พ่อแม่สำรวจตัวเองด่วน เป็นพ่อแม่สำเร็จรูป…สาเหตุลูกพัฒนาการช้า

event

ลูกพัฒนาการช้า …อาจไม่ใช่เพราะปัญหาสุขภาพของลูก แต่อาจมาจากการเลี้ยงดูของพ่อแม่ เพราะพ่อแม่ที่รักและดูแลลูกมากเกินพอดี จะส่งผลต่อพัฒนาการของลูกเป็นอย่างมาก อย่างเช่นพ่อแม่ที่คอยประคบประหงมปกป้องลูกมากเกินไป ไม่ยอมให้ลูกได้ลองทำอะไรด้วยตัวเอง ทำให้ลูกกลายเป็นคนอ่อนแอ ต้องคอยพึ่งพาคนอื่น ขาดความเคารพตัวเอง ไม่มั่นใจในตัวเอง

 

 พัฒนาการช้า ในที่นี้ อาจจะไม่ได้หมายถึงการเริ่มเดินหรือพูดช้าอย่างเดียว แต่รวมไปถึงทักษะการเรียนรู้และความสามารถในการรับรู้ของประสาททั้ง 5 ของเด็กอีกด้วย การมองเห็น การได้ยิน การรับรส การรับกลิ่น และการรับสัมผัส คือความสามารถในการรับรู้ของประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของลูกน้อย แสดงถึงการรับรู้ต่อสิ่งแวดล้อมที่มากระทบ และมีปฏิสัมพันธ์โต้ตอบกับสิ่งรอบตัว ซึ่งส่งผลต่อการเรียนรู้ และพัฒนาการของลูก หากลูกมีพัฒนาการที่ล่าช้า ก็จะส่งผลต่อการใช้ชีวิตของลูกในอนาคต จึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่คุณพ่อ คุณแม่ต้องสังเกต

Must readพัฒนาการช้า เรื่องสำคัญที่พ่อแม่ต้องสังเกตลูก

” ลูกพัฒนาการช้า ” เพราะพ่อแม่สำเร็จรูป?

ลูกพัฒนาการช้า

พ่อแม่สำเร็จรูป หรือพ่อแม่ในประเภทรักมากและปกป้องมากเกินไป คือการให้ความรักแก่ลูกมากมาย ทะนุถนอมมากเกินไปปฏิบัติดูแลลูกเหมือนเป็นเด็กเล็กๆทั้งๆที่ลูกก็โตแล้ว พ่อแม่ก็ยังประคบประหงมเหมือนไข่ในหินไม่ยอมให้ห่างสายตา ไม่ยอมให้ทำอะไรเลยเพราะกลัวจะเป็นอันตราย ลูกไม่ต้องคิดหรือตัดสินใจทำอะไรเลย พ่อแม่จะเป็นคนจัดการให้หมด การเลี้ยงดูลูกแบบนี้ ทำให้ทักษะในการช่วยเหลือตัวเองช้า การที่จะพัฒนาไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีความมั่นใจในตัวเองมีน้อยมาก เพราะไม่เคยตัดสินใจอะไรด้วยตัวเองเลย ทำให้เป็นผู้ใหญ่ที่มีลักษณะเหมือนเด็กคือเลี้ยงเท่าไรก็ไม่รู้จักโต

Must readพ่อแม่รังแกฉัน ตามใจลูกจนลูกกลายเป็นคนใจร้าย
Must readเลี้ยงลูกแบบโอเว่อร์ ระวังลูกด้อยพัฒนา เสียสุขภาพจิต!

ซึ่งในกรณีนี้ คุณ หมอไปป์_แฮปปี้คิดส์ จากเพจ ชมรมจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นแห่งประเทศไทย ได้อธิบายยกตัวอย่างพ่อแม่สำเร็จรูป พร้อมให้คำแนะนำไว้ว่า

  • เด็กหลายๆคน พูดช้า สาเหตุมาจาก พ่อแม่กระตุ้นการพูดของลูกน้อยเกินไปโดยไม่ตั้งใจ คือการเลี้ยงดูแบบสำเร็จรูป ตามความเคยชิน รู้ใจลูกมากเกินไป เช่น เมื่อลูกบอกความต้องการอะไรบางอย่าง แทนที่จะให้ลูกพูด กลายเป็นลูกอาจจะชี้ หรือส่งเสียงไม่เป็นภาษาออกมาให้พ่อแม่รู้ ซึ่งด้วยความเคยชินพ่อแม่ก็จะทราบว่าลูกต้องการอะไรและทำให้ตามความต้องการของลูกทันที นั้นทำให้สมองของเด็กไม่ทันได้ผ่านกระบวนการคิด นึกคำ และเปล่งเสียง ทำให้กลายเป็นเด็กพูดช้า

สิ่งที่ควรทำคือ คุณพ่อคุณแม่ลองแกล้งไม่รู้บ้าง ชะลอให้เด็กลองพยายามพูดดูก่อน ถ้าลูกยังเรียกชื่อสิ่งนั้นไม่ถูก เราก็เอาวัตถุนั้นมาใกล้ๆ ปาก แล้วพูดชื่อสิ่งนั้นคำโตๆ เพื่อเด็กจะได้ดูวิธีการพูด ห่อลิ้นหรือขยับริมฝีปาก แล้วให้เด็กลองพูดตาม ชมหรือปรบมือเมื่อลูกพูดตามได้

  • สำหรับเด็กที่ยังเดินไม่ได้ก็เป็นเพราะพ่อแม่เตรียมความพร้อม โดยมีพี่เลี้ยง 2 คนผลัดกันอุ้ม จนแทบไม่ได้เดิน กล้ามเนื้อมัดใหญ่ การเคลื่อนไหว และการทรงตัวจะพัฒนาได้อย่างไร
  • เมื่อเด็กโตขึ้นมาหน่อย พ่อแม่สำเร็จรูปมักเตรียมความพร้อมเรื่องกิจวัตรส่วนตัวให้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง เช่นเตรียมเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย ประจำวันวางไว้ที่เตียง รอแค่ลูกหยิบมาใส่ เตรียมอุปกรณ์การเรียน จัดตารางเรียนให้ ลูกแค่หยิบกระเป๋าขึ้นรถ เตรียมอาหารพร้อมรับประทานไว้ที่โต๊ะ ลูกแค่มานั่งและตักอาหารเข้าปาก สิ่งเหล่านี้จะมีผลทำให้ลูกขาดกระบวนการคิด การวางแผน อาจกลายเป็นคนที่ขาดความกระตือรือร้น ขาดระเบียบวินัย กลายเป็นเด็กพัฒนาการช้า
Must readภัยจากทีวี อย่าปล่อยให้ลูกน้อยเป็นเด็กสมาธิสั้น และออทิสติก
  • หรือเด็กที่อยู่ในวัยเรียนบางคน เขียนหนังสือช้าทั้งที่ตั้งใจเมื่อถามเรื่องการเลี้ยงดูที่บ้าน พ่อแม่ยังป้อนข้าว ติดกระดุมเสื้อ ผูกเชือกรองเท้าให้ลูก ให้เล่นแต่ tablet ทำให้ขาดการกระตุ้นกล้ามเนื้อมัดเล็ก การประสานงานระหว่างตากับมือ จึงทำให้เขียนหนังสือช้า

สิ่งสำคัญคือ คุณพ่อคุณแม่ควรพยายามดึงจุดเด่นของเด็กออกมา และช่วยเหลือพัฒนาจุดด้อยของเด็กให้ดีขึ้น ไม่ควรช่วยเหลือหรือยัดเยียดในสิ่งที่เด็กไม่ต้องการหรือไม่ชอบ พ่อแม่ควรช่วยลูกให้ถูกวิธีไม่ใช่บงการ เด็กควรจะได้เรียนรู้ในสิ่งที่เด็กสนใจ ไม่ใช่เรียนรู้ตามความต้องการของผู้เลี้ยงดู

อ่านต่อ >> สิ่งที่พ่อแม่ควรทำเพื่อส่งเสริมพัฒนาการลูก” คลิกหน้า 2

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

ยา อะม็อกซี่ รักษาหวัดได้ไหม ลูกเป็นหวัดควรกินยาอะไร

Alternative Textaccount_circle
event

ยา อะม็อกซี่ รักษาหวัดได้ไหม ลูกเป็นหวัดควรกินยาอะไร

เวลาเป็นหวัดนอกจากพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมาก ๆ แล้ว การรักษาด้วยยาตามอาการก็นับเป็นสิ่งจำเป็น มียาอยู่ตัวหนึ่งที่หลาย ๆ มักซื้อมากินเวลาเป็นหวัด คือ ยา Amoxicillin หรือ ยา อะม็อกซี่ จริง ๆ แล้วยานี้ช่วยรักษาหวัดได้ไหม แล้วถ้าเป็นหวัด เราควรกินยาอะไรเพื่อรักษาอาการบ้าง มาดูกันค่ะ

ไข้หวัด

สาเหตุส่วนใหญ่ของการเป็นหวัดเกิดจากร่างกายได้รับเชื้อไวรัสก่อโรค ร่วมกับสภาวะที่ภูมิคุ้มกันของร่างกายลดลง เช่น เครียด พักผ่อนไม่เพียงพอ เวลาเป็นหวัด จะหมายถึงคนที่มีอาการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่วนบน แบ่งอาการตามอวัยวะที่เกี่ยวข้อง เช่น

  • ในจมูก จะมีน้ำมูก คัดจมูก แสบจมูก จาม
  • ในคอ จะมีเจ็บคอ คันคอ ระคายคอ ไอ คอแดง ต่อมทอนซิลโต แดงเป็นหนอง
  • ในหลอดลมส่วนต้น มีเสมหะ เสียงแหบ เสียงเปลี่ยน

โดยอาจมีอาการร่วมอื่น ๆ  เช่น

  • ไข้
  • ปวดเมื่อย
  • ครั่นเนื้อครั่นตัว
  • คลื่นไส้
  • ปวดหัว
  • มึนหัว
  • ปวดตัว
  • เบื่ออาหาร
  • ท้องเสีย

ยารักษาหวัด

ยาที่ใช้เมื่อเป็นหวัดจะเป็นยาที่ใช้เพื่อรักษาตามอาการเนื่องจากไม่มีการใช้ยาที่ออกฤทธิ์ต่อเชื้อไวรัสก่อโรคโดยตรง ยาที่นิยมใช้ทั่วไปเมื่อเป็นหวัดมีดังนี้

ยาลดไข้  เช่น paracetamol สำหรับผู้ใหญ่ รับประทานยาขนาด 500 mg ต่อเม็ด จำนวน 1-2 เม็ด  สำหรับเด็กจะต้องมีการปรับขนาดยาตามน้ำหนักตัว ดังนั้นควรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากแพทย์หรือเภสัชกร

ยาอีกกลุ่มที่ใช้ลดไข้ คือ ยากลุ่มต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (Non-Steroidal Anti Inflammatory Drugs:-NSAIDs) ได้แก่ แอสไพริน (aspirin), ibuprofen ซึ่งการใช้ยาในกลุ่มหลังนี้ให้ผลในการลดไข้ได้อย่างรวดเร็ว แต่แนะนำไม่ให้ใช้แอสไพรินในผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี

ยาลดน้ำมูกแก้คัดจมูก แบ่ง ได้เป็น 2 กลุ่ม คือ

  • ยาแก้คัดจมูก ออกฤทธิ์โดยการหดหลอดเลือด ทำให้อาการคัดจมูกลดลง
  • ยาลดน้ำมูก ออกฤทธิ์โดยการยับยั้งผลของฮีสตามีน (histamine) มีผลทำให้การหลั่งน้ำมูกลดลง แต่จะได้ผลน้อยกับอาการคัดจมูก แบ่งย่อย เป็น 2 กลุ่มคือ
    • กลุ่มที่ทำให้เกิดอาการง่วงซึม
    • กลุ่มที่ไม่ทำให้เกิดอาการง่วงซึม
ยาอะม็อกซี่
ยา อะม็อกซี่ รักษาหวัดได้ไหม ลูกเป็นหวัดควรกินยาอะไร

ยาบรรเทาอาการไอ แบ่ง ได้เป็น 2 กลุ่มเช่นกัน คือ

  • ยาสำหรับอาการไอมีเสมหะ
  • ยาสำหรับอาการไอที่ไม่มีเสมหะ หรือ ไอแห้ง

หากรักษาสุขภาพไม่ดีอาจติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำได้ ซึ่งจะมีอาการ ได้แก่ เจ็บคอ น้ำมูกข้นและมีสีเขียวเหลือง ในกรณีนี้ อาจจำเป็นต้องได้รับยาปฏิชีวนะ หรือที่มักถูกเรียกจนติดปากอย่างผิด ๆ ว่า “ยาแก้อักเสบ”

ยาปฏิชีวนะที่นิยมใช้ได้แก่

  • ยากลุ่มแพนิซิลิน (penicillins) ได้แก่ amoxicillin รับประทานหลังอาหารได้
  • ยากลุ่มแมคโครไลด์ (macrolides) ได้แก่ erythromycin, roxithromycin ต้องรับประทานก่อนอาหาร ยกเว้น erythromycin estolate และ erythromycin ethylsuccinate ที่มีการดัดแปลงโครงสร้างของยาแล้ว ทำให้สามารถรับประทานหลังอาหารได้

ยา อะม็อกซี่ Amoxicillin รักษาไข้หวัดไม่ได้

ยา Amoxicillin ไม่ได้ช่วยให้อาการไข้หวัดดีขึ้นหรือหายเร็วขึ้น เนื่องจาก Amoxicillin เป็นยาปฏิชีวนะในกลุ่มเพนิซิลลิน (Penicillins) ที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียเท่านั้น ในขณะที่ไข้หวัดรวมถึงไข้หวัดใหญ่ มักมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อไวรัส ทำให้ Amoxicillin ใช้ไม่ได้ผลในการรักษาหรือบรรเทาอาการต่าง ๆ จากหวัด ทั้งไอ จาม น้ำมูกไหล หรือมีไข้ต่ำก็ตาม

ยกเว้นในกรณีที่ไข้หวัดก่อให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียในภายหลัง อย่างไซนัสอักเสบจากแบคทีเรีย

แล้ว Amoxicillin ใช้รักษาอะไร  

Amoxicillin นั้น ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย จึงนำมาใช้รักษาปัญหาสุขภาพที่มีต้นเหตุมาจากเชื้อแบคทีเรีย อาทิ ทอนซิลอักเสบติดเชื้อจากแบคทีเรีย คออักเสบจากแบคทีเรีย หลอดลมอักเสบจากแบคทีเรีย ปอดอักเสบ หรือปอดบวมจากแบคทีเรีย การติดเชื้อแบคทีเรียในหู จมูก คอ ผิวหนัง หรือระบบทางเดินปัสสาวะ

ทำไมไม่ควรใช้ Amoxicillin รักษาไข้หวัด

1. ประสิทธิภาพของยาลดลงและเชื้อดื้อยา

การใช้ยา Amoxicillin โดยไม่จำเป็นบ่อยครั้งอาจส่งผลให้ตัวยามีประสิทธิภาพลดลงจนอาจใช้ไม่ได้ผล เนื่องจากเชื้อแบคทีเรียในร่างกายจะพัฒนาตัวเองให้ทนทานต่อยาได้มากขึ้นห ผู้ป่วยจึงต้องใช้ยาในปริมาณมากขึ้น หรือต้องใช้ยาปฏิชีวนะตัวอื่นที่มีฤทธิ์แรงขึ้น

2. เสี่ยงต่อการผลข้างเคียง

นอกจากผลข้างเคียง เช่น เวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย แล้ว ยังมีโอกาสเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงที่ควรไปพบแพทย์ทันทีด้วย เช่น แพ้ยา หายใจลำบาก ปวดท้องอย่างรุนแรง ท้องเสียเป็นน้ำหรือปนเลือด คลื่นไส้หรืออาเจียนไม่หยุด เพราะเหตุนี้ผู้ป่วยจึงควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนการรับประทานยาปฏิชีวนะ เพื่อลดความเสี่ยงของเชื้อดื้อยาและผลข้างเคียงก็จะลดลงด้วย

 

ขอบคุณข้อมูลจาก

คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล, pobpad,คลังยามีนบุรี, โรงพยาบาลกรุงเทพ

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ a ระบาดหมอชี้มีโอกาสติดเชื้อพร้อมโควิด

พ่อแม่ต้องทำอย่างไร เมื่อลูก ติดไข้หวัดใหญ่จากโรงเรียน

แยกให้ออก ภูมิแพ้ ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่กับโควิด -19 อาการ ต่างกันยังไง?

แป้งเด็ก

“แป้งเด็ก” เลือกยังไง ให้ปลอดภัยไม่ระคายเคืองผิวลูก

Alternative Textaccount_circle
event
แป้งเด็ก
แป้งเด็ก

อย่างที่รู้กันว่าผิวเด็กแรกเกิดบอบบางและแพ้ง่ายมากเป็นพิเศษ ฉะนั้นว่าที่คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ควรต้องใส่ใจกับผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับผิวลูกน้อย โดยเฉพาะการเลือกใช้ “แป้งเด็ก” ต้องมั่นใจว่าอ่อนโยน ปลอดภัยกับผิวลูกน้อยอย่างแท้จริง กองบรรณาธิการ Amarin Baby & Kids มีเคล็ดลับในการเลือกใช้ “แป้งเด็ก” ที่เป็นหนึ่งในไอเทมสำคัญใช้ดูแลถนอมผิวลูกน้อยให้สบายตัวมาฝากค่ะ

การใช้แป้งเด็กกับผิวลูกน้อยคุณพ่อคุณแม่ต้องเลือกที่อ่อนโยนกับผิวให้มากที่สุด เพราะไม่เช่นนั้นอาจก่อให้เกิดการระคายเคือง ทำให้ผิวแพ้อักเสบขึ้นมาได้ค่ะ สิ่งสำคัญก่อนเลือกซื้อแป้งเด็กมาใช้กับผิวลูก จะต้องดูข้อมูลส่วนประกอบอย่างละเอียด

  • ฝุ่นแป้งต้องไม่ฟุ้งกระจายขณะทาลงบนผิวลูก
  • ต้องมีความเป็นธรรมชาติ ออร์แกนิค 100% เพราะจะไม่ทำร้ายผิวให้ระคายเคือง เนื้อแป้งเมื่อทาที่ผิวแล้วต้องให้ความรู้สึกสบายผิว โดยเฉพาะผิวบริเวณข้อพับต่าง ๆ และผิวก้น ซึ่งเป็นผิวที่ต้องเสียดสีกับผ้าอ้อมเกือบตลอด 24 ชั่วโมง ช่วยป้องกันการเกิดผื่นผ้าอ้อม

ดีนี่ แป้งเด็ก 100% ออร์แกนิค ซากุระ

ดีนี่ แป้งเด็ก 100% ออร์แกนิค ซากุระ

ถนอมผิวลูกน้อยเนียนนุ่ม สบายผิวตลอดวัน 

และนี่คือแป้งเด็กที่ครอบครัวส่วนใหญ่ให้ความไว้วางใจเลือกใช้ และแนะนำบอกต่อให้กันมากที่สุด สำหรับใช้ถนอมผิวลูกน้อยให้แห้งสบาย เนียนนุ่มตลอดวัน กับ “ดีนี่ แป้งเด็ก 100% ออร์แกนิค ซากุระ” ขอบอกว่าสูตรนี้เป็นสูตรใหม่!! ด้วยนะคะ ที่มีความบริสุทธิ์จากธรรมชาติ และครั้งแรกตอนที่เห็นสีกระป๋องป้งก็น่ารัก น่าใช้ มีความละมุนให้ความรู้สึกสบายอ่อนโยน ความพิเศษก็คือปรับสูตรใหม่ ออร์แกนิค 100% จากอาร์แกนออยล์ เนื้อแป้งเนียนละเอียดไม่ฟุ้งกระจาย ปราศจากสีและแร่ใยหิน คุณพ่อคุณแม่สบายใจได้เลยว่าทาแป้งลงบนผิว ข้อพับต่าง ๆ ฝุ่นแป้งจะไม่ฟุ้งเข้าระบบทางเดินหายใจ และไฮไลท์ของคุณสมบัติที่ไม่เหมือนใครอยู่ที่สารสกัดจากธรรมชาติ บอกเลยว่าดีกับสุขภาพผิวลูกสุด ๆ ค่ะ

  1. เป็นสูตร 100% Organic จาก Argan oil ช่วยบำรุงผิวให้นุ่มชุ่มชื้นเป็นพิเศษ
  2. มีสารสกัดจากดอกซากุระ ที่จะช่วยบำรุงและเพิ่มความนุ่มนวลให้กับผิว ป้องกันไม่ให้ผิวลูกแห้งและสูญเสียความชื้นบนผิวไป
  3. มีส่วนของน้ำแร่ และสารสกัดจากธรรมชาติอะลันโทอิน (Allantoin) ช่วยลดฟุ้งกระจาย ลดการระคายเคืองผิว ปกป้องการเกิดผดผื่นให้กับผิวบอบบางของลูกน้อย
  4. มีกลิ่นหอมซากุระ เป็นกลิ่นน่ารักอ่อนโยนจากธรรมชาติ เมื่อทาผิวจะมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ติดทนตลอดวัน
  5. ผ่านการทดสอบ Hypoallergenic Tested มีความอ่อนโยน ไม่ระคายเคืองต่อผิวบอบบางของเด็กทารก

 

แป้งเด็ก

คุณพ่อคุณแม่มาทำให้ลูกน้อยมีผิวสุขภาพดี หมดปัญหาการแพ้ระคายเคือง ด้วยการใช้ ดีนี่ แป้งเด็ก 100% ออร์แกนิค ซากุระ กันค่ะ ใช้ได้ตั้งแต่แรกเกิด สามารถหาซื้อได้ที่ห้างสรรพสินค้า และร้านค้าชั้นนำทั่วประเทศ  ได้แก่ Lotus’s , Big C , Tops Market , Gourmet market , CJ Express , Lazada , Shopee , JD Central และ ALL ONLINE by 7-11

#ดีนี่ที่แม่นับล้านวางใจ

ไอกรน

หมอเตือน ลูกไอบ่อยอันตราย เสี่ยงเป็น ไอกรน

Alternative Textaccount_circle
event
ไอกรน
ไอกรน

หมอเตือน ลูกไอบ่อย อันตรายเสี่ยงเป็น ไอกรน

ไอ คือ อาการที่ร่างกายพยายามกำจัดสิ่งที่กีดขวางระบบทางเดินหายใจ เช่น มูก เสมหะ หรือสิ่งต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดการระคายเคืองภายในลำคอ เช่น ละอองฝุ่น หรือควัน เพื่อป้องกันไม่ให้สิ่งแปลกปลอมเข้าไปในปอด อาการไอนับเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้กับเด็กทุกคน แต่หากลูกไอบ่อย ๆ อาจไม่ใช่อาการไอธรรมดา เพราะลูกของเราอาจกำลังเป็น ไอกรน ค่ะ

อาการไอโดยทั่วไป

อาการไอแบ่งได้ 2 แบบ

  • ไอแห้ง เป็นอาการไอจากอาการคันและระคายเคืองภายในลำคอ โดยไม่มีเสมหะหรือมูกหนาเกิดขึ้น
  • ไอแบบมีเสมหะ เป็นอาการไอพร้อมกับมีเสมหะภายในลำคอ ซึ่งร่างกายสร้างขึ้นเพื่อช่วยกำจัดสารหรือสิ่งสกปรกที่ติดค้างภายในลำคอ

สาเหตุของการไอ

  • การรับสารที่ทำให้เกิดการระคายเคืองหรือสารก่อภูมิแพ้เข้าสู่ร่างกาย
    สารก่อความระคายเคือง เช่น ฝุ่น ควัน มลภาวะในอากาศ ขนสัตว์ เชื้อรา ละอองเกสร ไอระเหยจากสี น้ำหอม ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีกลิ่นฟุ้ง การสูบบุหรี่ หรือการหายใจสูดเอาควันบุหรี่ที่ผู้อื่นสูบเข้าไปในปอด
  • การใช้ยาบางชนิด
    ยารักษาบางโรคบางอาการอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงเป็นการไอได้ เช่น กลุ่มยาต้านเอซีอี อินฮิบิเตอร์  (ACE Inhibitors) เป็นยาลดความดันโลหิตและช่วยการทำงานของหัวใจ ใช้รักษาผู้ป่วยความดันโลหิตสูงและภาวะอาการที่เกี่ยวกับหัวใจ และกลุ่มยาปิดกั้นเบต้า (Beta Blockers) ที่ทำให้ชีพจรเต้นช้าลงทำให้ความดันโลหิตลดต่ำลง ใช้รักษาผู้ป่วยความดันโลหิตสูง หลอดเลือดหัวใจตีบ หัวใจเต้นผิดจังหวะ และมีผลข้างเคียงทำให้หลอดลมตีบแคบลง ส่งผลให้เกิดอาการไอได้ อาการจะหมดไปด้วยเมื่อผู้ป่วยหยุดการใช้ยา
  • โรคและภาวะอาการป่วย
    ปัญหาสุขภาพสามารถทำให้เกิดการไออย่างเฉียบพลัน กึ่งเฉียบพลัน หรืออย่างเรื้อรังได้ ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายและความรุนแรงของโรค

โรคที่มักเป็นสาเหตุของอาการไออย่างเฉียบพลัน คือ โรคที่เกี่ยวข้องกับการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ เช่น หวัด ไข้หวัดใหญ่ ปอดบวม หากไม่มีอาการป่วยหรือภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง จะฟื้นตัวและหายจากอาการไอภายในเวลาประมาณ 3 สัปดาห์

ส่วนอาการไอที่เกิดขึ้นกึ่งเฉียบพลัน คือ โรคที่เกี่ยวข้องกับการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจเช่นเดียวกัน แต่ฟื้นตัวช้า หรือมีการติดเชื้อที่รุนแรงกว่าอาการไอแบบเฉียบพลัน เช่น โรคหวัด ซึ่งอาการจะทุเลาลงและฟื้นตัวภายใน 3-8 สัปดาห์ และอาการไอเรื้อรังที่มีอาการยาวนาน ติดต่อกันเกินกว่า 8 สัปดาห์ เกิดจากการอักเสบและติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ เช่น โรคหอบหืด โรคภูมิแพ้ ไซนัสอักเสบ ถุงลมโป่งพอง หลอดลมอักเสบเรื้อรัง ปอดอุดกั้นเรื้อรัง กรดไหลย้อน มะเร็งปอด หรือน้ำท่วมปอด เนื่องมาจากหัวใจล้มเหลว

ไอกรน
หมอเตือน ลูกไอบ่อยอันตราย เสี่ยงเป็นไอกรน

ไอกรน มีสาเหตุจากอะไร

พญ.นวลนภา อนันตสิทธิ์ กุมารแพทย์เฉพาะทางโรคภูมิแพ้ และภูมิคุ้มกัน ศูนย์แม่และเด็ก โรงพยาบาลหัวเฉียว กล่าวไว้ว่า โรคไอกรนเป็นโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ มีสาเหตุมาจากเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งชื่อว่า Bordetella pertussis เป็นโรคที่ติดต่อกันได้ง่ายจากการไอ หรือจามรดกันโดยตรง

ส่วนใหญ่เด็กจะติดเชื้อมาจากคนในครอบครัว เกิดขึ้นได้ตั้งแต่ทารกแรกเกิดที่ยังไม่ได้รับภูมิคุ้มกัน หรือในคนที่ไม่ได้รับภูมิคุ้มกันมาก่อน ในวัยผู้ใหญ่เมื่อติดเชื้อนี้แล้วอาจไม่มีอาการ แต่สามารถแพร่เชื้อไปให้ผู้อื่นได้

ลักษณะเฉพาะของ ไอกรน

ลักษณะเฉพาะของโรคไอกรน คือ

  • ไอซ้อนติดกัน 5 – 10 ครั้ง
  • ในเด็กอาจไอจนหายใจไม่ทัน หรือไอจนหยุดหายใจได้
  • นอกจากนี้จะมีอาการหายใจเข้าลึก ๆ เป็นเสียง วู๊ป (Whooping cough) สลับกับไอเป็นชุด ๆ
  • บางครั้งอาการไออาจเรื้อรังเป็นระยะเวลานาน 2 – 3 เดือน

โรคนี้จะมีอันตรายและอัตราตายสูงในเด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กอายุน้อยกว่า 1 ปี หรือเด็กที่ยังไม่มีภูมิคุ้มกัน จึงมีความสำคัญต้องพาเด็กไปรับวัคซีนตั้งแต่อายุ 2 เดือน ซึ่งวัคซีนไอกรนจะรวมอยู่กับวัคซีนคอ ตีบ และบาดทะยัก

โรคแทรกซ้อน

1.  โรคแทรกซ้อนทางระบบทางเดินหายใจ ที่พบบ่อย คือ ปอดอักเสบซึ่งเป็นสาเหตุของการตายที่สำคัญของโรคไอกรนในเด็กเล็กโรคในปอดที่อาจพบได้อีกจะเกิดจากการมีเสมหะเหนียวไปอุดในหลอดลมและถุงลม ทำให้เกิด atelectasis

2.  จากการไอมากๆทำให้มีเลือดออกในเยื่อบุตา

3.  ระบบประสาทอาจมีอาการชัก พบบ่อยในเด็กเล็ก เนื่องจากขาดเลือดไปเลี้ยงสมองในขณะที่ไอถี่ๆและอาการชักอาจเกิดจากมีเลือดออกในสมอง

การรักษา

เนื่องจากเชื้อ B. pertussis จะมีอยู่ในลำคอของผู้ป่วยในช่วงระยะแรก ดังนั้นถ้าให้ยาปฎิชีวนะที่ได้ผลเฉพาะคือ erythromycin ในขนาด 50 มก./กก./วันเป็นระยะเวลา 14 วัน ในระยะนี้จะช่วยให้ความรุนแรงของโรคลดลงได้ แต่ถ้าพบผู้ป่วยระยะที่มีการไอเป็นชุด ๆ แล้วการให้ยาจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความรุนแรงของโรคได้ แต่จะสามารถฆ่าเชื้อโรคที่อาจจะยังมีอยู่ให้หมดไปได้ในระยะ 3-4 วันเป็นการลดการแพร่กระจายของเชื้อได้

การรักษาตามอาการให้เด็กได้พักผ่อน ดื่มน้ำอุ่น อยู่ในห้องที่มีอากาศถ่ายเทได้ดี หลีกเลี่ยงสาเหตุที่จะทำให้เด็กไอมากขึ้น เช่น การออกแรง ฝุ่นละออง ควันไฟควันบุหรี่ อากาศที่ร้อนหรือเย็นจัดเกินไป

การป้องกันไอกรน

ป้องกันโรคไอกรน ด้วยการพาเด็กไปรับวัคซีนตามอายุ ดังนี้

  • ครั้งที่ 1 อายุ 2 เดือน
  • ครั้งที่ 2 อายุ 4 เดือน
  • ครั้งที่ 3 อายุ 6 เดือน
  • ครั้งที่ 4 อายุ 18 เดือน
  • ครั้งที่ 5 ฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น เมื่ออายุครบ 4 ปี

ขอบคุณข้อมูลจาก
สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย, pobpad

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

หมอแนะนำพ่อแม่!  4 วิธีดูแลลูกเป็นเบาหวาน

ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ a ระบาดหมอชี้มีโอกาสติดเชื้อพร้อมโควิด

7 อาการต้องสงสัย ลูกป่วยRSV ดูแลอย่างไรไม่ให้เป็น

bully ในโรงเรียน วิธีแจ้งครูของลูก

แนะวิธีคุยกับครู เมื่อลูกโดน bully แจ้งยังไงให้ยุติได้เร็ว

Alternative Textaccount_circle
event
bully ในโรงเรียน วิธีแจ้งครูของลูก
bully ในโรงเรียน วิธีแจ้งครูของลูก

bully ในเด็กเรื่องเครียดของเหยื่อ ทำอย่างไรให้ยุติการกลั่นแกล้งนี้ได้ มาส่องเคล็ดลับการคุยกับครูของลูกเรื่องลูกโดนแกล้ง คุยยังไงไม่เสียความรู้สึกยุติได้เร็ว

แนะวิธีคุยกับครู เมื่อลูกโดน bully แจ้งยังไงให้ยุติได้เร็ว!!

การกลั่นแกล้งกันในเด็ก การ bully ในโรงเรียน การที่ ลูกโดนแกล้ง นั้น คงเป็นเรื่องที่พ่อแม่ไม่อยากให้เกิดกับลูกเราอย่างแน่นอน แต่เราไม่สามารถไปบังคับคนอื่นได้ แม้ว่าเราอาจจะกำหนดปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ มาให้ลูกอย่างดีมากแค่ไหนก็ตาม การกลั่นแกล้ง การbully นั้นอาจจะมาจากสาเหตุใดก็ได้ หรือผู้ที่กลั่นแกล้งอาจเป็นใครก็ได้ ไม่จำเพาะเจาะจงว่าต้องเป็นเด็กด้วยกัน  เช่น การโดนครูล้อเลียนทำให้อับอาย การถูกครูเรียกด้วยฉายา หรือรุ่นพี่ที่โตกว่าชอบไถเงิน เป็นต้น

bully ในโรงเรียน เรื่องที่พ่อแม่ควรตระหนัก
bully ในโรงเรียน เรื่องที่พ่อแม่ควรตระหนัก

แนวทางในการับมือเมื่อลูกถูก bully !!

เมื่อเราผ่านขั้นตอนกระบวนการในการแน่ใจแล้วว่า ลูกเราตกเป็นเหยื่อของการ bully ลูกโดนแกล้ง สิ่งต่อไปที่พ่อแม่จะต้องทำ คือ การยุติการแกล้งนั้นให้เร็วที่สุด เพื่อไม่ให้ลูกรู้สึกทุกข์ทรมาน โดยการยุติความรู้สึกแย่ ๆ ที่ลูกได้รับนั้น เรามีแนวทางปฎิบัติของพ่อแม่ในการรับมือเบื้องต้น ดังนี้

นายแพทย์กมล แสงทองศรีกมล ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาการเด็ก โรงพยาบาลกรุงเทพ หนึ่งในผู้ร่วมบรรยายในการอบรมหัวข้อ “คำพูดสร้างสรรค์ สร้างสังคมน่าอยู่ ไม่บูลลี่ในเด็ก” ที่จัดโดยกรุงเทพดุสิตเวชการ (BDMS) เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับการโดนบูลลี่ของเด็กไทย ให้ความรู้แก่พ่อแม่ ผู้ปกครอง และครู สามารถเข้าใจปัญหาการกลั่นแกล้งในโรงเรียนได้อย่างชัดเจน และเข้าใจ ทำให้แก้ไขปัญหาได้ตรงจุดมากขึ้น โดยแนวทางในการดูแลเด็ก ดังนี้

1. พ่อแม่ทำความเข้าใจ “การบูลลี่” ให้จริงจัง

การทำความเข้าใจว่าการกลั่นแกล้งคืออะไร คือสิ่งสำคัญที่จะทำให้เราเข้าใจปัญหาของผู้กระทำ และผู้ถูกกระทำมากขึ้น แท้จริงแล้วการกลั่นแกล้ง คือนิสัยที่เรียนรู้ และเลียนแบบมาจากการเห็นหรือได้ยิน เช่น การพบเจอปัญหาคนในครอบครัวทะเลาะกัน หรือพบเจอคนในชุมชนด่าทอกันด้วยคำพูดหยาบคายทุกวัน จนมองว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องปกติ นอกจากนี้ผู้กระทำบางราย อาจจะเป็นบุคคลที่ขาดความมั่นใจในตนเอง รู้สึกอิจฉาริษยาผู้อื่น รวมถึงผู้กระทำบางรายอาจจะเคยเป็นผู้ถูกกระทำมาก่อน

2. สอนลูกให้กล้าแสดงความไม่พอใจต่อผู้กระทำ

หลายครั้งที่ปัญหาการกลั่นแกล้งเกิดขึ้นกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งมาอย่างยาวนาน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผู้ถูกกระทำไม่กล้าที่จะพูด หรือแสดงความไม่พอใจออกมา ทำให้ผู้กระทำไม่รับรู้ว่าผู้ถูกกระทำนั้นมีความรู้สึกอย่างไร จึงกระทำการกลั่นแกล้งซ้ำๆ เพราะมองว่าเป็นเรื่องที่สามารถทำได้ การแสดงออกหรือการพูดสื่อสารออกมาว่าผู้ถูกกระทำนั้นไม่พอใจ เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ผู้กระทำมีแนวโน้มที่จะกลั่นแกล้งลดน้อยลง หรือหยุดการกระทำนั้นๆ ลงได้  เนื่องจากผู้กระทำได้รับการตระหนักรู้ถึงความรู้สึกของผู้ถูกกระทำว่า “ไม่พอใจ” และรับรู้ว่าการกระทำของตนนั้นสร้างผลกระทบอย่างไรบ้าง

3. บอกลูกว่า ถ้าโดนแกล้งต้องบอกครูและพ่อแม่

ส่วนใหญ่แล้วปัญหาการกลั่นแกล้งในโรงเรียน เกิดจากผู้ถูกกระทำไม่ได้บอกเล่าเรื่องถูกกลั่นแกล้งให้พ่อแม่ ผู้ปกครอง หรือครูได้ทราบ จึงทำให้ปัญหาการกลั่นแกล้งยังคงเกิดขึ้น และไม่ได้รับการแก้ไขอย่างตรงจุด ดังนั้นเป็นสิ่งสำคัญมากที่ต้องสอนเด็ก และลูกหลานของคุณ “ไม่ให้เงียบ” หรือ “เพิกเฉย” ต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ให้กล้าที่จะบอกเล่าปัญหาของตนกับพ่อแม่ ผู้ปกครอง หรือครูที่โรงเรียน  เพราะปัญหาการถูกกลั่นแกล้งที่โรงเรียนต้องได้รับความร่วมมือจากทุกส่วนเพื่อหาวิธีการรับมือ และหาวิธีการแก้ไขปัญหาร่วมกัน

เด็กถูก bully ทำให้ส่งผลต่อผลการเรียน
เด็กถูก bully ทำให้ส่งผลต่อผลการเรียน

4. การกลั่นแกล้งเป็นเรื่องผิดกฎหมาย

รู้หรือไม่? ในบางสถานการณ์การกลั่นแกล้งเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย หากว่าผู้ถูกกระทำถูกกลั่นแกล้งทางร่างกายหรือทางเพศ ไม่ว่าจะเป็นการใช้คำพูดด่าทอเชื้อชาติหรือเพศสภาพ ใช้กำลัง และความรุนแรงรังแกผู้อื่น หรือแม้แต่การแชร์เรื่องส่วนตัวของผู้อื่นในอินเทอร์เน็ต ล้วนเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายทั้งสิ้น หากว่ามีการพบเจอการกลั่นแกล้งที่รุนแรงเช่นนี้ พ่อแม่ ผู้ปกครอง และครูสามารถรายงานเรื่องนี้ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อดำเนินการตามกฎหมายได้

5. พยายามให้ลูกเห็นคุณค่าในตนเอง อย่ามองว่าตัวเองเป็นปัญหา

การมีอัตลักษณ์ที่ต่างจากผู้อื่น เช่น เพศสภาพ เชื้อชาติ รูปร่างหน้าตา ที่ต่างจากผู้อื่นไม่ใช่ปัญหาของคนโดนแกล้งเลยแม้แต่น้อย แต่เป็นเพราะทัศนคติของผู้กระทำ หรือคนแกล้งที่มีต่อผู้อื่นต่างหาก ที่สำคัญคือการปรับเปลี่ยนทัศนคติ และมุมมองของตนเองก่อนเป็นอันดับแรก หากลูกของคุณเป็นผู้ถูกกระทำ จงสอนเขาว่า เขาไม่ได้ทำอะไรผิด และมันไม่ใช่ปัญหาของเขาเลยแม้แต่น้อย แต่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจากตัวผู้กระทำเองทั้งสิ้น

6. หาวิธีจัดการกับความเครียด

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า การถูกบูลลี่สามารถสร้างความเครียดให้แก้ลูก หรือืผู้ถูกกระทำเป็นอย่างมาก นอกจากการบอกเล่าปัญหาต่อผู้ที่ไว้ใจ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน พ่อแม่ หรือครูแล้ว ควรลองมองหากิจกรรมหรือสิ่งใหม่ๆ มาทำเพื่อช่วยลดความเครียด เช่น การออกกำลังกาย ดูหนัง ฟังเพลง หรือออกไปเที่ยว ลองชวนลูกออกไปทำกิจกรรมเหล่านั้น เพื่อจัดการกับความเครียดของตนเอง และทำให้สภาพจิตใจไม่หมกมุ่นต่อสิ่งที่เกิดขึ้น

7. อย่าแยกตัวออกมาอยู่คนเดียว

การอยู่คนเดียว ไม่สามารถแก้ปัญหา หรือทำให้จัดการกับการกลั่นแกล้งได้ อีกทั้งยังสามารถทำให้สถานการณ์แย่ลงไปเรื่อยๆ การอยู่คนเดียวเงียบๆ จะทำให้ลดความมั่นใจ และความภาคภูมิใจของผู้ถูกกระทำได้ ดังนั้นเป็นหน้าที่ของพ่อแม่ ผู้ปกครอง และครู ที่จะคอยสอดส่องดูแลพฤติกรรม และอารมณ์ของเด็กๆ ไม่ให้ตกอยู่ในภาวะเงียบ หรือปลีกตัวมาอยู่คนเดียว

8. ดูแลสุขภาพกายและจิตใจสม่ำเสมอ

สุขภาพคือสิ่งสำคัญที่เราควรใส่ใจ การกลั่นแกล้งนั้นสามารถสร้างบาดแผล และปมในใจให้กับผู้ถูกกระทำ ซึ่งสามารถส่งผลต่อสภาพร่างกายได้ เช่น อาการเบื่ออาหาร เครียดจนนอนไม่หลับ เป็นต้น หากลูกหลานของคุณถูกกลั่นแกล้งมานานจนกระทบต่อสภาพร่างกาย และจิตใจ ควรพาไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กและจิตวิทยา เพื่อช่วยให้คำแนะนำในการแก้ปัญหาได้อย่างดี และตรงจุด

พาลูกออกไปทำกิจกรรมอื่น เพื่อให้คลายเครียด
พาลูกออกไปทำกิจกรรมอื่น เพื่อให้คลายเครียด

9. มองหาบุคคลต้นแบบที่ดี

เมื่อลูกโดนบูลลี่ จะเกิดความสับสน และไม่ชอบในตัวเอง แต่ถ้าหากเขามีบุคคลต้นแบบที่ดี ก็จะสามารถทำให้เห็นได้ว่า มีอีกหลายคนที่เคยพบเจอกับปัญหาเดียวกัน แต่พวกเขาก็สามารถก้าวข้ามผ่านการโดนกลั่นแกล้งจนสามารถประสบความสำเร็จได้ การมีบุคคลต้นแบบที่ดีนั้น จะทำให้ลูกมองเห็นคุณค่าของตัวเอง และรักตัวเองมากขึ้น ประสบการณ์ของบุคคลต้นแบบนั้น จะทำให้ลูกมีแนวทางตัวอย่างในการคิด แก้ปัญหา

ทั้งหมดนี้อาจจะเป็นเพียงคำแนะนำเล็กๆ น้อยๆ เพียงบางส่วนเท่านั้น ที่ผู้ปกครองสามารถนำเอาไปปรับใช้ หรือสอนลูกหลานให้เข้าใจถึงปัญหาและการหลีกเลี่ยงหรือแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด แต่อย่างไรก็ตาม เด็กแต่ละคนเจอกับประสบการณ์การบูลลี่ที่แตกต่างกัน ดังนั้นการแก้ปัญหาจึงต้องเหมาะสมกับสถานการณ์ของเด็กแต่ละคนด้วย พ่อแม่ และครูในโรงเรียนจึงควรร่วมมือกันตรวจสอบ และหมั่นดูแลเด็กๆ ให้มากขึ้นกว่าเดิม

ข้อมูลอ้างอิงจาก www.bangkokbiznews.com

เคล็ดลับ 7 ข้อ ในการพูดคุยกับโรงเรียนเมื่อลูกถูก bully !!

เมื่อลูกถูกกลั่นแกล้งที่โรงเรียน คนแรกที่คุณคิดถึงว่าจะพูดด้วย คือ คุณครูของลูก แต่ในบางกรณีที่เป็นปัญหาที่อาจเกิดจากตัวคุณครูเอง หรือการกลั่นแกล้งจากเด็กนักเรียนรุ่นพี่ที่โตกว่า หรือในรถโรงเรียน หรือพ่อแม่รู้สึกว่าบอกกล่าวครูไปแล้วแต่ไม่ได้รับความสนใจ การจะพูดคุย หาทางแก้ปัญหาการที่ลูกโดนแกล้งในบางกรณีนั้น อาจเป็นที่ลำบากใจ และดูจะหนักใจไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ไม่จำเป็นต้องเครียด ทำตามเคล็ดลับ 9 ข้อนี้ในการพูดคุยกับครูใหญ่ คุยกับทางโรงเรียน แล้วทุกอย่างจะดำเนินไปอย่างราบรื่น ด้วยดี

นัดพูดคุยแบบเห็นหน้ากัน 

เมื่อต้องรับมือกับบางสิ่งที่สำคัญพอๆ กับการกลั่นแกล้ง พ่อแม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการพูดคุย โดยคุณจำเป็นต้องนัดพบกับอาจารย์ใหญ่เพื่อพูดคุยกันแบบเห็นหน้า พยายามหลีกเลี่ยงอีเมล การสื่อสารแบบไม่พบเจอกันจริง ๆ เช่น ทางโทรศัพท์ ทางไลน์ เป็นต้น เพราะอาจทำให้เกิดการตีความผิดไปจากจุดประสงค์ของเราได้ง่ายเกินไป เพราะการพูดคุยจะมีกริยา ท่าทาง อวัจนภาษา ที่ทำให้คุณสามารถสื่อสารถึงความตั้งใจจริงในการแก้ปัญหา ไม่ใช่การต้องการเอาชนะ หรือแก้แค้นกลับคืน

แนะนำว่า หากเป็นไปได้ให้นัดพูดคุยกันในตอนเช้า เพราะในช่วงเช้าทุกคนจะยังรู้สึกสดชื่น อารมณ์ดี ทำให้มักจะเห็นผลกว่า คุณควรหลีกเลี่ยงการนินทาเกี่ยวกับเด็กที่มาแกล้งลูก โพสต์ข้อมูลบนโซเชียลมีเดีย หรือระบายในสื่อออนไลน์ เพราะการกระทำเหล่านี้นอกจากจะไม่แก้ปัญหาแล้ว ยังเป็นการทำไปเพียงแค่ทำให้เราสะใจ หรือรู้สึกว่าได้โต้ตอบ แต่มิได้เป็นการแก้ไขปัญหาให้ลูก บางครั้งอาจทำให้ลูกของคุณเสี่ยงต่อการถูกกลั่นแกล้งมากขึ้น

ลูกถูก bully ไม่ใช่แค่จากเพื่อนเท่านั้น
ลูกถูก bully ไม่ใช่แค่จากเพื่อนเท่านั้น

มาคุยด้วยจิตใจเป็นพันธมิตร 

เมื่อคุณพ่อคุณแม่เตรียมตัวจะเข้าพูดคุยตามที่นัดหมายแล้ว ขอให้เตรียมใจ และความคิดโดยตั้งอยู่บนพื้นฐานที่เชื่อว่าอาจารย์ใหญ่ ทางโรงเรียนต้องการช่วยคุณและลูก แม้ว่าในความรู้สึกของเรา ผู้ถูกกระทำจะรู้สึกว่าไม่เห็นมาตราการใด ๆ ที่เป็นที่พอใจ ทำให้หลายครั้งที่ผู้ปกครองคิดว่าโรงเรียนเพิกเฉย ไม่สนใจ กลัวเสียชื่อเสีย  แต่อย่าปล่อยให้ความโกรธ และความคับข้องใจของคุณกับการกลั่นแกล้งส่งผลกระทบต่อวิธีปฏิบัติที่ออกมาทางคำพูด ท่าทาง การแสดงออกได้ เพราะจะกลายเป็นการผลักมิตรให้เป็นศัตรู

แม้ว่าคุณจะไม่เห็นด้วยในบางแง่มุมของสถานการณ์ ให้หาวิธีสร้างแนวร่วมคนอื่นที่เห็นด้วย และต้องการป้องกันการเปิดปัญหาการกลั่นแกล้งกัน หากไปเกิดกับเด็กคนอื่น จะทำให้ลูกของคุณได้รับการคุ้มครองจากการกลั่นแกล้งได้เร็วขึ้น อย่าเน้นเพียงแค่บทลงโทษผู้ที่กระทำกับลูกเท่านั้น แต่ให้เน้นว่าทางโรงเรียนตั้งใจ มีมาตราการอย่างไรที่จะให้เด็กปลอดภัยเมื่อเกิดเหตุไม่ว่ากับใครก็ตาม

หยุดตำหนิ และวิพากษ์วิจารณ์ด้วยอารมณ์ด้านลบ

หลีกเลี่ยงการวิพากษ์วิจารณ์ หรือตำหนิโรงเรียนเพียงฝ่ายเดียว พึงระลึกไว้เสมอว่าแม้การดูแลนักเรียนจะเป็นหน้าที่หนึ่งของโรงเรียน แต่พฤติกรรมการ bully นั้นเป็นเรื่องนิสัยใจคอของแต่ละบุคคล แม้ว่าโรงเรียนจะมีหน้าที่ดูแลให้บุตรหลานของคุณปลอดภัยแต่การวิพากษ์วิจารณ์ที่มากเกินไป ไม่สมเหตุสมผล จะทำให้การสนทนาหยุดชะงัก หากคุณไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ คุณก็เสี่ยงที่ครูใหญ่ และทางโรงเรียนจะเน้นตอบโต้ที่น้ำเสียง และคำพูดของคุณมากกว่าที่จะสนใจในประเด็นการหามาตราการป้องกัน และดูแลการเกิด bully ในโรงเรียน

เตรียมข้อมูลให้พร้อม

จดบันทึกสิ่งที่คุณต้องการจะพูด เนื่องจากการกลั่นแกล้งเป็นหัวข้อทางอารมณ์ มันง่ายที่จะฟุ้งซ่าน คุมอารมณ์ไม่อยู่ หรือลืมสิ่งที่คุณต้องการพูด ดังนั้น อย่าลืมจดประเด็นสำคัญที่คุณต้องการกล่าวถึงกับอาจารย์ใหญ่ วิธีนี้นอกจากจะช่วยให้เราควบคุมอารมณ์ได้ดีแล้ว ยังทำให้เข้าใจในสถานการณ์ได้ดีขึ้น จากการเตรียมข้อมูลเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ว่าใคร ทำอะไร ที่ไหนบ้าง โดยเฉพาะในเด็กเล็กพ่อแม่ควรจะสืบถาม และหาข้อมูลให้ทราบแน่ชัดว่าเป็นเรื่องจริง จะได้แก้ไขได้อย่างตรงจุด

ยิ่งคุณสามารถให้ข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงได้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งดีเท่านั้น พยายามหลีกเลี่ยงการใช้อารมณ์มากเกินไปเมื่อแบ่งปันรายละเอียด สิ่งสำคัญคือครูใหญ่ต้องได้ยินสิ่งที่คุณพูดและไม่ถูกรบกวนจากการเผชิญหน้าทางอารมณ์

ฟังมุมมองของทางโรงเรียนอย่างใจเย็น 

แม้การรับฟังสิ่งที่คุณต้องการจะทำจริงๆ กับสิ่งที่ทำได้เป็นเรื่องยากที่จะทำให้ตรงกันเพียงใดก็ตาม แต่ถ้ามันจะเป็นประโยชน์ต่อลูกของคุณ และเด็กอื่น ๆ ในระยะยาว ที่จะป้องกันก่อนเกิดเหตุก็ควรทำใจยอมรับ และหากข้อมูลที่ทางโรงเรียนได้รับมาไม่ตรงกับที่ลูกบอกคุณ โปรดถามคำถามให้เคลียร์ แต่พยายามทำอย่างให้เกียรติ เป้าหมายคือทั้งคุณและโรงเรียนสามารถหาจุดร่วมเกี่ยวกับสถานการณ์ได้

ถามเกี่ยวกับขั้นตอนต่อไป 

เมื่อการประชุม ปรึกษาหารือของคุณกับทางโรงเรียนได้ข้อสรุป จะต้องมีกำหนดขั้นตอนการแก้ปัญหาก่อนหลังอย่างชัดเจน ตัวอย่างเช่น จะทำการพูดคุยหาข้อมูลกับเด็กทั้งสองฝ่ายก่อน หรือย้ายห้องให้ลูกชั่วคราว เป็นต้น จำไว้ว่าเป้าหมายคือให้ลูกของคุณได้รับการคุ้มครอง อย่ากลับไปโดยไม่เข้าใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป หรือไม่สามารถสรุปได้ว่าทางโรงเรียนจะทำอย่างไรต่อไป เพียงแค่รับฟังแต่ไร้มาตราการ

ในขณะเดียวกัน อย่าคาดหวังที่จะเห็นมาตราการการลงโทษเด็กที่กลั่นแกล้งผู้อื่น ข้อมูลประเภทนี้มักจะถูกเก็บเป็นความลับเนื่องจากเกี่ยวข้องกับผู้เยาว์ ยิ่งไปกว่านั้น คุณไม่ควรให้ความสำคัญกับการได้รับความยุติธรรมจากการเห็นการลงโทษ แต่ให้มุ่งเน้นไปที่การรักษา และการป้องกันของลูกคุณแทน อย่าลืมบันทึกสิ่งที่พูด วันที่ เวลา และข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

เคล็ดลับการพูดคุยกับครูเรื่อง ลูกโดนแกล้ง
เคล็ดลับการพูดคุยกับครูเรื่อง ลูกโดนแกล้ง

กำหนดเวลาติดตามผล 

หลายครั้ง การกลั่นแกล้งจะไม่สิ้นสุดในทันที ที่จริงแล้ว เมื่อคุณแจ้งความ หรือดำเนินการใด ๆ แล้ว การกลั่นแกล้งอาจรุนแรงขึ้น และแย่ลงไปอีก เตรียมพร้อมสำหรับสิ่งนี้ และเปิดช่องทางการสื่อสารกับลูกของคุณ คอยซักถาม และสังเกตพฤติกรรมลูกว่าเหตุการณ์ดีขึ้น หรือเลวร้ายลง นอกจากนี้ในข้อสรุปที่ได้ปรึกษาไว้กับทางโรงเรียน พ่อแม่ควรให้ทางโรงเรียนร่วมกันกำหนดเวลาให้ชัดเจนว่า ภายในกี่วันที่เราน่าจะเห็นผล และในระยะยาวเฝ้าติดตามว่าการกลั่นแกล้งนั้นจบลงจริง ๆ ด้วยวิธีนี้ คุณสามารถที่จะกลับไปสอบถามสถานะของสถานการณ์ และค้นหาว่าโรงเรียนกำลังทำอะไรเพื่อยุติการกลั่นแกล้งได้อย่างไม่ดูเป็นการจุกจิก น่ารำคาญมากเกินไป คุณยังสามารถแชร์ว่าลูกของคุณเป็นอย่างไร มีอาการดีขึ้นไหม และจะปรับเปลี่ยน ปรับปรุงแผนที่โรงเรียนได้วางไว้ให้เข้ากับสถานการณ์ที่แท้จริงอย่างไรอีกด้วย

การจัดการกับสถานการณ์การกลั่นแกล้งไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เพื่อประโยชน์ และความปลอดภัยของลูกจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่พ่อแม่จะเข้ามาช่วยเหลือ แต่อย่างไรก็ตาม อย่าทำไปโดยพละการ ต้องแน่ใจว่าลูกของคุณต้องการความช่วยเหลือจากคุณขนาดไหน บางครั้งเด็ก ๆ ก็อยากพยายามจัดการ แก้ไขสถานการณ์ของเขาด้วยตัวเองก่อน ดังนั้นไม่ว่าคุณจะช่วยจัดการกับการกลั่นแกล้งนี้อย่างไร ควรปรึกษา และรับฟังความเห็นของลูก รวมทั้งบอกกล่าวลูกก่อนที่จะทำอะไรลงไป อย่ารีบเร่งที่จะพูดคุยกับครู หรือโรงเรียนก่อน โดยไม่ถามความต้องการ และความเห็นของลูกก่อน เป็นการดีที่สุดเสมอหากคุณก้าวไปตามจังหวะของพวกเขา เพราะบางทีมุมมองของผู้ใหญ่ก็ไม่อาจใช้ได้กับเด็กเสมอไป

ข้อมูลอ้างอิงจาก www.verywellfamily.com

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

5 อันดับ โรคติดต่อระหว่างสัตว์และคน พ่อแม่ต้องระวังเข้ม

ลูกโดนแกล้งที่โรงเรียน สัญญาณเตือนจากลูกที่พ่อแม่ควรรู้

เปิดเทอม นี้มาส่องลูกด้วย 10คำถามหลังเลิกเรียนกันเถอะ

ลูกชอบตีหน้าแม่ โตขึ้นจะก้าวร้าวไหมร่วมไขความลับเจ้าตัวเล็ก

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

29 นโยบายเรียนดี

ส่อง 29 นโยบายเรียนดี ของผู้ว่าฯ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์

Alternative Textaccount_circle
event
29 นโยบายเรียนดี
29 นโยบายเรียนดี

 

ส่อง 29 นโยบายเรียนดี ของผู้ว่าฯ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์

เรื่องการเรียนเป็นเรื่องสำคัญที่คุณพ่อคุณแม่ทุกคนคำนึงถึงเสมอ ทุกคนย่อมอยากให้ลูกได้เรียนโรงเรียนที่มีคุณภาพ และได้รับการศึกษาที่ดีที่เท่าเทียม ซึ่งคุณชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. คนล่าสุด ก็ได้ร่างนโยบาย เรียนดี สำหรับโรงเรียนในสังกัดกทม. ไว้ถึง 29 ข้อ นับเป็นนิมิตหมายอันดีสำหรับเด็ก ๆ รวมทั้งคุณครูและพ่อแม่ ที่จะได้รับสิ่งดี ๆ เหล่านี้ค่ะ 29 นโยบายเรียนดี มีอะไรบ้างมาดูกันค่ะ

1. ให้การศึกษา พัฒนานักเรียนสู่พลเมืองโลก หนึ่งใน 29 นโยบายเรียนดี

การพัฒนานักเรียนสู่การเป็นพลเมืองโลก (global citizen) จำเป็นต้องปรับปรุงหลักสูตรให้เท่าทันเหตุการณ์ต่างๆ โดยเริ่มจากเพิ่มการศึกษาประวัติศาสตร์และประเด็นสังคมต่างๆ ในโรงเรียนสังกัด กทม.

2.เรียนฟรี ชุดฟรี ไม่มีเก็บเพิ่ม

กทม.จะเพิ่มเติมเงินสนับสนุนเพื่อให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกี่ยวกับการเรียน ได้แก่
1. เพิ่มเงินอุดหนุนค่าชุดนักเรียนและอุปกรณ์การเรียนให้สอดคล้องกับราคาตลาด (ครอบคลุมราคา เสื้อ กางเกง ถุงเท้า รองเท้า กระเป๋า และอุปกรณ์การเรียนอื่น ๆ)

2. เพิ่มจำนวนการอุดหนุนให้สอดคล้องและครอบคลุมกับการใช้งานจริง

3.โรงเรียนเป็นแหล่งโภชนาการที่มีคุณภาพให้กับเยาวชนทั้งมื้อเช้าและมื้อกลางวัน

กทม.จะผลักดันให้โรงเรียนเป็นตัวกลางในการแจกจ่ายอาหารให้กับนักเรียนและชุมชนในพื้นที่ เพื่อไม่เป็นการผลักภาระในการดูแลเด็กนักเรียนให้กับผู้ปกครอง นอกจากนี้ กทม.จะร่วมกับภาคเอกชนและภาคประชาสังคมในการออกแบบเมนูอาหารอย่างสร้างสรรค์ โดยให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการช่วยเลือกโดยคำนึงถึงคุณค่าทางอาหารครบถ้วนตามหลักโภชนาการ และพิจารณาจัดทำอาหารที่สอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มคน เช่น สอดคล้องกับความเชื่อศาสนา เป็นต้น

4. After School Program เรียน เล่น หลังเลิกเรียน

กทม.จะพัฒนาโครงการหลังเลิกเรียน (After School Program) โดยการจัดกิจกรรมหลังเลิกเรียน พร้อมกับสนับสนุนอุปกรณ์สำหรับการทำกิจกรรม บุคลากร และค่าตอบแทนเพิ่มเติมสำหรับคุณครูที่อยู่ดูแลนักเรียน ทั้งนี้จะประสานและจัดตารางให้เครือข่ายและอาสามาช่วยดูแลนักเรียนและจัดกิจกรรมในโรงเรียนในช่วงเวลาดังกล่าวด้วย

5. เปิดโรงเรียนวันหยุดเป็นพื้นที่กิจกรรม พื้นที่การเรียนรู้สำหรับนักเรียนและชุมชน

กทม.จะเพิ่มประสิทธิภาพในการเป็นพื้นที่การเรียนรู้ของโรงเรียนให้กลายเป็นพื้นที่กิจกรรม พื้นที่แห่งการเรียนรู้ของชุมชนและคนในพื้นที่ โดยการพัฒนากิจกรรมในโรงเรียนสำหรับวันหยุดร่วมกันระหว่างโรงเรียน นักเรียน และชุมชน (เช่น การแข่งขันกีฬา การจัดการแสดงดนตรี การจัดตลาดนัด การจัดกิจกรรมฝึกอาชีพ) ให้สอดคล้องกับความสนใจของประชาชนในพื้นที่

6. ยกระดับห้องแล็บคอมพิวเตอร์ทุกโรงเรียนให้ทันสมัยและเพียงพอ

เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับหลักสูตรและรูปแบบการเรียนการสอนที่จะเกิดขึ้น (เช่น นโยบายพัฒนาโรงเรียน 3 ภาษา สอนผ่านหลักสูตรไทย ต่างประเทศและเทคโนโลยีเพื่อการทำงาน) กทม.จะจัดสรรงบประมาณเพื่อปรับปรุงห้องแล็บคอมพิวเตอร์ในโรงเรียนให้มีความทันสมัยใช้งานได้จริงทั้งในด้าน Hardware ที่เพียงพอเหมาะสมกับการใช้งานและ Software ที่ถูกต้องตามกฎหมายและเป็นปัจจุบัน

7. พัฒนาฟรี Wi-Fi ทุกโรงเรียน รองรับการสอนผ่านสื่อการเรียนการสอนออนไลน์ และการสืบค้นข้อมูล

กทม.จะผลักดันให้มีการติดตั้ง Wi-Fi ฟรีสำหรับทุกโรงเรียนในกรุงเทพฯ โดยนอกจากจะให้นักเรียนใช้สำหรับการเรียนและการสืบค้นแล้วยังจะเปิดให้ประชาชนในพื้นที่เข้ามาใช้งานได้ในวันหยุด เพื่อช่วยผลักดันให้โรงเรียนเป็นแหล่งการเรียนรู้ของชุมชน

8.ร่วมกับเอกชนในการจัดหาแท็บเล็ตให้นักเรียนใช้ โดยเฉพาะในช่วงการ study from home

กทม.จะร่วมมือกับเอกชนในการจัดหาแท็บเล็ตสำรองให้นักเรียนที่ขาดอุปกรณ์สามารถยืมกลับไปบ้านเพื่อใช้งานได้ โดยนอกจากแท็บเล็ตแล้ว กทม.จะจัดเตรียมซิมอินเทอร์เน็ตไว้ให้นักเรียนยืมเพิ่มเติมด้วย

9.คืนครูให้นักเรียน ลดภาระงานเอกสารด้วยเทคโนโลยี

กทม.จะลดภาระงานเอกสารของคุณครู และคืนคุณครูให้กับนักเรียนผ่านกระบวนการดังนี้

1. Digitalization : ยกเครื่องทั้งระบบ เปลี่ยนจากการทำงานบนกระดาษมาเป็นระบบดิจิทัล เพื่อคุณครูจะได้ไม่ต้องกรอกข้อมูลซ้ำซ้อนหากเป็นข้อมูลชุดเดียวกัน เพื่อช่วยลดเวลาและลดภาระงาน โดยมี Digital Talent เป็นผู้ช่วยฝึกและให้คำปรึกษาคุณครูด้านเทคโนโลยี

2. คืนข้อมูลให้คุณครู : หน่วยงานหรือต้นสังกัดต้องสรุปข้อมูลที่ผ่านการวิเคราะห์ สังเคราะห์แล้วกลับไปให้โรงเรียนและคุณครูเห็นผลลัพธ์เพื่อพัฒนาต่อยอด หากข้อมูลไหนที่คุณครูได้รับมอบหมายให้เก็บแต่ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ให้ตัดออกเพื่อลดภาระงาน

10.เพิ่มสวัสดิการครูให้เหมาะสม

กทม.จะเพิ่มสวัสดิการของครูในมิติต่าง ๆ ได้แก่

1. การจัดหาที่อยู่อาศัยให้กับครูเพิ่มเติมตามความต้องการ (มุ่งเน้นในพื้นที่ที่มีค่าเช่าสูง)

2. ช่วยเหลือด้านค่าใช้จ่ายในการเดินทาง เพื่อสร้างให้สวัสดิการของครูมีความครอบคลุมค่าใช้จ่ายหลัก ๆ ในการดำรงชีวิตมากยิ่งขึ้น

11.เพิ่มครูผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ช่วยครู สำหรับวิชาเฉพาะทาง เช่น ภาษา เทคโนโลยี

กทม.จะพัฒนาครูผู้เชี่ยวชาญต้นแบบในประเด็นต่างๆ เช่น วิชาวิทยาการคำนวณ (coding), วิชาภาษาต่างประเทศ ที่มีความเข้าใจเชิงลึกในเนื้อหาวิชาและเทคนิคในการสอน โดยอาศัยโครงการการร่วมมือกับสถาบันอุดมศึกษา โครงการครูแลกเปลี่ยนระหว่างครูไทยและครูต่างชาติ เพื่อให้ครูผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้เวียนไปยังโรงเรียนต่างๆ หรือสอนผ่านออนไลน์ เป็นตัวอย่างให้ครูแต่ละโรงเรียนได้เรียนรู้ ทำความเข้าใจ และแลกเปลี่ยนแนวทางการเรียนการสอนกันเพื่อให้คุณครูแต่ละโรงเรียนสามารถพัฒนาแนวทางการเรียนการสอนที่เหมาะสมกับครูและนักเรียนได้

เขตหลักสี่ขานรับนโยบายเรียนดี ของผู้ว่าฯ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์

12.ปรับหลักเกณฑ์การเลื่อนวิทยฐานะให้สอดคล้องกับการสอน ลดภาระการทำเอกสาร

กทม.จะศึกษาแนวทางในการประเมินผลวิทยฐานะใหม่ เช่น ระบบการตั้งเป้าหมายในการพัฒนาบุคลากรครูร่วมกับสถาบันอุดมศึกษาในพื้นที่ ระบบการประเมินผลงานตามสมรรถนะ โดยระบบการประเมินใหม่นี้จะตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ไม่เป็นภาระงานเพิ่มเติมให้กับครูจนไม่มีเวลาให้กับนักเรียน

13.Digital Talent ผู้ช่วยด้านเทคโนโลยีให้กับคุณครู

กทม.จะสร้างทีม Digital Talent เพื่อช่วยเหลือในด้านความรู้และสร้างความคุ้นเคยสำหรับการใช้เทคโนโลยีให้กับครูกทม. โดยกำหนดให้ Digital Talent หนึ่งคนดูแลโรงเรียนประมาณ 5 โรงเรียนโดยจะมีการจัดกลุ่มให้โรงเรียนที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน (เช่น โรงเรียนมัธยมปลายเหมือนกัน อยู่ในพื้นที่ในบริเวณใกล้เคียงกัน) เพื่อให้สามารถช่วยดูแลครูได้อย่างทั่วถึงในแต่ละด้านที่กำหนดไว้

14.พัฒนาโรงเรียน 3 ภาษา สอนผ่านหลักสูตรไทย ต่างประเทศและเทคโนโลยีเพื่อการทำงาน

พื่อให้มั่นใจว่านักเรียนทั้งหมดที่อยู่ในการดูแลของ กทม. เมื่อจบการศึกษาไปแล้วจะสามารถสื่อสารภาษาต่างประเทศและใช้เทคโนโลยีสำหรับการทำงานได้ กทม.จะ

1. พัฒนาหลักสูตร 3 ภาษาโดยเพิ่มการเรียนบางวิชาที่ศูนย์คอมพิวเตอร์ เช่น คณิตศาสตร์ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ เพื่อให้นักเรียนมีความคุ้นเคยกับการใช้คอมพิวเตอร์มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะโปรแกรมพื้นฐานสำหรับการทำงาน เช่น Microsoft Office

2. ขยายความครอบคลุมของของหลักสูตร 2 และ 3 ภาษาให้ครอบคลุมโรงเรียนของ กทม. ให้ได้มากที่สุด

15.สร้างเครือข่ายร่วมกับภาคเอกชน โครงการพี่สอนน้องนอกเวลาเรียน

กทม.จะช่วยสนับสนุนให้โครงการเหล่านี้เข้ามาดำเนินกิจกรรมในโรงเรียนมากยิ่งขึ้น  ผ่านการออกแบบหลักสูตรร่วมกัน ทั้งในมิติวิชาการที่จะเป็นการเสริมความรู้เชิงลึกหรือการทดลองเพิ่มเติมนอกห้องเรียน และการเสริมในมิติการใช้ชีวิตและวิชาชีพ (เช่น design thinking, ร้องเพลง, เต้น) ซึ่งจะเป็นการช่วยเปิดโลกทัศน์ให้กับนักเรียนในสังกัด กทม.ได้ โดยนอกเหนือจากโครงการของเอกชนที่มีอยู่ในปัจจุบันแล้ว กทม.จะร่วมมือกับนิสิตนักศึกษาฝึกสอนตามสถาบันอุดมศึกษาเพื่อเข้ามาช่วยเป็นอีกแรงในการขับเคลื่อนโครงการเหล่านี้ด้วย

16.โรงเรียนประสิทธิภาพสูงด้วย open data

กทม.จะเปิดเผยข้อมูลของโรงเรียนในมิติต่างๆ เช่น การใช้งบประมาณ แผนการดำเนินการ ตัวชี้วัด ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา ผลการประเมินคุณภาพโรงเรียน ขึ้นอยู่บน Cloud พร้อมกับการแสดงผลบน Dashboard ที่สามารถเข้าใจได้ง่าย เพื่อให้เกิดการทำงานร่วมกันระหว่างภาคส่วนต่างๆ (เช่น โรงเรียน ภาคประชาสังคม ผู้ปกครอง เอกชน) ให้เข้ามาช่วยกันคิด แก้ไขปัญหา ออกแบบแนวทางการพัฒนาโรงเรียนให้มีประสิทธิภาพและได้ผลลัพธ์ที่ดีต่อนักเรียนมากยิ่งขึ้น

17.พัฒนาการเรียนการสอนในโรงเรียนด้วยแนวคิด ‘โรงเรียนแห่งการเรียนรู้’ (Learning School)

กทม.จะนำแนวทางโรงเรียนแห่งการเรียนรู้ (Learning School) ที่เน้นกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างนักเรียน ครู ผู้บริหาร ผู้ปกครอง นักวิชาการ ชุมชน และภาคส่วนต่าง ๆ (school as a learning community) ซึ่งประกอบด้วยแนวทางหลัก ๆ ดังนี้

– นักเรียน: ส่งเสริมการเรียนรู้ผ่านการลงมือปฏิบัติ (action-oriented) และเรียนรู้ร่วมกันจากเพื่อน ๆ ในระดับชั้นเรียน เพื่อให้เกิดสมรรถนะผู้เรียน (competency) ที่ทันต่อการเรียนรู้และการทำงานแห่งอนาคต

– ครู: พัฒนาครูจากการทำงานจริง และ จากคำแนะนำของครูท่านอื่น ๆ ‘ครูทุกคนเก่งขึ้นจากห้องเรียนของตนเอง’ ผ่านชุมชนแห่งการเรียนรู้ ‘ครูช่วยครู’ ทั้งภายในโรงเรียน ระหว่างโรงเรียนและจากการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันของเครือข่ายคุณครูต่าง ๆ

– ผู้อำนวยการ: ร่วมออกแบบ สะท้อนแนวคิด แนะนำการเรียนการสอนให้กับครู ไม่ว่าจะครูใหม่ หรือ ครูเก่า สร้างวัฒนธรรมแห่งการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นภายในองค์กร

18.พัฒนาศูนย์เด็กอ่อน-เด็กเล็กใกล้ชุมชนและแหล่งงาน

กทม.จะพัฒนาศูนย์ดูแลเด็กอ่อน-เด็กเล็กในประเด็นดังต่อไปนี้

1. เพิ่มปริมาณ – เพิ่มการจัดตั้งศูนย์ดูแลเด็กอ่อน-เด็กเล็กโดยเฉพาะศูนย์ขนาดเล็กในชุมชน ศูนย์บริการตามแหล่งงานให้มีความครอบคลุมกับความต้องการ

2. เพิ่มการบริการ – ขยายการดูแลให้ครอบคลุมเด็ก เริ่มตั้งแต่ 3 เดือน หรือ 6 เดือน ส่วนสำหรับช่วงอายุ 6 เดือน-2 ขวบครึ่ง จะเป็นการฝากรับเลี้ยงตั้งแต่ 7-8 โมงเช้า จนถึง 5-6 โมงเย็น และไม่มีค่าใช้จ่ายสำหรับการดูแลเด็กอ่อน

3. เพิ่มหนังสือ – จัดหาหนังสือดี มีคุณภาพ เหมาะสมสำหรับเด็ก 3 – 6 เดือน – 3 ปี (กรมอนามัยได้มีการคัดสรรนิทานที่เหมาะสำหรับเด็กอายุ 0 – 3 ปี จำนวน 100 เรื่อง)

4. เพิ่มบุคลากรและค่าตอบแทน –  กทม.จะร่วมมือกับหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาและอบรมบุคลากรให้มีความรู้ความสามารถในการดูแลเด็กเล็ก เด็กอ่อน และเสริมความเชี่ยวชาญในการใช้หนังสือเพื่อพัฒนาเด็กให้เหมาะสมตามช่วงวัย พร้อมกับปรับค่าตอบแทนบุคลากรตามการฝึกฝนให้เหมาะสมกับค่าครองชีพและสอดคล้องกับค่าตอบแทนของตลาด

5. เพิ่มค่าอาหารสำหรับเด็กอ่อนและเด็กเล็ก – เพิ่มเงินสนับสนุนค่าอาหารแก่ศูนย์เด็กอ่อน-เด็กเล็ก ให้เป็น 40 บาท/วัน เพื่อให้เกิดความสอดคล้องกับค่าอาหารของระดับอนุบาล-มัธยมของโรงเรียนในสังกัด กทม.

6. ส่งเสริมหลักสูตร – เน้นให้เด็กทำเป็น เล่นเป็น เรียนรู้เป็น

19.ส่งเสริมหลักสูตร คิดเป็น ทำเป็น เรียนรู้เป็น สำหรับเด็กช่วง 0-8 ปี

กทม.จะนำแนวทาง คิดเป็น ทำเป็น เรียนรู้เป็น เข้ามาเป็นส่วนประกอบหลักในการดูแลเด็กทั้งในศูนย์ดูแลเด็กอ่อน เด็กเล็ก อนุบาล ในสังกัด กทม. ในโรงเรียนประถมโดยเฉพาะในช่วง ป.1-2 ควบคู่ไปกับการเรียนเนื้อหาวิชาการ โดยมีหลักการ เช่น

1. ตั้งคำถามแทนตอบคำถาม

2. ทำแทนการเรียนอย่างเดียว

3. วางแผนการทำงาน (วางแผนการทำอาหาร / วางแผนการเที่ยว)

4. ท้าทาย ลองผิดลองถูก

5. ทบทวนประสบการณ์ สรุปบทเรียน

20.พัฒนาห้องสมุดและห้องการเรียนรู้เคลื่อนที่

กทม.จะจัดหน่วยรถห้องสมุดเคลื่อนที่เวียนตามชุมชนและโรงเรียนต่างๆ เพื่อนำหนังสือไปให้นักเรียน ลดภาระการเดินทางและเพิ่มความสะดวกให้กับเด็กๆ ได้เข้าถึงแหล่งความรู้ได้ง่ายยิ่งขึ้น

– เพิ่มรถห้องสมุด

– เพิ่มรถห้องสมุดขนาดเล็กให้สามารถเข้าออกได้หลากหลายที่

– ขยายการให้บริการเป็น 7 วัน

– ขยายภารกิจให้บริการหลากหลายพื้นที่เพิ่มเติม เช่น สวนสาธารณะ ลานกีฬา เป็นต้น

– เพิ่มหนังสือนิทาน หนังสือภาพสำหรับเด็ก ให้มากและหลากหลายขึ้น รวมถึงการส่งเสริมกิจกรรมการอ่าน

21.ดูแลห้องสมุดชุมชน บ้านหนังสือ ให้มีความทันสมัยน่าใช้งาน

กทม.จะมีการดูแล ปรับปรุงสภาพ รูปแบบของพื้นที่ให้มีความร่วมสมัย เป็นมิตร น่าใช้งาน เช่น การปรับปรุงโครงสร้างอาคาร และสภาพแวดล้อมภายในอาคารให้เหมาะสม การอัพเดตหนังสือข้างในบ้านหนังสือให้เป็นปัจจุบัน และเพิ่มเติมนิทาน หรือหนังสือภาพสำหรับเด็ก ให้มีความหลากหลายและเพียงพอ รวมถึงการจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่าน การติดตั้ง Wi-Fi ฟรี เพื่อสร้างให้บ้านหนังสือเป็นแหล่งการเรียนรู้ใหม่ ๆ สำหรับคนในพื้นที่

22.ห้องสมุดออนไลน์ (e-Library) อ่านอีบุ๊กได้จากทุกที่

กทม.จะเพิ่มโอกาสเข้าถึงแหล่งความรู้และส่งเสริมวัฒนธรรมการอ่าน โดย

– พัฒนาห้องสมุดออนไลน์ (e-Library) แพลตฟอร์มยืมหนังสือออนไลน์อ่านอีบุ๊กได้ฟรี โดยจะประสานงานสำนักพิมพ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อได้มาซึ่งลิขสิทธิ์ที่สามารถให้ประชาชนยืมหนังสือในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ได้

– จัดทำระบบสำรวจความต้องการหนังสือของประชาชนเพื่อพัฒนาคลังห้องสมุดออนไลน์ที่ตอบสนองความต้องการของประชาชน

– เปิดโอกาสให้ประชาชนหรือเอกชนสนับสนุนการบริจาค e-Book ให้ห้องสมุดออนไลน์ของกทม. ได้

23.เพิ่มฟังก์ชั่นให้ห้องสมุดเป็น Co-working Space

กทม.จะเพิ่มฟังก์ชั่นห้องสมุดให้เป็น Co-working Space

– บริการ Wi-Fi ฟรีและเสถียร

– บริการปลั๊กไฟเพียงพอ

– แยกสัดส่วนพื้นที่ห้องเงียบและห้องใช้เสียง

– ปรับวันเวลาทำการให้สอดคล้องกับการใช้งานของประชาชนโดยให้เปิดบริการในวันหยุดนักขัตฤกษ์ และ เปิดให้บริการในวันจันทร์ในช่วงปิดภาคเรียน

24.ฝึกอาชีพพัฒนาทักษะยุคใหม่ตอบโจทย์ตลาดงาน

กทม.จะเพิ่มทางเลือกให้กับการศึกษาผ่านโรงเรียนและศูนย์ฝึกอาชีพ กทม. ทั้งการสนับสนุนการพัฒนาทักษะอาชีพที่ทำอยู่ในปัจจุบันเพื่อรองรับการประกอบอาชีพหลักหรืออาชีพเสริม และการสนับสนุนการพัฒนาบุคลากรเข้าสู่ระบบแรงงานเอกชนโดยการพัฒนาหลักสูตรที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาด เช่น e-Commerce (ผ่านการสำรวจความต้องการจากเอกชนในพื้นที่ หรือการพัฒนาหลักสูตรร่วมกันกับเอกชน)

25.วิชาศิลปะนอกห้องเรียน ส่งเสริมความคิด ความสร้างสรรค์ ผ่านแนวร่วมศิลปินทั่วกรุง

กทม.จะเป็นตัวกลางในการประสานระหว่างเครือข่ายศิลปินในกรุงเทพ และหอศิลป์กรุงเทพฯ ในการร่วมกันพัฒนาวิชาศิลปะให้กับนักเรียนในสังกัด กทม. เพื่อให้วิชาศิลปะมีความน่าสนใจ ช่วยขยายกรอบความคิดสร้างสรรค์และการแสดงออกของนักเรียน นอกจากนี้ กทม.จะช่วยประสานระหว่างโรงเรียนและผู้จัดงานกิจกรรมเชิงศิลปวัฒนธรรมที่ถูกจัดขึ้นในพื้นที่ กทม. โดยเฉพาะที่จัดขึ้นจากนโยบาย เช่น นโยบาย ‘จัดแสดงงานศิลปะกลางแจ้งทุกมุมเมืองเป็นพื้นที่ศิลปะ’ ‘กรุงเทพฯ พื้นที่แห่งดนตรีและศิลปะการแสดง’ และการจัดแสดงงานศิลปะอื่น ๆ ในพื้นที่ของ กทม. หรือ กทม.เป็นผู้ประสานงานเพื่อให้นักเรียนได้มีโอกาสในการชมศิลปะและวัฒนธรรม ซึมซับศิลปะใกล้ตัว

26.ขยายขีดความสามารถของโรงเรียนและศูนย์ฝึกอาชีพ กทม. ให้สามารถดูแลและฝึกทักษะคนพิการได้

กทม.จะผลักดันให้โรงเรียนฝึกอาชีพและศูนย์ฝึกอาชีพ ของ กทม.

– พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานตามมาตรฐาน Universal Design ให้รองรับทุกคน

– พัฒนาหลักสูตรที่รองรับและเหมาะสมสำหรับคนพิการเพิ่มเติม เพื่อให้เกิดเป็นอาชีพ สร้างรายได้แก่คนพิการอย่างยั่งยืน

27.ปรับเงื่อนไขทุนเอราวัณ เพิ่มโอกาสสร้างครู กทม.

กทม.จะดำเนินการ

– สำรวจและทบทวนวิชาที่โรงเรียนในสังกัด กทม.ขาดบุคลากร และกำหนดสาขาการศึกษาที่ขาดเปิดรับทุนให้สอดคล้องกับสาขาวิชานั้น ๆ

– หากมีผู้รับทุนไม่ครบเป้าหมาย 100 ทุนในแต่ละปี จะขยายกลุ่มเป้าหมายในการรับทุน โดยอาจเปิดโอกาสให้นักเรียนไม่จำกัดสังกัดสมัครขอรับทุนได้ หรือพิจารณาให้ทุนที่เหลือกับนักศึกษาที่กำลังศึกษาในสาขาวิชาที่ขาดแคลน

28.วิชาชีพเลือกเสรีสำหรับนักเรียน

กทม.จะพัฒนาหลักสูตรวิชาชีพเลือกเสรีให้กับนักเรียนระดับมัธยมใน กทม.โดย

– พัฒนาวิชาเลือกร่วมกับเครือข่ายต่าง ๆ เช่น สถาบันอุดมศึกษา สถาบันอาชีวะ โรงเรียนฝึกอาชีพ / ศูนย์ฝึกอาชีพ กทม. และองค์กรเอกชนต่าง ๆ  วิชาที่ควรขยายผลเบื้องต้น เช่น

1. วิชาการเป็นผู้ประกอบการ (entrepreneurship) – พัฒนาความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะการเป็นผู้ประกอบการ ตั้งแต่การผลิต การจัดการสินค้าและบริการ การขาย การตลาดทั้งช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ และความรู้ที่เกี่ยวข้องกับภาษี

2. วิชาการเงินส่วนบุคคลและบัญชีครัวเรือน – ให้ความรู้เกี่ยวความรู้ความเข้าใจทางการเงิน เช่น การจัดทำบัญชีรายรับรายจ่าย การวางแผนทางการเงินในวัยต่าง ๆ การออมและการลงทุนการสร้างอิสรภาพทางการเงินของตนเองและครอบครัว เช่น

3. สอนเกี่ยวกับภาษีเงินได้ การประกันชีวิต การลงทุนประเภทต่าง ๆ

4. วิชาชีพอุตสาหกรรม (ช่าง) – สอนเกี่ยวกับข้อมูลพื้นฐานในการเป็นประกอบอาชีพต่าง ๆ เช่น ช่างไฟฟ้า ช่างยนต์ ช่างเครื่องปรับอากาศ เป็นต้น

5. วิชาคหกรรม เช่น  การทำอาหาร งานประดิษฐ์ งานฝีมือ งานบริการต่าง ๆ  เช่นการทำอาหารไทย อาหารต่างชาติ การอบขนม เป็นต้น

– กำหนดให้วิชาเหล่านี้เป็นวิชาเลือกให้กับนักเรียนในโรงเรียนสังกัด กทม. โดยที่การเรียนวิชาเหล่านี้จะถูกนำไปคิดเกรดของนักเรียนด้วย (โดยจะเน้นพัฒนาที่ระดับชั้นมัธยมปลายก่อนแล้วจึงขยายไปยังมัธยมต้นในวิชาที่เหมาะสม)

– ปรับเพิ่ม – ลดรายวิชาเลือกเพิ่มเติมตามความสนใจของนักเรียนในแต่ละปีเพื่อให้หลักสูตรมีความเป็นปัจจุบันและสอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียนและตลาดแรงงานอยู่เสมอ

29.หลักสูตรการเรียนรวม คือการศึกษาสำหรับทุกคน

กทม.จะ

– เพิ่มทรัพยากร เพิ่มบุคลากรในโครงการจัดการศึกษาพิเศษ เช่น ครูการศึกษาพิเศษ ครูล่าม เป็นต้น

– เพิ่มองค์ความรู้ด้านจิตวิทยาและการดูแลเด็กพิเศษให้กับบุคลากรที่เกี่ยวข้อง

– สร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรร่วมกับนักเรียนคนอื่น ๆ เพื่อไม่ให้รู้สึกแปลกแยก

– ให้ความรู้ความเข้าใจกับผู้ปกครองถึงการยอมรับความช่วยเหลือและการรักษาที่ถูกต้อง

– สนับสนุนเครือข่ายของผู้ปกครองเด็กพิการเพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนมุมมอง ความช่วยเหลือ และประสบการณ์การเลี้ยงดูบุตร

คุณพ่อคุณแม่สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทาง
ชัชชาติ สิทธิพันธุ์

ขอบคุณข้อมูลจาก

ชัชชาติ สิทธิพันธุ์

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

อัพเดทล่าสุด! ค่าเทอมโรงเรียนอนุบาล 2022 รวม 60 แห่ง

6 ประเภท “โรงเรียนประถม” ที่พ่อแม่ต้องรู้ก่อนสมัครเรียน!

10 “โรงเรียนอนุบาล” ยอดนิยมพร้อมหลักสูตร ปี 2565

บกพร่องทางการได้ยิน

ลูก บกพร่องทางการได้ยิน ดูยังไง แก้อย่างไร

Alternative Textaccount_circle
event
บกพร่องทางการได้ยิน
บกพร่องทางการได้ยิน

ลูก บกพร่องทางการได้ยิน ดูยังไง แก้อย่างไร

ทำไมเรียกลูกเท่าไหร่ ลูกก็ไม่หันมากันนะ? พ่อแม่บางบ้านอาจคิดว่า สงสัยเสียงของเราที่ใช้เรียกลูกคงเบาไป หรือลูกอาจจะยังฟังไม่รู้เรื่อง หรือ อาจจะมัวแต่สนใจสิ่งอื่นอยู่ แต่สำหรับบางบ้านที่ลูกตอบสนองแบบเดิมทุกครั้งที่เรียกนั้น อาจไม่ใช่เรื่องเล็กนะคะ เพราะลูกอาจ บกพร่องทางการได้ยิน ถ้าเป็นอย่างหลัง ต้องรีบหาทางแก้ปัญหาเลยค่ะ คุณพ่อคุณแม่จะสังเกตได้อย่างไร เรามีวิธีมาบอก พร้อมกับแจ้งสิทธิรับอุปกรณ์หูเทียม สำหรับเด็กอายุไม่เกิน 5 ขวบด้วยค่ะ

จะรู้ได้อย่างไรว่าลูก บกพร่องทางการได้ยิน

เนื่องจากความพิการทางการได้ยินโดยส่วนใหญ่เป็นความพิการที่มองภายนอกไม่เห็น โดยทั่วไปจึงไม่พบความผิดปกติของร่างกาย ยกเว้นในบางรายที่มีความผิดปกติของหู ใบหน้า และศีรษะตั้งแต่เกิดร่วมด้วย จึงต้องอาศัยการประเมินปัจจัยเสี่ยง อาการหูเสียและสังเกตการตอบสนองต่อเสียง เช่น

  1. เรียกไม่หัน
  2. ร้องไห้โวยวายเสียงดัง
  3. ดื้อมากกว่าปกติ หรือมีปัญหาพูดช้า หรือพูดไม่ชัด
  4. ไม่ทำตามคำสั่ง
  5. ดูโทรทัศน์ เล่มคอมพิวเตอร์ แล้วเปิดเสียงดังกว่าปกติ

นอกจากนี้ บางครั้งเด็กอาจมีปัญหาด้านการเรียน หรือไม่เข้าสังคม หากคุณพ่อคุณแม่ หรือญาติ สงสัยว่าเด็กอาจมีปัญหาการได้ยิน แนะนำให้พาไปพบแพทย์ เพื่อให้ได้การวินิจฉัยและรับการรักษาอย่างเหมาะสมต่อไป

บกพร่องทางการได้ยิน
ลูก บกพร่องทางการได้ยิน ดูยังไง แก้อย่างไร

การรักษาหูหนวก

การรักษาหูหนวกมีหลากหลายวิธี ขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรงของอาการ ซึ่งวิธีการรักษา ได้แก่

  • หากการสูญเสียการได้ยิน มาจากการติดเชื้อแบคทีเรีย รักษาได้ด้วยการให้ผู้ป่วยใช้ยาปฏิชีวนะ
  • การผ่าตัดจะมีความจำเป็นหากเกิดการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ หรือหากเกิดการติดเชื้อซ้ำที่ต้องสอดท่อเพื่อระบายน้ำออก รวมไปถึงการผ่าตัดเพื่อระบายของเหลว ซ่อมแซมแก้วหูที่ทะลุ หรือแก้ไขกระดูกที่เกิดปัญหา

การสูญเสียการได้ยินที่มีสาเหตุมาจากความเสียหายของหูชั้นใน หรือโสตประสาทจะเป็นการสูญเสียอย่างถาวร โดยวิธีที่ช่วยให้ได้ยินและมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ ดังนี้

  • เครื่องช่วยฟัง (Hearing Aids) เป็นเครื่องที่ช่วยขยายเสียงให้ได้ยินชัดขึ้นและช่วยให้ได้ยินง่ายขึ้น โดยผู้ป่วยต้องปรึกษากับนักตรวจการได้ยินถึงประโยชน์ในการใช้เครื่องช่วยฟัง หรือวิธีการใช้และความเหมาะสมในการใช้กับผู้ป่วยแต่ละราย
  • ประสาทหูเทียม (Cochlear Implant) เป็นเครื่องมือที่จะช่วยทำงานทดแทนหูชั้นในส่วนที่ได้รับความเสียหายหรือไม่ทำงาน โดยอุปกรณ์ดังกล่าวจะแปลงสัญญาณเสียงให้เป็นสัญญาณไฟฟ้าในระดับที่ไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ แต่จะช่วยกระตุ้นเซลล์ขนภายในอวัยวะรับเสียงให้ทำหน้าที่ได้ดีขึ้น มักจะใช้กับผู้ป่วยที่ประสาทหูเสื่อมอย่างรุนแรง เช่น หูหนวกหรือหูเกือบหนวก

หลักเกณฑ์ว่าลูก บกพร่องทางการได้ยิน ต้องฝังประสาทหูเทียม

ข้อบ่งชี้ในการผ่าตัดฝังประสาทหูเทียม คือ

  1. อายุตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป
  2. สูญเสียการได้ยินทั้งสองข้างระดับรุนแรง ระดับการได้ยินมากกว่า 80 เดซิเบล และใช้เครื่องช่วยฟังแล้วไม่ได้ผล ไม่มีโรคที่เป็นอุปสรรคต่อการผ่าตัด
  3. มีสุขภาพจิต และสติปัญญาดีพอที่จะสามารถฟื้นฟูสมรรถภาพได้
  4. ต้องสามารถเข้ารับการฟื้นฟูสมรรถภาพการได้ยินหลังการผ่าตัด และติดตามผลเป็นระยะ ๆ ได้
  5. มีศักยภาพที่จะดูแล บำรุงรักษาอุปกรณ์ประสาทหูเทียมได้

ปัจจัยที่อาจส่งผลต่อการผ่าตัด

มีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลต่อความสำเร็จจากการผ่าตัดฝังประสาทหูเทียม เช่น

  • ในผู้ป่วยเด็กที่ไม่เคยมีพัฒนาการทางภาษามาก่อน หากผ่าตัดฝังประสาทหูเทียมเมื่ออายุมากกว่า 4 ปี อาจได้ผลไม่ดี
  • สาเหตุของการสูญเสียการได้ยิน
  • อายุที่เริ่มสูญเสียการได้ยิน
  • ระยะเวลาการสูญเสียการได้ยินและการฟื้นฟูการได้ยินในอดีต เป็นต้น

ดังนั้นเกณฑ์ดังกล่าวมีข้อจำกัดหลายอย่าง ทั้งนี้ความเหมาะสมของการผ่าตัดรักษาขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษา

บกพร่องทางการได้ยิน
ลูก บกพร่องทางการได้ยิน ดูยังไง แก้อย่างไร

สิทธิรับอุปกรณ์ประสาทหูเทียม

เด็กที่มีสิทธิ สามารถรับอุปกรณ์ประสาทหูเทียม ในการผ่าตัดฝังประสาทหูเทียม มีเกณฑ์ดังนี้

  1. เด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี ที่มีสิทธิบัตรทอง 30 บาท หรือสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
  2. เด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี ที่มีระดับการได้ยิน 90 เดซิเบลขึ้นไป
  3. ไม่เคยฝึกภาษามือ
  4. มีข้อบ่งชี้จากแพทย์เพื่อผ่าตัดรักษา

อุปกรณ์ประสาทหูเทียมที่จะได้รับ

สิทธิประโยชน์ที่ได้รับ คือ อุปกรณ์ชุดประสาทหูเทียม 1 ชุด/คน ประกอบด้วย 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่อยู่ในร่างกาย และส่วนที่อยู่นอกร่างกาย ดังนี้

1) ส่วนที่อยู่ในร่างกาย ประกอบด้วยอุปกรณ์สำคัญ คือ ตัวรับสัญญาณ (receiver) และ ขั้วไฟฟ้า (eleclrode array) ชนิดหลายขั้ว ตั้งแต่ 12 electrodes ขึ้นไป

2) ส่วนที่อยู่นอกร่างกาย ประกอบด้วย

2.1 เครื่องแปลงสัญญาณเสียงพูด (speech processor)
2.2 ขดลวดส่งต่อสัญญาณและแม่เหล็ก
2.3 สายไฟเชื่อมต่อเครื่องแปลงสัญญาณเสียงพูดเข้ากับขดลวดส่งต่อสัญญาณ (coilcable)
2.4 แบตเตอรี่ชนิดประจุไฟฟ้าใหม่ได้ (rechargeable battery) อย่างน้อย 2 ชุดพร้อมแท่นชาร์ต
2.5 มีระบบ Data Logging เพื่อให้สามารถรู้ว่าผู้ป่วยใช้งานหรือไม่
2.6 มีระบบการป้องกันน้ำที่มาตรฐานไม่ต่ำกว่า International Protection 57 ขึ้นไป
2.7 มีไมโครโฟน (omni direction) อย่างน้อย 2 ตัว
2.8 มีกล่องอบกันความชื้น

วิธีการใช้สิทธิ

ติดต่อที่หน่วยบริการตามสิทธิ โดยแสดงสูติบัตรในการเข้ารับบริการ หากหน่วยบริการตามสิทธิไม่มีแพทย์เฉพาะทางจะส่งต่อไปยังหน่วยบริการที่มี อุปกรณ์ชุดประสาทหูเทียม แต่หากมีเอกสารประกอบยืนยันประเภทคนพิการ สามารถเข้ารับบริการหน่วยบริการของรัฐได้ทุกแห่ง

การได้ยินในผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดฝังประสาทหูเทียม จะไม่เหมือนการได้ยินปกติ ผู้ป่วยต้องใช้เวลาในการเรียนรู้ และฝึกฝนจึงจะสามารถฟัง แปลผล และสื่อสารได้ จึงมีความจำเป็นที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากครอบครัว และบุคลากรหลายด้าน ซึ่งประกอบด้วย แพทย์ นักแก้ไขการพูด ครูการศึกษาพิเศษ หรือ ครูที่โรงเรียน เพื่อน ที่ต้องเอาใจใส่ พูดคุยกระตุ้นเพื่อให้ได้ฝึกฟังและพูดตลอดเวลา

สอบถามเพิ่มเติมการใช้สิทธิบัตรทอง สายด่วน สปสช. 1330 หรือช่องทางระบบออนไลน์ทั้งไลน์ สปสช. @nhso หรือคลิก https://lin.ee/zzn3pU6 และ Facebook : สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ https://www.facebook.com/NHSO.Thailand

 

ขอบคุณข้อมูลจาก
สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

แม่ๆเตรียมเฮ คัดกรองมะเร็งปากมดลูก สปสช.ดูแลทุกสิทธิ์

เช็คขั้นตอนตรวจ สิทธิ์ฝังยาคุม และรับบริการฟรี

บัตรทองให้เข้าถึงยา โรคข้ออักเสบไม่ทราบสาเหตุในเด็ก  

สก๊อตคิตซ์ซุปไก่สกัด ไทโรซีน

ลูกรัก Back to School ให้ “ไทโรซีน” ช่วยสมองไบร์ททุกวัน

Alternative Textaccount_circle
event
สก๊อตคิตซ์ซุปไก่สกัด ไทโรซีน
สก๊อตคิตซ์ซุปไก่สกัด ไทโรซีน

เลี้ยงลูกยุคใหม่จะช้าไม่ได้ !! ทุกวันแม่ต้องเตรียมตัวลูกให้พร้อม แข็งแรงทั้งร่างกายและสมองดีเรียนรู้ได้ไว สำหรับการเรียนรู้เพื่อพัฒนาการที่ดีสมวัยทั้งในและนอกห้องเรียน กองบรรณาธิการ Amarin Baby & Kids มีตัวช่วยสำหรับเด็กวัยเรียนให้พร้อมสตาร์ตออกไปเรียน ไปทำกิจกรรมสนุกนอกบ้านได้อย่างสดใส มาแนะนำให้ค่ะ นี่เลย “สก๊อตคิตซ์ซุปไก่สกัด” ที่มี “ไทโรซีน” ช่วยบำรุงร่างกายและสมอง

นานเป็นปี ๆ เลยนะ ที่เด็ก ๆ ต้องปรับตัวกับการใช้ชีวิตแบบ New normal จากที่ได้ออกนอกบ้านไปเรียน ไปวิ่งเล่น ทำกิจกรรมสนุก ก็ต้องปรับมาเรียนกันในรูปแบบ Online ใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ที่บ้าน ปัญหาส่วนหนึ่งที่คุณพ่อคุณแม่เจอและแชร์กันคือ ลูก ๆ มีความเครียด จากที่เป็นเด็ก active ก็กลายเป็นคนเนื่อย ๆ  ไม่ค่อยกระตือรือร้นอยากที่จะทำอะไร เรียนก็ไม่สนุก เล่นสนุกก็มาสะดุด!!

จากวันนั้นถึงช่วงนี้สถานการณ์ค่อย ๆ เริ่มกลับมาให้ใช้ชีวิตได้เกือบเป็นปกติแล้วนะคะ สามารถออกไปทำกิจกรรมนอกบ้านได้ สวนสนุก แหล่งเรียนรู้สำหรับเด็กหลาย ๆ ที่ก็เปิดให้ได้เข้าไปทำกิจกรรมกันแล้ว แต่ก็ยังคงต้องป้องกันตัวเองด้วยการสวมใส่หน้ากากอนามัย พกแอลกอฮอล์เจลล้างมือบ่อย ๆ  ที่สำคัญช่วงนี้ใกล้เปิดเทอม ให้เด็ก ๆ กลับเข้าไปเรียนในโรงเรียนแล้วค่ะ

เว้นระยะห่าง ใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อย ๆ กับยุค New Normal แค่นี้อาจยังไม่มากพอที่จะเป็นเกราะให้ลูกออกไปเจอโลกกว้างนอกบ้านได้อย่างปลอดภัยกันค่ะ ดีที่สุดสำหรับช่วงเวลานี้คือการเตรียมเด็ก ๆ ที่บ้าน ให้พวกเขามีความพร้อมมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นร่างกาย ใจ และสมอง ให้กลับมาสดใส มีความกระตือรือร้น แข็งแรง เพื่อจะได้ออกไปเรียน และทำกิจกรรมต่าง ๆ อย่างสนุกในทุกวันกันค่ะ

ไทโรซีน

ไทโรซีน คืออะไร ? ทำไมถึงดีกับร่างกาย และสมองของเด็ก

ไทโรซีน (Tyrosine) เป็นกรดอะมิโนชนิดหนึ่งที่สำคัญกับร่างกายของทุกคนเลยค่ะ เป็นสารสื่อประสาทที่สำคัญต่อการทำงานของสมอง ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทและสมอง เพิ่มประสิทธิภาพด้านการเรียนรู้ ช่วยฟื้นฟูความจำ ให้มีสมาธิจดจ่อ ไม่เบลอ ไม่หลุดโฟกัส สมองจะตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา เมื่อสมองไม่ล้า มีความ active ร่างกายเด็ก ๆ ก็พร้อมออกสตาร์ตที่จะไปเรียนหนังสือ หรือทำกิจกรรมการเรียนรู้ต่าง ๆ ได้อย่างไว

ไทโรซีน เป็นกรดอะมิโนที่ร่างกายสามารถสังเคราะห์ขึ้นได้เองค่ะ จากการที่รับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น นม เนื้อสัตว์ ข้าวโอ๊ต ข้าวสาลี ฯลฯ ฉะนั้นแนะนำว่าในเด็กวัยเรียน วัยกำลังเติบโต คุณแม่ควรดูแลเรื่องโภชนาการอาหารการกินของลูก เพื่อที่จะให้ร่างกายได้รับโปรตีนอย่างเพียงพอ เพราะถ้าร่างกายขาดโปรตีน หรือมีไม่เพียงพอ ก็จะส่งผลต่อไทโรซีน (Tyrosine) ในร่างกายที่จะนำไปใช้บำรุงสมองนั่นเองค่ะ

สก๊อต คิตซ์ ซุปไก่สกัด ที่แม่ยุคใหม่เลือกให้ลูกได้ดื่มทุกวัน

นอกจากอาหารที่คุณแม่เตรียมให้ลูก ๆ ได้รับประทานกับครบ 3 มื้อ และมีโปรตีน และสารอาหารที่จำเป็นครบ 5 หมู่ คุณแม่ก็ยังเติมไทโรซีนให้กับลูกได้ง่ายๆ สะดวกในทุกวัน ด้วยเครื่องดื่มสำหรับเด็กที่ช่วยบำรุงสมองให้สดชื่น กระปรี้กระเปร่า และมีร่างกายที่แข็งแรง อย่าง “สก๊อตคิตซ์ซุปไก่สกัด” ที่มีไทโรซีน ช่วยบำรุงสมอง และยังมีสารอาหารอย่าง DHA , OMEGA 3 , วิตามินต่าง ๆ อีกหลายชนิด ซึ่งเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายของเด็ก ๆ

ซึ่งความพิเศษของสก๊อต คิตซ์ ซุปไก่สกัดคือ อร่อย ดื่มง่ายรสชาติที่เด็กๆคุ้นเคย ที่สำคัญ สะดวก รวดเร็ว และได้คุณประโยชน์แบบเต็ม ๆ เพราะย่อยง่าย ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ได้ทันที ไม่ต้องรอ เรียกได้ว่ารวดเร็วกว่าการกินอาหารมื้อใหญ่แต่ให้คุณประโยชน์ไม่ต่างกัน

สก๊อต คิตซ์ ซุปไก่สกัด ดื่มง่าย สะดวก รวดเร็ว ประโยชน์ครบทั้งบำรุงสมองและร่างกาย แนะนำให้แช่เย็นก่อนดื่มค่ะ ยิ่งแช่เย็น ๆ ยิ่ง อร่อย สดชื่น ให้ลูกดื่มทั้งตอนเช้า และก่อนนอน ขอบอกค่ะว่าดีได้ประโยชน์มาก

กองบรรณาธิการขอแนะนำ 3 สูตรของสก๊อตคิตซ์ซุปไก่สกัด สำหรับเด็กวัยเรียน เป็นเครื่องดื่มที่เหมาะกับเด็กตั้งแต่วัย 4-12 ปี วัยสำหรับการเริ่มต้นเรียนรู้ทั้งในและนอกห้องเรียน

สก๊อตคิตซ์ซุปไก่สกัดผสมนมรสช็อกโกแลต

 

  • สก๊อต คิตซ์ ซุปไก่สกัดผสมนม รสช็อกโกแลต

อร่อย ดื่มง่าย เป็นรสที่เด็ก ๆ ชื่นชอบ ได้ประโยชน์มากกว่านมธรรมดาถึง 2 เท่า จากการผสานคุณค่าของซุปไก่สกัดเข้ากับนม พร้อม DHA , OMEGA 3 และวิตามินบีคอมเพล็กซ์ 8 ชนิด  และยังมีไทโรซีนบำรุงสมอง   เด็กๆ ต้องมีสมองที่ดีและร่างกายที่แข็งแรง เพื่อพัฒนาการที่ดีสมวัย พร้อมสำหรับทุกการเริ่มต้นครั้งสำคัญในชีวิต ดื่มตอนเช้าเตรียมพร้อมสำหรับทุกการเรียนรู้ทั้งในและนอกห้องเรียนแบบ new normal

สก๊อต คิตซ์ ช็อกโก ซุปไก่สกัด

  • สก๊อต คิตซ์ ช็อกโก ซุปไก่สกัด

เติมพลังสมองอีกขั้น ด้วยซุปไก่สกัดสูตรเข้มข้นบำรุงสมองสำหรับเด็ก  ได้คุณค่าจากซุปไก่สกัดเข้มข้น พร้อม DHA , OMEGA3 และวิตามินบี 12  พร้อมมีไทโรซีน บำรุงสมองเข้มข้น  ดื่มก่อนนอน เพื่อให้สมองได้รับการบำรุงอย่างล้ำลึก ตื่นมาพร้อมรับเช้าวันใหม่อย่างสดใส

  • สก๊อต คิตซ์ กลิ่นมิลค์กี้บัตเตอร์ ซุปไก่สกัด

อีก 1 รสชาติที่หอมอร่อยดื่มง่ายและมี วิตามินหลากหลาย ไม่แพ้กัน  เป็นซุปไก่สกัดเข้มข้นบำรุงสมองและเสริมภูมิคุ้มกันสำหรับเด็ก ได้คุณค่าจากซุปไก่สกัดเข้มข้น พร้อม DHA , OMEGA3 และมีไทโรซีน  บำรุงสมองเข้มข้น พร้อมมีเบต้ากลูแคน ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน ให้เด็กแข็งแรง ไม่ป่วยง่ายเหมาะกับยุค New Normal อีกด้วย เสริมภูมิ และ บำรุงสมอง อร่อยง่าย ๆ ได้ประโยชน์ทุกวัน

คุณแม่บำรุงสุขภาพร่างกายให้กับลูก ๆ ที่บ้านได้ทั้งเช้า และก่อนนอนด้วยเครื่องดื่มสำหรับเด็ก สก๊อต คิตซ์ 3 สูตร นอกจากจะได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์อย่างไทโรซีนแล้ว ก็ยังจะได้สารอาหารที่ดีกับเด็กวัยเรียน นั่นก็คือ DHA , Omega 3 และ วิตามินบี 12

DHA มีส่วนสำคัญในการพัฒนาระบบประสาทให้ทำงานได้มีประสิทธิภาพ ช่วยในด้านความจำ และยังส่งเสริมการทำงานของดวงตาให้มีประสิทธิภาพในการมองเห็น  นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยลดการอักเสบต่าง ๆ ของร่างกาย

Omega 3 มีบทบาทสำคัญต่อโครงสร้างการทำงานของสมอง ตับ และระบบประสาทเกี่ยวกับการพัฒนาเรียนรู้  นอกจากนี้ยังช่วยบำรุงสายตาในเรื่องการมองเห็น ช่วยเสริมให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายแข็งแรงอยู่ตลอดเวลา

วิตามินบี 12 มีส่วนสำคัญในการเสริมสร้างการเจริญเติบโต และการทำงานของระบบประสาท ช่วยเสริมสร้างระบบการเม็ดเลือดภายในร่างกายให้เป็นปกติ

จะเปิดเทอม หรือเรียนออนไลน์ที่บ้าน เด็กยุคใหม่ไลฟ์สไตล์แบบ New Normal ก็พร้อมออกสตาร์ตเรียนรู้ตลอด 365 วัน เพราะมีเครื่องดื่มบำรุงทั้งสมองและร่างกายสำหรับเด็กที่ดื่มง๊าย ง่ายได้ทุกวัน ทั้งเช้าและก่อนนอน อย่างสก๊อต คิตซ์ ซุปไก่สกัดที่มีไทโรซีน ช่วยให้สมองสดชื่น แอคทีฟตลอดวัน จะเรียน หรือทำกิจกรรมสนุกก็ไม่สะดุดแน่นอนค่ะ สามารถสั่งซื้อเครื่องดื่มสก๊อตคิตซ์ซุปไก่สกัด มีประโยชน์จากไทโรซีนเต็ม ๆ ขวด กับ 3 สูตร ที่อร่อยไม่แพ้กัน รสชาติคุ้นเคย ที่เด็กทุกคนชื่นชอบ ได้ที่ 3 ช่องทางนี้นะคะ

Shopee : https://bit.ly/3yukZTI

Lazada : https://bit.ly/3PfelGu

JD Central : https://bit.ly/3M3EOoK

#วัยสตาร์ตต้องสก๊อตคิตซ์ซุปไก่

#สก๊อตคิตซ์ซุปไก่มีไทโรซีน

#บำรุงสมองและร่างกาย

#อร่อยดื่มง่ายไม่คาว

#ดื่มสก๊อตคิตซ์แล้วไบร์ท

แจกผ้าอนามัยฟรี

เขตบางขุนเทียน แจกผ้าอนามัยฟรี รับนโยบายชัชชาติ

Alternative Textaccount_circle
event
แจกผ้าอนามัยฟรี
แจกผ้าอนามัยฟรี

เขตบางขุนเทียน แจกผ้าอนามัยฟรี รับนโยบายชัชชาติ

ผ้าอนามัยนับเป็นสิ่งจำเป็นมาก ๆ สำหรับเด็กหญิงในวัยที่เริ่มมีประจำเดือนแล้ว ซึ่งค่าผ้าอนามัยในแต่ละเดือนนอกจากคุณแม่จะต้องจ่ายให้ตัวเองแล้ว ยังต้องเตรียมหาไว้สำหรับลูกที่เข้าสู่วัยสาว นับเป็นค่าใช้จ่ายที่มาก จนหลาย ๆ บ้านก็ไม่สามารถจ่ายไหว จนพบว่าเด็กนักเรียนหญิงหลายคนถึงขั้นต้องหยุดโรงเรียนเพราะไม่มีเงินซื้อผ้าอนามัย เรื่องนี้ทางเขตบางขุนเทียนได้จับมือกับภาคีเครือข่ายในพื้นที่ แจกผ้าอนามัยฟรี ให้กับนักเรียนหญิง ตามนโยบายนำร่องผ้าอนามัยฟรี ของ ดร. ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. คนล่าสุด ค่ะ

เขตบางขุนเทียน แจกผ้าอนามัยฟรี

สำนักงานเขตบางขุนเทียน ได้ร่วมกับภาคีเครือข่ายในพื้นที่ จัดหาผ้าอนามัยฟรีให้กับนักเรียน ตามนโยบายนำร่องผ้าอนามัยฟรี โดยระบุว่า

“เชื่อหรือไม่ มีเด็กต้องขาดเรียน
…เพราะไม่มีผ้าอนามัย

แจกผ้าอนามัยฟรี
เขตบางขุนเทียน แจกผ้าอนามัยฟรี นำร่องให้นักเรียน รับนโยบายชัชชาติ

 

จากการศึกษาในบางประเทศ และการลงพื้นที่พบว่า การขาดแคลนผ้าอนามัยส่งผลต่อการขาดเรียน หรือขาดงาน รวมถึงการเปลี่ยนผ้าอนามัยน้อยครั้ง หรือใช้วัสดุอื่นที่ไม่เหมาะสมแทน อาจเสี่ยงติดเชื้อและมีปัญหาสุขภาพอื่นๆ ตามมาได้
.
สำนักงานเขตบางขุนเทียน จึงได้จับมือ ภาคีเครือข่ายในพื้นที่ ประกอบด้วย เซ็นทรัล พระราม 2, ชมรมรักบางขุนเทียน, สโมสรกีฬาบางขุนเทียน สโมสรโรตารี กรุงเทพ บางขุนเทียน และเจ้าหน้าที่เทศกิจ กทม. นำร่องจัดหาผ้าอนามัยฟรีให้กับนักเรียน ตามนโยบายนำร่องผ้าอนามัยฟรี (เศรษฐกิจดี, สุขภาพดี) จำนวนกว่า 20,000 ชิ้น เพื่อลดภาระผู้ปกครอง และนักเรียนโรงเรียนสังกัด กทม. 16 โรงเรียน ที่มีนักเรียนหญิงประมาณ 2,000 คน โดยจะนำผ้าอนามัยไปจัดวางในห้องน้ำของโรงเรียน ห้องพยาบาล เพื่อให้เข้าถึงได้สะดวก”

แจกผ้าอนามัยฟรี
เขตบางขุนเทียน แจกผ้าอนามัยฟรี

นโยบายนำร่องผ้าอนามัยฟรี

นโยบายนำร่องผ้าอนามัยฟรี เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายในด้านเศรษฐกิจดี และสุขภาพดี ของนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เพื่อลดภาระผู้ปกครอง และนักเรียนโรงเรียนสังกัด กทม. รวมถึงแก้ปัญหาความจนประจำเดือน ที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน และสุขภาพอนามัยของผู้มีประจำเดือน โดยนโยบายมีรายละเอียดว่า

“ผ้าอนามัย คือปัจจัยพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับผู้มีประจำเดือนทุกคน ในแต่ละเดือนผู้มีประจำเดือนมีค่าใช้จ่ายในการซื้อผ้าอนามัยอยู่ที่ราว 80-150 บาทต่อเดือน หรือคิดเป็นจำนวนผ้าอนามัยประมาณ 20 แผ่นต่อเดือน ภาระในการจัดหาผ้าอนามัยจำนวนนี้ อาจส่งผลให้เกิดปัญหาที่เรียกว่า ความจนประจำเดือน หรือ Period Poverty ขึ้นได้

Period poverty หมายถึง ความไม่สามารถในการเข้าถึงผ้าอนามัย เช่น ไม่สามารถซื้อได้ เข้าถึงได้แต่ไม่เพียงพอ ไปจนถึงการใช้งานอย่างไม่เหมาะสม เช่น เปลี่ยนผ้าอนามัยน้อยครั้ง หรือใช้วัสดุอื่นที่ไม่เหมาะสมแทน จึงอาจเสี่ยงติดเชื้อและมีปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ตามมาได้

นอกจากนี้ การศึกษาในต่างประเทศเกี่ยวกับ period poverty หลายชิ้นสะท้อนว่า การขาดแคลนผ้าอนามัยส่งผลต่อการขาดเรียนหรือขาดงานด้วย ด้านผลการสำรวจของ BMC Women’s Health ที่ทำการศึกษากับกลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา พบว่า ผู้ที่ประสบปัญหา period poverty มีแนวโน้มที่จะมีภาวะซึมเศร้าระดับปานกลางจนถึงรุนแรงมากกว่ากลุ่มที่ไม่เคยประสบปัญหาเลย

เพื่อแบ่งเบาภาระของผู้มีประจำเดือน และครอบครัว และลดความเสี่ยงของปัญหาอื่น ๆ ที่อาจตามมา กทม. จะนำร่องจัดหาผ้าอนามัย ให้กับนักเรียนในโรงเรียนสังกัดกทม.

โดยจะจัดจุดจัดวางในห้องน้ำของโรงเรียน หรือไว้ที่ห้องพยาบาล เพื่อให้เข้าถึงได้สะดวก และสอดคล้องกับความจำเป็น โดยจะประเมินประสิทธิภาพถึงวิธีการแจก และตัวเลือกผ้าอนามัยที่ตอบสนองต่อผู้ใช้งาน ก่อนจะพิจารณาขยายผลให้ครอบคลุมทุกกลุ่มผู้มีประจำเดือนต่อไป”

ในต่างประเทศ มีแจกผ้าอนามัยฟรี และยกเลิกภาษีผ้าอนามัยแล้ว

ทั้งนี้มีหลายประเทศพยายามแก้ปัญหาภาระค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับผ้าอนามัย ดังนี้

ประเทศที่แจกฟรี

  • สก๊อตแลนด์ ผ่านกฎหมายให้ผู้มีประจำเดือน ใช้ผ้าอนามัยฟรีเป็นประเทศแรกของโลก

ประเทศที่ยกเลิกภาษีผ้าอนามัย

  • เคนยา ประเทศแรกที่ยกเลิกภาษีผ้าอนามัย ตั้งแต่ปี 2004
  • ไนจีเรีย
  • แทนซาเนีย
  • เลบานอน
  • จาเมกา
  • มาเลเซีย
  • นิการากัว
  • ไอร์แลนด์
  • อเมริกา ยกเลิกภาษีผ้าอนามัยใน 18 รัฐ
  • อังกฤษ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก

สำนักงานเขตบางขุนเทียน,ชัชชาติ สิทธิพันธุ์,The Standard

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

ไขข้อสงสัย! ใส่ผ้าอนามัยนานๆ เสี่ยงเป็นมะเร็งปากมดลูกจริงหรือ?

ประจำเดือนสีดำ &เลือดล้างหน้าเด็กจะมีข่าวดีหรือผิดปกติ?

ประจำเดือนเป็นก้อน เป็นลิ่มเลือด เกิดจากอะไร อันตรายมั้ย ต้องรู้!

เนื้อเพลงเด็กอนุบาล

20 เนื้อเพลงเด็กอนุบาล เสริมพัฒนาการลูกด้วยเสียงเพลง

Alternative Textaccount_circle
event
เนื้อเพลงเด็กอนุบาล
เนื้อเพลงเด็กอนุบาล

เนื้อเพลงเด็กอนุบาล คุณพ่อคุณแม่ร้องให้ลูกฟัง หรือร้องร่วมกันกับลูก สร้างความเพลิดเพลิน ลูกน้อยอารมณ์ดี ช่วยเสริมพัฒนาการของลูกในด้านต่าง ๆ

20 เนื้อเพลงเด็กอนุบาล เสริมพัฒนาการลูกด้วยเสียงเพลง

ดนตรีและเสียงเพลง ช่วยเสริมพัฒนาการเด็ก ทั้งทางสมองและร่างกาย ทำให้เด็กมีสมาธิ ฝึกความจำ ส่งเสริมจินตนาการ ขณะร้องเพลงก็ชวนลูกทำท่าทางต่าง ๆ ตามเพลง ช่วยเสริมพัฒนาการทางด้านกล้ามเนื้อ ทั้งแขน ขา และส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย ทีมกองบรรณาธิการ ABK ได้รวบรวม เนื้อเพลงเด็กอนุบาล มาให้คุณพ่อคุณแม่ได้ร้องกับลูกกันแล้วค่ะ

ร้องเพลงเสริมพัฒนาการ
ร้องเพลงเสริมพัฒนาการ

20 เนื้อเพลงเด็กอนุบาล เสริมพัฒนาการลูกด้วยเสียงเพลง

จับปูดำ ขยำปูนา

จับปูดำ ขยำปูนา
จับปูม้า คว้าปูทะเล
สนุกจริงเลย ชะเลยนอนเปล
จะโอละเห่ นอนเปล หลับไป

 

ช้าง

ช้าง ช้าง ช้าง ช้าง ช้าง
น้องเคยเห็นช้างหรือเปล่า
ช้างมันตัวโตไม่เบา
จมูกยาว ๆ เรียกว่างวง
มีเขี้ยวใต้งวงเรียกว่างา
มีหู มีตา หางยาว

 

นิ้วโป้งอยู่ไหน?

นิ้วโป้งอยู่ไหน?  นิ้วโป้งอยู่ไหน?
อยู่นี่จ๊ะ  อยู่นี่จ๊ะ
สุขสบายดีหรือไร?
สุขสบายทั้งกายและใจ
ไปก่อนนะ  สวัสดี

นิ้วชี้อยู่ไหน?  นิ้วชี้อยู่ไหน?
อยู่นี่จ๊ะ  อยู่นี่จ๊ะ
สุขสบายดีหรือไร?
สุขสบายทั้งกายและใจ
ไปก่อนนะ  สวัสดี

นิ้วกลางอยู่ไหน  นิ้วกลางอยู่ไหน?
อยู่นี่จ๊ะ  อยู่นี่จ๊ะ
สุขสบายดีหรือไร?
สุขสบายทั้งกายและใจ
ไปก่อนนะ  สวัสดี
นิ้วนางอยู่ไหน?  นิ้วนางอยู่ไหน?
อยู่นี่จ๊ะ  อยู่นี่จ๊ะ
สุขสบายดีหรือไร?
สุขสบายทั้งกายและใจ
ไปก่อนนะ  สวัสดี
นิ้วก้อยอยู่ไหน?  นิ้วก้อยอยู่ไหน?
อยู่นี่จ๊ะ  อยู่นี่จ๊ะ
สุขสบายดีหรือไร?
สุขสบายทั้งกายและใจ
ไปก่อนนะ  สวัสดี

รำระบำชาวเกาะ

รำระบำชาวเกาะ  ไพเราะเสนาะจับใจ
สายน้ำหลั่งไหล  สายน้ำหลั่งไหล
กระทบหาดทราย ดังครื่นๆ
กระทบหาดทราย ดังครื่นๆ

กำมือขึ้น

กำมือขึ้นแล้วหมุน ๆ ชูมือขึ้นโบกไปมา
กำมือขึ้นแล้วหมุน ๆ ชูมือขึ้นโบกไปมา
กางแขนขึ้นแหละลง พับแขนมือแตะไหล่
กางแขนขึ้นแหละลง ชูมือขึ้นหมุนไปรอบตัว

ดื่มนม

ดื่ม ดื่ม ดื่ม เรามาดื่ม ดื่ม นมกันเถอะ
ดื่มแล้ว อย่าทำเลอะเทอะ
ดื่มแล้ว อย่าทำเลอะเทอะ
ดื่มนมเยอะๆ ร่างกายแข็งแรง

แมงมุมลายตัวนั้น

แมงมุมลายตัวนั้น
ฉันเห็นมันซมซานเหลือทน
วันหนึ่งมันเปียกฝน ไหลหล่นจากบนหลังคา
พระอาทิตย์ส่องแสง น้ำแห้งเหือดไปลับตา
มันรีบไต่ขึ้นฟ้า หันหลังมาทำตาลุกวาว

โรงเรียนน่าอยู่

โรงเรียนของเราน่าอยู่
คุณครูใจดีทุกคน
เด็กเด็กก็ไม่ซุกซน
พวกเราทุกคน
ชอบมาโรงเรียน
ชอบมาชอบมาโรงเรียน
ชอบมาชอบมาโรงเรียน

มดตัวน้อยตัวนิด

มดตัวน้อยตัวนิด มดตัวน้อยตัวนิด มดมีฤทธิ์น่าดู ยู้ฮู
มาไวไวกันหน่อย มาเร็วเร็วกันหน่อย ยู้ฮู
ฉันเป็นมดขยัน ฉันเป็นมดขยัน มดทั้งนั้น อู้ฮู
งานเราไม่เคยหวั่น ทำงานกันสนุก ยู้ฮู
ร้องเพลงช่วยให้เด็กเพลิดเพลิน อารมณ์ดี
ร้องเพลงช่วยให้เด็กเพลิดเพลิน อารมณ์ดี

20 เนื้อเพลงเด็กอนุบาล เสริมพัฒนาการลูกด้วยเสียงเพลง

เด็กเอ๋ย เด็กดี

เด็กเอ๋ยเด็กดี  ต้องมีหน้าที่สิบอย่างด้วยกัน
เด็กเอ๋ยเด็กดี  ต้องมีหน้าที่สิบอย่างด้วยกัน
หนึ่ง นับถือศาสนา
สอง รักษาธรรมเนียมมั่น
สาม เชื่อพ่อแม่ครูอาจารย์
สี่ วาจานั้นต้องสุภาพอ่อนหวาน
ห้า ยึดมั่นกตัญญู
หก เป็นผู้รู้รักการงาน
เจ็ด ต้องศึกษาให้เชี่ยวชาญ ต้องมานะบากบั่น ไม่เกียจไม่คร้าน
แปด รู้จักออมประหยัด
เก้า ต้องซื่อสัตย์ตลอดกาล น้ำใจนักกีฬากล้าหาญ ให้เหมาะกับกาลสมัยชาติพัฒนา
สิบ ทำตนให้เป็นประโยชน์ รู้บาปบุญคุณโทษ สมบัติชาติต้องรักษา
เด็กสมัยชาติพัฒนา จะเป็นเด็กที่พาชาติไทยเจริญ

 

กบเอยทำไมจึงร้อง

กบเอยทำไมจึงร้อง กบเอยทำไมจึงร้อง
จำเป็นต้องร้องก็เพราะว่าท้องมันปวด

ท้องเอยทำไมจึงปวด ท้องเอยทำไมจึงปวด
จำเป็นต้องปวดก็เพราะว่าข้าวมันดิบ

ข้าวเอยทำไมจึงดิบ ข้าวเอยทำไมจึงดิบ
จำเป็นต้องดิบก็เพราะว่าไฟมันดับ

ไฟเอยทำไมจึงดับ ไฟเอยทำไมจึงดับ
จำเป็นต้องดับก็เพราะว่าฟืนมันเปียก

ฟืนเอยทำไมจึงเปียกฟืนเอยทำไมจึงเปียก
จำเป็นต้องเปียกก็เพราะว่าฝนมันตก

ฝนเอยทำไมจึงตก ฝนเอยทำไมจึงตก
จำเป็นต้องตกก็เพราะว่ากบมันร้อง

 

ก๊าบ ก๊าบ ก๊าบ เป็ดอาบน้ำในคลอง

ก๊าบ ก๊าบ ก๊าบ เป็ดอาบน้ำในคลอง
ตาก็จ้องแลมอง เพราะในคลองมีหอย ปลา ปู

 

โอ้ทะเลแสนงาม

มดตัวน้อยตัวนิด มดตัวน้อยตัวนิด มดมีฤทธิ์น่าดู ยู้ฮู
มาไวไวกันหน่อย มาเร็วเร็วกันหน่อย ยู้ฮู
ฉันเป็นมดขยัน ฉันเป็นมดขยัน มดทั้งนั้น อู้ฮู
งานเราไม่เคยหวั่น ทำงานกันสนุก ยู้ฮู

อึ่งอ่าง

อึ่งอ่างมานั่งข้างโอ่ง
มานั่งโย่ง โย่ง มาคอยกินมด
เด็กเอ๋ยเจ้าอย่าพูดปด
เด็กเอ๋ยเจ้าอย่าพูดปด
จะเป็นดั่งมด เป็นเหยื่ออึ่งอ่าง

 

รีบไปโรงเรียน

หนูหนูเด็กๆทั้งหลายอย่านอนตื่นสายเป็นเด็กเกียจคร้าน
ตื่นเช้าจะได้เบิกบาน สดชื่นสำราญสมองแจ่มใส
อาบน้ำล้างหน้าสีฟัน รีบเร่งเร็วพลันแต่งตัวทันใด
รับประทานอาหารเร็วไวเสร็จแล้วก็รีบไปโรงเรียน

 

หนูมาลีมีลูกแมวเหมียว

หนูมาลีมีลูกแมวเหมียว ลูกแมวเมียว ลูกแมวเหมียว
หนูมาลีมีลูกแมวเหมียว ขนมันดูคล้ายสำลี
หนูมาลีไปเที่ยวที่ใด เที่ยวทีใด เที่ยวที่ใด
หนูมาลีไปเที่ยวที่ใด ลูกแมวตามไปทันที

 

เต่า4ขา

เต่าเอ๋ยเต่า เต่ามันมีสี่ขา สี่ตีนเดินมา
มันทำหัวผลุบๆโผล่ๆ มันทำหัวผลุบๆโผล่ๆ

 

ตาดูหูฟัง

เรามีตาไว้ดู เรามีหูไว้ฟัง
คุณครูท่านสอนท่านสั่ง
ต้องตั้งใจฟัง ต้องตั้งใจดู

 

อาบน้ำแล้วสบายตัว

อาบน้ำแล้วสบายตัว
สบายหัวหนูหมั่นสระผม
ตัดเล็บที่มันแหลมคม
ปากหอมน่าชมเพราะหนูแปรงฟัน

 

อย่าทิ้งขยะ

อย่าทิ้งขยะนะเออ ลูกเป็ดเค้าเจอเดี๋ยวเค้าดุเอา
อย่าทิ้งขยะนะเรา ลูกเป็กเห็นเข้าบ่นกัน พึมพัม
ก๊าบ ก้าบ ก้าบ ก้าบ ก้าบ
ก๊าบ ก้าบ ก้าบ ก้าบ ก้าบ

 

กิจกรรมร้องเพลงกับลูกตาม เนื้อเพลงเด็กอนุบาล ที่ ทีมกองบรรณาธิการ ABK นำมาฝากนี้ คงทำให้คุณพ่อคุณแม่และคุณลูก สนุกสนานเพลิดเพลินกันนะคะ

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

เพลงเป็ดอาบน้ำในคลอง เพลงเด็กอนุบาล รวมหลายเวอร์ชั่น ให้ลูกได้ร้องเต้น สนุก ได้ทักษะ

6 เพลงกไก่ เพลงเด็กอนุบาล ร้องเพลิน ฝึกภาษา เสริมพัฒนาการสมอง

รวมเพลงเด็กภาษาอังกฤษ ร้องง่าย ฟังติดหู ลูกได้ฝึกคำศัพท์

รวม 9 เพลงเด็ก แบบภาษาอังกฤษ สำหรับเต้นสนุก ฝึกทักษะ เสริมพัฒนาการ

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

Amarin Baby & Kids

โรคติดต่อระหว่างสัตว์และคน

5 อันดับ โรคติดต่อระหว่างสัตว์และคน พ่อแม่ต้องระวังเข้ม

Alternative Textaccount_circle
event
โรคติดต่อระหว่างสัตว์และคน
โรคติดต่อระหว่างสัตว์และคน

5 อันดับ โรคติดต่อระหว่างสัตว์และคน พ่อแม่ต้องระวังเข้ม

โรคระบาดที่รุนแรงในโลกเรานี้ หลายโรคสามารถติดต่อระหว่างสัตว์สู่คนได้ ทั้งมาจากสัตว์เลี้ยงและสัตว์ป่า 5 อันดับ โรคติดต่อระหว่างสัตว์และคน พ่อแม่ต้องระวังเข้ม มีโรคอะไรบ้าง มาดูกันค่ะ

5 อันดับ โรคติดต่อระหว่างสัตว์และคน

สำหรับโรคติดต่อระหว่างสัตว์เเละคนที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ 5 อันดับเเรก ได้แก่

1. โรคติดต่อระหว่างสัตว์และคน โรคไข้หวัดนก (Zoonotic avian influenza)

โรคไข้หวัดนกเกิดจากการติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่บางสายพันธุ์ที่พบในนกและสัตว์ปีก โดยอาการและความรุนแรงของโรคขึ้นกับสายพันธุ์ของไวรัสและชนิดของสัตว์ปีกที่ติดเชื้อ สายพันธุ์ที่มีความสำคัญคือ H5N1 ซึ่งทำให้สัตว์ปีกที่ติดเชื้อมีอาการรุนแรงและตายอย่างรวดเร็ว

ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคไข้หวัดนก คือผู้ที่มีประวัติสัมผัสสัตว์ปีกในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคไข้หวัดนก ในช่วง 14 วันก่อนมีอาการ มักมีอาการเด่นคือ

  • อาการทางระบบทางเดินหายใจ ส่วนใหญ่มีอาการไอและหายใจเหนื่อยหอบจากปอดอักเสบ บางรายอาจพบภาวะแทรกซ้อนทางปอดรุนแรง คือระบบทางเดินหายใจล้มเหลว
  • อาการทางระบบทางเดินอาหาร เช่น ท้องเสีย
  • อาการทางระบบประสาท เช่น ซึม ชัก
ในผู้ป่วยที่อาการรุนแรงมากจะมีภาวะการทำงานของหลายอวัยวะล้มเหลวและเสียชีวิตได้
โรคติดต่อระหว่างสัตว์และคน
5 อันดับ โรคติดต่อระหว่างสัตว์และคน

2.โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19, SARS, MERS)

ไวรัสโคโรนา เป็นไวรัสที่ถูกพบครั้งแรกในปี 1960 แต่ยังไม่ทราบแหล่งที่มาอย่างชัดเจนว่ามาจากที่ใด แต่เป็นไวรัสที่สามารถติดเชื้อได้ทั้งในมนุษย์และสัตว์ ปัจจุบันมีการค้นพบไวรัสสายพันธุ์นี้แล้วทั้งหมด 6 สายพันธุ์ ส่วนสายพันธุ์ที่กำลังแพร่ระบาดหนักทั่วโลกตอนนี้เป็นสายพันธุ์ที่ยังไม่เคยพบมาก่อน คือ สายพันธุ์ที่ 7 จึงถูกเรียกว่าเป็น “ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่” และในภายหลังถูกตั้งชื่ออย่างเป็นทางการว่า “โควิด-19” (COVID-19) นั่นเอง

อาการของไวรัสโควิด-19 ที่สังเกตได้ง่าย ๆ ด้วยตัวเอง ดังนี้

  • มีไข้
  • เจ็บคอ
  • ไอแห้ง ๆ
  • น้ำมูกไหล
  • หายใจเหนื่อยหอบ

3.โรคติดเชื้อไวรัสนิปาห์ (Nipah virus)

โรคติดเชื้อไวรัสนิปาห์ เป็นโรคติดต่อระหว่างสัตว์สู่คน ที่เกิดจากการสัมผัสมูลสัตว์ และสารคัดหลั่งของพาหะนำโรค ได้แก่ ค้างคาวผลไม้ หรือสุกร ม้า แมว แพะ แกะ ที่รับเชื้อมาจากค้างคาวผลไม้อีกต่อหนึ่ง

อาการ

  1. มีลักษณะอาการคล้ายกับอาการไข้หวัดธรรมดา เช่น มีไข้ ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามเนื้อตามตัว
  2. หายใจเร็ว หรือหายใจลำบาก
  3. หากเริ่มมีอาการหนักขึ้น จะเริ่มไอเสียงดัง
  4. อาจมีอาการแทรกซ้อนที่อันตรายขึ้นมา เช่น ปอดบวม สมองอักเสบ ส่วนใหญ่เมื่ออาการหนัก จะมีอาการคล้ายโรคสมองอักเสบ (คนไทยจะเรียกโรคนี้ว่า โรคสมองอักเสบนิปาห์)
  5. เริ่มซึม สับสน หรือมีอาการชัก

4.โรคพิษสุนัขบ้า (Rabies)

เป็นโรคติดต่อจากสัตว์เลือดอุ่น โดยเฉพาะ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม ติดต่อมาสู่คนโดยถูกสัตว์ที่มีเชื้อพิษสุนัขบ้ากัด ข่วน หรือเลีย บริเวณที่มีแผลรอยข่วน หรือน้ำลายของสัตว์ที่มี เชื้อพิษสุนัขบ้าเข้าตา ปาก จมูก

สัตว์ที่นำโรคที่สำคัญที่สุดได้แก่ สุนัข แมว และอาจพบในสัตว์อื่นๆ ทั้งสัตว์เลี้ยง เช่น หมู ม้า วัว ควายและสัตว์ป่า เช่น ลิง ชะนี กระรอก กระแต เป็นต้น

เมื่อคนได้รับเชื้อแล้ว และไม่ได้รับการป้องกันที่ถูกต้อง ส่วนใหญ่จะมีอาการหลังจากรับเชื้อ 15 – 60 วัน บางรายอาจน้อยกว่า 10 วัน หรือนานเป็นปี

เนื่องจากขณะนี้ไม่มียาที่ใช้ในการรักษาโรคพิษสุนัขบ้า ผู้ที่ป่วยด้วยโรคนี้จะเสียชีวิตทุกราย การป้องกันโรคจึงสำคัญที่สุด ควรนำสัตว์เลี้ยง เช่น สุนัข แมว ไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เมื่อถูกสุนัขหรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมกัด ให้รีบล้างแผลด้วยสบู่และน้ำสะอาดหลายๆ ครั้ง เช็ดให้แห้งแล้วใส่สารละลายไอโอดีนที่ไม่มี แอลกอฮอล์ เช่น โพวิดีน ไอโอดีน หรือยารักษาแผลสดอื่น ๆ แทน และรีบไปพบแพทย์

5.โรคอีโบลา (Ebola)

โรคอีโบลาติดได้ผ่านการสัมผัสกับเลือด สิ่งคัดหลั่ง อวัยวะ หรือของเหลวชนิดอื่นจากสัตว์ที่ติดเชื้อ ในแอฟริกามีหลักฐานว่าการติดเชื้อเกิดขึ้นได้จากการจับต้องสัตว์ติดเชื้อ ได้แก่ ชิมแปนซี กอริลลา ค้างคาวผลไม้ ลิง แอนติโลปป่า และเม่น สัตว์เหล่านี้อาจกำลังป่วยหรือพบเป็นซากอยู่ในป่าทึบที่มีฝนตกมาก

โรคอีโบลาเป็นโรคเฉียบพลันรุนแรงจากเชื้อไวรัส โดยมากมักจะแสดงออกเป็นไข้เฉียบพลันอ่อนเพลียมาก  ปวดกล้ามเนื้อ  ปวดศีรษะและเจ็บคอ  ตามด้วยอาการอาเจียน  ท้องเสีย  ผื่นผิวหนัง ไตและตับทำงานบกพร่อง  และในบางรายจะพบการตกเลือดทั้งภายในและภายนอก  ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการพบว่ามีปริมาณเม็ดเลือดขาวและเกร็ดเลือดต่ำตลอดจนระดับเอ็นไซม์ตับสูงกว่าปกติ

ทั้ง 5 โรคนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะร่วมกันพัฒนาระบบเฝ้าระวังเเละป้องกันโรคให้ดียิ่งขึ้น พร้อมจัดสรรทรัพยากรแบบบูรณาการอย่างมีประสิทธิภาพภายใต้แนวคิดสุขภาพหนึ่งเดียว

ขอบคุณข้อมูลจาก

MGR Online, โรงพยาบาลรามคำแหง, สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย, โรงพยาบาลกรุงเทพพัทยา, โรงพยาบาลวิภาวดี, คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

WHO เตือน ไวรัสอีโบลา ระบาดซ้ำ โรคร้ายต่างแดนแม่ต้องระวัง

โรคข้อกระดูกสันหลังอักเสบชนิดติดยึด

เช็ก 6 อาการ โรคข้อกระดูกสันหลังอักเสบชนิดติดยึด

Alternative Textaccount_circle
event
โรคข้อกระดูกสันหลังอักเสบชนิดติดยึด
โรคข้อกระดูกสันหลังอักเสบชนิดติดยึด

เช็ก 6 อาการ โรคข้อกระดูกสันหลังอักเสบชนิดติดยึด

“โอ๊ย ปวดหลังจัง” เชื่อแน่ว่าคุณพ่อหรือคุณแม่ที่นั่งทำงานนาน ๆ ต้องเคยรู้สึกแบบนี้ หากเป็นไม่บ่อยก็คงไม่เป็นไร แต่ถ้าเป็นเรื้อรังมานาน ก็ไม่ควรมองข้ามอาการปวดหลังเรื้อรังไม่หายสักทีนี้นะคะ เพราะคุณพ่อคุณแม่ อาจเป็น โรคข้อกระดูกสันหลังอักเสบชนิดติดยึด เสี่ยงพิการได้เลยค่ะ

ข้อกระดูกสันหลังอักเสบติดยึด

โรคข้อกระดูกสันหลังอักเสบชนิดติดยึด (Ankylosing Spondylitis – AS หรือ Spondyloarthritis – SpA) เป็นโรคที่เกิดจากการอักเสบของกระดูกสันหลังเรื้อรัง ร่วมกับข้ออักเสบ และอาการนอกระบบข้อร่วมด้วย เมื่อกระดูกสันหลังอักเสบเป็นเวลานาน จะเกิดหินปูนจับ ทำให้กระดูกสันหลังเชื่อมติดกันจนเคลื่อนไหวไม่ได้

ในผู้ป่วยบางราย อาจจะมีการอักเสบของข้ออื่น ๆ ร่วมด้วย ทำให้ข้อติดแข็ง เช่น ข้อเท้า ข้อเข่า ข้อสะโพก เป็นต้น  

นอกจากนี้อาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ตาแดง มองเห็นไม่ชัด โรคผิวหนังสะเก็ดเงิน อาการปวดส้นเท้า ฯลฯ

โรคข้อกระดูกสันหลังอักเสบชนิดติดยึด
6 อาการ โรคข้อกระดูกสันหลังอักเสบชนิดติดยึด

6 อาการ สัญญาณเตือน โรคข้อกระดูกสันหลังอักเสบชนิดติดยึด

เป็นโรคหลักในกลุ่มโรคข้อและกระดูกสันหลังอักเสบเรื้อรัง ผู้ป่วยกลุ่มนี้มักมีอาการแสดงของโรคคล้ายกัน คือ

  1. ปวดหลัง หรือหลังติดขัดเรื้อรังนานเกิน 3 เดือนขึ้นไป โดยไม่มีประวัติการได้รับอุบัติเหตุหลัง หรือกล้ามเนื้อหลังทำงานมากกว่าปกติ
  2. มีการอักเสบของข้อกระดูกสันหลัง ข้อต่อตามร่างกาย มักพบบริเวณส่วนล่าง เช่น สะโพก ข้อเข่า ข้อเท้า ฯลฯ
  3. การอักเสบที่กระดูกบริเวณที่เส้นเอ็นยึดเกาะ
  4. ปวดหลัง หรือหลังตึงขัดมากในช่วงกลางคืน ขณะหลับ และหลังตื่นนอนตอนเช้า
  5. ปวดหลัง หรือหลังตึงขัดหลังหยุดเคลื่อนไหวมานาน
  6. อาการอื่น ๆ นอกจากระบบข้อ เช่น เหนื่อยง่าย ตาแดง ปวดตา แผลที่ปาก ผื่นผิวหนัง เบื่ออาหาร ฯลฯ

ในระยะแรก ผู้ป่วยอาจมาพบแพทย์ด้วยอาการปวดหลังส่วนล่าง หรือปวดสะโพกเรื้อรัง โดยเฉพาะช่วงเช้า หรือหลังพักผ่อน อาการหลังติดยึดทำให้เคลื่อนไหวลำบาก ทำงานไม่ได้ จนเกิดภาวะหลังคด ทรงตัวลำบากและช่วยเหลือตัวเองไม่ได้

การตรวจวินิจฉัยโรค

การตรวจวินิจฉัยโรคข้อกระดูกสันหลังอักเสบชนิดติดยึดสามารถทำได้โดย

  • ซักประวัติ โดยแพทย์จะถามรายละเอียดการปวด ระยะเวลา ความรุนแรง ประวัติทางการแพทย์
  • ตรวจร่างกาย ด้วยการก้ม หรือโน้มตัว เพื่อทดสอบการเคลื่อนไหวกระดูกสันหลัง รวมถึงการกดส่วนต่าง ๆ และการขยับขาท่าต่าง ๆ เพื่อทดสอบระดับความเจ็บปวด
  • ตรวจเลือด เพื่อตรวจหาการอักเสบ และตรวจหายีน HLA B27 ที่อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรค
  • การเอกซเรย์ (X – Ray) เพื่อดูตำแหน่ง การอักเสบ การเชื่อมติดกัน และการสึกหรอของกระดูกสันหลัง
  • การทำเอ็มอาร์ไอ (MRI Scan) ใช้คลื่นวิทยุ และสนามแม่เหล็กพลังงานสูง ถ่ายภาพกระดูก และเนื้อเยื่ออ่อนด้วยความคมชัดสูง เพื่อช่วยวินิจฉัย วางแผนรักษา และติดตามผลอย่างละเอียดและถูกต้อง

การรักษาข้อกระดูกสันหลังอักเสบติดยึด

ปัจจุบันโรคข้อกระดูกสันหลังอักเสบชนิดติดยึด ยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถบรรเทาอาการ ลดการอักเสบ ป้องกันความรุนแรง และความพิการที่อาจเกิดขึ้นได้ วิธีการรักษาประกอบไปด้วย

  • การรักษาด้วยยา ในกลุ่มยาแก้ปวด ยาลดการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ ยาในกลุ่มต้านรูมาติสซั่มที่ควบคุมอาการของโรค รวมถึงยาอื่น ๆ ตามที่แพทย์เห็นสมควร โดยต้องระวังผลข้างเคียงของยาและปฏิบัติตามคำแนะนำของเภสัชกรอย่างเคร่งครัด
  • การทำกายภาพบำบัด ช่วยบรรเทาอาการปวด และช่วยให้ผู้ป่วยอยู่ในท่าที่เหมาะสม ได้แก่  การยืด การนวด การดึง การขยับข้อต่อ การบริหารร่างกาย การใช้ความร้อน และความเย็นบรรเทาปวด
  • การผ่าตัด จะใช้ต่อเมื่อข้อถูกทำลายมาก หรือข้อติดอยู่ในท่าที่ไม่เหมาะสม ทำให้ใช้งานข้อได้ไม่เต็มที่ การผ่าตัดจะช่วยให้กลับมาเคลื่อนไหว และใช้งานข้อได้ในชีวิตประจำวัน
  • การปรับพฤติกรรม ได้แก่ เลี่ยงการนอนหนุนหมอนสูง เลี่ยงท่าทำงานก้มตัวตลอดเวลา  เดินและนั่งในท่าตรง นอนบนพื้นราบให้หลังตรง เป็นต้น
  • การรักษาอื่น ๆ ในกรณีที่มีปัญหาในระบบอวัยวะอื่น ๆ เช่น ม่านตาอักเสบ จะต้องพบจักษุแพทย์ เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน ลิ้นหัวใจรั่ว ต้องพบอายุรแพทย์หัวใจ เพื่อดูแลรักษาทันท่วงที

ขอบคุณข้อมูลจาก

ไทยรัฐ, โรงพยาบาลพญาไท, โรงพยาบาลกรุงเทพ

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

10 หมอนรองให้นม จัดท่าป้อนนมสบาย บ๊ายบายอาการปวดหลัง

ปวดหลังหลังคลอด สัญญาณร้าย “โรคโครงสร้างผิดปกติ”

อาการคนท้อง 1 สัปดาห์ ปวดหลัง ช่วยแม่ท้องลดอาการปวดหลังอย่างไร?

ลูกโดนแกล้ง สัญญาณเตือนให้พ่อแม่สังเกต

ลูกโดนแกล้งที่โรงเรียน สัญญาณเตือนจากลูกที่พ่อแม่ควรรู้

Alternative Textaccount_circle
event
ลูกโดนแกล้ง สัญญาณเตือนให้พ่อแม่สังเกต
ลูกโดนแกล้ง สัญญาณเตือนให้พ่อแม่สังเกต

ลูกโดนแกล้งที่โรงเรียน จากเพื่อนหรือจากคุณครู พ่อแม่จะมีวิธีสังเกตได้ยังไง กับบางเรื่องที่เด็กอายเกินกว่าจะเล่าให้ฟัง มาสังเกตสัญญาณแสดงว่าลูกถูกบุลลี่กัน

ลูกโดนแกล้งที่โรงเรียน สัญญาณเตือนจากลูกที่พ่อแม่ควรรู้

การรังแก การแกล้งกันของเด็ก ๆ อาจดูเป็นเรื่องเล็กของผู้ใหญ่ พ่อแม่บางคนอาจคิดว่าเป็นเรื่องที่เด็ก ๆ ล้อเล่นกันสนุก ๆ ไม่ได้ใส่ใจอะไร แต่ความจริงแล้ว การรังแกกัน การแกล้งกันนั้นเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเด็กที่ถูกรังแก และเขากำลังต้องการการช่วยเหลือจากพ่อแม่ ให้เข้ามาจัดการได้อย่างทันท่วงที และช่วยหยุดปัญหาอย่างถาวร

ลูกโดนแกล้งที่โรงเรียน
ลูกโดนแกล้งที่โรงเรียน

ลูกโดนแกล้งที่โรงเรียน แบบไหนที่เรียกว่า “โดนรังแก”

การโดนแกล้ง เด็กแกล้งกันเล่น ก็เป็นพฤติกรรมหนึ่งในการอยู่รวมกลุ่มกันของมนุษย์ เด็กต้องเผชิญสถานการณ์และเรียนรู้การปรับตัว การจัดการปัญหาในการอยู่ร่วมกัน เพื่อที่จะเติบโตอย่างเข้มแข็งต่อไปในอนาคต แต่หากว่าการแกล้งนั้นมิได้กระทำไปเพียงชั่วครั้งชั่วคราว หรือทำให้คน ๆ หนึ่งทุกข์ทรมานใจ การแกล้งกันนั้นจึงเรียกได้ว่าเป็นปัญหา เป็นการโดนรังแก

การรังแก แกล้งกันนั้นมีหลายรูปแบบ  เช่น การชกต่อย ทำร้ายร่างกาย (การรังแกทางกาย)  การแซวหรือล้อเลียน (การรังแกทางวาจา) การข่มขู่หรือบังคับ หรือการกีดกันไม่ให้เข้าร่วมกลุ่มทำกิจกรรมต่างๆ กับเพื่อน (การรังแกทางจิตใจ) และการส่งข้อความข่มขู่ หรือล้อเลียนทางโทรศัพท์หรือทางคอมพิวเตอร์โดยใช้อีเมล์ (การรังแกทางอินเตอร์เน็ต) เป็นต้น ซึ่งโดยหลักแล้วการแกล้งกันจะเป็นปัญหาที่ผู้ใหญ่ควรหันมาสนใจดูแลก็ต่อเมื่อ การรังแก การแกล้งนั้นถูกกระทำซ้ำแล้วซ้ำอีกติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน บางครั้งอาจติดต่อกันนานถึงสองสามปี ทำให้ผู้ถูกรังแกทุกข์ใจ และทรมาน

11 สัญญาณเตือนภัยว่าลูกถูกรังแก

สัญญาณซึ่งอาจบ่งบอกถึงการถูกรังแก ที่พ่อแม่ควรทราบ และหมั่นสังเกตลูก มีดังต่อไปนี้

  1. สังเกตข้าวของเครื่องใช้ เสื้อผ้าของลูกว่ามีร่องรอย หรือสิ่งใดผิดปกติหรือไม่? เช่น ลูกกลับมาจากโรงเรียนโดยเสื้อผ้า สมุดหนังสือหรือข้าวของฉีกขาด ชำรุด หรือสูญหายเป็นบางส่วน และพบเจอบ่อยครั้งผิดปกติ
  2. หมั่นตรวจดูร่างกายของลูก โดยเฉพาะเด็กเล็ก สังเกตว่าร่างกายมีรอยบาดแผล ฟกช้ำ หรือถลอกที่ไม่ทราบสาเหตุชัดเจน และเมื่อถามลูกแล้ว เขาไม่สามารถตอบได้ หรือตอบแบบหลบตา ไม่เต็มเสียง
  3. คอยหมั่นตั้งคำถามกับลูกหลังเลิกเรียน เช่น วันนี้ลูกเล่นกับใคร เล่นอะไรกันบ้าง เป็นต้น เพื่อตรวจเช็กดูว่าอยู่ที่โรงเรียนเขามีเพื่อนหรือไม่ หากพบว่าลูกมีเพื่อนน้อย หรือไม่มีเลย พ่อแม่ควรหาสาเหตุที่แน่ชัด เพื่อที่จะช่วยเหลือลูกได้ทัน
  4. มีอาการกลัวการไปโรงเรียน กลัวการเดินไป-กลับโรงเรียน  การขึ้นรถรับส่งนักเรียน หรือการเข้าร่วมกิจกรรมกับเพื่อน ๆ หรือไม่ อาการกลัวการไปโรงเรียน กับการไม่อยากไปโรงเรียน มีความแตกต่างกัน หากลูกงอแงตอนเช้าไม่อยากไปโรงเรียน แต่เมื่อให้เวลาสักพัก หรือแอบดูเขาขณะเข้าเรียนไปสักระยะ แล้วพบว่าลูกกลับมาทำตัวปกติ ร่าเริง เข้าร่วมกิจกรรม นั่นเป็นเพียงการไม่อยากไปโรงเรียน ไม่ใช่การกลัวไปโรงเรียน ที่เด็กจะไม่ร่าเริง ไม่เข้ากลุ่มแม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม
  5. กลัวเพื่อนบางคนเป็นพิเศษ หรือไม่กล้าเดินผ่านสถานที่ หรือโต๊ะเรียนของเพื่อนกลุ่มนั้น หรือหากเป็นเด็กโตที่สามารถกลับบ้านด้วยตัวเอง ให้สังเกตว่าลูกไป-กลับโรงเรียนโดยใช้ทางอ้อม ซึ่งดูแล้วไม่มีเหตุผลสมควร เพราะนั่นแสดงถึงการหนีอะไรบางอย่าง หากลูกเกิดพฤติกรรมเช่นนี้ พ่อแม่ควรรีบหาสาเหตุ และเข้าไปจัดการ ชี้แนะลูกโดยเร็ว

    ลูกโดนแกล้งที่โรงแรียน อารมณ์จะแปรปรวน งอแงร้องไห้ง่าย
    ลูกโดนแกล้งที่โรงเรียน อารมณ์จะแปรปรวน งอแงร้องไห้ง่าย
  6. ไม่สนใจทำการบ้าน และผลการเรียนตกต่ำอย่างกะทันหัน ความใส่ใจในการเรียนลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยคุณพ่อคุณแม่อย่าไปตีความว่าการที่ลูกผลการเรียนตก เป็นเพราะความขี้เกียจ ความไม่เอาไหนของลูกเท่านั้น แต่เราต้องมองลึกลงไปว่า สาเหตุแท้จริงอันใดที่ทำให้ลูกหมดความสนใจในการเรียน หากเป็นสาเหตุของการถูกแกล้ง พ่อแม่ต้องยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือลูกก่อนสาย
  7. อารมณ์แปรปรวน ลูกจะมีท่าทางเศร้า หงุดหงิดง่าย น้ำตาคลอ หรือหดหู่ เก็บตัว หลังกลับมาจากโรงเรียน
  8. อาจจะแสดงว่าตนเองเจ็บป่วย เช่น บ่นว่าปวดหัว ปวดท้อง หรือมีความเจ็บป่วยด้านอื่นอยู่บ่อย ๆ แต่เมื่อตรวจสอบกลับพบว่าไม่ได้เป็นอะไร แต่ไม่ได้หมายความว่าลูกโกหก แต่ความเครียดทางจิตใจ ไปแสดงผลออกมาทางร่างกาย ซึ่งลูกก็รู้สึกว่าตัวเองมีอาการเช่นนั้นจริง
  9. มีปัญหานอนไม่หลับ หรือฝันร้ายบ่อย ๆ เป็นสัญญาณเตือนขั้นต้นในเด็กหลาย ๆ คน อาการนอนไม่หลับเนื่องจากเขามีความไม่สบายทางใจ และไม่สามารถหาทางออกได้ หรือหากหลับไปแล้วลูกมักละเมอ ฝันร้าย หรือตื่นมาไม่สดชื่น แบบคนนอนหลับไม่เพียงพอ
  10. ไม่เจริญอาหาร ไม่อยากรับประทานข้าว หรือแม้แต่ขนมที่เคยชอบมาก ๆ
  11. มีท่าทางกังวล หรือน้อยเนื้อต่ำใจ เป็นปกติของเด็กที่ถูกรังแกจะรู้สึกมองไม่เห็นคุณค่าของตนเอง เนื่องจากเพื่อน ๆ มาบุลลี่ มาแกล้งว่ากล่าวให้เขารู้สึกว่าตนเองไม่มีอะไรดี เป็นคนขี้แพ้ หรือไม่ได้เรื่อง เมื่อพบเจอเป็นเวลานานก็จะไปบั่นทอนความรู้สึกเห็นคุณค่าในตนเองของลูกได้เช่นกัน

หากการที่ ลูกโดนแกล้งที่โรงเรียน ไม่ได้รับการแก้ไขจะส่งผลเสียอย่างไร?

การรังแกอาจก่อให้เกิดผลภายหลังที่ร้ายแรง  เด็กที่ถูกรังแกอาจมีลักษณะดังต่อไปนี้มากกว่าเด็กคนอื่น ยิ่งโดยเฉพาะหากพ่อแม่ไม่สามารถสังเกตเห็นความผิดปกติได้ทัน อาจทำให้ลูกยิ่งรู้สึกโดดเดี่ยว และก่อให้เกิดเหตุรุนแรง

  • หดหู่ เหงา กังวลใจ
  • น้อยเนื้อต่ำใจ รู้สึกว่าตนเองไร้ค่า
  • ขาดเรียน ผลการเรียนตกต่ำ
  • รู้สึกไม่สบายทางร่างกาย
  • มีความคิดที่จะฆ่าตัวตาย

    ตั้งคำถามลูกหลังเลิกเรียน เพื่อเช็กว่าลูกถูกบุลลี่ไหม
    ตั้งคำถามลูกหลังเลิกเรียน เพื่อเช็กว่าลูกถูกบุลลี่ไหม

หากลูกถูกรังแก พ่อแม่จะทำอย่างไร?

1.ในส่วนของตัวเด็ก พ่อแม่ควรให้ความสนใจดูแลลูกของท่านเป็นพิเศษ ให้กำลังใจ และรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการรังแกกันที่เกิดขึ้น เพื่อหาสาเหตุ และหาวิธีการจัดการปัญหาให้ตรงจุดมากที่สุด โดยอาจพูดคุย ดูแลลูกในช่วงที่เกิดปัญหา ดังนี้

  • ไม่พูดจาเหมือนดั่งว่าเป็นความผิดของลูก อย่าตำหนิหรือกล่าวโทษลูกที่ถูกรังแก อย่าสันนิษฐานว่าลูกของท่านอาจไปทำอะไรให้อีกฝ่ายหนึ่งก่อนที่เป็นการยั่วยุให้เขามารังแกเอา เช่น ลูกไปทำอะไรเขาก่อนหรือเปล่า เขาถึงได้รังแกลูก? เป็นต้น
  • ฟังรายละเอียดจากลูกของท่านว่า การรังแกนั้นเกิดขึ้นอย่างไร ซักถามหรือขอให้ลูกเล่าให้ฟัง โดยไม่ออกความคิดเห็นระหว่างนั้น เพียงแค่นั่งรับฟัง และหาจุดที่เป็นส่วนสำคัญในเรื่องต่อไปนี้ ภายในใจว่ามีใครเกี่ยวข้องบ้าง และการรังแกแต่ละครั้งนั้นรุนแรง หรือมีพฤติกรรมอะไรที่น่ากังวลบ้าง
  • พ่อแม่ต้องมีท่าทีที่ทำให้ลูกมั่นใจว่าจะร่วมแก้ปัญหาไปด้วยกัน  และแสดงความเห็นอกเห็นใจลูก บอกเขาว่าการรังแกเป็นสิ่งที่ผิด และพ่อแม่ดีใจที่ลูกกล้าเล่าให้ฟัง
  • ถามความเห็นลูกเสมอก่อนที่จัดการทำอะไร ถามลูกว่าควรดำเนินการอย่างไรจึงจะช่วยได้ ให้คำมั่นว่าพ่อแม่จะทำอย่างระมัดระวัง ไม่หุนหันพลันแล่นจนไปทำให้เป็นปัญหาเพิ่มกับลูก และจะบอกเขาทุกครั้งก่อนที่จะทำอะไรต่อไป
  • อย่าสนับสนุนการตอบโต้ทางกาย เพื่อเป็นทางออก แบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน การชกต่อยนักเรียนคนอื่นมักจะไม่ทำให้ปัญหายุติลง และอาจทำให้ลูกของท่านถูกพักการเรียนหรือถูกไล่ออกได้ และตามปกติคนที่มารังแกลูกนั้น มักจะโตกว่าหรือแข็งแรงกว่า และลูกท่านสู้ไม่ได้อยู่แล้ว เพราะไม่อย่างนั้นก็คงไม่ถูกรังแก และการสนับสนุนให้ลูกใช้ความรุนแรง เท่ากับไปสร้างทัศนคติที่ไม่ถูกต้องกับเด็ก ว่าใครแข็งแรงกว่าก็สามารถเอาเปรียบ รังแกผู้ที่อ่อนแอกว่าได้

2.ในส่วนของโรงเรียน คุณพ่อคุณแม่ควรติดต่อครู ครูประจำชั้น หรือครูใหญ่ของโรงเรียนของลูก เพื่อให้โรงเรียนให้ความร่วมมือในการแก้ปัญหาการกลั่นแกล้งกัน การบุลลี่ในโรงเรียน เพราะหากโรงเรียนปล่อยปละละเลย ก็จะเป็นตัวอย่างให้เด็กคนอื่น ๆ ทำตาม เลียนแบบกันต่อไปได้ โดยคุณพ่อคุณแม่ควรแสดงท่าทีดังต่อไปนี้

ให้ครูในโรงเรียนเป็นคนกลาง คอยพูดคุยกับคู่กรณี
ให้ครูในโรงเรียนเป็นคนกลาง คอยพูดคุยกับคู่กรณี
  • พยายามควบคุมอารมณ์ แล้วให้เฉพาะข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการถูกรังแกของลูกท่าน ใคร อะไร เมื่อไหร่ ที่ไหน และอย่างไร แต่ไม่ควรใส่คำตัดสิน กล่าวโทษเด็กคนนั้น
  • ย้ำความตั้งใจ ว่าท่านต้องการร่วมมือกับบุคลากรของโรงเรียนหาทางออกเพื่อยุติการรังแกกัน ทั้งเพื่อลูกของท่าน และเด็กคนอื่น ๆ ไม่ใช่การแก้แค้น
  • อย่าติดต่อกับผู้ปกครองของนักเรียนผู้ลงมือรังแกลูกของท่านก่อน  การกระทำเช่นนี้มักเป็นการโต้ตอบอันดับแรกของผู้ปกครอง แต่บางครั้งมันอาจทำให้เหตุการณ์รุนแรงกว่าเดิม  ควรหาคนกลางมาช่วยบอกกล่าว ควรให้บุคลากรของโรงเรียนเป็นผู้ติดต่อไปทางผู้ปกครองของนักเรียนผู้ลงมือรังแก
  • ติดตาม และคอยเช็กว่าการรังแกนั้นได้ยุติลงจริง ๆ  พูดคุยกับลูก และคุณครูอย่างสม่ำเสมอเพื่อติดตามดูว่าการรังแกได้หยุดลงหรือไม่ หรือลูกยังเผชิญอยู่ แต่ไม่กล้าบอก หรือคนที่แกล้งไม่ได้พูดความจริง โดยเฉพาะหากเป็นการแกล้ง หรือรังแกจากผู้ใหญ่รังแกเด็ก จะทำให้การหยุดลงของการบุลลี่ยากกว่าการแกล้งกันระหว่างเด็กด้วยกัน

3.ป้องกันปัญหาในระยะยาว โดยพ่อแม่สามารถช่วยลูกของท่านให้มีการปรับตัวรับมือกับการถูกรังแกจากผู้อื่นในคราวต่อ ๆ ไป ในระยะยาวได้ด้วยเช่นกัน

  • เสริมความมั่นใจให้กับลูก ช่วยพัฒนาความสามารถพิเศษ หรือพรสวรรค์ที่เขามีอยู่ให้เต็มที่ การทำเช่นนี้จะช่วยให้ลูกมีความมั่นใจมากขึ้น เมื่ออยู่ท่ามกลางหมู่เพื่อน เพราะคนที่มั่นใจในตนเอง จะมีบุคลิก ท่าทางที่ทำให้คนอื่น ๆ ไม่อยากหรือไม่กล้ารังแก
  • สอนให้ลูกรู้จักเลือกคบเพื่อน พ่อแม่ไม่สามารถไปชี้ได้ว่าลูกควรคบคนไหน ไม่ควรคบคนไหน แต่หากเราสอนให้ลูกรู้จักการเข้าสังคม รู้จักบอกความรู้สึกตนเอง รู้จักรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น ลูกก็จะสามารถปรับตัวเข้ากับคนอื่นได้ไม่อยาก และไม่ต้องเป็นฝ่ายยอม หรือตามใจเพื่อนเสมอไป และหากเพื่อนคนไหนที่เขารู้สึกเข้ากันไม่ค่อยได้กับตัวเอง ลูกก็จะรู้ได้ด้วยตนเอง และสามารถเลือกเพื่อนที่ถูกใจได้
  • สอนวิธีการสร้างความปลอดภัยให้ลูกของท่าน สอนให้เขารู้วิธีขอความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่เมื่อเขารู้สึกว่าถูกคุกคาม พูดคุยกับลูกเกี่ยวกับบุคคลที่เขาสามารถขอความช่วยเหลือได้ และซ้อมบทสนทนาว่าควรพูดอย่างไร ทำให้ลูกเห็นความแตกต่างระหว่าง “ขี้ฟ้อง” กับ “การแจ้งเหตุคุกคาม” ว่าเป็นอย่างไร
  • ทำบ้านให้เป็นพื้นที่ปลอดภัย (Safe Zone) หัวใจสำคัญคือบ้าน  โปรดทำให้แน่ใจว่าลูกของท่านได้รับบรรยากาศในบ้านที่เปี่ยมด้วยความรัก และความปลอดภัย ซึ่งสามารถเป็นที่หลบภัยของเขาได้ทั้งทางกาย และใจ  สื่อสาร พูดคุยแลกเปลี่ยนชีวิตประจำวันกันอย่างสม่ำเสมอ
เสริมบุคลิกความมั่นใจ ให้ลูกเพื่อให้เขาไม่ถูกคนแกล้งโดยง่าย
เสริมบุคลิกความมั่นใจ ให้ลูกเพื่อให้เขาไม่ถูกคนแกล้งโดยง่าย

การรังแกกัน การแกล้งกัน เป็นปัญหาใหญ่ และปัญหาสำคัญสำหรับเด็ก โดยเฉพาะเด็กไทย มูลนิธิเครือข่ายครอบครัวเปิดเผยว่า ประเทศไทยติดอันดับ 2 ในโลกในปี พ.ศ. 2563 รองจากประเทศญี่ปุ่น จากข้อมูลการบูลลี่ด้วยการใช้ตัวอักษรผ่าน Social Media ในปีเดียวกัน Punch Up x Wisesight ได้ร่วมกันเล่าเรื่องผ่านข้อมูลพบว่า คำที่คนไทยใช้บูลลี่กันมากที่สุดเป็นเรื่อง รูปลักษณ์ เพศ และความคิดกับทัศนคติ ได้แก่ ไม่สวย, ไม่หล่อ, หน้าเบี้ยว, ขี้เหร่, หน้าหัก, หน้าปลอม, ผอม, เตี้ย, สิว, ดำ, ขาใหญ่, จอแบน, เหยิน, เหม่ง, ตุ๊ด, สายเหลือง, ขุดทอง, กะเทย, โสเภณี, กะหรี่, แมงดา, ชะนี, แรด, หากระโปรงมาใส่, โง่, สลิ่ม, ตลาดล่าง, ปัญญาอ่อน, ต่ำตม, ไดโนเสาร์ เป็นต้น ระดับการศึกษาที่ใช้คำบูลลี่มากที่สุด พบว่าเป็น ระดับมัธยม ในทุกระดับชั้นพบว่าเพื่อนเป็นผู้ใช้คำบูลลี่กันมากที่สุด

แม้อาจดูเป็นเพียงคำพูดหรือเรื่องเล็กน้อย แต่หากเราไม่เข้ามาช่วยเหลือ จัดการให้เด็กตระหนักถึงปัญหา และความรุนแรงของการบุลลี่กัน ก็จะทำให้เกิดปัญหาที่รุนแรงตามได้ เช่น ปัญหาการฆ่าตัวตายในเด็กที่มีสถิติเพิ่มขึ้นในทุก ๆ ปี และมีอายุน้อยลงเรื่อย ๆ เป็นต้น โดยเริ่มจากตัวเรา พ่อแม่ที่เป็นส่วนที่ใกล้ชิดกับลูกมากที่สุด ช่วยกันสอดส่อง สังเกตอาการ สัญญาณเตือนที่ลูกได้ส่งออกมาให้ทัน เสียก่อนจะสายเกินแก้

ขอบคุณข้อมูลจาก : คู่มือรับสถานการณ์เด็กรังแกกันในโรงเรียน สำหรับพ่อแม่ที่ลูกถูกรังแก : ลูกฉันถูกรังแก ทำอย่างไรดี
  ผู้เรียบเรียง ผศ.ดร.สมบัติ ตาปัญญา ผู้จัดทำ มูลนิธิสาธารณสุขแห่งประเทศไทย(มสช.) / มูลนิธีศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก / กรมสุขภาพจิต

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

เปิดเทอม นี้มาส่องลูกด้วย 10คำถามหลังเลิกเรียนกันเถอะ

พี่น้อง แย่งของเล่น พ่อแม่ควรทำยังไง? ไม่ให้พี่น้อยใจที่ต้องเสียสละให้น้อง!

30 คำถามหลังเลิกเรียน ไขปริศนา ลูกถูกเพื่อนแกล้ง หรือไม่?

5 นิทานพื้นบ้าน ซึมซับความเป็นไทย พร้อมคติสอนใจ!!

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

นิทานพื้นบ้าน

5 นิทานพื้นบ้าน ซึมซับความเป็นไทย พร้อมคติสอนใจ!!

Alternative Textaccount_circle
event
นิทานพื้นบ้าน
นิทานพื้นบ้าน

นิทานพื้นบ้าน นิทานพื้นบ้านไทย เข้าใจวิถีชีวิตแบบไทยในอดีต เล่าให้ลูกฟังก่อนนอน พร้อมข้อคิด คติสอนใจดี ๆ นิทานพื้นบ้านไทยสนุกไม่แพ้นิทานต่างชาติ

5 นิทานพื้นบ้าน ซึมซับความเป็นไทย พร้อมคติสอนใจ!!

นิทานพื้นบ้าน คุณพ่อคุณแม่นำมาเล่าให้ลูกฟัง เพื่อซึมซับถึงความเป็นไทย เข้าใจในวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ ความคิด วัฒนธรรม และขนบธรรมเนียมประเพณีไทย ที่สอดแทรกอยู่ในนิทานพื้นบ้านไทย ทีมกองบรรณาธิการ ABK ได้รวบรวมนิทานสนุก ๆ มาฝากแล้วค่ะ

นิทานพื้นบ้าน หมายถึง เรื่องเล่าที่เล่าต่อๆ กันมา จากคนรุ่นหนึ่งมาสู่คนอีกรุ่นหนึ่ง โดยไม่ทราบว่า ใครเป็นผู้แต่ง เช่น เราไม่สามารถบอกได้ว่า ใครแต่งนิทานเรื่องสังข์ทอง ปลาบู่ทอง โสนน้อยเรือนงาม ไกรทอง นางสิบสอง เพราะนิทานเหล่านี้ ถ่ายทอดโดยการเล่าจากความทรงจำต่อๆ กันมา เช่น ปู่ย่าตายายเล่าให้พ่อแม่ฟัง พ่อแม่เล่าให้ลูกหลานฟัง หรือมีการแพร่กระจายจากท้องถิ่นหนึ่งไปสู่อีกท้องถิ่นหนึ่ง นิทานเรื่องเดียวกัน เช่น นิทานเรื่องสังข์ทอง จึงอาจมีหลายสำนวนได้

นิทานพื้นบ้าน
นิทานพื้นบ้าน

5 นิทานพื้นบ้าน ซึมซับความเป็นไทย พร้อมคติสอนใจ!!

โสนน้อยเรือนงาม

ที่”นครโรมวิสัย” มีกษัตริย์ครองอยู่ มีพระราชธิดาที่สวยงามมาก พระราชธิดานี้เมื่อประสูติมีเรื่อนไม้เล็กๆ ติดมือออกมาด้วย เรือนนี้เมื่อพระธิดาเจริญวัยขึ้น เรือนไม้นี้ก็โตขึ้นด้วยและกลายเป็นของเล่นของพระราชธิดา พระบิดาจึงตั้งชื่อพระราชธิดาว่า “โสนน้อยเรือนงาม” เมื่อโสนน้อยเรือนงามมีพระชนม์พรรษาได้สิบห้าพรรษา โหรทูลพระบิดาว่าโสนน้อยเรือนงามกำลังมีเคราะห์ ควรให้ออกไปจากเมืองเสีย เพราะจะต้องอภิเษกกับคนที่ตายแล้ว พระบิดาและพระมารดาก็จำใจให้โสนน้อยเรือนงามออกไปจากเมืองแต่ผู้เดียว โสนน้อยเรือนงามปลอมตัวเป็นชาวบ้านและเอาเครี่องทรงพระราชธิดาห่อไว้ พระอินทร์สงสารนางจึงแปลงร่างเป็นชีปะขาวมามอบยาวิเศษสำหรับรักษาคนตายให้ฟื้นได้ โสนน้อยเรือนงามเดินทางเข้าไปในป่าพบ “นางกุลา” หญิงใจร้ายนอนตายเพราะถูกงูกัด โสนน้อยเรือนงามจึงนำยาของชีปะขาวมารักษา นางกุลาก็ฟื้น นางจึงขอเป็นทาสติดตามโสนน้อยเรือนงาม

ที่ “นครนพรัตน์” เมืองใกล้เคียงโรมวิสัย มีกษัตริย์ครองอยู่มีพระราชโอรสนามว่า “พระวิจิตรจินดา” ซึ่งเป็นชายหนุมรูปงามและมีความสามารถ แต่วันหนึ่งพระวิจิตรจินดาถูกงูพิษกัดสิ้นพระชนม์ พระบิดาและพระมารดาเศร้าโศรกเสียใจมาก แต่โหรทูลว่า พระวิจิตรจินดาจะสิ้นพระชนม์ไปเจ็ดปีแล้วจะมีพระราชธิดาของเมื่องอื่นมารักษาได้ พระบิดาและพระมารดาจึงเก็บพระศพของพระวิจิตรจินดาไว้ และมีประกาศให้คนมารักษาให้ฟื้น

โสนน้อยเรือนงามและนางกุลาเดินทางมาถึงเมืองนพรัตน์ได้ทราบจากประกาศ จึงเข้าไปในวังและอาสาทำการรักษา โดยขอให้กั้นม่านเจ็ดชั้น ไม่ให้ใครเห็นเวลารักษา โสนน้อยเรือนงามแต่งเครื่องทรงพระราชธิดาทำการรักษา โดยนางกุลาติดตามเฝ้าดู เมื่อโสนน้อยเรือนงามทายาให้พระวิจิตรจินดา พิษของนาคราชเป็นไอร้อนออกมาทำให้นางรู้สึกร้อนมาก จึงถอดเครื่องทรงพระราชธิดาออกแล้วเสด็จไปสรงน้ำ ระหว่างนั้นนางกุลาก็นำเครื่องทรงพระราชธิดาของโสนน้อยเรือนงามมาแต่ง พอดีพระวิจิตรจินดาฟื้น ทุกคนก็คิดว่านางกุลาเป็นพระราชธิดาที่รักษาจึงเตรียมจะให้อภิเษก ส่วนโสนน้อยเรือนงามต้องกลายเป็นข้าทาสของนางกุลาไป

พระวิจิตรจินดาและพระบิดาและพระมารดาก็ยังมีความสงสัยในนางกุลา จึงให้นางเย็บกระทงใบตองถวาย นางกุลาทำไม่ได้โยนใบตองทิ้งไป โสนน้อยเรือนงามเก็บใบตองมาเย็บเป็นกระทงสวยงาม นางกุลาก็แย้งไปถวายพระราชบิดามารดาของพระวิจิตรจินดา พระวิจิตรจินดาไม่อยากอภิเษกกับนางกุลาจึงขอลาพระบิดาพระมารดาไปเที่ยวทางทะเล พระบิดาพระมารดาให้นางกุลาย้อมผ้าผูกเรือ นางกุลาก็ทำไม่เป็น โยนผ้าและสีทิ้ง โสนน้อยเรือนงามเก็บผ้าและสีไปย้อมได้สีงดงาม นางกุลาก็แย้งนำไปถวายพระบิดาพระมารดาอีก …เมื่อพระวิจิตรจินดาจะออกเรือก็ปรากฎว่าเรือไม่เคลื่อนที่ พระวิจิตรจินดาทรงคิดว่าคงมีผู้มีบุญในวังต้องการฝากซื้อของ เรือจึงไม่เคลื่อนที่ จึงให้ทหารมาถามรายการของที่คนในวังจะฝากซื้อ ทุกคนก็ได้มีโอกาสฝากซื้อ แต่โสนน้อยเรือนงามอยู่ใต้ถุนถึงไม่มีใครไปถาม เรือก็ยังไม่เคลื่อนที่ พระวิจิตรจินดาจึงให้ทหารกลับไปค้นหาคนในวังที่ยังไม่ได้ฝากซื้อของ ทหารจึงได้ไปค้นหานางโสนน้อยเรือนงามได้ นางจึงฝากซื้อ”โสนน้อยเรือนงาม”

เมื่อพระวิจิตรจินดาเดินทางไป ลมก็บันดาลให้พัดไปยังเมืองโรมวิสัยของพระบิดาของโสนน้อยเรือนงาม พระวิจิตรจินดาซื้อของฝากได้จนครบทุกคน …ยกเว้นโสนน้อยเรื่อนงาม …พระวิจิตรจินดาจึงสอบถามจากชาวเมือง ชาวเมืองบอกว่าโสนน้อยเรือนงามมีอยู่แต่ในวังเท่านั้น พระวิจิตรจินดาจึงเข้าไปในวังและทูลขอซื้อโสนน้อยเรือนงามไปให้นางข้าทาส พระบิดาของโสนน้อยเรือนงามทรงถามถึงรูปร่างหน้าตาของนางทาส ก็ทรงทราบว่าเป็นพระธิดา จึงมอบโสนน้อนเรือนงามให้พระวิจิตรจินดาและให้ทหารตามมาสองคน

เมื่อพระวิจิตรจินดากลับถึงบ้านเมือง ทหารสองคนก็ไปทำความเคารพนางโสนน้อยเรือนงาม และเรือนวิเศษก็ขยายเป็นเรือนใหญ่มีข้าวของเครื่องใช้พระธิดาครบถ้วน โสนน้อยเรือนงามก็เข้าไปอยู่ในเรือนนั้น พระวิจิตรจินดาจึงแน่ใจว่าโสนน้อยเรือนงามเป็นพระราชธิดาที่รักษาตน จึงจะฆ่านางกุลาแต่โสนน้อยเรือนงามขอชีวิตไว้ พระวิจิตรจินดาก็ได้อภิเษกกับนางโสนน้อยเรือนงามและอยู่ด้วยกันมีความสุขสืบไป

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

  1. ไม่ควรมุ่งหวังในสิ่งที่เกินตัว
  2. ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
นิทานพื้นบ้านไทย
นิทานพื้นบ้านไทย

5 นิทานพื้นบ้าน ซึมซับความเป็นไทย พร้อมคติสอนใจ!!

ลูกกตัญญู

มีพี่น้องสองคน…คนพี่มีภรรยาเป็นลูกสาวเศรษฐี…คนน้องมีภรรยาเป็นลูกสาวคนจน
อยู่มาวันหนึ่งพ่อเดินทางมาหาลูกคนโต ถามว่า”ไอ้ทิดอยู่ไหน” ลูกคนโตอายภรรยาที่มีพ่อจน จึงทำเป็นไม่รู้จักพ่อ … พ่อจึงไปหาลูกคนเล็กบอกว่า”หิวข้าว” ถึงแม้ลูกคนนี้จน มีข้าวเหลือเพียงเล็กน้อยแต่ก็นำมาให้พ่อกิน ต่อมาพ่อบอกว่า “พ่อจะตายอยู่แล้ว ให้หามไปป่าช้า ถ้ามีสัตว์อะไรมาเกาะฝาโลง ก็ให้จับสัตว์นั้น

ต่อมาเมื่อพ่อตาย…ก็ปรากฏว่ามีนกเขาไปเกาะที่ฝาโลง แต่พอจะจับ มันก็บินมาเกาะไหล่…พอนกร้องทีหนึ่ง เงินก็ร่วงออกมา น้องก็เอานกไปเลี้ยงไว้จนร่ำรวย ส่วนพี่นั้นยากจนลง เห็นว่า น้องร่ำรวย จึงมาขอยืมนกไปเลี้ยงบ้าง แต่พอนกร้อง จั่วบ้านก็พังลงมา และต่อมาหลังคาพังลงมา พี่โมโหจึงฆ่านกตาย

เมื่อน้องทราบข่าว…ก็ตามไปเก็บกระดูกแล้วเอากระดูกมาทำหวี…เมื่อหวีผม ผมก็ร่วงเป็นทอง พี่จึงมาขอยืมหวี แต่หวีแล้วผมร่วงหมด พี่ก็โมโหเอาหวีไปทิ้ง

เมื่อน้องทราบข่าว…ก็ตามไปขุดเอามาได้…ก็เอามาทำเป็นไม้แคะฟัน พี่มาขอยืมอีก แต่แคะไปแคะมาฟันหลุดหมด นี่แหละคนที่ไม่สำนึกถึงบุญคุณพ่อแม่ บ้านก็ไม่มีอยู่ หัวก็ล้าน ฟันก็หัก

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“ใครไม่คิดถึงบุญคุณของพ่อแม่… บ้านก็จะพัง หัวก็จะล้าน… ฟันก็จะหักเช่นลูกชายคนโตนี้แล”

หัวล้านนอกครู

ทิดทอง และ ทิดถม เป็นเพื่อนรักกัน ทั้งสองได้บวชเรียน ร่ำเรียนตำรับตำรามาด้วยกัน ถึงแม้ว่าฐานะของทั้งสองต่างกัน แต่ทั้งสองก็ไม่ได้รังเกียจเดียดฉันท์กันเลย เมื่อทั้งสองสึกออกมา ก็ช่วยเหลือพ่อแม่ทำงานด้วยความขยันขันแข็ง อยู่มาวันหนึ่ง มีพ่อค้าเร่มาขายน้ำมันใส่ผมในหมู่บ้าน ทิดทองกับทิดถมซึ่งไม่รู้เรื่องอะไร จึงได้ซื้อน้ำมันใส่ผมมาใช้คนละขวด ต่อมาไม่นานผมของทั้งสองก็ร่วงเรื่อยๆทุกวัน นานวันเข้าทั้งสองก็กลายเป็นคนหัวล้าน

ทั้งสองรู้สึกเป็นกังวลกินก็ไม่ได้นอนก็ไม่หลับ และรู้สึกอับอายจนไม่อยากจะออกไปไหนเลย เมื่อชาวบ้านรู้เรื่องข่าวก็ทำทีมาแกล้ง โดยแนะนำกับทั้งสองว่าถ้าเอาไอ้โน้น ไอ้นี่มาทา ผมก็จะงอกมาดังเดิม เช่น บอกให้เอา หนวดเต่า เขากระต่าย น้ำลายยุง หรือแม้กระทั่งขี้ไก่ มาทา ทั้งสองก็หลงเชื่อ กลายเป็นที่ขำขันของชาวบ้านทั้งหมู่บ้าน ทั้งสองอับอายเป็นอันมาก จึงตัดสินใจไปขอความช่วยเหลือจากโยคีที่อยู่กลางป่า ด้วยความสงสารโยคีจึงให้การช่วยเหลือ โดยให้ทั้งสองไปดำน้ำในสระน้ำข้างอาศรม 3 ครั้ง ผมก็จะงอกออกมาทั่วทั้งหัวเหมือนดังเดิม

ทั้งสองไม่รอช้า รีบทำตามคำแนะนำของท่านโยคี เมื่อลงดำครั้งแรกแล้วโผล่หัวขึ้นมาปรากฏว่าผมงอกขึ้นมานิดหน่อย ครั้งที่ 2 ผมงอกมาพอประมาณและครั้งที่ 3 ผมของทั้งสองงอกเต็มหัวเป็นปกติ แต่เนื่องจากทั้งสองมีแผลเป็นกลางหัวตั้งแต่เด็กๆ ผมจึงขึ้นตรงแผลเป็นไม่ได้…แทนที่จะไปปรึกษากับโยคี…ทิดทองและทิดถมได้ปรึกษากันเองว่าหากดำครั้งที่ 4 ผมจะต้องงอกตรงที่เป็นแผลเป็นแน่นอน…ทั้งสองจึงตัดสินใจดำน้ำลงไปอีกครั้ง…แต่ทว่าเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น…เมื่อทั้งสองโผล่หัวขึ้นมากลับกลายเป็นคนหัวล้านเช่นเดิม…คราวนี้แม้แต่โยคีเองก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว…ทั้งสองเสียใจร้องไห้โวยวาย แล้วเดินก้มหน้ากลับหมู่บ้านด้วยความผิดหวัง…เป็นที่มาของสำนวนไทยที่ว่า ” หัวล้านนอกครู ”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
1. อย่าเพิ่มเติมหรือนอกคำสั่ง ผลลัพธ์จะตกแก่ตัวเอง…และอย่าเชื่อคนง่ายจะเสียใจภายหลัง เช่นการซื้อน้ำมันมาใส่ผมบ้าง เอาขี้ไก่มาทาบ้างเป็นคนที่เชื่อแบบไม่มีเหตุผล
2. สำนวนสุภาษิต ”หัวล้านนอกครู” หมายถึง…ผู้ที่ปฏิบัติผิดแผกไปจากคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์หรือแบบแผนที่นิยมกันมา…หรือไม่ปฎิบัติตามคำแนะนำของครูอาจารย์จนทำให้เกิดความเดือดร้อน

ทำคุณบูชาโทษโปรดสัตว์ได้บาป

ยังมีเศรษฐีผู้หนึ่งเลี้ยงแพะไว้ตัวหนึ่ง ต่อมาเศรษฐีผู้นั้นได้ลูกหมาน่ารักมาอีกตัวหนึ่งเพื่อจะเลี้ยงไว้เฝ้าบ้าน

อยู่มาวันหนึ่งหมากินข้าวไม่อิ่ม หมาจึงพูดกับแพะว่า “คืนนี้เราจะไม่เห่า เพราะเรากินข้าวไม่อิ่ม” แพะบอกว่า “ไม่อิ่มวันนี้ก็ค่อยกินวันพรุ่งนี้อีกก็ได้ หน้าที่ของเจ้าก็ต้องเห่า” แต่หมากลับเถียงว่า “จะไม่ยอมเห่า” ต่างก็ถกเถียงกันอย่างไม่ลดละ …จนแพะเห็นว่าไม่สามารถจะเกลี้ยกล่อมหมาได้แน่นอนแล้วจึงรีบพูดขึ้นว่า “เอ็งไม่เห่าข้าจะเห่าเอง

พอตกดึกในคืนนั้นก็มีโจรผู้ร้ายเข้ามาในเขตรั้วบ้าน หวังจะเข้ามาขโมยทรัพย์สิน แพะเห็นเข้าก็ส่งเสียงร้อง “แบ๊ะ แบ๊ะ” ฝ่ายหมานอนดูเฉยไม่ยอมเห่า โจรได้ยินแพะร้องก็ถอยออกไป สักครู่หนึ่งโจรก็กลับเข้ามาอีก แพะก็ร้อง “แบ๊ะ แบ๊ะ” อีกเช่นเดิม โจรก็ถอยออกไปอีกครั้งหนึ่ง

เศรษฐีได้ยินเสียงแพะร้องก็ลงมาดู เมื่อไม่เห็นอะไรผิดสังเกตก็กลับขึ้นบนบ้านไปนอน ขณะที่กำลังจะหลับโจรก็เข้ามาอีก แพะเห็นดังนั้นก็ส่งเสียงร้องขึ้นอีก

ฝ่ายเศรษฐีก็ตกใจและตื่นขึ้นมาดูอีกแต่ปรากฏว่าไม่พบอะไรเลยเหมือนในครั้งแรก เป็นอยู่อย่างนี้หลายครั้ง …จนกระทั่งครั้งสุดท้าย …ด้วยความโมโหเศรษฐีก็ลงมาเอาไม้ทุบแพะจนตาย

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
เป็นนิทานของชาวบ้านที่เล่าสืบต่อๆ กันมา มีคุณค่าในการอบรมสั่งสอนให้มีความกตัญญูรู้คุณต่อผู้มีพระคุณ โดยเฉพาะในเรื่องทำคุณบูชาโทษ แม้แพะจะเป็นสัตว์แต่ก็สำนึกในบุญคุณเจ้าของบ้านที่ให้ข้าวให้น้ำให้ที่พักพิง ถึงแม้ตัวเองจะเห่าไม่ได้เหมือนสุนัขแต่ก็ส่งเสียงร้องได้เพื่อให้เจ้าของบ้านรู้ตัวว่ากำลังจะมีภัยเข้าบ้าน แต่จากความไม่เข้าใจของผู้เป็นเจ้าของกลับเห็นว่าเสียงร้องของแพะเป็นสิ่งที่น่ารำคาญ และตีแพะจนตาย จึงกลายเป็นการทำคุณบูชาโทษ ทําดีแต่กลับเป็นร้าย ดังนิทานเรื่องนี้

เศรษฐีกับยาจก

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายสองคนเป็นเพื่อนกัน ชายคนแรกมีชีวิตอยู่เพียงลำพังไม่มีครอบครัวหรือญาติพี่น้อง แต่เขามีทรัพย์สมบัติ มีฐานะร่ำรวย… แต่ชายคนที่สองมีครอบครัวแต่ฐานะยากจน

อยู่มาวันหนึ่งชายคนแรกบอกกับชายคนที่สองว่า “ถึงเจ้าจะมีภรรยามีลูกแล้ว แต่ข้าก็ไม่เคยนึกอิจฉาเจ้าเลยเพราะว่าเจ้ายากจน ข้าแม้จะอยู่เพียงลำพังแต่ฐานะร่ำรวยกว่าเจ้า” ชายคนที่สองกลับบอกว่า “แม้เจ้าจะมีฐานะร่ำรวย มีทรัพย์สินเงินทองมาก แต่ข้าก็ไม่นึกอิจฉาเจ้าเหมือนกัน เพราะข้ามีภรรยา มีลูก ข้ามีข้าวกิน มีลูกหลานคอยปรนนิบัติดูแลข้าอย่างใกล้ชิด… แต่เจ้าต้องอยู่โดดเดี่ยวและทำงานเองทุกอย่าง ไม่มีคนช่วย” ชายคนแรกก็แย้งอีกว่า “แต่บ้านข้ามีทุกอย่างที่บ้านเจ้าไม่มี

ดังนั้นเมื่อต่างคนต่างก็เห็นว่าตัวเองมีชีวิตที่สุขสบายกว่า ชายคนที่สองจึงออกความเห็นว่าให้เปลี่ยนกันไปกินข้าวบ้านละมื้อ โดยไปกินข้าวที่บ้านของคนแรกก่อน พอไปถึงบ้านของชายคนแรกพบว่าภายในบ้านมีทรัพย์สมบัติทุกอย่างครบถ้วน แต่เขาไม่มีคนช่วยงานบ้านเลย ต้องทำงานทำอาหารเองทุกอย่าง เขาจึงต้องเหนื่อยเพียงคนเดียว

ต่อมาวันรุ่งขึ้นก็เปลี่ยนไปกิน ข้าวที่บ้านของชายคนที่สองต่อ ชายคนแรกจึงพบว่าชายคนที่สองแทบจะไม่ได้ทำอะไรเลย เขาเพียงแต่นั่งอยู่เฉยๆพูดเคยกับเขาบ้าง พูดกับลูกหลานบ้างอย่างมีความสุข ลูกๆของเขาเป็นคนจัดการทุกอย่าง กวาดบ้าน เลี้ยงสัตว์ ทำอาหาร พอถึงเวลากินข้าว ลูกๆก็เข้ามาอุ้มชายคนที่สองและภรรยาไปกินข้าว พอกินได้สักช่วงชายคนที่สองก็บ่นว่าหนาว อยากไปกินข้าวข้างนอก ลูกๆจึงยกสำรับกับข้าวไปไว้หน้าบ้าน และอุ้มพ่อแม่ไปด้วยต่างคนต่างช่วยกัน โดยไม่เกี่ยงกันแต่พอกินได้สักพักก็บ่นว่าร้อนอีกลูกๆก็ช่วยกันเคลื่อนย้าย เข้าไปในบ้านอีก

… หลังจากกินข้าวเสร็จชายคนที่สองจึงถามชายคนแรกว่า”เจ้ารู้หรือยังว่าใครสุขสบายที่สุด เพราะข้าไม่ต้องทำอะไรเลย…มีคนช่วยเหลือข้าทุกอย่างไม่ว่าข้าจะเคลื่อนไหวไปทางใดข้าเปรียบเสมือน… กษัตริย์ที่มีบริวารให้รับใช้มากมาย… ในขณะที่เจ้ามีเงินทองแต่ไม่มีความสุขเลย เพราะเจ้าต้องเหนื่อยไม่มีบริวารให้รับใช้เหมือนข้า ข้าจึงไม่อิจฉาเจ้าเลย

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
การอยู่เพียงลำพังไม่มีครอบครัวหรือญาติพี่น้อง… ทำให้ลำบาก เหนื่อยต้องทำเอง ถ้าไม่ทำก็ไม่มีกิน
แต่ถ้ามีครอบครัวดี…ก็เหมือนกษัตริย์ มีลูกหลานคอนดูแลอย่างใกล้ชิดแทบไม่ต้องทำอะไรเลย
นิทานก่อนนอนของลูกมีหลากหลายเรื่อง ทีมกองบรรณาธิการ ABK เลือกนำ นิทานพื้นบ้าน ซึ่งเป็นนิทานพื้นบ้านของไทยมาฝากนี้ นอกจากเนื้อเรื่องจะสนุกแล้ว ยังได้คติสอนใจอีกด้วย

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

5 นิทานพื้นบ้าน นิทานพื้นบ้านไทย สนุก!! ได้คติสอนใจ!!

10 นิทานสอนใจ!! พร้อมข้อคิดดี ๆ อ่านให้ลูกฟังก่อนนอน

บ้านต้นไม้10ชั้น นิทานที่ใครๆ ก็หลงรัก

วิจัยเผย พ่ออ่านนิทานให้ลูกฟัง ส่งผลดีต่อลูกมากกว่าแม่อ่าน

ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.saranukromthai.or.th, https://nitanstory.com

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

Amarin Baby & Kids

มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ

พ่อแม่ระวัง! เช็ก 5 สัญญาณเตือน มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ

Alternative Textaccount_circle
event
มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ

พ่อแม่ระวัง! เช็ก 5 สัญญาณเตือน มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ

มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ คือ ภาวะที่เซลล์เยื่อบุผิวด้านในของกระเพาะปัสสาวะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วผิดปกติจนกลายเป็นเนื้อร้าย ทำให้ผู้ป่วยมีอาการปัสสาวะปนเลือด เจ็บขณะปัสสาวะ และเจ็บปวดบริเวณอุ้งเชิงกราน ทีมกองบรรณาธิการ ABK อยากชวนคุณแม่คุณพ่อมาดู 5 สัญญาณเตือนของโรคนี้กันค่ะ

สถิติผู้ป่วย มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ

จากข้อมูลทะเบียนมะเร็งประเทศไทย โดยสถาบันมะเร็งแห่งชาติ พบว่า แต่ละปีมีจำนวนผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะปัสสาวะเพศชายและเพศหญิงรายใหม่ประมาณ 1,900 และ 600 คนตามลำดับ

สาเหตุ

มะเร็งกระเพาะปัสสาวะเป็นโรคที่ไม่มีสาเหตุแน่ชัด แต่ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง ได้แก่

  • เพศชาย มีแนวโน้มพบโรคนี้ในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง
  • อายุมากกว่า 40 ปี
  • สูบบุหรี่ หรือสูดดมควันบุหรี่มือสอง รวมทั้งทำงานกับสารเคมีอันตรายที่อาจก่อมะเร็ง เช่น สารหนู สีย้อม สีทาบ้าน สิ่งทอ ยาง หนัง เป็นต้น เนื่องจากกระเพาะปัสสาวะ ต้องสัมผัสกับสารพิษที่ร่างกายขับออกมาทางปัสสาวะ
  • ดื่มน้ำน้อย หรือรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง
  • ติดเชื้อ หรือระคายเคืองในกระเพาะปัสสาวะแบบเรื้อรัง เช่น เป็นนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ ใส่สายสวนปัสสาวะค้างไว้เป็นเวลานาน ติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ หรือติดเชื้อปรสิตบางชนิด เช่น พยาธิใบไม้ในเลือด ซึ่งมักทำให้เป็นมะเร็งชนิดที่ลุกลามและรักษาได้ยาก
  • เคยใช้ยาเคมีบำบัด เช่น ไซโคลฟอสฟาไมด์ หรือเคยเข้ารับการบำบัดรักษามะเร็งด้วยรังสีบริเวณอุ้งเชิงกราน
  • มีประวัติบุคคลในครอบครัว ป่วยเป็นมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ หรือมะเร็งลำไส้ใหญ่ชนิดถ่ายทอดทางพันธุกรรม
เช็ก 5 สัญญาณเตือน มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
พ่อแม่ระวัง! เช็ก 5 สัญญาณเตือน มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ

5 สัญญาณเตือนเสี่ยง มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ

โดยทั่วไปแล้ว อาการบ่งชี้สำคัญของโรคในระบบทางเดินปัสสาวะนั้น ส่วนใหญ่จะคล้ายกันคือ “อาการปัสสาวะผิดปกติ” ควรสังเกตุ 5 สัญญาณ ดังนี้

  • ปัสสาวะเป็นเลือดมักจะเป็นๆ หายๆ แต่ไม่มีอาการเจ็บปวดร่วมด้วย ซึ่งจะแตกต่างจากโรคอื่นที่จะมีอาการปวดร่วมด้วย และนี่ถืออาการที่พบได้บ่อยที่สุดในกลุ่มผู้ป่วยโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
  • อาการผิดปกติของการถ่ายปัสสาวะ เช่น ปัสสาวะบ่อย กลั้นปัสสาวะไม่ได้ หรือปัสสาวะแสบขัด ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่ของอาการเหล่านี้ คือ การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
  • มีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด
  • หากมะเร็งแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น อาจมีอาการปวดหลังส่วนล่าง ปวดกระดูกร่วมด้วย
  • มะเร็งในระยะแรก มักจะตรวจร่างกายไม่พบความผิดปกติ แต่ในระยะที่มีการแพร่กระจาย อาจจะตรวจพบว่ามีไตโตเนื่องจากการอุดตันท่อไตของมะเร็ง มีตับโตจากการกระจายไปยังตับ คลำพบต่อมน้ำเหลือง หรือมีขาบวม ถ้ามีการกระจายไปยังต่อมน้ำเหลือง

ระยะของมะเร็ง

มะเร็งกระเพาะปัสสาวะมี 4 ระยะ ซึ่งแต่ละระยะมีระดับความรุนแรงแตกต่างกัน ดังนี้

  • ระยะที่ 1 เกิดเนื้อมะเร็งเฉพาะบริเวณเยื่อบุภายในกระเพาะปัสสาวะ
  • ระยะที่ 2 มะเร็งบางส่วน ลุกลามเข้าสู่ชั้นกล้ามเนื้อของกระเพาะปัสสาวะ แต่ยังคงจำกัดอยู่ภายในกระเพาะปัสสาวะ
  • ระยะที่ 3 มะเร็งลุกลามเข้าสู่ผนังกระเพาะปัสสาวะ และเซลล์มะเร็งลุกลามไปยังเนื้อเยื่อรอบ ๆ กระเพาะปัสสาวะ
  • ระยะที่ 4 มะเร็งลุกลามเข้าสู่ต่อมน้ำเหลือง และแพร่กระจายสู่อวัยวะอื่น ๆ เช่น ต่อมน้ำเหลือง กระดูก ตับ หรือปอด

การรักษา

การรักษามะเร็งกระเพาะปัสสาวะขึ้นอยู่กับชนิดและระยะของโรค รวมทั้งสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วยด้วย ซึ่งแพทย์มักใช้หลายวิธีร่วมกันเพื่อให้ได้ผลการรักษาที่ดี โดยมีรายละเอียด ดังนี้

เคมีบำบัด เป็นการใช้ยารักษาโรคมะเร็ง แพทย์มักใช้ยาอย่างน้อย 2 ชนิดร่วมกัน โดยแพทย์จะฉีดยาเข้ากระเพาะปัสสาวะผ่านทางสายสวนเพื่อรักษามะเร็งระยะเริ่มต้น หรือฉีดเข้าหลอดเลือดดำร่วมกับผ่าตัดเพื่อเพิ่มโอกาสในการรักษามะเร็งให้หายขาด และอาจใช้ร่วมกับการรักษาแบบรังสีบำบัดในกรณีที่ไม่สามารถผ่าตัดได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมะเร็งลุกลามไปทั่วร่างกาย

ภูมิคุ้มกันบำบัด หรือยาฆ่าเซลล์มะเร็ง มักใช้รักษาหลังจากตัดเนื้อมะเร็งในกระเพาะปัสสาวะออกแล้วเพื่อลดโอกาสการกลับมาเป็นซ้ำ โดยแพทย์จะฉีดวัคซีนบีซีจี (BCG) ซึ่งใช้ป้องกันวัณโรค หรืออินเตอร์เฟอรอน (Interferon Alfa-2b) ซึ่งเป็นโปรตีนที่ร่างกายใช้ต่อสู้กับเชื้อโรคโดยเฉพาะไวรัส เพื่อกระตุ้นเซลล์ภูมิคุ้มกันของร่างกายให้ต่อสู้กับเซลล์มะเร็ง หรือให้ยาฆ่าเซลล์มะเร็งเข้ากระเพาะปัสสาวะผ่านทางสายสวนแล้วทิ้งไว้ประมาณ 2 ชั่วโมง จากนั้นจึงให้ผู้ป่วยปัสสาวะออกมา และผู้ป่วยจะต้องรักษาด้วยวิธีนี้ทุกสัปดาห์เป็นเวลาอย่างน้อย 6 สัปดาห์ติดต่อกัน นอกจากนี้ แพทย์อาจฉีดแอนติบอดีชนิดสังเคราะห์ (Atezolizumab) เข้าหลอดเลือดดำเพื่อรักษามะเร็งที่ไม่สามารถรักษาด้วยเคมีบำบัด หรือมะเร็งที่ลุกลามไปทั่วร่างกาย

การผ่าตัด เพื่อกำจัดเนื้อมะเร็งในกระเพาะปัสสาวะและอวัยวะใกล้เคียง ซึ่งมี 2 วิธี ได้แก่

  • การผ่าตัดด้วยการส่องกล้องผ่านท่อปัสสาวะ มักใช้รักษามะเร็งระยะเริ่มต้น โดยแพทย์จะใช้อุปกรณ์รวมทั้งเลเซอร์ตัดเนื้อมะเร็งในกระเพาะปัสสาวะออกมาเพื่อตรวจหาระยะการลุกลามของเนื้อมะเร็งหรือเพื่อทำลายก้อนเนื้อมะเร็ง โดยแพทย์อาจใช้ยาชาเฉพาะที่หรือยาสลบในการผ่าตัด และอาจฉีดยาเคมีบำบัดร่วมด้วยหลังผ่าตัดเสร็จ
  • การผ่าตัดกระเพาะปัสสาวะผ่านช่องท้อง มักใช้รักษามะเร็งแบบลุกลามเข้าสู่ผนังกระเพาะปัสสาวะและเนื้อเยื่อหรืออวัยวะในบริเวณใกล้เคียง โดยแพทย์อาจต้องตัดกระเพาะปัสสาวะบางส่วน หรือตัดกระเพาะปัสสาวะรวมทั้งอวัยวะใกล้เคียงออก เช่น ท่อไต ต่อมน้ำเหลืองบริเวณอุ้งเชิงกราน ต่อมลูกหมาก ต่อมสร้างน้ำเลี้ยงอสุจิ มดลูก รังไข่ และช่องคลอดบางส่วน นอกจากนี้ ผู้ป่วยอาจต้องเข้ารับการผ่าตัดสร้างกระเพาะปัสสาวะเทียม ซึ่งมักใช้บางส่วนของลำไส้ทดแทนเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถระบายปัสสาวะออกจากร่างกายได้ โดยใช้สายสวนผ่านทางผนังหน้าท้องหรือใช้สายสวนผ่านท่อปัสสาวะ
  • รังสีบำบัด มักใช้รักษาหลังจากผู้ป่วยเข้ารับการผ่าตัดแล้ว หรือใช้ร่วมกับเคมีบำบัดในกรณีที่ไม่สามารถผ่าตัดได้ โดยแพทย์อาจใช้วิธีวิเคราะห์ตำแหน่งของก้อนมะเร็งจากภาพถ่ายซีที สแกน หรือเอ็มอาร์ไอ แล้วฉายรังสีพลังงานสูงทำลายเซลล์มะเร็งในบริเวณที่ต้องการรักษา

      

ขอบคุณข้อมูลจาก

pobpad , โรงพยาบาลพญาไท 3, ศูนย์ศรีพัฒน์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

กระเพาะปัสสาวะอักเสบตอนท้อง อันตราย ดูแลอย่างไร

แม่แชร์ลูก ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ เพียงเพราะล้างไม่ถูกวิธี

ทำไมคนท้อง ปัสสาวะบ่อย “ฉี่”แบบไหนไม่ปกติ แม่ต้องระวัง!

เปลี่ยนนามสกุลลูก

เปลี่ยนนามสกุลลูก หลังหย่า/แยกทาง ทำได้ไหม อย่างไร?

Alternative Textaccount_circle
event
เปลี่ยนนามสกุลลูก
เปลี่ยนนามสกุลลูก

หลังจากหย่าแล้ว แม่ต้องการ เปลี่ยนนามสกุลลูก จากเดิมเป็นนามสกุลของบิดา มาเป็นนามสกุลของมารดา สามารถทำได้หรือไม่ ทำอย่างไร

เปลี่ยนนามสกุลลูก หลังหย่า/แยกทาง ทำได้ไหม อย่างไร?

หลังจากแต่งงาน มีบุตรกันแล้ว หากชีวิตคู่ไม่เป็นอย่างที่หวังไว้ การแยกทาง การหย่า จึงเป็นทางออกของปัญหา แต่สำหรับลูกน้อยแล้ว ความเป็นบิดาและมารดายังคงอยู่ คุณพ่อคุณแม่ก็ยังมีความรักให้ลูกอย่างเต็มเปี่ยม แต่หากการเลิกราไม่เป็นไปด้วยดี แม่ ๆ หลายคนก็อยากจะ เปลี่ยนนามสกุลลูก ให้กลับมาใช้นามสกุลเดิมของตนเอง แต่การ เปลี่ยนนามสกุลลูก นั้นสามารถทำได้ง่ายหรือยากแล้วแต่กรณี ดังนี้

กรณีที่ 1 ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน

บุตรที่เกิดจาก สามี ภรรยา ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน ย่อมเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของมารดา (ภรรยา) แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น เมื่อเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของมารดา มารดาจึงเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองแต่เพียงผู้เดียว มีสิทธิกำหนดที่อยู่ของบุตรได้ รวมทั้งการใช้อำนาจปกครองในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรม และมีสิทธิที่จะเปลี่ยนนามสกุลของบุตรได้ โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากบิดานอกกฎหมาย

มาตรา 1546 เด็กเกิดจากหญิงที่มิได้มีการสมรสกับชาย ให้ถือว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของหญิงนั้น เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น

มาตรา 1547 เด็กที่เกิดจากบิดามารดาที่มิได้สมรสกัน จะเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายต่อเมื่อบิดามารดาได้สมรสกันในภายหลัง หรือบิดดาได้จดทะเบียนว่าเป็นบุตร หรือศาลพิพากษาว่าเป็นบุตร

กรณีที่ 2 สามีภรรยาไม่ได้จดทะเบียนสมรส แต่พ่อจดทะเบียนรับรองบุตร

สามีภรรยาไม่ต้องการจดทะเบียนสมรส แต่ต้องการให้บุตรเป็นบุตรตามกฎหมายของบิดา บิดาต้องยื่นคำร้องขอจดทะเบียนรับรองบุตร

วิธีการจดทะเบียนรับรองบุตร

การจดทะเบียนรับรองบุตรนั้น บิดาเป็นผู้ยื่นคำร้อง ณ สำนักทะเบียน กิ่งอำเภอ หรือสำนักงานเขต โดยใช้พยาน 2 คน และเอกสาร 3 อย่าง ได้แก่

  1. บัตรประจำตัวประชาชนของบิดา มารดา
  2. สูติบัตรของบุตร
  3. สำเนาทะเบียนบ้านฉบับเจ้าบ้านของบิดา มารดา และบุตร

การจดทะเบียนรับรองบุตรภายหลังจากการแจ้งเกิดนั้นทำได้ก็ต่อเมื่อได้รับความยินยอมจากมารดา และเด็ก เมื่อเด็กยังเป็นผู้เยาว์ไร้เดียงสา ยังตัดสินใจด้วยตัวเองไม่ได้ว่ายินยอมหรือไม่ ต้องยื่นร้องต่อศาลให้มีคำพิพากษาให้บิดาจดทะเบียนรับรองบุตรไปแสดง

จดทะเบียนรับรองบุตรภายหลังแจ้งเกิด

เมื่อบิดาจดทะเบียนรับรองบุตรแล้ว ภายหลังมีการแยกทางเกิดขึ้น แม้อำนาจการปกครองบุตรเป็นของมารดาฝ่ายเดียว แต่มาตรา 1567 ผู้ใช้อำนาจปกครอง มีสิทธิ

  1. กำหนดที่อยู่ของบุตร
  2. บุตรตามสมควรเพื่อว่ากล่าวสั่งสอน
  3. ให้บุตรทำการงานตามสมควรแก่ความสามารถและฐานานุรูป
  4. เรียกบุตรคืนจากบุคคลอื่นซึ่งกักบุตรไว้โดยมิชอบด้วยกฎหมาย

ดังนั้น ผู้ใช้อำนาจปกครองจึงไม่สามารถใช้สิทธินอกจากที่บัญญัติไว้ใน มาตรา ๑๕๖๗ (๑) – (๔) ได้ เมื่อมารดาประสงค์จะเปลี่ยนชื่อตัว/ชื่อสกุลให้บุตรผู้เยาว์จึงต้องได้รับความยินยอมจากบิดาก่อน นายทะเบียนท้องที่จึงจะสามารถดำเนินการให้ได้

จดทะเบียนสมรส
จดทะเบียนสมรส

กรณีที่ 3 สามีภรรยาจดทะเบียนสมรสกัน

ในกรณีที่สามีภรรยาจดทะเบียนสมรสกัน มีบุตรด้วยกัน ภายหลังมีการหย่าร้างเกิดขึ้นอำนาจปกครองบุตรอยู่กับมารดาฝ่ายเดียว เมื่อมารดาประสงค์จะเปลี่ยนชื่อตัว/ชื่อสกุลให้บุตรผู้เยาว์จึงต้องได้รับความยินยอมจากบิดาก่อน นายทะเบียนท้องที่จึงจะสามารถดำเนินการให้ได้เช่นกัน

กรณีที่ 4 หลังหย่า/แยกทางแล้ว ต้องการให้ลูกใช้นามสกุลของพ่อใหม่

หลังจากจดทะเบียนหย่า หรือแยกทางกันแล้ว(ในกรณีที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส) แล้วแต่งงานใหม่ หากต้องการให้ลูกเปลี่ยนมาใช้นามสกุลของพ่อใหม่ สามารถทำได้ 2 กรณีคือ

  1. ให้สามีใหม่รับผู้เยาว์เป็นบุตรบุญธรรม

การยื่นคำร้องขอจดทะเบียนรับผู้เยาว์เป็นบุตรบุญธรรม สามารถยื่นคำร้องได้ที่ฝ่ายทะเบียน สำนักงานเขตแห่งใดก็ได้ โดยคุณสมบัติของผู้จดทะเบียน มีดังนี้

  • ผู้จะขอรับบุตรบุญธรรมต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 25 ปี และต้องมีอายุมากกว่าผู้จะเป็นบุตรบุญธรรม อย่างน้อย 15 ปี
  • ผู้จะเป็นบุตรบุญธรรมที่มีอายุไม่ต่ำกว่า 15 ปี ผู้นั้นต้องให้ความยินยอมด้วย
  • ผู้จะขอรับบุตรบุญธรรมและผู้ที่จะเป็นบุตรบุญธรรมที่มีคู่สมรสต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรสด้วย
  • กรณีผู้จะเป็นบุตรบุญธรรมเป็นผู้เยาว์ต้องได้รับอนุมัติให้จดทะเบียนจากคณะกรรมการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมก่อน

หลักฐาน

  • บัตรประจำตัวของผู้ร้อง
  • สำเนาทะเบียนบ้าน
  • กรณีบุตรบุญธรรมเป็นผู้เยาว์ ต้องใช้หนังสืออนุมัติให้รับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมจากคณะกรรมการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม (กรุงเทพมหานครหรือชาวต่างประเทศที่มีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทยยื่นเรื่องขอหนังสืออนุมัติ ฯ ได้ที่ศูนย์อำนวยการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ต่างจังหวัด ยื่นเรื่องได้ที่ที่ว่าการอำเภอหรือสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด)
  • กรณีบุตรบุญธรรมหรือผู้รับบุตรบุญธรรมมีคู่สมรส คู่สมรสต้องให้ความยินยอม หากไม่สามารถมาให้ความยินยอมด้วยตนเองให้ใช้หนังสือให้ความยินยอม
  • กรณีการอุทธรณ์คำสั่งของคณะกรรมการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม ต้องใช้คำพิพากษาหรือคำสั่งศาลและใบแสดงคดีถึงที่สุด
  • พยานอย่างน้อย 2 คน

2. การใช้ชื่อสกุลร่วมกับเจ้าของชื่อสกุล

การขอร่วมใช้ชื่อสกุล มีขั้นตอนดังนี้

เอกสารที่ต้องใช้สำหรับเจ้าของผู้จดทะเบียนชื่อสกุล

  • สำเนาทะเบียนบ้าน
  • บัตรประจำตัวประชาชน
  • หนังสือสำคัญแสดงการจดทะเบียนชื่อสกุล(แบบ ช.2)
  • หลักฐานที่เกี่ยวข้อง เช่น สูติบัตร, สำเนาทะเบียนรับบุตรบุญธรรม, สำเนาทะเบียน รับรองบุตร ฯลฯ

เอกสารที่ต้องใช้สำหรับผู้ขอร่วมชื่อสกุล

  • สำเนาทะเบียนบ้าน
  • บัตรประจำตัวประชาชน
  • หนังสืออนุญาตให้ร่วมใช้ชื่อสกุล

ขั้นตอนการติดต่อ

เจ้าของผู้จดทะเบียนชื่อสกุล ยื่นคำขอตามแบบ ช.5 ต่อนายทะเบียนท้องที่ที่ตนมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน พร้อมหนังสือสำคัญแสดงการจดทะเบียนชื่อสกุล (ช.2) นายทะเบียนท้องที่ ตรวจสอบคำขอหลักฐานการจดทะเบียนชื่อสกุล เมื่อเห็นว่าถูกต้อง จะพิจารณา อนุญาตและออกหนังสืออนุญาต ให้ร่วมใช้ชื่อสกุล ตามแบบที่กรมการปกครองกำหนดให้แก่เจ้าของ ชื่อสกุลเพื่อมอบให้ผู้ที่จะขอร่วมใช้ชื่อสกุล

ผู้ขอร่วมใช้ชื่อสกุลยื่นคำขอตามแบบ ช.1 ต่อนายทะเบียนท้องที่ที่ตนมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน พร้อมหนังสือ อนุญาตให้ร่วมใช้ชื่อสกุล นายทะเบียนตรวจสอบคำขอและหลักฐาน การอนุญาตเมื่อเห็นว่าถูกต้อง จะพิจารณาอนุญาตและออกหนังสือสำคัญ แสดงการอนุญาตให้แก่ผู้ขอ และเรียกเก็บค่าธรรมเนียม 50 บาท ผู้ขอนำหนังสือสำคัญไปขอแก้ไขรายการในทะเบียนบ้านและหลักฐานอื่นที่ เกี่ยวข้องรวมทั้งขอเปลี่ยนบัตรประจำตัวประชาชน

เอกสารที่ใช้ในการเปลี่ยนนามสกุลลูก

เอกสารที่ใช้ในการขอเปลี่ยนนามสกุลบุตร ได้แก่

  1. สูติบัตรของบุตร
  2. สำเนาทะเบียนบ้านที่บุตรมีชื่ออยู่
  3. หลักฐานการจดทะเบียนหย่า
  4. บัตรประจำตัวประชาชนของผู้ยื่นคำขอ
  5. สำเนาทะเบียนบ้าน
  6. ใบสำคัญการเปลี่ยนชื่อสกุล (ช.2) หรือใบเปลี่ยนชื่อสกุล (ช.5) หรือบันทึกข้อตกลงในการใช้ชื่อสกุล โดยให้นำใบเกิดของลูกไปยืนยันตัวตนกับเจ้าหน้าที่เพิ่มเติม

ค่าธรรมเนียม : ฉบับละ 100 บาท กรณีการออกใบแทน  ฉบับละ 25 บาท

ยื่นคำร้องได้ที่ฝ่ายทะเบียน สำนักงานเขตที่ผู้ยื่นคำขอมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน

เปลี่ยนนามสกุล
เปลี่ยนนามสกุล

เอกสารที่ใช้ในการขอเปลี่ยนนามสกุล (ภรรยา) ในกรณีสิ้นสุดการสมรส

เอกสารที่ใช้ในการขอเปลี่ยนนามสกุล กรณีสิ้นสุดการสมรส ได้แก่

  1. บัตรประจำตัวประชาชนผู้ยื่นคำขอ
  2. สำเนาทะเบียนบ้าน
  3. บันทึกข้อตกลงการใช้ชื่อสกุล กรณีคู่สมรสประสงค์จะใช้ชื่อสกุลของอีกฝ่ายหนึ่ง หรือหลักฐานสิ้นสุดการสมรส หรือหลักฐานที่เกี่ยวข้อง เช่น สูติบัตร, สำเนาทะเบียนรับบุตรบุญธรรม, สำเนาทะเบียน  รับรองบุตร ฯลฯ

ค่าธรรมเนียม

  1. การเปลี่ยนชื่อสกุลครั้งแรกเมื่อจดทะเบียนสมรส ไม่เสียค่าธรรมเนียม
  2. การเปลี่ยนชื่อสกุลเพราะการสมรสสิ้นสุด ไม่เสียค่าธรรมเนียม
  3. การเปลี่ยนชื่อสกุลภายหลังการจดทะเบียนสมรสครั้งต่อๆ ไป ฉบับละ 50 บาท
  4. การเปลี่ยนชื่อสกุลเพราะเหตุอื่นๆ ฉบับละ 100 บาท

ยื่นคำร้องได้ที่ฝ่ายทะเบียน สำนักงานเขตที่ผู้ยื่นคำขอมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน

สำหรับแม่ ๆ ที่ยังสงสัยว่าการ เปลี่ยนนามสกุลลูก ในกรณีของตนเองนั้น ทำได้หรือไม่ ควรทำอย่างไร สามารถติดต่อสำนักงานเขตใกล้บ้านได้เลยค่ะ

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

แจ้งเกิดลูก ไม่มีพ่อ ไม่ระบุชื่อพ่อได้ไหม? อนาคตจะมีปัญหาหรือไม่?

จดทะเบียนสมรสใช้อะไรบ้าง? จดออนไลน์ได้ไหม?

ผลระยะยาวของการแต่งงานแล้วไม่จดทะเบียน

จดทะเบียนรับรองบุตร ทำอย่างไร ลูกอายุเท่าไหร่ถึงจดได้?

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : สำนักงานเขตบางกะปิ, กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย, www.bora.dopa.go.th, www.admincourt.go.th, www.peesirilaw.com

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

ฝันเห็นงูหลายตัว

ฝันเห็นงูหลายตัว แปลว่าจะมีลูก พบเนื้อคู่ จริงหรือ?

Alternative Textaccount_circle
event
ฝันเห็นงูหลายตัว
ฝันเห็นงูหลายตัว

ความฝันเกี่ยวกับงู มักจะแปลไปในเรื่องเกี่ยวกับเนื้อคู่ ไม่ก็มีลูก มาดูกันว่า ฝันเห็นงูหลายตัว จะมีความหมายว่าอย่างไร? พร้อมเลขเด็ด เลขมงคล

ฝันเห็นงูหลายตัว แปลว่าจะมีลูก พบเนื้อคู่ จริงหรือ?

ตามคำโบราณท่านว่าหาก ฝันเห็นงู จะหมายความว่าจะได้พบเนื้อคู่ ดังนั้นการฝันที่เกี่ยวข้องกับงู จึงทำให้คนเชื่อว่า ความฝันนี้สื่อความหมายถึงเรื่องราวเกี่ยวกับความรัก ความสัมพันธ์ ครอบครัว ลูก แต่จริง ๆ แล้วความฝันที่เกี่ยวข้องกับงูนั้น มีหลากหลายแบบด้วยกัน สามารถสื่อความหมายในเรื่องต่างกัน มาดูกันว่า ฝันเห็นงู ฝันเห็นงูหลายตัว จะสื่ออะไรสำหรับทั้งคนโสด คนที่แต่งงานแล้ว และคนที่มีลูกมีครอบครัวแล้วกันบ้าง

ฝันเห็นงู

ทำนายฝัน

คนในครอบครัวจะมีเรื่องของการเจ็บป่วย เล็กๆ น้อยๆ ไม่หนักหนา สุขภาพจิตใจไม่ค่อยดีนัก ผ่อนคลายบ้าง อยู่ในช่วงเวลาของความลุ่มหลง รักสนุก พบปะสังสรรค์เฮฮา

ความรัก

หากคุณมีคู่รักคู่ครองแล้ว จะมีช่วงห่างกันมากขึ้น คุณต้องเติมช่องว่างให้เต็มอย่าให้ขาดนะ เดี๋ยวจะงานเข้าไม่รู้ตัว ความรักหากมีปัญหากันก็ต้องค่อยๆพูด ค่อยๆจา อย่าด่วนตัดสินใจพูดอะไรโดยไม่คิด เพราะจะทำให้คุณมานั่งเสียใจภายหลัง คุณจะได้พบรักกับคนต่างวัย แต่ไม่รู้ว่าจะถูกใจคุณหรือเปล่า

ดวงการเงิน การงาน

จะได้เงินที่มาจากการกู้ยืมและสามารถคลี่คลายปัญหาที่เกิดขึ้นได้ จะเดือดร้อนเรื่องเงินจนถึงขั้นเป็นหนี้เขาได้ ก็เพราะความประมาทและความไม่หนักแน่นของคุณเอง การงานหนักหนาสาหัสเอาการ ต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจเต็มที่แล้วผลที่ตามมาคุณจะหายเหนื่อยแน่นอน

เลขมงคล เด่นนำโชค

0 3 4

เลขมงคล เด่นรอง

74 85 007 168 507

ฝันเห็นงูหลายตัว

ทำนายฝัน

จะมีโชคอยู่ทางทิศตะวันออก มาจากคนผิวสองสี ชีวิตราบเรียบ จะมีแต่ความสุขอย่างต่อเนื่อง อาจจะได้เงินคืนจากลูกหนี้แบบไม่คาดคิดมาก่อน

ความรัก

คนมีแฟนระวังมีปากเสียงกัน ให้หาเวลาไปเที่ยวตากอากาศกันบ้าง เพื่อผ่อนคลายและเปลี่ยนบรรยากาศด้วย คุณควรระวังเกี่ยวกับคู่ครองของคุณ เพราะอาจจะมีเรื่องร้อนใจหรือเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ ถ้าไม่ระวังตัว ระวังใจของตัวคุณเองให้ดีๆ จิตใจของคุณเองนั่นแหละที่จะทำให้คุณคิดเลยเถิดไปไกล

ดวงการเงิน การงาน

ระวังการกระทำสิ่งมิชอบจากลูกน้องหรือเพื่อนร่วมงาน ที่พาให้เราลำบากไปด้วย คนทำงานเป็นลูกจ้างเขาจะถูกสั่งหยุดกะทันหัน หรือเลวร้ายจนกระทั่งเลิกจ้างคุณ การงานออกนอกลู่นอกทางบ้าง ขาดความเอาใจใส่เท่าที่ควร ต้องมีสติ สมาธิ ความอดทนสู้กว่าปกติ

เลขมงคล เด่นนำโชค
1 2 4 6

เลขมงคล เด่นรอง
24 29 32 58 250

ฝันว่างูกัด

ทำนายฝัน

ต้องระวังเป็นพิเศษกับเรื่องสุขภาพของผู้ใหญ่ที่จะไม่ค่อยปกติและเป็นเหตุ ให้ท่านกังวลใจ ระวังอย่าให้ความเครียดเพิ่มขึ้นจนเป็นปัญหาในเรื่องสุขภาพ คุณมีเกณฑ์ได้เดินทางท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ

ความรัก

คนรักไปไหนคุณไปด้วย แต่ไม่วายที่คุณจะแอบเจ้าชู้หว่านเสน่ห์ไปทั่ว ความรักของคุณสดใสเป็นสีชมพูเลยนะ แต่ก็อย่าให้เกิดปัญหารถไฟหลายๆ ขบวนมาชนกันล่ะ เดี๋ยวจะงานเข้าไม่รู้ตัว ระวังคนรักของคุณจะเผลอใจไปปิ๊งรักกับคนอื่น ควรใส่ใจและดูแลคนรักให้ดี

ดวงการเงิน การงาน

จะมีโชคทางการเงินหรือมีลาภลอยในช่วงสั้น ๆ แต่ก็ต้องใช้จ่ายอย่างประหยัดอย่าประมาท เงินพิเศษจะมาจากการบริการที่ถูกใจคนอื่น สินค้าที่เกิดจากไอเดียใหม่ๆ ระวังเรื่องการเมืองในออฟฟิศไว้บ้าง อย่าไว้ใจใครง่ายเกินไป

เลขมงคล เด่นนำโชค
3 4 7 8 9

เลขมงคล เด่นรอง
06 90 97 627

ฝันว่างูรัด

ทำนายฝัน

ช่วงนี้จะทำอะไรก็ให้แบ่งรับแบ่งสู้อย่าเพิ่งทุ่มไปซะจนหมดตัวและหัวใจ จงระวังอุบัติเหตุ ทำอะไรก็อย่าประมาท ไม่ว่าคุณจะทำอะไรดูเหมือนว่าจะมีอุปสรรคไปหมด

ความรัก

คุณเป็นคนที่โชคดีมากเ พราะได้รับการเอาใจใส่ดูแลจากคนรักเป็นอย่างดี รู้สึกอบอุ่นใจ คุณจะได้รับการแนะนำให้รู้จักกับคนนิสัยดี จิตใจดี ชอบทำบุญ ชอบช่วยเหลือผู้อื่น อารมณ์ของคุณในระยะนี้ขึ้นๆลงๆบ่อยมากและมักจะควบคุมอารมณ์ไม่ได้

ดวงการเงิน การงาน

จะได้เงินที่มาจากการกู้ยืมและสามารถคลี่คลายปัญหาที่เกิดขึ้นได้ ระวังรูรั่วทางการเงินจะส่งผลเสีย อย่าค้ำประกันการกู้ยืมให้ใครเพราะจะมีเหตุให้ต้องเสียหลักทรัพย์ไป จะได้แสดงความสามารถ เป็นที่ชื่นชมของคนรอบข้าง

เลขมงคล เด่นนำโชค
1

เลขมงคล เด่นรอง
63 79 285 241 454

ทำนายฝัน
ทำนายฝัน

ฝันว่าฆ่างู

ทำนายฝัน

ช่วงนี้อาจจะได้รับอุบัติเหตุ ทำให้บาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ ช่วงนี้ดวงไม่ดี ทำบุญตักบาตร ฟังธรรมบ้าง อยู่ในช่วงเวลาของความลุ่มหลง รักสนุก พบปะสังสรรค์เฮฮา

ความรัก

คนโสดจับพลัดจับผลูอาจได้เพื่อนรู้ใจมาเป็นแฟน คุณควรระวังเกี่ยวกับคู่ครองของคุณ เพราะอาจจะมีเรื่องร้อนใจหรือเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ ถ้าไม่ระวังตัว ระวังใจของตัวคุณเองให้ดีๆ จิตใจของคุณเองนั่นแหละที่จะทำให้คุณคิดเลยเถิดไปไกล

ดวงการเงิน การงาน

จะเด่นมากในด้านการงานที่เกี่ยวกับการค้าต่างแดน หรืองานที่ต้องพบปะกับคนต่างชาติ ต่างภาษา การประหยัดช่วยกันในครอบครัวคือสิ่งที่ดีที่สุดในตอนนี้ การเงินมีรายรับดีมาก เป็นเดือนที่รู้สึกคล่องตัวเป็นพิเศษ

เลขมงคล เด่นนำโชค
0 2 3 8 9

เลขมงคล เด่นรอง
06 90 061

ฝันเห็นงูเขียว

ทำนายฝัน

ช่วงนี้ระวังทรัพย์สินจะเสียหาย ช่วงนี้ชีวิตคุณดูมีความสุข ดูมีชีวิตชีวา ใครเห็นแล้วก็รู้สึกสดชื่นไปตามคุณ อยู่ในช่วงจังหวะชีวิตเปลี่ยนแปลง แต่มันจะทำให้คุณได้รับสิ่งใหม่ๆ ในชีวิต

ความรัก

คนโสดจะมีการเปลี่ยนแปลงความคิดที่เกี่ยวกับคนที่เข้ามาพัวพัน อาจจะเปิดโอกาสทางด้านความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อน ผู้ที่มีคนรักแล้วจะได้ของขวัญที่ถูกใจจากคนรัก คนรักก็เอาใจเก่ง พูดจาหวานหู ดูแล้วน่าอิจฉาจัง ระวังคนรักของคุณจะเผลอใจไปปิ๊งรักกับคนอื่น ควรใส่ใจและดูแลคนรักให้ดี

ดวงการเงิน การงาน

มีโอกาสที่จะเกิดปัญหาเงินขาดมือได้อยู่ตลอดเวลา ให้ระมัดระวังการใช้จ่ายเงินให้ดี ประหยัดได้ควรประหยัดไปก่อน หากทำสัญญากู้หนี้ยืมสินระหว่างเพื่อนกันจะถูกอีกฝ่ายบิดพลิ้ว เอารัดเอาเปรียบได้ ใครที่คิดจะซื้อจะหาอะไรให้ ดูกำลังทรัพย์ของตัวเองด้วยไม่งั้นจะทุกข์มากกว่าสุข

เลขมงคล เด่นนำโชค
0 1 2 3 5 6

เลขมงคล เด่นรอง
96 74 15 306

ฝันเห็นงูเห่า

ทำนายฝัน

ผู้ใหญ่จะช่วยเหลือเกื้อกูลด้วยดี หากหนักใจเรื่องใดก็ตามควรเข้าหาผู้ใหญ่เพื่อขอคำปรึกษา ชีวิตราบเรียบ จะมีแต่ความสุขอย่างต่อเนื่อง ระวังจะถูกเอาเปรียบจากคนที่คุณไม่คิดว่าเขาจะทำได้

ความรัก

คนที่คุณรักดูเหมือนจะเป็นที่ต้องตาต้องใจของคนอื่นๆด้วย คู่รักที่คบกันมานาน ถึงเวลาแล้วที่จะได้ประกาศฤกษ์ดีเสียที คุณควรระวังในเรื่องคำพูด เพราะอาจะทำลายมิตรภาพจนขาดสะบั้นได้ง่าย ๆ

ดวงการเงิน การงาน

ได้ลาภจากการทำงาน หรืออาจจะได้งานพิเศษทำแบบไม่คาดคิด การประหยัดช่วยกันในครอบครัวคือสิ่งที่ดีที่สุดในตอนนี้ จะมีอุปสรรคเรื่องคนและการเดินทางต้องเผื่อเวลาสำหรับการนัดไว้เสมอ

เลขมงคล เด่นนำโชค
2 3 9

เลขมงคล เด่นรอง
96 27 820 430

ฝันเห็นงู
ฝันเห็นงู

ฝันเห็นงูมีพิษ

ทำนายฝัน

การพบปะคนจำนวนมากมักเจอเหตุการณ์หรือคำพูดที่ไม่ค่อยน่าพอใจนัก เร็วๆนี้ คุณมีดวงที่จะต้องเดินทางไกล ความเจริญของคุณจะมาจากความอ่อนน้อมถ่อมตนกับคนที่มีอายุมากกว่า

ความรัก

คุณหรือคนรักฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะมีความลับต่อกัน แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดออกมา เพราะกลัวจะโดนอีกฝ่ายโกรธและกลัวจะทะเลาะกัน คนที่มีคู่แล้วให้ระวังเรื่องความสัมพันธ์ที่จะเกิดขึ้นระหว่างคู่ของคุณกับเพื่อนสนิทของคุณ จับตาดูไว้ให้ดีๆ คุณจะมีโชคจากคนรัก อาจจะเป็นของฝากหรือของขวัญ

ดวงการเงิน การงาน

ได้ลาภจากการทำงาน หรืออาจจะได้งานพิเศษทำแบบไม่คาดคิด เงินไม่คล่องมือ ต้องจ่ายเกี่ยวกับสุขภาพของท่านหรือการเรียนของลูกหลานหรือเพื่อซ่อมแซมที่อยู่อาศัย การงานได้รับความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่ในสายงานเป็นอย่างดี

เลขมงคล เด่นนำโชค
1 5

เลขมงคล เด่นรอง
69 81 96 53 267

ฝันเห็นงูเลื้อยเข้าบ้าน

ทำนายฝัน

การพบปะคนจำนวนมากมักเจอเหตุการณ์หรือคำพูดที่ไม่ค่อยน่าพอใจนัก ชีวิตราบเรียบ จะมีแต่ความสุขอย่างต่อเนื่อง คุณมีเกณฑ์ได้รับลาภผลจากคนรัก

ความรัก

คนโสดจะมีเกณฑ์ได้พบรักกับคนที่มีเจ้าของแล้วเข้าให้อย่างจัง ระวังจะเกิดอาการรักสั่นคลอน เพราะไม่รู้จะเลือกใครดี ค่อยๆคิดไปก่อน คุณมีโอกาสที่จะพบกับปัญหาความไม่เข้าใจกัน และเกิดอาการบันดาลโทสะได้ง่าย ๆ

ดวงการเงิน การงาน

การทำงานร่วมกับพรรคพวกต้องใช้สติกับมิตรภาพมากเป็นพิเศษ และงานจะลุล่วงผ่านพ้นไปด้วยดี จะหาเงินได้ก้อนใหญ่จากกิจการที่คุณทำอยู่และอาจมีผู้มาร่วมลงทุนกับคุณ เพิ่มมากขึ้นแต่ให้ระวังเรื่องการแบ่งปันผลประโยชน์ที่ไม่ลงตัว การงานได้เพื่อนฝูงคอยช่วยเหลือ ทำให้งานเสร็จเร็วขึ้น

เลขมงคล เด่นนำโชค
0 6 61 84 487 484

ฝันเห็นงูตัวใหญ่

ทำนายฝัน

ระยะนี้ท่านจะติดต่อกับคนต่างชาติหรือมิตรสหายที่เป็นคนต่างถิ่นต่างภาค พวกเขาเหล่านี้จะนำลาภมาให้ ช่วงมารผจญ ระวังการกลับบ้านดึกๆ และหลีกเลี่ยงการไปงานศพ เพื่อนหรือผู้ที่คุณคุ้นเคยเป็นอย่างดีจะทำตัวห่างเหิน

ความรัก

ความรักไม่ได้ดังใจที่คุณคิดไว้ มักได้ยินเรื่องราวที่ทำให้ไม่สบายใจอยู่เป็นประจำ คุณควรระวังเกี่ยวกับคู่ครองของคุณ เพราะอาจจะมีเรื่องร้อนใจหรือเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ อารมณ์ของคุณในระยะนี้ขึ้นๆลงๆบ่อยมากและมักจะควบคุมอารมณ์ไม่ได้

ดวงการเงิน การงาน

การตัดสินใจของคุณจะเป็นที่ยอมรับจากคนรอบข้างเป็นอย่างดี แต่ต้องใช้สติให้ดี คนทำงานประจำจะมีปัญหากับ เพื่อนร่วมงานใหม่ๆ โดยเฉพาะอายุน้อยกว่า ใครที่คิดจะซื้อจะหาอะไรให้ ดูกำลังทรัพย์ของตัวเองด้วยไม่งั้นจะทุกข์มากกว่าสุข

เลขมงคล เด่นนำโชค
0 1 7 8

เลขมงคล เด่นรอง
37 44 87 745 198

ฝันเห็นพญานาค

ทำนายฝัน

จะมีโชคอยู่ทางทิศตะวันออก มาจากคนผิวสองสี จะมีการเปลี่ยนแปลงทั้งเรื่องงานและเรื่องที่อยู่อาศัย มีแต่คนคอยสร้างปัญหาให้คุณอยู่เสมอ

ความรัก

คนโสดต้องพึ่งพาเพื่อนฝูงคนใกล้ตัวคอยเป็นพ่อสื่อแม่ชักให้ถึงจะสำเร็จ ความรักของคุณสดใสเป็นสีชมพูเลยนะ แต่ก็อย่าให้เกิดปัญหารถไฟหลายๆ ขบวนมาชนกันล่ะ เดี๋ยวจะงานเข้าไม่รู้ตัว คุณมีดวงที่ต้องเดินทางในระยะนี้ ทำให้คุณจะมีโอกาสห่างเหินกับคนที่คุณรัก

ดวงการเงิน การงาน

ที่กำลังทำเรื่องขอกู้ยืมเงินจากธนาคารระมัดระวังเรื่องเอกสารสัญญาไม่สมบูรณ์ขาดตกบกพร่องทำให้เกิดปัญหาตามมาไม่รู้จบ ทางด้านการเงินดีมาก แต่ก็ไม่เหลือเก็บ อย่าเพิ่งลงทุน ขยับขยาย ทำอะไรเสี่ยง ๆ ได้ไม่คุ้มเสีย

เลขมงคล เด่นนำโชค
5 6 8

เลขมงคล เด่นรอง
29 30 953 858

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

ทำนายฝัน!! “ฝันว่าฟันหัก” จะเกิดการสูญเสียจริงหรือ?

ฝันเห็นเสือ ฝันว่าเสือกัด ทำนายฝันพร้อมเลขมงคล!!

ฝันว่าผมร่วง ผมร่วงเต็มพื้นจะดีหรือร้าย..ทำนายฝันแม่นๆ

ตกใจ! ฝันว่าตัดผม อย่าเพิ่งรีบส่องกระจกเปิดทำนายฝันด่วน

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : monohoro.com

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

ติดตั้งคาร์ซีท

ติดตั้งคาร์ซีท ในรถกระบะได้ไหม? ปลอดภัยหรือไม่?

Alternative Textaccount_circle
event
ติดตั้งคาร์ซีท
ติดตั้งคาร์ซีท

ตามกฎหมายบังคับให้เด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี นั่งในคาร์ซีทเมื่อเดินทางด้วยรถยนต์ แล้วคุณพ่อคุณแม่ที่ใช้รถกระบะล่ะควร ติดตั้งคาร์ซีท อย่างไรให้ปลอดภัยกับลูกน้อย?

ติดตั้งคาร์ซีท ในรถกระบะได้ไหม? ปลอดภัยหรือไม่?

ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ พ.ร.บ.จราจรทางบก (ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2565 เมื่อวันที่ 7 พ.ค. 2565 บัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด 120 วันนับแต่วันประกาศ โดยสาระสำคัญคือ ให้เด็กอายุไม่เกิน 6 ปีต้องนั่ง “คาร์ซีท”

โดยพรบ.จราจรทางบก พ.ศ.2565 ประกาศใช้มีสาระสำคัญ เกี่ยวกับความปลอดภัยของเด็กในมาตรา 123 กล่าวว่า เด็กอายุไม่เกิน 6 ปี หรือผู้โดยสารที่สูงไม่เกิน 135 ซม.ต้องนั่งคาร์ซีท บูสเตอร์ซีท หรือคาดเข็มขัดนิรภัย หากไม่ปฏิบัติ มีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท และจะมีผลในอีก 120 วันข้างหน้า หรือวันที่ 5 กันยายน 2565

“คาร์ซีท” เป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นต้องมีเมื่อมีการนำบุตรหลานออกเดินทางทั้งใกล้หรือไกล สามารถปกป้องและลดความรุนแรงของการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุให้กับเด็ก องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำว่า การใช้ “คาร์ซีท” ช่วยลดการเสียชีวิตของเด็กได้ถึงร้อยละ 70

เป็นที่แน่นอนแล้วว่าเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปีจะต้องนั่งคาร์ซีท เพื่อความปลอดภัยของตัวเด็กเอง สำหรับบ้านไหนที่ใช้รถกระบะกันอยู่ ก็จะมีคำถามว่าสำหรับรถกระบะแล้วควร ติดตั้งคาร์ซีท ตรงไหน ถึงจะปลอดภัยและไม่ผิดกฎหมาย ทีมกองบรรณาธิการ ABK มีคำตอบค่ะ

ก่อนที่จะดูว่าจะต้อง ติดตั้งคาร์ซีท อย่างไรในรถกระบะ มาทำความรู้จักประเภทของรถกระบะกันก่อนค่ะ

ประเภทรถกระบะ รถกระบะมีกี่แบบ?

รถกระบะเป็นประเภทสินค้าที่มีการแข่งขันสูง ดังนั้นจึงต้องมีความหลากหลายของสินค้าให้เลือกใช้ โดยหลัก ๆ แล้ว จะแบ่งเป็นตัวถัง 3 ประเภทคือ แบบตอนเดียว แบบตอนครึ่ง และแบบสองตอน

ตัวถังตอนเดียว

เป็นตัวถังแบบหัวเก๋งเดี่ยว ไม่มีพื้นที่หลังคนขับใดๆ สำหรับขนของได้เยอะสุดๆ ส่วนใหญ่ใช้คำว่า Standard cab แต่ก็มีบางยี่ห้อ ใช้ชื่อต่างออกไป เช่น Single cab S-cab

ตัวถังตอนครึ่ง

หลายคนรู้จักกันว่าเป็น กระบะมีแค็ป ซึ่งจะมีพื้นที่ด้านหลังคนขับเพิ่มมาเล็กน้อย ไว้ให้พอใส่สัมภาระแบบหลบแดดฝนได้ ริเริ่มตั้งแต่ยุค 70 เป็นต้นมา โดยปัจจุบันมักทำช่วงตัวถังตอนครึ่งช่วงหลัง ให้สามารถเปิดได้ด้วย คล้ายเป็นประตูเสริม เพื่อเพิ่มความสะดวกในการขนสัมภาระแบบไม่ต้องพับเบาะ ซึ่งชื่อเรียกอย่างเป็นทางการ ก็จะแตกต่างไปตามแต่ละยี่ห้อ เช่น Spacecab, Smart cab, Xtracab, Open cab, Mega cab, King cab, X-cab, Freestyle cab

ตัวถังสองตอน

รถกระบะแบบที่ได้รับความนิยมที่สุด เพราะมีห้องโดยสารตอนที่ 2 เพิ่มเข้ามา เริ่มนิยมใช้กันในยุค 90 เป็นต้นมา พร้อมเบาะนั่ง และประตูเปิดเข้าออกได้ง่าย โดยส่วนใหญ่แล้วจะรู้จักกันในชื่อของดับเบิ้ลแค็ป

จะเห็นได้ว่ารถกระบะมีทั้งแบบไม่มีเบาะหลัง หรือมีแต่พื้นที่อาจจะไม่กว้างพอที่จะติดตั้งคาร์ซีท และมีทั้งแบบเบาะนั่งด้านหลังที่กว้างขวางพอ ๆ กับรถเก๋ง ดังนั้น มาดูกันว่าสำหรับรถกระบะแล้วจะสามารถ ติดตั้งคาร์ซีท ตรงจุดไหนได้บ้าง และปลอดภัยหรือไม่ กันค่ะ

คาร์ซีท
คาร์ซีท

ติดตั้งคาร์ซีท ในรถกระบะได้ไหม? ปลอดภัยหรือไม่?

จากความเห็นของพ่อแม่หลายคนที่ซื้อรถกระบะกันมาแล้ว คงจะหนักใจไม่น้อยเพราะการจะเปลี่ยนรถมาเป็นรถเก๋งเพื่อ ติดตั้งคาร์ซีท นั้นคงไม่เหมาะ เพราะหลาย ๆ บ้านก็ต้องใช้รถกระบะในการทำงาน ขนของ แต่ทุกปัญหาย่อมมีทางแก้ค่ะ มาดูกันว่าจะ ติดตั้งคาร์ซีท ที่จุดไหนในรถกระบะได้บ้าง จุดไหนที่ปลอดภัยที่สุด

ที่นั่งด้านข้างคนขับ

หากอ้างอิงตามกฎหมายไทยที่จะเริ่มบังคับใช้นั้น ไม่ได้กำหนดว่าจะต้องติดตั้งคาร์ซีทบนเบาะหลังเหมือนกับบางประเทศ (ยกตัวอย่างประเทศฝรั่งเศส กำหนดให้เด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี ต้องนั่งบนคาร์ซีทที่เบาะหลังเท่านั้น เว้นแต่กรณีรถไม่มีเบาะหลังจึงจะสามารถใช้เบาะหน้าได้) ผู้ปกครองจึงสามารถติดตั้งคาร์ซีทบนเบาะหน้าได้หากมีความจำเป็น เช่น กรณีใช้รถกระบะแค็บที่ไม่มีเบาะหลัง หรือเป็นรถแบบ 2 ที่นั่ง เป็นต้น

อย่างไรก็ดี รถยนต์รุ่นใหม่ๆ ในปัจจุบันล้วนแต่ติดตั้งระบบถุงลมนิรภัยฝั่งผู้โดยสารด้านหน้ามาให้ ซึ่งถือเป็นอันตรายอย่างยิ่งสำหรับการติดตั้งคาร์ซีท เนื่องจากการพองตัวของถุงลมนิรภัยมีความรุนแรงมาก อาจเป็นอันตรายต่อเด็กที่นั่งโดยสารอยู่ได้ รถหลายรุ่นจึงมีปุ่มปิดการทำงานของถุงลมนิรภัยสำหรับการติดตั้งคาร์ซีทโดยเฉพาะ ซึ่งโดยมากแล้วจะอยู่บริเวณด้านข้างของแผงคอนโซลหน้าฝั่งผู้โดยสาร จำเป็นต้องเปิดประตูออกเสียก่อนจึงจะสามารถเห็นปุ่มที่ว่านี้ได้ (รถบางรุ่นอาจถูกออกแบบให้อยู่ในตำแหน่งที่ต่างออกไปจากนี้)

ส่วนวิธีการปิดการทำงานก็ขึ้นอยู่กับรถแต่ละรุ่น บางรุ่นถูกออกแบบให้สามารถหมุนปิดการทำงานได้ทันที บางรุ่นอาจจำเป็นต้องเสียบกุญแจเสียก่อนจึงจะสามารถหมุนปิดการทำงานของถุงลมนิรภัยได้ โดยสัญลักษณ์รูปถุงลมนิรภัยอาจปรากฏขึ้นบนหน้าปัดเพื่อแสดงว่าถุงลมนิรภัยถูกปิดอยู่ แต่ก็จะไม่กระทบต่อการทำงานของถุงลมนิรภัยที่เหลือแต่อย่างใด
สำหรับบ้านไหนที่มีกระบะแบบที่นั่งตอนเดียว ก็ลองหาดูนะคะว่ามีปุ่มปิดการทำงานของถุงลมนิรภัยในบริเวณด้านข้างคนขับหรือไม่

ที่นั่งตอนหลัง

สำหรับรถตัวถังสองตอน ที่บริเวณที่นั่งด้านหลังมีความกว้างพอ ๆ กับรถเก๋ง สามารถเปิดปิดประตูได้จากตอนที่สองของตัวถังได้นั้น ก็ควรติดตั้งคาร์ซีทบริเวณที่นั่งตอนหลัง โดยรถบางรุ่นจะมีอุปกรณ์ที่เรียกว่า ISOFIX ซึ่งเป็นจุดยึดที่ออกแบบมาสำหรับติดตั้งคาร์ซีทโดยเฉพาะ ช่วยให้การติดตั้งทำได้ง่ายขึ้น แถมยังมีความมั่นคงแข็งแรงกว่าการยึดด้วยสายเข็มขัดนิรภัยอีกด้วย แต่หากรถรุ่นที่คุณพ่อคุณแม่ใช้ ไม่มี ISOFIX การติดตั้งคาร์ซีทกับสายเข็มขัดนิรภัย ก็ถือว่าปลอดภัยเช่นกันค่ะ

ISOFIX

ISOFIX

 

ที่นั่งบริเวณแคป

แม้ที่นั่งบริเวณนี้จะมีความกว้างไม่มากพอที่จะติดตั้งคาร์ซีทขนาดใหญ่ และรถบางรุ่นก็ไม่มีเข็มขัดนิรภัยตรงที่นั่งบริเวณแคปอีกต่างหาก สำหรับกรณีนี้คุณพ่อคุณแม่ควรตรวจสอบก่อนว่าที่นั่งบริเวณแคปในรถของคุณพ่อคุณแม่นั้น มีเข็มขัดนิรภัยหรือไม่ หากมี ควรหาคาร์ซีทที่สามารถวางไว้ตรงจุดนั้นได้พอดี ไม่ควรให้ฐานของคาร์ซีทเลยจากเบาะนั่ง

และสำหรับหลาย ๆ บ้านที่ติดตั้งคาร์ซีทโดยให้ด้านข้างหันไปทางหน้ารถ เพื่อให้ฐานของคาร์ซีทพอดีกับเบาะนั่งนั้น ขอบอกว่าการติดตั้งแบบนี้อันตรายมาก ๆ ค่ะ เพราะอาจจะทำให้คาร์ซีทคว่ำลงมาได้หากเกิดอุบัติเหตุ

สำหรับในกรณีที่รถของคุณพ่อคุณแม่ ไม่มีเข็มขัดนิรภัยตรงที่นั่งบริเวณแคป การจะนำคาร์ซีทไปวางไว้โดยไม่คาดเข็มขัดนิรภัย ก็อันตรายเช่นกัน เพราะคาร์ซีทสามารถคว่ำลงมาหรือกระเด้งไปนอกรถได้เช่นกันค่ะ

ดังนั้น หากไม่สามารถหาคาร์ซีทที่มีขนาดพอเหมาะกับที่นั่งบริเวณแคป หรือไม่มีเข็มขัดนิรภัยตรงที่นั่งบริเวณแคป แนะนำให้ติดตั้งคาร์ซีทในบริเวณที่นั่งข้างคนขับแล้วปิดระบบถุงลมนิรภัยที่ด้านข้างคนขับแทนนะคะ

ติดตั้งถูกต้อง ป้องกันอันตรายได้!!

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นรถประเภทไหนก็ตาม การติดตั้งคาร์ซีทให้ถูกต้องนั้น เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด นอกจากนี้ การใช้คาร์ซีทให้เหมาะสมกับวัย ส่วนสูง และน้ำหนักของลูกก็สำคัญเช่นกัน เพราะการใช้คาร์ซีทที่สูงกว่าวัยลูก เผื่อลูกโตนั้น ในบางครั้งท่านั่งของคาร์ซีทแบบเด็กโต ก็ไม่เหมาะกับสรีระของเด็กเล็กหรือทารก และหากเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา ลูกก็อาจจะได้รับอันตรายจากการใช้คาร์ซีทที่ไม่เหมาะสมกับวัยได้ อ่านต่อ วิธีเลือกซื้อ “คาร์ซีท” ให้เหมาะกับช่วงอายุของลูก

ดูคลิปเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเลือกคาร์ซีท ได้ที่นี่

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

เด็กทารกจำเป็นต้องใช้คาร์ซีท จริงหรือ?

 

ให้ลูก นั่งคาร์ซีท หรือ อุ้มนั่งตัก แบบไหนปลอดภัยกว่า?

รีวิวคาร์ซีท 10 แบรนด์ยอดนิยม แข็งแรง ปลอดภัยทุกการเดินทาง

เช็คลิสต์! ยาสำหรับเดินทาง พาลูกเที่ยว พกยาอะไรบ้าง?

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : www.modernmom.com, chobrod.com, www.sanook.com

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

keyboard_arrow_up