โสนน้อยเรือนงาม

โสนน้อยเรือนงาม นิทานยาวๆ เล่าให้ลูกฟังก่อนนอน

Alternative Textaccount_circle
event
โสนน้อยเรือนงาม
โสนน้อยเรือนงาม

นิทานพื้นบ้านไทย นิทานยาวๆ โสนน้อยเรือนงาม หนึ่งในนิทานที่เล่ากันมาอย่างยาวนานในสังคมไทย เป็นมรดกทางวัฒนธรรม ให้ข้อคิด คติสอนใจแกเด็กๆ

โสนน้อยเรือนงาม นิทานยาวๆ เล่าให้ลูกฟังก่อนนอน

นิทานก่อนนอนของเด็กๆที่ ทีมกองบรรณาธิการ ABK นำเสนอในวันนี้ เป็น นิทานยาวๆ เรื่อง โสนน้อยเรือนงาม เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่ได้อ่านให้ลูกฟังกันอย่างจุใจกันไปเลยค่ะ บางครั้งอ่านนิทานจบแล้วลูกยังไม่หลับเลย มาลองอ่านนิทานเรื่องยาวๆกันค่ะ

นิทานยาวๆ เรื่องโสนน้อยเรือนงาม
นิทานยาวๆ เรื่องโสนน้อยเรือนงาม

โสนน้อยเรือนงาม นิทานยาวๆ เล่าให้ลูกฟังก่อนนอน

พระวิจิตรจินดา เป็นโอรสของท้าวกาลศึก กษัตริย์ผู้ครองเมืองนพรัตน์และพระนางประไพ วันหนึ่งพระวิจิตรจินดา เสด็จประพาสป่าพร้อมด้วยพระสหาย ในขณะที่กำลังล่าสัตว์อยู่นั้นพระวิจิตรจินดาถูกพิษของพญานาคสิ้นพระชนม์ พระสหายจึงรีบนำร่างของพระองค์กลับเข้าเมือง ท้าวกาลศึกและพระนางประไพโศกเศร้าเสียใจมาก จึงเรียกโหรหลวงเข้าเฝ้า โหรหลวงทำนายว่า พระวิจิตรจินดาเคยสร้างกรรมไว้แต่ชาติปางก่อน โดยการฆ่าพญานาค พญานาคโกรธแค้นมากจึงคายพิษไว้ จนพระวิจิตรจินดามาถูกพิษจึงทำให้สิ้นพระชนม์ทันที แต่เจ้าชายจะสามารถฟื้นขึ้นมาได้ เพราะในภายภาคหน้าจะมีพระธิดาต่างเมืองซึ่งเคยเป็นเนื้อคู่กันมาช่วยชุบชีวิต ท้าวกาลศึกจึงรับสั่งให้เก็บพระศพของพระวิจิตรจินดาไว้เป็นอย่างดี และได้ป่าวประกาศว่าหากใครสามารถช่วยชีวิตของพระวิจิตรจินดาได้ จะให้อภิเษกกับเจ้าชายและให้ครองเมืองนพรัตน์ต่อไป

ที่นครโรมวิสัย นางเกษณี พระมเหสีของท้าววหัสวิชัย ได้ประสูติพระธิดาออกมาพร้อมด้วยเรือนทองวิเศษหลังน้อยที่ทำมาจากไม้โสน ท้าววหัสวิชัยจึงตั้งชื่อว่า โสนน้อย เมื่อพระธิดาโสนน้อย เจริญวัยได้ 15 พรรษา ได้ฝันว่า ตนเองพลัดหลงเข้าไปในสวนและได้เจอชายหนุ่มรูปงาม แต่โสนน้อยมิอาจจับต้องตัวชายหนุ่มได้ โสนน้อยตกใจตื่น จึงเล่าความฝันให้ข้าราชบริพารฟัง โหรหลวงทำนายว่า พระธิดาโสนน้อย จะได้พบเนื้อคู่ซึ่งเป็นคนตายแล้ว ถือว่าเป็นกาลกิณีต่อบ้านเมือง โสนน้อยต้องเสด็จออกไปอยู่ป่าจึงจะพ้นเคราะห์

โสนน้อยแต่งกายเหมือนชาวบ้าน ออกเดินทางรอนแรมไปกลางป่าด้วยความลำบาก พระอินทร์เกิดความสงสาร จึงแปลงกายเป็นชีปะขาวมามอบยาวิเศษที่สามารถรักษาคนตายได้ให้โสนน้อย โสนน้อยเดินทางต่อไปจนพบศพนางกุลาอยู่กลางป่า โสนน้อยสงสารจึงชุบชีวิตให้ เมื่อฟื้นขึ้นนางกุลาจึงขอติดตามเป็นทาสรับใช้โสนน้อย ทั้งสองเดินทางไปด้วยกันจนถึงเมืองนพรัตน์ และได้ทราบข่าวของพระวิจิตรจินดา โสนน้อยจึงอาสาชุบชีวิตของพระวิจิตรจินดา

พิธีการชุบชีวิตเริ่มขึ้น โดยโสนน้อยนำเครื่องแต่งกายแบบกษัตริย์มาสวมและให้นำม่านมากั้นเจ็ดชั้น โดยให้นางกุลาอยู่ด้วยเพียงคนเดียว จากนั้นจึงนำยาวิเศษมาชโลมร่างของเจ้าชาย ทันใดนั้น พิษพญานาคในกายของเจ้าชาย ได้ลอยขึ้นมาถูกโสนน้อย นางรู้สึกร้อนกายมากจึงรีบไปอาบน้ำ โดยถอดเครื่องแต่งกายให้นางกุลาเก็บไว้ นางกุลาหลงรักพระวิจิตรจินดาและอิจฉาโสนน้อยอยู่แล้วจึงคิดแผนร้าย นางรีบสวมเสื้อผ้าของโสนน้อย และสวมรอยเป็นผู้รักษาพระวิจิตรจินดาทันที ขณะนั้นพิษของพญานาคออกจากร่างกายของเจ้าชายหมดแล้ว แต่เจ้าชายยังสลบอยู่ นางกุลาจึงรีบนำยามาชโลมให้เจ้าชายฟื้น และรีบพาเจ้าชายเข้าเฝ้าท้าวกาลศึก เพื่อทวงสัญญาเรื่องการอภิเษก เมื่อโสนน้อยอาบน้ำกลับมา นางกุลาก็บอกกับทุกคนว่า โสนน้อยเป็นทาสรับใช้ของตน

ฝ่ายท้าวกาลศึกและมเหสี สงสัยว่าทำไมนางกุลาจึงรูปชั่วตัวดำ ไม่มีราศีของพระธิดาเลยแม้แต่น้อย ด้วยความไม่แน่ใจ ทั้งสองพระองค์จึงยังไม่ยอมจัดพิธีอภิเษก อ้างว่ารอให้พระวิจิตรจินดาหายดีกว่านี้ก่อน จากนั้นจึงหาทางพิสูจน์ โดยการรับสั่งให้นางกุลาทำบายศรีถวาย เพราะหากนางเป็นเจ้าหญิงจริงต้องทำได้ นางกุลารับคำว่าจะทำบายศรีมาถวายอย่างสวยงาม แต่นางก็ไม่สามารถทำได้ จึงโยนข้าวของที่ใช้ทำบายศรีทิ้ง โสนน้อยเห็นเข้า จึงเก็บมาเย็บเป็นบายศรีได้อย่างสวยงาม นางกุลามาพบ จึงรีบแย่งไปถวาย พร้อมทั้งเร่งวันอภิเษก พระวิจิตรจินดาไม่อยากอภิเษก จึงหาทางเลี่ยง โดยอ้างว่าอยากออกประพาสทะเลก่อน ท้าวกาลศึกและพระนางประไพได้โอกาส จึงทดสอบนางกุลา โดยการให้นางย้อมผ้า เพื่อนำมาผูกหัวเรือ นางกุลารับปากเช่นเคย และนางก็นำผ้าแพรที่ได้ไปย้อม แต่ย้อมไม่เป็น ด้วยความโกรธ นางจึงโยนผ้าแพรทิ้งเหมือนเดิม โสนน้อยเก็บผ้ามาซักย้อมอย่างสวยงาม นางกุลาเห็นดังนั้น ก็รีบแย่งไปถวายทันที และนางยื่นคำขาดว่า กษัตริย์ตรัสแล้วต้องไม่คืนคำ หากพระวิจิตรจินดากลับจากประพาสทะเลแล้ว ต้องรีบจัดการอภิเษกให้ทันที ท้าวกาลศึกจำต้องรับปากนางกุลา แม้จะรู้สึกสงสารพระวิจิตรจินดาก็ตาม

เมื่อถึงวันเดินทาง พระวิจิตรจินดาสึั่งให้ออกเรือ แต่ก็ไม่สามารถถอนสมอเรือได้ โหรทูลว่าคงเป็นเพราะผู้มีบุญญาธิการในวัง ต้องการฝากซื้อของ เจ้าชายจึงรับสั่งให้ทหารไปสอบถาม และได้รายการของมามากมาย แต่เรือก็ยังไม่สามารถถอนสมอได้ ทหารทูลว่าคนในวังตนเองถามหมดทุกคนแล้ว ยังเหลือแต่นางข้าทาสที่ชื่อ โสนน้อย เท่านั้น พระวิจิตรจินดาจึงให้ทหารไปถาม โสนน้อยฝากซื้อเรือนไม้โสน ทันใดนั้น เรือก็ถอนสมอได้อย่างง่ายดาย พระวิจิตรจินดาแปลกใจมาก ส่วนนางกุลานั้นกลับยิ่งเกลียดชังโสนน้อยมากขึ้นกว่าเดิม

ระหว่างการเดินทาง พระอินทร์ดลบันดาลให้เรือของพระวิจิตรจินดา ถูกพายุพัดเข้าไปในเมืองโรมวิสัย และเจ้าขายได้ไปเข้าเฝ้าท้าวหัสวิชัย จากนั้นจึงทูลลา ไปหาซื้อของฝากกลับบ้านเมือง เมื่อถึงเวลาออกเดินทางกลับ เรือก็ถอนสมอไม่ได้อีก พระวิจิตรจินดานึกขึ้นมาได้ว่า ยังไม่ได้ซื้อของไปให้นางข้าทาสโสนน้อย จึงให้ทหารออกไปซื้อ แต่ก็ไม่สามารถหาซื้อได้ พระวิจิตรจินดาจำได้ว่าเคยเห็นเรือนนี้ในวัง จึงเข้าไปขอประทานเรือนไม้โสน ท้าวหัสวิชัยจึงถามถึงรูปร่างหน้าตาของนางทาสคนนั้น และทรงทราบว่าเป็นธิดาของตนเองแน่ จึงมอบเรือนให้เจ้าชาย และให้อำมาตย์ติดตามเจ้าชายไปด้วย

เมื่อกลับไปถึงเมืองนพรัตน์ พระวิจิตรจินดาจึงกราบทูลเรื่องราวให้ท้าวกาลศึกฟัง นางกุลาแอบได้ยิน จึงคิดจะกำจัดโสนน้อย แต่โสนน้อยรีบหนีเข้าไปในเรือนโสนหลังน้อย นางกุลาจึงทำอันตรายไม่ได้ พระวิจิตรจินดามาถามหาโสนน้อย นางกุลาโกหกว่าหนีไปแล้ว ขณะนั้นเจ้าชายได้ยินเสียงเพลงดังมาจากเรือนโสน ก็มั่นใจว่าพระธิดาโสนน้อยต้องอยู่ในเรือน จึงอธิฐานว่า หากเป็นเนื้อคู่กันจริง ขอให้ตนเองตามเข้าไปในเรือนได้ เจ้าชายจึงสามารถเข้าไปได้ และได้พบกับโสนน้อย นางกุลารีบจุดไฟเผาเรือน แต่เรือนก็ไม่ไหม้ ทำให้นางกุลาโกรธมาก และตะโกนด่าทอจนเจ้าชายรู้ความจริง จึงเสด็จออกมาจากเรือน แล้วรับสั่งให้นำตัวนางกุลาไปประหาร แต่โสนน้อยสงสาร และได้ทูลขอชีวิตนางกุลาไว้ นางกุลาแกล้งสำนึกผิด โสนน้อยจึงรับนางกุลากลับมาเป็นข้าทาสเหมือนเดิม ด้วยความรู้สึกปีติยินดี ท้าวกาลศึกรีบจัดงานอภิเษกให้พระวิจิตรจินดาและโสนน้อย ท่ามกลางความอิจฉาริษยาของนางกุลา

หลายเดือนผ่านไป  พระวิจิตรจินดาพาโสนน้อยกลับไปเยี่ยมพระบิดาและพระมารดาที่นครโรมวิสัยโดยทางเรือ  ระหว่างทางเกิดพายุอย่างแรงทำให้เรือล่ม  พระวิจิตรจินดาและโสนน้อยถูกกระแสน้ำพัดไปคนละทิศละทาง  โสนน้อยถูกพัดขึ้นชายฝั่งเขตชาตแดนเมืองยักษ์ที่มีท้าวจตุรพักตร์และพระมเหสีสร้อยทองปกครอง นางออกตามหาพระสวามีจนเจอกับเงาะหญิงที่กำลังร่ำไห้กับศพของเงาะชายผู้เป็นสามี  จึงเข้ามาช่วยชุบชีวิตเงาะชายให้ฟื้น  เงาะทั้งสองดีใจมากขอเป็นทาสรับใช้และช่วยตามหาพระวิจิตรจินดา

เกิดพายุระหว่างทาง
เกิดพายุระหว่างทาง

โสนน้อยเรือนงาม นิทานยาวๆ เล่าให้ลูกฟังก่อนนอน

วันหนึ่ง  ท้าวจตุรพักตร์ออกมาหาอาหารจนได้เจอโสนน้อยและเงาะทั้งสอง   จึงจับทั้งสามไปขังไว้  ท้าวจตุรพักตร์เห็นความงามของโสนน้อยก็เกิดหลงรัก  จึงจับนางไปขังไว้ในปราสาท ขณะที่ท้าวจตุรพักตร์พูดหว่านล้อมให้โสนน้อยยอมเป็นพระชายา  และหมายจะแตะเนื้อต้องตัวพระธิดา แต่โสนน้อยไม่ยอมจึงทำให้ท้าวจตุรพักตร์โกรธมากที่ทำอะไรไม่ได้  จึงสั่งทหารให้นำเอาโสนน้อยไปขังไว้บนหอคอย

กล่าวถึงพระวิจิตรจินดา ซึ่งถูกพัดไปยังเกาะแห่งหนึ่ง ขณะที่ออกตามหาโสนน้อยได้เจอกับพระฤๅษี พระฤๅษีทราบเรื่องทั้งหมดด้วยญาณวิเศษ จึงบอกให้พระวิจิตรจินดารีบไปช่วยโสนน้อยซึ่งกำลังตกอยู่ในอันตรายที่เมืองจตุรพักตร์  แล้วพระฤๅษีก็ช่วยชี้ทางไปเมืองยักษ์  พระวิจิตรจินดาเดินทางมาถึงเมืองจตุรพักตร์เกิดการต่อสู้กับเหล่าทหารยักษ์  ซึ่งสู้พระวิจิตรจินดาไม่ได้ ล้มตายเป็นจำนวนมาก หนึ่งในทหารหนีรอดไปรายงานท้าวจุตรพักตร์ ท้าวจุตรพักตร์โกรธมาก จึงออกมาสู้กับพระวิจิตรจินดา แต่พลาดท่าเสียทีถูกพระวิจิตรจินดาใช้พระขรรค์แทงตาย

หลังจากนั้น  พระวิจิตรจินดาเข้าไปช่วยโสนน้อยและเงาะทั้งสอง  ก่อนออกเดินทางโสนน้อยได้ใช้ยาวิเศษช่วยชุบชีวิตของท้าวจตุรพักตร์ให้ฟื้นขึ้นมา  พระวิจิตรจินดาและโสนน้อยก็ออกเดินทางไปยังนครโรมวิสัย  ส่วนเงาะทั้งสองก็แยกกลับเข้าไปอยู่ในป่าพระวิจิตรจินดาพาโสนน้อยมาถึงเมืองโรมวิสัยและพักผ่อนได้ระยะหนึ่ง  ทั้งสองก็ทูลลากลับนครแก้วนพรัตน์

พระวิจิตรจินดาและโสนน้อยครองรักกันอย่างมีความสุข  จนกระทั่งวันหนึ่ง กุลาได้คิดแผนให้พระวิจิตรจินดาเข้าใจโสนน้อยผิด  จึงจับงูพิษมาใส่กล่องไม้จันทน์หอมแล้วนำเอามาให้โสนน้อยพร้อมบอกว่ากล่องนี้มีของวิเศษให้นำถวายพระวิจิตรจินดา   โสนน้อยหลงเชื่อกุลา  เมื่อถึงเวลาเข้าบรรทม  จึงมอบกล่องให้  เมื่อเห็นเป็นงูพิษจึงคิดว่านางต้องการฆ่าตน  จึงเนรเทศโสนน้อยและกุลาให้ออกจากพระนคร  แม้ว่านางจะอธิบายความจริงให้ฟังอย่างไร พระองค์ก็ไม่เชื่อ

โสนน้อยจำต้องออกจากพระนครพร้อมลูกในครรภ์โดนมีกุลาติดตามไปด้วย  ทั้งสองเดินทางมาจนพบพระฤๅษีปู่เจ้า  จึงขอนั่งพักเหนื่อย  ระหว่างนั้นกุลาเดินไปพบบ่อน้ำสองบ่อ ซึ่งเป็นน้ำสีเหลืองและสีดำ นางสงสัยเลยเอานิ้วจุ่มลงในบ่อ ปรากฎว่าเอามือจุ่มลงน้ำสีดำเกิดเป็นแผลออกร้อน ต่อมานางเอามือไปจุ่มลงน้ำสีเหลืองนิ้วนางกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม

ขณะนั้นความคิดชั่วร้ายก็เกิดขึ้น  กุลาจึงไปเรียกโสนน้อยมาดูบ่อน้ำวิเศษ  กุลากระโดดลงไปในบ่อน้ำสีทองแล้วกลับขึ้นมาด้วยหน้าตาที่สวยงาม รูปร่างอรชรอ้อนแอ้น จากนั้นกุลาเดินไปใกล้ๆโสนน้อยที่ยืนอยู่ปากบ่อน้ำสีดำ เมื่อนางเผลอกุลาจึงผลักตกลงในบ่อน้ำสีดำโสนน้อยกลายเป็นหญิงอัปลักษณ์ มีแผลเต็มตัว  เช้าวันต่อมา ทั้งสองกราบลาพระฤๅษีปู่เจ้าแล้วออกเดินทางมาจนถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่งในเขตชายแดนเมืองโรมวิสัย  ทั้งสองได้พักอาศัยบ้านสองตายายคู่หนึ่ง โสนน้อยช่วยสองตายายทำงานแต่กุลาไม่ช่วยอะไรเลยเที่ยวอวดความงามของตน

วันหนึ่ง กุลาได้เจอกับลูกเศรษฐีรูปหล่อประจำหมู่บ้านชื่อวิไล ทั้งสองต่างถูกใจกัน วิไลชวนกุลาไปอยู่ด้วย กุลานึกถึงแก้วแหวนเงินทองและความสุขสบายจึงตกลงไปอยู่ด้วยพร้อมเอาโสนน้อยไปเป็นทาสรับใช้  หลายเดือนผ่านไปครรภ์ของโสนน้อยใหญ่ขึ้น กุลาคิดที่จะกำจัดลูกของนาง เมื่อครบกำหนดคลอด โสนน้อยให้กำเนิดบุตรชายและสลบไปด้วยความอ่อนเพลีย หมอตำแยนำผ้ามาห่อพระกุมารแล้วส่งให้บ่าวรับใช้ใส่ตะกร้านำพระกุมารไปโยนทิ้งลงแม่น้ำ กล่าวถึงพระกุมาร ด้วยความเป็นผู้มีบุญญาธิการเกิดปาฏิหาริย์ ตะกร้าไม่จมน้ำแต่ลอยไปถึงเกาะแห่งหนึ่งและได้รับการช่วยเหลือจากพระฤๅษีจึงนำพระกุมารมาเลี้ยงและตั้งชื่อว่า ไพรวัลย์ พระฤๅษีเลี้ยงดูไพรวัลย์จนเติบใหญ่พร้อมสอนวิชาป้องกันตัวให้กับไพรวัลย์

พระวิจิตรจินดารอนแรมตามหาโสนน้อยด้วยความมุ่งมั่น จนกระทั่งวันหนึ่งพระองค์ได้เจอกับไพรวัลย์ที่กำลังล่ากวางป่า จึงถามว่าเป็นลูกใคร  ไพรวัลย์จึงบอกว่าตนเองอาศัยอยู่กับพระฤๅษี  พระวิจิตรจินดาแปลกใจและหลุดพูดออกมาว่า พระฤๅษีมีลูกได้อย่างไรคำพูดของพระวิจิตรจินดาสร้างความไม่พอใจให้กับไพรวัลย์ เพราะคิดว่าพระวิจิตรจินดาพูดจาลบหลู่พระฤๅษีไพรวัลย์ จึงแผลงศรไปยังพระวิจิตรจินดาแต่ศรกลายเป็นดอกไม้ร่วงหล่นลงตรงหน้าพระวิจิตรจินดา ไพรวัลย์จึงลองแผลงศรอีกครั้ง ปรากฏว่าเปลี่ยนทิศเหินขึ้นฟ้า พระฤๅษีจึงรีบออกมาห้ามและบอกไพรวัลย์ว่าชายผู้นี้เป็นพ่อของไพรวัลย์ ชื่อว่า วิจิตรจินดา พระวิจิตรจินดากราบขอบพระคุณพระฤๅษีที่ได้ช่วยชีวิตไพรวัลย์และเลี้ยงดูเป็นอย่างดี

พระวิจิตรจินดา ไพรวัลย์ และทหารเดินทางจนเข้าเขตเมืองโรมวิสัย  พระวิจิตรจินดาสังให้ทหารไปสืบหาโสนน้อย แต่กลับเจอแต่โสนน้อยที่แสนจะอัปลักษณ์และกุลาแสนสวย หนึ่งในทหารจำได้ว่าหญิงอัปลักษณ์ก็คือโสนน้อยพระวิจิตรจินดาจึงให้นำนางมาเข้าเฝ้านางเล่าเรื่องราวในอดีตตั้งแต่เคยช่วยพระองค์จนถึงเรื่องที่พระวิจิตรจินดาเข้าใจผิดเรื่องงูพิษได้อย่างถูกต้อง

เมื่อเรื่องราวทุกอย่างผ่านไปเรียบร้อยแล้วพระวิจิตรดาพาโสนน้อยไปหาพระฤๅษีปู่เจ้าเพื่อให้ท่านช่วย พระฤๅษีได้ให้พระธิดาโสนน้อยลงไปชุบตัวในบ่อน้ำสีเหลือง นางก็กลับมางดงามเหมือนเดิม ทั้งสองเดินทางไปยังนครแก้วนพรัตน์และอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข

ข้อคิด คนดีตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้

อ่านเรื่อง โสนน้อยเรือนงาม นิทานยาวๆ ให้ลูกฟังแล้ว ลูกคงหลับฝันดีกันนะคะ ทีมกองบรรณาธิการ ABK มุ่งหวังที่จะนำเสนอนิทานก่อนนอนสำหรับเด็กๆ เพื่อให้เด็กเกิดจินตนาการ ช่วยเสริมพัฒนาการทางด้านภาษา อารมณ์และความคิด

 

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

5 นิทานพื้นบ้าน ซึมซับความเป็นไทย พร้อมคติสอนใจ!!

10 นิทานอีสปสั้นๆ เล่าให้ลูกฟังก่อนนอน พร้อมคติสอนใจ

วันนี้คุณ เล่านิทาน ให้ลูกฟังถูกวิธีแล้วหรือยัง?

ตามติด 3 ภารกิจสุดน่ารักของครอบครัวหนู กับนิทานหนู14ตัว

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : http://academic.obec.go.th, http://www.oknation.net

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

Amarin Baby & Kids

เบาะนอนเด็ก  OXY Baby Mattress

ไอเทมน่าใช้..เบาะนอนเด็ก OXY Baby Mattress ลูกน้อยหลับสบาย พัฒนาการยิ่งดี

Alternative Textaccount_circle
event
เบาะนอนเด็ก  OXY Baby Mattress
เบาะนอนเด็ก  OXY Baby Mattress

ช่วงเวลากล่อมเบบี๋นอนเป็นอะไรที่อบอุ่นหัวใจของคนเป็นพ่อแม่ แล้วยิ่งถ้าได้เห็นว่าลูกนอนหลับสบาย นอนได้เต็มตื่นทั้งกลางวัน กลางคืน ก็จะยิ่งสุขมากขึ้น การนอนเต็มอิ่มจะส่งผลดีกับสุขภาพ และพัฒนาการของลูก ว่าแต่จะทำยังไงให้การนอนของลูกเป็นการนอนที่ได้คุณภาพ กองบรรณาธิการ Amarin Baby & Kids มีเคล็ดลับในการเลือก “เบาะนอนเด็ก” มาฝากค่ะ

รู้ไหมคะว่า!? ไม่ควรให้ลูกวัยทารกนอนบนเตียงของคุณพ่อคุณแม่ นั่นก็เพราะว่าเตียงนอนทั่วไปจะไม่เหมาะกับสรีระของทารก ทำให้การนอนไม่ได้คุณภาพ มักจะสะดุ้งตื่นบ่อย และที่อันตรายก็ตรงจังหวะการนอนที่อาจมีการพลิกนอนคว่ำ ซึ่งจะทำให้หายใจไม่สะดวก ขาดอากาศหายใจถึงขั้นเสียชีวิตได้ค่ะ

เบาะนอนเด็ก

เบาะที่นอนเด็กทารกจึงมีความสำคัญมาก ๆ เป็น 1 ในลิสต์ไอเทมของใช้เด็กที่ต้องซื้อมาให้ลูกน้อยใช้กันค่ะ เบาะนอนเด็กที่ดีต้องช่วยซัพพอร์ตให้การนอนมีคุณภาพ เพราะการนอนหลับสนิทอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะนอนกลางวัน หรือนอนหลับช่วงกลางคืน จะช่วยให้ร่างกายสามารถผลิตโกรทฮอร์โมน (growth hormone) ฮอร์โมนการเจริญเติบโตได้อย่างเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ทำให้ลูกน้อยมีพัฒนาการการเจริญเติบโตสมวัย พัฒนาการสมองการเรียนรู้สมบูรณ์ และยังส่งเสริมให้มีภูมิต้านทานที่แข็งแรงมากขึ้นด้วยค่ะ

เบาะนอนเด็ก ที่แม่ไว้วางใจ ต้อง OXY Baby Mattress

มีดีก็ต้องอวดกันหน่อยค่ะ เบาะนอนเด็ก OXY  Baby Mattress เขาได้รับรางวัล BEST BABY BEDDING PRODUCTS จากงาน Amarin Baby & Kids Awards ประจำปี 2021 เป็นเบาะรองนอนสำหรับเด็กที่คุณภาพดี

OXY Baby Mattress คือไอเทมเพื่อการนอนสำหรับเด็ก เป็นมากกว่าที่นอนธรรมดา เพราะทุกจุดถูกออกแบบและผลิตเป็นพิเศษ เริ่มตั้งแต่วัสดุที่เป็น Tencel x 3D Air Mesh จากเยอรมัน ช่วยให้ลูกน้อยหลับยาวนานตลอดคืน มีผิวสัมผัสโครงสร้างระบายอากาศแบบรังผึ้ง ระบายอากาศและความชื้นได้ดี ทำให้ไม่ชุ่มเหงื่อ และโครงสร้าง support รูปตัว x ถักทออย่างสม่ำเสมอ  มีความยืดหยุ่นแต่ไม่อ่อนยวบจนเกินไป จึงซัพพอร์ตการเคลื่อนไหว กระจายแรงกดทับ ปกป้องกระดูกสันหลังของทารก สามารถรองรับการนอนในทุกท่วงท่า ไม่ว่าจะนอนหงาย นอนตะแคงก็สบายมาก ๆ ที่สำคัญยังช่วยลดความเสี่ยงของ​ SIDS (โรคไหลตาย) ในเด็ก

เบาะนอนเด็ก Baby Mattress

OXY  Baby Mattress มาพร้อมกับ Tencel เทคโนโลยี นวัตกรรมล่าสุดของสิ่งทอ เส้นใยเซลลูโลสที่มาจากเปลือกไม้ธรรมชาติ ให้ผิวสัมผัสที่นุ่มสบาย มีความละเอียดสูง เย็นสบาย นุ่มเนียนและละมุนเป็นพิเศษ ผ่านการทดสอบ จาก SGS ว่าสามารถยับยั้งการเกิดเเบคทีเรีย ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไร้สารเคมีที่เป็นอันตราย  ชุดเครื่องนอนเด็กหายใจผ่านได้ของ OXY  Baby Mattress มีน้ำหนักเบา พกพา หรือ เคลื่อนย้ายได้ง่าย เหมาะกับทุกพื้นที่ในบ้านหรือคอนโด หรือเเม้เเต่พาลูกออกไปนอนรับเเดดอ่อน ๆ นอกบ้าน และที่น่าจะถูกใจคุณแม่มาก ๆ คือสามารถนำเบาะรองนอนออกมาซักทำความสะอาดได้บ่อยเท่าที่ต้องการค่ะ

Oxy Baby Mattress

เบาะรองนอนสีขาวสะอาด เรียบเนียน สัมผัสนุ่มยืดหยุ่นกำลังดี ไม่นุ่มยวบนอนแล้วจม ไม่แข็งกระด้างจนนอนหลับไม่สบาย จึงเหมาะกับสรีระของเด็ก ทำให้นอนหลับสบายตลอดคืน ที่สำคัญคุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องกังวลเวลาลูกนอนคว่ำ เพราะเบาะนอนเด็ก OXY  Baby Mattress  สามารถระบายอากาศได้อย่างดี ทำให้สามารถหายใจผ่านได้อย่างสะดวก สังเกตได้จากรูเล็ก ๆ ที่ช่วยระบายอากาศ และยังหมดปัญหาเรื่องเหงื่อซึมหลัง หรือศีรษะของลูกขณะนอนหลับ

OXY Baby Mattress มากกว่าการนอนหลับสบาย แต่ยังสร้างพัฒนาการที่ดีให้ลูกน้อย

การออกแบบเบาะนอนเด็ก  OXY Baby Mattress มีความพิเศษสุด ๆ เพราะนอกจากจะช่วยซัพพอร์ตสรีระของลูกตั้งแต่แรกเกิดให้นอนหลับอย่างสบาย คุณแม่ยังใช้เบาะรองนอนในการฝึก Fine Motor Skill เป็นการหัดให้ลูกใช้มือ นิ้วมือ ข้อมือ ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อมัดเล็ก หรือจะฝึก Tummy Time ด้วยการใช้หน้าท้อง และการชันคอได้อย่างมั่นคง หรือจะฝึกให้ลูกพลิกคว่ำ พลิกหงายได้อย่างอิสระ

ความพิเศษอีกอย่างหนึ่งที่ได้จากเบาะนอนเด็ก OXY Baby Mattress ก็คือความใส่ใจเพื่อให้ลูกน้อยนอนหลับอย่างมีความสุข ทาง OXY Baby ได้ออกแบบลายผ้าบนเบาะรองนอน ที่เกิดจากแรงบันดาลใจและจินตนาการจาก Fairy Tales  นิทานก่อนนอน คุณพ่อคุณแม่ช่วยกันกล่อมลูกน้อยนอน ทำให้เป็นช่วงเวลาแสนสุขร่วมกันของพ่อแม่ลูกได้ดีมาก ๆ เลยค่ะ

Oxy Baby Mattress เบาะรองนอน

OXY Baby Mattress ที่สุดของเบาะรองนอนสำหรับลูกน้อยตั้งแต่แรกเกิด ช่วยให้นอนหลับสบาย ของดีมีคุณแบบนี้ไม่ซื้อมาใช้ไม่ได้แล้วนะคะ กองบรรณาธิการ Amarin Baby & Kids อยากจะชวนทุกครอบครัวไปช้อปชุดเครื่องนอนคุณภาพดี มีรางวัลการันตี กันได้ที่งาน Amarin Baby & Kids Fair ครั้งที่ 21 ระหว่างวันที่ 30 มิถุนายน ถึงวันที่ 3 กรกฎาคม 2565 ณ ไบเทค บางนา บูท C042 , C043 , C060 , C061

หรืออีกหนึ่งช่องทางในการซื้อชุดเครื่องนอน OXY  Baby Mattress คุณพ่อคุณแม่สามารถเข้าไปเลือกซื้อกันได้ที่ https://oxybabythailand.com/product/oxy-baby-mattress/

#OXY #เบาะนอนหายใจผ่านได้

เบาะนอนเด็ก OXY

อาการหลับไม่ตื่นในทารก

อาการหลับไม่ตื่นในทารก SIDSอายุ 1 เดือน-1 ปี เสี่ยงมาก

Alternative Textaccount_circle
event
อาการหลับไม่ตื่นในทารก
อาการหลับไม่ตื่นในทารก

อาการหลับไม่ตื่นในทารก SIDS อายุ 1 เดือน-1 ปี เสี่ยงมาก

คุณพ่อคุณแม่หลายท่าน คงจะเคยได้ยินและได้รับทราบเกี่ยวกับ โรคไหลตาย หรืออาการที่นอนหลับไป โดยไม่รู้สึกตัวตื่น อีกเลย ซึ่งมีข่าวกันอยู่บ่อย ๆ อยู่แล้ว แต่คุณพ่อคุณแม่อาจไม่รู้ว่า ในเด็กทารก ก็เกิดอาการนี้ได้เช่นกัน เรียกว่า อาการหลับไม่ตื่นในทารก หรือ SIDS หรือ Sudden Infant Death Syndrome ค่ะ ความน่ากลัวน่ากลัวก็คือ โรคนี้เป็นสาเหตุการเสียชีวิตในเด็กลำดับต้น ๆ ถึงร้อยละ 40 – 50% โดยเฉพาะเสี่ยงมากในเด็กอายุ 1 เดือน – 1 ปี อาการนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร จะป้องกันอย่างไร คุณพ่อคุณแม่ห้ามพลาดข้อมูลนี้ค่ะ

อาการหลับไม่ตื่นในทารก

โรค SIDS (Sudden Infant Death Syndrome) หรือโรคไหลตาย เป็นภาวะที่ทารกในช่วงอายุ 1 ปีแรกเสียชีวิตขณะนอนหลับ เกิดขึ้นได้แม้ในทารกที่มีสุขภาพแข็งแรงดี มีพัฒนาการที่ดี และร่างกายได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วน  โดยก่อนการเสียชีวิตเด็กมักไม่มีอาการป่วย หรือแสดงความผิดปกติใด ๆ ออกมา พบบ่อยที่อายุ 2-4 เดือน และจากสถิติแล้ว โรคนี้มักเกิดกับเด็กผู้ชายมากกว่าเด็กผู้หญิง

สาเหตุของอาการหลับไม่ตื่นในทารก

สาเหตุของภาวะนี้ เกี่ยวข้องกับสิ่งที่มากีดขวางการหายใจของทารกขณะนอนหลับ เช่น

  • การจัดท่าให้ทารกนอนคว่ำ หรือนอนตะแคง ซึ่งอาจทำให้หายใจลำบาก โดยเฉพาะถ้านอนบนที่นอนที่นิ่มมากเกินไป
  • การที่มีผ้าห่ม หรือวัตถุนิ่ม ๆ เช่น ตุ๊กตา หมอนเล็ก ๆ ปิดหน้าทารกขณะนอนหลับ เพราะจะไปขัดขวางการหายใจ
  • การถูกผู้ใหญ่นอนทับ เป็นต้น เนื่องจากทารกยังเคลื่อนไหวศีรษะได้ไม่ดี

ปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงของภาวะนี้ คือ

  • ทารกเกิดก่อนกำหนด เพราะสมองส่วนที่ควบคุมการหายใจ และภาวะตื่นตัวขณะนอนหลับของเด็ก อาจยังไม่พร้อมทำงานเป็นปกติ รวมทั้งเด็กมีน้ำหนักตัวต่ำ
  • ควันบุหรี่ จากคนในบ้านที่สูบบุหรี่ หรือหากแม่ของเด็ก ตั้งครรภ์ขณะมีอายุต่ำกว่า 20 ปี หรือฝากครรภ์อย่างไม่เหมาะสม รวมทั้งสูบบุหรี่ ใช้สารเสพติด หรือดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในระหว่างที่ตั้งครรภ์ หรือหลังจากคลอด ก็เพิ่มความเสี่ยงให้เด็กเผชิญกับโรคนี้ได้
  • อุณหภูมิห้องนอนที่ร้อน
  • การติดเชื้อในทางเดินหายใจก่อนเสียชีวิต ทารกส่วนใหญ่มักเป็นหวัด ซึ่งอาการป่วยดังกล่าว อาจทำให้เด็กมีปัญหาในการหายใจ

การป้องกัน SIDS

ปัจจุบันไม่มีวิธีป้องกัน SIDS แต่ลดความเสี่ยงต่ออาการนี้ได้ด้วยวิธีต่อไปนี้

  1. ให้เด็กทารกนอนหงาย ไม่ว่าเด็กจะนอนกลางวัน หรือนอนในช่วงเวลากลางคืนก็ตาม
  2. แม่ของเด็กควรตรวจสุขภาพจากแพทย์อย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งงดสูบบุหรี่ ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และไม่ใช้สารเสพติด ทั้งในระหว่างที่ตั้งครรภ์ หรือหลังจากคลอดบุตรแล้ว
  3. ไม่สูบบุหรี่ภายในบ้าน และไม่สูบบุหรี่ใกล้เด็ก  
  4. สวมถุงนอน หรือชุดนอนที่หนาพอดีให้กับเด็ก เพื่อให้ร่างกายอบอุ่นแต่ไม่ร้อนจนเกินไป และไม่ควรปกคลุมส่วนศีรษะของเด็กเอาไว้
  5. ก่อนวางเด็กลงในเปล ให้นำสิ่งของอย่างตุ๊กตา หมอน ผ้าห่ม และแผ่นรองกันชนออก รวมทั้งไม่ใช้แผ่นรองนอนที่หนา แต่ให้ใช้ฟูกที่แข็ง และผ่านการรับรองว่าปลอดภัย และปูผ้าที่มีขนาดพอดีกับเปล คลุมทับฟูกอีก 1 ชั้น
  6. ให้เด็กทารกอมจุกหลอกในขณะที่นอนหลับ โดยอาจให้เด็กดูดนมจากเต้านมได้ถนัดก่อน จึงให้เด็กอมจุกหลอก ทั้งนี้ ไม่ควรใช้จุกหลอกชนิดที่มีสายคล้องรอบคอเด็ก และไม่ควรผูกจุกหลอกติดไว้ที่เสื้อผ้าหรือสิ่งอื่น ๆ
  7. ให้เด็กดื่มนมจากเต้านมอย่างน้อยเป็นเวลา 6 เดือนหลังคลอด เนื่องจากอาจช่วยให้เด็กตื่นตัวกับสิ่งเร้าได้ง่ายในขณะที่นอนหลับ รวมทั้งนมจากแม่อาจช่วยส่งผ่านสารต้านอนุมูลอิสระไปยังทารก ซึ่งอาจช่วยป้องกันการติดเชื้อได้  
  8. นอนอยู่ในห้องเดียวกันกับเด็ก แต่ไม่ควรให้เด็กนอนร่วมเตียงกับผู้ใหญ่ เนื่องจากพ่อแม่ของเด็ก อาจเผลอใช้ผ้าห่มคลุมจมูก และปากของลูกในขณะที่นอนหลับอยู่ หรือเด็กอาจไปติดอยู่ในช่องว่างระหว่างหัวเตียงกับฟูกที่นอน จนทำให้หายใจไม่ออกได้ และไม่ควรให้เด็กนอนร่วมกับสัตว์เลี้ยงหรือคนอื่น ๆ      
  9. ให้เด็กรับการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคต่าง ๆ เนื่องจากมีงานศึกษาพบว่า การฉีดวัคซีนช่วยลดความเสี่ยงจากการเสียชีวิตด้วยโรคไหลตายในเด็กได้ถึง 50 เปอร์เซ็นต์
อาการหลับไม่ตื่นในทารก
อาการหลับไม่ตื่นในทารก SIDS อายุ 1 เดือน -1 ปี เสี่ยงมาก

ขอบคุณข้อมูลจาก
สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี, โรงพยาบาลพญาไท, pobpad

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

“ฝึกลูกนอนคว่ำ” อันตราย! เสี่ยงขาดอากาศหายใจ

สังเวยอีก 1 ชีวิต เด็กนอนคว่ำ ลูกวัย 3 เดือนหยุดหายใจคาเตียง

ท่านอนของทารก ท่าไหนปลอดภัย ท่าไหนอันตราย?

3 วิธีเลือก หนังสือนิทาน ตามวัยให้ลูกอยากฟังได้ประโยชน์

Alternative Textaccount_circle
event

หนังสือนิทาน ใช่แค่ตัวหนังสือแต่เป็นจินตนาการที่มีค่าที่ช่วยเสริมพัฒนาการให้แก่ลูกน้อย แล้วทุกเล่มเหมาะกับเด็กทุกคนหรือไม่ มาดูวิธีเลือกนิทานตามวัยให้ลูกกัน

3 วิธีเลือก หนังสือนิทาน ตามวัยให้ลูกอยากฟังได้ประโยชน์

“ได้เวลาอ่านนิทานกันแล้ว” เมื่อได้ยินเสียงนี้ เหล่าเจ้าตัวน้อยทั้งหลายคงหยุดกิจกรรมที่กำลังทำอยู่อย่างไม่ลังเล พร้อมวิ่งเข้ามาร่วมวงตั้งใจฟังกันอย่างพร้อมหน้า และตั้งตาคอย นั่นเป็นเพราะ หนังสือนิทาน เป็นสิ่งที่เด็ก ๆ โปรดปราน มีผลการศึกษาวิจัยต่างประเทศเกี่ยวกับพัฒนาการเด็ก พบว่า เด็กวัย 3-8 ขวบ จำนวนมากกว่าครึ่งบอกว่า  ช่วงเวลาที่พ่อแม่อ่านนิทานให้ฟังนั้นเป็นช่วงเวลาที่ดีที่พวกเขาชอบมากที่สุด

หนังสือนิทาน อ่านให้ลูกฟังได้ประโยชน์มหาศาล
หนังสือนิทาน อ่านให้ลูกฟังได้ประโยชน์มหาศาล

นิทานที่ดีเป็นอย่างไร??

หนังสือนิทาน ที่ดี สำหรับเด็กนั้น ความเป็นจริงแล้วเพียงแค่คุณพ่อคุณแม่ได้ใช้เวลาร่วมกันกับลูกแค่สั้น ๆ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือนิทานแบบใด ก็ถือว่าเป็นหนังสือนิทานที่ดีสำหรับเด็กอยู่แล้ว แต่เราจะเพิ่มความมหัศจรรย์ให้กับหนังสือนิทานให้มากขึ้นไปอีก ให้นิทานเป็นมากกว่าแค่กิจกรรมเชื่อมสัมพันธ์ นิทานสามารถเสริมพัฒนาการตามวัยของเด็กได้อย่างไม่ทำให้เด็กรู้สึกเบื่อ แถมยังสนุกสนานไปกับมันอีกด้วย หากพร้อมกันแล้วเรามาดูหลักการเลือกนิทานให้ลูกกันเลยดีกว่า

3 วิธีเลือกนิทานให้สนุกได้ประโยชน์

  1. เลือกนิทานตามความชอบของลูก คงไม่มีใครรู้จักลูกของคุณพ่อคุณแม่ได้ดีเท่าเราอีกแล้ว ดังนั้นพ่อแม่ย่อมรู้ดีว่าลูกมีความชอบ มีความสนใจในเรื่องอะไรมากที่สุด เพราะเด็กแต่ละคนจะมีความสนใจ ความหลงใหลในเรื่องใดเรื่องหนึ่งอยู่เสมอ เช่น ชอบไดโนเสาร์ ชอบมนุษย์อวกาศ ชอบสิงสาราสัตว์ ชอบต้นไม้ เป็นต้น นิทานที่จะนำมาเล่าให้ลูกฟังหากมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ลูกชอบเหล่านี้ ก็ช่วยเป็นแรงดึงดูดให้ลูกยิ่งสนใจ หนังสือนิทาน นั้น ๆ มากขึ้นไปอีก
  2. หานิทานที่มีภาพสวย เหมาะสมกับวัย เด็กเล็ก เป็นวัยที่มักสนใจกับภาพที่มีสีสันสดใส ไม่จำเป็นต้องมีรายละเอียดเยอะ เข้าใจง่าย ซึ่งรูปภาพในเล่มนิทานมีผลต่อการทำความเข้าใจเรื่องราวของเด็ก และการจดจำ และหนังสือที่มีภาพเยอะ ตัวอักษรน้อยก็สามารถช่วยให้เด็กพัฒนาเรื่องของการสื่อสารได้ เนื่องจากเด็กจะจำภาพในเรื่องเป็นลำดับขั้นตอน โดยเราจะกล่าวถึงการเลือกนิทานให้เหมาะสมกับวัย อย่างละเอียดเป็นลำดับต่อไป
  3. ใส่ใจในเนื้อหาสักนิด แม้จะขึ้นชื่อว่านิทานแล้ว แต่คุณพ่อคุณแม่ควรอ่านเนื้อหาของนิทานในเรื่องนั้น ๆ เสียก่อน ว่าเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร เหมาะสมกับช่วงวัยของลูกหรือไม่ อีกทั้งเรายังจะได้เตรียมตัวในการเล่ามาได้ก่อน ว่าควรจะเสริมความรู้สอดแทรกจุดไหน และได้หาข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อลูกไว้ก่อนอีกด้วย ในขณะเดียวการภาษาในการเขียนก็ควรมีความสนุก เข้าใจง่าย ชวนให้คิด จินตนาการ และสามารถทำให้เด็กได้เรียนรู้ศัพท์ใหม่ ๆ อยู่เสมอ

การเลือกนิทานตามวัยของเด็ก

เด็กในแต่ละวัย ก็มีพัฒนาการในทุก ๆ ด้านที่แตกต่างกันไป การรับรู้ การเรียนรู้ของเด็กก็เช่นกัน เขาสามารถเรียนรู้ได้มากเท่าที่พัฒนาการของเขาไปถึง ดังนั้นการยัดเยียดทักษะที่มากเกินวัยของลูกจึงเป็นสิ่งไม่จำเป็น ซ้ำยังเป็นผลร้ายเสียมากกว่าผลดี เพราะอาจทำให้ลูกเกิดความเบื่อหน่าย หรืออาจไม่เห็นคุณค่าในตนเองไปเลยก็ได้ เพราะการที่ทำอะไรยากเกินความสามารถตามวัยของเด็กแล้วนั้น จะทำให้เขาต้องใช้ความพยายามมากจนบางครั้งรู้สึกว่าพยายามเท่าไหร่ก็ไม่ดีเสียที จนล้มเลิกบ่อยครั้งเข้ากลายเป็นนิสัยประจำตัวเด็กไปเสียอีก

หนังสือนิทาน เป็นเหมือนของเล่นที่มากความรู้ของเด็ก
หนังสือนิทาน เป็นเหมือนของเล่นที่มากความรู้ของเด็ก

การเลือกนิทานก็เช่นกัน แม้ว่าลูกจะเพียงแค่นั่งฟัง แต่หากเราเลือกนิทานไม่เหมาะสมกับวัยของลูก ยากเกินไปเขาก็เบื่อ และไม่รู้สึกที่ดีต่อการอ่านนิทาน และจะพาลไปถึงนิสัยการอ่านของลูกอีกด้วย ดังนั้นวันนี้เรามาดูกันว่า การเลือกหนังสือนิทานตามวัยนั้นมีหลักการอย่างไรกันบ้าง

วัยเด็กอายุ 0-1 ปี

แม้เด็กในวัยนี้ยังไม่สามารถพูดสื่อสารเป็นภาษาได้ แต่เขาสามารถเข้าใจ และเริ่มเรียนรู้ภาษาที่คุณพ่อคุณแม่พูดกับเขา โดยเด็กสามารถแสดงออกทางภาษาได้ ดังนี้

  • แรกเกิด – 2 เดือน เป็นการส่งเสียงในลำคอ แต่ยังไม่มีความหมายที่จะสื่อสาร
  • 3 เดือน -4 เดือน พยายามพูดสื่อสารกับพ่อแม่ หากเราพูดคุยด้วยเด็กจะเงียบฟัง และจะส่งเสียงโต้ตอบเมื่อพ่อแม่หยุดพูด
  • 5-9 เดือน เริ่มเล่นเป่าน้ำลาย เพราะเป็นการฝึกการเล่นเสียงบริเวณริมฝีปาก จะส่งเสียงเป็นเสียงพยัญชนะ และสระ เป็นเสียงสูงต่ำ และใช้คำซ้ำ เช่น   มามา บาบา เป็นต้น
  • 1 ปี เริ่มเข้าใจความความ และสามารถพูดได้เป็นคำสั้น ๆ ประมาณ 6-20 คำ เช่น บ๊ายบาย เป็นต้น รู้จักชื่อตนเอง เมื่อถูกเรียกชื่อจะหันไปหาได้อย่างถูกต้อง

การเลือกหนังสือนิทานตามวัยนี้ ควรเป็นหนังสือ เพื่อเน้นย้ำถึงความรัก ความผูกพัน เป็นเรื่องราว หรือตัวละครที่พบเห็นได้รอบ ๆ ตัว เช่น สัตว์ ผัก ผลไม้ สิ่งของในชีวิตประจำวัน ภาพเหมือนของจริง มีสีสันสวยงาม ขนาดใหญ่ชัดเจน รูปเล่มอาจทำด้วยผ้า หรือพลาสติก หนานุ่มเพื่อให้เด็กหยิบจับเล่นได้

ลูกอายุ 2-3 ปี

เด็กในวัยนี้จะพูดได้ประมาณ 50 คำ และบางทีก็พูดเป็นประโยคสั้นๆ ได้ ลูกจะเริ่มนำคำศัพท์ที่มีความหมายแตกต่างกัน มาต่อกันได้ เช่น กินนม กินข้าว ไปเที่ยว เป็นต้น

การเลือกหนังสือนิทานตามวัยนี้ ควรเป็นหนังสือนิทานภาพ จะช่วยดึงดูดให้เด็กสนใจ เช่น หนังสือนิทานภาพเกี่ยวกับสัตว์ ชีวิตประจำวัน หรือเป็นตัวละครที่เด็กชื่นชอบ เป็นต้น เด็กในวัยนี้มีประสาทสัมผัสทางการได้ยินดีมาก หากคุณพ่อคุณแม่ส่งเสริมให้เด็กมีประสบการณ์ด้านภาษา และเสียงที่ดีในวัยนี้ จะสามารถพัฒนาศักยภาพด้านภาษา และดนตรีได้ดีในอนาคต

เด็กวัย 4-5 ปี

พัฒนาการด้านภาษาของเด็กในวัยนี้

  • เข้าใจรูปประโยคที่เป็นเหตุเป็นผลกัน
  • เด็กสามารถพูดให้คนอื่นเข้าใจได้ดี นำคำขยายมาใช้มากขึ้น
  • พูดคำศัพท์ได้ประมาณ 2,000 คำ
  • ลักษณะประโยคที่พูดมีความยาวคล้ายผู้ใหญ่มากขึ้น
  • สามารถบอกชื่อจริงของตนเองได้
  • สามารถเล่าเรื่องได้โดยมีเนื้อหาต่อเนื่องกัน
  • ตอบคำถามจากเรื่องที่ฟังหรือดูได้
  • ชอบถามว่า ทำไม เมื่อไหร่ อย่างไร

    นิทาน ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการแก่ลูก
    นิทาน ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการแก่ลูก

เลือกหนังสือตามวัยนี้ ควรเป็นนิทานเรื่องที่ยาวขึ้น แต่เข้าใจง่าย  ส่งเสริมจินตนาการและอิงความจริงอยู่บ้าง มีภาพประกอบที่มีสีสันสวยงาม มีตัวอักษรบรรยาย และมีขนาดใหญ่พอสมควร ใช้ภาษาง่าย ๆ เด็กวัยนี้มีจินตนาการสร้างสรรค์เกี่ยวกับธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม  เริ่มเข้าใจความแตกต่างระหว่างความจริงกับเรื่องสมมติ  ช่วยสร้างจินตนาการซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของพลังการเรียนรู้จากการอ่านหนังสือ

หนังสือนิทานที่ดีสำหรับเด็กไม่จำเป็นต้องมีตัวหนังสือมาก  อาจมีเพียงภาพประกอบชัดเจนสีสันสดใส  สวยงาม  ดึงดูดให้เด็กสนใจ และแม้ว่าการเลือกนิทานตามวัยจะช่วยเสริมสร้างพัฒนาการที่ดีให้กับลูกแล้ว การมีเทคนิคในการเล่าเรื่องก็มีส่วนช่วยให้นิทานเรื่องนั้น ๆ น่าสนใจยิ่งขึ้นไปอีก การเล่าหรืออ่านนิทานด้วยความสนุกสนาน จะช่วยให้ลูกมีความสุข ช่วยพัฒนาการด้านภาษาสร้างจินตนาการความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถเชื่อมโยงไปสู่การพัฒนาสมอง และสติปัญญาของเด็ก แถมยังช่วยสร้างความรักความผูกพัน ให้เกิดขึ้นในครอบครัวด้วย

6 เทคนิคในการเล่านิทาน ให้ลูกฟังไม่รู้จักเบื่อ

  1. คุ้นเคยกับหนังสือ จุดเริ่มต้นของการรักการอ่าน พ่อแม่สามารถให้ลูกคุ้นเคยกับหนังสือได้ตั้งแต่ยังทารก โดยอาจซื้อเป็นหนังสือที่ทำจากผ้านุ่มนิ่ม หรือหนังสือลอยน้ำได้สำหรับเด็ก และหมั่นทำความสะอาดเพื่อความปลอดภัย ให้ลูกได้หยิบจับ คุ้นเคย
  2. มอบสิทธิในการเลือกนิทานให้แก่ลูก ให้เขาเป็นคนเลือกเรื่องที่ต้องการฟังเอง จะช่วยให้ลูกสนใจ และตั้งใจฟังนิทานมากขึ้นไปอีก
  3. จัดการอารมณ์ของพ่อแม่ให้พร้อม คุณพ่อคุณแม่อย่าลืมผ่อนคลายอารมณ์ตึงเครียดก่อนอ่านนิทานให้ลูกฟัง เพราะภาวะอารมณ์ที่มีในขณะนั้นจะส่งผลต่อความรู้สึกของลูก

    หนังสือนิทานเหมาะกับทุกวัย
    หนังสือนิทานเหมาะกับทุกวัย
  4. ควรกำหนดเวลาการอ่านนิทานให้ชัดเจน พ่อแม่ควรหาเวลาอ่านนิทานให้ลูกฟังอย่างน้อยวันละครั้ง และหากเป็นไปได้ควรกำหนดช่วงเวลาในการอ่านให้แน่นอน เพื่อที่ลูกจะได้รู้ว่านี่เป็นเวลาแห่งการฟังนิทาน เขาจะตั้งตารอคอย
  5. กระตุ้นความรู้สึกมีส่วนร่วมของลูก โดยใช้การประสานสายตากับลูก ๆ เป็นระยะ ๆ โอบกอดลูกในขณะที่เปิดหนังสือไปด้วย จะทำให้เด็กมองตามนิ้วมือของเราที่ชี้ไปตามตัวหนังสือ และภาพ นอกจากจะช่วยดึงความสนใจแล้วยังช่วยให้ลูกรู้จักเชื่อมโยงสิ่งต่าง ๆ ได้อีกด้วย
  6. น้ำเสียง ลีลา ท่าทาง สำคัญ หากพ่อแม่เล่านิทานด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจนออกเสียงตามอักขระถูกต้อง  ลูกก็จะเรียนรู้ภาษาที่ถูกต้อง  หากพ่อแม่ทำเสียงเล็กเสียงน้อย มีลีลาท่าทางการเล่าที่สนุกสนานก็จะกระตุ้นความสนใจและเพิ่มความสนุกมากขึ้น

หนังสือนิทาน เป็นสิ่งมหัศจรรย์ ที่ช่วยเสริมสร้างสิ่งที่ดี ๆ หลายอย่างให้แก่ลูกน้อย คุณพ่อคุณแม่เห็นข้อดีมากมายขนาดนี้แล้ว คงจะไม่อ่านนิทานให้ลูกฟังไม่ได้เสียแล้วสิ

ข้อมูลอ้างอิงจาก multimedia.anamai.moph.go.th

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

รวม 70 นิทานสำหรับเด็ก 4-7 ปี กระตุ้นจินตนาการ พัฒนาสมองลูกน้อย

200 ชื่อเล่นลูกสาว น่ารัก ฟรุ้งฟริ้ง เก๋ ความหมายก็ดี๊ดี

พัฒนาการเด็ก ช่วงอายุ 1 – 3 ปี เวลาทองแห่งการพัฒนา

10 “โรงเรียนอนุบาล” ยอดนิยมพร้อมหลักสูตร ปี 2565

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

ลูกฟันผุ ทำไงดี

ลูกฟันผุ ทำไงดี หมอฟันแนะ อย่าขาดฟลูออไรด์

Alternative Textaccount_circle
event
ลูกฟันผุ ทำไงดี
ลูกฟันผุ ทำไงดี

ลูกฟันผุ ทำไงดี หมอฟันแนะ อย่าขาดฟลูออไรด์

ลูกฟันผุ ทำไงดี นับเป็นปัญหาที่พบเจอมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในเด็กเล็กตั้งแต่อายุไม่ถึง 1 ปี หรือเริ่มมีฟันน้ำนมขึ้นเป็นซี่แรก เนื่องจากชั้นเคลือบฟันของฟันน้ำนมจะบางกว่าชั้นเคลือบฟันของฟันแท้ และยังมีแร่ธาตุ เช่น แคลเซียม และฟอสฟอรัสน้อยกว่าในฟันแท้อีกด้วย จึงทำให้ฟันน้ำนมมีโอกาสผุได้ง่ายมาก ควรดูแลลูกอย่างไร มาดูกันค่ะ

ลูกฟันผุ ทำไงดี เด็กเล็กฟันผุถาวรจำนวนมาก

หากคุณพ่อคุณแม่ปล่อยให้ลูกฟันผุขึ้นมาแล้ว เด็กจะมีอาการปวดฟันตามมา และอาจเกิดความเจ็บปวดมากจนทำให้ไม่สามารถกินอาหารได้ตามปกติ ทำให้น้ำหนักตัวลดลง เด็กบางคนอาจถึงขั้นขาดสารอาหาร  มีรายงานผลการสำรวจสภาวะสุขภาพช่องปากแห่งชาติ ครั้งที่ 8 ประเทศไทย พ.ศ. 2560 พบว่าเด็กไทย

  • อายุ 3 ปี ฟันผุ 52%
  • อายุ 5 ปี ฟันผุ 76 %
  • เด็กอายุ 12 ปี ฟันผุถาวร 52 %
ลูกฟันผุ ทำไงดี
หมอฟันแนะ อย่าขาดฟลูออไรด์

อง์กรอนามัยโลกแนะนำ ลูกฟันผุ ทำไงดี

องค์การอนามัยโลกแนะนำและสนับสนุนให้แปรงฟันด้วย ยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ความเข้มข้น 1,000 – 1,500 ppm วันละ 2 ครั้ง นานครั้งละ 2 นาที

ทพญ. นราวัลลภ์ เชี่ยววิทย์ งานทันตกรรม โรงพยาบาลศิริราช คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล ให้ข้อมูลว่า ฟลูออไรด์เป็นองค์ประกอบ 1 ใน 5 ที่สำคัญในการป้องกันฟันผุ ซึ่งได้แก่ การทำความสะอาดฟันโดยการแปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันอย่างถูกวิธี การปรับพฤติกรรมการบริโภคอาหาร การใช้ฟลูออไรด์ การเคลือบหลุมร่องฟัน และการตรวจสุขภาพฟันอย่างสม่ำเสมอทุกๆ 6 เดือน

ฟลูออไรด์คืออะไร

ฟลูออไรด์เป็นแร่ธาตุชนิดหนึ่งที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันฟันผุ ฟลูออไรด์พบได้ตามธรรมชาติ ทั้งในดิน หิน น้ำโดยเฉพาะน้ำบาดาล และในอาหาร เช่น ใบชา อาหารทะเล เนื้อสัตว์ ผัก

การใช้ฟลูออไรด์ป้องกันฟันผุ มี 2 วิธีได้แก่

1. ฟลูออไรด์ชนิดใช้เคลือบบนผิวเคลือบฟัน อาจอยู่ในส่วนผสมของยาสีฟัน ซึ่งฟลูออไรด์เจลนี้นิยมใช้ในเด็กเล็ก ทันตแพทย์จะเป็นผู้เคลือบให้กับเด็ก ในคลินิกทันตกรรม ใช้เวลาเคลือบเพียง 1-4 นาที ชนิดนี้นิยมใช้ในเด็กเล็ก สารฟลูออไรด์บางส่วนจะแทรกซึมเข้าไปรวมตัวกับแร่ธาตุของผิวเคลือบฟัน ทำให้เคลือบฟันแข็งแรง และการที่มีสารฟลูออไรด์เคลือบอยู่บริเวณผิวเคลือบฟันจะช่วยลดการเกาะติดของแผ่นคราบจุลินทรีย์และยับยั้งการสร้างกรดของแบคทีเรียบนผิวเคลือบฟัน จึงช่วยป้องกันฟันผุได้

2. ฟลูออไรด์ชนิดรับประทาน อาจมีอยู่แล้วในน้ำดื่มธรรมชาติบางท้องถิ่น ผสมในน้ำประปา อาหาร น้ำนมผสมฟลูออไรด์หรือเป็นยาฟลูออไรด์ซึ่งมีทั้งชนิดเม็ดและชนิดน้ำผสมอยู่ในวิตามินรวมสำหรับเด็กเล็ก สารฟลูออไรด์ที่รับประทาน จะแทรกซึมเข้าสู่กระแสเลือดและไปรวมตัวกับแร่ธาตุ แคลเซียม และฟอสฟอรัส ในบริเวณที่มีการสร้างกระดูก และฟัน จึงช่วยทำให้ฟันแข็งแรง ทนต่อการทำลายของกรดจากแบคทีเรียต่างๆในช่องปากได้ดี

ฟลูออไรด์ป้องกันฟันผุได้จริงไหม

ฟลูออไรด์จะไปสะสมอยู่ในตัวฟันทำให้ผลึกเคลือบฟันแข็งแรงขึ้น ทนต่อกรดที่ทำให้เกิดฟันผุได้มากขึ้น ช่วยยับยั้งการละลายตัวของแร่ธาตุที่ผิวฟันและกระตุ้นให้เกิดการสะสมกลับของแร่ธาติที่ผิวฟัน เป็นผลให้ฟันผุในระยะเริ่มแรกหายเป็นปกติได้ นอกจากนี้ฟลูออไรด์ยังช่วยยับยั้งการสร้างกรดของแบคทีเรียและยับยั้งการเจริญของแบคทีเรียด้วย

ต้องปรึกษาทันตแพทย์ก่อนใช้ฟลูออไรด์หรือไม่

จำเป็นต้องปรึกษาทันตแพทย์ก่อน เนื่องจากความเสี่ยงในการเกิดฟันผุ แตกต่างกันในเด็กแต่ละกลุ่ม และการได้รับฟลูออไรด์ในรูปแบบและขนาดที่ไม่เหมาะสมจะทำให้ไม่ได้ผลเต็มที่ในการป้องกันฟันผุ และถ้าเด็กได้รับฟลูออไรด์ในปริมาณที่มากเกินไปอาจเกิดอันตราย

วัยใดบ้างจำเป็นต้องได้รับฟลูออไรด์

ทพญ. นราวัลลภ์ แนะนำว่า การใช้ฟลูออไรด์เริ่มใช้ได้ตั้งแต่ฟันน้ำนมซี่แรกขึ้น หรือกับเด็กอายุประมาณ 6 เดือน ในรูปแบบของยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ แนะนำให้ใช้ยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ที่ความเข้มข้น 1000 ส่วนในล้านส่วน (ppm)  ซึ่งจะมีประสิทธิภาพในการป้องกันฟันผุ ซึ่งปริมาณของยาสีฟันที่ใช้มีความแตกต่างกันในแต่ละช่วงวัย
          – เด็กอายุน้อยกว่า 3 ปี ควรใช้ปริมาณแค่แตะขนแปรงพอเปียก และควรเช็ดฟองออกขณะแปรงฟัน
          – เด็กอายุน้อยกว่า 6 ปี ควรใช้ปริมาณเท่ากับความกว้างของแปรง
          – เด็กอายุ 6 ปี ขึ้นไปและผู้ใหญ่ ควรใช้ปริมาณเท่ากับความยาวของแปรง

สำหรับยาบ้วนปากฟลูออไรด์แนะนำให้ใช้ในเด็กที่มีอายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไปที่ควบคุมการกลืนและบ้วนทิ้งได้

การแปรงฟันแห้งกับฟลูออไรด์

การแปรงฟันแห้งคือการแปรงฟันด้วยยาสีฟันผสมฟลูออไรด์โดยไม่มีน้ำมาเกี่ยวข้องทั้งก่อนแปรงและหลังแปรงฟัน ดังนี้

  • ก่อนการแปรงฟัน ไม่ต้องบ้วนน้ำ ไม่ต้องเอาแปรงจุ่มน้ำก่อนบีบยาสีฟัน เพื่อที่เวลาแปรงฟันจะได้ไม่มีน้ำและฟองเต็มปาก ทำให้แปรงลำบาก  ซึ่งเรานำแปรงสีฟันล้างน้ำก่อน 1 รอบ และสะบัดน้ำทิ้งให้แห้งที่สุดก่อนจะแปรงฟันให้ลูก
  • หลังการแปรงฟัน ไม่ต้องบ้วนน้ำเพื่อล้างยาสีฟันออก แค่บ้วนน้ำลายและฟองยาสีฟันทิ้ง หลังแปรงฟันแล้ว ควรงดน้ำงดอาหารครึ่งชั่วโมง เพื่อให้ฟลูออไรด์ในยาสีฟันคงอยู่

คราบยาสีฟันที่ไม่ได้บ้วนทิ้งจะเป็นอันตรายหรือไม่  

หากใช้ฟลูออไรด์ในปริมาณที่เหมาะสม ไม่เป็นอันตราย แต่ถ้าเด็กยังบ้วนปากไม่เป็น ระหว่างที่คุณพ่อคุณแม่แปรงฟันให้ควรใช้ผ้าเช็ดฟองให้ลูกตามไปเรื่อยๆ ส่วนสารลดแรงตึงผิวที่ผสมในยาสีฟันนั้น มีปริมาณน้อยมากจนไม่ทำให้เกิดอันตรายแต่อย่างใด

การแปรงฟันแห้งดีอย่างไร

  • การแปรงแห้งนั้น ช่วยป้องกันฟันผุได้มากกว่าการบ้วนน้ำตามหลังการแปรงฟัน เพราะฟลูออไรด์ที่ค้างอยู่ในปากจะเกาะยึดกับผิวฟัน ป้องกันฟันผุได้ยาวนานขึ้น
  • หลังการแปรงฟันด้วยยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ ฟลูออไรด์จะเข้มข้นมากในครึ่งชั่วโมงแรก ซึ่งฟลูออไรด์ที่ค้างอยู่ในช่วงครึ่งชั่วโมงนี้มีประโยชน์อย่างมากในการซ่อมแซมผิวฟัน เพื่อป้องกันไม่ให้ฟันผุ
  • ถ้าหลังแปรงฟันยิ่งบ้วนน้ำหลายครั้ง ปริมาณความเข้มข้นของฟลูออไรด์ในปากจะลดลงอย่างมาก ทำให้การป้องกันฟันผุจะลดน้อยลง และถ้าเพิ่งแปรงฟันเสร็จแล้วมาดื่มน้ำ หรือทานอาหารทันที ฟลูออไรด์ในช่องปากจะยิ่งลดลงเพิ่มมากขึ้น

ปัญหาฟันผุในเด็กเล็กจะลดลงได้ เพียงคุณพ่อคุณแม่แปรงฟันให้ลูกด้วยยาสีฟันที่ผสมฟลูออไรด์ และหากเป็นการแปรงฟันแห้งด้วยแล้ว ยิ่งดีต่อฟันของลูกมากยิ่งขึ้นด้วยค่ะ มาช่วยกันรักษาฟันของลูกน้อยให้สะอาดปราศจากฟันผุกันนะคะ

 ขอบคุณข้อมูลจาก

งานทันตกรรม โรงพยาบาลศิริราช คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล, โรงพยาบาลเด็กสินแพทย์, SKT Dental Center, โรงพยาบาลเปาโล

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

10 รีวิวแปรงสีฟันเด็ก แปรงสนุก สะอาดทั่วถึง ไม่บาดเหงือก

ฝันว่าฟันหลุด ฟันร่วง!! ลางดีหรือลางร้าย? ทำนายฝันแม่นๆ

กรมอนามัยเตือน! ปล่อยลูก ฟันผุ เสี่ยงเด็กแคระแกร็น!!

10 Superfood อาหารบํารุงคนท้อง ให้ลูกพัฒนาการดีตั้งแต่ในครรภ์

Alternative Textaccount_circle
event

เมื่อตั้งครรภ์แล้วคนเป็นแม่มีแต่ “ให้” และการให้ที่สำคัญที่สุดในช่วงท้องก็คือ ให้ตัวเองและลูกน้อยในครรภ์ได้รับประทานอาหารที่ดีที่สุดเพื่อถ่ายทอดสารอาหารที่จำเป็นไปให้กับลูก สำหรับ อาหารบำรุงคนท้อง ที่ขึ้นชื่อว่าเป็น ซูเปอร์ฟูด (Super food) นั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยสารอาหารมากกว่าอาหารทั่วไปหลายสิบเท่า อัดแน่นไปด้วยวิตามินที่สำคัญ และสารต้านอนุมูลอิสระ รวมถึงแร่ธาตุสำคัญต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อร่างกาย เพื่อสุขภาพครรภ์ที่ดีต่อคุณแม่และการเจริญเติบโตของลูกน้อยให้มีพัฒนาการที่ดีในทุกด้านระหว่างที่อยู่ในครรภ์

10 Super food อาหารบำรุงคนท้อง ให้ลูกพัฒนาการดีตั้งแต่ในครรภ์

ในช่วงตั้งครรภ์การเลือกโภชนาการที่ดี มีประโยชน์ และมีสารอาหารครบถ้วน เป็นสิ่งที่คุณแม่ได้ให้ความสำคัญเป็นพิเศษ คุณแม่สามารถเลือกรับประทาน “ซูเปอร์ฟู้ด” ได้หลากหลาย ซึ่งจะอยู่ในรูปของอาหาร ผัก ผลไม้ และธัญพืช ที่หาซื้อได้ง่าย ทานง่าย แต่เราอาจจะไม่เคยรู้ว่าสิ่งที่กินเข้าไปนี่แหละคือ Super food อาหารที่ดีต่อสุขภาพแม่ท้อง มีอะไรบ้าง มาดูกันค่ะ

1.ธัญพืช

ธัญพืช เช่น ข้าว ข้าวโอ๊ต ข้าวบาร์เลย์ ข้าวสาลี เป็นต้น ถือเป็นซูเปอร์ฟู้ดสำหรับบำรุงคนท้อง อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการและมีสารอาหารที่สำคัญมากมายต่อคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์ เช่น โคลีน ที่ช่วยบำรุงการทำงานของสมอง โปรตีน ซึ่งเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อโครงสร้างการเจริญเติบโตของทารกและร่างกายคุณแม่ โฟเลต ช่วยในการพัฒนาระบบประสาทของเซลล์ ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะหลอดประสาทของทารกในครรภ์เปิด และอาการปากแหว่งเพดานโหว่ในทารกแรกเกิดด้วย นอกจากนี้ยังมีคาร์โบไฮเดรต วิตามินบี วิตามินซี และสารต้านอนุมูลอิสระ ฯลฯ การได้การรับประทานธัญพืชสลับกับเมนูในบางมื้ออาหาร จะส่งผลดีต่อร่างกายได้อย่างมาก

อัลมอนด์ คนท้อง

2.เมล็ดอัลมอนด์

นอกจากอัลมอนด์จะเป็นของว่างทานเล่นคลายหิวระหว่างมื้ออาหารของคุณแม่ได้ดีในตอนท้อง ยังถือว่าเป็นสุดยอดอาหารที่อุดมไปด้วยไขมันดี มีกรดโฟลิกที่จำเป็นอย่างมากสำหรับทารกในครรภ์ มีวิตามิน โปรตีนที่มาจากพืช แร่ธาตุ โอเมก้า 3 แคลเซียม และใยอาหารสูงที่จะช่วยกระตุ้นผนังลำไส้ทำให้ขับถ่ายได้คล่อง ป้องกันอาการท้องผูกขณะตั้งครรภ์ รวมทั้งช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล เพิ่มระดับไขมันดี (HDL) และลดระดับไขมันเลว (LDL) ในร่างกาย ทั้งยังมีสารประกอบต่าง ๆ ที่มีคุณสมบัติต้านการอักเสบและต้านอนุมูลอิสระ ที่มีส่วนช่วยในการบำรุงร่างกาย หัวใจ บำรุงสมอง บำรุงเลือด เสริมสร้างเซลล์ที่สึกหรอของผิวหนัง เส้นผม ชะลอริ้วรอยก่อนวัย ได้อีกทางด้วยค่ะ

3.ผักใบเขียว

ผักใบเขียวโดยเฉพาะผักที่มีใบสีเขียวเข้ม เช่น ผักกาดหอม ปวยเล้ง หรือคะน้า ผักโขม เป็นต้น ผักเหล่านี้ถือว่าเป็น Super food ที่เราอาจไม่รู้เลยว่าได้กินสุดยอดอาหารอยู่เป็นประจำ เป็นแหล่งรวมวิตามิน A, C, E และ K แคลเซียม แร่ธาตุต่าง ๆ เช่น โฟเลต เหล็ก สังกะสี แมกนีเซียม และสารต้านอนุมูลอิสระ ที่มีส่วนช่วยในการบำรุงครรภ์ สร้างกระบวนการเจริญเติบโตและมีประโยชน์ต่อพัฒนาการต่าง ๆ ของทารกในครรภ์ ให้กระดูกและฟันแข็งแรง ช่วยในการทำงานของระบบประสาทต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูทีนในผักใบเขียว ที่ช่วยในการเสริมสร้างพัฒนาการด้านการมองเห็นของลูกน้อย รวมทั้งเส้นใยอาหารสูงในผักใบเขียวจะช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น แก้ปัญหาอาการท้องผูกให้กับคุณแม่ตั้งครรภ์ได้

อาหารบํารุงครรภ์

4.ผลไม้ตระกูลเบอรี่

ไม่ว่าจะเป็นสตรอเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ แบล็คเบอร์รี่ แครนเบอร์รี่ หรือโกจิเบอร์รี่ รวมถึงผลเบอร์รี่ชนิดอื่น ๆ จัดเป็นผลไม้ที่ทานง่าย อร้อย แถมมีสารอาหารสำคัญมากมาย อุดมไปด้วยวิตามิน A, B, C, E, K โพแทสเซียม ใยอาหาร  และสารต้านอนุมูลอิสระสูงที่อาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการอักเสบต่าง ๆ ทั้งยังมีส่วนช่วยในการชะลอริ้วรอย เพิ่มคอลลาเจนให้กับชั้นผิว ดูแลผิวพรรณที่หมองคล้ำในช่วงตั้งครรภ์ให้เปล่งปลั่งอีกด้วย

5.เมล็ดเจีย

เมล็ดเจียเป็นอีกหนึ่งในสุดยอดอาหารบำรุงคนท้อง ที่อุดมไปด้วยโปรตีนและแคลเซียมที่จำเป็นต่อการพัฒนาเนื้อเยื่อและการเจริญเติบโตของกระดูกในทารก เต็มไปด้วยธาตุเหล็กที่ช่วยเพิ่มปริมาณเลือดในร่างกาย และกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่จำเป็นต่อการพัฒนาสมองของลูกน้อยในท้อง มีเส้นใยอาหารสูงจึงทำให้รู้สึกอิ่มท้อง แถมยังช่วยให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติ และช่วยหล่อลื่นอาหารภายในลำไส้ ช่วยลดอาการท้องผูกขณะตั้งครรภ์ และสามารถป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้ได้ด้วย รวมทั้งสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยทำให้ผิวพรรณคุณแม่สดใส เปล่งปลั่ง ดูอ่อนเยาว์

6.ควินัว

คิวนัว ขึ้นชื่อว่าเป็นซูเปอร์ฟู้ดซึ่งมีคุณค่าทางอาหารสูงมาก อุดมไปด้วยสารอาหารหลากชนิดที่จำเป็นต่อร่างกายคุณแม่ในช่วงตั้งครรภ์ และมีคุณค่าทางโภชนาการเมื่อเปรียบเทียบกับธัญพืชที่ผ่านกระบวนการขัดสี อุดมด้วยไปด้วยสารอาหารต่าง ๆ เช่น วิตามินอีและบี โฟเลตที่ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง และไฟเบอร์ที่มีมากกว่าข้าวกล้องถึงสองเท่าช่วยป้องกันการเกิดอาการท้องผูก รวมถึงพรีไบโอติกที่ช่วยในการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่มีประโยชน์ในสำไส้ และลดยีสต์ที่ก่อให้เกิดโรค มีสารเคอเซตินซึ่งเป็นสารที่ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง ป้องกันการอักเสบ ป้องกันไวรัส และลดอาการเครียด นอกจากนี้ยังมีแคลเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม ธาตุเหล็ก และไขมันดีที่จำเป็นต่อร่างกาย คุณแม่สามารถนำเมล็ดควินัวมาหุงให้สุกรับประทานแทนข้าวได้ มีรสชาติจืดแบบข้าว แต่มีความนิ่มและกรุบกรอบ หอมอร่อย กินง่าย

คนท้องกินอะโวคาโด

7.อะโวคาโด

อะโวคาโด จัดเป็นผลไม้เพื่อสุขภาพและถูกยกให้เป็น super food ที่มีคุณค่าทางอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายเมื่อเทียบกับผลไม้ชนิดอื่นอยู่หลายชนิด ซึ่งดีต่อสุขภาพคุณแม่ในระหว่างตั้งครรภ์ และการเจริญเติบโตของทารกในท้อง อุดมไปด้วยสารอาหารที่จำเป็นสำหรับร่างกาย แน่นทั้งวิตามิน และแร่ธาตุต่าง ๆ มากกว่า 20 ชนิด อาทิเช่น A B,C,E,K โฟเลต โพแทสเซียม โซเดียม และสารต้านอนุมูลอิสระ เป็นต้น ซึ่งเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อคุณแม่ตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์ รวมถึงคุณแม่หลังคลอดที่การกินอะโวคาโดจะช่วยให้สามารถผลิตน้ำนมได้เพิ่มขึ้น ทั้งยังมีเส้นใยอาหารสูง ช่วยในการขับถ่าย รวมถึงเป็นไขมันชนิดดีที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างมาก อย่างไรก็ตาม การกินอะโวคาโดที่ให้ผลดีต่อคนท้องที่สุดคือ รับประทานครั้งละไม่เกินครึ่งผล (100 กรัม) หรืออย่างมากที่สุดไม่เกิน 1 ผลต่อวัน และควรทานควบคู่กับอาหารอื่นให้หลากหลาย เพื่อให้ได้รับคุณค่าทางโภชนาการที่เหมาะสมต่อรางกายกินแล้วไม่เป็นโทษ

8.ปลาแซลมอน

แซลมอน หนึ่งในสุดยอดอาหารดีต่อคุณแม่ตั้งครรภ์ซึ่งจะส่งเป็นสารอาหารผ่านไปสู่ลูกน้อยอีกทอดหนึ่ง แซลมอนเป็นปลาทะเลที่อุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่จำเป็นต่อการพัฒนาด้านการมองและช่วยบำรุงสมองและประสาทของทารกในครรภ์ และสารอาหารที่มีประโยชน์อย่างโปรตีน ไขมันดี วิตามิน A B และ D รวมถึงแร่ธาตุต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อร่างกายทั้งแคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม ซีลีเนียม และธาตุเหล็กที่เสริมสร้างกล้ามเนื้อได้ดี ช่วยลดความเสี่ยงของโรคเบาหวานในขณะตั้งครรภ์หรือโรคหัวใจได้อีกด้วย แถมยังมีคอลลาเจนบริสุทธิ์ที่เพิ่มความสดใสให้ผิวพรรณ อย่างไรก็ตาม ปลาแซลมอนหรืออาหารทะเลชนิดอื่น ๆ อาจเสี่ยงมีโลหะหนักหรือสารพิษต่าง ๆ ปะปนอยู่ควรบริโภคอาหารประเภทนี้สัปดาห์ละไม่เกิน 2-3 หน่วยบริโภค เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากสารพิษดังกล่าว และไม่แนะนำให้คุณแม่รับประทานปลาแซลมอนดิบในระหว่างการตั้งครรภ์ เนื่องจากหากพบพยาธิปนเปื้อน อาจมีผลกระทบต่อทารกในครรภ์ได้

สุดยอดอาหาร

9.โยเกิร์ต

ในช่วงตั้งครรภ์ที่คุณแม่มักหิวบ่อย กินจุบจิบ การเลือกกินโยเกิร์ตเป็นอาหารว่างถือว่าเป็นทางเลือกที่ดี เพราะโยเกิร์ตเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากนม มีคุณค่าทางอาหารอย่างหลากหลายทั้งแคลเซียม วิตามินบี ฟอสฟอรัส วิตามินดี และมีแบคทีเรียที่ดีต่อร่างกายอีกหลายชนิด ให้ประโยชน์ต่อร่างกายคุณแม่ในขณะตั้งครรภ์ เช่น ช่วยปรับสมดุลระบบย่อยอาหารและการขับถ่ายให้เข้าที่เข้าทาง ช่วยเพิ่มแบคทีเรียที่ดีให้กับร่างกาย ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้กับระบบทางเดินอาหารด้วย รวมทั้งช่วยป้องกันการติดเชื้อราในช่องคลอด เป็นต้น ทั้งนี้คุณแม่ควรเลือกกินโยเกิร์ตรสธรรมชาติ แบบ Low fat ที่ไม่มีความหวานเพื่อป้องกันสาเหตุของโรคอ้วนหรือโรคเบาหวาน

10.มันเทศ

มันเทศ เป็นพืชที่มีประโยชน์และอุดมไปด้วยสารอาหารหลายอย่างทั้ง คาร์โบไฮเดรตซึ่งเป็นพลังงานที่คุณแม่ตั้งครรภ์ควรได้รับเป็นอย่างดี รวมทั้งใยอาหาร วิตามินเอ วิตามินซี โฟเลต และโพแทสเซียม ซึ่งล้วนเป็นสารอาหารสำคัญต่อการเจริญเติบโตของลูกน้อยในครรภ์ นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งของแคโรทีนอยด์ ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่อาจช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งบางชนิดได้ ในส่วนของรสชาตินั้นถึงแม้มันเทศจะมีรสหวาน แต่อาหารชนิดนี้กลับไม่ได้เพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดมากอย่างที่คิด และยังมีเนื้อแน่น แค่นำไปต้มหรือนึ่งโดยไม่ต้องปรุงรสชาติอื่น ๆ ก็ได้มันเทศมาเป็นของว่างรับประทานระหว่างวันเป็นที่ถูกปากของคุณแม่ท้องได้ดีทีเดียว

จะเห็นว่าอาหารบำรุงครรภ์ที่เป็นซูเปอร์ฟู้ดเหล่านี้ คุณแม่สามารถหาซื้อมารับประทานกันได้ง่าย ๆ เพียงแต่ถ้ากินอาหารเพียงชนิดเดียวก็ไม่อาจทำให้มีสุขภาพที่แข็งแรงหรือได้ประโยชน์อย่างเต็มประสิทธิภาพ หรือการรับประทานในปริมาณที่มากเกินไปก็มักไม่ดีต่อร่างกาย คุณแม่สามารถเลือกรับประทานซูเปอร์ฟู้ดควบคู่ไปกับอาหารชนิดอื่นในมื้ออาหารเพื่อให้ได้ครบทุกหมู่ และในปริมาณที่พอเหมาะ ก็จะเป็นอาหารที่ช่วยให้ร่างกายของคุณแม่ได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน และช่วยส่งเสริมพัฒนาการที่ดีของลูกน้อยในครรภ์ตลอด 9 เดือนนี้นะคะ.

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : www.pobpad.comwww.thepassion.in.thwww.beanbagsnacks.com

อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิก :

22 ผลไม้สำหรับคนท้อง สารอาหารแน่น แม่กินดีลูกได้ประโยชน์

คนท้องห้ามกินอะไร 9 อาหาร ที่แม่ท้องควรห้ามใจ เลี่ยงได้เลี่ยงก่อนนะแม่!

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

ตาบอด

เล่นมือถือในที่มืด เสี่ยง ตาบอด จริงหรือ

Alternative Textaccount_circle
event
ตาบอด
ตาบอด

เล่นมือถือในที่มืด เสี่ยง ตาบอด จริงหรือ

จากกรณีที่มีการโพสต์เรื่องเล่นมือถือในที่มืดนาน ทำให้เป็นมะเร็งตาหรือ ตาบอด ถาวร นั้น ได้มีหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งคุณหมอผู้เชี่ยวชาญออกมาให้ข้อมูลในเรื่องนี้แล้วว่า การเล่นมือถือในที่มืดนั้น ทำลายสายตาได้จริง แต่จะทำให้ตาบอดถาวรหรือไม่นั้นมาหาคำตอบกันค่ะ

ปัญหาเกี่ยวข้องกับสายตา มีอะไรบ้าง

ปัญหาสายตาที่ส่งผลให้ประสิทธิภาพการมองเห็นลดลง มีดังนี้

  • ตาล้า อาจเกิดขึ้นได้ เมื่อใช้สายตาจ้องมองสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นเวลานาน เช่น ทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ จอมือถือ  จนส่งผลให้เกิดอาการปวดตา
  • สายตาสั้น เกิดจากการหักเหของแสงที่กระทบในกระจกตาที่มีความโค้งสูงจนเกินไป เป็นสาเหตุที่อาจทำให้การมองเห็นในระยะไกลไม่ชัดเจน
  • สายตายาว เป็นปัญหาที่ตรงข้ามกับสายตาสั้น ทำให้มองเห็นสิ่งรอบตัวในระยะใกล้ไม่ชัดเจน
  • สายตาเอียง อาจทำให้มองเห็นเป็นภาพซ้อนได้ทุกระยะ ซึ่งอาจเป็นควบคู่กับสายตาสั้น หรือสายตายาวก็ย่อมได้
  • ตาแห้ง อาจเกิดขึ้นเมื่อต่อมในดวงตาไม่อาจผลิตน้ำตาให้เพียงพอ หากปล่อยให้ตาแห้งเป็นเวลนาน อาจทำให้แสบตา และสูญเสียการมองเห็นได้
  • ต้อกระจก โรคต้อกระจกอาจส่งผลให้การมองเห็นสิ่งรอบตัวไม่ชัดเมื่ออยู่ในแสงจ้า และแสงสลัวตอนกลางคืน
  • ต้อหิน การมองเห็นที่เปลี่ยนแปลงอาจขึ้นอยู่กับประเภทของโรคต้อหินที่ผู้ป่วยเป็น แต่ทุกประเภทล้วนส่งผลให้เกิดตาพร่า ปวดตา และตาขุ่นมัว
  • ความผิดปกติของจอประสาทตา อาจทำให้มองเห็นสิ่งรอบตัวเป็นภาพซ้อน เนื่องจากเซลล์ในเรตินาดวงตาถูกทำลาย ทำให้เรตินาแยกออกจากกัน
ตาบอด
เล่นมือถือในที่มืด เสี่ยง ตาบอด จริงหรือ

เล่นมือถือในที่มืดทำลายดวงตาอย่างไร

อันตรายจากการใช้มือถือในที่มืด เกิดจากประเด็นเรื่องแสงสีฟ้า (Blue Light) ที่ออกมาจากหน้าจอมือถือ รวมถึงคอมพิวเตอร์ โดยแสงสีฟ้า ก็คือแสงที่มีความยาวคลื่นสั้นอยู่ที่ 380-500 นาโนเมตร ทำให้มีการกระจายตัวของแสงสีได้มาก จึงทำให้มีอาการปวดตา สายตาล้าได้ง่าย สามารถสร้างความเสียหายให้เซลล์เรตินา (retinal cells) และแสงสีฟ้าอาจทำให้เกิดโรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อม (Macular Degeneration) รวมถึงโรคเกี่ยวกับดวงตาอื่น ๆ

การใช้แสงสีนี้อาจมีผลต่อระบบการนอนและการตื่นของร่างกายได้ ซึ่งแสงสีฟ้าสามารถพบได้ทั่วไปจากแสงอาทิตย์ จากหลอดไฟ  จาก Computer และ Smartphone

ทั้งนี้ แสงสีฟ้าไม่ได้ทำให้ผู้ใช้ตาบอด เพียงแต่ทำให้ผู้ใช้ไม่สบายตา เมื่อใช้ Computer หรือ มือถือนานๆ

อย่างไรก็ตาม การหลีกเลี่ยงจากแสงสีฟ้าอาจเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก เพราะนอกจากจะมีในโทรศัพท์และคอมพิวเตอร์แล้ว แสงสีฟ้าอาจมาจากแสงอาทิตย์ได้เช่นกัน ดังนั้นนักวิจัยจึงแนะนำว่า ควรระวังการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรือเล่นโทรศัพท์ในที่มืด เพราะการดูหน้าจอในที่มืดนั้นสามารถทำให้สายตาต้องจ้องกับแสงสีฟ้าโดยตรง จนอาจส่งผลกระทบต่อดวงตาได้

วิธีใช้โทรศัพท์เพื่อถนอมสายตา

  • ควรอยู่ห่างจากหน้าจอประมาณ 25 นิ้ว หรือประมาณ 1 ช่วงแขน
  • จุดศูนย์กลางของหน้าจอควรอยู่ในมุม 10-15 องศา จากระดับสายตา
  • ควรใช้ฟิล์มติดหน้าจอ ทั้งหน้าจอโทรศัพท์ และคอมพิวเตอร์ เพื่อลดแสงจ้า
  • ทุก  20 นาทีควรมองไปที่อื่น ไกลออกไป 20 นิ้ว เป็นเวลาอย่างน้อย 20 วินาที
  • ถ้าใช้เวลาอยู่หน้าจอเป็นเวลา 2 ชั่วโมงแล้ว ควรพักสายตาระยะสั้น เป็นเวลาประมาณ 15 นาที และควรพักสายตาระยะยาวทุก ๆ 2 ชั่วโมง
  • ควรใช้น้ำตาเทียม เมื่อตาแห้ง
  • ควรอยู่ในสถานที่ ที่มีแสงเพียงพอ และไม่ควรใช้โทรศัพท์ หรืออยู่หน้าจอในที่ที่มีแสงน้อย
  • ดื่มน้ำบ่อยๆ เพิ่มความชุ่มชื่นในตา
    ไม่ควรนอนหงายเล่นสมาร์ทโฟน เพราะหน้าจอจะไม่ได้รับแสงสว่างจากโคมไฟบนเพดาน แม้กระทั่งนอนตะแคงก็อาจทำให้ดวงตาต้องเพ่งจ้องที่หน้าจอหนักกว่าปกติเหมือนกัน
  • ถ้าใส่คอนแทคเลนส์ ควรพักสายตาด้วยการเปลี่ยนมาใส่แว่นตา
  • ควรตรวจสุขภาพดวงตาเป็นประจำ และปรึกษาคุณหมอเมื่อมีปัญหาเกี่ยวกับดวงตา

เล่นมือถือในที่มืด เสี่ยง ตาบอด จริงหรือ

จากกรณีที่มีการโพสต์ชวนเชื่อเรื่องเล่นมือถือในที่มืดนาน ทำให้เป็นมะเร็งตาหรือตาบอด ถาวร โดยระบุว่า ดูแล้วน่ากลัว ระวังกันไว้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ที่ชอบเล่นโทรศัพท์

ทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ตรวจสอบข้อมูลและชี้แจงว่า ยังไม่มีหลักฐานทางวิชาการยืนยันว่าการเล่นโทรศัพท์มือถือในที่มืดเป็นเวลานานนั้นเสี่ยงหรือเป็นสาเหตุให้ ตาบอด หรือเกิดโรคมะเร็งตาแต่อย่างใด

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโมะเร็งตา หรือตาบอด

ทั้งนี้ ปัจจัยที่ทำให้เกิดความเสี่ยงของโรคมะเร็งตา หรือ “ตาบอด” ได้แก่ อายุที่เพิ่มมากขึ้น ความผิดปกติของเม็ดสีเมลานินในดวงตา หรือเกิดจากความผิดปกติของยีน เป็นต้น สำหรับคนไทย พบโรคมะเร็งตาในผู้ใหญ่ได้น้อยมาก แต่พบได้ในเด็กและมักมีอายุต่ำกว่า 5 ปี คือ โรคมะเร็งจอประสาทตา ซึ่งเกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรม แต่ก็เป็นโรคที่พบได้ไม่บ่อยเช่นกัน

ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่สบายใจได้นะคะว่า การเล่นมือถือในที่มืดไม่ได้ทำให้ตาบอด แต่ก็ทำลายดวงตาและการมองเห็นให้ไม่ชัดเจนได้มากพอสมควรเลยค่ะ จึงควรระมัดระวังหลีกเลี่ยงการใช้มือถือในที่มืดเพื่อรักษาดวงตาของเรานะคะ

ขอบคุณข้อมูลจาก

รามาแชนแนล, helloคุณหมอ, มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

ลูกขยี้ตา คันตาบ่อย ๆ ระวังเป็นตาแดงรับเปิดเทอม

แชร์เตือน!ลูกไม่สบตาอย่าปล่อยผ่านอาจสายตายาว ตาเหล่ ได้

ลูกเป็น แอสเพอร์เกอร์ ไม่มองหน้า ไม่สบตา ทำอย่างไร

โรคซนสมาธิสั้น

ซน ยุกยิกตลอด สมาธิไม่ดี ระวังลูกเป็น โรคซนสมาธิสั้น

Alternative Textaccount_circle
event
โรคซนสมาธิสั้น
โรคซนสมาธิสั้น

ซน ยุกยิกตลอด สมาธิไม่ดี ระวังลูกเป็น โรคซนสมาธิสั้น

คุณพ่อคุณแม่อาจเคยได้ยินคำกล่าวว่า เด็กซนเป็นเด็กฉลาดนะคะ หากว่าซนแต่พอดีก็นับเป็นผลดีกับทุกคน แต่หากลูกของคุณพ่อคุณแม่ ซน อยู่ไม่นิ่งเลย หุนหันพลันแล่น และขาดสมาธิ จนส่งผลต่อการใช้ชีวิต คุณพ่อคุณแม่ต้องระวังว่าลูกอาจมีอาการ โรคซนสมาธิสั้น ก็เป็นได้ โรคนี้มีสัญญาณบ่งบอกอย่างไร สามารถดูแลรักษาได้อย่างไร มาติดตามบทความดี ๆ นี้กันค่ะ

โรคซนสมาธิสั้น

พญ. สุธีรา คุปวานิชพงษ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการและพฤติกรรมในเด็ก โรงพยาบาลสินแพทย์ ได้เขียนบทความให้ความรู้เกี่ยวกับโรคซนสมาธิสั้น ไว้ว่า โรคนี้คือ ภาวะที่เด็กมีปัญหาเรื่องซน อยู่ไม่นิ่ง หุนหันพลันแล่น และขาดสมาธิ จนส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน และประสิทธิภาพในการเรียนรู้ เช่น มีผลเสียต่อการเรียน เกิดปัญหาพฤติกรรม และการอยู่ร่วมกับคนอื่น หากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาจะส่งผลเสียต่อเด็กอย่างมากทั้งในเรื่องการประสบความสำเร็จในด้านการเรียน การทำงาน และความสัมพันธ์ ในอนาคต

พบโรคนี้ได้มากน้อยแค่ไหน

โรคซนสมาธิสั้นพบได้บ่อยในทุกประเทศทั่วโลก ในประเทศไทยปัจจุบันพบประมาณ 5-8 % ในเด็กวัยเรียน โดยเด็กชายพบมากกว่าเด็กหญิงประมาณ 5 เท่า

สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของโรค

เกิดจากปัจจัยร่วมกันระหว่างพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม ทำให้เกิดความบกพร่องในการทำงานของสมองส่วนหน้า ซึ่งมีหน้าที่ในการควบคุมสมาธิ อารมณ์ การยับยั้งชั่งใจ และทักษะการจัดการ โดยพบว่าสมองส่วนหน้ามีการเจริญที่ล่าช้ากว่าเด็กวัยเดียวกัน ร่วมกับพบว่าการสร้างสารเคมีบางชนิดในสมองส่วนนี้มีความไม่สมดุล ยังรวมถึงปัจจัยตอนเกิด เช่น น้ำหนักแรกเกิดน้อย, เกิดก่อนกำหนด รวมทั้งการใช้สื่อ Social Media มากเกินไป ได้แก่ โทรศัพท์มือถือ, แท็บเล็ต, คอมพิวเตอร์

โรคซนสมาธิสั้น
ซน ยุกยิกตลอด สมาธิไม่ดี ระวังลูกเป็น โรคซนสมาธิสั้น

สัญญาณของ โรคซนสมาธิสั้น

อาการของโรคซนสมาธิสั้น แบ่งเป็น 2 ด้านหลัก คือ

  1. อาการขาดสมาธิ ได้แก่ สมาธิสั้น สมาธิไม่ต่อเนื่อง ทำงาน หรือการบ้านไม่เสร็จ ทำงานไม่รอบคอบ มีความยากลำบากในการทำงานที่ต้องวางแผนทำเป็นลำดับขั้นตอน มีอาการเหม่อ ใจลอย วอกแวกง่าย ขี้ลืมบ่อย ทำของที่สำคัญหายบ่อย
  2. อาการซนและหุนหันพลันแล่น ได้แก่ วิ่งซน ปีนป่าย เล่นเสียงดัง อยู่นิ่งไม่ได้ มักประสบอุบัติเหตุจากความซน ขาดความระมัดระวัง ลุกออกจากที่นั่ง หรือเดินในห้องเรียนขณะที่ครูสอน ยุกยิก อยู่ไม่สุข พูดมากเกินไป พูดโพล่ง พูดแทรกบทสนทนา วู่วามใจร้อน ไม่สามารถรอคอยคิวได้

โดยโรคสมาธิสั้นจะต้องมีอาการด้านใดด้านหนึ่งหรือทั้งสองด้านนี้ ต่อเนื่องอย่างน้อย 6 เดือน

การวินิจฉัยโรค

วินิจฉัยโดยกุมารแพทย์พัฒนาการเด็ก หรือจิตแพทย์เด็ก ด้วยวิธีตรวจประเมินเด็กในห้องตรวจอย่างละเอียด ร่วมกับข้อมูลที่ได้จากคุณพ่อคุณแม่และคุณครู ดังนั้นหากสงสัยว่าลูกมีปัญหาซนสมาธิสั้น คุณพ่อคุณแม่ควรพามาตรวจกับผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ได้รับแนวทางการดูแลตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบเมื่อเติบโตขึ้น

การรักษา

การรักษาโรคซนสมาธิสั้นที่มีประสิทธิภาพในปัจจุบัน พญ. สุธีรา ได้แนะนำวิธีรักษาให้อย่างละเอียด ดังนี้ค่ะ

  1. การรักษาด้วยยา ยาที่ใช้รักษาโรคซนสมาธิสั้นที่ได้ผลดีที่สุดที่มีในประเทศไทย คือ กลุ่ม Methylphenidate ซึ่งมีทั้งแบบที่ออกฤทธิ์สั้น ที่ต้องกินวันละ 2-3 ครั้ง และแบบที่ออกฤทธิ์ยาวที่กินวันละ 1 ครั้งได้ โดยยาจะออกฤทธิ์ไปยับยั้งการทำลายสารเคมีในสมอง (ที่เด็กมีน้อยกว่าปกติ) ช่วยให้เด็กจดจ่อในการทำงานมากขึ้น คงสมาธิได้ยาวขึ้น เรียนหนังสือได้ดีขึ้น ซนน้อยลง ควบคุมตัวเองและควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น
  2. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและให้การช่วยเหลือที่บ้าน

  • ปรับทัศนคติของคุณพ่อคุณแม่ให้เป็นบวก ให้กำลังใจลูกในการพัฒนาตัวเอง
  • ใช้เทคนิคการปรับพฤติกรรมเชิงบวก ได้แก่ เข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของลูก ชมเชย ให้รางวัล โดยให้ทันทีที่ทำพฤติกรรมดี จะช่วยให้ลูกมองเห็นข้อดีของตัวเอง และมีกำลังใจที่จะประพฤติตัวดีขึ้น
  • มีเวลาคุณภาพใช้เวลาทำกิจกรรมที่สนุกสนานร่วมกันในครอบครัว เพื่อจะได้สังเกตข้อดีของลูก ชื่นชมสิ่งที่ดี ๆในตัวลูก นำไปสู่ความรู้สึกมีคุณค่า ความภูมิใจในตัวเองของลูก
  • จัดกฎระเบียบในบ้าน เช่น ห้ามดูทีวีขณะทำการบ้าน ห้ามขว้างปาของ เล่นของเล่นเสร็จแล้วต้องเก็บเข้าที่ คุณพ่อคุณแม่ทำเป็นแบบอย่าง และควบคุมกฎให้ชัดเจนและสม่ำเสมอ
  • ทำข้อตกลงให้เด็กรู้ล่วงหน้าว่าถ้าทำผิดจะมีโทษอย่างไร ควรเลี่ยงวิธีทำโทษโดยการตี ดุด่า หรือใช้ความรุนแรง เพราะจะทำให้เด็กเติบโตมาเป็นเด็กที่ก้าวร้าวและใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา ควรใช้การลงโทษโดยวิธีการจำกัดสิทธิ เช่น งดดูการ์ตูน งดเที่ยวนอกบ้าน หักค่าขนม ริบโทรศัพท์ เป็นต้น
  • ปรับสิ่งแวดล้อมให้เหมาะกับเด็ก เช่น มีที่ให้เด็กทำการบ้านและอ่านหนังสืออย่างสงบ ในช่วงแรกคุณพ่อคุณแม่อาจจะต้องอยู่ช่วยควบคุมให้ทำงานเสร็จ มีตารางเวลากิจวัตรประจำวันที่แน่นอน ฝึกให้เด็กทำกิจกรรมทีละอย่าง ให้เด็กหยุดพักช่วงสั้นๆได้เมื่อเห็นว่าเด็กหมดสมาธิแล้ว
  • ฝึกทักษะการบริหารจัดการโดยคุณพ่อคุณแม่ช่วยกำกับ เช่น จัดกระเป๋านักเรียน เตรียมอุปกรณ์ วางแผนทำและส่งงานให้ทันตามกำหนด ฝึกใช้ข้อความเตือนความจำ
  • ฝึกเทคนิคให้เด็กคิดก่อนทำ เช่น ให้เด็กนับ 1-2-3 ก่อนลงมือทำ ฝึกให้เด็กรู้จักคิดถึงผลที่จะตามมาจากการกระทำ และฝึกทักษะการแก้ปัญหา
  • ส่งเสริมให้ออกกำลังกายสม่ำเสมอ กีฬาบางชนิดที่มีลำดับขั้นตอน มีกติกา เช่น เทควันโด ฟุตบอล โยคะ พบว่าช่วยฝึกสมาธิ และสอนให้เด็กรู้จักแพ้-ชนะ รอคอยคิว ทำตามกติกาได้
  • ลดเวลาของเด็กในการเล่นเกมคอมพิวเตอร์ ดูสื่อ ดูทีวี ให้เหลือน้อยที่สุด ให้จำกัดเวลาเล่น โดยต้องทำงานหรือการบ้านให้เสร็จก่อน การใช้สื่อเหล่านี้มากเกินไปจะยิ่งทำให้สมาธิและการควบคุมตัวเองแย่ลง
  1. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและให้การช่วยเหลือที่โรงเรียน

  • เข้าใจในตัวเด็ก มองหาข้อดีของเด็ก สนับสนุนให้เด็กแสดงออกถึงจุดเด่นหรือข้อดีของตนเอง ช่วยให้เด็กมั่นใจในตัวเองและมีกำลังใจในการพัฒนาตัวเอง
  • จัดที่นั่งหน้าชั้นหรือใกล้คุณครูมากที่สุด ให้ไกลจากประตูหน้าต่าง
  • สั่งงานเป็นขั้นตอนสั้นๆ ให้เด็กทบทวนคำสั่งหรือให้ซักถามเพื่อตรวจสอบความเข้าใจ
  • ให้เด็กจดงานลงสมุดการบ้าน ช่วยตรวจสมุดงานอย่างสม่ำเสมอ
  • ใช้วิธีเตือนไม่ให้เด็กเสียหน้า ไม่ดุว่าหรือลงโทษรุนแรง ควรใช้วิธีการตัดคะแนน งดเวลาพัก หรือทำเวรแทน
  • ชมเชยหรือให้รางวัลเมื่อทำพฤติกรรมที่ดี
  • ในเด็กที่จำเป็นต้องกินยาที่โรงเรียน คุณครูช่วยดูแลหรือเตือนให้เด็กกินยาอย่างสม่ำเสมอ
  • การช่วยเหลือด้านการเรียนเป็นพิเศษ เช่น สอนเพิ่มตัวต่อตัวหากมีความบกพร่องทางการเรียนรู้ร่วมด้วย หรืออาจพิจารณาให้เวลาสอบนานกว่าเพื่อน หรือคุณครูช่วยเตือนเมื่อวอกแวก
  1. การวินิจฉัยปัญหาอื่นๆที่พบร่วมกัน และให้การช่วยเหลือ เช่น ภาวะบกพร่องด้านการเรียนรู้ ปัญหาการทำงานประสานกันของกล้ามเนื้อมือ ปัญหาพฤติกรรม เป็นต้น

ลูกมีโอกาสหายหรือไม่

เมื่อผ่านวัยรุ่นประมาณ 30-50% ของเด็กสมาธิสั้นมีโอกาสหายจากโรคนี้ได้ หากได้รับการดูแลรักษาที่เหมาะสม

ขอบคุณข้อมูลจาก

โรงพยาบาลสินแพทย์ ,รามาแชนแนล

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

ลูกสมาธิสั้น หงุดหงิดง่าย เริ่มเป็นเด็กก้าวร้าว เพราะติดไอแพด

ฝึกสมาธิ ให้ลูกได้ตั้งแต่วัยอนุบาลง๊าย..ง่ายแค่ 4 ขั้นตอน!

10 เคล็ดลับ ฝึกลูกให้มีสมาธิ ลูกไม่วอกแวกง่าย ทำอะไรก็ฉลุย!

นิทานเจ้าหญิง

นิทานเจ้าหญิง นิทานเสริมสร้างจินตนาการสำหรับลูกสาว

Alternative Textaccount_circle
event
นิทานเจ้าหญิง
นิทานเจ้าหญิง

เล่านิทานให้ลูกฟังก่อนนอน นิทานเจ้าหญิง นิทานเล่าให้ลูกสาวฟัง ช่วยเสริมสร้างจินตนาการให้ลูกน้อย สร้างความเพลิดเพลิน หลับอย่างอารมณ์ดี มีความสุข

นิทานเจ้าหญิง นิทานเสริมสร้างจินตนาการสำหรับลูกสาว

การอ่านนิทานโดยไม่มีภาพ เป็นการช่วยเสริมสร้างจินตนาการอีกทางหนึ่ง เด็กจะเกิดภาพในความคิดของตัวเอง หรือจะมีคำถามต่างๆ ซึ่งจะช่วยให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ ช่างสังเกต ช่วยพัฒนาการทางด้านสมอง เช่น ลูกอาจถามพ่อแม่ว่า เจ้าหญิงใส่ชุดสีอะไร ผมสั้นหรือยาว เป็นต้น ทีมกองบรรณาธิการ ABK จึงนำ นิทานเจ้าหญิง ที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก มาฝากคุณพ่อคุณแม่ เพื่อนำไปเล่าให้ลูกฟังก่อนนอนกันค่ะ

เรื่อง ซินเดอเรลล่า Cinderella
เรื่อง ซินเดอเรลล่า Cinderella

นิทานเจ้าหญิง นิทานเสริมสร้างจินตนาการสำหรับลูกสาว

เรื่อง ซินเดอเรลล่า Cinderella

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว …มีสาวน้อยคนหนึ่งเธอชื่อ”ซินเดอเรลล่า” เดิมเธอมีชื่อว่า “เอลล่า” (Ella) เป็นบุตรสาวของเศรษฐีผู้มั่งมี มารดาของเธอเสียชีวิตตั้งแต่เธอยังเล็ก เป็นเหตุให้บิดาของเอลล่าจำใจแต่งงานใหม่กับมาดามผู้หนึ่งซึ่งเป็นหม้ายและมีลูกสาวติดมาสองคนเพราะอยากให้เอลล่ามีแม่ ไม่นานนักหลังจากนั้น เศรษฐีผู้เป็นบิดาก็เสียชีวิต ทำให้ธาตุแท้ของแม่เลี้ยงปรากฏขึ้น นางกับลูกสาวใช้งานเอลล่าราวกับเป็นสาวใช้ และใช้จ่ายทรัพย์ที่เป็นของเอลล่าอย่างฟุ่มเฟือย ที่ร้ายกว่านั้น ทั้งสามยังเปลี่ยนชื่อของเอลล่า เป็น ซินเดอเรลล่า ที่แปลว่า สาวน้อยในเถ้าถ่านเพราะพวกนางใช้งานเอลล่าจนเสื้อผ้าขาดปุปะมอมแมมไปทั้งตัวนั่นเอง

ซินเดอเรลล่ายอมทนลำบากทำงานเรื่อยมาจนกระทั่งวันหนึ่ง มีจดหมายเรียนเชิญหญิงสาวทั่วอาณาจักรให้มาที่พระราชวังเพื่อร่วมงานเต้นรำ แต่ความหมายที่แท้จริงก็คือ พระราชา ต้องการหาคู่ครองให้กับเจ้าชายซึ่งเป็นพระโอรสองค์เดียว จึงใช้งานเต้นรำบังหน้า เมื่อรู้ข่าว ลูกสาวทั้งสองต่างพากันดีใจที่บางทีตนอาจมีโอกาสได้เต้นรำและได้แต่งงานกับเจ้าชายก็เป็นไปได้ เช่นกันกับซินเดอเรลล่า เพราะเธอใฝ่ฝันมาตลอดเวลาว่าจะได้เต้นรำในฟลอร์ที่งดงามและเป็นอิสระจากงานบ้านอันล้นมือเหล่านี้ แต่แน่นอน เมื่อเด็กสาวขอไป แม่เลี้ยงใจร้ายจึงกลั่นแกล้งต่างๆ นานาจนซินเดอเรลล่าไม่มีชุดใส่ไปงานเต้นรำ

ซินเดอเรลล่าเสียใจมาก จึงหนีไปร้องไห้อยู่คนเดียว ทันใดนั้นนางฟ้าแม่ทูนหัวของซินเดอเรลล่าก็ปรากฏตัวขึ้นและบันดาลชุดที่สวยงามที่สุดให้ซินเดอเรลลา พร้อมกับบอกให้เด็กสาวไปงานเต้นรำ แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องกลับมาก่อนเที่ยงคืน ไม่เช่นนั้นเวทมนตร์จะเสื่อมลงไปในทันที

ซินเดอเรลล่าได้ทำตามความฝัน แต่ที่ยิ่งกว่านั้นคือ คู่เต้นรำที่เธอก็ไม่ทราบว่าเป็นใครนั้นคือเจ้าชายนั่นเอง ทั้งสองตกหลุมรักกันทั้งที่ยังไม่รู้ชื่อเสียงเรียงนามของอีกฝ่าย แต่เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืน ซินเดอเรลล่าก็รีบหนีไปโดยลืมรองเท้าแก้วเอาไว้ เจ้าชายเก็บรองเท้าไว้ได้จึงประกาศว่าจะทรงแต่งงานกับหญิงสาวที่สวมรองเท้าแก้วนี้ได้เท่านั้น

เสนาบดีได้นำรองเท้าแก้วไปตามบ้านต่างๆ เพื่อให้หญิงสาวทั่วอาณาจักรได้ลอง จนมาถึงบ้านแม่เลี้ยง เมื่อลูกสาวทั้งสองลองครบแล้ว นางก็โกหกว่าไม่มีหญิงสาวในบ้านอีก พร้อมทำลายรองเท้าแก้วจนแตกละเอียด ทุกคนต่างหมดหวังว่าจะไม่สามารถหาหญิงปริศนาของเจ้าชายพบ แต่สุดท้าย ซินเดอเรลล่าก็หยิบรองเท้าแก้วอีกข้างที่เก็บไว้ขึ้นมาและสวมให้กับเหล่าเสนาได้ดู ทำให้ซินเดอเรลล่าได้แต่งงานกับเจ้าชาย และมีความสุขตราบนานเท่านาน

เรื่อง โฉมงามกับเจ้าชายอสูร Beauty and the-Beast
เรื่อง โฉมงามกับเจ้าชายอสูร Beauty and the-Beast

เรื่อง โฉมงามกับเจ้าชายอสูร Beauty and the Beast

พ่อค้าผู้ร่ำรวยผู้หนึ่งอาศัยอยู่ในเมืองกับลูกสาวสามคน ลูกสาวคนสุดท้องได้รับการตั้งชื่อว่า เบลล์ (แปลว่าสวยงาม ในภาษาฝรั่งเศส: Belle) เพราะว่าเธอเป็นเด็กที่มีจิตใจดีและบริสุทธิ์ พ่อค้าผู้มั่งมีผู้นั้นในที่สุดก็ได้สูญเสียทรัพย์หลวงใหญ่ที่เขามี ความโชคร้ายของเขานั้น ทำให้เขากับลูกทั้งสาม ต้องย้ายที่พักอาศัยไปอยู่แถบชนบท หลังจากการอาศัยอยู่กับความลำบากผ่านมาเป็นปีๆ นี้แล้ว พ่อค้าเขาได้รับข่าวว่าเรือสรรพสินค้าที่เขาเคยส่งออกขายในอดีต ได้กลับเข้ามาสู่ท่าเรือ ซึ่งเป็นเรือที่หนีเจ้าหนี้มาได้ ดังนั้นพ่อค้าผู้นั้นได้ตัดสินใจว่า เขาจะไปดูในเมืองว่าเรือนี้ยังมีอะไรเหลือให้เขาและลูกอยู่

ก่อนที่เขาจะจากลูกๆ ในชนบทไปในเมือง เขาได้ถามลูกๆ ว่าอยากได้ของขวัญอะไร ลูกคนโตทั้งสองได้บอกพ่อของพวกเธอว่าพวกเธอประสงค์เครื่องเพชร และชุดสวยงาม โดยคิดว่าพ่อจะต้องกลับมาพร้อมกับความร่ำรวย เบลล์ลูกสาวสุดท้อง อยากได้แค่เพียงดอกกุหลาบเพียงดอกเดียว เพราะไม่มีกุหลาบโตแถวชนบท พอพ่อค้าได้ถึงท่าเรือ เขาก็ได้เจอกับความผิดหวัง เพราะเรือสรรพสินค้านั้น ได้ถูกเจ้าหนี้ยึดไปเสียแล้ว ซึ่งทำได้เขาไม่มีเงินที่จะซื้ออะไรให้ลูกของเขาเลย

ระหว่างการเดินทางกลับของเขา พ่อค้าได้หลงทางในป่า เขาเข้าไปในปราสาท โดยการที่ต้องการหาที่พักอาศัย พอเดินเข้าไปข้างใน เขาได้พบว่าในข้างใน ได้มีโต๊ะที่มีอาหารและเครื่องดืมมากมาย ซึ่งพ่อค้ารู้ทันทีเลยว่าเจ้าของปราสาทต้องจัดไว้ให้ พ่อค้าจึงรับของเหล่านี้โดยการรับประทาน ระหว่างที่เขากำลังจะเดินกลับจากปราสาท พ่อค้าก็ได้เจอ สวนดอกกุหลาบ และเขาจำได้ทันทีเลยว่า กุหลาบเป็นสิ่งที่เบลล์ต้องการ ในขณะที่เขากำลังเด็ดดอกกุหลาบ เขาก็ได้พบเจอกับอสูร ซึ่งทำให้พ่อค้ารู้เลยว่า ดอกกุหลาบคือสิ่งที่อสูรรักและหวงมาก อสูรตัดสินใจว่าจะลงโทษการกระทำของพ่อค้า ด้วยการขังพ่อค้าโดยไม่มีวันปล่อย พ่อค้าขอร้องอสูรอิสรภาพ โดยบอกอสูรว่าที่เขาทำลงไป ก็เพราะเขาต้องการทำให้ลูกสาวของเขา เขาอยากได้ดอกกุหลาบเป็นของขวัญให้ลูกคนเล็ก เมือฟังแล้ว อสูรก็ปล่อยพ่อค้า โดยมีข้อแม้ว่าพ่อค้าจะต้องนำตัวลูกสาวเขามาแทนที่ตน

พ่อค้าโศกเศร้ามาก แต่เขายอมทำสิ่งที่อสูรต้องการ เมื่อกลับมาถึงบ้าน พ่อค้าพยายามปกปิดเรื่องที่เกิดขึ้นจากเบลล์ แต่เบลล์เธอก็จับได้ และยินยอมที่จะไปเป็นนักโทษในปราสาทของอสูร เพราะเธอรู้ผิดที่ว่าเธอเป็นผู้ที่ต้องการกุหลาบนั้นตั้งแต่ทีแรก ในปราสาท เบลล์ได้รับการเลี้ยงดูและการเอาใจใส่อย่างดีงามมาก โดยได้รับเป็นแขกชั้นสูง อสูรได้มอบชุดสวยงามและอาหารอย่างดีให้เธอ อสูรได้สนทนากับเบลล์ทุกๆ คืน และทุกๆ คืน อสูรได้ขอเบลล์สมรส แต่ถูกปฏิเสธทุกครั้ง และทุกครั้งที่เธอปฏิเสธการสมรส เธอก็ได้ฝันเห็นถึงเจ้าชายโฉมงาม ผู้ที่ต้องการอยากรู้ว่าด้วยเหตุใดเธอถึงทำเช่นนี้กับเขา เบลล์ไม่คิดว่าเจ้าชายโฉมงามจะมีการเกี่ยวข้องกับอสูร (เธอไม่คิดว่าเป็นคนเดียวกัน) เธอกลับคิดว่าอสูรได้กักขังเจ้าชายโฉมงามไว้ในปราสาท เพราะฉะนั้น เบลล์จึงค้นหาทุกซอกทุกมุมในปราสาท แต่ไม่เคยเจอเจ้าชายโฉมงามในฝันของเธอเลย

ในที่สุด เบลล์ก็เกิดอาการคิดถึงบ้าน และอ้อนวอนให้อสูรปลดปล่อยเธอไปหาครอบครัวเธอ อสูรทำตามใจเบลล์ แต่ต้องสัญญาว่าจะกลับมาภายในหนึ่งสัปดาห์ เบลล์ให้คำสัญญา และกลับบ้านพร้อมกับกระจกวิเศษและแหวนวิเศษ กระจกวิเศษนี้สามารถทำให้เธอมองเห็นผ่านความเงา และเห็นความเป็นอยู่ของปราสาท ส่วนแหวนวิเศษมีเวทมนตร์ที่ทำให้เธอกลับมาปราสาทได้ โดยต้องหมุนแหวนในนิ้วนางสามรอบ พอถึงบ้านพี่สาวทั้งสองได้เห็นเบลล์อยู่สุขสบายกว่าพวกเธอ และมีเสื้อผ้าที่หรูหราใส่ พวกเธอจึงริษยาน้องสาวขึ้นมาทันที ด้วยไฟริษยาและรู้ว่าเบลล์ต้องกลับภายในหนึ่งสัปดาห์ พี่สาวทั้งสองจึงเล่นละครแกล้งร้องไห้ร่ำไรไม่ให้เบลล์กลับไปปราสาท ด้วยสัญชาตญาณที่ดีของเบลล์ เธอจึงตัดสินใจไม่กลับ

เบลล์เกิดรู้สึกไม่ดีที่ผิดสัญญากับอสูร และใช้กระจกวิเศษมองดูว่าอสูรเป็นอย่างไรบ้าง เมื่อมองในกระจก เธอได้เห็นว่าอสูรกำลังนอนใกล้จะตายด้วยความอกหัก อยู่ที่สวนกุหลาบตรงที่พ่อเธอเคยแอบเด็ดไว้ เมื่อเห็นภาพที่อนาถตาแล้ว เธอจึงใช้แหวนวิเศษกลับไปหาอสูรที่ปราสาททันที

เมื่อเบลล์ถึงสวนดอกกุหลาบ อสูรก็ได้สิ้นชีวิตแล้ว เธอร้องไห้เศร้าโศกเสียใจ และพูดเสียงแผ่วเบาหลายๆ รอบ ว่าเธอรักอสูร แต่เมื่อน้ำตาเธอหยดลงบนอสูร อสูรก็ได้ฟื้นคืนชีพกลับมา และร่างกายเขาก็ได้เปลี่ยนแปลงกายเป็นเจ้าชายโฉมงาม (เจ้าชายผู้เดียวกันที่เคยมาเยือนในฝันเบลล์) เจ้าชายผู้นี้เลยเล่าเรื่องให้เบลล์ฟังว่า กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว นางฟ้าสาปให้เขากลายเป็นอสูรที่อัปลักษณ์น่าเกลียดน่ากลัว หลังจากที่ปฏิเสธให้ความช่วยเหลือเธอ ซึ่งหนีฝนมา นางฟ้าบอกเจ้าชายว่า วิธีเดียวที่จะทำให้คำสาปหายคือการหารักแท้ โดยที่ไม่ใช่รูปโฉม

เรื่อง เงือกน้อยผจญภัย The Little Mermaid
เรื่อง เงือกน้อยผจญภัย The Little Mermaid

เรื่อง เงือกน้อยผจญภัย The Little Mermaid

ราชาแห่งท้องทะเลอาศัยอยู่ในทะเล ปราสาทของเขาทำจากเปลือกหอยและหินที่เปล่งประกายแวววับ แม่และลูกสาวของเขาก็อาศัยอยู่ด้วยกันกับเขา ลูกสาวทุกคนของเขาสวย แต่ลูกสาวคนเล็กสวยที่สุด เธอไม่เหมือนคนอื่น พี่ๆของเธอชอบเล่น แต่เธอชอบฟังนิทาน

ย่าของเธอพูดว่า จริงๆ แล้ว หลานจะสามารถท่องโลกกว้างได้เมื่ออายุ 15 ปี โดยเมื่อเธออายุ 15 ปี ย่าของเธอจะตกแต่งเธอด้วยดอกลิลลี่ ต่อมาย่าก็ได้สั่งเปลือกหอยนางรมเพื่อติดประดับที่หางของเธอ พวกเธอได้ว่ายขึ้นไปยังผิวน้ำ ในขณะที่พวกเธอไปถึงผิวน้ำ เงือกน้อยเห็นเรือขนาดใหญ่ ซึ่งมีกะลาสีกำลังร้องเพลงและเต้นรำ เธอยังคงเฝ้ามองดูพวกเขาอย่างเงียบๆ

ในตอนค่ำ มีการเฉลิมฉลองบนเรือเพราะว่าเป็นวันเกิดของเจ้าชาย เงือกน้อยหลงใหลในตัวเจ้าชาย แต่แล้วก็มีพายุหนัก พัดผ่านทะเลคืนนั้น เงือกน้อยเห็นเรือกำลังจม กะลาสีทุกคนจมน้ำ และเธอดำลงทะเลอย่างรวดเร็ว และช่วยชีวิตเจ้าชาย เจ้าชายสลบไม่ได้สติ

ในตอนเช้า เงือกน้อย นำเจ้าชายขึ้นฝั่ง เธอวางเจ้าชายบนทราย เธอกลับไปยังทะเล เพราะเธอไม่ต้องการให้ใครเห็นเธอ ไม่นานต่อมา สาวสวยคนหนึ่งเดินผ่านมาเห็นเจ้าชายนอนอยู่ที่นั่น หล่อนนำเขาไปยังบ้านที่อยู่ใกล้ๆ โดยความช่วยเหลือจากชาวประมง

ขณะเดียวกัน เงือกน้อยยังคงคิดถึงเจ้าชาย เธอพยายามที่จะมองหาเขา แต่ก็ไม่สำเร็จ (ไม่เจอ) เมื่อเธอบอกบรรดาพี่สาวเกี่ยวกับเจ้าชาย พี่สาวของเธอได้ค้นหาปราสาทของเจ้าชายจนเจอ ตอนนี้ เธอรอคอยใกล้ๆ ปราสาทของเขาเพื่อจะได้เห็นเขาเสมอ ย่าของเธอบอกว่า เรามีชีวิตที่ยืนยาวกว่ามนุษย์ แต่วิญญาณของเขาจะคงอยู่ตลอดไป ตอนนี้ เงือกน้อยต้องการที่จะได้วิญญาณของมนุษย์

ด้วยเหตนี้ เธอจึงไปหาพ่อมดทะเลผู้ที่มีเวทมนต์ พ่อมดพูดว่า ฉันจะให้ขามนุษย์แก่เธอสองข้าง โดยแลกเปลี่ยนกับหางของเธอ แต่เธอจะต้องให้เสียงแก่ฉัน และถ้าเจ้าชายรักคนอื่น เธอจะต้องกลายเป็นฟองน้ำทะเลสีขาว เงือกน้อยผงกหัวเพื่อตอบว่า ตกลง ต่อมา พ่อมดเอาน้ำอมฤตให้เธอดื่ม เมื่อเธอดื่มน้ำอมฤตที่ขม เธอก็สลบไสล

เมื่อเธอได้สติ เธอก็พบว่าเธออยู่ในอ้อมแขนของเจ้าชาย เธอมีสองขา แทนที่หาง
เจ้าชายพาเธอไปยังปราสาท ที่นั่นเธอสนุกสนานและเพลิดเพลินตลอดวัน แต่เธอไม่สามารถแม้แต่จะพูดหรือร้องเพลงได้ เธอและเจ้าชายมีความสุข

วันหนึ่ง ราชาได้รับสั่งให้เจ้าชายแต่งงานกับลูกสาวของกษัตริย์ที่อยู่เมืองติดกัน
เมื่อเจ้าชายได้เห็นเจ้าหญิง เจ้าชายพบว่าเธอเป็นคนเดียวกันที่ช่วยชีวิตของเขาไว้บนชายหาด เจ้าชายตกหลุมรักเธอ และในบัดนั้น ที่นั่นก็ได้ตัดสินใจแต่งงานกับเธอ
เหตุการณ์นี้ ทำให้เงือกน้อยเสียใจ เธอรู้ว่าเวลาตายของเธอใกล้เข้ามาแล้ว และเธอพยายามที่จะใช้เวลาอยู่กับเจ้าชายให้ได้มากที่สุด แต่เธอก็ไม่อาจบอกรักเจ้าชายได้ เพราะเธอไม่สามารถพูดได้

ขณะเดียวกัน พี่สาวของเธอก็รู้เรื่องนี้ด้วย พวกหล่อนได้นำมีดคาถาจากพ่อมดมาให้เธอ
พวกหล่อนพูดว่า เงือกน้อย เงือกน้อย ตอนนี้เธอต้องฆ่าเจ้าชายขณะที่เจ้าชายหลับ เป็นทางเดียว ที่เธอจะสามารถกลับสู่ทะเลในสภาพเงือกได้

เงือกน้อยเข้าไปยังห้องเจ้าชายตอนกลางคืนอย่างเงียบๆ เธอจูบเขา แต่ไม่สามารถทำร้ายเขาด้วยมีด เพราะเธอรักเขา ดังนั้น หลังจากที่มองเจ้าชายเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว เธอก็กระโดดลงสู่ทะเล เธอพบว่าตัวเองอยู่บนท้องฟ้ากับเหล่าดาวระยิบระยับ และตอนนี้ เธอได้อยู่บนฟ้าอย่างมีความสุข

พาลูกเข้านอนด้วยการเล่านิทานให้ลูกฟัง นิทานเจ้าหญิง ที่ ทีมกองบรรณาธิการ ABK นำมาฝากนี้ เป็นเทพนิยายคลาสสิก ได้รับความนิยมทั่วโลก เป็นกิจกรรมในครอบครัวก่อนนอน สร้างความอบอุ่นและจินตนาการให้กับลูก

 

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

นิทานกระต่ายกับเต่า สอนลูกผ่านนิทานอีสปสนุกๆ!!

5 นิทานพื้นบ้าน ซึมซับความเป็นไทย พร้อมคติสอนใจ!!

มหัศจรรย์การอ่าน นิทาน ออกเสียงกระตุ้นพัฒนาการลูก??

20 นิทานอีสปสั้นๆ เน้นคติเตือนใจ เหมาะกับทุกวัย จบแบบยิ้มได้ไม่รุนแรง

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : https://nitanstory.com

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

Amarin Baby & Kids

นม OATSIDE

ถึงเมืองไทยแล้ว ! โอ๊ตไซด์ (OATSIDE) นมโอ๊ตแสนอร่อย คุณภาพระดับโลก

Alternative Textaccount_circle
event
นม OATSIDE
นม OATSIDE

โอ๊ตไซด์ (OATSIDE) นมโอ๊ตแบรนด์น้องใหม่ เต็มเปี่ยมด้วยคุณภาพ และรสชาติเยี่ยมยอดจากประเทศสิงคโปร์ เดินหน้าทำตลาดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย ชูความหวานมัน เข้มข้น เทียบชั้นนมวัว มุ่งเจาะตลาดร้านกาแฟ คาเฟ่ และผู้บริโภคสนใจดูแลสุขภาพ พร้อมวางจำหน่ายแล้ว 3 รสชาติ ได้แก่ บาริสต้าเบลนด์ ช็อกโกแลต และ ช็อกโกแลต เฮเซลนัท ในซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำทั่วกรุงเทพฯ

OATSIDE ก่อตั้งโดย เบเนดิกต์ ลิม (Benedict Lim) ชาวสิงคโปร์ เขาเคยดำรงตำแหน่ง Chief Financial Officer ของ Kraft Heinz Indonesia โดยเริ่มต้นธุรกิจท่ามกลางการล็อกดาวน์ในช่วงที่โควิด-19 กำลังระบาด ซึ่งในช่วงนั้นเบเนดิกต์เริ่มต้นทดลองทำนมโอ๊ตเองที่บ้าน โดยใช้ส่วนผสมต่างๆ และกระบวนการสกัดหลายรูปแบบเพื่อให้ได้รสชาติและเนื้อสัมผัสที่แตกต่างกัน ถือเป็นนมโอ๊ตเจ้าแรก ๆ ที่มีถิ่นกำเนิดในภูมิภาคแถบนี้ของโลก โดยเป็นผู้ผลิตที่มีขีดความสามารถในการผลิตได้เอง ดูแลควบคุมเองทั้งหมดตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบและกระบวนการผลิต

Benedict Lim

เบเนดิกต์ ลิม ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ OATSIDE กล่าวว่า “OATSIDE เป็นหนึ่งในสตาร์ทอัพด้านอาหารที่ดำเนินธุรกิจแบบ “ครบวงจร” รายเดียวในเอเชีย เพราะเราอยากควบคุมคุณภาพให้ได้ทั้งหมด เราจึงดูแลกระบวนการผลิตทั้งหมดเอง ตั้งแต่การจัดหาส่วนผสมไปจนถึงการสกัดนมโอ๊ตและการแบ่งบรรจุ ซึ่งช่วยให้เราสามารถปรับแต่งกระบวนการผลิตนมโอ๊ตแสนอร่อยของเราได้และช่วยให้มั่นใจได้ว่ามีการใช้เฉพาะส่วนผสมคุณภาพดีเยี่ยมจากแหล่งที่มาที่ให้ความสำคัญกับการผลิตที่ใส่ใจและคำนึงถึงความยั่งยืน”

นม OATSIDE ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกใหม่แสนอร่อยทดแทนการดื่มนมวัว ดังนั้นจึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่แพ้แลคโตส และด้วยความเอาใจใส่ในการสรรหาส่วนผสมที่มีคุณภาพสูงสุด นม OATSIDE จึงปลอดจากสารเติมแต่งที่ไม่พึงประสงค์ทั้งหลาย เราไม่ใช้สารแต่งกลิ่นสังเคราะห์ ไม่ใช้สารทำให้ข้นหนืด ไม่มีสารป้องกันการแยกชั้น (Emulsifier) รวมถึงสารกันบูดหรือสีสังเคราะห์ และเนื่องจาก OATSIDE ทำมาจากข้าวโอ๊ต จึงมีเบต้ากลูแคน ซึ่งช่วยการทำงานของหัวใจ ช่วยลดคอเลสเตอรอล และช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน ทั้งยังมีไขมันอิ่มตัวต่ำอีกด้วย

นอกจากนั้น ด้วยพันธกิจของเราที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน นม OATSIDE จึงถูกคิดค้นและผลิตขึ้นโดยคำนึงผลกระทบต่อโลกใบนี้ด้วย เมื่อเปรียบเทียบกับนมวัว การผลิตนมโอ๊ตของ OATSIDE ใช้พื้นที่และน้ำน้อยลง 90% และปล่อยมลพิษน้อยลง 70% อีกทั้งส่วนผสมในนมของเราทั้งหมดได้ผ่านการรับรองจาก Rainforest-Alliance และใช้บรรจุภัณฑ์ที่ทำจากกระดาษแข็งรีไซเคิลด้วย (จากแหล่งที่ได้รับการรับรองจาก Forest Stewardship Council)

 นม OATSIDE

นม OATSIDE มี 3 รสชาติให้ผู้บริโภคได้เลือกรับประทาน

โอ๊ตไซด์ บาริสต้าเบลนด์ (OATSIDE Barista Blend) เป็นรสชาติออริจินัล ที่บาริสต้าชื่นชอบมาก เพราะเนื้อสัมผัสดูคล้ายกาแฟและชา แต่สิ่งที่เด่นกว่านั้น คือ คุณสมบัติที่ส่งเสริมให้กลิ่นและรสของกาแฟหรือชายังคงหอม กลุ่น ละมุนลิ้น นอกจากนี้ OATSIDE Barista Blend ยังให้ฟองโฟมเนื้อละเอียดสวยงามเมื่อนำไปทำลาเต้อาร์ท ซึ่งเป็นผลงานที่รู้กันดีว่าเป็นความท้าทายสำหรับนมจากพืช จึงทำให้เหล่าบาริสต้าปลื้มมาก!

โอ๊ตไซด์ ช็อกโกแลต (OATSIDE Chocolate) ใช้ส่วนผสมที่เข้มข้น เหมาะสำหรับทั้งผู้ใหญ่และเด็ก เพราะเป็นรสช็อกโกแลตที่ไม่แต่งรสและมีน้ำตาลน้อยกว่านมช็อกโกแลตทั่วไป แต่ยังคงอัดแน่นด้วยความอร่อย และเพื่อให้ได้รสชาติที่ดูละมุนล้ำลึกขึ้น นมโอ๊ตรสนี้ทำขึ้นจากส่วนผสมของเมล็ดโกโก้ หรือ Cacao พันธุ์ผสมระหว่างอินโดนีเซีย-แอฟริกาที่ได้รับการรับรองจาก Rainforest Alliance 100%

โอ๊ตไซด์ ช็อกโกแลต เฮเซลนัท (OATSIDE Chocolate Hazelnut) ใช้ส่วนผสมจาก ‘จานดูย่า’ (Gianduja คือส่วนผสมของถั่วเฮเซลนัทบดกับช็อกโกแลต) เป็นของเหลวที่ให้เนื้อสัมผัสเนียนนุ่มพร้อมกลิ่นอันเข้มข้นของเฮเซลนัทคั่ว และเพื่อให้ได้รสชาติที่สม่ำเสมอทั้งหมด OATSIDE Chocolate Hazelnut จึงไม่มีการแต่งรส อาศัยเพียงเฮเซลนัทคุณภาพสูงแบบจัดหนัก ซึ่งวัตุดิบที่เลือกใช้ทั้งหมดได้รับการรับรองจาก Rainforest-Alliance และนำเข้าจากตุรกี

OATSIDE ทุกรสชาติผลิตจากโอ๊ตนำเข้าจากออสเตรเลียและน้ำแร่ธรรมชาติ โดยได้รับการรับรองเครื่องหมายฮาลาล จึงมั่นใจได้ว่าเราเลือกใช้แต่วัตถุดิบที่ดีที่สุดเท่านั้น!

“เราอยากให้ทุกคนได้ลองชิมผลิตภัณฑ์นมโอ๊ต OATSIDE เพราะเราทำงานกันอย่างหนักเพื่อพัฒนานมจากพืชสำหรับผู้บริโภคในเอเชีย เราไม่ลดละทั้งเรื่องคุณภาพ รสชาติ หรือผิวสัมผัส โดยหวังว่าผลิตภัณฑ์ของเราจะเป็นผลิตภัณฑ์จากพืชที่เติบโตอย่างมั่นคง เราเชื่อว่าการเดินหน้าสู่การสร้างความยั่งยืนนั้น เป็นสิ่งที่เราทุกคนต้องทำร่วมกัน สำหรับในประเทศไทย เรามีพันธมิตรสำคัญที่ใช้นม OATSIDE เป็นส่วนผสมในเครื่องดื่มและขนมเพื่อส่งมอบคุณภาพความอร่อย และความยั่งยืนให้กับลูกค้าคนไทยแล้ว อาทิ ร้าน The Coffee Club ร้าน True Coffee ร้านไอศครีม MollyAlly ร้านขนม Chikalicious ร้านชา Chaen Tea” เบเนดิกต์ กล่าว

ทั้งนี้ นม OATSIDE ได้จัดงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์อย่างเป็นทางการ โดยมี  บรูนา ซิลวา บาริสต้าสาว ชาวบราซิลผู้โด่งดังด้านกาแฟในประเทศไทยเป็น Brand Ambassador และได้สาธิตการชงกาแฟรสเลิศด้วยนม OATSIDE นอกจากนั้น เธอยังคิดค้นสูตรเมล็ดกาแฟเบลนด์พิเศษจากเมล็ดกาแฟไทยภายใต้ชื่อ “OATSIDE Blend” เพื่อใช้ชงเฉพาะกับนม OATSIDE ให้ได้รสชาติอร่อยและกลิ่นที่หอมกรุ่นเป็นพิเศษอีกด้วย โดยจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ FB และ IG ของเธอ

อย่าช้า เพราะวันนี้ นม OATSIDE มีวางจำหน่ายตามซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำใกล้บ้านคุณแล้วในกล่องขนาด 1000 ML ทั้ง 3 รสชาติ ได้แก่ บาริสต้าเบลนด์ (ราคา 115 บาท) ช็อกโกแลต (ราคา 115 บาท) และช็อกโกแลต เฮเซลนัท (ราคา 130 บาท) อีกทั้ง จะจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ ทั้ง Shopee และ Lazada เร็ว

ๆ นี้ นอกจากนั้น ลูกค้ายังสามารถชิมผลิตภัณฑ์ที่ใช้นม OATSIDE เป็นส่วนผสมได้ที่ร้านพันธมิตรของเรา ไม่ว่าจะเป็น ร้าน The Coffee Club ร้าน True Coffee ร้านไอศกรีม MollyAlly ร้านขนม Chikalicious และ ร้านชา Chaen Tea แล้วคุณจะไม่อยากเชื่อเลยว่า นี่คือรสชาติและสัมผัสของนมจากพืช!!!

โอ๊ตไซด์ นม OATSIDE

เกี่ยวกับ OATSIDE

พันธกิจของ OATSIDE คือ การผลิตนมโอ๊ตที่ดีต่อสุขภาพและช่วยสร้างความยั่งยืนสำหรับผู้ที่ไม่ค่อยจะชอบนมจากพืชนัก ด้วยรสชาติที่อร่อยอย่างไม่น่าเชื่อ OATSIDE เป็นบริษัทสตาร์ทอัพด้านนมจากพืชเต็มรูปแบบเพียงรายเดียวในเอเชียที่มุ่งมั่นที่จะส่งมอบนมโอ๊ตคุณภาพสูงจากโรงงานที่ล้ำสมัย เพื่อให้มั่นใจว่ากระบวนการผลิตจากโอ๊ตจนเป็นน้ำนมนั้นมาจากแหล่งผลิตที่ใส่ใจในเรื่องความยั่งยืนและปราศจากสิ่งเจือปน เพื่อให้ทุกคนพึงพอใจและได้คุณประโยชน์สูงสุดจากการดื่มนม

ปัจจุบัน OATSIDE ระดมทุนได้แล้ว 22 ล้านเหรียญสิงคโปร์ โดยปิดรอบ Pre-Series A ในเดือนธันวาคม 2020 นำโดย Proterra Investment Partners Asia ซึ่งเป็นบริษัทด้านการลงทุนใน private equity (เข้าซื้อหุ้นหรือลงทุนในหุ้นที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์) ที่เน้นการลงทุนใน food value chain ส่วนนักลงทุนรายอื่น ๆ ได้แก่ Commonwealth Ventures ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Commonwealth Capital กลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มของสิงคโปร์ Wee Teng Wen จาก The Lo & Behold Group ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจบริการชั้นนำของสิงคโปร์ที่อยู่เบื้องหลัง แบรนด์ต่าง ๆ เช่น The Warehouse Hotel, Odette และ Loof รวมถึงกิจการของครอบครัวของ Cher Wang ผู้ร่วมก่อตั้งและประธาน VIA Technologies และ HTC Corporation

ร้านรองเท้าคุณหมีขาว

Book Zone จัดเต็ม! ยก ร้านรองเท้าคุณหมีขาว มาให้เด็กๆ ถึงที่ @ Amarin Baby & Kids Fair ครั้งที่ 21

event
ร้านรองเท้าคุณหมีขาว
ร้านรองเท้าคุณหมีขาว

พ่อแม่ห้ามพลาด!! อีกหนึ่งโซนที่ต้องพาเด็กๆ แวะมา อมรินทร์คิดส์ ยก ร้านรองเท้าคุณหมีขาว มาให้เด็กๆ ถึงที่ในงาน Amarin Baby & Kids Fair ครั้งที่ 21 ไบเทค บางนา

แอบส่อง Book Zone สุดว้าว!
ร้านรองเท้าคุณหมีขาว ในงาน Amarin Baby & Kids Fair
ครั้งที่ 21

อมรินทร์คิดส์ ชวนอ่าน ชวนสนุก จัดเต็ม! Book Zone ยก ร้านรองเท้าคุณหมีขาว มาให้เด็กๆ ถึงที่ พร้อมกองทัพ นิทานเสริมพัฒนาการและจินตนาการเด็ก มาไว้ที่งาน Amarin Baby & Kids Fair ครั้งที่ 21 ไบเทค บางนา

Book Zone ธีม ร้านรองเท้าคุณหมีขาว เด็กๆ จะได้พบกิจกรรมสุดสนุก ฟรี!! อาทิ ภาพวาดระบายสี ตามหาคุณหมีขาว ฟังนิทาน สอยดอยพาเพลิน  พร้อมยก ร้านรองเท้าคุณหมีขาว ซึ่งนำออกมาจากในนิทาน ให้เด็กๆได้สัมผัสร้านรองเท้าใหญ่เบิ้มของจริง จากนิทานชุดยอดฮิต “ร้านรองเท้าคุณหมีขาว” คอยรอต้อนรับเด็กๆ พร้อมรวบรวมหนังสือนิทานมากมายครบรส และของรางวัลอีกเพียบ แล้วเจอกันนะคะ

ทั้งนี้หากเด็กๆ สนใจ อยากได้หนังสือนิทานสุดสนุกเรื่องอื่นๆ ติดไม้ติดมือกลับบ้านไปเพิ่ม ก็สามารถซื้อหนังสือได้ภายในบูธ จัดเต็มโปรโมชั่น ดังนี้..

โปรโมชั่นลดแรง
  • ช้อป 1 – 3 เล่ม ลด 15%
  • ช้อป 4 – 6 เล่ม ลด 20%
  • ช้อป 7 เล่มขึ้นไป ลด 25%
(เฉพาะหนังสือ Amarin Kids, แพรวเพื่อนเด็ก, และอมรินทร์คอมมิกส์)
พรีเมียมสุดพิเศษ !!
  • ช้อปครบ 600 บาท (หลังหักส่วนลด) รับ ซองพลาสติกซิปล็อก*
  • ช้อปครบ 2,500 บาท (หลังหักส่วนลด) รับ กระเป๋าผ้า*
*ของพรีเมียมมีจำนวนจำกัด

ร้านรองเท้าคุณหมีขาว

และนอกจากกิจกรรมสุดสนุกของโซนร้านรองเท้าคุณหมีขาวแล้ว ในงาน Amarin Baby & Kids Fair ครั้งที่ 21 ยังเสิร์ฟโปรร้อนแรง ที่เดียวจบ ให้คุณแม่นักช้อปกรี๊ดสลบ!!! กับส่วนลดมากมาย ด้วยสินค้าดี มีคุณภาพ หลากหลายแบรนด์ พากันไปช้อปได้ตั้งแต่วันที่ 30 มิ.ย. – 3 ก.ค. 65 ⏰ เวลา 10.00 – 20.00 น. 📌 ไบเทค บางนา แม่ๆจ๋า เตรียมช้อปแหลกสินค้าเพื่อแม่ลูก ลดแรง แซงทุกโปร ได้เล้ยยยยย

>> 📱 เปิดลงทะเบียนแล้ววว!! Amarin Baby & Kids Fair ครั้งที่ 21
รับฟรี 2 ต่อ >> https://cooll.ink/abk21register
ต่อที่ 1 : รับฟรี! ชาม Amarin Baby & Kids Fair พร้อมผลิตภัณฑ์แม่-ลูก
ต่อที่ 2 : ลุ้นรับฟรี! เป้อุ้มเด็ก Pognae มูลค่า 8,990 บ.

🎁 พิเศษสุดๆ สำหรับคุณแม่ๆใช้ Application Lazada ในการซื้อสินค้าจะได้รับส่วนลด On Top เพิ่ม (เฉพาะกับร้านค้าที่ร่วมโปรโมชั่นเท่านั้น)

– ช้อปครบ 1,500 บ. รับส่วนลด On Top 150 บ.
– ช้อปครบ 4,999 บ. รับส่วนลด On Top 400 บ.
– ช้อปครบ 9,999 บ. รับส่วนลด On Top 800 บ.

บัตรกรุงศรีทุกหน้าบัตร On Top 400 บาท เมื่อซื้อครบ 4,999-.

* โค๊ดส่วนลดมีจำนวนจำกัด

✨ งานเดียว ครบ จบ ทุกอย่างที่แม่ต้องมี❗ 💕ช้อปมั่นใจด้วยมาตรการเข้มข้นด้านความสะอาดและความปลอดภัย เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่ช้อปอย่างสบายใจ

ยาสีฟันเด็ก Gentles Tots

เพราะเป็นพ่อแม่ จึงต้องเลือกแต่ของที่ดีที่สุดให้กับลูก

Alternative Textaccount_circle
event
ยาสีฟันเด็ก Gentles Tots
ยาสีฟันเด็ก Gentles Tots

สุขภาพปากและฟันของเจ้าตัวน้อยมีความสำคัญต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจอยู่ไม่น้อยเลยนะคะ โดยเฉพาะปัญหาคราบพลัคและแบคทีเรียที่สะสมในช่องปาก ก่อให้เกิดปัญหาฟันผุ ฟันน้ำนมหลุดร่วงก่อนวัยอันควร ส่งผลให้ฟันแท้เกิดมาใหม่ ไม่เรียงสวยอย่างที่ควรเป็น หรือเกิดฟันตกกระจากการกลืนกินฟลูออร์ไรด์ที่มากเกินควร ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพช่องปากและฟันในระยะยาว ยิ่งถ้าเกิดฟันผุในฟันแท้ด้วยแล้ว ยิ่งไปกันใหญ่ นอกจากนี้แบคทีเรียที่สะสมในช่องปาก ยังก่อให้เกิดกลิ่นปากในวัยเด็ก ทำให้เด็กเสียบุคลิกภาพ ความมั่นใจ และยังอาจก่อให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บต่อไปอีกได้นะคะ

แต่ในวัยนี้ การดูแลให้แปรงฟัน และรักษาสุขภาพปากของเจ้าตัวเล็ก ก็มีความท้าทายอยู่พอสมควร แปรงเองก็แปรงไม่สะอาด แปรงให้ก็ไม่ยอม คุณพ่อคุณแม่ต้องหาตัวช่วยหลากหลายมาหลอกล่อเพื่อให้การแปรงฟันเป็นเรื่องง่ายและสนุก พี่เจ็นท์ จากยาสีฟันเด็กออร์แกนิค Gentles Tots มีเคล็ดไม่ลับในการให้เจ้าตัวน้อยดูแลสุขภาพปากและฟันอย่างสนุกสนานและปลอดภัย พร้อมกับแนะนำ ไอเท็ม สุดฮอต สำหรับคุณพ่อคุณแม่ในการจัดการภารกิจแปรงฟันให้เจ้าตัวน้อย ให้เป็นเรื่องง๊าย ง่าย

ทางเลือกใหม่สำหรับคุณพ่อคุณแม่สายออร์แกนิค 💙

ยาสีฟันเด็กออร์แกนิค Gentles Tots ตัวเลือก Number 1 สำหรับฟันที่แข็งแรงของคุณหนู ๆ

ยาสีฟันทางเลือกที่เป็นตัวช่วยคุณพ่อคุณแม่ เรื่องการดูแลสุขภาพช่องปากและฟันของเด็ก ๆ ได้อย่างดีเยี่ยม ด้วยรสชาติอร่อย ถูกใจเด็ก ๆ แปรงสนุก ฟันสะอาด แม้น้องเล็กยังบ้วนปากไม่เป็น ก็ไม่เป็นปัญหา สามารถกลืนได้ ปลอดภัย ถูกใจคุณพ่อคุณแม่และคุณลูก

ความปลอดภัยยืนหนึ่ง

Gentles Tots อยากให้เด็กไทยได้ใช้ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคที่ดี มีคุณภาพ ปลอดภัย และผลิตจากธรรมชาติ 100% คุณพ่อคุณแม่จึงมั่นใจได้เลยว่า ส่วนผสมทุกตัวในยาสีฟัน GentlesTots และผลิตภัณฑ์ของเราทุกตัว ผลิตจากธรรมชาติและสารสกัดออร์แกนิคแท้ 100% นอกจากนั้นส่วนผสมทุกยังเป็น Food grade อีกด้วย ปลอดภัย สามารถกลืนได้ ปราศจากสารเคมี SLS, Paraben, สารขัดฟัน, สารก่อฟอง ไม่ใช้กลิ่นสังเคราะห์ ไม่ใส่สี และไม่มีน้ำตาล อีกทั้งยังปราศจาก Fluoride โดยในปัจจุบันมีสารสกัดทางเลือกที่ช่วยลดปัญหาฟันผุได้ดีที่ต่างประเทศนิยมใช้ทดแทนสารฟลูออร์ไรด์ เช่น แคลเซียมแลคเตท ซึ่งสกัดจากธรรมชาติ กลืนได้ ปลอดภัย ไม่ตกค้างในร่างกายเด็ก ๆ

ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคตัวจริง ด้วยการันตีจากสถาบันระดับโลก

Gentles Tots ผ่านการรับรองจากสถาบันระดับโลก การันตีได้ว่ายาสีฟันทั้งสูตรของเรานั่นมีส่วนผสมจากธรรมชาติและสารสกัดออร์แกนิค 100% ที่มีแหล่งกำเนิดเพาะปลูก ผ่านเกณฑ์มาตรฐานออร์แกนิคฉบับ Ecocert Cosmos ทุกตัว ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ในการขอใบรับรอง Ecocert Cosmos เพราะต้องใช้เวลาเป็นปี ๆ เนื่องด้วยทาง Ecocert ประเทศฝรั่งเศส ตรวจสอบอย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็นแหล่งที่มาของการเพาะปลูก กระบวนการการผลิตทุกขั้นตอน  จนสกัดออกมาเป็นสารสกัดที่มีประสิทธิภาพสูงสุด นำมาใส่ไว้ในยาสีฟัน Gentles Tots โดยมีสารสกัดมากสุดที่เคยมี ถึง 9 ชนิด รวมอัดแน่นในยาสีฟันออร์แกนิค Gentles Tots กันเลยทีเดียวค่า

เพราะ Gentles Tots อยากให้เด็กไทย ได้ใช้ของดี มีคุณภาพ จึงคัดสรรส่วนผสมที่ดีที่สุดจากทั่วทุกมุมโลก มาไว้ในหลอดเดียว เพื่อการดูแลช่องปากและฟันที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยอย่างสูงสุด

นอกจากนั้นยังผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยา ประเทศไทย และ สถาบัน INTERTEK UK ประเทศอังกฤษ จึงมั่นใจได้เลยว่าผลิตภัณฑ์ของเราปลอดภัยกับเด็ก ๆ อย่างแน่นอนค่า

ยาสีฟันเด็ก Gentles Tots

ใช้ง่าย เด็กเล็กสามารถกลืนได้ ปลอดภัย ไม่ต้องคอยเช็ดหรือบ้วนออกทุกครั้งที่หัดแปรง

ด้วยส่วนผสมของ“ยาสีฟัน Gentles Tots” ทุกตัวเป็น  Food grade (ส่วนผสมที่เป็นเกรดเดียวที่ใช้ผลิตอาหาร)สามารถกลืนได้ ปลอดภัย และปราศจากสารเคมี SLS, Paraben, สารขัดฟัน, สารก่อฟอง ไม่แต่งกลิ่นสังเคราะห์ และไม่ใส่สี ไม่มีน้ำตาล คุณแม่จึงมั่นใจได้เลย ว่าลูกน้อยของคุณแม่สามารถกลืนยาสีฟันได้อย่างปลอดภัย ไร้กังวล แม้เด็กเล็กที่การบ้วนปากยังไม่สมบูรณ์ ชอบแอบกลืนกินยาสีฟันก็ไร้ปัญหา เหมาะมากๆ กับวัยหัดแปรงฟัน ให้เค้าได้ฝึกจับ ฝึกแปรงเอง ไม่ต้องมานั่งจับล๊อคแปรง และคอยเช็ดหรือบ้วนออกให้ยุ่งยาก ทำให้เด็ก ๆ รู้สึกสนุก และไม่กลัวการแปรงฟันอีกต่อไป ด้วยกลิ่นหอม ๆ สูตรฟรุตตี้ กลิ่นเอกลักษณ์เฉพาะตัว Gentles Tots และรสชาติที่อร่อย ถูกใจเด็กๆ รับรองเลยว่าน้อง ๆ หนู ๆ ที่แปรงฟันยาก ๆ จนคุณแม่ปวดหัว ยอมอ้าปากกว้าง ๆ รอคอยการแปรงฟันทุก ๆ วันกันเลยค่า แบบนี้คุณแม่ปลื้มใจเป็นที่สุด

 “ยาสีฟัน GentlesTots”  ช่วยปกป้องฟันน้ำนมลูกรัก  ใช้ได้ทั้งนวดเหงือก แปรงลิ้น แปรงฟันน้ำนมของหนูน้อย
กำจัดพลัคและแบคทีเรียได้ยอดเยี่ยม แบบไม่กลัวเสี่ยงเรื่องแพ้ ❤️

ช่องทางติดต่อ :

FB: Gentlestots

Website : www.gentlestots.com

ยาสีฟันเด็กออร์แกนิค Gentles Tots

เนื้อเพลงเด็ก

เนื้อเพลงเด็ก ภาษาอังกฤษ พร้อมคำอ่าน และคำแปล

Alternative Textaccount_circle
event
เนื้อเพลงเด็ก
เนื้อเพลงเด็ก

เนื้อเพลงเด็ก ภาษาอังกฤษ ปลูกฝังให้เด็กรักภาษาอังกฤษ ทั้งยังช่วยเสริมสร้างพัฒนาการลูกในด้านภาษา อารมณ์ และช่วยกระตุ้นสมองของลูกให้รู้จักคิดวิเคราะห์

เนื้อเพลงเด็ก ภาษาอังกฤษ พร้อมคำอ่าน และคำแปล

ฝึกลูกให้เป็นเด็ก 2 ภาษา โดยใช้เสียงเพลงภาษาอังกฤษ นอกจากลูกจะเพลิดเพลิน และอารมณ์ดีแล้ว ยังได้พัฒนาการด้านภาษาอีกด้วย หากคุณพ่อคุณแม่ไม่ถนัดทางด้านภาษาอังกฤษ ไม่ต้องกังวลไปค่ะ วันนี้ ทีมกองบรรณาธิการ ABK ได้นำ เนื้อเพลงเด็ก ภาษาอังกฤษ ที่มีคำอ่าน และความหมายของเพลงมาฝากแล้วค่ะ

เนื้อเพลงเด็ก ภาษาอังกฤษ พร้อมคำอ่าน และคำแปล

ขอบคุณคลิปวีดีโอจาก : Little BoBo Nursery Rhymes – FlickBox Studios

Bingo Dog (บิงโก ด๊อก)

There was a farmer who had a dog,
แตร์ วอส ซะ ฟาร์มเมอร์ ฮู แฮด ดะ ดอก
And Bingo was his name-o.
แอนด์ บิงโก วอส ฮิซ เนม โอ
B-I-N-G-O B-I-N-G-O
บี-อาย-เอ็น-จี-โอ  บี-อาย-เอ็น-จี-โอ
B-I-N-G-O
บี-อาย-เอ็น-จี-โอ
And Bingo was his name-o
แอนด์ บิงโก วอส ฮิซ เนม โอ
คำแปล
มีชาวนาคนหนึ่งมีหมา
บิงโกคือชื่อของมัน
บี-อาย-เอ็น-จี-โอ บี-อาย-เอ็น-จี-โอ
บี-อาย-เอ็น-จี-โอ
บิงโกคือชื่อของมัน

ขอบคุณคลิปวีดีโอจาก : Super Simple Songs – Kids Songs

Twinkle Twinkle Little Star  (ทวิงเกิล ทวิงเกิล ลิทเทิล สตาร์)

Twinkle, twinkle, little star
ทวิงเกิล ทวิงเกิล ลิทเทิล สตาร์
How I wonder what you are
ฮาว อาย วันเดอร์ ว็อท ยู อาร์
Up above the world so high
อัพ อะบัฟ เดอะ เวิร์ลด์ โซ ฮาย
Like a diamond in the sky
ไลค์ กะ ไดเมิ่น อิน เดอะ สกาย
Twinkle, twinkle little star
ทวิงเกิล ทวิงเกิล ลิทเทิล สตาร์
How I wonder what you are

ฮาว อาย วันเดอร์ ว็อท ยู อาร์

คำแปล
กระพริบระยิบระยับ เจ้าดาวดวงน้อย
ฉันสงสัยว่าเธอคือสิ่งใดกันหนอ
ลอยละลิ่วสูงโพ้นแสนไกล
ดังเพชรส่องแสงสดใสในนภา
กระพริบระยิบระยับ เจ้าดาวดวงน้อย
ฉันสงสัยว่าเธอนั้นคือสิ่งใด

 

https://youtu.be/ptXUH9vhCmA

ขอบคุณคลิปวีดีโอจาก :  LooLoo Kids – Nursery Rhymes and Children’s Songs

Are You Sleeping Brother John (อาร์ ยู สลีปปิง บราเตอร์ จอห์น)

Are you sleeping? Are you sleeping?
อาร์ ยู สลีปปิง? อาร์ ยู สลีปปิง?
Brother John, brother John,
บราเตอร์ จอน, บราเตอร์ จอน
Morning bells are ringing!
มอนิง เบล ซา ริงงิง!
Morning bells are ringing!
มอนิง เบล ซา ริงงิง!
Ding, dang, dong! Ding, dang, dong!
ดิง แด็ง ด็อง! ดิง แด็ง ด็อง!
คำแปล
หลับอยู่ไหมเอ่ย? หลับอยู่ไหมเอ่ย?
น้องจอน น้องจอน
เสียงระฆังยามเช้าดังขึ้น
เสียงระฆังยามเช้าดังขึ้น
ริง ริง ริง! ริง ริง ริง!

ขอบคุณคลิปวีดีโอจาก : Super Simple Songs – Kids Songs

Row Your Boat (โร ยัวร์ โบท)

Row, row, row your boat

โร โร โร ยัวร์ โบท

Gently down the stream

เจนท์ลี ดาวน์ เตอะ สตรีม

Merrily, merrily, merrily, merrily

เมริลี เมริลี เมริลี เมริลี

Life is but a dream
ไลฟ์ วิซ บัท ทะ ดรีม
คำแปล
พายเรือลำน้อย
ลอยล่องตามธารา
แสนสุขใจจริงหนอ
ชีวิตเหมือนดั่งฝันยามลืมตา

ขอบคุณคลิปวีดีโอจาก :  LIV Kids

Rain Rain Go Away (เรน เรน โก อะเว)

Rain, rain, go away
เรน เรน โก อะเว
Come again another day
คัม มะเกน อะนอเตอร์ เด
Little …(ชื่อ)…   wants to play
ลิทเทิล ………..  วอนท์ส ทู เพลย์
Rain, rain go away
เรน เรน โก อะเว
คำแปล
ฝนเอ๋ยฝนจ๋า อย่าเพิ่งตก
ค่อยมาใหม่วันอื่นนะ
หนู.(ชื่อ) อยากเล่นข้างนอก
ฝนเอ๋ยฝนจ๋า อย่าเพิ่งตก

ขณะรัองเพลงคุณพ่อคุณแม่ควรชวนลูกเต้นประกอบเพลงไปด้วย เพื่อช่วยเสริมพัฒนาการลูกทางด้านกล้ามเนื้อ อีกทั้ง เนื้อเพลงเด็ก ภาษาอังกฤษ ที่ ทีมกองบรรณาธิการ ABK นำมาฝากนี้ ก็จะช่วยฝึกด้านภาษาให้มีพัฒนาการที่ดีขึ้นอีกด้วย

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

20 เนื้อเพลงเด็กอนุบาล เสริมพัฒนาการลูกด้วยเสียงเพลง

รวมคลิป เพลงแก้โคลิค คลื่นเสียงปราบอาการโคลิก ช่วยลูกหลับสบายทั้งคืน

เพลงพัฒนาสมอง ช่วยแม่เพิ่มพลังสมองลูกไม่มัวแต่พึ่งครู!!

เพลงเป็ดอาบน้ำในคลอง เพลงเด็กอนุบาล รวมหลายเวอร์ชั่น ให้ลูกได้ร้องเต้น สนุก ได้ทักษะ

ขอบคุณข้อมูลจาก : https://intersong-lyrics.blogspot.com

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

Amarin Baby & Kids

แม่ลูกอ่อนนอนน้อย

แม่ลูกอ่อนนอนน้อย ระวัง 5 โรคอันตรายเพราะนอนน้อย

Alternative Textaccount_circle
event
แม่ลูกอ่อนนอนน้อย
แม่ลูกอ่อนนอนน้อย

แม่ลูกอ่อนนอนน้อย ระวัง 5 โรคอันตรายเพราะนอนน้อย

สะลึมสะลือคืออาการประจำของบรรดา แม่ลูกอ่อนนอนน้อย แน่นอนเลยใช่มั้ยคะ ทั้งตื่นมาปั๊มนม ทั้งตื่นมาให้นม ตื่นมาอุ้มตอนลูกร้อง ตื่นมาเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูก มีสิ่งต่าง ๆ มากมายให้แม่ลูกอ่อนต้องตื่นมาทำตลอดทั้งคืน แต่คุณแม่ลูกอ่อนทุกคนต้องระวังให้มากนะคะ เพราะว่าการนอนน้อยนั้นส่งผลเสียต่อร่างกายคุณแม่มากจริง ๆ ค่ะ และนี่คือ 5 โรคอันตรายที่จะเกิดเพราะแม่ ๆ นอนน้อยค่ะ

1.แม่ลูกอ่อนนอนน้อย ระวังโรคอ้วน

 โรคอ้วน เป็นภาวะที่มีไขมันสะสมในร่างกายจนส่งผลเสียต่อสุขภาพ ทำให้มีอายุสั้นลง รวมถึงมีปัญหาสุขภาพเพิ่มขึ้น เช่น หายใจติดขัด นอนกรน เหนื่อยง่าย

การจะระบุว่าใครที่เข้าข่ายโรคอ้วน พิจารณาได้จากดัชนีมวลกาย (BMI) โดยคำนวณจากน้ำหนัก (กิโลกรัม) หารด้วยส่วนสูง (เมตร) ยกกำลังสอง คนที่มีดัชนีมวลกายเกิน 25 กิโลกรัมต่อตารางเมตร ถือว่าเป็นโรคอ้วน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้เกิดโรคต่าง ๆ ตามมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคหัวใจ, ความดันโลหิตสูง, ไขมันในเลือดสูง, เบาหวาน, โรคข้อเสื่อม, เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ, มีบุตรยาก เป็นต้น

การนอนน้อย ทำให้แม่ลูกอ่อนอ้วน เพราะการนอนน้อยทำให้ระบบในร่างกายแปรปรวน ส่งผลให้คุณแม่อยากกินอาหารที่ไขมัน หรือน้ำตาลมากขึ้น หรือกินแล้วอิ่มช้า และการที่คุณแม่นอนน้อยก็จะยิ่งทำให้ระบบการเผาผลาญในร่างกายทำงานไม่มีประสิทธิภาพ เมื่อร่างกายเผาผลาญไขมันไม่เต็มที่ ก็จะส่งผลทำให้ไขมันสะสมมากขึ้น และอ้วนนั่นเอง

2. โรคซึมเศร้า

อาการนอนไม่หลับ นอนหลับไม่เพียงพอ อาจทำให้เกิดโรคซึมเศร้าได้ นอกเหนือไปจากอาการซึมเศร้าหลังคลอด เนื่องจากสาเหตุดังต่อไปนี้

  • การนอนไม่พอ นอนน้อย ส่งผลให้คุณภาพชีวิตแย่ลง จนเกิดภาวะซึมเศร้า
  • การนอนน้อย ส่งผลกระทบต่อระดับสารเคมีในสมอง ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคซึมเศร้า
  • การนอนไม่ค่อยหลับในเวลากลางคืน จะทำให้เกิดความคิดในแง่ลบมากขึ้น และกระตุ้นให้เกิดภาวะซึมเศร้าตามมา

คุณแม่ที่มีอาการนอนไม่หลับ นอนน้อย ยังเสี่ยงเกิดภาวะซึมเศร้าได้มากกว่าคนที่นอนหลับสนิทถึง 10 เท่า ส่วนผู้ป่วยโรคซึมเศร้าก็เสี่ยงมีอาการของโรครุนแรงยิ่งขึ้น หากนอนหลับไม่เพียงพอค่ะ

แม่ลูกอ่อนนอนน้อย
แม่ลูกอ่อนนอนน้อย ระวัง 5 โรคอันตรายเพราะนอนน้อย

3. โรคนอนไม่หลับ

เมื่อคุณแม่ลูกอ่อนต้องตื่นบ่อย ๆ ก็อาจส่งผลให้เป็นโรคนอนไม่หลับได้ ซึ่งโรคนอนไม่หลับนี้ เป็นปัญหาที่พบได้ทุกเพศวัย เกิดขึ้นได้บ่อยตามข้อมูลการศึกษาพบได้ถึง ร้อยละ30-35 ของผู้ใหญ่ ผลของการนอนไม่หลับทำให้ร่างกายคุณแม่เกิดความอ่อนเพลีย, ปวดศีรษะ, จิตใจเกิดความกังวล หรือมีผลต่อการคิดการตัดสินใจ และการทำงานในช่วงกลางวัน

อาการของแม่ที่มีภาวะนอนไม่หลับ

  • อ่อนเพลีย
  • ไม่สามารถมีสมาธิกับการทำงาน, ความจำเปลี่ยนแปลง
  • ความสามารถในการทำงานลดลง
  • อารมณ์หงุดหงิด กระสับกระส่าย
  • ง่วงนอนเวลากลางวัน
  • ขาดพลังในการใช้ชีวิต อ่อนเพลีย
  • การเกิดอุบัติเหตุ
  • กังวลเกี่ยวกับปัญหาการนอนที่เกิดขึ้น

และหากนอนน้อยจนกลายเป็นโรคนอนไม่หลับแล้ว คุณแม่ก็เสี่ยงจะมีอาการของผู้ป่วยโรคนอนไม่หลับเรื้อรัง ด้วยค่ะ คือจะมีอาการ หลับ ๆ ตื่น ๆ หรือสะดุ้งตื่นทั้งคืน หรือต้องใช้เวลามากกว่า 30 นาทีถึงจะนอนหลับได้ ผู้ป่วยที่มีภาวะนอนไม่หลับเรื้อรัง จะมีอาการมากกว่า 1 เดือนขึ้นไป หากเป็นเช่นนี้คุณแม่ต้องพยายามหาเวลาพักผ่อนไปพร้อม ๆ กับช่วงที่ลูกหลับนะคะ

4. โรคเบาหวาน

นักวิจัยได้วิเคราะห์ว่า การอดนอนส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือด ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ร่างกายจึงเร่งผลิตอินซูลิน เพื่อคงระดับน้ำตาลในเลือดให้เป็นปกติ จนอาจทำให้ฮอร์โมนอินซูลิน ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้อีกต่อไป และผลจากการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยเกี่ยวกับการนอนหลับ และระดับกรดยูริกในเลือด กับระดับน้ำตาลสะสมในเลือด (HbA1C) พบว่า ในคนที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ คนที่นอนดึกตื่นสาย รวมถึงคนนอนไม่เพียงพอ หรือนอนต่ำกว่า 6 ชั่วโมง จะมีระดับน้ำตาลสะสมในเลือดมากกว่าคนที่เข้านอนเร็ว เนื่องจากการเข้านอนผิดเวลาธรรมชาติ จะส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงตามมา

เพื่อหลีกเลี่ยง โรคเบาหวาน คุณแม่ควรเข้านอนในช่วง 2-3 ทุ่ม หรือไม่ควรนอนดึก โดยนอนให้ได้ 1 ใน 3 ของเวลาตามรอบนาฬิกาชีวิตค่ะ

5. โรคหัวใจ

โรคหัวใจ หรือ Heart Disease หมายถึง โรคต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของหัวใจ โดยความผิดปกติที่เกิดขึ้นในส่วนของหัวใจที่ต่างกัน ทำให้โรคหัวใจมีอาการต่างกันไปในแต่ละชนิด เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจโป่ง หลอดเลือดหัวใจตีบ การนอนหลับสนิททำให้ความดันโลหิตลดต่ำลงขณะหลับ เมื่อเปรียบเทียบกับขณะตื่นตอนกลางวัน แต่หากเรานอนหลับไม่เพียงพอ นอกจากจะทำให้ความดันไม่ลด ยังส่งผลให้ความดันสูงขึ้น ซึ่งความดันโลหิตสูงเป็นสาเหตุสำคัญของโรคหัวใจค่ะ

การนอนน้อยของคุณแม่ลูกอ่อน เสี่ยงต่ออันตรายหลายโรคจริง ๆ นะคะ หากเป็นไปได้ทีมบรรณาธิการ ABK อยากให้คุณแม่ได้ใช้ช่วงเวลาที่ลูกหลับ ได้พักผ่อนไปพร้อมกับลูก เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงพร้อมดูแลลูกน้อยต่อไปนาน ๆ ค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก

โรงพยาบาลเจ้าพระยา, pobpad, โรงพยาบาลนนทเวช, โรงพยาบาลวิชัยยุทธ, โรงพยาบาลสุขุมวิท

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

อายุเท่าไหร่ต้อง นอนกี่ชั่วโมง? ถึงจะเพียงพอ

14 วิธีช่วยให้การ นอนหลับ ดีขึ้น ต้อนรับวันนอนหลับโลก

วิธีรับมือ ลูกไม่ยอมนอนกลางวัน ลูกนอนไม่พอ แม่อย่ารอช้า!

โรคหัวใจในเด็กแรกเกิด

โรคหัวใจในเด็กแรกเกิด เป็นได้หรือ อาการหนักไหม

Alternative Textaccount_circle
event
โรคหัวใจในเด็กแรกเกิด
โรคหัวใจในเด็กแรกเกิด

โรคหัวใจในเด็กแรกเกิด เป็นได้หรือ อาการหนักไหม

ส่วนใหญ่เรามักจะเห็นข้อมูลว่าผู้ที่เป็นโรคหัวใจมักจะเป็นวัยผู้ใหญ่ หรือผู้สูงอายุ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมีอันตรายเสี่ยงต่อการเสียชีวิตค่อนข้างมาก แต่เด็กแรกเกิดเองก็มีความเสี่ยงเป็น โรคหัวใจในเด็กแรกเกิด ด้วยนะคะ! จากข้อมูลพบว่าเด็กแรกเกิด 8 คน จาก 1,000 คน เป็นโรคหัวใจพิการ ทำไมเด็กแรกเกิดจึงเป็นโรคหัวใจได้ แล้วอาการจะหนักหรือไม่ แค่ไหน ทีมบรรณาธิการ ABK นำข้อมูลมาให้คุณพ่อคุณแม่ศึกษากันค่ะ

โรคหัวใจในเด็กแรกเกิด

แพทย์หญิงศรัยอร ธงอินเนตร กุมารแพทย์โรคหัวใจ โรงพยาบาล ศิครินทร์ ได้ให้ข้อมูลว่า โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด (Congenital Heart Defects) คือ ความผิดปกติของการพัฒนาโครงสร้างหัวใจของทารก ตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา โดยโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดในเด็กมี 2 ชนิด คือ

1. ชนิดที่มีอาการเขียว (Cyanotic Type) ภาวะที่เด็กมีออกซิเจนในเลือดต่ำ เนื่องจากมีโครงสร้างหัวใจผิดปกติ เลือดดำปนอยู่กับเลือดแดง ที่ไปเลี้ยงร่างกาย การเจริญเติบโตของเด็กกลุ่มนี้ จะน้อยกว่าปกติ โดยโรคหัวใจชนิดที่พบได้บ่อยในกลุ่มนี้ เช่น

  • Tetralogy of Fallot (TOF) เป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด ชนิดเขียวที่พบบ่อยที่สุด
  • Transposition of the Great Asteries (TGA) การสลับที่ของหลอดเลือดแดงใหญ่

2. ชนิดไม่มีอาการเขียว (Acyanotic Type) เด็กกลุ่มนี้จะไม่มีอาการเขียว เนื่องจากร่างกายได้รับเลือดแดง ที่มีความอิ่มตัวของออกซิเจนในหลอดเลือดแดง มีปริมาณสูง อาจมีความผิดปกติที่เกิดจากผนังกั้นหัวใจมีรู ลิ้นหัวใจรั่วหรือตีบ หรือหลอดเลือดตีบ หรือเกิน ซึ่งพบเด็กที่ป่วยเป็นโรคหัวใจชนิดไม่มีอาการเขียว ประมาณร้อยละ 85 ของโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด โดยโรคหัวใจชนิดที่พบได้บ่อยในกลุ่มนี้ เช่น

  • Ventricular Septal Defect (VSD) ภาวะที่ผนังกั้นหัวใจห้องล่างมีรูรั่ว
  • Patent Ductus Arteriousus (PDA) การคงอยู่ของหลอดเลือดแดง เชื่อมระหว่างหลอดเลือดแดงใหญ่ของร่างกายและปอด
  • Atrial Septal Defect (ASD) ภาวะที่ผนังกั้นหัวใจห้องบนมีรูรั่ว
โรคหัวใจในเด็กแรกเกิด
โรคหัวใจในเด็กแรกเกิด เป็นได้หรือ อาการหนักไหม

อาการที่อาจสงสัยว่าเด็กเป็นโรคหัวใจ

  • เด็กดูดนมได้ช้า, ดูดนมแล้วหอบเหนื่อย
  • หายใจหอบ เหนื่อยง่ายเวลาเล่น หรือออกกำลังกาย
  • หัวใจเต้นเร็ว เด็กมีอาการหัวใจเต้นแรงและเร็วกว่าปกติ
  • เลี้ยงไม่โตหรือเติบโตช้า ในเด็กเล็กก็จะพบพัฒนาการช้าทางด้านที่ต้องใช้กำลัง หรือกล้ามเนื้อ เช่น คว่ำ, นั่ง, ยืน, เดิน ช้า แต่มักไม่มีผลต่อสติปัญญาชัดเจน
  • มีอาการเขียวเวลาดูดนม เหนื่อยง่าย ทำให้กินได้น้อยกว่าปกติ
  • นิ้วปุ้ม มักจะพบในรายที่มีอาการเขียวนานเกิน 1-2 ปีขึ้นไป โดยในรายที่เขียวมากนิ้วก็จะปุ้มมาก

สาเหตุของโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด

ยังไม่สามารถทราบได้ชัดเจน แต่มีปัจจัยและความเสี่ยงอื่นๆ ที่เป็นองค์ประกอบในการโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด ดังนี้

1. ความผิดปกติทางพันธุกรรม ซึ่งการสร้างหัวใจของทารก จะถูกกำกับด้วยสารทางพันธุกรรมที่เรียกว่า ยีน (Gene) ตัวอย่างเช่น เด็กหลายคนที่มีภาวะดาวน์ซินโดรม มักมีภาวะโรคหัวใจพิการด้วย
2. การได้รับยาหรือสารเคมีบางอย่างในช่วงก่อนหรือระหว่างตั้งครรภ์ หรือสารบางอย่างที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของเด็ก โดยก่อนรับยาควรแจ้งแพทย์ หรือเภสัชกรก่อนทุกครั้ง เพราะตัวยาบางชนิด ไม่สามารถใช้ในระหว่างการตั้งครรภ์ และมีผลโดยตรงกับทารกในครรภ์
3. ปัจจัยเสี่ยงขณะตั้งครรภ์ อาจเกิดได้จาก การติดเชื้อของคุณแม่ โดยเฉพาะในช่วง 3 เดือนแรก ของการตั้งครรภ์ การเจ็บป่วยขณะตั้งครรภ์ โรคประจำตัวของคุณแม่ เช่น เบาหวาน เป็นต้น
4. การปฏิบัติตัวที่ไม่ถูกต้องของมารดาขณะตั้งครรภ์ เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การใช้สารเสพติดขณะตั้งครรภ์ เป็นต้น เพราะสารดังกล่าว อาจส่งผลต่อหัวใจ และอวัยวะอื่น ๆ ของเด็กในครรภ์

เทคโนโลยีตรวจหาโรคหัวใจในเด็ก

1. การวัดปริมาณออกซิเจนในกระแสเลือดจากผิวหนัง ด้วยเครื่อง Pulse Oxemeter ซึ่งเป็นการตรวจวัดที่มีความแม่นยำสูง ทารกไม่ต้องเจ็บตัวจากการถูกเจาะเลือด สามารถใช้ตรวจคัดกรองโรคหัวใจในทารกได้ตั้งแต่แรกเกิด
2. การเอกซ์เรย์ทรวงอก (Chest X-ray)เพื่อดูขนาดหัวใจและ ดูลักษณะของเส้นเลือดในปอด
3. การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) เพื่อดูความผิดปกติของหัวใจ และดูว่ามีหัวใจห้องไหนโตหรือไม่
4. การตรวจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนเป็นภาพหัวใจ (Echocardiogram) เป็นการตรวจพิเศษดูภายในหัวใจ และหลอดเลือด โดยกุมารแพทย์ด้านโรคหัวใจเด็ก เป็นการใช้คลื่นเสียงเหมือนการทำ Ultrasound ซึ่งจะบอกรายละเอียดของความผิดปกติภายในหัวใจและเส้นเลือดใหญ่บริเวณใกล้หัวใจได้ เป็นวิธีการตรวจที่ทำได้รวดเร็ว และแม่นยำ โดยไม่มีข้อเสียหรือความเสี่ยงใดๆ แต่ถ้าการตรวจในขั้นต้นไม่สามารถให้การวินิจฉัยโรคได้ การตรวจด้วยการสวนหัวใจเป็นวิธีการที่ต้องพิจารณาเป็นอันดับสุดท้าย และต้องทำรายที่จำเป็นเท่านั้น

ขอบคุณข้อมูลจาก

โรงพยาบาลศิครินทร์, โรงพยาบาลเด็กสินแพทย์

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

ลูกเจ็บคอ ต่อมทอนซิลอักเสบ สังเกตให้ดี เสี่ยงเป็นโรคหัวใจ!

ประสบการณ์จริง เมื่อคุณแม่ท้องเป็นโรคหัวใจ

โรคคาวาซากิ ภัยร้ายเด็กเล็กที่ก่อโรคหัวใจในเด็ก

 

 

 

ไบรท์ตัน คอลเลจ กรุงเทพฯ

เด็กปฐมวัยเรียนรู้อะไรใน หลักสูตร Early Years ของไบรท์ตัน คอลเลจ กรุงเทพฯ

Alternative Textaccount_circle
event
ไบรท์ตัน คอลเลจ กรุงเทพฯ
ไบรท์ตัน คอลเลจ กรุงเทพฯ

โรงเรียนคือบ้านหลังที่สองของเด็ก ๆ ค่ะ หากจะเลือกโรงเรียนแรกในชีวิตลูก ควรต้องเป็นโรงเรียนที่ให้ทั้งหลักสูตรการเรียนที่มีคุณภาพ และให้สภาพแวดล้อมบรรยากาศในการเรียนทั้งในห้องและนอกห้องเรียนที่สนุกกับเด็ก ๆ กองบรรณาธิการ Amarin Baby & Kids จะพาคุณพ่อคุณแม่ไปเยี่ยมชมโรงเรียนนานาชาติ ไบรท์ตัน คอลเลจ กรุงเทพฯ กันค่ะ

โรงเรียนนานาชาติไบรท์ตัน คอลเลจ กรุงเทพฯ ที่นี่จะเปิดสอนนักเรียนอายุ 2-18 ปี และในระดับ Early Years (อายุ 2-5 ปี) ไบรท์ตัน คอลเลจ จะให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ของเด็กในวัยนี้เป็นอย่างมากเลยค่ะ เพราะถือว่าเป็นพื้นฐานการศึกษาที่สามารถต่อยอดได้ในอนาคต ทางโรงเรียนมีการสร้างแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ที่ปลอดภัย ทำให้เด็ก ๆ พร้อมที่จะเรียนรู้อย่างมั่นใจ และยังปลูกฝังในเรื่องความมีเมตตา เพื่อให้เด็กนักเรียนทุกคนเป็นคนดีที่สุดในแบบฉบับของตนเองได้ สำหรับการเรียนของเด็ก ๆ จะสอนโดยคณาจารย์ที่มีประสบการณ์จากประเทศอังกฤษและจากทั่วโลก

ไบรท์ตัน คอลเลจ กรุงเทพฯ

  • ไบรท์ตัน คอลเลจ กรุงเทพฯ กับหลักสูตรการเรียนของเด็ก Early Years

เด็ก ๆ อายุ 2-5 ปี จำเป็นต้องมีหลักสูตรการเรียนที่เหมาะสมค่ะ สำหรับหลักสูตรการเรียนการสอนของเด็ก Early Years ที่ไบรท์ตัน คอลเลจ กรุงเทพฯ จะใช้หลักสูตร British Early Years Foundation Stage (FYFS) และสอนบทเรียนที่นอกเหนือจากหลักสูตรของอังกฤษ เช่น ภาษาไทย ภาษาจีนกลาง วิชาพละ ว่ายน้ำ ดนตรี ศิลปะ และคอมพิวเตอร์ ซึ่งด้วยเด็กนักเรียนแต่ละคนมีพัฒนาการเรียนรู้ และรูปแบบ ในระดับที่แตกต่างกัน ทางไบรท์ตัน คอลเลจ มีการปรับเปลี่ยนการเรียนการสอนเพื่อให้เหมาะกับเด็กแต่ละคน นอกจากนี้นะคะที่ไบรท์ตัน คอลเลจ ยังเชื่ออีกด้วยว่าเด็กทุกคนมีศักยภาพมากมายไม่สิ้นสุด หากได้รับการกระตุ้นการเรียนรู้ผ่านการเล่นที่สนุกสนาน

และที่น่าแสดงความยินดีก็คือนักเรียนชั้น Year 13 (อายุ 18 ปี) ที่จบรุ่นแรกของโรงเรียนนานาชาติ ไบรท์ตัน คอลเลจ กรุงเทพฯ ได้สร้างผลงานความสำเร็จทางวิชาการ โดยสามารถทำคะแนนสอบ A level ได้เกรด A* หรือ A สูงถึง 97% ในหลากหลายวิชา ซึ่งเป็นคะแนนสูงสุดในประเทศไทย ของปีการศึกษา 2563-2564 ทำให้มั่นใจได้ว่าบุตร-หลานของท่านจะได้รับคุณภาพการศึกษาเทียบเท่าระดับสากล

โรงเรียนนานาชาติไบรท์ตัน คอลเลจ กรุงเทพฯ

สำหรับครอบครัวที่กำลังมองหาโรงเรียนให้กับลูก ๆ ไบรท์ตัน คอลเลจ กรุงเทพฯ ถือว่าเป็นโรงเรียนแรกของลูกที่ดีมากค่ะ เพราะมีหลักสูตรการเรียนมีคุณภาพออกแบบมาเพื่อให้เหมาะกับเด็ก ที่สำคัญสิ่งแวดล้อมบรรยากาศของโรงเรียน การเรียนการสอนก็สนุกด้วยค่ะ คุณพ่อคุณแม่สามารถพาลูก ๆ ไปเยี่ยมชมบรรยากาศจริงที่โรงเรียนนานาชาติ ไบรท์ตัน คอลเลจ ได้นะคะ เดินทางได้สะดวก สบาย ใช้เวลาเดินทางจากใจกลางกรุงเทพฯ เพียงแค่ 20 นาที ซึ่งโรงเรียนจะตั้งอยู่ที่ ถ.กรุงเทพกรีฑา

ไบรท์ตัน คอลเลจ กรุงเทพฯ

คุณพ่อคุณแม่สามารถติดต่อแจ้งเข้าเยี่ยมชมโรงเรียนเพิ่มเติม ติดต่อได้ที่ช่องทาง

Line @brightoncollegebkk

Tel: +66 (2) 136 7898  

Mobile: +66 (0) 89 009 1111

www.brightoncollege.ac.th

เล่านิทาน ถูกวิธีช่วยเสริมพัฒนาการลูก

วันนี้คุณ เล่านิทาน ให้ลูกฟังถูกวิธีแล้วหรือยัง?

Alternative Textaccount_circle
event
เล่านิทาน ถูกวิธีช่วยเสริมพัฒนาการลูก
เล่านิทาน ถูกวิธีช่วยเสริมพัฒนาการลูก

เล่านิทาน ส่งเสริมพัฒนาการหลายด้านให้ลูก เป็นที่ยอมรับของพ่อแม่ทุกคน แต่วันนี้คุณเล่านิทานได้ถูกวิธีหรือยัง มาเรียนรู้วิธีเล่าที่ทำให้นิทานมีดีมากกว่าเดิม

วันนี้คุณ เล่านิทาน ให้ลูกฟังถูกวิธีแล้วหรือยัง?

หนังสือ หนังสือนิทาน หนังสือสำหรับเด็ก หรือหนังสือแนววิชาการ ล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ต่อผู้อ่านทั้งสิ้น แต่คุณพ่อคุณแม่รู้หรือไม่ หนังสือสำหรับเด็กนอกจากจะให้ความรู้แล้ว หนังสือยังมีประโยชน์มากกว่านั้น

นายแพทย์อดิศัย  ภัตตาตั้ง ผู้อำนวยการ สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กล่าวว่า นิทานเป็นเรื่องเล่าที่มีวัตถุประสงค์หลัก คือ การอบรมด้วยบรรยากาศที่มีความสุข และสนุกสนาน ทำให้เด็กไม่รู้สึกเหมือนถูกสอน และเด็กจะสัมผัสได้ว่าเป็นที่รักของพ่อแม่ เด็กจะชอบฟังนิทานเพราะนิทานมีเรื่องราวที่สร้างเสริมจินตนาการตอบสนองความต้องการของความรัก ต้องการให้คนอื่นสนใจ  ประโยชน์ของการเล่านิทานจะเป็นการสร้างคุณค่าที่ยิ่งใหญ่ต่อเด็ก

เล่านิทาน ให้ลูกฟัง ปลูกฝังนิสัยรักการอ่าน
เล่านิทาน ให้ลูกฟัง ปลูกฝังนิสัยรักการอ่าน

9 ข้อดีของนิทานที่ส่งผลถึงลูกคุณ!!

  1. เสริมปัญญาเด็ก นิทานจะช่วยให้เด็กฉลาด ทั้งทางปัญญา (IQ) และฉลาดทางอารมณ์ (EQ)
  2. กระตุ้นให้เด็กช่างคิด ช่างถาม ช่างสังเกต ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับวิธี เล่านิทาน ของพ่อแม่ และลักษณะที่ดีของนิทานเล่มนั้น ๆ ด้วย
  3. ให้เด็กได้เรียนรู้ภาษา มีทัศนคติที่ดีต่อการเรียนภาษา ข้อดีข้อนี้เป็นประโยชน์เบื้องต้นของการอ่าน หนังสือฝึกให้เด็กเป็นนักอ่าน และการอ่านช่วยสร้างทักษะด้านภาษา
  4. สอนให้ฝึกจับประเด็น การเล่าซ้ำ ๆ จะทำให้เด็กจำนิทานได้ทั้งเรื่อง สามารถมองภาพรวมเข้าใจเรื่องได้เร็ว หากพ่อแม่ใช้เคล็ดลับอีกเล็กน้อยช่วยให้ลูกสามารถฝึกจับประเด็นของเนื้อหานิทานได้ ก็เท่ากับเป็นการเสริมทักษะการฟัง และจับใจความ ที่จำเป็นต้องใช้ในตอนโต
  5. ฝึกสมาธิ การตั้งใจฟังนิทาน เป็นการฝึกสมาธิให้เด็ก ให้เขาได้หยุดนิ่ง และมีสมาธิจดจ่อกับการ เล่านิทาน ของพ่อแม่
  6. สร้างเสริมจินตนาการ การฟังนิทานเป็นการเสริมจินตนาการ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการเรียนรู้ และพัฒนาสมองของเด็ก จินตนาการเป็นบ่อเกิดแห่งความคิดสร้างสรรค์
  7. เรียนรู้คุณธรรม เด็กจะได้รับการปลูกฝังคุณธรรมจากเนื้อหาในนิทาน ซึ่งหากเราให้ลูกได้เรียนรู้แต่เด็ก จะทำให้เขาจำและปรับใช้เป็นบุคลิกภาพประจำตัวของตัวเอง
  8. ฝึกนิสัยรักการอ่าน การอ่านนิทานให้เด็กฟังบ่อย ๆ ช่วยปลูกฝังให้เด็กมีนิสัยรักการอ่าน แม้ในช่วงแรกจะเป็นพ่อแม่ที่ เล่านิทานให้ฟัง แต่เมื่อลูกมีทัศนคติที่ดีต่อหนังสือ ก็เป็นการง่ายที่เขาจะรักการอ่านหนังสือเมื่อโตขึ้น
  9. สร้างความเพลิดเพลิน มีความสุข บรรยากาศในการเล่านิทาน ทำให้บรรยากาศของครอบครัวมีความสุข กิจกรรมที่ทุกคนล้อมวงกันเข้ามาฟัง ร่วมจินตนาการเข้าไปสู่โลกแห่งนิทานนั้น ทำให้เกิดบรรยากาศที่ดีต่อสายสัมพันธ์ของครอบครัว

ทำให้หนังสือมอบ “ความสุข” 

ถึงอย่างไรหนังสือก็มีประโยชน์ และหน้าที่ของมันในตัวอยู่แล้ว แต่การที่ลูก หรือคนอ่านจะได้รับประโยชน์จากหนังสือหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับผู้ใช้ ผู้อ่าน ยังมีผู้ใหญ่หลาย ๆ คนคิดว่า การที่เด็กอ่านหนังสือมาก ๆ หลายเล่มจะทำให้ได้รับประโยชน์ยิ่งเยอะ จึงมักจะบังคับให้ลูกอ่านหนังสือ หรือนับจำนวนหนังสือที่อ่านเป็นคะแนน แต่ความจริงแล้วการอ่านหนังสือด้วยความสนุกต่างหาก ที่จะทำให้ผู้อ่านได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะในเด็ก หนังสือ นิทานที่มีเรื่องราวสนุก ตลก น่าติดตาม ลุ้นระทึก และภาพที่สวยงาม ทำให้เด็กมีความสุขเมื่อได้อ่าน

การที่เด็กมีความสุขเมื่ออ่านหนังสือนี้ เป็นสภาวะที่สมองจะเรียนรู้ได้ดีที่สุด และหากการอ่านนั้นแวดล้อมไปด้วยพ่อแม่เข้ามามีส่วนร่วมด้วยกัน จะทำให้ทัศนคติของการอ่านหนังสือของเด็กเป็นไปในทางที่ดี หนังสือ = ความสุข ทำให้ลูกเกิดความอยากอ่านเอง จนพัฒนาทักษะการอ่านได้ดีกว่าการบังคับ หรือทำแต้ม เมื่อเขาโตขึ้น ก็สามารถอ่านหนังสือเล่มหนา ๆ ยาก ๆ ได้อย่างเต็มใจจากทักษะในการอ่านที่โตขึ้นตามวัยของลูก

การอ่านหนังสือพัฒนาสมอง สร้างเสริม EF
การอ่านหนังสือพัฒนาสมอง สร้างเสริม EF

EF กับ หนังสือเด็ก

เมื่อกล่าวมาถึงจุดนี้ ทุกคนคงยอมรับแล้วว่าการอ่านหนังสือ การ เล่านิทานให้ลูกฟังนั้นไม่ได้มีประโยชน์เพียงแค่ให้ความรู้เท่านั้น และเชื่่อหรือไม่ในเด็กเล็ก หนังสือ หรือนิทานมีหน้าที่ที่สำคัญอย่างยิ่งในการ กระตุ้นให้สมองได้ฝึกกระบวนการทำงานอย่างเป็นองค์รวมขั้นสูง นั่นคือ กระบวนการตีความ

กระบวนการตีความ ประกอบขึ้นจาก กระบวนการคิดที่สลับซับซ้อนแต่เป็นระบบ รวมไปถึงทักษะ EF อันเป็นพื้นฐานสำคัญของพัฒนาการทางภาษา และทักษะสำคัญในการเรียนรู้ตลอดชีวิต

     เมม ฟ็อกซ์(ผู้เชียวชาญเกี่ยวกับการรู้หนังสือ และนักแต่ง นักเล่านิทาน)ระบุลักษณะของหนังสือที่เปิดโอกาสให้เด็กมีส่วนร่วมได้ ดังนี้ มีพล็อตเรื่อง มีปัญหาให้แก้ไข มีความซับซ้อนเชิงนามธรรม มีรูปแบบการซ้ำ(เด็กเล็ก) เหนือความคาดหมาย ใช้ภาษาธรรมชาติ ตัวละครที่เด็กสามารถผูกพันได้อย่างลึกซึ้ง ห้ามสั่งสอน สอดแทรกคุณค่าอย่างแนบเนียน และให้ความสุข
      ในช่วง 7 ปีแรก เด็กที่ได้สะสมประสบการณ์ และทักษะการตีความผ่านการฟัง/อ่านนิทานที่พอเหมาะกับวัยมาอย่างสม่ำเสมอ จะมีความพร้อมในการเรียนรู้สูงมาก เมื่อได้สะสมประสบการณ์มามากพอจะสามารถอ่าน และเขียนได้แบบก้าวกระโดดอย่างน่าอัศจรรย์ และมีกระบวนการคิดที่แหลมคม รวมไปถึงพัฒนาการทางอารมณ์ที่ดี
     ตรงกันข้าม เด็กที่สะสมทักษะการตีความมาน้อย จะใช้สมองได้ไม่เต็มศักยภาพ มีปัญหาในการเรียน รวมไปถึงขาดทักษะการคิดในการทำความเข้าใจตนเอง/ผู้อื่นในสถาณการณ์ต่างๆ ทำให้ไม่เห็นคุณค่าแท้ของตนเอง/ผู้อื่น ไม่ยืดหยุ่น จัดการอารมณ์ไม่ได้ มองปัญหาไม่ขาด หาทางแก้ปัญหาไม่เป็น จัดการชีวิตได้ยาก ฯลฯ เป็นปัญหาที่เราเห็นแนวโน้มในการเพิ่มขึ้นทุกปี

5 วิธีเล่านิทาน ให้สร้างสรรค์ ดึงศักยภาพลูก

ในความเป็นจริง การเล่านิทานไม่ได้มีกฎเกณฑ์ตายตัวใด ๆ แต่หากคุณพ่อคุณแม่ใส่ใจเพิ่มรายละเอียดอีกสักนิด เราจะพบว่า การเล่านิทานนั้นสามารถดึงศักยภาพของลูกออกมาได้มากกว่าการให้เขานั่งฟังเฉย ๆ ค่านิยมของสังคมไทยที่ชอบการสอน ทำให้ผู้ใหญ่หลายคนมักเข้าใจว่า การอ่านหนังสือให้เด็กฟัง เด็กควรนั่งนิ่ง ๆ รับฟัง และไม่เปิดโอกาสให้เด็กมีส่วนร่วมมากพอ ทำให้เขาไม่ได้รับการฝึกใช้ระบบคิดที่นำไปสู่ปัญญา การไม่ได้เปิดโอกาสให้เด็กมีส่วนร่วม เป็นการไม่ส่งเสริมการสะสมประสบการณ์การตีความเพื่อพัฒนาทักษะการคิดขั้นสูง

เทคนิค อ่านนิทาน ให้ลูกฟังแบบไม่น่าเบื่อ
เทคนิค อ่านนิทาน ให้ลูกฟังแบบไม่น่าเบื่อ

การอ่านหนังสือนิทานให้เด็กฟัง และเพิ่มวิธีการเล่าดังต่อไปนี้ เพียงวันละ 15 -30 นาที จะส่งผลที่ดี และเป็นเครื่องมือทุ่นแรงพ่อแม่ในการสร้างศักยภาพ และทักษะที่จำเป็นที่ดีแก่ลูกต่อไปในอนาคต

1.ใช้น้ำเสียงดึงดูดความสนใจ

การเล่านิทานนั้น หากคุณพ่อคุณแม่ใช้เทคนิคในการพูดด้วยน้ำเสียงสูง ต่ำ หรือเปลี่ยนความเร็วในการพูด ก็เป็นส่วนช่วยดึงดูดความสนใจของเด็กได้ รับรองคุณต้องได้ยินเสียงหัวเราะลั่นจากพวกเขาแน่ ๆ

2.ให้เด็กเลือกหนังสือนิทานที่อยากฟัง

คุณพ่อคุณแม่ต้องใจกว้าง เปิดอิสระให้ลูกเป็นคนเลือกเรื่องที่อยากฟัง หรืออยากอ่าน ถึงแม้บ่อยครั้งที่เราจะพบว่า เด็กเลือกนิทานซ้ำเล่มเดิม ๆ ไม่มีเบื่อ แต่ถึงอย่างไรหากเป็นสิ่งที่ลูกต้องการ ความใส่ใจ และการตั้งใจฟังพร้อมเรียนรู้ของลูกก็ย่อมมีมากกว่าการบังคับฟังเป็นแน่ แต่หากพ่อแม่อยากให้เขาเปลี่ยนเรื่องบ้าง ลองพูดเป็นเชิงเกริ่นนำเนื้อเรื่องของนิทานเรื่องใหม่ให้ลูกฟัง เชื้อเชิญให้เขารับฟังนิทานเรื่องใหม่ ๆ บ้าง

3.หาวัสดุง่าย ๆ จินตนาการร่วมกันเป็นตัวละคร หรืออุปกรณ์ประกอบฉาก

การใช้หุ่นนิ้วมือ หรืออุปกรณ์เสริมเพิ่มเติมให้ลูกเห็น และเข้าใจเรื่องราวได้ง่ายขึ้น ในปัจจุบันหนังสือนิทานมีลูกเล่นให้พ่อแม่ได้นำมาใช้เป็นเคล็ดลับในการเล่านิทานมากมาย เช่น มีหุ่นนิ้วภายในเล่ม รูปเล่มนิทานแปลกตาน่าดึงดูด เป็นต้น

4. เติมคำในช่องว่าง

เมื่อคุณพ่อคุณแม่เล่านิทาน อาจสามารถเล่าแบบให้ลูกช่วยเติมเนื้อเรื่องในช่องว่างคำพูดที่เราเว้นไว้ ซึ่งหนังสือนิทานที่ดีจะไม่เล่าเสียทั้งหมด โดยจะทำให้เด็ก ๆ ค่อย ๆ ทำความเข้าใจเกี่ยวกับเนื้อเรื่อง ให้เขาได้จินตนาการ คิดว่าเรื่องจะดำเนินต่อไปอย่างไรล่วงหน้า ก่อนที่จะเปิดเผยต่อไป เช่น หากลูกเป็นสโนวไวท์จะกินแอปเปิ้ลผลนั้นไหม?… เป็นต้น

หนังสือแหล่งเรียนรู้ และประโยชน์รอบด้าน
หนังสือแหล่งเรียนรู้ และประโยชน์รอบด้าน

5.สอดแทรกเรื่องราวประสบการณ์จริงของพ่อแม่

การเล่านิทานไม่จำเป็นต้องมีกฎเกณฑ์ที่เข้มงวด บางครั้งคุณพ่อคุณแม่สามารถเล่าเรื่องราวที่เราเคยทำมา เป็นประสบการณ์ส่วนตัวที่มีเนื้อหาตรงกับเนื้อเรื่องในนิทาน สอดแทรกในระหว่างเล่านิทานก็ได้เช่นกัน เพราะรู้หรือไม่ว่า เด็ก ๆ ชอบฟังเรื่องราวของคุณไม่แพ้การชอบฟังนิทาน และการที่คุณเล่าเรื่องในวัยเด็ก ทำให้ลูกรับรู้ และตระหนักถึงได้ว่าคำสอนในหนังสือนิทานนั้น ไม่ใช่เป็นเพียงเรื่องราวแต่ในหนังสือ แต่สามารถเกิดขึ้นจริงได้

ไม่ว่าคุณพ่อคุณแม่จะใช้เทคนิคในการเล่านิทานให้ลูกฟังด้วยวิธีการไหน มีเคล็ดลับมากมายต่าง ๆ นานาให้เลือกใช้ แต่จงจำไว้ว่าการเล่านิทานให้ถูกต้อง เล่าแบบวิธีที่ดีที่จะสามารถดึงศักยภาพของลูกออกมา พัฒนาทักษะที่จำเป็นนั้น ความจริงไม่ได้ยุ่งยากซับซ้อนใด ๆ เพียงแค่คุณเล่า ให้สนุก เสมือนหนึ่งว่าคุณเป็นเด็กคนหนึ่ง เท่านี้นิทานของคุณก็เป็นเครื่องมือสำคัญในการช่วยลูกพัฒนาทักษะด้านต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดีแล้ว

ข้อมูลอ้างอิงจาก www.bangkokbiznews.com/wunder-mom.com/saanaksornbook
อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

นิทานกระต่ายกับเต่า สอนลูกผ่านนิทานอีสปสนุกๆ!!

รวม 70 นิทานสำหรับเด็ก 4-7 ปี กระตุ้นจินตนาการ พัฒนาสมองลูกน้อย

อ่านหนังสือให้ลูกฟัง นิทาน สำนักพิมพ์ไหนดี เหมาะกับลูกทุกวัย คุณแม่ทั่วประเทศยกให้ Amarin Kids เป็นแบรนด์ในดวงใจ

ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ในมุมความเป็นพ่อให้แง่คิดอะไรกับเรา

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

วิธีล้างอุปกรณ์ปั๊มนมนอกบ้าน ทำความสะอาดให้ปราศจากเชื้อโรค

Alternative Textaccount_circle
event

ใกล้ครบกำหนดลาคลอดแล้ว คุณแม่หลาย ๆ ท่านจำเป็นต้องกลับไปทำงานประจำ ทำให้ระหว่างวันต้องคอยปั๊มนม โดยมีอุปกรณ์คู่ใจที่ต้องพกติดตัวไปทำงานด้วยเสมอสำหรับคุณแม่นักปั๊มก็คือ เครื่องปั๊มนม แต่การจะทำความสะอาดอย่างไรให้ปราศจากเชื้อโรค  มาดู วิธีล้างอุปกรณ์ปั๊มนมนอกบ้าน ที่ถึงแม้จะอยู่นอกบ้านก็ทำความสะอาดอุปกรณ์ปั๊มนมได้ง่าย ๆ

วิธีล้างอุปกรณ์ปั๊มนมนอกบ้าน

ขณะที่ทำงานอยู่คุณแม่จะมีอาการเต้านมคัดตึง จำเป็นต้องปั๊มนมนอกสถานที่หรือปั๊มนมในที่ทำงาน ซึ่งการปั๊มนมระหว่างวันเป็นเรื่องสำคัญที่จะช่วยรักษาระดับน้ำนม สังเกตได้ว่าช่วงวันแรก ๆ น้ำนมแม่ที่ปั๊มออกมาจะปั๊มได้เยอะ แต่ถ้าระหว่างที่ทำงานอยู่แม่ไม่ปั๊มนมเลย น้ำนมที่เคยมีก็จะหดหายไปได้ง่าย ๆ

สำหรับคุณแม่ที่ต้องทำงานประจำ เป็นพนักงานออฟฟิศ จำเป็นต้องปั๊มนมนอกสถานที่หรือปั๊มนมในที่ทำงาน อาจมีข้อสงสัยว่า ต้องทำความสะอาดเครื่องปั๊มนมหรือไม่ หรือเก็บกลับมาทำความสะอาดที่บ้านได้ แล้ววิธีทำความสะอาดเครื่องปั๊มนมต้องทำบ่อยแค่ไหน อุปกรณ์ปั๊มนมต้องล้างทุกครั้งหรือเปล่า มาไขคำตอบกันค่ะ

ปั๊มนมแล้วต้องล้างทำความสะอาดทุกครั้งหรือไม่

หลังจากปั๊มนมเสร็จแล้ว ไม่ควรวางชิ้นส่วนหรืออุปกรณ์เครื่องปั๊มนมที่สัมผัสกับน้ำนมทิ้งไว้ ควรทำความสะอาด ล้างชิ้นส่วนทั้งหมด เช่น ขวดนม วาล์ว และกรวยปั๊มนม โดยล้างทุกครั้งหลังการใช้งานแต่ละครั้ง เพื่อป้องกันการเจริญเติบโตของเชื้อโรค การเก็บรักษานมแม่เพื่อลูกน้อยจะได้สะอาดปราศจากเชื้อโรคให้มากที่สุด

นอกจากการทำความสะอาดให้ปราศจากเชื้อโรคแล้ว ยังต้องใส่ใจเรื่องการเลือกผลิตภัณฑ์ที่ใช้ทำความสะอาดให้เหมาะสม เตรียมอุปกรณ์ทำความสะอาดให้พร้อม และต้องพิจารณาด้วยว่า ชิ้นส่วนชิ้นไหนที่ควรนึ่งไม่ควรนึ่ง เพราะชิ้นส่วนบางชนิดหากนึ่งบ่อย ๆ อาจทำให้เสื่อมสภาพได้เร็วขึ้น

 

 

 

เตรียมอุปกรณ์ทำความสะอาด

  1. น้ำยาทําความสะอาดขวดนมออร์แกนิก ปราศจากน้ำหอม ปราศจากสารที่ทำให้เกิดการระคายเคืองหรือการแพ้ ทั้งยังต้องเลือกน้ำยาทําความสะอาดแบบ Food Grade เพื่อความปลอดภัยของวัสดุและอุปกรณ์เครื่องปั๊มนม น้ำยาที่ดีต้องขจัดคราบ ไขมันนม ไม่ทำให้ขวดนมมันวาว สามารถล้างกลิ่นคาวนมได้อย่างหมดจด
  2. แปรงล้างขวดนม ต้องใช้ทั้งแปรงเล็กและแปรงใหญ่ เพื่อขจัดคราบทุกซอกทุกมุม
  3. ฟองน้ำล้างจาน
  4. กระบอกฉีดยาหรือไซริงค์
  5. คัตตอนบัด
  6. เตรียมน้ำใส่กาละมังแล้วกดน้ำยาล้างขวดนมประมาณ 3 ปั๊ม หรือตามคำแนะนำของน้ำยาล้างขวดนม
  7. จากนั้นถอดอุปกรณ์เครื่องปั๊มนม สาย กรวยปั๊มสองข้าง เมื่อถอดกรวยปั๊มออก เอาซิลิโคนออก เอาขวดรองน้ำนมและวาลว์ออกมา

วิธีทำความสะอาดอุปกรณ์ปั้มนมอย่างถูกวิธี

  • ก่อนจะเริ่มทำความสะอาดอุปกรณ์ปั้มนม ให้ล้างมือด้วยสบู่และฟอกมือให้ทั่ว เพื่อให้มือสะอาดมากที่สุด
  • สำหรับอุปกรณ์ปั๊มนมที่สัมผัสกับน้ำนม ต้องถอดทุกชิ้นส่วนแล้วล้างผ่านน้ำเพื่อชำระล้างคราบน้ำนมออกทันทีหลังปั๊มนมเสร็จ เนื่องจากโปรตีนในน้ำนมแม่ที่เกาะอยู่บนพื้นผิวของอุปกรณ์ปั๊มนมเป็นแหล่งเจริญเติบโตของแบคทีเรีย โดยล้างน้ำสะอาดเพื่อเอาคราบไขมันนมออกก่อนที่จะล้างน้ำยา
  • นำอุปกรณ์ไปแช่ไว้ในกาละมังที่ผสมน้ำยาล้างขวดนม โดยขวดนมให้ใช้แปรงใหญ่ถูกเข้าไปด้านใน ส่วนด้านนอกให้ใช้ฟองน้ำถูขวดนมให้สะอาด โดยเฉพาะบริเวณปากขวด
  • กรวยปั๊มใช้แปรงใหญ่และแปรงเล็กล้างให้ทั่ว ส่วนรูเล็ก ๆ ให้ใช้คัตตอนบัดชุบน้ำยาล้างขวดนมแล้วถูเข้าไปข้างในจนทั่ว
  • ส่วนวาลว์ที่เรียกกันว่า ลิ้นหรือปากเป็ด ตอนล้างต้องระมัดระวัง เพราะวาล์วขาดได้ง่าย ถ้าขาดแล้วจะทำให้เครื่องปั๊มนมทำงานได้ไม่มีประสิทธิภาพ จึงต้องใช้แปรงเล็กล้างด้านนอกอย่างเบามือ แล้วใช้คัตตอนบัดถูเข้าไปด้านในตามซอกให้หมดจด
  • สายจะล้างเฉพาะตอนน้ำนมเข้า ให้ใช้กระบอกฉีดยา ดูดน้ำยาแล้วใส่ตามรูของสาย ดันน้ำยาเข้าไปหลาย ๆ รอบ อย่าลืมสลับด้านฉีดน้ำยาเข้าไปทั้งสองด้าน
  • ล้างอุปกรณ์ปั๊มนมด้วยน้ำให้สะอาด ควรล้างอย่างน้อย 2 น้ำ
  • การล้างอุปกรณ์ต้องทำความสะอาดให้ครบทุกจุด ไม่มีคราบมันวาว มีกลิ่นหอมสะอาด ปราศจากกลิ่นคาวนม

ฆ่าเชื้ออุปกรณ์ปั๊มนม

หลังทำความสะอาดเรียบร้อย ไม่ใช่ว่าจบแล้วนะคะ ต้องฆ่าเชื้ออุปกรณ์ปั๊มนมให้สะอาดมากที่สุด โดยมีวิธีที่คุณแม่เลือกใช้ได้ดังนี้

  • นำอุปกรณ์ปั๊มนมไปนึ่งฆ่าเชื้อโรคด้วยเครื่องนึ่งขวดนม หรือหม้อนึ่งอัตโนมัติ ซึ่งจะฆ่าเชื้อด้วยความร้อนสูงมากนึ่งเป็นเวลานานจนน้ำระเหยออกหมด เชื้อร้ายก็จะถูกกำจัด
  • นึ่งด้วยเตาแก๊ส ซึ่งต้องรอน้ำให้เดือดแล้วจึงนึ่ง 15 นาทีหลังจากน้ำเดือด นึ่งเสร็จแล้วผึ่งให้แห้ง
  • ใช้น้ำเดือด โดยนำอุปกรณ์ที่แข็งแรงทนทานไปต้มในน้ำเดือด แต่ต้องดูวัสดุที่ใช้ในอุปกรณ์นั้นด้วย
  • หากต้องการความมั่นใจให้เลือกซื้อเครื่องอบฆ่าเชื้อยูวีมาใช้ เพราะการใช้รังสี UV สามารถกำจัดเชื้อโรคได้หลากหลาย

หลังจากที่นึ่งฆ่าเชื้อเสร็จแล้วให้ล้างมือจนสะอาด ก่อนจะประกอบอุปกรณ์ทุกชิ้นเข้าด้วยกันให้พร้อมใช้งานในรอบปั๊มนมครั้งต่อไป จากนั้นใส่ลงในกล่องบรรจุที่สะอาดปิดฝาอย่างมิดชิด อย่าสัมผัสบริเวณด้านในของอุปกรณ์ปั๊มนมในส่วนที่จะสัมผัสกับน้ำนม เพื่อป้องกันการปนเปื้อนเชื้อโรค

วิธีล้างอุปกรณ์ปั๊มนมนอกบ้าน
วิธีล้างอุปกรณ์ปั๊มนมนอกบ้าน

ข้อควรระวังในการทำความสะอาดเครื่องปั๊มนม

ควรสอบถามบริษัทเครื่องปั๊มนมเกี่ยวกับข้อมูลเฉพาะ เรื่องวิธีการถอดชิ้นส่วนอุปกรณ์ปั๊มนมมาทำความสะอาด และต้องตรวจสอบด้วยว่าชิ้นส่วนชนิดไหนที่ใช้นึ่งได้และนึ่งไม่ได้ โดยปกติแล้วชิ้นส่วนที่ทำจากซิลิโคนนิ่ม ๆ อย่างฝาครอบ หรือกันย้อนไม่ควรนึ่งบ่อยเพราะจะทำให้เสื่อมสภาพได้เร็ว ตัวสายกับตัวครอบจะล้างทำความสะอาดได้ แต่ไม่ต้องนึ่ง

ตัวเครื่องปั๊มนมก็ต้องทำความสะอาด เพราะบางครั้งมีคราบน้ำนมเกาะทำให้ปนเปื้อนเชื้อโรคได้ โดยใช้ผ้าผืนเล็ก ๆ ชุบน้ำยาล้างขวดนม บีบให้หมาด เช็ดที่ตัวเครื่อง ใช้ชุบน้ำสะอาดเช็ดตัวเครื่องซ้ำอีกหนึ่งที ตามด้วยผ้าแห้งเพื่อเช็ดให้แห้ง ส่วนสายหากน้ำนมไม่ได้เข้าไปในสาย ให้เช็ดทำความสะอาดวันละครั้งก็พอ

ทำความสะอาดอุปกรณ์ปั๊มนมนอกบ้านอย่างไรดี

อุปกรณ์ปั๊มนมหรือเครื่องปั๊มนม ควรทำความสะอาดหลังจากปั๊มนมทันที ไม่ควรเก็บไว้เพราะจะเสี่ยงต่อเชื้อโรคร้ายทำให้ปนเปื้อนในน้ำนมแม่ได้ คุณแม่จึงจำเป็นต้องรู้วิธีทำความสะอาดอุปกรณ์ปั๊มนมนอกบ้าน

  1. การล้างและนึ่งได้ทุกครั้งหลังใช้งานจะดีที่สุด หรือเลือกใช้สเปรย์และผ้าเปียกน้ำยาทำความสะอาดขวดนมและจุกนมชนิดพกพา ชนิดที่เป็นออร์แกนิกเพื่อความปลอดภัย ให้ใช้ทำความสะอาดทุกครั้งแทนการล้างและการนึ่งได้
  2. ถ้าได้ล้างทำความสะอาดด้วยน้ำยาล้างขวดนมที่ปลอดภัยสำหรับทารกแล้ว แต่อยากฆ่าเชื้อโรคด้วย สามารถนำอุปกรณ์ปั๊มนมล้างแล้วใส่กล่องถนอมอาหารกันความร้อน ที่ทนต่อความร้อนได้ดี แล้วเทน้ำร้อนใส่จนท่วมกล่องทิ้งไว้ 2-5 นาที ล็อกกล่องให้แน่นแล้วเขย่าให้ทั่ว แต่ต้องระวังไม่ให้น้ำร้อนกระฉอกออกมา แม้การฆ่าเชื้อด้วยน้ำร้อนจะไม่ดีเท่าการนึ่ง แต่สามารถทำลายเชื้อแบคทีเรียหรือจุลินทรีย์บางชนิดได้ โดยใช้น้ำร้อน 90 องศาเซลเซียสขึ้นไป หลังจากลวกแล้วต้องรินน้ำออกให้หมดแล้วเช็ดให้แห้ง
  3. อีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยฆ่าเชื้อโรคได้คือ ถุงควิกคลีน เพียงใส่น้ำในถุง แล้วใส่อุปกรณ์ปั๊มนมลงไปปิดซิป นำเข้าไมโครเวฟตามคำแนะนำ เมื่อเปิดฝาไมโครเวฟหยิบถุงออกมา จะมีมุมของถุงที่สามารถหยิบได้โดยไม่ร้อนมือ แล้วเทน้ำร้อนออกจากถุงทิ้งไป จึงหยิบอุปกรณ์ในถุงออกมา ปัจจุบันมีถุงนึ่งฆ่าเชื้อขวดนมและอุปกรณ์ปั๊มนมอยู่หลายยี่ห้อ ใช้งานง่าย สะดวก กำจัดเชื้อโรค เชื้อแบคทีเรียและจุลินทรีย์ ซื้อมาหนึ่งถุงใช้ได้ประมาณ 20 ครั้ง ทั้งยังมีขนาดใหญ่ใส่อุปกรณ์ปั๊มนมได้

การเลือกใช้ขวดนมและอุปกรณ์ปั๊มนมที่ได้มาตรฐานก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน เพราะอุปกรณ์บางชนิดไม่ทนความร้อน และควรมีอุปกรณ์ปั๊มนมสำรอง และขวดนมสำรองในกรณีฉุกเฉิน

 อ้างอิงข้อมูล : พี่กัลนมแม่ สอนแม่และเด็ก, siwika-maternity, mamadshop และ มูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

อ่านบทความอื่นเพิ่มเติม

ทำไมต้องปั๊มนมรอบละ 30 นาที เคล็ดลับคุณแม่นักปั๊ม

อย่าให้ลูกดูดขวด! ถ้ายังไม่รู้ ภาวะสับสนหัวนม

เลิกเต้าไม่เศร้าใจ เผยเทคนิค หย่านม ทำได้ใน 10 วัน

keyboard_arrow_up