Page 70 – AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

ไทยมี ผ่าตัดฝังประสาทหูเทียม เหมือนที่ชัชชาติพาลูกรักษา

ไทยมี ผ่าตัดฝังประสาทหูเทียม เหมือนที่ชัชชาติพาลูกรักษา

คู่พ่อลูกสุดน่ารักตอนนี้ไม่มีใครเกินคู่ของ ผู้ว่าฯ ชัชชาติและน้องแสนดี- แสนปิติ สิทธิพันธุ์ ที่เมื่อคุณพ่อผู้ว่าฯ ลางานไปงานรับปริญญาแล้วไลฟ์กลับมา คนก็ติดตามดูถล่มทลายทุกคลิป โดยในคลิปหนึ่งคุณชัชชาติได้ จับภาพไปที่ประสาทหูเทียม ซึ่งน้องแสนดีได้ ผ่าตัดฝังประสาทหูเทียม เพื่อช่วยในการฟังเมื่อตอนอายุประมาณ 2 – 3 ขวบ เทคโนโลยีนี้ ทำให้น้องแสนดีที่หูหนวกสนิท สามารถได้ยินเสียงและพูดได้ในที่สุด ซึ่งตอนนี้ในไทยก็มีผ่าตัดฝังประสาทหูเทียมแล้วเช่นกัน และมีสิทธิประโยชน์บัตรทอง สามารถรับอุปกรณ์ประสาทหูเทียมได้ด้วยค่ะ

ชัชชาติในวันที่พบว่าลูกไม่ได้ยินจนไปถึงการรักษาและบำบัด

คุณชัชชาติได้เล่าวินาทีที่พบว่าลูกไม่ได้ยิน การรักษา และการฝึกพูด ไว้ในเพจ มนุษย์กรุงเทพ ดังนี้ค่ะ

“ลูกชายของผมเกิดเมื่อปี 2000 ร่างกายภายนอกของเขาปกติดี กระทั่งวันหนึ่งมีคนทักว่า ทำไมเรียกแล้วไม่หัน พออายุหนึ่งขวบกว่าๆ ผมตัดสินใจพาไปตรวจ พยาบาลบอกผลว่า ลูกชายของผมหูหนวก เคยเห็นเด็กหูหนวกส่งภาษามือ แต่ไม่คิดว่าจะเจอกับตัวเอง เป็นวินาทีเปลี่ยนชีวิตเลย ตอนนั้นผมตกใจ นั่งร้องไห้ สงสารลูกว่าอนาคตจะเป็นยังไง เราเหมือนปฏิเสธตัวเอง คิดว่าหมออาจตรวจผิด เลยไปตรวจที่อื่น แต่ทุกที่ก็บอกเหมือนเดิม ผมถึงขนาดไปไหว้พระ บนบานศาลกล่าว ขอให้เขาหาย ตอนลูกหลับก็เอาหูฟังเสียงดังๆ เปิดใส่ เผื่อจะกระตุ้นให้เขาได้ยิน เป็นความหวังลมๆ แล้งๆ เวลาผ่านไปเริ่มตกตะกอนว่าเป็นไปไม่ได้

“ผมเริ่มซื้อหนังสือเกี่ยวกับคนหูหนวกมาอ่าน ศึกษาบทความต่างๆ ทางเลือกมีทั้งการฝึกใช้ภาษามือ แต่คนอื่นสื่อสารด้วยยาก สังคมก็จะแคบ หรือใช้เครื่องช่วยฟัง ซึ่งเหมาะกับคนที่มีการได้ยินเหลืออยู่บ้าง หรือวิธีอ่านปาก ซึ่งก็ต้องใช้พร้อมเครื่องช่วยฟัง แต่ลูกของผมหูหนวกสนิทเลย อีกทางคือ การผ่าตัดประสาทหูเทียม สิบกว่าปีที่แล้วเมืองไทยมีอยู่บ้าง แต่เด็กที่ผ่ามักไม่ประสบความสำเร็จ คือพูดไม่ได้ แต่ผมคิดว่าถ้าทำสำเร็จ เขาจะสื่อสารกับคนทั่วไปได้เลย ผมเลยเลือกทางนี้

“ประเทศที่ผ่าตัดได้เยอะคือ ออสเตรเลีย ผมติดต่อไปหาหมอคนหนึ่ง เขาผ่ามานับพันคน บินไปคุยอยู่สองครั้ง แล้วถึงพาลูกไปตรวจ พอรู้ผลว่าผ่าได้ ตอนนั้นผมเป็นอาจารย์ เลยสอบเอาทุนจากรัฐบาลออสเตรเลียไปทำวิจัย แล้วพาลูกไปผ่าเมื่อเดือนธันวาคม 2002 ใช้เวลาแค่ 2 ชั่วโมง แต่สิ่งสำคัญกว่านั้น คือเราต้องฝึกให้เขาเข้าใจเครื่องนี้ ปกติประสาทหูชั้นในมีลักษณะเป็นก้นหอย มีขนๆ อยู่ พอได้ยินเสียง ขนก็สั่น แล้วเปลี่ยนเป็นกระแสไฟฟ้าไปกระตุ้นสมอง แต่ลูกของผมไม่มี เลยใส่ขดลวดไฟฟ้าไปแทน เวลาพูดจะเหมือนที่เราพูดกัน แต่เขาจะได้ยินอีกแบบ สมมุติคำว่า พ่อ เขาก็จะได้ยินเป็น ตื๊ด ตื๊ด ตื๊ด

“หลังจากผ่าตัด ช่วงแรกเขาไม่พูดเลย เราก็เครียด ไม่รู้ว่ามาถูกทางหรือเปล่า ถ้าผิดก็ไม่รู้จะกลับไปยังไง การผ่าก็ไปทำลายของเดิมทั้งหมด ตอนนั้นพ่อแม่ต้องฝึกอาทิตย์ละ 3 ชั่วโมง เพื่อกลับมาฝึกลูก 24 ชั่วโมงที่บ้าน หลังหกเดือนเขาก็เริ่มพูดได้ เครื่องมีความละเอียดไม่เท่าหูคน ผมเลยเลือกฝึกภาษาอังกฤษเพราะวรรณยุกต์ไม่เยอะ อีกอย่างความรู้บนโลกนี้ส่วนใหญ่เป็นภาษาอังกฤษ ถ้าเขาพูดได้ อนาคตคงเรียนภาษาไทยได้ หลังจากนั้นเขากลับมาอยู่โรงเรียนอินเตอร์ พูดอังกฤษได้ พูดไทยได้นิดหน่อย เป็นเด็กหูหนวกหนึ่งในไม่กี่คนที่เรียนโรงเรียนคนปกติได้

หูหนวก 

หูหนวก คือภาวะที่ความสามารถในการได้ยินลดลงหรือสูญเสียการได้ยินทั้งหมด เกิดขึ้นได้ตั้งแต่กำเนิด หรือเกิดขึ้นในภายหลัง โดยมีสาเหตุส่วนใหญ่ เช่น ประสาทหูเสื่อมเพราะอายุมากขึ้น กรรมพันธุ์ การได้รับบาดเจ็บ หรือการได้ยินเสียงดังเป็นเวลานาน

การรักษาหูหนวก

การสูญเสียการได้ยินที่มีสาเหตุมาจากความเสียหายของหูชั้นใน หรือโสตประสาทจะเป็นการสูญเสียอย่างถาวร โดยวิธีที่ช่วยให้ได้ยินและมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ ดังนี้

  • เครื่องช่วยฟัง (Hearing Aids) เป็นเครื่องที่ช่วยขยายเสียงให้ได้ยินชัดขึ้นและช่วยให้ได้ยินง่ายขึ้น โดยผู้ป่วยต้องปรึกษากับนักตรวจการได้ยินถึงประโยชน์ในการใช้เครื่องช่วยฟัง หรือวิธีการใช้และความเหมาะสมในการใช้กับผู้ป่วยแต่ละราย
  • ประสาทหูเทียม (Cochlear Implant) เป็นเครื่องมือที่จะช่วยทำงานทดแทนหูชั้นในส่วนที่ได้รับความเสียหายหรือไม่ทำงาน โดยอุปกรณ์ดังกล่าวจะแปลงสัญญาณเสียงให้เป็นสัญญาณไฟฟ้าในระดับที่ไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ แต่จะช่วยกระตุ้นเซลล์ขนภายในอวัยวะรับเสียงให้ทำหน้าที่ได้ดีขึ้น มักจะใช้กับผู้ป่วยที่ประสาทหูเสื่อมอย่างรุนแรง เช่น หูหนวกหรือหูเกือบหนวก

ประสาทหูเทียม 

เป็นเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ฟังเพื่อทดแทนการทำงานของหูชั้นใน โดยทำหน้าที่แทนเซลล์ขน (hair cells) ของหูชั้นในที่หยุดทำงาน โดยเครื่องแปลงสัญญาณเสียงจะทำหน้าที่เปลี่ยนคลื่นเสียงที่รับผ่านไมโครโฟนแล้วไปแปลงคลื่นเสียงให้เป็นสัญญาณไฟฟ้า เพื่อส่งต่อไปยังเครื่องรับสัญญาณเสียงที่ผ่าตัดฝังไว้ สัญญาณไฟฟ้าจะผ่าน cochlea และ cochlear nerve แล้วส่งต่อไปยังสมองส่วนที่รับการได้ยิน ทำให้เกิดการได้ยิน

ประสาทหูเทียม มีส่วนประกอบที่สำคัญ 2 ส่วน ได้แก่

  • ส่วนที่ฝังอยู่ภายในร่างกาย หรือเรียกว่าเครื่องรับสัญญาณเสียง
  • ส่วนที่อยู่ภายนอกร่างกาย หรือเรียกว่าเครื่องแปลงสัญญาณเสียง
ผ่าตัดฝังประสาทหูเทียม
น้องแสนดี ผ่าตัดฝังประสาทหูเทียม และใส่อุปกรณ์ประสาทหูเทียม

สถานที่ผ่าตัดฝังประสาทหูเทียม

ในปัจจุบันหลายโรงพยาบาลมีเทคโนโลยีที่จะผ่าตัดฝังประสาทหูเทียมได้ เช่นเดียวกับที่น้องแสนดีเคยไปผ่าตัดที่ออสเตรเลียมาแล้ว เช่น ที่โรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ โรงพยาบาลพญาไท เป็นต้น

หลักเกณฑ์ว่าลูก ผ่าตัดฝังประสาทหูเทียม ได้

ข้อบ่งชี้ในการผ่าตัดฝังประสาทหูเทียม คือ

  1. อายุตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป
  2. สูญเสียการได้ยินทั้งสองข้างระดับรุนแรง ระดับการได้ยินมากกว่า 80 เดซิเบล และใช้เครื่องช่วยฟังแล้วไม่ได้ผล ไม่มีโรคที่เป็นอุปสรรคต่อการผ่าตัด
  3. มีสุขภาพจิต และสติปัญญาดีพอที่จะสามารถฟื้นฟูสมรรถภาพได้
  4. ต้องสามารถเข้ารับการฟื้นฟูสมรรถภาพการได้ยินหลังการผ่าตัด และติดตามผลเป็นระยะ ๆ ได้
  5. มีศักยภาพที่จะดูแล บำรุงรักษาอุปกรณ์ประสาทหูเทียมได้

วิธีประเมินก่อน ผ่าตัดฝังประสาทหูเทียม 

  • ตรวจร่างกาย
  • ประเมินระดับการได้ยิน และการใช้เครื่องช่วยฟัง
  • เอกซเรย์คอมพิวเตอร์และตรวจเลือด
  • ประเมินภาวะทางจิต และสติปัญญา หรือพัฒนาการในเด็ก
  • ประเมินความพร้อมของครอบครัวที่จะดูแลและติดตามการรักษาฟื้นฟูสมรรถภาพภายหลังการผ่าตัด

สิทธิรับอุปกรณ์ประสาทหูเทียม

เด็กที่มีสิทธิสามารถรับอุปกรณ์ประสาทหูเทียม ในการผ่าตัดฝังประสาทหูเทียม มีเกณฑ์ดังนี้

  1. เด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี ที่มีสิทธิบัตรทอง 30 บาท หรือสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
  2. เด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี ที่มีระดับการได้ยิน 90 เดซิเบลขึ้นไป
  3. ไม่เคยฝึกภาษามือ
  4. มีข้อบ่งชี้จากแพทย์เพื่อผ่าตัดรักษา

อุปกรณ์ประสาทหูเทียมที่จะได้รับ

สิทธิประโยชน์ที่ได้รับ คือ อุปกรณ์ชุดประสาทหูเทียม 1 ชุด/คน ประกอบด้วย 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่อยู่ในร่างกาย และส่วนที่อยู่นอกร่างกาย ดังนี้

1) ส่วนที่อยู่ในร่างกาย ประกอบด้วยอุปกรณ์สำคัญ คือ ตัวรับสัญญาณ (receiver) และ ขั้วไฟฟ้า (eleclrode array) ชนิดหลายขั้ว ตั้งแต่ 12 electrodes ขึ้นไป

2) ส่วนที่อยู่นอกร่างกาย ประกอบด้วย

2.1 เครื่องแปลงสัญญาณเสียงพูด (speech processor)
2.2 ขดลวดส่งต่อสัญญาณและแม่เหล็ก
2.3 สายไฟเชื่อมต่อเครื่องแปลงสัญญาณเสียงพูดเข้ากับขดลวดส่งต่อสัญญาณ (coilcable)
2.4 แบตเตอรี่ชนิดประจุไฟฟ้าใหม่ได้ (rechargeable battery) อย่างน้อย 2 ชุดพร้อมแท่นชาร์ต
2.5 มีระบบ Data Logging เพื่อให้สามารถรู้ว่าผู้ป่วยใช้งานหรือไม่
2.6 มีระบบการป้องกันน้ำที่มาตรฐานไม่ต่ำกว่า International Protection 57 ขึ้นไป
2.7 มีไมโครโฟน (omni direction) อย่างน้อย 2 ตัว
2.8 มีกล่องอบกันความชื้น

วิธีการใช้สิทธิ

ติดต่อที่หน่วยบริการตามสิทธิ โดยแสดงสูติบัตรในการเข้ารับบริการ หากหน่วยบริการตามสิทธิไม่มีแพทย์เฉพาะทางจะส่งต่อไปยังหน่วยบริการที่มี อุปกรณ์ชุดประสาทหูเทียม แต่หากมีเอกสารประกอบยืนยันประเภทคนพิการ สามารถเข้ารับบริการหน่วยบริการของรัฐได้ทุกแห่ง

การได้ยินในที่ได้รับการผ่าตัดฝังประสาทหูเทียม จะไม่เหมือนการได้ยินปกติ ต้องใช้เวลาในการเรียนรู้ และฝึกฝนจึงจะสามารถฟัง แปลผล และสื่อสารได้ จึงมีความจำเป็นที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากครอบครัว และบุคลากรหลายด้าน ซึ่งประกอบด้วย แพทย์ นักแก้ไขการพูด ครูการศึกษาพิเศษ หรือ ครูที่โรงเรียน เพื่อน ที่ต้องเอาใจใส่ พูดคุยกระตุ้นเพื่อให้ได้ฝึกฟังและพูดตลอดเวลา

สอบถามเพิ่มเติมการใช้สิทธิบัตรทอง สายด่วน สปสช. 1330 หรือช่องทางระบบออนไลน์ทั้งไลน์ สปสช. @nhso หรือคลิก https://lin.ee/zzn3pU6 และ Facebook : สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ https://www.facebook.com/NHSO.Thailand

 

ขอบคุณข้อมูลจาก
สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ,คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล, โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์, pobpad

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ในมุมความเป็นพ่อให้แง่คิดอะไรกับเรา

ชาวเน็ตซึ้ง! แห่แชร์เรื่องเล่า”ชัชชาติ” พ่อผู้แข็งแกร่งดูแลลูกชายหูหนวก

ส่อง 29 นโยบายเรียนดี ของผู้ว่าฯ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์

ลูกติดโทรศัพท์ ลูกติดจอ

MRIสมองเด็กชี้ชัดอันตรายเมื่อ ลูกติดโทรศัพท์ ก่อน 2ขวบ

ลูกติดโทรศัพท์ ก่อน 2 ขวบ รู้ไหมมีผลเสียอย่างไร มาชวนดูกันให้ชัดจากภาพ MRI สมองของเด็กที่อ่านหนังสือ และดูที่จอว่าแตกต่างกันอย่างไร ใส่ใจลูกสักนิดก่อนสาย

ภาพ MRIสมองเด็กชี้ชัดอันตรายเมื่อ ลูกติดโทรศัพท์ ก่อน 2ขวบ

เป็นที่รู้กันว่าพัฒนาการในด้านต่าง ๆ จะมีความสำคัญมากในช่วงวัยเด็ก เพราะเป็นวัยแห่งการเรียนรู้ และพัฒนาด้านต่าง ๆ ในเจริญสมบูรณ์ ซึ่งจะมีพัฒนาการดีมากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับหลาย ๆ องค์ประกอบ ส่วนหนึ่ง และเป็นส่วนที่สำคัญ นั่นคือ ปัจจัยด้านการเลี้ยงดู

ทฤษฎีการเรียนรู้ : ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์ (Piaget)

ทฤษฎีของเพียเจต์ตั้งอยู่บนรากฐานของทั้งองค์ประกอบที่เป็นพันธุกรรม และสิ่งแวดล้อม เขาอธิบายว่า การเรียนรู้ของเด็กเป็นไปตามพัฒนาการทางสติปัญญา ซึ่งจะมีพัฒนาการไปตามวัยต่าง ๆ เป็นลำดับขั้น พัฒนาการเป็นสิ่งที่เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ควรที่จะเร่งเด็กให้ข้ามจากพัฒนาการจากขั้นหนึ่งไปสู่อีกขั้นหนึ่ง เพราะจะทำให้เกิดผลเสียแก่เด็ก แต่การจัดประสบการณ์ส่งเสริมพัฒนาการของเด็กในช่วงที่เด็กกำลังจะพัฒนาไปสู่ขั้นที่สูงกว่า สามารถช่วยให้เด็กพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว

ทารกติดจอ อันตรายกว่าที่คิด
ทารกติดจอ อันตรายกว่าที่คิด

ลำดับขั้นการเรียนรู้ของเด็กวัยก่อน 2 ขวบ : ขั้นประสาทรับรู้และการเคลื่อนไหว (Sensori-Motor Stage) 

ขั้นนี้เริ่มตั้งแต่แรกเกิดจนถึง  ปี พฤติกรรมของเด็กในวัยนี้ขึ้นอยู่กับการเคลื่อนไหวเป็นส่วนใหญ่ เช่น การไขว่คว้า การเคลื่อนไหว การมอง การดู ในวัยนี้เด็กแสดงออกทางด้านร่างกายให้เห็นว่ามีสติปัญญาด้วยการกระทำ  เด็กสามารถแก้ปัญหาได้ แม้ว่าจะไม่สามารถอธิบายได้ด้วยคำพูด เด็กจะต้องมีโอกาสที่จะปะทะกับสิ่งแวดล้อมด้วยตนเอง ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับพัฒนาการด้านสติปัญญา

ความคิดความเข้าใจของเด็กในขั้นนี้ จะก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เช่น สามารถประสานงานระหว่างกล้ามเนื้อมือ และสายตา เด็กในวัยนี้มักจะทำอะไรซ้ำบ่อย ๆ เป็นการเลียนแบบ พยายามแก้ปัญหาแบบลองผิดลองถูก เมื่อสิ้นสุดระยะนี้เด็กจะมีการแสดงออกของพฤติกรรมอย่างมีจุดมุ่งหมาย และสามารถแก้ปัญหาโดยการเปลี่ยนวิธีการต่าง ๆ เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการแต่กิจกรรมการคิดของเด็กวัยนี้ส่วนใหญ่ยังคงอยู่เฉพาะสิ่งที่สามารถสัมผัสได้เท่านั้น

ข้อมูลอ้างอิงจาก จิตวิทยาสำหรับครู รศ.มัณฑรา ธรรมบุศย์

ภาพ MRI สมอง : ทำไมเด็กก่อน 2 ปี ไม่ควรดูจอ??

ลูกติดโทรศัพท์ ภาพ MRI เทียบระหว่างสมองเด็กที่อ่านหนังสือกับดูจอ
ลูกติดโทรศัพท์ ภาพ MRI เทียบระหว่างสมองเด็กที่อ่านหนังสือกับดูจอ

 

หมอมะเหมี่ยว คุณหมอเด็ก ได้กล่าวไว้ในเพจเฟสบุ๊คเกี่ยวกับการงดจอก่อน 2 ขวบ โดยได้กรุณาหยิบยกเอาภาพ MRI สมองเด็กที่เปรียบเทียบกันระหว่างเด็กที่อ่านหนังสือ และเด็กที่ดูจอ แสดงให้เห็นภาพของใยประสาท (White Matter) พบว่า เด็กที่อ่านหนังสือ จะมีใยประสาทที่เรียงกันเป็นระเบียบ ซึ่งแตกต่างจากใยประสาทของเด็กที่ดูจอที่มีใยประสาทกระจัดกระจาย โดยคุณหมอได้สรุปไว้ว่าการให้ “จอ” เลี้ยงลูกนั้น จะมีผลต่อพัฒนาการของเด็กในหลายด้าน แม้ไม่ต้องเข้าเครื่อง MRI ก็พอมองเห็นได้
สามารถติดตามเนื้อหาฉบับเต็ม และเรื่องราวดี ๆ ต่อได้จากเฟสบุ๊คเพจของ Doctor MM Family เมาท์เรื่องลูกกับหมอมะเหมี่ยว
สสารสีเทาของสมองประกอบด้วยเซลล์สมองส่วนใหญ่ที่บอกให้ร่างกายรู้ว่าต้องทำอะไร ใยประสาท ซึ่งโดยทั่วไปจะกระจายเป็นมัดที่เรียกว่า ทางเดิน จะสร้างการเชื่อมต่อระหว่างเซลล์สมองกับส่วนที่เหลือของระบบประสาท
การเพิ่ม และจัดระเบียบใยประสาทมีความสำคัญต่อความสามารถของสมองในการสื่อสารผ่านส่วนต่างๆ ของสมอง ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการทำงานและความสามารถในการเรียนรู้ของสมอง หากไม่มีระบบการสื่อสารที่ได้รับการพัฒนามาอย่างดี ความเร็วในการประมวลผลของสมองก็จะช้าลงและการเรียนรู้ก็จะแย่ลง

ผลเสียของการให้ลูกเล่นโทรศัพท์ ติดจอ

นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย รักษาราชการแทนอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ทุกวันนี้หลาย ๆ ครอบครัวมักจะนำเทคโนโลยีเข้ามาเลี้ยงลูกกันมากขึ้น หรือปล่อยให้เด็กอยู่กับสื่อเทคโนโลยี เช่น มือถือ แท็บเล็ต หรือให้ดูทีวีทั้งวัน เพื่อให้เด็กสงบนิ่ง หรือหยุดร้องไห้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ เพราะในเด็กวัยต่ำกว่า 2 ปี ไม่ควรเล่นหรือดูสื่อเหล่านี้เด็ดขาด เพราะมีผลทำให้พัฒนาการล่าช้า และในเด็กแรกเกิดถึง 3 ปี เป็นช่วงวัยที่สำคัญที่สุด ในการเรียนรู้ เนื่องจากสมองของเด็กจะพัฒนาสูงสุด ซึ่งมีสิ่งแวดล้อมโดยรอบจะเป็นตัวกระตุ้นส่งเสริมพัฒนาการทางด้านสมองในช่วงต้น หากปล่อยให้เด็กใกล้ชิดสื่อเหล่านี้มากเกินไปโดยไม่กำหนดเวลาดูหรือเลือกสื่อ ที่ไม่เหมาะสม

ทฤษฎีของเพียเจต์ การเรียนรู้ของเด็กก่อนวัย 2 ขวบ มาจากการเล่น สัมผัส
ทฤษฎีของเพียเจต์ การเรียนรู้ของเด็กก่อนวัย 2 ขวบ มาจากการเล่น สัมผัส

ผลเสียต่อพัฒนาการเมื่อ ลูกติดโทรศัพท์

  1. ด้านการสื่อสาร : พูดช้า พูดไม่ชัด ขาดความคิดสร้างสรรค์ และการจ้องมองจอภาพเป็นเวลานานจะส่งผลเสียกับดวงตาได้ เช่น ทำให้สายตาสั้น ดวงตาแห้ง เป็นต้น
  2. ด้านร่างกาย : ทำให้ร่างกายไม่แข็งแรง เหนื่อยง่าย เพราะขาดการเคลื่อนไหวออกกำลังกายตามที่วัยที่ควรจะเป็น
  3. ด้านอารมณ์ :ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ เพราะเด็กแยกแยะโลกของออนไลน์ กับความเป็นจริงไม่ได้ ทำให้หงุดหงิดง่าย ใจร้อน รอคอยไม่เป็น ขาดสมาธิไม่จดจ่อ หรือตั้งใจทำกิจกรรมใด ๆ
  4. ด้านพฤติกรรม : ก้าวร้าว ซน สมาธิสั้น โลกส่วนตัวสูง มีพฤติกรรมคล้ายออทิสติก (ออทิสติกเทียม)ภาวะออทิซึม หรือคนทั่วไปมักเรียกว่าออทิสติก เป็นกลุ่มโรคที่มีความบกพร่องของพัฒนาการด้านสังคมและภาษา เกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน ทำให้มีความบกพร่องของระบบประสาท ส่วน “พฤติกรรมคล้ายออทิสติก” หรือที่หลายคนเข้าใจและมักเรียกว่า “ออทิสติกเทียม” นั้น ไม่ได้เป็นการวินิจฉัยโรคทางการแพทย์ เกิดจากเด็กขาดการกระตุ้นให้มีการพูดคุย สื่อสาร หรือมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น เช่น การที่เด็กจดจ่อหน้าจอโทรทัศน์ จอโทรศัพท์มือถือ หรือใช้สื่อผ่านจออื่นๆ มากเกินไป ซึ่งจะทำให้เด็กขาดการเรียนรู้ด้านปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น และทำให้เด็กมีพัฒนาการทางด้านภาษาล่าช้าไม่สมวัยอาการของเด็กที่มีพฤติกรรมคล้ายออทิสติก เมื่อเทียบกับพฤติกรรมของเด็กในวัยเดียวกัน เช่น ไม่สื่อสารด้วยการพูด ไม่เลียนแบบผู้ใหญ่ ไม่สนใจสิ่งรอบตัว เล่นกับใครไม่เป็น ไม่สนใจผู้อื่น ร้องไห้งอแงเมื่อไม่ได้ดูสื่อผ่านจอ ติดที่จะเล่นอุปกรณ์สื่อผ่านจอโดยไม่สนใจว่าคุณพ่อคุณแม่จะกอดหรือหอม หากปล่อยไว้แบบนี้ต่อไป จะทำให้เด็กมีพัฒนาการช้ากว่าเด็กคนอื่นๆ ในวัยเดียวกัน

    การอ่านนิทาน ช่วยเพิ่มคำศัพท์ให้ลูกแม้ยังอ่านไม่ออก
    การอ่านนิทาน ช่วยเพิ่มคำศัพท์ให้ลูกแม้ยังอ่านไม่ออก

10 ประโยชน์จากการอ่านหนังสือให้ลูกฟัง 

  1. เด็ก ๆ จะเรียนรู้คำศัพท์ที่เพิ่ม และกว้างมากขึ้น แม้สำหรับเด็กทารก หรือเด็กเล็กที่ยังไม่สามารถอ่านออก เขียนได้ แต่การที่พ่อแม่อ่านหนังสือที่มีภาพประกอบให้ลูกฟัง พวกเขาก็สามารถเชื่อมโยงคำพูดกับการมองคำศัพท์นั้น ๆ ได้
  2. เพิ่มระดับสติปัญญาของลูกได้ จากงานวิจัยมากมาย รวมทั้งภาพ MRI ที่แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างเด็กที่อ่านหนังสือ กับดูจอ ก็ชี้ให้เห็นแล้วว่าการอ่านหนังสือ ช่วยเพิ่มระดับสติปัญญาของเด็ก
  3. ช่วยเสริมสร้างจินตนาการของเด็ก ๆ ผ่านตัวละครในหนังสือนิทาน
  4. พัฒนาทักษะในด้านความคิดสร้างสรรค์ของเด็ก ๆ ให้ดีขึ้น
  5. เด็ก ๆ เกิดการพัฒนาในเรื่องการเห็นอกเห็นใจผู้อื่นมากขึ้น (หากหนังสือที่อ่านสอดแทรกเรื่องพวกนี้เอาไว้ จะทำให้เด็กๆเห็นภาพและจำเป็นใช้ในชีวิตจริงได้)
  6. ช่วยให้เด็กเข้าใจความแตกต่าง หลากหลายของโลก
  7. ฝึกสมาธิ ระดับสมาธิของเด็ก ๆ ที่ดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ
  8. เสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีภายในครอบครัว การอ่านหนังสือด้วยกัน จะช่วยเสริมสร้างความผูกพันของพ่อแม่และลูกได้ดีขึ้น
  9. เด็ก ๆ จะได้รับการสนับสนุนในเรื่องของการกระทำ หรือกระบวนการทางสมองเพื่อนำไปสู่ความรู้ความเข้าใจโดยจะผ่านทางความคิด ประสบการณ์ และประสาทสัมผัสของพวกเขา
  10. ช่วยเสริมสร้างทักษะของเด็ก ๆ ทางสังคม และปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นได้ดียิ่งขึ้น

เคล็ดลับอ่านนิทานให้ลูกฟังง่ายนิดเดียว แม้ไม่เคยอ่านมาก่อนก็ตาม

  • ให้ลูกเลือกนิทานเอง

ก่อนอ่านนิทานเราควรมีหนังสือที่เหมาะกับวัย และนิสัยของลูกไว้ที่บ้าน เพื่อเขาจะได้เลือกว่าเขาอยากจะอ่านเล่มไหน  เช่น หนังสือลอยน้ำ เหมาะสำหรับเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 1 ขวบ เพราะว่าจะไม่ขาดหรือเปียก และมีเนื้อหาที่กระชับ เข้าใจง่าย หรือ บอร์ดบุ๊คสำหรับเด็ก ๆ ที่ชอบฉีกหรือโยนหนังสือ เป็นต้น เมื่อเรามีหนังสือที่เหมาะกับวัย เราสามารถเปิดโอกาสให้ลูกได้ตัดสินใจเลือกเรื่องที่เขาชอบได้ เมื่อเขาได้เลือกเอง เขาจะยิ่งสนใจ และสนุกไปด้วยกัน

  • ควรพร้อมเมื่อเริ่มอ่าน

หาช่วงเวลาที่ทุกคนว่าง และพร้อมที่จะนั่งฟังนิทาน เช่น ก่อนนอน หรือวันหยุด เป็นต้น จัดให้ลูกอยู่ในท่าที่สบายตัว หากมีลูกหลายคน ก็ให้ทุกคนนั่งในจุดที่จะเห็นหนังสือได้ชัดเจน เราอาจจะรอสักครู่ให้ลูกพร้อมก่อนแล้วค่อยเริ่ม ก่อนเริ่มเราสามารถให้สัญญาณกับเขา เช่น บอกเขาว่า “พ่อจะอ่านนิทานแล้วนะครับ” เพื่อเด็ก ๆ จะได้รู้ว่านี่คือเวลาที่เราจะอ่านนิทาน ไม่ใช่เวลาเล่น หรือกินข้าว

ลูกติดโทรศัพท์ ติดจอ อย่าปล่อยให้สายเกินแก้
ลูกติดโทรศัพท์ ติดจอ อย่าปล่อยให้สายเกินแก้
  • พ่อแม่สนุก ลูกสนุก

เทคนิคที่พ่อแม่สามารถนำมาใช้ในการอ่าน คือ ให้ตัวเราเองรู้สึกสนุก  ถ้าเรารู้สึกสนุก ลูกก็จะสนุก และถ้าเราตื่นเต้น หรือขำ ลูกก็จะรู้สึกแบบเดียวกัน เด็ก ๆ ชอบให้มีเสียงสูง เสียงต่ำ เวลาเล่าเรื่อง ถ้ามีเสียงประกอบหรือคำกลอนที่มีคำคล้องจองหรือคำซ้ำจะทำให้เด็ก ๆ สนุกมากยิ่งขึ้น และเมื่อถึงช่วงตื่นเต้น เราอาจจะเล่าช้าลงให้เด็ก ๆ ได้ลุ้นว่าจะเกิดอะไรขึ้น

  • ทบทวนนิทาน

เมื่ออ่านเสร็จเราสามารถคุยกับลูกเรื่องนิทานได้ อาจทวนเนื้อเรื่อง และเชื่อมเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับในชีวิตจริงของลูก เช่น เพราะอะไร ชิโรสะถึงไม่กล้าคุยกับคุณยาย และถามต่อว่า เราเคยไม่อยากคุยกับผู้ใหญ่บ้างไหม เพราะอะไร เป็นต้น การทำเช่นนี้ ทำให้พ่แม่ได้มีโอกาสเข้าใจลูกมากขึ้น และเขาก็จะได้เรียนรู้ และเข้าใจตัวเองผ่านนิทานเหล่านี้ด้วย

ข้อมูลอ้างอิงจาก CNN Health/ รพ.สินแพทย์ /amarinbooks.com

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

ลูกติดจอ ติดมือถือ แก้ได้ด้วยกฎ 3 ต้อง 3 ไม่

ผลเสียของการให้ลูกเล่นโทรศัพท์ ทารกดูมือถือนานกระทบต่อความฉลาด!

พ่อแม่สำรวจตัวเองด่วน เป็นพ่อแม่สำเร็จรูป…สาเหตุลูกพัฒนาการช้า

เปิดเทอม นี้มาส่องลูกด้วย 10คำถามหลังเลิกเรียนกันเถอะ

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

เฝ้าระวังกัญชา

ด่วน!ผู้ว่าฯชัชชาติลงนาม เฝ้าระวังกัญชา ในโรงเรียน

ด่วน!ผู้ว่าฯชัชชาติลงนาม เฝ้าระวังกัญชา ในโรงเรียน

เฝ้าระวังกัญชา  ด่วน! ‘ผู้ว่าฯชัชชาติ’ ลงนาม ประกาศ เฝ้าระวังกัญชาในโรงเรียน ให้เป็น ‘เขตปลอดกัญชา-กัญชง’ ห้ามขายอาหาร ขนม เครื่องดื่ม ที่มีส่วนผสมของกัญชาในโรงเรียน ส่วนครู-บุคคลากรในโรงเรียนก็ต้องเป็นแบบอย่าง

ประกาศกรุงเทพมหานคร เฝ้าระวังกัญชา

กรุงเทพมหานคร โดยการลงนามของ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ได้ออกประกาศเฝ้าระวังกัญชา ในโรงเรียนสังกัด กรุงเทพมหานคร ดังนี้
“ประกาศกรุงเทพมหานคร เรื่อง การเฝ้าระวังปัญหาที่เกิดจากการใช้กัญชา หรือกัญชง ในนักเรียนโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร โดยที่เป็นการสมควรกำหนดมาตรการป้องกัน และฝ้าระวังปัญหาที่เกิดจากการใช้กัญชา หรือกัญซง ในนักเรียนโรงเรียน สังกัดกรุงเทพมหานคร อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 49 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2528 จึงประกาศมาตรการ และการเฝ้าระวังปัญหา ที่เกิดจากการใช้กัญชา หรือกัญชงในนักเรียนโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร ดังนี้

มาตรการ 9 ข้อ ชัชชาติ เฝ้าระวังกัญชา

1. ให้โรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานครเป็นพื้นที่ “ปลอดกัญชาหรือกัญชง”
2. งดจำหน่ายอาหาร ขนม และเครื่องดื่ม ที่มีส่วนผสมของกัญชา หรือกัญชง ภายในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร
3. ห้ามโฆษณาอาหาร ขนม และเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของกัญชา หรือกัญชง ภายในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร
4. ผู้บริหารสถานศึกษา ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ภายในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร ปฏิบัติตนป็นแบบอย่างแก่นักเรียน และกวดชัน ดูแลนักเรียนมิให้มีการบริโภคกัญชาหรือกัญชง
5. ให้โรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร มุ่งเน้นการให้ความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับกัญชาหรือกัญชงและอันตรายจากกัญชาหรือกัญชง แก่นักเรียน ด้วยการบูรณาการเข้ากับกลุ่มสาระการเรียนรู้และกิจกรรมต่าง ๆ ในการเรียนการสอนทุกระดับ
6. ให้โรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานครมีแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย และจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อส่งเสริมนักเรียนตามความถนัดหรือความสนใจ โดยสอดแทรกและเน้นย้ำเรื่องพิษภัยของกัญชาหรือกัญชง
7. ให้โรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร ประชาสัมพันธ์ เรื่องโทษของการใช้กัญชาหรือกัญชงที่ส่งผลต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตของนักเรียน
8. ประสานความร่วมมือ แจ้งนโยบายการเฝ้าระวังปัญหาฯ แก่ผู้ปกครอง ชุมชน รวมถึง ผู้ประกอบการร้านค้ารอบโรงเรียน เฝ้าระวังไม่ให้มีการจำหน่าย อาหาร ขนม และเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของกัญชา หรือกัญชง
9. ให้ผู้บริหารสถานศึกษาในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร ประสานความร่วมมือกับ สำนักการแพทย์ สำนักอนามัย สำนักการศึกษา และสำนักงานเขต เพื่อบูรณาการการป้องกัน และเฝ้าระวังปัญหาที่เกิดจากการใช้กัญซา หรือกัญชงในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานครอย่างใกล้ชิด
ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป”
เฝ้าระวังกัญชา
ด่วน!ผู้ว่าฯชัชชาติลงนาม เฝ้าระวังกัญชา ในโรงเรียน

หมอธีระโพสต์เตือน กัญชากับวัยรุ่น

ในกรณีนี้ รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ไว้ในเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า ข้อมูลวิชาการแพทย์นั้นชัดเจนเกี่ยวกับผลกระทบต่อสุขภาพและสังคม โดยอันตรายของการเสพกัญชาในวัยรุ่นนั้นมีดังนี้
  • กลุ่มวัยรุ่นที่พยายามจะฆ่าตัวตายมีประวัติการเสพกัญชามากกว่าปกติ 3.46 เท่า
  • กลุ่มวัยรุ่นที่เป็นโรคซึมเศร้านั้นมีประวัติการเสพกัญชามากกว่ากลุ่มที่ไม่เป็น ราว 1.37 เท่า
  • กลุ่มวัยรุ่นที่มีความคิดจะทำร้ายตนเอง/คิดที่จะฆ่าตัวตายมีประวัติการเสพกัญชามากกว่ากลุ่มที่ไม่เป็น ราว 1.5 เท่า
นี่เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับสังคมไทยที่จะต้องเตรียมรับมือกับสังคมอุดมกัญชา
คุณพ่อคุณแม่ ผู้ปกครอง คุณครู รวมถึงน้องๆ เด็กวัยรุ่น เยาวชน อาจต้องช่วยกันสอดส่องดูแล ให้คำแนะนำ ให้ความรู้แก่ลูกหลานและเพื่อนๆ อย่าได้ไปริลองกัญชา
นอกจากนี้หากพบปัญหาทางจิตเวช ซึมเศร้า ทำร้ายตนเอง พยายามฆ่าตัวตาย ก็ให้นึกถึงสาเหตุเรื่องการใช้ยาเสพติดต่างๆ ไว้ด้วย จะได้วางแผนดูแลและป้องกันได้ในอนาคต
เรื่อง Self harm จะพบมากขึ้น หลังปลดล็อคและควบคุมการใช้ไม่ได้

ร้านค้าและร้านอาหารเครื่องดื่มที่มีกัญชาต้องแจ้งให้ชัดเจน

นอกจากนี้ทางศูนย์พิษวิทยา รามาธิบดี ได้ออกมาแนะนำร้านค้าที่จะใส่กัญชาดำเนินการดังนี้ค่ะ

1. ติดป้ายฉลากแสดงให้ชัดเจนทั้งเมนู​และบรรจุภัณฑ์​

ผู้บริโภค​จะได้เลือกซื้อได้ถูกต้อง หากทำได้บอกระดับ THC ต่อหนึ่งหน่วยบริโภคและต่อชิ้นมาด้วยเลย…และจัดเก็บผลิตภัณฑ์แยก แบบใส่กัญชากับไม่ใส่กัญชาออกกันให้ชัดเจน
เพราะในต่างประเทศมีข่าวที่ครอบครัวสั่งซื้อบราวนี่ปกติกลับมากินบ้าน แต่เด็ก ๆ กินแล้วป่วยอาการหนัก สุดท้ายพบว่าเป็นบราวนี่กัญชา

2. บอกวิธีการวิธีบริโภคและข้อควรระวัง

2.1 คอนเฟิร์มว่า คนซื้อไม่มีข้อห้ามต่อการรับสาร THC และกัญชา
2.2 อันไหนที่ THC เข้มข้นมาก เมาง่ายมาก แนะนำลูกค้าด้วยว่าเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับผู้ใช้กัญชาเยอะประจำเท่านั้น ไม่ขายให้ผู้ใช้หน้าใหม่ หรือคนลองใช้ครั้งแรกเด็ดขาด
2.3 แนะนำวิธีใช้ตามหน่วยบริโภคเช่นจะให้กินคุกกี้ทีละ ครึ่งชิ้นหรือ 1/4 ชิ้นก่อน และเฝ้าดูอาการว่าได้ผลตามต้องการรึยัง
2.4 แนะนำระยะเวลาออกฤทธิ์ ส่วนมากของกินจะเริ่มออกฤทธิ์ช้า 20-60 นาทีหลังกิน แนะนำอย่ากินเพิ่มก่อนระยะเวลารอออกฤทธิ์
2.5 แนะนำอาการไม่พึงประสงค์ที่อาจเกิดขึ้น และแนะนำให้งดขับขี่ยานพาหนะหลังใช้ 6 ชม.

3. ทำป้ายบอกตัวโตๆ ว่าไม่ใส่กัญชา

สำหรับร้านที่ไม่ผสมกัญชา ให้ทำป้ายบอกให้ชัดเจนว่า “ขนม/อาหารร้านนี้ไม่ใส่กัญชา” เพื่อที่ คนท้อง คนให้นมบุตร ผู้มีโรคประจำตัวที่ควรเลี่ยงกัญชา และเด็ก ๆ จะได้มั่นใจในการบริโภคผลิตภัณฑ์จากร้าน
ขอบคุณข้อมูลจาก

Thira Woratanarat,ศูนย์พิษวิทยา โรงพยาบาลรามาธิบดี สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

กุมารแพทย์ห่วง กัญชา ! กระทบสมองเด็กและวัยรุ่น

ศูนย์พิษวิทยาเตือน!อาหารเครื่องดื่ม ใช้กัญชา มีอันตราย

แม่ท้องใช้กัญชา ห้ามเด็ดขาดทำลูกในท้องตายหรือผิดปกติ

คาร์ซีท Car Seat

ทำไมต้องให้ลูกนั่ง “คาร์ซีท Car Seat” มีประโยชน์อย่างไร ?

คาร์ซีท Car Seat เบาะนั่งนิรภัยสำหรับเด็ก ถามว่าจำเป็นต้องติดตั้งไว้ในรถยนต์ไหม ? ขอตอบว่า “จำเป็นมาก” ถ้าที่บ้านมีลูกเล็ก เด็กน้อย ไม่ควรให้เขานั่งที่นั่งปกติของรถยนต์ เพราะเป็นที่นั่งไม่เหมาะกับสรีระของเด็กเล็กค่ะ และก็ไม่ควรให้ลูกนั่งบนตักของคุณพ่อคุณแม่ เพราะเวลาที่เกิดอุบัติเหตุรถชน ความรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ทันที ฉะนั้นรถยนต์ส่วนตัวควรติดตั้งคาร์ซีท Car Seat ไว้เบาะหลัง เป็นเซฟโซนที่นั่งปลอดภัยให้กับลูก กองบรรณาธิการ Amarin Baby & Kids จะพาไปดูว่าทำไม “คาร์ซีท” ถึงเป็นไอเทมอุปกรณ์ของใช้เด็กที่จำเป็นต้องซื้อใช้กันค่ะ

รู้ไหมคะว่า…อุบัติเหตุทางรถยนต์เกิดขึ้นได้อยู่เสมอ ๆ แม้ว่าคุณพ่อคุณแม่จะมีความระมัดระวังในการใช้รถใช้ถนน แต่บางครั้งก็อาจเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นได้ ซึ่งในปัจจุบันรถยนต์ที่ผลิตออกมาจะมีการออกแบบให้มีความปลอดภัยสูงสุดกับผู้ขับขี่ ไม่ว่าจะเป็นเข็มขัดนิรภัย ถุงลมนิรภัย เป็นต้น แต่อุปกรณ์นิรภัยเหล่านี้ รวมถึงเบาะนั่งโดยสาร ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้เหมาะกับสรีระของเด็กเล็ก ๆ ค่ะ ฉะนั้นหากมีลูก มีหลานตัวน้อย ๆ นั่งไปในรถยนต์ด้วย แนะนำว่าควรให้นั่งลงบนเบาะนิรภัย Car seat จะปลอดภัยมากกว่า และช่วยลดการได้รับบาดเจ็บที่รุนแรงจากอุบัติเหตุทางรถยนต์

คาร์ซีท (Car Seat) เบาะที่นั่งนิรภัยในรถยนต์สำหรับเด็กจึงมีความสำคัญอย่างมาก เป็นอุปกรณ์ช่วยป้องกันการได้รับบาดเจ็บรวมถึงลดโอกาสที่จะได้รับความรุนแรงเมื่อเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ ซึ่งปัจจุบัน Car Seat จะมีการออกแบบให้เหมาะสมกับรูปร่างและสรีระของเด็กตั้งแต่ช่วงวัยแรกเกิด จนถึงเด็กโต

ฉะนั้นเพื่อเป็นการปกป้องและรักษาชีวิตน้อย ๆ ของลูกรัก ที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจของคุณพ่อคุณแม่ เรามาสร้างเซฟโซนให้ลูกปลอดภัยในรถ ด้วย Car Seat เบาะนั่งนิรภัย ที่ไม่ว่าจะระยะทางใกล้ ไกล ก็ขับรถเดินทางไปกับลูกได้อย่างอุ่นใจไปตลอดการเดินทางค่ะ

ราชกิจจาฯ ได้ประกาศปรับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.จราจรทางบกฉบับล่าสุด เด็กอายุไม่เกิน 6 ปี ต้องจัดให้มีคาร์ซีทตลอดเวลาที่โดยสารรถ ส่วนผู้โดยสารที่มีความสูงไม่เกิน 135 เซนติเมตร ต้องคาดเข็มขัดนิรภัยเสมอ หากฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท มีผลบังคับใช้ในอีก 120 วัน หรือในวันที่ 5 กันยายน นี้

คาร์ซีท Car Seat

คาร์ซีท Car Seat พื้นที่เซฟโซนปลอดภัยในรถยนต์สำหรับลูกน้อย ที่พ่อแม่จำเป็นต้องรู้ข้อมูลเหล่านี้ สำคัญ!!

  1. ที่นั่งนิรภัยต้องใช้ตั้งแต่ทารกแรกเกิด
  2. อุ้มเด็กนั่งตักในเบาะหน้าคือจุดที่อันตรายที่สุดในรถ
  3. เด็กอายุน้อยกว่า 13 ปี ให้นั่งเบาะหลังเสมอ ความเสี่ยงต่อการตายจะลดลงสองเท่าตัว
  4. การใช้ระบบยึดเหนี่ยวในรถเป็นมาตรการการลดการบาดเจ็บการตายที่สำคัญที่สุดจากการกระเด็นทะลุกระจกออกนอกหรือลอยออกจากที่นั่งตาม
  5. คาดเข็มขัดที่ไม่เหมาะสมมีความเสี่ยงต่อการเกิดการบาดเจ็บกระดูกไขสันหลัง ไขสันหลังและช่องท้อง
  6. เด็กอายุน้อยกว่า 9 ปีหรือสูงน้อยกว่า 135 ซม. อาจใช้เข็มขัดนิรภัยปกติไม่ได้ ให้พิจารณาการใช้ที่นั่งนิรภัยเสมอ
  7. ถุงลมนิรภัยในที่นั่งข้างคนขับ สามารถทำให้เด็กเสียชีวิตได้ ไม่ควรให้เด็กนั่งในตำแหน่งด้านหน้าข้างคนขับ

ประโยชน์ของคาร์ซีท Car Seat

อย่างที่บอกไปค่ะว่าการที่มีเด็ก ๆ นั่งโดยสารในรถยนต์ไปกับคุณพ่อคุณแม่ ไม่ควรให้นั่งตัก หรือให้ลูกนั่งตัก หรือนั่งคาดเข็มขัดตรงที่นั่งข้างคนขับ เพราะจะยิ่งทำให้ลูกเสี่ยงอันตรายมากกว่าเบาะหลัง 2 เท่า ฉะนั้นปฎิเสธไม่ได้เลยว่า “คาร์ซีท” จำเป็นต้องติดตั้งสำหรับให้ลูกนั่งไปในรถยนต์

  1. ช่วยลดการบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถชนบนท้องถนน
  2. คุณพ่อคุณแม่ขับรถได้ง่ายขึ้น ไม่เสียสมาธิกับการดูแลลูกที่นั่งเบาะธรรมดาในรถยนต์
  3. การเดินทางจะใกล้ หรือไกล ก็เป็นการขับขี่รถได้อย่างปลอดภัย ไม่ต้องระวังหน้าระวังหลัง เพราะลูกอยู่กับที่ไม่รบกวนการขับรถ

ประเภทของคาร์ซีท Car Seat

  • คาร์ซีทแบบหันหน้าเข้าหาเบาะ จะมีด้ามจับอยู่ด้านบน สามารถถอดออกจากฐานที่ยึดกับเบาะรถได้ และต้องติดตั้งโดยหันหน้าเข้าหาเบาะหลังเท่านั้น เหมาะสำหรับทารกแรกเกิดถึง 2 ปี
  • คาร์ซีทแบบหันไปข้างหน้ารถ จะติดตั้งโดยยึดติดกับเบาะหลัง และหันไปข้างหน้ารถเหมือนเบาะรถปกติ เหมาะสำหรับเด็กอายุ 2-5 ปี
  • คาร์ซีทแบบที่นั่งเสริม จะติดตั้งโดยยึดกับเบาะหลัง และหันไปข้างหน้ารถเหมือนเบาะรถปกติ ใช้สำหรับเด็กที่โตเกินกว่าจะนั่งคาร์ซีทแบบหันไปข้างหน้ารถ เหมาะกับเด็กอายุ 5 ปี ขึ้นไป

ว่าที่คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ ที่กำลังมองหา คาร์ซีท Car seat สำหรับติดตั้งในรถยนต์ เพื่อให้ลูกรักปลอดภัยขณะนั่งในรถ กองบรรณาธิการ Amarin Baby & Kids ขอเชิญชวนให้มากันที่ Amarin Baby & Kids Fair ครั้งที่ 21 ระหว่างวันที่ 30 มิถุนายน ถึง 3 กรกฎาคม 2565 ณ ไบเทค บางนา

คาร์ซีท Car Seat

และในวันเสาร์ที่ 2 กรกฎาคม 2565 เวลา 15.20 – 16.00 น. จะมีสัมมนาให้ความรู้ในเรื่องของคาร์ซีทสำหรับเด็ก ในหัวข้อ Car Seat เซฟโซนเล็ก ๆ ในรถ ช่วยเซฟชีวิตลูกปลอดภัยไปตลอดทาง

โดย รศ.นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ ผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล อาจารย์หมออดิศักดิ์ จะมาให้ความรู้ ความเข้าใจกับคุณพ่อคุณแม่ในการใช้คาร์ซีท Car Seat ในรถยนต์อย่างไรให้เกิดประโยชน์กับชีวิตลูกน้อยที่สุด ห้ามพลาดนะคะ !!

 

อ่านต่อบทความที่น่าสนใจ คลิก 

หมอย้ำ 8 ข้อควรรู้ กฎหมายคาร์ซีท “รักลูกอย่ากอด” นั่งคาร์ซีทปลอดภัยกว่า

วิธีเลือกซื้อ “คาร์ซีท” ให้เหมาะกับช่วงอายุของลูก

 

ตรวจภายในเจ็บไหม ตรวจภายใน ด้วยตนเอง HPV

วิธีเก็บสิ่งส่งตรวจHPVด้วยตนเองและ ตรวจภายในเจ็บไหม

ตรวจภายในเจ็บไหม คำถามกับความลังเลไม่ยอมตรวจของผู้หญิง หยุดกลัวหากคุณได้รู้ประโยชน์ของการตรวจ พร้อมทั้งบอกวิธีตรวจภายใน และวิธีเก็บสิ่งส่งตรวจHPVด้วยตนเอง

วิธีเก็บสิ่งส่งตรวจHPVด้วยตนเองและ ตรวจภายในเจ็บไหม ??

ว่าด้วยเรื่องจุดซ่อนเร้นของผู้หญิงอย่างเรา ๆ แม้จะเรียกกันไปว่าเป็นจุดซ่อนเร้น อวัยวะในที่ลับ หรือคำเรียกใด ๆ ก็ตามที่ล้วนแล้วแต่ดูลึกลับ ต้องปิดบัง แต่สาว ๆ ทั้งหลายรู้ไหมว่า อย่าปล่อยให้จุดซ่อนเร้นของเรา ลึกลับ ลับหายไป ไม่ดูแลเชียวนะ

การตรวจหาความผิดปกติของระบบสืบพันธุ์ผู้หญิงตั้งแต่ รังไข่ ท่อรังไข่ และมดลูก เป็นสิ่งจำเป็นที่ผู้หญิงทุกช่วงอายุควรใส่ใจ การตรวจดังกล่าวนี้ เรียกว่า การตรวจภายใน

ตรวจภายในเจ็บไหม
ตรวจภายในเจ็บไหม

การตรวจภายในสำคัญอย่างไร

  • เพื่อตรวจค้นหาและคัดกรองความผิดปกติ ทั้งที่มีและไม่มีอาการแสดง เมื่อพบโรคแล้ว จะได้รับการรักษา, ป้องกันการลุกลามของโรคและติดตามอาการอย่างเหมาะสม
  • เพื่อวินิจฉัยแยกโรคจากระบบอื่นๆ เช่น ระบบทางเดินอาหาร, ระบบทางเดินปัสสาวะ เป็นต้น

* โรคบางโรคเมื่อเกิดขึ้นแล้วไม่มีอาการแสดงให้ทราบก่อนได้ นอกจากต้องตรวจภายใน เช่น ก้อนเนื้องอกที่มดลูก มะเร็งปากมดลูกในระยะแรก เป็นต้น

การตรวจภายจะช่วยตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ตรวจหาการติดเชื้อที่ช่องคลอด ตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือโรคอื่นๆ ซึ่งส่วนใหญ่สามารถทราบผลภายในหนึ่งวัน ส่วนการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกทราบผลหลังจากตรวจประมาณ 7-10 วัน  

เราควรเริ่มตรวจภายในเมื่อใด ??

เราควรเริ่มตรวจภายในเมื่อมีอาการผิดปกติต่างๆ ดังกล่าวข้างต้น ไม่ว่าจะอายุเท่าไรก็ตามและร่วมกับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก

  • เริ่มตรวจได้ตั้งแต่อายุ 21 ปี หรือมีเพศสัมพันธ์แล้วอย่างน้อย 3 ปี
  • สามารถหยุดตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกได้ เมื่ออายุ 65-70 ปี โดยที่ผลการตรวจ
  • คัดกรองปกติ 3 ครั้ง ใน 10 ปี ก่อนหยุดตรวจ
  • ผู้หญิงที่ผ่าตัดเอามดลูกออกแล้ว ร่วมกับมีผลการตรวจก่อนหน้าปกติ
  • ผู้หญิงที่เคยตรวจพบความผิดปกติแล้ว ควรตรวจสม่ำเสมอ
  • ผู้ที่ได้รับ HPV vaccine แล้วยังคงต้องตรวจภายในและคัดกรองมะเร็งปากมดลูกสม่ำเสมอ เช่นเดียวกับ ผู้ที่ไม่ได้รับ vaccine
  • การตรวจภายในนั้น ควรตรวจทุก 1 ปี ส่วนการคัดกรองมะเร็งปากมดลูกนั้น อาจตรวจได้ทุก 3 ปี

    ตรวจภายใน ดีไหม ตรวจภายในเจ็บไหม
    ตรวจภายใน ดีไหม ตรวจภายในเจ็บไหม

ตรวจภายในครั้งแรก เตรียมตัวอย่างไรบ้าง??

การเตรียมตัวก่อนตรวจภายโดยไม่เข้ารับการตรวจในช่วงมีประจำเดือน แนะนำเข้ารับการตรวจเมื่อประจำเดือนหมดสนิทประมาณ 1 สัปดาห์ หรือ เข้ารับการตรวจในช่วงก่อนมีประจำเดือนรอบถัดไปประมาณ 1 สัปดาห์

  1. ก่อนเข้ารับการตรวจ ไม่ควรสวนล้างช่องคลอด หรือใช้ยาเหน็บทางช่องคลอดก่อนการตรวจภายใน 2 วัน
  2. หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ก่อนเข้ารับการตรวจ
  3. สวมเสื้อผ้าที่ใส่สบาย แนะนำให้ใส่กระโปรง และไม่ควรนุ่งกางเกงที่รัดจนเกินไป
  4. สำหรับผู้ที่มีปัญหาตกขาว สามารถตรวจได้โดยไม่ต้องพยายามชำระล้างเพื่อให้แพทย์เห็นปริมาณและตรวจหาเชื้อได้
  5. ไม่ต้องโกนขนอวัยวะเพศ
  6. ปัสสาวะให้เรียบร้อยก่อนเข้ารับการตรวจภายใน
  7. หากไม่เคยตรวจภายใน และยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ รู้สึกเขินอาย สามารถแจ้งพยาบาลหรือเจ้าหน้าที่เพื่อขอตรวจโดยแพทย์ผู้หญิงได้ โดยทั่วไปแล้วหากเป็นแพทย์ผู้ชายก็จะมีพยาบาลผู้ช่วยซึ่งเป็นผู้หญิงภายในห้องตรวจอยู่ด้วยตลอดเวลา
  8. ในกรณีมีประจำเดือน และปวดท้อง ประจำเดือนมากจนทนไม่ไหว สามารถมาพบแพทย์โดยไม่ต้องรอให้ประจำเดือนหยุดก่อน
  9. การตรวจภายในใช้ระยะเวลาประมาณ 10 นาที หลังจากแพทย์ทำการซักประวัติคนไข้ และสอบถามให้คำปรึกษาอาการและความผิดปกติต่างๆ เกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์สตรี หากรู้สึกสงสัยท่านสามารถปรึกษาแพทย์เพิ่มเติมได้ทันที

ลำดับการตรวจภายใน จะแบ่งออกเป็น 2 ช่วง

  •  ช่วงแรกแพทย์จะใช้อุปกรณ์ที่คล้ายปากเป็ด หรือที่เรียกว่า speculum กับการใช้นิ้วตรวจภายในช่องคลอด ในส่วนของการใส่อุปกรณ์ปากเป็ดแพทย์จะเลือกใช้ตามความเหมาะสม สอดเบา ๆ เข้าไปในช่องคลอด เมื่อได้ตำแหน่งแพทย์จะกางอุปกรณ์ออกเพื่อดูผนังช่องคลอด ดูปากมดลูก
  • ช่วงที่สอง หากตรวจมะเร็งปากมดลูก ในช่วงเวลานี้แพทย์จะเอาอุปกรณ์เข้าไปเก็บเซลล์ปากมดลูกเพื่อนำไปตรวจคัดกรองในห้องปฏิบัติการ ต่อไป

    ตรวจภายในด้วยตนเอง เช็กอาการเบื้องต้นหากเริ่มมีอาการ
    ตรวจภายในด้วยตนเอง เช็กอาการเบื้องต้นหากเริ่มมีอาการ

ตรวจภายในเจ็บไหม ??

มีสาว ๆ อีกหลายคนที่ห่วงสุขภาพ แต่จำใจต้องเมินหน้าหนี ไม่ใส่ใจ เพราะเข้าใจว่าการตรวจภายในนั้น เป็นเรื่องน่าอาย กังวลต่อคำถามที่ว่า ตรวจภายในเจ็บไหม และคิดว่าเป็นวิธีการคัดกรองโรคที่เจ็บปวด และน่ากลัว แต่ความจริงแล้วการตรวจภายในมีวิธีที่แสนจะง่าย ไม่เจ็บอย่างที่กลัวกัน แถมยังตรวจครบจบขั้นตอนภายในเวลาเพียง 1-2 นาทีเท่านั้น ดังที่กล่าวไปข้างต้น

สำหรับสาว ๆ คนนั้นที่ยังรู้สึกไม่พร้อมจริง ๆ ด้วยความเขินอาย เราลองมาดูวิธีตรวจภายในด้วยตนเองกันแบบคร่าว ๆ ก่อนไปถึงมือหมอกัน เพื่อเป็นการเตรียมใจก่อน ก็อาจเป็นวิธีลดความเครียด ความกลัวลงไปได้บ้าง เป็นอย่างไรนั้นลองไปดูกัน

7 ขั้นตอน ตรวจภายในด้วยตัวเอง

  1. ล้างมือให้สะอาดก่อนเริ่มตรวจ จากนั้นจัดท่าของตัวเองว่าจะนั่งหรือนอนอย่างไรให้เห็นอวัยวะเพศของตัวเองได้ดีที่สุด อาจจะนอนชันเข่า หลังพิงฝาโดยใช้หมอนหมุนหลัง หรือนั่งยองๆ นั่งคุกเข่า ท่าใดท่าหนึ่งก็ได้ที่คิดว่าสะดวกสุด
  2. หากระจกที่สามารถใช้ถือดูอวัยวะเพศของคุณมา 1 บาน
  3. ให้ใช้มือข้างหนึ่งที่ถนัดแยกแคมใหญ่ทั้งสองข้างออกจากกัน แล้วมองและคลำดูว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่ เช่น ก้อน ตุ่มแข็ง ตุ่มน้ำ แผล รอยบวม หรือมีบริเวณที่สีเปลี่ยนไป คล้ำมากหรือแดงมากหรือไม่
  4. จากนั้นใช้นิ้วแยกแคมเล็กออกจากกัน ตรวจหาความผิดปกติต่างๆ แบบเดียวกับขั้นตอนที่ 3 แล้วตรวจดูที่บริเวณรูเปิดท่อปัสสาวะว่ามีอาการบวมแดงหรือเปล่า และใช้มือดึงรั้งผิวหนังที่คลุมบริเวณคลิตอริสขึ้นไป เพื่อตรวจดูว่ามีแผลหรือไม่
  5. ใช้นิ้วมือสองนิ้วสอดเข้าไปในช่องคลอด แล้วกดแยกหนังช่องคลอดออกจากกัน สังเกตตกขาวในช่องคลอด ถ้าเป็นสีขาวขุ่น เป็นมูกเหนียวหรือมูกใส มีกลิ่นคาวเล็กน้อย แสดงว่าเป็นตกขาวปกติ แต่ถ้ามีลักษณะคล้ายคราบนมที่เด็กแหวะออกมา และมีอาการคันด้วย แสดงว่าอาจมีเชื้อราหรือเชื้อพยาธิในช่องคลอด ถึงเวลาที่ต้องไปพึ่งคุณหมอสูติฯ แล้ว
  6. ใช้นิ้วมือคลำบริเวณส่วนล่างของแคมใหญ่ทั้งสอง โดยใช้นิ้วมือหนึ่งอยู่ในช่องคลอด และอีกนิ้วหนึ่งอยู่ที่ส่วนล่างของแคมใหญ่ ดูว่ามีก้อนคล้ายถุงน้ำบริเวณนั้นหรือเปล่า เพราะเป็นตำแหน่งของต่อมที่สร้างมูกออกมาช่วยหล่อลื่นในช่องคลอด ซึ่งท่อที่ปล่อยมูกนี้เจอปัญหาอุดตันได้บ่อย ถ้าคลำได้เป็นก้อนนิ่มๆ ล่ะก็อย่าปล่อยทิ้งไว้นานจะทำให้อักเสบเป็นหนองได้
  7. สุดท้ายตรวจบริเวณฝีเย็บ และรูทวารว่ามีก้อนเนื้อที่เรียกว่า ริดสีดวงทวารหรือเปล่า ถ้ามีก็รีบไปพบแพทย์

    อาย ไม่กล้า ตรวจภายใน
    อาย ไม่กล้า ตรวจภายใน

อย่างที่กล่าวข้างต้นการตรวจภายในด้วยตนเองเป็นวิธีการเบื้องต้นคร่าว ๆ ในการตรวจ ทางที่ดีสาว ๆ ทั้งหลายโปรดทำความเข้าใจ และเข้ารับการตรวจภายในจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะเป็นการดีที่สุด เพราะอย่างที่ใครหลายคนได้บอกแล้วว่า การตรวจภายในไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด แถมยังช่วยให้เรารู้ทันโรคอีกหลาย ๆ โรค ก่อนที่จะลุกลามอันตรายถึงชีวิตได้อีกด้วย

มะเร็งปากมดลูก

รู้หรือไม่ การตรวจภายใน สามารถตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกได้ จากสถิติพบว่ามีจำนวนผู้ป่วยที่เสียชีวิตจากโรคมะเร็งปากมดลูกประมาณ 600 ราย ใน 1 แสนคน หรือเป็นอันดับที่ 4 กับจำนวนผู้เสียชีวิตด้วยกลุ่มโรคมะเร็ง หรือรองจาก โรคมะเร็งตับ มะเร็งปอด และมะเร็งเต้านม และจัดเป็นอันดับ 2 ในกลุ่มผู้ที่เสียชีวิตจากโรคมะเร็งที่เป็นผู้หญิง หรือรองจากโรคมะเร็งเต้มนม จึงอาจกล่าวได้ว่า โรคมะเร็งปากมดลูก เป็นโรคที่มีความอันตรายต่อชีวิตมาก หากไม่ได้รับการรักษาในระยะเริ่มต้น อัตราเสี่ยงต่อชีวิตจึงมีสูงมาก

ปัจจุบันวิทยาศาสตร์การแพทย์ก้าวหน้ามาก มีการพัฒนาการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกขึ้นมาใหม่ที่เรียกว่า “iCheck Test; HPV self-collection Test” โดยมีการพัฒนาอุปกรณ์เก็บตัวอย่างที่เรียกว่า แปรงอีวาลีน เพื่อให้ผู้หญิงสามารถเก็บสิ่งส่งตรวจในช่องคลอดด้วยตัวเองที่บ้าน แล้วส่งสิ่งตรวจที่ได้ไปที่โรงพยาบาลหรือศูนย์ตรวจทางการแพทย์ เพื่อตรวจหาเชื้อไวรัส HPV ที่เป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งปากมดลูกโดยตรง

วิธีเก็บสิ่งส่งตรวจ HPV ด้วยตนเอง
วิธีเก็บสิ่งส่งตรวจ HPV ด้วยตนเอง

วิธีการเก็บสิ่งส่งตรวจ HPV จากช่องคลอดด้วยตนเอง

  1. ล้างมือให้สะอาด ฉีดสเปร์ยแอลกอฮอล์ก่อนการเก็บตัวอย่างทุกครั้ง
  2. ฉีกซองไม้เก็บตัวอย่าง จับตรงส่วนของขีดสีดำ ระวังอย่าสัมผัสโดนส่วนของสำลีปลายไม้เก็บตัวอย่าง และห้ามนำไม้เก็บตัวอย่างไปจุ่มในขวดน้ำยาก่อนเก็บตัวอย่าง
  3. ยืน หรือนั่งในท่าที่สบาย ใช้ไม้เก็บตัวอย่างสอดเข้าไปในช่องคลอด ลึกประมาณ 2 นิ้ว หรือ 5 เซนติเมตร จากนั้นหมุนไม้เก็บตัวอย่างสัมผัสกับผนังของช่องคลอด จับเวลาประมาณ 10-30 วินาที แล้วดึงไม้ออก
  4. เปิดฝาหลอดเก็บตัวอย่าง ในขณะที่ยังคงถือไม้เก็บตัวอย่างไว้ (ไม่ควรวางไม้เก็บตัวอย่างไว้ที่พื้น เพราะอาจจะเกิดการปนเปื้อนได้) ระวังอย่าให้น้ำยาเก็บตัวอย่างในหลอดหก
  5. จุ่มไม้เก็บตัวอย่างลงในหลอดน้ำยาเก็บตัวอย่างให้ขีดสีดำกลางไม้ตรงกับขอบของหลอดน้ำยา แล้วทำการหักส่วนเกินของไม้เก็บตัวอย่างทิ้ง
  6. ปิดฝาหลอดน้ำยาเก็บตัวอย่างให้สนิท พร้อมเขียนชื่อ – นามสกุลที่ข้างหลอด

คลิปวิดีโอสอนการเก็บสิ่งส่งตรวจ HPV ด้วยตนเอง

ขอขอบคุณคลิปดี ๆ จาก New18

หมายเหตุ วิธีการเก็บสิ่งส่งตรวจอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละชนิดเครื่องมือ โปรดอ่านข้อแนะนำการใช้ และวิธีการเก็บสิ่งส่งตรวจตามคู่มือข้างกล่องอย่างละเอียดอีกครั้ง

ข้อมูลอ้างอิงจาก สถาบันมะเร็งแห่งชาติ /รพ.สินแพทย์ /women.mthai.com/www.thonburihospital.com/www.medicallinelab.co.th

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

เผย! ขั้นตอนการตรวจภายใน ตรวจเลย! ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด

9 อาหารช่วยลดความเสี่ยงการเกิด มะเร็งปากมดลูก

เมื่อฉัน “แพ้ น้ำอสุจิ จากสามี”

“รูรั่วช่องคลอด” ภาวะเสี่ยงหลังคลอด แม่ต้องรู้ วิธีเบ่งคลอด ให้ปลอดภัย

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

มะเร็งต่อมลูกหมาก

หมอชี้!เพศสัมพันธ์21ครั้ง/เดือนปลอด มะเร็งต่อมลูกหมาก

หมอชี้!เพศสัมพันธ์ 21 ครั้ง/เดือนปลอด มะเร็งต่อมลูกหมาก

คุณแม่หลายท่านอาจเคยประสบปัญหาปัสสาวะบ่อย ๆ ปัสสาวะแสบขัดกันมาบ้าง แต่ถ้าปัญหาเหล่านี้เกิดกับคุณพ่อบ้านแล้วล่ะก็ อาจเป็นสัญญาณว่าเกิดความผิดปกติที่ต่อมลูกหมาก อาจเป็น มะเร็งต่อมลูกหมาก ค่ะ แต่คุณหมอได้แนะวิธีป้องกันที่ไม่ยากไว้ด้วยค่ะ ก็คือการมีเพศสัมพันธ์นั่นเอง จะเพราะอะไรเรามาติดตามเพื่อสุขภาพที่ดีของคุณพ่อบ้านกันค่ะ

ต่อมลูกหมากคืออะไร

ต่อมลูกหมาก เป็นอวัยวะที่อยู่ค่อนมาทางด้านล่างระหว่างกระเพาะปัสสาวะกับลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย ทำหน้าที่ผลิตน้ำเมือกและน้ำหล่อเลี้ยงตัวอสุจิ จึงถือได้ว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งในระบบสืบพันธุ์ของเพศชาย

อาการของ มะเร็งต่อมลูกหมาก

มะเร็งต่อมลูกหมากในระยะแรกมักไม่แสดงอาการใด ๆ แต่เมื่อมะเร็งขยายตัวมากขึ้นจนไปกดทับท่อปัสสาวะ จะทำให้เกิดอาการแปรปรวนของระบบทางเดินกระเพาะปัสสาวะส่วนล่าง เช่น ปัสสาวะบ่อยโดยเฉพาะช่วงกลางคืน มีอาการแสบขัดขณะปัสสาวะ ปัสสาวะไม่สุด ปัสสาวะไม่พุ่ง หรือต้องใช้เวลาในการเบ่ง หากปล่อยทิ้งไว้ผู้ป่วยจะปัสสาวะลำบากและบ่อยขึ้น จนถึงขั้นปัสสาวะเป็นเลือดได้
 มะเร็งต่อมลูกหมาก
หมอชี้!เพศสัมพันธ์21ครั้ง/เดือนปลอด มะเร็งต่อมลูกหมาก

หมอธีระวัฒน์แนะนำเรื่อง มะเร็งต่อมลูกหมาก

ศจ.นพ. ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ศาสตราจารย์สาขาประสาทวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการโรคทางสมอง โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ได้โพสต์ข้อความไว้ในเฟซบุ๊ก ดังนี้ค่ะ
…ปั่มปั๊ม 21 ครั้งต่อเดือน ปลอดมะเร็งต่อมลูกหมาก
หมอดื้อ
ชายเราถึงอายุหนึ่งจะมีปัญหาเรื่อง “ฉี่” กล่าวคือ ยืนตั้งนานไม่ออกซักที ออกก็ไม่ค่อยจะพุ่ง เสร็จแล้วก็เหมือนไม่เสร็จ มีปัญหาจนไม่ค่อยอยากจะฉี่ ยอมอดน้ำเลยลุกลามไปจนเลือดข้นหนืด ไปมีปัญหาต่อไต ต่อหัวใจ อัมพฤกษ์ต่อ
สำหรับบุรุษเพศสาเหตุใหญ่สำคัญคือ ต่อมลูกหมากโต และมีเยอะที่เป็นมะเร็ง

ยาที่ช่วยเรื่องมะเร็งต่อมลูกหมาก

คุณหมอกล่าวอีกว่า
ถ้ายังไม่เป็นและยังไม่อยากผ่าตัด คว้านต่อม ก็มียาซึ่งเดิมเป็นยาลดความดัน แต่ความที่ทำให้หูรูดในการฉี่บานได้ เลยเอามาใช้ในการนี้ แต่ควรต้องระวังความดันตก หน้ามืด ยาประเภทนี้ออกฤทธิ์ต้าน alpha receptor
ยาอีกกลุ่มทำให้ต่อมลูกหมากเล็กลง ผ่านกระบวนการยับยั้งฮอร์โมน DHT ที่มาจากฮอร์โมนเพศชาย (5-Alpha Reductase Inhibitor) เช่น ยา Finasteride (Proscar) Dutasteride (Avodart) แต่แถมผลข้างเคียง คือ ลดความต้องการทางเพศ ไม่ค่อยแข็งตัว การขับเคลื่อนน้ำกาม (ejaculation) แปรปรวน แต่ที่ต้องระวังเป็นสำคัญคือยากลุ่มหลังนี้ทำให้การตรวจหามะเร็งต่อมลูกหมากที่ชื่อว่า PSA ได้ค่าลดลงจนถึงตรวจไม่เจอ เลยตายใจว่าไม่เป็นมะเร็งทั้งๆที่เป็น
รายงานในปี 2011 พบว่าแม้ยากลุ่มหลังนี้จะลดการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากได้บ้าง แต่ถ้าเป็นแล้วยากลุ่มนี้อาจกลับทำให้เป็นมะเร็งแบบชนิดที่มีความรุนแรงลุกลามมากขึ้น
​อาหารเสริมที่อ้างว่าทำให้ต่อมเล็กลงชื่อ Saw Palmetto สกัดจากผลของ Serenoa Repens พบว่าไม่มีประสิทธิภาพจริงและอาจทำให้การตรวจค่ามะเร็ง PSA ได้ผลลบปลอม

เพศสัมพันธ์ 21ครั้ง/เดือน ช่วยให้ปลอดมะเร็งต่อมลูกหมาก

ถึงตอนนี้มาถึงคำโบราณที่พูดกันมาในกลุ่มผู้ชายทั้งหลายว่าหนทางสุขภาพ รวมทั้งต่อมลูกหมากกันโต กันมะเร็ง คือ ปฏิบัติการ “ล้างท่อบ่อยๆ” (keep the pipes clean!) และเป็นที่มาของการศึกษาฮือฮาทั่วโลก นับแต่มีการเสนอผลงานในที่ประชุมประจำปีของสมาคมระบบทางเดินปัสสาวะของอเมริกา และตีพิมพ์ในวารสาร European Urology (29 มีนาคม 2016)
​ผลการศึกษา จากการติดตามโดยคณะศึกษาทางระบาดวิทยามะเร็งที่บอสตัน ในกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ จำนวน 31,925 คน ตั้งแต่ปี 1992 จนถึง 2010 โดยที่ ณ ปี 1992 อายุเกณฑ์เฉลี่ยอยู่ประมาณที่ 59 ปี ในช่วง 18 ปีของการติดตามมี 3,839 รายเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก และ 384 รายรุนแรงถึงชีวิต
ขั้นตอนในการวิเคราะห์เจาะลึกตั้งแต่เริ่มต้นในปี 1992 มีการให้รายงานปริมาณจำนวนของการขับเคลื่อนน้ำกาม (แทนในที่นี้ด้วยปั่มปั๊ม) ในช่วงเวลาตั้งแต่อายุ 20-29, 30-39, 40-49 และ 50 เป็นต้นไป ทั้งนี้มีการวิเคราะห์ของปัจจัยอื่นๆที่อาจมีส่วนให้เกิดมะเร็ง
ผลที่น่าตื่นเต้นคือ ความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งจะลดลงถึงประมาณ 20% ถ้ามีอัตราการปั่มปั๊มอยู่ในเกณฑ์อย่างน้อย 21 ครั้งต่อเดือน เมื่อเทียบกับผู้มีปฏิบัติการ 4-7 ครั้งต่อเดือน
การลดความเสี่ยงของมะเร็งจะพบได้ในกลุ่มที่มีปฎิบัติการถี่ทั้งทุก ช่วงอายุ เหตุผลที่ใช้อัตรา 4-7 ครั้งต่อเดือนเป็นบรรทัดฐานในการเปรียบเทียบ เนื่องจากมีน้อยมากที่กลุ่มคนในการศึกษานี้ ปฏิบัติในช่วง 0-3 ครั้งต่อเดือนจึงตัดออกไป

น้อยกว่า 21ครั้ง ก็ช่วยลดความเสี่ยงได้

สำหรับปั่มปั๊มน้อยกว่า 21 ครั้ง อย่าเพิ่งเสียใจ ถ้าอัตรา 8-12 ครั้งต่อเดือนในช่วง 40-49 ปี จะมีความเสี่ยงลดลง 10% และถ้าอยู่ในอัตรา 13-20 ครั้งต่อเดือน ในช่วงอายุนี้จะมีความเสี่ยงลดลง 20% (มีนัยสำคัญทางสถิติ P trend <.0001)
เมื่อดูลึกละเอียดลงของกลุ่มปั่มปั๊ม 21 ครั้ง พบว่ากลุ่มนี้กลับไม่ค่อยเป็นกลุ่มรักสุขภาพนัก กินเยอะ ดื่มเยอะ มีโอกาสเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มาก และดูดบุหรี่เยอะ แต่กลุ่มนี้ไม่ได้ตายเร็วขึ้น เนื่องจากสาเหตุอื่นๆ
กลไกของการป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมาก ยังไม่เป็นที่แน่ชัด
ทั้งนี้เป็นได้ที่ต่อมลูกหมากสะสมสารพิษที่จะก่อมะเร็งไว้ (prostate stagnation ) และการขจัดชะล้างโดยการขับเคลื่อนออกไปอาจจะลดความเสี่ยง แต่ทั้งนี้อาจเป็นผลอื่น ๆ จากการที่มีการขับเคลื่อนหรือการออกกำลังปั่มปั๊มอาจจะปรับเปลี่ยนสภาพสภาวะแวดล้อมในเนื้อเยื่อต่อม อีกทั้งปฏิบัติการอาจก่อให้เกิดความหรรษาสุขอย่างฉับพลันในวินาทีนั้น ก่อให้เกิดการสั่งงานผ่านสมองมายังระบบภูมิคุ้มกัน
จะอย่างไรก็แล้วแต่ 21 ครั้งต่อเดือนเท่ากับมากกว่า 5 ครั้งต่ออาทิตย์ จัดเวลาให้ดีนะครับ อาจจะเสียชีวิตซะก่อนเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

3 เหตุผลที่พ่อแม่ควรหมั่น ออกกำลังกาย ดูแลสุขภาพ โดย พ่อเอก

พ่อเป็นซึมเศร้าหลังคลอดได้ ความเครียด กังวล ของคุณพ่อมือใหม่

มะเร็งกล่องเสียง เกิดจากอะไร ถ้าเสียงแหบ ชอบดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ไปหาหมอเลย

ใช้กัญชา

ศูนย์พิษวิทยาเตือน!อาหารเครื่องดื่ม ใช้กัญชา มีอันตราย

ศูนย์พิษวิทยาเตือน!อาหารเครื่องดื่ม ใช้กัญชา มีอันตราย

หลังจากที่ปลดล็อกใช้กัญชาเสรี ก็มีกระแสไม่เห็นด้วย เนื่องจากหาก ใช้กัญชา ในปริมาณมากเกินไปเสี่ยงที่จะส่งผลต่อสุขภาพ จนถึงกับเสียชีวิตได้ ซึ่งก็ได้พบผู้เสียชีวิตจากการใช้กัญชาเกินขนาดแล้ว แถมยังเป็นเด็กวัยรุ่นอีกด้วย หากคุณพ่อคุณแม่ รวมทั้งลูก ๆ ได้รับกัญชาผ่านอาหาร เครื่องดื่ม หรือขนมในปริมาณที่มากไปย่อมสะสมและส่งผลต่อร่างกาย เป็นอันตรายมาก ทางศูนย์พิษวิทยา รามาธิบดี ได้ออกมาแนะนำร้านค้าที่จะใส่กัญชาดำเนินการดังนี้ค่ะ

ร้านค้าและอาหารเครื่องดื่มที่ ใช้กัญชา ต้องทำอะไรบ้าง

1. ติดป้ายฉลากแสดงให้ชัดเจนทั้งเมนู​และบรรจุภัณฑ์​

ผู้บริโภค​จะได้เลือกซื้อได้ถูกต้อง หากทำได้บอกระดับ THC ต่อหนึ่งหน่วยบริโภคและต่อชิ้นมาด้วยเลย…และจัดเก็บผลิตภัณฑ์แยก แบบใส่กัญชากับไม่ใส่กัญชาออกกันให้ชัดเจน (สำคัญมาก!!)
ในต่างประเทศมีข่าวที่ครอบครัวสั่งซื้อบราวนี่ปกติกลับมากินบ้าน กินแล้วป่วยโดยคนที่อาการหนักก็เป็นเด็กๆเช่นเคย สุดท้ายเป็นบราวนี่กัญชา ร้านเขาทำบราวนี่กัญชาไว้ปาร์ตี้กับเพื่อนๆเอง…แต่ไม่รู้ไปปนกับบราวนี่ที่ขายปกติไปได้ไง อันนี้เป็นคดีฟ้องร้องมาแล้วครับ

2. บอกวิธีการวิธีบริโภคและข้อควรระวังเลย เช่น

2.1 คอนเฟิร์มว่า คนซื้อไม่มีข้อห้ามต่อการรับสาร THC และกัญชา
2.2 อันไหนที่ THC เข้มข้นมาก เมาง่ายมาก แนะนำลูกค้าด้วยว่าเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับผู้ใช้กัญชาเยอะประจำเท่านั้น ไม่ขายให้ผู้ใช้หน้าใหม่ หรือคนลองใช้ครั้งแรกเด็ดขาด
2.3 แนะนำวิธีใช้ตามหน่วยบริโภคเช่นจะให้กินคุกกี้ทีละ ครึ่งชิ้นหรือ 1/4 ชิ้นก่อน และเฝ้าดูอาการว่าได้ผลตามต้องการรึยัง
2.4 แนะนำระยะเวลาออกฤทธิ์ ส่วนมากของกินจะเริ่มออกฤทธิ์ช้า 20-60 นาทีหลังกิน แนะนำอย่ากินเพิ่มก่อนระยะเวลารอออกฤทธิ์
2.5 แนะนำอาการไม่พึงประสงค์ที่อาจเกิดขึ้น และแนะนำให้งดขับขี่ยานพาหนะหลังใช้ 6 ชม.

3. ทำป้ายบอกตัวโตๆ ว่าไม่ใส่กัญชา

สำหรับร้านที่ไม่ผสมกัญชา ให้ทำป้ายบอกให้ชัดเจนว่า “ขนม/อาหารร้านนี้ไม่ใส่กัญชา” เพื่อที่ คนท้อง คนให้นมบุตร ผู้มีโรคประจำตัวที่ควรเลี่ยงกัญชา และเด็ก ๆ จะได้มั่นใจในการบริโภคผลิตภัณฑ์จากร้าน

ข้อควรระวังในการใช้กัญชา

นอกจากนี้ ศูนย์พิษวิทยา โรงพยาบาลรามาธิบดี ก็ได้ให้คำแนะนำ 10 ข้อควรระวัง การใช้ผลิตภัณฑ์กัญชา ดังนี้ค่ะ

1. ก่อนจะ ใช้กัญชา ควรศึกษาความเสี่ยง

ควรศึกษาความเสี่ยงของผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อตนเองในระยะสั้นและระยะยาว ผู้มีโรคประจำตัวปรึกษาแพทย์ก่อนโดยเฉพาะผู้มีโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคทางระบบประสาท โรคทางจิตเวช โรคปอด และอย่าลืมเชคว่ายาประจำตัวของเราจะตีกับกัญชาหรือจะถูกสารกัญชารบกวนจนเกิดผลร้ายไหม

ใช้กัญชา
ศูนย์พิษวิทยาเตือน

2. หากอายุน้อยกว่า 25 ปี อย่าใช้ช่อดอกกัญชาหรือสาร THC

เนื่องจากมีโอกาสเกิดปัญหาต่อการพัฒนาทักษะด้านต่างๆทางสมอง โดยเฉพาะด้านการคิดอย่างมีเหตุผลซึ่งพบว่าหากมีการเสื่อมแล้ว แม้หยุดกัญชานานเป็นปีก็ไม่อาจคืนกลับเป็นปกติ (ส่วนทักษะทางภาษาและความจำระยะสั้นสามารถกลับคืนเมื่อหยุดเสพกัญชาได้)

3. หากจะลองใช้ควรเริ่มในปริมาณน้อย

หากคิดแล้วอยากจะลองใช้จริงๆ ก็ขอให้เริ่มแบบ THC (สารเมาหลอนและเสพติด) ปริมาณน้อย ใครท้าก็อย่าหน้าใหญ่ ใจใหญ่ลอง THC เข้มข้น…ไม่งั้นอาจเสี่ยงได้นอนหน้าสั่น หัวใจเต้นผิดจังหวะในห้องฉุกเฉินหรือ ICU ได้
ใช้กัญชา
ศูนย์พิษวิทยาเตือน!

4. หากรู้สึกระคายเคืองทางเดินหายใจ หยุด ใช้กัญชา ทันที

การสูบกัญชาแบบเผาไหม้ บารากุ หรือแบบบุหรี่ไฟฟ้าล้วนเกิดการระคายเคืองต่อทางเดินหายใจและเยื่อบุได้ ซึ่งอาจเกิดได้ทั้งจากตัวกัญชา สารละลาย หรือสารปนเปื้อนอื่น หากมีอาการควรหยุดสูบในทันที

5. อย่าสูบลึก อย่าอัด อย่ากลั้น

ผู้ที่จะทดลองสูบ กรูณาสูบอย่าลึกมาก และอย่าอัด-กลั้นไว้ในปอด เพราะจะได้รับปริมาณสารเข้าสู่ร่างกายเยอะ ทั้งสาร THC และสารระคายเคืองต่างๆที่ระคายเคืองทางเดินหายใจ

6. ไม่สูบในที่ที่มีคนกลุ่มเสี่ยง

คนรอบตัวที่ไม่ได้สูบยังอาจได้รับควันกัญชาได้ ฉะนั้นควรสูบในที่จัดเป็นสัดส่วนของคนสูบกันเอง เลี่ยงการสูบในที่มีเด็ก คนท้อง หรือผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจ

7. ปรึกษาแพทย์หากเริ่มติด

หากใช้กัญชาแล้ว พยายามใช้แต่น้อย และติดตามการใช้ของตนเอง หากจู่ๆเริ่มใช้บ่อยขึ้นเยอะขึ้น เริ่มทำใจไม่ใช้ลำบาก เริ่มเสียเงินกับกัญชาเยอะ หรือเริ่มคิดถึงการใช้กัญชามากจนรบกวรการทำงาน การดำเนินชีวิต หรือความสัมพันธ์กับคนรอบตัว ต้องระวังว่ามีการติดกัญชาแล้ว ลองปรึกษาแพทย์เพื่อควบคุมการใช้กัญชาไม่ให้ติดจนรบกวนการดำเนินชีวิตมากไปกว่านั้น หากเห็นคนมีลักษณะนี้ลองหาทางพูดคุยอย่างเป็นมิตรให้เขาพิจารณาปรึกษาแพทย์นะครับ จะติดสารอะไรเขาก็ยังเป็นเพื่อนเป็นญาติพี่น้องเราและการติดเป็นสภาวะที่ดูแลรักษาได้ หากแนะนำแล้วยังไม่ได้ผลทันทีอย่าท้อใจ เราพูดอาจจะได้ผลบ้างไม่ได้ผลบ้าง แต่หากเราไม่พูดเลยก็เท่ากับตัดโอกาสการทบทวนตนเอง
ใช้กัญชา
ศูนย์พิษวิทยาเตือน!

8. หากใช้กัญชา ควรงดขับขี่ยานพาหนะ

แนะนำให้งดการขับขี่ยานพาหนะหรือการทำงานกับเครื่องจักรไม่น้อยกว่า 6 ชั่วโมง หลังจากการใช้ผลิตภัณฑ์กัญชาและการใช้ผลิตภัณฑ์กัญชาร่วมกับการดื่มสุราจะทำให้ความสามารถในการขับยานพาหนะลดลงมาก ดังนั้นแนะนำให้หลีกเลี่ยงอย่างเด็ดขาดนะครับ แม้จะไม่มีการห้ามเสพขณะขับขี่บานพาหนะในช่วงที่ พรบ.ยังไม่ออก แต่หากก่อให้เกิดอุบัติเหตุก็ยังผิดในฐานะขับรถโดยประมาทนะครับ

9. เลือกผลิตภัณฑ์กัญชาที่น่าเชื่อถือ

การเลือกผลิตภัณฑ์กัญชา ควรเลือกที่มีความน่าเชื่อถือ ในต่างประเทศที่มีกติกากำกับดูแลผลิตภัณฑ์ จะมีการตรวจสารปนเปื้อน เชื้อโรค และยืนยันระดับสารว่าตรงกับที่ฉลากระบุ ซึ่งก็มีการคัดออกผลิตภัณฑ์ที่มีเชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย เศษปฏิกูลต่างๆออกอยู่

10. หากมีผู้ได้รับอันตรายจากสิ่งที่ ใช้กัญชา ให้รีบนำส่งโรงพยาบาล

หากเจอคนรอบตัวได้รับอันตรายจากผลิตภัณฑ์อาหาร หรือขนมใส่กัญชา โดยที่เจ้าตัวจงใจจะซื้ออาหารหรือขนมธรรมดา แต่ปนเปื้อนกัญชา หรือใส่กัญชาโดยไม่แจ้งผู้บริโภค ตั้งสติเก็บรายละเอียดช่องทางการซื้อขาย ผลิตภัณฑ์ที่เหลือ รวมถึงหีบห่อ และติดต่อสายด่วนคุ้มครองผู้บริโภค หรือนำส่งที่โรงพยาบาลพร้อมกับผู้ป่วย เพื่อป้องกันการกระจายของผลิตภัณฑ์ที่ปนเปื้อน THC โดยไม่ระบุเหล่านี้
ขอบคุณข้อมูลจาก

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

แม่ท้องใช้กัญชา ห้ามเด็ดขาดทำลูกในท้องตายหรือผิดปกติ

กุมารแพทย์ห่วง กัญชา ! กระทบสมองเด็กและวัยรุ่น

ไขข้อข้องใจ!! คนท้องกินน้ำกระท่อมได้ไหม ?

Amarin Baby & Kids Fair ครั้งที่ 21

ชี้เป้า! ตารางกิจกรรมสุดสนุก งาน Amarin Baby & Kids Fair ครั้งที่ 21 “ลูกเรียนรู้เพลิน…แม่เดินช้อปฟิน”

ABK Fair #21 งานนี้…ไม่ได้มีแค่สินค้าแม่ลูก แม่ๆ และ เด็กๆ ห้ามพลาด!! งาน Amarin Baby & Kids Fair ครั้งที่ 21 งานแฟร์สินค้าแม่ลูก ที่มีมากกว่าการช้อปปิ้ง รวมสินค้า ให้แม่ช้อปแหลกเพื่อลูกรัก ครบ ถูก ดี ลดแรงแซงทุกโปร สุดปัง พร้อมกิจกรรมสุดสนุก เล่นเพลินสนั่นฮอลล์ 103 ไบเทค บางนา

ตารางกิจกรรม Amarin Baby & Kids Fair ครั้งที่ 21
ลูกเรียนรู้เพลิน แม่เดินช้อปฟิน

นำทัพโดยพี่จ๋อจ๋า พากันมาต้อนรับเด็กๆ ด้วยขบวนพาเหรด กับพี่ๆ มาสคอต และ เพิ่มความสนุกเป็น 2 เท่า กับลานกิจกรรม “Forest of Play” ให้เด็กๆ เล่นฟรี! ปีนปาย ของเล่นไม้ สนุกได้ทั้งวัน จาก Plantoys

 

งาน Amarin Baby & Kids Fair ครั้งที่ 21 วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน 2565

ต้อนรับเด็กๆ ด้วยขบวนพาเหรด จาก พี่ๆ Mascot
>> พบกันได้เวลา 11.00 – 11.50 น. และ 17.00 – 17.50 น.

 

วันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม 2565

ต้อนรับเด็กๆ ด้วยขบวนพาเหรด จาก พี่ๆ Mascot
>> พบกันได้เวลา 11.00 – 11.50 น. และ 17.00 – 17.50 น.

  • เวลา 20-17.00 น. Workshop จาก Funique ชวนเด็กๆ เพ้นท์ “กระเป๋าดินสอ”
  • เวลา 10-18.00 น. Workshop จาก Plantoys ชวนเด็กๆ ประกอบ+ตกแต่ง “รองเท้าไม้”

 

วันเสาร์ที่ 2 กรกฎาคม 2565

ต้อนรับเด็กๆ ด้วยขบวนพาเหรด จาก พี่ๆ Mascot
>> พบกันได้เวลา 10.30-11.20 น. และ 17.30-18.20 น.

  • เวลา 20-12.10 น. Workshop จาก Plantoys ชวนเด็กๆ ประกอบ+ตกแต่ง “รองเท้าไม้”
  • เวลา 20-16.10 น. ฟังเสวนาฟรี! หัวข้อ Car Seat เซฟโซนเด็กๆ ในรถ ช่วยเซฟชีวิตลูกให้ปลอดภัยตลอดทาง โดย รศ.นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ ผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล
  • เวลา 30-16.50 น. ฟังเสวนาฟรี! กับผู้เชี่ยวชาญ หัวข้อ วิธีป้องกันและช่วยเหลือเบื้องต้น เมื่อลูกจมน้ำ by Swimming kids Thailand
  • เวลา 50-17.40 น. Workshop CPR ภารกิจพิชิตหัวใจ กู้ภัยลูกรักและคนที่รักในครอบครัว ให้ปลอดภัยจากการหมดสติ โดยทีมผู้เชี่ยวชาญจากมูลนิธิหัวใจแห่งประเทศในพระบรมราชูปถัมภ์ โครงการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน

 

 วันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม 2565

ต้อนรับเด็กๆ ด้วยขบวนพาเหรด จาก พี่ๆ Mascot
>> พบกันได้เวลา 10.30-11.20 น. และ 17.30-18.20 น.

  • เวลา 11.30–12.10 น. Workshop จาก Funique ชวนเด็กๆ เพ้นท์ “กระเป๋าดินสอ”
  • เวลา 13.40-14.00 น. ฟังเสวนาฟรี! กับผู้เชี่ยวชาญ หัวข้อ วิธีป้องกันและช่วยเหลือเบื้องต้น เมื่อลูกจมน้ำ by Swimming kids Thailand
  • เวลา 14.00-14.50 น. Workshop CPR ภารกิจพิชิตหัวใจ กู้ภัยลูกรักและคนที่รักในครอบครัว ให้ปลอดภัยจากการหมดสติ โดยทีมผู้เชี่ยวชาญจากมูลนิธิหัวใจแห่งประเทศในพระบรมราชูปถัมภ์ โครงการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน
  • เวลา 15.00-15.50 น. Workshop จาก Plantoys ชวนเด็กๆ ประกอบ+ตกแต่ง “รองเท้าไม้”

***และทุกวัน เวลา 11.30 – 12.30 น. ชมไลฟ์สด!! ***
พ่อเป้-แม่กร พาทัวร์ เที่ยวงานแฟร์ แบบ Exclusive
ส่องโซนไฮไลท์สุดว้าว

เจาะบูธขายของสุดปัง พร้อมซูมโปรโมชั่นสุดจึ้ง!

คุณพ่อคุณแม่เตรียมตัวไปช้อปกันได้ที่งาน Amarin Baby & Kids

  • ในวันที่ 30 มิ.ย. – 3 ก.ค. 65 ที่ ไบเทค บางนา
  • รับของสมนาคุณ สุดพิเศษ เพียงละทะเบียนก่อนเข้างาน คลิกที่นี่ >> https://cooll.ink/abk21register

รับฟรี 2 ต่อ

ต่อที่ 1 : รับฟรี! ชาม Amarin Baby & Kids Fair พร้อมผลิตภัณฑ์แม่-ลูก

ต่อที่ 2 : ลุ้นรับฟรี! เป้อุ้มเด็ก Pognae มูลค่า 8,990 บ.

มาช้อปได้อย่างสบายใจ เพราะทางงาน มีมาตรการคุมเข้มด้านสะอาดและความปลอดภัย มี ABK Care บริการพิเศษเพื่อคุณแม่ รถเข็น Wheel Chair สำหรับแม่ท้อง, รถเข็น Shopping, บริการยกของ, ห้องเปลี่ยนผ้าอ้อมและให้นม, จุดรับฝากของ, ที่จอดรถแม่ท้อง, รถกอล์ฟ รับส่ง จุด Drop Off, ที่จอดรถ Outdoor

พบกัน 30 มิ.ย. – 3 ก.ค. 65 ไบเทค บางนา

งานเริ่ม 10.00 – 20.00 น.


มาที่นี่ครบ จบที่เดียว ครบทุกสิ่ง ครบทุกอย่าง ที่คุณต้องการ

สอบถามเพื่มเติม โทร 08-5661-4628 หรือ 02-422-9999 ต่อ 4350

#ABK21 #AmarinBabyAndKidsFair21 #ไบเทคบางนา #AmarinKids

 

แม่ท้องใช้กัญชา

แม่ท้องใช้กัญชา ห้ามเด็ดขาดทำลูกในท้องตายหรือผิดปกติ

แม่ท้องใช้กัญชา ห้ามเด็ดขาดทำลูกในท้องตายหรือผิดปกติ

เนื่องจากการปลดล็อกเสรีกัญชาในประเทศไทย ส่งผลให้เกิดความห่วงใยในสุขภาพของคนไทย ที่อาจได้รับกัญชาเข้าไป โดยเฉพาะกับ แม่ท้องใช้กัญชา ไม่ว่าจะโดยตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจ เช่น ได้รับผ่านทางขนม อาหาร หรือเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของกัญชา เพราะกัญชาอาจทำให้ลูกในท้องตาย และ/หรือเกิดมาพบกับความผิดปกติในหลาย ๆ ด้านค่ะ

แม่ท้องใช้กัญชา ผลกระทบต่อการตั้งครรภ์

รศ.นพ.สมชาย ธนวัฒนาเจริญ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์สภากาชาดไทย กล่าวว่า กัญชามีสารเคมีที่ชื่อว่า tetrahydrocannabinol (THC) ที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลายและถึงขั้น “เคลิ้ม” นอกจากนี้ ยังมีสารเคมีอื่นที่มีผลต่ออวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย

มีการศึกษาพบว่ากัญชาทำให้ระดับฮอร์โมน luteinizing hormone (H) จากต่อมใต้สมองลดลง ซึ่งทำให้ไม่เกิดการตกไข่ แต่กลับมาตกไข่ได้หลังจากผ่านไป 3-4 เดือน แต่ก็มีการศึกษาในหนูทดลอง พบว่าการได้รับกัญชามาก ๆ จะสัมพันธ์กับการเคลื่อนที่ซ้ำลงของไข่เข้าสู่มดลูก ซึ่งอาจส่งผลต่อ การตั้งครรภ์นอกมดลูก หรือ ความล้มเหลวในการฝังตัวของตัวอ่อนได้ และสารเคมีในกัญชา สามารถผ่านรกไปยังทารกในครรภ์ได้

แม่ท้องใช้กัญชา ทำลูกในท้องตายได้

  • การตายคลอด
  • การตั้งครรภ์นอกมดลูก
  • ภาวะทารกน้ำหนักน้อย
  • บางรายงานพบว่า การใช้กัญชาร่วมกับการสูบบุหรี่ มีผลให้เกิดการคลอดก่อนกำหนดได้
  • การพัฒนาสมองของทารกไม่สมบูรณ์ ทารกอาจมีปัญหาการเรียนรู้ และพฤติกรรมในอนาคต

การนำกัญชามาใช้ทางการแพทย์ จึงควรมีการควบคุม และอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ และไม่แนะนำให้ใช้กัญชาในสตรีตั้งครรภ์แม้จะเป็นแบบรักษาก็ตาม

แม่ท้องใช้กัญชา
แม่ท้องใช้กัญชา ห้ามเด็ดขาด ทำลูกในท้องตายหรือผิดปกติ

ขอบคุณภาพจาก โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย

กัญชาทำทารกแรกคลอดน้ำหนักน้อย

รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  ได้ให้ความรู้เรื่อง “กัญชากับหญิงมีครรภ์” ไว้ใน FB Thira Woratanarat โดยระบุว่า ข้อมูลทางการแพทย์นั้นชัดเจนมาก Marchand G และคณะ ได้ทบทวนงานวิจัยอย่างเป็นระบบ เผยแพร่ใน JAMA Network Open เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2565 จากงานวิจัย 16 ชิ้น มีกลุ่มประชากรหญิงมีครรภ์ 59,138 คน พบว่า หญิงมีครรภ์ที่ใช้กัญชาจะมีความเสี่ยงที่ทารกแรกคลอดจะมีน้ำหนักน้อย (น้อยกว่า 2,500 กรัม) มากกว่าคนที่ไม่ได้ใช้กัญชาถึง 2.06 เท่า [ช่วงความเชื่อมั่นตั้งแต่ 1.25 เท่าถึง 3.42 เท่า]

ความเสี่ยงอื่น ๆ ที่จะเกิดกับทารก

นอกจากนี้ ทารกที่เกิดกับแม่ท้องที่ใช้กัญชา จะมีความเสี่ยงดังนี้

  • มีความเสี่ยงที่จะมีทารกตัวเล็กกว่าปกติเมื่อเทียบอายุครรภ์ (small for gestational age) มากกว่าคนที่ไม่ได้ใช้กัญชาถึง 1.61 เท่า [ช่วงความเชื่อมั่นตั้งแต่ 1.44-1.79 เท่า]
  • มีความเสี่ยงที่จะคลอดก่อนกำหนด 1.28 เท่า [ช่วงความเชื่อมั่นตั้งแต่ 1.16-1.42 เท่า]
  • มีความเสี่ยงที่ทารกแรกเกิดจะป่วยจนต้องรักษาในหอผู้ป่วยหนัก 1.38 เท่า [ช่วงความเชื่อมั่นตั้งแต่ 1.18-1.62 เท่า]
  • ทารกที่เกิดจากแม่ที่ใช้กัญชานั้นจะมีน้ำหนักตัวเฉลี่ยน้อยกว่าแม่ที่ไม่ได้ใช้กัญชา 112.30 กรัม [ช่วงความเชื่อมั่นตั้งแต่ 57.41-167.19 กรัม]

แม่ท้องใช้กัญชาทำลูกมีปัญหาจิตเวช

หมอธีระยังยกงานวิจัยเสริมเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ Roncero C และคณะ ยังได้มีการวิจัยทบทวนอย่างเป็นระบบ เผยแพร่ในวารสารการแพทย์ทางนรีเวชวิทยา Reproductive Health ในปี 2020 ชี้ให้เห็นว่า ทารกที่เกิดจากแม่ที่ใช้กัญชานั้นจะเสี่ยงต่อการเกิดภาวะผิดปกติด้านพัฒนาการ รวมถึงปัญหาจิตเวช เช่น ซึมเศร้า และสมาธิสั้น (ADHD) อีกด้วย

หมอธีระห่วงแม่ท้องรับกัญชาผ่านอาหารและเครื่องดื่ม

หมอธีระกล่าวเสริมว่า หญิงมีครรภ์จึงต้องระมัดระวัง หลีกเลี่ยงการใช้ หรือสัมผัสกับกัญชา รวมถึงหากออกไปใช้ชีวิตประจำวันนอกบ้าน เวลาจะไปรับประทานอาหาร หรือเครื่องดื่มใด ๆ ควรตรวจสอบไถ่ถามให้ดีว่ามีส่วนประกอบของกัญชาหรือไม่
ยิ่งหากปลดล็อกการใช้กัญชา มีการทำแคมเปญสนับสนุนให้มีการใช้ในการประกอบอาหาร เครื่องดื่ม หรือผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ถ้าไม่มีการควบคุมอย่างดีพอ ก็อาจเกิดผลกระทบต่อคนในสังคม ทั้งในเด็ก เยาวชน หญิงมีครรภ์ และอื่น ๆ รวมถึงผลกระทบด้านอื่น เช่น อาชญากรรม อุบัติเหตุ ที่อาจเกิดตามมาได้ดังที่เห็นจากบทเรียนต่างประเทศ
อ้างอิง
1. Marchand G et al. Birth Outcomes of Neonates Exposed to Marijuana in Utero: A Systematic Review and Meta-analysis. JAMA Network Open. 27 January 2022.
2. Roncero C et al. Cannabis use during pregnancy and its relationship with fetal developmental outcomes and psychiatric disorders. A systematic review. Reproductive Health. 17 February 2020.

 

 

ขอบคุณข้อมูลจาก

โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย,Thira Woratanarat

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

กุมารแพทย์ห่วง กัญชา ! กระทบสมองเด็กและวัยรุ่น

ไขข้อข้องใจ!! คนท้องกินน้ำกระท่อมได้ไหม ?

ตั้งชื่อลูก

ตั้งชื่อลูก ตามหลักทักษาปกรณ์ เป็นอย่างไร?

การ ตั้งชื่อลูก นอกจากชื่อจะต้องไพเราะ ความหมายจะต้องดีแล้ว ยังจะต้องมีความเป็นสิริมงคลให้กับลูกอีกด้วย เพื่อช่วยส่งเสริมชีวิตลูกในด้านต่าง ๆ

ตั้งชื่อลูก ตามหลักทักษาปกรณ์ เป็นอย่างไร?

ในบทความนี้ ทีมกองบรรณาธิการ ABK ตั้งใจนำเสนอความรู้เกี่ยวกับการ ตั้งชื่อลูก ตามหลักทักษาปกรณ์ ซึ่งเป็นหลักการตั้งชื่อพื้นฐานตามโหราศาสตร์ที่สำคัญ และคนไทยทั่วไปนิยมยึดถือปฏิบัติกันมากที่สุด รายละเอียดเป็นอย่างไร ไปดูกันเลยค่ะ

ตั้งชื่อลูก
ตั้งชื่อลูก

ตั้งชื่อลูก ตามหลักทักษาปกรณ์ เป็นอย่างไร?

คำว่าทักษา ในทางโหราศาสตร์มีใช้หลายตำรา ทักษาหมายถึงดาวอัฏฐเคราะห์ ทั้ง 8 ที่มีลำดับการจัดเรียงเฉพาะ คือ พระอาทิตย์ (1) พระจันทร์ (2) พระอังคาร (3) พระพุธ (4) พระเสาร์ (7) พระพฤหัสบดี (5) พระราหู (8) และพระศุกร์ (6) ในการใช้ทักษาจะแทนด้วยวันเกิดซึ่งจะมีเพิ่ม พระราหู (8) หรือวันพุธกลางคืนเข้ามาด้วย เพื่อการอธิบายขอแยกเป็น 2 ส่วน คือ ภูมิ และ ทักษา

ภูมิ หรือตำแหน่งจะมี 8 ภูมิ แต่ละภูมิหรือตำแหน่ง จะมีเรื่องราว ชื่อความหมายความเป็นมงคล อยู่ โดยจัดเรียงลำดับ ได้แก่

บริวาร

ส่งเสริม แก้ไขเรื่อง บุตร สามี ภรรยา ลูกน้อง คนในปกครอง คนในบ้าน รวมไปจนถึงเพื่อนและมิตรสหาย สัตว์เลี้ยง การเกื้อหนุนจุนเจือไม่ขาด บารมี ผู้ใต้บังคับบัญชาให้ความเคารพ น่าเชื่อถือ มีดีมีเด่นในคนหมู่มาก

อายุ

ส่งเสริม แก้ไขเรื่อง วิถีความเป็นอยู่ สุขภาพดี แข็งแรง อายุยืนยาว ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บร้ายแรงเบียดเบียน ไม่เครียด กายเป็นสุข ใจเป็นสุข

เดช

ส่งเสริม แก้ไขเรื่อง บารมี เกียรติยศ ชื่อเสียง อำนาจ ให้คนเคารพยำเกรง การควบคุมบังคับบัญชาคนได้ ผู้ใต้บังคับบัญชาเชื่อฟัง กล้าหาญ เด็ดเดี่ยวจริงจังหนักแน่น เข้มแข็ง

ศรี

ส่งเสริม แก้ไขเรื่อง สิ่งที่เป็นสิริมงคลแก่ชีวิต หลักทรัพย์สิน บ้าน เรือกสวนไร่นา อสังหาริมทรัพย์ โชคลาภ เสน่ห์ที่ทำให้คนรักใคร่เมตตา มีสิริมงคล

มูละ

ส่งเสริม แก้ไขเรื่อง ทรัพย์ ทรัพย์สินเงินทอง ทุนทรัพย์ผล ประโยชน์ หรือมรดก หลักฐานความมั่นคง ทำมาค้าขึ้น มีกำไร ประสบความสำเร็จในเรื่องเงิน ๆทอง ๆ

อุตสาหะ

ส่งเสริม แก้ไขเรื่อง ความขยันหมั่นเพียร ให้เกิดผลสำเร็จ มีมานะอุตสาหะ หนักเอาเบาสู้ ไม่ท้อถอย มีความพยายามของตนเอง มีความรับผิดชอบ หัวคิดริเริ่มพยายาม แรงจูงใจ ทิฐิมานะ การประกอบกิจการค้า การเกษตรกรรม

มนตรี

ส่งเสริม แก้ไขเรื่อง การอุปถัมภ์ค้ำชู ส่งเสริม อุปการะ สงเคราะห์เกื้อหนุนจากผู้ใหญ่ ครูอาจารย์ เจ้านาย และมีผู้ให้การช่วยเหลือ การดำเนินชีวิตและหน้าที่การงาน ครอบครัว ชอบไฝ่รู้

กาลกิณี

โชคร้าย อัปมงคล ศัตรูคู่แข่ง คู่อาฆาต อุปสรรค ความยุ่งยาก ติดขัด เสียหาย วุ่นวายในการดำเนินชีวิต ความเหน็ดเหนื่อย ไม่มีโชคลาภ ห้ามนำอักษรในวรรคกาลกิณี นี้มาตั้งชื่อ

การตั้งชื่อตามหลักทักษาปกรณ์ ห้ามใช้อักขระวรรคกาลกิณี ในชื่อ เพศชายมักใช้ วรรคเดช นำหน้า ตามหลัง หรือเป็นส่วนประกอบ เพศหญิงมักจะใช้ วรรคศรี นำหน้า ตามหลัง หรือเป็นส่วนประกอบ หรือใช้วรรคอื่น ๆ นำหน้าชื่อก็ได้ เพื่อเป็นการแก้ข้อบกพร่อง หรือส่งเสริมในเรื่องต่าง ๆ ชื่อที่ดีควรมีภาษาและความหมาย คําแปลที่ดีเป็นมงคล ความยาว 2-4 พยางค์ มีอักขระในวรรค/ทักษาอื่น ๆ รวม ๆ กันอยู่ในชื่อ

ตั้งชื่อตามหลักทักษาปกรณ์
ตั้งชื่อตามหลักทักษาปกรณ์

ตั้งชื่อลูก ตามหลักทักษาปกรณ์ เป็นอย่างไร?

ทักษา แทนด้วยดาวอัฏฐเคราะห์ หรือพระเคราะห์ทั้ง 8 ตามวันเกิด (การนับวันในทางโหราศาสตร์ซึ่งมีเพิ่ม พระราหู หรือพุธกลางคืน)

ดาวอัฏฐเคราะห์ หรือทักษามีการจัดเรียงลำดับแบบเฉพาะสลับตำแหน่งกันไม่ได้ คือ พระอาทิตย์ (1) พระจันทร์ (2) พระอังคาร (3) พระพุธ (4) พระเสาร์ (7) พระพฤหัสบดี (5) พระราหู (8) และพระศุกร์ (6) ตามลำดับ แตกต่างจากการจัดลำดับวันตามปรกติ ซึ่งเรียง วันอาทิตย์ – วันเสาร์ หรือ ราหู โดยแต่ละวันหรือดาวพระเคราะห์แต่ละดวง จะมีอักขระ และชื่อนามประจำตำแหน่ง ดังนี้

อาทิตย์ (1) ครุฑนาม อ และ สระต่าง ๆ
จันทร์ (2) พยัคนาม  ก ,ข ,ค ,ฆ ,ง
อังคาร (3) ราชสีนาม จ ,ฉ ,ช ,ซ ,ฌ ,ญ
พุธ (4) โสณนาม ฎ ,ฏ ,ฐ ,ฑ ,ฒ ,ณ
เสาร์ (7) นาคนาม ด ,ต ,ถ ,ท ,ธ ,น
พฤหัสบดี (5) มุสิกนาม บ ,ป ,ผ ,ฝ ,พ ,ฟ ,ภ ,ม
ราหู (8) คชนาม ย ,ร ,ล ,ว
ศุกร์ (6) อัชชนาม ศ ,ษ ,ส ,ห ,ฬ ,ฮ

อักขระอาทิตย์ (1) อนุโลมให้ใช้ ไม้หันอากาศ และเครื่องหมายทัณฑฆาต (การันต์) ได้

โดยเริ่มแรกในการตั้งชื่อหรือวิเคราะห์ทำนายชื่อตามหลักทักษา ต้องทราบวันเกิดก่อน ซึ่งเป็นวันทางโหราศาสตร์ จันทรคติเท่านั้น จะแตกต่างตามหลักสากลหรือวันเกิดตามสูติบัตร กล่าวคือ

การนับรอบวันจันทรคติจะใช้แบบนั้นทั้งหมด จะมีวันพุธที่แยกย่อยคือ เกิดวันพุธ ช่วงเวลาดวงอาทิตย์ขึ้น ถึง ดวงอาทิย์ตก ประมาณเวลา 06.00 – 17.59 น. จะเรียกว่าวันพุธกลางวัน หากเกิดช่วงเวลาหลังดวงอาทิย์ตกในวันพุธ ถึง ก่อนอาทิตย์ขึ้นวันรุ่งขึ้น(พฤหัสบดี) ประมาณเวลา 18.00 – 05.59น. จะเรียกว่าวันพุธกลางคืนหรือวันราหู

ตัวอย่าง เกิดวันอาทิตย์ก็ จะเริ่มนับจากเวลาดวงอาทิตย์ขึ้น หรือ 06.00น. ของเช้าวันอาทิตย์ไปจนถึง เวลา เวลาก่อนดวงอาทิตย์ขึ้นของอีกวันหนึ่ง หรือ เวลาประมาณ 05.59 น.ของวันจันทร์ ยังคงนับเป็นวันอาทิตย์อยู่ เมื่อเวลาดวงอาทิตย์ขึ้น หรือ เวลา 06.00น. ของเช้าวันจันทร์เมื่อใด ถือเป็นวันจันทร์

เช่น ตามสูติบัตร บอกว่าท่านเกิดอาทิตย์เวลา 04.13น. แต่เมื่อนับตามปฏิทินจันทรคติไทยจะถือว่าเป็นวันเสาร์อยู่ เพราะยังไม่เลยเวลาดวงอาทิตย์ขึ้น หรือ 06.00น. ซึ่งเป็นช่วงย่างเข้าวันอาทิตย์จริงๆ ตามจันทรคติ , ตามสูติบัตร บอกว่าท่านเกิดพฤหัสบดีเวลา 05.13น. แต่เมือคิดตามหลักปฏิทินจันทรคติถือว่าเป็นวันพุธอยู่ เพราะยังไม่เลยเวลาดวงอาทิตย์ขึ้น หรือ 06.00น. และเป็นวันพุธกลางคืน เพราะอยู่ช่วงเวลาหลังดวงอาทิย์ตกในวันพุธ ถึง ก่อนอาทิตย์ขึ้นวันรุ่งขึ้น(พฤหัสบดี) 18.00 – 05.59น.

การวางหรือหมุนทักษา

มีวิธีการคือ ตั้งภูมิตำแหน่งคงที่แล้วหมุนทักษา หรือ ให้ทักษาคงที่แล้วหมุนภูมิก็ได้ โดยให้ทักษาวันเกิด อยู่ที่ตำแหน่งบริวารเสมอ จะได้อักขระภูมิทักษาทั้งหมด โดยอัขระต่าง ๆจะหมุนตามตำแหน่ง ย้ายไปอยู่ภูมิต่าง ๆ เช่นเกิดวันอาทิตย์ ให้หมุนอาทิตย์มาอยู่ที่ภูมิบริวาร เป็นต้น

วันเกิด บริวาร อายุ เดช ศรี มูละ อุตสาหะ มนตรี กาลกิณี
อาทิตย์ อ และ สระต่าง ๆ ก ,ข ,ค ,ฆ ,ง จ ,ฉ ,ช ,ซ ,ฌ ,ญ ฎ ,ฏ ,ฐ ,ฑ ,ฒ ,ณ ด ,ต ,ถ ,ท ,ธ ,น บ ,ป ,ผ ,ฝ ,พ ,ฟ ,ภ ,ม ย ,ร ,ล ,ว ศ ,ษ ,ส ,ห ,ฬ ,ฮ
จันทร์ ก ,ข ,ค ,ฆ ,ง จ ,ฉ ,ช ,ซ ,ฌ ,ญ ฎ ,ฏ ,ฐ ,ฑ ,ฒ ,ณ ด ,ต ,ถ ,ท ,ธ ,น บ ,ป ,ผ ,ฝ ,พ ,ฟ ,ภ ,ม ย ,ร ,ล ,ว ศ ,ษ ,ส ,ห ,ฬ ,ฮ อ และ สระต่าง ๆ
อังคาร จ ,ฉ ,ช ,ซ ,ฌ ,ญ ฎ ,ฏ ,ฐ ,ฑ ,ฒ ,ณ ด ,ต ,ถ ,ท ,ธ ,น บ ,ป ,ผ ,ฝ ,พ ,ฟ ,ภ ,ม ย ,ร ,ล ,ว ศ ,ษ ,ส ,ห ,ฬ ,ฮ อ และ สระต่าง ๆ ก ,ข ,ค ,ฆ ,ง
พุธกลางวัน ฎ ,ฏ ,ฐ ,ฑ ,ฒ ,ณ ด ,ต ,ถ ,ท ,ธ ,น บ ,ป ,ผ ,ฝ ,พ ,ฟ ,ภ ,ม ย ,ร ,ล ,ว ศ ,ษ ,ส ,ห ,ฬ ,ฮ อ และ สระต่าง ๆ ก ,ข ,ค ,ฆ ,ง จ ,ฉ ,ช ,ซ ,ฌ ,ญ
เสาร์ ด ,ต ,ถ ,ท ,ธ ,น บ ,ป ,ผ ,ฝ ,พ ,ฟ ,ภ ,ม ย ,ร ,ล ,ว ศ ,ษ ,ส ,ห ,ฬ ,ฮ อ และ สระต่าง ๆ ก ,ข ,ค ,ฆ ,ง จ ,ฉ ,ช ,ซ ,ฌ ,ญ ฎ ,ฏ ,ฐ ,ฑ ,ฒ ,ณ
พฤหัสบดี บ ,ป ,ผ ,ฝ ,พ ,ฟ ,ภ ,ม ย ,ร ,ล ,ว ศ ,ษ ,ส ,ห ,ฬ ,ฮ อ และ สระต่าง ๆ ก ,ข ,ค ,ฆ ,ง จ ,ฉ ,ช ,ซ ,ฌ ,ญ ฎ ,ฏ ,ฐ ,ฑ ,ฒ ,ณ ด ,ต ,ถ ,ท ,ธ ,น
พุธกลางคืน ย ,ร ,ล ,ว ศ ,ษ ,ส ,ห ,ฬ ,ฮ อ และ สระต่าง ๆ ก ,ข ,ค ,ฆ ,ง จ ,ฉ ,ช ,ซ ,ฌ ,ญ ฎ ,ฏ ,ฐ ,ฑ ,ฒ ,ณ ด ,ต ,ถ ,ท ,ธ ,น บ ,ป ,ผ ,ฝ ,พ ,ฟ ,ภ ,ม
ศุกร์ ศ ,ษ ,ส ,ห ,ฬ ,ฮ อ และ สระต่าง ๆ ก ,ข ,ค ,ฆ ,ง จ ,ฉ ,ช ,ซ ,ฌ ,ญ ฎ ,ฏ ,ฐ ,ฑ ,ฒ ,ณ ด ,ต ,ถ ,ท ,ธ ,น บ ,ป ,ผ ,ฝ ,พ ,ฟ ,ภ ,ม ย ,ร ,ล ,ว

หลักการ ตั้งชื่อลูก ตามหลักทักษาปกรณ์ ที่ ทีมกองบรรณาธิการ ABK นำมาฝากนี้ คงทำให้คุณพ่อคุณแม่เข้าใจ และนำไปใช้ในการตั้งชื่อลูกกันได้นะคะ

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

คิดให้ดีก่อน ตั้งชื่อลูก เมื่อลูกโดนล้อเพราะชื่อฟรุ้งฟริ้ง!!

ตั้งชื่อลูกชายสมัยใหม่ ชื่อไม่ซ้ำใคร พร้อมความหมายดีๆ

150 ไอเดีย ตั้งชื่อเล่นลูกสาว 2 พยางค์ ภาษาไทย-เทศ

รวม250 ชื่อดอกไม้ แสนสวย หลายภาษาไว้ตั้งชื่อลูก!

ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.myhora.com

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

Amarin Baby & Kids

นิทานกระต่ายกับเต่า สอนลูกผ่านนิทานอีสปสนุกๆ!!

นิทานกระต่ายกับเต่า นิทานอ่านก่อนนอนสนุก ๆ เพลิดเพลิน ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการทางด้านอารมณ์ สมอง และจินตนาการของเด็ก นิทานอีสปยังให้คติสอนใจดี ๆ อีกด้วย

นิทานกระต่ายกับเต่า สอนลูกผ่านนิทานอีสปสนุกๆ!!

สำหรับนิทานกระต่ายกับเต่า เป็นนิทานที่ ทีมกองบรรณาธิการ ABK เลือกมานำเสนอให้คุณพ่อคุณแม่ในวันนี้ เป็นนิทานอีสปสุดฮิตทุกยุค ทุกสมัย ไม่มีตกยุค นิทานอีสป ได้รับความนิยมไปทั่วโลกมาอย่างยาวนานถึงสองพันกว่าปี ถูกนำไปแปลเป็นภาษาต่าง ๆ มากมาย นอกจากความสนุกสนาน เพลิดเพลินแล้ว ยังช่วยปลูกจิตสำนึกดี ๆ ให้แก่เด็ก ๆ อีกด้วย

นิทานกระต่ายกับเต่า
นิทานกระต่ายกับเต่า

นิทานกระต่ายกับเต่า สอนลูกผ่านนิทานอีสปสนุกๆ!!

อีสปคือใคร

เชื่อกันว่า อีสป เป็นบุคคลที่มีชีวิตอยู่เมื่อราวปี 620-560 ก่อน ค.ศ.หรือก่อนสมัยพุทธกาลเล็กน้อย บางตำนานกล่าวว่า อีสปเกิดที่เมืองฟรีเยีย ในดินแดนที่ปัจจุบันเรียกว่าเอเซียไมเนอร์ ซึ่งเป็นดินแดนที่ทวีปเอเชียและยุโรปมาชนกัน และเป็นดินแดนที่เจริญรุ่งเรืองมากในสมัยของอีสป เนื่องจากเป็นแหล่งรวมของบรรดาพ่อค้าวาณิช พวกทูตานุทูต นักท่องเที่ยว รวมทั้งเป็นดินแดนที่มีการค้าทาส และอีสปเป็นทาสคนหนึ่ง ซึ่งมีสมญาว่า เอธิออป (Ethiop) ซึ่งแปลว่า ตัวดำ แต่พวกชาวยุโรปเรียกเสียงเพี้ยนไปเป็น อีสป (Aesop) ชื่อเอธิออป เชื่อว่ามาจากชื่อประเทศเอธิโอเปีย (ต่อมาเปลี่ยนเป็น อะบิสซีเนีย)

แต่บางตำนานบอกว่า อีสปอาจจะมาจากเมืองเทรซ ไพรเกียเอธิโอเปีย ซามอส เอเธนส์ หรือเมืองซาร์ดิส ซึ่งไม่มีใครรู้แน่นอน

ในชั้นเดิม อีสป มีฐานะเป็นทาสอยู่ที่เมืองซามอส (Samos) ประเทศกรีซ อีสปเป็นทาสของ อิดมอน หรือเอียดม็อน ซึ่งได้มอบหน้าที่ให้อีสปเป็นครูสอนหนังสือลูก ๆ ของเขา บ้านของอิดมอนเป็นที่พบปะสังสรรค์กันในหมู่คนสำคัญ ๆ ของกรีก อีสปจึงมีโอกาสได้พบเห็น และรู้จักกับบุคคลเหล่านั้น อีสปสามารถสังเกตรู้ได้ด้วยวิจารญาณของเขาว่าใครเป็นคนอย่างไร อิมมอนมักจะนำอีสปไปด้วยเสมอ เมื่อไปพบกับคนใหญ่คนโตของกรีก และอีสปได้เล่านิทานให้พวกเขาเหล่านั้นฟัง ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของทุกคน

 

รูปร่างลักษณะของอีสป

คามาริอุส (Camarius) ผู้เขียนประวัติอีสป ได้พรรณว่าอีสปเป็นคนที่มีรูปร่างหน้าตาอัปลักษณ์ผิดมนุษย์ คือ จมูกบี้ ปากแบะ ลิ้นคับปาก หลังงุ้ม ผิวดำมืด อีสปมักจะพูดเสียงอยู่ในลำคอ ไม่ค่อยมีใครฟังได้ยินว่าเขากล่าวว่าอะไร แต่ผู้ที่ได้ฟังนิทานจากอีสปมักติดอกติดใจในเนื้อหา ข้อคิด คติเตือนใจ ด้วยเหตุนี้คนสำคัญๆของกรีก มักจะเชิญอีสปเป็นแขกให้ไปเล่านิทานให้ฟังอยู่เสมอๆ

ต่อมาเมื่ออิดมอนได้ให้อิสรภาพแก่อีสป อีสปได้เข้าไปอาศัยอยู่ในวังของกษัตริย์ครีซุส ซึ่งเป็นกษัตริย์ที่ร่ำรวยมหาศาล ทำให้อีสปได้พบกับรัฐบุรุษของเอเธนส์และนักปราชญ์ผู้รอบรู้ต่างๆมากมาย โดยเฉพาะนักปราชญ์ที่ชื่อ โซลอน หรือบาตำนานบอกว่าอีสปเคยเข้าไปอยู่ในสำนักของโซมอล ซึ่งเป็นนักกฎหมายที่มีชื่อเสียงมาก โซลอนเป็นญาติของปีซัสเตรตัส ผู้ปกครองแห่งเอเธนส์ ซึ่งชาวเมืองคิดจะนับออกจากตำแหน่งเจ้าเมือง เพราะเห็นว่าปิซัสเตรตัสปกครองประชาชนโดยใช้อำนาจกดขี่อีสปได้เล่านิทานเรื่อง “กบเลือกนาย” ขึ้นที่นี่ เพื่อให้กับประชาชนชาวเอเธนส์ฟัง ทำให้ชาวเมืองเสื่อมใสการปกครองของปิซัสเตรตัสได้สำเร็จ นอกจากนั้นอีสปยังได้แสดงความคิดเห็นในทางการปกครองและเล่านิทานอุปไมยหลายๆเรื่อง ณ สำนักของโซมอลแห่งนี้

 

นิทานอีสป

ตัวละครในนิทานของอีสปส่วนใหญ่เป็นสัตว์ เช่น สิงโตหรือราชสีห์ มักจะหมายถึงหรือเป็นตัวแทน ของผู้มีอำนาจ คนบุญหนักศักดิ์ใหญ่ ผู้ปกครอง หนูมักจะหมายถึงผู้ต่ำต้อย ลามักจะหมายถึงผู้ที่ด้อยสติปัญญา หมาจิ้งจอกมักจะหมายถึงคนเจ้าเล่ห์ ฯลฯ นักปราชญ์บางท่านให้ข้อคิดเอาไว้ว่า นิทานของอีสปได้เค้าโครงมาจากเรื่องเล่าเก่า ๆ ของอินเดียบ้าง อาระเบียบ้าง หรืออาจมาจากเปอร์เซีย และดินแดนอื่น ๆ โดยอีสปนำมาดัดแปลงเล่าใหม่ รวมทั้งเรื่องเล่าเก่า ๆ ของกรีก นิทานของอีสป เป็นนิทานที่เล่าปากเปล่า ไม่มีการจัดบันทึกเป็นหลักฐาน จนศตวรรษต่อ ๆ มาจึงได้มีผู้บันทึกเอาไว้ เช่น จะเห็นได้จากหลักฐานของแผ่นปาปิรัสอียิปต์โบราณ เป็นต้น ฟีดรัส ทาสชาวมาซีโดเนียน ในยุคจักรพรรดิออกุสตุส จักรวรรดิแรกแห่งโรมัน ได้เป็นผู้หนึ่งที่รวบรวมเรื่องราวของนิทานอีสปเอาไว้เป็นภาษาลาติน บางตำนานบอกว่าชาวกรีกผู้หนึ่งชื่อว่า เดมิตริอุส ได้รวบรวมนิทานอีสปโดยเขียนเป็นหนังสือไว้เมื่อราว 30 ปีก่อนคริสต์ศักราช ต่อมามีผู้เขียนขึ้นใหม่อีกหลายคน จนพระที่ชื่อมาซิมุล พลานูด ได้แปลนิทานอีสปจากภาษาลาตินเป็นภาษาอังกฤษเมื่อ ค.ศ. 1400 นับแต่นั้นมาชาวยุโรปได้แปลนิทานอีสปให้เข้ากับสภาพสังคมบ้านเมืองของตน แต่คติและข้อคิดอันเป็นหัวใจสำคัญของเรื่องยังคงได้รับการรักษาเอาไว้

นิทานอีสป
นิทานอีสป

นิทานกระต่ายกับเต่า สอนลูกผ่านนิทานอีสปสนุกๆ!!

นิทานอีสปเรื่องกระต่ายกับเต่า

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในป่าแห่งหนึ่ง มีกระต่ายตัวหนึ่ง ชอบโอ้อวดถึงความเร็วของตัวเอง ด้วยความทะนงว่าตัวเองวิ่งเร็วมาก จึงชอบดูถูกสัตว์ตัวอื่นในป่า ว่าไม่มีสัตว์ตัวไหนจะวิ่งเร็วไปกว่าตนเองได้

เช้าวันหนึ่งมีเต่าตัวหนึ่งคลานอย่างช้า ๆ มาตามวิสัยของมัน และอีกทางด้านหนึ่งเจ้ากระต่ายได้วิ่งผ่านมาทางนั้นอย่างบังเอิญด้วยความรวดเร็ว

” ฮิ ฮิ! นี่เจ้าเต่า นายชอบที่จะเดินต้วมเตี้ยม ๆ อยู่อย่างนี้เสมอ ๆ ทำไมนายถึงได้เดินได้ช้าอย่างนั้นเล่า? “

เต่าจึงพูดว่า ” ถึงแม้ว่าข้าจะเดินได้ช้า แต่ถ้าพูดถึงเรื่องของความอดทนแล้ว ข้าไม่เคยแพ้ใคร “

นายลองมาแข่งขันวิ่งไปที่บนยอดเขานั่นกับข้าดูเอาไหมล่ะ ? กระต่ายเมื่อได้ยินอย่างนั้น ก็หัวเราะลั่นอย่างดัง

” ฮ่ะ ฮ้า น่าสนใจมากเลยทีเดียว แต่รับรองได้ว่าไม่มีทางที่เจ้าจะเอาชนะข้าไปได้หรอก มันเปรียบเทียบกันไม่ได้..ว่างั้น “

กระต่ายเที่ยวไปเรียกพวกพ้องให้มาชุมนุมกันอย่างทันท่วงที และรวมทั้งให้เป็นกรรมการในการแข่งขันอีกด้วย

” ทุก ๆ คนมาดูเป็นสักขีพยานว่าใครจะเป็นผู้ชนะ ในการแข่งขันวิ่งเร็ว ระหว่างเต่าโง่กับตัวข้า ฮ่ะ ฮ่ะ “

” เตรียมพร้อม ! ไป “

พอสิ้นเสียงบอกสัญญาณเริ่มการแข่งขันโดยสุนัขจิ้งจอก ทั้งเต่าและกระต่ายก็เริ่มออกวิ่งไปพร้อม ๆ กัน

” ปิย้อง ปิย้อง “ กระต่ายกระโดออกวิ่งนำหน้าไปด้วยความเร็วสูง

เผลอแผลบเดียวมันก็วิ่งมาจนถึงที่ตรงจุดกึ่งกลางของทางระหว่างภูเขา มันจึงได้หยุดวิ่ง

” เจ้าเต่ามันมาถึงไหนแล้วล่ะ ? “

พูดแล้วมันก็หันไปดู และเห็นว่าเต่ายังคงคลานตามมาอย่างช้า ๆ มองเห็นไกล ๆ

พวกผู้ชมที่มาชุมนุมกันต่างก็หัวเราะและพูดว่า ” ท่านเต่า ท่านเต่า ท่านนี่ช่างเป็นผู้ที่เดินได้ช้ามาก อาจที่จะพูดได้ว่าเดินได้ช้าที่สุดในโลกเลยก็ได้ ฮ่ะ ฮ่ะ “

แม้ว่าจะได้ยินแบบนั้นเต่าก็ไม่สนใจอะไร ยังคงคลานต่อไปด้วยความเงียบสงบอย่างตั้งใจ เพื่อที่จะให้ไปถึงที่บนยอดเขา โดยไม่คิดที่จะหยุดพักผ่อน ข้างฝ่ายกระต่ายเมื่อรอเท่าไหร่ ๆ ก็ไม่เห็นมีทีท่าว่าเจ้าเต่าจะตามมาทันมันสักที…

มันจึงเริ่มนึกเบื่อกับการรอคอย ” เจ้าเต่ามันยังคงคลานอยู่อีกตั้งไกล นอนรอซักงีบหนึ่งคงได้.. ถึงยังไงมันก็ไม่มีทางที่ตามมาทันได้หรอก “ มันพูดแล้วก็ล้มตัวลงนอน และหลับไป

ในขณะที่กระต่ายกำลังหลับสนิท เต่าตั้งใจเดินมาอย่างไม่คิดที่จะหยุดพักผ่อนและคิดว่า

” ถึงแม้ว่าขาของข้าจะสั้น เดินได้ช้าก็จริง แต่เรื่องของความอดทนแล้ว ข้าไม่เคยยอมแพ้ใคร ข้าจะต้องทำดีที่สุดเท่าที่ข้าจะทำได้ “

เมื่อเต่าเดินมาจนถึงตรงจุดกึ่งกลางของภูเขา พลันมันก็ได้ยินเสียงหนึ่ง ซึ่งเหมือนกับเสียงกรน

” เสียงกรนที่ไหนนี่ อะฮ้า เจ้ากระต่ายนี่ มันมาแอบนอนหลับอยู่ที่นี่เอง “

ขณะที่กระต่ายกำลังนอนหลับอยู่อย่างสุขสบาย เต่าก็พยายามเดินต่อไป ทีละก้าว ทีละก้าว อย่างจริงจัง และอดทน หลังจากนั้นกระต่ายเริ่มรู้สึกตัว และสะดุ้งตื่นขึ้นมา

” เฮ้ นี่เจ้าเต่า มันคลานมาจนถึงที่ไหนแล้วนี่ ??

มันรีบกวาดสายตามองหา แต่ก็ช้าและสายไปเสียแล้ว เพราะเมื่อมันมองไปที่ตรงจุดเส้นชัยที่อยู่บนยอดเขาโน่น มันก็ได้เห็นว่าเจ้าเต่ากำลังแสดง ความยินดีที่ได้รับชัยชนะอยู่อย่างมีความสุข

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จก็อยู่ที่นั่น”

นิทานกระต่ายกับเต่า เรื่องเล่าผ่านตัวละครซึ่งเป็นสัตว์ อย่างกระต่ายกับเต่า สัญลักษณ์ของความเร็ว และความช้า เนื้อเรื่องดำเนินไปอย่างน่าสนใจ ให้ข้อคิดที่ดีแก่เด็ก ๆ ทีมกองบรรณาธิการ ABK หวังว่าจะเป็นที่ถูกใจทั้งคุณพ่อ คุณแม่ และคุณลูกนะคะ

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

5 นิทานพื้นบ้าน ซึมซับความเป็นไทย พร้อมคติสอนใจ!!

10 นิทานสอนใจ!! พร้อมข้อคิดดี ๆ อ่านให้ลูกฟังก่อนนอน

บ้านต้นไม้10ชั้น นิทานที่ใครๆ ก็หลงรัก

ชวนแม่โหลดฟรี นิทานพี่ข้าวสวย-น้องข้าวต้ม รับมือ โรคติดต่อ หลังเปิดเทอม

ขอบคุณข้อมูลจาก : http://www.oknation.net, https://www.dltv.ac.th, https://xn--72c9bva0i.meemodel.com

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

Amarin Baby & Kids

กัญชา

กุมารแพทย์ห่วง กัญชา ! กระทบสมองเด็กและวัยรุ่น

กุมารแพทย์ห่วง กัญชา ! กระทบสมองเด็กและวัยรุ่น

ในช่วงนี้ไม่มีเรื่องใดร้อนแรงไปกว่าการประกาศยกเว้น กัญชา จากการเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 สามารถนำกัญชามาใช้ได้อย่างเสรี หากนำไปใช้ในทางที่เป็นประโยชน์ เหมาะสม ก็เป็นเรื่องดีค่ะคุณพ่อคุณแม่ แต่หากตกมาถึงมือเด็ก ๆ ในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่ม ขนม หรืออาหาร หากรับในปริมาณมากไป จะส่งผลกระทบต่อสมองได้ ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่ง

ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์ห่วงเสรี กัญชา ส่งผลกระทบต่อเด็ก

หลังจากการประกาศเสรีกัญชา ทางราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย ได้ออกแถลงการณ์จุดยืนของราชวิทยาลัย เรื่อง ‘ผลกระทบของกฎหมายกัญชาเสรีต่อสุขภาพเด็กและวัยรุ่น’ แสดงความกังวลจากประกาศกระทรวงสาธารณสุข ที่ประกาศยกเว้น ‘กัญชา’ จากการเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 ซึ่งจะส่งผลให้ประชาชนทุกคนในประเทศไทย รวมถึงกลุ่มเปราะบางคือเด็กและวัยรุ่น เข้าถึงกัญชาและผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกัญชาได้โดยไม่ผิดกฎหมาย จากการบริโภคอาหารและเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของกัญชา รวมถึงการนำกัญชาซึ่งเป็นสารที่มีฤทธิ์เสพติดมาใช้เพื่อนันทนาการ

พบผู้ป่วยจิตเวชจากกัญชาเข้าบำบัดมากที่สุด

นพ.ล่ำซำ ลักขณาภิชนชัช รองผู้อำนวยการด้านวิชาการและการแพทย์ สถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนี (สบยช.) ให้ข้อมูลไว้ว่า จากการสำรวจล่าสุดพบว่า

ผู้ป่วยที่เข้ามารับการบำบัดจากกัญชาพบมากที่สุด และมีอาการทางจิตรุนแรง เพราะผู้ที่สูบกัญชากว่าจะแสดงอาการรุนแรงใช้ระยะเวลานานกว่ายาบ้าหรือไอซ์ จึงเข้าสู่กระบวนการบำบัดช้ากว่าที่ควรจะเป็น จะเป็นอาการหลอน หูแว่ว หลงผิด หวาดระแวง และทำร้ายผู้อื่น ปี 2563 มีผู้ป่วยจิตเวชจากกัญชา 18% ปี 2564 ข้อมูล ณ ปัจจุบันเพิ่มเป็น 28% และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น…

นอกจากนี้นายแพทย์ล่ำซำยังกล่าวอีกว่า

“…กรณีผู้ป่วยต้องการใช้กัญชารักษาโรคต้องปรึกษาแพทย์ การนำมาประกอบอาหารโดยใช้ใบ แม้มีสารมึนเมาต่ำ แต่ปัญหาที่น่ากลัวส่งผลแง่ลบ โดยเฉพาะเยาวชนอาจทดลองใช้เป็นสารเสพติด อีกข้อห่วงใย ใช้กัญชาเพื่อความมึนเมาแล้วไปขับรถ ในต่างประเทศมีสถิติอุบัติเหตุจราจรจากเมากัญชาสูง ไทยยังไม่มีการรวบรวมข้อมูลชัดเจน มีข้อแนะนำว่า ถ้าเสพกัญชาขอเวลา 6 ชั่วโมง ให้สร่างเมาแล้วค่อยขับ ยิ่งถ้าดื่มแอลกอฮอล์แล้วสูบกัญชา ยิ่งห้ามดื่ม…”

กัญชา
กัญชา ! กระทบสมองเด็กและวัยรุ่น

นำกัญชามาเป็นส่วนผสมในอาหารมากขึ้น

รศ.พญ.รัศมน กัลยาศิริ ผู้จัดการศูนย์ศึกษาปัญหาการเสพติด (ศศก.) กล่าวว่า ขณะนี้กระแสการกินกัญชาและนำมาเป็นส่วนผสมในอาหารใช้บริโภคมีมากขึ้นต่อเนื่อง ดังนั้น อยากทำความเข้าใจว่า การนำกัญชามาเป็นส่วนผสมปรุงในอาหารจะออกฤทธิ์ช้ากว่าการสูบ เนื่องจากปริมาณที่อนุญาตให้มีส่วนสารมึนเมาน้อย กว่าจะออกฤทธิ์ใช้เวลานาน ทำให้ผู้ที่บริโภคในครั้งแรกบางครั้งไม่ได้รู้สึกถึงความเคลิบเคลิ้ม หรือความสุขอย่างที่คิด จึงบริโภคซ้ำไปอีกต่อเนื่อง เมื่อสะสมเรื่อยๆ จะกลายเป็นกินในปริมาณมากเกินไป

ดังนั้น ก่อนที่จะกินอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของกัญชา ควรต้องรู้ว่า

  • ร้านดังกล่าวได้รับอนุญาตถูกต้องหรือไม่
  • นำกัญชามาจากที่ใด เพราะแต่ละสายพันธุ์มีสารเมาไม่เท่ากัน
  • กระบวนการปรุงอาหารแต่ละอย่างอาจทำให้สารเมาออกมาไม่เท่ากัน

ใน กัญชา มีสารอะไร

ในพืชกัญชามีสารแคนนาบินอยด์ (Cannabinoid) หลายชนิด แบ่งเป็น
  • สารออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท(psychoactive) ที่สำคัญ ได้แก่ THC (delta-9-/delta-8 tetrahydrocannabinol ซึ่งนำมาใช้ในทางการแพทย์เช่นกัน เช่น ในการรักษาประคับประคองของมะเร็งระยะสุดท้าย
  • สารไม่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท (Non-Psychoactive) ที่สำคัญ ได้แก่ แคนนาบินอยด์ (Cannabidiol-CBD) ซึ่งในทางการแพทย์มีการนำมาใช้รักษาโรคลมชักชนิดดื้อยากันชัก

ผลที่จะเกิดหากเด็กได้รับสารจากกัญชา

หากมีการนำกัญชา หรือสารสกัดกัญชามาใช้เป็นส่วนผสมของอาหาร หรือการแปรรูปต่าง ๆ หรือให้มีการใช้กัญชาได้อย่างเสรีโดยไม่มีกฎหมายควบคุม ประชาชนก็จะมีโอกาสได้รับสารแคนนาบินอยด์เหล่านั้นเข้าไป จนอาจจะมีผลกระทบที่รุนแรง โดยเฉพาะผลกระทบต่อสมองของเด็กและวัยรุ่น ส่งผลเสียต่อสุขภาพกายทั้งในระยะสั้นและระยะยาวเช่น
  • ถ้ากินอาหารที่ผสมกัญชาแล้วมีอาการเคลิ้มสูง นอนไม่หลับ พูดเยอะกว่าปกติ คือเมาน้อย แสดงว่าได้รับผลทางจิตประสาทจากสารเมา
  • นอกจากนี้ เด็กยังได้รับผลกระทบจากกัญชาจากการรักษาทางการแพทย์ อาการส่วนใหญ่จะเนือยนิ่ง อ่อนแรง เดินเซ ใจสั่น ม่านตาขยาย
  • พัฒนาการล่าช้า
  • ปัญหาพฤติกรรม
  • เชาวน์ปัญญาลดลง
  • ส่งผลต่ออารมณ์และจิตใจ เช่น มีความเสี่ยงต่อการป่วยเป็นโรคจิตเภท ภาวะฆ่าตัวตาย เสี่ยงต่อการติดสารเสพติดชนิดอื่นๆ

คำแนะนำเพื่อป้องกันผลที่จะเกิดกับเด็ก

ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย สมาคมกุมารประสาทวิทยา (ประเทศไทย) ชมรมจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นแห่งประเทศไทย และ ชมรมพัฒนาการและพฤติกรรมเด็กแห่งประเทศไทย ได้ร่วมมือกัน และได้มีคำแนะนำ เพื่อป้องกันผลกระทบที่เกิดจากกัญชาต่อเด็กและวัยรุ่น ดังนี้ค่ะ
1. เด็กที่อายุน้อยกว่า 20 ปีไม่ควรเข้าถึงและบริโภคกัญชา เนื่องจากสมองยังพัฒนาไม่เต็มที่ และกัญชามีสาร THC ที่มีผลต่อสมองเด็กในระยะยาว ดังนั้นเด็กจึงไม่ควรได้รับ THC ยกเว้นกรณีมีความจำเป็นทางการแพทย์เช่น ประกอบการรักษาประคับประคองผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย โรคลมชักรักษายาก ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลรักษาของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิด
2. ให้มีการประชาสัมพันธ์กับประชาชนเรื่องโทษของการใช้กัญชากับสมองเด็ก เพื่อให้เกิดความตระหนักต่อการเข้าถึงกัญชาในเด็กและวัยรุ่นเพื่อนันทนาการว่า กัญชาเป็นสารที่มีฤทธิ์เสพติด ส่งผลต่อสุขภาพกายและจิตในระยะเฉียบพลัน และอาจรุนแรงถึงกับชีวิตได้ รวมถึงมีผลกระทบในระยะยาวต่อสมอง ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างและการทำงานของสมองที่กำลังพัฒนา
3. ให้มีมาตรการควบคุม การผลิต และขายอาหารหรือผลิตภัณฑ์ที่มีกัญชาผสม และให้มีเครื่องหมาย/ข้อความเตือนอย่างชัดเจนเพื่อป้องกันการใช้ในเด็กและวัยรุ่น โดยระบุ ‘ห้ามเด็กและเยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปีบริโภค’
4. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรควบคุมการโฆษณาผลิตภัณฑ์ ควบคุมไม่ให้มีการจงใจออกแบบผลิตภัณฑ์ที่มีกัญชาเป็นส่วนผสม เช่น ภาพการ์ตูน หรือใช้คำพูดสื่อไปในทางให้เกิดความเข้าใจผิดว่าเป็นอาหารหรือขนมที่เด็กและวัยรุ่นบริโภคได้
5. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ติดตามผลกระทบของกัญชาต่อเด็กอย่างต่อเนื่อง และจริงจังหลังจากใช้กฎหมายกัญชาเสรี

ขอบคุณข้อมูลจาก

The Momentum, ไทยโพสต์

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

ไขข้อข้องใจ!! คนท้องกินน้ำกระท่อมได้ไหม ?

พ่อแม่ระวังให้ลูกกิน ชานมไข่มุก อันตรายกว่าที่คิด

เลี้ยงลูกให้สุขภาพดี อย่ามีขนมห่อในบ้าน (เยอะนัก) โดยพ่อเอก

ชานมไข่มุก

พ่อแม่ระวังให้ลูกกิน ชานมไข่มุก อันตรายกว่าที่คิด

พ่อแม่ระวังให้ลูกกิน ชานมไข่มุก อันตรายกว่าที่คิด

ปัจจุบันไม่ว่าจะออกไปเที่ยวที่ไหนก็ตาม ทั้งห้างสรรพสินค้า ตลาดนัด ต่างจังหวัด คุณพ่อคุณแม่ก็จะพบกับร้าน ชานมไข่มุก มากมายหลายยี่ห้อให้เลือกดื่ม อาจเพราะมีลูกเล่นให้เลือกทั้งใส่ใข่มุกรูปแบบต่าง ๆ เพิ่มท็อปปิ้งได้ หวานถูกใจช่วยให้รู้สึกสดชื่น แต่การดื่มชานมไข่มุกนั้น หากลูกติดไปแล้วอาจมีภัยต่อสุขภาพของลูกได้ หลายประการเลยค่ะ มีอะไรบ้าง ทางทีมบรรณาธิการ ABK นำข้อมูลนี้มาฝากค่ะ

ดื่ม ชานมไข่มุก เกินปริมาณเป็นอันตราย

การดื่มชานมไข่มุก มากเกินปริมาณที่แนะนำต่อวันอย่างต่อเนื่อง ส่งผลเสียต่อสุขภาพของทุก ๆ วัย และวัยที่น่าห่วงกังวลที่สุด คือ วัยเด็ก ดังนี้

  • การบริโภคชานมไข่มุก ส่งผลให้เรื่องน้ำหนักเกิน
  • เด็กอาจมีพฤติกรรมติดหวาน
  • รสหวานนำไปสู่โรคอื่น ๆ เช่น เบาหวาน โรคอ้วน
  • ในชานมไข่มุกอาจมีส่วนผสมแฝง เช่น โลหะหนัก
  • ในชานมไข่มุกอาจมีสารกันบูด เป็นภัยต่อสุขภาพและอาจสร้างปัญหาขาดสารอาหารได้
  • ในชานมมีคาเฟอีน ซึ่งไม่เหมาะสำหรับเด็ก
ชานมไข่มุก
พ่อแม่ระวังให้ลูกกิน ชานมไข่มุก อันตรายกว่าที่คิด

เจอ สารกันบูด น้ำตาล และโลหะหนัก ในชานมไข่มุกจำนวนมาก

ข้อมูลจากศูนย์ทดสอบฉลาดซื้อ มูลนิธิเพื่อบริโภค เผยผลตรวจวิเคราะห์สารกันบูด น้ำตาล และโลหะหนักในชานมไข่มุก 25 ยี่ห้อ พบว่า

  • ตัวอย่างเม็ดไข่มุกมีสารกันบูด 100% แต่ไม่เกินค่ามาตรฐาน
  • ส่วนใหญ่มีปริมาณน้ำตาลมากกว่าที่องค์การอนามัยโลกแนะนำต่อวัน บางยี่ห้อมีน้ำตาลสูงถึง 18 ช้อนชา

เด็กไทยบริโภคน้ำตาลมากเกินต้องการ

จากการสำรวจของกรมอนามัย และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) พบว่า เด็กไทยบริโภคน้ำตาลมากถึงวันละ 20 ช้อนชา เกินกว่าปริมาณที่องค์การอนามัยโลกแนะนำถึง 3 เท่า

สถิติเด็กป่วยเบาหวานและโรคอ้วน

สถิติผู้ป่วยโรคเบาหวานและโรคอ้วนพุ่งสูงขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มเด็กที่ชอบเครื่องดื่มรสหวาน ทำให้เด็กไทยจำนวนมากในยุคนี้มีภาวะน้ำหนักเกิน รวมถึงกลายเป็นเด็กอ้วนเพิ่มขึ้น และพบว่าเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ป่วยเป็นโรคเบาหวานเพิ่มมากขึ้น

น้ำตาลส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างไร

การได้รับปริมาณน้ำตาลเกินต่อวันเป็นประจำ ส่งผลให้

  • เด็กติดหวาน
  • เสี่ยงต่อภาวะดื้อต่ออินซูลิน
  • ระบบเผาผลาญมีปัญหาตั้งแต่อายุยังน้อย
  • มีโอกาสเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน โรคอ้วน โรคไขมันในเลือดผิดปกติ รวมถึงโรคหลอดเลือดหัวใจ เป็นภัยเงียบที่อาจจะรู้ตัวเมื่อสายเกินไป
  • น้ำตาลในอาหารและเครื่องดื่มรสหวาน อาจส่งผลให้เกิดปัญหาฟันผุและสุขภาพช่องปาก
  • ทำให้เด็กอ้วนแต่ขาดสารอาหารอื่นที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโต
  • น้ำตาลที่อยู่ในชานมไข่มุกรสหวานจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งขึ้นสูงเร็ว แต่หลังจากนั้นน้ำตาลในเลือดก็จะลดลงอย่างรวดเร็วด้วย ทำให้เด็กรู้สึกโหยหาขนมหวานหรือเครื่องดื่มรสหวาน เพื่อเติมน้ำตาลในเลือดให้สูงอยู่ในระดับเดิมอยู่เรื่อย ๆ

ผู้ปกครองควรดูแลและควบคุมการรับประทานอาหารหวาน มีน้ำตาลสูงตั้งแต่เด็ก จะดีกว่าการแก้ไขตอนโตแล้ว เพราะแก้ไขยาก

เราควรได้รับพลังงานจากน้ำตาลมากแค่ไหน

องค์การอนามัยโลกแนะนำว่า

  • ไม่ควรได้รับพลังงานจากน้ำตาลเกินร้อยละ 10 ของพลังงานที่แนะนำต่อวัน
  • การได้รับน้ำตาลน้อยกว่าร้อยละ 5 ของพลังงานที่แนะนำต่อวัน จะส่งผลดีต่อสุขภาพยิ่งขึ้น
  • เพื่อให้เข้าใจได้ง่าย ๆ จึงแนะนำว่า คนทั่วไปควรได้รับน้ำตาลไม่เกินวันละ 6 ช้อนชา (คำนวณจากความต้องการพลังงานวันละ 2000 กิโลแคลอรี)
  • หากเป็นไปได้ การไม่เติมน้ำตาลเพิ่มลงไปในอาหารเลย หรือลดปริมาณน้ำตาลต่อวันให้น้อยที่สุดจะดีต่อสุขภาพ
  • ไม่แนะนำการเติมน้ำตาลหรือสารให้ความหวานแทนน้ำตาลในอาหารสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี

ชานมมีคาเฟอีนทำลายสุขภาพลูก

ในชาไข่มุกยังมีสารคาเฟอีนจากชา ซึ่งส่งผล ต่อสมาธิการเรียนรู้และอารมณ์ของเด็กดังนี้

  • ทำให้เด็กตื่นตัว นอนไม่หลับในเวลากลางคืน
  • ส่งผลต่อสมาธิการเรียนรู้ในตอนกลางวันที่ต้องจดจ่อกับการเรียน
  • เด็กอาจติดคาเฟอีนได้หากดื่มชาในปริมาณมากเป็นประจำ
  • เมื่อหยุดดื่มจะทำให้เกิดภาวะขาดคาเฟอีน เกิดผลข้างเคียง เช่น ปวดศีรษะ มีปัญหาเรื่องอารมณ์ เช่น หงุดหงิดฉุนเฉียว หรือมีอาการซึมเศร้า ไม่สามารถจดจ่อมีสมาธิได้
  • คาเฟอีนยังเพิ่มการขับแคลเซียมออกมาทางปัสสาวะมากขึ้น หากไม่ได้รับแคลเซียมจากอาหารอื่น ๆ อย่างเพียงพอ จะส่งผลต่อการสร้างกระดูกของเด็กได้
  • หากยังติดเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนไปจนกระทั่งโตเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ก็จะทำให้กระดูกพรุนเร็วขึ้น
  • คาเฟอีนและแทนนินที่พบในชา ยังส่งผลทำให้เด็กเกิดอาการท้องผูกได้ด้วย โดยเฉพาะหากได้รับใยอาหารจากผักผลไม้น้อย และดื่มน้ำไม่เพียงพอ

หากลูกอยากกิน ชานมไข่มุก พ่อแม่ควรทำอย่างไร

เพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพ ผู้ปกครองควรทำดังนี้

  1. กำกับปริมาณการรับประทานชานมไข่มุกของเด็ก เช่น การจำกัดปริมาณให้ดื่มน้อยลง
  2. หรือปรับเปลี่ยนวัตถุดิบ โดยอาจเปลี่ยนจากชา เป็นน้ำผลไม้รสไม่หวานแทน
  3. เลือกสั่งเครื่องดื่มแบบหวานน้อย
  4. ใช้นมไขมันต่ำ หรือพร่องมันเนย
  5. เลือกไข่มุกที่ทำจากแป้งบุกแทนแป้งสาคู
  6. ใช้หญ้าหวานแทนน้ำตาล

คุณพ่อคุณแม่ต้องเป็นตัวอย่างเรื่องการบริโภคให้ลูกเห็น เช่น เลือกเรื่องดื่มที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น เพื่อให้ลูกอยากเลียนแบบ ซึ่งไม่ใช่แค่กับชานมไข่มุก แต่รวมถึงอาหารที่เสี่ยงต่อสุขภาพอื่น ๆ ด้วย

ขอบคุณข้อมูลจาก

สภากาชาดไทย

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

อาหารและเครื่องดื่ม ที่มีประโยชน์ สำหรับเด็กวัย 4-12 ปี

เครื่องดื่ม-ขนมผสมคาเฟอีน ส่งผลให้ ลูกเป็นโรคสมาธิสั้น

เตือนพ่อแม่! ห้าม ป้อนยาลูก พร้อม 3 เครื่องดื่มนี้เด็ดขาด!

ลมชักในเด็ก

ลูกกล้ามเนื้อกระตุกไม่มีเหตุผล ระวังเป็น ลมชักในเด็ก

ลูกกล้ามเนื้อกระตุกไม่มีเหตุผล ระวังเป็น ลมชักในเด็ก

สิ่งหนึ่งที่คุณพ่อคุณแม่ทุกคนไม่อยากให้ลูกต้องเผชิญ ก็คือโรคร้ายแรงต่าง ๆ โดยเฉพาะยิ่งเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับสมองด้วยแล้วยิ่งแล้วใหญ่ โรคเกี่ยวกับสมองในเด็กที่พบบ่อยได้แก่ ลมชักในเด็ก หากคุณพ่อคุณแม่สังเกตุเห็นอาการกล้ามเนื้อของลูกกระตุกแบบไม่มีเหตุผล เหม่อลอย ฯลฯ ก็ให้สงสัยได้เลยว่าอาจเป็นโรคนี้ โดยโรคนี้จะส่งผลให้ลูกมีพัฒนาการล่าช้า ทั้งด้านการเข้าสังคม และการเรียนคุณพ่อแม่จึงต้องทำความเข้าใจ และเตรียมรับมือกับโรคนี้ค่ะ

โรค ลมชักในเด็ก

พญ.สุชาวดี หอสุวรรณ กุมารแพทย์ ศูนย์กุมารเวช โรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวว่า โรคลมชักเกิดจากคลื่นไฟฟ้าในสมองผิดปกติ มีทั้งลมชักแบบที่ชักเกร็งทั้งตัว และลมชักแบบที่เหม่อลอย นับเป็นโรคที่ส่งผลทั้งต่อพัฒนาการ การเลี้ยงดู การเข้าสังคม รวมทั้งการเรียน

สถิติผู้ป่วยเด็กของโรคนี้

โรคลมชักพบได้ในทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะในเด็ก ซึ่งทั่วโลกมีเด็กที่เป็นโรคลมชักกว่า 3.5 ล้านคนต่อปี ผู้ป่วยร้อยละ 40 มีอายุน้อยกว่า 18 ปี เมื่อคิดตามสัดส่วนประชากร จะพบว่า การเกิดโรคลมชักในเด็กจะอยู่ระหว่าง 3.5 – 7.2 ต่อประชากร 1,000 คน

สาเหตุของ ลมชักในเด็ก

พญ.สุชาวดี กล่าวถึงสาเหตุของโรคลมชัก ว่าเกิดได้จากภาวะต่าง ๆ ได้แก่

  1. ความผิดปกติทางพันธุกรรม
  2. ความผิดปกติในโครงสร้างของสมอง การสร้างเนื้อสมองที่มีความผิดปกติ รวมถึงเส้นเลือด เช่น AVMs และเนื้องอกในสมอง
  3. ความผิดปกติหรือภาวะแทรกซ้อนก่อนคลอด ระหว่างคลอด รวมทั้งหลังคลอด เช่น การขาดออกซิเจนระหว่างคลอด
  4. การติดเชื้อในสมอง
  5. โรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง (Autoimmune disease) 
  6. ไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งพบได้ประมาณเกือบครึ่งนึงของผู้ป่วยทั้งหมด
ลมชักในเด็ก
ลูกกล้ามเนื้อกระตุกไม่มีเหตุผล ระวังเป็น ลมชักในเด็ก

อาการลมชัก

อาการลมชักที่เกิดขึ้น มีหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับกระแสประสาทในสมองที่ผิดปกติ เกิดที่ส่วนใดของสมอง ผู้ป่วยอาจจะมาด้วยอาการ

  • สับสน
  • เหม่อ
  • กล้ามเนื้อกระตุก
  • หมดสติ 
  • พฤติกรรมแปลก ๆ เช่น หัวเราะโดยไม่มีเหตุผล กลัวโดยอธิบายไม่ได้ ซึ่งมีความจำเป็นที่จะต้องได้รับการรักษาโดยแพทย์ที่มีความชำนาญ รวมทั้งการส่งตรวจเพิ่มเติมอย่างเหมาะสม

อาการชักในเด็กมีกี่ลักษณะ

สำหรับอาการชักในเด็กนี้ ผศ.พญ.อัจฉราพร เมฆศิขริน กุมารแพทย์ระบบประสาทวิทยา ศูนย์เด็กและวัยรุ่น โรงพยาบาลนนทเวช อธิบายว่า แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะใหญ่ๆ คือ

1.อาการชักแบบเฉพาะที่ ลักษณะอาการชักจะขึ้นอยู่กับจุดกำเนิดชักว่าอยู่ส่วนใดของสมอง เช่น ถ้าอยู่ในตำแหน่งที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ อาการชักมักจะมาด้วยอาการเกร็ง หรือกระตุก หรืออ่อนแรง หากจุดกำเนิดอยู่ที่ตำแหน่งการควบคุมความรู้สึก อาจมาด้วยอาการชา หรืออาการรับรู้มากกว่าปกติ เช่น ปวดเจ็บ หรือรู้สึกมีอะไรมาไต่ หากจุดกำเนิดอยู่ที่ตำแหน่งควบคุมการมองเห็น ก็อาจมาด้วยอาการมองเห็นที่ผิดปกติ เช่น มองเห็นแสง หรือมองไม่เห็น เป็นต้น

2.อาการชักแบบทั้งตัว เช่น เกร็ง กระตุกทั้งตัว หรือที่เราคุ้นเคยเรียกว่าลมบ้าหมู หรืออาการชักแบบเหม่อ เรียกไม่รู้ตัว เป็นต้น

อันตรายจากการชัก

โดยทั่วไปของโรคลมชัก หากปล่อยให้ชักและไม่รักษา ส่วนใหญ่จะมีผลต่อพัฒนาการของผู้ป่วยในระยะยาว หรือถ้าลักษณะชักเป็นแบบเกร็งกระตุกทั้งตัว หากไม่ได้รับการรักษาที่ทันท่วงทีอาจอันตรายถึงชีวิตได้ เพราะการชักแบบเกร็งกระตุกทั้งตัว จะส่งผลให้สมองขาดออกซิเจนได้ ทำให้การควบคุมอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกายล้มเหลว เช่น การทำงานของระบบทางเดินหายใจและหัวใจ เป็นต้น

การตรวจวินิจฉัย

การตรวจวินิจฉัยโรคลมชักขึ้นอยู่กับอาการเป็นหลัก โดยแพทย์จะทำการซักประวัติอย่างละเอียดและใช้เครื่องมือที่ทันสมัยเพื่อช่วยตรวจหาความผิดปกติ เช่น

  • การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง (EEGมีห้องที่สามารถ Monitor คลื่นไฟฟ้าสมองเพื่อตรวจหาจุดกำเนิดของคลื่นไฟฟ้าที่ก่อให้เกิดอาการชักพร้อมวิดีทัศน์ (24 – Hour Video EEG Monitoring)
  • การตรวจทางรังสี ได้แก่ 
    • เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan)
    • การตรวจโดยใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI)
    • การตรวจหาจุดกำเนิดของคลื่นไฟฟ้าที่ก่อให้เกิดอาการชักทางรังสีด้วยวิธีต่าง ๆ ได้แก่ PET CT, SPECT, Interictal SPECT, Ictal SPECT 
  • การตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น การตรวจเลือดการตรวจสารพันธุกรรมที่อาจเป็นสาเหตุของโรคลมชัก ฯลฯ

ดูแลรักษาลมชัก

การรักษาหลักของโรคลมชักมี 2 แบบคือ

  1. การรักษาโดยใช้ยากันชัก
  2. การรักษาโดยวิธีอื่น เช่น กินอาหารคีโต โดยแพทย์เฉพาะทางด้านโภชนาการเป็นผู้จัดให้สำหรับผู้ป่วยเด็ก หรือการผ่าตัด ไม่ว่าจะเป็นการฝังเครื่องกระตุ้นเส้นประสาทเวกัส (Vagus Nerve Stimulation: VNS) เพื่อรักษาโรคลมชัก หรือการผ่าตัดสมอง รวมถึงการรักษาโรคร่วมที่พบอย่างอื่นด้วย เช่น การกระตุ้นพัฒนาการในเด็กที่มีพัฒนาการล่าช้า เป็นต้น

5 วิธีปฏิบัติตัวเมื่อเด็กมีอาการชัก

5 วิธีนี้ ผศ.พญ.อัจฉราพร แนะนำให้ปฏิบัติ โดยเฉพาะอาการชักเกร็งกระตุกไม่รู้สึกตัว

  1. พ่อแม่ ผู้ปกครอง ต้องตั้งสติ
  2. พยายามจัดสถานที่ให้เด็กอยู่ในที่ปลอดภัย
  3. คลายเสื้อผ้าที่รัดแน่ให้หลวมผ่อนคลาย อย่ายืนมุง
  4. ให้เด็กนอนตะแคงหน้า หรือตะแคงตัวและหน้า เพื่อเปิดทางเดินหายใจ และป้องกันการสำลัก
  5. ห้ามนำวัตถุใดๆ ใส่เข้าไปในปากเด็ก เพราะอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บในช่องปากได้

ขอบคุณข้อมูลจาก

โรงพยาบาลกรุงเทพ,โรงพยาบาลนนทเวช

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

รวม 20 อาการต้องสงสัย ลูกไม่สบาย แบบนี้..! กำลังป่วยเป็นโรคอะไร?

หมอเตือน!! ส่าไข้ ระบาดหนักในเด็กเล็ก ระวังชักจากไข้สูง

ระวังลูกน้อยให้ดี โรคไข้หวัดใหญ่ระบาด พบ 5 จังหวัดนี้ป่วยสูงสุด

“โฮมสคูล” มาหาคำตอบครบทุกเรื่องที่พ่อแม่ควรรู้ก่อนตัดสินใจ

โฮมสคูล คือ อะไร กับการกลับมาเป็นที่สนใจหลังโควิด19 เมื่อพ่อแม่ไม่อยากให้ลูกเสี่ยงติดเชื้อ แต่โฮมสคูลเป็นแค่นั้นจริงหรือ มารู้ให้ครบจบละเอียดได้ที่นี่เลย

โฮมสคูล คือ ยังไงมามุงจบครบทุกเรื่องที่ควรรู้ในคลิกเดียว

เป็นคำที่คุ้นหูกันไม่น้อยเลยทีเดียวกับ โฮมสคูลหรือ ที่หลายคนเข้าใจว่า คือ การเรียนที่บ้าน ไม่ต้องไปโรงเรียน แต่ใจความสำคัญของการเรียนรู้แบบโฮมสคูลนั้น ไม่ได้เป็นเพียงแค่การเรียนที่บ้านอย่างเดียวเท่านั้น ดังนั้นใครคิดจะให้ลูกเปลี่ยนมาเรียนแบบโฮมสคูลเพียงเพราะแค่ไม่อยากให้ลูกออกจากบ้าน ไปรับเชื้อเสี่ยงโรคเท่านั้น คงต้องกลับมาคิดกันใหม่ ลองศึกษาดูว่าโฮมสคูลที่แท้จริงเป็นเช่นไร และยังคงตรงกับความต้องการของครอบครัวเราหรือไม่

นิยามคำว่า “โฮมสคูล” กันหน่อย

Homeschool หรือที่เราเรียกกันในภาษาไทยว่า “บ้านเรียน” คืออีกหนึ่งระบบการศึกษา ที่เด็ก ๆ จะเรียนอยู่ที่บ้าน โดยส่วนใหญ่จะมีคุณพ่อคุณแม่เป็นผู้จัดการเรียนการสอน และออกแบบรูปแบบการศึกษาโดยเน้นที่ความสนใจของตัวเด็กเป็นสำคัญ

โฮมสคูล คือ การเรียนที่บ้านแค่นั้นจริงหรือ
โฮมสคูล คือ การเรียนที่บ้านแค่นั้นจริงหรือ

คุณ ณฐพงษ์ เลิศศรี หนึ่งในผู้ปกครองโฮมสคูลได้พูดถึงโฮมสคูลไว้ว่า…

“โฮมสคูลหรือ บ้านเรียน ไม่ใช่การเรียนอยู่แต่ในบ้าน พ่อแม่ไม่ได้เป็นครู มายืนสอนลูก (แต่จะสอนเองในวิชาที่ถนัดก็ทำได้) ​แต่พ่อแม่จะเรียนรู้ ค้นหาบางอย่างไปพร้อม ๆ กับลูก พ่อแม่เป็นผู้อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้  พ่อแม่ไม่ต้องมีความรู้ในเรื่องนั้น ๆ ก็ได้ แต่ต้องสามารถแนะนำ ส่งเสริม จัดหาให้ลูกได้”

ดังนั้น คีย์เวิร์ดสำคัญของ โฮมสคูล คือ การศึกษาทางเลือกที่ทำการจัดการศึกษาโดยครอบครัว ทำขึ้นเพื่อเน้นที่ความสนใจของตัวเด็กเป็นสำคัญ โดยมีแนวความคิดว่า เด็กแต่ละคนมีความสนใจ และความต้องการเรียนรู้แตกต่างกันไป สำรับการเรียนแบบปกติที่สอนในรูปแบบเดียวกันหมด จึงไม่ตอบโจทย์สำหรับบางครอบครัว มิใช่เพียงแค่การเรียนที่บ้านเท่านั้น

รูปแบบการทำโฮมสคูลในประเทศไทย

ระบบการจัดการเรียนการสอนแบบโฮมสคูลได้รับรองให้เป็นการศึกษาทางเลือกที่ถูกกฎหมายตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 อย่างไรก็ตามจะเห็นได้ว่า เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ โฮมสคูลในประเทศไทยก็ยังไม่ได้รับความนิยมมากนัก แต่นักวิชาการโฮมสคูลได้บอกว่า จำนวนเด็กนักเรียนโฮมสคูลในประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นในทุก ๆ ปี

รูปแบบการทำโฮมสคูล นั้นสามารถทำได้ในหลากหลายรูปแบบ แล้วแต่บริบทของแต่ละครอบครัว ตัวอย่างเช่น

  • การจัดการศึกษาแบบครอบครัวเดี่ยว ซึ่งพ่อแม่จะเป็นผู้ประเมินผลการเรียนของลูก ร่วมกับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
  • การจัดการศึกษาแบบกลุ่ม ซึ่งจะเป็นการรวมกลุ่มของครอบครัวที่จัดการศึกษาแบบโฮมสคูล โดยจะมีการจัดการศึกษาแยกจากกันอย่างอิสระของแต่ละบ้าน และมีการนัดรวมกลุ่มกันเพื่อทำกิจกรรมร่วมกันในบางโอกาส
  • การจัดการศึกษาแบบรวมศูนย์ คือการรวมตัวกันของครอบครัวโฮมสคูล จัดตั้งเป็นศูนย์การเรียนครอบครัวเดี่ยว หรือศูนย์การเรียนกลุ่มครอบครัว โดยที่มีคณะครอบครัวทำหน้าที่เป็นคณะกรรมการดูแลบริหารจัดการ “ในรูปแบบไม่แสวงหาผลกำไร”
  • การจัดการศึกษาโดยมีข้อตกลงร่วมกับทางโรงเรียน โดยที่การจัดหลักสูตรการสอน จะเป็นหน้าที่ของผู้ปกครอง ในส่วนของการประเมินผลนั้น ผู้ปกครองจะร่วมประเมินกับทางโรงเรียน ทางโรงเรียนจะมีการออกใบรับรอง สนับสนุนสื่อการเรียน การใช้สถานที่ในการทำกิจกรรม หรือให้เด็กโฮมสคูลเข้าร่วมกิจกรรมกับนักเรียนในโรงเรียนในบางกิจกรรม เช่น ทัศนศึกษา เป็นต้น
  • การเรียนออนไลน์ โดยใช้หลักสูตรโฮมสคูลของต่างประเทศ

    โฮมสคูล คือ การจัดการเรียนการสอนที่เน้นเด็กเป็นศูนย์กลาง
    โฮมสคูล คือ การจัดการเรียนการสอนที่เน้นเด็กเป็นศูนย์กลาง

โดยครอบครัวไหนที่ต้องการทำโฮมสคูลให้ลูกในกรณีที่เราต้องการได้รับวุฒิการศึกษา เพื่อนำไปสอบเข้าโรงเรียน หรือมหาวิทยาลัยในระบบได้นั้น ก็มีหลายวิธีด้วยกัน ได้แก่

  1. การจดลงทะเบียนกับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาที่ครอบครัวเราอาศัยอยู่
  2. การศึกษานอกโรงเรียน (กศน.)
  3. จดทะเบียนกับโรงเรียนที่เปิดรับเด็กโฮมสคูล
  4. ลงเรียน หรือ สอบเทียบหลักสูตรของต่างประเทศ เช่น GED หรือ IGCSE

ในกรณีที่คุณพ่อคุณแม่อยากให้ลูกกลับเข้าเรียนโรงเรียนในระบบ สามารถขอใบรับรองวุฒิการศึกษาจาก สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ที่ได้ลงทะเบียนไว้ได้ หรือแม้แต่ต้องการปรึกษาเกี่ยวกับการทำโฮมสคูลก็ได้เช่นกัน

การจดทะเบียนกับสำนักเขตพื้นที่การศึกษา

1. สำหรับระดับปฐมวัย (อนุบาล)

สามารถจดทะเบียนเพื่อจัดการศึกษาบ้านได้เมื่อเด็กมีอายุ 3 ขวบ ซึ่งในระดับอนุบาลคุณพ่อคุณแม่ที่ต้องการจะจดทะเบียนไปยื่นคำอนุญาตจดทะเบียนในเขตพื้นที่การศึกษาได้เลย การจดทะเบียนระดับอนุบาลนั้นไม่ใช่การศึกษาภาคบังคับ จะจดหรือไม่ก็ได้ หรือรอลูกอายุครบ 7 ปี (ระดับประถม 1) ก็สามารถเริ่มจดทะเบียนตามเกณฑ์การศึกษาภาคบังคับตอน 7 ปีได้เลย

2. ระดับประถมศึกษา

ครอบครัวสามารถยื่นขออนุญาตจดทะเบียน และจัดการศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษา (ตามภูมิลำเนา) เจ้าหน้าที่ที่ดูแลจะเป็นฝ่ายส่งเสริมการศึกษา ซึ่งพ่อแม่สามารถปรึกษาหรือขอเอกสารก่อนล่วงหน้าได้ (โดยไม่มีค่าใช้จ่าย)

3. ระดับมัธยมศึกษา

ครอบครัวจะต้องยื่นขออนุญาตจดทะเบียนจัดการศึกษาที่

  • สำนักงานเขตพื้นที่การมัธยมศึกษา
  • ลงทะเบียนเป็นนักเรียนกับ กศน. (การศึกษานอกระบบ)
  • ลงทะเบียนเป็นนักเรียนกับ การจัดการศึกษาทางไกล

    โรงเรียน แหล่งการศึกษา การจัดรูปแบบการศึกษาภาคบังคับ
    โรงเรียน แหล่งการศึกษา การจัดรูปแบบการศึกษาภาคบังคับ

ขั้นตอนการยื่นคำขอจดทะเบียนกับเขตพื้นที่การศึกษา

  1. ยื่นคำขออนุญาตจัดการศึกษาที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาที่ครอบครัวมีภูมิลำเนาอยู่
  2. จัดทำแผนการศึกษา ครอบครัวและสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาจะต้องร่วมกันกำหนดตามความมุ่งหมาย หลักการและแนวทางการจัดการศึกษาตามกฎหมาย ว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติ
  3. ดำเนินการจัดการศึกษาให้เป็นไปตามแผนการจัดการศึกษาของครอบครัว
  4. ดำเนินการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนตามหลักเกณฑ์ และวิธีการวัดผล และประเมินผลของหลักสูตร การศึกษาขึ้นพื้นฐาน
  5. จัดทำรายงานการวัด และประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน รวมทั้งการจัดการเรียนการสอนและสภาพปัญหาที่เกี่ยวกับการจัดการศึกษา ตามที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษากำหนดอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง
  6. ปรับปรุงผลการเรียนของผู้เรียน ตามที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเสนอแนะ

แผนการศึกษาแบบโฮมสคูลนั้นจะมีส่วนประกอบดังต่อไปนี้

  • องค์ความรู้ ขอบเขตเนื้อหาทางวิชาการ ไม่แตกต่างจากหลักสูตรในโรงเรียนทั่วไป
  • กระบวนการ วิธีการเรียนรู้ จะยืดยุ่นแตกต่างกันไปในแต่ละครอบครัว
  • มีการสร้างเสริมประสบการณ์จากกิจกรรมนอกห้องเรียน
  • มีการเข้าร่วมกลุ่ม Home School หรือค่ายกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อให้ลูกได้พัฒนาสกิลเข้าสังคม

การศึกษานอกโรงเรียน (กศน.)

การสอบเทียบจบ ม.3 หรือจบ ม.6 นั้นได้ถูกยกเลิกไปแล้ว กศน.มีการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน มี 3 รูปแบบ คือ

  • การศึกษาวิธีเรียนพบกลุ่ม เน้นหนักการเรียนรู้ด้วยตนเองเป็นหลัก มีการพบกลุ่มเพื่อนำสิ่งที่ได้ไปศึกษาค้นคว้า แล้วมานำเสมอ อภิปราย และสรุปร่วมกันในลักษณะแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน
  • การศึกษาวิธีเรียนทางไกล เป็นวิธีการเรียนรู้ด้วยตนเองผ่านสื่อการศึกษาทางไกล  ได้แก่ ชุดการเรียนทางไกล CD VCD รายการทางวิทยุ และโทรทัศน์ อินเตอร์เนต เป็นต้น
  • การประเมินเทียบระดับการศึกษา เป็นการประเมินจากความรู้ ทักษะ ผลงาน ประสบการณ์จากแฟ้มสะสมผลงาน โครงงาน การสอบ ปฎิบัติ สัมภาษณ์ และทำกิจกรรมเข้าค่ายหรือ กิจกรรม กพช. (กิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต)

โรงเรียนที่เปิดรับเด็กโฮมสคูล

โรงเรียนที่เปิดรับให้เด็กที่เรียนแบบโฮมสคูลนั้น เช่น โรงเรียนหมู่บ้านเด็ก จังหวัดกาญจนบุรี โรงเรียนรุ่งอรุณ เป็นต้น หรืออาจลองติดต่อโรงเรียนใกล้บ้านก็ได้ การจัดการเรียนการสอนโดยร่วมกับโรงเรียนอาจต่างกันไปตามแต่ว่าจะมีการตกลงร่วมกับโรงเรียนอย่างไร อาจจะทางบ้านจัดการเรียนการสอนเองหมดแล้วส่งร่องรอยการเรียนรู้ให้โรงเรียนเพื่อเทียบประเมินการเลื่อนชั้น, เข้าร่วมเรียนบางวิชาหรือร่วมทำกิจกรรมบางอย่างกับทางโรงเรียนควบคู่ไปด้วย เป็นต้น

การเรียนไม่จำกัดแค่ในห้องเรียน
การเรียนไม่จำกัดแค่ในห้องเรียน

ลงเรียน หรือ สอบเทียบหลักสูตรของต่างประเทศ เช่น GED หรือ IGCSE

General Education Development (GED) เป็นระบบของอเมริกา โดยมีข้อกำหนดคร่าว ๆ คือ ผู้สอบต้องมีอายุ 17 ปีขึ้นไป โดยต้องสอบให้ผ่านทั้งหมด 5 วิชา ได้แก่

  1. Language Arts: Writing
  2. Social Studies
  3. Science
  4. Language Arts: Reading
  5. Mathematics

ผู้ที่สอบผ่าน GED จะได้รับใบแจ้งผลการเรียน (Transcript) และประกาศนียบัตรการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายของ GED (Diploma) ซึ่งสามารถนำไปเทียบวุฒิมัธยมปลายได้

Internation General Certificate of Secondary Education (IGCSE) เป็นระบบของอังกฤษ สอบเพื่อเทียบจบ ม. ปลายเช่นเดียวกับ GED แต่มีข้อกำหนดที่แตกต่างกัน เช่น IGCSE ไม่จำกัดอายุ และคุณวุฒิของผู้สอบ และมีวิชาให้เลือกสอบมากถึง 50 วิชา โดยเราสามารถเลือกสอบวิชาใดก็ได้ ให้ผ่านครบ 5 วิชา ก็จะสามารถนำใบรับรองผลสอบจากมหาวิทยาลัย Cambridge เพื่อขอเทียบเท่าวุฒิมัธยมศึกษาตอนปลายจากกระทรวงศึกษาธิการ โดยในประเทศไทยสามารถติดต่อขอสอบได้ที่ British Council โดยมีเปิดให้สอบปีละ 2 ช่วง คือ เดือน พฤษภาคม – มิถุนายน และ อีกช่วงหนึ่งประมาณ เดือนตุลาคม – พฤศจิกายน

การสนับสนุนจากรัฐ

สำหรับนักเรียนโฮมสคูลที่ได้ลงทะเบียนกับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา(สพฐ. หรือ สพป.) แล้ว จะได้รับ “เงินอุดหนุนการศึกษา” ซึ่งจัดสรรให้นักเรียนทุกคนตั้งแต่ระดับก่อนประถมศึกษา ไปจนจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน เหมือนกับนักเรียนทั่วไปที่เรียนในระบบโรงเรียนของรัฐ โดยเงินอุดหนุนการศึกษาจะแบ่งออกเป็น 5 หมวดดังต่อไปนี้

โดยที่นักเรียนในแต่ละระดับชั้นเรียนก็จะได้รับเงินอุดหนุนจำนวนไม่เท่ากัน สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สพฐ

เพราะการเรียนของลูกเกิดขึ้นได้ทุกที่
เพราะการเรียนของลูกเกิดขึ้นได้ทุกที่

กลุ่มเครือข่ายโฮมสคูล

การที่เรามีกลุ่มเครือข่ายนั้น จะช่วยให้พ่อแม่ได้รับความรู้ แนวทางในการจัดกิจกรรม การหาแหล่งสื่อการเรียนการสอน หรือแนวคิดดี ๆ ในการจัดรูปแบบการสอนลูกได้เป็นอย่างดี ซึ่งในปัจจุบันมีกลุ่มเครือข่ายที่รวมตัวกัน ช่วยเหลือ ร่วมแชร์ และนัดพบปะเรียนรู้ทำกิจกรรมไปด้วยกันเพื่อช่วยเพิ่มทักษะด้านสังคม อยู่มากมาย ได้แก่

ทาง Facebook Group เช่น Homeschool ThailandHomeschool Network

ทางเว็บไซต์ เช่น Homeschoolnetwork.orgHomeschoolno50.comHomeschool.in.th

ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก www.homeschoolnetwork.org/www.twinkl.co.th/owlcampus.com/www.scientia.in.th

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

เช็กให้ดี กับปัจจัยที่ควรพิจารณาก่อนทำ โฮมสคูล !!

6 ประเภท “โรงเรียนประถม” ที่พ่อแม่ต้องรู้ก่อนสมัครเรียน!

เรียนรู้ “สระภาษาไทย” ผันง่าย อ่านคล่อง ครบจบที่นี่!!

สอนลูก ให้มีทักษะการเรียนรู้ และทักษะชีวิต

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

ถุงเก็บนมแม่ Cleanimom

รีวิว…ถุงเก็บนมแม่ Cleanimom กับ 17 คุณสมบัติสุดเริ่ด !

ลูกก็ต้องเลี้ยง น้ำนมก็ต้องเตรียมปั๊มเก็บสต๊อก อยากจะได้ถุงเก็บน้ำนมแม่คุณภาพดี ก็ไม่รู้จะเลือกใช้ยี่ห้อไหน ? คุณแม่หลังไมค์มาปรึกษา กองบรรณาธิการ Amarin Baby & Kids เลยจัดให้ นี่เลย “ถุงเก็บนมแม่ Cleanimom” ถุงเก็บน้ำนม ที่อยากให้แม่มือใหม่ มือเก๋าได้ใช้กัน ขอบอกว่าใช้ดีจริง ๆ นะคะ เราไปดูคุณสมบัติมา เป็นต้องร้อง โอ้ ว้าว!! อะไรกันคะเนี่ยมีให้มากถึง 17 คุณสมบัติ !!

อย่างที่รู้กันว่าน้ำนมแม่ คือสุดยอดอาหารมื้อแรกของลูกตั้งแต่แรกเกิด น้ำนมแม่ไม่ใช่แค่มีสารอาหารที่ให้ประโยชน์ครบถ้วนกับลูกน้อย แต่ยังเป็นวัคซีนธรรมชาติหยดแรกที่ช่วยกระตุ้นเสริมสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกายลูกให้แข็งแรง ในช่วง 6 เดือนแรกของชีวิต ลูกควรได้กินนมแม่อย่างเดียว น้ำนมแม่ย่อยง่ายและเหมาะกับสภาพของระบบย่อย ลำไส้ และระบบทางเดินอาหารของลูกมากที่สุด เด็กที่ได้กินนมแม่มักจะไม่มีปัญหาสุขภาพในเรื่องการแพ้อาหาร หรือแพ้นม

  • เก็บน้ำนมแม่ยังไงให้ไม่ให้เสียคุณค่าสารอาหาร ลูกมีน้ำนมแม่กินได้นาน

จะเริ่มต้นปั๊มนมแม่สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญอย่างแรกสุดก็คือ เรื่องของความสะอาด ทั้งสถานที่ และภาชนะจัดเก็บ ฉะนั้นถ้าคุณแม่จะปั๊มนมเพื่อเก็บทำสต๊อก แนะนำว่าล้างมือด้วยสบู่ให้สะอาด ส่วนบริเวณเต้านมถ้าปั๊มระหว่างวัน ควรใช้ผ้าเปียกที่เป็นสูตรธรรมชาติไม่มีสารเคมี หรือใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำอุ่น ๆ เช็ดผิวบริเวณเต้านม จากนั้นก็ให้ปั๊มนมใส่ถุงเก็บนมแม่โดยตรง หรือปั๊มใส่ขวด ถ้าอยู่ที่ทำงาน แนะนำให้เตรียมกระติกใส่น้ำแข็งไว้สำหรับแช่นมแม่ด้วยนะคะ พอกลับมาบ้านแล้วค่อยเปลี่ยนมาเก็บแช่ในตู้เย็น หรือตู้แช่นมแม่โดยเฉพาะ

ถุงเก็บนมแม่Cleanimom

 

น้ำนมแม่ที่เก็บใส่ในถุงเก็บนม สำหรับทำสต๊อกนมให้ลูกกินได้นาน ๆ ไม่เสียคุณค่าสารอาหาร และไม่เหม็นหืน  มีเทคนิคง่าย ๆ ดังนี้ค่ะ

1. ทำความสะอาดเครื่องปั๊มนมก่อนการใช้งานทุกครั้ง

เครื่องปั๊มนมที่สะอาดไม่มีคราบนมสะสม จะช่วยลดการเกิดแบคทีเรีย ที่ก่อให้เกิดการเสียหายของน้ำนมที่ปั๊มในแต่ละรอบได้ค่ะ

2. เก็บนมแม่ในถุงเก็บน้ำนม

น้ำนมแม่ที่ปั๊มได้ในแต่ละรอบ เขียนวันที่ปั๊มนมได้ไว้ที่หน้าถุงเก็บน้ำนม แล้วให้เก็บใส่ถุงเก็บนมแม่ ที่มีให้เลือกใช้ทั้งขนาด 3,ออนซ์ , 5 ออนซ์ , 8 ออนซ์  (ดูตามปริมาณน้ำนมที่เก็บได้) จากนั้นให้ปิดซิปล็อกให้สนิททันที

3. แช่นมแม่ในตู้เย็น หรือตู้แช่นมทันที

น้ำนมแม่ที่ใส่ในถุงเก็บน้ำนม ให้นำเข้าตู้เย็น(ควรแช่ช่องฟรีส) หรือตู้แช่นมแม่ทันที เพื่อไม่ให้สูญเสียคุณค่าสารอาหาร และป้องกันการเกิดน้ำนมมีกลิ่นหืน ที่สำคัญไม่แช่ถุงเก็บนมแม่รวมกับอาหารอื่น ๆ เพื่อป้องกันกลิ่นอาหารติดกับถุงนมแม่

4. ให้ลูกกินสต๊อกนมแม่ตามวัน / เวลา ที่เขียนระบุไว้

น้ำนมแม่ที่อยู่ในถุงสต๊อก ควรนำออกมาให้ลูกกินโดยเริ่มจากถุงนมที่จัดเก็บได้ในวันแรก แล้วค่อยเรียงตามลำดับวันที่ ไม่ควรนำถุงน้ำนมแม่ที่เก็บได้ล่าสุดให้ลูกกินก่อน  และน้ำนมแม่ที่เทใส่ขวดแล้วลูกกินไม่หมดในมื้อ หรือในวันนั้น ๆ ก็ไม่ควรเก็บไว้ให้ลูกกินในมื้อ หรือวันถัดไป เพราะน้ำนมจะเสียคุณค่าสารอาหาร และอาจมีแบคทีเรีย หรือเชื้อโรคที่ปะปนมากับอากาศได้ค่ะ

  • น้ำนมแม่ VS ถุงเก็บน้ำนม คู่หูที่ขาดกันไม่ได้

มีคุณแม่เคยถามมาว่าน้ำนมแม่ถ้าไม่เก็บใส่ในถุงเก็บนมได้ไหม จริง ๆ จะเก็บใส่ขวดก็ได้ค่ะ แต่การจัดเก็บก็จะไม่ง่ายและไม่สะดวกเท่ากับการเก็บนมแม่ไว้ในถุงเก็บน้ำนม สำหรับถุงเก็บน้ำนมแม่ จะมีการออกแบบมาเพื่อให้สามารถยืดอายุของน้ำนมแม่ให้ยังคงคุณค่าของสารอาหารได้นาน ช่วยป้องกันอากาศ เชื้อโรค แบคทีเรียที่ปะปนอยู่ในอากาศแล้วเล็ดรอดเข้าไปในน้ำนม ถุงเก็บนมแม่จะมีซิปล็อกเพื่อป้องกันไม่ให้อากาศ เชื้อโรค แบคทีเรียเข้าไปทำลายน้ำนมแม่ได้ค่ะ  ที่สำคัญจัดเก็บไม่กินพื้นที่ในตู้เย็นด้วยค่ะ

  • ถุงเก็บนมแม่ Cleanimom ดีงาม สมมง

พอจะรู้กันแล้วนะคะว่าทำไมต้องเก็บน้ำนมแม่ไว้ในถุงเก็บน้ำนม สำหรับคุณแม่ ๆ ที่อยากให้แนะนำถุงเก็บน้ำนมแม่ กองบรรณาธิการ Amarin Baby & Kids ปรบมือเชียร์อัพให้กับ “ถุงเก็บนมแม่ Cleanimom” ค่ะ กรี๊ดแรกนี่ให้กับลวดลายบนถุงเก็บนมแม่ Cleanimom คือสดใสมาก เป็นลายท่องเที่ยว จริง ๆ คนเป็นแม่ก็อยากได้ไอเทมบรรจุน้ำนมน่ารัก ๆ แบบนี้แหละค่ะ เห็นแล้วเพลินสายตา ทำใจกระปรี้กระเปร่าที่สุด

ถุงเก็บนมแม่Cleanimom

 

แล้วทีเด็ดของถุงเก็บน้ำนมคลีนนิมัม คือเขาเพิ่งได้รับรางวัล EDITOR’s CHOICE สาขา BEST BREAST MILK STORAGE BAGS ประจำปี 2021 จากงาน Amarin Baby & Kids Award มาสด ๆ ร้อน ๆ การันตีว่าเป็นถุงเก็บน้ำนมที่มีคุณภาพ คุณแม่ซื้อใช้ได้อย่างปลอดภัยเลยค่ะ

  • เช็กลิตส์ 17 คุณสมบัติของ “ถุงเก็บนมแม่ Cleanimom”

  1. ถุงเก็บนมผลิตจากวัสดุที่ใช้สำหรับอาหาร (Food Grade)
  2. BPA Free ปลอดภัยจากสารก่อมะเร็ง
  3. ถุงเก็บนมแม่คลีนนิมัม ได้ผ่านการฆ่าเชื้อด้วยรังสีแกมม่า
  4. ถุงเก็บนมหนาพิเศษ (หนา 90 micron)
  5. ถุงเก็บนมแม่แบบทึบแสง ช่วยรักษาคุณค่าสารอาหาร
  6. ช่วยลดกลิ่นหืนของน้ำนมแม่
  7. เนื้อวัสดุ 2 ชั้น ป้องกันไม่ให้อากาศ และความชื้นเข้าไปทำลายคุณค่าของน้ำนมแม่
  8. ถุงเก็บนมแม่มีความทนทาน เก็บอยู่ได้ในอุณหภูมิ -20 ถึง 110 องศาเซลเซียส
  9. ถุงเก็บนมแม่สามารถอุ่นด้วยเครื่องอุ่นนมได้
  10. ถุงเก็บนมแม่มีพื้นที่เขียนชื่อ ลำดับ วัน/เวลา และปริมาณ อยู่เหนือพื้นที่เก็บน้ำนม ช่วยให้ปลอดภัยจากการปนเปื้อนของน้ำหมึก
  11. ถุงเก็บนมแม่ออกแบบให้ด้านหลังมีช่องใส เพื่อให้เห็นฟองอากาศ
  12. ก้นถุงเก็บนมแม่คลีนนิมัมสามารถวางตั้งได้
  13. ถุงเก็บนมแม่คลีนนิมัมออกแบบให้มีซิปล็อก 2 ชั้น ทำให้ปิดถุงเก็บนมได้อย่างแนบสนิท
  14. ตะเข็บด้านข้างของถุงเก็บนมแม่คลีนนิมัม มีความหนาถึง 5 mm.
  15. ถุงเก็บนมแม่คลีนนิมัมออกแบบให้มีความสดใสน่าใช้งานมากยิ่งขึ้น ด้วย Journey Collection พิมพ์ลายน่ารักด้วยธีมลายท่องเที่ยวทั้ง 2 ด้าน
  16. ถุงเก็บนมแม่คลีนนิมัม สามารถนำไปใช้บรรจุอาหาร , อาหารปั่น , น้ำผลไม้ หรือเครื่องดื่มอื่น ๆ ได้ คุณแม่ใช้งานได้หลากหลาย
  17. ถุงเก็บนมแม่คลีนนิมัม ผลิตจากโรงงานที่ได้มาตรฐาน ISO9001 และ FDA จากประเทศสหรัฐอเมริกา

คุณแม่สามารถหาซื้อ “ถุงเก็บนมแม่ Cleanimom” ได้ที่ช่องทาง ↓↓

Facebook : www.facebook.com/jpenpumpnom

Link : @jpenshop

Shopee : jpenpumpnom

ถุงเก็บนมแม่ Cleanimom ออกแบบมาให้เหมาะกับรูปแบบการใช้งานของคุณแม่ ทั้งขนาด 3oz บรรจุ 27 ใบ ขนาด 5oz บรรจุ 24 ใบ มี 4 ลายท่องเที่ยว ขนาด 8oz บรรจุ 20 ใบ มี 5 ลายท่องเที่ยว สำหรับถุงเก็บนมแม่คลีนนิมัมกับลายท่องเที่ยวนี้นะคะ สินค้าจะมีอายุ 5 ปีนับจากวันที่ผลิต (ล๊อตที่ผลิต 26/02/2022 หมดอายุ 25/02/2027)

อยากมีถุงเก็บนมแม่ไว้บรรจุน้ำนมแม่เก็บทำสต็อกน้ำนมให้ลูกน้อยได้กินไปนานๆ ต้องเลือกถุงเก็บน้ำนมแม่ที่คุณภาพดี ช่วยรักษาคุณค่าสารอาหาร และช่วยลดการเกิดกลิ่นหืนของน้ำนมแม่ด้วยนะคะ

#ถุงเก็บนมแม่Cleanimom #นมแม่

ถุงเก็บนมแม่Cleanimom

เด็กแบกกระเป๋าหนัก

เด็กแบกกระเป๋าหนัก ไปโรงเรียน อันตรายอย่างไร

เด็กแบกกระเป๋าหนัก ไปโรงเรียน อันตรายอย่างไร

เปิดเทอมมาได้สักระยะแล้ว คุณพ่อคุณแม่ และผู้ปกครองหลาย ๆ ท่าน ก็คงชื่นใจที่ได้เห็นภาพลูก ๆ หลาน ๆ ของเราสะพาย ถือกระเป๋า หรือลากกระเป๋าลากไปโรงเรียนกันนะคะ แต่เคยฉุกคิดไหมคะว่า ลูก ๆ หลาน ๆ ของเรา ควรแบกกระเป๋าหนักเท่าไหร่ถึงจะเหมาะสม เพราะเราก็มักจะเห็นภาพเด็กสะพายกระเป๋าที่อัดแน่นไปด้วยสิ่งของทั้งหนังสือ กล่องดินสอ และสิ่งของอื่น ๆ มากไปหมด จนหลังแอ่น หรือเดินตัวเอียงกันเลยทีเดียว ซึ่งการที่ เด็กแบกกระเป๋าหนัก ไปโรงเรียนนั้นมีอันตรายต่อเด็กทั้งทางสุขภาพร่างกาย และสุขภาพจิตเลยนะคะ อันตรายอย่างไรมาดูกันค่ะ

เด็ก ๆ ควรแบกน้ำหนักกระเป๋าที่เท่าไหร่

ข้อมูลจากกรมการแพทย์ระบุว่า เด็กควรสะพายกระเป๋านักเรียนที่มีน้ำหนักไม่เกิน 10-20 % ของน้ำหนักตัว เช่น หากเด็กมีน้ำหนัก 30 กก. น้ำหนักกระเป๋าที่เด็กถือได้ต้องไม่เกิน 3 กก. เท่านั้น

ผลสำรวจน้ำหนักที่เด็กต้องแบกกระเป๋า

จากการสำรวจทั้งจากทางสายตาและงานสำรวจจำนวนมาก พบว่าเด็ก ไทยวัยประถมแบกกระเป๋าหนักเกินกว่าน้ำหนักที่เหมาะสม หรือเกิน 10% ของน้ำหนักตัวเด็ก บางงานสำรวจพบว่าเด็กประถมต้องแบกกระเป๋าหนักมากกว่า 7 กก. ด้วยซ้ำ

สัดส่วนนักเรียนไทย ที่แบกกระเป๋าน้ำหนักเกิน 10% ของน้ำหนักตัวเด็ก พบว่า

  • ชั้น ป.1-2 สูงถึง 90%
  • ชั้น ป.3 ที่ 72%
  • ชั้น ป.4 ที่ 70%

ส่วนที่แบกกระเป๋าเกิน 20% ขึ้นไปของน้ำหนักตัว พบว่า

  • ชั้น ป.1-2 อยู่ที่ 25%
  • ชั้น ป.3 ที่ 15%
  • ชั้น ป.4 ที่ 7%

นับว่าลูก ๆ ของเราต้องแบกกระเป๋าที่หนักเกินไปมากจริง ๆ ค่ะ

เด็กแบกกระเป๋าหนัก
เด็กแบกกระเป๋าหนัก ไปโรงเรียน อันตรายอย่างไร

ข้อเสียของ เด็กแบกกระเป๋าหนัก

ข้อเสียของเด็กแบกกระเป๋ามีหลายประการ เช่น

  • ในวัยอนุบาลหรือประถมต้น ที่เด็กยังมีการทรงตัวหรือร่างกาย แขน ขายังไม่แข็งแรง การแบกกระเป๋าใบใหญ่และน้ำหนักมากเกินไป เสี่ยงทำให้เด็กล้มง่าย เดินลำบาก เสี่ยงบาดเจ็บทั้งจากการล้มและกล้ามเนื้อหรือโครงสร้างร่างกายที่ได้รับผลกระทบจากการแบกกระเป๋า
  • ในเด็กที่โตขึ้น กระเป๋าที่หนักไปเสี่ยงก่อผลเสียต่อร่างกายทั้งการบาดเจ็บในระยะสั้นและระยะยาว โดยกระเป๋าที่หนักไปทำให้กระดูกสันหลังโค้ง ปวดหลัง ปวดคอ ปวดไหล่ บางคนเป็นระยะสั้นๆ บางคนอาจเป็นเรื้อรัง ในระยะยาวอาจมีผลต่อพัฒนาการด้านความสูงของเด็ก

ข้อมูลจากนายระพินทร์ พิมลศานติ์ ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่า กระเป๋าแต่ละประเภทส่งผลกระทบหรือสร้างความเสียหายแก่เด็กแตกต่างกัน เช่น กระเป๋าสะพายหลังทำให้กล้ามเนื้อบ่าทำงานหนัก เพราะต้องรับน้ำหนักจากการกดทับของกระเป๋าและการเกร็งกล้ามเนื้อ โดยสามารถก่อผลกระทบในระยะยาว  ขณะที่หากเป็นกระเป๋าถือ มักส่งผลต่อกล้ามเนื้อแขนไหล่ บ่า คอ กล้ามเนื้อแขนข้างที่ใช้ถือถูกใช้งานหนักกว่า ร่างกายเด็กถูกดึงไปข้างหนึ่ง ขณะที่คอจะถูกเอียงต้านไปในทิศตรงข้าม เสี่ยงอันตรายต่อคอของเด็ก ก่อให้เกิดอาการเมื่อยล้า และอาจเกิดกล้ามเนื้ออักเสบเรื้อรัง

  • จากการทดสอบของศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ให้นักเรียนแบกกระเป๋าน้ำหนักตั้งแต่ 20% ของน้ำหนักตัวเด็กและทำการเอกซเรย์ พบว่า ทำให้กระดูกสันหลังเด็กโค้งผิดปกติ กระดูกสันหลังมีรูปร่างคดคล้ายตัวเอส โดยบริเวณที่พบกระดูกสันหลังคดอยู่ในระดับอกต่อกับเอว
  • กระทบประสิทธิภาพการเรียนรู้ของเด็กในระยะยาว เนื่องจากหากเด็กมีอาการปวดเรื้อรัง จนเป็นปัญหาสุขภาพจิต เกิดปัญหาความเครียด ส่งผลต่อประสิทธิภาพของการเรียนได้
  • กระทบบุคลิกภาพของเด็กตั้งแต่เล็กจนโต หากเด็กได้รับผลกระทบเชิงโครงสร้างทางร่างกาย จนกระทบบุคลิกภาพของเด็ก ทำให้เสียโอกาสด้านสังคมและพัฒนาการอื่นๆ ตามมา

สาเหตุที่เด็กต้องแบกกระเป๋าหนัก

ทั้งนี้สาเหตุที่เด็กต้องแบกกระเป๋าหนักไปมีหลายอย่าง เช่น

  • เด็กไม่จัดตารางสอน
  • กลัวลืมหนังสือ จึงนำหนังสือทั้งหมดใส่ในกระเป๋า
  • ครูให้เด็กนำสิ่งของไปโรงเรียนเยอะเกินไป หนังสือหลายเล่มมากไป
  • เด็กไม่ได้นำของที่ไม่จำเป็นออกจากกระเป๋านักเรียน

วิธีลดปัญหา เด็กแบกกระเป๋าหนัก

คำแนะนำเพื่อลดปัญหาเด็กหรือลูกเราต้องแบกกระเป๋าหนักไปมี 4 ข้อ คือ

1. ครูควรอนุญาตให้นักเรียนเก็บหนังสือบางส่วนที่โรงเรียน และควรระบุหนังสือเล่มที่ต้องใช้ในแต่ละวันให้ชัดเจน เพราะบางวิชามีหนังสือเรียนหลายเล่ม
2. พ่อแม่ ต้องหมั่นดูกระเป๋าลูก เพื่อลดสิ่งของที่ไม่จำเป็น ช่วยลูกจัดตารางสอนเพื่อเตรียมเฉพาะหนังสือที่เหมาะกับแต่ละวัน
3. สำหรับเด็กเล็ก ใช้กระเป๋าสะพายหลังมากว่าใช้กระเป๋าถือ โดยควรสะพายบนบ่าทั้ง 2 ข้าง ไม่สะพายข้างเดียว ใช้สายกระเป๋าเส้นใหญ่ ปรับสายให้พอดี ให้กระเป๋าแนบลำตัว ให้ก้นกระเป๋าอยู่ระดับเอว จัดของหรือหนังสือในกระเป๋าโดยนำของที่มีน้ำหนักมากวางชิดหลัง วางของให้ไม่ถ่วงไปด้านใดด้านหนึ่ง

น้ำหนักกระเป๋าที่แนะนำสำหรับเด็ก

ศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัย และป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ให้คำแนะนำเกี่ยวกับน้ำหนักกระเป๋า ที่เหมาะสมสำหรับเด็กแต่ละชั้น ดังนี้

  • สำหรับนักเรียน ป.1-2 ควรแบกไม่เกิน 3 กก.
  • นักเรียน ป.3-4 ควรแบกไม่เกิน 3.5 กก.
  • นักเรียน ป.5-6 ควรแบกไม่เกิน 4 กก.

คุณพ่อคุณแม่ต้องระวังปัญหาการแบกกระเป๋าหนักเกินไปของลูกให้ให้ดีเพราะส่งผลเสียทั้งต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตของลูก หากทำตามคำแนะนำได้ก็นับเป็นเรื่องที่ดีสำหรับลูกของเราค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก

CH7HD

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

โรค เป็นหนุ่มเป็นสาวก่อนวัย ปล่อยไว้อาจตัวเตี้ย!

8 วิธีป้องกันลูกจาก “โรคกลัวสังคม (ฮิคิโคโมริ ซินโดรม)”

ครูตีเด็ก ผิดกฎหมายหรือไม่? ตีเด็กอย่างไรไม่ให้ถูกฟ้อง?

ฝันว่าคลอดลูก

ฝันว่าคลอดลูก ได้ลูกชาย ลูกสาว หมายความว่าอย่างไร!!

ฝันว่าคลอดลูก ทั้งคนที่ท้องและคนที่ไม่ได้ท้อง ฝันเห็นคนอื่นคลอดลูก ฝันว่าคลอดลูกสาว ลูกชาย หรือลูกแฝด เป็นลางดีหรือลางร้ายกันแน่

ฝันว่าคลอดลูก ได้ลูกชาย ลูกสาว หมายความว่าอย่างไร!!

ฝันว่าคลอดลูก บางคนอาจจะดีใจ แต่บางคนก็อาจจะงง ๆ ว่าชั้นไม่ได้ท้องทำไมถึงฝันว่าคลอดลูก คลอดแล้วเห็นว่าเป็นลูกสาว ลูกชาย ลูกแฝด หรือลูกเสียชีวิตอีก ความฝันบ่งบอกถึงอะไร เป็นการเตือนอะไรหรือเปล่า ทีมกองบรรณาธิการ ABK ได้รวบรวมข้อมูลมาให้แล้วค่ะ

ความฝันในยามหลับ
ความฝันในยามหลับ

ฝันว่าคลอดลูก ได้ลูกชาย ลูกสาว หมายความว่าอย่างไร!!

ความฝันตามหลักทางวิทยาศาสตร์

ผู้เชี่ยวชาญได้วิเคราะห์กัน จนมีทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ที่หลากหลาย แตกต่างกันออกไป เช่น ความฝันนั้นเป็นกระบวนการจัดการความจำของสมอง ความฝันเป็นผลกระทบจากความคิด ความเครียด อารมณ์ หรือสิ่งที่เคยพบเห็น ความฝันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีและกระแสไฟฟ้าภายในสมอง รวมถึงความฝันยังอาจเป็นสัญญาณขแองการเจ็บป่วยของร่างกายได้อีกด้วย เป็นต้น ความฝันสามารถเกิดขึ้นขณะใดก็ได้ในระหว่างนอนหลับ แต่มักเกิดขึ้นในช่วง REM หรือช่วงมีการเคลื่อนไหวดวงตาอย่างรวดเร็วขณะนอนหลับซึ่งเป็นช่วงที่สมองจะมีการตื่นตัวมากที่สุด

อาจเกิดจากสาเหตุที่คุณแม่ตั้งครรภ์ เกิดความกังวลในรูปร่าง ที่เปลี่ยนแปลงในช่วงสุดท้ายก่อนคลอด หรือเป็นเพราะคุณแม่ที่ตั้งครรภ์เป็นท้องแรก จึงวิตกกังวลถึงความเจ็บปวดในขณะคลอด ทำให้เก็บไปฝันได้

ส่วนผู้ที่ ฝันว่าคลอดลูก ทั้ง ๆ ที่ตัวเองยังไม่ได้ตั้งครรภ์ อาจมาจากสาเหตุที่ อยากมีบุตรมาก แต่ยังไม่สมหวัง ก็เป็นได้

ความฝันตามความเชื่อ

ความเชื่อ อยู่คู่กับคนไทยมาอย่างยาวนาน เป็นการเก็บสถิติที่เกิดขึ้นจริง จากสิ่งที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ กันมาเป็นเวลานาน ความฝัน เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เป็นความเชื่อของคนไทย ฝันว่าคลอดลูก จะมีความหมายว่าอย่างไร มาดูคำทำนายกันค่ะ

ฝันว่าคลอดลูก

ทำนายแบบรวม ๆ หากคุณกำลังทำงาน หรือมีโปรเจคอะไรอยู่ จะประสบความสำเร็จแน่นอน

หากเกี่ยวกับการค้าขาย จะมีการเปลี่ยนแปลง ต้องจัดสรรค่าใช้จ่าย ดังนั้นจึงหมายความว่า จะมีการเจรจา ติดต่อค้าขาย ที่ประสบความสำเร็จ การเงินคล่องตัวมากขึ้น แต่จะเป็นการหมุนเวียนระยะสั้น ดังนั้น ควรมีสติ และไม่ประมาท

ฝันว่าคลอดลูกชาย

ทำนายว่า ตัวคุณหรือคนรักกำลังมีความลับที่ไม่กล้าเปิดเผยในช่วงนี้

คนโสด จะมีคนอยากคบหาด้วย

การงาน ในช่วงนี้ยังไม่ราบรื่นนัก ถึงทำงานหนักเจ้านายก็มองไม่เห็น ท้อแท้แต่เดินต่อ

การเงิน มีติดขัดบ้าง แต่จะมีคนยื่นมือมาช่วยเสมอ

ฝันว่าคลอดลูกสาว

ทำนายว่า ช่วงนี้ดวงไม่ค่อยดี มีเกณฑ์ที่อาจจะเสียของรักในบ้าน หรือเกิดการทะเลาะ มีปากเสียงรุนแรง ถึงขึ้นแตกหักได้เลย

ฝันว่าคลอดลูกแฝด

ทำนายว่า จะประสบความสำเร็จในด้านการลงทุน ใครที่กำลังคิดจะลงทุนอะไรดีแน่นอน แต่ควรลงทุนกับผู้ที่เราไว้ใจ

คนมีคู่ อาจจะมีขัดใจกันบ้าง แต่ก็ยังแฮปปี้อยู่

คนโสด เนื้อคู่กำลังจะมาแล้ว รอเจอได้เลย

ฝันเห็นคนคลอดลูก

ทำนายว่า ให้ระวังเรื่องทรัพย์สิน อาจจะมีการเสียหาย หรือลำบากใจ เพราะมีคนมายืมเงิน แต่จะมีโชคจากการเสี่ยงโชค

คนมีคู่ อาจจะมีการทะเลาะกัน

คนโสด ฝึกพูดภาษาอังกฤษไว้ได้เลย เพราะจะเจอเนื้อคู่ต่างชาติ

ฝันว่าคลอดลูกเอง

ทำนายว่า เตรียมรับโชค จะมีโชคจากคนผิวสองสี

คนมีคู่ ช่วงนี้ต้องจับมือกันแน่น ๆ เพราะอาจจะมีมือที่สามได้ แต่อย่าเพิ่งกังวลไปก่อน จะทำให้ทะเลาะกันเอง

คนโสด มีโอกาสได้เจอคนที่ถูกใจจากการเดินทาง

การเงิน อย่าใช้เงินเกินตัว จะทำให้มีหนี้สินตามมา

ฝันว่าคลอดลูกชาย-หญิง
ฝันว่าคลอดลูกชาย-หญิง

ฝันว่าคลอดลูกแล้วลูกเสียชีวิต

ทำนายว่า ชีวิตเราจะไปได้สวย มีคนคอยยื่นมือเข้ามาช่วย แต่อาจจะต้องระวังเรื่องสุขภาพจิต ครอบครัวทำให้วุ่นวายใจ

คนมีคู่ คนรักจะคอยเอาใจใส่อย่างดี

การเงิน ระวังช่วงนี้จะมีปัญหาเงินขาดมือ ควรใช้จ่ายอย่างประหยัด แต่จะมีการติดต่อกับต่างชาติ ทำให้การเงินดีขึ้น

ฝันว่าคลอดลูกแล้วตัวเองเสียชีวิต

ทำนายว่า คนในครอบครัวอาจจะเกิดการเจ็บป่วยเล็กน้อย ให้ระวังเรื่องสุขภาพไว้ หรืออาจมีข้าวของเครื่องใช้ในบ้านเสียหาย ต้องซื้อใหม่

คนมีคู่ จะห่างกัน แต่ต้องอย่าลืมเติมความหวานให้กัน

คนโสด ลองคุยกับคนที่มีอายุเท่า ๆ กัน

การเงิน  ระวังอย่าให้ใครยืม หรืออย่าจ่ายง่าย ๆ อาจจะโดนเพศตรงข้ามหลอก เพราะความจริงใจของเราก็ได้

ฝันว่าคลอดลูกแต่ลูกหาย

ทำนายว่า เป็นลางดี ใครจะซื้อหรือขายของ ให้รีบเลย แต่ต้องระวังอาจจะมีปัญหาขัดแย้งกับคนใกล้ชิด เพื่อน หรือคนที่เราคุ้นเคย ทำให้เกิดการห่างเหินได้

คนมีคู่ ต้องหมั่นใส่ใจกัน

คนโสด ต้องรอต่อไป

การเงิน ระวังเรื่องเงิน ใช้จ่ายต้องคิดเยอะ ๆ

การงาน แฮปปี้ สำเร็จทุกด้าน

ฝันว่าคลอดลูกแล้วลูกพิการ

ทำนายว่า ชีวิตแฮปปี้ มีความสุขสุด ๆ อยู่ในช่วงความเปลี่ยนแปลง จะได้เจอสิ่งใหม่ ๆ

คนมีคู่ อาจจะมีวิวาห์ฟ้าแล่บ

คนโสด จะเป็นที่ถูกใจของเพศตรงข้าม อาจได้เพื่อนที่คบกันมานานเป็นแฟน

การเงิน จ่ายบ่อย เพราะมีคนขอความช่วยเหลือ คนที่ค้าขายกำไรงาม อาจจะได้ขยายกิจการ แต่ต้องระวังอาจจะเกิดอุบัติเหตุในบ้านได้

ตัวเลขกับการทำนายฝัน

อีกหนึ่งความเชื่อที่อยู่คู่สังคมไทย คือ การทำนายฝันเป็นตัวเลข ฝันว่าคลอดลูก ทำนายเป็นตัวเลขดังนี้

เลขเด่น : 6

เลขรอง : 3

เลขมงคล : 39, 41, 66, 148, 339, 669

เวลาที่ฝัน

ฝันช่วงกลางวัน

เป็นการสื่อของครูอาจารย์ทางไสยศาสตร์ หรือเจ้าที่ ผีบ้าน ผีเรือน และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เราเคารพบูชา อาจจะเป็นลางบอกเหตุในสิ่งที่จะเกิดขึ้น หรือไม่เกิดขึ้นก็ได้ ไม่แน่นอน บางตำราบอกว่า ไม่ต้องเชื่อฝันกลางวัน แต่อาจจะได้ลาภอย่างไม่คาดฝันได้

ฝันตอนหัวค่ำ

ตอนหัวค่ำ คือ เวลาตั้งแต่ 6 โมงเย็น – 4 ทุ่ม หากฝันในช่วงนี้ เรื่องที่ฝันจะเกิดขึ้นจริงในช่วง ครึ่งปี – 1 ปี

ฝันตอนดึก

ตอนดึก คือ เวลาตั้งแต่หลัง 4 ทุ่มไปแล้ว – ตี 2 เรื่องที่ฝันจะเกิดขึ้นจริงในช่วง 1 – 3 เดือน หลังจากฝัน

ฝันตอนรุ่งสาง

รุ่งสาง คือ เวลาหลังตี 2 ไปแล้ว จนถึงใกล้ฟ้าสว่าง เรื่องที่ฝันจะเกิดขึ้นจริงในช่วง 3 วัน หรือช้าสุดไม่เกิน 15 วัน หลังจากฝัน

ฝันว่าคลอดลูก จะเป็นลางบอกเหตุว่า จะเกิดเรื่องร้ายหรือเรื่องดีก็ตาม ทีมกองบรรณาธิการ ABK ขอให้ผู้ที่ฝันเกิดโชคลาภ จากเลขที่ได้นำมาฝากกันทุกคนนะคะ

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

ฝันว่าได้ทอง ฝันว่าได้ใส่สร้อยทอง หรืองวดนี้จะมีหวัง?

ทำนายฝัน ฝันว่าได้แต่งงาน ฝันว่าแต่งงาน หมายถึงอะไร?

ลูกชอบฝันร้าย ตื่นแล้วร้องไห้ไม่หยุด พ่อแม่ควรรับมือยังไง?

ฝันเห็นพระพิฆเนศ เทพความสำเร็จดูคำทำนายให้รวยปังๆ!

ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.pobpad.com, https://www.thairath.co.th, https://www.akerufeed.com

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

Amarin Baby & Kids