ของเล่นเด็ก

ของเล่นเด็ก 3 ขวบ เสริมพัฒนาการ ควรเลือกอย่างไรให้ลูกชอบ คุณแม่เลิฟ

Alternative Textaccount_circle
event
ของเล่นเด็ก
ของเล่นเด็ก

ทุกสิ่งรอบตัวเด็กวัยสามขวบสามารถเป็นของเล่นได้ทั้งสิ้น เพราะเด็กวัยนี้มีความต้องการเรียนรู้ตลอดเวลา สนใจโลกรอบตัว ความเป็นไปของทุกอย่าง และเคลื่อนที่ได้เร็วอย่างเหลือเชื่อจนทำให้ผู้ปกครองที่ปล่อยให้เด็กคลาดสายตาไปได้ในเวลาสั้น ๆ ถึงกับต้องตกใจเพราะเด็กหายไปจากจุดที่เขาควรอยู่ หรือมุ่งไปทำบางอย่างที่ดูไม่เข้าท่าและอาจเป็นอันตรายได้ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการเรียนรู้อันเป็นธรรมชาติของเด็ก และให้เด็กวัยสามขวบได้ใช้พลังงานเหลือล้นที่พวกเขามีอย่างสร้างสรรค์ และปลอดภัยจากความเสี่ยงต่าง ๆ การจัดหาของเล่นที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อการพัฒนาการสมวัยจึงเป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่ควรให้ความใส่ใจ แทนการปล่อยให้เล่นไปตามประสา เพราะ “ของเล่น” ไม่ใช่เรื่อง “เล่น ๆ” แต่มีบทบาทสำคัญในการปลูกฝังและเพิ่มพูนทักษะต่าง ๆ ให้กับเด็กตั้งแต่ต้นเลยทีเดียว วันนี้ทีมกองบรรณาธิการจึงมี ของเล่นเด็ก 3 ขวบ มาแนะนำให้คุณพ่อคุณแม่กันค่ะ

ของเล่นเด็ก 3 ขวบ เสริมพัฒนาการ ควรเลือกอย่างไรให้ลูกชอบ คุณแม่เลิฟ

ของเล่นเด็ก 3 ขวบ

พัฒนาการ 3 ด้านในเด็ก 3 ขวบ

เด็กสามขวบต่างจากวัยทารกตรงที่สามารถเคลื่อนไหวไปมาเองได้ ร่างกายและสมองพัฒนาขึ้นแล้วในระดับหนึ่ง สามารถพูดคุยสื่อสาร และรู้จักการใช้เหตุผลแบบง่าย ๆ ได้ ดังนั้นการเลือกของเล่นที่เน้นฟังเสียง หรือเป็นเคลื่อนไหวห่าง ๆ ให้มองเห็นได้เท่านั้น จึงไม่เพียงพอต่อพัฒนาการของลูกอีกต่อไป ของเล่นเด็ก 3 ขวบ ควรจะมีผลต่อพัฒนาการ 3 ด้านได้แก่

  • พัฒนาการทางร่างกาย หรือการเคลื่อนไหว 

ในช่วงวัยสามขวบนี้ เด็กสามารถทรงตัวได้ดี เล่นกระโดดสูงได้ หรือกระโดดได้ไกลโดยทรงตัวเมื่อลงถึงพื้นได้ดี เขย่งก้าวกระโดด หรือเขย่าตัวเพื่อหยิบของในจุดที่อยู่สูงกว่าความสูงของตนเองได้ ยืนขาเดียวได้ ช่วงนี้เป็นช่วงที่เด็กจะภูมิใจและมีความสุขกับการไม่อยู่นิ่ง ดังนั้นของเล่นที่เกี่ยวข้องกับการบังคับร่างกายให้เป็นระบบจะทำให้เด็กจดจ่อทำและมีความสุข เช่น ดินสอสีเทียนหรือสีไม้ ลูกบอล บาร์สำหรับกระโดดเกาะ งานประดิษฐ์ง่าย ๆ ที่ได้ปั้นหรือตัดกระดาษ

 

  • พัฒนาการทางสังคม การสื่อสารและปฏิสัมพันธ์

การเรียนรู้คำศัพท์ที่มากขึ้น ทำให้เด็กสื่อสารกับพ่อแม่หรือคนรอบข้าง ตั้งคำถามเพื่อพูดคุยกับคนรอบ ๆ หากเด็กได้พบว่าตนเรียนรู้ที่จะพูดได้มากขึ้น สื่อสารได้มากขึ้น และเข้าใจคนรอบตัวมากขึ้น เริ่มสอนได้ถึงสิ่งที่ควรพูด หรือมารยาทการแสดงออก เด็กจะรู้สึกเพลิดเพลิน และมีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ในช่วงนี้เด็กอาจเรียนรู้พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมหรือซึมซับอากัปกิริยาที่ไม่ถูกต้องได้อย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน ของเล่นที่ส่งเสริมพัฒนาการอาจส่งเสริมการสวมบทบาทอาชีพต่าง ๆ การพูดคุยถามตอบ การเลียนแบบท่าทางหรือแสดงอารมณ์ความรู้สึก

 

  • พัฒนาการด้านสติปัญญา

แบ่งประเภทสิ่งต่าง ๆ ได้ตามลักษณะรูปร่าง สี หรือขนาด สามารถจับคู่ภาพหรือสิ่งของ อธิบายรูปภาพต่าง ๆ หรือสถานการณ์ได้ด้วยคำศัพท์ที่ไม่ซับซ้อน บางคนสามารถนับเลขอย่างง่ายหรือท่องตัวอักษรในภาษาต่าง ๆ ได้ เรียนรู้บทบาทหน้าที่ง่าย ๆ และทำตามได้ สามารถสอนเพลงหรือกลอนง่าย ๆ และจำได้ แยกแยะคนรู้จักกับไม่รู้จักได้ เพราะฉะนั้นของเล่นที่เป็นพวกบล็อกไม้ให้แยกรูปร่าง แยกสี ไปจนถึงตัวต่อเลโก้ง่าย ๆ หรือการเลือกภาพตามเรื่องเล่าก็สามารถนำมาให้เล่นได้

 

สิ่งที่สำคัญที่สุดของการมีของเล่น

เนื่องจากของเล่นมีผลต่อทักษะของเด็ก และในการสอบเข้าโรงเรียนอนุบาลมีชื่อเสียงหลายแห่ง แม้แต่เด็กเล็กก็อาจถูกคาดหวังให้ใช้งานของเล่นเพื่อแสดงทักษะของตัวเองให้ผู้ใหญ่เห็น ประกอบกับโลกทุกวันนี้มีเรื่องของการแข่งขันในโลกของการทำงาน ทำให้ผู้ใหญ่หลายท่านคิดถึงของเล่นในแง่ที่จะทำให้เด็กเก่งแต่ของเล่นนั้นเป็นสิ่งที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้เล่น หัวใจของการเล่น จึงไม่ควรขาดจาก “ความสนุก”

ความสนุกที่มาเป็นลำดับแรก จะทำให้เด็กเกิดทัศนคติที่ดีต่อของเล่นและช่วงเวลาที่ผู้ใหญ่ปล่อยให้เล่น ดังนั้นจึงอยากเล่นและเข้าหาของเล่นบ่อย ๆ ไปพร้อมกับเกิดความสนุกที่รู้สึกได้เองซึ่งจะกระตุ้นเด็กให้เรียนรู้และมีพัฒนาการที่ดีขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ตลอดจนอยากชวนคนอื่น ๆ เล่นด้วย 

เด็กเก่ง ๆ หลายคนที่ผู้ปกครองไม่ต้องเคี่ยวเข็ญแต่กลับแสวงหากิจกรรมหรือการเรียน เพราะพวกเขารู้สึกได้เองว่ากิจกรรมหรือการเรียนนั้นก็สนุกเหมือนกับของเล่นที่พวกเขาได้มีประสบการณ์ในวัยเด็ก หรือเคยมีประสบการณ์กับการเล่นที่สนุกมาก่อน

 

ความสนุกของเด็ก 3 ขวบที่ต้องมีผู้ดูแล

ผู้ใหญ่ควรมีบทบาทในการเล่นของเด็ก เวลาเล่นควรถูกจัดสรรอย่างเหมาะสม เพราะถ้าปล่อยให้เล่นสนุกอยู่ตลอด ไม่มีการแบ่งเวลา ไม่มีกติกา เด็กอาจติดเล่น และไม่อยากทำตามระเบียบวินัยต่าง ๆ มีท่าทีปฏิเสธอย่างรุนแรงเมื่อถูกจับแยกจากของเล่น 

ผู้ใหญ่ควรใช้เวลากับเด็กขณะเล่นในบางครั้ง หรือเล่นด้วยทุกครั้ง ไม่เพียงปล่อยให้เด็กเล่นคนเดียว ควรช่วยอธิบายถึงสิ่งต่าง ๆ ในขณะที่เด็กเรียนรู้หรือกำลังสนุก เพราะจะทำให้เด็กรับรู้ว่าการเล่นนั้นมีวัตถุประสงค์อยู่ แต่วัตถุประสงค์ เป็นตัวเด็กที่จะต้องบรรลุเอง ผู้ใหญ่ไม่ควรคาดหวังเร็วเกินไปที่จะเห็นเด็กทำได้ หรือทำถูกต้องทุกอย่างหรือทุกครั้งราวกับเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่ง

10 ของเล่นที่เด็กวัย 3 ขวบต้องการ

  • ชุดกรรไกรฝึกหัดหัดตัดภาพ แบรนด์  Melissa & Doug หาซื้อได้ที่ Minene (มิเนเน่)

เป็นชุดการเรียนรู้ที่มีทั้งกรรไกรและภาพสำหรับตัด ตัวกรรไกรถูกแบบมาสำหรับเด็กวัยสามขวบ มีขนาดเล็กและเป็นกรรไกรเซฟดี้ที่ออกแบบมาเพื่อให้ปลอดภัยสำหรับเด็ก เพื่อเด็ก ๆ จะได้ใช้ฝึกทักษะการบังคับมือได้สะดวก ตอนใช้งาน เด็กต้องจดจ่อกับเส้นรูปวาดที่ตัด จึงได้สมาธิเพิ่มขึ้น อีกทั้งรูปที่ตัดนั้น ยังสามารถนำมาใช้เล่นเป็นภาพจิ๊กซอว์ ทบทวนการนับจำนวนชิ้น ไล่ชื่อสี หรือเรียนรู้คำศัพท์เพิ่มเติมเมื่อมีผู้ใหญ่อยู่ด้วยได้ 

อ้างอิง: https://th.minenethailand.com/

ของเล่นเด็ก 3 ขวบ

ที่มาภาพ: https://th.minenethailand.com/

 

  • เซ็ตแป้งโดว์ Super Soft Organic Dough แบรนด์ Joan Miro

วัตถุดิบหลักของแป้งโดว์คือแป้งข้าวสาลี น้ำ และสีปลอดสาร โดยในหนึ่งชุดมีแป้งโดว์หลายกระปุก แยกเป็นสี ๆ ขนาดบรรจุ 50 กรัมต่อกระปุก อยู่ในบรรจุภัณฑ์พิมพ์ลายน่ารักที่สามารถนำมาใช้เป็นแบบในการปั้นได้ ตัวแป้งโดว์นั้นนุ่ม ปั้นง่าย ไม่มีกลิ่น และใช้ซ้ำได้ หากพบว่าแป้งโดว์แข็ง เพียงพรมน้ำอุ่นและนวด แป้งโดว์แข็ง ๆ จะกลับมานุ่มอีกครั้ง

อ้างอิง: https://www.joanmirothailand.com/

ของเล่นเด็ก 3 ขวบ

ที่มาภาพ: https://www.joanmirothailand.com/

 

  • ของเล่นสำหรับเล่นสวมบทบาท แบรนด์ J’Odore (ฌาดอร์) หาซื้อได้ที่ Toys “R” Us 

แบรนด์นี้มีของเล่นมากมายที่เป็นทรงเครื่องไม้เครื่องมือ พาหนะ หรือสิ่งก่อสร้างขนาดย่อส่วนที่สามารถนำมาเป็นเครื่องมือในการสวมบทบาทต่าง ๆ สีสันสดใสแต่เป็นสีที่ปลอดสารพิษ ปลอดภัยสำหรับเด็ก และมีส่วนหนึ่งหรือทั้งหมดของบางชุดผลิตภัณฑ์เป็นไม้ น้ำหนักจึงเบา ในการเล่น ผู้ปกครองควรคอยดูแลเพราะเด็กอาจจะนึกสนุกอยากจะลองเอาเข้าปากดู เพื่อความปลอดภัยจึงต้องมีผู้ใหญ่คอยดูแลใกล้ชิด

อ้างอิง: https://www.toysrus.co.th/th-th/jadore

ของเล่นสำหรับเด็ก

ที่มาภาพ: https://www.toysrus.co.th/

 

อ่านต่อ… ของเล่นเด็ก 3 ขวบ เสริมพัฒนาการ ควรเลือกอย่างไรให้ลูกชอบ คุณแม่เลิฟ ที่หน้า 2

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

(more…)

ไฟเซอร์ฝาม่วงแดง วัคซีนโควิดเด็กเล็ก

อย.อนุมัติแล้ว ไฟเซอร์ฝาม่วงแดง ใช้ในเด็กเล็ก 6เดือน-5ปี

Alternative Textaccount_circle
event
ไฟเซอร์ฝาม่วงแดง วัคซีนโควิดเด็กเล็ก
ไฟเซอร์ฝาม่วงแดง วัคซีนโควิดเด็กเล็ก

ไฟเซอร์ฝาม่วงแดง สำหรับเด็กเล็ก 6 เดือน-5ปี ได้รับการอนุมัติจาก อย. แล้ว ผ่านการรับรองว่าสามารถป้องกันโรคโควิด 19 ได้ถึง 80.3% พ่อแม่ที่มีเด็กเล็กเตรียมตัว

อย.อนุมัติแล้ว ไฟเซอร์ฝาม่วงแดง ใช้ในเด็กเล็ก 6เดือน-5ปี!!

เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2565 นายแพทย์ ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2565 คณะอนุกรรมการพิจารณาการขึ้นทะเบียนตำรับยาแผนปัจจุบันสำหรับมนุษย์ที่เป็นวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ได้มีมติเห็นชอบการขยายขอบเขตข้อบ่งใช้ของวัคซีนโคเมอร์เนตี ของบริษัท ไฟเซอร์ จำกัด เป็นวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 สำหรับกลุ่มเด็กอายุ 6 เดือน – น้อยกว่า 5 ปี วัคซีน ไฟเซอร์ฝาม่วงแดง แล้ว

โดยก่อนหน้านี้บริษัทไฟเซอร์ได้รับอนุญาตให้ใช้วัคซีนสำหรับกระตุ้นภูมิในผู้ที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไป และมีการขยายอายุให้ใช้ในกลุ่มเด็กอายุ 5-11 ปี สำหรับการฉีดในกลุ่มเด็ก โดยมีขนาดการใช้วัคซีนลดลงเหลือ 10 ไมโครกรัม เป็นการฉีดวัคซีนเข้ากล้ามเนื้อ จำนวน 2 เข็ม ห่างกัน 21 วัน โดยกลุ่มเด็กดังกล่าวได้รับวัคซีนกันไปบ้างแล้ว และในส่วนสำหรับการฉีดวัคซีนในกลุ่มเด็กเล็ก 6 เดือน – น้อยกว่า 5 ปี ที่กำลังจะมีการฉีดกันนั้น จะมีข้อบ่งชี้การใช้อย่างไร ปริมาณของวัคซีนเป็นเท่าไหร่ รวมถึงผลข้างเคียงเป็นอย่างไร ใครควรได้รับบ้างนั้น เราได้รวบรวมข้อมูลมาให้คุณพ่อคุณแม่ได้เตรียมตัว เตรียมข้อมูล ศึกษากันให้ละเอียดก่อนตัดสินใจพาลูกหลานเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด 19 ครั้งนี้ กัน ดังนี้

ไฟเซอร์ฝาม่วงแดง สำหรับเด็ก 6 เดือน -น้อยกว่า 5 ปี
ไฟเซอร์ฝาม่วงแดง สำหรับเด็ก 6 เดือน -น้อยกว่า 5 ปี

ประสิทธิภาพการป้องกันโรคโควิด 19 มากถึง 80.3% !!

ก่อนจะเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ให้กับลูกน้อย เรามาทำความเข้าใจกับโรคนี้กันสักเล็กน้อย

COVID 19 เกิดจากเชื้อ Coronavirus หรือที่เรียกกันว่า SAR CoV-2 โดยเราสามารถติดโควิด 19 ได้จากบุคคลอื่นที่มีเชื้อไวรัสนี้ ผู้ได้รับเชื้อส่วนใหญ่จะเป็นโรคทางเดินหายใจที่อาจส่งผลต่ออวัยวะอื่น โดยผู้ที่เชื้อโควิด 19 มีอาการหลากหลายกันไป ประเมินจากรายงานที่ผ่านมา โดยมีอาการไม่รุนแรงไปจนถึงอาการรุนแรงที่นำไปสู่การเสียชีวิต อาการอาจปรากฎขึ้น 2-14 วันหลังจากสัมผัสกับไวรัส โดยอาการทั่วไปที่พบ ได้แก่

  1. มีไข้ หนาวสั่น
  2. ไอ หายใจถี่
  3. เหนื่อยล้า
  4. ปวดกล้ามเนื้อ หรือร่างกาย ปวดหัว
  5. สูญเสียรสชาติ หรือกลิ่น
  6. เจ็บคอ
  7. มีน้ำมูก
  8. คลื่นไส้ อาเจียน
  9. ท้องเสีย

โดยอาการต่าง ๆ เหล่านี้ ไม่จำเป็นต้องมีครบทุกอาการ และสำหรับในเด็กทารก การสังเกตอาการป่วย เพื่อให้สามารถแยกแยะโรคได้ว่า ติดเชื้อไวรัสโควิด 19 หรือไม่ คงเป็นเรื่องที่สังเกตลำบากอยู่สักหน่อย

การสังเกตอาการโรคโควิด-19 ในเด็กแรกเกิด ควรพิจารณาร่วมกับประวัติการสัมผัสโรคกับผู้ปกครองหรือผู้ใกล้ชิดที่ติดเชื้อโรคโควิด-19 ด้วย โดยหากเด็กแรกเกิดมีอาการดังนี้ ควรมาพบแพทย์เพื่อรับการประเมินความรุนแรงของอาการ และตรวจหาเชื้อโรคโควิด-19 เพื่อวางแผนการรักษาต่อไป

  1. ซึมลง ดูดนมได้น้อยลง
  2. ผื่นขึ้นตามตัว
  3. คัดจมูก น้ำมูกไหล ไอแห้ง หรือมีเสมหะ
  4. หายใจลำบาก หายใจเร็วกว่าปกติ หรือหายใจมีเสียงดัง
  5. อาเจียน ท้องเสีย
  6. มีไข้
วัคซีนป้องกันโควิด19 ไฟเซอร์ฝาม่วงแดง
วัคซีนป้องกันโควิด19 ไฟเซอร์ฝาม่วงแดง

ประสิทธิผลของวัคซีนการป้องกันโรคโควิด 19 ไฟเซอร์ฝาม่วงแดง อยู่ในเกณฑ์ดี!!

ได้มีผลการทดสอบ (ผ่านการทดสอบในเด็กกว่า 4500 คน) แสดงให้เห็นว่า ประสิทธิภาพของวัคซีนสามโดสต่อโรคตามอาการ คือ 80.4% ในช่วงเวลาที่ Omicron แพร่กระจายอย่างกว้างขวางในสหรัฐอเมริกา

วัคซีนเคยใช้มาก่อนหรือไม่?

บุคคลหลายล้านคนอายุ 5 ปีขึ้นไปได้รับวัคซีน Pfizer-BioNTech COVID-19 ภายใต้ EUA ตั้งแต่วันที่ 11 ธันวาคม 2020 ในการทดลองทางคลินิก

  • เด็กอายุ 6 เดือน -23 เดือน ประมาณ 1200 คน
  • เด็กอายุ 2-4 ปี ประมาณ 1800 คน
  • อายุ 5-11 ปี ประมาณ 3100 คน

ได้รับวัคซีนไฟเซอร์ อย่างน้อย 1 ครั้ง ในการทดลองทางคลินิกอื่น ประมาณ 23,000 คนที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไปได้รับวัคซีน Pfizer-BioNTech COVID-19 อย่างน้อย 1 ครั้ง วัคซีนที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ในเด็กอายุ 6 เดือนถึง 4 ปีประกอบด้วย mRNA และไขมันที่เหมือนกัน แต่มีส่วนผสมที่ไม่ออกฤทธิ์ต่างกันเมื่อเทียบกับวัคซีน 3 ฉบับปรับปรุง: 28 มิถุนายน 2565 ที่ได้รับการศึกษาในการทดลองทางคลินิก การใช้ส่วนผสมที่ไม่ออกฤทธิ์ต่างๆ ช่วยให้วัคซีนมีเสถียรภาพภายใต้อุณหภูมิที่แช่เย็น

ที่มา : labeling.pfizer.com

ปริมาณการใช้วัคซีน ไฟเซอร์ฝาม่วงแดง 

สำหรับปริมาณการใช้วัคซีนในกลุ่มเด็กอายุ 6 เดือน – น้อยกว่า 5 ปี นั้น จะใช้วัคซีนโดสละ 0.2 มิลลิลิตร  (3 ไมโครกรัม) ฉีด 3 เข็ม

ระยะห่างระหว่างเข็ม

การฉีดวัคซีนไฟเซอร์ในกลุ่มเด็กเล็ก 6 เดือน – น้อยกว่า 5 ปีนี้ จะมีระยะห่างระหว่างเข็ม ดังนี้

  • จะได้รับเข็ม 2 ห่างจากเข็ม 1 เป็นระยะเวลา 3 สัปดาห์
  • เข็ม 3 ห่างจากเข็ม 2 เป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์

อ่านต่อ ผลข้างเคียงที่พบจากการฉีดวัคซีน ไฟเซอร์ฝาม่วงแดง คลิกหน้า 2

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

hypothyroidism

Hypothyroidism ภาวะพร่องไทรอยด์ฮอร์โมนแต่กำเนิด ยิ่งรู้เร็ว ยิ่งป้องกันได้ ลูกไม่เอ๋อ!

Alternative Textaccount_circle
event
hypothyroidism
hypothyroidism

Hypothyroidism – เชื่อว่าในประเทศไทยหรือทั่วโลก อดีตถึงปัจจุบัน มีความเป็นไปได้ที่มีเด็กที่ขาดโอกาสในการรักษาอย่างทันท่วงที ในช่วงขวบเดือนแรกของชีวิต กับการป่วยด้วยภาวะพร่องไทรอยด์ฮอร์โมนแต่กำเนิด ส่งผลให้เราเสมือนสูญเสียมันสมองหรืออนาคตของชาติไปอย่างน่าเสียดาย ด้วยภาวะนี้หากเกิดขึ้นและไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสมอย่างทันท่วงที สามารถส่งผลกระทบต่อ สมอง ระบบประสาท การเรียนรู้ และสติปัญญาของเด็กได้ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อว่า “โรคเอ๋อ”

Hypothyroidism ภาวะพร่องไทรอยด์ฮอร์โมนแต่กำเนิด ยิ่งรู้เร็ว ยิ่งป้องกันได้ ลูกไม่เอ๋อ!

ภาวะพร่องไทรอยด์ฮอร์โมนแต่กำเนิด (Congenital hypothyroidism) หมายถึงการขาดหรือขาดฮอร์โมนไทรอยด์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่แรกเกิด ความบกพร่องทางพันธุกรรม การคลอดก่อนกำหนด หรือการขาดสารไอโอดีนของมารดา อาจส่งผลให้เกิดปัญหากับการพัฒนาของต่อมไทรอยด์หรือการผลิตฮอร์โมนไทรอยด์ ทำให้เกิดภาวะดังกล่าวนี้ โดยปกติการตรวจคัดกรองทารกแรกเกิดจะระบุภาวะพร่องไทรอยด์ที่มีมาแต่กำเนิด แม้ว่าทารกมักไม่มีอาการหรืออาการแสดงของภาวะไทรอยด์ทำงานต่ำตั้งแต่แรกเกิด แต่อาจมีความผิดปกติบางอย่างที่ผู้ปกครองสามารถสังเกตได้

สัญญาณ และ อาการ Hypothyroidism

ทารกแรกเกิดส่วนใหญ่ที่มีภาวะไทรอยด์ทำงานต่ำแต่กำเนิดอาจไม่มีอาการหรืออาการแสดงของภาวะนี้ เป็นเพราะการมีฮอร์โมนไทรอยด์ของมารดาหรือการทำงานของต่อมไทรอยด์ที่ตกค้างอยู่ แต่อาการและอาการแสดงบางอย่างที่ลูกน้อยของคุณอาจมี ได้แก่

  • เส้นรอบวงศีรษะที่เพิ่มขึ้น ความง่วง (ขาดพลังงาน นอนเกือบตลอดเวลา ดูเหมือนเหนื่อยแม้จะตื่นอยู่)
  • เคลื่อนไหวช้า
  • ร้องไห้มากผิดปกติ
  • มีปัญหาการกิน
  • ท้องอืด ท้องผูกเรื้อรัง
  • ลิ้นโต
  • ผิวแห้ง
  • อุณหภูมิร่างกายต่ำ
  • ดีซ่าน หรือ ตัวเหลืองเป็นเวลานาน
  • คอพอก (ต่อมไทรอยด์โต)
  • มวลกล้ามเนื้อต่ำผิดปกติ
  • หน้าบวม แขนขาเย็น
  • ผมหนาหยาบ
  • กระหม่อมใหญ่
  • สะดือ (ยื่นออกมา) ไส้เลื่อน
  • การเจริญเติบโตช้า

เด็กที่เกิดมาพร้อมกับต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติอย่างรุนแรง สามารถพัฒนาความบกพร่องทางสติปัญญาได้หากไม่ได้รับการรักษาอย่างรวดเร็ว ซึ่ง IQ ของเด็กอาจลดลงทุกๆ สองสามเดือนที่การรักษาล่าช้า การเจริญเติบโตและความแข็งแรงของกระดูกอาจได้รับผลกระทบเช่นกัน ภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ของภาวะพร่องไทรอยด์ที่มีมา แต่กำเนิด ได้แก่ การเดินผิดปกติมีอาการเกร็งของกล้ามเนื้อ พูดช้า มีพฤติกรรมคล้ายออทิสติก มีปัญหาการมองเห็นและการได้ยิน ปัญหาเกี่ยวกับความจำและความสนใจ แม้จะได้รับการรักษา (หลังจากคลอดเกิน 3 เดือน) เด็กที่มีภาวะไทรอยด์ทำงานต่ำแต่กำเนิด อาจเรียนรู้ได้ช้ากว่าเด็กคนอื่นๆ ในวัยเดียวกัน

โรคเอ๋อในทารก
โรคเอ๋อในทารก

สาเหตุของ Hypothyroidism

โดยทั่วไปภาวะพร่องฮอร์โมนไทรอยด์แต่กำเนิด มีสองชนิด ได้แก่ แบบถาวร และ แบบชั่วคราว นอกจากนี้ ภาวะไทรอยด์ทำงานผิดปกติแต่กำเนิด มักพบได้บ่อยในทารกที่มีปัญหาหัวใจพิการแต่กำเนิดหรือกลุ่มอาการดาวน์ 

อย่างไรก็ตาม Hypothyroidism แต่กำเนิด ในทารกแรกเกิด อาจเกิดจากสาเหตุ อื่นๆ ต่อไปนี้ได้

  • ต่อมไทรอยด์ที่ขาดหายไป รูปร่างไม่ดี หรือมีขนาดเล็กผิดปกติ
  • ความบกพร่องทางพันธุกรรมที่ส่งผลต่อการผลิตฮอร์โมนไทรอยด์
  • แม่ได้รับไอโอดีนในปริมาณที่น้อยเกินไปในระหว่างตั้งครรภ์
  • รังสีไอโอดีนหรือการรักษาต่อมไทรอยด์สำหรับมะเร็งต่อมไทรอยด์ในระหว่างตั้งครรภ์
  • การใช้ยาที่ขัดขวางการผลิตฮอร์โมนไทรอยด์ เช่น ยาต้านไทรอยด์ ซัลโฟนาไมด์ หรือลิเธียม ในระหว่างตั้งครรภ์
  • การขาดสารไอโอดีนยังคงเป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดที่ป้องกันได้  เนื่องจากร่างกายของเราไม่สามารถสร้างไอโอดีนเองได้ เราจึงต้องได้รับจากอาหาร

 การตรวจคัดกรอง Hypothyroidism 

ภาวะไทรอยด์ทำงานผิดปกติแต่กำเนิดมักตรวจพบได้โดยการตรวจเลือดทารกแรกเกิดด้วยการเก็บตัวอย่างเลือดที่ส้นเท้าซึ่งทำได้ภายในไม่กี่วันหลังคลอด การตรวจคัดกรองโรคเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์ จะดูที่ค่าของฮอร์โมน 2 ตัวได้แก่ TSH และ T4

  • ฮอร์โมนกระตุ้นต่อมไทรอยด์ (TSH): ช่วงแรกเกิด ค่าปกติคือ 1.7 ถึง 9.1 mU ต่อลิตร ซึ่งค่าระดับสูง สามารถบ่งบอกถึงภาวะไทรอยด์ทำงานต่ำ
  • ไทรอกซิน (T4): ช่วงแรกเกิด ค่าปกติคือ 10 ไมโครกรัมต่อเดซิลิตร (129 นาโนโมลต่อลิตร) ซึ่งค่าระดับต่ำสามารถบ่งบอกถึงภาวะไทรอยด์ทำงานต่ำ

*อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน โรงพยาบาลเอกชน และ โรงพยาบาลรัฐ อาจมีการตั้งเกณฑ์ค่าของระดับฮอร์โมนในการคัดกรองโรคแตกต่างกันในการระบุการเกิดภาวะไทรอยด์ทำงานผิดปกติแต่กำเนิด 

หากการตรวจเลือดเบื้องต้นระบุถึงปัญหาที่อาจเกิดขึ้น การติดตามผลมักรวมถึงการตรวจซ้ำหลังจากผ่านไปประมาณสองถึงสามสัปดาห์ โดยทั่วไปแล้วจำเป็นต้องมีการทดสอบการถ่ายภาพเพื่อสร้างภาพต่อมไทรอยด์หากการตรวจเลือดของต่อมไทรอยด์ยังคงผิดปกติ หากมีปัญหาอื่นๆ เช่น ความบกพร่องของหัวใจหรือลักษณะใบหน้าที่ผิดปกติ อาจจำเป็นต้องทำการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม เช่น ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) เพื่อประเมินหัวใจหรือการทดสอบทางพันธุกรรม 

อ่านต่อ…Hypothyroidism ภาวะพร่องไทรอยด์ฮอร์โมนแต่กำเนิด ยิ่งรู้เร็ว ยิ่งป้องกันได้ ลูกไม่เอ๋อ! ได้ที่หน้า 2

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

งานจิตอาสา ทักษะชีวิต

รวม! งานจิตอาสา ช่วยปลูกฝังพัฒนาทักษะชีวิตลูกเริ่มได้ทุกวัย

Alternative Textaccount_circle
event
งานจิตอาสา ทักษะชีวิต
งานจิตอาสา ทักษะชีวิต

งานจิตอาสา ให้อะไรมากกว่าที่คิด ในสังคมยุคใหม่ที่ต่างคนต่างอยู่ ทักษะชีวิตเช่นการเอื้อเฟื้อ ช่วยเหลือกันจางหาย มาสร้างลูกให้มีจิตสาธารณะเพื่อสังคมน่าอยู่กัน

10 งานจิตอาสา ช่วยปลูกฝังพัฒนาทักษะชีวิตลูก เริ่มได้ทุกวัย!!

แพทย์หญิงถิรพร ตั้งจิตติพร จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กรมการแพทย์ ว่าทำไมเด็กยุคนี้ต้องทำงานจิตอาสา คุณหมอบอกว่า การทำงานจิตอาสาเป็นสิ่งที่ช่วยปลูกฝังให้เด็กมีทักษะชีวิตที่สำคัญ ได้แก่ การเสียสละ การมีน้ำใจ ความขยัน อดทน ความรับผิดชอบ การเข้าสังคม อ่อนน้อมถ่อมตน ลดความเห็นแก่ตัว มีเมตตาต่อกันทำให้สังคมน่าอยู่ยิ่งขึ้น ที่สำคัญคือการเห็นอกเห็นใจและเข้าใจผู้อื่น โดยเฉพาะเด็กยุคนี้ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย การติดต่อสื่อสารกันหรือการเรียนรู้ส่วนใหญ่มักผ่านทางหน้าจอ ทำให้ขาดทักษะที่สำคัญในชีวิตหลายอย่าง แต่ข้อควรระวังคือการทำงานจิตอาสาแล้วถ่ายรูปโพสใน facebook หรือ instagram เพื่อจุดประสงค์ในการให้คนเข้ามาชมหรือคอมเม้นท์ เด็กๆก็จะไม่ได้รับประโยชน์จากงานจิตอาสาที่แท้จริง

ที่มา : ปิดเทอมสร้างสรรค์

มนุษย์เป็นสัตว์สังคม!!

วิถีชีวิตของสัตว์แต่ละชนิด ก็ย่อมแตกต่างกันไปตามแต่สายพันธุ์ แล้วมนุษย์ล่ะ!! ว่ากันว่ามนุษย์นั้นเป็นสัตว์สังคม เพราะมนุษย์มีการอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างเป็นหมวดหมู่ มิได้ใช้ชีวิตอยู่เพียงคนเดียวตามลำพังแต่อย่างใด เนื่องจากมนุษย์ต้องทำกิจกรรมร่วมกันอยู่ตลอดเวลา ต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน (คำกล่าวของอริสโตเติ้ล นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของกรีก) แต่ละคนต่างก็ต้องการที่จะเสริมสร้างความสุข ความมั่นใจ และความปลอดภัยให้กับตนเองอยู่เสมอ ดังนั้นการอยู่ร่วมกันของมนุษย์จึงเป็นการตอบสนองต่อความต้องการนั้น ๆ ได้เป็นอย่างดี สังคมจึงเป็นแหล่งรวมศูนย์ทางความคิดที่มนุษย์ได้สร้างขึ้นมา เพื่อตอบสนองความต้องการเหล่านั้นนั่นเอง

กิจกรรมช่วยงานสาธารณะ ปลูกฝังทักษะชีวิต
กิจกรรมช่วยงานสาธารณะ ปลูกฝังทักษะชีวิต

ทักษะการใช้ชีวิตร่วมกันกำลังจะหายไป!!

ในสังคมยุคปัจจุบันเราเคยสังเกตกันบ้างไหมว่า การปฎิสัมพันธ์กันของมนุษย์นั้นเริ่มลดน้อยถดลง แม้ว่าเทคโนโลยีสมัยใหม่จะช่วยให้โลกนั้นแคบลงก็ตาม การติดต่อสื่อสารกันทำได้ง่ายขึ้นแม้ว่าเราจะอยู่ห่างไกลกันแค่ไหน แต่ทำไมเด็ก ๆ ในยุคใหม่ ถึงขาดทักษะการอยู่ร่วมกัน การทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม หรือแม้แต่หลักในการเข้าหาพบปะพูดคุยถึงลดลง

เราควรกลับมามองและให้ความสำคัญกับการทำกิจกรรมร่วมกับผู้อื่นของเด็กกันให้มากขึ้น เพื่อลดปัญหาที่เราได้ตั้งข้อสังเกตกันไว้ในเบื้องต้น เพราะการทำกิจกรรมรวมกลุ่มกันนั้น สามารถมอบทักษะการใช้ชีวิตให้แก่เด็ก โดยที่ไม่สามารถหาได้จากในตำราเรียน

ทักษะชีวิต สำคัญอย่างไร?

ทักษะชีวิต (Life Skills) เป็นทักษะภายในที่จะช่วยให้เด็กสามารถเผชิญสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ  และเตรียมพร้อมสำหรับการปรับตัวในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการดูแลสุขภาพ ความปลอดภัย สิ่งแวดล้อม คุณธรรมจริยธรรม ฯลฯ เพื่อให้สามารถมีชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข หรืออาจกล่าวได้ว่าทักษะชีวิต คือ ความสามารถในการแก้ปัญหาที่ต้องเผชิญในชีวิตประจำวัน เพื่อให้สามารถดูแลตนเองได้อย่างปลอดภัย

องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้กำหนดทักษะชีวิตไว้ 10 ทักษะ ได้แก่

  1. ทักษะการตัดสินใจ (Decision making) เป็นความสามารถในการตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตได้อย่างมีระบบ เช่น ถ้าบุคคลสามารถตัดสินใจเกี่ยวกับการกระทำของตนเองที่เกี่ยวกับพฤติกรรมด้านสุขภาพหรือความปลอดภัยในชีวิต โดยประเมินทางเลือกและผลที่ได้จากการตัดสินใจเลือกได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ก็จะมีผลต่อการมีสุขภาพที่ดีทั้งร่างกายและจิตใจ
  2. ทักษะการแก้ปัญหา (Problem solving) เป็นความสามารถในการจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตได้อย่างมีระบบ ไม่เกิดความเครียดทั้งทางร่างกายและจิตใจจนอาจลุกลามเป็นปัญหาใหญ่โตเกินแก้ไขได้
  3. ทักษะการคิดสร้างสรรค์ (Creative thinking) เป็นความสามารถในทางความคิด ซึ่งจะเป็นส่วนช่วยในการตัดสินใจและแก้ไขปัญหา โดยใช้วิธีการคิดแบบสร้างสรรค์เพื่อค้นหาทางเลือกต่าง ๆ รวมทั้งผลที่จะเกิดขึ้นในแต่ละทางเลือก และสามารถนำประสบการณ์มาปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างเหมาะสม
  4. ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ (Critical thinking) เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ และประเมินปัญหาหรือสถานการณ์ที่อยู่รอบตัวที่มีผลต่อการดำเนินชีวิต ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณสามารถช่วยให้เด็กตระหนัก และประเมินผลสิ่งที่จะมีผลกระทบต่อทัศนคติ และพฤติกรรมของตนเอง เช่น การรู้จักคุณค่าในตนเอง การจัดการกับความกดดันจากเพื่อนๆ หรือการรับข้อมูลจากสื่อต่างๆ
  5. ทักษะการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ (Effective communication) เป็นความสามารถในการใช้คำพูด และท่าทางเพื่อแสดงออกถึงความรู้สึกนึกคิดของตนเองได้อย่างเหมาะสมกับวัฒนธรรมและสถานการณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการแสดงความคิดเห็น การแสดงความต้องการ การแสดงความชื่นชม การขอร้อง การเจรจาต่อรอง การตักเตือน การช่วยเหลือ การปฏิเสธ
  6. ทักษะการสร้างสัมพันธภาพระหว่างบุคคล (Interpersonal relationship) เป็นความสามารถในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกันและกัน สามารถรักษาสัมพันธภาพไว้ได้ยืนยาว
  7. ทักษะการตระหนักรู้ในตน (Self-awareness) เป็นความสามารถในการค้นหา รู้จักและเข้าใจตนเอง เช่น รู้ข้อดีข้อด้อยของตนเอง รู้ความต้องการและสิ่งที่ไม่ต้องการของตนเอง ซึ่งจะช่วยให้เด็กเข้าใจตัวเองเวลาเผชิญกับความเครียดหรือสถานการณ์ต่างๆ และทักษะนี้ยังเป็นพื้นฐานของการพัฒนาทักษะอื่นๆ เช่นการสื่อสาร การสร้างสัมพันธภาพ การตัดสินใจ ความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น
  8. ทักษะการเข้าใจผู้อื่น (Empathy) เป็นความสามารถในการเข้าใจความเหมือนหรือความแตกต่างระหว่างบุคคลในด้านความสามารถ เพศ วัย ระดับการศึกษา ศาสนา ความเชื่อ สีผิว อาชีพ เป็นต้น ซึ่งจะช่วยให้สามารถยอมรับบุคคลที่ต่างจากเรา เกิดการช่วยเหลือบุคคลที่ด้อยกว่า หรือได้รับความเดือดร้อน
  9. ทักษะการจัดการกับอารมณ์ (Coping with emotion) เป็นความสามารถในการรับรู้อารมณ์ของตนเองและผู้อื่น รู้ว่าอารมณ์มีผลต่อการแสดงพฤติกรรมอย่างไร รู้วิธีการจัดการกับอารมณ์โกรธและความโศกเศร้า ที่ส่งผลทางลบต่อร่างกายและจิตใจได้อย่างเหมาะสม
  10. ทักษะการจัดการกับความเครียด (Coping with stress) เป็นความสามารถในการรับรู้ถึงสาเหตุของความเครียด รู้วิธีผ่อนคลายความเครียด และแนวทางในการควบคุมระดับความเครียดเพื่อให้เกิดพฤติกรรมในทางที่ถูกต้องเหมาะสมและไม่เกิดปัญหาด้านสุขภาพ

    ร่วมแรงร่วมใจทำงาน วิถีชีวิตสมัยก่อน
    ร่วมแรงร่วมใจทำงาน วิถีชีวิตสมัยก่อน

ทักษะชีวิตทั้ง 10 ทักษะนี้ไม่สามารถเกิดขึ้นเองได้ ต้องอาศัยการฝึกฝน ซึ่งการที่เด็กจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่พร้อมเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงได้อย่างมีความสุข และเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณลักษณะที่ดีนั้นต้องฝึกตนเองให้มีจุดแข็งในด้านทักษะการวิเคราะห์ การตัดสินใจ และการปฏิบัติตนที่เหมาะสม รู้จักที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่นที่แตกต่างจากตนเอง และพร้อมที่เผชิญหน้าและแก้ไขปัญหาอุปสรรคต่างๆ ที่เกิดขึ้น อีกทั้งมีความพร้อมที่จะจัดการกับชีวิตของตนเอง ซึ่งเป็นหนึ่งในความฉลาดที่เด็กยุคใหม่ควรมี นั่นคือ ความฉลาดในการเข้าสังคม (SQ : Social Quotient)

งานจิตอาสา ปลูกฝังพัฒนาทักษะชีวิต!!

ทักษะชีวิตไม่สามารถเกิดขึ้นเองได้ ดังนั้นการให้ลูกได้ทำ กิจกรรมจิตอาสา เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยปลูกฝังให้เด็กได้ฝึกฝนการใช้ทักษะชีวิตในด้านต่าง ๆ อีกทั้งยังทำให้เด็กเป็นผู้ที่มีจิตอาสา จิตใจเมตตากรุณา มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้อื่น มีความรับผิดชอบต่อตนเอง และผู้อื่น มีความเสียสละเพื่อส่วนรวม เพื่อพัฒนาสังคมของเราให้น่าอยู่ และเป็นสุขต่อไป สังคมที่พวกเขาจะต้องใช้ชีวิตอยู่ หากร่วมกันทำให้น่าอยู่แล้ว ก็นับว่าเป็นการสร้างอนาคตทื่ดีให้ลูกอีกทางหนึ่งด้วย

อ่านต่อ>> รวมเว็บไซต์ งานจิตอาสา ให้เลือกตามชอบ คลิกหน้า 2

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

ลาคลอด สิทธิและสวัสดิการ ของคุณแม่ลูกอ่อน

Alternative Textaccount_circle
event

ลาคลอด สิทธิและประโยชน์ที่คุณแม่ตั้งครรภ์ได้รับตามกฎหมาย ลาคลอดได้กี่วัน ในระหว่างลาคลอดได้รับค่าจ้างหรือไม่ ถ้าได้จะได้จำนวนเท่าไหร่ ต้องดำเนินการอย่างไร

ลาคลอด สิทธิและสวัสดิการ ของคุณแม่ลูกอ่อน

คุณแม่หลังคลอดต้องเผชิญกับสิ่งต่างๆมากมาย เช่น แผลหลังคลอด  การเอาลูกเข้าเต้า การอาบน้ำลูก เป็นต้น ดังนั้นการ ลาคลอด เพื่อให้คุณแม่ได้จัดสรรชีวิตครอบครัวให้ลงตัว เตรียมพร้อมเพื่อไปทำงานได้อย่างราบรื่น จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่กฎหมายได้ระบุไว้ รายละเอียดเป็นอย่างไร ทีมกองบรรณาธิการ ABK ได้รวบรวมข้อมูลมาให้แล้วค่ะ

คุณแม่ตั้งครรภ์ ลาคลอด
คุณแม่ตั้งครรภ์ ลาคลอด

ลาคลอด สิทธิและสวัสดิการ ของคุณแม่ลูกอ่อน

กฎหมายใหม่ สิทธิลาเพื่อคลอดบุตร

เพิ่มวันลาคลอด จากเดิม 90 วัน เป็น 98 วัน

และการลาเพื่อคลอดบุตรหมายความรวมถึงการลาเพื่อไปตรวจครรภ์ก่อนคลอดด้วย

ซึ่งหมายถึง วันที่ลูกจ้างลาไปตรวจครรภ์ก็ให้นับรวมใน 98 วันด้วย

ส่วนการจ่ายค่าจ้างในวันลา ไม่มีการแก้ไข คือลูกจ้างมีสิทธิได้รับค่าจ้างในช่วงที่ลา 45 วัน เช่นเดิม

ส่วนอีก 8 วันที่เพิ่มขึ้น (ในกรณีลูกจ้างใช้สิทธิลาครบ 98 วัน) นายจ้างจะจ่ายหรือไม่ ก็แล้วแต่ตกลงกัน ซึ่งควรจะตกลงให้ชัดเจนเพื่อไม่ให้เกิดปัญหา

กรณีลาคลอดแล้วเกิดแท้งลูก

มีประเด็นถามกันมาตลอด คือ ลูกจ้างลาคลอดแล้วปรากฎว่าลูกจ้างแท้งลูก ลูกจ้างยังหยุดงานต่อไปหรือจะต้องกลับเข้าทำงานหลังจากพักฟื้นร่างกายแล้ว กรณีนี้ กฎหมายมิได้เขียนไว้ และศาลไม่เคยตัดสินไว้ เช่นนี้ เมื่อลูกจ้างไม่มีบุตรที่ต้องเลี้ยงดูหลังคลอด สิทธิหยุดงานเนื่องจากลาคลอดน่าจะสิ้นสุดลงภายหลังจากที่สุขภาพของลูกจ้างได้พักฟื้นเป็นปกติพร้อมที่จะทำงานต่อไป ฉะนั้น หากนายจ้างแจ้งให้ลูกจ้างกลับเข้าทำงาน ลูกจ้างจะต้องกลับไปทำงานต่อไป

กระทรวงแรงงานกำลังดำเนินการแก้กฎหมายลาคลอด เพื่อคุ้มครองค่าจ้างทั้ง 98 วัน

โฆษกกระทรวงแรงงาน ได้แจงว่า กระทรวงแรงงานเดินหน้าปรับเพิ่มสิทธิประโยชน์ทดแทนวันลาคลอดให้ลูกจ้างได้รับความคุ้มครองทั้ง 98 วัน โดยสำนักงานประกันสังคมและนายจ้างรับผิดชอบจ่ายค่าจ้างให้ลูกจ้างคนละครึ่ง

นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ โฆษกกระทรวงแรงงาน (ฝ่ายการเมือง) เปิดเผยว่า แม้สิทธิการลาเพื่อคลอดบุตรจะเพิ่มขึ้นจากเดิม 90 วัน เป็น 98 วัน แต่ลูกจ้างยังมีความกังวลว่าจะได้รับค่าจ้างในส่วนวันลา 8 วัน หรือไม่ อย่างไรนั้น กระทรวงแรงงานเห็นถึงความสำคัญในเรื่องนี้ ในเบื้องต้น ขอชี้แจงว่า ข้อกฎหมายที่บังคับใช้อยู่ปัจจุบัน กำหนดให้นายจ้างมีหน้าที่จ่ายค่าจ้างตลอดระยะเวลาที่ลูกจ้างลา แต่ไม่เกิน 45 วัน โดยลูกจ้างยังมีสิทธิรับประโยชน์ทดแทนจากสำนักงานประกันสังคมอีก ร้อยละ 50 ของค่าจ้างเฉลี่ย 90 วัน จึงเห็นได้ว่า จำนวนวันลา 8 วันที่เพิ่มขึ้นนั้น ลูกจ้างยังไม่ได้รับความคุ้มครองในเรื่องค่าจ้าง

ดังนั้นในเรื่องนี้กระทรวงแรงงาน จึงได้ดำเนินการให้สำนักงานประกันสังคมเสนอปรับแก้ไขกฎหมาย เพิ่มสิทธิให้กับลูกจ้าง โดยจะปรับเพิ่มประโยชน์ทดแทนให้ผู้ประกันตน จากร้อยละ 50 ของค่าจ้างเฉลี่ย 90 วัน เป็นร้อยละ 50 ของค่าจ้างเฉลี่ย 98 วัน ซึ่งจะมีผลให้ลูกจ้างได้รับค่าจ้างในวันลาเพิ่มขึ้น จากสิทธิเดิม อีก 4 วัน ในส่วนของค่าจ้างในวันลาเพื่อคลอดบุตร อีก 4 วัน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานได้นำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของคณะทำงานประเมิลผลสัมฤทธิ์กฎหมาย เพื่อปรับแก้ไข พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 เพิ่มสิทธิให้กับลูกจ้าง ต่อไป ในส่วน อนุสัญญา ฉบับที่ 87 และ 98 อยู่ระหว่างการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. … และร่างพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. … ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งจะนำเข้า ครม. และสภาฯ ต่อไป เมื่อผ่านสภาฯ แล้ว จะนำไปสู่ขั้นตอนการรับรองอนุสัญญาฯ ต่อไป

ค่าจ้างในช่วงลาคลอด

ตามกฎหมายจะได้รับเงินจาก 2 ช่องทาง ดังนี้ั

  1. จากนายจ้าง ได้รับสิทธิ์การลาคลอดไม่เกิน 98 วัน และได้รับค่าจ้างจากนายจ้างจำนวน 45 วัน เช่น เงินเดือน เดือนละ 10,000 บาท นายจ้างจะต้องจ่ายค่าจ้างจำนวน 15,000 บาท (คำนวณมาจากรายได้เฉลี่ยที่คิดเป็นรายวัน (10,000 / 30) x 45 วัน)
  2. จากสำนักงานประกันสังคม ผู้ประกันตนหญิงมีสิทธิรับเงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตรเหมาจ่ายในอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้างเฉลี่ยเป็นระยะเวลา 90 วัน สำหรับการใช้สิทธิบุตรคนที่ 3 จะไม่ได้รับสิทธิ (คำนวณจากฐานเงินเดือนไม่เกิน 15,000 บาท ถ้าคุณแม่มีเงินเดือน 15,000 บาท หรือสูงกว่า 15,000 บาท ก็จะได้เท่ากับ 15,000 x 3 เดือน (90 วัน) x 0.5 = 22,500 บาท และสามารถใช้สิทธิ์ได้ไม่เกิน 2 ครั้ง)

 

อ่านต่อ…ลาคลอด สิทธิและสวัสดิการ ของคุณแม่ลูกอ่อน คลิกหน้า 2

 

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

เลี้ยงลูก

10 ตัวช่วย เลี้ยงลูก เพื่อแม่มือใหม่ แม่ทั่วประเทศช่วยเลือกแล้ว ดีจริง!

Alternative Textaccount_circle
event
เลี้ยงลูก
เลี้ยงลูก

คุณแม่ที่กำลังมองหาแนวทาง เลี้ยงลูก รวมทั้งไอเทมต่าง ๆ เพื่อการดูแลตัวเองและลูกให้มีความสุข กองบรรณาธิการ Amarin Baby & Kids ขอแนะนำ 10 ตัวช่วย เลี้ยงลูก ที่เราคัดสรรมาจากความเห็นคุณแม่ส่วนใหญ่ว่าดีจริง โดยเฉพาะคุณแม่มือใหม่หากกำลังจะคลอดลูก หรือกำลังดูแลลูกน้อยวัยทารกอยู่ บอกเลยว่ามีครบให้คุณแม่สะดวกสบายทั้งการ เลี้ยงลูก และดูแลตัวเองเลยค่ะ

สุดยอดตัวช่วยในการดูแลลูกน้อย ที่เรานำมาฝากกันนี้ เป็น 10 ไอเทมปัง ๆ เพื่อคุณแม่โดยเฉพาะค่ะ ที่เรารันตีคุณภาพและมีประโยชน์ จาก Amarin Baby & Kids Awards 2021

เลี้ยงลูก นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

1. เพจ นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

คุณแม่มือใหม่ที่รู้สึกเหนื่อยท้อแท้จากการ เลี้ยงลูก ลองกดติดตามเพจนี้เลยค่ะ เพราะคุณหมอประเสริฐ เป็นจิตแพทย์ผู้มีความเชี่ยวชาญด้านจิตเวชเด็กมายาวนาน จึงมีความเข้าใจในธรรมชาติของเด็ก ๆ จนกลายเป็นเพจคุณหมอในดวงใจที่คุณแม่ส่วนใหญ่แนะนำ เข้าไปดูในเพจจะได้พบกับความรู้และจิตวิทยาในการดูแลลูกน้อยเต็มไปหมด ซึ่งการเลี้ยงดูลูกน้อยก็ต้องทำความเข้าใจธรรมชาติของลูกในแต่ละช่วงวัย ใช้เวลาอยู่ด้วยกันให้มาก ๆ ทำกิจกรรมที่ชอบด้วยกัน เพื่อเสริมพัฒนาการให้เติบโตสมวัย หลาย ๆคำถามที่คุณแม่แก้ไม่ตก อาจมาได้คำตอบจากเพจคุณหมอก็ได้นะคะ คุณแม่ทั่วประเทศได้สนับสนุนและเลือกให้ เพจนายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เป็นแนวทางในการช่วย เลี้ยงลูก ทำให้ได้รับรางวัลMOMMY’s CHOICE สาขา POPULAR CHILDREN’s EXPERT FANPAGE จาก Amarin Baby & Kids 2021

ข้อมูลเพิ่มเติม https://web.facebook.com/prasertpp/?_rdc=1&_rdr

เลี้ยงลูก เพจ In J House

2. เพจ In J House

สำหรับคุณแม่ที่หาเพื่อนที่มีประสบการณ์เดียวกัน เข้าเพจ In J House ก็จะได้คำแนะนำดี ๆ กลับไป เลี้ยงลูก ค่ะ บล็อกเกอร์ในดวงใจที่คุณแม่หลายคนแนะนำคือ คุณแม่จอย รัชวรรณ เลิศประสิทธิ์โชค เจ้าของเพจ In J House พื้นที่ของครอบครัวที่มาแชร์เรื่องราวประจำวัน ความเป็นคุณแม่ลูกเล็กที่มาเล่าประสบการณ์เลี้ยงดูลูกน้อยได้อย่างน่ารัก การออกไปท่องเที่ยวเปิดประสบการณ์ให้ลูก การอบรมเลี้ยงดูแบบฉบับคุณแม่ยุคใหม่ แนะนำของใช้สำหรับแม่และเด็ก ความรักและใส่ใจของคุณพ่อกับคุณลูก สามีดูแลภรรยา ดูแล้วอบอุ่นหัวใจ แถมยังได้เคล็ดลับดี ๆ ในการดูแลลูกน้อยด้วย เพจ In J House ได้รับรางวัลจากการจากโหวตสนับสนุนของคุณแม่ทั่วประเทศ MOMMY’s CHOICE สาขา POPULAR ONLINE MOMMY INFLUENCER จาก Amarin Baby & Kids Awards 2021 

ข้อมูลเพิ่มเติม https://web.facebook.com/injhouse/?_rdc=1&_rdr

ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า TRYLAGINA

3. ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า TRYLAGINA

พูดถึงเรื่องของผิวพรรณ ผู้หญิงเราต้องดูแลกันเสมออยู่แล้ว ยิ่งผ่านช่วงเวลามีลูก หรือเจอกับสภาวะแวดล้อมต่าง ๆ ผิวอาจเกิดความไม่เปล่งปลั่ง และริ้วรอยตามกาลเวลา ทั้งฝ้า กระ จุดด่างดำ จึงต้องมีตัวช่วยฟื้นฟูผิวที่ดีอย่างเซรั่มกระปุกแดงตัวนี้ ที่อุดมด้วย 3 ส่วนผสมหลัก ทั้ง Soluble Collagen ที่ช่วยให้ผิวนุ่ม ดูฉ่ำ มีน้ำมีนวล Sand Lily Extract ช่วยให้ผิวแลดูใสเปล่งประกาย และ EPS Seafill P ช่วยให้ผิวอ่อนเยาว์ และริ้วรอยจางลง หลายคนใช้แล้วพึงพอใจ จากผิวอ่อนล้าก็ดูสดใสขึ้น ช่วยฟื้นฟูผิวแบบรู้สึกได้จริง จนได้รับรางวัลมากมายจากหลายสถาบันเลยค่ะ คุณแม่ให้ความสำคัญ เลี้ยงลูก ด้วยความใส่ใจ แล้วอย่าลืมดูแลผิวพรรณของคุณแม่ให้สวยสดใสด้วยนะคะ ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า Trylaginaได้รับรางวัล  EDITOR’s CHOICE สาขา BEST FACIAL SKINCARE FOR MOM จาก Amarin Baby & Kids Awards 2021

ข้อมูลเพิ่มเติม https://www.trylagina.co.th/th/canvas/forever-young-cn2a?fbclid=IwAR3qiu9uKPjM-yB0zrrzgB2qjGqLHE8j4Ta-tkACHt5PmwfBYsFuBNSIYfA

เลี้ยงลูก

4. ถุงเก็บน้ำนม SUNMUM

การปั๊มน้ำนมเก็บไว้จะช่วยให้คุณแม่สำรองน้ำนมไว้ใช้ในเวลาที่ไม่พร้อมให้ลูกน้อยเข้าเต้า และสะดวกในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ระหว่างวัน เพราะฉะนั้นถุงเก็บน้ำนมจึงถือเป็นไอเทมสำคัญ ซึ่งถุงเก็บน้ำนม Sunmum เป็นถุงเก็บน้ำนมแม่ที่ผลิตจากเม็ดพลาสติกใหม่ 100% ปลอดภัยจากสารฟินอล ถุงและสีพิมพ์ผ่านการรับรองว่าปลอดภัยเมื่อใช้กับอาหาร ผ่านการฆ่าเชื้อด้วยรังสีแกมมา ระบบเดียวกับเครื่องมือแพทย์ เนื้อถุงลามิเนต 2 ชั้น ทนต่อเกล็ดน้ำแข็ง ไม่ฉีกขาดหรือรั่วซึมง่าย ขอบและก้นถุงก็ซีล แข็งแรงทนทาน รองรับการขยายตัวของน้ำนมขณะแช่แข็งด้วย การได้ เลี้ยงลูก ด้วยนมแม่เป็นหนึ่งในเป้าหมายของคุณแม่ส่วนใหญ่เลยค่ะ ฉะนั้นเพื่อการเก็บน้ำนมแม่ให้คงคุณค่าสารอาหารที่มีประโยชน์ ถุงเก็บนมแม่ SUNMUM ถือเป็นตัวช่วยที่ดีสำหรับคุณแม่ ถุงเก็บนมแม่ SUNMUM ได้รับรางวัล  MOMMY’s CHOICE สาขา BEST BREAST MILK STORAGE BAGS จาก Amarin Baby & Kids Awards 2021

ข้อมูลเพิ่มเติม https://web.facebook.com/sunmum.shop/?_rdc=1&_rdr

คอกกั้น GGUMBI

5. คอกกั้น GGUMBI

มาสร้างอาณาจักรให้เจ้าตัวน้อยได้มีพื้นที่เรียนรู้ของตัวเอง และยังช่วยดูแลเค้าให้ปลอดภัย คุณแม่ก็อุ่นใจด้วยคอกกั้นพลาสติกของ Ggumbi ผลิตมาจาก PP พลาสติก ปลอดภัยไร้สารปนเปื้อน ผ่านการรับรองมาตรฐาน BPA Free มาพร้อมเบาะรองคลานแบบไร้ร่อง นวัตกรรมใหม่จากเกาหลี Safety Door ประตูคอกกั้นล็อค 2 ชั้น ป้องกันเด็กให้ไม่สามารถเปิดประตูออกเองจากด้านใน มีช่องระบายอากาศ รวมทั้งช่องสำหรับมองเจ้าตัวน้อยได้ตลอดเวลา ทำให้ไม่พลาดทุกช่วงเวลา ไม่ว่าคุณแม่จะทำกิจกรรมอะไรภายในบ้าน ส่วนความสูงได้มาตรฐานที่ 60 ซม. ช่วยให้เกาะยืนเดินได้ระดับพอดี คอกกั้นเป็นหนึ่งในไอเทมที่ช่วยให้คุณแม่ เลี้ยงลูก ได้สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น เพราะคอกกั้นเป็นเหมือนพื้นที่ปลอดภัยสำหรับลูกน้อยค่ะ GGUMBI คอกกั้นเด็ก ได้รับรางวัล MOMMY’s CHOICE สาขา BEST SAFETY FENCE PLAYPEN จาก Amarin Baby & Kids Awards 2021

ข้อมูลเพิ่มเติม https://web.facebook.com/Ggumbi.thailand/?_rdc=1&_rdr

คลินิคเสริมความงาม The Klinique

6. คลินิคเสริมความงาม The Klinique

เรื่องความงามของผิวพรรณและรูปร่างเป็นส่วนนึงที่ทำให้ผู้หญิงเรามั่นใจในการใช้ชีวิตเลยนะคะ ยิ่งเวลาผ่านไปผิวก็ควรได้รับการดูแลเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง แนะนำให้มาปรึกษาที่ The Klinique คลินิคเสริมความงามที่มีนวัตกรรมยกกระชับ ปรับรูปหน้าและลดริ้วรอย ระดับเอเชียแปซิฟิค ดูแลอย่างใกล้ชิดโดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และการผสมผสานศิลปะความงามจากนวัตกรรมทางการแพทย์มาตรฐานสหรัฐอเมริกา และยุโรป มีบริการครอบคลุมทุกปัญหาผิวและรูปร่าง เช่น Ulthera SPT+, ThermageFLX Pro, Pico Clear Enlighten, CopperBromide, eLos Plus, eMatrix, New YAG Laser รวมไปถึงกระชับสัดส่วน สลายไขมัน เวชศาสตร์ชะลอวัย และอีกมากมาย คุณแม่ให้เวลาเต็มที่ในการ เลี้ยงลูก แล้วอย่าลืมหาเวลามาดูแลตัวเองให้สวยสดใสเป็นคุณแม่ยังสาวกันนะคะ The Klinique คลินิคเสริมความงาม ได้รับรางวัล MOMMY’s CHOICE สาขา BEST MEDICAL AESTHETICS CLINICS จาก Amarin Baby & Kids Awards 2021

ข้อมูลเพิ่มเติม https://www.theklinique.com/

ผลิตภัณฑ์ซักผ้าเด็กออร์แกนิค BOTANIKA

7. ผลิตภัณฑ์ซักผ้าเด็กออร์แกนิค BOTANIKA

เป็นผลิตภัณฑ์ซักผ้าสูตรออร์แกนิคที่อ่อนโยน มีสารสกัดจากสัปปะรดและมะนาว สามารถขจัดทั้งคราบฝังแน่น คราบนม คราบอาหาร คราบอาเจียน และคราบเลอะเปรอะเปื้อนต่าง ๆ ให้หลุดออกได้โดยง่าย ซึ่งสารสกัดจากผลไม้รสเปรี้ยวยังทำให้ผ้าอ่อนนุ่มโดยไม่ต้องใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มด้วย ส่วนสารสกัดจากส้มขม จะช่วยต้านแบคทีเรียและเชื้อราบนเสื้อผ้า มีสารสกัดจากดอกลาเวนเดอร์และวนิลา ช่วยให้ผ้าหอมตามธรรมชาติ ที่สำคัญคือปลอดสารเคมี ฟองน้อย ล้างออกง่าย เหมาะทั้งซักมือและซักเครื่อง และยังอ่อนโยนต่อผิวเด็กแรกเกิดและผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย ผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับลูกน้อยถ้ามาจากธรรมชาติย่อมดีเสมอค่ะ คุณแม่มีอีกหนึ่งตัวช่วยดี ๆ ในการดูแลเสื้อผ้าลูกให้สะอาดค่ะ BOTANIKA ผลิตภัณฑ์ซักผ้าเด็กออร์แกนิค ได้รับรางวัล NATURAL & ORGANIC สาขา BEST BABY LAUNDRY DETERGENT จาก Amarin Baby & Kids Awards 2021

ข้อมูลเพิ่มเติม https://www.facebook.com/botanikaorganic/

เลี้ยงลูก เป้อุ้มเด็ก POGNAE

8. เป้อุ้มเด็ก POGNAE

ตัวช่วยคุณแม่เวลาอุ้มลูกน้อยที่ควรมีจริง ๆ ค่ะ POGNAE เป็นแบรนด์ขายดีจากเกาหลีที่ดีไซน์ด้วยนวัตกรรมที่ใส่ใจในสรีระของลูกและคุณพ่อคุณแม่เวลาอุ้ม ช่วยให้ไม่ปวดหลัง คอ บ่า และไหล่ แม้จะอุ้มลูกเป็นเวลานาน จนได้รับการรับรองจากสถาบัน International Hip Dysplasia (IHDI)  เป็นรายแรกของเกาหลี รองรับทั้ง M Shape U Shape ของลูก ช่วยให้หลังไม่งอ ขาไม่โก่ง นอกจากนี้วัสดุผ้ายังกันน้ำ แต่ระบายอากาศได้ทุกทิศทาง โดยเฉพาะจุดที่มีเหงื่อเยอะอย่างช่วงหลังและก้นลูก สามารถปรับท่าอุ้มได้หลากหลาย มีระบบล็อคที่ปลอดภัย ซิปไร้เสียง ถอดซักทำความสะอาดง่าย ตัวช่วยในการดูแลลูกเล็ก ๆ บอกเลยว่าการมีเป้อุ้มเด็กคุณภาพดี จะช่วยให้คุณแม่ใช้ชีวิตที่บ้าน และนอกบ้านกับลูกได้สะดวกสบายมากขึ้นค่ะ POGNAE เป้อุ้มเด็ก ได้รับรางวัล EDITOR’s CHOICE สาขา BEST BABY CARRIER จาก Amarin Baby & Kids Awards 2021

ข้อมูลเพิ่มเติม http://www.pognae.in.th/

เลี้ยงลูก เครื่องปั๊มนม SPECTRA

9. เครื่องปั๊มนม SPECTRA

คุณแม่ที่กำลังให้นมลูกน้อยมีแล้วจะช่วยให้สบายตัวขึ้นมากนะคะ ตัวนี้เป็นเครื่องปั๊มนมรุ่นพกพา Dual Compact ตัวเครื่องเล็ก น้ำหนักเบา ดีไซน์เรียบหรูน่าใช้ โดดเด่นด้วยระบบ 2 มอเตอร์ แยกการทำงานซ้ายขวาอย่างอิสระ โหมดเด่นของเครื่อง คือ Stimulate เเละ Sucking Mode ทำให้เพิ่มปริมาณน้ำนมได้อย่างรวดเร็ว และยังถนอมหัวนม เพราะเลียนแบบการดูดของทารกตามธรรมชาติ คือ ดูด ปล่อย และพัก ช่วยให้รีดน้ำนมได้หมด กรวยปั๊มนมมีเทคโนโลยี Patented Technology “Spectra Back-Flow Protect Function” เพื่อความสะอาดปลอดภัย ลิขสิทธิ์เฉพาะสเปคตร้าเท่านั้น นอกจากนี้ยังการันตีคุณภาพจากสถาบันชั้นนำระดับโลกทั้งในยุโรปและอเมริกา ให้ทุกความตั้งใจในการดูแลเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ประสบความสำเร็จ แนะนำว่าต้องมีตัวช่วยในการปั๊มนมนะคะ SPECTRA เครื่องปั๊มนม ได้รับรางวัล MOMMY’s CHOICE สาขา BEST ELECTRIC BREAST PUMP จาก Amarin Baby & Kids 2021

ข้อมูลเพิ่มเติม SPECTRA Dual Compact

เครื่องนึ่งฆ่าเชื้อขวดนมด้วยไอน้ำ NANNY

10. เครื่องนึ่งฆ่าเชื้อขวดนมด้วยไอน้ำ NANNY

ไอเทมชิ้นนี้เหมาะสำหรับคุณแม่ที่มีลูกเล็ก นั่นก็คือเครื่องนึ่งขวดนม NANNY ที่มีดีไซน์สวย ใช้งานง่าย ทำจากวัสดุอย่างดี เนื้อพลาสติก BPA Free ไม่ก่อให้เกิดสารก่อมะเร็ง ใช้งานสะดวกเพียงปลายนิ้วสัมผัส มีโหมดการทำงานให้เลือกทั้ง นึ่ง เป่าแห้ง หรือนึ่งพร้อมเป่าแห้ง ทำความสะอาดก็ง่าย ฟังก์ชั่นการทำงานของเครื่องนึ่งขวดนม NANNY มีอยู่ 3 โหมด ได้แก่ นึ่ง เป่าแห้ง และ นึ่งพร้อมเป่าแห้ง ตัวช่วยดี ๆ เพื่อให้คุณแม่มีความสุขกับการดูแลลูก ๆ แนะนำว่าต้องมีไว้ใช้กันนะคะ NANNY เครื่องนึ่งขวดนม ได้รับรางวัล MOMMY’s CHOICE BEST สาขา BABY BOTTLE STERILIZER จาก Amarin Baby & Kids Awards 2021

ข้อมูลเพิ่มเติม : https://www.facebook.com/nannybabyproduct/posts/1755655304486238

 

 

อาการตั้งครรภ์

อาการตั้งครรภ์ สัญญาณเตือนว่าท้อง อาการตลอด 9 เดือน มีแบบไหนบ้าง? เช็คเลย!!

Alternative Textaccount_circle
event
อาการตั้งครรภ์
อาการตั้งครรภ์

อาการตั้งครรภ์ – เมื่อคุณเลิกใช้การคุมกำเนิด และพยายามตั้งครรภ์อย่างจริงจัง บางครั้งอาการผิดปกติต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงที่คุณกำลังวางแผนมีลูกอาจทำให้คุณสงสัยว่าคุณท้องแล้วหรือเปล่านะ? ซึ่งก่อนที่คุณจะทำการทดสอบการตั้งครรภ์ด้วยตัวเอง คุณอาจได้รับการแจ้งเตือนในรูปแบบและสัญญาณต่างๆ ของอาการตั้งครรภ์ระยะแรก แต่เนื่องจากสัญญาณต่างๆ ของการตั้งครรภ์ในช่วงแรกๆ เหล่านี้จะคล้ายกับอาการที่คุณมีก่อนมีประจำเดือน จึงเป็นเรื่องยากที่จะบอกความแตกต่างได้แม้ว่าวิธีเดียวที่จะทราบได้อย่างแน่ชัดว่าคุณตั้งครรภ์คือทำการใช้ชุดทดสอบการตั้งครรภ์ที่บ้าน (จากนั้นจึงได้รับการยืนยันจากแพทย์) ดังนั้นวันนี้เราจะมาอธิบายถึงสัญญาณเตือนต่างๆ ที่บ่งบอกว่าคุณอาจกำลังตั้งครรภ์ รวมถึงอาการระหว่างตั้งครรภ์ ทั้ง 3 ไตรมาส ที่มีเจ้าตัวน้อยอยู่ในท้องของคุณแล้วค่ะ

อาการตั้งครรภ์ สัญญาณเตือนว่าท้อง อาการตลอด 9 เดือน มีแบบไหนบ้าง? เช็คเลย!!

อาการและอาการแสดงเริ่มต้น ของการตั้งครรภ์ที่พบบ่อยที่สุด

  • ประจำเดือนขาด หากคุณอยู่ในวัยที่พร้อมจะตั้งครรภ์ แต่รอบเดือนไม่มาตามปกติ หากผ่านไปหนึ่งสัปดาห์หรือมากกว่านั้นโดย เป็นไปได้ว่าคุณอาจกำลังตั้งครรภ์ อย่างไรก็ตาม อาการนี้อาจทำให้เข้าใจผิดได้หากคุณมีรอบเดือนมาไม่ปกติด้วยสาเหตุอื่น
  • มีการเปลี่ยนแปลงของเต้านม เช่น เต้านมบวม ตึงคัดเต้านม ซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในช่วงตั้งครรภ์อาจทำให้หน้าอกของคุณไวต่อความรู้สึก  ความรู้สึกไม่สบายต่างๆ จะลดลงหลังจากผ่านไปราวสองถึงสามสัปดาห์ เนื่องจากร่างกายของคุณจะสามารถปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนได้
  • คลื่นไส้ หรือ อาการแพ้ท้อง ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาทั้งกลางวันและกลางคืน อาการมักเริ่มตั้งแต่หนึ่งถึงสองเดือนหลังจากการตั้งครรภ์ อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงบางคนอาจรู้สึกคลื่นไส้ได้ก่อนหน้านี้ และบางคนอาจไม่รู้สึกคลื่นไส้เลย แม้ว่าสาเหตุของอาการคลื่นไส้ระหว่างตั้งครรภ์จะยังไม่ชัดเจน แต่ฮอร์โมนการตั้งครรภ์น่าจะมีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดอาการคลื่นไส้
  • ปัสสาวะบ่อย คุณอาจพบว่าตัวเองปัสสาวะบ่อยกว่าปกติ เนื่องจากปริมาณเลือดในร่างกายของคุณเพิ่มขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์ทำให้ไตทำงานมากกว่าปกติ อีกทั้งมดลูกมีการขยายตัวขึ้น
  • อ่อนเพลีย เป็นหนึ่งในอาการสำคัญ ของอาการเริ่มแรกในการตั้งครรภ์ ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าอะไรทำให้เกิดอาการง่วงนอน อ่อนเพลียในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนในช่วงตั้งครรภ์ระยะแรกๆ อาจทำให้เกิดอาการเหนื่อยล้าหรืออ่อนเพลียได้

อาการ และ อาการแสดงอื่นๆ ของการตั้งครรภ์ ที่คุณอาจพบในช่วงไตรมาสแรก ได้แก่:

  • อารมณ์เสีย ฮอร์โมนในร่างกายที่เปลี่ยนแปลงในช่วงแรกของการตั้งครรภ์อาจทำให้คุณมีอารมณ์และร้องไห้ผิดปกติได้ อารมณ์แปรปรวนก็เป็นเรื่องธรรมดา
  • ท้องอืด การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนระหว่างตั้งครรภ์ในระยะแรกอาจทำให้คุณรู้สึกอึดอึดไม่สบายท้องคล้ายกับที่คุณรู้สึกเมื่อเริ่มมีประจำเดือน
  • เลือดออกจากช่องคลอดกระปริบกระปรอย นี่อาจเป็นสัญญาณแรกของการตั้งครรภ์ ภาวะเลือดออกจากการฝังตัวเกิดขึ้นเมื่อไข่ที่ปฏิสนธิไปฝังตัวอยู่บริเวณเยื่อบุโพรงมดลูก  ซึ่งมักเกิดขึ้น ประมาณ 10 ถึง 14 วันหลังจากการปฏิสนธิ
  • ตะคริวกิน ผู้หญิงบางคนมีอาการตะคริวที่มดลูกเล็กน้อยในช่วงตั้งครรภ์ ซึ่งเกิดจากการขยายและบีบตัวของมดลูก
  • ท้องผูก การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนทำให้ระบบย่อยอาหารของคุณช้าลง ซึ่งอาจนำไปสู่อาการท้องผูก
  • เบื่ออาหาร เมื่อคุณตั้งครรภ์ คุณอาจรู้สึกไวต่อกลิ่นบางอย่างมากขึ้น และการรับรสของคุณอาจเปลี่ยนไป เช่นเดียวกับอาการอื่นๆ ของการตั้งครรภ์ ความชอบด้านอาหารเหล่านี้อาจขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน
  • คัดจมูก เลือดกำเดาไหล การเพิ่มระดับของฮอร์โมนและการผลิตเลือดของร่างกาย อาจทำให้เยื่อบุในจมูกของคุณอักเสบ บวม แห้ง และมีเลือดออกได้ง่าย ซึ่งอาจทำให้คุณมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล หรืออาจมีเลือดกำเดาได้
  • มีน้ำลายส่วนเกิน หรือเรียกอีกอย่างว่า ptyalism gravidarum คุณแม่บางคนอาจมีน้ำลายสะสมในช่วงตั้งครรภ์ อาการนี้มักจะเริ่มในช่วงไตรมาสแรก และถือเป็นวิธีของร่างกายในการปกป้องปาก ฟัน และลำคอของคุณจากฤทธิ์กัดกร่อนของกรดในกระเพาะอาหาร
อาการคนท้อง
อาการคนท้อง

 

อาการและอาการแสดงเหล่านี้หลายอย่างไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับการตั้งครรภ์ บางคนอาจบ่งบอกว่าคุณกำลังป่วยหรือประจำเดือนกำลังจะเริ่ม ในทำนองเดียวกัน คุณสามารถตั้งครรภ์ได้โดยไม่มีอาการเหล่านี้มากนัก

อย่างไรก็ตามหากคุณสังเกตเห็นสัญญาณหรืออาการต่างๆ ข้างต้น ให้ลองทำการทดสอบการตั้งครรภ์ที่บ้านหรือพบผู้ให้บริการดูแลสุขภาพของคุณ หากการทดสอบการตั้งครรภ์ที่บ้านของคุณเป็นบวก ให้นัดหมายกับผู้ให้บริการดูแลสุขภาพของคุณ ยิ่งการตั้งครรภ์ของคุณได้รับการยืนยันเร็วเท่าใด คุณก็สามารถเริ่มการดูแลสุขภาพก่อนคลอดได้เร็วเท่านั้นซึ่งจะเป็นผลดีกับทั้งตัวคุณและลูกน้อยในครรภ์

หากคุณกำลังวางแผนที่จะตั้งครรภ์หรือเพิ่งรู้ว่าคุณกำลังตั้งครรภ์ ให้เริ่มรับประทานวิตามินก่อนคลอดทุกวัน วิตามินก่อนคลอดมักประกอบด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญ เช่น กรดโฟลิกและธาตุเหล็ก เพื่อรองรับการเจริญเติบโตและพัฒนาการของทารก เมื่อเป็นที่แน่ชัด แล้วว่าคุณตั้งครรภ์ต่อไปเรามาดูอาการที่จะเกิดขึ้นระหว่างการตั้งครรภ์ ตลอดทุกไตรมาสกันเลยค่ะ ว่าจะมีอาการแบบไหนบ้าง?

อ่านต่อ…อาการตั้งครรภ์ สัญญาณเตือนว่าท้อง อาการตลอด 9 เดือน มีแบบไหนบ้าง? ได้ที่หน้า2

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

นมสำหรับคนท้อง

นมสำหรับคนท้อง เสริมแคลเซียม ดีทั้งคุณแม่และคุณลูก

Alternative Textaccount_circle
event
นมสำหรับคนท้อง
นมสำหรับคนท้อง

นมเป็นอาหารเพื่อสุขภาพอย่างหนึ่งของคุณแม่ตั้งครรภ์ เพราะร่างกายของคุณแม่ตั้งครรภ์ ต้องสูญเสียแคลเซียมส่วนหนึ่งในกระดูก ให้แก่ทารกน้อย เพื่อไปสร้างกระดูกและฟันที่แข็งแรง มีรายงานทางการแพทย์ยืนยันว่าคุณแม่จำนวนไม่น้อย ที่หมอฟันตรวจพบฟันผุระหว่างการตั้งครรภ์ หรือมีความเสี่ยงต่อภาวะกระดูกพรุนสูงขึ้นในภายหลัง ดังนั้นผลิตภัณฑ์แคลเซียมอย่าง นมสำหรับคนท้อง ที่หาซื้อได้ง่ายและถูกออกแบบจากผู้ผลิตให้มีรสชาติที่ถูกปากจึงเป็นตัวช่วยที่คุณแม่ตั้งครรภ์แต่ละบ้านจะขาดไปไม่ได้เลย

นมสำหรับคนท้อง เสริมแคลเซียม ดีทั้งคุณแม่และคุณลูก

นอกจากสุขภาพของคุณแม่ตั้งครรภ์แล้ว สุขภาพของทารกก็สำคัญไม่แพ้กัน การได้รับแคลเซียมที่ไม่เพียงพอจะทำให้เกิดโรคกระดูกอ่อนในทารก ซึ่งพบมากในทารกอายุ 3-10 เดือน หรือเด็กอายุไม่เกินสองขวบ โดยสิ่งที่ทารกต้องการในการเจริญเติบโต นอกจากแคลเซียมแล้วคือวิตามินดี และฟอสเฟต ซึ่งทั้งสองแร่ธาตุนั้นสามารถได้รับจากผลิตภัณฑ์จากนมเช่นเดียวกัน

นมสำหรับคนท้อง
ขอขอบคุณภาพจาก https://www.freepik.com/

แคลเซียมที่เพียงพอ

ปริมาณแคลเซียมที่ร่างกายดูดซึมได้และเป็นปริมาณที่เหมาะสมอยู่ที่ประมาณ 500-600 มิลลิกรัมต่อวัน และเมื่อมีทารกอยู่ในครรภ์ด้วย เท่ากับความต้องการแคลเซียมคูณสอง หรืออยู่ที่ 1,000-1,200 มิลลิกรัมนั่นเอง 

ทุกอย่างที่ร่างกายรับเข้าไป จะถูกขับออกหรือไปสะสมในส่วนต่าง ๆ โดยนอกจากไม่สร้างประโยชน์แล้วยังอาจเป็นโทษก็ได้ ในกรณีของแคลเซียมที่ได้รับมากเกินไปจะเพิ่มความเสี่ยงให้เป็นนิ่วในไต หินปูนในเต้านม หลอดเลือดตีบ ฯลฯ

ดื่มนมชนิดไหน กี่แก้ว ถึงเพียงพอ

ปริมาณการดื่มนมที่เหมาะสม เป็นคำถามที่ชวนคิดเปรียบเทียบกับการดื่มน้ำเปล่า ซึ่งเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดเหมาะสมกับระบบเผาผลาญ คนโดยทั่วไปเชื่อว่าควรจะดื่มน้ำสะอาดแปดแก้วต่อวัน ซึ่งหลาย ๆ คนแม้จะดื่มในปริมาณที่น้อยกว่านั้น แต่ได้รับของเหลวจากอาหารชนิดอื่น คุณแม่ตั้งครรภ์กับความต้องการแคลเซียมก็เช่นกัน แคลเซียมสามารถได้รับผ่านอาหารอื่น ๆ ได้ ความเหมาะสมจึงขึ้นอยู่กับคุณแม่รับประทานอะไรบ้างต่อวันหรือต่อมื้อ

การรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ อาจเพียงรับประทานในสิ่งที่ดีตามชอบใจ หรือรับประทานโดยมีการวางแผน ซึ่งไม่ว่ามีแผนหรือไม่ ข้อมูลของอาหารเพื่อสร้างเสริมสุขภาพก็ควรเรียนรู้ไว้ก่อน ในส่วนของนม  ที่จริงนั้นนมแบ่งเป็นหลายชนิด และแต่ละชนิดสามารถเสริมสร้างแคลเซียมได้ในปริมาณที่แตกต่างกันเมื่อวัดเทียบเป็นปริมาณการดื่ม 1 แก้วหรือ 200 มิลลิลิตร

  1. นมวัว ปริมาณแคลเซียม 112 มิลลิกรัมต่อ 100 มิลลิลิตร หรือตีเป็น 224 มิลลิกรัมต่อแก้ว
  2. นมอัลมอนต์ ปริมาณแคลเซียม 7.5 มิลลิกรัมต่อแก้ว
  3. นมแพะ ปริมาณแคลเซียม 283 มิลลิกรัมต่อแก้ว
  4. นมข้าวโอ๊ต ปริมาณแคลเซียม 120 มิลลิกรัมต่อแก้ว
  5. นมถั่วเหลือง ปริมาณแคลเซียมอยู่ที่ 300 มิลลิกรัมต่อแก้ว 
  6. นมข้าว ปริมาณของแคลเซียมอยู่ที่ประมาณ 20 มิลลิกรับต่อแก้ว แต่หากเป็นเบาหวานหรือเสี่ยงต่อภาวะเบาหวานหรือโรคอ้วนระหว่างตั้งครรภ์ควรหลีกให้ห่างเพราะมีคาร์โบไฮเดรตสูงกว่านมวัว

กรณีที่คุณแม่ตั้งครรภ์รับประทานนมวัว เป็นไปได้ว่าต้องดื่ม 4-6 แก้วต่อวัน แต่ถ้าในหนึ่งวันได้รับประทานอาหารอื่น ๆ ที่เสริมสร้างแคลเซียมไปบ้างแล้ว อาจจะดื่มนมน้อยกว่านั้นได้ การดื่มนมมาก ๆ ไขมันในนมวัวอาจจะทำให้อ้วนได้ การตรวจสอบฉลากที่บอกคุณค่าทางโภชนาการเป็นสิ่งจำเป็น ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มนมทั้งนมวัวและนมชนิดอื่น ๆ ที่มีปริมาณน้ำตาลสูงเพราะจะกระตุ้นให้เกิดอาการเบาหวานหรือโรคอ้วนได้ 

สำหรับคุณแม่ที่ไม่สามารถดื่มนมวัวได้เพราะแพ้โปรตีนในนมวัว หรือเป็นมังสวิรัติ อาจเลือกนมชนิดอื่นดื่มทดแทน และรับประทานอาหารอื่น ๆ ชดเชยวิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญต่อร่างกาย

นมที่ควรหลีกเลี่ยง

นมดิบที่ยังไม่ผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อเป็นอันตรายต่อสุขภาพทารกและคุณแม่ตั้งครรภ์ เพราะอาจปนเปื้อนเชื้อโรคต่าง ๆ ได้ มีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อแบคทีเรียลิสเทอเรีย เชื้อบรูเซลลา เชื้อซาโมเนลลา เชื้ออีโคไล และเชื้อแคมไพโลแบคเตอร์ ซึ่งอาการเบื้องต้นอาจจะแค่ท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียน เป็นไข้ แต่ยังมีความเสี่ยงที่จะแท้งบุตรหรือทารกในครรภ์เสียชีวิตด้วย 

คาเฟ่ที่ขายผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มซึ่งโฆษณาว่าใช้นมดิบ คุณแม่ตั้งครรภ์จึงอาจจะต้องเลือกเมนูรับประทานอย่างระมัดระวัง คือหลีกเลี่ยงไม่ซื้อหรือไม่รับเครื่องดื่มหรืออาหารที่มีนมดิบผสมมาดื่ม ทั้งนี้รวมไปถึงการบริโภคผลิตภัณฑ์ชีสและโยเกิร์ตจากผู้ผลิตหรือร้านอาหารบางแห่งด้วย การรับประทานนมควรเลือกนมที่ผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อแล้ว หรืออาหารที่ผ่านกระบวนการความร้อนแล้ว  

 

อ่านต่อ… นมสำหรับคนท้อง เสริมแคลเซียม ดีทั้งคุณแม่และคุณลูก ได้ที่หน้า 2

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

ของใช้สำหรับเด็กแรกเกิด

ของใช้สำหรับเด็กแรกเกิด 9 ประเภท ที่คุณแม่ควรเตรียมให้พร้อม

Alternative Textaccount_circle
event
ของใช้สำหรับเด็กแรกเกิด
ของใช้สำหรับเด็กแรกเกิด

สมาชิกตัวน้อยคนใหม่ เป็นความน่าตื่นเต้นสำหรับคุณพ่อคุณแม่ และคนอื่น ๆ ในครอบครัว แต่ก่อนวันที่สมาชิกคนใหม่จะลืมตาดูโลก ทุกคนในครอบครัวคงอยากเตรียม ของใช้สำหรับเด็กแรกเกิด ให้พร้อมสำหรับการต้อนรับสมาชิกใหม่ ให้เรียบร้อยด้วยของใช้ที่เหมาะสำหรับเด็กแรกเกิด

ของใช้สำหรับเด็กแรกเกิด 9 ประเภท ที่คุณแม่ควรเตรียมให้พร้อม

ของใช้สำหรับเด็กแรกเกิด

หลักคิดที่นำมาใช้ในการเลือกของใช้ ลองหลับตาลงและจินตนาการว่าเด็กทารกจะทำกิจกรรมอะไรบ้างระหว่างวัน จะพบคำตอบที่เรียบง่าย การกิน นอน เล่น อาบน้ำ เป็นกิจกรรมหลักใหญ่ ๆ ซึ่งเมื่อคิดอย่างละเอียด จะสามารถแบ่งกลุ่มสิ่งของตามกิจกรรมดังกล่าวได้ ดังนี้

 

  • กลุ่มของใช้ให้นม

เครื่องปั๊มนมเหมาะสำหรับคุณแม่เพื่อไม่ให้นมเสียเปล่า ปั๊มเก็บไว้ หรือคุณแม่คนทำงาน ไม่ต้องห่วงว่าช่วงไม่ได้อยู่ด้วย ลูกจะไม่อิ่ม โดยควรมีถุงเก็บน้ำนมควบคู่กัน สามารถเก็บน้ำนมเข้าตู้เย็นได้ ดึก ๆ บางครั้งก็นำน้ำนมเหล่านี้มาป้อนลูกที่หิว ช่วยให้เหนื่อยน้อยลง โดยขวดนมมีความสำคัญตั้งแต่แรกด้วย และควรมีเครื่องนึ่งอบแห้งเพื่อการทำความสะอาดอุปกรณ์ปั๊มนมและขวดนม 

สิ่งอื่น ๆ ที่ไม่ควรพลาดคือจุกนมให้ดูด กรณีที่สังเกตว่าลูกดูดนมมากแล้ว ให้ดูดจุกนมไปจะช่วยดูแลสุขภาพของลูกทางอ้อม เพราะหากปล่อยให้ดื่มนมมากไปตามใจปาก เด็กอาจจุกและอาเจียนได้ และส่วนตัวคุณแม่ควรมีชุดให้นม หรือชุดผ้าคลุมปั๊มนม เผื่อว่าต้องออกไปข้างนอกและต้องให้นมลูกหรือปั๊มนมให้ลูก มีไว้สวมใส่แล้วจะได้ไม่โป๊

 

  • กลุ่มการนอน 

สิ่งที่เตรียมไว้ควรเป็นเตียงนอน เตียงนอนประเภทหนึ่งที่แนะนำคือเตียงที่สามารถชิดกับเตียงผู้ใหญ่และเปิดด้านข้างได้ หากสนใจใช้งานระยะยาวควรเลือกเตียงที่สามารถขยายขนาดได้ในภายหลัง นอกจากเตียงแล้ว หมอนก็สำคัญ ควรเลือกหมอนที่นอนสบาย และช่วยดูแลไม่ให้เกิดอาการกรดไหลย้อน หมอนนั้นสำคัญเพราะว่าเด็กเล็ก ๆ ที่ออกจากครรภ์มักมีอาการผวาตอนนอนบนเตียง หมอนที่ดีให้ความรู้สึกเหมือนแม่โอบกอด

เบาะนอนเป็นสิ่งหนึ่งที่ต้องมีคู่กับเตียง บางครั้งอาจจะให้ลูกนอนที่อื่นเปลี่ยนบรรยากาศและอยู่ในสายตา สรีระของศีรษะเป็นสิ่งที่พ่อแม่หลายคนใส่ใจ หมอนหลุมหรือหมอนที่ถูกพัฒนาเพื่อรองรับสรีระศีรษะก็เป็นสิ่งหนึ่งที่อาจอยู่ในตัวเลือกของผู้ปกครองในฐานะสินค้าต้องมี

 

  • กลุ่มของเล่น

ของเล่นที่สามารถเตรียมไว้ก่อนได้ อาจจะเป็นของเล่นสำหรับเขย่าที่ทำให้เกิดเสียง เด็กแรกเกิดจะมีสัมผัสด้านเสียงที่ดีกว่าการมองเห็น หรืออาจจะใช้โมบายแขวนแบบที่มีเสียง ซึ่งเมื่อสายตาพัฒนาขึ้นแล้ว เด็กสามารถมองตามโมบายได้ และผู้ปกครองสามารถเลือกซื้อยางกัดมาเตรียมไว้ได้ ฟันซี่แรกของเด็กจะขึ้นในช่วง 6-10 เดือน

 

  • กลุ่มของใช้อาบน้ำ

กะละมังอาบน้ำเป็นสิ่งจำเป็น ควรเลือกที่ถูกออกแบบมาสำหรับเด็กอ่อน พร้อมกับซื้อแชมพู สบู่และฟองน้ำสำหรับทำความสะอาดตัวเด็ก ครีมทาผิวหรือเบบี้ออยล์เพื่อให้ผิวเด็กชุ่มชื่นและรู้สึกสบายตัว ในช่วงเด็กการเลือกแป้งเด็กควรจะเลือกเป็นสินค้าออกานิกส์ แป้งผงส่วนใหญ่เป็นไปได้ที่จะมีสารอันตรายกับเด็ก

 

  • กลุ่มทำความสะอาด

สำลีก้อนหรือสำลีแผ่นนุ่ม ๆ มีไว้สำหรับเช็ดตา ปาก หรือก้นของเด็กแรกเกิด รวมไปถึงแผ่นกระดาษทิชชู่เปียกแบบใช้แล้วทิ้งได้ คัตตอนบัดสำหรับเช็ดทำความสะอาดภายนอกจมูกและรูหู (การใช้คัตตอนบัดไม่ควรแหย่เข้าไปในรูปจมูกหรือรูหูเพราะจะเป็นอันตรายได้) 

นอกจากนี้ควรมีสเปรย์ทำความสะอาดอเนกประสงค์สำหรับของใช้เด็กอ่อน เพราะเด็กเล็ก ๆ ติดเชื้อได้ง่าย และเพื่อสุขอนามัยของลูกน้อย แอลกอฮอล์แบบสเปรย์ฉีดมือควรถูกเตรียมไว้ด้วย ก่อนผู้ใหญ่จะจับทารกก็ควรทำความสะอาดมือให้เรียบร้อย ลดโอกาสเป็นหวัดหรือท้องเสียของทารกได้ นอกจากนี้ยังต้องมีน้ำยาซักผ้า และน้ำยาทำความสะอาดขวดนมซึ่งควรมีพร้อมกับแปรงล้างขวดนม

 

อ่านต่อ… ของใช้สำหรับเด็กแรกเกิด 9 ประเภท ที่คุณแม่ควรเตรียมให้พร้อม ได้ที่หน้า 2

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

รีวิวครีมทาท้องลาย

10 รีวิวครีมทาท้องลาย ถนอมผิวท้องเนียน ลดรอยแตกลาย

Alternative Textaccount_circle
event
รีวิวครีมทาท้องลาย
รีวิวครีมทาท้องลาย

รีวิวครีมทาท้องลาย ครีมแบบไหนช่วยลดรอยแตกลายได้ดี!! เพราะผิวกายที่เรียบเนียนเป็นที่ต้องการของผู้หญิงในทุกช่วงวัย เพราะแบบนั้นผลิตภัณฑ์ถนอมผิวต่าง ๆ ในท้องตลาดจึงขายได้หรือขายดีอยู่สม่ำเสมอ แต่สำหรับผู้หญิงท้องแล้ว ผลิตภัณฑ์ถนอมผิวแบบทั่วไป อาจตอบโจทย์ไม่ได้ครบถ้วน เพราะผิวกายเฉพาะส่วนอย่างหน้าท้องนั้นต้องการการดูแลเป็นพิเศษ

ในช่วงตั้งครรภ์ ผิวหนังหน้าท้องต้องขยายออกเพื่อรับกับสรีระมดลูกที่ขยายใหญ่ตามขนาดตัวเด็กทารกในครรภ์ ยิ่งลูกน้อยสมบูรณ์แข็งแรงตัวใหญ่ หน้าท้องก็ยิ่งใหญ่ตามไปด้วย ผิวหนังที่เหยียดตึงก็แสดงริ้วรอยให้เห็น ขณะเดียวกันฮอร์โมนบางตัวก็เป็นสาเหตุที่ทำให้สีของผิวที่ตึงและริ้วรอยดูกระด่ำกระด่างเข้าไปอีก ความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ย่อมทำให้คุณแม่หลาย ๆ ท่านกังวลใจ เพราะขึ้นชื่อว่าผู้หญิง ย่อมอยากดูดีเพื่อเพิ่มความมั่นใจในตัวเอง

ดังนั้น เพื่อให้ผ่านช่วงตั้งครรภ์หลายเดือนโดยมีรอยแตกน้อยที่สุดหรือไม่ปรากฏ สีผิวเรียบเนียน คุณแม่ต้องตีกรอบแคบหาครีมบำรุงผิวที่เจาะจงดูแลหน้าท้อง ซึ่งส่วนประกอบในการผลิตก็ต้องเป็นมิตรกับคุณแม่และลูกน้อยด้วย

10 รีวิวครีมทาท้องลาย ถนอมผิวท้องเนียน ลดรอยแตกลาย

ครีมทาท้องลาย
ครีมทาท้องลาย

ส่วนประกอบธรรมชาติทาลดผิวแตกลาย

ครีมสำเร็จรูปเป็นทางเลือกที่สะดวก แต่เพื่อให้เลือกซื้อครีมได้ตรงใจ การเข้าใจถึงส่วนประกอบธรรมชาติหรือการดูแลตัวเองแบบพื้นฐานเป็นเรื่องที่พลาดไม่ได้ หรือคนท้องอาจจะเลือกใช้ครีมสลับกับสิ่งของจากธรรมชาติเหล่านี้เพื่อดูแลตัวเอง อาจช่วยให้ประหยัดขึ้นหรือการเตรียมสิ่งเหล่านี้อาจเป็นการใช้เวลาว่างให้ผ่านไปแบบไม่น่าเบื่อ

  1. ไข่ขาว มีกรดอะมิโนและโปรตีนที่ช่วยฟื้นฟูเซลล์ผิว โดยการทำให้แยกเอาไข่ขาวมาตีเป็นฟอง ใช้ครั้งละ 2 ใบ จากนั้นนำมาทาบนหน้าท้องแล้วทิ้งไว้ 10-15 นาที หลังจากนั้นให้ล้างออกด้วยน้ำอุ่น
  2. น้ำตาลทรายผสมมะนาว นำมาทาถูทาถูประมาณ 10-15 นาที และล้างออก
  3. ว่านหางจระเข้ ใช้วุ้นที่ล้างยางออกแล้ว มาทาบนผิวแตกลายทุกเช้า-เย็น
  4. ใบบัวบก คั้นน้ำออกมาทาผิวแตกลายทุกเช้า-เย็น
  5. มันฝรั่ง หั่นฝานบาง ๆ และบางบนหน้าท้องทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด
  6. น้ำมันมะนาว สามารถชโลมทิ้งไว้ 20 นาที แล้วค่อยล้างหรือเช็ดออกด้วยน้ำอุ่น

 

การกินและออกกำลังกายเสริมสร้างผิว

การทาผิวเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถฟื้นฟูหรือปกป้องผิวอย่างเต็มที่ได้ การกินซึ่งเป็นการรับสารอาหารที่เสริมสร้างเซลล์ผิว และการออกกำลังกายเพื่อควบคุมจิตใจให้แจ่มใสสร้างสมดุลฮอร์โมนและรักษาความยืดหยุ่นของร่างกาย เป็นเรื่องที่ควรทำไปพร้อมกัน

  • การกิน นอกจากเน้นการรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ถูกต้องตามหลักโภชนาการแล้ว อาหารที่จะหามาหมุนเวียนรับประทานและดีต่อผิวซึ่งเป็นที่รู้กันดี ได้แก่ มะพร้าวซึ่งกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนทำให้ผิวนุ่มชุ่มชื่น ผลไม้ต่าง ๆ ซึ่งมีวิตามินช่วยบำรุงผิวและลดปัญหารอยต่าง ๆ ไข่ไก่และธัญพืชที่มีโปรตีนซ่อมแซมผิวและเนื้อเยื่อ ทำให้ผิวแข็งแรง หรือเนื้อปลาปรุงสุกที่อุดมด้วยโอเมก้า โดยจะกินบ่อยหรือมากน้อยแค่ไหน อาจปรึกษาคุณหมอด้วยก็ได้เพื่อให้เกิดความเหมาะสมและลดความเสี่ยงบางอย่างในคุณแม่บางรายที่มีข้อจำกัดในการรับประทานอาหารบางประเภท
  • การออกกำลังกาย ถ้าจะให้ดีควรออกกำลังกายหลังอายุครรภ์ครบ 3 เดือนขึ้นไป เพื่อความปลอดภัยของครรภ์ โดยสามารถเดิน ปั่นจักรยานอยู่กับที่ เต้นแอโรบิก หรือออกท่าทางโยคะ ในการทำไม่ต้องรีบร้อน ไม่หักโหม และควรเป็นการออกกำลังกายภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งนอกจากจะทำให้สุขภาพแข็งแรง มีผลดีต่อผิว ยังช่วยให้สามารถคลอดแบบธรรมชาติได้ง่าย หรือฟื้นฟูร่างกายได้เร็วหลังคลอดด้วย

 

10 รีวิวครีมทาท้องลาย ตัวช่วยถนอมบำรุงผิว

ผลิตภัณฑ์ทาผิวหน้าท้องที่่ช่วยถนอมบำรุงผิวของคุณแม่ และปลอดภัย เมื่อสำรวจความนิยมในท้องตลาดปี พ.ศ. 2565 พบดังต่อไปนี้

  • EVE’S

STRETCH MARK BODY OIL GEL จากอีฟส์ เป็นครีมเจลยอดนิยมในหมู่คุณแม่ ใช้สารสกัดจากไข่มุกบริสุทธิ์ หม่อนและสารสกัดจากสาหร่ายสีแดงเพื่อปกป้องผิวจากอนุมูลอิสระที่ทำให้ผิวเหี่ยว ไม่เต่งตึง และสูญเสียความชุ่มชื้นได้ง่าย คนท้องที่รู้สึกได้ว่าผิวหน้าท้องแห้งชอบกันมาก เกลี่ยง่าย ไม่เหนียวเหนอะหนะเลอะเสื้อผ้า รอยต่าง ๆ จุดด่างดำ และรอยคล้ำจะดูจางลง และภายใต้แบรนด์เดียวกัน หากคุณแม่คลอดแล้ว สามารถเปลี่ยนมาใช้ผลิตภัณฑ์ Booster White Body Cream ซึ่งมีทั้ง Vitamin B3 ว่านหางจระเข้ และสารกลุ่ม Whitening ที่ช่วยเพิ่มความขาวกระจ่างใสและความแข็งแรงให้ผิวขึ้นไปอีก  

รีวิวครีมทาท้องลาย

ที่มาภาพ: https://www.eveswelcome.com/

 

  • I-Knew

ผลิตภัณฑ์ไอนิวดูแลผิวสำหรับคุณแม่ระหว่างตั้งครรภ์และหลังตั้งครรภ์ ใช้ได้ทั้งกับรอยแตกสีขาวที่เกิดขึ้นใหม่ ๆ และรอยแตกที่เป็นสีแดงหรือสีม่วงซึ่งเกิดจากการปล่อยรอยแตกที่เกิดใหม่ไว้นาน ๆ โดยในครีมจากไอนิวมีส่วนประกอบสำคัญคือ Allantion ช่วยลดอาการคัน Cantella Asiatica ซึ่งเป็นสารสกัดจากใบบัวบกช่วยฟื้นฟูผิวและปกป้องผิวจากมลภาวะที่อาจจะทำให้เกิดการแพ้หรือการระคายเคือง มีคอลลาเจนที่ช่วยให้ผิวยืดหยุ่นแต่กระชับ และวิตามินอีที่เก็บความชุ่มชื้นให้ผิว

ครีมทาท้องลาย

ที่มาภาพ: https://www.facebook.com/iknewclub/

 

  • Endota

แบรนด์มาตรฐานระดับโลกจากประเทศออสเตรเลียที่มุ่งดูแลผิวคุณแม่และเด็กแรกเกิด สำหรับคุณแม่ สินค้าที่ดีที่สุดคือ Moisture Rich Belly Butter ซึ่งอุดมไปด้วยวิตามินและสารสกัดจากธรรมชาติ อย่าง Rosehip Oil, Argan Oil, Shea Butter และ Cocoa Butter เนื้อครีมเข้มข้นแต่ไม่เหนียวเหนอะหนะ บำรุงอย่างล้ำลึก ในคุณแม่ที่เป็นวีแกนหรือรักษ์สิ่งแวดล้อมด้วยการหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีการทดลองจากสัตว์ หรือสารเคมี ทางแบรนด์นี้คือสินค้าที่ตอบโจทย์ในใจได้ครบถ้วนอย่างแน่นอน

ครีมทาท้องลาย

ที่มาภาพ: https://www.endotathailand.com/

 

  • Cocoro Tokyo

สินค้าออร์แกนิกเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ได้รับการโหวตสำหรับรับรางวัล AMARIN BABY AND KIDS AWARD ในปี พ.ศ. 2564 และมีประวัติได้รับรางวัลอีกมากมาย ได้รับการยอมรับจากคุณแม่อย่างกว้างขวางมีทั้งเนื้อใสเป็นเซรั่ม และแบบเนื้อบัตเตอร์ ภาชนะบรรจุออกแบบเรียบง่ายสบายตาและพกพาได้ง่าย มีส่วนผสมหลักคือน้ำมันมะกอก น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันโจโจบา สร้างความชุ่มชื้น ลดผิวแห้งกร้าน

ครีมทาท้องลาย

ที่มาภาพ: https://www.cocorohanako.com/

 

อ่านต่อ… 10 รีวิวครีมทาท้องลาย ถนอมผิวท้องเนียน ลดรอยแตกลาย ได้ที่หน้า 2

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

อาหารกลางวันนักเรียน

ส่อง! อาหารกลางวันนักเรียน ไทยครบหมู่ถูกหลักโภชนาการไหม

Alternative Textaccount_circle
event
อาหารกลางวันนักเรียน
อาหารกลางวันนักเรียน

อาหารกลางวันนักเรียน ของไทยเป็นอย่างไร ถูกหลักโภชนาการหรือไม่ ลองมาส่องดูอาหารกลางวันของลูกที่โรงเรียนเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายเจ้าตัวน้อยหรือไม่นะ

ส่อง! อาหารกลางวันนักเรียน ไทยครบหมู่ถูกหลักโภชนาการไหม

ผู้อำนวยการโรงเรียนในจังหวัดประจวบฯออกมาชี้แจงข่าวอาหารกลางวันมื้อละ 21 บาท ไม่ได้คุณภาพ เผยภาพที่เป็นข่าวเป็นจานที่แม่ครัวยังตักอาหารไม่ครบ พร้อมเตรียมเอาผิดครูผู้ถ่ายภาพกลั่นแกล้ง ซึ่งมีพฤติกรรมเชื่อมโยงกรณีของในโรงเรียนหายไป

โผล่อีก ดราม่าอาหารกลางวันเด็ก คราวนี้ โรงเรียน กทม. ย่านบางเขน ส่งประกวด ชาวเน็ตอึ้งเจอคำบอกเล่า 40 บาท กิน ๆ ไปเถอะ บางทีเจอกับข้าวมีแต่วิญญาณไม่มีเนื้อสัตว์

ผู้ปกครองโวยอาหารกลางวันเด็ก โรงเรียนดังนนทบุรี ให้กิน “มาม่า” วันเว้นวัน กับ “ขนมปี๊บ” มื้อไหนที่เป็นข้าวก็มีแต่วิญญาณเนื้อสัตว์กับผัก ซ้ำมีกลิ่นเน่าตุๆ ต้องซื้อขนมที่ครูขายกินเพิ่มเติม

แชร์ว่อน! สพฐ. ส่งหนังสือด่วนที่สุดถึงโรงเรียนในสังกัด ให้ทำอาหาร “มังสวิรัติ” เป็นมื้อกลางวันในโรงเรียน หวังลดการเบียดเบียนสัตว์ช่วงเข้าพรรษา โซเชียลเดือดวิจารณ์ยับ ห่วงเด็กขาดสารอาหาร

ที่มา : www.bangkokbiznews.com/www.nationtv.tv/www.pptvhd36.com
ข่าว อาหารกลางวันนักเรียน ไทย
ข่าว อาหารกลางวันนักเรียน ไทย

จากหัวข้อข่าวข้างต้น คงทำให้ผู้ปกครอง คุณพ่อคุณแม่หลายคนเป็นกังวล กับ อาหารกลางวันนักเรียน ของโรงเรียนลูกตนเองว่าจะมีลักษณะอย่างไรกันใช่ไหม? คงต้องขอกล่าวว่า โภชนาการสำหรับเด็กวัยกำลังเจริญเติบโตนั้น เป็นสิ่งสำคัญอย่างมากต่อพัฒนาการของเด็ก ดังนั้นการที่คุณพ่อคุณแม่คอยพูดคุยสอบถามเกี่ยวกับชีวิตประจำวันของลูกที่โรงเรียนจึงเป็นสิ่งที่อยากจะแนะนำให้พ่อแม่ทุกคนควรทำ การพูดคุย การตั้งคำถามกับลูกหลังเลิกเรียน นอกจากจะช่วยให้เราได้พูดคุยกับลูก เพื่อเพิ่มความสัมพันธ์ ความเข้าใจกันและกันแล้ว พ่อแม่ยังสามารถที่จะเฝ้าระวังเหตุอันไม่ควรต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับลูกในระหว่างที่ห่างจากสายตาพ่อแม่ได้อีกด้วย เช่น การถูกเพื่อนกลั่นแกล้ง ความเข้าใจในบทเรียน และรวมถึงอาหารการกินที่โรงเรียนว่ามีคุณภาพ และปริมาณเพียงพอหรือไม่ เป็นต้น

หลักโภชนาการขั้นพื้นฐานสำหรับเด็กวัยเรียน

เด็กวัยเรียน หมายถึง เด็กที่มีอายุ 6 -12 ปี  เด็กวัยนี้จะเจริญเติบโตและมีพัฒนาการทางร่างกายและจิตใจ รวมทั้งการเรียนรู้อันเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะนำไปสู่ชีวิตที่มีคุณภาพในอนาคต ดังนั้นอาหารจึงเป็นสิ่งสำคัญ  เพราะถ้าเด็กในวัยนี้ได้รับอาหารไม่เพียงพอหรือไม่เหมาะสม  จะส่งผลทำให้เด็กร่างกายแคระแกรน  สติปัญญาทึบ ไม่มีความพร้อมในการเรียน ประสิทธิภาพการเรียนรู้และการทำงานต่ำ

กินไม่ดี เสี่ยง IQ ต่ำ!!

หลังจากลูกคลอดออกมาจากท้องแม่ จำนวนของเซลล์สมองนั้นจะสามารถเพิ่มขึ้นได้แต่ไม่มากนัก แต่เซลล์สมองสามารถสร้างและพัฒนาเครือข่ายได้อย่างมีศักยภาพมากที่สุดในช่วง 3 ขวบปีแรก ผ่านการส่งเสริมให้เส้นใยที่ส่งข้อมูลในสมองแตกกิ่งก้านสาขาเพิ่มขึ้น ผ่านการสร้างประสบการณ์ ในขณะที่ส่วนของสมองที่เป็นเปลือกหุ้มเส้นใยสมอง หรือ นวมสมองที่เป็นตัวเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้สามารถสร้างเพิ่มขึ้นได้จากอาหารและการสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ใหม่ๆ

อาหารจึงมีบทบบาทสำคัญในการสร้างความฉลาดให้สมอง ดังนั้นจึงแนะนำให้เด็กรับประทานอาหารที่ดีมีคุณภาพ และรับประทานให้หลากหลาย

เช็กด่วน! ลูกมีพัฒนาการการเจริญเติบโตทางร่างกายปกติหรือไม่ ?

การติดตามการเจริญเติบโตของเด็ก สามารถทำได้โดยการชั่งน้ำหนัก และวัดส่วนสูง จากนั้นนำมาเปรียบเทียบกับน้ำหนัก และส่วนสูงต่ออายุที่เหมาะสมของเด็ก ตามตารางแสดงน้ำหนักและส่วนสูงที่เหมาะสมของเด็ก ดังนี้

อายุ (ปี)

น้ำหนัก (ก.ก.)

ส่วนสูง (ซ.ม.)

4-6

16-20 100-110

7-9

22-26

115-125

10-12 28-32

130-140

ทำไมโภชนาการในเด็กวัยเรียนจึงสำคัญ?

เด็กในวัยนี้มีการเคลื่อนไหว และใช้พลังงานอยู่ตลอดเวลา ไม่อยู่เฉย ทั้งทางด้านร่างกาย และการใช้ความคิด ดังนั้นร่างกายจึงต้องการสารอาหารต่าง ๆ ครบทั้ง 5 หมู่ และต้องมีปริมาณที่เพียงพอต่อร่างกายด้วย ก่อนที่เราจะมาดูกันว่า อาหารกลางวันนักเรียน ในโรงเรียนของลูกคุณพ่อคุณแม่นั้นเพียงพอ และมีคุณภาพหรือไม่ เรามาทำความเข้าใจกับคำ 2 คำนี้กันเสียก่อน

  • โภชนาการ (Nutrition) คือ อาหารที่เข้าสู่ร่างกายคนแล้วสามารถนำไปใช้เป็นประโยชน์ในด้านการเจริญเติบโต และซ่อมแซมส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น เนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้ ที่นำมาประกอบเป็นอาหารเป็นเมนูที่มีประโยชน์
  • สารอาหาร (Nutrients) คือ สารที่อยู่ในอาหาร ที่ให้พลังงานแก่ร่างกาย ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันต่อร่างกายให้แข็งแรง เช่น คาร์โบไฮเดรต ที่มาจากข้าว แป้ง หรือ วิตามิน ที่มาจาก ผัก ผลไม้ นั่นเอง
อาหารกลางวัน ของลูกคุณเป็นแบบไหน
อาหารกลางวัน ของลูกคุณเป็นแบบไหน

ชนิดอาหารที่ควรเลือกให้เด็ก

  1. เนื้อสัตว์ เป็นสารอาหารที่ให้โปรตีนช่วยเสริมสร้างสร้างกล้ามเนื้อ เนื้อเยื่อและฮอร์โมน  ควรเลือกเนื้อสัตว์ที่ไม่ติดมันเพื่อเป็นการปลูกฝังนิสัยการบริโภคที่ดีให้แก่เด็ก และควรให้อาหารทะเล  เครื่องในสัตว์  สัปดาห์ละ  1-2  ครั้ง
  2. ไข่เป็ด  ไข่ไก่  ควรได้รับวันละ  1  ฟองทุกวัน
  3. ถั่วเมล็ดแห้ง เด็กวัยเรียนควรกินถั่วเมล็ดแห้งเป็นประจำเพราะถั่วเมล็ดแห้งมีโปรตีน แคลเซียมและวิตามินบีสองมาก
  4. นมสด เป็นอาหารที่ให้โปรตีนและแคลอรี่สูง และยังมีแคลเซียมวิตามินเอมาก ซึ่งเหมาะสำหรับเด็กที่กำลังเจริญเติบโต เด็กจึงควรดื่มนมทุกวันอย่างน้อยวันละ 1 แก้ว
  5. ผักใบเขียวและผักสีเหลือง ควรให้เด็กบริโภคในมื้ออาหารทุกมื้อ และควรสับเปลี่ยนชนิดให้หลากหลาย เพื่อให้เด็กได้รับวิตามินและแร่ธาตุครบถ้วน
  6. ผลไม้สด  เป็นแหล่งที่ดีของวิตามินและเกลือแร่โดยเฉพาะวิตามินซี เด็กควรได้รับผลไม้ทุกวัน และเลือกชนิดให้หลากหลายตามฤดูกาล
  7. ข้าว  ก๋วยเตี๋ยวหรือแป้งอื่นๆ  ควรจัดให้เด็กในมื้ออาหารทุกมื้อ  หรือกินในรูปของขนมบ้างก็ได้ โดยเลือกข้าวหรือแป้งที่ผ่านการขัดสีน้อย เพราะมีวิตามินและแร่ธาตุมาก
  8. ไขมันหรือน้ำมันพืช เป็นเหล่งที่ดีของพลังงานและช่วยให้วิตามินที่ละลายในน้ำมันถูกดูดซึมได้ดีขึ้นควรเลือกน้ำมันพืชเพื่อใช้ในการประกอบอาหารให้แก่เด็กเช่น น้ำมันรำข้าว น้ำมันถั่วเหลือง เป็นต้น
  9. น้ำ  ควรให้เด็กบริโภคน้ำสะอาดวันละ 6-8 แก้ว  หรือให้เพียงพอกับปริมาณที่สูญเสียไปในแต่ละวัน

สารอาหารดังกล่าวข้างต้น เป็นสารอาหารหลักที่เด็ก ๆ ควรได้รับในแต่ละวัน และต้องมีปริมาณที่เหมาะสมด้วย เพราะถ้าหากเด็กได้รับในปริมาณที่มากเกินไป จะทำให้เด็กมีภาวะโภชนาการเกิน หรืออ้วน แต่ถ้าหากได้รับไม่เพียงพอ ก็จะส่งผลกระทบต่อภาวะโภชนาการของเด็กเช่นกัน

อาหารสำคัญต่อพัฒนาการเด็ก ไอคิว และการเรียนรู้
อาหารสำคัญต่อพัฒนาการเด็ก ไอคิว และการเรียนรู้

หลักการจัดโภชนาการในเด็กวัยเรียน

  1. ควรจัดอาหารหลักให้เด็กได้บริโภคครบทั้ง 3 มื้อ โดยเฉพาะมื้อเช้า ดังนั้นไม่เพียงแต่คุณพ่อคุณแม่จะต้องคอยสำรวจอาหารกลางวันที่โรงเรียนของลูกแล้ว อย่าลืมอาหารเช้า และอาหารเย็นที่บ้านต้องจัดตามหลักโภชนาการด้วยเช่นกัน
  2. ควรจัดอาหารให้ครบถ้วน ได้สัดส่วน และเพียงพอกับความต้องการของร่างกายเด็ก โดยเราจะดูได้จากน้ำหนัก และส่วนสูงของลูกเมื่อเทียบกับตารางน้ำหนัก และส่วนสูงที่เหมาะสมของเด็กในแต่ละวัย โดยประเมินได้ว่าหากน้ำหนักเกิน ลูกได้รับอาหารที่มากเกินพอดี แต่หากน้ำหนัก และส่วนสูงไม่ถึงเกณฑ์ นั่นเป็นการแสดงว่าลูกของคุณขาดสารอาหาร หรือได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ
  3. ควรให้เด็กรับประทานอาหารตรงเวลา ไม่ควรให้เด็กรับประทานขนมจุบจิบ การรับประทานขนมจะไปเบียดบังกระเพราะอาหาร และความอยากอาหารของเด็ก แต่สิ่งที่เขาได้รับไปจากขนมนั้น เป็นสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ ไร้สารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายอีกด้วย
  4. ควรจัดอาหารว่างให้เด็กบริโภคตนสาย และตอนบ่าย
  5. ในแต่ละมื้อไม่ควรจัดให้มีอาหารจำพวกแป้ง และน้ำตาลอย่างเดียวเท่านั้น ควรพยายามจัดอาหารให้ครบหมู่
  6. ผู้ปกครองควรให้ความสนใจกับสภาพจิตใจของเด็ก เพราะจะส่งผลกระทบต่อการรับประทานอาหาร และภาวะโภชนาการของเด็ก เหมือนดั่งคำกล่าวที่ว่า ใจเป็นสุข อะไรก็อร่อย

เมื่อกล่าวมาถึงจุดนี้ คงทำให้คุณพ่อคุณแม่เข้าใจหลักการทางโภชนาการของเด็กกันมาพอสมควรแล้ว แต่เพื่อความเข้าใจ และตรงจุดมากยิ่งขึ้น จะขอจำแนกแบ่ง หลักโภชนาการอาหารของเด็กวัยเรียน ตามแต่ประเภทดามวัยของเด็ก

อ่านต่อ>>ตัวอย่างการจัดอาหารกลางวันนักเรียน เด็กประถม และมัธยมให้ถูกหลักโภชนาการ คลิกหน้า 2

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

นั่งท่าผีเสื้อ

นั่งท่าผีเสื้อ ท่านั่งดีต่อสุขภาพ ที่แม่ท้องควรรู้

Alternative Textaccount_circle
event
นั่งท่าผีเสื้อ
นั่งท่าผีเสื้อ

นั่งท่าผีเสื้อ (Bhadrasana) เป็นท่าโยคะที่แพทย์แนะนำให้ว่าที่คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์อยู่และอยู่ในระยะคลอดหมั่นทำเป็นประจำ เพราะท่านี้ได้รับการวิจัยทางการแพทย์มาแล้วว่า ช่วยให้ผู้หญิงในระยะคลอดสามารถรับมือกับความเจ็บปวดบริเวณท้องและส่วนล่างในตอนปวดท้องคลอดได้ดีขึ้น

นั่งท่าผีเสื้อ ท่านั่งดีต่อสุขภาพ ที่แม่ท้องควรรู้

นั่งท่าผีเสื้อ
นั่งท่าผีเสื้อ

ท่าผีเสื้อ สามารถช่วยเตรียมข้อสะโพกและหัวหน่าวของหญิงตั้งครรภ์ให้ขยายออก ทำให้กล้ามเนื้อต้นขาและอุ้งเชิงกรานยืดขยายและแข็งแรง ช่วยเตรียมฝีเย็บให้ยืดขยายไว้ เมื่อถึงเวลาคลอด ส่วนที่ต้องเจ็บตึงจะสามารถยืดหยุ่นขยายออกได้ดี การคลอดจะง่ายและราบรื่นสำหรับผู้ที่คลอดโดยวิธีการธรรมชาติ

คลอดแบบผ่าตัด กับประโยชน์จากท่าผีเสื้อ

สำหรับคุณแม่ที่เลือกการผ่าคลอด หรือจำเป็นต้องผ่าคลอดด้วยเงื่อนไขด้านสุขภาพ ท่านั่งผีเสื้อช่วยให้สุขภาพครรภ์แข็งแรง แม้จะเลือกผ่าคลอด แต่การเจ็บครรภ์ก่อนคลอดก็เกิดขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ หรือแม้แต่ความรู้สึกอึดอัดระหว่างตั้งครรภ์ ท่าผีเสื้อช่วยบริหารอุ้งเชิงกราน และทำให้กล้ามเนื้อไม่หดเกร็งเกินไปจากน้ำหนักของครรภ์ ดังนั้นจึงไม่ควรพลาดการลองทำกายบริหารด้วยท่านั่งผีเสื้อเช่นกัน

การจัดท่าผีเสื้อ

  1. นั่งบนเตียง หรือพื้น
  2. งอขาสองข้างเข้าหาตัว คล้ายนั่งสมาธิและให้ฝ่าเท้าสองข้างประกบกัน
  3. ดึงส้นเท้าเข้าหาตัวให้มากที่สุด 
  4. เอามือสองข้างวางกดไว้บนเข้า แล้วกดตัวไปข้างหน้า ไม่ต้องกดตัวจนสุด ให้องศาการกดอยู่ระหว่าง 15-30 องศา การกดตัวเอาที่ระยะองศาที่คุณแม่พอรู้สึกตึงบ้างแต่ไม่มากเกินไป คุณแม่บางท่านอาจจะอยากใช้หมอนรองที่ตัก สามารถทำได้ตามต้องการ
  5. หายใจเข้าออกช้า ๆ แต่ละครั้งหายใจลึก ๆ นับลมหายใจเข้าถึง 20 ครั้ง แล้วเหยียดตัวขึ้นนั่งหลังตรงตามปกติ นับเป็นการทำท่าผีเสื้อ 1 ชุด
  6. สามารถทำซ้ำอีกได้ โดยใน 1 ชั่วโมงควรทำไม่เกิน 3 ชุดเพื่อไม่ให้เป็นภาระหนักแก่ร่างกายมากเกินไป

ข้อควรระวังในการบริหารด้วยท่าผีเสื้อ

แม้การบริหารร่างกายด้วยท่าผีเสื้อจะไม่ใช่การขยับร่างกายอย่างมาก เน้นการเหยียดยืดและการกำหนดลมหายใจ แต่ร่างกายและสภาพการตั้งครรภ์ของผู้หญิงแต่ละคนมีความแตกต่าง ดังนั้นในบางรายอาจจะไม่ใช่ว่าท่าผีเสื้อคือท่าที่เหมาะสมและให้ผลดีเสมอไป แม้ตอนนี้จะไม่มีรายงานความผิดปกติจากการใช้ท่าผีเสื้อ แต่เมื่อต้องการบริหารร่างกายด้วยท่านี้เพื่อเตรียมการสำหรับการคลอดที่จะมาถึง ว่าที่คุณแม่ที่ตั้งครรภ์อยู่จึงควรปรึกษาความเห็นของแพทย์ก่อน

กลไกการเจ็บท้องคลอด และการเร่งปากมดลูกเปิดด้วยท่าผีเสื้อ

เมื่อมีอาการเจ็บท้องคลอดจริง อาการเจ็บท้องที่เหมือนกับเจ็บเตือนจะรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เจ็บอย่างสม่ำเสมอ เจ็บจากส่วนบนของมดลูก เจ็บร้าวไปยังด้านล่างของร่างกาย ท้องแข็งตึง ความเจ็บที่ยาวนานจะดำเนินไปจนกว่าการคลอดจะสิ้นสุด นี่เกิดจากมดลูกหดตัวเป็นจังหวะ โดยครั้งหนึ่งนาน 30-60 วินาที ก่อนจะกลายเป็น 60-90 วินาที การบีบรัดตัวของมดลูกจะทำให้ร่างกายท่อนล่างรวมถึงมดลูกเองขาดเลือดและออกซิเจน 

ในช่วงการเจ็บคลอดนี้ การทำท่าผีเสื้อมาก่อนจะทำให้เจ็บปวดน้อยลง และระหว่างที่เจ็บท้องคลอดจริง หากทำท่าผีเสื้อไปด้วย จะทำให้บรรเทาความเจ็บปวด เพราะปากมดลูกที่พยายามจะเปิดเต็มที่จะเปิดได้ง่ายขึ้นในช่วงเวลาที่สั้นลง 

 

อ่านต่อ… นั่งท่าผีเสื้อ ท่านั่งดีต่อสุขภาพ ที่แม่ท้องควรรู้ ได้ที่หน้า 2

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

หนุมาน

ครั้งแรกในเชียงใหม่ กับการแสดง Immersive Theatre สำหรับเยาวชน ชุด “หนุมาน สู้ สู้! ภารกิจปลุกหนุมาน และการผจญภัยของเหล่านักรบวานร”

Alternative Textaccount_circle
event
หนุมาน
หนุมาน

Glom Immersive Theatre ร่วมกับ INGROUP ASIA เชิญชวนน้อง ๆ และครอบครัว ร่วมผจญภัย ปลดปล่อยจินตนาการ ไปพร้อมกับเหล่านักรบวานร เพื่อปลุกหนุมานให้ตื่นจากการหลับใหล ใน “หนุมาน สู้ สู้! ภารกิจปลุกหนุมาน และการผจญภัยของเหล่านักรบวานร” ณ Dream Space Gallery เชียงใหม่ เริ่ม 27 สิงหาคม 2565 เป็นต้นไป สำรองการเข้าชมฟรีได้แล้ววันนี้

หนุมาน

บริษัท อินกรุ๊ป เอเชีย จำกัด (INGROUP ASIA) ร่วมกับ Glom Immersive Theatre และ Dream Space Gallery ขอชวนน้อง ๆ เหล่าเยาวชนมาร่วมสัมผัสสุดยอดประสบการณ์การแสดงรูปแบบใหม่ Immersive Theatre ที่ชวนให้ทุกคนได้มีส่วนร่วมสนุกไปพร้อม ๆ กับการแสดง ผสานทั้งจินตนาการ และเทคนิคตระการตาเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว ดื่มด่ำไปกับบรรยากาศแห่งป่าไม้อันชวนพิศวง นับตั้งแต่ก้าวแรกที่ผ่านซุ้มประตูรูปปั้นหนุมานอมพลับพลา ทุกคนจะพบกับการต้อนรับจากนักปราชญ์รอบรู้ ผู้พาทุกคนเข้าสู่ภารกิจสุดแสนท้าทาย ขอความช่วยเหลือจากนางเงือกผู้เลอโฉมและชมพูพาน พร้อมเข้าร่วมเป็นเหล่านักรบวานรผู้พิทักษ์ ฝ่าเขาวงกตสุดอัศจรรย์ เพื่อภารกิจสำคัญในการปลุกเจ้าหนุมานชาญสมรให้ตื่นขึ้นจากหลับใหล ใน “หนุมาน สู้ สู้! ภารกิจปลุกหนุมาน และการผจญภัยของเหล่านักรบวานร”

“ตื่นเถิดหนุมาน!” เกิดจากความตั้งใจนำเสนอการแสดงในรูปที่แบบแปลกใหม่ โดยทีมงาน Glom Immersive Theatre ซึ่งมีเป้าหมายในการส่งเสริมพัฒนาการของเด็กและเยาวชน ผ่านกิจกรรมสนุกสนาน ที่พัฒนาทั้งความคิดสร้างสรรค์ สร้างแรงบันดาลใจ ปลูกฝังความเข้าใจอันดีในวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ที่แตกต่าง

ทีมงาน Glom Immersive Theatre และ INGROUP ASIA เปิดเผยว่า “นี่เป็นอีกครั้งที่พวกเราภูมิใจนำเสนองานศิลป์ร่วมสมัย โดยครั้งนี้เราทุ่มเททั้งเวลา พัฒนาแนวคิดต่าง ๆ มานานกว่า 5 เดือน รวมถึงทุ่มทุนจำนวนมาก เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวของหนุมาน ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากวรรณกรรมเอกที่เปี่ยมไปด้วยจินตนาการอย่าง ‘รามเกียรติ์’

หนุมาน สู้ สู้! ภารกิจปลุกหนุมาน

หัวใจสำคัญอันเป็นเสน่ห์ของงานแสดงครั้งนี้ ผู้ชมจะถูกดึงเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการแสดง ถึงแม้ในแต่ละรอบการแสดงจะมีเส้นเรื่องที่คล้ายกัน ทว่าการมีส่วนร่วมของผู้ชมในแต่ละรอบนั้น มีส่วนในการกำหนดเรื่องราวที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง นอกจากนี้ยังเต็มไปด้วยเทคนิคพิเศษ ทั้งแสง สี เสียง เสื้อผ้า และอุปกรณ์ประกอบฉากสุดอลังการ พร้อมยังได้เตรียมเซอร์ไพรส์ต่าง ๆ เอาไว้ให้ผู้ชมตื่นตาตื่นใจในทุกย่างก้าวของการรับชม อย่างการปรุงยาวิเศษ รหัสลับที่รอการไขปริศนา แมลงเรืองแสง ต้นไม้แห่งเวทมนตร์ และความมหัศจรรย์อื่น ๆ ที่รอคอยให้ผู้ชมได้เข้ามาพิสูจน์อีกเพียบ

ยิ่งกว่านั้นเรายังได้ร่วมมือกับศิลปินท้องถิ่น เพื่อสร้างสรรค์ฉากอันแสนตระการตา เนรมิตซุ้มประตูรูปปั้นหนุมานอมพลับพลา ประติมากรรมหิน ต้นไม้ ป่าดงดิบ เพื่อแสดงศักยภาพและวิสัยทัศน์ของศิลปินเชียงใหม่ กระตุ้นให้เกิดการรวมใจเป็นหนึ่งเดียวกันทั้งเด็กและผู้ใหญ่ โดยการออกแบบทั้งหมดนั้น ทีมงานยังตระหนักถึงความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยวัสดุที่ใช้ในการตกแต่งสถานที่ส่วนใหญ่ทำจากกระดาษและไม้ไผ่

พบกับการแสดงชุด “หนุมาน สู้ สู้! ภารกิจปลุกหนุมาน และการผจญภัยของเหล่านักรบวานร” 27-28 สิงหาคม, 3-4 และ 10-11 กันยายน ณ Dream Space Gallery เชียงใหม่ ระยะเวลาการแสดงรอบละ 45 นาที 4 รอบการแสดงต่อวัน (14.00น. / 15.15น. / 17.00น. และ 18.15น.)

เข้าชมฟรี จำกัดจำนวนที่นั่งเพื่อประสบการณ์รับชมที่ดีที่สุดในแต่ละรอบ

สำรองที่นั่งล่วงหน้าสามารถติดต่อได้ที่ 064-0182233

ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่

Facebook: Ingroup ASIA, Part Time Theatre

Instagram: ingroup.asia, parttimetheatre.official 

หนุมาน

 

 

 

บำรุงผิวหลังคลอด

เคล็ดลับ บำรุงผิวหลังคลอด ใช้ได้ทั้งคุณแม่และคุณลูก

Alternative Textaccount_circle
event
บำรุงผิวหลังคลอด
บำรุงผิวหลังคลอด

ไหนใครเพิ่งคลอดลูก หรือกำลังจะคลอดลูกในอีกไม่กี่วันนี้บ้างคะ กองบรรณาธิการ Amarin Baby & Kids มีวิธีดูแล บำรุงผิวหลังคลอด มาแนะนำให้ค่ะ บอกเลยว่าหลังคลอดคุณแม่อาจต้องเจอกับปัญหาผิวแห้ง ผิวหมองคล้ำ ผิวหย่อนคล้อยจากการยืดขยายไว้ตอนท้อง แต่ไม่ต้องกังวลนะคะ ทุกอย่างแก้ไขได้ แล้วคุณแม่จะกลับมามีผิวสวยใส สุขภาพผิวดีอีกครั้งค่ะ

ผิวหลังคลอด กับ 3 ปัญหาที่คุณแม่ต้องเจอ

1. ผิวหมองคล้ำ

ตอนท้องระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เมลานินหรือเม็ดสีเพิ่มขึ้น ทำให้สีผิวไม่สม่ำเสมอ ผิวหมองคล้ำ ในหลายส่วนบนร่างกาย เช่น ผิวหน้า ผิวต้นคอ รักแร้ ต้นขา ขาหนีบ ข้อพับต่าง ๆ เส้นกลางหน้าท้อง ลานหัวนม เป็นต้น

2. ผิวแห้ง แตกลาย

ผิวแห้ง มาได้จากหลายปัจจัยค่ะ เช่น ฮอร์โมน อุณหภูมิ อากาศ ขาดการบำรุงผิว และดื่มน้ำน้อย ล้วนส่งผลให้เกิดปัญหาผิวแห้งที่อาจจะสะสมมาตั้งแต่ตอนท้อง พอหลังคลอดผิวก็ยิ่งแห้งมากขึ้น ส่วนผิวแตกลาย เกิดจากการที่ผิวยืดขยายช่วงตั้งครรภ์ ทำให้จนทำให้ผิวหน้าท้อง ผิวท้องแขน ผิวตรงข้อพับขา เกิดเป็นรอยแยกขาว ๆ เป็นต้น

3. ผิวหย่อนคล้อย ไม่กระชับ

น้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นขณะตั้งครรภ์ตลอด 9 เดือน พอคุณแม่คลอดลูก ก็อาจมีภาวะหย่อนคล้อยตามส่วนต่าง ๆ เช่น หน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา ตามมาได้ค่ะ

วิธีดูแล บำรุงผิวหลังคลอด ให้กลับมาสวยใส เปล่งปลั่ง

จะกู้ผิวเสียหลังคลอด ให้กลับมาสวยใส ผิวมีสุขภาพดี คุณแม่ต้องมีตัวช่วยค่ะ แนะนำนี่เลย Baby Oil ไอเทมที่คุณแม่ใช้ผสมน้ำอาบให้ลูก หรือใช้หลังอาบน้ำเสร็จ ด้วยการหยด Baby Oil บนฝามือแล้วนวดลงบนผิวลูกน้อย นอกจากจะทำให้ผ่อนคลาย อารมณ์ดี นอนหลับสบาย ยังเป็นการเติมน้ำเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวไม่แห้งได้ดีมาก ๆ ด้วยค่ะ

บำรุงผิวหลังคลอด ให้กลับมาสวยใส เปล่งปลั่ง

สำหรับคุณแม่เพื่อการมีผิวที่สวยสดใส Baby Oil ของลูกน้อย คุณแม่หยิบมาใช้กับผิวตัวเองได้เช่นกันค่ะ แนะนำว่าหลังอาบน้ำเสร็จ ให้คุณแม่ทา  Baby Oil ให้ทั่วผิวกาย เนื้อออยล์ที่ซึมลงผิวจะช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นผิว ทำให้ผิวเนียนนุ่ม ไม่แห้งกร้าน รอยแตกลายที่เป็นเอฟเฟคมาจากตอนอุ้มท้อง จะค่อย ๆ ดีจึ้นและจางหายไปค่ะ

บำรุงผิวหลังคลอด

นอกจากนี้คุณแม่ยังใช้ Baby Oil ในการเช็ดเครื่องสำอางบนผิวหน้า หรือจะใช้ในการหมักผม หรือใส่ผมหลังสระเสร็จ ก็ช่วยให้เส้นผมนุ่ม สลวย มีน้ำหนัก ไม่แห้งชี้ฟู อ่อ คุณแม่ที่ให้นมลูก ก็สามารถใช้ Baby Oil ในการนวดเปิดท่อน้ำนมได้ด้วยนะ นาทีนี้บอกเลยว่า แค่มี Baby Oil ขวดเดียวใช้คุ้มสุด ๆ ใช้ดี ใช้ได้ทั้งคุณแม่ คุณลูก

ดีนี่ ออร์แกนิค ซากุระ เบบี้ออยล์ ไอเทมคู่ใจที่แม่เลิฟ ใช้ บำรุงผิวหลังคลอด

แค่เห็นขวดใส ๆ สีชมพูอ่อนหวาน ของ ดีนี่ ออร์แกนิค ซากุระ เบบี้ออยล์ ขวดนี้ บอกเลยว่าแม่ ๆ ที่กองบรรณาธิการ Amarin Baby & Kids ถูกตกมาเป็นสาวกกันทุกคนค่ะ ความดีงามของ ดีนี่ ออร์แกนิค ซากุระ เบบี้ออยล์ คือเนื้อออยล์ใสมาก ทาซึมลงผิวเร็ว ไม่เหนอะหนะผิว

ดีนี่ ออร์แกนิค ซากุระ เบบี้ออยล์

ดีนี่ ออร์แกนิค ซากุระ เบบี้ออยล์ สูตรชุ่มชื้นพิเศษ ช่วยเติมเต็ม เก็บกักความชุ่มชื้นให้กับผิว มีสารสกัดธรรมชาติ ซากุระ สารสกัด 100% Organic จากอาร์แกน ออยล์ มีวิตามินอี น้ำมันดอกทานตะวัน ช่วยในการเต็มเติมและเก็บกักความชุ่มชื้นให้ผิว เนื้อออยล์อ่อนโยน ใสบริสุทธิ์ ไม่มีส่วนผสมของพาราเบน กูลเตน และสีสังเคราะห์ จึงปลอดภัยต่อผิว ดีนี่ ออร์แกนิค ซากุระ เบบี้ออยล์ ผ่านการทดสอบ (Hypoallergenic Tested) ไม่ทำให้แพ้หรือระคายเคือง คุณแม่สามารถใช้กับผิวลูกได้ตั้งแต่แรกเกิดค่ะ

ถึงจะดูแลผิวตอนตั้งท้องมาดีขนาดไหน แต่หลังคลอดลูกก็อาจจะต้องเจอกับปัญหาผิวเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ทำให้คุณแม่หมดความมั่นใจได้ค่ะ และนอกจากการดูแล บำรุงผิวหลังคลอด ที่สามารถใช้ตัวช่วยในการดูแลผิวด้วย Baby Oil แล้ว อย่าเพิ่มในเรื่องของการรับประทานอาหาร ดื่มน้ำให้มาก พักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายด้วยการเดิน ว่ายน้ำ หรือโยคะ ก็จะช่วยให้ผิวพรรณสดใส มีความกระชับไม่หย่อนคล้อย ผิวแข็งแรงสุขภาพดี

แนะนำว่าทุกวันหลังอาบน้ำเสร็จมาสร้างช่วงเวลาแสนสุขระหว่างแม่ลูก ด้วยการดูแลบำรุงผิวไปพร้อมกัน แม่ลูกได้ใช้เวลาร่วมกัน การสัมผัส กอด ช่วยเพิ่มสายใยรักผูกพันระหว่างแม่ลูกได้ดีมาก ๆ ค่ะ

คุณแม่สามารถหาซื้อ ดีนี่ ออร์แกนิค ซากุระ เบบี้ออยล์ ได้ที่ห้างสรรพสินค้า ร้านค้าชั้นนำทั่วประเทศ และช่องทางออนไลน์

#ดีนี่ที่แม่นับล้านวางใจ #DneeBabyOil

 

 

คนท้องกินยาแก้แพ้ได้ไหม

คนท้องกินยาแก้แพ้ได้ไหม โรคภูมิแพ้กำเริบตอนท้อง ควรทำอย่างไร?

Alternative Textaccount_circle
event
คนท้องกินยาแก้แพ้ได้ไหม
คนท้องกินยาแก้แพ้ได้ไหม

คนท้องกินยาแก้แพ้ได้ไหม – ในระหว่างตั้งครรภ์ คนท้องอาจต้องใช้ยาตามแพทย์และเภสัชกรกำหนดให้ การหยุดใช้ยาที่จำเป็นทางการแพทย์อาจเป็นอันตรายต่อทั้งคุณและลูกน้อยของคุณ ยาต่างชนิดกันมีความเสี่ยงต่างกัน แต่ความสะดวกสบายของคุณก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน เพราะเมื่อเกิดอาการแพ้ คัดจมูก น้ำมูกไหลระหว่างตั้งครรภ์คงเป็นเรื่องที่ทรมานกายใจคุณแม่ไม่น้อย  ซึ่งในกรณีนี้ ยาแก้แพ้ อาจช่วยรักษาและบรรเทาอาการต่างๆ ของภูมิแพ้ได้ ดังนั้นบทความนี้เราจะมากล่าวถึงความปลอดภัยของการใช้ยาแก้แพ้ในหญิงตั้งครรภ์ค่ะ

คนท้องกินยาแก้แพ้ได้ไหม ? โรคภูมิแพ้กำเริบตอนท้อง ควรทำอย่างไร?

การตั้งครรภ์ ย่อมหมายถึงการต้องใส่ใจเป็นพิเศษกับทุกสิ่งที่คุณทาน การใช้ชีวิตประจำวัน ตลอดจนการใช้ยารักษาอาการเจ็บป่วยต่างๆ รวมถึงอาการภูมิแพ้กำเริบแพ้ โดยทั่วไป  เนื่องจากบางครั้งการตั้งครรภ์ทำให้การแพ้แย่ลง หรือทำให้เกิดปัญหาไซนัสอักเสบที่มีอาการคล้ายคลึงกัน ซึ่งเรียกว่าโรคจมูกอักเสบจากการตั้งครรภ์

อาการคัดแน่นจมูกในหญิงตั้งครรภ์ อาจเกิดขึ้นได้ในช่วงไตรมาสที่ 2 เนื่องจากเป็นช่วงที่ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนเพิ่มระดับสูงขึ้น ซึ่งจะเพิ่มการไหลเวียนของโลหิตทั่วร่างกาย รวมถึงในจมูกทำให้เยื่อบุจมูกอักเสบ สิ่งนี้สามารถทำให้มีอาการเหมือนเป็นหวัดหรือเป็นภูมิแพ้ ซึ่งหากมีอาการรุนแรงอาจส่งผลให้เลือดกำเดาไหลในระหว่างตั้งครรภ์ และ/หรือไซนัสลงคอที่อาจทำให้คุณไอตอนกลางคืน

เมื่อเกิดอาการภูมิแพ้ อาจทำให้เกิดอาการต่างๆ ได้แก่:

  • ไอ
  • จาม
  • อาการคันตา
  • คัดจมูก น้ำมูกไหล

ซึ่งภาวะเหล่านี้อาจส่งผลต่อการหายใจของคุณ โชคดีที่มีการรักษาที่ปลอดภัยมากมาย ที่คุณสามารถใช้เพื่อบรรเทาอาการภูมิแพ้อย่างได้ผล การเรียนรู้ทางเลือกต่างๆ และการปรึกษากับผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพอาจเป็นประโยชน์ บทความนี้จะแนะนำคุณเกี่ยวกับยาแก้ภูมิแพ้กำเริบ ที่ได้ผลสำหรับคุณและปลอดภัยสำหรับทารกในครรภ์ นอกจากนี้คุณจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับวิธีการจัดการอาการภูมิแพ้ที่ไม่ต้องใช้ยาในระหว่างตั้งครรภ์ด้วยวิธีธรรมชาติ

เมื่อพูดถึงการใช้ยารักษาภูมิแพ้ขณะตั้งครรภ์ เราควรกังวลเกี่ยวกับทารกในครรภ์เป็นอันดับแรก และต้องระมัดระวังในการใช้ยาในระหว่างตั้งครรภ์เป็นพิเศษ และหากเป็นไปได้ ให้หลีกเลี่ยงยาเหล่านี้ในช่วงไตรมาสแรก ที่สำคัญที่สุด ก่อนใช้ยารักษาโรคภูมิแพ้ใดๆ ในระหว่างตั้งครรภ์ คุณควรปรึกษาแพทย์ก่อน

คนท้องกินยาแก้แพ้

คนท้องกินยาแก้แพ้ ได้ไหม ? จะปลอดภัยกว่าหรือไม่ที่จะงดยาภูมิแพ้ทั้งหมดเมื่อตั้งครรภ์?

หากอาการของคุณไม่รุนแรง แพทย์ของคุณอาจแนะนำการรักษาอื่นแทน คุณสามารถป้องกันภูมิแพ้ที่บ้านของคุณหรือพึ่งพาสเปรย์น้ำเกลือพ้นจมูก แต่ถ้าอาการภูมิแพ้เป็นปัญหาใหญ่ เช่น ทำให้นอนหลับยาก การทานยาบรรเทาอาการอาจดีต่อสุขภาพของคุณและลูกน้อยของคุณ หากคุณเป็นโรคหอบหืดจากภูมิแพ้ คุณต้องทานยาตามที่กำหนด โรคหอบหืดที่ไม่สามารถควบคุมได้อาจทำให้เกิดปัญหาร้ายแรงระหว่างตั้งครรภ์

กล่าวคือ คือ การไม่ทานยารักษาโรคภูมิแพ้เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด แต่สำหรับผู้ที่มีอาการภูมิแพ้ทำให้นอนไม่หลับและไม่สามารถทำงานได้ การใช้ยาโดยได้รับอนุญาตจากแพทย์อาจดีกว่าสำหรับทั้งแม่และทารกในครรภ์ เป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้หญิงที่เป็นโรคหอบหืดจากภูมิแพ้ในการใช้ยาตามที่กำหนด โรคหอบหืดที่ไม่สามารถควบคุมได้อาจทำให้เกิดปัญหาร้ายแรงระหว่างตั้งครรภ์

หากคุณวางแผนที่จะตั้งครรภ์ ให้ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับยาทั้งหมดที่คุณใช้ รวมทั้งยาที่ไม่จำเป็นต้องมีใบสั่งยา ยารักษาโรคภูมิแพ้หลายชนิดอาจใช้ได้ดีในระหว่างตั้งครรภ์ แต่ควรปรึกษาหารือกันเพื่อที่คุณจะได้สบายใจ

คนท้องกินยาแก้แพ้ได้ไหม ? ยาชนิดไหน ที่ปลอดภัยสำหรับแม่ท้อง?

ยาแก้แพ้ และยาพ่นจมูก ถือว่าปลอดภัยที่จะใช้ในระหว่างตั้งครรภ์มากกว่ายาแก้หวัด อย่างไรก็ตามมีความแตกต่างกันเล็กน้อยในเรื่องนี้ที่สำคัญที่ต้องรู้ ก่อนคุณจะไปร้านขายยา ผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้หลายคนใช้ยาแก้แพ้เพื่อบรรเทาอาการ มีการศึกษาวิจัยหลายชิ้น ที่แสดงให้เห็นว่ายารักษาโรคภูมิแพ้ที่จำหน่ายหน้าเคาน์เตอร์ร้านยาหลายชนิดปลอดภัยที่จะใช้ในระหว่างตั้งครรภ์ ยาแก้แพ้ตามฤดูกาลระหว่างตั้งครรภ์ซึ่งสตรีมีครรภ์ส่วนใหญ่สามารถรับประทานยารักษาโรคภูมิแพ้ ที่วางจำหน่ายหน้าเคาน์เตอร์ร้านขายยาได้อย่างปลอดภัย ตัวอย่างยาที่มีการวิจัยสนับสนุนว่าปลอดภัยสำหรับสตรีมีครรภ์ (ตามข้อมูลที่มีอยู่ในปัจจุบัน) ได้แก่

  • เซทิริซีน (Zyrtec)
  • คลอเฟนิรามีน (ChlorTrimeton)
  • ไดเฟนไฮดรามีน (เบนาดริล)
  • ลอราทาดีน (คลาริติน)

ยังมีสเปรย์ฉีดจมูกคอร์ติโคสเตียรอยด์ที่ปลอดภัยสำหรับใช้ในระหว่างตั้งครรภ์ อย่างไรก็ตาม ยาที่ช่วยบรรเทาอาการภูมิแพ้ได้ดีและมีอันตรายต่ำอีกตัวหนึ่ง ได้แก่ pseudoephedrine แต่ข้อควรระวัง คือ อาจเชื่อมโยงกับความเสี่ยงเล็กน้อยที่จะเกิดข้อบกพร่องที่ผนังช่องท้อง ดังนั้นควรงดใช้ pseudoephedrine ในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ อย่างไรก็ตาม ควรตรวจสอบกับสูตินรีแพทย์ก่อนใช้ยาภูมิแพ้ที่จำหน่ายหน้าเคาน์เตอร์ นอกจากนี้ สเปรย์ฉีดจมูกที่ปราศจากสเตียรอยด์ Astepro (azelastine hydrochloride) อาจเป็นทางเลือกที่ดีหากแพทย์ยินยอม เป็นยาได้รับการอนุมัติให้รักษาอาการภูมิแพ้ หรือ โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ในผู้ใหญ่ และยังไม่มีรายงานว่าเป็นอันตรายต่อหญิงตั้งครรภ์หรือทารก อย่างไรก็ตาม มีอาจยังมีข้อมูลที่จำกัด และการศึกษาทดลองในสัตว์บางชิ้นแสดงให้เห็นถึงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับเด็กได้ ห่กได้รับยาในปริมาณมาก

หากคุณกำลังพิจารณาใช้ยาภูมิแพ้ ให้พูดคุยกับผู้ให้บริการดูแลสุขภาพของคุณเกี่ยวกับความเสี่ยงและผลประโยชน์ต่างๆ ในการจัดการกับอาการภูมิแพ้ที่ไม่รุนแรง เภสัชกรอาจแนะนำให้ใช้ยาต้านฮีสตามีนแบบรับประทาน เช่น ลอราทาดีน (Claritin, Alavert) หรือเซทิริซีน (Zyrtec Allergy)

สำหรับอาการปานกลางถึงรุนแรง เภสัชกร อาจแนะนำให้ใช้ สเปรย์คอร์ติโคสเตียรอยด์แบบไม่ต้องมีใบสั่งยาในขนาดยาที่มีประสิทธิภาพต่ำที่สุด นอกเหนือจากยาต้านฮีสตามีนแบบรับประทาน ตัวเลือกต่างๆ ได้แก่ สเปรย์ฉีดจมูก budesonide (Rhinocort Allergy) และสเปรย์ฉีดจมูก fluticasone (Flonase Allergy Relief) เป็นต้น

คนท้องกินยาแก้แพ้ได้ไหม? ยาแก้ภูมิแพ้กำเริบชนิดใดที่ควรระวัง หรือ หลีกเลี่ยง

แม้ว่ายาแก้แพ้ส่วนใหญ่จะปลอดภัยในระหว่างตั้งครรภ์ แต่ยาบางชนิดที่ใช้รักษาอาการภูมิแพ้อาจไม่ปลอดภัย สตรีมีครรภ์ควรคำนึงถึงสูตรยาที่ป้องกันการการแพ้แบบผสม ที่มีส่วนผสมอื่นๆ ที่ไม่ปลอดภัยสำหรับสตรีมีครรภ์ เช่น แอสไพริน หรือ NSAIDs และยาระงับอาการไอหรือเสมหะบางชนิด

แพทย์ไม่ได้ศึกษายาบางชนิดเกี่ยวกับความปลอดภัยในการตั้งครรภ์อย่างกว้างขวาง เนื่องจากการทดสอบกับสตรีมีครรภ์ไม่เป็นไปตามหลักจริยธรรม เป็นผลให้ข้อมูลส่วนใหญ่เกี่ยวกับยาเกิดจากรายงานและความรู้เกี่ยวกับความปลอดภัยของยาทั่วไป ตามที่ American College of Allergy, Asthma & Immunology (ACAAI) ระบุว่า ยาหลายชนิดถือว่าไม่ปลอดภัยในช่วงไตรมาสแรก การพิจารณาความเสี่ยงและผลประโยชน์ที่อาจเกิดขึ้นเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากทารกมีพัฒนาการมากที่สุดในช่วงเวลานั้น ซึ่งยาแก้แพ้ที่อาจไม่ปลอดภัยในระหว่างตั้งครรภ์ ได้แก่:

Pseudoephedrine (Sudafed) : ในขณะที่การศึกษาบางชิ้นพบว่า pseudoephedrine ปลอดภัยในการตั้งครรภ์ มีรายงานการเกิดข้อบกพร่องของผนังช่องท้องในทารกของมารดาที่ใช้ยาในระหว่างตั้งครรภ์เพิ่มขึ้น ตาม ACAAI
Phenylephrine และ phenylpropanolamine : สารที่ทำให้ระคายเคืองเหล่านี้ถือว่า “ไม่เป็นที่ต้องการ” มากกว่าการใช้ pseudoephedrine

นอกจากนี้ คุณควรระมัดระวังในการหลีกเลี่ยงยาภูมิแพ้ที่มีสาร เช่น ซูโดอีเฟดรีน (ซูดาเฟด) เว้นแต่แพทย์หรือพยาบาลผดุงครรภ์ของคุณจะอนุญาติ แม้ว่ายาลดน้ำมูกจะไม่ก่อให้เกิดปัญหากับทารกในครรภ์ แต่ก็อาจทำให้ความดันโลหิตเพิ่มขึ้นในบางคนได้  มีงานวิจัยบางชิ้นที่ชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงที่สูงขึ้นเล็กน้อยของการเกิดข้อบกพร่องที่เกี่ยวข้องกับยาหลอก แม้ว่าจนถึงขณะนี้ ความเสี่ยงที่เป็นไปได้เหล่านั้นได้รับการระบุในช่วงไตรมาสแรกเท่านั้น นั่นหมายความว่า Sudafed อาจเป็นทางเลือกที่จำกัดสำหรับผู้หญิงในช่วงไตรมาสที่ 2 และ 3 ที่ไม่มีปัญหาเรื่องความดันโลหิตสูงมาก่อน (ต่อเมื่อแพทย์บอกว่าใช้ได้เท่านั้น)

คนท้องกินยาแก้แพ้

อ่านต่อ…คนท้องกินยาแก้แพ้ได้ไหม โรคภูมิแพ้กำเริบตอนท้อง ควรทำอย่างไร? ได้ที่หน้า 2

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

ของเล่นเสริมพัฒนาการ 3 ขวบ

ของเล่นเสริมพัฒนาการ 3 ขวบ แบบไหนดีต่อลูก

Alternative Textaccount_circle
event
ของเล่นเสริมพัฒนาการ 3 ขวบ
ของเล่นเสริมพัฒนาการ 3 ขวบ

ของเล่นเสริมพัฒนาการ 3 ขวบ เลือกของเล่นที่มีประโยชน์ เหมาะสมกับช่วงวัย ลูกได้เล่นอย่างมีความสุข สนุกสนาน พร้อมทั้งช่วยส่งเสริมพัฒนาการลูกในด้านต่างๆอีกด้วย

ของเล่นเสริมพัฒนาการ 3 ขวบ แบบไหนดีต่อลูก

การเลือก ของเล่นเสริมพัฒนาการ 3 ขวบ นอกจากเป็นของที่ลูกชอบ อยากเล่นแล้ว ควรเลือก ของเล่นเด็ก ที่ช่วยเสริมพัฒนาการด้านร่างกาย ด้านอารมณ์และสังคม ด้านภาษาและการสื่อสาร รวมทั้งด้านความคิด ทีมกองบรรณาธิการ ABK ได้นำข้อมูลของเล่นที่เหมาะมาฝากดังนี้ค่ะ

ของเล่นเสริมพัฒนาการ 3 ขวบ แบบไหนดีต่อลูก

ชุดของเล่นเครื่องครัว ช่วยเสริมพัฒนาการด้านอารมณ์และสังคม
ชุดของเล่นเครื่องครัว ช่วยเสริมพัฒนาการด้านอารมณ์และสังคม

พัฒนาการเด็ก 3 ขวบ

พัฒนาการด้านร่างกาย

  • ทรงตัวดีขึ้นกว่าเดิม กระโดดขาเดียวได้ ทรงตัวยืนขาเดียวได้ในเวลาสั้น ๆ
  • วิ่งและปีนป่ายอย่างคล่องตัว ก้าวขึ้นลงบันไดอย่างคล่องแคล่วโดยไม่ต้องจับราวบันได
  • ใส่และถอดเสื้อผ้าได้ด้วยตนเอง
  • วางวัตถุหรือรูปทรงขนาดเล็กลงล็อกได้
  • ปั่นจักรยาน 3 ล้อได้
  • วาดรูปวงกลมโดยใช้ดินสอหรือดินสอสี
  • มีพัฒนาการทางการมองเห็นที่เพิ่มขึ้นจากเดิม
  • มีฟันน้ำนมครบ 20 ซี่
  • อาจกลั้นปัสสาวะและอุจจาระได้ในตอนกลางวัน บางรายอาจกลั้นได้ในเวลากลางคืนด้วย

พัฒนาการด้านสติปัญญาและภาษา

  • ปฏิบัติตามคำบอก 2-3 ขั้นตอนได้
  • เข้าใจคำบอกตำแหน่ง เช่น ใน บน ข้างใต้ ข้างล่าง เป็นต้น
  • พูดชื่อตัวเอง อายุ และเพศ หรือบอกชื่อเพื่อนได้
  • เริ่มใช้คำสรรพนามแทนตัวเอง หรือระบุลักษณะนามสิ่งของบางอย่างได้
  • พูดสนทนาได้ยาวขึ้น โดยใช้ 2-3 ประโยค และสื่อสารให้คนแปลกหน้าเข้าใจได้
  • เล่นแสดงบทบาทสมมติเป็นเรื่องราว โดยเล่นกับตุ๊กตา สัตว์ หรือคนอื่น ๆ
  • เข้าใจและจดจำตัวเลขได้มากขึ้น
  • วาดรูปวงกลมด้วยดินสอหรือสี
  • เปิดและปิดฝาขวดได้

พัฒนาการด้านสังคมและอารมณ์

  • เริ่มเลียนแบบผู้ใหญ่และคนรอบข้าง
  • แสดงความรักต่อเพื่อนโดยไม่ต้องถูกกระตุ้นหรือบอก
  • แสดงความวิตกกังวลเมื่อเห็นเพื่อนร้องไห้
  • รู้จักแบ่งปันและรอให้เพื่อนเล่นเมื่อถึงคราวของเพื่อน
  • เรียนรู้และเข้าใจเกี่ยวกับความเป็นเจ้าของ รู้ว่าอันไหนเป็นของตนเองหรือของคนอื่น
  • แสดงอารมณ์อย่างหลากหลายมากขึ้น
  • แยกจากพ่อแม่ได้ โดยไม่ร้องงอแง
  • อาจหงุดหงิดเมื่อกิจกรรมหลักที่ต้องทำทุกวันมีการเปลี่ยนแปลง

สัญญาณบ่งบอกว่าเด็กอาจมีพัฒนาการผิดปกติ

หากพบว่า เด็กมีภาวะหรือพฤติกรรมดังต่อไปนี้ อาจเป็นสัญญาณเตือนถึงพัฒนาการผิดปกติ คุณพ่อคุณแม่ควรพาลูกไปพบแพทย์ เพื่อวินิจฉัยถึงสาเหตุ จะได้รีบรักษาให้เด็กมีกลับมามีพัฒนาการปกติ

ด้านร่างกาย

  • ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ตามวัย เช่น ใช้ช้อนตักอาหารไม่ได้ ใส่เสื้อหรือถอดกางเกงเองไม่ได้
  • ขยับร่างกายได้นิดหน่อย แขนขาเกร็ง หยิบจับสิ่งของไม่สะดวก
  • ถามคำถามซ้ำ ๆ เหมือนไม่ค่อยได้ยินสิ่งที่ตัวเองหรือคุณพ่อคุณแม่พูด
  • ตากับมือเคลื่อนไหวไม่สัมพันธ์กัน คล้ายมีปัญหาการมองเห็น
  • มีปัญหาในการเดินขึ้นลงบันได
  • มีน้ำลายไหลออกจากปาก
  • สูญเสียทักษะบางอย่างที่เคยมี

ด้านอารมณ์และสังคม

  • ไม่เล่นบทบาทสมมติ หรือไม่ใช้จินตนาการอยู่กับตัวเอง
  • ไม่เข้าสังคม หรือไม่ชอบอยู่กับเพื่อนในวัยเดียวกัน
  • ไม่ตอบสนอง หรือตอบสนองช้าเป็นประจำ

ด้านภาษาและการสื่อสาร

  • เมื่อมีคนถามคำถาม เด็กพูดถวนคำถามแทนที่จะตอบคำถาม
  • พัฒนาการด้านการใช้ภาษาถดถอย เช่น ลืมคำศัพท์ที่เคยรู้จัก
  • พูดเป็นประโยคได้ไม่เกิน 2 – 3 คำ หรือพูดไม่ชัดเป็นอย่างมาก
  • ไม่สบตาคนอื่น

ด้านความคิด

  • ปฏิบัติตามคำสั่งง่าย ๆ ไม่ได้
  • มีสมาธิจดจ่อกับอะไรได้ไม่นาน
  • ไม่มีความสามารถในการแก้ไขปัญหา
  • เล่นของเล่นง่าย ๆ ไม่ได้

 

อ่านต่อ…ของเล่นเสริมพัฒนาการ 3 ขวบ แบบไหนดีต่อลูก คลิกหน้า 2

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

วิธีเพิ่มความสูง

เคล็ด(ไม่)ลับ วิธีเพิ่มความสูง ให้ลูก คุณแม่ควรเริ่มตั้งแต่ 5 ขวบปีแรก และเสริมด้วย Arginine และVitamin K2

Alternative Textaccount_circle
event
วิธีเพิ่มความสูง
วิธีเพิ่มความสูง

รู้ไหมคะว่า 60% ของความสูงลูกในอนาคตเป็นช่วงเวลาสำคัญ ใน 5 ขวบปีแรก1 คุณพ่อคุณแม่จำเป็นต้องใส่ใจเรื่องแผ่นการเจริญเติบโตของกระดูก หรือ Growth Plate เป็นกระดูกอ่อนที่มีผลต่อความสูง2 ฉะนั้นหากอยากให้ลูกมีความสูงที่สมวัย กองบรรณาธิการ Amarin Baby & Kids มีความลับของ 2 สารอาหารสำคัญที่มีส่วนช่วยในการเพิ่มความสูง ที่เด็ก ๆ ควรได้รับอย่างเพียงพอในช่วง 5 ขวบปีแรก มาแนะนำให้คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ค่ะ กลัวลูกไม่สูง! กลัวลูกไม่โตทันเพื่อนวัยเดียวกัน! คุณพ่อคุณแม่อย่าได้กังวลใจกันไปค่ะ ถึงแม้ความสูงของลูกส่วนหนึ่งจะมาจากกรรมพันธุ์ แต่ถ้าหากช่วยสร้างความสูงให้ลูกอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เล็ก ๆ โดยเฉพาะ 5 ขวบปีแรกของชีวิตว่าลูกจะมีพัฒนาการการเจริญเติบโตที่สมวัยมากขึ้น ทีนี้มาดู วิธีเพิ่มความสูง ให้ลูกกันค่ะ

1. อาหารนเด็กบางคนจะมีมาตรฐานความสูงที่เป็นไปตามช่วงวัย หรือเด็กบางคนก็อาจมีความสูงที่เกินมาตรฐานของช่วงวัย สิ่งสำคัญที่จะมาส่งเสริมให้ลูกมีพัฒนาการการเจริญเติบโตที่ดี เริ่มจากอาหารที่รับประทานในทุกวัน การเตรียมอาหาร 3 มื้อหลักให้ลูก แนะนำว่าต้องมีสารอาหารครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะอาหารกลุ่มโปรตีน คาร์โบไฮเดรต รวมถึงพืชผัก ผลไม้ นมที่มีแคลเซียม เพราะมีประโยชน์ช่วยส่งเสริมให้ร่างกายมีการเจริญเติบโตที่ดี

2. ออกกำลังกาย เด็กควรได้ออกไปวิ่งเล่น ทำกิจกรรมนอกบ้าน เช่น ว่ายน้ำ เตะฟุตบอล ปั่นจักรยาน การเดิน วิ่งเหยาะ ๆ กระโดดเชือก ฯลฯ อย่างน้อย 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์ การออกกำลังกาย ทำกิจกรรมที่ใช้กำลังได้ทั้งตัว นอกจากจะช่วยให้กล้ามเนื้อแข็งแรงมากขึ้นแล้ว ก็ยังช่วยเพิ่มการสร้างมวลกระดูก ทำให้กระดูกเจริญเติบโต

3. นอนหลับ เด็กไม่ควรนอนดึก และควรเข้านอนแต่หัวค่ำ เด็กเล็กอายุ 1-2 ปี ควรนอนหลับให้ได้ 11-14 ชั่วโมงเด็กอายุ 3-5 ปี ควรนอนหลับให้ได้ 10-13 ชั่วโมง การนอนหลับพักผ่อนอย่างมีคุณภาพ นอนหลับสนิทจะช่วยให้ฮอร์โมนการเจริญเติบโตหรือ Growth Hormone ผลิตออกมาได้อย่างเต็มที่ ซึ่งมีผลโดยตรงกับความสูงของลูก

วิธีเพิ่มความสูง

ฮอร์โมนการเจริญเติบโต หรือ Growth Hormone ฮอร์โมนสำคัญที่มีผลต่อความสูง

เตี้ย ไม่สูง จะเกี่ยวข้องกับฮอร์โมนการเจริญเติบโตหรือ Growth Hormone ตัวนี้หรือเปล่านะ ? ตอบเลยค่ะว่า ลูกจะสูงหรือไม่สูง อยู่ที่ Growth Hormone นี่แหละค่ะ ซึ่งฮอร์โมนมีส่วนสำคัญต่อการเจริญเติบโต จะผลิตขึ้นจากต่อมใต้สมอง (Pituitary Gland) มีหน้าที่ในการเสริมสร้างการเจริญเติบโตให้กับร่างกาย และยังเป็นฮอร์โมนที่มีอิทธิพลต่อความสูง และความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและกระดูก Growth Hormone จะไปกระตุ้นการหลั่ง IGF1 (Insulin Like Growth Factor I) ในกระแสเลือด ซึ่งจะถูกสร้างจากเซลล์ตับ4  ภายใต้การควบคุมของ Growth Hormone3

Growth Hormone จะหลั่งออกมาเฉพาะตอนที่ร่างกายหลับลึกเท่านั้น หลังจากหลับไปแล้ว 1 ชั่วโมง ตั้งแต่ช่วงเที่ยงคืนจนถึงตีหนึ่งครึ่ง ซึ่งถ้าหากนอนหลับตอนตีหนึ่งครึ่ง ก็จะไม่ได้ Growth Hormone การหลับที่ถูกต้องคือการหลับตั้งแต่ 4 ทุ่ม เพราะร่างกายกว่าจะหลับลึกจะต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าชั่วโมง3

วิธีเพิ่มความสูง

ลูกสูง..ควรได้รับการเสริมด้วย Arginine เพื่อช่วยกระตุ้นการหลั่งของ Growth Hormones  และ Vitamin K2 ช่วยให้กระดูกแข็งแรง

คุณพ่อคุณแม่รู้จักกรดอะมิโนที่ชื่อว่า Arginine กันไหมคะ? Arginine เป็นกรดอะมิโน (Amino Acid) ที่จำเป็นต่อร่างกาย ในทารกและเด็กที่กำลังเจริญเติบโต Arginine จะไปกระตุ้นการหลัง Growth Hormones ที่ผลิตขึ้นจากต่อมใต้สมอง โดย GH (Growth Hormones)5 จากผลวิจัยพบว่า Growth Hormone จะมีส่วนช่วยกระตุ้นให้ Growth Plate (แผ่นการเจริญเติบโต) หนาตัวขึ้นถึง 12% และส่งผลให้กระดูกยืดขึ้นในแนวยาว และมีผลต่อความสูงของเด็ก6 Jiang MY, Cai DP. Neurosci Bull 2011;27:156-162

และยังมีผลงานวิจัยที่รองรับว่า เด็กที่บริโภค Arginine 2.8-3.2 กรัม/วัน จะสูงขึ้น 0.33 ซม./ปี และสูงเร็วกว่าเมื่อเทียบกับเด็กที่บริโภค Arginine ต่ำกว่าปริมาณ 2.2 กรัม/วัน Van Vught AJ et al. Br J Nutr (2013), 109, 1031-1039.

คุณแม่สามารถส่งเสริมให้ลูกรับ Arginine ได้จากการรับประทานอาหารในแต่ละวัน ได้แก่ เนื้อสัตว์ ปลา ธัญพืช และผลิตภัณฑ์จากนมที่มีส่วนประกอบของ Arginine ปัจจุบัน Arginine ถูกนำมาพัฒนาให้เป็นส่วนประกอบสำคัญในผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มนมเพราะมีส่วนช่วยในเรื่องความสูงของเด็ก5

พอจะทราบประโยชน์ของ Arginine กรดอะมิโนจำเป็น ที่มีผลโดยตรงต่อความสูงของลูกน้อย แต่ยังไม่หมดนะคะเพราะว่ามีอีกหนึ่งวิตามินที่ชื่อว่า Vitamin K2 ที่ก็มีบทบาทสำคัญต่อการเจริญเติบโตของร่างกายไม่แพ้ Arginine เลยค่ะ Vitamin K2 มีส่วนช่วยในการนำพาแคลเซียมไปยังเนื้อเยื่อกระดูกได้มากกว่า Vitamin K1 ถึง 3 เท่า มีส่วนช่วยให้กระดูกแข็งแรงไม่เปราะบาง Vitamin K2 เป็นวิตามินที่พบในชีส ยีสต์ และอาหารหมักหรือ Fermented Food เช่น กิมจิ ถั่วหมัก เป็นต้น มีจุดเด่นที่ทำหน้าที่กระตุ้นการสร้าง Osteocalcin (ออสทิโอแคลซิน) ให้เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า เมื่อเทียบกับ Vitamin K1 โดย Osteocalcin เป็นโปรตีนที่อยู่ในกระดูกช่วยสร้างความแข็งแรงให้กระดูก และมีหน้าที่ในการจับแคลเซียม เพื่อนำพาไปเข้าสู่กระดูกได้ดีขึ้น จึงทำให้กระดูกแข็งแรง ไม่เปราะบาง7

ช่วง 5 ขวบปีแรกของชีวิตเป็นช่วงเวลาสำคัญ ที่มีส่วนช่วยในเรื่องความสูงจึงไม่อยากให้คุณพ่อคุณแม่พลาดโอกาสการดูแลในเรื่องพัฒนาการการเจริญเติบโตให้กับลูกน้อย ลูกอาจจะไม่สูง ฉะนั้นหากอยากให้ลูกเป็นเด็กที่มีความสูงสมวัย ต้องดูแลทั้งเรื่องการออกกำลังกายสม่ำเสมอ โภชนาการสารอาหารต้องครบ 5 หมู่ และต้องนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอในทุกวันด้วยค่ะ แต่.. วิธีเพิ่มความสูง ให้ลูกที่ครบสูตร แนะนำให้คุณแม่เสริมด้วยผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มนม ที่มีส่วนประกอบของ Arginine ที่ช่วยเพิ่มการหลั่ง Growth Hormone ซึ่งมีผลต่อความสูงของลูก และ Vitamin K2 เสริมกระดูกให้แข็งแรงยิ่งขึ้นค่ะ

คุณพ่อคุณแม่ที่สนใจผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มนม ที่มีส่วนประกอบของ Arginine และ Vitamin K2 สามารถรับตัวอย่างขนาดทดลอง ฟรี ! คลิก https://bit.ly/3Qd5xkV

*ควรกินอาหารหลากหลายครบ 5 หมู่ในสัดส่วนที่เหมาะสมเป็นประจำ

 

 

References:
1 Developed by (2000). the National Center for Health Statistics in collaboration with the National Center for
Chronic Disease Prevention and Health Promotion http://www.cdc.gov/growthcharts
2 Kuczmarski, R. J. et al.,(2002). Vital Health Stat 11(246): 1-190. 30. Adapted from: Rosello-Diez, et al. 2015.
3 http://www.wongkarnpat.com/viewya.php?id=2052
4 clmjournal.org/_fileupload/journal/162-4-7.pdf
5 Van Vught AJ et al. Br J Nutr (2013), 109, 1031-1039.
6 Jiang MY, Cai DP. Neurosci Bull 2011;27:156-162.
7 Schurger LJ, et al.Blodd. 2007;109(8):3279-83.
Anemia

Anemia ภาวะซีดในเด็ก ลูกโลหิตจางเพราะขาดธาตุเหล็ก รู้เร็วรักษาได้!

Alternative Textaccount_circle
event
Anemia
Anemia

Anemia หรือ Iron-Deficiency Anemia คือ โรคโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก ซึ่งเป็นหนึ่งปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของเด็กเล็กในปัจจุบัน ปัญหานี้อาจส่งผลต่อพัฒนาการ พฤติกรรม และสุขภาพโดยรวมระยะยาวของเด็ก เพื่อให้เด็กมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น การป้องกันจึงเป็นสิ่งสำคัญ ในบทความนี้เราจะนำเสนอเกี่ยวกับ สาเหตุ และอาการภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กในเด็ก การป้องกันภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก ตลอดจนแนวทางในการเสริมธาตุเหล็กในวัยเด็กค่ะ

Anemia ภาวะซีดในเด็ก ลูกโลหิตจางเพราะขาดธาตุเหล็ก รู้เร็วรักษาได้!

ภาวะซีดในเด็ก โลหิตจางในเด็ก เพราะขาดธาตุเหล็ก คืออะไร?

โลหิตจาง เป็นปัญหาสุขภาพที่พบบ่อยในเด็ก สาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุดของโรคโลหิตจาง คือ การได้รับธาตุเหล็กในปริมาณที่ไม่เพียงพอ เด็กที่เป็นโรคโลหิตจางจะมีเซลล์เม็ดเลือดแดงต่ำหรือมีระดับค่าของฮีโมโกลบินในเลือดต่ำ ซึ่งเฮโมโกลบินเป็นโปรตีนที่ช่วยให้เซลล์เม็ดเลือดแดงสามารถลำเลียงออกซิเจนไปยังเซลล์อื่นๆ ในร่างกายได้เป็นปกติ อวัยวะทุกอย่างตั้งแต่สมอง หัวใจ ไปจนถึงกล้ามเนื้ออาจไม่ได้รับออกซิเจนเพียงพอสำหรับการทำงานอย่างสมบูรณ์

โลหิตจางมักเป็นอาการของโรคมากกว่าตัวโรคเอง ในบางกรณีโรคโลหิตจางเกิดขึ้นได้ชั่วคราวและเกิดจากการ ขาดสารอาหาร หรือ การเสียเลือด ส่วนสาเหตุอื่นๆ อาจเป็นผลมาจากภาวะเรื้อรังหรือโรคที่สืบทอดมาซึ่งรวมถึงความผิดปกติทางพันธุกรรม ปัญหาภูมิต้านตนเอง มะเร็ง และโรคอื่นๆ  แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับในประเทศไทย โลหิตจางในเด็กส่วนใหญ่จะเกิดจากกรณีของการขาดธาตุเหล็กค่ะ

ภาวะซีด

สาเหตุของ Anemia โลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กในเด็ก

ทารกและเด็ก ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการขาดธาตุเหล็ก ได้แก่ :

  • คลอดก่อนกำหนด หรือน้ำหนักแรกเกิดน้อย
  • เสียเลือด
  • ดื่มนมวัวหรือนมแพะก่อนอายุ 1 ขวบ
  • เด็กนมแม่ที่ไม่ได้รับอาหารเสริมที่มีธาตุเหล็กหลังอายุ 6 เดือน
  • ดื่มนมสูตรที่ไม่เสริมธาตุเหล็ก
  • อายุ 1 ถึง 5 ปีที่ดื่มนมวัว นมแพะ หรือนมถั่วเหลืองมากกว่า 24 ออนซ์ (710 มิลลิลิตร) ต่อวัน
  • มีปัญหาสุขภาพบางอย่าง เช่น การติดเชื้อเรื้อรังหรือการจำกัดอาหาร
  • ได้รับสารตะกั่วในปริมาณที่เป็นอันตราย
  • กินอาหารที่มีธาตุเหล็กไม่เพียงพอ สามารถนำไปสู่การขาดธาตุเหล็กได้
  • น้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน
  • เด็กหญิงวัยรุ่นมีความเสี่ยงสูงที่จะขาดธาตุเหล็กเพราะร่างกายของพวกเขาสูญเสียธาตุเหล็กในช่วงมีประจำเดือน

อาการ และอาการแสดงของ Anemia ภาวะซีด จากการขาดธาตุเหล็กในเด็ก

ลักษณะ อาการ (Symptoms) และ อาการแสดง (Signs) ของภาวะขาดธาตุเหล็กในเด็ก ส่วนใหญ่จะไม่ปรากฏให้เห็นจนกว่าเด็กจะเกิดภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก

โดยสัญญาณ และอาการของเด็กที่เป็นโรคโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก มีดังต่อไปนี้

  • สีผิวซีด หน้าซีด เมื่อระดับฮีโมโกลบินลดลง
  • เหนื่อยง่าย
  • มือเท้าเย็น
  • มีการเติบโตและพัฒนาการที่ช้าลง
  • เบื่ออาหาร
  • หายใจเร็วผิดปกติ
  • มีปัญหาด้านพฤติกรรม
  • ติดเชื้อบ่อย
  • ความต้องการที่ผิดปกติในสิ่งที่ไม่ให้คุณค่าทางโภชนาการ เช่น น้ำแข็ง สิ่งสกปรก สี หรือแป้ง

อ่านต่อ….Anemia ภาวะซีด ในเด็ก ลูกโลหิตจางเพราะขาดธาตุเหล็ก รู้เร็วรักษาได้! ได้ที่หน้า 2

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

keyboard_arrow_up