ถุงเก็บนมแม่ Cleanimom ลายท่องเที่ยว

รีวิว..ใหม่! ถุงเก็บนมแม่ Cleanimom ลายท่องเที่ยว จบปัญหานมสต็อกเหม็นหืน

จะดีกว่าไหม ถ้าน้ำนมแม่ที่ปั๊มออกมาสามารถเก็บไว้ให้ลูกกินได้นาน โดยที่ไม่มีกลิ่นเหม็นหืน กองบรรณาธิการ Amarin Baby & Kids เรามีเคล็ดลับง๊าย ง่าย เพียงแค่ใช้ถุงเก็บนมแม่ที่ได้คุณภาพ ปัญหานมมีกลิ่นเหม็นหืนก็จะหมดไปค่ะ วันนี้จึงขอแนะนำ “ ถุงเก็บนมแม่ Cleanimom ” ถุงเก็บนมแม่คุณภาพเยี่ยมที่มาพร้อมกับลวดลายท่องเที่ยวน่ารัก

กลิ่นหืน..ในน้ำนมแม่ เกิดจากอะไร ?

1. น้ำนมแม่จะมีเอนไซม์ไลเปส (Lipase) ซึ่งในร่างกายของผู้หญิงแต่ละคนจะมีไลเปสมากน้อยแตกต่างกันไป หน้าที่ของไลเปส คือทำให้ไขมันในนมแม่แตกตัวเป็นอนุภาคเล็ก ๆ เพื่อให้ผสมเข้ากับโปรตีนเวย์ ซึ่งไขมันในนมแม่สามารถเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นได้ขณะเก็บอยู่ในฟรีซ ไขมันมีการเปลี่ยนแปลงที่อาจมาจากอุณหภูมิในตู้เย็น หรืออากาศที่อยู่ในถุงเก็บนมแม่ ทำให้นมแม่มีกลิ่นหืนขึ้นได้

2. นมแม่ที่เก็บฟรีซในตู้เย็นที่มีระบบทำละลายอัตโนมัติ นมแม่ที่ละลายแล้วกลับมาเย็นแข็งตัวใหม่ จะทำให้ไขมันในนมแม่มีการเปลี่ยนแปลงจนเกิดกลิ่นเหม็นหืนของน้ำนมแม่ขึ้นได้เช่นกัน

วิธีป้องกันไม่ให้ นมแม่เหม็นหืน

1. ตรวจเครื่องปั๊มน้ำนมว่าสะอาดหรือไม่ ต้องนึ่งฆ่าเชื้อโรคทุกวัน ภาชนะที่เก็บน้ำนมต้องสะอาด ปลอดเชื้อ

2. นำน้ำนมที่ปั๊มเก็บสต็อกแช่แข็งให้เร็วที่สุด ถ้าน้ำนมละลายแล้ว ไม่แช่ซ้ำ ต้องใช้ภายใน 24 ชั่วโมง

3. ไม่ควรจัดเรียงนมแม่ให้ชิดผนังของช่องแข็งที่มีระบบละลายน้ำแข็งอัตโนมัติ

4. อย่าเก็บน้ำนมรวมกับอาหารอย่างอื่น ควรปิดอาหารอื่น ๆ ให้มิดชิด เพราะกลิ่นอาหารอาจจะมารวมกันได้

5. ควรรีดอากาศออกไปจากถุงเก็บนมแม่ก่อนปิดปาก ให้เหลือฟองอากาศประมาณปลายนิ้วก้อย เผื่อน้ำนมขยายตอนแข็งตัว

หมดปัญหานมแม่มีกลิ่นหืน ถุงเก็บนมแม่ Cleanimom ช่วยได้  

ฮอตฮิตไม่ไหว คุณแม่สมัยใหม่ใคร ๆ ก็ใช้ ถุงเก็บนมแม่ Cleanimom ขอบอกว่าเป็นถุงเก็บนมแม่ที่คุณภาพดีจริง ๆ นะคะ สำหรับถุงเก็บนมแม่คลีนนิมัม ซึ่งคุณแม่มั่นใจได้ในเรื่องคุณภาพค่ะ ที่สำคัญไม่พูดถึงไม่ได้เลย กับรางวัล EDITOR’s CHOICE: BEST BREAST MILK STORAGE BAGS ที่ได้รับการการันตีคุณภาพจากงานประกวด Amarin Baby & Kids Award 2021

ถุงเก็บนมแม่ Cleanimom ลายท่องเที่ยว

ถุงเก็บนมแม่ Cleanimom ลายท่องเที่ยว ทำจากส่วนผสมฟู้ดเกรด BPA Free ปลอดภัยจากสารก่อมะเร็ง ผ่านการฆ่าเชื้อด้วยรังสีแกมม่า เพื่อให้มั่นใจว่าสะอาดปลอดภัยทุกครั้งที่บรรจุน้ำนมลงในถุง โดดเด่นด้วยลายท่องเที่ยว Journey Collection น่ารัก สดใส คุณสมบัติพิเศษของถุงเก็บนมแม่คลีนนิมัม คือออกแบบมาเพื่อช่วยลดกลิ่นหืนของน้ำนมแม่ ถุงเก็บนมเป็นแบบทึบแสง มีความหนา 90 micron ตะเข็บด้านข้างถุงหนา 5 mm. ซิปล็อก 2 ชั้น ทำให้ปิดปากถุงได้สนิท ช่วยรักษาคุณค่าสารอาหารของน้ำนม ส่วนด้านหลังถุงเก็บนมจะมีช่องใส เพื่อให้เห็นฟองอากาศ

ถุงเก็บนมแม่คลีนนิมัม ยังทนต่ออุณหภูมิได้ -20 ถึง 110 องศาเซลเซียส คุณแม่สามารถอุ่นน้ำนมในถุงเก็บนมด้วยเครื่องอุ่นนมได้อย่างปลอดภัย ส่วนด้านหน้าของถุงเก็บนมจะมีพื้นที่ให้เขียนชื่อ ลำดับ วันที่ เวลา และปริมาณออนซ์ อยู่เหนือพื้นที่เก็บน้ำนม เพื่อให้ปลอดภัยจากการปนเปื้อนของน้ำหมึกปากกา

ประโยชน์ของถุงเก็บนมแม่คลีนนิมัม นอกจากจะใช้เก็บสต็อกนมแม่แล้ว คุณแม่ยังสามารถนำมาใช้บรรจุอาหารได้อีกด้วยนะคะ เช่น ใส่อาหารปั่น , น้ำผลไม้ , ผลไม้ ฯลฯ สารพัดการใช้งาน คุ้มค่ามากค่ะ

ถุงเก็บนมแม่ Cleanimom ลายท่องเที่ยว มีให้เลือกใช้ 3 ขนาด

  1. 3oz บรรจุ 27 ใบ มี 3 ลายท่องเที่ยว
  2. 5oz บรรจุ 24 ใบ มี 4 ลายท่องเที่ยว
  3. 8oz บรรจุ 20 ใบ มี 5 ลายท่องเที่ยว

คุณแม่สามารถหาซื้อได้ที่ช่องทาง ↓↓

Facebook : www.facebook.com/jpenpumpnom

Link : @jpenshop

Shopee : jpenpumpnom

#ถุงเก็บนมแม่Cleanimom #นมแม่

ุถุงเก็บนมแม่ Cleanimom ลายท่องเที่ยว Breast Milk Storage Bag

    น้ำนมน้อย

    น้ำนมน้อย แก้ไขได้ แค่มีตัวช่วยกระตุ้นน้ำนมที่ปลอดภัย

    “นมแม่” ทุกคนรู้ว่า “ดีมีประโยชน์” กับลูกน้อยมากแค่ไหน แต่ก็ไม่ใช่แม่หลังคลอดทุกคนจะมีน้ำนมให้ลูกกินเพียงพอ เพราะต้องเจอกับอาการ น้ำนมน้อย น้ำนมไม่มา หรือจู่ๆ น้ำนมหดหายไปซะดื้อ ๆ ปล่อยไว้เดียวจะบานปลาย ต้องรีบกู้น้ำนมแม่กลับมาด่วน ! กองบรรณาธิการ Amarin Baby & Kids มีเคล็ดลับในการกระตุ้นนมแม่มาแนะนำให้ค่ะ ว่าที่คุณแม่ คุณแม่มือใหม่ห้ามพลาดกันนะคะ

    ประโยชน์ของนมแม่ ต่อลูกน้อย

    องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำว่าคุณแม่หลังคลอดควรเลี้ยงลูกด้วยน้ำนมแม่อย่างเดียวตั้งแต่ลูกแรกเกิดถึง 6 เดือน ซึ่งในระหว่าง 6 เดือนแรกที่ให้นมลูก ไม่ควรป้อนน้ำ หรืออาหารเสริมอื่นใดให้ลูก และหลัง 6 เดือนคุณแม่สามารถให้ลูกกินนมแม่ต่อเนื่องไปจนอายุ 2 ปี ควบคู่กับการให้รับประทานอาหารมีประโยชน์ครบ 5 หมู่อย่างเหมาะสมตามวัยของลูก

    นมแม่เป็นอาหารที่ดีที่สุดสำหรับลูกน้อย เพราะในน้ำนมแม่มีทั้ง น้ำ , สารภูมิคุ้มกัน(จากน้ำนมเหลือง Colostrums) , คาร์โบไฮเดรต , โปรตีน , น้ำตาล , ไขมัน , วิตามินและแร่ธาตุ รวมถึงมีจุลินทรีย์สุขภาพที่ดีต่อระบบทางเดินอาหารของลูก นมแม่มีคุณค่าสารอาหารครบถ้วนที่ให้ประโยชน์ดีต่อลูกน้อยตั้งแต่แรกคลอด

    นมแม่มีประโยชน์ต่อพัฒนาการทางสมอง านวิจัยเผยว่าทารกที่กินนมแม่มีโอกาสในด้านพัฒนาการทางสมองและเชาว์ปัญญา (IQ) ที่ดีกว่าเด็กที่กินนมผสม โดยสามารถวัดได้เมื่อเด็กโตขึ้นและกำลังเข้าสู่วัยเรียน สารอาหารและวิตามินจากน้ำนมแม่ยังช่วยให้พัฒนาการของสมองเด็กและเซลล์ประสาททำงานได้อย่างสมบูรณ์1

    นมแม่มีประโยชน์ต่อระบบภูมิคุ้มกันโรค นมแม่ช่วยให้ร่างกายลูกสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อต่อต้านการเจ็บป่วย ด้วยการสร้างแอนติบอดี (Antibody) มาต่อต้านอาการเจ็บป่วยทั่วไปอย่างไข้หวัด การติดเชื้อจากแบคทีเรีย ไปจนถึงการป้องกันการติดเชื้อไวรัสบางชนิด เช่น โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ (RSV) โรคงูสวัด2

    นมแม่มีประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตของร่างกาย นมแม่มีความสำคัญต่อพัฒนาการทางร่างกายให้ลูกเติบโตได้อย่างปกติ เมื่อลูกเข้าสู่วัยเริ่มเดินจะมีการทรงตัวที่ดีเนื่องจากมีกระดูกและกล้ามเนื้อที่แข็งแรงจากการได้รับสารอาหารจากนมแม่3

    น้ำนมน้อย

    5 สาเหตุ…ต้นตอทำแม่หลังคลอด น้ำนมน้อย น้ำนมไม่มี

    1. ความเครียด

    คุณแม่มือใหม่หลังคลอดส่วนใหญ่ยังรับมือกับการเลี้ยงลูกวัยทารกได้ไม่เต็มที่ เพราะร่างกายยังฟื้นฟูไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ ยังมีอาการเจ็บแผลคลอด มีความอ่อนเพลีย นอนไม่หลับนอนไม่เต็มอิ่ม และมีความกังวลต่าง ๆ ในเรื่องลูก คุณแม่บางคนเครียดสะสมจนทำให้เกิดภาวะเศร้าหลังคลอด (Postpartum Blue) ก็มีค่ะ ความเครียดส่งผลโดยตรงต่อฮอร์โมนการสร้างและหลั่งน้ำนม ทำให้ร่างกายผลิตน้ำนมได้ไม่เต็มที่ และหากไม่ได้รับการกระตุ้น (ลูกไม่ได้เข้าเต้าตรงรอบ) ก็จะทำให้ร่างกายค่อย ๆ หยุดผลิตน้ำนม

    2. ผ่าคลอด

    การผ่าคลอด ทำให้นมแม่มาช้า น้ำนมน้อย ได้เหมือนกันค่ะ การคลอดด้วยวิธีผ่าคลอด คุณแม่ต้องบล็อกหลังวางยาสลบ หลังคลอดเสร็จคุณแม่จะยังไม่รู้สึกตัวในทันที จะเจ็บแผลผ่าตัด กว่าลูกจะได้เข้าเต้าดูดนมแม่ ก็อาจเป็น 1 ชั่วโมงหลังคลอดไปแล้ว การไม่ได้ให้ลูกดูดกระตุ้นเต้านมภายใน 1 ชั่วโมงหลังคลอด ส่งผลให้ร่างกายไม่สามารถผลิตน้ำนมได้ทันที และบางครั้งอาจทำให้เต้านมเป็นไตแข็งขึ้นมา ลูกดูดน้ำนมไม่ออกมา

    3. ลูกไม่เข้าเต้า

    ลูกไม่ยอมเข้าเต้า ไม่ดูดนมแม่ อาจมาจากลูกดูดเต้าไม่เป็น คุณแม่เอาลูกเข้าเต้าผิดวิธี ทำให้ลูกอมงับไม่ลึกพอ หรือลูกมีพังผืดใต้ลิ้น ก็จะทำห้ลูกดูดนมไม่ได้ แนะนำว่าให้สังเกตดูลูกว่าทำไมไม่ยอมเข้าเต้า หรือใช้เวลาในการดูดนมแม่น้อยเกินไป เพราะการที่เต้านมไม่ได้รับการกระตุ้นที่เพียงพอทำให้ น้ำนมน้อย ได้ค่ะ

    4. ท่อน้ำนมอุดตัน

    ท่อน้ำนมอุดตัน ทำให้ น้ำนมน้อย ไหลได้ไม่ดี และเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดเต้านมอักเสบได้ เกิดจากการที่ไม่ได้ให้ลูกดูดนมแม่บ่อย หรือลูกน้อยดูดนมไม่เกลี้ยงเต้า หรือปริมาณน้ำนมที่มากเกินไปและระบายออกได้ไม่สมดุลกับปริมาณน้ำนมที่ผลิต แนะนำคุณแม่ให้ลูกดูดนมจากเต้าให้บ่อยขึ้น อย่างน้อย 8-12 ครั้ง/วัน และดูดนานอย่างน้อยข้างละ 15-20 นาที

    5. กินไม่ดี พาน้ำนมหด

    นอกจากปริมาณน้ำนมจะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับความถี่ในการดูดนมของลูกและเข้าเต้าถูกวิธีแล้ว การรับประทานอาหารและการดื่มน้ำของคุณแม่ในแต่ละวันก็มีส่วนต่อปริมาณน้ำนมด้วยนะคะ คุณแม่ที่ให้นมลูกแนะนำให้ทานอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่ เน้นเนื้อปลา เนื้อไก่ และผลไม้ พืชผักสมุนไพรอย่าง ขิง หัวปลี ฟักทอง งา ใบแมงลัก ใบกะเพรา แก้วมังกร อินทผลัม ฯลฯ และดื่มน้ำเปล่าให้ได้ 2-3 ลิตรต่อวัน คุณแม่กินดีมีประโยชน์ จะช่วยให้ร่างกายผลิตน้ำนมได้ทั้งปริมาณและคุณภาพ

    น้ำนมน้อย กระตุ้นอย่างไรดี ?

    เป็นเทคนิคง่าย ๆ ที่คุณแม่หลังคลอดสามารถนำไปใช้กันได้ค่ะ นั่นก็คือต้องให้ลูก “ดูดเร็ว ดูดบ่อย ดูดนาน”

    • ดูดเร็ว คือเมื่อลูกคลอดออกมาภายใน 15-30 นาที ควรให้ลูกดูดนมทันที เพื่อกระตุ้นน้ำนมครั้งแรก
    • ดูดบ่อย คือให้ลูกดูดนมบ่อย ๆ วันละ 8-12 ครั้ง
    • ดูดนาน คือในแต่ละครั้งที่ลูกดูดนมให้ดูดนาน ๆ ประมาณข้างละ 15 นาที หรือดูดจนกว่าลูกจะเลิกดูด

    … Jessie Mum อาหารเสริมกระตุ้นน้ำนมเพื่อคุณแม่หลังคลอด

    รู้กันแล้วนะคะว่า “น้ำนมแม่” มีประโยชน์กับลูกน้อย และสาเหตุอะไรบ้างที่ทำให้ น้ำนมน้อย น้ำนมหดหาย ทีนี้เรามาดูตัวช่วยจากธรรมชาติที่ปลอดภัยกับคุณแม่หลังคลอด รับประทานเพื่อช่วยในการกระตุ้นน้ำนมให้มีปริมาณเพียงพอสำหรับใช้เลี้ยงลูกน้อยไปได้นานจนถึงวัยขวบ

    ๋Jessie Mum น้ำนมน้อย

    Jessie Mum ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมกระตุ้นน้ำนม ที่คิดค้นมาเพื่อคุณแม่หลังคลอดโดยเฉพาะ และยังเป็นผลิตภัณฑ์อันดับ 1 ในไทยที่คุณแม่หลังคลอดเลือกรับประทานกันค่ะ Jessie Mum ผ่านการรับรองโดย อย. GMP HACCP คุณแม่รับประทานได้อย่างปลอดภัย ที่สำคัญยังได้รับการการันตีคุณภาพจากทีมบรรณาธิการ Amarin Baby & Kids จนได้รับรางวัล EDITOR’s
    CHOICE สาขา BEST BREASTFEEDING SUPPLEMENT จากงานประกาศ Amarin Baby &Kids Awards
    ประจำปี 2021 ภายในปีเดียวกัน Jessie Mum ยังได้รับรางวัล Young-Self Made High Growth Business และ Young-Self Made Best Of Health และล่าสุดในปี 2022 นี้ Jessie Mum ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมกระตุ้นน้ำนมเพื่อคุณแม่หลังคลอด
    ได้รับรางวัล Proudly Local จาก The Asian Parent และ รางวัล The Masterpiece Business of Supplements for
    Healthy Mom จากรายการอายุน้อยร้อยล้าน

    ได้รับรางวัลการันตีคุณภาพมาแบบนี้ คุณแม่มือใหม่ที่อยากทำสต๊อกนมแม่ และเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ให้ประสบความสำเร็จ ต้องมี Jessie Mum ไว้รับประทานเป็นอาหารเสริมกระตุ้นน้ำนมกันนะคะ เรามาดูกันค่ะว่าภายใน 1 แคปซูลมีส่วนประกอบจากธรรมชาติที่ดีต่อร่างกายของแม่หลังคลอดอะไรกันบ้าง

    Jessie Mum อาหารเสริมกระตุ้นน้ำนม

    ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมกระตุ้นน้ำนมเพื่อคุณแม่ Jessie Mum มีส่วนผสมจากสมุนไพร และวิตามินกว่า 10 ชนิด ได้แก่

    • ฟีนูกรีก สมุนไพรที่ช่วยเร่งการผลิตน้ำนม มีความปลอดภัยสูง ผ่านรับการรับรองความปลอดภัยจากองค์การอาหารและยาของอเมริกา ฟีนูกรีกช่วยกระตุ้นการหลั่งของฮอร์โมนโปรแลคติน (Prolactin) ให้ร่างกายสามารถสร้างและผลิตน้ำนมได้อย่างสมบูรณ์
    • ผลเมล็ดผักชีล้อม ช่วยเพิ่มปริมาณน้ำนม ช่วยป้องกันการเกิดแก๊สในกระเพาะอาหาร และลดอาการโคลิคในทารก
    • สารสกัดจากขิง ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ทำให้น้ำนมไหลดี
    • ซิงค์อะมิโน แอซิด คีเลต ช่วยต้านอนุมูลอิสระ (Antiozidant) ตามธรรมชาติของร่างกาย ช่วยเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
    • สารสกัดจากขมิ้น ช่วยให้เลือดลมไหลเวียนดี ลดอาการจุกเสียด แน่นท้อง และช่วยเพิ่มน้ำนมแม่
    • กรดโฟลิค ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้เม็ดเลือดแดง ซึ่งเลือดแดงจะถูกเปลี่ยนเป็นน้ำนมแม่ ลดโอกาสการเกิดอาการเม็ดเลือดจางในคุณแม่
    • ดี-ไบโอติน ช่วยในเรื่องการทำงานของระบบประสาท และลดอาการหลุดร่วงของเส้นผม รอยผิวแตก อาการอ่อนล้า
    • วิตามินบี 1 ช่วยลดความเครียด
    • วิตามินบี 6 ช่วยป้องกันการทำลายของเซลล์ในร่างกาย ลดอาการปวดหัวไมเกรน
    • วิตามินบี 12 ช่วยในการทำงานของระบบประสาทและสมอง

    คุณแม่หลังคลอด หรือคุณแม่ใกล้คลอด ที่สนใจผลิตภัณฑ์อาหารเสริมกระตุ้นน้ำนม Jessie Mum สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ได้ที่ช่องทาง

    เว็บไซต์   : https://www.jessiemum.com/

    และสามารถสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ Jessie Mum ได้ที่ตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ

    Jessie Mum มี 2 ขนาดให้คุณแม่สะดวกในการรับประทาน ได้แก่ ขนาดทดลอง มี 5 แคปซูล ราคา 180 บาท และ ขนาดกล่อง 30 แคปซูล ราคา 890 บาท วิธีรับประทานวันละ 1-2 แคปซูลก่อนอาหารเช้าหรือเย็น

    #JessieMum #หนึ่งเดียวที่แคร์ดูแลจนคุณแม่ทำสต๊อกนมได้

     

     

     


    เครดิต : 123ประโยชน์ของนมแม่ กรมอนามัย  , เทคนิคจัดการนมแม่ Vejthani Hospital  , น้ำนมแม่ประโยชน์อเนกอนันต์ มหาวิทยาลัยมหดล คณะเภสัชศาสตร์

     

      ป่วยโควิด สิทธิบัตรทอง

      อัปเดต ป่วยโควิด สิทธิบัตรทอง 30 บาทรักษาที่ไหนได้บ้าง

      อัปเดต ป่วยโควิด สิทธิบัตรทอง 30 บาทรักษาที่ไหนได้บ้าง

      สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ สปสช. เปิดเผยข้อมูลอัปเดตล่าสุด ว่าถ้า ป่วยโควิด สิทธิบัตรทอง 30 บาท รักษาที่ไหนได้บ้าง คุณพ่อคุณแม่ต้องติดตามข้อมูลนี้ค่ะ

      ป่วยโควิด สิทธิบัตรทอง 30 บาท รักษาที่ไหนได้บ้าง ?

      หน่วยบริการ (สถานพยาบาล) ประจำที่ท่านลงทะเบียนไว้ หรือหน่วยบริการปฐมภูมิทุกที่ ตามนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ ได้แก่

      • ศูนย์บริการสาธารณสุข (พื้นที่ กทม.)
      • คลินิกชุมชนอบอุ่น
      • สถานีอนามัย
      • โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบล (รพ.สต.)
      • หน่วยบริการปฐมภูมิของโรงพยาบาล
      • ศูนย์สุขภาพชุมชน
      ป่วยโควิด สิทธิบัตรทอง
      อัปเดต ป่วยโควิด สิทธิบัตรทอง 30 บาทรักษาที่ไหนได้บ้าง

      สามารถค้นหาหน่วยบริการในระบบหลักประกันสุขภาพ (สปสช.) สำหรับผู้มีสิทธิบัตรทอง 30 บาท ได้ที่นี่ (โรงพยาบาลรัฐ/เอกชน/คลินิก) https://www.nhso.go.th/page/hospital เลือกประเภทการขึ้นทะเบียน ที่ระบุว่า

      – บริการตรวจรักษาโรคทั่วไปหรือ

      – หน่วยบริการประจำในระบบหลักประกันสุขภาพ

      แล้ว Walk in (เดินทาง) ไปรักษาได้ทันที ไม่ว่าจะเป็น รักษาแบบผู้ป่วยนอกและแยกกักตัวที่บ้าน (เจอ แจก จบ) หรือการรักษาอื่นๆ ตามดุลพินิจของแพทย์

      4 วิธีเช็กสิทธิรักษาพยาบาล ทำได้ง่าย ๆ ด้วยตนเอง 

      1.โทร.สายด่วน สปสช. 1330 กด 2

      2.เว็บไซต์ สปสช. https://eservices.nhso.go.th/eServices/mobile/login.xhtml

      3.แอปพลิเคชัน สปสช. เลือกเมนู ตรวจสอบสิทธิตนเอง

      4.ไลน์ สปสช. @nhso หรือคลิก https://lin.ee/zzn3pU6 เลือกเมนู ตรวจสอบสิทธิ

      ATK ขึ้น 2 ขีด หาที่รักษา โทร 1330

      สปสช.ยังได้ปรับระบบสายด่วน 1330 เป็นระบบเสริมกับหน่วยบริการหรือสถานพยาบาลเพื่อดูแลผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีผลตรวจ ATK ขึ้น 2 ขีด และยังไม่ได้รับบริการ สามารถติดต่อประสานขอความช่วยเหลือมาที่สายด่วน 1330 ได้ โทรได้ทั้งกลุ่ม 608 และกลุ่มที่ไม่ใช่ 608 ซึ่งเจ้าหน้าที่สายด่วนจะให้คำแนะนำในการปฏิบัติ ช่องทางการรับบริการ หรือประสานหน่วยบริการให้

      สำหรับกลุ่มที่ไม่ใช่ 608

      ในกรณีไม่มีอาการ เจ้าหน้าที่จะแนะนำให้กักตัวเองที่บ้านเป็นเวลา 7 วันและสามารถออกจากบ้านได้โดยต้องป้องกันตัวเองอย่างเข้มงวดอีก 3 วัน ตามหลักเกณฑ์ของกรมควบคุมโรค แต่ในกรณีที่มีอาการ สามารถไปรับยาแบบ “เจอ แจก จบ” ได้ที่คลินิก/โรงพยาบาลตามสิทธิสุขภาพของตัวเอง รวมทั้งรับยาที่ร้านยาที่เข้าร่วมโครงการก็ได้ แต่หากไม่สามารถเข้ารับบริการได้ด้วยสาเหตุใดก็ตาม ให้โทรมาที่สายด่วน 1330 เจ้าหน้าที่จะแนะนำขั้นตอนการใช้บริการตามสิทธิการรักษา

      กรณีไม่สะดวกเดินทางไปรับบริการเจอ แจก จบ ที่สถานพยาบาลตามสิทธิ ก็มีทางเลือก เช่น

      ลงทะเบียนออนไลน์ของหน่วยบริการที่จัดระบบนี้ หรือร้านขายยาที่เข้าร่วมโครงการ รอรับยาที่บ้าน หรือรับการดูแลในระบบแพทย์ทางไกล (Telemedicine) ผ่านแอปพลิเคชัน คือ แอป Good Doctor และแอปหมอดี

      ในรายที่เจ้าหน้าที่ 1330 ประเมินอาการแล้วพบว่าเข้าเกณฑ์ต้องได้รับยาฟาวิพิราเวียร์ ก็จะจัดส่งยาไปให้ที่บ้าน ซึ่งเป็นยาที่ได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงสาธารณสุข แต่ครอบคลุมเฉพาะ กทม.และปริมณฑล

      ในส่วนของกลุ่ม 608  จะมีรูปแบบการรับบริการ 3 แบบ คือ

      1.เข้ารับบริการที่คลินิก/โรงพยาบาล ตามสิทธิสุขภาพของตัวเอง

      2.รับบริการในระบบแพทย์ทางไกล ซึ่งทีมผู้ให้บริการจะตรวจคัดกรองเบื้องต้น หากไม่มีอาการ จะจ่ายยาแล้วติดตามอาการภายใน 24 ชั่วโมง แต่ถ้ามีอาการจะประสานส่งต่อคลินิก/โรงพยาบาลเพื่อดูแลตามแต่ละการจัดการของโรงพยาบาล

      3. กรณีที่ไม่สามารถรับบริการตาม 2 รูปแบบข้างต้นได้ สามารถประสานสายด่วน 1330 เจ้าหน้าที่จะคัดกรองเบื้องต้น หากไม่มีอาการ จะทำการส่งยาให้ทางไปรษณีย์หรือ สปสช. จัดรถไปส่งให้ พร้อมติดตามอาการภายใน 24 ชั่วโมง แต่หากมีอาการ เจ้าหน้าที่จะประสานหาเตียงในโรงพยาบาล หรือ จัดหาหน่วยบริการเพื่อดูแลแบบ Home Isolation และถ้ามีอาการรุนแรงก็จะประสานสายด่วน 1669 เพื่อส่งรถฉุกเฉินมารับตัวไปยังโรงพยาบาลต่อไป

      ป่วยโควิด สิทธิบัตรทอง
      อัปเดต ป่วยโควิด สิทธิบัตรทอง

      ส่งยาฟาวิพิราเวียร์ให้ผู้ป่วยโควิดพื้นที่ กทม.-ปริมณฑล

      เพื่อเพิ่มทางเลือกให้ผู้ติดเชื้อโควิด-19 สปสช.ได้ร่วมกับ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และบริษัท ไปรษณีย์ไทยดิสทริบิวชั่น จำกัด จัดส่งยาฟาวิฟิราเวียร์ให้กับผู้ป่วยโควิด-19 อีกครั้ง โดยกระทรวงสาธารณสุขได้สนับสนุนยาฟาวิพิราเวียร์เพื่อเป็นการดูแลผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีอาการและจำเป็นต้องได้รับยาฟาวิพิราเวียร์ ได้รับยาโดยเร็ว

      ผู้ป่วยโควิด-19 ในพื้นที่ กทม.-ปริมณฑล 5 จังหวัด คือ นนทบุรี ปทุมธานี นครปฐม สมุทรปราการ และสมุทรสาคร ที่ต้องการรับยาฟาวิพิราเวียร์ ให้โทร.มาที่สายด่วน สปสช. 1330 เจ้าหน้าที่จะทำการคัดกรองอาการตามหลักเกณฑ์ของกรมการแพทย์ โดยอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์และเภสัชกร หากพบว่าผู้ติดเชื้อเริ่มมีอาการที่จำเป็นต้องได้รับยาฟาวิพิราเวียร์ สปสช.ก็จะจัดส่งยาให้ผู้ติดเชื้อทันทีภายใน 24 ชั่วโมง

      ขอบคุณข้อมูลจาก

      TNN Thailand, TNews, ejan

       

      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

       อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

      เช็คสิทธิต้องรู้! บัตรทอง30บาท ให้อะไรกับพ่อแม่ฟรีแลนซ์

      สปสช.ใช้ ทราฟฟี่ฟองดูว์ รับแจ้งปัญหาใช้สิทธิบัตรทอง

      เช็คสิทธิล่าสุด สิทธิบัตรทอง30บาท ครอบคลุมอะไรบ้าง

        ฝันว่าอุ้มทารก

        ฝันว่าอุ้มทารก ฝันเห็นเด็ก หมายความว่าอย่างไร?

        ฝันว่าอุ้มทารก ฝันว่าอุ้มทารกแรกเกิด ฝันว่าอุ้มเด็กผู้หญิง ฝันว่าอุ้มเด็กผู้ชาย แต่เรายังไม่มีลูก เรายังไม่ได้แต่งงาน

        ฝันว่าอุ้มทารก ฝันเห็นเด็ก หมายความว่าอย่างไร?

        ขึ้นชื่อว่า ความฝัน คือ เรื่องที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง แต่สิ่งที่เราฝันนั้น จะกลายเป็นจริงอย่างที่เราฝันหรือไม่ หรือสิ่งที่เราฝัน คือสัญญาณบ่งบอกอะไรบางอย่าง ที่กำลังเกิดขึ้นจริงหรือไม่ ทีมกองบรรณาธิการ ABK ได้รวบรวมข้อสงสัยเกี่ยวกับการ ฝันว่าอุ้มทารก ว่าจะมีความหมายใดแอบแฝงตามความเชื่อของคนไทย ตามไปดูกันเลยค่ะ

        ฝันว่าอุ้มทารก
        ฝันว่าอุ้มทารก

        ฝันว่าอุ้มทารก ฝันเห็นเด็ก หมายความว่าอย่างไร?

        ฝันว่าอุ้มทารก

        ทำนายว่า จะได้โชคลาภและตำแหน่งการงานดีขึ้น จะได้ลาภ ได้เงิน จะมีสิ่งดีเกิดขึ้น หรือจะมีบุตร บริวารเพิ่มในบ้าน

        ฝันว่าอุ้มทารกผู้หญิง 

        ทำนายว่า ชีวิตจะมีความสุขมากกว่าทุกครั้ง ต้องระวังคนจ้องอิจฉา ความรักของคุณไม่หวือหวา คนโสดถ้ากำลังหาคนรู้ใจ แนะนำให้ขอความช่วยเหลือจากเพื่อนจะสมหวัง และถ้าใครมีรักอยู่ ให้ระวังการมีปากเสียง

        ฝันว่าอุ้มทารกผู้ชาย

        ทำนายว่า หากคิดอะไรก็จะเป็นไปตามที่คิด แต่ในช่วงนี้ให้ระวังเนื้อระวังตัว เพราะอาจจะมีคนที่คิดร้าย หรือทำให้คุณต้องเหนื่อยใจกังวลใจ การงานไม่ค่อยราบรื่น จะมีคนขัดขา การเงินจะมีรายได้จากงานที่ทำอยู่ ความรักของคุณอาจจะไม่สมหวัง ให้ระวัง

        ฝันว่าได้อุ้มลูกคนอื่น

        ทำนายว่า คนในครอบครัวจะมีเรื่องของการเจ็บป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่หนักหนา ระวังเรื่องอารมณ์ของคุณให้ดี เพราะมันจะนำมาซึ่งความเลวร้าย จะได้รับข่าวดีเกินคาดจากเพื่อน หรือผู้คุ้นเคยในทางบวก

        ฝันว่าได้อุ้มทารกผู้หญิงผิวขาว

        ทำนายว่า จะได้ลาภการเงิน หรือมีบุตรในเร็ววัน

        ฝันว่าอุ้มลูกตัวเอง

        ทำนายว่า การเสี่ยงโชค จงแสวงโชคจากที่ที่คุณยังไม่เคยไป จะมีงานสังสรรค์กับญาติมิตร ความรักระหองระแหง รู้สึกว่าคุณจะมีความลับต่อกัน เพราะกลัวว่าพูดอะไรออกไปแล้วจะมีผลเสีย หรือเกิดเรื่อง การงานของคุณจะได้รับงานใหม่ๆ และมีรายได้จากงานมากกว่า 1 ชิ้น

        เลขเด็ดทำนายฝันว่าได้อุ้มทารก 02, 05, 08, 33, 37, 011

        ฝันว่าอุ้มทารกแล้วทารกอึใส่มือ

        ทำนายว่า ระยะนี้ท่านจะติดต่อกับคนต่างชาติหรือมิตรสหายที่เป็นคนต่างถิ่นต่างภาค พวกเขาเหล่านี้จะนำลาภมาให้ จะทำของหาย หรือสูญเสียของที่รัก โชคดีจะเกิดขึ้นจากคนที่คุณไปช่วยเหลือ

        • ความรัก : คนโสดจะได้พบรักกับคนที่อยู่ทางไกล หรือพบรักในต่างแดน ระวังจะเกิดอาการรักสั่นคลอน เพราะไม่รู้จะเลือกใครดี ค่อยๆคิดไปก่อน จะมีคนมาทำให้คุณรู้สึกสดชื่น แต่ก็ยังไม่ใช่คนที่คุณหวังไว้
        • การงานและการเงิ : ริเริ่มทำการใดๆ อย่านั่งรอแค่หวังน้ำบ่อหน้า เพราะอาจจะไม่ได้อย่างที่ใจเราต้องการ งาน ที่ทำร่วมกับผู้อื่นเป็นทีมเป็นคณะจะมีปัญหาแตกแยก คนร่วมทีมจะเกิดปากเสียงกัน แตกแยกกันเป็นกลุ่ม หากหวังให้เงินเดือนขึ้นตามการเลื่อนขั้นเห็นทีคงยังไม่ใช่ตอนนี้
        • เลขนำโชค : 26, 10, 88, 27, 48, 03, 72

        ฝันว่าอุ้มเด็กร้องไห้

        ทำนายว่า ช่วงนี้อาจจะได้รับอุบัติเหตุ ทำให้บาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ ชีวิตราบเรียบ จะมีแต่ความสุขอย่างต่อเนื่อง โชคลาภมีแต่ต้องไขว่คว้าเอง

        • ความรัก : คนโสดจับพลัดจับผลูอาจได้เพื่อนรู้ใจมาเป็นแฟน คุณควรระวังเกี่ยวกับคู่ครองของคุณ เพราะอาจจะมีเรื่องร้อนใจหรือเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ คุณมีโอกาสที่จะได้คู่รักเป็นคนต่างชาติ คนๆนี้ดูดีเลยทีเดียว
        • การเงิน การงาน : การทำงานร่วมกับพรรคพวกต้องใช้สติกับมิตรภาพมากเป็นพิเศษ และงานจะลุล่วงผ่านพ้นไปด้วยดี งาน ที่ทำร่วมกับผู้อื่นเป็นทีมเป็นคณะจะมีปัญหาแตกแยก คนร่วมทีมจะเกิดปากเสียงกัน แตกแยกกันเป็นกลุ่ม คุณจะหาเงินได้ก้อนใหญ่จากกิจการที่คุณทำอยู่และอาจมีผู้มาร่วมลงทุนกับคุณเพิ่มจากเดิม
        • เลขนำโชค : 5, 6, 7, 8, 50, 14, 93, 567, 226
        ฝันเห็นเด็ก
        ฝันเห็นเด็ก

        ฝันเห็นทารก

        ทำนายว่า หากใครฝันเห็นเด็กทารก ขาวอวบสมบูรณ์ ทำนายฝันได้ว่าจะได้ลาภทางการเงิน หรือได้บุตรในเร็ววันหากคิดอะไรก็จะเป็นไปตามที่คิด แต่ให้ระวังเนื้อระวังตัว เพราะอาจจะมีคนที่คิดร้ายหรือทำให้คุณต้องเหนื่อยใจกังวลใจ โดยเฉพาะเพศตรงข้าม และขอเตือนว่าจะมีคนเข้ามาขอความช่วยเหลือจากคุณ ควรคิดให้ดีก่อน เพราะเขาอาจนำความเดือดร้อนมาถึงตัวคุณได้

        • ความรัก : คนที่ยังโสดอยู่ในเวลานี้หากมีคนที่แอบชอบแอบรักอยู่ก็ให้รีบบอกความในใจไปตรง ๆ เลย เพราะไม่มีเวลาไหนเหมาะเท่านี้อีกแล้ว ส่วนคนที่มีคู่ต้องระวังคู่ตัวเองให้มาก ๆ เพราะคนรักของคุณกับเพื่อนคุณอาจจะมีอะไรที่ลึกซึ้งก็ได้
        • การงานและการเงิน : มีงานที่รัดตัวเลยล่ะ คนที่กำลังเบื่อที่ทำงานที่เดิม มีโอกาสจะได้ที่ทำงานใหม่ ทำให้ได้แสดงฝีมือที่คุณมีอย่างเต็มที่ มีเกณฑ์ได้ลาภจากงาน แต่ต้องใช้อย่างมีสติ เพราะจะมีเรื่องทำให้ต้องเสียเงินจากคนใกล้ตัว
        • เลขนำโชค : 17, 13, 33, 317, 311, 513

        ฝันเห็นเด็กทารกชาย ฝันเห็นเด็กชาย

        ทำนายว่า ฝันเห็นเด็กผู้ชาย ทำนายฝันได้ว่าจะมีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้น จะได้รับโชคลาภจากคนรัก ควรระวังเรื่องสุขภาพของคนในบ้านให้ดีอาจจะมีเรื่องเจ็บป่วยเกิดขึ้น แต่ก็ไม่หนักมากเท่าไหร่ สำหรับผู้ที่อยากได้บุตรก็มีโอกาสเช่นกัน หรืออาจจะทายได้ว่าอาจจะมีโอกาสได้อุปการะคนหรือสัตว์เลี้ยงก็เป็นไปได้

        • ความรัก : คนที่มีคู่แล้ว ตอนนี้สถานะยังไม่ชัดเจนว่าเขาคนนั้นจะเป็นแค่เพื่อนหรือแฟนกันแน่ ต้องดูกันไปสักพัก ส่วนคนที่โสดอยู่ยังต้องรอต่อไป
        • การงานและการเงิน : อีกไม่นานจะได้รับเงินก้อนใหญ่จากงานที่ทำอยู่ แต่ต้องระวังการใช้เงินให้มาก ๆ จะซื้ออะไรต้องคิดถึงเงินในกระเป๋าให้ดีก่อน
        • เลขนำโชค : 1, 23, 38, 51 ,22, 762, 477

        ฝันเห็นเด็กทารกหญิง ฝันเห็นเด็กหญิง

        ทำนายว่า ถ้าฝันเห็นเด็กผู้หญิง ทำนายว่าในช่วงนี้ดวงยังดีอยู่ เพราะเวลาที่มีปัญหาติดขัดก็จะมีคนยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเรื่อย ๆ ชีวิตช่วงนี้จะมีความสุข มีสีสัน คนอื่นเห็นแล้วต่างก็อิจฉา แต่อย่าลืมดูแลตัวเอง เพราะอาจเจอปัญหาสุขภาพได้

        • ความรัก : คนโสดถ้ากำลังหาคนรู้ใจ แนะนำว่าให้ขอความช่วยเหลือจากเพื่อน ให้เป็นแม่สื่อแม่ชักให้ รับรองว่าสมหวังชัวร์ แต่ถ้าจะให้ดี ควรเลือกคนที่อายุใกล้เคียงกัน ส่วนคนที่มีคู่แล้วอาจเกิดปากเสียงกระทบกระทั่ง ดังนั้นต้องควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ได้ แล้วความรักก็จะดีตลอดไป
        • การงานและการเงิน : มีเกณฑ์จะได้รับทรัพย์ก้อนโตจากงานธุรกิจของคุณ อาจมีคนมาร่วมหุ้นด้วย ส่วนงานที่ดูเหมือนมีอุปสรรค ช่วงนี้ต้องอดทนอีกนิด งานที่ทำอยู่จึงจะลุล่วงไปด้วยดี
        • เลขนำโชค : 1, 3, 5, 6, 8, 07, 35, 42, 92, 098

        ฝันเห็นเด็กทารกแฝด ฝันเห็นเด็กทารก 2 คน

        ทำนายว่า หากฝันเห็นทารกแฝด แปลว่ามีเกณฑ์ได้ทุกขลาภ หรือได้ลาภแล้วจะเจ็บป่วย กิจการที่กำลังลงมือทำ อาจจะสำเร็จลุล่วงช้ากว่าที่คิด หรืออีกนัยหนึ่งก็อาจจะดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ โดยได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนฝูงหรือคนใกล้ชิดที่เป็นมิตรต่อกัน

        • เลขนำโชค : 22, 44, 66, 662, 442, 664

        ฝันว่าเลี้ยงเด็กทารก

        ทำนายว่า หากใครฝันว่าเลี้ยงเด็กทารก ทำนายว่าจะเจอเรื่องที่ทำให้ปวดหัว อารมณ์เสียได้ ส่วนมากจะมาจากคนที่เป็นเพศตรงข้าม ช่วงนี้คุณอาจขี้หลงขี้ลืม ทำของหายบ่อย ๆ หรือระวังจะโดนโกง มีเรื่องเสียเงิน ซึ่งจะมาจากความใจดีของคุณเอง ดังนั้นต้องคิดหน้าคิดหลังให้มากเข้าไว้

        • เลขนำโชค : 0, 8, 13, 51, 83, 327

        ฝันเห็นเด็กมาขออยู่ด้วย

        ทำนายว่า ฝันเห็นเด็กมาขออยู่ด้วย อาจจะดูน่าขนลุกเล็ก ๆ แต่คำทำนายบอกว่า ช่วงนี้คุณจะมีดวงที่ดีเลยล่ะและดวงจะดีขึ้นเรื่อย ๆ หากใครที่ให้คนอื่นยืมเงินจะได้เงินคืนในเวลาไม่นาน การงานในตอนนี้ก็กำลังดีเลย ความคิดเห็นของคุณจะเป็นสิ่งที่ทุกคนยอมรับ ให้ใช้ความสามารถที่มีอยู่อย่างเต็มที่ และมีสติอยู่เสมอ ส่วนความรักยังต้องใจเย็น ๆ ไปก่อน ไม่นานอาจเจอคนที่ใช่

        • เลขนำโชค : 1, 2, 3, 8, 549, 436

         

        หากเมื่อคืนใครที่ ฝันว่าอุ้มทารก ตื่นมาแล้วเกิดความสงสัย และกำลังค้นหาคำ ทำนายฝัน คงจะได้รับคำตอบจากบทความนี้ที่ ทีมกองบรรณาธิการ ABK นำมาฝากกันแล้วนะคะ

        อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

        ฝันว่าได้ทอง จะได้จริงอย่างฝัน หรือแฝงความหมายใด!!

        ฝันว่าแม่เสียชีวิต เป็นลางดีหรือลางร้ายกันแน่ เช็คเลย!!!

        ฝันว่าคลอดลูก ได้ลูกชาย ลูกสาว หมายความว่าอย่างไร!!

        ทำนายฝัน ฝันว่าได้แต่งงาน ฝันว่าแต่งงาน หมายถึงอะไร?

         

        ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.thairath.co.th, https://www.kapook.com, https://monohoro.com

        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

        Amarin Baby & Kids

          ไวรัสมาร์บวร์ก

          ไวรัสมาร์บวร์ก มาแล้วตระกูลเดียวกับอีโบลาน่ากลัวแค่ไหน

          ไวรัสมาร์บวร์ก มาแล้ว ตระกูลเดียวกับอีโบลาน่ากลัวแค่ไหน?

          ทางการ “กานา” ยืนยันว่าพบผู้ติดเชื้อ ไวรัสมาร์บวร์ก (Marburg) จำนวน 2 รายในประเทศ ซึ่งเป็นโรคติดต่อร้ายแรงตระกูลเดียวกับ อีโบลา โดยผู้ป่วยทั้ง 2 รายได้เสียชีวิตแล้วที่โรงพยาบาล ทางภาคใต้ของประเทศ หลังจากที่ผลการตรวจไวรัสมาร์บวร์กออกมาเป็นบวก โดยสาธารณสุขกานาเผยว่า ขณะนี้มีผู้ต้องสงสัยเสี่ยงติดเชื้อไวรัสชนิดนี้เกือบ 100 ราย และอยู่ระหว่างกักตัวสังเกตอาการ แม้จะยังไม่ระบาดในประเทศไทย แต่การท่องเที่ยวไทยรับชาวต่างชาติจากทวีปแอฟริกาเป็นจำนวนมาก จึงต้องระวังให้ดี เพราะการเข้ามาของโรค ฝีดาษลิง ก็เกิดขึ้นในลักษณะเดียวกันนี้ค่ะ

          สถานการณ์ทั่วโลก และในประเทศไทยของ ไวรัสมาร์บวร์ก

          ไวรัสตัวนี้พบการระบาดครั้งแรกในปี พ.ศ. 2519 ที่จังหวัดแห่งหนึ่งในซูดาน  ตรวจพบเชื้อครั้งแรกในผู้ป่วยที่ติดเชื้อจากการชำแหละลิงชิมแปนซี ที่ไอวอรี่โค้ด ปี พ.ศ. 2547
          โรคนี้ เป็นกลุ่มโรคที่เป็นไข้แล้วมีเลือดออกชนิดหนึ่ง อัตราการแพร่ระบาดสูง และเร็ว และอัตราค่อนข้างสูง (50-90%) สถานการณ์การแพร่ระบาดในประเทศไทยนั้น ยังไม่มีข้อมูลการป่วยด้วยโรคนี้ และโรคนี้ยังไม่อยู่ในระบบเฝ้าระวัง แต่อาจเกิดความเสี่ยงได้จากการท่องเที่ยว เพราะเชื้ออาจมาจากพื้นที่ระบาดของโรค แล้วคนจากประเทศนั้นเข้ามาในประเทศ ดังนั้น อาจต้องให้ความระมัดระวังเป็นพิเศษสำหรับบางกลุ่ม

          อาการของโรค 

          เป็นโรคติดเชื้อไวรัสชนิดเฉียบพลันรุนแรงที่มีอัตราป่วยตายสูงถึง 80% ไข้สูงทันทีทันใด อ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อ และปวดศีรษะมาก ตามด้วยอาการเจ็บคอ อาเจียน ท้องเสีย และมีผื่นนูนแดงตามตัว (maculopapular rash) ในรายที่รุนแรง หรือในบางรายที่เสียชีวิต อาการเลือดออกง่ายมักเกิดร่วมกับภาวะตับถูกทำลาย ไตวายอาการทางระบบประสาทส่วนกลาง และช็อก โดยอวัยวะหลายระบบเสื่อมลง โรคนี้มีระยะฟักตัวของโรค ประมาณ 2 – 21 วัน

          ไวรัสมาร์บวร์ก
          ไวรัสมาร์บวร์ก มาแล้ว ตระกูลเดียวกับอีโบลาน่ากลัวแค่ไหน?

          การวินิจฉัยและการรักษาโรค

          อาจใช้วิธี RT-PCR หรือการตรวจหาแอนติเจนโดยวิธี ELISA ในตัวอย่างเลือด นํ้าเหลือง หรือจากอวัยวะ

          การวินิจฉัย มักจะเป็นการตรวจผสมผสาน ระหว่างการตรวจหาแอนติเจน หรือ RNA ร่วมกับหาแอนติบอดี IgM หรือ IgG (การตรวจพบแอนติบอดี IgM แสดงให้เห็นว่า เพิ่งพบการติดเชื้อไม่นานมานี้) การแยกเชื้อไวรัสโดยการเพาะเชื้อ  หรือการเลี้ยงในหนูตะเภา ต้องทำให้ในห้องทดลองที่มีการป้องกันอันตรายระดับสูงสุด (BSL-4)

          การตรวจด้วยวิธี ELISA จะใช้เพื่อตรวจหาความเฉพาะเจาะจงกับแอนติเจนชนิด IgM และ IgG ในนํ้าเหลือง (serum) ของผู้ป่วย บางครั้งอาจตรวจพบเชื้อได้จาก การส่องด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน ในชื้นเนื้อจากตับ ม้าม ผิวหนัง หรืออวัยวะอื่น ๆ การชันสูตรศพโดยการตรวจชื้นเนื้อ (Formalin-fi xed skin biopsy) หรือการผ่าศพพิสูจน์ด้วยการตรวจหาภูมิคุ้มกัน หรือองค์ประกอบทางเคมีของเซลล์ และเนื้อเยื่อ สามารถทำได้

          การตรวจหาเชื้อด้วยวิธี IFA เพื่อหาแอนติบอดี มักทำให้แปลผลผิดพลาด โดยเฉพาะในการตรวจนํ้าเหลืองเพื่อดูการติดเชื้อในอดีต เนื่องจากโรคนี้มีอันตรายต่อมนุษย์สูงมาก ดังนั้นการตรวจ และศึกษาทางห้องปฏิบัติการที่เกี่ยวข้องกับโรคนี้ ทำได้เฉพาะในระบบป้องกันอันตรายที่อาจเกิดแก่ผู้ปฏิบัติงาน รวมทั้งชุมชนในระดับสูงสุด (BSL ระดับ 4)

          ส่วนการรักษานั้น ไม่มีการรักษาเฉพาะ ในรายที่มีอาการรุนแรง ต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิด ให้สารนํ้าอย่างเพียงพอ

          การแพร่ระบาด

          การติดเชื้อไวรัสอีโบลาของคน เกิดขึ้นจากสาเหตุ ดังนี้

          ในทวีปแอฟริกา เกิดขณะจัดการ หรือชำแหละสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ที่ตายในป่า ที่มีฝนตกชุก

          สำหรับไวรัสอีโบลา สายพันธุ์เรสตัน จะพบการติดต่อสู่คน โดยการสัมผัสโดยตรงกับเลือด หรือเครื่องในของลิง cynomolgus ที่ติดเชื้อ และยังไม่พบรายงานจากการติดเชื้อ ผ่านทางละอองฝอย ที่ลอยในอากาศ

          การติดต่อจากคนสู่คน เกิดจากการสัมผัสโดยตรงกับเลือดที่ติดเชื้อ สารคัดหลั่ง อวัยวะ หรือนํ้าอสุจิ นอกจากนี้การติดเชื้อในโรงพยาบาล ก็พบได้บ่อย ผ่านทางเข็ม และหลอดฉีดยาที่ปนเปื้อนเชื้อ

          มาตรการป้องกันโรค

          • ยังไม่มีวัคซีน หรือการรักษาแบบเฉพาะเจาะจง สำหรับทั้งไวรัสอีโบลา หรือมาร์บวร์ก
          • ควรป้องกันการมีเพศสัมพันธ์หลังการเจ็บป่วยเป็นเวลา 3 เดือน หรือจนกระทั่งตรวจไม่พบไวรัสในนํ้าอสุจิ

          9. มาตรการควบคุมการระบาด 

          แยกผู้ป่วยสงสัยจากผู้ป่วยอื่น ๆ และเฝ้าระวังผู้สัมผัสใกล้ชิด ใช้มาตรการป้องกันการติดเชื้อในสถานพยาบาลอย่างเข้มงวด รวมถึงดำเนินการให้ความรู้แก่ชุมชนอย่างเหมาะสมและรวดเร็ว

          ขอบคุณข้อมูลจาก

          สมาคมโรคติดเชื้อในเด็ก แห่งประเทศไทย , กรุงเทพธุรกิจ

          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

           อ่านต่อบทวามดี ๆ คลิก

          WHO เตือน ไวรัสอีโบลา ระบาดซ้ำ โรคร้ายต่างแดนแม่ต้องระวัง

          5 อันดับ โรคติดต่อระหว่างสัตว์และคน พ่อแม่ต้องระวังเข้ม

          โรคอุบัติใหม่ คืออะไร? ทำไมถึงระบาดหนัก?

            ทารก 6 เดือน กินน้ำ

            ปู่ย่าให้ ทารก 6 เดือน กินน้ำ หลังกินนมจะเป็นอะไรไหม?

            ทารก 6 เดือน กินน้ำ เพราะความเชื่อโบราณ ดีจริงหรือคิดไปเอง เปิดสถิติคนไทยให้ทารกกินน้ำก่อน6เดือนเกิน80%เหตุใดหมอถึงไม่แนะนำ ความเชื่อนี้ควรไปต่อหรือพอแค่นี้

            ปู่ย่าให้ ทารก 6 เดือน กินน้ำ หลังกินนมจะเป็นอะไรไหม?

            กรมอนามัย เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับการให้น้ำเปล่าแก่ทารกอายุน้อยกว่า 6 เดือน ว่า มีผลการศึกษาช่วงเวลา และปัจจัยสำคัญในการเริ่มต้นเลี้ยงลูกด้วยนมผสม หรืออาหารอื่น เมื่อปี 2559 ในกลุ่มแม่และผู้ดูแลหลักของทารก และเด็กเล็กอายุ 0-ปี จำนวน 1,147 คน จาก 16 จังหวัดทั่วประเทศ พบว่า อาหารอื่นที่ทารกได้กินมากที่สุดในช่วง 6 เดือนแรก คือ น้ำเปล่า โดยแม่หรือผู้ดูแลหลักของทารกและเด็กเล็ก ร้อยละ 86.4 เคยให้ทารกกินน้ำในช่วงก่อนอายุ 6 เดือน โดยเหตุผลหลักที่ให้ทารกกินน้ำเปล่าก่อนอายุครบ 6 เดือน คือ

            ทารก 6 เดือน กินน้ำ ได้ไหม
            ทารก 6 เดือน กินน้ำ ได้ไหม
            1. ให้ทารกดื่มน้ำเพื่อล้างปาก ร้อยละ 55
            2. คิดว่าการกินน้ำเป็นเรื่องปกติ ร้อยละ 21.7
            3. ผู้ดูแลที่ไม่ใช่แม่ให้กิน ร้อยละ 15.6
            4. ทำให้ทารกไม่มีอาการตัวเหลือง ร้อยละ 10.7
            5. ช่วยระบบขับถ่าย ร้อยละ 10.1
            6. ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ร้อยละ 5.9
            7. คิดว่าทารกอาจหิวน้ำ คอแห้ง ร้อยละ 4.1
            8. ทารกกินนมผสม ร้อยละ 3.7
            9. ป้องกันอาการลิ้นเป็นฝ้า ร้อยละ 2.7
            10. ให้กินน้ำเมื่อมีอาการสะอึก ร้อยละ 2.7
            11. ได้รับคำแนะนำจากหมอ พยาบาล ร้อยละ 2.1
            12. คิดว่าการกินน้ำบำรุงสายตา ร้อยละ 2
            13. มีคนอื่นที่ไม่ใช่คนในครอบครัวแนะนำ ร้อยละ 2
            14. ทารกกินยา ร้อยละ 1.9
            15. เด็กเริ่มกินอาหารแล้วจึงต้องดื่มน้ำ ร้อยละ 1.6
            16. อื่นๆ ร้อยละ 4.3

            อันตราย!! หากให้ ทารก 6 เดือน กินน้ำ

            เหตุใดในปัจจุบันถึงมีการรณรงค์ไม่ให้ป้อนน้ำแก่ทารกก่อน 6 เดือน พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า เด็กควรได้กินนมแม่อย่างเดียวติดต่อกันตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 6 เดือน โดยไม่ต้องให้น้ำหรืออาหารอื่น เนื่องจากนมแม่เป็นอาหารที่ย่อยง่าย และถูกสร้างมาให้เหมาะสมที่สุดกับสภาพร่างกายของทารก ช่วยป้องกันการติดเชื้อในทารกแรกเกิด ลดอัตราการเสียชีวิต พัฒนาระดับสติปัญญา

            การป้อนน้ำให้ทารกอันตราย เพราะทารกมีน้ำหนักน้อยมาก การได้รับน้ำมากเกินไป สามารถทำให้เกลือแร่ในร่างกายเจือจางลง และเกิดภาวะน้ำเป็นพิษ หรือ Water Intoxication ทำให้ชัก สมองบวม และเสียชีวิตได้

            ข้อดีของการให้นมแม่เพียงอย่างเดียวตั้งแต่แรกเกิด -6 เดือน

            หากคุณแม่ยังคงไม่สบายใจกันว่า การให้นมแม่เพียงอย่างเดียวนั้นดีจริงหรือ เราลองมาดูถึงข้อดีของการให้นมแม่เพียงอย่างเดียวจนถึงอายุ 6 เดือนกันดูว่ามีข้อดีอะไรบ้าง

            1. พัฒนาการทางสมอง งานวิจัยเผยว่าทารกที่กินนมแม่มีโอกาสในด้านพัฒนาการทางสมอง และเชาว์ปัญญา ที่ดีกว่าเด็กที่กินนมผสม สารอาหาร และวิตามินจากน้ำนมแม่ช่วยให้สมอง และเซลล์ประสาททำงานได้อย่างเต็มที่สมบูรณ์ สำหรับทารกที่คลอดก่อนกำหนดจะได้รับประโยชน์จากนมแม่เพื่อช่วยให้พัฒนาทางสมองเป็นไปอย่างปกติ และช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นโรคจิตเวชได้ในอนาคตด้วย
            2. ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันโรคที่ดี ด้วยการสร้างแอนติบอดี้ (Antibody) และภูมิคุ้มกันจากแม่ที่ส่งผ่านต่อมาทางน้ำนม มาต่อต้านอาการเจ็บป่วยทั่วไป เช่น ไข้หวัด แบคทีเรีย โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ (RSV) เป็นต้น นอกจากนี้นมแม่ยังสามารถช่วยลดการเกิดโรคภูมิแพ้ในเด็กได้ รวมไปถึงโรคร้ายแรงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เช่น โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคไหลตายในเด็กทารก (SIDS) เป็นต้น
            3. ช่วยพัฒนาการทางร่างกายให้ลูกเติบโตได้อย่างปกติ ได้รับสารอาหารที่จำเป็น และที่ร่างกายต้องการ ทำให้กระดูก และกล้ามเนื้อแข็งแรง นอกจากนี้การดูดนมแม่จากอกยังช่วยในเรื่องของสุขภาพช่องปากในเด็ก เมื่อฟันบนขึ้นจะเรียงตัวไม่ทับซ้อนกัน และไม่ผุกร่อนอีกด้วย
            สารอาหารใน นมแม่
            สารอาหารใน นมแม่

            สารอาหารในน้ำนมแม่

            สารอาหารในน้ำนมแม่มีการเปลี่ยนแปลงตามระยะเวลาหลังการคลอดเพื่อให้เหมาะสมกับตัวลูกน้อย ผ่านกระบวนการสร้างน้ำนมในร่างกายของแม่ที่เกิดจากการหลั่งฮอร์โมนกระตุ้นโดยแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่

            ระยะที่ 1 (Colostrum) เป็นระยะ 1-3 วันแรก น้ำนมจะมีสีเหลือง (น้ำนมเหลือง) เนื่องจากมีแคโรทีนสูงกว่านมระยะหลังมาก น้ำนมในระยะนี้อุดมสมบูรณ์มาก มีโปรตีนที่ช่วยสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย เกลือแร่ วิตามิน สารอาหารที่จำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตของสมอง และการมองเห็นของลูก อีกทั้งยังมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อน ๆ ช่วยขับขี้เทาของลูกได้ด้วย

            น้ำนมระยะที่ 2 (Transitional Milk) ในช่วงนี้น้ำนมจะเปลี่ยนเป็นสีขาวขุ่น  ซึ่งมีสารอาหารเพิ่มขึ้นทั้งไขมัน และน้ำตาลที่มีเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของร่างกาย

            ระยะที่ 3 (Mature Milk) เมื่อผ่าน 2 สัปดาห์แรกแล้ว น้ำนมแม่จะมีปริมาณที่มากขึ้น และมีสารอาหารหลักที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของลูก ได้แก่

            • โปรตีน ที่มีส่วนช่วยในการยับยั้งจากเจริญเติบโตของเชื้อโรคบางชนิด เพิ่มภูมิต้านทาน และเอนไซม์ที่สามารถทำลายผนังเซลล์ของแบคทีเรียได้
            • ไขมัน ที่เป็นกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย ได้แก่ DHA (Docosahexaenoic Acid) และ AA (Arachidonic Acid) ที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาระบบประสาทและการมองเห็น
            • น้ำตาลแลคโตส โดยพบว่าในนมแม่มีโอลิโกแซคคาไรด์หรือคาร์โบไฮเดรตสายสั้น (Human Milk Oligosaccharides หรือ HMOs) มากกว่า 200 ชนิด และมีปริมาณมากกว่าปริมาณที่พบในนมวัวถึง 5 เท่า และยังพบอีกว่า HMOs ในน้ำนมแม่มีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์และแบคทีเรียที่ช่วยสร้างระบบภูมิคุ้มกันได้
            • วิตามินและแร่ธาตุที่มีความสำคัญต่อการเจริญเติบโต ได้แก่ A, B1, B2, B6, B12, C, D, E, K และแร่ธาตุซึ่งได้แก่ เหล็ก แคลเซียม ไอโอดีน เป็นต้น
            ทารก 6 เดือน กินน้ำ หลังกินนมได้ไหม
            ทารก 6 เดือน กินน้ำ หลังกินนมได้ไหม

            นอกจากนี้ในน้ำนมแม่ยังมีสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพที่ส่งผลต่อการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย ได้แก่ แอนตี้ออกซิแดนท์ (Antioxidant) โกรทแฟคเตอร์ (Growth Factor) ที่มีส่วนช่วยในการทำงานของระบบทางเดินลำไส้ เส้นเลือด ระบบประสาท และระบบฮอร์โมนที่ควบคุมการเจริญเติบโต

            หาคำตอบมาให้แล้วที่นี่!! หากคุณยังคงให้ ทารก 6 เดือน กินน้ำ ด้วยเหตุผลต่อไปนี้

            เพื่อล้างปาก (55%) ป้องกันอาการลิ้นเป็นฝ้า (2.7%)

            นมแม่มีสารต้านเชื้อราที่จะเกิดในช่องปากทารก และมีปริมาณน้ำตาลที่เหมาะสมต่อร่างกายของเด็ก จึงไม่จำเป็นต้องป้อนน้ำตามเพื่อล้างปาก หากคุณแม่อยากล้างปากให้ลูก แนะนำให้ใช้ผ้าอ้อมสะอาดพันที่นิ้ว ชุบน้ำต้มสุกสะอาด เช็ดเหงือก ช่องปาก กระพุ้งแก้ม ให้ลูกน้อยหลังอาบน้ำก็พอ ก็สามารถแก้ไขอาการลิ้นเป็นฝ้าของลูกได้

            คิดว่าการกินน้ำเป็นเรืองปกติ (21.7%)

            นมแม่มีน้ำเป็นส่วนประกอบถึง 80% ซึ่งเป็นปริมาณน้ำ และสารอาหารที่เพียงพอต่อความต้องการของทารกอยู่แล้ว ดังนั้นไม่จำเป็นที่ทารกจะต้องได้รับน้ำหลังอาหารเหมือนกับผู้ใหญ่ การที่ให้ลูกกินน้ำเข้าไปอีกยังเป็นอันตรายมากกว่าด้วยซ้ำ เพราะจะทำให้ร่างกายของทารกได้รับน้ำมากเกินไป นอกจากจะทำให้อิ่มเร็วแล้ว ยังส่งผลให้กินนมได้น้อยลง เกลือแร่ในร่างกายเกิดการเจือจาง น้ำหนักไม่ขึ้นตามเกณฑ์อีกด้วย

            ทำให้ไม่มีอาการตัวเหลือง (10.7%)

            จากความเชื่อนี้ของนำคำตอบของทาง เพจ นมแม่แฮปปี้ ที่ได้กล่าวเกี่ยวกับประเด็นนี้ไว้ว่า อาการตัวเหลืองเกิดจากเม็ดเลือดแดงที่แตกตัว แต่ละคนเหลืองมากน้อยไม่เท่ากัน ตับของทารกยังพัฒนาไม่เต็มที่จึงขจัดสารเหลืองออกจากร่างกายได้ช้า ซึ่งการป้อนน้ำไม่ช่วยให้หายเหลือง และนมแม่ไม่ทำให้เหลือง ส่วนทารกที่กินนมผงก็ตัวเหลืองได้สำหรับทารกที่กินนมแม่แล้วตัวเหลือง สาเหตุเพราะดูดผิดท่า อมไม่ลึก จึงไม่ได้น้ำนม หรือกินนมไม่บ่อยพอ นอนนานเกินไป หรือมีพังผืดใต้ลิ้น จึงดูดน้ำนมได้น้อย

            อย่างไรก็ดี การแก้ปัญหาตัวเหลือง ไม่ควรเสริมน้ำหรือเสริมนมผง แต่ควรให้ลูกกินนมแม่บ่อย ๆ ดูดจริงจัง ไม่ตอด วันละ 8-10 มื้อ เพราะในน้ำนมส่วนหน้า มีแลคโตสช่วยให้ขับถ่ายสารเหลืองออกทางอุจจาระ

            ทารกไม่กินน้ำ ตัวเหลือง จริงหรือไม่
            ทารกไม่กินน้ำ ตัวเหลือง จริงหรือไม่

            เหตุผลอื่น ๆ 

            มีคำแนะนำ ดังนี้

            • เมื่อลูกสะอึก ปากแห้ง เหมือนหิวน้ำ ให้นมแม่แทนให้น้ำ
            • ลูกป่วยต้องกินยา ให้ลูกกินยา วิตามินในช่วง 6 เดือนแรกได้ตามจำเป็น
            • หากลูกจำเป็นต้องกินนมผง ไม่จำเป็นต้องให้น้ำเพิ่ม

            เมื่อคุณพ่อคุณแม่ทราบกันอย่างที่กล่าวมาถึง สาเหตุที่ไม่ให้ทารกกินน้ำ ก่อน 6 เดือนแล้ว คงต้องช่วยกันสนับสนุน รวมถึงทำความเข้าใจกับคุณปู่คุณย่า คุณตาคุณยาย หรือผู้เลี้ยงดูลูกเราท่านอื่นที่ยังคงมีความเข้าใจผิด ๆ อยู่ โดยหากพวกท่านได้รับรู้ถึงข้อมูล ข้อเท็จจริงที่หมอได้แนะนำตักเตือนแล้ว เชื่อว่าผู้ใหญ่ทุกท่านต้องเข้าใจอย่างแน่นอน เพราะทุกคนก็หวังดีต่อลูก หลาน เหลน กันอย่างแน่นอน

            ข้อมูลอ้างอิงจาก กรมอนามัย /mgronline.com/baby.kapook.com/เพจนมแม่แฮปปี้

            อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

            4 วิธีกระตุ้นนมแม่ อย่างได้ผลดี ไม่เหนื่อย ไม่เจ็บ

            โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง สำคัญแค่ไหนกับทารกแรกเกิด!

            เด็กแรกเกิดตัวเหลือง อันตรายหรือไม่? รักษาอย่างไร?

            7 ท่าคลานทารก เมื่อลูกน้อยคลาน ลูกเราคลานท่าไหนนะ

            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

              นิทานพื้นบ้านสั้นๆ

              5 นิทานพื้นบ้านสั้นๆ ภาคเหนือ สืบสานวัฒนธรรมไทย

              นิทานพื้นบ้านสั้นๆ มรดกทางวัฒนธรรมของชาติ เรื่องราวที่ถูกเล่าต่อมาเป็นเวลาช้านาน จากรุ่นสู่รุ่น เล่าให้ลูกฟังก่อนนอน เสริมสร้างพัฒนาการด้านต่างๆให้ลูกน้อย

              5 นิทานพื้นบ้านสั้นๆ ภาคเหนือ สืบสานวัฒนธรรมไทย

              นิทานพื้นบ้าน ในแต่ละท้องถิ่นก็จะมีเรื่องเล่าที่แตกต่างกันไป ตามลักษณะภูมิประเทศ วัฒนธรรม และขนบธรรมเนียมประเพณี ของภูมิภาคนั้นๆ บทความนี้ ทีมกองบรรณาธิการ ABK ขอนำเสนอ นิทานพื้นบ้านสั้นๆ ภาคเหนือ มาดูกันค่ะว่า นิทานพื้นบ้านไทย ของทางภาคเหนือจะเป็นอย่างไรกันบ้าง

              นิทานพื้นบ้านสั้นๆ ภาคเหนือ
              นิทานพื้นบ้านสั้นๆ ภาคเหนือ

              นิทานพื้นบ้านสั้นๆ ภาคเหนือ สีบสานวัฒนธรรมไทย

              นิทานล้านนา เรื่อง ใครโง่กว่าใคร

              หลายปีมาแล้ว มีชายผู้หนึ่งชื่อ คง”… ทิดคนนี้เคยบวชเป็นพระภิกษุหลายพรรษา… ต่อมาได้สึกและแต่งงานอยู่กินกับภรรยาจนมีบุตรคนหนึ่ง…ทิดคงและครอบครัวมีอาชีพในทางทำนา แกมีนาส่วนตัวอยู่แปลงหนึ่ง แกทำนาด้วยตนเองทุกๆปี นานี้อยู่ห่างจากบ้านของแกราว ๆ 4–5 กิโลเมตร… เวลาเช้าทิดคงจะออกไปไถนาพร้อมกับควาย ครั้นตอนสายและกลางวันลูกสาวจะเป็นผู้นำอาหารไปส่งให้เสมอ

              วันหนึ่งตอนบ่าย… ภรรยาไปตลาดซื้อปลามาตัวหนึ่งเอาไปแกงส้มอร่อยมาก… นางคิดถึงสามีจึงขอร้องให้ลูกสาวช่วยนำอาหารมื้อนี้ไปส่งให้ด้วย… ลูกสาวรับของออกเดินจากบ้านไป ขณะที่เดินทางฝ่าแดดที่กำลังร้อนจัด ประกอบกับวันนั้นบุตรสาวต้องทำงานที่บ้านแต่เช้าจนบ่ายเมื่อฝ่าแดดมารู้สึกเหน็ดเหนื่อยยิ่งนัก นางจึงหยุดพักวางหม้อข้าวหม้อแกงลง นั่งพักผ่อนใต้ร่มไม้คิดว่าพอหายเหนื่อยแล้วตนจึงค่อยเดินทางต่อไป พอดีมีลมโชยมานางเลื่อนตัวเอนกายพิงกับต้นไม้ม่อยหลับไป… ขณะที่หลับนางฝันว่ามีบุตรเศรษฐีมาชอบพอและสู่ขอนางกับพ่อแม่ ได้อยู่กินกันอย่างเป็นสุข จนกระทั่งมีครรภ์ ต่อจากนั้นไม่นานนักนางก็คลอดบุตรออกมาเป็นชาย อ้วนท้วนน่ารักต่อมาเด็กคนนั้นได้ล้มป่วยลงโดยกะทันหันถึงแก่ความตาย นางร้องไห้ด้วยความเสียใจ ขณะที่ละเมอไขว่คว้าอยู่นั้น มือไปปัดเอาหม้อแกงหกเรื่ยราดหมด เลยไม่มีอาหารไปให้พ่อ…

              … เมื่อนางตื่นขึ้นจึงร้องไห้กลับบ้าน เล่าเรื่องราวต่าง ๆที่เกิดขึ้นให้แม่ฟัง แม่ได้ยินดังนั้นพลอยร้องไห้เสียใจด้วยพร้อมกับรำพันว่า โธ่เอ๋ยหลานรัก เกิดมาไม่ทันไรมาด่วนตายเสียได้ ยายไม่ทันได้กอดได้อุ้ม ฮือๆๆ… พอดีขณะนั้นสามีหิวข้าวรีบเดินกลับบ้าน เมื่อมาถึงพบคนทั้งสองกำลังร้องไห้ด้วยความเสียใจจึงไต่ถามเรื่องราวเมีย พอเห็นสามีมา รีบวิ่งเข้าไปหาพร้อมกับบอกว่า ตาเอ๋ยตา หลานเกิดมาไม่ทันไรก็ตายเสียก่อน โธ่ไม่น่าเลยช่างบุญน้อยจริงๆ น่าจะคอยให้ตายายอุ้มบ้างก็ไม่ได้” ทิดคงสงสัย…ไต่ถามลูกสาวก็ทราบเรื่องราวทั้งหมด จึงพูดออกมาว่า มันฝันนี่หว่า มันจริงเมื่อไร เอ็งทำไมจึงโง่เขลาเช่นนี้”

              เมื่อทิดคงเห็นว่าภรรยาและลูกสาวของตนโง่เขลายิ่งนัก… แกจึงตัดสินใจขายควาย รวบรวมเงินทองติดตัวออกเดินทางลงเรือไปยังเมืองอื่นๆ ขณะที่พายเรือไปตามแม่น้ำนั้น เขาพบชายคนหนึ่งนั่งร้องไห้อยู่จึงแวะเข้าไปถามว่า ท่านร้องไห้ทำไม” ชายผู้นั้นบอกว่า ข้าพเจ้าเอามือออกจากไหเกลือไม่ได้” ทิดคงมองเห็นชายนั้นล้วงมือลงไปในไหเกลือและกำเกลือจนเต็มกำมือปากไหนั้นแคบ เขาจึงเอามือออกไม่ได้ ทิดคงหัวเราะ บอกให้เขาปล่อยเกลือเสีย มือก็จะออกได้… ชายผู้นั้นทำตาม จึงเอามือออกได้และกล่าวคำขอบใจ พร้อมกับมอบเป็ดให้เป็นรางวัลตอบแทนหนึ่งตัว

              … ทิดคงพายเรือต่อไป… เขาพบคนหมู่หนึ่งกำลังเอาเชือกผูกหัวเสาอยู่ ต่างฉุดดึงกันไปคนละทาง… ทิดคงรู้สึกสงสัยแวะเรือเข้าไปร้องถามว่า พวกท่านทำอะไรนั่น”เสามันสั้นไป เราพยายามจะดึงมันให้ยาวอีกสักหน่อย” ทิดคงบอกว่า ท่านเอ๋ย เสาดึงมันไม่ยืดออกได้หรอก ท่านต้องการจะให้เสายาวขึ้น ก็หาเสามาต่อเข้าซิ พวกนั้นปฏิบัติตามและดีใจมากที่เสายาวออกมาตามที่ต้องการ แต่ละคนได้ชมเชยต่างๆ นานาว่า ท่านช่างมีปัญญาแท้ๆ” แล้วต่างก็หาไก่มามอบให้เป็นรางวัล

              … ทิดคงพายเรือต่อไปจนกระทั่งพบคนอีกกลุ่มหนึ่ง… เขาสร้างตึกก่ออิฐถือปูน เนื่องจากไม่มีหน้าต่างดังนั้นภายในห้องจึงมืด พวกนั้นต่างช่วยกันเอาตะกร้า กระบุง หีบ และถังต่างๆ ออกวางกลางแดด… พอสักครู่ก็ยกเข้าไปเทในห้องเพื่อให้ห้องสว่างขึ้น… แม้ว่าเขาจะขนสักเท่าไรห้องนั้นก็ไม่สว่างขึ้น… ทิดคงรู้สึกแปลกใจจึงร้องถามออกไปว่า ท่านทำอะไร ขนกันไม่รู้จักหมดจักสิ้น พวกนั้นบอกว่า พวกเราขนแดดไปเทในห้องเพื่อให้มันสว่างขึ้น ทิดคงหัวเราะ พร้อมกับบอกว่า สหายเอ๋ย ท่านอยากให้ห้องสว่าง ก็เจาะกำแพงหน้าต่างซิ… พอพูดจบทิดคงก็ขึ้นจากเรือไปช่วยทำหน้าต่างให้… ตึกที่มืดกลับสว่างขึ้นทันที พวกนั้นพากันไชโยโห่ร้องด้วยความยินดีและกล่าวคำชมเชยว่า ท่านช่างมีปัญญาจริงๆ… ทุกๆคนต่างรวบรวมรางวัลมอบให้เป็นที่ระลึก

              … ทิดคงเริ่มรู้สึกว่าที่ตนคิดว่าภรรยาและบุตรของตนโง่นั้น… พวกที่ตนมาพบนี้ยิ่งโง่กว่าเสียอีก… ทางที่ดีควรกลับไปคืนดีกับลูกเมียเสียดีกว่า… หากลูกเมียผิดพลาดไปตนยังพอจะแนะนำสั่งสอนให้เป็นคนดีได้… ทิดคงจึงกลับบ้านอยู่กันกับภรรยาและบุตรอย่างเป็นสุขต่อไป

              นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
              1. อันคนโง่นั้นมีอยู่ทั่วไป… อย่าคิดว่ามีแต่คนในครอบครัวเราเท่านั้น… ทางแก้ปัญญามิใช่จะหนีปัญหา… พึงใช้ปัญญาแก้ไข… เช่น อบรม สั่งสอน ชี้แนะแนวทางให้
              2. คติ เหนือฟ้ายังมีฟ้า

              นิทานล้านนา เรื่องย่าผันคอเหนียง

              กาลก่อน ณ หมู่บ้านตั้งอยู่ในชนบท ไกลออกไปจากเมืองหลวง ชาวบ้านมีอาชีพทำไร่ ทำนาหาของป่ามาขาย หมู่บ้านแห่งนี้มีหญิงสาวรูปร่างอาภัพผู้หนึ่ง นางไม่มีชายหนุ่มผู้ใดไปเที่ยวหาเลยเนื่องจากนางคอพอกโตใหญ่น่าเกลียด ชาวบ้านเรียกนางว่า อีตาคอเหนียง

              ทุกๆคืนแม้ว่านางจะนั่งปั่นฝ้ายอยู่กลางลานบ้านรอหนุ่มๆมาเที่ยวหา ก็ปรากฏว่าไม่มีใครมาหานางเลย แม้ว่าจะได้ยินเสียงร้องเพลงและเล่นดนตรีของพวกหนุ่มๆที่ผ่านมา นางคิดว่าเขาคงจะแวะมาเที่ยวหาตน แต่ปรากฏว่าหนุ่มเหล่านั้นกลับเลยไปบ้านอื่นเสียทุกๆคราว

              เมื่อเป็นเช่นนี้ นางสาวตารู้สึกน้อยใจ อยากจะตายเสียให้พ้นความชอกช้ำใจ วันหนึ่งขณะที่นางเห็นปลอดคน จึงจัดการตระเตรียมเครื่องใช้ตั้งใจว่าจะเข้าไปตายในป่าเสียให้รู้แล้วรู้รอดไป บางทีความตายอาจช่วยให้ตนพ้นทุกข์ไปได้… นางมุ่งหน้าออกเดินทางเข้าป่าขึ้นเขาไป โดยตั้งใจเด็ดขาดว่าเป็นตายร้ายดีจะไม่ยอมกลับบ้าน วันที่ 14 นางบรรลุถึงกลางดงลึก ซึ่งนางเลือกว่าที่นี่คงจะไม่มีใครตามมารบกวน นางคงจะตายอย่างเป็นสุข

              … เนื่องจากความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า นางล้มฟุบเป็นลมอยู่กลางดงนั้นเอง ขณะที่นางนอนสลบไสลอยู่ที่นั้น คืนวันนั้นเป็นคืนที่เหล่าผีป่าทั้งหลายตระเตรียมยืมข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ เพื่อนำไปใช้ในการจัดงานเลี้ยงดูกันตามประเพณีของตน
              ผีตนหนึ่งเดินมาเห็นคอพอกของนางสาวตา มันคิดในใจว่า เราอุตส่าห์ยืมหม้อแกงที่ไหนๆก็หาไม่ได้ เพิ่งมาพบที่นี่ ผีจึงตรงคว้าเอาคอพอกของนางไป พร้อมกับพูดว่า แม่นาง ข้าขอยืมหม้อแกงหน่อยนะ เสร็จธุระแล้วจะเอามาส่งให้… นางสาวตารู้สึกตัวตื่นขึ้น เอามือคลำต้นคอของตนรู้สึกว่าคอพอกของตนที่เป็นอยู่นั้น ขณะนี้หายไปสิ้น นางรู้สึกดีใจยิ่งนัก รีบวิ่งบ้างเดินบ้างจนถึงบ้านโดยไม่เหน็ดเหนื่อย พอถึงบ้านก็เล่าเรื่องราวทั้งหลายให้เพื่อนๆฟัง

              เพื่อนๆที่ทราบเรื่องคอพอกของสาวตาหาย ต่างพากันมาซักถามจนรู้ถึงเรื่องราว ณ ที่นั้น มีหญิงสาววัยกลางคนผู้หนึ่งชื่อ “ผัน” แกก็คอพอกเหมือนกัน แต่ไม่ได้โตใหญ่เท่าของสาวตา นางเองต้องการอยากให้คอพอกของตนหาย นางเฝ้าซักไซ้ไล่เลียงจนทราบความจริง…นางผันจึงออกเดินเข้าป่าไป เป็นเวลาร่วมๆสิบวัน จนถึงป่าที่นางสาวตาไปนอนสลบไสล ด้วยความเหน็ดเหนื่อยและอ่อนเพลียนางจึงแวะพักนอนกลางวันกลางทางนั่นเอง

              … เมื่อผีมาดูนางสาวตาไม่พบ มันเห็นหญิงวัยกลางคนนอนแทนที่ จึงส่งหม้อนั้นคืน พอรุ่งเช้านางผันตื่นขึ้น เมื่อเอามือลูบคลำคอของตน แทนที่คอพอกของตนจะหาย กลับโตกว่าเดิมขึ้นอีกมากมาย นางร้องไห้เสียใจที่ตนเสียแรงอุตส่าห์ดั้นด้นเข้าป่ามาทั้งทีอยากจะให้คอพอกหาย… กลับกลายเป็นโตยิ่งกว่าเดิมเสียอีก เมื่อเป็นเช่นนี้นางผันไม่รู้จะทำอย่างไร… เมื่อหมดหนทางแก้ ประกอบกับนางคิดไว้ว่าวัยของตนก็ล่วงเข้ากลางคนแล้ว แม้ว่าคอจะพอกก็ไม่เห็นเป็นอะไร สู้ตนพยายามทำความดีแล้วความดีนั้นคงจะสนองให้นางเป็นสุขใจได้บ้างกระมัง…

              …นับแต่นั้นมา นางพยายามประกอบกรรมดี ช่วยเหลือกิจกรรมงานของชาวบ้านโดยไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย ชาวบ้านทุกคนถึงกับออกปากสรรเสริญคุณงามความดีที่นางได้ปฏิบัติไป ถึงแม้ว่านางจะตายไปหลายปีแล้วก็ตาม ชาวบ้านยังกล่าวขวัญถึงนางเสมอว่า “ใจบุญเหมือนย่าผันคอเหนียง”

              นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
              1. ดั่งคติที่ว่า “แข่งเรือแข่งพายแข่งได้ แข่งบุญแข่งวาสนาแข่งไม่ได้”
              2. โชควาสนาของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน…แต่ทุกคนสามารถสร้างโชควาสนาให้ดีให้มีมากขึ้นได้ด้วยตัวเราเอง…หากมีความตั้งใจจริง
              ทิดคงเดินทางลงเรือไปยังเมืองอื่นๆ
              ทิดคงเดินทางลงเรือไปยังเมืองอื่นๆ

              นิทานล้านนา เรื่องคนแจวเรือจ้างกับนักศึกษา

              มีนักศึกษาผู้คงแก่เรียนคนหนึ่ง ได้ทำการว่าจ้างเรือแจวให้พาข้ามฟาก ในขณะที่ท้องฟ้าเต็มไปด้วยเมฆดูมืดครึ้ม และลมเริ่มพัดจนน้ำเกิดเป็นระลอกคลื่นเล็กๆ เรือแจวได้แล่นไปอย่างช้าๆ จนเมื่อเรือได้เข้าสู่กระแสน้ำอันเชี่ยวกราด คนแจวเรือจึงต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างมาก ส่วนฝ่ายนักศึกษานั้นกำลังนั่งก้มหน้าหนังสือเล่มใหญ่อยู่ จนในที่สุดนักศึกษาก็ได้เงยหน้าขึ้นมาจากตำราแล้วมองไปยังคนแจวเรือและพูดคุย
              “ลุงๆ เคยอ่านหนังสือประวัติศาสตร์บ้างไหม?” นักศึกษาเอ่ยถามขึ้น
              “ไม่เคยเลยครับ” คนแจวเรือจ้างตอบด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
              นักศึกษาจึงพูดขึ้นว่า “ถ้างั้นลุงก็พลาดโอกาสเสียแล้วหละ ในหนังสือประวัติศาสตร์นะลุง เต็มไปด้วยเรื่องราวที่น่าอ่าน มีเรื่องของกษัตริย์และพระราชินีในสมัยอดีต รวมถึงเรื่องของสงคราม การต่อสู้ ทำให้เราสามารถรู้ว่าคนในสมัยโบราณ ใช้ชีวิตกันแบบไหน แต่งกายกันอย่างไร ประวัติศาสตร์จะบอกให้ได้รู้ถึงความเจริญและความเสื่อมลงของชนชาติต่างๆ ทำไมลุงไม่อ่านประวัติศาสตร์บ้างเล่า?”
              “ผมไม่เคยเรียนหนังสือครับ” คนแจวเรือตอบ

              ในเวลานั้นคนแจวเรือก็ยังคงแจวเรือต่อไป ส่วนนักศึกษาก็ก้มหน้าอ่านตำราต่อไป คงมีแต่เสียงใบแจวกระทบพื้นน้ำเท่านั้น เมื่อผ่านไปสักครู่หนึ่ง นักศึกษาก็เอ่ยถามคนแจวเรือขึ้นอีก
              “ภูมิศาสตร์เล่าลุง เคยอ่านบ้างไหม?” นักศึกษาเอ่ยถาม
              “ไม่เคยเลยครับ” คนแจวเรือตอบ
              นักศึกษาจึงกล่าวว่า “ภูมิศาสตร์ เป็นวิชาที่สอนให้เราได้รู้จักกับโลกและประเทศต่างๆ และยังรวมถึงกระทั่งภูเขา แม่น้ำ ลม พายุ ฝน นะลุง วิชาภูมิศาสตร์เป็นวิชาที่น่าสนใจมาก ลุงไม่รู้จักวิชานี้เลยรึ?”
              “ไม่เคยเลยครับ” คนแจวเรือตอบ
              นักศึกษาส่ายหน้า “ถ้าไม่รู้จักวิชานี้ ชีวิตลุงก็เหมือนไม่มีค่าอะไรเลย”
              “วิทยาศาสตร์ละลุง เคยอ่านบ้างรึเปล่า”
              “ไม่เคยอีกแหละคุณ” คนแจวเรือตอบ
              “ลุงเนี่ยนะเป็นคนยังไงกันแน่? วิทยาศาสตร์ที่ช่วยอธิบายถึงเหตุและผลต่างๆ ลุงรู้มั้ยความก้าวหน้าของคนเราในทุกวันนี้ขึ้นอยู่กับวิทยาศาสตร์โดยตรงเลยนะ นักวิทยาศาสตร์เป็นคนที่สำคัญอย่างมากในโลกนี้เลยก็ว่าได้ แต่นี่อะไรลุงกลับไม่รู้เรื่องพวกนี้เอาเสียเลย ชีวิตของลุงช่างมีค่าน้อยเสียเหลือเกิน”
              นักศึกษาปิดตำราของเขาและนั่งเงียบไม่พูดอะไรขึ้นอีก

              ในช่วงเวลานั้นก้อนเมฆสีดำได้แผ่ขยายและปกคลุมเต็มไปทั่วทั้งท้องฟ้า ลมเริ่มพัดแรงขึ้น มีฟ้าแลบแปลบปลาบ เป็นเหตุบอกว่าพายุกำลังจะมา และเรือก็ยังเหลือระยะทางอีกกว่าครึ่งซึ่งไกลมากกว่าจะถึงฝั่ง

              คนแจวเรือแหงนขึ้นมองท้องฟ้าด้วยสีหน้าที่หวาดหวั่น “ดูเมฆนั่นซิคุณ พายุคงจะมาถึงเราในไม่ช้า คุณว่ายน้ำเป็นไหมครับ?”
              นักศึกษาพูดขึ้นอย่างตื่นตกใจกลัว “ว่ายน้ำ ผมว่ายไม่เป็นหรอกลุง”
              บัดนี้คนแจวเรือเป็นฝ่ายเลิกคิ้วมองนักศึกษาอย่างประหลาดใจบ้างแล้ว และพูดว่า “อะไรกัน นี่คุณว่ายน้ำไม่เป็นหรอกรึ คุณมีความรอบรู้มากมายออกขนาดนี้ ประวัติศาสตร์เอย ภูมิศาสตร์เอย และวิชาวิทยาศาสตร์เอยคุณก็รู้ แต่ทำไมคุณถึงไม่ไปเรียนการว่ายน้ำด้วยเล่า อีกสักประเดี๋ยวเถอะ คุณก็จะได้รู้ว่าชีวิตของคุณไม่มีค่าเลย”
              ลมพายุพัดแรงขึ้นเรื่อยๆ เรือแจวลำน้อยถูกคลื่นและลมโหมซัดพัดกระหน่ำใส่เข้ามา ในไม่ช้าไม่นานเรือแจวก็ถูกคลื่นและพายุซัดจนเรือพลิกคว่ำ คนแจวเรือจ้างสามารถว่ายน้ำขึ้นฝั่งมาได้อย่างปลอดภัย แต่ทว่านักศึกษาผู้น่าสงสารได้จมหายไปในกระแสน้ำอันเชี่ยวกราดนั้นแล้ว

              นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
              อย่าได้เที่ยวไปมองคนอื่นว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้และคิดดูถูกดูแคลนว่าเขาต่ำต้อยกว่าเรา…แต่เราควรหันมามองตัวเองว่าจิตใจเรานั้นต่ำต้อยกว่าคนอื่นบ้างหรือเปล่า และพัฒนาฝึกจิตใจเราให้ดียิ่งๆขึ้นไป ความรู้ท่วมหัว…แต่เอาตัวไม่รอด ชัยชนะใดๆ ในโลกนี้ ไม่ยิ่งใหญ่เท่า…ชนะใจตนเอง

              นิทานล้านนา เศรษฐีกับยาจก

              กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายสองคนเป็นเพื่อนกัน ชายคนแรกมีชีวิตอยู่เพียงลำพังไม่มีครอบครัวหรือญาติพี่น้อง แต่เขามีทรัพย์สมบัติ มีฐานะร่ำรวย… แต่ชายคนที่สองมีครอบครัวแต่ฐานะยากจน

              อยู่มาวันหนึ่งชายคนแรกบอกกับชายคนที่สองว่าถึงเจ้าจะมีภรรยามีลูกแล้ว แต่ข้าก็ไม่เคยนึกอิจฉาเจ้าเลยเพราะว่าเจ้ายากจน ข้าแม้จะอยู่เพียงลำพังแต่ฐานะร่ำรวยกว่าเจ้า” ชายคนที่สองกลับบอกว่า แม้เจ้าจะมีฐานะร่ำรวย มีทรัพย์สินเงินทองมาก แต่ข้าก็ไม่นึกอิจฉาเจ้าเหมือนกัน เพราะข้ามีภรรยา มีลูก ข้ามีข้าวกิน มีลูกหลานคอยปรนนิบัติดูแลข้าอย่างใกล้ชิด… แต่เจ้าต้องอยู่โดดเดี่ยวและทำงานเองทุกอย่าง ไม่มีคนช่วย” ชายคนแรกก็บอกอีกว่า แต่บ้านข้ามีทุกอย่างที่บ้านเจ้าไม่มี”

              ดังนั้นเมื่อต่างคนต่างก็เห็นว่าตัวเองมีชีวิตที่สุขสบายกว่า ชายคนที่สองจึงออกความเห็นว่าให้เปลี่ยนกันไปกินข้าวบ้านละเมื้อ โดยไปกินข้าวที่บ้านของคนแรกก่อน พอไปถึงบ้านของชายคนแรกพบว่าภายในบ้านมีทรัพย์สมบัติทุกอย่างครบถ้วน แต่เขาไม่มีคนช่วยงานบ้านเลย ต้องทำงานทำอาหารเองทุกอย่าง เขาจึงต้องเหนื่อยเพียงคนเดียว

              ต่อมาวันรุ่งขึ้นก็เปลี่ยนไปกิน ข้าวที่บ้านของชายคนที่สองต่อ ชายคนแรกจึงพบว่าชายคนที่สองแทบจะไม่ได้ทำอะไรเลย เขาเพียงแต่นั่งอยู่เฉยๆพูดเคยกับเขาบ้าง พูดกับลูกหลานบ้างอย่างมีความสุข ลูกๆของเขาเป็นคนจัดการทุกอย่าง กวาดบ้าน เลี้ยงสัตว์ ทำอาหาร พอถึงเวลากินข้าว ลูกๆก็เข้ามาอุ้มชายคนที่สองและภรรยาไปกินข้าว พอกินได้สักช่วงชายคนที่สองก็บ่นว่าหนาว อยากไปกินข้าวข้างนอก ลูกๆจึงยกสำรับกับข้าวไปไว้หน้าบ้าน และอุ้มพ่อแม่ไปด้วยต่างคนต่างช่วยกัน โดยไม่เกี่ยงกันแต่พอกินได้สักพักก็บ่นว่าร้อนอีกลูกๆก็ช่วยกันเคลื่อนย้าย เข้าไปในบ้านอีก

              … หลังจากกินข้าวเสร็จชายคนที่สองจึงถามชายคนแรกว่า เจ้ารู้หรือยังว่าใครสุขสบายที่สุด เพราะข้าไม่ต้องทำอะไรเลย…มีคนช่วยเหลือข้าทุกอย่างไม่ว่าข้าจะเคลื่อนไหวไปทางใดข้าเปรียบเสมือน… กษัตริย์ที่มีบริวารให้รับใช้มากมาย… ในขณะที่เจ้ามีเงินทองแต่ไม่มีความสุขเลย เพราะเจ้าต้องเหนื่อยไม่มีบริวารให้รับใช้เหมือนข้า ข้าจึงไม่อิจฉาเจ้าเลย”

              นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
              การอยู่เพียงลำพังไม่มีครอบครัวหรือญาติพี่น้อง… ทำให้ลำบาก เหนื่อยต้องทำเอง ถ้าไม่ทำก็ไม่มีกิน
              แต่ถ้ามีครอบครัวดี…ก็เหมือนกษัตริย์ มีลูกหลานคอนดูแลอย่างใกล้ชิดแทบไม่ต้องทำอะไรเลย

               

              นิทานล้านนา เรื่องคนคดดีหรือคนซื่อดี

              มีชายสามคนซึ่งเป็นเพื่อนกัน… อยู่มาวันหนึ่งก็ได้ชวนกันไปเที่ยวหมู่บ้านอื่น พอไปได้ครึ่งทางเก็บเงินได้ …ชายอีกสองคนนั้นคิดไม่ซื่อกับเพื่อนอีกคนหนึ่ง โดยการออกเสียงว่า คนคดกับคนซื่ออย่างไหนจะดีกว่า เพื่อนอีกคนบอกว่า คนซื่อดีกว่า แต่อีกสองคนที่ได้วางแผนกันไว้ก็บอกว่า คนคดดีกว่า… สรุปแล้วสองคนนี้จึงชนะ เลยไม่แบ่งเงินให้เพื่อนคนที่บอกว่าคนซื่อดีกว่า

              ในระหว่างการเดินทางพวกเขาก็ได้เข้าพักหมู่บ้านร้างแห่งหนึ่ง คนที่ถูกรังแกฝันว่าเห็นเทพองค์นาง และเทพบอกกับเขาว่าในเมืองนี้มีพระธิดาทรงป่วย ไม่มีใครรักษาได้ ให้เจ้าเอาฟืน 3 มัด ไปเผาก้อนหินก้อนใหญ่ๆ ที่อยู่ใกล้ๆ เมือง พอก้อนหินไหม้ก็จะกลายเป็นแม่น้ำ ชาวบ้านก็ได้ทำนาอาการของพระธิดาก็จะหายจากการป่วย

              พอรุ่งขึ้นมาเขาได้ทำตามที่เทพบอกและทุกอย่างก็เป็นจริง พระราชาทรงพระราชทานรางวัลให้ชายคนนี้ พอเพื่อนอีกสองคนเห็นก็มาหา แล้วถามว่า เจ้าทำอย่างไรถึงได้ดีขนาดนี้ ชายคนนี้ก็บอกว่า ข้าเป็นคนซื่อข้าก็ได้ดี เจ้าสองคนละเป็นอย่างไรบ้าง ไหนว่าคนคดดีกว่าไม่ใช่หรือทำไมถึงมีสภาพอย่างนี้” และเขาก็หัวเราะดังๆออกมาอย่างมีความสุข

              นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
              “ซื่อกินไม่หมด…คดกินไม่นาน”

              นิทาน ที่ ทีมกองบรรณาธิการ ABK นำเสนอนี้ ได้สอดแทรกให้เห็นถึงวัฒนธรรม ความเป็นอยู่ ของผู้คนทางภาคเหนือผ่าน นิทานเรื่องสั้น ๆ ที่ปู่ย่าตายายเล่าให้ลูกหลานฟัง คงจะถูกใจคุณพ่อคุณแม่กันนะคะ

              อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

              5 นิทานพื้นบ้าน ซึมซับความเป็นไทย พร้อมคติสอนใจ!!

              โสนน้อยเรือนงาม นิทานยาวๆ เล่าให้ลูกฟังก่อนนอน

              นิทานเจ้าหญิง นิทานเสริมสร้างจินตนาการสำหรับลูกสาว

              10 นิทานอีสปสั้นๆ เล่าให้ลูกฟังก่อนนอน พร้อมคติสอนใจ

               

              ขอบคุณข้อมูลจาก : https://nitanstory.com

               

              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

              Amarin Baby & Kids

                โรคลืมใบหน้า

                แบรด พิตต์ป่วย โรคลืมใบหน้า คืออะไรน่ากลัวแค่ไหน

                แบรด พิตต์ป่วย โรคลืมใบหน้า คืออะไรน่ากลัวแค่ไหน

                “แบรต พิตต์” นักแสดงฮอลลิวูด ชื่อดัง เจ้าของรางวัลออสการ์นักแสดงสมทบชาย ระบุว่าตัวเองนั้นกำลังเป็น โรคลืมใบหน้า !! โดยตัวเค้านั้นมีอาการ คือ ไม่สามารถจดจำใบหน้าของผู้คนได้ และบางครั้งก็ลืมแม้กระทั่งใบหน้าตัวเอง โรคนี้คือ อะไร น่ากลัวแค่ไหน มาเช็คกันค่ะ ว่าคุณพ่อคุณแม่มีสิทธิเป็นโรคนี้ไหม

                โรคลืมใบหน้า คืออะไร

                โรคนี้ หมายถึง อาการที่ไม่สามารถจดจำใบหน้าของใครได้เลย แม้แต่คนใกล้ชิด อย่าง พ่อแม่ ญาติ และเพื่อน โรคนี้มักจะเป็นกันตั้งแต่กำเนิด และมีแนวโน้มที่จะเป็นไปตลอดชีวิต แม้ว่าส่วนใหญ่แล้ว ผู้ป่วยโรคลืมใบหน้านั้น อาจจะไม่สามารถจดจำได้แค่เฉพาะใบหน้าของมนุษย์ด้วยกัน แต่ก็มีบางส่วน ที่อาการนั้นจะครอบคลุมไปถึงความสามารถในการจดจำ และรับรู้สิ่งต่าง ๆ รอบตัว เช่น สัตว์เลี้ยง รถยนต์ หรือสิ่งของเครื่องใช้อีกด้วย

                ผู้ป่วยโรคลืมใบหน้าส่วนใหญ่ มักจะมีเทคนิคในการจดจำคน แทนการจำใบหน้า ด้วยการจำลักษณะท่าทาง การพูด การแสดงออก รูปร่าง การแต่งกาย ทรงผม เสียง หรืออะไรก็ตามที่เป็นเอกลักษณ์ เพื่อให้พวกเขาสามารถแยกแยะคนออกจากกันได้ แต่เทคนิคเหล่านี้ ใช่ว่าจะสามารถใช้ได้กับทุกคน และอาจจะไม่ได้ผลทุกครั้ง ยิ่งโดยเฉพาะเวลาที่ต้องพบเจอกับคนใหม่ ๆ

                โรคลืมใบหน้า
                แบรด พิตต์ป่วย โรคลืมใบหน้า คืออะไรน่ากลัวแค่ไหน

                ภาวะจดจำใบหน้าไม่ได้ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท

                1. ภาวะจดจำใบหน้าไม่ได้ ที่เป็นมาแต่กำเนิด Developmental Prosopagnosia ซึ่งผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีอาการตั้งแต่เด็ก ทำให้จดจำใบหน้าคนได้ล่าช้าแต่พัฒนาการส่วนอื่นมักจะปกติ

                2. ภาวะจดจำใบหน้าไม่ได้ที่เป็นภายหลัง Acquired Prosopagnosia ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บของสมองที่มักเป็นซีกขวา เกิดในวัยผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น การเกิดหลอดเลือดสมองตีบ หรือแตก, การติดเชื้อ, การอักเสบจากภาวะแพ้ภูมิตนเอง, เนื้องอกสมอง, อุบัติเหตุทางสมอง หรือแม้กระทั่งสมองเสื่อมบางชนิด ก็มีโอกาสทำให้เกิดภาวะนี้ได้ทั้งสิ้นอาการหลัก คือ ผู้ป่วยจะจดจำใบหน้าคนไม่ได้ แม้เป็นคนที่รู้จักมักคุ้นมาก่อน เช่น ญาติพี่น้องที่ใกล้ชิด โดยมักจะยังจำเกี่ยวกับตัวตนบุคคลนั้นได้ โดยการเล่าจากลักษณะต่าง ๆ ให้ฟัง หรืออาจคาดเดาจากเสียง  ท่าเดิน หรือลักษณะการแต่งตัวได้

                อาการ

                • ไม่สามารถจดจำใบหน้าของคนใกล้ชิดได้ ไม่สามารถนึกหน้าของคนที่รู้จักได้ แม้ว่าจะใกล้ชิดสนิทสนมเพียงใด
                • สับสนกับตัวละครในหนัง ผู้ป่วยมักจะไม่ชอบที่จะดูภาพยนตร์ หรือละคร เนื่องจากมักจะสับสน และไม่สามารถแยกแยะตัวละครออกจากกันได้
                • จำไม่ได้แม้แต่หน้าตัวเอง บางคนอาจจะไม่สามารถจดจำได้แม้แต่กระทั่งกับใบหน้าของตัวเอง โดยเฉพาะเวลามองมองรูปถ่าย แล้วไม่สามารถระบุได้ว่าตัวเอง คือคนไหน
                • จำไม่ได้หากคุณเปลี่ยนทรงผม ผู้ป่วยส่วนใหญ่ มักจะใช้วิธีในการจดจำทรงผม แทนการจำใบหน้า ดังนั้นหากเปลี่ยนทรงผม ก็อาจทำให้พวกเขาไม่สามารถจำได้

                ผลกระทบจากการเป็นโรคนี้

                ผลกระทบที่สำคัญ คือ

                • การสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่น เนื่องจากพวกเขาไม่สามารถจดจำใบหน้าผู้อื่นได้ และการจะหวังพึ่งการจำทรงผม เสื้อผ้า น้ำเสียง หรือท่าทาง ก็ไม่สามารถช่วยได้เสมอไป ดังนั้นการจะสานสัมพันธ์กับผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนรัก หรือเพื่อนร่วมงานจึงเป็นไปได้ยาก
                • ส่งผลกระทบได้ถึงหน้าที่การงาน เพราะการไม่สามารถจดจำใบหน้าได้ เป็นการจำกัดเส้นทางใช้ชีวิตบางส่วนไป เช่น การจะไปติดต่อลูกค้า หากไม่สามารถจำหน้าลูกค้าได้ ก็อาจจะส่งผลให้เกิดปัญหาในภายหลัง
                • ส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมการแสดงออกของผู้ที่เป็นโรคนี้ ผู้ที่เป็นโรคลืมใบหน้านั้น มักจะหลีกเลี่ยงการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น จนสุดท้าย ก็กลายเป็นโรคหวาดกลัวการเข้าสังคมไปในที่สุด และยิ่งหากไม่สามารถจดสิ่งของรอบตัวได้ ก็จะสิ่งสร้างปัญหาในการใช้ชีวิตประจำวันขึ้นอีกด้วย

                การรักษา

                ทั้งนี้ หากสงสัยว่ามีคนใกล้ชิดมีภาวะจดจำใบหน้าไม่ได้ หรือมีความผิดปกติด้านการมองเห็นอื่น ๆ ร่วมด้วย ควรรีบพาไปพบแพทย์ทันที เพื่อประเมินอาการ ตรวจวัดระดับสายตา ลานสายตา ตรวจวัดการมองเห็น ทำแบบทดสอบสมรรถภาพสมอง และตรวจภาพถ่ายรังสีสมอง เพื่อวินิจฉัยสาเหตุ และอาจพิจารณาส่งปรึกษาแพทย์ประสาทวิทยาเพื่อให้การประเมินเพิ่มเติม

                สำหรับการรักษา จะเน้นการรักษาตามสาเหตุเป็นหลัก เช่น การผ่าตัดเลือดออกในสมอง หรือเนื้องอก การให้ยาต้านอักเสบหรือฆ่าเชื้อ

                ในกรณีเกิดจากสาเหตุแต่กำเนิด หรือสมองเสื่อม จะเน้นรักษาตามอาการ โดยการฝึกจดจำใบหน้า โดยนักกิจกรรมบำบัด เป็นต้น

                ขอบคุณข้อมูลจาก

                Hello คุณหมอ, คมชัดลึก, ไทยรัฐ ออนไลน์

                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                 อ่านต่อบทความ ดี ๆ คลิก

                ทำไมแม่หลังคลอดขี้ลืม ความจำสั้น หรือคือสัญญาณของความจำเสื่อม

                ระวังเด็กถูกลืม! 9 ข้อสำคัญต้องท่องจำเมื่อพาลูกเที่ยว

                ขี้ลืม หรือ สมาธิสั้น ..ลูกทำอะไรๆ หายตลอด

                  Tags

                  เพราะเวลาทั้งหมดเพื่อลูก! ระวัง”แม่ฟลูไทม์” ซึมเศร้า

                  ซึมเศร้า โรคใกล้ตัวกว่าที่คิด เมื่อผลสำรวจพบ แม่ฟลูไทม์ มีภาวะซึมเศร้ามากกว่าแม่ที่ไปทำงานเสียอีก มาดูวิธีจัดการอารมณ์ให้เราเป็นแม่ที่แกร่งที่สุดในปฐพีกัน

                  เพราะเวลาทั้งหมดเพื่อลูก! ระวัง”แม่ฟลูไทม์” ซึมเศร้า

                  แม่ฟลูไทม์ (Full Time) อาชีพใหม่ที่ผู้หญิงหลาย ๆ คนเลือก เพื่อต้องการทุ่มเทชีวิต จิตใจ และเวลา ให้ลูกน้อยของเราให้ได้เติบโตขึ้นมาภายใต้การดูแลของผู้หญิงที่มีความหวังดีกับลูกมากที่สุด ผู้หญิงที่ถูกเรียกว่า “แม่”

                  อาชีพ แม่ฟลูไทม์ เป็นอาชีพที่ไม่มีให้เลือกอยู่ในช่องกรอกตำแหน่งใด ๆ แต่รู้หรือไม่ว่า กลับกลายเป็นอาชีพที่มีหน้าที่ตลอดแทบทั้งวัน ไม่มีวันหยุด ยิ่งกว่าร้านสะดวกซื้ออีกนะเออ แม้จะเป็นหน้าที่ที่ดูเหมือนหนักหนามากแค่ไหนก็ตามที แต่แม่ทุกคนก็ทำด้วยความเต็มใจ และยังมีผู้หญิงที่เป็นแม่อีกหลาย ๆ คนแอบอิจฉา กับการได้เป็นแม่ที่เลี้ยงดูลูกได้เต็มเวลา

                  เมื่อลูกเกิด แม่บางคนตัดสินใจทิ้งงาน มาเป็นแม่เต็มเวลา
                  เมื่อลูกเกิด แม่บางคนตัดสินใจทิ้งงาน มาเป็นแม่เต็มเวลา

                  ข้อดีของการเป็นแม่ (พ่อ) ฟลูไทม์

                  การที่เด็กได้รับการดูแลอย่างเต็มที่ไม่ว่าจะเป็นแม่หรือพ่อก็ตามนั้น ส่งผลดีต่อเด็กในทุกช่วงอายุทั้งในด้านของพฤติกรรม และพัฒนาการเรียนรู้ อีกทั้งยังส่งผลดีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยเฉพาะในระดับประถมศึกษา วัยที่เป็นการเรียนรู้พื้นฐานด้านวิชาการ และพัฒนาการหลากหลายด้าน ในแง่ของความประพฤติ ยังพบว่าเด็มีความเครียดน้อยกว่า และก้าวร้าวน้อยกว่าอีกด้วย

                  หากลองจำแนกข้อดีของการเลี้ยงลูกแบบเต็มเวลาแล้ว ได้ข้อดีดังต่อไปนี้ (ใครมีข้อดีเพิ่มเติมจากนี้สามารถบอกกล่าวต่อกันอีกได้นะ)

                  1. ได้เห็นพัฒนาการทุกช่วงเวลาของลูก นอกจากเราจะได้เห็นการเจริญเติบโตของลูกทางด้านร่างกายแล้ว ยังได้เป็นผู้ร่วมก่อร่างสร้างพัฒนาการด้านจิตใจ อารมณ์ สติปัญญาให้แก่เขาในแนวทางที่เราเห็นว่าเหมาะกับลูกอีกด้วย ช่วงเวลาที่ได้เห็นลูกคลานครั้งแรก พูดได้คำแรก และอีกหลาย ๆ พัฒนาการนั้น ช่างเป็นช่วงเวลามีค่า ที่แม่จะจดจำไปไม่ลืมจริง ๆ
                  2. ได้ดูแลโภชนาการของลูกด้วยตนเอง การได้ทำอาหารให้ลูกรับประทานนั้น นอกจากจะสามารถดูแลโภชนาการที่ดีให้กับลูกแล้ว คุณยังสามารถมีโอกาสได้สังเกตอีกด้วยว่าลูกแพ้อาหารชนิดใดบ้าง หรือไม่
                  3. ปลอดภัย แน่ละว่า ไม่มีใครรัก และเลี้ยงลูกของเราได้ดีเท่าตัวแม่เอง การที่แม่สามารถเลี้ยงลูกได้เอง ไม่ได้ไปฝากให้ใครเลี้ยงให้ย่อมมีความปลอดภัย ทั้งต่อร่างกาย ไม่ต้องกลัวลูกถูกทำร้าย และต่อจิตใจของลูก

                  เห็นข้อดีกันไปมากมายแบบนี้แล้ว คุณแม่บ้านไหนที่ไม่สามารถเลี้ยงลูกได้เต็มเวลาก็อย่าเพิ่งอิจฉากันไปเลย เพราะในความโชคดีที่ได้เป็นแม่ฟลูไทม์นั้น ก็แฝงไปด้วยเรื่องเครียด และข้อเสียในแบบที่คุณแม่ที่ได้ไปทำงานไม่อาจรู้

                  แม่ฟลูไทม์ ได้เห็นทุกพัฒนาการของลูก
                  แม่ฟลูไทม์ ได้เห็นทุกพัฒนาการของลูก

                  แม่ฟลูไทม์ กับอาการ ซึมเศร้า !!

                  จากการสำรวจความคิดเห็นของบรรดาคุณแม่ในสหรัฐอเมริกา ที่มีอายุระหว่าง 18-64 ปี ทางโทรศัพท์ พบว่า คุณแม่ฟลูไทม์นั้น มีโอกาสเกิดอารมณ์ในเชิงลบได้มาก ซึ่งอาจเทียบเท่าหรือมากกว่าคุณแม่ที่ต้องทำงานประจำ

                  โดยจากผู้ร่วมตอบแบบสอบถามจำนวน 60,799 ราย พบว่า แม่ฟลูไทม์ และแม่ที่ทำงานนั้นมีปัญหาเรื่องดังต่อไปนี้ แตกต่างกัน

                  • วิตกกังวล มี 41%ของแม่ฟลูไทม์ ระบุว่า ตนเองเป็นคนช่างวิตกกังวล และ 34%ของแม่ทำงานเท่านั้นที่รู้สึกถึงอาการนี้
                  • ภาวะซึมเศร้า แม่ฟลูไทม์เคยเกิดภาวะซึมเศร้า 28% เทียบกับแม่ที่ทำงานที่มีเพียง 17%
                  • ความรู้สึกในแง่บวกกับตนเอง พบในแม่ทำงานถึง 91% ส่วนแม่ฟลูไทม์มีเพียง 86%

                  นอกจากอารมณ์ซึมเศร้า และความวิตกกังวลแล้ว ความเครียด และอารมณ์โกรธก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ผลสำรวจชี้ว่าแม่ฟูลไทม์มีสูงกว่าแม่ทำงานด้วย

                  ดร.Robi Ludwig นักจิตวิทยาชื่อดังในนิวยอร์ก เผยว่า “การอยู่โดดเดี่ยว คือ สัญญาณอันตราย เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม การที่มนุษย์แยกตัวอยู่คนเดียว จะยิ่งเพิ่มความรู้สึกไม่ดีให้กับตัวเอง มองเห็นสิ่งต่างๆ รอบตัวไม่ถูกใจ หรืออาจกล่าวได้ว่า การอยู่อย่างโดดเดี่ยวนั้นจะทำให้ผู้คนมองโลกในแง่ลบ และอาจเกิดการทำร้ายตัวเองได้”

                  ดังนั้นการที่แม่ฟลูไทม์เกิดความรู้สึกในแง่ลบขึ้นได้โดยง่าย สาเหตุมาจากการต้องเลี้ยงดูลูกอยู่เพียงลำพัง ทำให้มีโอกาสพูดน้อยลง ได้พบปะสังสรรค์น้อยลง ภาระงานต่าง ๆ ในบ้านก็อยู่ในความดูแลเพียงคนเดียว เรียกได้ว่าต้องแบกภาระหน้าที่บนบ่าเพียงลำพัง ทั้งการเลี้ยงลูก การทำงานบ้าน การดูแลเรื่องอาหารให้กับคนในครอบครัว ซึ่งเป็นงานที่ไม่มีวันเสร็จเสียด้วย ทำให้แม่ฟลูไทม์นั้นไม่มีโอกาสที่จะได้รู้สึกถึงความสุข ความร่าเริง ในชีวิต

                  แม่ฟลูไทม์ มีภาวะ ซึมเศร้า สูงกว่าแม่ทำงาน
                  แม่ฟลูไทม์ มีภาวะ ซึมเศร้า สูงกว่าแม่ทำงาน

                  ซึมเศร้า เรื่องใหญ่ อย่า! ละเลย

                  โรคซึมเศร้าเกิดจากความผิดปกติของสมองในส่วนที่มีผลกระทบต่อความคิด อารมณ์ ความรู้สึก พฤติกรรม รวมถึงสุขภาพทางกาย แต่ที่คนส่วนใหญ่รู้เกี่ยวกับโรคซึมเศร้าก็มักจะนึกถึงเพียงอาการหรือสภาพจิตใจที่เปลี่ยนไป จึงคิดว่าโรคซึมเศร้าเกิดจากความผิดหวัง หรือการได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจ และจะสามารถรักษาหรือแก้ไขได้ด้วยการให้กำลังใจ ซึ่งในความจริงแล้ว โรคซึมเศร้าเป็นโรคที่เกิดจากความไม่สมดุลของสารสื่อประสาท 3 ชนิด คือ ซีโรโตนิน นอร์เอปิเนฟริน และโดปามีน จึงจำเป็นที่ต้องได้รับการรักษาจากจิตแพทย์ เพราะนอกจากจะต้องบำบัดอย่างถูกวิธีแล้ว ยังอาจจะต้องใช้ยาในการรักษาร่วมด้วย

                  ซึมเศร้า ไม่ใช่ก็แค่…เศร้า!

                  ปัจจุบันโลกของเรามีประชากรราว 7.6 พันล้านคน และมีคนเป็นโรคซึมเศร้าถึง 300 ล้านคน หรือเกือบ 4% เลยทีเดียว ส่วนในคนไทยเองนั้นพบว่ามีผู้ป่วยโรคซึมเศร้าถึง 1.5 ล้านคน หรือ 2.2% ของคนไทยทั้งหมด 69 ล้านคน และน่าตกใจว่าคนไทยฆ่าตัวตายสำเร็จถึง 4,000 คนต่อปี ซึ่งสาเหตุสำคัญของการฆ่าตัวตายก็คือโรคซึมเศร้านั่นเอง

                  ปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าประกอบไปด้วยพันธุกรรม สิ่งแวดล้อม และการใช้ชีวิต

                  • หากมีฝาแฝดคนหนึ่งเป็นโรคซึมเศร้า หรือ bipolar ฝาแฝดอีกคนมีโอกาสเป็นสูงถึง 60-80%
                  • หากคนในครอบครัวที่เป็นญาติสายตรง (พ่อ แม่ พี่ น้อง) ที่เป็นโรคซึมเศร้า ก็จะมีโอกาสเป็นมากกว่าคนทั่วไป 20%
                  • อาจสรุปได้ว่าระหว่างพันธุกรรมกับสิ่งแวดล้อม ปัจจัยที่ส่งผลให้เป็นโรคซึมเศร้านั้นเป็นสัดส่วนอยู่ที่ 40:60%
                  • การใช้ยาบางอย่างก็ส่งผลให้เกิดอาการซึมเศร้าได้ เช่น ยานอนหลับบางตัว ยารักษาสิว ยาแก้อักเสบ ยาแก้ปวด สารเสพติดหรือแอลกอฮอล์

                  9 ข้อสำรวจเข้าข่ายโรคซึมเศร้า
                  การสังเกตตัวเองหรือคนรอบข้างว่าเข้าข่ายโรคซึมเศร้าหรือไม่ สามารถตรวจจากข้อสำรวจง่ายๆ 9 ข้อนี้ ซึ่งข้อสำรวจนี้ก็ คือ เกณฑ์ที่แพทย์ใช้ในการวินิจฉัยโรคซึมเศร้า หากมีอาการ 5 ข้อขึ้นไป โดยต้องมีข้อ 1.) และ/หรือข้อ 2.) อยู่ด้วย หากอาการ 5 ใน 9 ข้อดังกล่าวเป็นยาวนานติดต่อกันเกินกว่า 2 สัปดาห์ ก็เข้าข่ายเสี่ยง ควรปรึกษาจิตแพทย์ เพื่อวิเคราะห์และหาแนวทางแก้ไขหรือรักษาต่อไป

                  งานบ้าน ไม่ใช่เรื่องของแม่บ้านคนเดียว
                  งานบ้าน ไม่ใช่เรื่องของแม่บ้านคนเดียว
                  1. รู้สึกเศร้า เบื่อ ท้อแท้ หรือหงุดหงิดง่ายอย่างต่อเนื่อง
                  2. เลิกสนใจสิ่งที่เคยชอบมากๆ หรือไม่อยากทำสิ่งที่เคยชอบทำ
                  3. พฤติกรรมการกินเปลี่ยนไป กินมากไป กินน้อยไป จนทำให้น้ำหนักขึ้นหรือลงผิดปกติ
                  4. จากที่เคยหลับง่ายก็หลับยากขึ้น หรือไม่ก็นอนมากเกินไป
                  5. มีอาการกระวนกระวายหรือเฉื่อยชาที่แสดงออกให้เห็นชัด
                  6. รู้สึกหมดเรี่ยวแรง ไม่มีพลัง ไม่อยากลุกขึ้นมาทำอะไรเลย
                  7. รู้สึกไร้ค่าหรือรู้สึกผิด โทษตัวเองในทุกๆ เรื่อง
                  8. ไม่มีสมาธิในการทำสิ่งต่างๆ มีปัญหาเรื่องการคิดหรือตัดสินใจ
                  9. คิดถึงความตายหรืออยากตาย หรืออยากฆ่าตัวตายบ่อย ๆ

                  ดูแลตัวเองไม่ให้เป็นโรคซึมเศร้า

                  1. หมั่นดูแลตนเองให้มีสุขภาพดี ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกาย พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ กินอาหารถูกสุขลักษณะ ไม่ใช้สารเสพติด ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ และเข้ารับการตรวจสุขภาพอย่างน้อยปีละครั้ง
                  2. ในด้านจิตใจ ฝึกให้เป็นคนคิดบวก มองโลกในแง่ดี ไม่คิดร้ายกับใคร ไม่กล่าวโทษตัวเองไปซะทุกเรื่อง ควรหางานอดิเรก คลายเครียด เข้าชมรมต่างๆ ที่เหมาะกับวัย หรือเป็นจิตอาสา ทําสิ่งที่ทำให้รู้สึกตัวเองมั่นใจ มีคุณค่า รู้ว่าใครรักและเป็นห่วงก็ให้อยู่ใกล้คนๆ นั้น และให้อยู่ห่างจากคนที่ไม่ถูกใจ
                  3. ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต ควรหาเวลาออกไปทำกิจกรรมที่สนุกสนาน ไม่เคร่งเครียดหรือทำงานหนักเกินไป ไม่ไปอยู่ในสถานการณ์หรือดูข่าวร้ายที่ทำให้จิตใจหดหู่ หากมีการใช้ยาเพื่อรักษาโรคใดๆ อยู่ไม่ควรหยุดยาเอง โดยเฉพาะถ้ารักษาโรคด้านจิตเวชอยู่ควรกินยาตามแพทย์สั่ง อย่าได้ขาดหรือหยุดยาเอง
                  ที่มาจาก www.phyathai.com

                  มีเวลาส่วนตัวบ้าง ช่วยแม่ฟลูไทม์ห่างไกลโรคซึมเศร้า

                  จริงอยู่ว่าสำหรับแม่แล้ว ลูกคือหัวใจสำคัญ ลูกย่อมมาก่อนเสมอ แต่การมีเวลาส่วนตัวให้ได้พักผ่อนหย่อนใจ วางภาระลงจากบ่าบ้างบางครั้ง ก็มีความสำคัญต่อจิตใจ ช่วยเพิ่มความสุข ส่งผลต่ออารมณ์ที่ดี ผ่อนคลาย และยังเป็นการชาร์จพลังให้เราเพิ่ม เพื่อไว้สู้ต่อได้เป็นอย่างดี

                  คุณแม่ลองมาสำรวจตัวเองว่าไม่ได้ออกไปช้อปปิ้งคนเดียวมานานแค่ไหนกัน??? เรามาทวงคืนเวลาส่วนตัวของแม่ฟลูไทม์กันดูดีไหม

                  แบ่งปันให้พ่อช่วยเลี้ยงลูก ลดภาวะ ซึมเศร้า ของแม่ฟลูไทม์
                  แบ่งปันให้พ่อช่วยเลี้ยงลูก ลดภาวะ ซึมเศร้า ของแม่ฟลูไทม์

                  สูตรไม่ลับ เพื่อให้แม่มีเวลาส่วนตัว

                  • ลดความคิดที่ว่า Oneman show งานบ้านไม่จำเป็นต้องเป็นงานแม่ฟลูไทม์เท่านั้น ลองพูดคุยกับคนในบ้าน ให้ช่วยแบ่งหน้าที่งานบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ไป คุณแม่สามารถแบ่งภาระงานบ้านให้ลูกช่วยทำตามวัยที่เหมาะสมได้อีกด้วย เพื่อเป็นการฝึกความรับผิดชอบให้กับลูก และคุณแม่จะได้สามารถจัดสรรเวลาสำหรับตัวเอง
                  • เวลาส่วนตัวของแม่ไม่ใช่ความผิด หรือบกพร่อง แม่หลาย ๆ คนมักคิดว่า งานบ้านเป็นงานที่ไม่ได้รับความสำคัญ เป็นงานสบายอยู่บ้านทั้งวัน จึงไม่มีสิทธิ์ที่จะได้รับวันหยุด โดยเฉพาะสังคมชาวเอเซีย เช่น ญี่ปุ่นที่มักให้ความสำคัญกับงานนอกบ้านที่สามารถทำเงินได้ของผู้ชาย แต่ละเลยความสำคัญของงานบ้าน จึงเป็นธรรมเนียมปฎิบัติที่พ่อบ้านญี่ปุ่นมักไม่เคยช่วยงานบ้าน หรือช่วยแบ่งเบาภาระการเลี้ยงลูก ทำให้แม่บ้านญี่ปุ่นเกิดความเครียดสูง เป็นต้น ดังนั้นเรามาทำความเข้าใจ ปรับธรรมเนียมปฎิบัติ กฎของครอบครัวกันเสียใหม่ ให้ทุกคนมีเวลาส่วนตัว ไม่ว่าจะมีหน้าที่ทำงานนอกบ้านหรือในบ้านก็ตาม
                  • ตื่นก่อนลูก นอนหลังลูก ช่วงเวลาทองของแม่ฟลูไทม์ นั่นคือ ช่วงเวลาที่ลูกหลับนั่นเอง คุณแม่ลองตื่นก่อน หรือนอนหลังลูกวันละครึ่งชั่วโมงดูดีไหม แล้วจะพบว่าเวลาเพียงเล็กน้อยนี้ ที่เราสามารถนำมาใช้ทำกิจกรรมส่วนตัวนั้น ช่างมีค่า ช่วยฟื้นฟูจิตใจได้ดีไม่น้อย
                  ข้อมูลอ้างอิงจาก www.the1.co.th/thematter.co / daylimail

                  อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                  ฝีดาษลิงติดยังไง คำถามควรรู้เมื่อพบผู้ป่วยรายแรกในไทย!

                  เช็คด่วน!! 12 พฤติกรรมเข้าข่ายเป็นโรคซึมเศร้า

                  จิตแพทย์เตือน! ลูก ชอบดึงผม อาจมีผลกระทบมาจากจิตใจ

                  ซึมเศร้าในเด็ก ภัยเงียบจากโควิดที่พ่อแม่ควรระวัง

                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                    Meiji EZcube

                    ไทย เมจิ ฟู๊ด เปิดตัว Meiji EZcube ผลิตภัณฑ์นมผงชนิดก้อน เอกสิทธิ์หนึ่งเดียวจากเมจิประเทศญี่ปุ่น

                    ไทย เมจิ ฟู๊ด เปิดตัว Meiji EZcube ผลิตภัณฑ์นมผงชนิดก้อน เอกสิทธิ์หนึ่งเดียวจากเมจิประเทศญี่ปุ่น ตัวช่วยคุณแม่เจนใหม่ สะดวก ชงง่าย ไม่ต้องตวง

                    เปิดตัวครั้งแรกในไทยกับนวัตกรรมใหม่จากประเทศญี่ปุ่น “Meiji GU FORMULA GOLD EZcube 3” (เมจิ จียู ฟอร์มูล่า โกลด์ อีซี่คิวบ์ 3) ผลิตภัณฑ์นมผงรูปแบบก้อน ตัวช่วยประหยัดเวลา ที่คุณแม่ยุคใหม่ต้องร้องว้าว! เอกสิทธิ์หนึ่งเดียวจาก Meiji ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการในผลิตภัณฑ์นม โดยบริษัท ไทย เมจิ ฟู๊ด จำกัด ผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์คุณภาพ ภายใต้ แบรนด์เมจิ ประเทศญี่ปุ่น พร้อมเผยโฉมแบรนด์แอมบาสเดอร์ ตัวแทนครอบครัวคนรุ่นใหม่ “ลีเดีย” ศรัณย์รัชต์ ดีน คุณแม่และนักร้องสาวเสียงคุณภาพ ควง “น้องดีแลน” ลูกชายคนโต ร่วมบอกเล่าไลฟ์สไตล์การเป็นคุณแม่ที่สมาร์ทยิ่งขึ้น ในงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์และแบรนด์แอมบาสเดอร์ เมจิ อีซี่คิวบ์ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Happy mom, Happy kids” ในวันพุธที่ 27 กรกฎาคมนี้ ที่แฟชั่น ฮอลล์  ชั้น 1 สยามพารากอน 

                    ไทย เมจิ ฟู๊ด เปิดตัว Meiji EZcube

                    มร.นาโอกิ คาวามาตะ ซีอีโอ บริษัท ไทย เมจิ ฟู๊ด จำกัด ผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์คุณภาพ ภายใต้แบรนด์เมจิ ประเทศญี่ปุ่น อาทิ  “เมจิ อีซี่คิวบ์” “เมจิ ช็อกโกแลต กัมมี และบิสกิต” “เมจิ อะมิโน คอลลาเจน” เผยแนวคิดในการคิดค้นผลิตภัณฑ์นมในรูปแบบก้อน Meiji EZcube ที่ตอบสนองอินไซด์ของผู้บริโภคในปัจจุบันว่า เพราะเราเข้าใจคุณแม่ยุคใหม่ที่มีบทบาทหลายด้าน ทั้งทำงานนอกบ้าน ดูแลเรื่องในบ้าน จึงคิดค้นนวัตกรรมของผลิตภัณฑ์นมรูปแบบก้อน ที่ตอบโจทย์ความสะดวก ประหยัดเวลา เพื่อให้คุณแม่มีความสุข และสามารถเต็มที่กับทุกบทบาทที่ได้รับ โดยเฉพาะกลุ่มคุณแม่วัยทำงานที่ค่อนข้างยุ่งกับงาน หรือมีไลฟ์สไตล์ที่ชอบทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น เดินทางท่องเที่ยว ออกกำลังกาย รวมถึงคุณแม่ที่มองหาสิ่งใหม่ ๆ และดีที่สุดเพื่อลูกและเพื่อครอบครัว ผลิตภัณฑ์นมเมจิ อีซี่คิวบ์ จึงเข้ามาตอบโจทย์ให้คุณแม่ที่มองหาผลิตภัณฑ์นมที่สะดวกในการชงมากขึ้น เพื่อให้คุณแม่มีเวลาทำในสิ่งที่อยากทำได้อย่างเพิ่มขึ้น”  

                    สำหรับจุดเด่นของผลิตภัณฑ์นมเมจิ อีซี่คิวบ์ ตอบโจทย์เรื่องความสะดวกในการเตรียมนม ใครก็สามารถชงได้ ไม่ต้องใช้ช้อนตวงปาด ไม่ต้องกังวลเรื่องหกเลอะเทอะ  และด้วยสูตรเฉพาะจากเมจิ ถึงจะเป็นรูปแบบก้อน ชงง่าย ละลายง่าย เหมาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาเร่งรีบ หรือตอนกลางคืน เพียงแค่ฉีกซอง เทใส่แก้ว เติมน้ำอุ่น หรือร้อน คนละลายก็พร้อมดื่ม อีกทั้งแพคเกจจิ้งยังบรรจุซองแยก พกพาสะดวกชงได้ทุกที่ และมีสารอาหารที่หลากหลาย คุณประโยชน์ครบถ้วน เหมาะสำหรับเด็กวัยหัดเรียนรู้ และทุกคนในครอบครัว   

                      มร. นาโอกิ คาวามาตะ ยังเผยเหตุผลที่เลือก “ลีเดีย” ศรัณย์รัชต์ ดีน และ “น้องดีแลน” ลูกชายคนโต เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์คู่แรกของเมจิ อีซี่คิวบ์ ว่า “คุณลีเดียเป็นแบบอย่างของคุณแม่ที่ประสบความสำเร็จทั้งในเรื่องงานและ มีความสุขกับการดูแลลูกและครอบครัว เปรียบเสมือนคุณแม่ยุคใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์และกิจกรรมหลากหลาย เป็นทั้งนักร้อง นักแสดง ชอบออกกำลังกาย นอกจากนี้ยังมีเวลาใส่ใจดูแลตัวเอง ลูก ๆ และครอบครัวในทุกวัน ซึ่งตรงกับลักษณะของผลิตภัณฑ์นมเมจิ อีซี่คิวบ์ ที่ต้องการให้คุณแม่ยุคใหม่เป็นคุณแม่ที่สมาร์ท และได้เป็นแม่ในแบบที่อยากเป็น เพราะเราเชื่อว่าคุณแม่ที่มีความสุข จะส่งผลให้การดูแลลูกและครอบครัวให้มีความสุขด้วยเช่นกัน” 

                    Meiji EZcube นมผงชนิดก้อน

                    ด้านแบรนด์แอมบาสเดอร์คู่แม่ลูกสุดน่ารัก “ลีเดีย” ศรัณย์รัชต์ ดีน และ “น้องดีแลน” เผยความรู้สึกว่ารู้สึกยินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเมจิ และเชื่อมั่นในแบรนด์อันดับ 1 จากญี่ปุ่น และเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ไม่เคยมีในประเทศไทยมาก่อน ก็รู้สึกว้าวมาก ส่วนตัวได้ให้ดีแลนด์ลองแล้ว ลูกชอบมาก จึงมั่นใจว่าเมจิ อีซี่คิวบ์ จะสามารถเข้าถึงคุณแม่ยุคใหม่ได้มากขึ้น เพราะพกพาสะดวก ชงง่าย ละลายง่าย ใคร ๆ ก็สามารถชงได้ ทำให้ง่ายต่อการเตรียมนม ไม่ต้องกังวลเรื่องหก เลอะเทอะ นอกจากความสะดวกก็ยังมีเรื่องสารอาหารที่เหมาะสมกับเด็กวัยกำลังเรียนรู้ด้วย

                    นอกจากนี้เมจิยังเตรียมจัดกิจกรรมใหญ่เอาใจคุณแม่ยุคใหม่ และคุณแม่ที่เป็นแฟนคลับผลิตภัณฑ์นมเมจิจากญี่ปุ่น ภายใต้แคมเปญ The Best Mommy Life Awards เฟ้นหาคุณแม่ในแบบที่อยากเป็นกับเมจิ อีซี่คิวบ์ พร้อมลุ้นรับของรางวัลต่าง ๆ อาทิ บัตรกำนัลที่พักโรงแรมดัง และผลิตภัณฑ์นมเมจิ อีซี่คิวบ์ เป็นต้น

                    Meiji GU FORMULA GOLD EZcube 3 ผลิตภัณฑ์นมผงรูปแบบก้อนใหม่ สำหรับเด็กที่ใช้เทคโนโลยีในการแปรสภาพนมผงขึ้นเป็นรูปแบบก้อน รวมทั้งน้ำหนัก เท่ากันทุกก้อน และเป็นเอกสิทธิ์หนึ่งเดียวจากเมจิ ประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น  ด้านโภชนาการมีสารอาหารที่แตกต่างจากนมผงทั่วไปอย่าง แลคตาเดริน (Lactadherin) ซึ่งเป็นสารอาหารที่มีประโยชน์ในการสร้างภูมิคุ้มกัน รวมทั้งครบถ้วนด้วยสารอาหารอื่น ๆ อีกมากมาย ทั้ง DHA, ธาตุเหล็ก, FOS, นิวคลีโอไทด์ แร่ธาตุและวิตามิน ทั้งยังมีแคลเซียมสูง โดยพัฒนาสูตรขึ้นมาให้เหมาะกับเด็กในวัยเริ่มเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมพัฒนาการของร่างกายและสมองให้พร้อมรับการเรียนรู้ใหม่ ๆ

                    เลือกสิ่งใหม่ที่ดีให้แก่ลูกน้อยสุดรัก ด้วยตัวช่วยคุณแม่เจนใหม่อย่างแท้จริง ต้อง Meiji GU FORMULA GOLD EZcube 3  ผลิตภัณฑ์นมชนิดก้อน สะดวก ชงง่าย ไม่ต้องตวง โดย 1 ซอง บรรจุ 5 ก้อน สามารถชงได้นมปริมาณ 200 มล. ซึ่งเท่ากับปริมาณที่เด็กต้องการใน 1 มื้อ มี 2 ขนาด ได้แก่ ขนาด 448 กรัม หรือ 16 ซอง ราคา 338 บาท และ ขนาดพกพา 56 กรัม หรือ 2 ซอง ราคา 55 บาท  

                    หาซื้อได้แล้วที่ห้างสรรพสินค้า, ซุปเปอร์มาร์เก็ต, ไฮเปอร์มาร์เก็ต, ร้านค้า และร้านแม่และเด็กชั้นนำ รวมทั้งช่องทางออนไลน์บนแอปพลิเคชั่น Lazada, Shopee และ Moongshop ติดตามข่าวสารและกิจกรรมต่าง ๆ ได้ที่ Facebook Meiji EZcube Thailand หรือ Line Official Account : @meijiezcubethai  

                    Meiji GU FORMULA GOLD EZcube 3

                      ฟาวิพิราเวียร์ โมลนูพิราเวียร์

                      ฟาวิพิราเวียร์ โมลนูพิราเวียร์ ใช้ต่างกันอย่างไรใครใช้ได้บ้าง

                      ฟาวิพิราเวียร์ โมลนูพิราเวียร์ ใช้ต่างกันอย่างไร ใครใช้ได้บ้าง

                      ฟาวิพิราเวียร์ โมลนูพิราเวียร์ คือยารักษาอาการโควิด-19 ที่ใช้กันอยู่ในประเทศไทยในปัจจุบัน ยาทั้งสองชนิดนี้ใช้ต่างกันอย่างไร อาการแบบไหนใช้ยาตัวไหน ใครใช้ยา 2 ตัวนี้ได้บ้าง ทีมกองบรรณาธิการ ABK มีำตอบมาฝากคุณพ่อคุณแม่ค่ะ

                      ฟาวิพิราเวียร์ โมลนูพิราเวียร์ ใช้ต่างกันอย่างไร

                      ยาฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir)

                      ยาฟาวิพิราเวียร์ เป็นยาตัวแรกที่นำมาใช้ในประเทศไทย ตั้งแต่ในช่วงแรกของการแพร่ระบาดโควิด-19 โดยจากการศึกษาข้อมูลในต่างประเทศพบว่า กลไกการออกฤทธิ์ของยาชนิดนี้ เป็นการยับยั้งการเพิ่มจำนวนของ RNA ไวรัส ทำให้เชื้อไวรัสเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งข้อมูลล่าสุดพบว่า ผู้ป่วยที่ได้รับยาฟาวิพิราเวียร์ มีอาการดีขึ้น เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้รับยาฟาวิพิราเวียร์ โดยเฉพาะเมื่อใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ติดต่อกันเป็นเวลาใน 14 วัน มีสัดส่วนอาการดีขึ้นอยู่ที่ 86.9%

                      ข้อบ่งใช้: ผู้ป่วยโควิดอาการเล็กน้อย ถึงปานกลาง ใช้ได้ทั้งเด็ก และผู้ใหญ่ รวมถึงกลุ่มเสี่ยง 608 เช่น ผู้มีภาวะอ้วน, ผู้มีโรคประจำตัว ขณะที่สตรีตั้งครรภ์ในช่วงไตรมาสที่ 2-3 อาจพิจารณาให้ใช้ได้
                      การให้ยา: ขนาดยารับประทานสำหรับผู้ใหญ่ ในวันแรกอยู่ที่ 1,600 มิลลิกรัม และลดลงเหลือ 600 มิลลิกรัม ในวันที่ 2 ถึงวันที่ 5 ระยะเวลาการรักษาโดยรวม คือ 5 วัน ด้วยยาเม็ดขนาด 200 มิลลิกรัม ดังนั้นจึงต้องรับประทานประมาณ 40 เม็ดต่อคน

                      ราคาต่อคอร์ส: 800 บาท

                      ยาโมลนูพิราเวียร์ (Molnupiravir)

                      ยาโมลนูพิราเวียร์ มีกลไกการออกฤทธิ์ ไม่ต่างจากยาฟาวิพิราเวียร์ ซึ่งเป็นการยับยั้งการเพิ่มจำนวนของ RNA ไวรัส  และลดความเสี่ยงที่จะเกิดอาการรุนแรง โดยได้รับการอนุมัติจากศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน (อีโอซี) กระทรวงสาธารณสุข และ ศบค. ให้ใช้ในประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

                      ข้อบ่งใช้: ผู้ป่วยโควิดอาการเล็กน้อยถึงปานกลาง เน้นในกลุ่มเสี่ยง 608 เช่น ผู้มีภาวะอ้วน, ผู้มีโรคประจำตัว ที่มีอายุมากกว่า 18 ปีขึ้นไป ห้ามใช้ในสตรีตั้งครรภ์ และผู้ที่ให้นมบุตร
                      การให้ยา: ขนาดยารับประทานสำหรับผู้ใหญ่ 800 มิลลิกรัม หรือ 4 แคปซูล โดยให้รับประทานทุก 12 ชั่วโมง เป็นระยะเวลา 5 วัน รวม 40 แคปซูลต่อคน ทั้งนี้จะต้องได้รับยาภายใน 5 วัน หลังได้รับการวินิจฉัยเริ่มมีอาการป่วยโควิด

                      ราคาต่อคอร์ส: ประมาณ 10,000 บาท

                      ฟาวิพิราเวียร์ โมลนูพิราเวียร์
                      โมลนูพิราเวียร์

                      แนวทางการรักษาผู้ป่วยโควิดล่าสุด

                      แนวทางการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 จะมีการปรับเปลี่ยนตามหลักฐานเชิงประจักษ์ อยู่ภายใต้การประชุมหารือของผู้เชี่ยวชาญโดยตลอด ล่าสุดมีการปรับปรุงเกณฑ์การให้ยาผู้ป่วยโควิด-19 เป็นไปตาม แนวทางเวชปฏิบัติ การวินิจฉัย ดูแลรักษา และป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาล กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 สำหรับแพทย์และบุคลากรสาธารณสุข ฉบับปรับปรุง วันที่ 18 พฤษภาคม 2565 ระบุไว้ว่า

                      ผู้ติดเชื้อเข้าข่าย ผู้ที่มีผลตรวจ ATK ต่อ SARS-CoV-2 ให้ผลบวก รวมถึงผู้ติดเชื้อยืนยันทั้งผู้ที่มีอาการและไม่แสดงอาการ แบ่งเป็นกลุ่มตามความรุนแรงของโรค และปัจจัยเสี่ยงได้เป็น 4 กรณี ดังนี้

                      1. ผู้ป่วยที่ไม่มีอาการหรือสบายดี 

                      • ให้การรักษาแบบผู้ป่วยนอก โดยแยกกักตัวที่บ้าน หรือ ทำโฮมไอโซเลชัน หรือสถานที่รัฐจัดให้ตามความเหมาะสม
                      • ให้ดูแลรักษาตามอาการตามดุลยพินิจของแพทย์ ไม่ให้ยาต้านไวรัส เนื่องจากส่วนมากหายได้เอง
                      • อาจพิจารณาให้ยาฟ้าทะลายโจรตามดุลยพินิจของแพทย์

                       

                      2. ผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง ไม่มีปอดอักเสบ ไม่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรครุนแรง โรคร่วมสำคัญ และภาพถ่ายรังสีปอดปกติ

                      • อาจพิจารณาให้ยาฟาวิพิราเวียร์ ควรเริ่มให้ยาโดยเร็ว
                      • หากตรวจพบเชื้อเมื่อผู้ป่วยมีอาการมาแล้วเกิน 5 วัน และผู้ป่วยไม่มีอาการหรือมีอาการน้อยอาจไม่ จำเป็นต้องให้ยาต้านไวรัส เพราะผู้ป่วยจะหายได้เองโดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน

                       

                      3. ผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง แต่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรครุนแรง หรือมีโรคร่วมสำคัญ หรือผู้ป่วยที่ไม่มีปัจจัยเสี่ยงแต่มีปอดอักเสบเล็กน้อยถึงปานกลาง ยังไม่ต้องให้ออกซิเจน โดยปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรครุนแรง ได้แก่

                      1) อายุมากกว่า 60 ปี ขึ้นไป

                      2) โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) (GOLD grade 2 ขึ้นไป) รวมโรคปอดเรื้อรังอื่นๆ

                      3) โรคไตเรื้อรัง (CKD) (stage 3 ขึ้นไป)

                      4) โรคหัวใจ และหลอดเลือด (NYHA functional class 2 ขึ้นไป) และโรคหัวใจแต่กำเนิด

                      5) โรคหลอดเลือดสมอง

                      6) เบาหวานที่ควบคุมไม่ได้

                      7) ภาวะอ้วน (น้ำหนักมากกว่า 90 กก. หรือ BMI 230 กก./ตร.ม.)

                      8) ตับแข็ง (Child-Pugh class B ขึ้นไป)

                      9) ภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ (เป็นโรคที่อยู่ในระหว่างได้รับยาเคมีบำบัดหรือยากดภูมิหรือ corticosteroid equivalent to prednisolone 15 มก./วัน ระยะเวลา 15 วัน ขึ้นไป

                      10) ผู้ติดเชื้อเอชไอวี ที่มี CD. cell count น้อยกว่า 200 เซลล์/ลบ.มม.

                      แนะนำให้ยาต้านไวรัสเพียง 1 ชนิด โดยควรเริ่มภายใน 5 วัน ตั้งแต่เริ่มมีอาการจึงจะได้ผลดี

                      • หากไม่มีปัจจัยเสี่ยง ให้ยาฟาวิพิราเวียร์
                      • หากมีปัจจัยเสี่ยง 1 ข้อ ให้ยาฟาวิพิราเวียร์ หรือ เรมเดซิเวียร์ หรือ โมลนูพิราเวียร์ หรือ เนอร์มาเทรลเวียร์/ริโทนาเวียร์
                      • หากมีปัจจัยเสี่ยงมากกว่า 2 ข้อ ให้ยาเรมเดซิเวียร์ หรือ โมลนูพิราเวียร์ หรือ เนอร์มาเทรลเวียร์/ริโทนาเวียร์

                       

                      4. ผู้ป่วยยืนยันที่มีปอดอักเสบที่มี hypoxia (resting O, saturation < 94 % ปอดอักเสบรุนแรง ไม่เกิน 10 วันหลังจากมีอาการ และได้รับออกซิเจน แนะนำให้ เรมเดซิเวียร์ เป็นเวลา 5-10 วัน ขึ้นกับอาการทางคลินิก และควรติดตามอาการของผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด

                       

                      แม้ว่าทั้งยาฟาวิพิราเวียร์และยาโมลนูพิราเวียร์ จะใช้ได้กับผู้ป่วยที่มีอาการน้อยจนถึงปานกลาง แต่จากแนวทางเวชปฏิบัติ การวินิจฉัย ดูแลรักษา และป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาล กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ฉบับล่าสุด จะเห็นได้ว่า ยาโมลนูพิราเวียร์ จะถูกใช้ในผู้ป่วยกรณีที่ 3 เท่านั้น ขณะที่ยาฟาวิพิราเวียร์จะใช้ได้ทั้งผู้ป่วยกรณีที่ 2 และ 3 ค่ะ

                      ขอบคุณข้อมูลจาก

                      กรมการแพทย์, กรุงเทพธุรกิจ

                       

                      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                       อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                      เกณฑ์ใช้ ยารักษาโควิด19 ระดับไหนจะให้ยาฟาวิพิราเวียร์

                      ด่วน!เด็กชาย 6 ขวบ ติดโควิดเสียชีวิต จากภาวะ MIS-C

                      อาการลองโควิด กระทบ 6 อวัยวะภายใน ดูแลยังไง

                        5 ไม่! พ่อแม่ดูลูกให้ดี ก่อน ลูกโดนลักพาตัว

                        5 ไม่! พ่อแม่ดูลูกให้ดี ก่อน ลูกโดนกลักพาตัว

                        ลูกโดนลักพาตัว หรือเด็กหายเป็นปัญหาที่หลาย ๆ คนคงปฏิเสธไม่ได้ว่า เป็นเรื่องใหญ่เกี่ยวกับเด็กที่สร้างความสะเทือนใจให้สังคม โดยเฉพาะกับพ่อแม่ หรือ ญาติ ๆ ของเด็กคนนั้น เด็ก ๆ มักหายตัวหรือถูกลักพาตัวจากที่ไหน โดยใคร พ่อแม่ควรระวังอย่างไร มาติดตามกันห้ามพลาดค่ะ

                        ลูกโดนลักพาตัว สถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด กลับอันตรายที่สุด

                        นายเอกลักษณ์ หลุ่มชุมแข หัวหน้าโครงการศูนย์ข้อมูลคนหายฯ มูลนิธิกระจกเงา ถอดบทเรียนกว่า 18 ปี คดีลักพาตัวเด็กในประเทศไทยว่า จากการหายตัวไปของเด็กหลายคน เมื่อตรวจสอบจะพบว่าสถานที่เกิดเหตุไม่ได้อยู่ไกล แต่กลับอยู่บริเวณแถว ๆ บ้านของตัวเอง เช่น สวนสาธารณะแถวบ้าน สนามเด็กเล่นในหมู่บ้าน โรงเรียน ห้างสรรพสินค้าใกล้บ้าน หรือแม้กระทั่งหน้าบ้านตัวเอง จึงอาจพูดได้ว่า  สถานที่ปลอดภัยที่สุด คือ สถานที่อันตรายที่สุด
                        ช่วงวัยอายุของเด็กที่มักถูกลักพาตัว พบว่ามีอายุน้อยลงเรื่อย ๆ อย่าง ‘เด็กแรกเกิด (ทารก)’ ยังเป็นเหยื่อของคนใกล้ชิดอีกด้วย บุคคลที่ไม่น่าไว้วางใจ ได้แก่ พี่เลี้ยงเด็ก เพื่อนบ้าน หรือหมอดู เพราะเป็นบุคคลที่พ่อแม่ไว้ใจมากที่สุด
                        ลูกโดนลักพาตัว
                        5 ไม่! พ่อแม่ดูลูกให้ดี ก่อน ลูกโดนลักพาตัว

                        10 บทเรียนลักพาตัวเด็ก

                        มูลนิธิกระจกเงาถอด 10 บทเรียนลักพาตัวเด็ก จากสถิติร้องเรียนเด็กหายปี 2546 – 2564 ได้ดังนี้
                        1. ผู้ก่อเหตุส่วนใหญ่มีวัตถุประสงค์ลักเด็กเพื่อกระทำทางเพศ
                        2. วัตถุประสงค์รองลงมา เพื่อนำไปเลี้ยงดูด้วยความเสน่หา
                        3. เด็กถูกลักพาตัว มีตั้งแต่อายุแรกเกิด – 12 ปี
                        4. กลุ่มเสี่ยงที่สุดคือเด็ก ช่วงอายุ 3-8 ปี ทั้งชาย และหญิง
                        5. ไม่พบการลักพาตัวในลักษณะกลุ่มแก๊งค์ขบวนการ
                        6. ไม่พบการลักพาตัวในลักษณะแก๊งค์รถตู้
                        7. ไม่พบการลักพาตัวในลักษณะลักพา เพื่อนำเด็กไปขายต่อ
                        8. ผู้ก่อเหตุมีได้ทั้งคนที่เด็กรู้จัก และคนแปลกหน้า
                        9. จุดที่เด็กถูกลักพาตัวมากที่สุด คือ บริเวณใกล้บ้านที่เด็กวิ่งเล่นลำพัง
                        10. หลายคดีตอนเกิดเหตุ ประเมินว่าเป็นการลักพาตัวเด็ก แต่พอข้อเท็จจริงปรากฏอาจเป็นเรื่องอื่น เช่น เด็กพลัดหลงด้วยตัวเอง, ปกปิดการเกิดความรุนแรงในครอบครัว หรือสร้างการสถานการณ์

                        5 ไม่! พ่อแม่ดูลูกให้ดี ก่อน ลูกโดนลักพาตัว

                        1 .ไม่พาลูกเล็กไปยังที่ ที่มีคนพลุกพล่านเกินไป โดยไม่จำเป็น 
                        แม้คุณพ่อคุณแม่ หรือบุคคลใกล้ชิดจะเป็นผู้พาไปยังสถานที่นั้น ๆ ก็ไม่ควรไว้วางใจ แต่เนื่องจากสถานที่ที่มีคนพลุกพล่าน มักชุลมุน วุ่นวาย ทำให้คนร้ายที่อาจจ้องมองลูกเราอยู่สามารถสร้างสถานการณ์ร้ายได้ง่าย ยิ่งหากว่าผู้ที่พาไปเผลอคลาดสายตาจากเด็กแม้แต่นิดเดียว ก็อาจเกิดเหตุการณ์ลักพาตัวโดยไม่คาดคิดได้
                        2. ไม่ปล่อยให้ลูกเล็กไปวิ่งเล่นตามลำพัง แม้จะใกล้บ้านก็ตาม
                        พ่อแม่ ญาติพี่น้อง ของเด็ก ๆ ก็อาจคิดว่า ถ้าเด็ก ๆ จะ ออกไปวิ่งเล่นยังสถานที่ใกล้บ้าน ก็คงไม่เป็นไร เพราะมีคนรู้จักทั้งนั้นคอยดูลูกอยู่ มีแต่คนแถวบ้านที่คุ้นหน้าคุ้นตากัน แต่จากสถิติของมูลนิธิกระจกเงาที่พบว่า เด็กมักถูกลักพาตัวในที่ใกล้บ้าน และจากคนที่ไม่คาดคิด เพราะฉะนั้น ถ้าลูกจะไปเล่นแถวบ้าน ควรมีผู้ดูแลในสายตา หรือมีเพื่อนกลุ่มใหญ่ไปด้วยกัน เพื่อความปลอดภัยนะคะ
                        3. ไม่ให้ใครมารับลูกเล็กที่โรงเรียน เว้นแต่จะได้โทรศัพท์บอกครูทุกครั้งที่มีคนมารับแทน
                        แน่นอนว่า โรงเรียนเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่คุณพ่อคุณแม่ และญาติพี่น้อง ไว้ใจนำลูกของเราไปฝากไว้ คุณพ่อคุณแม่หลาย ๆ ท่าน ก็ไปรับลูกที่โรงเรียนเอง แต่อีกหลาย ๆ ท่านอาจให้รถโรงเรียนไปรับ – ส่ง ทั้งนี้ หลายท่าน อาจให้คนอื่น ๆ มารับลูกแทน แต่จากสถิติของมูลนิธิกระจกเงาที่พบว่า คนใกล้ตัวมักเป็นคนที่ลักพาตัวเด็กไป ซึ่งเค้าอาจจะใช้ช่องที่เด็กรู้จักเค้า พาเด็กออกไปจากโรงเรียน แต่ไม่พากลับไปที่บ้าน ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรโทรกำชับคุณครูทุกครั้ง ว่าใครจะมารับลูกแทนตัวเองค่ะ
                        4. ไม่ทิ้งลูกเล็กไว้กับญาติสูงอายุ ที่อาจดูแลเด็กเล็กวัยกำลังซนไม่ไหว 
                        เด็กวัยกำลังซนมักอยากรู้อยากเห็น เป็นวัยที่อยากออกไปเที่ยวเล่นโดยเฉพาะวิ่งเล่นบริเวณแถวบ้าน การฝากลูกไว้กับผู้สูงอายุที่บ้านแม้จะไว้ใจได้ว่าเป็นญาติที่ดูแลกันได้ แต่หากถึงเวลาที่เด็กออกไปวิ่งเล่น ผู้สูงอายุย่อมตามเด็กไม่ทัน เพราะเดินเหินไม่สะดวก เมื่อเด็กคลาดสายตาอะไรก็ย่อมเกิดขึ้นได้
                        5. ไม่ยอมให้ลูกรับของจากคนแปลกหน้า หมั่นสอนเด็กเล็กในเรื่องนี้
                        นอกจากคนใกล้ชิดที่ต้องระวังแล้ว แน่นอนว่าคุณพ่อคุณแม่ต้องสอนให้ลูกระวังคนแปลกหน้า ห้ามรับของจากคนแปลกหน้าไม่ว่าจะเป็นอะไร โดยเฉพาะคนแปลกหน้าที่เอาของต่าง ๆ มาให้ลูก เช่น ขนม ของเล่น เงิน หรือสิ่งของต่าง ๆ เพื่อล่อลวงให้เด็ก เข้าใกล้ และจับเด็กไปในที่สุด
                        ลูกโดนลักพาตัว
                        5 ไม่! พ่อแม่ดูลูกให้ดี ก่อน ลูกถูกลักพาตัว

                        ขอบคุณภาพจาก ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมประเทศไทย

                         

                        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                         อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                        อุทาหรณ์เด็กหาย ป้องกันลูกหนีออกจากบ้าน

                        6 แนวทางนำเสนอข้อมูลเด็ก ไม่ให้ ละเมิดสิทธิเด็ก

                        ระวังลูกหาย!! อย่าอายที่จะใช้ “เป้จูงลูก” เวลาออกนอกบ้าน

                          นิทานกล่อมนอน

                          นิทานกล่อมนอน ลงทุนน้อย แต่ลูกได้รับประโยชน์มากมาย

                          นิทานกล่อมนอน กิจกรรมในครอบครัวก่อนนอนที่ ช่วยสร้างความรัก ความอบอุ่น และสัมพันธ์อันดีในครอบครัว ทำให้ลูกนอนหลับอย่างมีความสุข

                          นิทานกล่อมนอน ลงทุนน้อย แต่ลูกได้รับประโยชน์มากมาย

                          เมื่อถึงเวลานอนลูกจะไม่ปฏิเสธเพราะมี นิทานกล่อมนอน ที่ลูกรอฟังอยู่ทุกคืน นอกจากความสนุกสนานเพลิดเพลินที่ลูกได้รับแล้ว ยังมีประโยชน์อีกมากมายจากการอ่านนิทานให้ลูกฟัง ทีมกองบรรณาธิการ ABK จึงรวบรวมข้อมูลดี ๆ ที่จะพาไปรู้จักและเข้าใจประโยชน์ของการอ่านนิทาน ว่าทำไมบางครอบครัวถึงให้ความสำคัญกับการอ่านนิทานให้ลูกฟังกันเป็นพิเศษ

                          นิทานกล่อมนอน
                          นิทานกล่อมนอน

                          นิทานกล่อมนอน ลงทุนน้อย แต่ลูกได้รับประโยชน์มากมาย

                          การที่จะเลี้ยงดูให้เด็กเจริญเติบโตขึ้นมาเป็น คนดี คนเก่ง ได้นั้น มีปัจจัยหลายอย่าง และสิ่งหนึ่งที่บางครอบครัวลืมนึกไปนั่นก็คือ “การอ่านนิทานให้ลูกฟัง”

                          เพียงแค่คุณพ่อคุณแม่หยิบ นิทานกล่อมนอน มาเล่า อ่าน เปล่งเสียง ให้ลูกฟัง หรือหยิบหนังสือภาพมาให้เด็กดูตาม ก็จะเกิดผลดีมากมาย ไม่จำเป็นต้องรอให้ลูกรู้ภาษาก่อน สามารถทำได้เลย ซึ่งสามารถทำได้ตั้งแต่ลูกอยู่ในครรภ์คุณแม่เลยทีเดียว

                          “การอ่านนิทานให้ลูกฟัง” เป็นช่วงเวลาทองที่ควรค่าแก่การปลูกฝังในทุก ๆ ครอบครัว เพราะในช่วงปฐมวัย เป็นวัยแห่งการเริ่มต้นเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ เป็นช่วงที่มนุษย์เรามีความสามารถในการพัฒนาสมอง และทักษะทุกด้านกว่า 80% ของชีวิต 

                          ประโยชน์จากการ อ่านนิทาน ให้ลูกฟัง

                          นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ จิตแพทย์ และนักเขียน ได้กล่าวว่า การอ่านนิทานให้ลูกฟังเป็นกิจกรรมที่ทุกบ้านสามารถทำได้ ขอแค่มีหนังสือนิทาน มีผู้ปกครองคอยเล่าให้ฟัง แม้จะไม่ได้อ่านสนุกหรือตลกมาก ก็เกิดประโยชน์ต่อพัฒนาการของเด็กอย่างมหาศาล ความจริงแล้วผู้ปกครองจะเลือกอ่านให้เด็กฟังในช่วงเวลาไหน ตอนไหนก็ได้ แต่โดยส่วนตัวตนจะสนับสนุนให้อ่าน นิทานก่อนนอน เพราะอยากให้ผู้ปกครองใช้เวลาส่งลูกเข้านอน หากิจกรรมทำร่วมกัน ถือเป็นเวลาคุณภาพ (Quality Time) ในช่วง 20.30 น. ไม่เกิน 21.00 น. ใช้เวลาเพียงแค่ 30 นาที หากเทียบกับกิจกรรมอื่น ๆ ถือว่าใช้เวลาน้อยมาก หากทำติดต่อกันทุกวันเป็นระยะเวลา 3 ปี จะเกิดประโยชน์มากมาย เด็กจะมีพัฒนาการอย่างรวดเร็ว เฉลียวฉลาด รักการอ่าน เป็นเด็กดี เชื่อฟัง ที่สำคัญเป็นการกระตุ้นพัฒนาการของสมองส่วนหน้า และเป็นเหมือนข้อบังคับของบ้านว่า ไม่ว่าผู้ปกครองจะทำงานหรือมีกิจกรรมอะไร อย่างน้อยในหนึ่งวันจะต้องส่งลูกเข้านอน และมีเวลาคุณภาพร่วมกัน

                          นพ.ประเสริฐ สรุปภาพรวมการอ่านนิทานไว้ดังนี้

                          1. การอ่านนิทานเป็นการผจญภัยไปกับพ่อแม่ : เป็นช่วงเวลาคุณภาพที่ผู้ปกครองจะจดจ่ออยู่กับการอ่านและลูก สร้างความคิดที่ว่าแม่มีอยู่จริง การอ่านนิทานก่อนนอนในช่วงเวลาเดียวกันในทุก ๆ วัน จะเป็นจุดเริ่มต้นของการปลูกฝังวินัยการตรงต่อเวลา เช่นเดียวกับการกำหนดเวลาตื่นนอน กินอาหารเช้า-กลางวัน-เย็น เมื่อเด็กมีความตรงต่อเวลาเหล่านี้อย่างแม่นยำ ก็มีแนวโน้มว่าเรื่องอื่น ๆ ก็จะทำได้ตรงเวลาเช่นกัน

                          2. การอ่านนิทานเป็นการผจญภัยไปในสมอง : ทุกครั้งที่เด็กได้ฟังนิทานหรือได้อ่านด้วยตัวเอง เซลล์ประสาทจะแตกแขนงออกมาเป็นร่างแหของเส้นประสาท ดังนั้นใน 2 ขวบปีแรก สมองของเด็กจึงเปลี่ยนแปลงทุกวัน ที่สำคัญอย่าเป็นกังวลหากเด็ก ๆ จะชอบฟัง หรืออ่านนิทานเล่มเดิม เพราะถึงแม้ว่าหนังสือจะเป็นเล่มเดิม เรื่องราวเดิม แต่การคิด การตีความ หรือการวาดภาพในสมองของเด็กจะต่างกันออกไป

                          3. การอ่านนิทานเป็นการผจญภัยไปในจิตใต้สำนึก : เพราะหนังสือนิทานมีหลากหลายเรื่องราว มีทั้งด้านดี สมหวัง สนุกสนาน สดชื่น แจ่มใส และบางเรื่องก็อาจแฝงด้านมืดมาเป็นข้อคิดเล็ก ๆ น้อย ๆ ผู้ปกครองต้องอย่ากลัวที่จะหยิบยื่นเรื่องราวที่หลากหลาย เพราะร้อยละ 99 ของนิทานประกอบหนังสือภาพ ศิลปินนั้นสร้างสรรค์ผลงานโดยใช้ศิลปะเป็นสื่อ การที่เด็กได้ฟังหรืออ่านนิทานเหล่านี้ ก็เหมือนกับการระบายความรู้สึกในใจออกมา และหนังสือเหล่านี้ยังให้แง่คิดในเรื่องของการพลัดพราก ผี ปีศาจ และความตาย ที่จะเป็นส่วนหนึ่งให้เด็กซึมซับและเรียนรู้

                          ช่วงอายุ 3 – 7 ปี ปีทองของพัฒนาการด้านภาษา

                          1. เด็กมีแรงจูงใจในตนเองที่จะใช้ภาษา เพื่อสื่อสารกับบุคคลรอบข้างตลอดเวลา เพราะต้องการหาความหมาย

                          2. สมรรถภาพทางความคิดดีขึ้น ยิ่งคิดได้ ยิ่งถาม ยิ่งพูด ยิ่งเชื่อมโยงความหมายเดิม เข้ากับความหมายใหม่ ยิ่งทำให้เกิดจินตนาการ

                          3. เด็กพร้อมทำความเข้าใจเรื่องนามธรรม อย่างเรื่อง ความคิด อารมณ์ นิสัย เป็นเรื่องท้าทายให้เด็กเริ่มค้นหาความหมาย ช่วยกระตุ้นให้เด็กช่างถามมากขึ้น ช่างพูดมากขึ้น

                          4. มีสมรรถภาพทางกล้ามเนื้อและประสาทสัมผัสดีมากขึ้น ยิ่งได้ออกไปประสบกับสิ่งใหม่ ๆ ยิ่งเพิ่มความอยากรู้อยากเห็น ความสงสัย ทำให้ช่างถาม ช่างพูด

                          อ่านนิทานก่อนนอน
                          อ่านนิทานก่อนนอน

                          การอ่านกับการพัฒนาทักษะสมองส่วนหน้า (EF)

                          “EF (Executive Function) หรือ ทักษะการพัฒนาสมองส่วนหน้า” เป็นกระบวนการที่ใช้กำกับความคิด ความรู้สึก และการกระทำ อีกทั้งยังเป็นทักษะที่สำคัญต่อความสำเร็จในการเรียน การงาน การอยู่ร่วมกับเพื่อน การคิดสร้างสรรค์ และการจัดการทุกด้านตลอดชีวิต เรียกได้ว่า EF เป็นการพัฒนาทักษะสมองส่วนหน้าที่เป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาความฉลาดทางเชาว์ปัญญา (IQ) และความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายที่ตนเองตั้งไว้

                          นพ.ประเสริฐ ได้อธิบายการ อ่านนิทาน กับการพัฒนา EF ว่า เนื้อหาในหนังสือนิทานไม่ได้เป็นส่วนสร้าง EF ไปเสียทั้งหมด แต่เกิดจากการที่พ่อแม่อ่านให้ลูกฟัง หรือเกิดจากลูกสามารถอ่านได้ด้วยตัวเอง EF จะต่อยอดได้ต้องเกิดจากการใช้การอ่านเป็นสื่อกลางในการพัฒนา เช่น การถามตอบ การชื่นชมเมื่อลูกตอบถูก ให้ลูกมีส่วนร่วมในการอ่าน ลำดับเรื่องราว ชวนคิด ชวนตั้งคำถาม เป็นต้น

                          สิ่งที่ได้จากการอ่าน จาก นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

                          – การอ่านหนังสือที่เป็นกระดาษ จะทำให้สมองรับสัญญาณจากนิ้วมือที่ข้างซ้ายคอยทำหน้าที่จับรวบเล่มหนังสือ ส่วนนิ้วมือข้างขวาจะคอยทำหน้าที่แตะกระดาษเพื่อรอเปลี่ยนหน้าถัดไป การอ่านหนังสือที่เป็น Book Print จะทำให้นิ้วมือผู้อ่านได้สัมผัสกระดาษตลอด ซึ่งตรงนี้จะทำให้สมองจับสัญญาณ และจดจำได้ว่าเนื้อหาที่อ่านมาแล้วอยู่ช่วงใด อยู่บทใด หน้าใด ย่อหน้าใด

                          – หนังสือนิทาน เมื่อซื้อมาแล้วไม่ว่าจะมีราคาเท่าใด จะเกิดความคุ้มค่าในตัวก็ต่อเมื่อ เด็กได้ฟังหรืออ่านในทุก ๆ วัน

                          7 เคล็ดลับในการ อ่านนิทานกล่อมนอน

                          1. เริ่มอ่าน…ยิ่งไว ยิ่งดี คุณพ่อคุณแม่ไม่จำเป็นต้องรอให้ลูกพูดได้ หรือเข้าใจภาษาก่อน จึงเริ่มอ่านหนังสือให้ลูกฟัง แต่สามารถเริ่มอ่านให้ลูกฟังได้ตั้งแต่แรกเกิด หรืออาจเริ่มตั้งแต่ตั้งครรภ์ได้เลย ถึงแม้ลูกจะยังไม่เข้าใจความหมาย แต่สมองของลูกจะเริ่มเรียนรู้ และพัฒนาผ่านน้ำเสียงของคุณพ่อคุณแม่ จากเสียงสูงต่ำของคำต่างๆ รวมไปถึงสัมผัส หรืออ้อมกอดของคุณพ่อคุณแม่ในขณะที่ เล่านิทาน ให้ลูกฟัง
                          2. อ่านอย่างสม่ำเสมอ วิธีที่ได้ผลดีที่สุดคือการ อ่านนิทาน อย่างสม่ำเสมอ โดยอาจใช้วิธีกำหนดเวลาเดิมๆในทุกๆวัน เช่น หลังอาหารมื้อเช้า หลังจากนอนกลางวัน หรือก่อนนอนในเวลากลางคืน โดยอาจเริ่มจากการ อ่านนิทานสั้นๆ แล้วค่อยๆเพิ่มความยาวไปตามวัยและความสนใจของลูก ทำทุกวันจนเป็นกิจกรรมประจำของครอบครัว ทั้งนี้ในขณะอ่านนิทานให้ลูกฟัง ควรปิดสื่อต่างๆที่อาจรบกวนสมาธิ เช่น วิทยุ โทรทัศน์ หรือโทรศัพท์
                          3. ใส่น้ำเสียงไปตามเรื่องราวของนิทาน การใช้เสียงไปตามตัวละครจะช่วยทำให้ลูกมีความสนใจและสนุกสนานไปกับเนื้อเรื่องของนิทาน โดยเฉพาะเด็กเล็กที่ยังไม่เข้าใจภาษามากนัก การใช้น้ำเสียงจะช่วยดึงดูดความสนใจของลูกได้เป็นอย่างดี
                          4. เลือกนิทานที่เหมาะสม หานิทานที่เหมาะกับวัย พัฒนาการ พื้นนิสัย และประสบการณ์ชีวิตของลูก คุณพ่อคุณแม่จะเป็นผู้ที่รู้จักลูกดีที่สุด ฉะนั้นคุณพ่อคุณแม่ต้องหานิทานที่เหมาะสมกับลูกของเราให้พบ
                          5. กระตุ้นให้ติดตาม ในระหว่างอ่านนิทานหรือเมื่ออ่านจบแล้ว ชวนลูกถามตอบ เช่น “หมูอยู่ไหนน้า?” “นี่ตัวอะไร?” “อันไหนสีชมพู?” “ถ้าเป็นหนู จะทำอย่างไร?” อาจให้ลูกเป็นฝ่ายตั้งคำถามกับเราบ้าง หรืออาจเชื่อมโยงนิทานกับเรื่องราวในชีวิตประจำวัน นิทานบางเรื่องสอดแทรกบทเรียนที่เป็นประโยชน์ เช่น การไปโรงเรียน การแปรงฟัน ซึ่งบางครั้งลูกเชื่อหนังสือมากกกว่าเชื่อคุณพ่อคุณแม่เสียอีก ดังนั้นการเลือกหนังสือที่จะอ่านให้ลูกฟังจึงเป็นสิ่งสำคัญ
                          6. จำนวนไม่ใช่ปัญหา การอ่านนิทานให้ลูกฟังเยอะๆ บ่อยๆ เป็นเรื่องที่ดี แต่คุณพ่อคุณแม่ไม่จำเป็นต้องซื้อหนังสือจำนวนมากๆ เพราะสิ่งนี้ไม่ได้บ่งบอกถึงความสำเร็จของลูก แต่เป็น “เวลาคุณภาพ” ที่คุณพ่อคุณแม่นั่งอ่านหนังสือกับลูกต่างหาก คุณพ่อคุณแม่สามารถหยิบหนังสือนิทานเล่มเดิมๆมาอ่านซ้ำๆได้ ตราบใดที่ลูกยังมีความสุขกับการได้ฟังนิทานเรื่องเดิมๆที่เล่าโดยคุณพ่อคุณแม่ที่มอบอ้อมกอดอันอบอุ่นให้กับลูกในขณะอ่านนิทาน
                          7. อ่านได้ทุกที่ นอกจากหนังสือนิทานแล้ว คุณพ่อคุณแม่อาจชวนลูกอ่านหรือสังเกตคำต่างๆรอบตัว เช่น ป้ายชื่อร้าน ป้ายบอกทาง สลากสินค้า ตามระดับความสามารถของลูก โดยอาจเชื่อมโยงกับเรื่องราวหรือคำที่เหมือนในหนังสือนิทานที่ได้อ่านให้ลูกฟัง

                          เมื่อคุณพ่อคุณแม่รู้ถึงประโยชน์ต่างๆจากการอ่าน นิทานกล่อมนอน ที่ ทีมกองบรรณาธิการ ABK ได้รวบรวมข้อมูลมาฝากนี้แล้ว รีบไปหาหนังสือนิทานที่เหมาะกับลูกน้อยมาอ่านให้เค้าฟังคืนนี้กันนะคะ

                           

                          อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                          นิทานเจ้าหญิง นิทานเสริมสร้างจินตนาการสำหรับลูกสาว

                          10 นิทานอีสปสั้นๆ เล่าให้ลูกฟังก่อนนอน พร้อมคติสอนใจ

                          5 นิทานพื้นบ้าน ซึมซับความเป็นไทย พร้อมคติสอนใจ!!

                          นิทานกระต่ายกับเต่า สอนลูกผ่านนิทานอีสปสนุกๆ!!

                           

                          ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.thaihealth.or.th, https://www.matichon.co.th

                           

                          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                          Amarin Baby & Kids

                            จีเอ็มเอ็ม อะคาเดมี่

                            จีเอ็มเอ็ม อะคาเดมี่ สถาบันแห่งความสำเร็จที่พาฝันของเด็กไทย สู่เส้นทางนักร้องมืออาชีพได้ดั่งตั้งใจ

                            อยากเป็นศิลปินมืออาชีพที่ครองใจคนทั้งประเทศ ไม่ใช่แค่ความฝันอีกต่อไป จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่  เปิดตัว จีเอ็มเอ็ม อะคาเดมี่  สถาบันที่ส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพเพื่อมุ่งสู่การสร้างศิลปินมืออาชีพ  ด้วยคณะครูที่มีรางวัลการันตีระดับโลก  และทีมงานที่มีความชำนาญ ที่จะมาช่วยขัดเกลา บ่มเพาะ เติมเต็มความรู้ความสามารถให้เด็กรุ่นใหม่ที่มีความฝันได้ก้าวไปสู่การเป็นศิลปินมืออาชีพที่เป็นจริงได้

                            จีเอ็มเอ็ม อะคาเดมี่

                            คุณนรมน ชูชีพชัย ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการตลาด จีเอ็มเอ็ม มิวสิค บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า

                            “จากประสบการณ์ของแกรมมี่ในการผลิตศิลปินระดับแนวหน้าของเมืองไทยมาอย่างยาวนาน ถึงเวลาแล้วที่แกรมมี่จะพัฒนาเด็กรุ่นใหม่ ให้ก้าวเข้าสู่วงการเพลงในฐานะศิลปินมืออาชีพ จึงเปิดตัว “จีเอ็มเอ็ม อะคาเดมี่” ซึ่งเป็นโรงเรียนสอนวิชาชีพศิลปินด้วยมาตรฐานระดับโลก โดยหลักสูตรเข้มข้นเฉพาะทาง เน้นการพัฒนาทักษะและศักยภาพให้เป็นไปตามตัวตนของศิลปินเพื่อดึงเสน่ห์ในแต่ละคนออกมา เราจำลองบรรยากาศการเรียนเหมือนโรงเรียน มีรุ่นพี่รุ่นน้อง มีการสอบวัดผลหลักสูตรโดยคณะครูผู้สร้างศิลปินที่มีชื่อเสียงมากมาย

                            หากวันนี้คุณมีฝันที่จะเป็นศิลปิน อยากให้ทุกคนกล้าที่จะเดินเข้ามาที่จีเอ็มเอ็ม อะคาเดมี่ เราคือประตูที่ชัดเจนและง่ายที่สุดสำหรับคนที่อยากเป็นศิลปิน เรามีออดิชั่นทุกเดือน หากผ่านการออดิชั่นแล้วสามารถเข้าเรียนหลักสูตรนี้ได้ทันที โดยไม่มีค่าใช้จ่าย และเมื่อถึงวันหนึ่งที่น้อง ๆ พร้อม สามารถจะก้าวไปสู่การเป็นศิลปินได้อย่างเต็มตัว อยากให้ทุกคนเชื่อมั่นในความเป็นมืออาชีพของแกรมมี่ที่มีคณะครูผู้สอนและทีมงานที่จะช่วยทำให้สิ่งนี้เป็นจริงได้ ฝากถึงคุณพ่อคุณแม่ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยผลักดันส่งเสริมลูกหลานให้ได้ทำในสิ่งที่รัก โดยจีเอ็มเอ็ม อะคาเดมี่จะช่วยเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาให้ลูกหลานของคุณประสบความสำเร็จกับการเป็นศิลปินมืออาชีพได้จริงค่ะ”

                            คุณธนบูลย์ คูรอย ผู้อำนวยการฝ่ายคัดสรรและพัฒนาศิลปิน บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า

                            “ปัจจุบันเรามีศิลปินฝึกหัดทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นป๊อปสตาร์  ไอดอล และไทดอล  ที่กำลังเรียนรู้และฝึกฝนเพื่อเตรียมตัวพัฒนาไปสู่ขั้นตอนต่อไป ซึ่งในทุก ๆ ขั้นตอนเรามีการประเมินผลเพื่อให้น้องทุกคนต้องผ่านมาตรฐานInternational Quality Training Program แปลว่า ศิลปินทุกคนที่เราพัฒนาต้องได้มาตรฐานสากลระดับโลก ดังนั้นการจะไปสู่ขั้นตอนนั้นได้ต้องประกอบไปด้วย บุคลากรที่มีความรู้ ความสามารถรวมไปถึงทีมงานที่เก่ง พรั่งพร้อมไปด้วยประสบการณ์ ที่สำคัญหลักสูตรการเรียนการสอน  ต้องได้มาตรฐานสามารถพัฒนาศักยภาพของคนให้ออกมาได้อย่างมีคุณภาพ แบ่งเป็นสองส่วนหลัก ๆ คือ ส่วนแรกสำหรับศิลปินฝึกหัด เพื่อปูพื้นฐานและพัฒนาไปสู่การเป็นศิลปินมืออาชีพ  ส่วนที่สองสำหรับศิลปินทั่วไป  หรือกลุ่มศิลปินฝึกหัดที่มีผลงานเดบิ้วท์แล้ว จะเห็นได้ว่าสถาบันของเราวางหลักสูตรให้ศิลปินได้เรียนรู้และพัฒนาตัวเองตลอดเวลา ไม่ได้สอนแค่ทักษะพื้นฐานในการเป็นศิลปินเท่านั้น แต่ยังสอนทักษะต่าง ๆ ที่ศิลปินมืออาชีพควรจะมี อาทิ ความเป็นมืออาชีพเมื่อทำงานร่วมกับผู้อื่น, ความมีระเบียบวินัย, การพัฒนาจุดแข็ง และเรียนรู้จุดด้อยของตัวเอง, การสื่อสารที่ดี, การดูแลตัวเอง, ความคิดสร้างสรรค์ในการทำโชว์ ฯลฯ จะเห็นได้ว่าหลักสูตรค่อนข้างครอบคลุมในทุก ๆ ด้าน

                            จีเอ็มเอ็ม อะคาเดมี่

                            ต้องยกเครดิตให้กับคุณครูผู้วางหลักสูตรทั้ง 2 ท่าน คือ ครูเจ-วิทวัส วีระญาโณ จบหลักสูตรด้านการสอนร้องเพลงจาก 5 สถาบันในต่างประเทศ เป็นคนแรกของเอเชียที่ได้อันดับ 1 จากการสอบ PANEL TEST ของสถาบัน INSTITUTE FOR VOCAL ADVANCEMENT จากอเมริกา และครูเจด้า-อภิสราฐ์ เพชรเรืองรอง ผู้ออกแบบออกแบบท่าเต้นให้ศิลปินชื่อดังมากมาย และยังได้รับรางวัล Best Choreographer of the year จากงาน Mnet Asia Music Awards 2016 เป็นกรรมการในการแข่งขัน The World Hip Hop Dance Championship HIPHOP International เป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถ พรั่งพร้อมด้วยผลงาน และรางวัลการันตีมากมาย อีกทั้งยังมีประสบการณ์การทำงานทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งทุกคนที่ผ่านการคัดเลือกในรอบออดิชั่นและได้เข้ามาอยู่ใน จีเอ็มเอ็ม อะคาเดมี่ จะได้รับการสอนในหลักสูตรที่มีคุณภาพจากทีมครูที่พร้อมจะมอบความรู้ และทักษะต่าง ๆ ที่เป็นมาตรฐานระดับโลกให้กับน้อง ๆ ทุกคน เพราะจีเอ็มเอ็ม อะคาเดมี่มีเป้าหมายว่า ทุกคนที่จบจากเราจะต้องเป็นศิลปินที่เก่งเทียบเท่าศิลปินระดับสากล ที่สำคัญต้องเป็นศิลปินมืออาชีพที่เดินทางบนเส้นทางสายนี้ได้อย่างยั่งยืนครับ”

                            ด้วยประสบการณ์และความเป็นมืออาชีพของแกรมมี่ บวกกับหลักสูตรที่เข้มข้น รวมทั้งคณะครูที่มีคุณภาพ มั่นใจได้ว่าทุกคนที่ผ่านการออดิชั่นและได้เข้ามาเรียนจะได้มีโอกาสเดินตามฝันสู่การเป็นศิลปินมืออาชีพได้ไม่ไกลเกินเอื้อม

                            น้อง ๆ ที่สนใจสมัครออดิชั่นและเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งกับจีเอ็มเอ็ม อะคาเดมี่สามารถสมัครผ่านทาง LINE OFFICIAL @GMMACADEMY ได้ที่ https://bit.ly/GMMACADEMY และติดตามข่าวสารของ จีเอ็มเอ็ม อะคาเดมี่ ผ่านช่องทาง Social media ดังต่อไปนี้

                            FACEBOOK :   https://www.facebook.com/GMM-Academy-112374444850254

                            IG :  https://www.instagram.com/gmmacademy_official/

                            TWITTER :  https://twitter.com/gmm_academy

                            TIKTOK : https://www.tiktok.com/@gmmacademy

                              Tags

                              วิธีรับมือเมื่อลูกมี พฤติกรรมเลียนแบบ

                              พฤติกรรมเลียนแบบ ของเด็กกำลังโต ทำอย่างไรถ้าลูกอยู่ท่ามกลางคนรอบตัวที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม มาฟังคุณหมอแนะนำการปรับพฤติกรรมลูกอย่างไรไม่ให้ชีวิตสะดุด

                              วิธีรับมือเมื่อลูกมี พฤติกรรมเลียนแบบคนรอบข้าง

                              ลูกชอบเลียนแบบ พฤติกรรมนี้พ่อแม่มักพบได้ในเด็กวัยหัดเดิน เพราะสำหรับเด็กวัยนี้ การเลียนแบบถือเป็นก้าวสำคัญในการเรียนรู้ การเลียนแบบของเด็กมีความสำคัญต่อการพัฒนาความสามารถตั้งแต่ภาษาไปจนถึงทักษะทางสังคม

                              พฤติกรรมเลียนแบบ สามารถอธิบายตามแนวคิดและทฤษฎีจิตวิทยาของบันดูราได้ว่า การเรียนรู้ของมนุษย์ส่วนมากนั้นเป็นการสังเกตจนเกิดการเลียนแบบ เพราะมนุษย์มีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมรอบตัวอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าเด็กจะเห็นพ่อ แม่ เพื่อน หรือแม้กระทั่งบุคคลจากสื่อต่าง ๆ ทำพฤติกรรมเช่นใด เด็กจะซึมซับพฤติกรรมนั้นมา เช่น เด็กผู้ชายเห็นแม่ทาลิปสติก และสวมรองเท้าส้นสูง เด็กจะเกิดการเรียนรู้ และเริ่มมีพฤติกรรมเลียนแบบแม่ โดยการนำลิปสติกมาทาที่ปาก และสวมรองเท้าส้นสูงของแม่ หรือลูกสาวกำลัง “โกนหนวด” กับพ่อ “ตอนอายุ 1 ขวบ ซึ่งผู้ใหญ่มักจะตีความพฤติกรรมตามแบบสังคม แต่เด็กวัยหัดเดินทำในสิ่งที่พวกเขาเห็นไม่ได้มีความหมาย

                              เด็กหญิงมี พฤติกรรมเลียนแบบ แม่ เด็กชาย พฤติกรรมเลียนแบบ พ่อ
                              เด็กหญิงมี พฤติกรรมเลียนแบบ แม่ เด็กชาย พฤติกรรมเลียนแบบ พ่อ

                              แค่เลียนแบบ ใช่เบี่ยงเบน!! : อัตลักษณ์ทางเพศมักไม่ปรากฏจนกว่าจะอายุ 3 ขวบ

                              กรณีที่พฤติกรรมนั้นไม่เหมาะกับช่วงวัย หรืออัตลักษณ์ทางเพศของเด็ก ส่วนมากพฤติกรรมการเลียนแบบ มักเป็นการซึมซับจากพ่อแม่ หรือคนในครอบครัว ซึ่งเกิดจากความใกล้ชิด และเป็นเรื่องธรรมชาติ เช่น อยากทาลิปสติกหรือสวมรองเท้าส้นสูงเหมือนคุณแม่ บางพฤติกรรมอาจทำให้พ่อแม่กังวลใจว่าลูกจะเป็นเด็กที่โตเกินตัว หรือในเด็กผู้ชายพ่อแม่ก็อาจกลัวว่าลูกจะมีพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศ แต่ในความเป็นจริงแล้วส่วนมากหากเกิดกับเด็กเล็ก ๆ ช่วง 3-4 ขวบ มักเป็นเรื่องปกติ และไม่ส่งผลเสียในระยะยาว เพราะเมื่อเด็กโตขึ้นจะมีสิ่งอื่นที่น่าสนใจกว่ามาแทนที่ตามวัยของเด็ก เช่น เพื่อน การเรียน กิจกรรมบางอย่าง เป็นต้น ส่งผลให้พฤติกรรมเลียนแบบคุณพ่อคุณแม่ในเรื่องดังกล่าวหายไปเองตามธรรมชาติ

                              ทารกแรกเกิดจำนวนมาก เลียนแบบการเคลื่อนไหวของใบหน้า เช่น แลบลิ้น แต่การเลียนแบบโดยเจตนา หรือความตั้งใจของเด็กเองนั้น เริ่มต้นที่อายุ 1 ขวบ Howard Klein, MD, ผู้อำนวยการด้านพฤติกรรมกุมารเวชศาสตร์ที่โรงพยาบาล Sinai ในบัลติมอร์กล่าวว่า “เด็กอายุ 1 ขวบเข้าใจว่าการกระทำที่เขาทำเลียนแบบนั้นมีความสำคัญ”

                              การเลียนแบบมีทั้งด้านบวก+ และด้านลบ-

                              พฤติกรรมเลียนแบบ ถือเป็นอีกหนึ่งพัฒนาการของเด็กที่เป็นไปได้ทั้งด้านบวก และด้านลบ เด็กส่วนใหญ่ที่อยู่ในวัยกำลังเติบโตมักมีพฤติกรรมเลียนแบบผู้ใหญ่ เพื่อนฝูง หรือคนอื่นๆ ที่อยู่รอบตัวเด็กเอง

                              จากทักษะการเรียนรู้เลียนแบบ และปฏิบัติตาม นำไปสู่พฤติกรรมที่สร้างความเป็นตัวตนแก่ลูก พฤติกรรมการลอกเลียนแบบที่ไม่เหมาะสมซึ่งเด็กแสดงออกบ่อยครั้ง จะเสริมสร้างลักษณะนิสัยที่ผิด ๆ ให้กับตัวเด็ก และจะเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “การระบุอัตลักษณ์แห่งตน” หรือ Self-identification กล่าวคือ พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมดังกล่าวได้ถูกปลูกฝังและหยั่งรากลึกเข้าไปในจิตใจและตัวตนของเด็ก ทำให้เด็กเข้าใจว่านี่คือพฤติกรรมที่บ่งบอกอัตลักษณ์ และความเป็นตัวตนของเขาอย่างแท้จริง เช่น เมื่อได้รับการตอกย้ำว่าเด็กคนนั้น “แย่” “เกียจคร้าน” “น่ารังเกียจ” เป็นต้น ช่วงเวลาแห่งการวางรากฐานแห่งการเป็นตัวตน (Formative time of ego development) เป็นช่วงที่จิตใจเด็กเปราะบาง เด็กจะยินยอม และรับฟังในสิ่งที่สังคมต่อว่าหรือประณามพวกเขาทั้งหมด และอาจเชื่อตามนั้นได้โดยทันที

                              เด็กแต่งหน้าทาปาก ตามแม่
                              เด็กแต่งหน้าทาปาก ตามแม่

                              พฤติกรรมที่ส่งผลเสียต่อลูก ได้แก่

                              • พฤติกรรมก้าวร้าว พฤติกรรมนี้มักเลียนแบบมาจากครอบครัวที่มีความรุนแรงทั้งการทะเลาะ หรือการดุด่าด้วยถ้อยคำหยาบคายต่อกัน หากเด็กเห็นจะเกิดการซึมซับ และมองว่าวิธีดังกล่าวสามารถใช้แก้ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้  พฤติกรรมการแสดงออกที่ก้าวร้าวจะบั่นทอนพัฒนาการด้านความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional Quotient/ Emotional Intelligence) ทำให้เด็กเข้ากับผู้อื่นในสังคมได้ยาก ขาดเพื่อนฝูง จนกระทั่งกลายเป็นเด็กที่มีพฤติกรรมต่อต้านสังคม (Sociopath) และอาจเข้าหากลุ่มเพื่อนที่มีพฤติกรรมเหมือนๆ กัน เพื่อหาที่พึ่งทางใจ และเพื่อต้องการความเห็นใจจากคนรอบข้าง
                              • พฤติกรรมการสนใจสื่อที่มีความรุนแรง เมื่อเด็กมีอายุน้อย และเข้าถึงสื่อออนไลน์เร็วเกินไป โดยผู้ปกครองต้องการเพียงให้เด็กอยู่นิ่ง ๆ โดยไม่ได้นึกถึงผลที่ตามมา ทำให้เด็กรับสื่อที่มีความรุนแรงมากเกินไป และแยกแยะไม่ได้ว่าสิ่งไหนไม่ควรทำ รวมถึงความใจร้อนไม่สามารถรอคอยเวลาได้ พ่อแม่ส่วนใหญ่ที่ไม่ค่อยมีเวลาให้กับลูก มักจะปล่อยให้ลูกอยู่กับสื่อต่าง ๆ เหล่านี้เพียงลำพัง เด็กก็จะบริโภคสื่อต่าง ๆ ผ่านการเรียนรู้หรือประสบการณ์ที่เขามีอยู่โดยขาดคำแนะนำที่เหมาะสม หรือบ่อยครั้งที่ผู้ปกครองมักปลอบใจ หรือให้รางวัลลูกน้อยด้วยการมอบอุปกรณ์สมัยใหม่ เช่น ไอโฟน เกมกดที่สามารถพกพาไปทุกหนทุกแห่ง สิ่งล่อใจเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นเพื่อนแก้เหงาให้กับเด็กได้ก็จริง แต่ก็ยังเป็นสื่อสังคมตัวฉกาจที่ลวงล่อให้เด็ก ๆ เริ่มกระทำสิ่งไม่เหมาะสม ไปจนถึงการเปิดรับคนแปลกหน้าเข้ามาสู่ชีวิตที่อาจเป็นภัยอันตรายได้
                              • พฤติกรรมการลักขโมย เด็กเลียนแบบผู้ปกครองหรือคนในบ้านที่หยิบสิ่งของผู้อื่นมาใช้แล้วไม่คืน การกระทำเช่นนี้มีผลให้เด็กมองว่าเป็นเรื่องปกติด้วยเช่นกัน
                              • พฤติกรรมการโกหก เกิดจากการล้อเลียน หรือหยอกล้อ แกล้งคนรอบตัวไม่ใช่แค่คนในครอบครัวแต่รวมถึงสังคมเพื่อนด้วย หากไม่มีการอธิบายให้เด็กฟังว่าทำไมถึงโกหก เด็กจะเข้าใจว่าการพูดโกหกไม่ใช่สิ่งที่ผิด และอาจติดเป็นนิสัยได้
                              • พฤติกรรมการใช้สิ่งเสพติด หากเด็กได้เห็นพฤติกรรมของคนรอบข้างที่ใช้สารเสพติด หรือสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ก็สามารถส่งต่อพฤติกรรมมาสู่เด็กได้ทำให้เด็กเลียนแบบ และส่งผลเสียทำให้ติดสารเสพติดในเวลาต่อมา
                              พฤติกรรมก้าวร้าว อีกหนึ่ง พฤติกรรมเลียนแบบ ด้านลบ
                              พฤติกรรมก้าวร้าว อีกหนึ่ง พฤติกรรมเลียนแบบ ด้านลบ

                              ควรทำอย่างไร เมื่อมีลูกในวัยเลียนแบบ!!

                              • เป็นแบบอย่างที่ดี เพราะพ่อแม่ของเด็กวัยหัดเดินมักอยู่ภายใต้การสังเกตของลูกอยู่เสมอ พวกเขามักทำตามพ่อแม่เป็นเรื่องปกติ ประจำวัน ในช่วงการพัฒนาที่สำคัญนี้ การสร้างแบบจำลองพฤติกรรมที่ดีที่สุดของพ่อแม่จึงเป็นสิ่งสำคัญ เช่น การรับประทานอาหารที่ดี หรือการเลิกบุหรี่ ยาเสพติด ให้พ่อแม่ หรือผู้เลี้ยงดูนำพฤติกรรมเชิงบวกมาใช้ ผู้ปกครองควรรู้จักขจัดนิสัยไม่ดีของตนเองออกไปเสียก่อน โดยการควบคุมวาจา อารมณ์และการกระทำให้เหมาะสมต่อหน้าลูก
                              • ลบความคิดที่ว่า “เขายังเป็นเด็ก” หากลูกมีพฤติกรรมเลียนแบบที่ไม่เหมาะสม อย่ามองว่าเป็นสิ่งน่ารักหรือตลกขบขัน ให้ตักเตือนเขา เด็ก 2 ขวบไม่มีความเข้าใจใน “เวลาและสถานที่ที่เหมาะสม” สำหรับพฤติกรรมบางอย่าง และพ่อแม่ควรยกแบบอย่างพฤติกรรมที่ดีและเหมาะสมแก่วัยของเขา อาจนำตัวการ์ตูนโปรดหรือดาราที่เขาชื่นชอบมายกตัวอย่างประกอบพฤติกรรมที่น่าชื่นชม ให้ลูกได้เลียนแบบแทน
                              • ควบคุมจำกัดเวลาในการใช้สื่อออนไลน์ และเด็กเล็กควรมีพ่อแม่ ผู้ใหญ่นั่งดูด้วยกันเพื่อคอยแนะนำในสิ่งที่เหมาะสม และไม่เหมาะสม แต่มิได้หมายความว่าให้งดโดนเด็ดขาด เพราะจะยิ่งทำให้เกิดความอยากรู้อยากเห็น แอบไปดูสื่อที่ไม่เหมาะสมเอง เด็กที่ยังขาดภูมิคุ้มกัน เมื่อเขาแอบไปดูเพียงลำพังจะทำให้ขาดคำแนะนำในการรับสื่อ ซึ่งยิ่งเป็นอันตรายมากขึ้นไปอีก

                                สื่อออนไลน์รุนแรง เด็กเลียนแบบ
                                สื่อออนไลน์รุนแรง เด็กเลียนแบบ
                              • เบี่ยงเบนความสนใจเมื่อจำเป็น คุณพ่อคุณแม่อาจป้องกันปัญหาเบื้องต้นได้ในช่วงที่ลูกแสดงออกถึงพฤติกรรมดังกล่าว โดยการไม่แสดงความสนใจ ไม่ชื่นชมยกย่อง หรือพยายามแสดงให้เห็นว่าพฤติกรรมเหล่านั้นไม่ได้ดีเสมอไป และพยายามเบี่ยงเบนหากิจกรรมอื่น ๆ ให้ลูกทำเพื่อไม่ให้เขาสนใจในปัญหาดังกล่าวอีกต่อไป
                              • ควรพยายามถามไถ่ถึงกิจกรรมที่ลูกทำในแต่ละวันที่โรงเรียนหลังเลิกเรียน เพื่อสำรวจพฤติกรรมความสนใจของลูก และเป็นการช่วยแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นประจำวันอีกด้วย
                              • การเลียนแบบศิลปินคนดัง เราสามารถมองในด้านดีได้ โดยลูกแสดงให้เห็นถึงความสนใจของตัวเขา พ่อแม่จะได้รับรู้ถึงพรสวรรค์ของลูก หรือความสามารถพิเศษที่ลูกชื่นชอบ เราสามารถส่งเสริม ผลักดันให้ลูกได้เกิดเป็นพฤติกรรมด้านบวกได้

                              พ่อแม่ต้องพยายามใกล้ชิดเด็กให้มากๆ ทุกช่วงวัย โดยในแต่ละช่วงวัยก็จะมีการแสดงออกถึงความใกล้ชิดที่แตกต่างกันออกไป หากเป็นเด็กเล็กที่ต้องการความรักความอบอุ่น พ่อแม่ก็ควรให้ในส่วนนี้มากๆ แต่ถ้าหากเด็กเริ่มโต เริ่มมีความคิดเป็นของตัวเอง เริ่มดูแลรับผิดชอบตัวเองได้ในระดับหนึ่ง การแสดงออกถึงความใกล้ชิดก็จะเปลี่ยนเป็นการพูดคุยแทน เพื่อแชร์ข้อมูลของเด็ก และสั่งสอนไปในตัว และไม่ควรกังวลมากเกินไปจนเผลอซักไซร้หรือควบคุมเด็กมากนักจนเด็กรู้สึกอึดอัด และไม่สบายใจที่จะเปิดใจคุยกับพ่อแม่ในเรื่องต่าง ๆ

                              ข้อมูลจาก
                              รศ. พญ.นิชรา เรืองดารกานนท์
                              ภาควิชากุมารเวชศาสตร์
                              คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
                              มหาวิทยาลัยมหิดล

                              รับมือปู่ย่าตายายอย่างไรไม่ให้สะดุด เมื่อลูกมีพฤติกรรมเลียนแบบด้านลบ

                              เมื่อพ่อแม่เรียนรู้ และทำความเข้าใจกับพฤติกรรมเลียนแบบของลูกกันแล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องกังวลสำหรับบางครอบครัว ที่เป็นครอบครัวขยาย ลูกได้รับการเลี้ยงดูจากหลายรุ่น การทำความเข้าใจกับปู่ย่าตายายที่ร่วมเลี้ยงดูเด็กจึงเป็นสิ่งจำเป็น

                              พฤติกรรมเลียนแบบด้านลบ หรือพฤติกรรมแย่ ๆ ที่มาจากปู่ย่าตายายนั้น อาจไม่ได้มาจากการเลียนแบบพฤติกรรมทางตรงจากท่าน แต่โดยมากมักเป็นการให้การเสริมแรง หรือการตามใจหลาน ๆ ในพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเหล่านั้นเสียมากกว่า โดยมักมีเหตุผลว่า “เขายังเด็ก” “น่ารักดีออก” เป็นต้น

                              ขอบเขตการเลี้ยงดู

                              เมื่อครอบครัวของคุณเป็นครอบครัวที่มีผู้เลี้ยงดูมากกว่าหนึ่งคน หรือคุณกับลูกตกอยู่ในสถานการณ์ที่มีผู้ใหญ่เชียร์ เสริมแรงต่อพฤติกรรมไม่ดี ไม่เหมาะสมให้กับลูกคุณ สิ่งที่พ่อ หรือแม่ควรรับมือ คือ สร้างขอบเขตการเลี้ยงดู โดยมีแนวทางดังนี้

                              • พูดคุยทำความเข้าใจกับคนในครอบครัวให้ไปในแนวทางเดียวกัน ไม่ทะเลาะขัดแย้งกันต่อหน้าเด็ก
                              • แสดงความชัดเจน และแน่วแน่ต่อแนวทางการเลี้ยงดูของเรา อย่างสุภาพ เมื่อคุณอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สามารถควบคุมให้ญาติผู้ใหญ่เหล่านั้น ทำตามที่เราตกลงกันไว้ได้ แม่อย่างคุณต้องพกความแน่วแน่ชัดเจน ที่จะไม่ยอมให้เกิดการเสริมแรงพฤติกรรมที่แย่ ๆ นั้นต่อไป อย่างสุภาพ โดยการพาลูกออกจากสถานการณ์นั้น ๆ ได้
                              • สอน อธิบายลูกถึงผลของการทำพฤติกรรมแย่ ๆ เหล่านั้น โดยไม่ไปกล่าวโทษปู่ย่าตายาย หรือญาติผู้ใหญ่ให้ลูกฟัง
                              • เข้มแข็งไว้ คุณอาจจะต้องกระทำการปกป้องลูกจากการเสริมแรงพฤติกรรมที่แย่ ๆ จากผู้ใหญ่มากกว่า 1 ครั้ง เนื่องจากว่าผู้คนเหล่านั้นจะยังคงไม่ยอมทำตามแนวทางของคุณ จนกว่าเขาจะเห็นด้วย และเชื่อตาม
                              รับมือพฤติกรรมด้านลบจากปู่ย่าตายาย
                              รับมือพฤติกรรมด้านลบจากปู่ย่าตายาย

                              แม้ว่าสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้จะดูเหมือนเป็นการยุ่งยากลำบากใจ แต่ขอให้ระลึกไว้เสมอว่า พ่อแม่เป็นบุคคลที่สำคัญที่สุดสำหรับลูก พฤติกรรมของคุณสำคัญที่สุดสำหรับการเรียนรู้ และการพัฒนาของเขา การที่เราแน่วแน่ ปกป้องลูกเป็นการดีกับลูก และต่อคุณในระยะยาวมากกว่าการเกรงใจยึดความสัมพันธ์ไว้ ดีกว่าต้องมานั่งแก้ไขพฤติกรรมของเขาในตอนโต หรือเป็นการยากที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมแย่ ๆ ของลูกทำให้เขาต้องเผชิญกับภาวะที่เลวร้ายเพียงลำพังเมื่อโตขึ้น

                              ข้อมูลอ้างอิง Rama Channel /www.petcharavejhospital.com /mcpswis.mcp.ac.th/www.parents.com 

                              อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                              ลูกเลียนแบบพ่อแม่ พฤติกรรมเลียนแบบของเด็กสั่งจากสมอง! หนูรู้ หนูจำได้

                              สีกระเป๋าตามวันเกิด ปี 2565 เสริมให้ชีวิตปังๆ เงินเข้ารัวๆ

                              ฝีดาษลิงติดยังไง คำถามควรรู้เมื่อพบผู้ป่วยรายแรกในไทย!

                              CPR ช่วยชีวิตลูกจากการสำลัก ของติดคอ หากลูกหมดสติ

                              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                ของใช้เด็กแรกเกิด

                                เช็กลิสต์ 12 ไอเทม ของใช้เด็กแรกเกิด คุณแม่มือใหม่จำเป็นต้องมีไว้ดูแลลูกน้อยแรกเกิด

                                การจะได้เป็นแม่คนโดยเฉพาะกับท้องแรกนี่ต้องเรียกว่าเป็นความตื่นเต้นครั้งหนึ่งของชีวิตเลย ทั้งคุณพ่อคุณแม่คงต้องรับมือกับความกังวลทั้งหลายกันจนวุ่นวายไปหมด ทีมกองบรรณาธิการ Amarin Baby & Kids จึงเตรียมเช็กลิสต์ ไอเทมจำเป็น ของใช้เด็กแรกเกิด ที่คุณแม่มือใหม่ต้องเตรียมให้พร้อม เพื่อรอต้อนรับการออกมาดูโลกของเจ้าตัวน้อย ลองดูว่า 12 ไอเทม ของใช้เด็กแรกเกิด นี้จะมีอะไรบ้าง ไอเทมเด็กแรกเกิด ชิ้นไหนยังไม่มีคุณแม่ก็ชวนคุณพ่อ หรือจูงมือคุณเพื่อนออกไปช้อปปิ้งกันได้เลยค่ะ

                                12 ของใช้เด็กแรกเกิด ที่ขาดไม่ได้
                                ว่าที่คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ต้องเตรียมไว้ให้พร้อมใช้

                                ของใช้เด็กแรกเกิด

                                1. ผ้าอ้อมสำเร็จรูป Applecrumby

                                ขาดไม่ได้สำหรับลูกน้อยแรกเกิดก็คือผ้าอ้อมที่คุณแม่ต้องตุนเตรียมไว้เลยตั้งแต่ก่อนคลอด  ผ้าอ้อมสำเร็จรูป Applecrumby  แบรนด์ น้องใหม่ที่เกิดจากความตั้งใจของพ่อแม่ อยากทำผ้าอ้อมคุณภาพดี ทำจากวัตถุธรรมชาติที่ปลอดภัยต่อลูกน้อย จึงกลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์คุณแม่ยุคใหม่ทั้ง คุณสมบัติพิเศษสามารถซึมซับได้ดี แต่ยังอ่อนโยนต่อผิว ปราศจากคลอรีน ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ผดผื่น และระคายเคืองแก่ผิวบอบบาง มีให้เลือกใช้กับลูกทุกวัย ด้วยความที่เป็นผ้าอ้อมสำเร็จรูปที่ตอบโจทย์ความต้องการของครอบครัวสมัยใหม่ ทั้งเรื่องคุณภาพ ราคา และคุณสมบัติของผ้าอ้อม จึงได้รับผลิตภัณฑ์ดาวเด่น RISING STAR สาขา BEST DISPOSABLE DIAPERS จากงานประกวด Amarin Baby & Kids Awards 2021 เป็นผลิตภัณฑ์ใช้ดี มีคุณภาพที่ผ่านการคัดเลือกจากทีมบรรณาธิการ Amarin Baby & Kids เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับคุณแม่ยุคใหม่ในการตัดสินใจเลือกผลิตภัณฑ์ให้กับลูกน้อย

                                ข้อมูลเพิ่มเติม https://www.facebook.com/ApplecrumbyThailand/

                                ของใช้เด็กอ่อน

                                2. ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว ดีนี่ เพียว เบบี้โลชั่น ออร์แกนิค

                                บำรุงผิวลูกน้อยด้วยคุณค่าจากธรรมชาติ ด้วยผลิตภัณฑ์ที่คุณแม่ไว้วางใจ มาพร้อมส่วนผสมจากสารสกัดออร์แกนิคอ่อนโยน ไม่ระคายเคืองผิวของลูกน้อย ผสานคุณค่าจากธรรมชาติ มีทั้งน้ำแร่ , ข้าวโอ๊ต , ดอกคาโมมายล์ และอโลเวล่า ซึ่งจะช่วยให้ผิวเนียนนุ่ม ชุ่มชื้น ตัวโลชั่นเนื้อบางเบา ไม่เหนียวเหนอะหนะ สบายผิวลูกน้อย ทั้งยังปราศจากสารพาราเบน และผ่านการทดสอบ Hypo-Allergenic Tested โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง หมดห่วงเรื่องสารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้หรือระคายเคืองผิวที่บอบบางของลูกน้อยที่จึงได้รับการปกป้องทะนุถนอมเป็นอย่างดี ดีนี่ เพียว โลชั่น ออร์แกนิค ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวสูตรอ่อนโยนที่ผ่านการรับรองมาตรฐานจาก สถาบัน EcoCert ประเทศฝรั่งเศส ดีนี่ เพียว ออร์แกนิค โลชั่นที่ใช้ได้ตั้งแต่เด็กแรกเกิด ที่สำคัญคือยังได้รับการันตีรางวัล NATURAL & ORGANIC สุดยอดผลิตภัณฑ์ออร์แกนิค และผลิตภัณฑ์จากส่วนธรรมชาติสำหรับเด็ก คัดเลือกจากทีมบรรณาธิการ Amarin Baby & Kids จากงานประกวด Amarin Baby & Kids Awards 2021 ด้วยนะคะ คุณแม่มั่นใจในคุณภาพและความปลอดภัยต่อลูกน้อยได้ค่ะ

                                ข้อมูลเพิ่มเติม http://www.dnee.co.th/index.php/th/product/baby/baby-lotion/164-d-nee-pure-baby-lotion-organic

                                ของใช้เด็กแรกเกิด

                                3. ผลิตภัณฑ์บรรเทาหวัด Mama Tales Perfect Oil

                                ตัวช่วยสำคัญเมื่อเวลาลูกน้อยเกิดอาการเป็นหวัดคัดจมูก ซึ่งผลิตภัณฑ์นี้ผ่านการคิดค้นเพื่อลูกน้อยโดยเฉพาะ จึงอ่อนโยน ไม่ทำร้ายเยื่อบุโพรงจมูก ปราศจากน้ำหอมและสารเคมีต่าง ๆ ที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ เป็น Essential Oil Organic น้ำมันหอมระเหยบริสุทธิ์ ที่มีส่วนผสมทั้งสารสกัดหอมแดง ใบชิโซะ ใบชะพลู ลาเวนเดอร์ ดอกคาโมมายล์ ว่านหางจระเข้ ซึ่งมีสรรพคุณช่วยให้หายใจโล่ง บรรเทาหวัด คัดจมูก นอกจากนี้กลิ่นหอมจากธรรมชาติยังช่วยบำบัดให้ผ่อนคลาย สามารถใช้ได้ทั้งสูดดม หยดบนผิว หยดบนเสื้อผ้า ไปจนถึงผสมน้ำอาบ มีหลายขนาดให้เลือกและยังใช้ได้ทั้งครอบครัว Mama Tales Perfect Oil เป็นหนึ่งในไอเทม ของใช้เด็กแรกเกิด ที่เหมาะจะซื้อไว้ใช้ดูแลสุขภาพลูกน้อยมากค่ะ ที่สำคัญคือ Mama Tales Perfect Oil ได้รับรางวัลการันตีคุณภาพจากทีมบรรณาธิการ Amarin Baby & Kids ได้รับคัดเลือกให้ได้รับรางวัล EDITOR’s CHOICE สาขา BEST NATURAL COLD REMEDIES PRODUCT FOR KIDS จากงานประกวด Amarin Baby & Kids Awards 2021 มาด้วยค่ะ

                                ข้อมูลเพิ่มเติม https://mamatalesbaby.com/PRODUCTS

                                ของใช้เด็กอ่อน

                                4. เครื่องฆ่าเชื้อขวดนม SAKER

                                คุณแม่ไม่มีได้กับไอเทม ของใช้เด็กแรกเกิด ชิ้นนี้ เป็นหนึ่งในของใช้เตรียมคลอดที่น่าซื้อเป็นของขวัญให้คุณแม่หลังคลอดที่สุดค่ะ เครื่องฆ่าเชื้อขวดนมสำหรับคุณแม่ยุคใหม่จากแบรนด์ SAKER ที่สามารถกำจัดเชื้อโรคต่าง ๆ ด้วยแสงยูวี พร้อมกับอบขวดนม จุกนมให้แห้งภายในไม่กี่นาที รวมถึงกลิ่นนมหรือกลิ่นไม่พึงประสงค์ต่าง ๆ ออกไปจนหมด รูปลักษณ์สวยงาม ใช้ง่ายและปลอดภัย และด้วยเป็นนวัตกรรมที่ปลอดภัยสำหรับคุณแม่และเด็กที่ใช้ดี มีคุณภาพแบบนี้ จึงได้รับคัดเลือกจากทีมบรรณาธิการ Amarin Baby & Kids ให้รางวัล EDITOR’s CHOICE สาขา BEST BABY BOTTLE STERILIZER จากการประกวด Amarin Baby & Kids Awards 2021 มีรางวัลการันตีแบบนี้ ต้องมีเครื่องฆ่าเชื้อขวดนม SAKER ติดบ้านไว้ใช้กันแล้วนะคะ

                                ข้อมูลเพิ่มเติม https://pumpnom.com/category/170/säker-เซเกอร์-แบรนด์สินค้าแนะนำ

                                ของใช้เด็กแรกเกิด คาร์ซีท Fico

                                5. คาร์ซีท Fico

                                คุณพ่อคุณแม่คงทราบดีอยู่แล้วว่าเวลาพาลูกน้อยออกนอกบ้าน โดยเฉพาะเวลานั่งรถ จำเป็นต้องมีคาร์ซีทตามที่กฎหมายกำหนด จึงจำเป็นมากที่ต้องเลือกแบรนด์และรุ่นที่ไว้ใจได้ที่สุด ซึ่งคาร์ซีทรุ่นนี้เหมาะมากสำหรับเด็กน้อยตั้งแต่วัยแรกเกิดถึง 4 ขวบ มาพร้อมซัพพอร์ตที่หนานุ่ม ไม่ระคายเคืองต่อผิวของลูกน้อย มีระบบป้องกันการกระแทกด้านข้าง สายรัดกันกระแทกถึง 5 จุด พนักพิงยังสามารถปรับได้ 3 ระดับ สามารถติดตั้งได้ 2 ทิศทาง คือทั้งติดตั้งแบบหันหน้าเข้าหาเบาะรถ และหันหน้าออกจากเบาะรถ ตามน้ำหนักตัวเด็ก ดีไซน์ให้รองรับรูปร่างเด็กได้จนถึง 4 ขวบ และยังราคาดี คุ้มค่าด้วย FICO คาร์ซีท ไอเทม ของใช้เด็กแรกเกิด ได้รับการโหวตจากคุณแม่ทั่วประเทศว่าเป็นคาร์ซีทสำหรับเด็กที่ใช้ดี มีคุณภาพ ปลอดภัยใช้ได้ตั้งแต่เด็กทารก จนทำให้ได้รับการการันตีรางวัล MOMMY’s CHOICE สาขา BEST CAR SEAT FICO จากการประกวด Amarin Baby & Kids Awards 2021

                                ข้อมูลเพิ่มเติม คาร์ซีท Fico รุ่น HB902

                                ของใช้เด็กแรกเกิด เป้อุ้มเด็ก Pognae

                                6. เป้อุ้มเด็ก Pognae

                                เป้อุ้มเด็กก็เป็นอีกไอเทมที่น่าสนใจสำหรับพาลูกน้อยออกนอกบ้าน ซึ่งแบรนด์นี้ก็เป็นแบรนด์ขายดีจากเกาหลี ดีไซน์ด้วยนวัตกรรมที่ใส่ใจในสรีระของลูกและคุณพ่อคุณแม่เวลาอุ้ม ช่วยให้ไม่ปวดหลัง คอ บ่า และไหล่ แม้จะอุ้มลูกเป็นเวลานาน จนได้รับการรับรองจากสถาบัน International Hip Dysplasia (IHDI) เป็นรายแรกของเกาหลี รองรับทั้ง M Shape U Shape ของลูก ช่วยให้หลังไม่งอ ขาไม่โก่ง นอกจากนี้วัสดุผ้ายังกันน้ำ แต่ระบายอากาศได้ทุกทิศทาง โดยเฉพาะจุดที่มีเหงื่อเยอะอย่างช่วงหลังและก้นลูก สามารถปรับท่าอุ้มได้หลากหลาย มีระบบล็อคที่ปลอดภัย ซิปไร้เสียง ถอดซักทำความสะอาดง่าย เป้อุ้มเด็ก POGNAE ได้รับการันตีรางวัล EDITOR’s CHOICE สาขา BEST BABY CARRIER ที่ได้รับคัดเลือกจากทีมบรรณาธิการ Amarin Baby & Kids ให้เป็นผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กที่ใช้ดี มีคุณภาพ จากการประกวด Amarin Baby & Kids Awards 2021 คุณพ่อคุณแม่ต้องไม่พลาดที่ได้ใช้ไอเอม ของใช้เด็กแรกเด็กเกิด ชิ้นนี้กันนะคะ

                                ข้อมูลเพิ่มเติม http://www.pognae.in.th/

                                เครื่องนอนสำหรับทารก OXY Baby Mattress

                                7. เครื่องนอนสำหรับทารก OXY Baby Mattress

                                การซื้อที่นอนสำหรับลูกโดยเฉพาะเป็นสิ่งที่จำเป็นมากในด้านสุขภาพนะคะ OXY Baby Mattress ตัวนี้เรียกว่าเป็น เบาะนอนหายใจผ่านได้ ซึ่งสำคัญมากเพราะช่วยป้องกันความเสี่ยงโรค SIDS หรือโรคทารกไหลตายขณะนอนหลับ ตัวเบาะไม่สะสมความร้อน ระบายอากาศได้ทุกทิศทาง ป้องกันผดผื่นจากความร้อนหรือความชื้นและไรฝุ่น มีความนุ่ม แน่น เด้ง ด้วยโครงสร้างคล้ายสปริง รองรับสรีระทุกสัดส่วน ตัดเย็บอย่างปราณีต ปราศจากสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อทารก โดยวัสดุได้การรับรองความปลอดภัย OEKO-TEX Standard 100 และยังซักทำความสะอาดได้ 100% เบาะนอนสำหรับเด็กที่ใช้ดี มีคุณภาพแบบนี้ ทีมบรรณาธิการ Amarin Baby & Kids คัดเลือกให้รับการันตีด้วยรางวัล EDITOR’s CHOICE สาขา BEST BABY BEDDING PRODUCTS จากการประกวด Amarin Baby & Kids Awards 2021

                                ข้อมูลเพิ่มเติม https://oxybabythailand.com/product/oxy-baby-mattress/

                                คินดี้ โลชั่นกันยุง ออร์แกนิค

                                8. ผลิตภัณฑ์กันยุงสำหรับเด็ก คินดี้ โลชั่นกันยุง ออร์แกนิค

                                สำหรับคุณแม่ที่ระวังเจ้ายุงร้ายคอยรังควานลูกน้อย ผลิตภัณฑ์กันยุงจึงเป็นไอเทมจำเบ็นต้องมีพกไว้นะคะ ขอแนะนำโลชั่นกันยุง ออร์แกนิค จากคินดี้ แบรนด์ไทยที่ตั้งใจคิดค้นมาสำหรับลูกน้อยที่แพ้ง่ายโดยเฉพาะ เป็นสารสกัดธรรมชาติ Essential Oil ตะไคร้หอมที่มีประสิทธิภาพในการกันยุง กลิ่นหอม ไม่ฉุน ไม่ระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจ ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวด้วยสารสกัดธรรมชาติจากว่านหางจระเข้ ปราศจากสารอันตรายทั้ง DEET พาราเบน น้ำหอม ผ่านการทดสอบทางการแพทย์ เหมาะสำหรับผิวบอบบาง แพ้ง่าย ปกป้องลูกจากยุงได้นานสูงสุด 3 ชั่วโมง สามารถใช้ได้กับเด็กตั้งแต่ 1 ขวบขึ้นไป คินดี้ โลชั่นกันยุง ออร์แกนิค เป็นไอเทมสำหรับเด็กการันตีว่าใช้ดี มีคุณภาพ ปลอดภัยกับเด็ก ๆ ทีมบรรณาธิการจึงคัดเลือกมอบรางวัล EDITOR’s CHOICE สาขา BEST MOSQUITO REPELLENT FOR KIDS จากการประกวด Amarin Baby & Kids Awards 2021

                                ข้อมูลเพิ่มเติม https://www.kindeekids.com/product/anti_mosquito/

                                น้ำยาล้างขวดนม Lamoon

                                9. น้ำยาล้างขวดนม Lamoon Organic Nipple & Bottle Cleanser

                                ลูกน้อยดื่มนมจากขวดทุกวันจึงจำเป็นมากที่ต้องดูแลความสะอาดเป็นอย่างดี ขอแนะนำน้ำยาล้างขวดนม ละมุน ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ล้างขวดนมที่ผลิตจากเอนไซม์ผลไม้ ช่วยขจัดคราบไขมันจากน้ำนมออกได้ง่าย แม้น้ำนมแม่ที่มีความมันมากกว่านมวัว ทั้งที่ติดกับขวดนม จุกนม และอุปกรณ์อื่นๆ สะดวกต่อการใช้งาน เนื้อฟองนุ่มละเอียด อ่อนโยนจากธรรมชาติ 100% ไม่ทิ้งสารตกค้าง หรือสารที่จะก่อให้เกิดอันตราย ช่วยลดการสะสมของเชื้อแบคทีเรีย และไม่ทิ้งคราบขาวหลังจากการนึ่งขวดนม มาพร้อมกับความหอมจากน้ำมันหอมระเหยธรรมชาติ มั่นใจในทุกครั้งที่ทำความสะอาด ของใช้เด็กแรกเกิด ไอเทมสุดปังชิ้นนี้บอกเลยค่ะว่าได้รับการโหวตการันตีจากคุณแม่ทั่วประเทศ เป็นผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กทารกที่ใช้ดี มีคุณภาพ ปลอดภัย จนได้รับรางวัล MOMMY’s CHOICE สาขา BEST BABY BOTTLE AND NIPPLE CLEANSER จากการประกวด Amarin Baby & Kids Awards 2021

                                ข้อมูลเพิ่มเติม https://www.lamoonbaby.com/product/lamoon-organic-nipple-bottle-cleanser/

                                JESSIE MUM อาหารเสริมกระตุ้นน้ำนม

                                10. JESSIE MUM อาหารเสริมกระตุ้นน้ำนม

                                คุณแม่หลังคลอดลูกหากต้องการฟื้นฟูบำรุงร่างกายให้กลับมาแข็งแรงได้เร็ว ต้องมีตัวช่วยที่ปลอดภัยจากธรรมชาติ Jessie Mum คือผลิตภัณฑ์อาหารเสริมกระตุ้นน้ำนม ที่ช่วยให้คุณแม่หมดกังวลว่าจะไม่มีน้ำนม น้ำนมน้อย น้ำนมไม่มา มีไม่พอทำสต๊อกนมแม่อีกต่อไป JESSIE MUM เม็ดแคปซูลที่เต็มไปด้วยสมุนไพรธรรมชาติ 100 % ทำให้กินง่าย พกพาสะดวก ที่สำคัญยังได้รับการการันตีคุณภาพจากทีมบรรณาธิการ Amarin Baby & Kids คัดเลือกให้ได้รับรางวัล EDITOR’s CHOICE สาขา BEST BREASTFEEDING SUPPLEMENT จากการประกวด Amarin Baby & Kids Awards 2021

                                ข้อมูลเพิ่มเติม https://www.jessiemum.com

                                 

                                คอกกั้นเด็ก Hoyo ของใช้เด็กอ่อน

                                11. คอกกั้นเด็ก Hoyo

                                เรียกว่าเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับลูกน้อยตั้งแต่แรกเกิดถึงเด็กโตกันเลย คอกกั้นแบรนด์นี้จัดว่าสารพัดประโยชน์มาก ด้วยลักษณะเป็นแผ่นฟูกที่ยึดต่อกันด้วยตีนตุ๊กแกและซิป จึงปรับเปลี่ยนได้หลากหลายรูปแบบมาก เป็นได้ตั้งแต่เตียงนอนเด็กแรกเกิด พื้นที่เพลย์กราวนด์ ทั้งแบบมีคอกกั้นและไม่มีคอกกั้น ไปจนถึงโซฟาเบดให้นั่งเล่นดูทีวี วัสดุเป็นโฟมนุ่มแน่น ห่อหุ่มด้วยหนัง PU จากเกาหลี ปราศจากสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ 100% มาพร้อมความแข็งแรงทนทาน ตัดเย็บปราณีต และยังทำความสะอาดง่าย มีหลายแบบหลายขนาดให้เลือกตามแต่คุณพ่อคุณแม่เลือกใช้งาน ว่าที่คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ที่อยากได้คอกกั้นเด็กคุณภาพดี เป็นพื้นที่ปลอดภัยและส่งเสริมพัฒนาการ เหมาะกับเด็กตั้งแต่ทารกแรกเกิด  ก็ต้องคอกกั้น HOYO เลยค่ะ จะบอกว่าคุณแม่ทั่วประเทศโหวตให้เป็นคอกกั้นเด็กที่ใช้ดี จนได้ได้รับรางวัล MOMMY’s CHOICE สาขา BEST BABY SOFT PLAYPEN จากการประกวด Amarin Baby & Kids Awards 2021

                                ข้อมูลเพิ่มเติม https://hoyosoftandsafe.com/product/

                                เครื่องปั๊มนม PLENTITUDE

                                12. เครื่องปั๊มนม PLENTITUDE

                                เครื่องปั๊มนมเป็นหนึ่งในไอเทม ของใช้เด็กแรกเกิด ที่แนะนำให้ว่าที่คุณพ่อคุณแม่มือใหม่เตรียมไว้ให้พร้อมใช้ค่ะ เพราะหลังคลอดลูกยังไงก็ต้องได้ใช้ ยิ่งคุณแม่อยากเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ให้ประสบผลสำเร็จ และอยากทำสต๊อกนมแม่ เครื่องปั๊มนมต้องมีกันนะคะ สำหรับเครื่องปั๊มนม PLENTITUDE มีคุณสมบัติที่ตอบโจทย์ ช่วยให้คุณแม่สามารถปั๊มนมได้ราบรื่น ไม่ติดขัด จัดเต็มทั้งโหมดการปั๊มให้เลือกถึง 4 แบบโดยสัมพันธ์กับกระบวนการผลิตน้ำนมตามธรรมชาติ และแบตอึด ๆ ชาร์จเพียง 3 ชั่วโมงแต่สามารถทำงานต่อเนื่องได้ถึง  6 รอบการปั๊มนม ฟังก์ชั่นจัดเต็มขนาดนี้ในเครื่องเล็ก น้ำหนักเบา ตอบโจทย์การใช้งานให้กับคุณแม่นักปั๊ม   PLENTITUDE เป็นเครื่องปั๊มนมที่มีคุณภาพโดดเด่น ซึ่งทีมบรรณาธิการ Amarin Baby & Kids เลือกให้ได้รับรางวัล RISING STAR สาขา BEST ELECTRIC BREAST PUMP จากการประกวด Amarin Baby & Kids Awards 2021

                                ข้อมูลเพิ่มเติม https://plentitudethailand.com

                                คุณพ่อคุณแม่มือใหม่พอจะได้ไอเดียในการเตรียมซื้อของใช้ไว้ต้อนรับลูกน้อยกันแล้วนะคะ ทั้ง 12 ของใช้เด็กอ่อน ที่เรามาแนะนำให้นี้นอกจากจะจำเป็นในการใช้กับเด็กทารกแรกเกิด เด็กเล็กแล้ว ยังเป็นสินค้าแม่และเด็กที่ได้รับรางวัลการันตีใช้ดี มีคุณภาพจาก Amarin Baby & Kids Awards ประจำปี 2021 ด้วยนะคะ

                                  ทารกแรกเกิด

                                  จริงมั้ย ทารกแรกเกิด -3เดือน ดื่มน้ำแช่ทองคำทำให้ผิวดี

                                  จริงมั้ย ทารกแรกเกิด – 3เดือน ดื่มน้ำแช่ทองคำทำให้ผิวดี

                                  จากกรณีที่มีผู้โพสต์ข้อความ ลงในสื่อโซเชียลมีเดีย ระบุว่า ให้นำน้ำแช่ทองคำ ไม่ว่าจะเป็นสร้อยทอง แหวน หรือเหรียญสลึง โดยอ้างเป็นความเชื่อโบราณ เมื่อให้ ทารกแรกเกิด ถึง 3 เดือนดื่ม จะทำให้มีผิวพรรณดี จริงหรือไม่ เรื่องนี้ได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกับโดยกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ผลปรากฏดังนี้ค่ะ

                                  ควรเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ตั้งแต่ ทารกแรกเกิด

                                  องค์การอนามัยโลกและยูนิเซฟ มีคำแนะนำว่า ควรให้นมแม่ทันทีในช่วง 1 ชั่วโมงแรกหลังคลอด และควรให้นมแม่เพียงอย่างเดียวในช่วง 6 เดือนแรกของชีวิตลูก จากนั้นให้นมแม่ต่อเนื่อง ควบคู่กับอาหารเสริมที่ปลอดภัย มีคุณค่าและเหมาะกับอายุ ตั้งแต่เดือนที่ 6 ไปจนถึงลูกอายุ 2 ขวบ หรือนานกว่านั้นยิ่งดี ทั้งนี้ มีงานวิจัยพบว่า เมื่อลูกอยู่ในวัย 12-23 เดือน น้ำนมแม่ในปริมาณ 15 ออนซ์ (ประมาณ 443 ซีซี) จะมีสารอาหารในสัดส่วนดังนี้

                                  • 29% ของ พลังงาน ที่ต้องการต่อวัน
                                  • 43% ของ โปรตีน ที่ต้องการต่อวัน
                                  • 36% ของ แคลเซียม ที่ต้องการต่อวัน
                                  • 75% ของ Vitamin A ที่ต้องการต่อวัน
                                  • 76% ของ โฟเลต ที่ต้องการต่อวัน
                                  • 94% ของ Vitamin B12 ที่ต้องการต่อวัน
                                  • 60% ของ Vitamin C ที่ต้องการต่อวัน

                                  สารอาหารที่ในนมแม่ที่สร้างสมองมีอะไรบ้าง 

                                  ·กรดไขมัน –  เซลล์ในสมองส่วนใหญ่ สร้างมาจากกลุ่มของกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนสายยาว ที่เรียกว่า DHA (docosahexaenoic acid) และ AA (arachidonic acid) กรดไขมันเหล่านี้ สนับสนุนการประมวลผลข้อมูล และการส่งผ่านข้อมูลที่เกิดขึ้นในสมอง

                                  อย่างไรก็ตาม DHA และ AA ไม่พบในร่างกายมนุษย์ และกรดไขมันที่จำเป็นในการสังเคราะห์ ได้แก่ กรดอัลฟาไลโนเลนิก (ALA) และกรดไลโนเลอิก (LA)

                                  กรดไขมันเหล่านี้สามารถหาได้จากอาหารของบุคคลเท่านั้น และนมแม่มีกรดไขมันเหล่านี้อยู่ในระดับสูงสุด (มาจากแหล่งเดียว)

                                  ทารกแรกเกิด
                                  จริงมั้ย ทารกแรกเกิด -3เดือน ดื่มน้ำแช่ทองคำทำให้ผิวดี

                                  ·ฟอสโฟลิปิด – การส่งข้อมูลที่มีประสิทธิภาพระหว่างเซลล์ประสาทในสมองนั้นขึ้นอยู่กับการเชื่อมของเซลล์ประสาทกล่าวคือการเคลือบด้วยชั้นของไขมัน (ไมอีลิน) ซึ่งทำให้การส่งผ่านเร็วขึ้น คอเลสเตอรอลซึ่งพบในน้ำนมแม่ที่มีความเข้มข้นสูงก็จำเป็นสำหรับกระบวนการนี้เช่นกัน

                                  ·ทอรีน – ทอรีนมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสมองและดวงตา โดยเฉพาะทอรีนมีบทบาทในการสังเคราะห์สารสื่อประสาทในสมองซึ่งมีความสำคัญต่อการสื่อสารของเส้นประสาท อย่างไรก็ตามร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์กรดอะมิโนนี้ได้ดังนั้นการมีอยู่ในน้ำนมแม่จึงมีความสำคัญมาก

                                  ·โคลีน – บทบาทของโคลีนในการพัฒนาและการทำงานของสมองนั้นมีมากมาย จำเป็นสำหรับการสังเคราะห์ฟอสโฟลิปิดการส่งข้อมูลระหว่างเซลล์สมองและยังช่วยเพิ่มความจำ ในความเป็นจริงเมื่อเซลล์ขาดสารอาหารนี้พวกมันจะถูกตั้งโปรแกรมให้ตายในกระบวนการที่เรียกว่าอะพอพโทซิส

                                  ·สังกะสี – สังกะสีสนับสนุนการแบ่งตัวและการเจริญเติบโตของเซลล์ นอกจากนี้สังกะสียังได้รับการยกย่องว่าเป็นสารอาหารที่ช่วยปกป้องเซลล์ในสมองและระบบประสาทส่วนกลางเนื่องจากคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ

                                  นมแม่ยังมีสารต่อสู้กับโรคหลายชนิด รวมถึงแอนติบอดี ซึ่งช่วยปกป้องร่างกายของบุตรหลานจากการติดเชื้อที่เป็นอันตราย นมแม่ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ปกป้องทารกจากอาการแพ้ ยิ่งลูกของคุณมีสุขภาพดีเท่าไหร่ ก็จะสามารถพัฒนาเป็นผู้ใหญ่ที่ฉลาดได้มากขึ้นเท่านั้น

                                  ผลการวิจัยได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสมองของทารก ไม่เพียงแต่ประโยชน์ทางโภชนาการเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความผูกพันที่เกิดขึ้นระหว่างการให้นมบุตรด้วย

                                  จริงมั้ย ทารกแรกเกิด – 3เดือน ดื่มน้ำแช่ทองคำทำให้ผิวดี

                                  ดังนั้น จากกรณีที่มีผู้โพสต์ระบุว่าให้นำน้ำแช่ทองคำ ไม่ว่าจะเป็นสร้อยทอง แหวน หรือเหรียญสลึง โดยอ้างเป็นความเชื่อโบราณ เมื่อให้ทารกแรกเกิดถึง 3 เดือนดื่ม จะทำให้มีผิวพรรณดี ทางกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ได้ตรวจสอบข้อมูลและชี้แจงว่า ไม่เป็นความจริง การให้ทารกดื่มน้ำแช่ทองคำไม่ให้มีผิวพรรณดี เป็นความเชื่อที่ผิดและไม่ควรทำอย่างยิ่ง เพราะอาจทำให้เกิดการปนเปื้อนเชื้อโรคหรือโลหะหนักที่เกิดการกัดกร่อนเข้าสู่ร่างกายได้

                                  โดยสิ่งที่เด็กวัยทารกควรได้รับและดีที่สุด คือ นมแม่อย่างเดียวตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 6 เดือน โดยไม่ต้องให้น้ำหรืออาหารอื่น เนื่องจากนมแม่เป็นอาหารที่มีคุณค่าที่สุดสำหรับลูก มีสารอาหารมากกว่า 200 ชนิดที่มีประโยชน์ต่อการเจริญเติบโต ช่วยพัฒนาสมอง จอประสาทตา ทำให้เด็กสามารถเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว มีสุขภาพแข็งแรง ทั้งร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ รวมทั้งเป็นอาหารที่ย่อยง่ายและถูกสร้างมาให้เหมาะสมที่สุดกับสภาพร่างกายของทารก

                                  หลังจากทารกอายุครบ 6 เดือน เมื่อระบบย่อยและดูดซึมอาหารพัฒนาได้ค่อนข้างสมบูรณ์แล้วจึงให้เริ่มกินอาหารที่เหมาะสมตามวัย

                                  การให้นมลูกนอกจากจะเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันทางร่างกายให้ลูกแล้ว ยังทำให้เกิดสายสัมพันธ์ที่ดี ผ่านการโอบกอดขณะให้กินนมแม่ ก่อให้เกิดความผูกพัน ลูกได้รับการกระตุ้นทางประสาทสัมผัสทั้ง 5 ผ่านการมองเห็นแม่ ได้ยินเสียงหัวใจแม่ ได้กลิ่นนมแม่ รับรสนมแม่ มือสัมผัส และได้รับการโอบกอดจากแม่ ทำให้ช่วยกระตุ้นพัฒนาการทางด้านสมองและสติปัญญา ที่สำคัญ การโอบกอด การสบตา พูดคุยของแม่ขณะให้นมลูก จะทำให้แม่และลูกรู้สึกผ่อนคลายและมีความสุขอีกด้วย

                                  ขอบคุณข้อมูลจาก

                                  ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ประเทศไทย, ยูนิเซฟ

                                   

                                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                   อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                                  4 วิธีกระตุ้นนมแม่ อย่างได้ผลดี ไม่เหนื่อย ไม่เจ็บ

                                  5 ปัญหาการให้นมแม่ ที่แม่ต้องเจอ พร้อมวิธีแก้ปัญหา

                                  ผลวิจัยล่าสุดจากผู้เชี่ยวชาญด้านสมองระดับโลกชี้ สฟิงโกไมอีลิน ในนมแม่ มีส่วนช่วยสร้างให้ลูกสมองดี เรียนรู้ไว

                                    น้ำหนัก-ส่วนสูง มาตรฐานตามอายุ ลูกเตี้ย-ผอมไปไหม?

                                    ลูกกินน้อยอย่างนี้ จะผอมไปไหม? ทำไมลูกตัวเล็ก อย่างนี้จะแข็งแรงไหม? มาดู น้ำหนัก ส่วนสูง มาตรฐาน ตามอายุ ของลูกว่าลูกเรามีน้ำหนักและส่วนสูงที่ได้มาตรฐานหรือยัง?

                                    น้ำหนัก ส่วนสูง มาตรฐาน ตามอายุ ลูกเตี้ยไป ผอมไปไหม?

                                    อาหารและโภชนาการเป็นปัจจัยหลักสำหรับการเจริญเติบโตของเด็ก เด็กที่มีโภชนาการดี จะเป็นพื้นฐานสำคัญของการมีสุขภาพดี ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จึงควรประเมินภาวะโภชนาการลูกด้วยการวัดสัดส่วนของร่างกาย ได้แก่ น้ำหนักและส่วนสูง โดยอาศัยหลักการที่ว่าขนาดและส่วนประกอบของร่างกายจะเปลี่ยนแปลงตามภาวะโภชนาการของคนนั้น ๆ ซึ่งเป็นผลมาจากลักษณะของอาหารที่ลูกทานเข้าไป และการใช้ประโยชน์ของสารอาหารให้เป็นพลังงานในรูปแบบต่าง ๆ (อ่านต่อ  สารอาหาร 11 ชนิด ที่จำเป็นสำหรับ “ทารกแรกเกิด – 2 ปี”) ดังนั้น ผลจากการวัดสัดส่วนของร่างกายจึงสามารถใช้เป็นดัชนีชี้วัดที่สะท้อนภาวะสุขภาพของลูกได้

                                    จากสภาพสังคมและเศรษฐกิจของประเทศที่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มีผลทำให้เด็กไทยมีขนาดร่างกายเพิ่มขึ้นทั้งน้ำหนักและส่วนสูง และจากความเชื่อโบราณที่ว่าเด็กควรจะกินเยอะ ๆ จะได้แข็งแรง ทำให้มีเด็กไทยส่วนหนึ่ง มีน้ำหนักเกินกว่าเกณฑ์ หรือเด็กบางคนอาจมีภาวะเตี้ยจากการทานอาหารที่ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการที่เพียงพอต่อการเจริญเติบโตของร่างกาย ดังนั้น สำนักโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข จึงได้กำหนดเกณฑ์อ้างอิงการเจริญเติบโตของเด็กแรกเกิด – 5 ปี เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่ใช้ในการติดตามน้ำหนัก ส่วนสูง และการเจริญเติบโตทางด้านรูปร่างของลูก (อ้วน สมส่วน ผอม) ตามกราฟ ดังนี้

                                    น้ำหนัก ส่วนสูง สำหรับเด็กแรกเกิด – 5 ปี

                                    การใช้น้ำหนักและส่วนสูงในการประเมินภาวะการเจริญเติบโต มี 3 ดัชนี คือ น้ำหนักตามเกณฑ์อายุ ส่วนสูงตามเกณฑ์อายุ และน้ำหนักตามเกณฑ์ส่วนสูง ซึ่งแต่ละดัชนีจะให้ความหมายในการประเมินซึ่งมีข้อเด่นข้อด้อยที่ต่างกันไป

                                    น้ำหนักตามเกณฑ์อายุ

                                    น้ำหนักเป็นผลรวมของกล้ามเนื้อ ไขมัน น้ำ และกระดูก น้ำหนักตามเกณฑ์อายุเป็นดัชนีบ่งชี้ถึงความสัมพันธ์ของการเจริญเติบโตของน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นตามอายุของเด็ก ใช้ในการประเมินภาวะการขาดโปรตีนและพลังงาน

                                    ส่วนสูงตามเกณฑ์อายุ

                                    ส่วนสูงที่สัมพันธ์กับอายุเป็นดัชนีที่บ่งชี้ภาวะการเจริญเติบโต ถ้าเด็กได้รับอาหารไม่เพียงพอเป็นเวลานาน หรือมีการเจ็บป่วยบ่อย ๆ มีผลให้อัตราการเจริญเติบโตของโครงสร้างของกระดูกเป็นไปอย่างเชื่องช้าหรือชะงักงัน ทำให้เป็นเด็กตัวเตี้ยกว่าเด็กที่มีอายุเดียวกัน ดังนั้น ส่วนสูงตามเกณฑ์อายุ จึงเป็นดัชนีบ่งชี้ภาวะการขาดโปรตีนและพลังงานแบบเรื้อรังมาเป็นระยะเวลานาน ทำให้มีความบกพร่องของการเจริญเติบโตด้านโครงสร้างส่วนสูงทีละเล็กละน้อย ถ้าไม่ได้รับการแก้ไขก็จะสะสมความพร่องจนส่วนสูงต่ำกว่าเกณฑ์

                                    น้ำหนักตามเกณฑ์ส่วนสูง

                                    เนื่องจากน้ำหนักเปลี่ยนแปลงได้รวดเร็วกว่าส่วนสูง ถ้าเด็กได้รับอาหารไม่เพียงพอจะมีน้ำหนักลดลง มีภาวะผอม ดังนั้น น้ำหนักตามเกณฑ์ส่วนสูงจึงเป็นดัชนีบ่งชี้ที่ไวในการสะท้อนภาวะโภชนาการในปัจจุบัน

                                    กราฟแสดง น้ำหนัก ส่วนสูง มาตรฐาน ตามอายุ ของเด็กชาย อายุ 0-5 ปี

                                    ตารางน้ำหนักทารก
                                    ตารางน้ำหนักทารก

                                     

                                    ตารางส่วนสูงทารก
                                    ตารางส่วนสูงทารก

                                     

                                    น้ำหนัก ส่วนสูง ทารก
                                    น้ำหนัก ส่วนสูง ทารก

                                     

                                    น้ำหนักทารก
                                    น้ำหนักทารก

                                    กราฟแสดง น้ำหนัก ส่วนสูง มาตรฐาน ตามอายุ ของเด็กหญิง อายุ 0-5 ปี

                                    น้ำหนักเด็ก
                                    น้ำหนักเด็ก

                                     

                                    ส่วนสูงเด็ก
                                    ส่วนสูงเด็ก

                                     

                                    น้ำหนัก ส่วนสูง มาตรฐาน ตามอายุ
                                    น้ำหนัก ส่วนสูง เด็กหญิง

                                     

                                    น้ำหนัก ส่วนสูง มาตรฐาน ตามอายุ
                                    น้ำหนัก ส่วนสูง เด็กผู้หญิง

                                    เมื่อลูกมีน้ำหนักน้อย พ่อแม่ควรทำอย่างไร?

                                    1. ให้รับประทานอาหารครบ 5 หมู่ สำหรับเด็กวัย 6-12 ปี ในแต่ละมื้อควรประกอบด้วย
                                      • ข้าว มื้อละ 1-2 ทัพพี
                                      • เนื้อสัตว์ 2 ช้อนกินข้าว หรือไข่ 1 ฟอง เป็นโปรตีนที่มีคุณภาพ ในเด็กที่น้ำหนักน้อยรับประทานได้ทุกวันวันละ 1 ฟอง
                                      • ปลาไขมันสูง เช่น ปลาอินทรี ปลาดุก ปลาสวาย สำหรับคุณแม่ลูกเล็กแนะนำว่าควรให้ลูกรับประทานปลาอินทรี เพราะเป็นปลาที่ค่อนข้างเอาก้างออกง่าย
                                      • ผัดผัก 1 ทัพพี ควรเลือกผักที่มีแป้งมากและให้พลังงานสูงสลับกับผักใบเขียว
                                      • ผลไม้ เช่น ส้ม 1 ผล หรือกล้วย 1 ผล หรือมะละกอ 4-5 ชิ้นคำ หรืออะโวคาโด ½ ลูก หรือองุ่น 5-6 ผล หรือผลไม้อื่นๆ
                                      • นมครบส่วน 1-3 แก้ว แล้วแต่วัย
                                      • ควรเพิ่มน้ำมันในอาหารทุกมื้อเท่าที่ทำได้ ประมาณ 1-2 ช้อนชาต่อมื้อ ไขมันจะช่วยในการเจริญเติบโตของเด็ก
                                    2. ปัญหาเด็กที่มีน้ำหนักน้อย แต่ละมื้อหากรับประทานได้น้อยอาจจะต้องแบ่งมื้อย่อย ๆ สังเกตชนิดและลักษณะอาหารที่ลูกชอบ ปรุงรสชาติให้ถูกปาก เพราะลูกสามารถแยกแยะรสชาติได้ตั้งแต่อายุไม่กี่สัปดาห์ (อ่านต่อ 10 วิธีแก้อาการเบื่ออาหาร ทำยังไงให้ลูกกินข้าว?)
                                    3. ไม่ให้นมมากเกินไป เพราะเมื่ออายุเกิน 1 ปี ควรรับประทานข้าวเป็นอาหารหลักวันละ 3 มื้อ ส่วนนมจะเป็นอาหารเสริมเท่านั้น จึงต้องลดปริมาณลงเหลือวันละ 3-4 มื้อ และควรให้นมหลังอาหารเท่านั้น
                                    4. สำหรับลูกที่อยู่ในวัยซุกซนหรือห่วงเล่น อาจให้มีส่วนร่วมในการเตรียมอาหารและฝึกให้รับประทานอาหารเป็นเวลา สม่ำเสมอ และควรรับประทานพร้อม ๆ กันทั้งครอบครัว เพื่อเป็นแบบอย่างและสร้างบรรยากาศการรับประทานอาหารให้ลูก
                                    5. ให้ลูกรู้สึกหิวก่อนถึงมื้ออาหารโดยงดอาหารหรือขนมจุบจิบระหว่างมื้อ เด็กที่มีอายุเกิน 1 ปี ควรรับประทานข้าวเป็นอาหารหลัก จึงไม่ควรให้ลูกรับประทานขนมกรุบกรอบ ลูกอมทอฟฟี่ หรือนม ก่อนมื้ออาหาร เพราะลูกจะอิ่มทำให้รับประทานอาหารได้น้อย หากจะให้ควรให้หลังอาหาร (หากลูกรับประทานมื้อหลักได้เหมาะสมแล้ว)
                                    6. ในกรณีที่ลูกรับประทานน้อยอย่างต่อเนื่อง อาจทำให้รับสารอาหารไม่ครบและอาจขาดวิตามิน เกลือแร่บางตัว ซึ่งส่งผลให้เบื่ออาหาร แพทย์จะเสริมยาบำรุงให้ในช่วงแรก เมื่อเด็กได้รับวิตามิน เกลือแร่ที่ขาดก็จะมีอาการดีขึ้น อาการเบื่ออาหารก็จะลดลง
                                    7. ให้ลูกนอนแต่หัวค่ำ ไม่ควรนอนเกินสามทุ่ม วัยเรียนควรได้นอนหลับพักผ่อนวันละ 8-10 ชั่วโมง การนอนดึกจะทำให้การเจริญเติบโตไม่ได้เต็มที่ และในช่วงเวลาการนอนตั้งแต่เวลา 22.00-02.00 น. เป็นช่วงที่ร่างกายมีการหลั่ง growth hormone ซึ่งช่วยในการเจริญเติบโตของเด็ก
                                    8. ไม่ใช้วิธีผิดๆ เพื่อให้ลูกรับประทานมากขึ้น เช่น การตี ดุว่า บังคับ ใช้อารมณ์กับลูกหรือการตามใจ ต่อรอง หรือให้รางวัลเกินความจำเป็น
                                    9. ขณะมื้ออาหารไม่ดูโทรทัศน์หรือเล่นของเล่นไปด้วย เพราจะทำให้ลูกไม่สนใจเรื่องรับประทาน ทำให้รับประทานช้า อมข้าวและอิ่มเร็วโดยที่ยังรับประทานได้น้อย
                                    10. ปรับเปลี่ยนลักษณะเมนูอาหารให้แตกต่าง ไม่ควรรับประทานเมนูซ้ำ ๆ บ่อย ๆ ลูกอาจเบื่อได้ ทำให้ปฏิเสธอาหาร
                                    11. เปิดโอกาสให้ลูกได้ช่วยเหลือตัวเองเรื่องการรับประทานให้มากที่สุดตามวัย โดยค่อย ๆ ลดการให้ความช่วยเหลือลง
                                    12. พาลูกไปออกกำลังกาย วิ่งเล่น เมื่อเด็กได้ใช้พลังงานก็จะทำให้หิว ทำให้รับประทานอาหารได้มากขึ้น

                                    อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                                    กรมอนามัยห่วง! เด็กไทยเตี้ยกว่าเกณฑ์ แนะ 5 วิธีเพิ่มความสูง

                                    โรคอ้วนในเด็ก พฤติกรรมแบบไหนทำลูกเสี่ยงอ้วน!!

                                    ลูกไม่กินข้าว เบื่ออาหาร ทำยังไงดี ?

                                    เด็กที่ขาด โกรทฮอร์โมน จะทำให้เตี้ยจริงหรือ?

                                     

                                     

                                    ขอบคุณข้อมูลจาก : สำนักโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข, โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์

                                     

                                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่