัฒนาของกระดูกเชิงกรานยังโตไม่เต็มที่

                            2. มารดาตัวเตี้ย ช่องเชิงกราน มักจึงมักจะแคบ

                            3. มารดาอ้วนมากเกินไป

                            4. มารดามีพยาธิสภาพอย่างอื่นในอุ้งเชิงกราน เช่น เนื้องอกในอุ้งเชิงกราน เช่น เนื้องอกรังไข่

                            5. มารดาเคยได้รับการผ่าตัดกระดูกเชิงกรานจึงทำให้ช่องเชิงกรานผิดรูป

                            6. มีภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ทำให้ทารกมีขนาดโตกว่าทารกทั่วไปได้

                            7. เคยคลอดบุตรตัวโต

                            8. เคยมีภาวะคลอดบุตรยาก ต้องใช้เครื่องมือหรือหัตถการช่วยคลอดในครรภ์ก่อนๆ

                            9. มีความผิดปกติของมดลูก เช่น รูปร่างมดลูกผิดปกติแต่กำเนิด รวมทั้งการมีเนื้องอกมดลูกด้วย

                            คลอดยาก ผ่าคลอดลูก เสี่ยงไหม
                            คลอดยาก ผ่าคลอดลูก เสี่ยงไหม

                            เมื่อคุณแม่คลอดยาก การรักษาจะเป็นอย่างไร??

                            ในกรณีที่แพทย์คาดว่าสามารถให้คลอดทางช่องคลอดโดยไม่เป็นอันตรายต่อทั้งมารดาและทารก เช่น ทารกตัวขนาดไม่โตแต่นอนตะแคง แพทย์อาจใช้นิ้วมือหมุนให้ศีรษะทารกกลับมาอยู่ในท่าก้มศีรษะ หรือใช้เครื่องดูดสุญญากาศในการช่วยคลอดศีรษะ ซึ่งสามารถหมุนศีรษะทารกได้ หรือในกรณีทารกนอนหงายอาจใช้เครื่องดูดสุญญากาศ หรือคีมช่วยคลอดศีรษะ ในรายที่การหดรัดตัวของมดลูกไม่ดี แพทย์จะให้ยากระตุ้นการหดตัวของมดลูก ส่วนกรณีที่มีการผิดสัดส่วนชัดเจน แพทย์จะทำการผ่าตัดคลอด

                            ส่วนมากปัญหาเกิดจากแพทย์วินิจฉัยไม่ได้ว่าจะเกิดภาวะคลอดยากหรือไม่ เพราะบางครั้งเป็นภาวะที่ก้ำกึ่งมาก ทำให้แพทย์ตัดสินใจลำบาก จึงปล่อยให้การคลอดดำเนินต่อไปและเกิดภาวะคลอดยาก หรือจนกระทั่งมีการหยุดชะงักของการคลอด ก็จะพิจารณานำไปผ่าตัดคลอด

                            การผ่าคลอด นพ.ภิเศก ลุมพิกานนท์ ที่ปรึกษาราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์และประธานคณะกรรมการเรื่องการผ่าท้องคลอดขององค์การอนามัยโลก อธิบายว่า การผ่าท้องคลอดเป็นหัตถการสำคัญในกรณีที่ไม่สามารถคลอดเองได้ตามปกติ การผ่าคลอดจะใช้ในกรณีที่คุณแม่ไม่สามารถมีภาวะครรภ์ที่ปกติ หรือไม่สามารถคลอดเองได้ จำเป็นต้องผ่าคลอดด้วยข้อบ่งชี้ทางสูติศาสตร์ เช่น เด็กท่าก้น หรือเด็กไม่กลับหัว เด็กตัวโต อุ้งเชิงกรานมารดาแคบ ทารกมีความพิการที่ไม่สามารถคลอดเองได้ ปากมดลูกไม่เปิด หรือเปิดช้า หรือทารกมีภาวะหัวใจเต้นช้า เป็นต้น

                            ที่มา : https://haamor.com

                            อ่านต่อ >>ทารกสำลักน้ำคร่ำ สาเหตุทำให้ลูกเสียชีวิตจริงหรือ คลิกหน้า 2

                             

                            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                             

                              ให้ลูกเข้าเต้า

                              ไขข้อข้องใจ ลูกหลับยาวควรปลุก ให้ลูกเข้าเต้า หรือไม่?

                              ให้ลูกเข้าเต้า – ยามที่เจ้าตัวน้อยอายุไม่กี่สัปดาห์ของคุณกำลังนอนหลับสบายอยู่บนเปลอันแสนอบอุ่น เชื่อว่าไม่มีคุณแม่คนไหนอยากจะปลุกหรืออุ้มเจ้าตัวเล็กขึ้นมาแม้จะถึงเวลาให้นมก็ตาม บางครั้งคุณแม่อาจไปอ่านเจอคำแนะนำในตำราเลี้ยงลูกเล่มหนา ที่กล่าไว้ว่า “อย่าปลุกทารกที่กำลังหลับ” ซึ่งอาจดูเหมือนเป็นคำแนะนำที่ดี  อย่างไรก็ตามมีบางสถานการณ์ที่การปลุกลูกน้อยของคุณให้ตื่นขึ้น เช่น ปลุกให้กินนมหรือเข้าเต้าย่อมดีต่อการเจริญเติบโตของลูก ดังนั้นวันนี้เราจะมาไขข้อสงสัยต่างๆ เกี่ยวกับเวลาที่คุณต้องปลุกทารกแรกเกิดเพื่อให้พวกเขาท้องไม่ว่าง ตลอดจนระยะเวลาที่คุณสามารถปล่อยให้ทารกแรกเกิดนอนหลับโดยไม่กินอะไรได้ และวิธีที่ดีที่สุดในการปลุกทารกแรกเกิดเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม

                              ไขข้อข้องใจ ลูกหลับยาวควรปลุก ให้ลูกเข้าเต้า หรือไม่?

                              กุมารแพทย์ส่วนใหญ่แนะนำให้คุณปลุกลูกน้อยของคุณหากถึงกำหนดเวลาต้องให้อาหารทั้งกลางวันและกลางคืน ทารกไม่ควรนอนหลับยาวโดยไม่ได้รับสารอาหารเกิน 3-4 ชั่วโมง ดังนั้น แม้ว่าโดยส่วนใหญ่แล้ว ลูกน้อยของคุณจะส่งสัญญาณความหิวต่างๆ ให้คุณทราบเมื่อพวกเขาพร้อมที่จะทาน แต่คุณสามารถปลุกพวกเขาได้หากผ่านไปเกิน 4 ชั่วโมง

                              ทารกจำเป็นต้องได้รับอาหารในช่วงกลางคืนเป็นระยะเวลาหนึ่งหลังคลอด แต่เมื่อพวกเขาโตขึ้นและนอนหลับสบายตลอดทั้งคืนคุณจะต้องแน่ใจว่าพวกเขาได้รับอาหารเพียงพอในระหว่างวัน ดังนั้นคุณจึงสามารถปลุกพวกเขาจากการงีบหลับตอนกลางวันได้หากเกินเวลา เพื่อให้แน่ใจว่าลูกของคุณจะไม่พลาดแคลอรี่ที่ร่างกายของลูกต้องการเพื่อใช้สร้างการเจริญเติบโตในแต่วัน

                              การปลุกทารกแรกเกิดของคุณเป็นเรื่องปกติสำหรับพ่อแม่มือใหม่เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะได้รับอาหารเพียงพอ นอกจากนี้ยังแนะนำสำหรับแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยนมเพื่อให้ทารกอยู่ที่เต้านมบ่อยเพียงพอที่ร่างกายของแม่จะรู้ว่าต้องผลิตน้ำนมให้มากขึ้น  ต่อไปเรามาดูเหตุผลสำคัญที่คุณควรปลุกให้ลูกเข้าเต้าหรือป้อนนมค่ะ

                              1.ท้องของลูกน้อยว่างเปล่าได้ง่าย

                              ระบบย่อยอาหารของทารกย่อยนมแม่ได้ง่ายและรวดเร็ว การย่อยอาหารที่รวดเร็ว ประกอบกับท้องเล็กๆ ของลูกน้อยของคุณที่ใหญ่กว่าลูกปิงปองเพียงเล็กน้อยเหมายความว่าลูกน้อยของคุณมีความต้องการทางสรีรวิทยาในการดูดนมทุกๆ สองถึงสามชั่วโมง ทารกที่กินนมสูตรหรือนมผงสามารถใช้เวลาสามถึงสี่ชั่วโมงระหว่างการให้อาหารในช่วงเดือนแรก เนื่องจากนมผงใช้เวลาในการย่อยนานกว่า

                              2. ลูกของคุณอาจจะงีบหลับด้วยความหิว

                              ส่วนใหญ่แล้ว ลูกน้อยของคุณจะส่งสัญญาณความหิวให้รู้ เช่น การจับริมฝีปาก และการดูดนิ้ว หรือส่งเสียงร้องไห้จ้าเมื่อท้องของเขาว่างเปล่า ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่าได้เวลาที่คุณต้องเตรียมอาหารของลูกให้พร้อมไม่เช่นนั้นเขาอาจหลับไปจนถึงขั้นหลับลึกได้

                              3. ลูกของคุณต้องการเพิ่มน้ำหนัก

                              การกินไม่เพียงพอจะทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นช้าในทารกแรกเกิด ทารกแรกเกิดมักจะสูญเสียน้ำหนักตัวระหว่าง 5 ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ ขึ้นอยู่กับวิธีการคลอดในวันหลังคลอด พวกเขาต้องใช้เวลาสองสามสัปดาห์แรกเพื่อให้ได้น้ำหนักที่หายไปนั้นกลับคืนมา ซึ่งได้รับสารอาหารไม่เพียงพอในช่วงสองสามวันแรกอาจนำไปสู่โรคแทรกซ้อนที่เชื่อมโยงกับโรคดีซ่านหรืออาการตัวเหลือง และ น้ำตาลในเลือดต่ำได้

                              4. ร่างกายแม่ให้นมต้องเพิ่มปริมาณน้ำนม

                              การให้ลูกเข้าเต้าไม่เพียงพออาจทำให้การผลิตน้ำนมของคุณช้าลง คุณต้องสร้างวงจรอุปสงค์และอุปทานที่คอยสูบฉีดน้ำนมในปริมาณที่สมบูรณ์แบบเพื่อตอบสนองความต้องการของทารก หากปล่อยทิ้งไว้เป็นเวลานานโดยไม่มีการถ่ายออก อาจทำให้จำนวนน้ำนมที่ร่างกายคุณผลิตได้ลดลง ด้วยเหตุผลต่างๆ ทั้งหมดเหล่านี้ คุณแม่ควรพยายามปลุกทารกที่กำลังหลับอย่างนุ่มนวลเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม

                              วิธีปลุก ให้ลูกเข้าเต้า

                              ทารกแรกเกิดเป็นมนุษย์ตัวน้อยที่ดูเหมือนจะง่วงนอนตลอดเวลา ซึ่งหมายความว่าอาจไม่ง่ายนักที่จะปลุกพวกเขาเมื่อถึงเวลา (โดยเฉพาะตอนกลางดึก) นอกจากนี้ การดูดนมเป็นตัวกระตุ้นการนอนหลับชั้นดี ดังนั้นควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าลูกน้อยของคุณไม่หลับไปในระหว่างการให้นม

                              ประมาณสัปดาห์ที่ 6 คุณและลูกจะเข้าสู่จังหวะการกินและนอนตามปกติ แม้ว่าบางครั้งอาจขึ้นความต้องการเฉพาะตัวของลูกน้อยก็ตาม เช่น เด็กบางคนต้องการดูดนมทุก ๆ สองชั่วโมงเหมือนเครื่องจักร ในขณะที่เด็กคนอื่น ๆ จะใช้เวลาสามถึงสี่ชั่วโมงอย่างมีความสุขระหว่างมื้ออาหาร ทารกที่เลี้ยงด้วยนมผงอาจแตกต่างกันไปตามตารางการให้อาหารและการนอนหลับของพวกเขา

                              ช่วงเวลาในการต้องปลุกลูกเพื่อให้นมจะค่อยๆ ลดลงได้ เมื่อลูกของคุณโตขึ้น เมื่ออายุได้ 6 เดือน ลูกน้อยของคุณพร้อมที่จะเริ่มนอนหลับตลอดทั้งคืนโดยไม่ต้องให้อาหาร  การจัดตารางการให้อาหารสำหรับทารกที่ต้องกินนมแม่อย่างเดียวเป็นประจำตลอดทั้งวันและคืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 6 สัปดาห์แรกมีความสัมพันธ์กับการเพิ่มของน้ำหนัก ดังนั้นเมื่อลูกน้อยของคุณแสดงความหิวให้รู้ ควรให้ลูกเข้าเต้าเลย

                              ข้อสำคัญคือคุณไม่ควรปล่อยให้ทารกแรกเกิดของคุณนอนหลับยาวเกิน 3 ชั่วโมง ซึ่งหมายความว่าหากลูกน้อยของคุณนอนหลับเกินเวลา คุณจะต้องปลุกพวกเขา  เคล็ดลับสำคัญในการปลุกให้ลูกเข้าเต้า คือ การปลุกเมื่อลูกน้อยของคุณอยู่ในช่วงการนอนหลับแบบ REM หรือการนอนหลับในช่วงหลับฝันหรือการนอนที่มีการเคลื่อนไหวตาไปอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าจะหลับไปแล้วแต่สมองก็ยังทำงานอยู่เหมือนในขณะตื่น เพราะถ้าหากลูกน้อยของคุณนอนหลับสนิท ความพยายามในการป้อนนมอาจไร้ประโยชน์

                              ดังนั้นการจะรับรู้ได้ว่าช่วงไหนที่ลูกของคุณกำลังหลับในช่วง REM ต้องดูสัญญาณบ่งบอกต่างๆ เช่น ลูกน้อยขยับแขนและขา เปลี่ยนการแสดงออกทางสีหน้า และกระพือเปลือกตา หากคุณเห็นเปลือกตาของลูกน้อยเคลื่อนไหวไปมา (แม้เพียงเล็กน้อย) เป็นเวลาที่ดีที่จะพยายามกระตุ้นพวกเขาให้กินอาหารเมื่อถึงเวลาเข้าเต้า  ต่อไปเป็นเคล็ดลับบางประการในการปลุกลูกน้อยให้เข้าเต้าอย่างนิ่มนวล

                              • เปลี่ยนผ้าอ้อมไปพร้อมกับร้องเพลงหรือลูบมือและฝ่าเท้าของลูก
                              • เปิดไฟสลัวๆ เนื่องจากดวงตาของทารกไวต่อแสง ไฟสลัวๆ อาจช่วยให้ลูกของคุณตื่นตัวได้
                              • อุ้มลูกให้ตัวตั้งตรง วิธีนี้มักจะทำให้ทารกลืมตาได้
                              • เมื่อลูกลืมตาแล้ว ให้สบตาพวกเขา หรือพูดและร้องเพลงกับลูกน้อยของคุณ
                              • นวดมือ เท้า แขน หลัง และไหล่ของลูก หรือลูบแก้ม การสัมผัสของคุณสามารถช่วยปลุกลูกน้อยที่ง่วงนอนได้
                              • ถอดชุกพวกเขาลงไปที่ผ้าอ้อม อากาศที่เย็นขึ้นมักจะช่วยกระตุ้นทารกให้กินอาหารได้ คุณสามารถห่มผ้าห่มให้ลูกอุ่นขึ้นได้เมื่อเริ่มป้อนนม
                              • ใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำเย็นเช็ดใบหน้าหรือลำตัว ความเย็นสบายของผ้าชุบน้ำหมาดๆ ช่วยให้ตื่นขึ้นได้เล็กน้อย
                              • ปลุกลูกน้อยของคุณเมื่อพวกเขานอนหลับสบาย
                              • พูดคุยกับลูกน้อยของคุณในขณะที่คุณให้อาหารเพื่อให้พวกเขาตื่นตัว แค่เสียงเพียงเล็กน้อยก็อาจช่วยให้ตื่นได้
                              • ถูหัวนมของคุณ (หรือจุกนมขวด) กับปากของทารก วิธีนี้จะเตือนลูกน้อยของคุณว่าถึงเวลาทานอาหารแล้ว (ลองหยดน้ำนมเหลืองหรือนมสักสองสามหยดให้สัมผัสริมฝีปากของลูก
                              • สลับข้างหรือขยับลูกน้อยของคุณหากพวกเขาพยักหน้า หากคุณเห็นว่าลูกน้อยของคุณเริ่มหลับ ให้หยุดพักและทำให้พวกเขาตื่นขึ้นเล็กน้อย จากนั้นคุณสามารถให้อาหารต่อไปได้อีกครั้ง

                              อ่านต่อ…ไขข้อข้องใจ ลูกหลับยาวควรปลุก ให้ลูกเข้าเต้า หรือไม่? ได้ที่หน้า 2

                              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                              ดูแลเด็ก

                              รองผู้ว่าฯ ศานนท์ ร่วมกับ ม.มหิดล เดินหน้า ดูแลเด็ก ในกรุงเทพฯ ทุกมิติ

                              รองผู้ว่าฯ ศานนท์ เชิญ ผอ.สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว ร่วมคณะ เดินหน้า ดูแลเด็ก และเยาวชนในพื้นที่กรุงเทพฯ ทุกมิติ

                              รองผู้ว่าฯ ศานนท์ ร่วมกับ ม.มหิดล เดินหน้า ดูแลเด็ก ในกรุงเทพฯ ทุกมิติ

                              (6 ก.ย. 65) นายศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร หารือร่วมกับ รศ.นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ ผู้อานวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล และคณะ ในโอกาสเข้าพบเพื่อรายงานผลการดำเนินโครงการการขยายผลและพัฒนาความช่วยเหลือกลุ่มเด็กปฐมวัยยากจนในสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยและเด็กปฐมวัยนอกระบบในกรุงเทพมหานคร และ โครงการเฝ้าระวังภาวะประสบการณ์ชีวิตไม่พึงประสงค์ของเด็กปฐมวัยและการแทรกแซงเพื่อฟื้นฟูสุขภาวะเด็กและครอบครัวในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจจากโรคระบาด COVID-19และหลังวิกฤต ณ ห้องรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (เสาชิงช้า) เขตพระนคร
                              รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า ปัจจุบันนโยบายของ กทม. มุ่งเน้นในเรื่องของเด็กเล็ก โดยจะพัฒนาให้มีจำนวนศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนกรุงเทพมหานคร (ศพด.) อย่างทั่วถึง ดูแลเด็กเล็กให้ได้มากขึ้น และมีคุณภาพมากขึ้น ซึ่งจะต้องมีคุณภาพทั้งในมิติกายภาพ และมิติของหลักสูตรและคุณครู โดยจะมีการเพิ่มสวัสดิการอาหาร/ครุภัณฑ์ เพิ่มสวัสดิการให้คุณครู หาแนวทางเพิ่มความก้าวหน้าในอาชีพ (Career Path) เป็นต้น

                              การดูแลเด็ก
                              การดูแลเด็ก

                              “ก็มีข้อเสนอเรื่องการพัฒนาครู สวัสดิการค่าตอบแทน โครงสร้างการอบรมที่ชัดเจน เช่น อบรมครบกี่ชั่วโมงจะได้ใบรับรอง (certificate) ซึ่งอาจารย์อดิศักดิ์ ก็มีหลายหลักสูตรให้ได้ศึกษาอบรม เรื่องการพัฒนาศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนกรุงเทพมหานคร (ศพด.) การคัดกรองและการเยี่ยมบ้านเด็กกลุ่มเสี่ยงที่มีโอกาสหลุดจากระบบการศึกษา ซึ่งจะต้องมีการบูรณาการกับสำนักพัฒนาสังคมในเรื่องของการลงพื้นที่ต่อไป” รองผู้ว่าฯ ศานนท์ กล่าวในตอนท้าย
                              สำหรับการหารือในวันนี้ รองผู้ว่าฯ กทม. ได้รับฟังรายงานการดาเนินโครงการจาก ผอ.สถาบันฯ ว่า ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร สถาบันฯ ได้ดำเนินโครงการร่วมกับทางสำนักพัฒนาสังคม สำนักการศึกษาและสำนักอื่น ๆ ของกรุงเทพมหานครใน 2 เรื่องใหญ่ ๆ คือ

                              1. ความปลอดภัยของเด็ก โดยพบว่าเด็กในกรุงเทพฯ เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุและความรุนแรงเป็นส่วนใหญ่ ในปัจจุบันกรณีเด็กเสียชีวิตกรุงเทพมหานครได้ตั้งคณะอนุกรรมการพิเคราะห์เหตุการตายในเด็กติดตามหาสาเหตุและวิธีการป้องกัน พบว่าส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็นจากการจมน้ำ อุบัติเหตุทางถนน อุบัติเหตุในบ้าน หรืออื่น ๆ มักอยู่ในกลุ่มเด็กยากจนและกลุ่มเด็กที่ได้รับการดูแลไม่เหมาะสม
                              2. โครงการลดความเหลื่อมล้ำของการพัฒนาเด็กปฐมวัย ในโครงการการลดความเหลื่อมล้ำของการพัฒนาเด็กปฐมวัย ทางกรุงเทพมหานครได้เริ่มในปี 2563 โดยสำนักพัฒนาสังคม ได้ร่วมกับกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) และสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล ได้พัฒนากระบวนการสนับสนุนกลุ่มเด็กปฐมวัยที่ตกอยู่ในภาวะยากลำบากทั้งจากความยากจน จากภาวะครอบครัวบกพร่อง หรือจากการได้รับการเลี้ยงดูไม่เหมาะสมให้เข้าสู่ศูนย์พัฒนาเด็กปฐมวัยอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเก็บตกเด็กที่อยู่นอกระบบนำเข้าสู่ในระบบ ต่อเนื่องปี 2564 ได้ร่วมกับ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)ได้พัฒนากระบวนการช่วยเหลือและฟื้นฟูกลุ่มเด็กเหล่านี้จากผลกระทบของการระบาด covid19 ในการดำเนินงานดังกล่าวได้พัฒนาเครื่องมือใหม่ในการค้นหาเด็กกลุ่มเสี่ยงสูงที่จะถูกทิ้งไว้ข้างหลังเรียกว่า เครื่องมือประเมินคะแนนภาวะชีวิตไม่พึงประสงค์ ACE (ACE: Adverse Childhood Experiences) หมายถึง กลุ่มเด็กที่อยู่ในครอบครัวที่มีภาวะบกพร่องได้แก่ครอบครัวที่มีปัญหาแตกแยก ติดยา ใช้ความรุนแรง ก่ออาชญากรรม สุขภาพจิตไม่สมบูรณ์และให้การเลี้ยงดูไม่เหมาะสมทั้งทางกาย ทางเพศ และอารมณ์ รวม 10 คะแนน ซึ่งในช่วงสองปีของการระบาดของโรค covid19 เด็กกลุ่มนี้ที่มีคะแนนชีวิตไม่พึงประสงค์มากกว่าหรือเท่ากับ 2 ได้รับผลกระทบอย่างมาก ต้องการการฟื้นฟูทั้งสุขภาพกาย จิตใจ และพัฒนาการด้านต่าง ๆ อย่างเร่งด่วน
                              กรุงเทพมหานคร
                              กรุงเทพมหานคร

                              ภาวะเครียดเรื้อรัง (Toxic Stress) ส่งผลอย่างไร?

                              ในการศึกษาของต่างประเทศพบว่ากลุ่มเด็กที่ได้รับ ACE หลายด้านจะนำไปสู่ภาวะเครียดเรื้อรัง (toxic stress) ตั้งแต่วัยเด็กส่งผลต่อการพัฒนาของสมองและร่างกาย จิตใจ พฤติกรรม ระยะยาว เป็นเหตุของความเสื่อมทั้งสุขภาพและศักยภาพตลอดชีวิตตั้งแต่พัฒนาการล่าช้าในวัยเด็กเล็ก การเรียนล้มเหลวในวัยเรียน พฤติกรรมเบี่บงเบนในวัยรุ่น การทางานไม่ประสบความสาเร็จในวัยแรงงาน และเสียชีวิตก่อนวัยจากกลุ่มโรคไม่ติดต่อ

                              ในการนี้ รองผู้ว่าฯ กทม.ได้ให้ความสำคัญกับการทางานต่อเนื่องในโครงการนี้ เพื่อพัฒนา ส่งเสริม สนับสนุน และยกระดับศักยภาพของศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนกรุงเทพมหานคร (ศพด.) ให้มีขีดความสามารถในการดูแล ส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัยที่ยากจนและมีภาวะยากลำบากให้ได้รับการพัฒนาต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ และสนับสนุนให้ขยายผลการใช้เครื่องมือดังกล่าวเพื่อสารวจ ค้นหา คัดกรอง และให้ความช่วยเหลือกลุ่มเด็กในภาวะยากลำบากเพื่อบรรเทาอุปสรรคในการเข้ารับบริการใน ศพด. ของครอบครัวยากจน ควบคู่ไปกับการพัฒนาคุณภาพและศักยภาพของผู้ดูแลเด็ก รวมถึงการพัฒนาคุณภาพ ศพด. เช่น จัดการฝึกอบรมและให้คาปรึกษาแก่ครูและผู้ดูแลเด็กของ ศพด. เยี่ยมบ้านร่วมกับทีมบูรณาการด้านสุขภาพและการคุ้มครองเด็ก เป็นต้น

                              ความปลอดภัยของเด็ก
                              ความปลอดภัยของเด็ก

                              นอกจากนั้น รองผู้ว่าฯ กทม. ได้เรียนเชิญ ผอ.สถาบันฯ ให้ร่วมเป็นคณะกรรมการอานวยการที่ดูแลภาพรวมเกี่ยวกับเด็กและเยาวชนในพื้นที่กรุงเทพฯ ซึ่งจะประกอบด้วย คณะกรรมการจากหน่วยงานภายในกรุงเทพมหานคร อาทิ สานักพัฒนาสังคม สานักการศึกษา สานักการแพทย์ สานักอนามัย รวมไปถึงหน่วยงานภาคีเครือข่ายภายนอก เพื่อบูรณาการการดูแลกลุ่มเด็กปฐมวัยและเด็กปฐมวัยนอกระบบในกรุงเทพมหานครให้เข้าสู่ระบบและได้รับการพัฒนาอย่างเหมาะสมในทุกด้าน

                              ดูแลไปถึงการเรียนรู้นอกห้องเรียนในเรื่องความปลอดภัยต่าง ๆ ตลอดจนเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเด็กและเยาวชนในพื้นที่กรุงเทพฯ

                              อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                              อันตรายจากรถหัดเดิน…ลูกถูกสิบล้อทับเพราะรถหัดเดินไหลลงถนน

                              CPR คือ อะไร? เรียนรู้ไว้ กู้ภัยให้ลูกรักปลอดภัยเมื่อสำลัก

                              สีของชุดว่ายน้ำสำคัญ! ช่วยลูกรอดจากการ จมน้ำ ได้

                              ผู้เชี่ยวชาญแชร์!! วิธีช่วยเหลือ+ป้องกัน เมื่อ “เด็กจมน้ำ”

                               

                              ขอบคุณข้อมูลจาก : รศ.นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ ผอ.สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว ม.มหิดล โทร 081 6828772

                               

                              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่