โอมิครอนสายพันธุ์ใหม่ BA.4/BA.5

โอมิครอนสายพันธุ์ใหม่ BA.4/BA.5 ต้องระวังตัวอย่างไร?

โอมิครอนสายพันธุ์ใหม่ ติดเชื้อง่าย ไวกว่าเดิม ยังไม่มีรายงานความรุนแรง ทำให้เกิดคำถามมากมายกับการระมัดระวังตัว ต้องทำตัวอย่างไร ระวังแค่ไหน มาฟังหมอตอบกัน

โอมิครอนสายพันธุ์ใหม่ BA.4/BA.5 ต้องระวังตัวอย่างไร?

องค์กรอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศให้สายพันธุ์ BA.4/BA.5 เป็นสายพันธุ์ย่อยที่ต้องเฝ้าระวัง (VOC) และคาดว่าจะกลายเป็นสายพันธุ์หลักของการแพร่ระบาดทั่วโลก

โอมิครอน BA.4/BA.5 ติดเชื้อง่าย ไวกว่าเดิม!!

สาเหตุที่ต้องเฝ้าระวังของสายพันธุ์ BA.4/BA.5 คือ สายพันธุ์นี้มีการกลายพันธุ์ในตำแหน่ง L452R ซึ่งเป็นตำแหน่งเดียวกันกับสายพันธุ์เดลตา (Delta) เชื้อไวรัสมีความสามารถในการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนในเซลล์ปอดได้ดี ซึ่งอาจก่อให้เกิดอาการปอดอักเสบในผู้ติดเชื้อ แตกต่างจากสายพันธุ์ BA.1 / BA.2 ที่เชื้อมีความสามารถในการแบ่งตัวได้ดีในเซลล์ของเยื่อบุระบบทางเดินหายใจส่วนบน

โอมิครอนสายพันธุ์ใหม่ BA.4/BA.5
โอมิครอนสายพันธุ์ใหม่ BA.4/BA.5

สายพันธุ์ย่อย BA.4/BA.5 ยังมีความสามารถในการหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกัน ดื้อต่อแอนติบอดี้ของมนุษย์ นั่นจึงเป็นสาเหตุให้เกิดการติดเชื้อซ้ำ (Re-infection) แม้ว่าจะเคยติดเชื้อหรือฉีดวัคซีนมาแล้วก็ตาม สำหรับประเทศไทยมีระบบเฝ้าระวังสายพันธุ์อย่างต่อเนื่อง ขณะนี้ยังพบ BA.4 และ BA.5 ในกลุ่มผู้เดินทางจากต่างประเทศในสัดส่วนสูงกว่าผู้ติดเชื้อในประเทศ และจะมีการศึกษาในผู้ป่วยอาการหนักว่ามีความสัมพันธ์กับ 2 สายพันธุ์นี้หรือไม่

โอมิครอน BA.4 / BA.5 ทำไมต้องเฝ้าระวัง!

  • แบ่งตัวเพิ่มจำนวนได้ดีในเซลล์ปอด อาจจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดปอดอักเสบ
  • แพร่ระบาดได้ง่าย และรวดเร็วยิ่งขึ้นกว่าเดิม
  • หลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันเก่ง เคยติดเชื้อหรือฉีดวัคซีนแล้วก็ติดเชื้อซ้ำได้ (วัคซีนได้ผลน้อยลง)

จุดเด่นของโควิดสายพันธุ์โอมิครอน คือ การแพร่เชื้อได้เร็ว (High transmissibility) กว่าสายพันธุ์อื่น 5 เท่า โดยอาการของโควิดสายพันธุ์ BA.4/BA.5 ไม่แตกต่างอย่างชัดเจนจากสายพันธุ์โอมิครอน

อาการของโอมิครอน BA.4/BA.5 

  • อาการที่เด่นชัดของสายพันธุ์นี้ จะมีอาการเจ็บคอมาก คอแห้งเหมือนมีเข็มทิ่ม และยังมีอาการอื่น ๆ ร่วม ได้แก่ อ่อนเพลีย เหนื่อย, ไอแห้ง, เจ็บคอ, ไข้, มีน้ำมูก, ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ คลื่นไส้ ปวดเมื่อยตามร่างกาย และถ่ายเหลว
  • อาการทางเดินหายใจ ได้แก่ หายใจถี่ และหายใจลำบาก
  • อาการทางเดินอาหาร ได้แก่ อาการท้องเสีย
ข้อมูลอ้างอิงจาก www.sikarin.com
อาการ โอมิครอนสายพันธุ์ใหม่ CR:ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา
อาการ โอมิครอนสายพันธุ์ใหม่ CR:ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา

คุณหมอแนะ ดูแลตัวเองอย่างไรจาก โอมิครอนสายพันธุ์ใหม่ ในวันที่โควิดเป็นโรคประจำถิ่น!!

วัคซีน กับ โอมิครอนสายพันธุ์ใหม่

เมื่อโควิดยังคงไม่หายไป แต่ได้กลายเป็นโรคประจำถิ่นไปเสียแล้วนั้น ทำให้เรายังไม่สามารถวางใจกับเจ้าเชื้อไวรัสนี้ได้มากเท่าไหร่นัก ดังนั้นวัคซีนยังคงเป็นสิ่งจำเป็นในการช่วยป้องกัน และลดความรุนแรงเมื่อติดเชื้อได้ แต่ประสิทธิภาพของวัคซีนรุ่นเก่ายังคงประสิทธิภาพกับสายพันธุ์ใหม่นี้หรือไม่ อย่างไร

วัคซีนรุ่นเก่าที่เคยได้รับกันมาแล้ว มีความสามารถในการป้องกันการติดเชื้อรุ่นใหม่นี้ ได้เพียง 60% แต่ยังมีประสิทธิภาพมากพอในการลดความรุนแรงของโรคได้ การเข้ารับวัคซีนเข็มกระตุ้นเพื่อให้มีภูมิคุ้มกันสูงมากพอยังเป็นเรื่องที่สำคัญ และมีความจำเป็น เพราะจะทำให้ช่วยลดความเสี่ยงการติดเชื้อ และป้องกันอาการรุนแรงได้ แต่หลาย ๆ คนได้เกิดคำถามที่ว่า ควรฉีดวัคซีนกี่เข็มถึงกันตายได้กันนะ??

จากรายงานการศึกษา Efficacy of Fourth Dose of Covid-19 mRNA Vaccine against Omicron ได้ทำการทดลองให้บุคลากรทางการแพทย์สองกลุ่ม ระหว่างกลุ่มที่ได้รับวัคซีน mRNA 4 เข็ม กับ กลุ่มที่ได้รับวัคซีน mRNA 3 เข็ม มาสังเกตการติดเชื้อโอมิครอน พบว่า

  • การติดเชื้อโอมิครอนของทั้งสองกลุ่มไม่ต่างกัน
  • กลุ่มที่ฉีดวัคซีน mRNA เข็ม 4 กระตุ้นภูมิขึ้นเพียงเล็กน้อย

จากรายงานดังกล่าว พอจะสรุปได้ว่า ถ้าเราได้รับวัคซีน mRNA 3 เข็มขึ้นไป สามารถช่วยป้องกัน และลดความเสี่ยงไม่แตกต่างจาก 4 เข็ม ขอเน้นย้ำว่ารายงานผลดังกล่าวเป็นการนำกลุ่มทดลองที่ได้รับวัคซีน mRNA เท่านั้น แต่ในประเทศไทยมีวัคซีนทั้งแบบเชื้อตาย เช่น ซิโนแวค ซิโนฟาร์ม เป็นต้น และวัคซีนแบบ mRNA เช่น ไฟเซอร์ โมเดอร์น่า เป็นต้น ดังนั้นจึงต้องคำนึงถึงวัคซีนที่ตนเองได้รับมาด้วยก่อนตัดสินใจ

โอมิครอนสายพันธุ์ใหม่ ระบาดไว ติดง่าย ให้ระวังเด็กติดเชื้อเมื่อไปโรงเรียน
โอมิครอนสายพันธุ์ใหม่ ระบาดไว ติดง่าย ให้ระวังเด็กติดเชื้อเมื่อไปโรงเรียน

ถ้าติดแล้วรักษาอย่างไร?

เนื่องจากปัจจุบัน โควิด19 ได้กลายเป็นโรคประจำถิ่นแล้ว ดังนั้นการดูแลรักษาจึงมีความเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเล็กน้อย เน้นการรักษาให้ยาตามอาการ และขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ โดยคุณหมอได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับยาไว้ ดังนี้

ยาที่จะได้รับในการรักษาเมื่อติดเชื้อ จะประกอบไปด้วย

  • ยาเพื่อรักษาตามอาการ ซึ่งยากลุ่มนี้สามารถมีติดบ้านไว้ได้ตามปกติ เพื่อบรรเทาอาการของโรคที่อาจเกิดขึ้น
  • ยาประเภทที่สอง คือ ยาเพื่อรักษาเพื่อลดการเกิดปอดอักเสบ หรือลดการเสียชีวิต เป็นการรักษาเฉพาะเพื่อต่อสู้กับไวรัส ซึ่งจะเป็นยาที่ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของแพทย์

ยาที่ควรมีติดบ้านในช่วงโควิดระบาด!!

ในเบื้องต้นในช่วงการระบาดของสถานการณ์โควิด-19 ยาที่ควรจะมี หรือสามารถซื้อไว้ติดบ้านได้ จะเป็นยาในกลุ่มแรก คือ ยารักษาตามอาการ หรือยาเพื่อบรรเทาอาการของโรค ได้แก่

  1. ยาประจำตัว สำหรับผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว ควรวางแผนเรื่องของยาให้มียาทานต่อเนื่อง 1-2 เดือน เพื่อลดการเดินทางไปโรงพยาบาล และลดการกำเริบของโรค
  2. ยาพาราเซตามอล โดยให้กินยาพาราเซตามอลทันทีเมื่อมีไข้ หรือมีไข้สูงเกิน 37 องศาเซลเซียส เนื่องจากอาการโควิด-19 การมีไข้สูงอาจทำให้เกิดอันตรายได้ เช่น หัวใจเต้นเร็ว ร่างกายอ่อนเพลีย หรือร่างกายขาดน้ำ เป็นต้น ไม่แนะนำให้ใช้ยาแอสไพรินในการลดไข้  จากข้อมูลเบื้องต้นคุณหมอมักไม่แนะนำให้ใช้ยาแอสไพรินในการรักษาอาการไข้หวัดใหญ่ หรือผู้ที่มีไข้สูง โดยเฉพาะในเด็ก เพราะอาจจะเป็นการเพิ่มสาเหตุของอาการตับอักเสบมากขึ้น
  3. ยาฟ้าทะลายโจร เป็นยาช่วยบรรเทาอาการที่ไม่รุนแรง แต่ไม่ได้ช่วยป้องกันการป่วยจากโควิด-19 ใช้ในผู้ที่มีความเสี่ยงต่ำต่อการเกิดโรครุนแรง หรือผู้ป่วยกลุ่มสีเขียว ใช้เมื่อเริ่มมีอาการป่วยเล็กน้อย เช่น คัดจมูก มีน้ำมูก ไม่ควรกินเกินวันละ 180 มิลลิกรัม แบ่งกินวันละ 3-4 ครั้ง ข้อควรระวัง : ไม่ควรกินเกิน 5 วัน หลังกินยาฟ้าทะลายโจรไป 3 วันหากอาการไม่ดีขึ้น ควรพบแพทย์ ไม่ควรกินยาฟ้าทะลายโจร ร่วมกับยาบางชนิด เช่น ยาต้านการแข็งตัวของเลือด หรือยาลดความอ้วน ควรเลือกซื้อยาฟ้าทะลายโจรที่ผ่านการรับรองจาก อย.เท่านั้น

    ตรวจ ATK เมื่อเริ่มมีอาการแม้เล็กน้อย
    ตรวจ ATK เมื่อเริ่มมีอาการแม้เล็กน้อย
  4. ยาแก้ไอแบบเม็ด Dextromethorphan ถ้ามีอาการไอเยอะ สามารถกินได้ แต่ควรกินตามขนาดที่แพทย์ หรือเภสัชกรแนะนำ และกินเฉพาะผู้ที่ยังไม่มีอาการปอดอักเสบ เนื่องจากสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการปอดอักเสบแล้ว หลายคนจะมีอาการไอมากกว่าปกติ รวมถึงมีเสมหะจำนวนมาก ซึ่งผลิตจากถุงลมส่วนล่าง ที่พยายามจะขับออกมาเวลามีเชื้อ ดังนั้นหากมีอาการปอดอักเสบแล้ว กินยาแก้ไอลักษณะนี้ เหมือนเป็นการไปกดอาการไอมากจนเกินไป ทำให้ร่างกายจะขับเสมหะออกมาตามธรรมชาติ ซึ่งอาจทำให้เกิดอันตรายกับร่างกายได้ **ยานี้เป็นยาเพื่อบรรเทาอาการไอเท่านั้น ไม่ได้มีผลเกี่ยวกับการที่เชื้อจะลงปอดหรือไม่
  5. ยาลดน้ำมูก Chlorpheniramine หรือ CPM เป็นยาเพื่อช่วยลดเสมหะ ช่วยให้หายใจสะดวกขึ้น สามารถบรรเทาอาการได้ ในคนที่มีอาการเยอะ ข้อควรระวัง : หากเป็นผู้ป่วยโรคไต หรือ โรคตับบางอย่างที่มีข้อห้ามในการใช้ก็ต้องระมัดระวัง ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น : หากใช้มากเกินไปอาจทำให้น้ำมูกแห้ง คอแห้ง ปากแห้ง หรือมีอาการง่วงซึมได้ ควรใช้เท่าที่จำเป็น หรือใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์
  6. ยาแก้แพ้ Fexofenadine เป็นยาที่มีฤทธิ์ช่วยลดน้ำมูก สามารถมีติดบ้านได้ แต่ให้รับประทานเท่าที่จำเป็น หรือใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์
  7. ผงเกลือแร่ ORS (Oral Rehydration Salts) หรือที่เรียกว่า ผงน้ำตาลเกลือแร่ (Electrolyte Powder Packet) คือ สารที่ช่วยทดแทนการสูญเสียเกลือแร่ มีคุณสมบัติในการช่วยเพิ่มพลังงาน เกลือแร่ และน้ำในร่างกาย รวมทั้งป้องกันความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นจากการสูญเสียน้ำ และเกลือแร่จากอาการท้องเสีย หรือ อาเจียน ให้ชงเกลือแร่ ORS ผสมน้ำต้มสุก น้ำสะอาด จิบเรื่อยๆ ทั้งวัน (ในผู้ป่วยที่เป็นโรคไตและโรคหัวใจควรปรึกษาแพทย์ก่อน)

เป็นไปได้ว่า ที่ BA.4 และ BA.5 จะมาแทนที่สายพันธุ์อื่นได้นั้น เนื่องจากว่ามันมีความสามารถในการที่จะหลบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ที่เกิดจากการที่เคยติดเชื้อหรือจากการฉีดวัคซีน จนทำให้เกิดการติดเชื้อซ้ำได้ อย่างไรก็ตาม วัคซีนก็ยังเป็นเกราะป้องกันที่ดี ต่อการป่วยรุนแรงและเสียชีวิตจากเชื้อพวกนี้ การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นบูสเตอร์ ก็ยังมีแนวโน้มที่จะสามารถช่วยเสริมระดับภูมิคุ้มกันในร่างกาย ในการรับมือกับสายพันธุ์ย่อยใหม่นี้

ใส่หน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือ รักษาระยะห่าง ยังคงจำเป็นแม้โควิดจะกลายเป็นโรคประจำถิ่น
ใส่หน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือ รักษาระยะห่าง ยังคงจำเป็นแม้โควิดจะกลายเป็นโรคประจำถิ่น

สรุป เชื้อโควิดโอมิครอน สายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 อยู่ในกลุ่มของเชื้อที่ต้องจับตามอง ว่าจะมาแทนที่สายพันธุ์ย่อยเดิม อย่าง BA.2 เมื่อไหร่ ซึ่งการคาดการณ์ที่มีอยู่ขนาดนี้ ยังไม่มีตัวชี้บ่งว่า จะทำให้เกิดการแพร่ระบาดที่รุนแรง และมีผู้เสียชีวิตมาก เหมือนช่วงปีก่อน ๆ การระมัดระวัง ปฎิบัติตัวป้องกันอย่างที่เคยทำมายังคงเป็นสิ่งจำเป็น ใส่หน้ากากอนามัย รักษาระยะห่าง หมั่นล้างมือ เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้เราห่างไกลจากการเจ็บป่วยจากเชื้อไวรัสโควิด 19 ได้เป็นอย่างดี

ข้อมูลอ้างอิงจาก หมอเฉพาะทางบาทเดียว /www.bangkokbiznews.com

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

วัคซีนโควิด-19 ในเด็ก : ทำความเข้าใจ ปลอดภัย หายห่วง

เมื่อคุณและลูก ติดโควิด ทำยังไง ? เปิดขั้นตอนการรักษาที่นี่

ผื่นกุหลาบ โรคผิวหนังพบบ่อยในหน้าฝน พบได้ทั้งแม่ลูก

หมอธีระเผย หลอดเลือดสมองอักเสบ สาเหตุ จากLong Covid

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

    ผื่นกุหลาบ โรคผิวหนังพบบ่อยในหน้าฝน พบได้ทั้งแม่ลูก

    ผื่นกุหลาบ โรคผิวหนังพบบ่อยในหน้าฝน พบได้ทั้งแม่ลูก

    ช่วงหน้าฝนแบบนี้ คุณแม่หลายท่านรวมทั้งลูกน้อยเกิดผดผื่นขึ้นตามลำตัว และมักมีอาการคันร่วมด้วย ซึ่งผื่นนั้นก็มีหลายแบบ เกิดได้จากหลายสาเหตุ วันนี้ทีมกองบรรณาธิการ ABK ขอแนะนำให้คุณแม่รู้จัก โรคผิวหนังพบบ่อยในหน้าฝน ชนิดหนึ่งคือ ผื่นกุหลาบ นั่นเองค่ะ จะมีอาการอย่างไร ดูแลรักษาอย่างไร หาคำตอบได้จากบทความนี้ค่ะ

    ผื่นกุหลาบ โรคผิวหนังพบบ่อยในหน้าฝน

    ผื่นกุหลาบ หรือผื่นขุยกุหลาบ เป็นอาการทางผิวหนังชนิดหนึ่งที่พบได้ทั่วไป อาจมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อไวรัส  ส่งผลให้ผู้ป่วยมีผื่นขึ้นในลักษณะเป็นวงกว้างสีชมพู หรือเป็นจุดรูปไข่ขึ้นตามหน้าอก หน้าท้อง และแผ่นหลัง โดยมักมีอาการคันร่วมด้วย ส่วนใหญ่จะเกิดในช่วงอายุ 10-35 ปี

    สาเหตุของผื่นกุหลาบ

    สาเหตุของผื่นกุหลาบยังไม่ทราบเป็นที่แน่ชัด สันนิษฐานว่าอาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัสตระกูลเฮอร์ปีส์ (Herpes Virus) แต่ไม่ใช่ไวรัสสายพันธ์ุที่เป็นสาเหตุของโรคเริม และโรคอีสุกอีใส และผื่นกุหลาบไม่สามารถติดต่อจากคนสู่คนผ่านการสัมผัสผิวหนังที่เป็นโรคได้

    การใช้ยาบางประเภทก็อาจกระตุ้นให้เกิดผื่นขุยกุหลาบได้ เช่น ยาลดความดันโลหิตกลุ่มยาต้านเอนไซม์เอซีอี ยาฆ่าเชื้อเมโทรนิดาโซล ยาไอโซเตรติโนอินที่ใช้รักษาสิว ยาโอเมพราโซลสำหรับรักษาโรคกระเพาะอาหารอักเสบ เป็นต้น

    ผื่นกุหลาบ โรคผิวหนังพบบ่อยในหน้าฝน พบได้ทั้งแม่ลูก
    ผื่นกุหลาบ โรคผิวหนังพบบ่อยในหน้าฝน พบได้ทั้งแม่ลูก

    อาการของผื่นกุหลาบ

    โดยทั่วไปแล้ว ผู้ป่วยอาจมีอาการอื่น ๆ มาก่อน ได้แก่ มีไข้ ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย เจ็บคอ และปวดตามข้อ จากนั้นจะมีผื่นขึ้น โดยแบ่งอาการออกเป็น 2 ระยะ ดังนี้

    • ผื่นปฐมภูมิ ในช่วงเริ่มแรก ผู้ป่วยจะมีผื่นสีชมพู หรือสีแดง อาจมีรูปร่างกลม หรือเป็นวงรี และมีขุยล้อมรอบปรากฏเป็นปื้นใหญ่โดด ๆ ขนาด 2-10 เซนติเมตร บริเวณหลัง หน้าอก ใบหน้า และคอ บางรายอาจมีผื่นขึ้นบนใบหน้า หนังศีรษะ หรือบริเวณใกล้อวัยวะสืบพันธุ์ โดยอาจเรียกผื่นปฐมภูมินี้ว่า ผื่นแจ้งโรค หรือผื่นแจ้งข่าว (Herald Patch)
    • ผื่นแพร่กระจาย หลังจากเกิดผื่นปฐมภูมิ ภายในไม่กี่วัน หรือไม่กี่สัปดาห์ผู้ป่วยจะเกิดผื่นขุยเล็ก ๆ สีชมพูขนาด 0.5-1.5 เซนติเมตร แพร่กระจายบริเวณหน้าอก หน้าท้อง หลัง คอ ต้นขา และต้นแขน ซึ่งอาจมีอาการคันร่วมด้วย โดยผื่นที่เกิดขึ้นนั้น มักมีลักษณะตามแนวรอยพับของผิวหนัง คล้ายต้นคริสต์มาส จึงเรียกว่า Christmas Tree Distribution แต่มักไม่พบผื่นนี้ที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า และใบหน้า

    ทั้งนี้ อาการผื่นขุยทั้ง 2 ระยะจะปรากฏอยู่นาน 2-12 สัปดาห์ แต่บางรายอาจมีอาการคงอยู่นานถึง 5 เดือนและหายไปเอง

    โรคผิวหนังพบบ่อยในหน้าฝน
    ผื่นกุหลาบ โรคผิวหนังพบบ่อยในหน้าฝน

    การรักษาผื่นกุหลาบ

    โดยปกติแล้ว อาการผื่นกุหลาบมักจะหายไปได้เองภายใน 6 – 8 สัปดาห์ การรักษาจึงเป็นแบบการประคับประคองตามอาการเป็นหลัก แต่หากอาการคงอยู่นานกว่า 3 เดือน ก็ควรไปพบแพทย์

    วิธีบรรเทาอาการผื่นกุหลาบด้วยตนเองในเบื้องต้น มีดังนี้

    • อาบน้ำด้วยน้ำเย็น และหลีกเลี่ยงการอาบน้ำร้อน
    • เลือกใช้สบู่ที่อ่อนโยนต่อผิว และไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม
    • หลีกเลี่ยงการอยู่ในสภาพอากาศร้อน เพราะสภาพอากาศที่อบอ้าว และการมีเหงื่อออกมาก อาจทำให้อาการรุนแรงขึ้น

    นอกจากนี้ อาจใช้ยาตามร้านขายยาทั่วไปเพื่อช่วยบรรเทาอาการคัน เช่น

    • ครีมแก้คัน ทาครีมที่มีส่วนผสมของยาไฮโดรคอร์ติโซน 1 เปอร์เซ็นต์ บริเวณที่เป็นผื่น
    • ยาต้านฮิสตามีนหรือยาแก้แพ้ เช่น ยาคลอเฟนิรามีน ยาไดเฟนไฮดรามีน เป็นต้น
    • ยารักษาการติดเชื้อรา เช่น อะไซโคลเวียร์ เป็นต้น
    • โลชั่นบำรุงผิว เพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวบริเวณที่เกิดผื่น

    ทั้งนี้ หากใช้ยาและดูแลตนเองตามวิธีข้างต้นแล้วไม่ได้ผล มีผื่นแพร่กระจายจำนวนมาก หรือผู้ป่วยมีอาการคันรุนแรงจนกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน แพทย์อาจแนะนำให้รับประทานยาปฏิชีวนะกลุ่มแมคโครไลด์ เพื่อช่วยให้ผื่นหายเร็วขึ้น เช่น ยาอิริโทรมัยซิน ยารอกซิโทรมัยซิน เป็นต้น และบางรายอาจต้องรับการรักษาด้วยการฉายแสงอัลตราไวโอเลตบี (UVB Light Therapy) เพื่อช่วยให้อาการของโรคทุเลาลง

    ขอบคุณข้อมูลจาก

    โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย, pobpad

     

    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

    อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

    ผื่นคันระหว่างตั้งครรภ์ รอยแตกลายที่ท้อง ป้องกันได้

    ลูกแพ้ยุง โดนยุงกัดทีไร เป็นผื่นแพ้ยุง ทำยังไงดี?

    วิธีสังเกต ลูกเป็น “ผื่นแพ้นมวัว” หรือไม่? โดยคุณหมอนิอร

      เด็กทารก

      เด็กทารก อายุ 1 เดือน เติบโตแค่ไหน ควรดูแลอย่างไร!!

      เด็กทารก จากแรกคลอดถึงอายุ 1 เดือน มีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว มีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง ดูแลการรับประทาน การนอน การอาบน้ำ การขับถ่ายอย่างไร

      เด็กทารก อายุ 1 เดือน เติบโตแค่ไหน ควรดูแลอย่างไร!!

      วัยแรกเกิด คือ ระยะเวลาจากแรกเกิดจนถึง 1 เดือน เป็นช่วงเวลาแห่งการเรียนรู้ของคุณพ่อคุณแม่และลูกน้อย  จากนั้นเข้าสู่วัย เด็กทารก อายุ 1 – 12  เดือน จะเริ่มมีพัฒนาการใหม่ ๆ เกิดขึ้น ทั้งนี้คุณพ่อคุณแม่ควรส่งเสริมพัฒนาการทารกในด้านต่าง ๆ เพื่อให้ทารกเติบโตอย่างมีประสิทธภาพ ทีมกองบรรณาธิการ ABK ได้รวบรวมข้อมูลต่าง ๆ มาให้แล้วค่ะ

      เด็กทารก 1 เดือน เติบโตแค่ไหน
      เด็กทารก 1 เดือน เติบโตแค่ไหน

      เด็กทารก อายุ 1 เดือน เติบโตแค่ไหน ควรดูแลอย่างไร!!

      การเจริญเติบโตของทารกในเดือนแรกเป็นอย่างไร ?

      เด็กทารกในช่วงเดือนแรกนั้น จะมีการเจริญเติบโตที่รวดเร็ว แต่ยังคงทำได้เพียงกิน นอน ร้องไห้ และขับถ่าย จึงต้องอาศัยการดูแลเอาใจใส่ของผู้ปกครอง โดยเด็กทารกวัย 1 เดือน มีการเจริญเติบโตในแต่ละด้าน ดังนี้

      การเจริญเติบโตของร่างกาย

      เด็กจะมีน้ำหนักตัวลดลงในช่วงสัปดาห์แรกหลังคลอด ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ โดยหลังจากนั้นน้ำหนักจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเอง ซึ่งในช่วงเดือนแรกหลังคลอด เด็กอาจตัวยาวขึ้นถึง 3.8 เซนติเมตร และอาจมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นถึง 900 กรัมจากแรกเกิด แต่การเจริญเติบโตของเด็กแต่ละคนอาจไม่เท่ากันเพราะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยด้วย

      การใช้กล้ามเนื้อ

      เมื่ออายุได้ 1 เดือน เด็กทารก จะสามารถยกหัวขึ้นเองได้บ้างแล้วในขณะนอนคว่ำ แต่ก็ยังคงต้องระวัง คอยประคองหัวของเด็กไว้ตอนอุ้มเด็กขึ้นมา เพราะคอยังไม่แข็งแรงมากนัก

      การกิน

      ปุ่มรับรสที่อยู่บนลิ้นของเด็กวัยนี้จะยังทำงานได้ไม่ค่อยดีนัก โดยลิ้นของเด็กจะรับรสหวานได้ดีที่สุด แต่ยังไม่สามารถแยกแยะรสเปรี้ยวหรือรสขมได้ ส่วนเรื่องอาหาร เด็กควรดื่มแค่นมแม่หรือนมผงสำหรับทารกแรกเกิดก็เพียงพอแล้ว

      การนอน

      เด็กทารก ในช่วงเดือนแรกนั้นควรนอนวันละประมาณ 15-16 ชั่วโมง แบ่งเป็นนอนกลางวันประมาณ 3 ครั้ง รวมแล้วประมาณ 7 ชั่วโมง และนอนตอนกลางคืนเป็นช่วง ๆ อีกประมาณ 8.5 ชั่วโมง แต่ทั้งนี้อาจจะแตกต่างกันไปในเด็กแต่ละคน

      การมองเห็นและการจดจำ

      เด็กทารกวัย 1 เดือนจะมองเห็นได้ชัดที่สุดในระยะ 20-30 เซนติเมตร และจะมองเห็นสีตัดกันอย่างสีขาวดำและสีที่ชัดเจนได้ดีกว่าสีทั่วไป โดยเด็กแรกเกิดอาจมีอาการตาเหล่ด้วย ซึ่งอาการจะหายไปเองหลังจากผ่านไป 3-4 เดือน นอกจากนี้ เด็กจะสามารถจดจำใบหน้า เสียง และกลิ่นที่คุ้นเคยได้ อย่างหน้าตาของแม่ เสียงของแม่ และกลิ่นของน้ำนมแม่ อีกทั้งเด็กอาจจำเสียงของแม่หรือคนในครอบครัวได้และอาจหันไปหาเสียงที่คุ้นเคยด้วย ดังนั้น ผู้ปกครองจึงควรเล่นกับเด็กบ่อย ๆ เพื่อให้เด็กเกิดการจดจำ

      การสื่อสาร

      เด็กทารกในวัยนี้ทำได้แต่ร้องไห้เพียงอย่างเดียว ยังไม่สามารถพูดเป็นภาษาเพื่อสื่อสารกับคนอื่นได้ ดังนั้นผู้ปกครองจึงควรสังเกตลักษณะและอาการต่าง ๆ เพราะอาจทำให้ทราบได้ว่าการร้องไห้แบบไหนสื่อถึงอะไรบ้าง เมื่อรู้ถึงความต้องการของเด็กแล้ว อาจตอบสนองความต้องการของเด็กได้อย่างถูกวิธี เช่น ให้เด็กกินนม หรืออุ้มเด็กเดินไปมาพร้อมร้องเพลงกล่อม เป็นต้น แต่หากเด็กร้องไห้นานหรือบ่อยผิดปกติ อาจเป็นสัญญาณของอาการโคลิคหรือโรคอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นกับเด็กได้ ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ควรไปปรึกษาแพทย์หรือนำเด็กไปตรวจหาสาเหตุ

      เทคนิคต่าง ๆ ในการดูแลเด็กทารก

      สำหรับเด็กทารกในวัยนี้มีกิจกรรมที่ทำอยู่ไม่กี่อย่างเท่านั้น หากเด็กทำกิจกรรมใดน้อยกว่าหรือมากกว่าปกติ นั่นอาจเป็นสัญญาณของความผิดปกติที่เกิดขึ้น

      โดยเรื่องที่พ่อแม่ควรให้ความสำคัญเป็นพิเศษในการดูแลเด็กวัยนี้ ได้แก่

      • ดูแลเรื่องการกินนม หากเป็นนมมารดา เด็กจะดูดนมประมาณ 8 ครั้งต่อวัน แต่ละครั้งเป็นเวลาอย่างน้อยประมาณ 10-15 นาที หรือเมื่อสังเกตได้ว่าเด็กอิ่ม แต่หากเป็นนมผง เด็กอาจดื่มถึงครั้งละประมาณ 120 มิลลิลิตร หรือ 4 ออนซ์ ในทุก ๆ 3-4 ชั่วโมง
      • สังเกตการขับถ่าย เด็กทารกวัยนี้ควรต้องขับถ่ายและใช้ผ้าอ้อม 4-6 ผืนต่อวัน แต่เด็กอาจอุจจาระวันละครั้ง หรือไม่อุจจาระเลยเป็นเวลา 1-2 วันก็ได้หากลักษณะอุจจาระปกติดี ซึ่งอุจจาระของเด็กที่กินนมมารดาจะค่อนข้างเหลว แต่หากเด็กกินนมผง อุจจาระจะยังเหลวอยู่แต่ดูเป็นก้อนกว่าอุจจาระของเด็กที่ดื่มนมมารดา แต่ก็ไม่ควรมีลักษณะแข็งจนเกินไป
      ดูแลเด็กทารก 1 เดือนอย่างไร
      ดูแลเด็กทารก 1 เดือนอย่างไร

      ปัญหาสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นกับเด็กทารก

      นอกจากการเจริญเติบโตที่รวดเร็วของเด็กแล้ว คุณพ่อคุณแม่ต้องคำนึงถึงปัญหาด้านอื่นที่อาจเกิดขึ้นกับเด็กอายุ 1 เดือนด้วย เพราะเด็กทารกยังพูดไม่ได้ ฉะนั้นหากเกิดความผิดปกติขึ้้นเด็กก็จะไม่สามารถบอกผู้ปกครองเป็นคำพูดได้ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จึงควรหมั่นสังเกตความผิดปกติของลูกอย่างสม่ำเสมอ

      ดังนั้น หากลูกน้อยมีอาการดังต่อไปนี้ ผู้ปกครองควรรีบพาเด็กไปพบแพทย์

      • กินนมช้ากว่าปกติ หรือมีอาการกลืนลำบาก
      • ไม่กระพริบตาเมื่อเห็นแสงสว่าง
      • ไม่มองตามวัตถุที่เคลื่อนผ่านสายตา
      • ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเมื่อได้ยินเสียงดัง
      • ไม่ค่อยขยับแขนขาเท่าที่ควร หรือเมื่อขยับแล้วแลดูติดขัด
      • มีอาการคางสั่นหรือปากสั่น อย่างต่อเนื่องตอนไม่ได้ร้องไห้หรือตื่นเต้น
      • ร้องไห้นานผิดปกติ หรือร้องไห้บ่อยผิดปกติ
      • มีปัญหาเกี่ยวกับการนอน เช่น ไม่นอนเลย หรือนอนมากเกินไป เป็นต้น
      • มีปัญหาสุขภาพ เช่น ไอ ท้องผูก เป็นต้น

      สาเหตุที่ทารกไม่ยอมนอนกลางวัน

      ทารก 1 เดือน ไม่นอนกลางวันทำให้คุณพ่อคุณแม่เกิดความวิตกกังวลเป็นอย่างมาก เพราะอาจไม่เข้าใจถึงว่าเพราะอะไร สาเหตุที่ทารก 1 เดือนไม่นอนกลางวันนั้นอาจเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย ได้แก่

      • ทารกรู้สึกหิว เป็นหนึ่งในสาเหตุที่พบได้บ่อย นมที่ดื่มก่อนหน้านั้นอาจย่อยไวเกินไป มีการเว้นระยะห่างในการให้เด็กกินนมนานเกินไป หรือเด็กกินนมน้อยเกินไป จนทำให้เด็กหิว และนอนไม่หลับ
      • ทารกไม่สบาย การไม่นอนกลางวันของ ทารก 1 เดือน อาจเกิดจากการไม่สบาย เช่น เป็นหวัด มีไข้ แก๊สในกระเพาะอาหาร ท้องผูก ภูมิแพ้ อาการเจ็บป่วยเหล่านี้ มักทำให้เด็กรู้สึกไม่สบายตัว จนหลับยาก
      • ทารกไม่สบายตัว อาจเกิดจากที่นอนของทารกแข็งจนเกินไป ถูกมดหรือแมลงกัดหรือต่อย อากาศร้อนเกินไป ไปจนถึงบรรยากาศหรือสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อการนอน ทารกจึงรู้สึกไม่สบายตัว จนทำให้นอนไม่หลับ หรือไม่ยอมนอน
      • อุณหภูมิไม่เหมาะสม อุณหภูมิที่เหมาะสมเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ทารกนอนหลับได้ง่ายขึ้น อากาศที่ร้อนหรือเย็นจนเกินไป อาจทำให้ทารกหลับได้ยาก
      • เสียงรบกวน ทารกไม่ชอบให้มีเสียงรบกวนเวลานอน โดยเฉพาะเสียงที่ดังจนเกินไป อาจรบกวนการนอนหลับของเด็ก หรือทำให้เด็กนอนไม่หลับ หรือไม่ยอมนอน

      ทำอย่างไรให้ทารกนอนกลางวัน

      เพื่อให้ทารก 1 เดือน เข้านอนกลางวันได้ง่ายขึ้น หรือหลับได้ง่ายขึ้น คุณพ่อคุณแม่ และผู้ปกครอง อาจลองทำตามนี้ ได้แก่

      • ใช้เวลากับทารกบ้าง หากทารกนอนหลับยาก หลังจากให้นม คุณพ่อคุณแม่ควรเล่นกับลูกสักครู่หนึ่ง หรืออย่างน้อย 2-3 นาที การได้ใกล้ชิด ได้รับความอบอุ่นจากคุณพ่อหรือคุณแม่อาจช่วยให้เด็กอยากนอนมากขึ้น
      • พาทารกออกไปเดินเล่นบ้าง เพื่อให้ทารกได้สัมผัสกับบรรยากาศใหม่ ๆ สิ่งแวดล้อมใหม่ ๆ หรือการพาเด็กไปสัมผัสกับแสงแดดอ่อน ๆ บ้าง สามารถช่วยกระตุ้นให้นาฬิกาชีวภาพภายในร่างกายของทารกทำงานได้ดีขึ้น นอนหลับง่ายขึ้น
      • จัดบรรยากาศให้เหมาะแก่การนอน เช่น ปรับอุณหภูมิห้องให้เหมาะสม จัดแสงสว่างให้เหมาะสม ลดเสียงรบกวน
      • ตอบรับสัญญาณ เมื่อทารกเริ่มมีอาการง่วงนอน แต่ยังตื่นอยู่ คุณพ่อคุณแม่อาจนวดตัวให้ทารกเบา ๆ หรือร้องเพลงกล่อมเด็กให้เขาฟัง เพื่อฝึกให้ทารกจดจำได้ว่า เมื่อคุณพ่อคุณแม่เริ่มทำเช่นนี้ เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าได้เวลานอนแล้ว
      • พาทารกเข้านอนในเวลาเดิมทุกวัน เพื่อให้ เด็กทารก 1 เดือน เริ่มเรียนรู้ว่า ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่จะต้องเข้านอน นาฬิกาชีวภาพในร่างกายของทารกก็จะจดจำช่วงเวลาดังกล่าวนี้ ทำให้ทารกมีโอกาสที่จะเข้านอนได้ง่ายขึ้น
      • วางทารกลงบนที่นอนในท่านอนหงาย ไม่คว่ำหน้า หรือตะแคง เพื่อให้ทารกได้นอนในท่าที่สบาย
      • ที่นอนไม่ควรอัดแน่นไปด้วยของเล่น หรือตุ๊กตา สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ช่วยในการนอนแต่อย่างใด ทั้งยังกินพื้นที่ในการนอนของทารกด้วย
      • ใส่ใจเรื่องความปลอดภัย เช่น ที่นอนได้มาตรฐานหรือไม่ มีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในที่นอนหรือไม่ หากนอนเปล เปลมีความแข็งแรงเพียงพอหรือเปล่า เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝันขณะทารกกำลังนอนหลับ

      การเจริญเติบโต และการดูแล เด็กทารก อายุ 1 เดือน ตามข้อมูลที่ ทีมกองบรรณาธิการ ABK นำมาฝากนี้ คงเป็นประโยชน์สำหรับคุณพ่อคุณแม่เพื่อรับมือกับลูกน้อยกันนะคะ

       

      อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

      อาการหลับไม่ตื่นในทารก SIDSอายุ 1 เดือน-1 ปี เสี่ยงมาก

      น้ำผึ้ง ป้อนทารก ระวังอันตราย!จากภาวะโบทูลิซึม

      รู้เร็วยิ่งดี! ปอมเปย์ โรคทางพันธุกรรมที่เจอตั้งแต่เป็นทารก

      ทารกท้องอืด ลูกท้องอืด แบบไหนอันตรายพร้อมวิธีรับมือ

       

      ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.pobpad.com, https://hellokhunmor.com

       

      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

      Amarin Baby & Kids

        วัคซีนเข็มกระตุ้น

        จุดฉีด วัคซีนเข็มกระตุ้น วอล์คอิน จองคิวผ่านแอปฯ ล่าสุด

        จุดฉีด วัคซีนเข็มกระตุ้น วอล์คอิน จองคิวผ่านแอปฯ ล่าสุด

        การฉีด วัคซีนเข็มกระตุ้น เป็นเรื่องสำคัญ ในภาวะที่โควิดสายพันธุ์โอมิรอนสายพันธุ์ย่อย BA.4/BA.5 ระบาดอย่างหนัก แนะนำให้มีการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นเพิ่ม โดยผู้ที่ฉีด 3 เข็มแล้ว หากถึงระยะเวลาที่แนะนำ คือ 4 เดือน ควรมาฉีดกระตุ้นซ้ำ เพราะมีข้อมูลในต่างประเทศว่า ถ้าได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้น หากติดโควิดแล้วอาการป่วยจะน้อยกว่าคนที่ไม่ได้ฉีด ซึ่งชัดเจนว่า “วัคซีน” ยังได้ผลในการป้องกันอาการหนักและเสียชีวิต โดยวัคซีนเข็มกระตุ้นเข็ม 4 และเข็ม 5 ทาง ศบค. ก็มีการจัดสรรให้ฉีดฟรีตามจุดต่างๆ ทั้งแบบวอล์คอิน และจองคิวผ่านแอปฯ มาให้ทราบกัน ดังนี้

         

        จุดฉีด วัคซีนเข็มกระตุ้น ในกรุงเทพ

        • สถานีกลางบางซื่อ

        ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ ให้บริการวัคซีนป้องกันโควิด ทุกเข็ม ตั้งแต่ เข็มที่ 1, 2 และ ตั้งแต่เข็มที่ 3 ขึ้นไป ในรูปแบบ Walk in โดยไม่ต้องจองคิวล่วงหน้า ให้กับประชาชนอายุ 5 ปีขึ้นไป ทุกคน ทุกสัญชาติ ไม่จำกัดภูมิลำเนา ไม่จำกัดจำนวนวัคซีนต่อวัน สามารถเลือกรับบริการตามชนิดวัคซีน

        โดยเปิดทุกวัน เวลา 9.00-16.00 น.

        – ประตู 1

        วัคซีนโมเดอร์นาสำหรับผู้มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

        – ประตู 2

        วัคซีนไฟเซอร์ฝาสีม่วง สำหรับผู้มีอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป

        (วัคซีนแอสตร้าเซเนก้า และวัคซีนซิโนแวค แจ้งเจ้าหน้าที่)

        – ประตู 3

        วัคซีนไฟเซอร์ฝาสีส้ม สำหรับเด็กอายุ 5-11 ปี ให้บริการเข็มที่ 1 จนถึงวันที่ 19 มิ.ย. เพื่อให้ทันรับเข็มที่ 2 ก่อนวันที่ 31 ก.ค.

        • จุดฉีดสนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น

        กรุงเทพมหานคร (กทม.) เชิญชวน “ฉีดวัคซีนโควิด-19” เข็มกระตุ้น ฟรี ทุกสัญชาติ โดยไม่ต้องจองคิวล่วงหน้า และไม่จำกัดจำนวนตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2565

        สามารถ Walk in หรือจองผ่านแอปฯ QueQ เพื่อเข้ารับการ “ฉีดวัคซีนโควิด-19” ณ ลานกีฬาเวสน์ 1 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น) เขตดินแดง

        เงื่อนไข :

        • สำหรับผู้ที่มีอายุ 5 ปีขึ้นไป
        • ทุกสัญชาติ

        เอกสารที่ต้องเตรียม :

        • บัตรประชาชน หรือ Passport
        • หลักฐานรับรองการได้รับวัคซีน
        • และปากกาส่วนตัว
        วัคซีนเข็มกระตุ้น
        จุดฉีด วัคซีนเข็มกระตุ้น
        • 69 ศูนย์บริการสาธารณสุขใกล้บ้าน

        สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร เปิดบริการฉีดวัคซีน COVID-19 เข็มกระตุ้นที่ 69 ศูนย์บริการสาธารณสุขใกล้บ้าน โดยเงื่อนไขคือ ฉีดทุกวันศุกร์ ฉีดทุกสูตร ฉีดทุกเข็ม สำหรับประชาชนทุกช่วงวัย ทุกสัญชาติ ตั้งแต่อายุ 5 ปีขึ้นไป

        สามารถจองคิวผ่านทางแอปพลิเคชัน QueQ หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์บริการสาธารณสุขใกล้บ้าน ติดต่อสอบถาม สำนักอนามัย กทม. โทร 0 2203 2883

        • โรงพยาบาลราชวิถี

        โรงพยาบาลราชวิถี เปิดให้ลงทะเบียนจองคิวออนไลน์ เพื่อเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกัน COVID-19 โดยกลุ่มเป้าหมาย คือ วัคซีน Pfizer, Covavax เข็มที่ 1 คลิก วัคซีน Pfizer , Covavax เข็มกระตุ้น (เข็มที่ 2,3,4,5) คลิก

        • สถานเสาวภา สภากาชาดไทย

        สถานเสาวภา สภากาชาดไทย เปิดลงทะเบียนเพื่อรับวัคซีน “โมเดอร์นา” (ฟรี) “เข็ม 2,3,4” สําหรับประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไป ให้บริการขนาดเต็มโดส (100 ไมโครกรัม) ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ โดยให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันโควิดตามเงื่อนไขดังนี้

        เข็ม 2

        – เคยได้รับซิโนแวค/ซิโนฟาร์ม/แอสตร้าเซนเนก้า/โมเดอร์นา เป็นเข็ม 1 ภายในวันที่ 30 พ.ค.2565

        เข็ม 3

        – เคยได้รับซิโนแวค 2 เข็ม หรือ ซิโนฟาร์ม 2 เข็ม โดยฉีดเข็ม 2 ภายในวันที่ 30 พ.ค.2565

        – เคยได้รับแอสตร้าเซนเนก้า ครบ 2 เข็ม โดยฉีดเข็ม 2 ภายในวันที่ 30 มี.ค.2565

        – เคยได้รับวัคซีนสูตรไขว้ ดังนี้

        – ซิโนแวค+แอสตร้าเซนเนก้า หรือ ซิโนฟาร์ม+แอสตร้าเซนเนก้า

        – ซิโนแวค+โมเดอร์นา หรือ ซิโนฟาร์ม+โมเดอร์นา

        – แอสตร้าเซนเนก้า+โมเดอร์นา โดยฉีดเข็ม 2 ภายในวันที่ 30 มี.ค. 2565

        เข็ม 4

        – เคยได้รับซิโนแวค 2 เข็ม หรือ ซิโนฟาร์ม 2 เข็ม และได้รับแอสตร้าเซนเนก้าเป็นเข็ม 3 หรือ เคยได้รับซิโนแวค 2 เข็ม หรือ ซิโนฟาร์ม 2 เข็ม และได้รับโมเดอร์นาเป็นเข็ม 3

        – เคยได้รับซิโนฟาร์ม/ซิโนแวค เป็นเข็ม 1 และได้รับแอสตร้าเซนเนก้าเป็นเข็ม 2 และ 3

        – เคยได้รับซิโนฟาร์ม/ซิโนแวค เป็นเข็ม 1 และได้รับแอสตร้าเซนเนก้าเป็นเข็ม 2 และโมเดอร์นาเป็นเข็ม 3

        – เคยได้รับแอสตร้าเซนเนก้าเป็นเข็ม 1,2 และโมเดอร์นาเป็นเข็ม 3 โดยฉีดเข็ม 3 ภายในวันที่ 28 ก.พ.2565

        เปิดลงทะเบียนเพื่อรับวัคซีน “โมเดอร์นา” วันที่ 29 มิถุนายน 2565 เวลา 13.00 น. เป็นต้นไปจนกว่าจะเต็มจํานวน

        เลือกฉีดวัคซีนเข็ม 2,3,4 ในวันที่ 1,4,5,6,7,8 ก.ค. 2565 โดยให้ลงทะเบียนทาง https://qsmi-booster.kcmh.or.th/

        เงื่อนไขคือ

        • สถานที่ให้บริการฉีดวัคซีนโควิด-19 ตึกอํานวยการ สถานเสาวภา สภากาชาดไทย กรุงเทพฯ
        • กรุณาเลือกวันและเวลารับวัคซีน กดยืนยันจะขึ้นว่า บันทึกข้อมูลสําเร็จ ให้ถ่ายภาพหน้าจอไว้เป็นหลักฐาน > กรุณานํา บัตรประชาชน สมุดฝากครรภ์ ปากกา มาด้วยในวันนัดหมาย
        • สตรีมีครรภ์ต้องมีอายุครรภ์มากกว่า 12 สัปดาห์ในการเข้ารับวัคซีน
        • กรุณามาตรงตามวันและเวลาที่ได้นัดหมาย หากไม่มาตามวันและเวลาที่ลงทะเบียนไว้จะถือว่าสละสิทธิ์ (รอบ 11.00 น. กรุณามาก่อนเวลา 11.45 น.)
        • LOT วัคซีนโมเดอร์นาที่ให้บริการเป็นช่วงขยายอายุวัคซีนที่ได้รับการรับรองจากสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา

        จุดฉีดวัคซีนในจังหวัดนนทบุรี

        สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนนทบุรี เปิด “ฉีดวัคซีนเข็ม 5” เดือนกรกฎาคม 2565 สำหรับคนไทยและทุกสัญชาติอายุ 18 ปีขึ้นไปที่ “ฉีดวัคซีนเข็ม 4” มาแล้วไม่น้อยกว่า 4 เดือน

        สามารถลงทะเบียน “ฉีดวัคซีนเข็ม 5” ตามลิงก์ (คลิกที่นี่) หรือ โดยเงื่อนไขสำหรับเข็มที่ 5 ทุกสูตรที่ “ฉีดวัคซีนเข็ม 4” มาแล้วไม่น้อยกว่า 4 เดือน

        สนามฉีดวัคซีนเข็ม 5

        • เซ็นทรัลพลาซ่า แจ้งวัฒนะ วันที่ 19 กรกฎาคม 2565 วันละ 2,000 คน รับบัตรคิว อาคารจอดรถ B ชั้น 3 ครึ่ง
        • เซ็นทรัล รัตนาธิเบศร์ วันที่ 1 , 8 และ 22 กรกฎาคม 2565 วันละ 2,000 คน รับบัตรคิว ลานจอดรถชั้น 3 , บุคคลทั่วไป รับบัตรคิว ลานจอดรถ ชั้น 3 ผู้สูงอายุ 70 ปีขึ้นไป ผู้พิการ ผู้ใช้รถเข็น เข้าประตูทางเข้าห้างท้อปส์ด้านหลังห้างฯ และขึ้นลิฟท์หรือบันไดเลื่อนมาที่ชั้น 2 รับบัตรคิว ชั้น 2 หน้าจุดฉีดวัคซีน
        • เซ็นทรัล เวสต์เกต วันที่ 7 , 21 กรกฎาคม 2565 วันละ 2,000 คน รับบัตรคิว ลานจอดรถ 2C

        ขอบคุณข้อมูลจาก
        Biz prompt, คมชัดลึก,กรุงเทพธุรกิจ

         

        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

        Amarin Baby & Kids

         

        อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

        วัคซีนโควิด-19 ในเด็ก : ทำความเข้าใจ ปลอดภัย หายห่วง

        ฉีดวัคซีนโควิดตอนตั้งครรภ์ ช่วยทารกเข้า รพ. น้อยลง

        เปิด 5 สูตร ฉีดวัคซีนโควิด19 ในเด็ก อายุต่ำกว่า 18 ปี

          ตรวจคัดกรองดาวน์ซินโดรม

          กรมอนามัยหนุน ตรวจคัดกรองดาวน์ซินโดรม ตั้งแต่ในครรภ์

          ตรวจคัดกรองดาวน์ซินโดรม ตั้งแต่ในครรภ์ช่วยเตรียมความพร้อมให้ครอบครัวได้เตรียมตัว และตัดสินใจ กรมอนามัยหนุนตรวจคัดกรองเบิกจ่ายได้ตามสิทธิ์หลักประกันสุขภาพ

          กรมอนามัยหนุน ตรวจคัดกรองดาวน์ซินโดรม ตั้งแต่ในครรภ์!!

          หนึ่งในความกังวลใจของคุณแม่ตั้งครรภ์ทุกคน นั่นคือ ความกังวลใจต่อสุขภาพลูกน้อยในครรภ์ โดยเฉพาะคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ในช่วงอายุมาก ความกังวลใจดังกล่าวก็จะมีมากขึ้นตามด้วย เช่น ความห่วงกังวลเรื่องความสมบูรณ์ของลูกในครรภ์ ภาวะครรภ์เป็นพิษ เบาหวานขณะตั้งครรภ์ ตกเลือดหลังคลอด ภาวะโครโมโซมผิดปกติ หรือกลุ่มอาการดาวน์ซิมโดรม เป็นต้น

          ดาวน์ซินโดรม (Down syndrome) เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของโครโมโซมแต่กำเนิด ซึ่งทำให้เด็กมีปัญหาด้านร่างกาย พัฒนาการ และสติปัญญา โดยปกติคนเราจะมีโครโมโซมจำนวน 23 คู่ หรือ 46 แท่ง แต่ในกรณีที่เป็นดาวน์ซินโดรม มักเกิดความผิดปกติที่เรียกว่า Trisomy 21 คือการที่มีโครโมโซมคู่ที่ 21 เกินมาแท่งหนึ่ง กลายเป็น 3 แท่ง ซึ่งพบได้บ่อยเกิน 90% นอกจากนี้ก็อาจเกิดจากความผิดปกติรูปแบบอื่นได้ เช่น การเกิด Translocation หรือการย้ายตำแหน่งของโครโมโซม

          ตรวจคัดกรองดาวน์ซินโดรม
          ตรวจคัดกรองดาวน์ซินโดรม

          ลักษณะของเด็กที่เป็นดาวน์ซินโดรม ที่เห็นได้ชัดเจนคือมีศีรษะเล็กแบน รูปหน้าผิดปกติ ตาเฉียงและห่าง ดั้งจมูกแบน หูต่ำ ปากเล็ก และลิ้นโตคับปาก ซึ่งลักษณะที่เหมือนกันทั้งหมด ส่วนร่างกาย จะตัวเตี้ย มีขาสั้น มือและนิ้วสั้น กระดูกข้อกลางนิ้วก้อยหายไป ลายฝ่ามือตัดขวาง นิ้วโป้งและนิ้วชี้เท้าห่าง กล้ามเนื้ออ่อนนิ่มปวกเปียก ไม่ตึงตัว นอกจากนี้ เด็กที่เป็นดาวน์ซินโดรมจะมีพัฒนาการช้าทั้งด้านร่างกายและสติปัญญา มีไอคิวต่ำ หรือภาวะปัญญาอ่อน และเด็กหลายคนก็มักมีความผิดปกติอื่นๆ เช่น หัวใจพิการแต่กำเนิด หรือลำไส้อุดตัน เป็นต้น

          รู้ได้อย่างไรว่าลูกเป็นดาวน์ซินโดรม???

          ในอดีต การจะรู้ว่าลูกเป็นเด็กกลุ่มอาการดาวน์ซินโดรมหรือไม่ ต้องเจาะน้ำคร่ำเพื่อตรวจโครโมโซมซึ่งมีโอกาสแท้งจากการตรวจได้ และมีค่าใช้จ่ายสูง และมักตรวจเฉพาะแม่ที่อายุมากกว่า 35 ปีเท่านั้น แม่ที่อายุน้อยกว่า 35 ปี จึงไม่ทราบล่วงหน้าว่าตั้งครรภ์ทารกที่เป็นดาวน์
          ปัจจุบัน มีการตรวจกรองทารกกลุ่มอาการดาวน์ซินโดรม เพื่อให้แม่ทุกคนสามารถรู้ได้ว่าลูกเสี่ยงต่อการเป็นดาวน์ซินโดรมหรือไม่ หลายวิธีการมากขึ้น เช่น ตรวจโดยการตรวจเลือดแม่ ร่วมกับการทำอัลตราซาวด์ ซึ่งไม่เสี่ยงต่อการแท้ง และมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่า เพื่อให้แม่ทุกคนสามารถตรวจได้โดยเฉพาะแม่ที่มีอายุน้อย เป็นต้น
          การตรวจคัดกรองดาวน์ซินโดรม ทำได้อย่างไร?
          • การเจาะน้ำคร่ำ
            เป็นการใช้เข็มเจาะน้ำคร่ำออกมา เพื่อนำเซลล์ของทารกที่หลุดลอยอยู่ในน้ำคร่ำมาเพาะเลี้ยงและศึกษาลักษณะโครโมโซม ซึ่งจะทำได้ในช่วงอายุครรภ์ 16-20 สัปดาห์ ข้อดีของวิธีนี้คือให้ผลที่แม่นยำมาก แต่ข้อเสียก็มีเช่นกัน เช่น อาจทำให้ถุงน้ำคร่ำรั่ว หรือเข็มเจาะไปโดนทารกจนทำให้แท้งบุตรได้ ซึ่งก็มีโอกาสเกิดได้น้อยมากๆ นอกจากนี้ การเจาะน้ำคร่ำอาจใช้เวลาตรวจนาน 3-4 สัปดาห์
          • การเจาะเลือดแม่เพื่อหาสารบ่งชี้
            ขณะตั้งครรภ์ จะมีสารหลายตัวถูกสร้างขึ้นและตรวจพบได้ในเลือดแม่ เช่น อัลฟ่า ฟีโตโปรตีน (alpha feto-protein) เอสตริออล (estriol) เอชซีจี (hCG) อินฮิบิน เอ (Inhibin A) และ แพบเอ (PAPP-A) หากแม่ตั้งครรภ์ทารกดาวน์ซินโดรม ระดับสารดังกล่าวในเลือดก็จะผิดปกติ เช่น มี alpha feto-protein ต่ำ แต่มี hCG สูง ซึ่งเราสามารถนำมาคำนวณเพื่อคัดกรองดาวน์ซินโดรมได้ วิธีนี้เป็นวิธีที่ง่ายและได้ผลค่อนข้างไว อีกทั้งแทบไม่มีความเสี่ยง แต่ข้อเสียคือผลอาจไม่แม่นยำนัก

            รู้ก่อน ได้รับคำปรึกษาพร้อมวางแผนรับมือ
            รู้ก่อน ได้รับคำปรึกษาพร้อมวางแผนรับมือ
          • การอัลตราซาวน์ร่วมกับการเจาะเลือด
            เป็นวิธีตรวจคัดกรองยอดนิยมซึ่งสามารถตรวจได้ตั้งแต่อายุครรภ์ 10-14 สัปดาห์ การอัลตราซาวน์จะดูลักษณะของทารกในครรภ์ และวัดความหนาของผิวหนังบริเวณต้นคอ ส่วนการเจาะเลือดแม่ก็จะตรวจสารบ่งชี้ต่างๆ ดังที่กล่าวมา วิธีนี้ทำได้ง่าย รู้ผลไว แต่ยังมีความแม่นยำต่ำ โดยจะแบ่งวิธีการตรวจได้ 3 วิธี

          วิธีที่ 1 : ตรวจครั้งเดียวในไตรมาสแรก (Combined Test) : ทำได้ตั้งแต่อายุครรภ์ 11-13  สัปดาห์ จะใช้วิธีการตรวจอัลตราซาวด์วัดความหนาต้นคอทารก ร่วมกับการเจาะเลือดแม่ วิธีนี้จะสามารถตรวจคัดกรองดาวน์ซินโดรมได้ 87%

          วิธีที่ 2 : ตรวจ 2 ครั้งในไตรมาสแรกและต้นไตรมาสที่ 2 (Integrated Test)เป็นวิธีที่สามารถตรวจกรองดาวน์ซินโดรมได้สูงถึง 96% โดยการตรวจอัลตราซาวด์วัดความหนาต้นคอทารก ร่วมกับเจาะเลือดแม่ครั้งแรกตอนอายุครรภ์ 11-13 สัปดาห์ แล้วต้องตรวจเลือดอีก 1 ครั้งในช่วง 2-4 สัปดาห์ต่อมา รายงานผลหลังจากเจาะเลือด ครั้งที่ 2

          วิธีที่ 3 : ตรวจครั้งเดียวในไตรมาสที่ 2 (Quaduple test)สามารถตรวจกรองดาวน์ซินโดรมได้สูงถึง 81% โดยการตรวจเลือดแม่ในช่วงอายุครรภ์ 15-20 สัปดาห์
          การตรวจทั้ง 3 วิธี ข้างต้น แม้ว่าผลการตรวจจะปกติ ไม่สามารถยืนยันว่าลูกจะไม่เป็นทารกดาวน์ซินโดรมแน่ ๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่สามารถบอกว่ามีโอกาสน้อยมากที่ทารกจะเกิดอาการดาวน์ซินโดรม
          • การตรวจด้วยเทคนิค Non-Invasive Prenatal Testing (NIPT)
            เป็นการใช้เทคนิคขั้นสูงคือ Single Nucleotide Polymorphism (SNP) เพื่อแยก DNA ของลูกออกจากของแม่ และนำมาวิเคราะห์หาความผิดปกติ ซึ่งเป็นวิธีที่ให้ผลแม่นยำมาก ไม่ต้องทำการเจาะซึ่งเสี่ยงต่อการกระทบทารกในครรภ์ อีกทั้งทราบผลตรวจได้รวดเร็ว แต่ข้อเสียคือมีค่าใช้จ่ายสูงมาก คือประมาณ 20,000-30,000 บาท
          ตรวจคัดกรองดาวน์ซินโดรม ได้ทุกช่วงอายุ
          ตรวจคัดกรองดาวน์ซินโดรม ได้ทุกช่วงอายุ

          รู้หรือไม่?? ภาวะอาการดาวน์ซินโดรมนั้นสามารถเกิดได้กับคุณแม่ทุกอายุ

          เด็กในกลุ่มอาการดาวน์ซินโดรม เกิดได้กับคุณแม่ทุกอายุ ซึ่งผิดจากความเชื่อของคนส่วนใหญ่ที่มักเข้าใจผิดว่าเด็กดาวน์ซินโดรมจะเกิดจากแม่อายุมากกว่า 35 ปีเท่านั้น โดยพบว่าในกลุ่มเด็กอาการดาวน์ 100 คน จะคลอดจากแม่ที่มีอายุมากกว่า 35 ปี เพียง 25-30 คน อีก 70-75 คนเกิดจากแม่ที่มีอายุน้อย แม้แม่ที่มีอายุมากจะมีความเสี่ยงที่จะมีลูกดาวน์ซินโดรมสูงกว่า แต่เนื่องจากแม่เหล่านี้มีจำนวนน้อย ประกอบกับแม่อายุมากมักจะได้รับการแนะนำจากแพทย์ให้ตรวจโครโมโซมของทารกในครรภ์อยู่แล้ว จึงทำให้สามารถตรวจพบได้มากกว่าแม่ที่มีอายุน้อย ที่ได้รับการตรวจคัดกรองเพียงแค่ 25-30 % ดังนั้น คุณแม่ทุกคนควรได้รบการตรวจคัดกรองทารกหาอาการดาวน์ซินโดรม

          กรมอนามัย หนุนหญิงตั้งครรภ์ทุกอายุ ทุกสิทธิ์ เข้ารับการตรวจคัดกรองทารกกลุ่มอาการดาวน์ เตรียมความพร้อมให้ครอบครัว!!

          นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า กลุ่มอาการดาวน์หรือดาวน์ซินโดรม เป็นโรคความผิดปกติทางพันธุกรรมชนิดหนึ่งซึ่งพบได้บ่อย ที่เกิดความบกพร่องของร่างกายและสติปัญญา ในแต่ละปีประเทศไทยมีเด็กเกิดใหม่ ปีละประมาณ 600,000 คน จะมีทารกแรกเกิดที่เป็นกลุ่มอาการดาวน์ ประมาณปีละ 750 ราย เด็กกลุ่มนี้จะมีค่าใช้จ่ายที่นอกเหนือจากการเลี้ยงดูปกติสูงถึงรายละ 2,500,000 บาท ผู้ปกครองของเด็กต้องรับภาระค่าใช้จ่ายเหล่านี้ ถือเป็นภาระที่หนักมากสำหรับครอบครัวที่ไม่พร้อม จึงควรมีการตรวจค้นหาแต่เนิ่นๆ ว่า ทารกในครรภ์มีภาวะเสี่ยงอยู่ในกลุ่มอาการดาวน์หรือไม่ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมให้แก่ครอบครัวด้วย
          สำหรับการเข้ารับบริการการตรวจคัดกรองทารกกลุ่มอาการดาวน์ หญิงตั้งครรภ์ทุกคน ที่สามารถเบิกจ่ายตามสิทธิ์ได้นั้น จะต้องเข้ารับบริการตามเงื่อนไขของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ดังนี้
          1.กระบวนการในการเข้ารับการปรึกษาทางพันธุศาสตร์
          2.การเข้ารับการตรวจเลือดคัดกรองโดย Quadruple Test หากมีความเสี่ยงต่ำจะเข้าสู่กระบวนการฝากครรภ์ตามปกติ หรือหากมีความเสี่ยงสูง จะเข้าสู่กระบวนการ ตรวจวินิจฉัย ก่อนคลอด
          3.รับการตรวจวินิจฉัยก่อนคลอด โดยการเจาะตรวจหาโครโมโซมของทารกจากน้ำคร่ำหรือเลือดจากสายสะดือทารก หากพบโครโมโซมผิดปกติ จะให้คำปรึกษาแก่หญิงตั้งครรภ์และสามี ในการเลือกฝากครรภ์ต่อหรือยุติการตั้งครรภ์ หากหญิงตั้งครรภ์และครอบครัวต้องการตั้งครรภ์ต่อ ก็พร้อมให้คำแนะนำ ช่องทางการดูแลต่อเนื่องสำหรับเด็กกลุ่มอาการดาวน์ที่เหมาะสมต่อไป
          ที่มา : Amarin News
          ตรวจคัดกรองดาวน์ซินโดรม รู้ก่อนได้เตรียมพร้อมก่อน
          ตรวจคัดกรองดาวน์ซินโดรม รู้ก่อนได้เตรียมพร้อมก่อน

          ตรวจฟรี Quadruple Test คืออะไร ใช้วิธีไหน แม่นยำแค่ไหนกัน??

          คือวิธีการเจาะเลือดหาสารชีวเคมีในเลือดของมารดา 4 ค่า (Quad test) ซึ่งมีความแม่นยำประมาณ 80-85% และหากผลตรวจผิดปกติ หรือเลือกที่จะเจาะน้ำคร่ำ ก็สามารถตรวจได้ฟรีเช่นกัน แต่ก็มีความเสี่ยงที่จะเกิดการแท้งบุตรได้

          ตรวจคัดกรองดาวน์ซินโดรมด้วยวิธีไหนดี?

          สำหรับแม่ที่มีความเสี่ยงน้อย คือมีอายุขณะตั้งครรภ์น้อยกว่า 35 ปี และไม่มีประวัติตั้งครรภ์ทารกดาวน์ซินโดรมมาก่อน แนะนำให้ตรวจคัดกรองด้วยวิธีอัลตราซาวน์ ร่วมกับการเจาะเลือดตรวจสารบ่งชี้ เนื่องจากเป็นวิธีที่ค่าใช้จ่ายต่ำ และไม่ต้องรอผลนาน

          สำหรับแม่ที่มีความเสี่ยงสูง คือมีอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป หรือเคยตั้งครรภ์ทารกดาวน์ซินโดรม ควรตรวจคัดกรองโดยการเจาะน้ำคร่ำ ซึ่งเป็นวิธีที่ให้ผลแม่นยำกว่า และมีค่าใช้จ่ายปานกลาง แต่หากเพิ่งตรวจกรองตอนอายุครรภ์มากแล้ว ไม่ต้องการรอผลนาน รวมถึงมีกำลังในการใช้จ่าย ก็สามารถตรวจด้วยวิธี NIPT ได้ ซึ่งให้ผลแม่นยำและรวดเร็วกว่า แต่ต้องดูให้ดีก่อนว่าโรงพยาบาลที่ฝากครรภ์มีบริการตรวจวิธี NIPT หรือไม่

          Source: https://www.ram-hosp.co.th/news_detail/1489
          © โรงพยาบาลรามคำแหง – แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางครบทุกสาขา
          ข้อมูลอ้างอิงจาก healthsmile.co.th/www.bccgroup-thailand.com
          อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

          ตั้งครรภ์อายุมาก กว่า 30 อย่างไรให้ปลอดภัย?

          วิธี “คำนวณอายุครรภ์” และวันครบกำหนดคลอด ด้วยตัวเอง

          แม่ท้องใช้กัญชา ห้ามเด็ดขาดทำลูกในท้องตายหรือผิดปกติ

          หมอธีระเผย หลอดเลือดสมองอักเสบ สาเหตุ จากLong Covid

          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

            โอมิครอน BA.4 BA.5

            โอมิครอน BA.4 BA.5 ติดง่ายกว่าเดิม อันตรายแค่ไหน

            โอมิครอน BA.4 BA.5 ติดง่ายกว่าเดิม อันตรายแค่ไหน

            โอมิครอน BA.4 BA.5 เป็นโควิดเชื้อสายพันธุ์ย่อยชนิดใหม่ ของเชื้อกลายพันธุ์โอมิครอนที่แพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อโรคโควิดพุ่งสูงขึ้นทั่วโลก รวมทั้งในไทยด้วย องค์กรอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศให้สายพันธุ์ BA.4 BA.5 เป็นสายพันธุ์ย่อยที่ต้องเฝ้าระวัง และคาดว่าจะกลายเป็นสายพันธุ์หลักของการแพร่ระบาดทั่วโลก สายพันธุ์นี้คิดง่าย ติดไว กว่าเดิม อันตรายแค่ไหน มาดูกันค่ะ

            สถานการณ์การแพร่ระบาดของ โอมิครอน BA.4 BA.5 ในไทย

            ท่ามกลางมาตรการผ่อนคลายต่าง ๆ และการเปิดประเทศ กระทรวงสาธารณสุขออกมายอมรับว่า มีแนวโน้มผู้ติดเชื้อ ผู้ป่วยกำลังรักษา ผู้ป่วยอาการหนัก และผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากการแพร่ระบาดของสายพันธุ์ย่อยของโอมิครอน BA.4/BA.5 ซึ่งพบมากจากผู้เดินทางจากต่างประเทศเข้าไทย

            ทำไมถึงต้องเฝ้าระวัง

            สาเหตุที่ต้องเฝ้าระวังโอมิครอน สายพันธุ์ BA.4 และ BA.5 คือ

            • สายพันธุ์นี้มีการกลายพันธุ์ในตำแหน่ง L452R ซึ่งเป็นตำแหน่งเดียวกันกับสายพันธุ์เดลตา (Delta) เชื้อไวรัสมีความสามารถในการแบ่งตัว เพิ่มจำนวนในเซลล์ปอดได้ดี ซึ่งอาจก่อให้เกิดอาการปอดอักเสบในผู้ติดเชื้อ แตกต่างจากสายพันธุ์ BA.1 และ BA.2 ที่เชื้อมีความสามารถในการแบ่งตัวได้ดีในเซลล์ของเยื่อบุระบบทางเดินหายใจส่วนบน
            • สายพันธุ์ย่อย BA.4/BA.5 ยังมีความสามารถในการหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกัน ดื้อต่อแอนติบอดี้ของมนุษย์ นั่นจึงเป็นสาเหตุให้เกิดการติดเชื้อซ้ำ (Re-infection) แม้ว่าจะเคยติดเชื้อหรือฉีดวัคซีนมาแล้วก็ตาม
            • แพร่ระบาดได้ง่าย และรวดเร็วยิ่งขึ้นกว่าเดิม

            จุดเด่นของโควิดสายพันธุ์โอมิครอน คือ การแพร่เชื้อได้เร็ว (High transmissibility) กว่าสายพันธุ์อื่น 5 เท่า

            โอมิครอน BA.4 BA.5
            โอมิครอน BA.4 BA.5 ติดง่ายกว่าเดิม

            ขอบคุณภาพจากโรงพยาบาลศิครินทร์

            อาการที่เด่นชัด

            โดยอาการของโควิดสายพันธุ์ BA.4 และ BA.5 ไม่แตกต่างอย่างชัดเจนจากสายพันธุ์โอมิครอน อาการที่เด่นชัดของสายพันธุ์นี้ได้แก่ “อ่อนเพลีย เหนื่อย, ไอแห้ง, เจ็บคอ, ไข้, มีน้ำมูก, ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ คลื่นไส้ ปวดเมื่อยตามร่างกาย และถ่ายเหลว”

            นอกจากนี้ยังพบอาการ สูญเสียการได้กลิ่น และการรับรส อาการผิดปกติเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร กลุ่มอาการของระบบทางเดินหายใจ หายใจถี่ หายใจลำบาก และกลุ่มอาการนอกระบบที่ไปคล้ายกันกับสายพันธุ์เดลตาได้เช่นกัน

            โอมิครอน BA.4 BA.5
            อาการโอมิครอน BA.4 BA.5

            ขอบคุณภาพจากโรงพยาบาลศิครินทร์

            กลุ่มเสี่ยงคือ ผู้สูงอายุ เด็ก และผู้มีโรคประจำตัวร้ายแรง

            BA.4 และ BA.5 จะสามารถแพร่ระบาดได้ง่ายขึ้น อาจเป็นเพราะภูมิคุ้มกันที่ผู้คนมีในร่างกายเริ่มลดลง หรืออาจเป็นเพราะเชื้อไวรัสเกิดการกลายพันธุ์ ขณะเดียวกัน การที่ประเทศต่าง ๆ เริ่มยกเลิกมาตรการควบคุมโรคโควิด แล้ว ก็ทำให้เชื้อไวรัสชนิดนี้มีโอกาสที่จะแพร่ระบาดได้มากขึ้น

            BA.4 และ BA.5 ยังทำให้คนที่เพิ่งติดเชื้อโอมิครอนชนิดอื่นติดเชื้อซ้ำได้อีก และการระบาดระลอกใหม่อาจทำให้มีผู้ป่วยเข้ารักษาที่โรงพยาบาล หรือมีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นอีก

            เช่นเดียวกับโควิดสายพันธุ์อื่น ๆ ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัวร้ายแรง คือกลุ่มเสี่ยงที่สุดที่จะล้มป่วยหนักจากการติดเชื้อ BA.4 และ BA.5

            นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) กล่าวว่า สัดส่วนการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นในกลุ่มผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และผู้ที่มีอายุระหว่าง 12-17 ปี น่ากังวล โดยตัวเลขผู้สูงอายุที่ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้น หรือเข็มที่สาม มีเพียง 47.1% ของตัวเลขผู้สูงอายุทั้งหมด ขณะที่ฝั่งนักเรียนซึ่งได้รับเข็มกระตุ้นมีเพียงแค่ 20.5% เท่านั้น

            ป้องกันอย่างไร

            การป้องกันตนเอง ก็ยังช่วยป้องกันความเสี่ยงจากการติดเชื้อได้ โดยควรสวมหน้ากากอนามัย เมื่อต้องเดินทางไปในสถานที่แออัด หรือสถานที่อับอากาศ หมั่นล้างมือบ่อย ๆ หลังสัมผัสสิ่งของ หรือจุดสัมผัสสาธารณะ

            สำหรับผู้ที่สัมผัสเสี่ยงสูง หรือมีอาการเสี่ยงติดเชื้อ แนะนำให้ตรวจ ATK ด้วยตนเอง โดยควรเลือก ATK ที่ได้รับมาตรฐาน และมีค่าความไว (Sensitivity) และค่าความจำเพาะ (Specificity) ไม่ต่ำกว่า 90%

            แม้วัคซีนต้านโควิดที่มีอยู่ในปัจจุบันจะไม่ใช่สูตรที่พัฒนาขึ้นเพื่อต่อต้าน BA.4 และ BA.5 โดยเฉพาะ แต่ก็ยังเป็นเครื่องมือดีที่สุดในการต่อสู้กับเชื้อทั้งสองชนิด เพราะฉะนั้นจึงควรฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น

            ทำไมต้องฉีดเข็มกระตุ้น

            สถิติจากกระทรวงสาธารณสุขไทยที่ศึกษาข้อมูลจากประชากร 5 แสนราย พบว่า ประสิทธิภาพของการฉีดวัคซีน 2 เข็ม นับว่าป้องกันการติดชื้อ “น้อยมาก” และป้องกันการป่วยหนักจนต้องใส่ท่อช่วยหายใจและเสียชีวิตได้ราว 75%

            ขณะที่การฉีดวัคซีน 3 เข็ม ช่วยป้องกันการติดเชื้อได้ราว 15% แต่สามารถป้องกันการป่วยหนักจนต้องใส่ท่อช่วยหายใจหรือเสียชีวิตได้ถึง 93%

            นอกจากนี้ สถิติของผู้ฉีดวัคซีน 4 เข็ม ชี้ว่า สามารถลดการติดเชื้อได้ถึง 76% และลดการป่วยหนักจนต้องใส่ท่อช่วยหายใจและเสียชีวิตได้ถึง 96%

            ข้อมูลปัจจุบันยังไม่พบผู้เสียชีวิตในกลุ่มที่ฉีดวัคซีน 4 เข็ม

            ขอบคุณข้อมูลจาก

            โรงพยาบาลศิครินทร์, BBC NEWS ไทย

             

            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

             อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

            เปลี่ยนแม่เป็นหมอ เปลี่ยนพ่อเป็นพยาบาล รับมือ โอมิครอนในเด็ก

            CDC ชี้ ไฟเซอร์เด็ก ลดเสี่ยงโอมิครอน พร้อมจุดฉีดล่าสุด!

            เช็กเลย! อาการ โอมิครอน ไข้หวัดใหญ่ ไข้เลือดออก ต่างกันอย่างไร

              หลอดเลือดสมองอักเสบ สาเหตุ

              หมอธีระเผย หลอดเลือดสมองอักเสบ สาเหตุ จากLong Covid

              หลอดเลือดสมองอักเสบ สาเหตุ จากอาการ Long Covid มาอัพเดทความรู้เกี่ยวกับลองโควิดจากหมอธีระที่เผยผลวิจัยความเกี่ยวข้องกัน เตือนอันตราย ไม่ติดเชื้อจะดีที่สุด

              หมอธีระเผย หลอดเลือดสมองอักเสบ สาเหตุ จากLong Covid!!

              ภาวะ Long Covid คือการที่ผู้ป่วยโควิด-19 มีอาการต่อเนื่องนานกว่า 3 เดือนหลังติดเชื้อ ส่วนใหญ่พบในผู้ป่วยที่อาการรุนแรงตั้งแต่ต้น มักพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ระยะเวลาของอาการมีตั้งแต่หลายเดือนจนถึงเป็นปี หลายอาการรักษาได้ แต่หลายอาการต้องรักษาระยะยาว และอาจจะส่งผลต่อร่างกายถาวร

              ลองโควิด Long COVID
              ลองโควิด Long COVID

              สาเหตุของการเกิด Long Covid

              จากข้อมูลปัจจุบันที่ได้เก็บข้อมูลมาพบว่า มีความเป็นไปได้ 4 สาเหตุ

              1. มีเชื้อไวรัสหลงเหลือในอวัยวะต่าง ๆ ทำให้เกิดการอักเสบต่อเนื่อง
              2. การอักเสบในหลายอวัยวะ ทำให้อวัยวะผิดปกติถาวร ส่งผลต่อสุขภาพระยะยาว
              3. ผลกระทบจากการรักษา และนอนโรงพยาบาลในระยะเวลานาน ๆ
              4. ระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ ภายหลังจากการติดเชื้อ

              อาการลองโควิด ในปัจจุบันเราสามารถพบได้ในทุกระบบของร่างกาย หลากหลายอาการ และมีอาการแตกต่างกันไปในแต่ละคน ซึ่งจนถึงขณะนี้ก็ยังมีการอัพเดตเฝ้าติดตามความรู้เรื่อง “ลองโควิด” กันอย่างต่อเนื่อง

              งานวิจัยพบข้อมูลใหม่ Long Covid กับหลอดเลือดในสมอง!!

              หลอดเลือดสมองอักเสบ สาเหตุ จากโควิด19
              หลอดเลือดสมองอักเสบ สาเหตุ จากโควิด19
              หมอธีระ เผยงานวิจัยชี้ Long COVID มีการทำลายผนังหลอดเลือดในสมอง มีโอกาสนำไปสู่การอุดตัน และหลอดเลือดในสมองอักเสบ
              วันที่ 6 ก.ค.65 รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ (หมอธีระ) คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊ก ‘Thira Woratanarat’ อัพเดทความรู้เรื่อง ‘ลองโควิด’ ระบุ
              “… อัพเดตความรู้เกี่ยวกับ Long COVID
              การติดเชื้อโรคโควิด-19 ทำให้เกิดความผิดปกติของหลอดเลือดในสมอง
              ล่าสุดงานวิจัยจาก US NIH ตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ด้านระบบประสาท Brain และเผยแพร่สรุปผลการศึกษาในเว็บไซต์ของ National Institute of Neurological Disorders and Stroke เมื่อ 7 มิถุนายน 2565 ที่ผ่านมา
              โดยทำการศึกษากลุ่มตัวอย่าง 9 คน อายุตั้งแต่ 24-73 ปี พบว่า หลังการติดเชื้อโรคโควิด-19 พบว่าระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ โดยทำให้เกิดการทำลายผนังหลอดเลือดในสมอง นำไปสู่โอกาสอุดตัน และกระบวนการอักเสบต่างๆ ของหลอดเลือดในสมองได้
              กลไกความผิดปกติดังกล่าว จึงอาจเป็นหนึ่งในคำอธิบายการเกิดภาวะ Long COVID ในผู้ป่วยที่มีอาการผิดปกติทางสมองหรือระบบประสาทได้
              ดังนั้นการป้องกันไม่ให้ติดเชื้อย่อมจะดีที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหา Long COVID ในระยะยาว …

              อ้างอิง Lee M-H, et al. Neurovascular injury with complement activation and inflammation in COVID-19. Brain. 2022.”

              ที่มา : FB สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว

              ทำความรู้จักกับ โรคหลอดเลือดสมองอักเสบ!!

              ถ้าท่านมีอาการ ข้อใดข้อหนึ่งต่อไปนี้ให้สังเกตดูทันทีว่าป่วยเป็นโรคหลอดเลือดสมองอักเสบหรือไม่

              1. แขนขาอ่อนแรงครึ่งซีกหรืออ่อนแรงทั้งสองข้าง
              2. พูดไม่ชัด ลิ้นแข็ง พูดไม่ออก ฟังไม่เข้าใจ
              3. ตามองภาพไม่ชัดเจน, เกิดภาพซ้อน
              4. เดินเซ ทรงตัวไม่อยู่
              5. ซึมลง หมดสติ
              6. ปวดศรีษะรุนแรง
              7. เวียนหัว บ้านหมุน ร่วมกับอาการดังกล่าวขั้นต้น

              หากมีอาการนี้ขึ้นมาทันทีทันใด ให้นึกถึงโรคหลอดเลือดสมอง และควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วน

              ภาวะผิดปกติของหลอดเลือดในสมอง แบ่งเป็น 2 กลุ่มหลัก

              • กลุ่มหนึ่ง ประมาณ 80-90% เป็นภาวะที่ไม่มีเลือดไปเลี้ยงสมองซึ่งอาจจะเกิดจากภาวะหลอดเลือดอุดตันหรือภาวะหลอดเลือดตีบ
              • กลุ่มที่สอง ประมาณ 15-20% จะเป็นภาวะที่มีเลือดออกในสมองซึ่งโรคที่ทำให้เกิดก็มาจากการฉีกขาดของหลอดเลือดเล็ก ๆ ที่หลาย ๆ คนเรียก หลอดเลือดฝอยฉีกขาด และอีกประมาณ 5% จะเป็นลักษณะของหลอดเลือดโป่งพองแล้วมันแตก อันนี้อัตราเสียชีวิตค่อนข้างสูง

              เพราะฉะนั้น สรุปก็คือ ภาวะหลอดเลือดผิดปกติจะแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ กลุ่มที่สมองขาดเลือด กับ กลุ่มที่มีเลือดออกในสมอง

              ป้องกันภาวะลองโควิดที่ดีที่สุด คือ การไม่ติดเชื้อ COVID19
              ป้องกันภาวะลองโควิดที่ดีที่สุด คือ การไม่ติดเชื้อ COVID19

              สาเหตุภาวะผิดปกติของหลอดเลือดในสมอง

              โรคหรือภาวะหลอดเลือดในสมองผิดปกติ เราพบได้ตั้งแต่อายุ 20, 30, 40 ไปจนถึงวัยกลางคน ไปจนถึงผู้สูงอายุ สาเหตุรูปแบบของการผิดปกติ มันมีความแตกต่างกันหลายรูปแบบ

              ในกลุ่มคนอายุน้อย ๆ อาจจะเป็นลักษณะของความผิดปกติแต่กำเนิด เป็นความผิดปกติของระดับพันธุกรรมที่ให้หลอดเลือดในสมองผิดปกติเกิดเป็นปาน เกิดมีการต่อกันของหลอดเลือดผิดปกติ

              ส่วนในวัยกลางคนก็มักจะเกิดจากการใช้ชีวิต สูบบุหรี่จัด ดื่มแอลกอฮอล์ ส่วนใหญ่สาเหตุหลัก ๆ จะมาจากการสูบบุหรี่ นอกนั้นก็จะเป็นเรื่องของสารเคมีที่ใช้หรือยาที่ใช้ ยาบางอย่างก็ทำให้เกิดความผิดปกติของหลอดเลือด เช่น มีการอุดตัน หรือมีการอักเสบของหลอดเลือดได้

              ส่วนในผู้สูงอายุก็จะเป็นลักษณะของความเสื่อม คือผนังหลอดเลือดมันเสียความยืดหยุ่นไป หรือมีภาวะของโรค เช่น เบาหวาน ความดัน โรคเลือด ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดความผิดปกติของหลอดเลือดในวัยกลางคน และวัยผู้สูงอายุ

              สัญญาณเตือนภาวะผิดปกติของหลอดเลือดในสมอง

              อาการหลักคือ อาการปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ตาพร่ามัว แขนขาอ่อนแรง หรือมีการพูดไม่ชัด แต่โอกาสที่มันจะเตือน ระยะเวลามันสั้นมาก บางคนไม่คิดด้วยซ้ำว่า อันนี้คือการเตือนของโรคหลอดเลือดสมอง เพราะจริง ๆ แล้ว อาการปวดศีรษะ อาการคลื่นไส้ อาเจียน มันเป็นอาการที่ไม่เฉพาะเจาะจง เพราะฉะนั้น มันค่อนข้างยากที่จะบอกว่าเป็นอาการของหลอดเลือดสมอง แต่ก็ต้องบอกว่าอาการปวดศีรษะ อาการคลื่นไส้ อาเจียน เป็นอาการนำของการเกิดภาวะของหลอดเลือดผิดปกติในสมอง

              การรักษาภาวะผิดปกติของหลอดเลือดในสมอง

              ทุกคนก็ทราบดีว่าเวลามันเกิดความเสียหายขึ้นในสมองแล้ว โอกาสที่เราจะกลับมาเหมือนเดิมเรียกว่ามันค่อนข้างยาก เพราะว่ามันขึ้นอยู่กับหลาย ๆ ปัจจัย เช่น ขนาดของเลือดที่ออก หรือขนาดของตำแหน่งของสมองที่เสียหาย ขนาดของสมองที่ขาดเลือด ตำแหน่งที่มีการเสียหายของสมอง อันนี้จะเป็นตัวแปรที่จะทำให้เราบอกได้ว่าคนไข้จะกลับมาได้แค่ไหน

              ส่วนอีกเรื่องหนึ่งคือ เวลามันมีการเสียหายของระบบประสาทหรือสมองเกิดขึ้นแล้ว มันเกิดขึ้น ณ วินาทีนั้นเลย ที่มีการฉีกขาดหรือมีการขาดเลือดไปเลี้ยงสมอง เพราะฉะนั้น โอกาสที่คนไข้จะกลับมาเหมือนเดิมเลย มันก็ขึ้นอยู่กับหลาย ๆ ปัจจัย

              หลอดเลือดสมองอักเสบ สาเหตุ จากอะไร
              หลอดเลือดสมองอักเสบ สาเหตุ จากอะไร

              แต่อย่างไรก็ตาม ก็ต้องรักษา และวิธีการรักษา เราก็ต้องจัดการในหลาย ๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นโรคประจำตัวของคนไข้เอง เบาหวาน ความดัน โรคไต โรคหัวใจ ถัดมาก็คือปัญหาที่ตัวสมองเอง เราจะสามารถควบคุมการอักเสบของสมองไม่ว่าจะเป็นจากการที่สมองขาดเลือด หรือมีเลือดออกในสมองได้อย่างไร และหลังจากนั้นแล้ว ถ้าคนไข้รอดชีวิตมาแล้ว การฟื้นฟูสภาพร่างกายให้กลับมาหรือพอที่จะขยับแขนขา หรือลดการกดทับของร่างกายได้นี่ อันนี้ต้องปฏิบัติ ต้องทำต่อไป

              การป้องกันภาวะผิดปกติของหลอดเลือดในสมอง

              วิธีการป้องการดีที่สุด ง่ายที่สุดและลงทุนน้อย คือ

              1. ต้องไม่สูบบุหรี่ สำหรับเรื่องแอลกอฮอล์ ถ้าหลีกเลี่ยงได้ก็ยิ่งดี
              2. การควบคุมโรคพื้นฐานที่เราเรียกว่า โรคที่ไม่ติดต่อ เบาหวาน ความดัน โรคไต ภาวะโภชนาการเกิน ถ้าเราสามารถควบคุมตรงนี้ได้ เราก็สามารถป้องกันภาวะผิดปกติของหลอดเลือดในสมองได้
              3. หลีกเลี่ยงการใช้ยาบางกลุ่มที่มีโอกาสทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดสมองผิดปกติ เช่น ยาที่กระตุ้นให้กระปรี้กระเปร่า หรือยาที่ทำให้อวัยวะเพศแข็งตัว แม้แต่ยาคุมกำเนิด วิตามินบางชนิดก็อาจจะทำให้เกิดภาวะผิดปกติของหลอดเลือดในสมองได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้น ถ้าเราสามารถหลีกเลี่ยงหรือใช้ในปริมาณที่เหมาะสม เราก็จะสามารถลดโอกาสในการเกิดความผิดปกติของหลอดเลือดในสมองได้
              ข้อมูลโดย
              ผศ. น.ท. นพ.สรยุทธ ชำนาญเวช
              สาขาประสาทศัลยศาสตร์ ภาควิชาศัลยศาสตร์
              คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
              มหาวิทยาลัยมหิดล
              RAMA CHANNEL
              ฉีดวัคซีน ป้องกันโควิด วิธีลดความเสี่ยงการเกิดลองโควิด
              ฉีดวัคซีน ป้องกันโควิด วิธีลดความเสี่ยงการเกิดลองโควิด

              โรคหลอดเลือดสมอง กับ โควิด!!

              ผศ.นพ.สุรัตน์ ตันประเวช ผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทและสมอง หัวหน้าหน่วยประสาทวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ บอกว่า คนไข้ติดโควิด-19 มีโอกาสทำให้เป็นโรคหลอดเลือดสมองมากขึ้น เนื่องจากโควิด–19 ทำให้มีการอักเสบเกิดขึ้นในร่างกาย มีบางเคสเกิดขึ้นที่หลอดเลือดสมอง และทำให้เกิดลิ่มเลือดง่ายขึ้น

              มีการตีพิมพ์การศึกษาวิจัยในออสเตรเลีย พบว่าในคนไข้ที่ติดเชื้อโควิดมีโอกาสเป็นโรคหลอดเลือดสมองมากกว่าคนปกติ แต่กรณีแบบนี้ก็ไม่ได้เจอบ่อย

              นอกจากนี้ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น เป็นโรคเบาหวาน ไขมัน สูบบุหรี่ อายุมาก การติดโควิด–19 จะเป็นตัวกระตุ้นทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะมากขึ้น หลอดเลือดตีบมากขึ้น เกิดความผิดปกติมากขึ้นกว่าเดิม

              ศ.นพ.สมศักดิ์ เทียมเก่า รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลศรีนครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวว่าเชื้อโควิด – 19 เอง ก็มีส่วนทำให้เลือดข้นง่ายขึ้น เลือดไหลยากมากขึ้น อาจทำให้เกิดอัมพาตชนิดสมองขาดเลือดได้ คนไข้โควิด-19 บางคนก็เกิดเลือดออกในเนื้อสมองได้ เนื่องจากคนไข้โควิด-19 จะเกิดภาวะหลอดเลือดดำที่ขาเกิดการอุดกั้น จำเป็นต้องได้รับยาละลายลิ่มเลือด ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาเลือดออกในเนื้อสมองได้

              ดังนั้น คนที่เป็นกลุ่มเสี่ยงจึงต้องระวังเป็นพิเศษ แม้ว่าบางครั้งไม่มีปัจจัยเสี่ยงอะไรเลยก็สามารถเป็นโรคหลอดเลือดสมองได้ รู้ไว้ใช่ว่าทุกคนจะต้องเป็นกังวลว่าเป็นโควิดแล้วจะต้องเป็นโรคหลอดเลือดสมอง อัตราการเกิดไม่ได้เกิดบ่อย แต่เกิดได้ และควรจะต้องรู้อาการเบื้องต้นว่าอาการแบบไหนถึงจะสงสัยว่าเป็นภาวะนี้

              ข้อมูลอ้างอิงจาก www.thecoverage.info /www.bangkokbiznews.com
              อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

              ประสาทสัมผัส ไวกว่าปกติต้นเหตุลูกเก็บตัวหงุดหงิดง่าย

              แม่เตือน! แค่ลูกปวดหัวก็เสียชีวิตได้จาก..เส้นเลือดในสมองแตก

              รวม 20 อาการต้องสงสัย ลูกไม่สบาย แบบนี้..! กำลังป่วยเป็นโรคอะไร?

              ลูกปวดขาไม่ยอมเดิน! หมอชี้อาจมาจาก โรคขาดวิตามินซี

              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                ฝันว่าได้ทอง

                ฝันว่าได้ทอง จะได้จริงอย่างฝัน หรือแฝงความหมายใด!!

                ฝันว่าได้ทอง ฝันเห็นทอง ฝันว่าได้จับทอง ฝันเกื่ยวกับทองต่าง ๆ จะมีหมายความว่าอย่างไร เป็นฝันดี หรือฝันร้าย จะได้โชคลาภอย่างฝันหรือไม่

                ฝันว่าได้ทอง จะได้จริงอย่างฝัน หรือแฝงความหมายใด!!

                เมื่อคืน ฝันว่าได้ทอง ตื่นมาด้วยความรู้สึกดีใจ อารมณ์ดี มีความสุข แต่จะดีจริงอย่างฝันหรือไม่ ทีมงามกองบรรณาธิการ ABK รวบรวมข้อมูลมาฝากแล้วค่ะ จะฝันเกี่ยวข้องกับทองอย่างไรบ้าง มาลองดูความหมายของความฝันกันเลยค่ะ

                ฝันว่าได้ทอง
                ฝันว่าได้ทอง

                ฝันว่าได้ทอง จะได้จริงอย่างฝัน หรือแฝงความหมายใด!!

                ความฝัน คือ เรื่องที่เกิดขึ้นกับสมองในขณะที่กำลังหลับ เพราะทั้งสถานที่ คน หรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ในความฝัน ผู้ฝันอาจไม่เคยได้พบเจอกับสิ่งนั้นมาก่อน และบางคร้้งอาจรู้สึกไม่คุ้นเคย หรือไม่เคยประสบในชีวิตจริง ผู้ฝันมักเกิดความรู้สึกต่อฝันของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นฝันดี หรือฝันร้าย

                อย่างไรก็ตาม หากเป็นฝันที่ดี ได้เงินทอง โชคลาภในความฝัน ก็อย่าประมาทว่าสิ่งนั้นจะเป็นจริง โดยไม่ทำงาน นั่งรอความฝันให้เป็นจริง ถ้าเช่นนั้น อาจทำให้ชีวิตยิ่งแย่ลงไปอีกก็เป็นได้ หรือหากฝันร้าย มัวแต่กังวล ระแวง ระวัง จะไม่กล้าออกจากบ้าน พลาดงานสำคัญไป นั่นอาจทำให้ฝันกลายเป็นจริงได้เพราะตัวเองนั่นเอง ดังนั้น อย่าประมาทนะคะ

                ความฝันเกี่ยวกับทองต่าง ๆ มีคำทำนายดังนี้

                ฝันเห็นทอง

                ทำนายว่า : เป็นฝันที่ดี บ่งบอกว่าคุณจะมีความสำเร็จจากความพยายามของตัวเอง มีโอกาสจะร่ำรวยเงินทองในอนาคตจากการลงทุน หากผู้ฝันเป็นเพศหญิง มีโอกาสจะได้เจอเนื้อคู่ที่มีฐานะร่ำรวยมากกว่า

                ฝันเห็นทองรูปพรรณ

                ทำนายว่า : หน้าที่การงานจะก้าวหน้า มีผู้ใหญ่ให้การสนับสนุน จะผ่านพ้นอุปสรรคต่าง ๆ ไปได้ หากเป็นผู้หญิงทำนายว่าจะได้เป็นคุณแม่มือใหม่ กำลังจะตั้งครรภ์ หากตั้งครรภ์แล้ว จะได้ลูกสาวหน้าตาน่ารัก เป็นที่พึ่งให้ครอบครัวได้

                ฝันเห็นทองเยอะมาก

                ทำนายว่า : ผู้ที่ประสบปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ มานาน หากฝันเห็นทองเยอะ ๆ กองรวมกัน ทำนายว่ากำลังจะหมดเคราะห์ และได้รับโชคลาภ นอกจากนี้ยังอาจได้เริ่มต้นสิ่งใหม่ ๆ เช่น ได้เริ่มงานใหม่ มีความรักครั้งใหม่ เป็นต้น ทั้งนี้จะมีเพศตรงข้ามคอยให้ความช่วยเหลือ

                ฝันเห็นทองคำแท่ง

                ทำนายว่า : หมายถึงความ หรือสัญญาที่เคยให้ไว้กับใครสักคน ถึงเวลาที่ต้องนำกลับมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในยามคับขันซะแล้ว คนที่มีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจในช่วงนี้ ก็จะสบายขึ้น เพราะทุกอย่างกำลังคลี่คลาย ส่วนใครที่อยากจะปรับเปลี่ยนงานในช่วงนี้ ถือว่าเป็นจังหวะที่ดี เมื่อเปลี่ยนแล้ว การใช้ชีวิตของคุณก็จะดีขึ้นอีกด้วย

                ฝันเห็นแหวนทอง

                ทำนายว่า : จะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น มีแต่ความสุข สมหวังกับสิ่งที่เฝ้าคอยมา จะมีโชคลาภจากการเสี่ยงโชค และได้ลาภลอย ไม่ว่าจะทำอะไรก็เหมือนปลอกกล้วยเข้าปาก ง่ายไปหมด คนโสดจะได้พบรัก หรือเนื้อคู่ที่ดี คนที่ถูกใจ จะเริ่มต้นกับความสัมพันธ์ที่ดี  คอยให้ความช่วยเหลือและสนับสนุน

                ฝันว่าได้ใส่สร้อยทอง

                ทำนายว่า : จะสมหวังในสิ่งที่คาดหวังไว้ ประสบความสำเร็จในสิ่งที่ตั้งใจทำ หากผู้ฝันเป็นผู้หญิง มีโอกาสจะตั้งครรภ์ และได้ลูกสาวที่น่ารัก น่าเอ็นดู ใคร ๆ ก็หลงรัก ปัญหาจากการทำงานจะค่อย ๆ ลดลง จะมีคนยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ และยังคอยสนับสนุนให้ทุกอย่างสามารถผ่านไปได้ด้วยดี

                ฝันว่าได้สวมแหวนทอง แหวนเพชร  

                ทำนายว่า : จะได้ลาภจากการเสี่ยงโชค คนโสดได้พบเนื้อคู่ หากผู้ฝันเป็นผู้หญิงตั้งครรภ์ มีเกณฑ์จะได้ลูกสาว

                ฝันว่าได้สวมแหวนทอง
                ฝันว่าได้สวมแหวนทอง

                ฝันว่าได้ใส่สร้อยข้อมือทอง

                ทำนายว่า : หากฝันว่าได้ใส่สร้อยข้อมือทอง หรือสร้อย คุณจะได้รับความไว้วางใจจากผู้ใหญ่ จะมีกำไรจากสิ่งที่ได้ลงทุนไว้ ผู้มีความเครียดจะค่อย ๆ บรรเทาลง ในเรื่องความรัก อาจได้พบเพศตรงข้ามที่ถูกใจ หากผู้ฝันเป็นผู้หญิงตั้งครรภ์ มีเกณฑ์จะได้ลูกเป็นผู้หญิงที่น่ารัก หากคนที่ฝันเป็นผู้ชาย ก็จะได้ความสุขทางใจ และโชคลาภหลั่งไหลเข้ามา

                ฝันว่าได้ใส่ต่างหูทอง

                ทำนายว่า : ให้ระวังปัญหาที่กำลังจะเข้ามา คนในบ้านทะเลาะกัน การงานไม่เป็นดั่งใจหวัง มีปัญหาที่ต้องแก้ไขอยู่ตลอดเวลา สำหรับผู้ที่ทำธุรกิจ ให้ระวังการผิดนัดการจ่าย ควรลงทุนกับคนที่ไว้ใจได้จริง ๆ มีเครดิตที่ดี มีโอกาสถูกเอาเปรียบ หรือถูกฉ้อโกงในการลงทุนได้ คนโสด จะถูกจู่โจมจากเพศตรงข้าม วางตัวให้ดี คนมีคู่ ควรเอาใจใส่กันให้มากกว่าเดิม ไม่เช่นนั้นจะมีมือที่ 3 เข้ามาได้

                ฝันว่าได้ใส่กำไลทอง

                ทำนายว่า : ชีวิตราบเรียบ จะมีคนนำความสุขมาให้ มีโอกาสได้ไปท่องเที่ยวพักผ่อน และเป็นช่วงที่มีดวงทำมาค้าขายขึ้น ได้กำไรดี มีผลตอบแทนที่งดงาม และให้ระวังเรื่องการถูกลักขโมยเงิน ไม่ว่าจะจากคนใกล้ตัว หรือคนอื่นที่ไม่รู้จัก คนโสดยังไม่เจอคนที่ถูกใจ ต้องทนต่อไป ส่วนคนมีคู่ ควรเติมความหวานให้มากขึ้นกว่าเดิม ระวังเรื่องการใช้อารมณ์

                 

                ฝันว่าได้จับทอง

                ทำนายว่า : หากฝันว่าได้จับทอง หมายความว่า ในอนาคตคุณจะได้รับความสำเร็จแบบเหนือความคาดหมาย จากความพยายามของตัวเอง สิ่งใดที่ได้ไปลงทุนเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจ หรืออะไรก็ตาม ถึงเวลาที่คุณจะได้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์เหล่านั้นแล้ว หากว่าคุณมีความคิดอยากจะเริ่มลงทุนอะไรสักอย่าง ให้เริ่มได้เลยอย่าลังเล นับเป็นโอกาสทองที่เราควรรีบคว้าเอาไว้ มีโอกาสดี ๆ เข้ามาในชีวิต ทั้งเรื่องการงานและการเงิน จะได้ลาภจากผู้ใหญ่ มีผู้ใหญ่อุปถัมภ์ในเรื่องต่าง ๆ

                ฝันว่าได้ซื้อทอง

                ทำนายว่า : คุณจะได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนสนิท หรือคนแปลกหน้า ทำให้งานที่ทำประสบความสำเร็จได้อย่างราบรื่น มีเกณฑ์ได้รับโชคลาภ เงินทอง ไปจนถึงโอกาสเหมาะ ๆ ที่จะเปลี่ยนงาน ถือว่าเป็นอะไรที่พอเหมาะพอเจาะจริง ๆ

                ฝันว่าสร้อยคอขาด

                ทำนายว่า : หากฝันว่าสร้อยคอขาด เป็นฝันที่บอกเหตุไม่ดีนัก อาจมีเกณฑ์ต้องเสียของรัก ให้ระวังมีปากเสียง หรือมีปัญหาขัดใจกับคนรัก การงานก็จะมีคู่แข่งคอยขัดขวางความสำเร็จ ช่วงนี้จึงต้องใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง มีสติ และไม่ประมาท

                ฝันว่าทองขาด

                ทำนายว่า : ให้ระวังไว้ให้ดี เพราะอาจหมายถึงความรัก ที่กำลังจะพบกับปัญหา มีเรื่องที่จะต้องผิดใจกัน หรือต้องขาดหายจากกันไป หรือต้องสูญเสียของที่รักไป ทำให้ต้องระวังเป็นพิเศษ เป็นเพราะมีคู่แข่ง หรือศัตรูเข้ามาปั่นป่วนทำให้ชีวิตของคุณไม่ราบรื่น ฉะนั้น ทำอะไรในช่วงนี้ต้องมีสติ

                ฝันว่าทำทองหาย

                ทำนายว่า : มีเกณฑ์จะเสียของรักของหวงไป อย่าใจดีให้ใครยืมเงินเพราะอาจจะไม่ได้คืน มีโอกาสได้เปลี่ยนงานที่ดีขึ้น ได้ทำงานร่วมกับชาวต่างชาติมากขึ้น หากคนที่กำลังมีความเครียด หรือเผชิญกับปัญหาอยู่ ปัญหานั้นจะค่อยๆเบาลง และคลี่คลายไปในที่สุด

                ฝันว่าทำทองหายแล้วไม่ได้คืน

                ทำนายว่า : จะมีโชคลาภเข้ามา

                ฝันว่าทำทองหายแล้วได้คืน

                ทำนายว่า : เรื่องของการเสี่ยงดวง ควรงดไปก่อน คนโสดถึงเวลาที่ต้องเปิดตัวแล้ว คนมีแฟนมีเกณฑ์จะได้แต่งงาน

                ตัวเลขเกี่ยวกับการ ฝันว่าได้ทอง 

                01, 12, 24, 36, 124, 164, 262 และ 362

                ตามความเชื่อโบราณการ ฝันว่าได้ทอง ฝันเกี่ยวกับทอง ส่วนใหญ๋จะเป็นลางบอกเหตุ ที่จะสมหวังในอนาคต เป็นฝันดี ทีมกองบรรณาธิการ ABK ขอให้ผู้ที่ฝันเกี่ยวกับทองทุกคน ประสบความสำเร็จสมดั่งตั้งใจทุกประการนะคะ

                อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                ฝันว่าคลอดลูก ได้ลูกชาย ลูกสาว หมายความว่าอย่างไร!!

                ฝันเห็นงูหลายตัว แปลว่าจะมีลูก พบเนื้อคู่ จริงหรือ?

                ฝันว่าผมร่วง ผมร่วงเต็มพื้นจะดีหรือร้าย..ทำนายฝันแม่นๆ

                ทำนายฝัน ฝันว่าได้แต่งงาน ฝันว่าแต่งงาน หมายถึงอะไร?

                 

                ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.thainewsonline.co, https://www.thairath.co.th, https://www.aurora.co.th

                 

                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                Amarin Baby & Kids

                  จิตแพทย์เตือน! ลูก ชอบดึงผม อาจมีผลกระทบมาจากจิตใจ

                  หากคุณพ่อคุณแม่พบว่าลูก ชอบดึงผม ตัวเองบ่อย ๆ และละก็ ให้ระวังให้ดี อาจมีผลมาจากความผิดปกติทางจิตใจ

                   

                   

                  พฤติกรรมดังกล่าว อาจฟังดูแล้วปกติ แต่แท้จริงแล้ว เป็นความผิดปกติหรือโรคบางอย่างที่เราเรียกกันว่า “โรคดึงผม” โรคนี้คืออะไร แล้วทำไมคุณพ่อคุณแม่อย่างเราถึงต้องให้ความสำคัญ วันนี้ทีมงาน Amarin Baby and Kids ได้นำบทความของคุณหมอมาฝากกันค่ะ เนื้อหาจะเป็นเช่นไรนั้น พร้อมแล้วไปอ่านบทความนี้กันเลยค่ะ

                  ลูก ชอบดึงผม อย่านิ่งนอนใจ แพทย์เตือน อาจเป็นผลมาจากจิตใจ

                  จากที่ได้เกริ่นกันไปบ้างแล้วถึงพฤติกรรมแปลก ๆ ที่เรามักจะพบเห็นเสมอกับคนที่มีความเครียดหรือเป็นโรคซึมเศร้า ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าว ไม่ได้จำกัดแต่เฉพาะผู้ใหญ่เท่านั้นนะคะ เด็ก ๆ ก็สามารถเป็นได้เช่นเดียวกัน และมักจะแสดงออกด้วยการชอบดึงผมของตัวเองโดยไม่รู้ตัว กว่าจะมารู้ตัวอีกทีก็ “หัวล้าน” ไปเสียแล้ว จนต้องแก้ปัญหาด้วยการใส่วิกหรือจัดแต่งผมที่มีอยู่มาปกปิดกันไป แต่เราอย่าให้ต้องถึงวันนั้นเลยค่ะ รู้เร็ว แก้ไขไว ก็ช่วยได้มากแล้วละค่ะ
                  พฤติกรรมการดึงผมของตัวเองนี้ ศัพท์ทางการแพทย์เรียกกันว่า “โรคดึงผม” หรือ Trichotillomania ค่ะ เป็นภาวะที่ผู้ป่วยจะมีพฤติกรรมถอนผมหรือขนของตัวเองซ้ำ ๆ จนทำให้ผมแหว่งหรือล้านเป็นหย่อม ๆ
                  โรคดังกล่าวจะพบเห็นได้บ่อยในเด็กผู้หญิงมากกว่าเด็กผู้ชาย โดยการดึงผมที่ว่านี้ก็ไม่ได้ดึงแบบใจจดใจจ่อทั้งวันอย่างที่เข้าใจนะคะ เพียงแต่ว่างปุ๊ปเป็นดึง และมักจะทำบ่อย ๆ เป็นพัก ๆ ไปเรื่อย ๆ ค่ะ

                   

                  ชอบดึงผม
                  เครดิต: Marfmom

                  ลักษณะของการดึงผมของผู้ป่วยนั้น แบ่งออกเป็น

                   1. ดึงโดยรู้ตัว ผู้ป่วยประเภทนี้จะมุ่งมั่นและจดจ่อกับการดึงผมของตัวเองเป็นอย่างมาก และเวลาที่ดึงก็จะรู้สึกผ่อนคลาย เพลิดเพลิน และไม่เครียด
                   2. ดึงโดยที่ไม่รู้ตัว ซึ่งกรณีดังกล่าวนี้จะเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ แบบไม่ตั้งใจทำ แต่เผลอที่ไรก็เป็นอันเอามือไปดึงผมให้ได้เสียทุกทีไป

                  ถามว่าโรคนี้จะมีผลกระทบในชีวิตประจำวันมากหรือไม่?

                  คำตอบก็คือ มีค่ะ เนื่องจากผมที่แหว่งหรือล้านไปนั้น อาจทำให้เกิดภาวะซึมเศร้าหรือเครียดมากขึ้นกว่าเดิมได้ อีกทั้งยังเป็นการเสียเงินเสียทองเพื่อไปซื้อวิกอีกด้วย

                  และในปัจจุบันไม่จำเป็นเลยว่าที่จะพบโรคนี้เกิดขึ้นกับผู้ใหญ่เท่านั้นนะคะ เพราะในเด็กเล็กก็มีเช่นเดียวกัน และอาจจะพบมากขึ้นในวัยที่กำลังก้าวเข้าสู่วัยรุ่น หรืออยู่ในช่วงวัยรุ่นแล้ว และหากไม่ได้รักษาก็จะเป็นเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ ค่ะ ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า โรคดึงผมจะขึ้นอยู่กับปัจจัยคือ ความเครียด ความกังวล ช่วงที่มีประจำเดือน เป็นต้น

                  สมาคมจิตแพทย์ได้กล่าวว่า พฤติกรรมการดึงผมตัวเองที่ว่านี้ ถือเป็นพฤติกรรมที่มีปัญหาด้านอารมณ์แอบแฝงอยู่ ซึ่งเด็กที่แสดงอาการเช่นนี้ ส่วนใหญ่แล่วจะไม่คอยพูดค่ะ มีความอดทน และไม่ค่อยแสดงออกเท่าไหร่ เวลาที่ต้องเผชิญกับปัญหาก็จะไม่สามารถแก้ไขด้วยตัวเองได้ และสาเหตุทั้งหมดของการที่ ลูกดึงผม ตัวเองนั้นสืบเนื่องมาจาก ความเครียดและความวิตกกังวลใจล้วน ๆ เลยละค่ะ

                  แก้ไขลูกชอบดึงผมได้อย่างไร?

                  1. พยายามหากิจกรรมให้ลูกทั้งค่ะ
                  2. อย่าปล่อยให้ลูกอยู่คนเดียว พยายามชวนลูกไปทำกิจจกรมต่าง ๆ ร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นไปเที่ยว ทำงานบ้าน หรือรดน้ำต้นไม้เป็นต้น
                  3. พยายามชวนลูกพูดคุย รับฟังและแก้ไขปัญหาไปด้วยกันกับลูก มากกว่าการตำหนิ หรือดุด่าว่ากล่าว เป็นต้น
                  อย่างไรก็ตาม คุณพ่อคุณแม่ต้องคอยหมั่นสังเกตลูกให้ดี ๆ นะคะว่า ลูกชอบดึงผมหรือไม่ ถ้าใช่และลูกเป็นมากเสียจนเลิกไม่ได้แล้วละก็ แนะนำให้พาลูกไปพบจิตแพทย์เพื่อขอคำแนะนำโดยเร็วค่ะ
                  อ่านต่อเรื่องอื่น ๆ ที่น่าสนใจ:

                   

                   

                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                   

                    ตำแหน่งปวดท้อง

                    7 ตำแหน่งปวดท้อง บอกโรค ปวดตรงไหนเป็นอะไรรู้ได้ที่นี่

                    คุณพ่อคุณแม่ทุกท่านย่อมเคยปวดท้องกันแน่นอนอยู่แล้ว หลาย ๆ ครั้ง แค่เราซื้อยามากินก็หายได้ แต่ถ้ากินยาที่เคยกินแล้วไม่หายล่ะจะทำอย่างไร? จริง ๆ แล้ว เวลาปวดท้องแต่ละคนอาจปวดในจุดที่แตกต่างกัน ตำแหน่งปวดท้อง บอกโรค ได้ เพราะฉะนั้นเราควรสังเกตตัวเองนะคะ วันนี้ก็มีจุดปวดท้องที่น่าสังเกตมาฝากคุณพ่อคุณแม่ค่ะ

                    7 ตำแหน่งปวดท้อง บอกโรค

                    พญ.สกุณี ภระกูลสุขสถิตย์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ได้ให้ความรู้เกี่ยวกับตำแหน่งของการปวดท้องแต่ละตำแหน่ง ว่าบ่งบอกว่าเราอาจเป็นโรคต่าง ๆ ไว้ ดังนี้

                    ขวาช่วงบน 

                    โรคที่กิดจากตับ ถุงน้ำดี ลำไส้ที่อยู่บริเวณนี้และไตขวา เช่น ตับอักเสบ นิ่วในถุงน้ำดี กรวยไตขวาอักเสบ นิ่วในไตขวา เป็นต้น

                    หากกดแล้วเป็นก้อนแข็ง ๆ บวกกับอาการตัวเหลือง หมายถึงความบกพร่องของตับ และถุงน้ำดี หากปวดมากควรรีบพบแพทย์

                    ขวาช่วงล่าง 

                    โรคที่เกิดจากไส้ติ่ง ลำไส้ที่อยู่บริเวณนี้ ปีกมดลูกด้านขวา เช่น ไส้ติ่งอักเสบ ปีกมดลูกขวาอักเสบ เป็นต้น อาการ ได้แก่

                    • ปวดเกร็งเป็นระยะๆ แล้วร้าวมาที่ต้นขา เป็นอาการกรวยไตอักเสบ หรือนิ่วท่อไต ควรรีบพบแพทย์
                    • ปวดเสียด บีบ ตลอดเวลา กดแล้วเจ็บมากบริเวณท้องน้อยด้านขวา อาจจะเป็นไส้ติ่งอักเสบ
                    • ปวดร่วมมีไข้สูง มีตกขาว อาการของปีกมดลูกอักเสบ
                    • คลำแล้วเจอก้อนเนื้อ อาการก้อนไส้ติ่งอักเสบ หรือรังไข่ผิดปกติ

                    ใต้ลิ้นปี่

                    โรคที่เกิดจากกระเพาะอาหาร หลอดอาหาร ถุงน้ำดี เช่น กระเพาะอาหารอักเสบ กรดไหลย้อน นิ่วในถุงน้ำดี เป็นต้น อาการคือ

                    • ปวดใต้ลิ้นปี่ร่วมกับเจ็บหน้าอก หรือแน่นหน้าอก อาจจะเป็นโรคหัวใจขาดเลือด
                    • ปวดเป็นประจำเวลาหิว หรืออิ่ม อาจเกี่ยวกับโรคกระเพาะอาหาร หากปวดรุนแรง หรืออาเจียนด้วยอาจเป็นตับอ่อนอักเสบ
                    • หากคลำเจอก้อนเนื้อขนาดใหญ่ และแข็งแสดงว่าตับโต หรือหากคลำได้ก้อนสามเหลี่ยมแบนเล็ก ๆ อาจเป็นกระดูกลิ้นปี่
                    • หากอืดแน่นท้องเป็น ๆ หาย ๆ เป็นเวลานาน อาจเป็นนิ่วในถุงน้ำดี

                    รอบสะดือ 

                    โรคที่เกิดจากลำไส้เล็ก อาจเกิดจากลำไส้อักเสบ มักจะมีอาการปวดบิด ถ่ายเหลว คลื่นไส้ อาเจียน และเป็นอาการเริ่มปวดท้องของไส้ติ่งอักเสบได้ (ค่อนจะย้ายไปปวดบริเวณด้านขวาช่วงล่าง)  หากกดแล้วปวดมาก ปวดจนทนไม่ไหวให้พบแพทย์ทันที

                    เหนือหัวหน่าว 

                    โรคที่เกิดจากกระเพาะปัสสาวะ มดลูก เช่น กระเพาะปัสสาวะอักเสบ มดลูกอักเสบ เนื้องอกมดลูก เป็นต้น อาจมีอาการ ดังนี้

                    • ปัสสาวะกะปริบกะปรอย ปวดเวลาปัสสาวะ อาจเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบ หรือเป็นนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ
                    • ปวดท้องน้อย มีไข้สูง ตกขาวมีกลิ่นเหม็น อาจจะเป็นมดลูกอักเสบ
                    • ปวดเกร็งเวลามีประจำเดือน มีอาการปวดเรื้อรัง แสดงว่ามดลูกมีปัญหา ควรรีบพบแพทย์

                    ซ้ายช่วงบน 

                    โรคที่เกิดจากกระเพาะอาหาร ม้าม ตับอ่อน ลำไส้ที่อยู่บริเวณนี้และไตช้าย เช่น กระเพาะอาหารอักเสบ ตับอ่อนอักเสบ ม้ามแตก กรวยไตช้ายอักเสบ นิ่วในไตช้าย เป็นต้น

                    ข้ายช่วงล่าง 

                    โรคที่เกิดจากลำไส้ที่อยู่บริเวณนี้ ปีกมดลูกด้านซ้าย เช่น ลำไส้อักเสบปีกมดลูกซ้ายอักเสบ เป็นต้น

                    ตำแหน่งปวดท้อง
                    7 ตำแหน่งปวดท้อง บอกโรค ปวดตรงไหนเป็นอะไรรู้ได้ที่นี่

                    ขอบคุณ ภาพ จาก โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย

                    ปวดท้องแบบใดที่ต้องพบแพทย์

                    หากมีอาการปวดท้องลักษณะต่อไปนี้ ควรรีบพบแพทย์

                    1. ปวดนานมากกว่า 6 ชั่วโมง แล้วอาการเป็นมากขึ้น
                    2. ปวดจนกินอาหารไม่ได้
                    3. ปวดท้อง และอาเจียนอย่างมาก มากกว่า 3-4 ครั้ง
                    4. ปวดท้องมากขึ้นเมื่อขยับตัว
                    5. ปวดที่บริเวณท้องน้อยด้านขวา
                    6. ปวดท้องรุนแรง นอนไม่ได้
                    7. ปวดร่วมกับเลือดออกจากช่องคลอด
                    8. ปวดท้อง มีไข้ร่วมด้วย

                     

                    ขอบคุณข้อมูลจาก
                    โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย, โรงพยาบาลขอนแก่น ราม

                     

                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                     อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                    ช่วยด้วย ลูกอาหารเป็นพิษ ปวดท้อง อาเจียนไม่หยุด

                    คนท้องปวดท้องน้อย อาการแบบไหนเสี่ยงแท้ง?

                    เมื่อลูกปวดท้องจาก “โรคบิด” ภัยร้ายหน้าร้อนที่ต้องระวัง!!

                      อุทาหรณ์ 13 สิ่งของต้องระวัง ทำลูกน้อยเสี่ยงเสียชีวิต

                      เมื่ออยู่ในบ้านหากคุณพ่อคุณแม่ได้มีโอกาสหันมองสิ่งของรอบๆ ตัว ไม่ว่าจะเป็นของใช้ภายในบ้าน ของเล่นลูก ของกระจุกกระจิกของคุณแม่ เครื่องไม้เครื่องมือช่างแสนรักของคุณพ่อ หรือแม้กระทั่งหมอนใบนุ่มนิ่ม เราอาจไม่เคยนึกฝันก็ได้ว่า ในวันหนึ่งสิ่งของคุ้นเคยเหล่านี้จะสามารถเป็นอันตรายแก่ลูกน้อย หรือ ลูกน้อยเสี่ยงเสียชีวิต ได้
                      Continue reading “อุทาหรณ์ 13 สิ่งของต้องระวัง ทำลูกน้อยเสี่ยงเสียชีวิต”

                        Dragkooler

                        Dragkooler..ได้รับรางวัลนวัตกรรมระดับโลก ผ้าเปียกสมุนไพรเช็ดตัวลดไข้เด็ก แดรกคูลเลอร์ บอกเลยว่าบ้านไหนมีลูกต้องมีติดบ้าน

                        ต้องบอกเลยว่ามาแรงและผลตอบรับดีจริงๆสำหรับเจ้าผ้าเปียกเช็ดตัวลดไข้ DragKooler (แดรกคูลเลอร์) และคุณแม่หลาย ๆ  ท่านน่าจะเคยเห็นและเคยซื้อติดไม้ติดมือไปแล้วจากงาน Amarin Baby & Kids Fair ครั้งที่ 20 ที่จัดขึ้นที่ไบเทค บางนา เมื่อวันที่ 24-27 มี.ค. 65 เพราะนวัตกรรมใหม่ป้ายแดงชิ้นนี้ถือเป็นไอเทมที่มาแรงที่สุดในงานเลยก็ว่าได้

                        นวัตกรรมชิ้นนี้ไม่ใช่มีดีที่แค่คำว่า “ใหม่” ได้ผลจริง และมีประสิทธิภาพในการเช็ดตัวลดไข้ได้ดีกว่าผ้าชุบน้ำถึง 2 เท่า (มีผลการทดสอบทางคลินิกรับรองและผ่านการทดสอบการระคายเคืองแล้วโดยสถาบัน Dermscan Asia) แต่ยังเป็นผลิตภัณฑ์ที่ Eco-Friendly สุด ๆ อีกต่างหาก เพราะผ้าที่ใช้ผลิตจากสนไซเปรส100%นำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น ที่ตัดมาใช้ 1 ต้นต้องปลูกทดแทน 2 ต้น กล่องก็ใช้กระดาษจากป่าปลูกทดแทน แม้แต่ซองยังผลิตอลูมิเนียมที่ Recycle ได้

                        Dragkooler

                        ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยที่นวัตกรรมของคนไทยชิ้นนี้ ผ้าเปียกเช็ดตัวลดไข้ DragKooler (แดรกคูลเลอร์) จะไปคว้าเหรียญทอง (Gold Medal) กลับมาเมืองไทย จากการประกวดในงานนวัตกรรม INTARG ที่เมือง Katowice ประเทศ Poland เมื่อวันที่ 11-12 พ.ค. 65 นี้จากหมวดนวัตกรรม Health / Medicine / Fitness ซึ่งในแต่ละปีมีผลงานส่งเข้าประกวดกว่า 200 ผลงาน จากทั่วทุกมุมโลก

                        นวัตกรรมชิ้นนี้เค้าคิดมาเพื่อแก้ปัญหาที่พ่อ-แม่ทั้งโลกต้องกลุ้มใจ นั่นคือการมีไข้ของลูก ตัวร้อน ซึ่งพ่อ-แม่ทุกคนก็รู้แหละว่าต้องรีบเช็ดตัวลดไข้ แต่เอ๊ะผ้าอยู่ไหน เอ้าแล้วถังหละ ทุกอย่างช่างดูวุ่นวาย แถมที่สำคัญเช็ดตัวลดไข้ไข้กลับไม่ลดก็มี

                        ซึ่งโดยปกติหลักการเช็ดตัวลดไข้ การพยาบาลจะใช้ผ้าชุบน้ำแล้วมาเช็ดตัว โดยต้องถูแรง ๆ ย้ำต้องถูแรงๆเพื่อเปิดรูขุมขนในการระบายความร้อนในร่างกายของเด็กใช่มั้ยคะ แต่พ่อแม่ที่เคยมีประสบการณ์นี้คงทราบดีว่ามันไม่ง่ายเลย ในการจะทำใจถูตัวลูกแรง ๆเพราะเค้า เจ็บ แถมเช็ดเสร็จไข้อาจจะไม่ลดอีก ไม่พอนะคะเช็ดเสร็จห้องเปียกเลอะไปหมดอีก

                        แต่ถ้ามี “ผลิตภัณฑ์ DragKooler (แดรกคูลเลอร์) ผ้าเปียกสมุนไพรเช็ดตัวลดไข้เด็ก” ติดบ้านไว้ เมื่อลูกมีไข้ ก็เพียงฉีกซองก็นำผ้าเปียกมาเช็ดตัวลูกได้แล้วแถมยังมีประสิทธิภาพมากกว่า การใช้ผ้าชุบน้ำถึง 2 เท่าอีกด้วย

                        ต้องบอกเลยว่ากว่าจะได้นวัตกรรมจะวิจัยและพัฒนาจนสำเร็จนั้นไม่ง่ายเลย “ผลิตภัณฑ์ DragKooler (แดรกคูลเลอร์) ผ้าเปียกสมุนไพรเช็ดตัวลดไข้เด็ก” ต้องใช้เวลาวิจัยและพัฒนานานกว่า 1 ปีโดย “ศาสตราจารย์ เภสัชกรหญิง ดร. พรอนงค์ อร่ามวิทย์” และคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยมีผลทดสอบทางคลินิก รับรองแล้วว่ามีประสิทธิภาพในการลดไข้ได้ดีกว่าการใช้น้ำธรรมดาถึง 2 เท่า ทั้งยังการันตีคุณภาพด้วยรางวัลผลิตภัณฑ์ Success Case จากโครงการ AGRO GENIUS DIPROM โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ที่เป็นรางวัลนวัตกรรมรางวัลแรกที่ได้รับก่อนจะไปประกวดที่ Poland

                        DragKooler (แดรกคูลเลอร์)

                        ถามว่าทำไม่ถึงมีประสิทธิภาพของในการลดไข้ดีขนาดนี้ ก็เพราะ“ผลิตภัณฑ์ DragKooler (แดรกคูลเลอร์) ผ้าเปียกเช็ดตัวลดไข้”ใส่สารสกัดสมุนไพรธรรมชาติ 100% ดีดีของไทยที่ใส่ลงไป ไม่ว่าจะเป็น มะนาว ใบย่านาง ไพล และเปปเปอร์มินต์ ซึ่งสมุนไพรเหล่านั้นจะไปช่วย ขยายรูขุมขนเพื่อระบายความร้อนในเด็กโดยคุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องถูตัวเด็กแรง ๆ เพื่อเปิดรูขุมขนอีกแล้ว แถมยังมีกลิ่นหอมสมุนไพรที่ช่วยให้เด็กหายใจสะดวก และช่วยระบายความร้อน ทางลมหายใจได้อีกด้วย

                        ต้องขอปรบมือดัง ๆ อีกครั้งให้กับนวัตกรรมดีดีของคนไทย ที่ไปได้รับรางวัลระดับโลก เพราะฉนั้นบ้านไหนที่มีลูกเล็ก บอกเลยต้องซื้อติดบ้านกันไว้นะคตะ เพราะเราไม่รู้หรอกว่าลูกเราจะมีไข้ตอนไหน

                        ข้อมูลเพิ่มเติม www.dragkooler.com

                        หรือสนใจสั่งซื้อได้เลยที่ Shopee, Lazada หรือ โทร 093-250-9697
                        Line ID : @dragkooler
                        FB fanpage : dragkoolerthailand

                         

                          ประสาทสัมผัส ไวกว่าปกติ

                          ประสาทสัมผัส ไวกว่าปกติต้นเหตุลูกเก็บตัวหงุดหงิดง่าย

                          ประสาทสัมผัส ไวกว่าปกติ(Sensory defensiveness) ความผิดปกติที่อาจไม่อันตราย แต่ส่งผลต่อพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ของลูกได้ มาทำความเข้าใจ และช่วยลูกกันเถอะ

                          ประสาทสัมผัส ไวกว่าปกติต้นเหตุลูกเก็บตัวหงุดหงิดง่าย!!

                          ภาวะที่ไวต่อการรับความรู้สึก หรือ Sensory defensiveness คืออะไร? คุณพ่อคุณแม่หลายคนคงไม่เข้าใจว่า ภาวะดังกล่าวจะเกี่ยวข้องกับลูก หรือส่งผลต่อพฤติกรรมของลูกได้อย่างไร ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจกับ Sensory Integration กันเสียก่อน

                          Sensory Integration (SI) คืออะไร?

                          SI ย่อมาจาก Sensory Integration แปลว่า การบูรณาการประสาทความรู้สึกจากอวัยวะรับสัมผัสต่างๆ ของร่างกาย เป็นกระบวนการที่ระบบประสาทส่วนกลางประมวลผลข้อมูลที่ได้รับจากประสาทสัมผัสทุกส่วนของร่างกาย แล้วตอบสนองออกมาเป็นพฤติกรรม ซึ่งกระบวนการดังกล่าวหากสามารถทำหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพ จะเกิดการสร้างองค์ประกอบพื้นฐานในทำกิจกรรมอย่างสมบูรณ์ เกิดการรับรู้ตนเอง พัฒนาความสามารถในการทำหน้าที่ของร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ ให้ตอบสนองเพื่อการปรับตัวต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างเหมาะสม เช่น การมีสมาธิเขียนอ่าน การเคลื่อนไหว การร่วมกิจกรรมทางสังคม เป็นต้น

                          ลูกหงุดหงิดง่าย ไม่ชอบใส่เสื้อที่ไม่นิ่ม อาการภาวะ ประสาทสัมผัส ไวผิดปกติ
                          ลูกหงุดหงิดง่าย ไม่ชอบใส่เสื้อที่ไม่นิ่ม อาการภาวะ ประสาทสัมผัส ไวผิดปกติ

                          SI แบ่งออกเป็น 3 ระบบหลัก ได้แก่

                          1. ความรู้สึกจากระบบการทรงตัว และการเคลื่อนไหว (Vestibular sensation)
                          2. ความรู้สึกกายสัมผัส (Tactile sensation)
                          3. ความรู้สึกจากกล้ามเนื้อ เอ็น ข้อต่อ (Propioceptive sensation)

                          ในทางกลับกัน เมื่อระบบประสาทส่วนกลางมีปัญหาในการประมวลผลข้อมูลทางประสาทสัมผัสใด ๆ การตอบสนองของร่างกายนั้นเกิดผิดปกติ เราจะสามารถสังเกตได้จากความยากลำบากในการเคลื่อนไหว ภาษา หรือทักษะทางพฤติกรรม นักกิจกรรมบำบัดจะวินิจฉัยความผิดปกติเหล่านี้ว่าเป็น ความผิดปกติของการประมวลผลทางประสาทสัมผัสหรือเอสพีดี (SPD)

                          ลูกคุณมีพฤติกรรมเหล่านี้บ้างหรือไม่?

                          สัญญาณของการเกิดความผิดปกติของการประมวลผลทางประสาทสัมผัส หรือ การที่  ประสาทสัมผัส ไวเกินปกติ สามารถส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมในชีวิตของเด็ก  เป็นพฤติกรรมที่แสดงถึงภาวะหลีกหนีประสาทความรู้สึก หรือการป้องกันประสาทสัมผัสที่ไวเกิน การที่สมองไม่สามารถทำหน้าที่ตามธรรมชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยเฉพาะในส่วนของระบบการรับความรู้สึก สมองไม่สามารถจัดระเบียบความรู้สึกต่าง ๆ ที่เข้ามาในร่างกายผ่านอวัยวะต่าง ๆ ได้ การที่สมองไม่สามารถบูรณาการข้อมูลความรู้สึกได้ดีจะส่งผลต่อการแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ดังต่อไปนี้

                          • ไม่ชอบการสัมผัสที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด เช่น การกอด หอมแก้ม
                          • ไม่อยากให้มือเลอะ เปื้อน สกปรก โดยเฉพาะ มือ เท้า ใบหน้า
                          • ระคายเคืองต่อป้ายแท็กคอเสื้อ ป้ายขอบเองกางเกง ไม่ยอมสวมเสื้อผ้าใหม่ ต้องทำให้เสื้อผ้ามีเนื้อผ้าที่นิ่มก่อนใส่
                          • ไม่ชอบเล่นเครื่องเล่นที่มีการเคลื่อนไหว เช่น ม้าหมุน ชิงช้า จะพยายามหลีกเลี่ยงการยืนเดินบนพื้นที่ไม่มั่นคง
                          • หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่มีการลงน้ำหนัก เช่น การเล่นกีฬา การวิดพื้น การคลาน เป็นต้น
                          • ชอบอยู่ในที่มืด สลัว หรี่ตาเวลาเห็นแสง หรือสีมาก ไม่ชอบความไวของแสง
                          • ชอบรับประทานอาหารเดิมซ้ำ ๆ ไม่ชอบลองอาหารที่มีรสชาติหลากหลาย รสชาติใหม่ ๆ
                          • ต่อต้านการทำกิจกรรมประจำวัน เช่น การแปรงฟัน หวีผม ซักผ้า ตัดเล็บ ล้างหน้า เป็นต้น
                          • มักจะแสดงอาการรำคาญ หงุดหงิด ไม่ชอบเวลาได้ยินเสียงกระซิบ เสียงเครื่องดูดฝุ่น เสียงดัง เสียงรบกวนต่าง ๆ

                            เก็บตัว ไม่ชอบการเคลื่อนไหว สัญญาณเตือน ภาวะ ประสาทสัมผัส ไวผิดปกติ
                            เก็บตัว ไม่ชอบการเคลื่อนไหว สัญญาณเตือน ภาวะ ประสาทสัมผัส ไวผิดปกติ

                          Sensory Defensiveness คืออะไร?

                          คือ ภาวะที่ไวต่อการรับความรู้สึกต่อกลิ่น แสง รสชาติ การรับสัมผัส การเคลื่อนไหว การได้ยิน หากลูกคุณมีพฤติกรรมดังกล่าวข้างต้น เป็นสัญญาณเตือนว่าลูกอาจมีภาวะที่ไวต่อการรับความรู้สึกต่อสิ่งเร้าได้ อย่างไรก็ตามหากพฤติกรรมเหล่านี้มีบ้างเล็กน้อย ไม่ได้ส่งผลกระทบกับการดำเนินชีวิต เด็กก็จะเรียนรู้ และปรับตัวต่อสิ่งแวดล้อมนั้น ๆ ได้เองในที่สุด

                          แต่ในเด็กบางคนที่มีพฤติกรรมหลีกหนีต่อสิ่งเร้ามาก จนส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต เด็กอาจต้องได้รับการช่วยเหลือจากนักกิจกรรมบำบัด เพื่อปรับกิจกรรม สิ่งแวดล้อม ให้เขาสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุขมากขึ้น

                          ประสาทสัมผัส ที่ไวต่อความรู้สึก ส่งผลต่อลูกอย่างไร?

                          • ทำให้เป็นเด็กที่รู้สึกกังวล กลัว รู้สึกไม่ปลอดภัยต่อผู้คน และการทำกิจกรรม
                          • ขาดความสามารถในการควบคุมอารมณ์ หงุดหงิดง่าย
                          • ทำให้ขาดความสามารถในการควบคุมตัวเอง และการเข้าสังคม
                          • ทำให้ขาดโอกาสในการเรียนรู้จากปัญหา และการปรับตัวจากสิ่งแวดล้อมที่หลากหลาย
                          • เกิดแรงจูงใจอยากจะหนีจากสิ่งเร้า ทำให้เป็นเด็กเก็บตัว อยู่แต่ในบ้าน
                          • ดิสแพร็กเซีย (Dyspraxia) เช่น มีการวางแผนการเคลื่อนไหวที่ไม่ดีทำให้เกะกะ เก้งก้าง และไม่สัมพันธ์กัน ใส่เสื้อผ้าเองลำบาก เรียนรู้ต่อกิจกรรมใหม่ได้ช้า

                            พ่อแม่สามารถช่วยลูกด้วยการปรับสิ่งเร้า ปรึกษานักกิจกรรมบำบัดได้
                            พ่อแม่สามารถช่วยลูกด้วยการปรับสิ่งเร้า ปรึกษานักกิจกรรมบำบัดได้

                          การบำบัดเด็กที่มีปัญหาทำอย่างไร?

                          นักกิจกรรมบำบัดจะทำการประเมิน และให้การบำบัดตามความบกพร่องในแต่ละบุคคล คุณพ่อคุณแม่ และผู้ปกครองสามารถช่วยทำได้โดยการส่งเสริมการปรับสิ่งแวดล้อมที่บ้าน เช่น กระตุ้นให้เด็ก ได้รับสัมผัสที่หลากหลายมากขึ้นทั้งการใช้มือจับชนิดของอาหาร ผิวสัมผัสของเล่น เป็นต้น กระตุ้น ให้เด็กได้มีการปรับตัวในการเล่นที่หลากหลาย เช่น นั่งชิงช้า ปีนป่าย เล่นบนทราย บนหญ้า คลาดอุโมงค์ กลิ้งตัวบนพรม เดินทรงตัว เป็นต้น

                          โดยเราสามารถแบ่งการบำบัดตามขั้นตอนได้ ดังต่อไปนี้

                          1. การปรับสิ่งแวดล้อมเพื่อลดสิ่งเร้า
                          2. จัดหาตัวที่ช่วยปรับเพื่อลด และจัดการกับสิ่งกระตุ้น
                          3. การบำบัดเพื่อนเปลี่ยนแปลงทางประสาทวิทยา
                          4. การเติมเต็มการรับความรู้สึก และจัดการระเบียบระบบประสาท

                          ตารางตัวอย่างการบำบัดด้วยการปรับสิ่งแวดล้อม และใช้อุปกรณ์ช่วย

                          สิ่งเร้า

                          การปรับ

                          อุปกรณ์

                          เสียงปรับลดระดับเสียง

                          จัดการเสียงรบกวน

                          หลีกเลี่ยงบริเวณคนพลุกพล่านกิจกรรมที่เสียงดัง

                          ใช้เครื่องเล่นเพลง หูฟัง

                          ใส่ที่อุดหู

                           

                          สายตาใช้แสงไฟที่นุ่ม ไม่จ้าเกินไป

                          ลดการใช้สีสันสดใส

                          เปลี่ยนเป็นกระจกสีตัดแสง ลดความจ้าของแสง

                          ใส่หมวก ใช้ร่ม ใส่แว่นกันแดด

                          สัมผัสหลีกเลี่ยงการสัมผัสแบบแผ่วเบา

                          ก่อนจะสัมผัสให้บอกเด็กก่อน

                          ให้เด็กนั่งห่างจากคนอื่น

                          ปรับให้ทำกิจกรรมที่ได้สัมผัส

                          เลือกเนื้อผ้าที่นิ่ม เช่น ผ้าสแปนเด็กซ์ ให้ลูก

                          ตัวอย่างวิธีการบำบัด

                          1. การแปรงตัวเด็กด้วย Sensory brush โดยแปรงอย่างเร็วบริเวณฝ่ามือ นิ้วมือ แขน ไหล่ หลัง ขา และเท้า ร่วมกับการทำ Joint compression ให้แรงกดบริเวณข้อต่ออย่างสม่ำเสมอ บริเวณนิ้วมือ ข้อมือ ข้อศอก ไหล่ สะโพก ข้อเท้า กระบวนการทั้งหมดใช้เวลาไม่กี่นาที ทำทุก ๆ 1.5-2 ชั่วโมง โดยนักกิจกรรมบำบัดจะเป็นผู้ออกแบบโปรแกรมการฝึกให้เฉพาะแต่ละบุคคล วิธีการนี้ใช้สำหรับเด็กที่มีภาวะหลีกหนีการสัมผัส TD : Tactile Defensiveness
                          2. AIT : Auditory Intergration Therapy เป็นการทำรายบุคคล ให้ความถี่ต่าง ๆ ผ่านหูฟังเพื่อช่วยปรับการรับความรู้สึกให้สมดุล
                          3. Visaul Integration Therapy : Irlen Method ใช้เลนส์กรองแสง ใช้เลนส์พิเศษ ปรึซึม  และการบำบัดทางสายตาเพื่อแก้ไขความผิดปกติ
                          4. Sensory Integration Therapy  ทำโดยนักกิจกรรมบำบัด กระตุ้นระบบรับความรู้สึก เพื่อให้เกิดการบูรณาการประสาทความรู้สึก ส่งผลให้ภาวะที่ไวต่อการรับรู้ความรู้สึกลดลง

                            หูฟัง อุปกรณ์ช่วยลดสิ่งเร้า
                            หูฟัง อุปกรณ์ช่วยลดสิ่งเร้า

                          พฤติกรรมไม่พึงประสงค์บางอย่าง เช่น การเก็บตัว ไม่ยอมเข้าสังคม หงุดหงิดง่าย ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ เป็นต้น เหล่านี้ บางครั้งอาจทำให้พ่อแม่เข้าใจผิดคิดไปว่าเป็นจากนิสัยตัวเด็กเอง แต่ในบางครั้งเราอาจคาดไม่ถึงว่า พฤติกรรมต่าง ๆ เหล่านี้ที่เด็กแสดงออกมา เพื่อเป็นสัญญาณบ่งบอกของความผิดปกติบางอย่างทางกาย ที่ลูกต้องการได้รับความช่วยเหลือ แม้ว่าจะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่หากเขาได้รับการดูแลอย่างถูกต้องเหมาะสมก็สามารถช่วยให้ลูกมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าเดิมได้อย่างแน่นอน อย่าปล่อยให้ลูกต้องรับมือความทุกข์เพียงลำพัง หมั่นสังเกตลูกสักนิดหากเขามีอาการที่กล่าวมาข้างต้นบ่อย ๆ ลองพาลูกไปปรึกษากับนักกิจกรรมบำบัด เพื่อชีวิตลูกที่ดีกว่า

                          ข้อมูลอ้างอิงจาก www.facebook.com/Hugglory.th/harkla.co /www.phyathai-sriracha.com

                          อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                          เด็กแรกเกิด ควรดูแลอย่างไร ลักษณะแบบไหนถือว่าปกติ

                          ลำไส้กลืนกัน ภัยร้ายของเด็กเล็กที่พ่อแม่ต้องระวัง

                          MRIสมองเด็กชี้ชัดอันตรายเมื่อ ลูกติดโทรศัพท์ ก่อน 2ขวบ

                          ลูก สำลัก เรื่องเล็กที่คร่าชีวิตได้ พ่อแม่ต้องรู้วิธีช่วย

                          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                            กินอะไรเสริมภูมิ

                            ควร กินอะไรเสริมภูมิ บรรเทาอาการลูกน้อยจากลองโควิด

                            ควร กินอะไรเสริมภูมิ บรรเทาอาการลูกน้อยจากลองโควิด

                            สถานการณ์โควิด-19 ในประเทศไทยกลับมาเข้มข้นอีกรั้งหนึ่งเมื่อโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน สายพันธุ์ใหม่ BA.4 และ BA.5 ระบาดหนัก โดยขณะนี้เริ่มพบการระบาดในสถานที่เสี่ยงตามโรงเรียน และสถาบันการศึกษาหลายจังหวัด แม้เด็ก ๆ ที่อายุครบ 5 ขวบจะได้รับวัคซีนแล้วก็ตาม เมื่อติดแล้วหลายคนก็มักมีอาการลองโควิดตามมา เมื่อลูกติดโควิดแล้วคุณพ่อคุณแม่ก็สามารถช่วยบรรเทาอาการลูกน้อยจากลองโควิดได้ ด้วยการบำรุงร่างกายด้วยสารอาหารที่จำเป็นและมีประโยชน์ ลูกควร กินอะไรเสริมภูมิ ติดตามกันค่ะ

                            อาการภาวะลองโควิด

                            ผู้ที่มีอาการภาวะลองโควิด จะพบได้ในช่วง 1-3 เดือนแรก โดยจะพบร้อยละ 30-50 ของผู้ป่วยทั้งหมด จึงอาจไม่ต้องตกใจหรือกังวลใจ และผู้ป่วยแต่ละรายจะมีอาการแตกต่างกัน ไม่มีลักษณะตายตัว

                            • อ่อนเพลียเรื้อรัง เวียนศีรษะ ปวดศีรษะ
                            • ใจสั่น หายใจไม่อิ่ม รู้สึกแน่น ๆ หน้าอก
                            • มีปัญหาเกี่ยวกับการนอนหลับ สมองไม่สดชื่น ความจำไม่ดีเหมือนเดิม
                            • ปวดตามข้อ รู้สึกจี๊ด ๆ ตามเนื้อตัวหรือปลายมือปลายเท้า
                            • รู้สึกเหมือนยังมีไข้อยู่ตลอด
                            • มีภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล หรือมีผลกระทบทางจิตใจหลังเผชิญสถานการณ์รุนแรง (Post-Traumatic Stress Disorder)

                            เป็นภาวะลองโควิด ต้องทำอย่างไร

                            อาการลองโควิดเป็นผลจากความผิดปกติภายในร่างกาย เนื่องจากร่างกายยังฟื้นฟูไม่เต็มที่ พ่อแม่ของเด็กที่ติดเชื้อโควิดจึงควรสังเกตอาการของเด็ก พบแพทย์เพื่อประเมินสภาพร่างกาย และวางแผนการฟื้นฟูที่ถูกต้อง เนื่องจากอาการดังกล่าวอาจเกิดขึ้นได้ระยะยาว และส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันอย่างรุนแรง รวมถึงปล่อยนานเกินไปอาจเป็นอันตรายได้

                            กินอะไรเสริมภูมิ
                            ควรกินอะไรเสริมภูมิ บรรเทาอาการลูกน้อยจากลองโควิด

                            ลูกน้อยควร กินอะไรเสริมภูมิ บรรเทาภาวะลองโควิด

                            เด็กที่มีอาการลองโควิด (Long Covid) ควรดูแลสุขภาพให้แข็งแรงและสร้างเสริมภูมิคุ้มกันด้วยการกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นปรุงสุก สะอาด และย่อยง่าย เนื่องจากร่างกายอาจมีความผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร นอกจากนี้หากมีอาการเบื่ออาหาร ควรแบ่งอาหารเป็นมื้อย่อย ๆ หลาย ๆ มื้อ เพื่อรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ตลอดวัน ไม่ให้ร่างกายอ่อนล้า อ่อนเพลีย และควรเลือกกินอาหารดังนี้

                            • ให้ลูกกินโปรตีน เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ นม เนยแข็ง ถั่วต่าง ๆ เต้าหู้ เป็นต้น
                            • ให้ลูกกินอาหารที่มีจุลินทรีย์สุขภาพ หรือโพรไบโอติกส์ (Probiotics) ได้แก่ โยเกิร์ต นมเปรี้ยว โดยเลือกชนิดที่มีนํ้าตาลน้อย
                            • ให้ลูกกินอาหารที่มีใยอาหารสูง เช่น ธัญพืช ถั่วเมล็ดแห้ง กล้วย หัวหอมใหญ่ กระเทียม เป็นต้น เพื่อเป็นอาหารให้จุลินทรีย์สุขภาพ และยังช่วยระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
                            • ให้ลูกหลีกเลี่ยงอาหารบางอย่าง เช่น อาหารสำเร็จรูป อาหารแช่แข็ง อาหารหมักดอง อาหารปิ้งย่าง ของทอด ของมัน หรืออาหารรสจัด ย่อยยาก เพราะอาหารเหล่านี้มีผลทำให้ภูมิคุ้มกันต่ำลง

                            เพิ่มวิตามินสร้างภูมิคุ้มกัน

                            นอกจากนี้ ไม่ควรมองข้ามวิตามินและแร่ธาตุต่าง ๆ เพราะช่วยซ่อมแซมให้ร่างกายได้กลับมาฟื้นฟู แข็งแรง และสร้างภูมิคุ้มกัน ได้เป็นอย่างดี โดยวิตามินที่เหมาะสำหรับผู้ป่วย ลองโควิด (Long Covid) มีดังนี้

                            1. วิตามินซี พบมากในผักและผลไม้สด เช่น ส้ม มะละกอ ฝรั่ง มะนาว มะเขือเทศ เป็นต้น ควรกินแบบสด หากนึ่งหรือผัดควรใช้ระยะเวลาสั้น ๆ เพื่อรักษาคุณค่าจากวิตามินซี
                            2. วิตามินเอ เช่น เครื่องในสัตว์ ไข่แดง นม ผลิตภัณฑ์จากนม ผักใบเขียวเข้ม ผัก และผลไม้สีเหลือง และสีส้ม เช่น ตําลึง ผักบุ้ง แคร์รอต ฟักทอง มันเทศสีเหลือง มะละกอสุก เป็นต้น
                            3. วิตามินดี เช่น ปลานิล ปลาทับทิม เห็ด ไข่แดง เป็นต้น
                            4. วิตามินอี เช่น ไข่ ผัก และผลไม้ต่าง ๆ เช่น ถั่ว นํ้ามันถั่วเหลือง นํ้ามันมะกอก นํ้ามันดอกทานตะวัน อะโวคาโด เป็นต้น
                            5. แร่ธาตุสังกะสี เช่น เนื้อสัตว์ เครื่องใน ตับ หอยนางรม ข้าวกล้อง เป็นต้น

                            ขอบคุณข้อมูลจาก

                            โรงพยาบาลเด็ก,ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ ,ThaiPBS , กรมอนามัย

                            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                             อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                            อาการ ลองโควิด กับมิสซีเทียบอาการให้ชัดป้องกันได้ไว

                            เตือนพ่อแม่!!สังเกต อาการโควิดในเด็ก ย้ำดูแลใกล้ชิด

                            โลหิตจางในเด็ก อาการใหม่หลังโควิดเสี่ยงเสียชีวิต

                              7 วิธีป้องกันโรคหอบหืด

                              7 วิธีป้องกันโรคหอบหืด ลดความรุนแรงของโรคให้ลูกน้อย

                              7 วิธีป้องกันโรคหอบหืด ลดความรุนแรงของโรคให้ลูกน้อย

                              โรคหอบหืดไม่ได้เกิดแต่กับผู้ใหญ่เท่านั้น แต่เกิดได้ทั้งกับเด็กเล็กและเด็กโต หากมีอาการรุนแรงอาจทำให้ลูกน้อยเสี่ยงอันตรายถึงชีวิต โรคหอบหืด เป็นโรคที่รักษาไม่หายขาด แต่สามารถควบคุมไม่ให้อาการกำเริบได้ ซึ่งมี 7 วิธีป้องกันโรคหอบหืด เพื่อช่วยลดวามรุนแรงของโรคให้ลูกน้อย มาฝากกันค่ะ

                              โรคหอบหืด

                              โรคหอบหืด เป็นโรคที่มีการอักเสบเรื้อรังของเยื่อบุหลอดลม ร่วมกับภาวะผิดปกติของหลอดลม ที่ไวต่อสิ่งกระตุ้นต่าง ๆ มากกว่าปกติ พบในเด็กจำนวนมากถึง 10 –15% เมื่อผู้ป่วยเด็กสัมผัสกับสิ่งกระตุ้น กล้ามเนื้อบริเวณหลอดลมจะหดเกร็ง ผนังหลอดลมบวมหนาขึ้น และสร้างสารคัดหลั่งหรือเสมหะมากขึ้น ทำให้หลอดลมตีบแคบลง เด็ก ๆ ที่ป่วยจึงหายใจลำบาก มีอาการเหนื่อยหอบ

                              เมื่อผู้ป่วยเด็กมีอาการทางจมูกมากขึ้น ก็จะทำให้ผู้ป่วยมีอาการหอบมากขึ้นได้ และในทางตรงกันข้ามถ้าได้ควบคุมอาการของโรคทางจมูกได้ดี ก็จะทำให้อาการหอบหืดน้อยลงด้วย

                              7 วิธีป้องกันโรคหอบหืด
                              7 วิธีป้องกันโรคหอบหืด ลดความรุนแรงของโรคให้ลูกน้อย

                              สาเหตุของโรค

                              โรคหอบหืดเกิดได้จาก 2 ปัจจัยหลัก คือ

                              1. ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม  ผู้เด็กที่ป่วยโรคหอบหืดอาจมีอาการกำเริบเมื่อถูกกระตุ้นจากปัจจัยต่างๆ อาทิ
                              • การสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ ที่กระตุ้นให้เกิดอาการทางระบบทางเดินหายใจ ซึ่งจะแตกต่างกันไปในผู้ป่วยแต่ละคน เช่น ละอองเกสรดอกไม้ เกสรหญ้า ไรฝุ่น ขนสัตว์ มลพิษในอากาศ
                              • การติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ เช่น เป็นไข้หวัด ไซนัสอักเสบ
                              • สัมผัสอากาศเย็น
                              • ออกกำลังกายหักโหมเกินไป
                              • มีภาวะกรดไหลย้อน
                              • รับประทานยาบางชนิด เช่น แอสไพริน และยาในกลุ่มต้านอาการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ เช่น ไอบูโพรเฟน
                              • สารกันบูดในอาหาร
                              • ความเครียด
                              1. ปัจจัยทางพันธุกรรม โรคหอบหืดเป็นโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม ผู้ที่มีบิดา มารดา หรือญาติเป็น จะมีโอกาสเป็นโรคนี้มากกว่าคนทั่วไป

                              อาการของโรคหอบหืด

                              จะมีอาการไอ มีเสมหะ แน่นหน้าอก หายใจไม่อิ่ม หายใจมีเสียงหวีด และเหนื่อยหอบ โดยอาการจะเป็น ๆ หาย ๆ ส่วนใหญ่เป็นช่วงกลางคืน หรือเช้ามืด และหลังจากสัมผัสปัจจัยกระตุ้นต่างๆ

                              ทั้งนี้ อาการของโรคมีตั้งแต่ไม่รุนแรงมาก คือ ไออย่างเดียว มีอาการเป็นช่วงสั้น ๆ หอบนาน ๆ ครั้ง ไปจนถึงอาการรุนแรงมาก เช่น หอบทุกวัน หรือมีอาการตลอดเวลา จนไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ

                              การรักษาโรค

                              การอักเสบของเยื่อบุหลอดลมในเด็กที่ป่วยโรคหอบหืดนั้น หากเกิดขึ้นเป็นเวลานาน อาจทำให้หลอดลมเปลี่ยนแปลงรูปร่างและการทำงานได้ จนทำให้สมรรถภาพปอดของผู้ป่วยต่ำกว่าปกติ และหลอดลมไวต่อสิ่งกระตุ้นอย่างถาวร การรักษาโรคหอบหืดจึงควรกระทำแต่เนิ่น ๆ

                              แนวทางการรักษาโรคหอบหืดประกอบไปด้วย การรักษาภาวะอักเสบเพื่อควบคุมอาการของโรคให้สงบลง และการป้องกันอาการกำเริบ ด้วยการหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดอาการหอบหืด เพื่อให้ผู้ป่วยใช้ชีวิตได้อย่างเป็นปกติที่สุด

                              ยาที่ใช้รักษาโรคหอบหืด มีทั้งชนิดสูดพ่นและยารับประทาน ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ

                              • กลุ่มยาควบคุม หรือระงับการอักเสบของหลอดลม เช่น ยากลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์ชนิดสูดพ่น (inhaled corticosteroids)
                              • กลุ่มยาบรรเทาอาการ ได้แก่ ยาขยายหลอดลม ซึ่งมีฤทธิ์ทำให้กล้ามเนื้อหลอดลมคลายตัว และขยายตัว จึงช่วยลดอาการไอ เหนื่อยหอบ หายใจไม่สะดวก ควรใช้เฉพาะเมื่อมีอาการ และไม่มีผลในการลดอาการหลอดลมอักเสบ

                              เนื่องจากโรคหอบหืด เป็นโรคที่อาการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา แพทย์จะประเมินผลการรักษาด้วยยาเป็นระยะ และอาจต้องปรับเปลี่ยนหรือลด-เพิ่มขนาดของยาตามความจำเป็นเพื่อให้การควบคุมโรคเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ลดอาการข้างเคียงจากการใช้ยา และลดความเสี่ยงของอาการกำเริบเฉียบพลันซึ่งอาจทำให้ผู้ป่วยต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลได้

                              7วิธีป้องกันโรคหอบหืด
                              7วิธีป้องกันโรคหอบหืด

                              7 วิธีป้องกันโรคหอบหืด

                              ควรหลีกเลี่ยง และขจัดสิ่งต่าง ๆ ที่อาจทำให้เกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้ หรือกระตุ้นอาการหอบหืด เช่น

                              1. ควรหมั่นทำความสะอาดบ้าน โดยเฉพาะ ห้องนอน ห้องทำงาน รวมทั้งเฟอร์นิเจอร์ พัดลม เครื่องปรับอากาศ
                              2. พยายามเปิดหน้าต่าง ให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก ให้แสงแดดส่องถึง
                              3. กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ของแมลงสาบ
                              4. พักผ่อนให้เพียงพอ และหลีกเลี่ยงภาวะเครียด
                              5. งดสูบบุหรี่ และไม่ควรดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากสุรา ทำให้เพิ่มอาการโรคกรดไหลย้อน และส่งผลให้อาการหอบหืดกำเริบได้
                              6. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ออกกำลังกายเพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน
                              7. ควรใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์อย่างถูกต้อง และสม่ำเสมอ

                              การป้องกันโรคหอบหืดนั้น เป็นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม หลีกเลี่ยงสิ่งที่คิดว่าจะทำให้เกิดอาการ เพื่อป้องกันการเกิดโรคแทรกซ้อน ลดอาการความรุนแรงของโรค ลดโอกาสการเสียชีวิตจากโรคหอบหืด และเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของเด็กที่ป่วยค่ะ

                              ขอบคุณข้อมูลจาก

                              TNN Online , โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์, โรงพยาบาลสมิติเวช

                               

                              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                               อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก 

                              อันตรายหากลูกมีอาการ ภูมิแพ้เฉียบพลันรุนแรงในเด็ก

                              แยกให้ออก ภูมิแพ้ ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่กับโควิด -19 อาการ ต่างกันยังไง?

                              วิจัยชี้! ให้ลูกดื่มน้ำอัดลม เสี่ยงเป็นโรคหอบหืด

                                แอปพลิเคชัน Monkey Junior

                                คุณพ่อคุณแม่ยุคดิจิทัลควรรู้ ปกป้องลูกน้อยอย่างไรให้ห่างไกลจากภัยคุกคามในโลกออนไลน์

                                นับเป็นเรื่องที่ดีที่ในปัจจุบัน เด็ก ๆ รุ่นใหม่สามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร สื่อการเรียนการสอน หรือแหล่งความรู้ในโลกอินเทอร์เน็ตด้วยความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น เพราะนั่นคือการส่งเสริมให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้ เลือกหาข้อมูลในสิ่งที่ตัวเองสนใจ เติมแต่งจินตนาการ หรือต่อยอดความคิดสร้างสรรค์ได้ด้วยตนเองอย่างไร้ขีดจำกัด

                                แต่อย่างไรก็ตาม ภายใต้ความสะดวกสบายของการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร แน่นอนว่าเด็ก ๆ ย่อมเสี่ยงต่อภัยคุกคามที่มาในรูปแบบออนไลน์ได้เช่นเดียวกัน คุณพ่อคุณแม่ในยุคดิจิทัลจึงควรรู้เท่าทันกับภัยร้ายบนโลกออนไลน์ที่ไม่ควรมองข้าม และอะไรคือการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศให้เป็นประโยชน์กับลูกน้อยมากที่สุด

                                การที่เด็ก ๆ มีโอกาสในการใช้สื่อออนไลน์ตั้งแต่อายุยังน้อย โดยปราศจากการดูแลชี้แนะจากคุณพ่อคุณแม่หรือผู้ปกครอง อาจทำให้เกิดผลเสีย เช่น เด็กต่ำกว่า 2 ขวบ ซน สมาธิสั้น ก้าวร้าว นอนไม่หลับ พัฒนาการล่าช้า เด็กอายุยังไม่ถึง 13 ขวบ ยังขาดวิจารณญาณในการแยกแยะข่าวสารข้อมูล การเลือกคบเพื่อนออนไลน์ อาจเชื่อข่าวปลอมข้อมูลเท็จ ถูกล่อลวง หรือการที่เด็กๆอาจให้ความสนใจไปกับเกมออนไลน์อาจส่งผลต่อสุขภาพจิตและส่งผลต่อการใส่ใจในเนื้อหาบทเรียนด้วยเช่นกัน

                                ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของคุณพ่อคุณแม่ที่ต้องดูแลใส่ใจในการใช้สื่อออนไลน์ของลูกน้อยอย่างเหมาะสม การแบ่งเวลาในการเรียนและกิจกรรมสันทนาการเพื่อเพิ่มพูนทักษะทางการใช้จินตนาการ รวมถึงการเลือกสื่อการเรียนการสอนที่มีคุณภาพที่ช่วยให้เด็ก ๆ ได้ฝึกฝนทักษะทางวิชาการได้อย่างมีประสิทธิภาพ

                                ยกตัวอย่างเช่น 2 แอปพลิเคชันที่กำลังได้รับความนิยมเป็นอันดับหนึ่งจากผู้ใช้งานมากกว่า 10 ล้านคน แอปพลิเคชัน “Monkey Junior” และ “Monkey Stories” คือแอปพลิเคชันที่คุณพ่อคุณแม่ของเด็ก ๆ ทั่วโลกต่างเชื่อมั่นในหลักสูตรที่ได้รับการออกแบบและพัฒนาในการส่งเสริมทักษะการใช้ภาษาอังกฤษของเด็ก ๆ การันตีจากยอดการดาวน์โหลดสูงสุดเป็นอันดับ 1 ของ App Store และ Google Play ในประเทศสหรัฐอเมริกา

                                แอปพลิเคชัน Monkey Junior

                                “Monkey Junior – คำศัพท์สำหรับเด็กสู่การต่อยอด”  คือแอปพลิเคชันที่เหมาะสำหรับเด็กที่เพิ่งเริ่มต้นและต้องการปรับพื้นฐานในการเรียนภาษาอังกฤษ เด็กๆในช่วงวัย 0 – 10 ปีที่ยังไม่เคยมีพื้นฐานทางภาษาอังกฤษมาก่อน สามารถเริ่มต้นง่ายๆกับแอปพลิเคชัน Monkey Junior   ด้วยหลักสูตรที่เข้าใจง่าย ให้ตัวผู้เรียนได้มีโอกาสโต้ตอบกับเนื้อหาของหลักสูตรโดยใช้ทักษะการฟัง การดู การอ่าน การสัมผัส และ การพูด ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนเกิดความสนุกสนานและสามารถจดจำเนื้อหาจากบทเรียนได้ไปในตัว แอปพลิเคชัน Monkey Junior มีส่วนช่วยให้เด็ก ๆ สะสมคลังคำศัพท์ได้มากกว่า 1,000 คำในเวลาอันสั้น ผ่านนิทานเรื่องเล่า การเล่นเกมเชิงโต้ตอบ การจดจำคำศัพท์บนการ์ดรูปภาพควบคู่ไปกับการฝึกออกเสียงคำศัพท์ให้เป็นไปตามมาตรฐานภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน โดยในแอปพลิเคชัน Monkey Junior จะมีระบบ AI ประเมินความสามารถในการออกเสียงของเด็ก ๆ ได้อย่างแม่นยำ ทำให้คุณพ่อคุณแม่สามารถไว้วางใจถึงคุณภาพของบทเรียนที่มีการตรวจสอบความถูกต้องและสามารถใช้งานได้ดีกับเด็ก ๆ ทั่วโลก

                                “Monkey Stories – เรื่องราวและเกมการเรียนรู้โต้ตอบสำหรับเด็ก” แอปพลิเคชันการเรียนการสอนภาษาอังกฤษที่เหมาะกับเด็ก ๆในช่วงวัย 2 – 10 ปี ที่จะเข้ามาเติมเต็มให้เด็ก ๆ ที่พอมีพื้นฐานทางภาษาอังกฤษอยู่แล้วให้แข็งแรงและต่อยอดพัฒนาการมากยิ่งขึ้น แอปพลิเคชัน Monkey Stories จะเน้นให้เด็ก ๆได้ฝึกทักษะทางภาษาครบทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ การฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน ด้วยความสนุกสนานของเนื้อหา ไม่ว่าจะเป็นจากหนังสือเสียงที่มีมากกว่า 300 เล่ม เกม เพลง และนิทานเชิงโต้ตอบภายในแอปพลิเคชั่น จะช่วยให้เด็ก ๆ ได้พัฒนาทักษะการฟัง การอ่าน พร้อมๆกับการฝึกออกเสียงภาษาอังกฤษมาตรฐานอเมริกัน ซึ่งในแอปพลิเคชัน Monkey Stories จะมีโปรแกรม Monkey Phonics โปรแกรมการเรียนรู้แบบโฟนิกส์หนึ่งเดียวในประเทศเวียดนาม เพื่อช่วยให้เด็ก ๆ สามารถออกเสียงได้อย่างถูกต้อง นอกจากนี้ Monkey Phonics ยังช่วยให้เด็ก ๆ อ่านได้ฝึกทักษะการอ่านอย่างคล่องแคล่ว เขียนได้ถูกต้อง เพิ่มพูนคำศัพท์ และรักการอ่านมากยิ่งขึ้น เรียกได้ว่าแอปพลิเคชั่น Monkey Stories ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์คุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่และตัวผู้เรียนที่ก้าวทันเทคโนโลยีอย่างแท้จริง

                                รู้แบบนี้แล้ว การเลือกใช้สื่อออนไลน์ให้เป็นประโยชน์กับลูกน้อยนั้นคงไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เพียงแต่คุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ต้องให้ความใส่ใจอย่างใกล้ชิด เพื่อให้เด็กๆสามารถใช้สื่อออนไลน์ได้อย่างปลอดภัย และเกิดการเรียนรู้อย่างเต็มประสิทธิภาพ แอปพลิเคชัน “Monkey Junior” และ “Monkey Stories” จะคอยสร้างสรรค์คอนเทนต์ดี ๆ เพื่อสนับสนุนให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้และ ฝึกฝนทักษะทางภาษาอังกฤษให้แข็งแรงยิ่งขึ้นตลอดไป

                                ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ

                                Monkey Junior ได้ที่ Link  

                                Monkey Stories ได้ที่ Link

                                Group Monkey Thailand ได้ที่ Link 

                                Website: https://www.monkeyenglish.net/th/

                                  สิทธิบัตรทอง30บาท

                                  เช็คสิทธิล่าสุด สิทธิบัตรทอง30บาท ครอบคลุมอะไรบ้าง

                                  เช็คสิทธิล่าสุด สิทธิบัตรทอง30บาท ครอบคลุมอะไรบ้าง

                                  คุณพ่อคุณแม่หลายท่านมี สิทธิบัตรทอง30บาท รวมถึงเด็ก ๆ หลายคน ก็อาจใช้สิทธิบัตรทองเพื่อการดูแลสุขภาพกันอยู่แล้ว ซึ่งสิทธินี้ก็มีการขยายขอบเขตและอัปเดทการให้บริการอยู่เสมอ วันนี้ทีมกองบรรณาธิการ ABK จะมาอัปเดทให้คุณพ่อคุณแม่ ได้เช็คสิทธิล่าสุดของบัตรทองกันค่ะ

                                  ประกาศสิทธิล่าสุด สิทธิบัตรทอง30บาท

                                  ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) เมื่อวันที่ 7 มิ.ย. 2565 เรื่อง ประเภทและขอบเขตของบริการสาธารณสุข พ.ศ. 2564 ซึ่งเป็นการปรับปรุงประกาศบอร์ด สปสช. ฉบับเดิม เพื่อให้เกิดความชัดเจนเกี่ยวกับสิทธิในการรับบริการสาธารณสุข ว่าด้วยหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ โดยให้มีผลบังคับใช้ทันที

                                  คุณสมบัติของผู้มีสิทธิบัตรทอง

                                  มี 3 ข้อ คือ
                                  1. เป็นบุคคลที่มีสัญชาติไทย
                                  2. มีเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก
                                  3. ไม่มีสิทธิประกันสุขภาพจากหน่วยงานรัฐ (ที่ใช้จ่ายจากเงินงบประมาณของรัฐ) ได้แก่ สิทธิตามกฎหมายประกันสังคม สิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการ / พนักงานส่วนท้องถิ่น หรือสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลของหน่วยงานรัฐอื่น ๆ เช่น รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน ข้าราชการการเมือง
                                  สิทธิบัตรทอง30บาท
                                  สิทธิบัตรทอง30บาท ครอบคลุมอะไรบ้าง

                                  ใครมีสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ?

                                  • เด็กแรกเกิด ที่ไม่มีสิทธิสวัสดิการการรักษาพยาบาลข้าราชการจากบิดามารดา
                                  • บุตรข้าราชการที่บรรลุนิติภาวะ (อายุ 20 ปีขึ้นไปหรือสมรส) และไม่มีสิทธิประกันสุขภาพจากหน่วยงานรัฐ
                                  • บุตรข้าราชการคนที่ 4 ขึ้นไป และไม่มีสิทธิประกันสุขภาพจากหน่วยงานรัฐ เช่น สิทธิข้าราชการคุ้มครองบุตรเพียง 3 คน
                                  • ผู้ประกันตนที่ขาดการส่งเงินสมทบกองทุนประกันสังคม (หมดสิทธิประกันสังคม)
                                  • ข้าราชการที่เกษียณอายุหรือออกจากราชการโดยมิได้รับบำนาญ
                                  • ผู้ประกอบอาชีพอิสระ และไม่ได้เป็นผู้ประกันตน
                                  มีสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติตามกฎหมาย และลงทะเบียนเพื่อเลือกหน่วยบริการประจำได้ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
                                  ***คนไทยที่อาศัยอยู่ในต่างประเทศติดต่อกันมากกว่า 2 ปีขึ้นไป (ข้อมูลจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง) หรือผู้ที่ลงทะเบียนเลือกตั้งในต่างประเทศ (ข้อมูลจากสำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง) จะใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งขาติต่อเมื่อเดินทางกลับมาอาศัยอยู่ในประเทศไทยแล้ว โดยติดต่อแก้ไขสถานะบุคคล ณ หน่วยบริการในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติที่อยู่ใกล้บ้าน

                                  13 สิทธิบัตรทอง30บาท

                                  แบ่งออกเป็น 13 รายการ ได้แก่

                                  1. บริการสร้างเสริมสุขภาพ และป้องกันโรค

                                  2. การตรวจวินิจฉัยโรค

                                  3. การตรวจ และการรับฝากครรภ์

                                  4. การบำบัด และการบริการทางการแพทย์

                                  5. ยา เวชภัณฑ์ อวัยวะเทียม และอุปกรณ์ทางการแพทย์

                                  6. การทำคลอด

                                  7. การกินอยู่ในหน่วยบริการ

                                  8. การบริบาลทารกแรกเกิด

                                  9. บริการรถพยาบาล หรือบริการพาหนะรับส่งผู้ป่วย

                                  10. บริการพาหนะรับส่งผู้ทุพพลภาพ

                                  11. การฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกาย และจิตใจ

                                  12. บริการสาธารณสุข ด้านการแพทย์แผนไทย และการแพทย์ทางเลือก ตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบโรคศิลปะ

                                  13. บริการสาธารสุขอื่นที่จำเป็นต่อสุขภาพ และการดำรงชีวิต ที่คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติกำหนดเพิ่มเติม

                                   

                                  ช่องทางการการตรวจสอบสิทธิบัตรทองด้วยตนเอง

                                  ผู้ใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สิทธิบัตรทอง) ตรวจสอบสิทธิด้วยตนเองผ่านช่องทางได้ ดังต่อไปนี้

                                  1. ไปติดต่อด้วยตนเอง ที่โรงพยาบาลของรัฐ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล สำนักงานเขต กทม. 19 เขต และ สปสช. เขตพื้นที่ 1-13

                                  2. ทางโทรศัพท์ โทรสายด่วน สปสช. 1330 กด 2 ตามด้วยหมายเลขบัตรประชาชน 13 หลัก และเครื่องหมาย #

                                  3. ระบบอินเทอร์เน็ต ทางเว็บไซต์ สปสช.

                                  http://eservices.nhso.go.th/eServices/mobile/login.xhtml

                                  4. ผ่านทาง Application “สปสช.” (สามารถติดตั้งแอพสแกน QR Code ดาวน์โหลดได้ทั้งระบบ ios และ Android) และเข้าใช้งานในฟังก์ชั่น “การตรวจสอบสิทธิ”

                                  หากมีข้อสงสัย สอบถามเพิ่มเติม โทร สายด่วน สปสช. 1330 (ตลอด 24 ชั่วโมง)

                                  ขอบคุณข้อมูลจาก

                                  TNN Online, สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

                                   

                                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                  อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                                  เช็คเงื่อนไข! พ่อลูกอ่อน เบิกค่าคลอดบุตร ประกันสังคมได้

                                  เช็กสิทธิใน แอปเป๋าตัง ตรวจคัดกรอง รับบริการอะไรได้บ้าง

                                  ไทยมี ผ่าตัดฝังประสาทหูเทียม เหมือนที่ชัชชาติพาลูกรักษา

                                    คำนวณอายุครรภ์

                                    วิธี “คำนวณอายุครรภ์” และวันครบกำหนดคลอด ด้วยตัวเอง

                                    นับอายุครรภ์ คำนวณอายุครรภ์ แบบง่าย ๆ พร้อมทราบวันครบกำหนดคลอด ได้ด้วยตัวเอง มาดูกันว่ามีวิธีนับและคำนวณแบบไหนบ้าง และนับอย่างไร

                                    วิธี “คำนวณอายุครรภ์” และวันครบกำหนดคลอด ด้วยตัวเอง

                                    การ คำนวณอายุครรภ์ มีประโยชน์เป็นอย่างมาก ในทางการแพทย์ การทราบอายุครรภ์ที่ถูกต้องจะช่วยให้คุณหมอวินิจฉัยอาการต่าง ๆ ได้แม่นยำขึ้น และสำหรับคุณแม่ จะช่วยทำให้ทราบถึงพัฒนาการของทารกในครรภ์ในช่วงต่าง ๆ (อ่านต่อ เจาะลึก 40 สัปดาห์กับ พัฒนาการลูกน้อยในครรภ์) ทำให้คุณแม่สามารถสังเกตได้ว่า ทารกในครรภ์มีการพัฒนาตามเกณฑ์หรือไม่ ทั้งนี้ ยังอาจช่วยให้คุณแม่สังเกตตนเองว่ามีภาวะแทรกซ้อนที่อาจส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์หรือไม่ (อ่านต่อ 10 ภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์ ที่แม่ท้องต้องรู้!!) รวมถึงอาจช่วยให้คาดการณ์วันกำหนดคลอดคร่าว ๆ ได้อีกด้วย

                                    อายุครรภ์ คืออะไร

                                    อายุครรภ์ คือ ระยะเวลาตั้งแต่การตั้งครรภ์จนถึงวันคลอด โดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 38-42 สัปดาห์ หรือ 280 วัน โดยเริ่มนับตั้งแต่วันแรกที่ประจำเดือนมาครั้งสุดท้าย หากทารกคลอดก่อนครบ 37 สัปดาห์ นั่่นคือ การคลอดก่อนกำหนด แต่หากทารกคลอดหลังจากผ่านไป 42 สัปดาห์ อาจหมายถึง การตั้งครรภ์เกินกำหนด โดยอายุครรภ์แบ่งออกได้เป็น 3 ไตรมาส ดังนี้

                                    • ไตรมาสแรก ช่วงอายุครรภ์ 1-3 เดือน หรือสัปดาห์ที่ 1-14
                                    • ไตรมาสที่ 2 ช่วงอายุครรภ์ 4-6 เดือน หรือสัปดาห์ที่ 15-27
                                    • ไตรมาสที่ 3 หรือไตรมาสสุดท้าย ช่วงอายุครรภ์ 7-9 เดือน หรือสัปดาห์ที่ 28-40

                                    การ คำนวณอายุครรภ์ สำคัญอย่างไร?

                                    การนับอายุครรภ์อาจช่วยให้คุณแม่สามารถวางแผนการดูแลครรภ์ และเตรียมพร้อมในเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม เช่น

                                    • การคาดการณ์วันกำหนดคลอด
                                    • การติดตามพัฒนาการและความสมบูรณ์ของทารกในครรภ์
                                    • การตรวจคัดกรองสุขภาพมารดาและทารกในครรภ์ในแต่ละไตรมาส
                                    • การตรวจภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์ ซึ่งอาจช่วยป้องกันทารกคลอดก่อนกำหนด หรือการตั้งครรภ์เกินกำหนด

                                    คำนวณอายุครรภ์ มีกี่วิธี?

                                    • คะเนวันคลอดจาก Naegele’s rule
                                    • คะเนวันคลอดจากประวัติเด็กดิ้น (Quickening)
                                    • การวัดระดับยอดมดลูกด้วยสัดส่วน (Height of fundus)
                                    • การคำนวณจากระดับยอดมดลูกด้วยสายเทปวัดตามวิธีของ Jimenez/ Modified McDonald’s rule
                                    • คำนวณจากระดับยอดมดลูกด้วยสายเทปวัดตามวิธีของ McDonald’s rule
                                    • การคำนวณจากการตรวจภายในครั้งแรก (Uterine assessment)
                                    • คะเนอายุครรภ์โดยการใช้คลื่นเสียงความถี่สูง (Ultrasonogram)

                                    วิธีการนับอายุครรภ์นั้นมีหลายวิธี แต่วิธีต่าง ๆ นั้นอาจต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญเช่นแพทย์ เท่านั้น แต่มีอยู่ 1 วิธี ที่แม่ ๆ สามารถคำนวณได้ด้วยตัวเอง คือการคะเนวันคลอดจาก Naegele’s rule หรือเรียกกันง่าย ๆ คือการคำนวณวันคลอดจากประจำเดือนครั้งสุดท้าย

                                    การนับอายุครรภ์
                                    การนับอายุครรภ์

                                    จำวันแรกของประจำเดือนครั้งล่าสุด…ก็นับอายุครรภ์ได้

                                    การตั้งครรภ์อาจใช้เวลาประมาณ 38-42 สัปดาห์ การนับอายุครรภ์จะเริ่มนับตั้งแต่วันแรกที่ประจำเดือนมาครั้งสุดท้าย โดยการนับอายุครรภ์อาจเริ่มนับจากวันแรกที่รอบเดือนมาครั้งสุดท้าย แล้วนับย้อนหลังกลับไป 3 เดือน แล้วบวกเพิ่มไปอีก 7 วัน ยกตัวอย่างเช่น วันแรกที่รอบเดือนมาครั้งสุดท้าย คือ วันที่ 1 พฤศจิกายน หากนับย้อนหลังไป 3 เดือน จะเท่ากับวันที่ 1 กรกฎาคม จากนั้นบวกเพิ่มไปอีก 7 วัน ซึ่งวันครบกำหนดคลอดจะเป็นวันที่ 8 กรกฎาคมของปีถัดไป ซึ่งเมื่อเราทราบกำหนดคลอดแล้ว ก็นับย้อนหลังไปเรื่อย ๆ ก็จะสามารถทราบได้ว่าขณะนี้คุณแม่ตั้งครรภ์กี่สัปดาห์แล้ว

                                    ซึ่งจากตัวอย่าง คือ วันแรกที่รอบเดือนมาครั้งสุดท้ายคือ วันที่ 1 พฤศจิกายน

                                    วันที่ 1 พฤศจิกายน = สัปดาห์ที่ 0

                                    วันที่ 8 พฤศจิกายน = สัปดาห์ที่ 1

                                    และวันที่ 15 พฤศจิกายน = สัปดาห์ที่ 2

                                    ฯลฯ

                                    วิธีนี้จะใช้ไม่ได้ผลในกรณีที่

                                    • คุณแม่จำวันแรกของประจำเดือนครั้งล่าสุดไม่ได้
                                    • ประวัติการมีประจำเดือนไม่สม่ำเสมอ
                                    • หลังคลอดครรภ์ก่อนไม่เคยมีประจำเดือนมาเลยจนกระทั่งตั้งครรภ์ใหม่
                                    • ตั้งครรภ์แล้วมีเลือดออกผิดปกติจากการแท้งคุกคาม หรือเลือดออกจากการฝังตัว (Hartman’s sign) ซึ่งปกติแล้วจะเกิดขึ้นประมาณวันที่ 17 หลังปฏิสนธิ
                                    • รับประทานยาเม็ดคุมกำเนิด หรือฉีดยาคุมกำเนิดอยู่ แล้วประจำเดือนไม่มาเลย
                                    • มีประจำเดือนขาดหายไปหลังหยุดยาเม็ดคุมกำเนิด (post – pill amenorrhea)

                                    ดังนั้น วิธีการ คำนวณอายุครรภ์ ด้วยวิธีนี้ อาจทำให้เกิดการคลาดเคลื่อนได้ สำหรับแม่ ๆ ที่มีกรณีข้างต้นจึงควรนับอายุครรภ์ด้วยวิธีอื่น ๆ ซึ่งการนับอายุครรภ์วิธีอื่น ๆ นั้น จะต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการนับวัดระดับยอดมดลูก หรือ อัลตราซาวน์

                                    อัลตราซาวด์
                                    อัลตราซาวด์

                                    การนับอายุครรภ์ด้วยวิธีอัลตราซาวน์

                                    อัลตราซาวน์เป็นวิธีที่แม่นยำและเป็นที่นิยมในการระบุอายุครรภ์ อาจเหมาะกับคุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีรอบเดือนมาไม่ปกติ หรือไม่แน่ใจว่าการตกไข่เกิดขึ้นเมื่อใด ซึ่งคุณแม่ตั้งครรภ์สามารถเข้ารับการตรวจอัลตราซาวน์จากสูตินารีแพทย์ วิธีนี้อาจช่วยให้คุณหมอทราบถึงขนาดของทารกในครรภ์ และคำนวณอายุครรภ์ของคุณแม่ เพื่อกำหนดวันคลอด ซึ่งการอัลตราซาวน์ช่วยให้คุณหมอสามารถประเมินพัฒนาการของทารกว่า มีความสัมพันธ์กับอายุครรภ์หรือไม่ โดยสามารถดูได้จากขนาดของทารก และน้ำหนักของทารก

                                    การคำนวณอายุครรภ์นี้ เป็นการคำนวณด้วยตัวเองแบบง่าย ๆ เท่านั้น เพื่อให้คุณแม่ได้ทราบถึงการเจริญเติบโตของลูกน้อยในครรภ์พร้อมทั้งพัฒนาการต่าง ๆ แบบคร่าว ๆ ทำให้คุณแม่ทราบว่าในช่วงนี้ควรจะระวังเรื่องไหนบ้าง เป็นต้น แต่หากคุณแม่ต้องการทราบอายุครรภ์และกำหนดคลอดที่แน่นอน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อทราบวันที่ชัดเจนและคำแนะนำที่มีประโยชน์ต่าง ๆ จากคุณหมอค่ะ

                                    อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                                    10 อาการเตือนคนเริ่มท้อง และเรื่องน่ารู้สำหรับคุณแม่

                                    ตรวจตั้งครรภ์ เร็วสุดกี่วัน ท้องไม่ท้อง เช็คเลย!!!

                                    อาการของคนท้อง ตั้งแต่สัปดาห์แรกจนคลอด มีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง

                                    10 ข้อห้าม คนท้องอ่อนๆ ต้องระวังอะไรบ้าง?

                                     

                                    ขอบคุณข้อมูลจาก : ผศ.วิรีภรณ์ ชัยเศรษฐสัมพันธ์ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี, hellokhunmor.com,

                                     

                                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่