Page 146 – AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

ภาวะน้ำเป็นพิษ ในทารก

ภาวะน้ำเป็นพิษ ในทารก เหตุผลว่าทำไมลูกต่ำกว่า 6 เดือน ไม่ควรกินน้ำ

ทารกหลังคลอดจนถึง 6 เดือน ควรกินนมแม่ เพื่อให้ได้สารอาหารอย่างครบถ้วน ไม่ต้องเสริมอาหาร อย่าป้อนน้ำ ระวัง! ภาวะน้ำเป็นพิษ ในทารก

ภาวะน้ำเป็นพิษ ในทารก

จากความเชื่อโบราณ หรือคำบอกเล่าต่อ ๆ กันมาของผู้หลักผู้ใหญ่ ทำให้พ่อแม่อาจลังเลใจที่จะให้ทารกกินน้ำ ทั้งที่จริง ๆ แล้ว ทารกในวัย 6 เดือน สามารถได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วน มีสุขภาพที่แข็งแรง โดยไม่จำเป็นต้องดื่มน้ำ และการให้ทารกดื่มน้ำยังเพิ่มความเสี่ยงภาวะน้ำเป็นพิษในทารกได้อีกด้วย

6 เดือนแรกของชีวิต น้ำนมจากแม่ก็เพียงพอ

ตั้งแต่แรกเกิดจวบจน 6 เดือน ทารกควรกินนมแม่แต่เพียงอย่างเดียว สิ่งนี้ยืนยันโดยองค์การอนามัยโลก (WHO) และยูนิเซฟ ทั้งยังสนับสนุนให้ทารกหลัง 6 เดือน กินนมแม่เสริมจากมื้ออาหาร เพื่อให้สุขภาพแข็งแรงไปจนโต นมแม่เป็นอาหารที่ย่อยง่าย ทั้งยังสร้างขึ้นมาให้เหมาะสมที่สุดกับสภาพร่างกายของทารก นับตั้งแต่แรกเกิด-6 เดือน เป็นช่วงเวลาสำคัญต่อร่างกายและสมองของทารก นมแม่จึงจำเป็นตั้งแต่ชั่วโมงแรกของชีวิต การให้นมยังได้โอบกอด เล่นกับลูก ประสานสายตาสร้างความสัมพันธ์ เพิ่มความผูกพันสร้างสายใยระหว่างแม่กับลูก ส่งผลให้ลูกเจริญเติบโตได้ดี มีพัฒนาการทางด้านร่างกายและอารมณ์ดี

ภาวะน้ำเป็นพิษ ในทารก
เครดิตภาพ : actionlife.org

นมแม่เป็นอาหารที่เหมาะสมกับทารกมากที่สุด เพราะมีสารอาหารสำคัญ มีองค์ประกอบด้านโภชนาการ การเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน สารต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน ทั้งยังมีเซลล์สิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ทั้งจากเซลล์จากแม่ รวมถึงแบคทีเรียที่ดีต่อระบบทางเดินอาหาร นมแม่จึงช่วยป้องกันการติดเชื้อในทารกแรกเกิด ลดอัตราการเสียชีวิต ช่วยพัฒนาระดับสติปัญญาให้เจ้าตัวน้อยฉลาดสมวัย ด้วยคุณประโยชน์มากมายขนาดนี้ จึงเรียก นมแม่ เป็นวัคซีนหยดแรกของชีวิตลูก เพราะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ทารก สำหรับสารอาหารสำคัญในนมแม่นั้นเปลี่ยนแปลงตามระยะเวลาหลังการคลอด แบ่งเป็น 3 ระยะ

  • Colostrum น้ำนมระยะที่ 1

1-3 วันแรกที่กระบวนการสร้างน้ำนมในร่างกายของแม่สร้างขึ้นมา เรียกว่า ระยะหัวน้ำนมหรือน้ำนมเหลือง เพราะมีสีออกเหลืองจากแคโรทีน ประกอบด้วยโปรตีนที่ช่วยสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย เกลือแร่ วิตามิน สารอาหารที่จำเป็น ดีต่อการเจริญเติบโตของสมองและการมองเห็นของลูก น้ำนมระยะนี้ยังมีฤทธิ์ช่วยระบายให้ร่างกายทารกขับขี้เทาออกมา

  • Transitional Milk น้ำนมระยะที่ 2

ช่วง 5 วัน ถึง 2 สัปดาห์ น้ำนมจะมีสีขาวขุ่น สารอาหารที่เพิ่มขึ้นเน้นไขมันและน้ำตาล มีปริมาณเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของร่างกายทารก

  • Mature Milk น้ำนมระยะที่ 3

หลังจากนั้นน้ำนมแม่จะมีปริมาณมากขึ้น มีสารอาหารที่สำคัญ ดังนี้

  1. โปรตีน ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคบางชนิด เพิ่มภูมิต้านทาน และเอนไซม์ที่สามารถทำลายผนังเซลล์ของแบคทีเรียได้
  2. ไขมัน กรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย ได้แก่ DHA (Docosahexaenoic Acid) และ AA (Arachidonic Acid) มีความสำคัญต่อการพัฒนาระบบประสาทและการมองเห็น
  3. น้ำตาลแลคโตส ในนมแม่มีโอลิโกแซคคาไรด์หรือคาร์โบไฮเดรตสายสั้น (Human Milk Oligosaccharides หรือ HMOs) มากกว่า 200 ชนิด HMOs ในน้ำนมแม่ยังมีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์และแบคทีเรียที่ช่วยสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
  4. วิตามินและแร่ธาตุ A, B1, B2, B6, B12, C, D, E, K และแร่ธาตุซึ่งได้แก่ เหล็ก แคลเซียม ไอโอดีน เป็นต้น ซึ่งมีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตของทารก
  5. ในน้ำนมแม่ยังมีสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพที่ส่งผลต่อการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย ได้แก่ แอนตี้ออกซิแดนท์ (Antioxidant) โกรทแฟคเตอร์ (Growth Factor) ที่มีส่วนช่วยในการทำงานของระบบทางเดินลำไส้ เส้นเลือด ระบบประสาท และระบบฮอร์โมนที่ควบคุมการเจริญเติบโต

จะเห็นได้ว่า น้ำนมแม่อย่างเดียวก็มีสารอาหารครบครัน ไม่จำเป็นต้องเสริมอาหารหรือป้อนน้ำก่อนวัยอันควร ทั้งยังสามารถให้น้ำนมแม่เสริมหลังจากที่ทารกเริ่มรับประทานอาหารได้ เพื่อให้ร่างกายของลูกได้รับสิ่งดี ๆ ตั้งแต่แรกเกิดจนเติบโต แต่ก็ยังมีความเชื่อที่อยากป้อนน้ำให้ทารก ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำให้ทารกเกิดอันตราย ทั้งยังทำให้ทารกเสี่ยงต่อการขาดสารอาหารอีกด้วย

ความเชื่อการป้อนน้ำทารก

กรมอนามัย เคยทำการศึกษาช่วงเวลาและปัจจัยสำคัญในการเริ่มต้นเลี้ยงลูกด้วยนมผสมหรืออาหารอื่น พบว่า สิ่งที่พ่อแม่มักป้อนให้ลูกกินในช่วงวัยก่อน 6 เดือน ได้แก่ น้ำเปล่า โดยมีเหตุผลหรือความเชื่อ เรียงตามลำดับดังนี้

  • ล้างปากทารกด้วยน้ำเปล่า ภายหลังการกินนม
  • เชื่อว่าการให้ทารกกินน้ำเป็นเรื่องปกติ ไม่เป็นอันตราย
  • ทารกตัวเหลือง จึงให้กินน้ำเพื่อขับสารเหลือง
  • คิดว่าการให้ทารกกินน้ำจะช่วยเรื่องระบบขับถ่าย
  • อยากให้ทารกผิวชุ่มชื้น
  • กลัวว่าทารกจะคอแห้ง หิวน้ำ
  • กินน้ำป้องกันอาการลิ้นเป็นฝ้า
  • เมื่อทารกสะอึกจึงป้อนน้ำ เพราะคิดว่ากินได้เหมือนผู้ใหญ่
  • กินน้ำบำรุงสายตา
  • กินยาเลยให้กินน้ำตาม

ความเชื่อเหล่านี้เป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง ซ้ำยังก่อให้เกิดอันตรายกับทารกอีกด้วย โดยมีข่าวมากมายออกมาว่า ความเชื่อเรื่องการให้ทารกดื่มน้ำจะช่วยขจัดสารเหลืองได้ ซึ่งไม่เป็นความจริงค่ะ

เพจนมแม่แฮปปี้ ได้แชร์โพสต์เรื่องอันตรายของการป้อนน้ำ พร้อมกับให้ความรู้เรื่องตัวเหลืองว่า เกิดจากเม็ดเลือดแดงที่แตกตัว แต่ละคนเหลืองมากน้อยไม่เท่ากัน รวมถึงตับของทารกยังพัฒนาไม่เต็มที่ จึงขจัดสารเหลืองออกจากร่างกายได้ช้า การป้อนน้ำไม่ช่วยให้หายเหลือง การแก้ปัญหาตัวเหลือง ไม่ควรเสริมน้ำหรือเสริมนมผง แต่ให้ลูกกินนมแม่บ่อยๆ ดูดจริงจัง ไม่ตอด วันละ 8-10 มื้อ พร้อมบอกอันตรายของการป้อนน้ำว่า ทารกจะมีน้ำหนักน้อยมาก การได้รับน้ำมากเกินไป สามารถทำให้เกลือแร่ในร่างกายเจือจางลง และเกิดภาวะน้ำเป็นพิษ ชัก สมองบวมและเสียชีวิตได้

ภาวะน้ำเป็นพิษ ในทารก
ภาวะน้ำเป็นพิษ ในทารก

ข้อมูลจาก : facebook.com/HappyBreastfeeding

อันตรายจากการป้อนน้ำทารกก่อน 6 เดือน

ทารกเมื่อได้รับน้ำเข้าไปในร่างกายจะทำให้กินนมแม่ได้น้อยลง เพราะกระเพาะทารกยังมีขนาดเล็ก กินได้ไม่มาก เมื่อกินนมแม่ได้น้อย ร่างกายทารกก็ได้รับสารอาหารสำคัญจากน้ำนมแม่น้อยลงไปด้วย อาจรุนแรงถึงขั้นขาดสารอาหาร น้ำยังไปละลายน้ำย่อยทำให้ทารกท้องอืด น้ำยังไปเจือจางสารต้านเชื้อรา และแบคทีเรียตามธรรมชาติที่เคลือบในปากหลังจากกินนมแม่ ส่งผลต่อการต้านเชื้อโรคในลำไส้ ทำให้ติดเชื้ออักเสบได้ง่าย นอกจากนั้น น้ำดื่มที่ไม่สะอาดยังเพิ่มความเสี่ยงอาการท้องร่วงของทารก หรืออาจติดเชื้อได้ ถ้าลูกอิ่มไม่ยอมกินนม น้ำนมแม่ก็จะลดลง ส่งผลต่อการผลิตน้ำนมของแม่ตามไปด้วย

ภาวะน้ำเป็นพิษ (water intoxication)

การให้ทารกดื่มน้ำยังอาจทำให้เกิดภาวะน้ำเป็นพิษในทารกได้อีกด้วย เพราะระบบย่อยอาหารของทารกยังทำงานได้ไม่สมบูรณ์ เพราะอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายของทารกยังพัฒนาได้ไม่สมบูรณ์ โดยเฉพาะไตของทารก ที่ยังกรองของเหลวได้ไม่เต็มที่ น้ำจะไปทำให้โซเดียมในร่างกายทารกเจือจาง ซึ่งโซเดียมนี้เป็นแร่ธาตุสำคัญ การดื่มน้ำจึงก่อให้เกิดความผิดปกติของสารน้ำ ทำให้น้ำเข้าไปคั่งในเซลล์

อาการสำคัญที่ต้องระวังว่าทารกเกิดภาวะน้ำเป็นพิษ

  1. ทารกที่กินน้ำเข้าไปอาจดูซึม เหม่อ ไม่เล่นเหมือนเคย
  2. การหายใจของทารกจะผิดปกติ หอบ ๆ หายใจเหนื่อย
  3. กล้ามเนื้อทารกจะอ่อนแรง หรือมีลักษณะเกร็ง เป็นตะคริว
  4. หากน้ำที่ดื่มเข้าไปคั่งในร่างกายมาก ๆ ทารกอาจชัก มีอาการกระตุก

ความรุนแรงของภาวะน้ำเป็นพิษ (water intoxication) ส่งผลให้ทารกสมองบวม ปอดบวม อาจมีอาการโคม่า ถึงขั้นเสียชีวิตได้เลย

ไม่เพียงแต่ทารกอายุต่ำกว่า 6 เดือนเท่านั้นที่ต้องระวังภาวะน้ำเป็นพิษ หากอายุเกิน 6 เดือน หรือผู้ใหญ่ดื่มน้ำมากเกินไปก็เสี่ยงต่อภาวะน้ำเป็นพิษได้เช่นกัน จึงไม่ควรดื่มน้ำครั้งละมาก ๆ ควรค่อย ๆ จิบน้ำจะดีกว่า

ภาวะน้ำเป็นพิษ ในทารก
ภาวะน้ำเป็นพิษ ในทารก

ทารกในวัย 6 เดือนจึงไม่ควรดื่มน้ำ เพราะในน้ำนมแม่มีน้ำที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายทารกแล้ว เว้นเสียแต่ว่าลูกมีอาการเจ็บป่วยที่แพทย์แนะนำให้ดื่มน้ำ ซึ่งต้องเป็นน้ำต้มสุก และดื่มในปริมาณที่แพทย์แนะนำเท่านั้น

อ้างอิงข้อมูล : mgronline.com, นมพ่อแบบเฮฟวี่ และ multimedia.anamai.moph.go.th

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

อ่านบทความอื่นเพิ่มเติม

10 สัญญาณอันตราย หลังป้อน “กล้วยบด” ให้ลูก

หมอตอบชัด!!แม่ให้นมกินน้ำอัดลม ชา กาแฟ คาเฟอีนส่งถึงลูกไหม

นมแม่หดถึงคราวพึ่ง นมกล่อง เลือกยังไงหากลูกแพ้นมวัว

    มะเร็งตับ โรคตับ ในเด็ก

    ลูกปลอด โรคตับ และมะเร็งร้ายได้เพียงแค่..หยุด!!

    โรคตับ มะเร็งตับ ภัยร้ายที่คืบคลานเข้ามาใกล้เรามากขึ้นทุกที ใครว่าเด็กจะรอดพ้นโรคร้ายเหล่านี้ จากชีวิตประจำวันที่มีแต่ความเสี่ยงจะทำอย่างไรให้ลูกรอดพ้นกันนะ

    ลูกปลอด โรคตับ และมะเร็งร้ายได้เพียงแค่..หยุด!!

    โดยส่วนใหญ่คนทั่วไปมักจะคิดว่า โรคตับ มะเร็งตับ และโรคที่เกี่ยวข้องกับตับ มีแต่เพียงผู้ใหญ่ที่ดื่มเหล้าเท่านั้น แต่แท้ที่จริงแล้วเด็กเล็ก ๆ ก็ป่วยเป็นโรคตับได้เหมือนกัน นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า มะเร็งตับและท่อน้ำดีเป็นมะเร็งที่พบมากที่สุดในคนไทย แต่ละปีมีผู้ป่วยรายใหม่ประมาณ 20,000 คน มะเร็งตับที่พบมากในประเทศไทยมี 2 ชนิด คือ มะเร็งของเซลล์ตับ และมะเร็งท่อน้ำดีตับ สาเหตุของมะเร็งเซลล์ตับ หลายคนอาจทราบแต่เพียงว่าเกิดจากการดื่มเหล้า แต่ในความเป็นจริงยังมีสาเหตุอื่น ๆ ซึ่งที่พบบ่อยในบ้านเรา คือ การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเรื้อรังชนิดบีและซี
    มะเร็งตับ ภัยร้ายใกล้ลูกคุณ
    มะเร็งตับ ภัยร้ายใกล้ลูกคุณ

    มะเร็งตับ มะเร็งท่อน้ำดี ภัยร้ายที่ตัวเองเป็นผู้ก่อ

    การเกิดมะเร็งตับ มะเร็งท่อน้ำดี เป็นโรคร้ายที่มีความเกี่ยวข้องกับตับที่ทำหน้าที่ ดังต่อไปนี้

    • รับเลือดจากลำไส้ซึ่งมีสารอาหารจำนวนมาก และส่งผ่านสารอาหารเหล่านี้ไปยังร่างกายส่วนอื่น ๆ
    • ทำลายสารพิษในเลือดที่มาจากลำไส้
    • ผลิตน้ำดีแล้วส่งน้ำดีผ่านมาตามท่อน้ำดีมาเก็บที่ถุงน้ำดี เมื่อเรารับประทานอาหารที่มีไขมันถุงน้ำดีจะหดรัดตัว  ทำให้น้ำดีไหลผ่านท่อน้ำดีลงมายังลำไส้เล็กเพื่อช่วยในการย่อยและดูดซึมไขมัน
    • ผลิตสารที่ช่วยให้เลือดแข็งตัว

    มะเร็งตับ (Liver Cancer) เกิดขึ้นเมื่อเซลล์บริเวณตับมีลักษณะหรือการทำงานผิดปกติแล้วพัฒนาเป็นมะเร็งในที่สุด หรืออาจเกิดจากการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งจากบริเวณอื่นมายังตับก็ได้ ซึ่งมะเร็งตับส่วนใหญ่ก็มักมีที่มาจากสาเหตุหลังนี้ ผู้ป่วยโรคมะเร็งตับมักไม่แสดงอาการจนกว่าจะมีขนาดใหญ่ขึ้นมากซึ่งเป็นระยะที่ยากต่อการรักษา

    สาเหตุโรคมะเร็งตับ

    มะเร็งที่ตับเกิดขึ้นจากการที่ดีเอ็นเอในเซลล์ตับเกิดการกลายพันธุ์จนทำให้โครงสร้างเซลล์เปลี่ยนแปลงไป ส่งผลให้เซลล์เติบโตขึ้นอย่างผิดปกติและพัฒนาเป็นเนื้องอกในที่สุด สาเหตุหลักของการการเปลี่ยนแปลงนี้ยังไม่ปรากฏแน่ชัด แต่มีปัจจัยที่เชื่อว่าทำให้เสี่ยง และส่งผลต่อโรคนี้ ได้แก่

    • ไวรัสตับอักเสบ บี และไวรัสตับอักเสบ ซี ที่ทำให้เป็นโรคตับเรื้อรัง และยังสร้างความเสียหายต่อตับอย่างถาวรและทำให้ตับวายได้
    • โรคอ้วน ทำให้เกิดภาวะไขมันพอกตับที่ไม่ได้เกิดจากการดื่มสุรา
    • โรคตับที่สืบทอดทางพันธุกรรมที่พบได้ไม่บ่อย ได้แก่ ภาวะธาตุเหล็กในตับมากเกิน(Hemochromatosis) ภาวะทองแดงคั่งในร่างกาย(Wilson’s Disease)
    • โรคเบาหวาน
    • โรคตับแข็ง กว่าครึ่งของผู้ป่วยมะเร็งตับเป็นโรคตับแข็งร่วมด้วย
    พยาธิใบไม้ในตับ เสี่ยง โรคตับ
    พยาธิใบไม้ในตับ เสี่ยง โรคตับ

    มะเร็งท่อน้ําดี (Cholangiocarcinoma) เป็นมะเร็งที่เกิดจากเซลล์เยื่อบุผิวภาย ในท่อน้ําดีเจริญเติบโตอย่างผิดปกติ จนอาจไปกดเบียดหรือลุกลามอวัยวะข้างเคียงซึ่ง ประกอบด้วยตับ ตับอ่อน หรือลําไส้เล็กส่วนต้น

    สาเหตุของมะเร็งท่อน้ำดี
    ปัจจุบันสาเหตุของมะเร็งท่อน้ำดียังไม่เป็นที่ทราบ แน่ชัด แต่พบว่ามีหลายปัจจัยสภาวะที่ทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ของเซลล์ท่อน้ำดี จนทําให้เกิดการเติบโตอย่างผิดปกติกลายเป็นมะเร็งท่อน้ำดีได้ เช่น นิ่วในทางเดิน น้ำดีในตับ พยาธิใบไม้ตับ การรับประทานอาหารที่มีดินประสิว และไนไตรท์ เช่น ปลาร้า ปลาจ่อม ปลาส้ม แหนมไส้กรอกเป็นประจำ การอักเสบเรื้อรังภายในท่อน้ำดี ภาวะการอักเสบเรื้อรัง ของลําไส้ใหญ่ และสารเคมีบางชนิด เป็นต้น

    ดังจะเห็นได้ว่าโรคร้ายทั้งสองที่เป็นโรคอันดับต้น ๆ ในการคร่าชีวิตคนไทยไปนั้น หากต้องการจะหยุดโรคร้ายมิให้มาคุกคามกับลูกน้อยของเราได้นั้น ความจริงมิใช่เรื่องที่ยุ่งยากแต่อย่างใด เพียงแค่คุณแม่ลองปรับ และเปลี่ยนพฤติกรรมที่คุ้นชิน ที่คนในปัจจุบันละเลย จึงเป็นสิ่งที่ทำให้กล่าวได้ว่าตัวเองเป็นผู้ก่อให้เกิดปัจจัยเสี่ยงขึ้นมาเอง และพฤติกรรมเสี่ยงต่าง ๆ ที่เราก่อขึ้นมานั้นยังเป็นต้นเหตุสำคัญในการที่เราเป็นคนเปิดประตูให้โรคร้ายเข้ามาคุกคามลูกของเราได้อีกต่างหาก ดังนั้นลองมาปิดประตูดังกล่าวนั้นด้วยการลอง “หยุด”

    ปิดประตูห่างไกลมะเร็งตับง่าย ๆ แค่ 5 หยุด

    นายแพทย์จินดา โรจนเมธินทร์ ผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กล่าวเตือนว่า ผู้ป่วยโรคเกี่ยวกับตับแต่ละรายอาจอาจมีอาการแสดงของโรคแตกต่างกันและมักไม่มีอาการในระยะแรก โดยอาการส่วนใหญ่ที่พบ คือ แน่นท้อง ท้องอืดท้องเฟ้อเป็นประจำ อ่อนเพลีย น้ำหนักลด ปวดหรือเสียดชายโครงขวา อาจคลำพบก้อนในช่องท้อง ตัวเหลือง ตาเหลือง ท้องโต และมีอาการบวมบริเวณขาทั้ง 2 ข้าง หากมีอาการเหล่านี้ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัย และได้แนะวิธีแนวทางป้องกันก่อนเกิดโรค ซึ่งสามารถสรุปมาเป็นแนวทางได้ 5 ข้อควรหยุด ดังนี้

    หยุด!!ความเชื่อเก่า ๆ มองหาสัญญาณเตือน “ตัวเหลือง ตาเหลือง”
    ความเชื่อที่ว่ามะเร็งตับเป็นโรคที่เกิดเฉพาะในผู้ใหญ่เท่านั้น แต่ในปัจจุบันพบว่าเด็กมีอัตราการเกิดโรคมะเร็งเพิ่มขึ้น โดยพบว่ามีถึง 1 ใน 10 ของโรคมะเร็งที่เกิดกับผู้ใหญ่เชียวนะ เมื่อเราหยุดความเชื่อที่ว่าลูกน้อยไม่มีโอกาสเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งร้ายได้แล้ว ลองมาสังเกตอาการที่เป็นสัญญาณเตือนในการบ่งบอกว่าตับของลูกเริ่มมีปัญหากันดีกว่า โดยอาการโรคตับที่มักพบอาการในเด็กอันดับแรกอาจมีอาการดีซ่าน คือ ตาเหลือง หรือผิวหนังเป็นสีเหลือง แต่ถ้าเป็นโรคตับเรื้อรัง เด็กอาจมีอาการดังต่อไปนี้ เช่น
    • ท้องโต เกิดจากภาวะท้องมานคือ มีน้ำในช่องท้อง หรือเกิดจากตับและม้ามมีขนาดใหญ่ขึ้น
    • ขาหรือหน้าบวม เกิดจากการที่ตับไม่สามารถสร้างโปรตีนได้
    • ผอม แขนขาลีบ เกิดจากการที่รับประทานอาหารได้น้อยลงร่วมกับร่างกายเผาผลาญสารอาหารมากกว่าปกติ
    • อาเจียนเป็นเลือดหรือถ่ายอุจจาระเป็นสีดำๆ เกิดจากเส้นเลือดในหลอดอาหารหรือกระเพาะอาหารที่โป่งพองขึ้นแล้วแตกทำให้มีเลือดออก
    • เลือดออกเองหรือออกแล้วหยุดยาก เกิดจากตับไม่สามารถผลิตสารที่ช่วยให้เลือดแข็งตัว

    การสังเกตอาการของลูกทำให้เราสามารถรู้ถึงการมาเยือนของโรคได้เร็ว และจะได้รับการรักษาเสียแต่เนิ่น ๆ โอกาสในการที่ตับจะถูกทำลายจนกลายไปเป็นโรคร้ายก็จะน้อยลง ความเสี่ยงก็ลดลง เพราะมะเร็งตับ และมะเร็งท่อน้ำดีนั้น เป็นโรคที่กว่าจะตรวจพบจากการตรวจร่างกายนั้น ก็มักจะพบในระยะรุนแรงแล้ว ทำให้เสียโอกาสในการรักษาให้หายขาดไป

    วัคซีนป้องกันไวรัสตับ ช่วยลูกห่าง โรคตับ ได้
    วัคซีนป้องกันไวรัสตับ ช่วยลูกห่าง โรคตับ ได้

    หยุด!!ไวรัสร้ายด้วยวัคซีนป้องกัน 

    อย่างที่กล่าวไว้ในตอนต้นแล้วว่า สาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดมะเร็งตับในเด็กนั้นมิใช่เหล้า แต่เป็นไวรัสตับอักเสบหลากหลายสายพันธุ์ เช่น ไวรัสตับอักเสบ เอ บี ซี อี และไวรัสเดงกี่ที่ทำให้เกิดไข้เลือดออก และไวรัสอีบีวี ซึ่งเราสามารถหยุดไวรัสร้ายเหล่านี้ได้ด้วยการพาลูกไปฉีดวัคซีนป้องกัน

    ไวรัสตับอักเสบA เกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิด A (Hepatitis A Virus) สามารถติดต่อได้จากการรับประทานอาหาร น้ำดื่ม หรือสัมผัสสิ่งปนเปื้อนเชื้อไวรัส เมื่อเชื้อไวรัสผ่านผนังลำไส้เข้าสู่เส้นเลือดไปยังตับ ทำให้เกิดตับอักเสบเฉียบพลัน การฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบ A จะฉีด 2 ครั้ง โดยฉีดห่างกัน 6 – 12 เดือน

    ไวรัสตับอักเสบB ในประเทศไทยเด็กที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี มักเกิดจากติดเชื้อจากมารดาระหว่างคลอด เด็กจะไม่แสดงอาการผิดปกติจนกว่าจะโตเป็นผู้ใหญ่  เพราะเม็ดเลือดขาวยังไม่ทราบว่ามีไวรัสอยู่ในร่างกาย จนเข้าสู่วัยรุ่นเมื่อเม็ดเลือดขาวเริ่มตรวจพบและทำลายเซลล์ตับที่มีไวรัสอยู่ จึงทำให้มีไวรัสตับอักเสบเกิดขึ้น ผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีมีความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งตับเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 100 เท่า การฉีดวัคซีน เรายังสามารถป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีได้โดยการฉีดวัคซีนซึ่งมีประสิทธิภาพดี โดยฉีดเพียง 3 เข็ด สามารถสร้างภูมิต้านทานซึ่งสามารถป้องกันการติดเชื้อได้ตลอดชีวิต

    ไวรัสตับอักเสบC ส่วนใหญ่เด็กที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบC มักเกิดจากได้รับเลือดจากคนที่มีเชื้อไวรัสอยู่ ซึ่งในปัจจุบันจะพบน้อยลงเรื่อย ๆ เนื่องจากการตรวจกรองเลือดหาเชื้อไวรัสก่อนจะนำไปให้ผู้ป่วย ผู้ที่ได้รับเชื้อไวรัสนี้จะเกิดภาวะตับอักเสบเรื้อรัง ซึ่งผู้ป่วยมักไม่มีอาการผิดปกติ หากไม่ได้ไปพบแพทย์หรือตรวจเลือดดูค่าการทำงานของตับก็จะไม่ทราบว่าตนเองมีตับอักเสบเรื้อรัง ซึ่งร้อยละ 40-50 ของผู้ป่วยเหล่านี้จะเกิดภาวะตับแข็งภายใน 30-50 ปี และนำไปสู่มะเร็งตับในที่สุด ส่วนวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบซีในปัจจุบันยังอยู่ในระหว่างการศึกษาวิจัย

    ไวรัสตับอักเสบ E เป็นเชื้อโรคที่ติดต่อกันโดยการได้รับเชื้อทางปาก จากอาหาร และน้ำดื่มที่ปนเปื้อน ในปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกัน

    ไวรัสเดงกี่จากยุงลาย สาเหตุ โรคตับ
    ไวรัสเดงกี่จากยุงลาย สาเหตุ โรคตับ

    ไวรัสเดงกี่ ไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคไข้เลือดออก และภาวะแทรกซ้อนทางตับพบได้บ่อยในผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสเดงกี่โดยอาจพบภาวะตับอักเสบจากการตรวจการทำงานของตับไปจนถึงตับอักเสบรุนแรงและตับวายเฉียบพลัน

    ไวรัส EVB ไวรัสตัวนี้สามารถทำให้เกิดได้หลายโรค แต่โรคที่รู้จักกันดีคือโรคโมโน หรือ Infectious mononucleosis, glandular disease, หรือ kissing disease ซึ่งเป็นการติดเชื้อ EBV ครั้งแรกในช่วงวัยรุ่น หรือผู้ใหญ่ตอนต้น ทำให้มีอาการไข้สูง เจ็บคอ ต่อมทอนซิลโตมาก ต่อมน้ำเหลืองบริเวณลำคอโตสองข้าง และอาการร่วมอื่นๆ เช่น ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว อ่อนเพลีย กินได้น้อย ปวดท้อง แน่นท้อง ตับม้ามโต

    หยุด!!ทานยาพร่ำเพรื่อ

    การใช้ยาพร่ำเพรื่อ การใช้ยาเกินขนาด ได้รับสูตรยาที่ไม่เหมาะสม และความคิดผิด ๆ ที่ว่ากินยากันโรคไว้ก่อนนั้น ส่งผลร้ายต่อตับ การซื้อยามารับประทานเองจากร้านขายยาที่ไม่มีเภสัชกรปฎิบัติหน้าที่ ทำให้ตับต้องทำงานหนัก เพราะตับต้องทำหน้าที่กรองสาร ขจัดสารพิษ และยาออกจากเลือด เป็นเหตุให้ตับเกิดการอักเสบ และอาจกลายเป็นมะเร็งตับได้ ยาที่ส่งผลต่อตับหากใช้ผิดวิธี เช่น คีโตโคนาโซล พาราเซตามอล ยาสมุนไพร เป็นต้น

    ใส่ใจเลือกซื้ออาหาร ลดอาหารขยะ ลดไขมันพอกตับ
    ใส่ใจเลือกซื้ออาหาร ลดอาหารขยะ ลดไขมันพอกตับ

    หยุด!!อาหารขยะต้นเหตุไขมันพอกตับ 

    อาหารขยะ (Junk Food) คืออาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการน้อย มีแคลอรี่สูง โดยมักประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรต ไขมัน หรือโซเดียมในปริมาณมาก เช่น น้ำอัดลม ของหวาน อาหารทอด ขนมขบเคี้ยว ขนมปังกรอบ ซึ่งในปัจจุบันเป็นอาหารที่หาทานง่าย และเป็นที่ชื่นชอบของเด็ก ทำให้เด็กเกิดภาวะน้ำหนักเกิน โรคอ้วนตามมา เป็นสาเหตุของไขมันพอกตับที่ไม่ได้เกิดจากการดื่มสุรา และทำให้มีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดมะเร็งตับ

    หยุด!!สารพิษที่จะเข้าสู่ตับ

    หลีกเลี่ยงอาหารที่มีสารก่อมะเร็ง เช่น อาหารที่อาจปนเปื้อนสารอะฟลาทอกซิน อาหารที่มีดินประสิว และอาหารหมักดอง เป็นต้น การได้รับสารเคมีอันตรายจากยากำจัดวัชพืช เช่น สารไวนิล คลอไรด์ และสารหนู (Arsenic) ที่ปนเปื้อนในอาหาร เช่น ปลาหมึกแห้ง เมื่อได้รับเป็นเวลานานอาจเกิดการสะสมจนเกิดโรคต่าง ๆ ตามมามากมาย ไม่เว้นแม้แต่มะเร็งตับ

    ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก si.mahidol.ac.th/สมาคมโรคตับแห่งประเทศไทย/รพ.พญาไท /Pobpad /vejthani / สถานวิทยามะเร็งศิริราช/ Mono29news

    อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

    สุดยอด!แม่สังเกตจนรู้ ลูกไม่ได้เป็น ตากุ้งยิง แท้จริงคือชีสต์

    อุทาหรณ์! ลูกติด เชื้อซาโมเนลลา ไข้ขึ้น ถ่ายทั้งคืน เพราะคนอื่นจับอุ้มหอมลูก

    พ่อแม่ระวัง! หูชั้นกลางอักเสบ ภัยเงียบ..เด็กทุกคนเสี่ยงเป็น

    หมอเตือนโทษร้าย บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ที่ผู้ขายไม่ยอมบอก

    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

      วิธีดูแลผิวเด็กทารก

      วิธีดูแลผิวเด็กทารก ให้ผิวสุขภาพดี ไม่มีผดผื่นคัน

      โครงสร้างผิวไม่แข็งแรง

      ผิวบอบบาง ไวต่อการระคายเคือง

      ผิวแห้ง มีผด ผื่น คัน

      ในเด็กวัยตั้งแต่แรกคลอด มักจะมีปัญหาผิวให้คุณแม่ได้เป็นกังวลกัน ซึ่งที่ผิวทารกมีปัญหาก็เพราะว่าสภาพผิวยังไม่แข็งแรง รวมถึงยังต้องเจอกับสภาพอากาศ มลภาวะต่างๆ ที่มาทำร้ายผิวให้สูญเสียความชุ่มชื่น จนผิวแห้งกร้านมาก ผิวที่ไม่มีความแข็งแรง ยังเสี่ยงต่อการแพ้ ระคายเคือง มีผด ผื่น คัน อักเสบรุนแรงตามมาอีกด้วยค่ะ วันนี้ทีมแม่ABK จะมาบอก “วิธีดูแลผิวเด็กทารก” ให้มีผิวสุขภาพดีทุกวันค่ะ

      ถ้าถามแม่ว่า แม่มีวิธีดูแลผิวลูกยังไง มีขั้นตอนอะไรยุ่งยากไหม ตอบเลยว่า “ไม่มีค่ะ” แต่บ้านทีมแม่ABK จะเน้นอยู่ก็คือการอาบน้ำ  และบำรุงผิว  ทั้งหมดนี้จะต้อง “อ่อนโยน” มากที่สุดกับผิวลูกค่ะ คุณพ่อคุณแม่ต้องนึกอยู่เสมอว่า ผิวลูกยังอ่อนแอ และมีสภาพผิวที่บอบบาง ฉะนั้นผิวลูกจะต้องไม่ถูกก่อกวนให้สูญเสียความชุ่มชื่น จนผิวแห้งเสีย เกิดผดผื่นขึ้นมาค่ะ

      วิธีดูแลผิวเด็กทารก

      วิธีดูแลผิวเด็กทารก : อย่างที่บอกไปค่ะว่าแม่บ้านนี้จะให้ความสำคัญกับเรื่อง…

      1. การอาบน้ำ

      น้ำที่ใช้อาบให้ลูกน้อย จะต้องผสมจนได้อุณหภูมิที่พอเหมาะ น้ำต้องไม่เย็นจัด หรือร้อนจัด ซึ่งควรอยู่ที่อุณหภูมิ 36-37 องศาเซลเซียส แนะนำให้ใช้เทอร์โมมิเตอร์วัดเพื่อความแม่นยำค่ะ น้ำในอุณหภูมิประมาณนี้จะทำให้ลูกน้อยผ่อนคลายสบายผิว แต่เมื่อมีน้ำเป็นนางเอกแล้ว จะขาดผู้ช่วยดูแลผิวอย่างสบู่ก้อน หรือสบู่เหลวอาบน้ำไม่ได้เด็ดขาด คุณแม่เลือกใช้ได้ตามสะดวก แต่ต้องเน้นผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวที่เป็นธรรมชาติ อ่อนโยนต่อผิวทารกนะคะ

      ทิปส์ : วิธีดูแลผิวให้ผิวสุขภาพดี คุณแม่สามารถเพิ่มความชุ่มชื่นให้ผิวลูกน้อย ด้วยการหยดเบบี้ออยล์ลงในน้ำอาบ 2-3 หยด หรือจะใช้นวดผิวหลังอาบน้ำเสร็จ ขั้นตอนง่ายๆ คือให้เช็ดผิวลูกแห้งพอหมาดๆ แล้วนวดผิวด้วยออยล์ รับรองผิวลูกนุ่ม ชุ่มชื่น ไม่แห้งกร้าน

      2. บำรุงผิว

      วิธีดูแลผิวเด็กทารกที่จะขาดขั้นตอนบำรุงไปไม่ได้เลยค่ะ  คุณพ่อคุณแม่ส่วนใหญ่เข้าใจว่าการทาเบบี้โลชั่นที่ผิวลูกน้อย จะทาให้เฉพาะแค่หลังอาบน้ำก็พอ จริงๆ ไม่พอค่ะ เพราะในระหว่างวันผิวลูกอาจสูญเสียน้ำจนผิวแห้งได้ จากสภาพอากาศที่แปรเปลี่ยน ฉะนั้นระหว่างวันให้ทาบำรุงผิวลูกน้อยด้วยโลชั่นกันด้วยนะคะ

      ทิปส์ : ผิวทารกแต่ละคนจะมีความแข็งแรงไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆ อย่าง สำหรับเด็กที่มีผิวแห้งมาก อาจต้องบำรุงผิวด้วยมอยส์เจอร์ไรเซอร์เข้มข้นแบบเนื้อครีม สำหรับผิวธรรมดา อาจใช้เป็นมอยส์เจอร์ไรเซอร์เนื้อโลชั่น

      วิธีดูแลผิวเด็กทารก

       

       

      วิธีดูแลผิวเด็กทารก

      ได้วิธีดูแลผิวลูกน้อยให้ห่างไกลจาก ผด ผื่น คัน ที่ทีมแม่ABK เน้นว่าต้อง “อ่อนโยน” กับผิวลูกน้อย  สำหรับของแม่บ้านแม่ABK จะต้อง เบบี้มายด์ อัลตร้ามายด์ สูตรใหม่! ไบโอแกนิก อ่ะรู้แหละสงสัยกันว่า ไบโอแกนิก คืออะไร มาค่ะเดี๋ยวจะอธิบายให้เข้าใจกันง่ายๆ จะได้รู้กันว่า “อ่อนโยนกว่า” ดีกับสุขภาพผิวลูกน้อยยังไง

      สูตรใหม่! ไบโอแกนิก(BIOGANIK) คือ ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด และบำรุงผิวเด็ก เป็นสูตรที่อ่อนโยนที่สุด จากเบบี้มายด์

      1. เฮด แอนด์ บอดี้ เบบี้ บาธ สูตรใหม่ ไบโอแกนิก มีส่วนผสมจากพืชธรรมชาติ (BIO) + เอสเซ้นส์ออร์แกนิกคุณภาพสูง (Organic Essence)

      • สูตรนี้เป็นผลิตภัณฑ์ Soap Free คือ ไม่มีสารสบู่ อ่อนโยนต่อผิว
      • เลือกใช้ Mild Surfactant ด้วยสารทำความสะอาดจากพืช (plant based)  

      2. กลุ่มผลิตภัณฑ์มอยส์เจอร์ไรเซอร์ และแป้ง

      มีส่วนผสมเอสเซ้นส์ออร์แกนิกที่ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับโลกถึง 2 ชนิด ได้แก่ เอสเซ้นส์อาร์แกนออยล์ ผ่านการรับรองมาตรฐาน COSMOS และ เอสเซ้นส์โอลีฟออยล์ ผ่านการรับรองมาตรฐาน USDA

      เบบี้มายด์ อัลตร้ามายด์ สูตรใหม่ ไบโอแกนิก อ่อนโยนที่สุด* เพื่อการดูแลผิวทุกขั้นตอน  

      • เบบี้ พาวเดอร์ เนื้อแป้งผ่านการฆ่าเชื้อ ปราศจากแร่ใยหิน พร้อมกลิ่นใหม่
      • เบบี้โลชั่น เติมมอยเจอร์ไรเซอร์ เพื่อผิวนุ่ม ดูสุขภาพดี
      • เบบี้ออยล์ ล็อคและเคลือบผิว เพื่อรักษาความชุ่มชื่นเอาไว้ยาวนาน

      วิธีดูแลผิวเด็กทารก

       

      “เบบี้ มายด์ อัลตร้ามายด์ สูตรใหม่! ไบโอแกนิก” เป็นการดูแลผิวลูกน้อยตั้งแต่แรกเกิดครบทุกขั้นตอน เพื่อให้ผิวดูแข็งแรงสุขภาพดี ประกอบไปด้วย สบู่ก้อน สบู่เหลว(head & body baby bath) เบบี้ออยล์ เบบี้โลชั่น เบบี้ครีม และแป้งฝุ่น

      เบบี้มายด์ อัลตร้ามายด์ ไบโอแกนิก เป็นผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กตั้งแต่แรกเกิดที่ผ่านการทดสอบไฮโปอัลเลอร์เจนิก ลดความเสี่ยงการเกิดการแพ้ อ่อนโยนกับทุกสภาพผิว และมีกรดไขมันจำเป็นจากธรรมชาติ (อาร์แกนออยล์)  ที่ช่วยบำรุงผิวลูกให้นุ่ม ชุ่มชื่น ดูสุขภาพดี ที่สำคัญไม่มีสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อผิวเจือปนค่ะ

      วิธีดูแลผิวเด็กทารก ให้ดูแข็งแรงสุขภาพดี สามารถสร้างให้ลูกน้อยได้ตั้งแต่แรกเกิด ที่ต้องมีผู้ช่วยในการดูแลทำความสะอาด และบำรุงผิว ที่เหมาะกับสภาพผิวเด็กทารก ทีมแม่ABK บอกไปแล้วว่าใช้อะไรดูแลผิวลูกในทุกขั้นตอน ก็อย่าลืมนำไปใช้กันนะค

      สนใจข้อมูลเพิ่มเติมดูแลผิวลูกอย่างอ่อนโยนที่สุด ด้วย “ไบโอแกนิก BIOGANIK” คลิกที่นี่ http://www.babimild.com/th/

      *จากเบบี้มายด์

        EMJOY

        EMJOY ศูนย์การเรียนรู้ของเด็กยุคใหม่ ใจกลางสุขุมวิท

        ดิ เอ็มควอเทียร์ เปิดโซน EMJOY (เอ็มจอย) ศูนย์การเรียนรู้สู่อนาคตของเยาวชนยุคดิจิทัลแห่งใหม่ ใจกลางสุขุมวิท เปิดโลกจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์แบบไร้ขีดจำกัด บนพื้นที่กว่า  6,000 ตารางเมตร รวบรวมสถาบันการศึกษาเสริมทักษะการเรียนรู้นอกตำราเรียนชั้นนำ กับบรรยากาศการตกแต่งที่สวยงาม พร้อมกับพื้นที่ใช้สอยและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน รองรับไลฟ์สไตล์ของกลุ่มครอบครัว พร้อมเปิดบริการอย่างเป็นทางการแล้วตั้งแต่ 15 ตุลาคม 2563 ณ บริเวณชั้น 2 อาคาร C ศูนย์การค้า ดิ เอ็มควอเทียร์

        D Dance Studio

        โซน EMJOY พื้นที่ศูนย์การเรียนรู้สำหรับเด็กยุคใหม่

        EMJOY ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 6,000 ตารางเมตร บริเวณชั้น 2 อาคาร C ศูนย์การค้า ดิ เอ็มควอเทียร์ รวบรวมสถาบันการศึกษาต่างๆ ที่เป็นที่ยอมรับของกลุ่มครอบครัว โดยเน้นกลุ่มสถาบันที่ตอบโจทย์ การพัฒนาทักษะความรู้นอกตำราเรียนของเยาวรุ่นใหม่ในทุกๆ ด้าน โดยในแต่ละสถาบันจะมีการเสริมคอร์สและรูปแบบการเรียนการสอนที่เหมาะสมกับไลฟสไตล์ของลูกค้า ดิ เอ็มควอเทียร์ ที่แตกต่างจากที่อื่นๆ ได้แก่

        • BUNGEE WORKOUT กีฬาแนวใหม่สัญชาติไทยคิดค้นและพัฒนาจนมีชื่อเสียงระดับโลกและขยายสาขาไปกว่าหนึ่งร้อยสาขาใน 18ประเทศ โปรแกรมถูกพัฒนาโดยนำเทคนิคกายกรรมผสมผสานเสียงเพลงและศาสตร์การเคลื่อนไหว อาทิ เต้นรำ ยิมนาสติก โยคะ พิลาทิส กายภาพบำบัดและอื่นๆ เพื่อสร้างสรรค์ความท้าทายอีกระดับแก่ผู้เรียนนอกจากนี้ยังเน้นความสนุกสนาน เสียงหัวเราะ บรรยากาศที่เป็นกันเองเล่นได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ และเห็นผลลัพธ์อย่างชัดเจน
        • CHOI’S TAEKWONDO เป็นศิลปะป้องกันตัวประจำชาติเกาหลี ปัจจุบันเป็นกีฬาสากลได้รับความนิยม อย่างแพร่หลายทั้งในและต่างประเทศกว่า 150 ประเทศทั่วโลก ซึ่ง CHOI’s TAEKWONDO ควบคุมมาตราฐานโดย “โค้ชเช” (Choi Young Seok) โค้ชทีมชาติไทย และอาจารย์พงษ์เกษียร บัวสุวรรณ อดีตนักกีฬาทีมชาติไทยและทีมครูมืออาชีพที่มีประสบการณ์การแข่งขัน การสอน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ www.facebook.com/choistkd
        • CODE GENIUS สร้างหลักสูตรการเรียนรู้ผ่านการเขียนโค้ดที่มีคุณภาพอย่างต่อเนื่อง กระตุ้นให้เด็กคิดอย่างเป็นระบบ รู้จักแก้ไขปัญหา และสร้างสรรค์เทคโนโลยีด้วยตนเอง เพื่อเติบโตเป็นผู้นำด้านนวัตกรรม เราเรียกสิ่งนี้ว่า ทักษะ Code Genius
        • COPEL ครั้งแรกในประเทศไทยกับ COPEL สถาบันพัฒนาสมององค์รวมของเด็กเล็กระดับท็อปจากประเทศญี่ปุ่น การันตีด้วยรางวัลจาก Guinness World Book of Record ด้วยสื่อการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาสมองเด็กเล็กที่มากที่สุดในโลก เพื่อเสริมสร้างการเชื่อมโยงของสมองซีกซ้ายและซีกขวาให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและดึงศักยภาพของเด็กออกมาได้สูงสุด www.copel.co.th
        • D DANCE STUDIO พบประสบการณ์รูปแบบใหม่ กับคลาสที่หลากหลายจากครูมืออาชีพ ทั้งการเต้น การแสดง การพัฒนาทักษะด้านต่างๆ พร้อมระบบการจัดการและสื่อ แสง สี เสียง ที่ทันสมัย พร้อมต้อนรับทุกรุ่นทุกวัย
        • HAOLE CHINESE LANGUAGE โรงเรียนสอนภาษาจีนห่าวเลอนำเสนอการสอนภาษาจีนรูปแบบใหม่เฉพาะตัว ซึ่งยังคงพื้นฐานของกิจกรรมที่สนุกสนานและผสมผสานกับเสียงเพลง เด็กๆสามารถซึมซับภาษาจีนได้อย่างเป็นธรรมชาติและลงตัว https://www.haolechineseschool.ac.th/
        • I CAN READ สถาบันสอนภาษาอังกฤษไอแคนรีดด้วยระบบโฟนิคส์แนวใหม่ หลักสูตรวิจัยที่คิดค้นโดยนักจิตวิทยาการศึกษา ที่มีวิธีการสอนไม่เหมือนใครในโลก เน้นการสร้างทักษะ สมาธิ พัฒนาการและทัศนคติที่ดีต่อการเรียนภาษาอังกฤษอย่างถูกต้อง www.icanreadthailand.com , www.icanread.asia
        • KOLOR ME โรงเรียนสอนศิลปะสำหรับเด็กและบุคคลทั่วไป เปิดสอนวิชาศิลปะเด็ก พื้นฐานศิลปะ วาดเส้น ติวศิลปะสาขา จิตรกรรม สถาปัตยกรรม มัณฑนศิลป์ สาขาตกแต่งภายใน ประยุกต์ศิลป์ ออกแบบผลิตภัณฑ์ เครื่องประดับ พัสตราภรณ์ เครื่องเคลือบดินเผา สีน้ำ สีน้ำมัน และปั้นดิน
        • KUMO CREATIVE STUDIO ส่งมอบประสบการณ์เรียนรู้ สร้างพลังแห่งความคิดสร้างสรรค์ ผ่านหลักสูตรศิลปะแบบบูรณาการที่หลากหลาย เพื่อสร้างคลังแห่งทักษะของผู้เรียน เพลิดเพลินกับเวิร์กช็อปเชิงปลุกความคิดสร้างสรรค์ ที่ออกแบบให้เหมาะกับแต่ละกลุ่มอายุ 2-18 ปี www.clayworksfranchise.com
        • KX SMART PLAY มุ่งเน้นให้เด็กๆ ได้รับองค์ความรู้ ประสบการณ์และทักษะ เพื่อเตรียมความพร้อมสู่การเป็นนักนวัตกรรุ่นเยาว์ที่มีความสมดุลทั้งด้านความคิดและการใช้ชีวิตในสังคม โดยการพัฒนา 4C ได้แก่ ความคิดเชิงวิพากษ์ (Critical Thinking) การสื่อสาร (Communication) ความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) และ การทำงานร่วมกัน (Collaboration) ซึ่งเป็นสมรรถนะที่สำคัญสำหรับเด็กในศวรรษที่ 21 ผ่านการเรียนรู้ในรูปแบบการเล่น (Play-Based Learning)
        • MAHIDOL MUSIC ACADEMY มุ่งเน้นที่จะเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีความสามารถทางดนตรีได้รับการฝึกฝนอย่างมืออาชีพ  เน้นหลักดนตรีปฏิบัติและระเบียบวินัยของนักดนตรีที่ดี  เพื่อพัฒนาการเรียนการสอนดนตรีให้เป็นมาตรฐานสากล และเป็นศูนย์กลางการจัดฝึกอบรมดนตรีประเภทต่างๆ เป็นสาขาแรกที่จะมีการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษและจะเป็นต้นแบบในการพัฒนาการศึกษาดนตรีสำหรับบุคคลทั่วไปในรูปแบบภาษาอังกฤษต่อไป
        • MATH TALENT BY DR.YING คณิตคิดเป็นภาพ โรงเรียนสอนคณิตศาสตร์ที่จะทำให้เด็กๆรักการคำนวณและเรียนรู้อย่างมีความสุข การเรียนรู้ผ่านสื่อการสอน ของเล่น และกิจกรรมต่างๆ เสริมสร้างพัฒนาการพร้อมรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ เพื่อให้เค้าเข้าใจแก่นของการคำนวณตั้งแต่พื้นฐาน คิดเป็นภาพและนำไป Apply ได้จริง อันเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาสมองซีกซ้าย แล้วเด็กๆจะรักคณิตศาสตร์
        • PLAY CHEF โรงเรียนสอนทำอาหารเพื่อพัฒนาการและทักษะสำหรับเด็ก และพัฒนาทักษะการทำอาหารสำหรับผู้ใหญ่ โดยการเรียนการสอนเป็นแบบเพลินรู้ผ่านการทำอาหาร
        • VOCLIZE การร้อง เต้น เล่นดนตรี เราทำให้คุณเก่งเหนือกว่ามาตรฐานทั่วไป เพราะแต่ละคนมีพื้นฐานทางการร้องเพลงมาไม่เหมือนกัน ดังนั้น การเรียนการสอน จึงต้องถูกออกแบบมาให้แตกต่างกันไปเพื่อให้เหมาะสมกับนักเรียนแต่ละคน สู่การพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพ

        KUMO

        นอกจากนี้ยังมีร้านค้าและบริการต่างๆ ที่รองรับไลฟ์สไตล์ของเด็กและครอบครัว อาทิ

        • KIDDOLAND ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายสินค้าเสริมทักษะการเรียนรู้เด็ก แบรนด์ดังลิขสิทธิ์แท้จากทั่วโลก
        • LITTLE RED FOX ซาลอนร้านทำผมสำหรับเด็กๆ
        • TANWA THE FOOD PROJECT ร้านอาหารออแกนิค ของแบรนด์คอนเซปต์สโตร์ TANWA
        • GREYHOUND CAFÉ ที่เพิ่มเมนูอาหารสำหรับกลุ่มครอบครัว
        • TAKE CARE SALON & BEAUTY ที่มีบริการทำผมและเสริมสวยสำหรับเด็กๆ และผู้ปกครอง

        ในพื้นที่ของEMJOY รังสรรค์การตกแต่งด้วยสีสัน และบรรยากาศสวยงาม พร้อมพื้นที่ความสนุกสนาน และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่ครบครัน เข้ากับไลฟ์สไตล์ของครอบครัว อาทิ ห้องน้ำสำหรับเด็ก ที่นั่งสำหรับเด็ก โซนเครื่องเล่นต่างๆ เป็นต้น นอกจากนี้ยังคำนึงถึงความสะอาด สุขอนามัยเป็นสำคัญ รวมทั้งเรื่องการป้องกันโควิด-19 อย่างเข้มข้น ทั้งการทำความสะอาดทุกพื้นที่, จุดกดเจลแอลกอฮอลล์สำหรับเด็กทั้งพื้นที่ส่วนกลางและเฉพาะร้านค้า, ฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อทุกคืนหลังห้างปิด รวมถึงความปลอดภัยเรื่องการปฐมพยาบาลเบื้องต้นไว้คอยบริการอีกด้วย

        KOLOR ME

        โปรโมชั่นพิเศษ ฉลองเปิดโซนใหม่

        สำหรับการฉลองการเปิดโซนใหม่ในครั้งนี้ EMJOY จับมือกับสถาบันการศึกษาต่างๆ พร้อมมอบโปรโมชั่นพิเศษให้ทุกๆคนที่สมัครเรียน

        • รับบัตรกำนัลศูนย์ฯ 1,000 บาท เมื่อสะสมยอดใช้จ่ายจากร้านค้าภายในโซน EMJOY ครบ 10,000 บาทต่อวัน
        • รับบัตรกำนัลศูนย์ฯ สูงสุด 14,000 บาท เมื่อสะสมยอดใช้จ่ายจากร้านค้าภายในโซน EMJOY และโซนศูนย์การค้า ดิ เอ็มโพเรี่ยม และ ดิ เอ็มควอเทียร์ ที่ร่วมรายการ
        • รับฟรี ถุงผ้าเอ็มจอยมูลค่า 390 บาทเมื่อแสดงใบเสร็จจากร้านค้าในโซน EMJOY พร้อม  ADD  LINE@EMDISTRICT
        • สามารถซื้อคอร์สเรียนของสถาบันการศึกษาในEMJOY ราคา พิเศษผ่าน LAZADA พร้อมรับโค้ดส่วนลด 300 บาท

        ชวนน้องๆ ร่วมสนุกกับกิจกรรมวันฮาโลวีน

        และสำหรับในวันฮาโลวีนในปีนี้ EMJOYยังมีการจัดงาน EMJOY SPOOKTACULAR  HALLOWEEN CONTEST 2020 (เอ็มจอย สปุกแทคูล่าร์ คอนเทสต์) กิจกรรมการประกวดการแต่งกาย ต้อนรับเทศกาลฮาโลวีนของเยาวชนอายุระหว่าง 3-15 ปี ชิงรางวัลรวมกว่า 50,000 บาท โดยเปิดรับสมัครตั้งแต่วันนี้ – 25 ตุลาคม 2563 สามารถสอบถามรายละเอียด และสมัครได้ด้วยตนเองที่บริเวณจุดลงทะเบียน บริเวณโซน EMJOY และออนไลน์ที่ FACEBOOK EMPORIUM EMQUARTIER

        KX Smart Play

         

        bozo

         

        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

         

          ตากุ้งยิง เรื่องเล่าประสบการณ์

          สุดยอด!แม่สังเกตจนรู้ ลูกไม่ได้เป็น ตากุ้งยิง แท้จริงคือชีสต์

          ตากุ้งยิง แพ้ หรือชีสต์ที่ตา แม่จ๋า!ต้องสังเกตให้ดี เมื่อลูกเปลือกตาบวม แม้อาการคล้ายกัน แต่การรักษาต่างกัน รู้เร็วลูกเจ็บน้อยลดทรมาน ไม่ลุกลามเป็นโรคร้าย

          สุดยอด!แม่สังเกตจนรู้ ลูกไม่ได้เป็น ตากุ้งยิง แท้จริงคือชีสต์

          เมื่อลูกน้อยของคุณแม่เกิดมีอาการเปลือกตาบวมปูด แน่นอนแม่ทุกคนคงรีบพาลูกไปพบคุณหมอ ถามให้แน่ชัดว่าลูกเป็นอะไร ร้ายแรงแค่ไหน เหมือนกับคุณแม่ท่านหนึ่งที่กรุณาได้เล่าเรื่องราวส่วนตัว เพื่อมอบเป็นประสบการณ์ให้กับคุณแม่อีกหลาย ๆ ท่านได้ระมัดระวังกันไว้ว่า ในขั้นแรกคุณหมอเด็กวินิจฉัยว่า ลูกอาจเกิดอาการแพ้อะไรบางอย่าง จึงได้รับยาแก้แพ้มาให้ลูกทาน แต่อาการบวมก็ยังไม่ดีขึ้น รอบที่สองคุณหมอจึงเปลี่ยนมาให้ยาแก้อักเสบ และยาหยอดตา คุณแม่มาสังเกตอาการของลูกด้วยตัวเองเห็นว่า หลังทานยาแล้วอาการบวมก็ไม่ได้ดีขึ้น แถมเหมือนจะบวมมากกว่าเดิม จึงไม่รอช้ารีบพาลูกไปหาหมอเฉพาะทาง จักษุแพทย์ทันที ถึงได้ทราบว่าที่แท้จริงแล้ว น้องเป็น ชีสต์ที่เปลือกตา ทั้งเปลือกตาล่างที่บวมเป่งเป็นลูกมะนาวจนเห็นได้ชัด และเปลือกตาบนที่ยังไม่โตจึงไม่แสดงอาการภายนอกให้เห็น จึงอยากฝากเป็นข้อคิดว่า เวลาลูกไม่สบาย แม่คือคนที่ใกล้ชิดเขาที่สุด ลูกยังเล็กไม่สามารถบอกอาการได้อย่างละเอียด หากคุณแม่หมั่นสังเกตอาการของลูกก็จะช่วยให้หาสาเหตุของโรคได้เร็ว ได้ไว ลดระยะเวลาที่ลูกจะต้องทรมานจากอาการป่วยลง แถมบางโรคหากปล่อยเนิ่นนานไปยิ่งทำให้อาการแย่ลงจนอาจกลายเป็นโรคร้ายที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นได้

          ยาหลอดตา ลดอักเสบ ตากุ้งยิง
          ยาหลอดตา ลดอักเสบ ตากุ้งยิง

          ทำความรู้จักกับ…ชีสต์ที่เปลือกตา

          หากบริเวณรอบ ๆ ดวงตามีถุงน้ำ หรือตุ่มหนอง นูน แดง ก็จะเป็นอาการของโรคหลายชนิดที่มีอาการใกล้เคียงกัน เช่น ตากุ้งยิง อาการแพ้ในบางอย่าง ภูมิแพ้ตา เป็นต้น จึงอาจเป็นสาเหตุทำให้การวินิจัย และการรักษาอาจไปผิดทาง ทำให้เสียเวลา และรักษาไม่เป็นผล เกิดอาการซ้ำ ๆ เดิม ๆ อยู่เป็นประจำ ดังนั้นการทำความรู้จักกับโรคแต่ละชนิดให้ดี ก็จะเป็นการช่วยให้ง่ายต่อการสังเกตของคุณแม่ได้ อย่างน้อยก็จะนำไปเป็นข้อมูลแก่คุณหมอให้มีข้อมูลที่ชัดเจนในการวินิจฉัยโรคได้แม่นยำมากยิ่งขึ้น

          ตากุ้งยิงชนิดหัวผุด หรือ ตากุ้งยิงภายนอก (External hordeolum) เป็นการอักเสบของต่อมเหงื่อ (Gland of Moll) บริเวณผิวหนังตรงโคนขนตา จะมีลักษณะเป็นหัวฝีผุดให้เห็นชัดเจนบริเวณขอบตา มักจะมีขนาดไม่ใหญ่และหัวฝีจะชี้ออกด้านนอก

          ตากุ้งยิงชนิดหัวหลบใน หรือ ตากุ้งยิงภายใน (Internal hordeolum) เป็นการอักเสบของต่อมไขมัน (Meibomian gland) บริเวณเยื่อบุเปลือกตา ที่เป็นเยื่อเมือกอ่อนสีชมพู ซึ่งจะมองเห็นได้เวลาปลิ้นเปลือกตา โดยหัวฝีนั้นจะหลบซ่อนอยู่ด้านในของเปลือกตา มักมีขนาดใหญ่กว่าชนิดแรกและหัวฝีจะชี้เข้าด้านใน

          ตาเป็นชีสต์ (Chalazion) ในบางครั้งต่อมไขมันบริเวณเยื่อเปลือกตาอาจเกิดการอุดตันของรูเปิดเล็ก ๆ ทำให้มีเนื้อเยื่อรวมตัวกันอยู่ภายในต่อม จนกลายเป็นตุ่มนูนแข็งขนาดพอ ๆ กับกุ้งยิงได้ เรียกว่า ตาเป็นซีสต์ (Chalazion) ซึ่งผู้ป่วยจะไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไร หรือบางครั้งอาจมีเชื้อแบคทีเรียเข้าไปจนทำให้เกิดการอักเสบ คล้ายกับการเป็นกุ้งยิงชนิดหัวหลบในได้ และเมื่อหายอักเสบแล้ว ตุ่มซีสต์ก็ยังคงมีอยู่เช่นเดิม

          ภูมิแพ้ขึ้นตา (Allergic Conjunctivitis/Allergic Pink Eye) คือ การอักเสบบริเวณดวงตาที่เกิดจากปฏิกิริยาภูมิแพ้ของเยื่อบุตาต่อสารก่อภูมิแพ้ ซึ่งทำให้มีอาการตาแดง คัน น้ำตาไหล ไวต่อการรับแสง โดยตัวอย่างสารก่อภูมิแพ้ ได้แก่ ละอองเกสรดอกไม้ หญ้า ไรฝุ่น น้ำหอม เครื่องสำอาง มลพิษ ขนสัตว์ และมักเกิดอาการที่เยื่อบุตา ซึ่งทำหน้าที่ปกป้องดวงตาจากสิ่งแปลกปลอม ภูมิแพ้ขึ้นตาเป็นปัญหาที่พบได้บ่อย แม้จะไม่ส่งผลกระทบต่อการมองเห็น แต่อาจทำให้ดวงตาระคายเคืองและส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยได้ อาการทั่วไปของภูมิแพ้ขึ้นตาได้แก่ ดวงตาแดงก่ำ แฉะ ไวต่อแสง คัน และทำให้เปลือกตาบวม

          ตากุ้งยิง
          ตากุ้งยิง

          ความแตกต่างระหว่างโรคตากุ้งยิง และชีสต์ที่เปลือกตานั้น อาจดูคร่าว ๆ ได้จากว่า ตากุ้งยิงจะตุ่มฝีขนาดเล็กตรงบริเวณขอบตา โดยตรงกลางจะมีลักษณะเป็นสีขาว ๆ เหลือง ๆ รอบ ๆ นูนแดง ร่วมกับมีอาการเจ็บเวลากด และอาจมีอาการอักเสบรอบ ๆ ตาอาจจะแดง มีขี้ตาชัดเจน แต่หากเป็นตาเป็นซีสต์ (Chalazion) จะเป็นเพียงก้อนนูน ไม่เจ็บตา ตาไม่แดง เพียงแต่ผู้ป่วยจะรู้สึกรำคาญหรือระคายเหมือนมีก้อนกลิ้งไปมาในตา ส่วนภูมิแพ้ขึ้นตานั้น อาการเด่นสำคัญคือ ตาแดง คัน ไวต่อแสง ซึ่งเป็นอาการที่เด่นมากกว่าแค่การบวมของเปลือกตา

          ชีสต์ที่เปลือกตา

          ซีสต์ (Cyst) คือ ถุงน้ำที่เกิดขึ้นบนเนื้อเยื่อตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย มีลักษณะคล้ายถุงหรือเม็ดแคปซูลที่อยู่ติดกัน โดยภายในซีสต์มักบรรจุของเหลว ของแข็งกึ่งของเหลว หรืออากาศไว้ โดยมีทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ และมักค่อย ๆ ขึ้น ซีสต์ที่ขึ้นบนผิวหนังจะมีลักษณะนูน ส่วน   ซีสต์ที่ขึ้นใต้ผิวหนังอาจจะคลำได้เป็นก้อน และซีสต์ที่ขึ้นที่อวัยวะภายใน อาจไม่ปรากฏอาการใด ๆ ทำให้ผู้ป่วยไม่รู้สึกว่ามีซีสต์ขึ้นมาภายในร่างกายตัวเอง นอกจากนี้ ซีสต์ที่ขึ้นตามร่างกายจะไม่ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกเจ็บปวดและไม่ทำให้เกิดอาการรุนแรงหากซีสต์นั้นไม่ได้ติดเชื้อ มีขนาดใหญ่ หรือขึ้นในบริเวณที่ไวต่อความรู้สึก ซีสต์สามารถขึ้นได้ทุกส่วนของเนื้อเยื่อตามร่างกาย ซีสต์จึงมีกว่าร้อยชนิด มีชื่อเรียกแตกต่างกันไปตามจุดที่ขึ้น เช่น ชีสต์ที่เปลือกตา ชีสต์รังไข่ ชีสต์ที่ข้อมือ เป็นต้น

          การรักษาชีสต์ที่เปลือกตา (Chalazia) การผ่าตัดชีสต์ถือเป็นวิธีรักษาที่ปลอดภัย แต่อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนซึ่งพบได้ไม่บ่อยนัก โดยผู้ป่วยอาจมีเลือดไหลออกมาจากแผลเพียงเล็กน้อย ในบางรายอาจเกิดการติดเชื้อตรงบริเวณที่ผ่าตัด และที่พบได้ยากที่สุดนั่นคือการติดเชื้อนั้นกระจายไปในกระแสเลือด อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่ร้ายแรงที่สุดในการผ่าตัดจะเกิดขึ้นเมื่อยังผ่าตัดไม่เสร็จสมบูรณ์ โดยบริเวณที่เป็นชีสต์จะเป็นแผลเป็น และมีลักษณะเป็นก้อน บางครั้งทำให้รู้สึกไม่สบายตาด้วย ทั้งนี้ หากก้อนซีสต์มีขนาดเล็ก ผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องผ่าตัด ส่วนก้อนซีสต์บนเปลือกตาที่มีขนาดใหญ่ควรหมั่นประคบอุ่น และหากผู้ป่วยกลับมาเป็นซ้ำหรืออาการไม่ดีขึ้น ควรพบจักษุแพทย์เพื่อรับการฉีดยาให้ก้อนซีสต์เล็กลงอหรือผ่าตัด หากกลับมาเป็นซ้ำอีกหลายครั้ง แพทย์อาจส่งตรวจชิ้นเนื้อเพื่อดูว่ามีลักษณะของเซลล์มะเร็งหรือไม่

          เช็ดเปลือกตาทำความสะอาดตา ปลอด ตากุ้งยิง
          เช็ดเปลือกตาทำความสะอาดตา ปลอด ตากุ้งยิง

          การป้องกันโรคชีสต์ที่เปลือกตา (Chalazia) ควรทำความสะอาดเปลือกตาที่อยู่ตามแนวเยื่อบุตาด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยน เช่น น้ำเปล่า น้ำเกลือบริสุทธิ์ เป็นต้น เพื่อช่วยไม่ให้ท่อไขมันตรงบริเวณนี้อุดตันอันเนื่องมาจากฝุ่นละออง ควันพิษ เครื่องสำอางต่าง ๆ ที่อาจจะระคายเคือง หรือใช้วิธีป้องกันแบบเดียวกับการรักษาเปลือกตาที่จะกล่าวต่อไป

          วันนี้ทาง ทีมแม่ ABK นอกจากจะมาชวนให้คุณแม่คอยหมั่นสังเกตอาการเจ็บป่วยของลูกแล้ว เรายังมีสาระดี ๆ ในการดูแลร่างกายก่อนที่จะนำพาไปสู่การเกิดชีสต์ที่เปลือกตา หรือโรคอื่น ๆ ที่เกิดบริเวณรอบดวงตามาฝากกันอีกด้วย อย่างที่ทราบกันดีว่า ชีสต์ที่เปลือกตาเกิดจากต่อมไขมันที่เปลือกตาอุดตันจนเกิดการติดเชื้อจนเป็นหนอง ดังนั้นจะดีกว่าไหมหากเรามีวิธีดูแลตัวเอง โดยเฉพาะบริเวณรอบดวงตาก่อนที่จะเกิดอาการรุนแรง จึงได้นำความรู้ดี ๆ จาก รศ. พญ.เกวลิน เลขานนท์ สาขาวิชากระจกตาและการผ่าตัดแก้ไขสายตาผิดปกติ ภาควิชาจักษุวิทยา คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เกี่ยวกับเรื่องนี้มาฝากกันจากรายการพบหมอรามาฯ : โรคต่อมไขมันที่เปลือกตาอุดตัน โรคฮิตของชาวโซเชียล : Rama Health Talk (ช่วง2)24.10.2562

          ต่อมไขมันที่เปลือกตาหรือที่เรียกว่าต่อม Meibomian gland คือ ต่อมไขมันเล็กๆ ที่เรียงอยู่บริเวณโคนขนตา ซึ่งมีจำนวน 30-40 ต่อมที่เปลือกตาบน และ 20-30 ต่อมที่เปลือกตาล่าง ทำหน้าที่ขับไขมันออกมาเคลือบผิวนอกของกระจกตา ช่วยป้องกันการระเหยของน้ำตาและรักษาสมดุล ทำให้ตาของเรามีความชุ่มชื้นอยู่เสมอ

          โดยปกติไขมันที่สร้างจากต่อมไขมันที่เปลือกตาจะมีลักษณะสีเหลืองใส สามารถไหลออกจากต่อมโดยง่าย ถ้าต่อมไขมันที่เปลือกตาทำงานผิดปกติ ( Meibomian gland dysfunction ) ไขมันที่สร้างออกมาจะมีลักษณะขุ่นและเหนียวข้น ทำให้เกิดการอุดตันบริเวณท่อทางออกของต่อมไขมันที่อยู่บริเวณขอบเปลือกตา ทำให้น้ำมันออกจากท่อได้ยากและลดลงทำให้ชั้นของน้ำตาไม่คงตัว ขาดความเสถียร น้ำตาก็จะระเหยง่าย ส่งผลให้เกิดภาวะตาแห้งและส่วนของไขมันที่เหนียวข้นขึ้นนั้นจะแข็งเป็นคราบเกาะแน่นอยู่บริเวณขอบเปลือกตา ทำให้เกิดการระคายเคืองตาและเพิ่มโอกาสการติดเชื้อทั้งจากแบคทีเรีย และการเพิ่มจำนวนไรที่ขนตา

          การดูแลเปลือกตา ( Lid hygiene ) เป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นมาก ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน ดังนี้

          1. การประคบอุ่นบนเปลือกตา ( Eyelid warming ) จะช่วยให้ไขมันที่เหนียวข้นและอุดตันท่อทางออกของต่อมไขมันละลายตัว และขับออกมาจากต่อมได้ดีขึ้น วิธี การ คือ ใช้อุปกรณ์ เช่น เจลร้อนผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่น หรือ เครื่อง Blephasteam ซึ่งจะให้ความร้อนที่คงที่และเหมาะสมตลอดการประคบอุ่น เป็นต้น โดยใช้ความร้อนที่เหมาะสมประมาณ 40 องศาเซลเซียส บริเวณเปลือกตาทั้งสองข้างเป็นเวลา 10 – 15 นาที หากเลือกใช้เจลร้อนหรือผ้าควรระวังไม่ให้ร้อนเกินไป จะทำให้ผิวหนังไหม้และเกิดอาการบาดเจ็บได้
          2. การนวดเปลือกตา (Massage of the eyelids ) เพื่อกดไขมันที่อุดตันอยู่ภายในต่อมให้ออกมา วิธีการ คือ ใช้นิ้วมือดึงหางตาให้เปลือกตาตึง และใช้นิ้วของมืออีกข้างในการนวดเปลือกตา เมื่อจะนวดเปลือกตาบนให้มองลงล่างและใช้นิ้วนวดจากบนลงล่าง หากจะนวดเปลือกตาล่างให้มองขึ้นบนและใช้นิ้วนวดจากล่างขึ้นบน โดยออกแรงกดพอสมควรและเริ่มนวดจากหัวตาไปสู่หางตา เพื่อที่จะได้นวดต่อมไขมันที่เรียงอยู่บริเวณโคนขนตาได้ตลอดแนวยาวของเปลือกตา
          3. การทำความสะอาดขอบเปลือกตา( lid cleansing ) วิธีการทำความสะอาด คือ นำสำลีชนิดแผ่นชุบด้วยน้ำอุ่นที่ผสมกับยาสระผมสำหรับเด็กอ่อน อัตราส่วน 1:1 หรือใช้น้ำยาเฉพาะสำหรับทำความสะอาดเปลือกตา โดยเช็ดบริเวณขอบเปลือกตาและโคนขนตาให้สะอาด วันละ 1-2 ครั้งหรืออาจใช้แผ่นเช็ดหรือโฟมที่ออกแบบมาเพื่อทำความสะอาดเปลือกตาโดยเฉพาะก็ได้

            แก้วตาดวงใจพ่อแม่
            แก้วตาดวงใจพ่อแม่

          เพราะดวงตาคือหน้าต่างของหัวใจ ยิ่งดวงตาของลูกน้อยที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจของพ่อแม่ด้วยแล้ว เรายิ่งต้องเพิ่มความระมัดระวังมากยิ่งขึ้น ดังนั้นเมื่อลูกเจ็บป่วย หากพ่อแม่เพิ่มความใส่ใจ สังเกต อาการต่าง ๆ โดยละเอียดแล้วละก็ โอกาสที่จะรู้สาเหตุของโรคได้เร็ว และรับการรักษาอย่างถูกต้องทันท่วงทีก็ยิ่งมีมาก เหมือนดั่งเคสกรณีของคุณแม่ที่กรุณามาเล่าประสบการณ์การเจ็บป่วยของลูกแก่พ่อแม่ท่านอื่นได้เรียนรู้ เพราะนี่แหละคือสังคมแห่งการแบ่งปันประสบการณ์ของเราเหล่าบรรดาแม่ทีม ABK (amarinbaby&kids)

          ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก Rama Channel/ Pobpad/ Medthai / เรื่องเล่าประสบการณ์ตรงจากคุณแม่ Gunchaporn Choakchai/sriphat medical center

          อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

          ผื่นแพ้สัมผัส ลูกเป็นตุ่มแดง บวม คัน แพ้ไส้ในเบาะกันขอบเตียง

          เริมในช่องปาก โรคฮิตของเด็กเล็ก อาการเป็นอย่างไร

          นมแม่หดถึงคราวพึ่ง นมกล่อง เลือกยังไงหากลูกแพ้นมวัว

          โรคเกล็ดเลือดต่ำ ITP ภูมิคุ้มกันทําลายเกล็ดเลือด โรคอันตรายทำร้ายลูก

          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

            ไมโครพลาสติก

            วิจัยใหม่จากต่างประเทศพบ!! ไมโครพลาสติก รั่วจากขวดนม เพราะต้มก่อนใช้

            นักวิจัยเผยว่า ทารกที่ดื่มนมจากขวดอาจได้รับ ไมโครพลาสติก เข้าร่างกายด้วย โดยเฉพาะจากขวดนมที่ผ่านการต้ม หรือนึ่งเพื่อฆ่าเชื้อ ยิ่งมีไมโครพลาสติกหลุดออกมามาก

            วิจัยใหม่จากต่างประเทศพบ!! ไมโครพลาสติก รั่วจากขวดนม เพราะต้มก่อนใช้

            โดยทั่วไปแล้ว คุณพ่อคุณแม่มักจะทำการฆ่าเชื้อโรคที่อาจติดอยู่ในขวดนมด้วยการ ต้มขวดนม ก่อนให้ทารกดื่ม และเมื่อชงนมผงให้ลูกกิน ก็มักจะใช้เทน้ำอุ่นใส่ลงในขวดแล้วผสมนมผงในขวดให้ลูกกินเลย รู้หรือไม่ว่า การกระทำเหล่านี้ อาจทำให้ลูกได้รับ ไมโครพลาสติกมากถึง 1.6 ล้านอนุภาคต่อวัน!!

            หลายปีมานี้ คนทั่วโลกตื่นตัวกับข่าวเกี่ยวกับ ไมโครพลาสติก ซึ่งถูกพบว่าแทรกซึมเข้าไปในร่างกายของมนุษย์โดยเฉลี่ยตั้งแต่ 74,000 ถึง 121,000 อนุภาค โดยขึ้นอยู่กับอายุและเพศของบุคคล โดยไมโครพลาสติกสามารถเข้าสู่ร่างกายได้จากแหล่งสำคัญ 8 แหล่ง คือ จากอากาศที่หายใจ จากการดื่มแอลกอฮอล์ จากน้ำบรรจุขวด จากน้ำผึ้ง อาหารทะเล เกลือ น้ำตาล และน้ำประปา แต่ในวันที่ 20 ต.ค. ที่ผ่านมานี้ ก็ได้มีผลการวิจัยใหม่ ออกมาเตือนว่า ทารกที่ดื่มนมจากขวดอาจได้รับไมโครพลาสติกเข้าไปด้วย โดยประเมินได้ว่า ทารกที่ดื่มนมจากขวดอาจได้รับไมโครพลาสติก 1.6 ล้านไมโครพาร์ติเคิลทุกวันในช่วง 12 เดือนแรกเกิด!! รายละเอียดเกี่ยวกับการวิจัย มีดังนี้

            นักวิจัยได้วิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้ของการปล่อยไมโครพลาสติกในขวดนมเมื่อขวดนมได้ผ่านความร้อนจากการฆ่าเชื้อ โดยนักวิจัยได้ทำการทดลองหาไมโครพลาสติกในขวดนม 10 ประเภทและทำการฆ่าเชื้อในน้ำร้อน 90 องศา ชงนมผงในน้ำร้อน 70 องศา ผลการวิจัยพบว่ามีไมโครพลาสติกออกมาจำนวนมหาศาลและมีขนาดเล็กเล็กกว่าเส้นผมมนุษย์ด้วยซ้ำไป

            โดยขวดนมที่นิยมใช้กันส่วนใหญ่นั้นทำมาจากพลาสติกประเภท พอลิโพรไพลีน มากถึง 82 เปอร์เซ็นต์ สารพลาสติกดังกล่าวเป็นประเภทที่ย่อยสลายได้ยาก นอกจากจะปนเปื้อนในอาหารและเครื่องดื่มแล้ว ยังตกค้างในร่างกายได้ด้วย การวิจัยครั้งนี้ พบว่า ขวดนมที่ทำมาจากพลาสติกประเภท พอลิโพรไพลีน สามารถปล่อย ไมโครพลาสติก ได้มากถึง 16 ล้านอนุภาค ต่อน้ำ 1 ลิตร การฆ่าเชื้อขวดนมด้วยความร้อน 25-95 องศาเซลเซียส จะเพิ่มอัตราการปล่อย ไมโครพลาสติกจาก 0.6 ล้านอนุภาค ถึง 55 ล้านอนุภาค ต่อน้ำ 1 ลิตรเลยทีเดียว

            ไมโครพลาสติก อันตราย
            ปริมาณไมโครพลาสติกที่ทารกแต่ละประเทศได้รับต่อวัน

            รู้จักไมโครพลาสติก

            แม่ ๆ ได้ทราบกันไปแล้วว่าทารกอาจเสี่ยงต่อการได้รับไมโครพลาสติกที่ถูกปล่อยออกมาจากขวดนม มาดูกันว่าไมโครพลาสติกที่กล่าวถึงนี้ คืออะไร มีกี่ประเภท และอันตรายต่อร่างกายอย่างไรบ้างกันก่อนดีกว่าค่ะ

            ไมโครพลาสติกคืออะไร?

            ไมโครพลาสติกคือ ชิ้นส่วนขนาดเล็กของพลาสติก ที่มีขนาดตั้งแต่ 5 มิลลิเมตร ไปจนถึง นาโนเมตร หรือ พิโคเมตรหรือเล็กเท่ากับขนาดของ แบคทีเรียหรือไวรัส ไมโครพลาสติก แบ่งออกเป็น 2 ประเภทได้แก่

            • เป็นพลาสติกขนาดเล็กที่ผลิตขึ้นตามวัตถุประสงค์ เช่น พลาสติกที่ผสมอยู่ใน โฟมล้างหน้า เครื่องสำอาง ครีมขัดผิว รวมทั้งยาสีฟัน
            • พลาสติกที่มีขนาดใหญ่แตกหักหรือผุกร่อนจนกลายเป็นชิ้นเล็ก ๆ ซึ่งหมายรวมทั้งพลาสติกที่ย่อยสลายได้ก็รวมอยู่ในพลาสติกชนิดนี้ด้วยเช่นกัน เนื่องจากพลาสติกชนิดนี้สามารถย่อยสลายได้เฉพาะเมื่ออยู่บนบก แต่เมื่อลงไปในทะเลจะไม่มีแบคทีเรียคอยช่วยย่อยสลายเนื่องจากน้ำทะเลมีอุณหภูมิต่ำกว่าบนบก
            พลาสติก
            พลาสติก

            ไมโครพลาสติกอันตรายอย่างไร?

            ไมโครพลาสติกหลายชนิดทั้งที่มีอันตรายมากและน้อยมีต้นกำเนิดจากพลาสติกที่ผลิตเพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น ถุงพลาสติกใส่อาหารทั้งร้อนและเย็น ประกอบด้วยสารโพลีพรอพีลีน ขวดน้ำดื่มประกอบด้วยสารพอลิเอทิลีน เทเรฟธาเรต และ ฟิล์มห่ออาหาร ผลิตจาก โพลี่ไวนิลคลอไรด์ (PVC) เป็นต้น จะเห็นได้ว่าไมโครพลาสติก พบได้รอบตัวเรา จากผลสำรวจจากกรมอนามัยโลกพบว่าผู้ใหญ่บริโภค 300-600 ไมโครพลาสติกต่อวัน โดยไมโครพลาสติกที่มีอนุภาคใหญ่จะถูกขับถ่ายออกมาในรูปแบบของของเสีย แต่ไมโครพลาสติกที่มีขนาดเล็กเท่าแบคทีเรีย หรือ ไวรัส อาจแทรกเข้าไปในเส้นเลือด นำไปสู่อวัยวะต่าง ๆ เช่น เข้าไปฝังอยู่ในเนื้อเยื่อต่าง ๆ ของร่างกายและก่อให้เกิดโรคมะเร็ง รวมทั้งไมโครพลาสติกอาจเข้าไปสะสมอยู่ในระบบหมุมเวียนโลหิต ทำให้เส้นเลือดอุดตัน เป็นต้น อย่างไรก็ตาม Prof Oliver Jones จาก มหาวิทยาลัย RMIT ได้ออกมาเผยว่าการปนเปื้อนของไมโครพลาสติกนั้นเป็นเพียงการคาดการณ์ ไม่ใช่การชี้วัด ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องกังวลหรือรู้สึกแย่ที่ใช้ขวดพลาสติกแต่ทว่าการวิจัยนี้เป็นการสร้างแรงกระตุ้นเพื่อให้เห็นถึงความอันตรายของก็ใช้พลาสติกมากกว่า

            เมื่อทราบแล้วว่า ไมโครพลาสติก อาจก่อให้เกิดอันตรายกับลูกน้อยของเราในอนาคตได้ การเลี่ยงไม่ให้ลูกต้องรับไมโครพลาสติกเข้าร่างกายเป็นจำนวนมาก ก็ดูจะปลอดภัยกว่า ดังนั้น ทีมแม่ ABK ขอนำคำแนะนำของนักวิจัยที่ได้แนะนำวิธีการฆ่าเชื้อและชงนมอย่างปลอดภัยจากการปล่อย ไมโครพลาสติก ออกมาในขวดนม ดังนี้

            นักวิจัยแนะ!! ขั้นตอนการฆ่าเชื้อและชงนมให้ปลอดภัยจากไมโครพลาสติก

            1. ใช้วิธีฆ่าเชื้อด้วยความร้อน โดยการต้มน้ำ นึ่ง ลวก ในภาชนะที่ไม่ใช่พลาสติก เช่น แก้ว หรือ สเตนเลส
            2. ล้างขวดนมที่ผ่านความร้อนด้วยน้ำเปล่าอุณหภูมิห้อง 3 ครั้งเป็นอย่างน้อย
            3. เตรียมนมผงหรือนมแม่ให้ลูกน้อยทาน

            ขั้นตอนการชงนมผงอย่างปลอดภัยจากไมโครพลาสติก

            1. เตรียมน้ำสะอาดที่ต้มสุกแล้วในภาชนะที่ไม่ใช่พลาสติก
            2. ผสมนมผงในภาชนะนั้นเมื่ออุณหภูมิของน้ำประมาณ 70 องศาเซลเซียส
            3. ปล่อยให้นมมีอุณหภูมิเย็นลงจนถึงอุณหภูมิห้อง
            4. เทนมที่เย็นลงแล้วลงในขวดนม

            นอกจากนี้ นักวิจัยยังแนะนำว่าไม่ควรนำนมที่อยู่ในขวดนมมาอุ่นซ้ำ และไม่ควรเขย่าขวดนมแรง ๆ เพราะอาจะทำให้มีไมโครพลาสติกปนเปื้อนออกมาได้ด้วยเช่นกัน

            วิธีล้างขวดนม
            วิธีล้างขวดนม

            จากผลการวิจัยนี้ ทำให้มีนักวิจัยหลายท่านได้ออกมาเรียกร้องนโยบายในบริษัทขวดนมและนมผงออกคำแนะนำใหม่เกี่ยวกับขั้นตอนการทำความสะอาดและขั้นตอนการชงนมแบบใหม่เพื่อป้องกันไมโครพลาสติกตกค้างในร่างกายมนุษย์อีกด้วย

            เนื่องจากยังไม่มีวิจัยที่ยืนยันได้ว่าไมโครพลาสติกอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายในอนาคตมากน้อยแค่ไหน เพราะในขณะนี้ยังคงทำการศึกษากันอยู่ แต่ในฐานะพ่อแม่คนหนึ่ง เราพอจะรับรู้ได้ว่าไมโครพลาสติกอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายในอนาคตได้ การให้ลูกเลี่ยงต่อโอกาสที่จะได้รับไมโครพลาสติกนี้ จึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด ดังนั้น ลองเปลี่ยนมาทำความสะอาดขวดนมด้วยวิธีที่นักวิจัยแนะนำกันดีกว่าค่ะ

            อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

            ขวดนมลูก หมดอายุหรือยัง พ่อแม่รีบเช็คด่วน!

            แนะวิธี การเลือกขวดนม จุกนม ให้ลูกแรกเกิดที่ดีและปลอดภัย

            เช็กก่อนซื้อ! “สัญลักษณ์ที่ก้นขวดนมลูก” หากไร้มาตรฐาน..เสี่ยงลูกป่วยภูมิคุ้มกันบกพร่อง

            ฝึกลูก ” เลิกขวดนม ” ง่ายๆ ภายใน 1 ขวบ!! ป้องกันฟันผุ

             

            ขอบคุณข้อมูลจาก : phys.org, www.bpl.co.th, www.khaosod.co.th, tna.mcot.net, www.independent.co.uk, www.theguardian.com, www.newscientist.com, vnexplorer.net

             

            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

              อาหารบำรุงน้ำนมแม่

              น้ำนมน้อยหลังคลอด : เคล็ดลับอาหารบำรุงน้ำนม & ฟื้นฟูร่างกาย

              หลังคลอดลูกภายใน 1 ชั่วโมงร่างกายจะมีการผลิตน้ำนมทันที ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านนมแม่ มักจะแนะนำให้เอาลูกน้อยแรกคลอดเข้าเต้าดูดนมแม่ทันทีภายในหนึ่งชั่วโมงหลังคลอด เพื่อเป็นการกระตุ้นเต้านมให้ทำงาน ส่งผ่าน น้ำนมแม่อาหารที่ดีที่สุดให้กับลูกน้อย ไม่ว่าคุณแม่จะมีน้ำนมน้อยแค่ไหนก็ตาม

              คุณแม่ส่วนใหญ่หลังคลอดลูกแล้ว การดำเนินชีวิตกิจวัตรประจำวันอาจไม่ได้ราบเรียบเสมอไป เพราะต้องผจญกับอาการเจ็บแผลฝีเย็บ แผลผ่าตัด ช่วงเวลาพักผ่อนนอนหลับน้อยลง มีภาวะเครียดต่างๆ ซึ่งปัจจัยแวดล้อมเหล่านี้ยิ่งทำให้ร่างกายหลังคลอดฟื้นตัวได้ช้า ผลกระทบคือร่างกายผลิตน้ำนมแม่ได้น้อยในระยะยาว หรือในคุณแม่บางคนไม่มีน้ำนมให้ลูกกินเลยก็มีค่ะ

              ซึ่งหนึ่งในวิธีที่จะช่วยให้ร่างกายหลังคลอดสามารถฟื้นฟูได้เร็ว กลับมาแข็งแรง สามารถผลิตน้ำนมแม่ได้ในปริมาณที่เพียงพอให้ลูกน้อยได้กินก็คือการทานอาหารบำรุงน้ำนมแม่ โดยคุณแม่จำเป็นต้องบำรุงร่างกายด้วยอาหารต่างๆ ที่มีประโยชน์สำหรับช่วยเพิ่มน้ำนมแม่โดยเฉพาะ ทีมแม่ ABK แนะนำว่าช่วงแรกคลอด ควรเสริมอาหารที่มีส่วนช่วยในการบำรุงน้ำนมแม่ อย่าง สมุนไพรพืช ผัก ผลไม้ หรือเพื่อให้ง่ายสะดวก ไม่ต้องยุ่งยาก จะดื่มเป็นเครื่องดื่มบำรุงน้ำนมแม่ ดื่มเสริมในทุกวันก็ได้ค่ะ

               

              น้ำนมน้อย สาเหตุเพราะอะไร ?  

              ทีมแม่ ABK เข้าใจคุณแม่ทุกคนที่ตั้งใจจะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ แต่พอถึงเวลาจริงกลับไม่ได้เป็นอย่างที่ตั้งใจไว้ มาดูกันค่ะว่า น้ำนมน้อย สาเหตุเพราะอะไร …

              ไม่ได้ให้ลูกดูดเร็ว ดูดบ่อย 

              บอกไปแล้วว่าภายใน 1 ชั่วโมงหลังคลอดต้องให้ลูกเข้าเต้าดูดนมแม่ทันที เพราะเป็นการกระตุ้นเต้านมให้ผลิตน้ำนมแม่เป็นวิธีแรกอย่างที่สุด ตั้งแต่ในช่วงน้ำนมเหลือง แต่เชื่อว่าคุณแม่หลังคลอดบางคนอาจจะมึนยาสลบ(กรณีผ่าคลอด) หรือภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ระหว่างคลอด ก็อาจทำให้ไม่ได้ให้ลูกเข้าเต้าได้ 

              จำไว้ค่ะว่า สูตรความสำเร็จของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ คุณแม่จะต้องให้ลูกเข้าเต้าดูดนมแม่ทุก 2-3 ชั่วโมง หรือไม่ก็ต้องปั๊มนมออกมาเก็บไว้เป็นสต็อก ตามรอบการดูดนมของลูก(ในกรณีที่ลูกหลับตื่นไม่ทันรอบดูดนมแม่) เพราะยิ่งถ้าไม่ได้ให้ลูกเข้าเต้า หรือไม่มีการปั๊มน้ำนมออกมา แน่นอนว่าจะคัดเต้านมมาก และในระยะยาว น้ำนมหดหายอย่างแน่นอนค่ะ

              ดื่มน้ำน้อยไป 

              ดื่มน้ำเปล่าสะอาดๆ แม่ที่ให้นมลูกจำเป็นจะต้องดื่มน้ำในทุกวันให้มากเพียงพอค่ะ เพราะน้ำที่ดื่มเข้าไปมีส่วนสำคัญที่ร่างกายจะใช้ในการผลิตน้ำนมแม่ออกมาค่ะ ดื่มน้ำน้อย น้ำนมน้อย ฉะนั้นระหว่างวันควรดื่มน้ำให้ได้ 2.5-3 ลิตร 

              เครียดเป็นเหตุ 

              ถามว่าแม่หลังคลอดลูกมีอะไรให้ต้องเครียด ขอบอกตรงนี้ว่าถ้าคุณคือแม่มือใหม่ที่ไม่เคยผ่านประสบการณ์มีลูกมาก่อน คุณจะยังจัดการกับการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ไม่มากพอ ลูกร้อง ลูกตื่นบ่อย ตัวแม่นอนหลับไม่เต็มอิ่ม ลูกตื่น แม่ตื่น พอเหนื่อยมากๆ อาจเป็นซึมเศร้าหลังคลอดได้นะคะ ฉะนั้นควรมีคนช่วยเลี้ยงในช่วงแรกๆ ค่ะ จะญาติพี่น้อง หรือสามีก็ควรมาสลับช่วยเลี้ยงลูกค่ะ 

              น้ำนมรอระบาย 

              ถ้าแม่ปล่อยให้เต้านมทั้งสองข้างที่เต็มไปด้วยน้ำนม แล้วไม่ได้ให้ลูกดูดออกมา หรือไม่ได้บีบ ได้ปั๊มออกมา เต้านมคัดสะสมนานๆ ร่างกายจะปรับลดการผลิตน้ำนม จนไม่หยุดผลิตไปเลยค่ะ ท่องให้ขึ้นใจว่า ลูกต้องเข้าเต้าดูดนม ทุก 2-3 ชั่วโมง 

              กินอาหารไม่พอ 

              กฎข้อนี้สำคัญมากค่ะแม่ๆ เพราะร่างกายที่ได้รับโภชนาการสารอาหารไม่เพียงพอ หรือได้สารอาหารทีไม่มีประโยชน์ ส่งผลกระทบต่อน้ำนมแม่นะจ๊ะ น้ำนมแม่จะมีปริมาณมากน้อย และน้ำนมมีคุณภาพหรือไม่ ส่วนหนึ่งมาจากอาหารที่มีประโยชน์ และได้รับอย่างสมดุลครบทั้ง 5 หมู่ค่ะ ดังนั้นแม่ให้นมลูก ต้องกินให้พอ กินให้มีประโยชน์ และในช่วง 3 แรกหลังคลอดลูก อาหารบำรุงน้ำนมแม่ หามากินกันนะคะ

              อาหารบำรุงน้ำนมแม่ มีอะไรบ้าง  กินอะไรดีนะ ? 

              นึกออกกันไหม ถ้านึกไม่ออกทีมแม่ ABK แนะนำให้ค่ะ รับรองถ้าหามากินกันได้ตามนี้ น้ำนมแม่พุ่ง ลูกกินอิ่ม กินพอไปจนเกิน 6 เดือน และแม่ไม่เจอกับปัญหา น้ำนมน้อย !!  

              1. ขิง 

              พืชสมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อน มีประโยชน์สำหรับแม่ที่ให้นมลูกมากๆ และเหมาะที่จะเป็น อาหารบำรุงน้ำนมแม่  ขิงมีโปรตีน ไขมัน แคลเซียม วิตามินเอ บีหนึ่ง บีสอง คาร์โบไฮเดรต ซึ่งขิงช่วยในการขับลม แก้อาเจียน ช่วยย่อยไขมันได้ดี ลดการบีบตัวของลำไส้ บรรเทาอาการปวดท้องเกร็ง ขับเหงื่อ เพิ่มการไหลเวียนเลือด ทำให้น้ำนมไหลได้ดี ลดอาการอาเจียน และเชื่อว่าเมื่อคุณแม่กินเข้าไป สรรพคุณที่ดีของขิงจะผ่านทางน้ำนมไปสู่ลูก ทำให้ลูกไม่ปวดท้อง

              เมนูแนะนำ ยำขิง ยำปลาทูใส่ขิง ไก่ผัดขิง มันหรือถั่วเขียวต้มน้ำขิง ไข่หวานน้ำขิงต้มอุ่น ๆ โจ๊กใส่ขิง

              2. ใบกะเพรา 

              ใบกระเพรา อุดมด้วยธาตุเหล็ก แคลเซียม ฟอสฟอรัส เส้นใยอาหารสูง ความร้อนจากใบกะเพรา จะช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ช่วยให้มีน้ำนมมากขึ้น แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ หวัด คลื่นไส้ อาเจียน ช่วยทำให้อารมณ์ดีขึ้น ยิ่งถ้าเด็กได้รับจากนมแม่ ก็จะช่วยลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อให้ลูกน้อยได้ด้วย

              เมนูแนะนำ แกงเลียง (ใส่ใบกะเพรา) ผัดกะเพรา หรือชาใบกะเพรา

              3. กุยช่าย 

              กุยช่ายอุดมไปด้วย แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก คาร์โบไฮเดรต บีตาแคโรทีน วิตามินซี มีฤทธิ์ช่วยขับน้ำนม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับลม

              เมนูแนะนำ ดอกกุยช่ายนำมาผัดกับเนื้อสัตว์ หรือนำใบมากินสดแกล้มกับผัดไทย หรืออาหารอื่นๆ 

              4. ใบแมงลัก 

              ใบแมงลัก มีธาตุเหล็ก แคลเซียม วิตามินบี และวิตามินซีสูง เนื่องจากใบแมงลักมีฤทธิ์ร้อนและรสหอม จึงทำให้น้ำนมไหลได้ดี ขับลม ขับเหงื่อ เมื่อได้ทานเข้าไป

              เมนูแนะนำ ใส่แกงเลียง กินสดแกล้มกับขนมจีน

              5. หัวปลี 

              ถ้าแม่ให้นมลูกไม่กินถือว่าพลาดมากบอกเลย เพราะในหัวปลี มีแคลเซียมมากกว่ากล้วยสุกถึง 4 เท่า และยังมีโปรตีน ธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส วิตามินซี บีตาแคโรทีน อีกด้วย หัวปลีช่วยบำรุงเลือด บำรุงน้ำนมได้ดีมากๆ ค่ะ 

              เมนูแนะนำ แกงเลียงหัวปลี ยำหัวปลี ลวกจิ้มน้ำพริก ทอดมันหัวปลี หัวปลีชุบแป้งทอด แต่ถ้าจะให้สะดวกแบบฉบับคุณแม่สมัยใหม่ ทีมแม่ ABK จะดื่มเป็นน้ำหัวปลี เดี๋ยวนี้หาซื้อดื่มได้ง่ายมากเลยนะคะ

               

              อาหารบำรุงน้ำนมแม่

              เครื่องดื่มบำรุงน้ำนมแม่ มัมมี้ลิเชียสจูซ 

              อย่างเครื่องดื่มบำรุงน้ำนมแม่ มัมมี้ลิเชียสจูซ น้ำหัวปลี ไทยเจ้าแรก ที่เป็นเจ้าของรางวัลคุณภาพระดับสากล International Innovation Awards 2019 ขอบอกว่าเป็นเครื่องดื่มบำรุงสุขภาพที่เหมาะกับตั้งครรภ์และคุณแม่หลังคลอดมาก เพราะช่วยทั้งเรื่องฟื้นฟูพลังกำลังให้กลับมาแข็งแรงเร็ว ยังช่วยเรื่องน้ำนมน้อยได้ดีมากๆ ด้วย 

              มัมมี้ลิเชียสจูซ เครื่องดื่มบำรุงน้ำนมแม่ (MOMMYLICIOUS JUICE)  มีทั้งหมด 7 รสชาติให้เลือกดื่ม นี่แม่บ้านนี้ดื่มมาครบทุกรสชาติแล้วค่ะ บอกเลยว่าอร่อย ดื่มง่าย ที่สำคัญสบายใจมากเวลาดื่มน้ำหัวปลีของมัมมี้ลิเชียส เพราะผลิตมาจากส่วนผสมธรรมชาติ 100% ไม่ใส่น้ำตาล ไม่ใส่สารกันบูด มาดูกันหน่อยค่ะว่ามีรสชาติอะไรบ้าง

              1. น้ำหัวปลีเข้มข้น รสธรรมชาติ (Super Huaplee) น้ำหัวปลีแท้รสธรรมชาติสูตร Original  
              2. น้ำหัวปลีผสมโปยกั๊ก (Huaplee & Star Anise) เป็นน้ำหัวปลีเข้มข้นที่เพิ่มความหอมหวานธรรมชาติจากโปยกั๊กและหญ้าหวาน
              3. น้ำขิงเข้มข้นรสธรรมชาติ (Super Ginger) สูตรนี้ความร้อนจากขิงช่วยกระตุ้นให้นมแม่ไหลได้ดีขึ้น
              4. น้ำขิงผสมน้ำผึ้งมะนาว (Ginger with Honey & Lime) สูตรนี้นอกช่วยให้น้ำนมแม่ไหลดีแล้ว ยังช่วยแก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ และช่วยบรรเทาอาการหวัดให้แก่คุณแม่ได้ด้วยค่ะ
              5. น้ำหัวปลีผสมงาดำ (Huaplee & Black Sesame) เป็นสูตรบำรุงน้ำนม บำรุงเส้นผม และเพิ่มแคลเซียมให้ร่างกาย
              6. น้ำหัวปลีผสมขิง มะเขือเปราะและใบกะเพรา (Super Huaplee PLUS) เป็นสูตรรวมดาวสรรพคุณของส่วนผสมที่ช่วยเพิ่มระดับปริมาณน้ำนมแม่ กระตุ้นการไหลเวียนของน้ำนม และมีส่วนช่วยลดอาการท่อน้ำนมอุดตันอีกด้วย
              7. น้ำมัลเบอร์รี่ผสมขิง (Mulberry & Ginger) เป็นสูตรช่วยบำรุงน้ำนมแม่ และช่วยบำรุงฟื้นฟูสุขภาพผิว และให้ความสดชื่นและเสริมวิตามินให้แก่คุณแม่

              ทีมแม่บ้าน ABK ดื่มมัมมี้ลิเชียสจูซ น้ำหัวปลี ครบทุกรสชาติแล้ว ดื่มแล้วดีต่อสุขภาพ ช่วยบำรุงน้ำนมแม่ได้ดีจริงๆ แล้วคุณแม่ๆ ล่ะคะ ดื่มแล้วชอบรสชาติไหนกัน

              ไปดูข้อมูลเพิ่มเติมเครื่องดื่มบำรุงน้ำนมแม่ MOMMYLICIOUS JUICE กันได้ที่ 

              https://www.mommyliciousjuice.com หรือ

              https://www.facebook.com/mommyliciousjuice/ นะคะ 

              ทีมแม่ ABK ขอเป็นกำลังใจให้คุณแม่ทุกคน เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ให้ประสบความสำเร็จกันนะคะ  แล้วอย่าลืมคำแนะนำที่ให้ไว้ รับรองน้ำนมแม่มาแยอะ จนลืมไปเลยว่า “น้ำนมน้อย” เป็นไง !

              เครื่องดื่มบำรุงน้ำนมแม่

               

                วิธีเก็บเงิน สไตล์ญี่ปุ่น

                วิธีเก็บเงิน ให้ล้นกระเป๋าสตางค์แบบฉบับคนญี่ปุ่น!!

                กระเป๋าแบนแฟนทิ้ง งั้นชวนมากระเป๋าบวม เงินล้นกระเป๋ากันดีกว่าด้วย วิธีเก็บเงิน สไตล์ญี่ปุ่น ง่าย ๆ แค่ 5 ข้อ มาร่วมกันทำกระเป๋าให้เป็นบ้านของเงินเรากันเถอะ

                วิธีเก็บเงิน ให้ล้นกระเป๋าสตางค์แบบฉบับคนญี่ปุ่น!!

                กระเป๋าที่ทุกคนทุกเพศต้องมีและพกติดตัวไว้ตลอดเวลา มีประโยชน์ช่วยในเรื่องของการใส่เงินหรือเก็บเงิน นามบัตร บัตรเครดิตต่างๆที่รวมอยู่ในใบเดียว ง่ายต่อการพกพาเวลาไปไหนมาไหน ช่วยในเรื่องของความสะดวก มีหลายแบบและหลายขนาดให้เลือกตามความชอบและเหมาะกับการใช้งานของผู้ที่ต้องการใช้ ซึ่งขนาดจะมีตั้งแต่แบบสั้น แบบกลาง และแบบยาว ส่วนวัสดุที่นำมาผลิตก็มีตั้งแต่หนังแท้ หนังเทียม ผ้า เป็นต้นเกริ่นมายาวเหยียดคุณคิดไม่ผิดหรอกว่านี่คือ คำนิยามของคำว่า กระเป๋าสตางค์ กระเป๋าเงิน หรือ กระเป๋าสตางค์ก็สุดแล้วแต่ใครจะเรียกไปตามความถนัด

                แต่รู้หรือไม่ว่ากระเป๋าสตางค์ ไม่ได้เป็นเพียงแค่ที่เก็บเงินเท่านั้นนะ หากเราอยากให้ภายในกระเป๋าสตางค์เราเต็มไปด้วยเงินจนอัดแน่นแล้ว เราลองมาใช้แนวคิดในแบบฉบับสไตล์ของคนญี่ปุ่น ที่มักผสมผสานหลักความเชื่อ ความเป็นระเบียบเรียบร้อย และความคิดสร้างสรรค์เข้าไว้ด้วยกัน ในหลักการจัดกระเป๋าสตางค์ให้กลายเป็น “บ้านของเงิน” กันดีกว่า ขอแอบบอกว่ามีคนเคยลองทำตามดูแล้วรับประกันว่ามีเงินไม่เคยขาดกระเป๋ากันด้วยนะ อย่ามัวแต่ช้า รีบมาเป็นเศรษฐีใหม่กันดีไหมน้า

                อ่านต่อ การสอนแบบญี่ปุ่น กับกฎ 18 ข้อที่เด็ก ๆ ต้องทำได้ก่อนเข้าป.1

                วิธีเก็บเงิน แบบฉบับญี่ปุ่น
                วิธีเก็บเงิน แบบฉบับญี่ปุ่น

                บ้านของเงิน

                บ้าน จัดเป็นปัจจัยหนึ่งอย่างที่มนุษย์จำเป็นต้องมี หนึ่งในปัจจัย 4 ของเรา เพราะบ้านเป็นแหล่งพักพิง ให้คนเราได้พักผ่อนหย่อนใจเพื่อให้กลับมามีแรงมีพลังในการทำงานในวันถัด ๆ ไป  ดังนั้นจึงเถียงไม่ได้เลยว่า หากเรามีบ้านที่ดี น่าอยู่ เป็นระเบียบเรียบร้อย ก็ย่อมทำให้เจ้าบ้าน หรือคนที่จะมาอาศัยอยากอยู่บ้านนาน ๆ อยู่แล้วรู้สึกสบายใจ มีพลัง พร้อมจะออกไปต่อสู้ฟันฝ่า และได้รับชัยชนะกลับมามากกว่าคนที่อ่อนล้า อยู่ในบ้านที่ไม่ดี ไม่ส่งเสริมจริงไหม

                ด้วยหลักแนวคิดดังกล่าว ทำให้คนญี่ปุ่นคิดว่าเงินก็เช่นกัน กระเป๋าสตางค์เป็นจุดเริ่มต้นของการ ‘รับเงิน’ และ ‘จ่ายเงิน’ นั่นคือ การเข้า และออกจากบ้านของเงินนั่นเอง หากเราอยากให้เงินอยู่ติดกระเป๋าสตางค์ของเราไปนาน ๆ เราจึงควรจัดกระเป๋าสตางค์ที่นับได้ว่าเป็นบ้านของเงินให้ดี เรียบร้อยจะได้มีเงินเต็มกระเป๋าอย่างที่คนทุกคนต้องการ เรามาดูหลักการของแนวคิด “บ้านของเงิน” นี้โดยวิเคราะห์ตามหลักแห่งเหตุผลกันดีกว่าว่าน่าเชื่อถือมากพอที่เราควรจะทำตามหรือไม่

                1.เลือกใช้กระเป๋าสตางค์ที่มีคุณภาพ 

                กระเป๋าสตางค์ถือเป็นสิ่งของสำคัญที่ใช้ในการเก็บเงิน ดังนั้น หากมีรอยขาดรั่ว หรือเก่าจนชำรุด ก็ถึงเวลาเปลี่ยนไปใช้ใบใหม่ได้แล้ว เพราะในทางฮวงจุ้ยแล้ว กระเป๋าสตางค์ที่มีรอยรั่วจะหมายถึงการปล่อยเงินให้รั่วไหล เก็บเงินอย่างไรก็ไม่อยู่  ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วกระเป๋าเงินที่ขาดก็อาจทำให้เงินรั่วหล่นได้จริง ๆ แถมยังไม่ดีต่อบุคลิกภาพอีกด้วย ดังนั้นหากเราไม่อยากเปลี่ยนกระเป๋าสตางค์บ่อย ๆ การที่เราเลือกซื้อกระเป๋าที่มีคุณภาพ วัสดุที่ใช้ทนทาน การตัดเย็บ และรูปแบบที่สวยงาม ใช้งานง่าย ถึงแม้ว่าบางยี่ห้อจะมีราคาแพงสักหน่อย แต่ถ้าคนที่รู้จักใช้เงิน ประเมินถึงความคุ้มค่า ความเหมาะสมกับวิถีชีวิตของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน ว่ากระเป๋าสตางค์ใบนั้น ๆ คุ้มค่าเหมาะกับเราหรือไม่ ก็จะยิ่งนับว่าเจ้าของกระเป๋าสตางค์ใบนั้น ๆ เป็นคนใช้เงินเป็น และย่อมมีสถานะทางการเงินที่ดีตามมาเป็นแน่

                กระเป๋าสตางค์แบบยาว วิธีเก็บเงิน สไตล์คนญี่ปุ่น
                กระเป๋าสตางค์แบบยาว วิธีเก็บเงิน สไตล์คนญี่ปุ่น

                เกร็ดความรู้ที่ไม่จำเป็นต้องรู้ก็ได้ ในบางแนวคิดก็มีความเชื่อที่ว่า กระเป๋าสตางค์แบบยาวนั้นเป็นกระเป๋าที่ดี เพราะเชื่อว่าสามารถเรียงเงินได้ง่าย กระเป๋าสตางค์แบบพับ เงินต้องถูกพับครึ่งเหมือนคนต้องคุดคู้งอตัวคงไม่สบายเท่า

                2.อย่ายัดของใส่กระเป๋าสตางค์จนมากเกินพอดี

                ใครชอบเก็บของทุกสิ่งอย่างไว้ในกระเป๋าสตางค์ ไม่ว่าจะเป็นบัตรประชาชน บัตรเครดิต รวมทั้ง ใบเสร็จต่าง ๆ ซึ่งทำให้กระเป๋าอ้วนตุงและคับแน่นอยู่เสมอโปรดยกมือขึ้น ขอเตือนไว้ว่ามันไม่ถูกตามหลักฮวงจุ้ยนะ เพราะเขาว่าไว้ว่าจะทำให้เก็บเงินไม่อยู่ แถมยังทำให้เงินทองไม่ไหลเข้าอีกด้วย ลองคิดตามกันดูง่าย ๆ นะจ๊ะว่าหากบ้านที่เราอยู่มีของวางเต็มแน่นไปหมด เราคงไม่อยากเอาของใด ๆ มาใส่เพิ่มให้รกเข้าไปอีก เงินก็เช่นกัน หากเรารู้สึกว่ากระเป๋าสตางค์ของเราอวบอ้วนเหมือนดั่งมีเงินอยู่เต็ม เลยพาลคิดไปว่ามีเงินอยู่เต็มจริง ๆ แต่ความเป็นจริงกลับเป็นเพียงเศษกระดาษ ใบเสร็จตั่งต่างนานา แต่เงินจริงมีเพียงไม่กี่ใบคงน่าเศร้าน่าดูจริงไหม ดังนั้น หากเป็นไปได้ให้แยกบัตรและใบเสร็จต่าง ๆ เก็บไว้อีกกระเป๋า โดยให้กระเป๋าสตางค์มีเฉพาะเงินเท่านั้น หรือหากใครจำเป็นต้องใส่บัตรจริง ๆ ก็ให้เลือกเฉพาะบัตรที่จำเป็นเท่านั้น เวลากระเป๋าแบนก็จะรู้ล่วงหน้าว่าเงินน้อยแล้วนะ ต้องหามาเพิ่มก่อนแฟนจะทิ้งนะจ๊ะขอเตือน

                เกร็ดความรู้ที่ไม่จำเป็นต้องรู้ก็ได้ การจัดระเบียบภายในกระเป๋าสตางค์ให้เป็นระเบียบก็เป็นอีกหลักจิตวิทยาหนึ่งของคนญี่ปุ่น ที่มีความเชื่อในเรื่องโชคลาง ว่าจะนำมาสู่ความมั่งคั่ง เช่น ธนบัตรก็จะเรียงไว้เป็นอย่างดีหัวหางต้องไปทางเดียวกัน จัดเรียงแบงค์ แบงค์ใหญ่จะอยู่ในสุด เช่นแบงค์ 1,000 อยู่ลึกสุด เรียงต่อมาด้วย 500 บาท 100 บาท 50 บาท และ 20 บาท ถ้ามีเศษเหรียญก็ให้แยกใส่กระเป๋าเก็บเหรียญให้เรียบร้อยไม่เอามารวมในกระเป๋าสตางค์ให้ดูอ้วนใหญ่

                อย่าพึ่งหนักใจ วิธีเก็บเงิน ง่าย ๆ จากกระเป๋าสตางค์
                อย่าพึ่งหนักใจ วิธีเก็บเงิน ง่าย ๆ จากกระเป๋าสตางค์

                3.ใส่ ‘เงินขวัญถุง’ เป็นแบงค์ใหญ่สร้างแรงบันดาลใจในการหาเงิน

                หากใครที่ไม่ชอบพกเงิน และปล่อยให้กระเป๋าสตางค์ว่างเปล่าอยู่เสมอ ก็มักจะมีปัญหาด้านการเงินอยู่บ่อย ๆ เช่นกัน เพราะการมีเงินติดกระเป๋าตลอดเวลานอกจากจะแสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ของเจ้าของกระเป๋าสตางค์แล้ว ยังทำให้เจ้าของมีไว้ใช้จ่ายในกรณีฉุกเฉินด้วย แล้วเงินขวัญถุงจำเป็นต้องเป็นแบงค์ใหญ่เท่านั้นเหรอ คำตอบต่อคำถามนี้คงต้องถามกลับเจ้าของกระเป๋าสตางค์บ้างแล้วละว่า แบงค์ใหญ่ของคุณคือเท่าใด แต่แนะนำว่าควรจะมีมูลค่ามากที่สุดเท่าที่คุณจะสามารถหามาใส่ไว้ได้ เพราะอะไรนะเหรอ ลองคิดตามดูนะว่าหากเรามีความเชื่อแล้วว่าแบงค์ใบใหญ่ใบนั้นของคุณเป็นเงินขวัญถุงที่มีความขลัง เราก็ไม่อยากจะใช้มันออกไป แน่นอนว่าเงินเก็บของคุณก็ยังคงนอนอยู่ในกระเป๋าสตางค์ของคุณไม่ปลิวลอยหายไปกับของไม่จำเป็นใช่ไหมละ

                4.อย่ากดเงินพร่ำเพรื่อเพื่อใช้จ่ายทั่วไป คำนวณให้พอดีว่าจะใช้เท่าไร

                เพราะเงินออกจากกระเป๋าแล้วมันไม่กลับมาง่าย ๆ ดังนั้น ต้องให้เส้นทางของเงินที่ออกไปนั้นได้ประโยชน์สูงสุด หากคุณใส่เงินไว้ในกระเป๋าสตางค์มากเกินไป เกินพอดี เวลาหน้ามืดขึ้นมาเวลาช็อปปิ้ง เราอาจจะยั้งตัวไม่ทันกันก็ได้เชียวนะ เพราะโรคหน้ามืดขณะช้อปปิ้งนี้น่ากลัวเสียด้วยสิ จริงไหมจ๊ะสาว ๆ

                เพลิดเพลินกับการใช้จ่าย
                เพลิดเพลินกับการใช้จ่าย

                5.ทุกครั้งที่หยิบเงินออกจากกระเป๋าสตางค์มันคือการลงทุน

                การลงทุนไม่ได้มีความหมายเพียงแค่ ลงทุนในเรื่องใหญ่ ๆ หรือได้ปันผลมาในรูปแบบของเงินเพียงเท่านั้น แม้แต่เรื่องเล็ก ๆ หากเป็นเรื่องที่ก่อให้เกิดประโยชน์ได้ ก็นับว่าคือการลงทุนอย่างหนึ่ง เช่น การซื้ออาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมารับประทาน แม้ว่าจะมีราคาสูงกว่าอาหารจำพวกอาหารฟาสฟู้ด หรืออาหารตามร้านสะดวกซื้อ แต่ในระยะยาวร่างกายจะได้รับประโยชน์ไม่ต้องมาเสียค่ารักษาในภายหลัง นั่นก็คือการลงทุนแล้ว และหลังจากนั้นการลงทุนในเชิงรูปธรรมจะตามมา เช่น หุ้น กองทุน อสังหาริมทรัพย์ หรือการออมเงินอื่น ๆ เพราะถ้าเรามีวินัยทางการเงิน มีการจัดระบบการเงินเป็นสัดส่วน การลงทุนรูปแบบไหนเราก็รับมือได้หมดอย่างแน่นอน

                ถึงแม้ว่า การจัดกระเป๋าสตางค์จะดูเป็นเพียงเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่อย่ามองข้ามไปเชียว เพราะหากเราไม่สามารถจัดการเรื่องใกล้ตัวเราที่สุด อย่างกระเป๋าสตางค์ที่เราต้องปิดเปิด หยิบใช้กันอยู่ทุกวันนั้นไม่ได้ เราก็คงไม่สามารถจัดการเรื่องอื่นได้ดีเป็นแน่ ถ้าอยากจะฝึกวินัยทางการเงิน ลองเริ่มจากการจัดกระเป๋าสตางค์ให้เป็นระเบียบดู อย่างน้อยตอนเปิดกระเป๋าสตางค์ มันจะทำให้เราสังเกตได้ว่าเรามีเงินสดเหลืออยู่เท่าไร มีบัตรเครดิต บัตร ATM กี่ใบ เพียงเท่านี้เราก็มีข้อมูลที่ใช้ในการตัดสินใจกับการใช้จ่ายได้อย่างรวดเร็ว หลักการลงทุนอันดับต้น ๆ ของทุกการลงทุนเลยนั่นคือ ข้อมูลที่น่าเชื่อถือ และรวดเร็วทันต่อการตัดสินใจมิใช่หรือ

                ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก หนังสือ ชีวิตมั่งคั่งด้วยกระเป๋าสตางค์ใบเดียว เขียนโดย คะเมะดะ จุนอิชิโร (ทินภาส พาหะนิชย์ แปล)/ smex.business/undubzapp.com/JapanSalaryman

                อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                วิธีเก็บเงิน แบบคนรวย เคล็ดลับ 15 ข้อที่ควรสอนลูก

                สีกระเป๋าสตางค์ตามวันเกิด 2563 สีไหนดี? เสริมดวงสุดปัง เงินเข้าไม่ขาดมือ

                สีเสื้อมงคล 2563 เสริมดวง 12 ราศี ใส่แล้วงานดี เงินเริ่ดตลอดปี

                ผมสั้นก็ปังได้นะแม่! รวม 40 ไอเดีย ทรงผมสั้นประบ่า สวยได้ ไม่ตกเทรนด์

                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                  ของใช้เด็กทารก

                  Checklist ! 5 ข้อควรรู้ก่อนซื้อของใช้ลูกน้อย

                  ของใช้เด็กทารก ของใช้เด็กต่างๆ ที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวัน มีคุณแม่มือใหม่หลายๆ คน ถามทีมแม่ABK เข้ามากันบ่อยมากว่าการซื้อของใช้ลูกน้อย ควรต้องให้ความสำคัญกับเรื่องใดบ้าง เพราะกลัวในเรื่องการแพ้ต่างๆ โดยเฉพาะผิวของลูก ซึ่งเพื่อให้คุณแม่ได้ซื้อเตรียมของใช้เด็กกันอย่างสบายใจ วันนี้ทีมแม่ABK มีข้อควรรู้ก่อนซื้อของใช้เด็กอ่อนมาแนะนำให้ค่ะ

                   

                  ของใช้เด็กทารก : 5 ข้อควรรู้ก่อนซื้อของใช้ลูกน้อย

                  ของใช้เด็กแรกเกิด

                  1. ผ่านการทดสอบ Hypoallergenic

                  เชื่อว่าคุณแม่ที่มีลูกเล็กจะต้องมองหาสินค้าหรือแบรนด์ที่มีตราสัญลักษณ์ผ่านการทดสอบการแพ้จากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกน้อย แต่คุณแม่รู้ไหมคะว่า การทดสอบการแพ้ที่หลายๆสินค้าพูดถึงอาจจะยังไม่ใช่การทดสอบการแพ้ที่ดีที่สุด

                  การทดสอบความปลอดภัยด้านผิวหนัง แบ่งออกเป็น 2 ระดับค่ะ

                  1. Dermatologist Tested

                  a. Single Patch Tests คือการทดสอบผลิตภัณฑ์กลุ่มที่ใช้สัมผัสกับผิว ดูว่าก่อให้เกิดการะคายเคืองหรือไม่ จะเป็นการทดสอบด้วยการแปะ Patch Tests ที่แผ่นหลัง เพื่อทดสอบรอบเดียว

                  2. Hypoallergenic Test

                  a. Human Repeat Insult Patch จะเป็นการทดสอบที่ลึกลงไปมากกว่าเดิมแบบ Long Term ด้วยการแปะ Patch Tests ที่แผ่นหลังหลายๆ ครั้ง เพื่อดูว่าผลิตภัณฑ์เด็กนั้นๆ ก่อให้เกิดการแพ้ต่อผิวหรือไม่ หากมีการใช้ที่ต้องสัมผัสกับผิวลูกน้อยอย่างต่อเนื่อง 

                  อย่างผลิตภัณฑ์ดีนี่ทุกรายการต้องผ่านการทดสอบการแพ้ Hypoallergenic Tested ซึ่งเป็นการทดสอบมาตรฐานสากล ควบคุมโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง เป็นทดสอบแบบติดตามผลระยะยาว (Human Repeat Insult Patch)  คุณแม่มั่นใจได้เลยว่าปลอดภัยกับสุขภาพผิวของลูกน้อยค่ะ

                  ของใช้เด็กอ่อน

                  2. ดีนี่ น้ำยาซักผ้าและปรับผ้านุ่ม ผ่านการทดสอบ Hypoallergenic tested

                  ผิวลูกแรกเกิดบอบบาง และง่ายต่อการเกิดการแพ้ ระคายเคือง จึงจำเป็นที่คุณแม่ควรต้อง เลือกใช้ผลิตภัณฑ์เด็กที่มีความอ่อนโยนเป็นมิตรต่อผิวลูกน้อยอย่างมากที่สุด  ซึ่งแน่นอนว่าก็ต้องเป็น “สูตรออร์แกนิค” * เพราะจะอ่อนโยนต่อผิวบอบบางของลูกน้อย โดยเฉพาะน้ำยาซักผ้า กับน้ำยาปรับผ้านุ่ม แนะนำว่าให้เลือกใช้ที่มีสารสกัดออร์แกนิคจากธรรมชาติ เพื่อที่จะได้ปลอดภัย ไม่ทำร้ายผิวของลูกน้อยค่ะ
                  *มีส่วนผสมของสารสกัดออร์แกนิคอโลเวลร่า ที่ได้รับตรารับรอง ECOCERT

                  ของใช้เด็กทารก

                  3. มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ดีต่อระบบหายใจ

                  ไม่แนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์เด็กที่มีกลิ่นหอมแต่ฉุนแสบจมูก โดยเฉพาะกับผลิตภัณฑ์ดูแลทำความเสื้อผ้าลูกน้อย ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ซักผ้าสำหรับเด็กที่มีแนวกลิ่นหอม อ่อนโยน สามารถใช้ได้ตั้งแต่เด็กแรกเกิด กลิ่นหอมจากผลิตภัณฑ์จะต้องไม่ไปรบกวนระบบการหายใจของลูกน้อยค่ะ

                  ของใช้เด็กทารก

                  4. ให้ความสะอาด ที่อ่อนโยน

                  ของใช้เด็กอ่อน คุณแม่จำเป็นต้องรักษาความสะอาดให้มากเป็นพิเศษ อย่างเสื้อผ้า เบาะ ผ้าปูที่นอน ฯลฯ ที่ผิวลูกจะต้องสัมผัสอยู่ทุกวัน มีคราบเลอะ ทั้งคราบน้ำนม คราบน้ำลาย คราบปัสสาวะ และคราบอุจจาระ ฯลฯ คุณแม่เห็นคราบหนักแบบนี้จะใช้ผลิตภัณฑ์ซักทำความสะอาดของผู้ใหญ่กับเสื้อผ้าลูกไม่ได้นะคะ เพราะอาจจะมีสารเคมีที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง ผิวหนังแพ้อักเสบได้ค่ะ คุณแม่ควรใช้เป็นผลิตภัณฑ์ซักสำหรับผ้าเด็กโดยเฉพาะ แนะนำเป็น “ผลิตภัณฑ์ซักผ้าเด็ก ดีนี่ นิวบอร์น ออร์แกนิค อโล เวร่า” ที่ซักผ้าสะอาด ขจัดได้ทุกคราบเลอะของลูกน้อย ล้างฟองออกง่าย และไม่ทิ้งสารเคมีอันตรายบนผ้าด้วยค่ะ

                  ของใช้เด็กทารก

                  5. ให้ความสบายผิว ช่วยส่งเสริมพัฒนาการ

                  ในระหว่างวันถ้าลูกน้อยมีอาการร้องไห้โยเยอยู่ตลอดเวลา อาจเป็นเพราะลูกรู้สึกไม่สบายตัวจากเสื้อผ้าที่สวมใส่ เนื้อผ้าที่ไม่นุ่ม มีความแข็งกระด่าง เมื่อสัมผัสเสียดสีกับผิวบ่อยๆ จะทำให้เกิดการระคายเคือง คันผิวขึ้นได้ค่ะ

                  ฉะนั้นหลังจากซักทำความสะอาดเสื้อผ้าลูกน้อยแล้ว แนะนำให้คุณแม่ถนอมเนื้อผ้าด้วยน้ำยาปรับผ้านุ่มเด็กทุกครั้งค่ะ แนะนำเป็นผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่มเด็ก ดีนี่ นิวบอร์น ที่ช่วยให้เสื้อผ้าลูกน้อยมีสัมผัสนุ่ม ไม่ลีบติดลำตัว ลูกน้อยใส่แล้วสบายผิว ที่นี้ไม่ว่าจะคืบ คลาน นั่ง ยืน เดิน วิ่ง ก็ไม่ทำให้พัฒนาการของลูกน้อยสะดุดลงอย่างแน่นอนค่ะ

                  ของใช้เด็กแรกเกิด

                  คุณแม่สามารถหาซื้อผลิตภัณฑ์ซักผ้าเด็ก ดีนี่ นิวบอร์น ออร์แกนิค อโล เวร่า และ ผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่มเด็ก ดีนี่ นิวบอร์น ได้ที่ร้านค้าชั้นนำทั่วประเทศ อาทิเช่น Tesco , Big C , Tops , CJ Express , The Mall Robinson , Lazada , Shopee และ JD Central ค่ะ

                  5 ข้อง่ายๆ ก่อนซื้อของใช้ลูกน้อย หากคุณแม่มือใหม่ดูข้อมูลที่แนะนำให้ได้ทั้งหมดนี้ รับรองว่าปลอดภัยต่อสุขภาพผิวของลูกน้อยอย่างแน่นอนค่ะ

                  ของใช้เด็ก

                   

                    เริมในช่องปาก

                    เริมในช่องปาก โรคฮิตของเด็กเล็ก อาการเป็นอย่างไร

                    ลูกไม่ยอมกินนม ไม่อยากกินอาหารเสริม สัญญาณโรคในช่องปากบางอย่างที่สำคัญ เริมในช่องปาก

                    เริมในช่องปาก โรคยอดฮิตของเด็กเล็ก

                    ความเจ็บป่วยของทารกหรือเด็กเล็ก ๆ มักจะส่งสัญญาณเป็นอาการง่าย ๆ เช่น การไม่อยากกินนม หรือร้องงอแง เพราะเจ้าตัวน้อยยังพูดไม่ได้ จึงไม่อาจสื่อสารความเจ็บป่วยออกมาได้ คนเป็นพ่อเป็นแม่จึงต้องสังเกตลูกในทุก ๆ วัน เช่นเดียวกับคุณแม่ท่านนี้ ที่ลูกน้อยในวัย 11 เดือน ส่งสัญญาณผิดปกติด้วยการร้องไห้งอแงมากเป็นพิเศษ ไม่ยอมกินนม ไม่ค่อยกินข้าว แม่จึงเริ่มสงสัยว่า ลูกเป็นอะไรหรือเปล่า

                    เริมในช่องปาก
                    เริมในช่องปาก

                    อาการอื่น ๆ ก็ยังไม่ชัดเจน มีเพียงไข้ต่ำ ๆ ใน 2 วันแรก แต่คุณแม่รู้สึกไม่สบายใจจึงพาลูกไปหาหมอในวันที่ 3 หลังจากเริ่มงอแง คุณแม่เล่าว่า วันที่ 3 ที่แม่พาลูกไปหาหมอ ก็ได้รับการตรวจช่องปาก หมอจึงแจ้งว่าลูกเป็นเริม การรักษาคือต้องรับประทานยา 4 เวลา และทายาที่ช่องปาก

                    “คุณหมอให้ระวังมากขึ้นค่ะ เพราะเริมเกิดจากการติดต่อทางน้ำลาย หากผู้ปกครองท่านไหนที่มีแผลในปาก อย่าเคี้ยวอาหารให้เด็กทาน และหากลูกเป็นโรคนี้แล้ว ให้ดื่มน้ำเยอะ ๆ เพราะเริมเกิดจากการขาดน้ำค่ะ”

                    เริมในช่องปาก
                    เริมในช่องปาก

                    ส่วนสาเหตุของโรคนี้นั้นยังไม่ชัดเจน คุณแม่จึงฝากเรื่องนี้ให้ช่วยเตือนใจแม่ ๆ ทุกท่าน ต้องคอยสังเกตอาการของลูกอย่างใกล้ชิดในทุกวัน หากลูกไม่ยอมกินนม ไม่ยอมกินข้าว อาจเป็นสัญญาณว่าเจ้าตัวน้อยกำลังไม่สบายอยู่

                    เริมเกิดได้ภายในช่องปาก

                    เชื้อไวรัสเริม หรือเฮอร์ปีส์ซิมเพล็กซ์ (Herpes simplex virus – HSV) เป็นไวรัสต่างชนิดกับโรคงูสวัดและโรคอีสุกอีใส โดยมีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิด คือ ไวรัสเริมชนิดที่ 1 หรือ เอชเอสวี-1 (Herpes simplex virus 1 หรือ HSV-1) กับไวรัสเริมชนิดที่ 2 หรือ เอชเอสวี-2 (Herpes simplex virus 1 หรือ HSV-2) ซึ่งเริมในช่องปาก หรือ Herpetic gingivostomatitis พบได้บ่อยของการติดเชื้อไวรัสเริมชนิดที่ 1 ชนิดนี้มักเกิดอาการกำเริบที่ปากมากกว่าที่อวัยวะเพศ

                    เริมในช่องปากพบได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ ระยะฟักตัวของโรคประมาณ 2-3 วัน แต่บางคนอาจนานถึง 20 วัน ในการติดเชื้อครั้งแรก มักจะเป็นเริมในช่องปากชนิดเฉียบพลัน อาการสำคัญของเริมในช่องปากสำหรับเด็กเล็ก ได้แก่

                    • มีไข้
                    • ร้องกวน
                    • ไม่ยอมดูดนม
                    • ไม่กินอาหาร
                    • มีตุ่มน้ำพุขึ้นที่เยื่อบุของริมฝีปาก เหงือก ลิ้น และเพดานปาก
                    เริมในช่องปาก
                    เริมในช่องปาก

                    จากนั้นตุ่มพองจะแตกเป็นแผลตื้นสีเทาบนพื้นสีแดงขนาด 1-3 มิลลิเมตร มักมีอาการเหงือกบวมแดงร่วมด้วย บางครั้งอาจมีเลือดซึมและมีกลิ่นปาก เด็กอาจมีภาวะขาดน้ำเนื่องจากดื่มนมและน้ำได้น้อย คุณหมอมักตรวจพบต่อมน้ำเหลืองใต้คางโตและเจ็บ เด็ก ๆ จะอาการหนักใน 4-5 วันแรก แผลมักจะหายไปได้เองภายใน 10-14 วัน ส่วนเด็กโตและผู้ใหญ่จะมีอาการเจ็บคอในระยะแรก ตรวจพบหนองที่ผนังคอหอยหรือแผลบนทอนซิล จากนั้นจะพบแผลที่ลิ้น กระพุ้งแก้มและเหงือก พร้อมกับอาการไข้ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อย

                    ข้อควรระวังหากเป็นเริมภายในช่องปาก

                    อาการจะไม่หายขาด แต่เชื้อจะหลบซ่อนตัวอยู่ที่ปมประสาทของสมองคู่ที่ 5 (Trigeminal ganglion) เชื้ออาจแบ่งตัวเจริญเติบโตทำให้เกิดการติดเชื้อซ้ำ กลายเป็นเริมที่ริมฝีปาก (Herpes labialis/Fever blisters/Cold sores) เกิดเป็นตุ่มน้ำเล็ก ๆ พุขึ้นกลุ่ม แล้วแตกลายเป็นแผลตกสะเก็ด หรืออาจเป็นเริมที่ใบหน้าและจมูก

                    นอกจากนี้ ยังต้องระวัง เริมในช่องปากชนิดเป็นซ้ำ (Recurrent intraoral herpes simplex) เกิดแผลเปื่อยในช่องปาก มีแผลเดียวเกิดขึ้นที่เหงือกหรือที่เพดานแข็ง เริ่มจากตุ่มน้ำเล็ก ๆ แล้วแตกเป็นแผลเป็นสะเก็ดสีเหลืองปกคลุมอยู่บนพื้นสีแดง ลอกออกแล้วกลายเป็นแผลตื้นสีแดง

                    สำหรับเด็กเล็ก พ่อแม่ต้องคอยสังเกตอาการลูกให้ดี หากมีอาการผิดปกติต้องพาไปพบแพทย์ แต่สำหรับเด็กโตและผู้ใหญ่ ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ พยายามไม่เครียด ไม่อยู่กลางแจ้งหรือถูกแดดจัด ๆ อาการของเริมยังสามารถกลับมาได้ในช่วงมีประจำเดือน เป็นไข้หวัด หรือโรคอื่น ๆ เช่น มาลาเรีย ไข้กาฬหลังแอ่น สครับไทฟัส ทอนซิลอักเสบ ปอดอักเสบ รวมถึงการฟัน และผ่าตัดที่บริเวณใบหน้า ก็อาจมีผลทำให้กลับมาเป็นเริมซ้ำได้

                    อ้างอิงข้อมูล : mplusthailand

                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                     

                    อ่านบทความอื่นเพิ่มเติม

                    หมอตอบชัด!!แม่ให้นมกินน้ำอัดลม ชา กาแฟ คาเฟอีนส่งถึงลูกไหม

                    ผื่นแพ้สัมผัส ลูกเป็นตุ่มแดง บวม คัน แพ้ไส้ในเบาะกันขอบเตียง

                    10 สัญญาณอันตราย หลังป้อน “กล้วยบด” ให้ลูก

                      abscess in salivary gland-fe

                      ฝีในต่อมน้ำลาย ก้อนแข็ง ๆ หลังติ่งหูทารก สัญญาณบอกโรค

                      ฝีในต่อมน้ำลาย ก้อนไตแข็ง ๆ ที่ปูดนูนขึ้นมาบนผิวหนังของลูก อันตรายไหม คุณหมอจะรักษาอย่างไร

                      ฝีในต่อมน้ำลาย

                      ทุกครั้งที่อาบน้ำ เป็นช่วงเวลาที่ดีที่คุณพ่อคุณแม่จะได้สังเกตอาการของเจ้าตัวน้อย ตลอดตั้งแต่หัวจรดเท้าว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่ เพราะอาการบางอย่างอาจไม่แสดงออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน จำเป็นต้องใช้การสังเกตอย่างใกล้ชิด อย่างคุณแม่ท่านนี้ ขณะที่กำลังอาบน้ำให้ลูกน้อยวัย 6 เดือน ก็เริ่มสังเกตเห็นว่า ลูกมีก้อนที่หลังติ่งหูเป็นก้อนไตแข็ง ๆ จากตอนแรกยังไม่บวมแดง สีของผิวหนังเป็นสีเนื้อตามปกติ หลังจากที่เห็นอาการผิดสังเกต คุณแม่ไม่รอช้า รีบพาลูกไปหาหมอ ซึ่งในตอนนั้นคุณหมอแจ้งว่า ลูกน่าจะเป็นคางทูม และให้กลับบ้าน

                      ฝีในต่อมน้ำลาย
                      ฝีในต่อมน้ำลาย

                      อาการของเจ้าตัวน้อยไม่แสดงออกมาเลย ไม่มีไข้ ไม่งอแง ไม่มีอาการแทรกซ้อนให้คุณแม่ต้องกังวล ตอนแรกแม่ยังคิดว่าน้องอ้วน แก้มออก เพราะน้องตัวใหญ่ แต่ลึก ๆ หัวอกคนเป็นแม่ย่อมรู้สึกได้ถึงควาผิดปกติบางอย่าง คุณแม่เล่าว่า หลังจากนั้น 2 วัน ลูกเริ่มงอแง โดยเฉพาะเวลามือไปโดนบริเวณที่เป็นก้อนไตแข็ง ๆ จะยิ่งร้องไห้ แม่ไม่สบายใจเลยพาไปหาหมอที่คลินิคเด็กค่ะ ตอนนั้นคุณหมอแจ้งว่าน่าจะต่อมทอนซิลอักเสบ และให้ยามาทาน

                      “ลูกทานยาได้ 2-3 วัน มันบวมแดง แม่เลยพาไปโรงพยาบาลอีกครั้ง ไปครั้งนี้คุณหมอให้แอดมิท ตอนไปถึง คุณหมอรักษาด้วยการให้ยาฆ่าเชื้อค่ะ ให้อยู่ 3-4 วัน ก็ไม่ยุบ คุณหมอเลยส่งตัวทำการเอกซเรย์ ผลออกมาคุณหมอแจ้งว่าเป็นฝีเลยค่ะ”

                      จากนั้นคุณหมอได้ส่งตัวไปอัลตราซาวด์ ดูจุดที่เป็น คุณหมอแจ้งว่า บริเวณที่เป็นคือต่อมน้ำลาย ขอประเมินการรักษาอีกที เพราะเนื่องจากน้องยังเล็ก ถ้าผ่าตัดกลัวจะมีผลกระทบหลายอย่าง อีกวันน้องโดนส่งตัวไปพบกับคุณหมอหูตาคอจมูก คุณหมอจึงทำการรักษาด้วยวิธีการเจาะเข็มแล้วดูดหนองออก

                      “ตอนแรกแม่กังวลมากค่ะ นอนไม่หลับเลย กลัวลูกโดนผ่า ตอนที่น้องเข้าไปเจาะคุณหมอก็ต้องให้แม่เข้าไปดูด้วย เห็นแล้วสงสารลูกมาก ๆ ค่ะ แต่พอเจาะไปแล้ว ผลออกมาดีมากค่ะ ก้อนเริ่มยุบและเริ่มลอก หลังจากเจาะคุณหมอจึงให้ยาต่อ”

                      อาการเจ็บป่วยครั้งนี้ทำให้เจ้าตัวน้อยต้องนอนโรงพยาบาลนานถึง 7 วัน ตอนนี้อาการของลูกโอเคแล้ว แต่คุณหมอแจ้งว่ามีโอกาสที่จะเป็นได้อีก อาจจะจุดอื่น หรือจุดเดิม เหมือนคนที่เป็นฝีบ่อย ๆ แต่หลังจากนั้นมาก็ยังไม่เคยเป็นซ้ำ ส่วนการดูแลและป้องกัน คุณหมอไม่ได้ห้ามทำอะไรเป็นพิเศษ เพียงแค่ต้องทานยาฆ่าเชื้อให้หมด

                      คุณแม่ยังทิ้งท้ายฝากให้แม่ ๆ คอยสังเกตลูกอยู่ตลอด เวลาอาบน้ำ หรือแต่งตัว คอยสัมผัสตัวของลูกดู เพราะตอนที่เจอฝีที่ต่อมน้ำลายก็ไม่มีอาการอะไรบ่งบอกเลย

                      การคอยดูแลและสังเกตอาการลูกอย่างใกล้ชิดจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะทำให้เห็นอาการผิดปกติได้ไว และเข้ารับการรักษาได้อย่างทันท่วงที สำหรับฝีในต่อมน้ำลาย เป็นได้ทุกเพศทุกวัย จะเห็นได้ชัดเจนเมื่อทำการอัลตราซาวด์ต่อมน้ำลาย

                      ฝีในต่อมน้ำลาย
                      ฝีในต่อมน้ำลาย

                      ฝีคืออะไร

                      ฝีเกิดจากการได้รับเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย เช่น เชื้อสแตฟิโลค็อคคัส ออเรียส ซึ่งสาเหตุของการเกิดฝียังไม่แน่ชัด แต่แค่มีผิวถลอก เกิดแผลเล็ก ๆ ก็ทำให้เชื้อเข้าไปได้แล้ว โดยฝีเกิดได้ทุกตำแหน่งของร่างกาย เป็นได้ทั้งการติดเชื้อในต่อมต่าง ๆ หรือบริเวณรูขุมขนใต้ผิวหนัง ลักษณะสำคัญของฝีคือ ไตแข็ง ๆ หรือมีอาการอักเสบบวมแดง ทำให้คนที่เป็นฝีรู้สึกเจ็บโดยรอบ ๆ แต่ในเด็กเล็กหรือทารกจะไม่สามารถพูดออกมาได้ พ่อแม่จึงต้องคอยตรวจเช็คร่างกายลูกอย่างละเอียด

                      สิ่งที่ต้องระวังเมื่อลูกเป็นฝี

                      ไม่ควรไปบีบ เค้น ทำให้ฝีแตกออกมาเป็นแผล เพราะอาจส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายกับตัวทารกได้ หากพบว่าลูกเป็นฝีควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษา ซึ่งคุณหมออาจเจาะฝีแล้วดูดหนองออกด้วยอุปกรณ์ที่สะอาดและปลอดภัย พร้อมกันนั้นคุณหมออาจให้ยาปฏิชีวนะร่วมด้วย

                      วิธีป้องกันฝีในทารก

                      • พ่อแม่ควรสำรวจร่างกายลูกทุกวัน ดูความผิดปกติ มีบาดแผลหรือไม่ ตรงไหนบวมแดง หรือมีรอยนูน เป็นจ้ำ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสัญญาณอันตรายที่ร่างกายลูกจะแสดงให้เห็น
                      • หมั่นดูแลรักษาความสะอาดลูกและตัวคุณพ่อคุณแม่เองด้วย ไม่ควรให้ใครมาหอมมาจูบลูก หากต้องการอุ้มให้ล้างมือให้สะอาดทุกครั้ง หรืออย่างน้อยก็ใช้เจลแอลกอฮอล์ทำความสะอาดมือเสียก่อน
                      • ล้างทำความสะอาดอุปกรณ์เครื่องใช้ของลูกทุกครั้ง หมั่นเปลี่ยนผ้าเช็ดตัว หรือข้าวของเครื่องใช้ลูก นำไปทำความสะอาดอยู่เสมอ
                      • ลูกในวัยต่ำกว่า 6 เดือนควรกินนมแม่ เพื่อให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง เสริมสร้างภูมิต้านทานให้กับทารก เมื่อลูกอายุเกิน 6 เดือน พยายามให้ลูกรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ตามที่แพทย์และนักโภชนาการแนะนำ พร้อมกับเสริมด้วยนมแม่ ลูกจะยิ่งแข็งแรง ไม่เจ็บป่วยได้ง่าย

                      ฝีในทารกทั้งบนชั้นผิวหนังและต่อมต่าง ๆ ในร่างกาย ปกติแล้วอาจจะหายได้เองในบางกรณี แต่ถ้าลูกมีอาการบวมแดง มีไข้ ร้องไห้งอแง ควรรีบไปปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

                      อ้างอิงข้อมูล : thaihealth และ smj.ejnal.com

                      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                       

                      อ่านบทความอื่นเพิ่มเติม

                      ผื่นแพ้สัมผัส ลูกเป็นตุ่มแดง บวม คัน แพ้ไส้ในเบาะกันขอบเตียง

                      อย่ากลัว ลูกติดอุ้ม !! หมอเด็กเผยเหตุผลดี ๆ ที่แม่ควรอุ้มลูก

                      10 อาหาร “บำรุงสมอง” ลูกยิ่งกิน ยิ่งความจำดี-ไอคิวสูง

                        โรคคาวาซากิ อาการ

                        โรคคาวาซากิ อาการ ที่ต้องระวัง อันตรายจากภาวะแทรกซ้อนถึงชีวิต

                        อุทาหรณ์ลูกเป็น โรคคาวาซากิ อาการ ออกไม่ครบ กว่าหมอจะตรวจเจอ ลูกก็ป่วยนานกว่า 10 วันแล้ว

                        โรคคาวาซากิ อาการ ที่ต้องระวัง

                        เรื่องเล่าจากหัวอกคนเป็นแม่ ที่ต้องทนเห็นลูกวัย 1 ขวบ 2 เดือน ต้องเจ็บป่วยอย่างทรมาน แต่อาการของโรคออกไม่ครบ ทำให้กว่าจะตรวจเจอต้องใช้เวลานาน 11 วัน จึงอยากบอกต่อเรื่องนี้ให้คุณพ่อคุณแม่ท่านอื่น ๆ ได้สังเกตอาการลูกอย่างใกล้ชิด หากสนใจว่าเป็นโรคร้ายอันตรายอย่าง โรคคาวาซากิ ควรรีบพาลูกไปตรวจอย่างละเอียด

                        คุณแม่เล่าว่า ลูกเป็นคนกินเก่ง สดใส ร่าเริง ไม่ค่อยเจ็บป่วย ลูกเคยเป็นหวัดแค่ 1 ครั้ง 3 วันก็หาย จนวันหนึ่งลูกเริ่มตัวรุม ๆ มีไข้ต่ำ ๆ ก็ให้ยาลดไข้ที่หมอเคยให้ไว้ ต่อมาเริ่มมีไข้สูงในตอนกลางคืน 38.5 องศาเซลเซียส แต่ตอนกลางวันไข้ 37 องศาเซลเซียส จึงเช็ดตัวให้ลูกทุกวัน

                        แม่รอดูอาการอย่างใกล้ชิดจน 3 วัน อาการไข้ไม่ลงเสียที ลูกเคยฉีดวัคซีน BCG ตรงหัวไหล่ ก็เริ่มพบตุ่มแดง ๆ ขึ้นเป็นจุด ๆ และขนาดของจุดเริ่มขยายจากขนาดเหรียญ 1 บาท เป็นเหรียญ 10 บาท จึงพาลูกไปแผนกฉุนเฉินในวันต่อไป ต้องเจาะเลือดถึง 2 ครั้ง เพราะเลือดข้นหนืดเอาไปปั่นไม่ได้ แต่ผลเลือดออกมา ผลปัสสาวะออกมา ยังไม่พบอาการผิดปกติ คุณหมอจึงให้ยาลดไข้แล้วกลับบ้าน

                        โรคคาวาซากิ อาการ
                        โรคคาวาซากิ อันตรายในเด็กเล็ก

                        หลังจากนั้น กลางคืนลูกจะฝ่ามือ ฝ่าเท้า ลำตัว ร้อนมาก ไข้สูงเช่นเดิมราว ๆ 38 องศาเซลเซียส แม่ต้องคอยเช็ดตัวเพราะกลัวลูกชัก แต่กลางวันไม่ค่อยมีไข้ แม่คอยหาข้อมูลอยู่ตลอดว่า ถ้าเด็กเล็กมีไข้เกิน 7 วันจะอันตรายไหม แล้วลูกก็ปากแดงมาก ในร่างกายอาจมีอาการอักเสบหรือผิดปกติบางอย่าง แต่สิ่งที่แม่กลัวที่สุดคือ โรคคาวาซากิ เพราะอาการแทรกซ้อนที่รุนแรงถึงชีวิตได้

                        จนวันที่น้องมีไข้ครบ 11 วัน คุณแม่ตัดสินใจพาไปโรงพยาบาลเอกชน เพราะริมฝีปากของลูกมีเลือดออกเกรอะกรังติดริมฝีปาก แต่คุณหมอตรวจดูก็ยังไม่พบกับลิ้นสตรอว์เบอร์รี่ ไม่มีอาการมือบวมหรือเท้าบวม แต่ค่าเลือดสูงมากจนผิดปกติ เลือดเข้มข้นเกินไป จึงปรึกษาคุณหมอขอทำเรื่องส่งตัวลูกไปรักษาโรงพยาบาลรัฐที่ประจำ

                        เมื่อถึงโรงพยาบาลประจำ คุณหมอสังเกตหลังน้องเริ่มมีจุดแดงเล็ก ๆ พร้อมกับตรวจโควิด-19 ไปด้วย ผลตรวจโควิดปลอดภัย แต่อาจจะเป็นโรคคาวาซากิ ที่อาการออกไม่ครบ คุณหมอจึงเริ่มตรวจอย่างอื่น ทั้งเจาะเลือด echo หัวใจ (Echocardiography) เพราะอาการแทรกซ้อนของโรคนี้คือหลอดเลือดหัวใจโป่งพอง

                        “ผลเลือดลูกสูงผิดปกติมาก 900,000 กว่า แสดงว่าหลอดเลือดอักเสบ เราก็ถามมันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเป็นคาวาซากิ จริง ๆ หมอบอกว่า หลอดเลือดมันจะขยายไปเรื่อยจนมันฉีก ซึ่งถ้ามันฉีกแล้วก็…..(หมอไม่พูดต่อ) เราเลยถาม “เสียชีวิตใช่ไหมคะ” หมอบอกใช่ค่ะ”

                        โรคคาวาซากิ อาการ
                        โรคคาวาซากิ อาการ

                        จากนั้นคุณหมอบอกว่า และคาวาซากิในเด็กเล็กอาการจะมาช้าและอาการแต่ละอย่างจะมาไม่พร้อมกัน น้องอาจเป็นคาวาซากิแบบออกอาการไม่ครบ (incomplete) ถ้าให้ยา IVIG กับเด็กที่เป็นโรคคาวาซากิจะตอบสนองดี แต่ถ้าไม่ได้เป็นโรคนี้ จะมีผลตรงกันข้ามและเสี่ยงความดันสูงด้วย

                        คืนนั้นเริ่มมีจุดแดง ๆ ทั้งแผ่นหลัง ตอนเช้าจุดเริ่มกระจายทั้งลำตัว ผื่นเริ่มลามไปที่แขน ผื่นแดงมากบริเวณสะโพก ขาหนีบ สุดท้ายคุณหมอตัดสินใจให้ยา IVIG เพราะเป็นไข้ 12 วันแล้ว ยาชนิดนี้ต้องให้ภายใน 14 วัน แม้หลอดเลือดหัวใจจะยังไม่มีอาการ ก็ต้องรีบสกัดมันก่อนที่จะมีอาการแทรกซ้อนหัวใจ

                        หลังให้ยาแล้ว ผลตอบสนองต่อยาดีมาก ไข้เริ่มไม่มี ผื่นเริ่มลดลง แต่ตกกลางคืนไข้ยังสูง 38-39 องศาเซลเซียส พยาบาลต้องมาช่วยเช็ดตัวน้องหลายรอบทั้งคืน และให้น้องกินยาลดไข้ ถึงอย่างนั้นน้องก็ต้องกินยาแอสไพรินทุกวันเพื่อละลายลิ่มเลือด ไม่ให้เลือดอุดตัน เพื่อป้องกันอาการแทรกซ้อนทางหัวใจ วันต่อมาคุณหมอมาเจาะเลือดอีกครั้ง ช่วงบ่ายก็ได้รับข่าวดีว่า ค่าเลือดปกติให้กลับบ้านได้ แต่หมอให้ยาแอสไพรินมากินทุกเช้าวันละครั้งเพื่อละลายลิ่มเลือด และน้องมีนัดต้องไป echo หัวใจอย่างต่อเนื่อง

                        โรคคาวาซากิ อาการ
                        โรคคาวาซากิ อาการ

                        “คุณหมอบอกว่า ถึงแม้กลับบ้านได้ อาการหลอดเลือดหัวใจโป่งพองจะเป็นตอนไหนก็ได้อีก ต้อง follow up ไปอีกสักพัก หลังจากออกจากโรงพยาบาล ผื่นยังมีอยู่บ้าง และลูกจะเป็นหวัดได้ง่าย มีไข้ได้ง่าย หมอบอกว่าต้องระวังเพราะเด็กที่เคยเป็นคาวาซากิจะเป็นหวัดง่ายกว่าเด็กทั่วไป ก็จริงค่ะ เพราะตั้งแต่ออกโรงพยาบาลมา เป็นไข้ไป 2 รอบแล้ว แต่ละครั้งเป็นนาน 1 สัปดาห์”

                        ส่วนสาเหตุของโรค คุณหมอแจ้งว่า โรคนี้ยังไม่มีสาเหตุที่แน่ชัด อาจจะเป็นเชื้อโรคที่ลอยมาในอากาศได้ เป็นโรคที่เกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน หมอบอกต้องระวังไม่ให้เป็นหวัดค่ะ นี่สำคัญเลย เพราะถ้าเป็นนี่จะเป็นหนักกว่าคนอื่น หลังจากนี้คือต้องไปตรวจตามนัด และฉีดวัคซีนสำคัญตามช่วงอายุลูก

                        คุณแม่จึงฝากเรื่องนี้ให้กับคุณแม่ท่านอื่น ๆ ได้อ่านเพื่อคอยสังเกตอาการลูกอย่างใกล้ชิด เพราะอาการของโรคคาวาซากิอาจออกไม่ครบ ดังนั้น ถ้าเด็กมีอาการผิดปกติ ให้คุณแม่เชื่อในเซนส์ของตัวเอง และรีบพาลูกไปหาหมอ

                        อันตรายจากโรคคาวาซากิ

                        ศ.พญ.ดวงมณี เลาหประสิทธิพร ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ระบุว่า โรคคาวาซากิมีความรุนแรงจนสามารถทำให้เด็กเสียชีวิตเฉียบพลัน พบได้ทุกเพศ แต่มักพบในเพศชายมากกว่า โรคนี้ยังพบได้บ่อยในช่วงอายุ 1-2 ปี และต้องระวังไปจนถึงอายุ 5 ปี

                        สาเหตุของโรคคาวาซากิ

                        อาจเกิดจากการติดเชื้อบางชนิดทั้งแบคทีเรียและไวรัส มีรายงานถึงการใช้แชมพูซักพรม หรือการอยู่ใกล้แหล่งน้ำ แต่ยังไม่สามารถสรุปสาเหตุที่แท้จริงได้ อาการของโรคคาวาซากิ จะมีการอักเสบเกิดขึ้น เช่น การอักเสบของหลอดเลือดเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ สำหรับอาการเด่น ๆ ของโรคคาวาซากิ ได้แก่

                        • ไข้สูง มักเป็นไข้นานเกิน 5 วัน อาจนานถึง 3-4 สัปดาห์ อาจมีผื่นขึ้นตามตัวและแขนขา
                        • ตาขาวจะแดง 2 ข้าง ไม่มีขี้ตา
                        • ริมฝีปากแห้งแดง อาจแตกมีเลือดออก ลิ้นแดงเป็นตุ่ม ๆ คล้ายผิวสตรอเบอร์รี
                        • ฝ่ามือ ฝ่าเท้าบวมแดง ต่อมน้ำเหลืองที่ลำคอโต

                        เหล่านี้เป็นอาการที่จะเกิดขึ้นภายในสัปดาห์แรก ในสัปดาห์ที่ 2 ผิวหนังจะลอก จากปลายนิ้วมือ นิ้วเท้า ลามไปที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า อาจพบข้ออักเสบโดยเฉพาะบริเวณนิ้วมือ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ และท้องเสีย

                        ข้อควรระวังของโรคนี้ อาจทำให้เกิดการอักเสบของหัวใจและหลอดเลือดเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ ทำให้หลอดเลือดหัวใจมีลักษณะโป่งพอง ตีบหรือแคบได้ หากหลอดเลือดตีบแคบมาก อาจเกิดอาการกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเลี้ยง ทำให้เสียชีวิตเฉียบพลันได้

                        หากพ่อแม่พบว่าลูกมีอาการผิดสังเกต มีความคล้ายคลึงกับโรคคาวาซากิ อย่านิ่งนอนใจ เพราะโรคนี้อันตรายและต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที

                        อ้างอิงข้อมูล : si.mahidol.ac.th

                        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                         

                        อ่านบทความอื่นเพิ่มเติม

                        รวม 20 อาการต้องสงสัย ลูกไม่สบาย แบบนี้..! กำลังป่วยเป็นโรคอะไร?

                        แม่แชร์ อาการโรคคาวาซากิ และวิธีรักษา เมื่อลูกป่วยเป็นโรคคาวาซากิ

                        เป็นไข้เลือดออก ได้กี่ครั้ง ซ้ำรอบสองทำไมรุนแรงกว่ารอบแรก

                        อุทาหรณ์! ลูกติด เชื้อซาโมเนลลา ไข้ขึ้น ถ่ายทั้งคืน เพราะคนอื่นจับอุ้มหอมลูก

                          เครื่องช่วยฟัง

                          ทำยังไงเมื่อลูกตรวจการได้ยินไม่ผ่าน เครื่องช่วยฟัง ช่วยได้

                          การสูญเสียการได้ยินในเด็กแม้มีผลต่อพัฒนาการทางการพูด ถึงแม้ลูกน้อยไม่ผ่านการตรวจการได้ยินอย่างพึ่งตกใจไป เครื่องช่วยฟัง จะช่วยให้ลูกกลับมามีชีวิตปกติได้

                          ทำยังไงเมื่อลูกตรวจการได้ยินไม่ผ่าน!! เครื่องช่วยฟัง ช่วยได้

                          เมื่อวันที่เจ้าตัวน้อยของคุณแม่ได้ลืมตาดูโลก มาทักทายเรา ภาระงานแรก ๆ ของเขาอย่างหนึ่ง ที่ลูกน้อยจะต้องได้รับนั่นคือ การตรวจการคัดกรองการได้ยินของทารก เพราะจากการศึกษาพบว่า การตรวจพบความผิดปกติแต่เนิ่น ๆ จะทำให้เด็กได้รับการช่วยเหลือฟื้นฟูสมรรถภาพการได้ยินดีกว่า และจะส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางภาษา การพูดสมวัย รวมทั้งพัฒนาการด้านอื่น ๆ  เช่น อารมณ์ สังคม การเรียนรู้ต่าง ๆ ก็จะดีตามไปด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากสามารถวินิจฉัยภาวะผิดปกติทางการได้ยินก่อนเด็กอายุ 6 เดือน แล้วรีบให้การช่วยเหลือ อาจช่วยให้เด็กนั้นมีพัฒนาการใกล้เคียงกับเด็กปกติ การตรวจเพื่อค้นหาความผิดปกติทางการได้ยินจึงควรทำตั้งแต่แรกเกิดที่เรียกว่า การตรวจคัดกรองการได้ยินในเด็กแรกเกิด (Newborn Hearing Screening)

                          ภาระงานตั้งแต่แรกเกิด ตรวจคัดกรองการได้ยิน
                          ภาระงานตั้งแต่แรกเกิด ตรวจคัดกรองการได้ยิน

                          ทารกกลุ่มเสี่ยงมีปัญหาการได้ยินบกพร่อง ได้แก่

                          1.ทารกแรกเกิดที่มีน้ำหนักแรกคลอดน้อยกว่า 1,500 กรัม หรือคลอดก่อนกำหนด

                          2.มีความผิดปกติของศีรษะ ใบหน้า และหูแต่กำเนิด มารดาได้รับยาหรือสารที่เป็นพิษต่อเด็กขณะตั้งครรภ์

                          3.มารดามีการติดเชื้อขณะตั้งครรภ์

                          4.ภาวะตัวเหลืองจนต้องถ่ายเลือด

                          5.มีบุคคลในครอบครัวเป็นโรคประสาทหูพิการ เป็นใบ้ตั้งแต่กำเนิด

                          6.มีปัญหาระหว่างคลอด แรกคลอดต้องอยู่ในหออภิบาลผู้ป่วยแรกเกิด

                          7.ได้ใช้เครื่องช่วยหายใจ ได้รับยาที่มีพิษต่อหู

                          8.ภาวะขาดออกซิเจนขณะอยู่ในครรภ์มารดาหรือระหว่างคลอด

                          9.มีลักษณะที่เข้ากับโรคทางพันธุกรรมที่มีความผิดปกติทางการได้ยิน

                          10.ภาวะน้ำตาลต่ำหลังคลอด หรือภาวะที่มารดามีน้ำตาลในเลือดสูงในคณะตั้งครรภ์

                          อ่านต่อ เด็กแรกเกิดตัวเหลืองอันตรายหรือไม่ รักษาอย่างไร?

                          ทำความเข้าใจกับเครื่องมือตรวจคัดกรองการได้ยินแบบ OAE

                          การตรวจคัดกรองการได้ยิน สามารถตรวจตั้งแต่แรกเกิดในเด็กที่มีอายุตั้งแต่ 2 วันขึ้นไป โดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Otoacoustic emissions (OAE) ซึ่งเป็นการตรวจการทำงานของเซลล์ประสาทหูชั้นในส่วนการได้ยินว่าทำงานดีหรือไม่ เป็นการตรวจแบบเร็ว โดยอาศัยหลักว่า ถ้าหูชั้นในทำงานดี แสดงว่าเด็กได้ยิน

                          OAE สามารถทำการตรวจได้โดย

                          • ต้องตรวจขณะเด็กหลับ
                          • ตรวจในสถานที่เงียบ (ควรมีห้องตรวจโดยเฉพาะ)
                          ตรวจคัดกรองการได้ยิน ดูว่าต้องใช้ เครื่องช่วยฟัง หรือไม่
                          ตรวจคัดกรองการได้ยิน ดูว่าต้องใช้ เครื่องช่วยฟัง หรือไม่

                          การรายงาน ผลตรวจ OAE 

                          เมื่อลูกเข้ารับการตรวจ จะได้รับรายงานผลการตรวจออกมาสองแบบ คือ

                          • pass หมายความว่า ทำงานปกติ
                          • refer หมายความว่า ไม่สามารถวัด OAEได้ ต้องส่งตรวจเพิ่มเติม อาจเนื่องจากความผิดปกติของหูชั้นนอก , หูชั้นกลางหรือหูชั้นใน หรือเกิดจากปัจจัยอื่นที่ทำให้ผลการตรวจไม่สามารถวัดได้ ได้แก่ ขี้หูอุดตัน รูหูแคบ มีของเหลวในหูชั้นกลางหรือหูตึง เป็นต้น หรืออาจมีเสียงรบกวนมากเกินไป ดังนั้นการตรวจ OAE จึงสามารถ refer ได้ร้อยละ 3 -20

                          แต่อย่างไรก็ตาม การตรวจคัดกรองด้วย OAE ยังเป็นการตรวจที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เนื่องจากตรวจง่าย และใช้เวลาในการตรวจน้อยประมาณ 3 – 5 นาที และจะเห็นได้ว่าการตรวจในแบบนี้ให้ผลการ refer ได้ถึงเกือบร้อยละ 20 ทำให้เวลาคุณแม่ได้รับผลออกมาเป็น refer อย่าพึ่งตกใจไปกันเชียว เพราะความหมายก็บอกอยู่แล้วว่า ต้องส่งตรวจเพิ่มเติมเพื่อยืนยันผล ไม่ได้แปลว่าลูกของเราจะไม่ได้ยิน 100% เป็นเพียงการที่เครื่องมือไม่สามารถอ่านค่าที่สะท้อนกลับมาได้ตามเกณฑ์ที่กำหนด การ refer จึงเป็นการส่งตรวจเพิ่มเติมเพื่อให้ได้ค่าและผลที่แน่นอน มิได้หมายความว่าลูกของเราผิดปกติแน่นอนแต่อย่างใด

                          ผลrefer ต้องพาไปตรวจซ้ำ
                          ผลrefer ต้องพาไปตรวจซ้ำ

                          ทำอย่างไรเมื่อผลออกมาเป็น refer

                          หากคุณแม่ได้ผลตรวจคัดกรองการได้ยินของลูกน้อยออกมาเป็น refer ก็อย่างพึ่งขวัญเสีย ตกใจกันไป คุณหมอจะทำการตรวจคัดกรองอีก 2-3 ครั้ง ถ้ายังคงให้ผลออกมาเป็น refer อีก ก็จะส่งตรวจด้วยวิธีการการตรวจในแบบ Automated auditory brainstem response audiometry (A-ABR) เป็นการวัด neural activity จาก auditory pathways (cochlea , auditory nerve และ brainstem) ซึ่งเกิดจากการกระตุ้นด้วยเสียงที่ความดัง 35 dBnHL โดยใช้ surface electrodes เครื่องจะประมวลผลอัตโนมัติโดยเทียบกับค่ามาตรฐานและรายงานผลเป็น pass / refer ผล pass หมายความว่า เส้นประสาทหูปกติ ซึ่งการได้ยินควรปกติ ผล refer หมายความว่า เส้นประสาทหูทำงานไม่ปกติ

                          การตรวจ A – ABR ต้องตรวจในขณะที่เด็กหลับสนิท ตรวจในที่เงียบและต้องเตรียมผิวหนังบริเวณที่จะติด electrodes ซึ่งยุ่งยากกว่าการตรวจ OAE ซึ่งตรวจโดยใส่ probe ในหูเท่านั้น อีกทั้งใช้เวลาในการ ตรวจนานกว่า (10 – 20 นาที) จึงทำให้ได้รับความนิยมใช้ตรวจคดักรองน้อยกว่า OAE แต่อย่างไรก็ตามผล การตรวจ A – ABR มีความแม่นยำกว่า และสามารถใช้ได้ในกรณีที่มีพยาธิสภาพที่เส้นประสาทหู จึงแนะนำให้ใช้ตรวจในทารกกลุ่มเสี่ยง

                          เมื่อผลตรวจคัดกรองไม่ผ่านเด็กควรได้รับการวินิจฉัยอย่างละเอียดภายใน 3 เดือน  และได้รับการรักษาก่อนอายุ 6 เดือน

                          เมื่อลูกมีปัญหาทางการได้ยิน เครื่องช่วยฟังช่วยได้

                                    หากพ่อแม่พบกับกรณีที่ลูกมีปัญหาประสาทหูพิการ แนะนำควรหาอุปกรณ์เครื่องช่วยฟังที่เหมาะสมกับระดับการได้ยินให้ลูกโดยไปพบและปรึกษากับโสต ศอ นาสิกแพทย์ เพื่อให้ลูกได้ไปใส่เครื่องช่วยฟังให้เร็วที่สุด และต้องคอยดูแลให้เด็กใส่เครื่องช่วยฟังอย่างสม่ำเสมอ ถูกวิธีและดูแลเครื่องช่วยฟังตามที่ได้รับคำแนะนำมา พามาตรวจติดตามผล ฟื้นฟูสมรรถภาพทางการได้ยินและการพูดอย่างต่อเนื่อง และต้องฝึกฝนที่บ้านตามที่นักอรรถบำบัดแนะนำมา พ่อแม่ต้องคอยเอาใจใส่ดูแลสุขภาพอนามัยด้านความเจ็บป่วย การฉีดวัคซีนป้องกันโรค เมื่อเจ็บป่วยต้องรีบรักษาและแจ้งให้แพทย์ทราบถึงปัญหาด้านการได้ยินเพื่อระมัดระวังในการให้ยา ในกรณีที่ลูกได้รับการผ่าตัดใส่ท่อระบายอากาศในหูต้องดูแลไม่ให้น้ำเข้าหู มีข้อแนะนำเพิ่มเติมอีกว่าลูกสามารถได้รับสิทธิ์เบิกเครื่องช่วยฟังจากสำนักงานประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)ได้ฟรีด้วย โดยคุณพ่อคุณแม่ต้องให้แพทย์ออกเอกสารรับรองความพิการ จดทะเบียนผู้พิการเพื่อได้รับสิทธิ์เบิกเครื่องช่วยฟัง

                          ไม่ต้องกังวล เครื่องช่วยฟัง ช่วยได้
                          ไม่ต้องกังวล เครื่องช่วยฟัง ช่วยได้

                          เด็กที่มีปัญหาด้านการได้ยินควรได้รับการรักษาเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เด็กประสาทหูพิการต้องได้รับการรักษาโดยการใส่เครื่องช่วยฟังทันทีที่ได้รับการวินิจฉัย ต้องฝึกฟัง ฝึกพูด และตรวจติดตามการใช้การได้ยินอย่างต่อเนื่องเพื่อประเมินผลการใช้เครื่องช่วยฟัง ถ้าใส่เครื่องช่วยฟังแล้วไม่ได้ผลดีใน 6 เดือน อาจพิจารณาผ่าตัดประสาทหูเทียม (Cochlear implant) เด็กที่มีหูชั้นกลางอักเสบชนิดน้ำใสเรื้อรังอาจมีผลต่อการได้ยิน ทำให้พัฒนาการด้านการพูดล่าช้า มีผลต่อการเรียน ถ้าเป็นหูชั้นกลางอักเสบชนิดน้ำใสนานกว่า 3 เดือน ควรไดรับการผ่าตัดเจาะแก้วหู และใส่ท่อระบายอากาศ (myringotomy with ventilation tube) เพื่อดูดน้ำจากหูชั้นกลาง ปรับความดันในหูชั้นกลางและป้องกันการเกิดพังผืดในหูชั้นกลาง

                          อ่านต่อ แบบไหนเข้าข่ายลูกพูดช้า

                          การศึกษาถ้าเด็กได้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการได้ยิน และการพูดจะสามารถมีโอกาสพูดได้สมวัย เด็กสามารถเรียนร่วมกันกับเด็กอื่นในชั้นเรียนปกติได้ และการเข้าเรียนในโรงเรียนอนุบาลปกติอาจช่วยกระตุ้นให้เด็กอยากพูดมากขึ้นอีกด้วย แต่ถ้าหากเด็กสามารถพูดได้บ้าง แต่ไม่ชัด และไม่สมวัย แนะนำว่าเด็กควรเรียนในโรงเรียนที่มีครูการศึกษาพิเศษคอยช่วย หรือเรียนในชั้นเรียนพิเศษ หรือใช้ระบบ FM ในการเรียน ในกรณีที่เด็กหูหนวกไม่สามารถพูดได้ ฟื้นฟูสมรรถภาพทางการได้ยินไม่ได้ผล เด็กต้องเข้าโรงเรียนโสตศึกษาเพื่อเรียนภาษามือก็จะทำให้เขาสามารถใช้ชีวิตด้วยตนเองได้

                          การดูแลหูลูกเพื่อป้องกันปัญหาความผิดปกติทางการได้ยิน

                          หากลูกมีความผิดปกติทางการได้ยิน พ่อแม่ควรทำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด แต่ถ้าลูกมีอาการปกติดี การดูแลหูของลูกน้อยอย่างถูกต้องก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะหากเราดูแลไม่ดีก็อาจทำให้ลูกมีภาวะเสี่ยงที่จะเกิดความผิดปกติของการได้ยินขึ้นมาได้ เช่น หูน้ำหนวก หูตึง หูอักเสบ เป็นต้น การดูแลหูลูกที่ดีที่สุด คือ ไม่ต้องทำอะไรกับหูลูกเลยจะดีที่สุด ถ้าจะทำความสะอาด ต้องทำเพียงรอบนอกเท่านั้น คือ บริเวณใบหู ไม่จำเป็นต้องใช้พันสำลีเข้าไปในเช็ดในหู หรือแคะขี้หูออกมา เพราะแทนที่ขี้หูจะหลุดออกมา อาจจะกลายเป็นว่าดันขี้หูเข้าไปลึกขึ้น หรือถ้าน้ำเข้าหู ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะน้ำไม่สามารถผ่านแก้วหูเข้าไปได้ (ถ้าแก้วหูไม่ทะลุ) ข้างในรูหูนั้นก่อนที่จะเข้าสู่หูชั้นกลาง ก็เหมือนกันกับผิวหนังธรรมดาที่สามารถเปียกน้ำได้นั่นเอง

                          สังเกตลูกว่าได้ยินไหม ต้องใช้ เครื่องช่วยฟัง หรือไม่
                          สังเกตลูกว่าได้ยินไหม ต้องใช้ เครื่องช่วยฟัง หรือไม่

                                  คุณพ่อคุณแม่ควรมีความช่างสังเกตลูก อย่างเช่นในเด็ก 5-6 เดือน เมื่อเรียกหรือมีเสียงใกล้ๆ แต่ลูกยังไม่หันตามเสียง ควรรีบพาไปพบแพทย์ ถ้าเป็นเด็กแรกเกิด เด็กทุกคนจะตอบสนองแต่เสียงดังๆ เท่านั้น เด็กจะสะดุ้งอย่างชัดเจน แต่ถ้าไม่สะดุ้ง นั่นอาจหมายความว่าเด็กอาจมีปัญหาทางการได้ยิน ดังนั้นการช่างสังเกตของเราจะสามารถช่วยให้รู้ถึงปัญหาของลูกได้เร็ว และเป็นข้อมูลที่ดีในการช่วยคุณหมอวินิจฉัยได้อีกทางหนึ่งด้วยเช่นกัน

                          ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก ผลงานวิจัยของพ.ญ.นาฏยพร จรัญเรืองธีรกุล โสต ศอ นาสิก สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี/พ.ญ.อุมาพร พนมธรรม โสต ศอ นาสิก สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี/พ.ญ.นภัสถ์ ธนะมัย โสต ศอ นาสิก โรงพยาบาลราชวิถี /dearhearing/ ศูนย์ศรีพัฒน์

                          อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                          เช็กลิสต์ 5 ผื่นแพ้ในทารก พร้อมวิธีรับมือที่แม่ต้องรู้

                          หมอเตือน! อย่าใส่ Face shield ให้ทารกแรกเกิด เสี่ยงกระทบต่อระบบประสาท

                          ให้ลูกกินน้ำนมได้ไหม ถ้าแม่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง ติดเชื้อโควิด-19

                          ซื้อประกันสุขภาพให้ลูก ประกันสุขภาพเด็ก ที่ไหนดี? ปี 2563

                          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                            ผื่นแพ้สัมผัส ลูกเป็นตุ่มแดง บวม คัน แพ้ไส้ในเบาะกันขอบเตียง

                            อุทาหรณ์! ซื้อเบาะกันขอบเตียงออนไลน์  ลูกเกิดเม็ดคันตามตัวหนักมาก  พ่อเปิดดูไส้ในถึงกับช็อค!!    ลูกเป็น ผื่นแพ้สัมผัส จากของใช้ทารกที่ไม่ได้คุณภาพ

                            ระวังของใช้ลูกให้ดี! ถ้าเกิดตุ่มแดงคันอาจเพราะเป็น ผื่นแพ้สัมผัส

                            คุณพ่อคุณแม่ที่ชอบช้อปปิ้งออนไลน์ต้องใส่ใจมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะของใช้สำหรับทารกหรือเด็กเล็ก ซึ่งมีผิวพรรณที่บอบบางแพ้ง่าย ภูมิคุ้มกันในร่างกายยังไม่แข็งแรง หากเลือกสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน อาจทำให้ลูกต้องทรมานจากอาการเจ็บป่วย

                            ในปัจจุบัน ข้าวของเครื่องใช้ก็มีหลากหลายแบบ ทั้งผลิตจากในประเทศและต่างประเทศ บางชิ้นดูสวยงามน่าซื้อ แต่พอมาใช้จริง กลับไม่เป็นอย่างที่คิด เช่นเดียวกับกรณีของคุณพ่อคนนี้ ที่ซื้อกันกระแทกขอบเตียงทางออนไลน์ให้กับลูก จนมาสังเกตร่างกายของเจ้าตัวน้อย มีเม็ดตุ่มแดงคันตามตัว คุณพ่อเลยสงสัยเปิดดูภายใน เห็นเป็นเส้นใยคล้าย ๆ กับใยแก้วกรองตู้ปลา

                            ผื่นแพ้สัมผัส
                            ผื่นแพ้สัมผัส

                            สำหรับของใช้ที่ทำให้เด็ก ๆ เกิดอาการแพ้นั้นคือ เบาะกันขอบเตียงหรือหมอนกันกระแทกขอบเตียง โดยเด็ก ๆ ใช้กันเป็นประจำ หลังจากนั้นก็เห็นว่า ลูกเป็นผื่นแพ้ โดยคุณพ่อเล่าว่า ได้ซื้อกันกระแทกด้านข้างมาใช้ ดูสวยงามแต่ด้านในอาบยาพิษชัด ๆ ลูก 2 คน เป็นผื่นแพ้ โดยลูกคนเล็กในวัย 8 เดือน อาการหนักมาก เป็นตุ่มแดงบริเวณนอกร่มผ้า ซึ่งอาการผื่นแพ้ของลูก พ่อแม่คอยสังเกตอยู่ตลอด พาลูกไปหาหมอถึง 3 หมอก็ยังไม่หาย จนต้องแอดมิดที่โรงพยาบาลถึง 2 ครั้ง และลูกก็ยังเป็นโรคหวัดติดจากพี่ชายอีก ต้องใช้เวลาเกือบ 10 วันอาการป่วยถึงจะดีขึ้น

                            พอพ่อมาซักผ้าปูรอน้องกลับมาบ้าน ก็ได้เห็นเส้นใยแปลก ๆ ติดแขน ตอนใส่ผ้าที่ซักกลับ มันคันมาก พอใส่ผ้ากลับเข้าไปก็ยังคันอยู่ เลยออกไปดูเส้นใยนี้ที่กลางแดด เส้นใยมีลักษณะใสติดอยู่กับแขน ปัดอย่างไรก็ไม่ออก ปัดอยู่นานมากจนต้องใช้สก็อตเทปใสมาแปะแล้วดึงขึ้นดึงลงเส้นใยจึงหลุดหายไป จึงมาดูที่เตียงเห็นว่า เส้นใยนั้นคล้ายกับใยแก้วกรองตู้ปลาเลย นำมาใช้กับคนได้อย่างไร โดนตัวก็คันมาก กว่าจะรู้เรื่องนี้ลูกก็เป็นทั้งตัว

                            ผื่นแพ้สัมผัส
                            ผื่นแพ้สัมผัส

                            “เราเปลี่ยนผ้าปูที่นอนก็คอยซักอยู่บ่อย ๆ สังเกตว่า ทำไมถึงมีสิ่งแปลกปลอมติดอยู่ที่แขนเรา แล้วก็คันมาก ที่ห่อหุ้มก็ดูเรียบร้อยดี เคาะดูว่าด้านในมีสิ่งแปลกปลอมหรือเปล่า มีใย เอามือลูบ ๆ ก็ออกมา ไม่ต้องถึงกับเคาะ มือนี่แบบหยิบเส้นใยได้เลย เป็นใยเต็มเลยครับ ใช้ใยแก้วที่เอาไว้ใช้ในอุตสาหกรรมหรือเกี่ยวกับตู้ปลา นำมาเป็นไส้” คุณพ่อเล่า

                            สุดท้ายคุณพ่อยังฝากร้านค้าที่ขายของสำหรับเด็ก ให้ระวังของที่มาขายด้วย ใจพ่อแม่แทบจะตายถ้าลูกรักษาไม่หาย ถ้าไม่ได้ย้ายที่นอน สงสัยต้องส่งตรวจเข้ากรุงเทพ ลูกโดนเจาะเจ็บตัวอีก

                            ผื่นแพ้สัมผัส
                            ผื่นแพ้สัมผัส

                            อาการที่น้องเป็นอาจเป็นไปได้ว่า มีอาการผื่นแพ้สัมผัส อาการนี้พบได้บ่อย เมื่อทารกหรือเด็กเล็กสัมผัสกับสารหรือบางอย่างที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ มักจะเกิดอาการขึ้นทางผิวหนัง พ่อแม่สามารถสังเกตเบื้องต้นหากมีการซื้อข้าวของเครื่องใช้หรือของเล่นใหม่ ๆ เข้าบ้าน เรามาทำความรู้จักกับอาการผื่นแพ้สัมผัสกันค่ะ

                            อาการผื่นแพ้สัมผัสคืออะไร

                            อาการนี้เป็นการอักเสบของผิวหนังชั้นนอก เกิดจากการสัมผัสกับวัตถุบางอย่าง โดยมีสาเหตุของผื่นแพ้จากการสัมผัสสิ่งนั้น ซึ่งการระคายเคืองหรือการแพ้ อาจเกิดจากการได้รับสารบางอย่างมานาน แต่ไม่เคยเป็นผื่นแพ้เลยก็ได้ เช่น กรด ด่าง สารละลายอะซีโตน หากยกตัวอย่างสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ อาทิ ยา สบู่ ผงซักฟอก โลหะ (เช่น นิกเกิล ซึ่งพบได้บ่อยในผู้ที่แพ้เครื่องประดับ) ยาง ลาเท็กซ์ เครื่องสำอาง น้ำยาระงับกลิ่นกาย น้ำยาระงับเหงื่อ หรือแม้แต่พืชบางชนิด อาการสำคัญที่มักจะแสดงออกทางผิวหนัง ได้แก่

                            • เกิดผื่นเฉพาะบริเวณที่เกิดการสัมผัสกับสารระคายเคือง แต่บางกรณีผื่นก็แพร่กระจายได้
                            • ลักษณะอาการแพ้ มักจะบวม แดง คัน บางครั้งเกิดเป็นตุ่มพุพอง มีของเหลวไหลซึม หรืออาจเป็นผิวหนังลอก หนังแห้งแข็งชั่วคราว หากเกาหรือถูจะยิ่งทำให้ติดเชื้อ อาการแย่ลงได้ง่าย ๆ

                            เพื่อไม่ให้ลูกต้องทรมานจากอาการผื่นแพ้สัมผัส ของใช้ ของเล่น และอุปกรณ์สำหรับเด็ก เป็นสิ่งสำคัญที่พ่อแม่จะต้องเลือกซื้อของที่มีคุณภาพและได้มาตรฐาน โดยสังเกตมาตรฐานความปลอดภัยง่าย ๆ ด้วยสัญลักษณ์มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมหรือ มอก. เพื่อป้องกันสารอันตรายหรือสารปนเปื้อน ที่จะส่งผลต่อร่างกายของเด็กได้ หรือผลิตภัณฑ์พลาสติกต่าง ๆ ก็ควรปลอดสาร BPA และปลอดสารพาทาเลต (phthalates)

                            อ้างอิงข้อมูล : facebook.com/jmoiv, youtube และ bumrungrad

                             

                            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                             

                            อ่านบทความอื่นเพิ่มเติม

                            นมแม่หดถึงคราวพึ่ง นมกล่อง เลือกยังไงหากลูกแพ้นมวัว

                            อย่ากลัว ลูกติดอุ้ม !! หมอเด็กเผยเหตุผลดี ๆ ที่แม่ควรอุ้มลูก

                            ปวดบิดในทารก ลูกบิดตัว ร้องไห้ ต้องหาหมอไหม เป็นอะไรกันแน่

                              เทคนิคเลือก นมกล่อง สำหรับเด็กแพ้นมวัว

                              นมแม่หดถึงคราวพึ่ง นมกล่อง เลือกยังไงหากลูกแพ้นมวัว

                              ลูกแพ้นมวัว นมแม่ก็หด ถึงคราวต้องพึ่ง นมกล่อง แล้วสิ แม่จ๋าอย่าพึ่งมึนกับนมทางเลือกมากมาย วันนี้เรามีวิธีเลือกนมให้เหมาะกับลูก ไม่แพ้ ไม่ขาด มีคุณค่าแน่นอน

                              นมแม่หดถึงคราวพึ่ง นมกล่อง!! เลือกยังไงหากลูกแพ้นมวัว

                              ปัจจุบันพบเด็กที่มีอาการแพ้นมวัวมากขึ้น ทั้งในรายที่เป็นแบบรุนแรง และไม่รุนแรง แล้วคุณแม่คงเกิดคำถามขึ้นในใจว่า จะรู้ได้อย่างไรว่าลูกแพ้นมวัวหรือไม่?

                              อาการแพ้นมวัวต่างกับภาวะขาดเอนไซม์ย่อยแล็กเทส ซึ่งเป็นน้ำตาลชนิดหนึ่งที่พบในนมวัว ทำให้เกิดอาการปวดท้อง ท้องอืด หรือท้องเสียตามมาหลังการรับประทานผลิตภัณฑ์จากนมทั้งหลาย ในขณะที่อาการแพ้นมวัวจะส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้มีอาการรุนแรงมากกว่าอาการแพ้น้ำตาลแล็กโทส มาลองเช็กสัญญาณที่บ่งบอกว่าลูกน้อยของเรามีความเสี่ยงจากการแพ้นมวัวกันก่อน

                              เด็กแพ้นมวัว มีอาการผื่นแดง
                              เด็กแพ้นมวัว มีอาการผื่นแดง

                              7 สัญญาณที่บ่งบอกอาการแพ้นมวัว

                              1. มีผื่นขึ้น

                              อาการแพ้นมวัวที่พบคือมักพบผื่นขึ้นส่วนใหญ่มักขึ้นเป็นเม็ดเล็กๆ บริเวณใบหน้า ศีรษะ หน้าผาก หรือบางคนอาจมีผื่นขึ้นที่ด้านนอกแขน ข้อศอก ข้อมือ รวมถึงขึ้นตามลําตัว ซึ่งลูกอาจเป็นไม่นาน แต่พอหาย ก็อาจกลับมาเป็นใหม่ได้

                              อ่านต่อ ลูกเป็นผดร้อน หรือผื่นภูมิแพ้ แม่จะรู้ได้อย่างไร วิธีสังเกตความต่าง

                              2. ถ่ายเป็นมูกเลือด

                              เด็กมีที่มีอาการแพ้นมวัวรุนแรง จะท้องเสีย ถ่ายเป็นมูกเลือด อาจส่งผลให้ลำไส้อักเสบเรื้อรังและทำให้เด็กมีปัญหาในการย่อยและดูดซึมอาหาร ซึ่งจะส่งผลต่อการเจริญเติบโตของเด็กเองด้วย

                              อ่านต่อ แม่โพสต์เตือน! สาเหตุที่ทารกท้องเสีย ลำไส้อักเสบ

                              3. ท้องเสียเรื้อรัง

                              อาการท้องเสียอาจเป็นเรื้อรัง และไม่ได้เป็นทันทีหลังจากกินนมเข้าไป คุณพ่อคุณแม่ต้องสังเกตบ่อย ๆ หลังจากที่ลูกน้อยดื่มนมไปหากพบว่าลูกอาจจะแพ้นมวัวจนทำให้ท้องเสียก็ควรรีบพาไปพบแพทย์เพื่อขอคำปรึกษาต่อไป

                              อ่านต่อ การดูแลเมื่อลูกท้องเสีย

                              4. แหวะหรืออาเจียน

                              หลังจากที่ลูกน้อยแพ้นมวัวและดื่มนมหรืออาหารที่มีส่วนผสมจากนมเข้าไป อาจทำให้สำรอกนมออกมาหรืออาเจียนทุกครั้งที่ดื่มนม คุณแม่จึงต้องตั้งใจสังเกตทุกครั้งที่ให้ลูกกินนมหรืออาหารที่มีส่วนผสมจากนม

                              5. ร้องงอแงผิดปกติหลังกินนม

                              เมื่อลูกน้อยดื่มนมเข้าไปและมีการร้องงอแงผิดปกติหรือต่างไปจากเวลาที่ลูกน้อยร้องไห้ อาจเป็นไปได้ว่าลูกแพ้นมวัวหรือนมวัวไม่ย่อยจนทำให้ปวดท้องจึงเกิดการร้องกวน

                              อ่านต่อ แม่แชร์ 11 วิธีรับมือลูกชอบร้องงอแง เทคนิคดี ๆ จากหมอญี่ปุ่น

                              อาการแพ้นมวัวลูกร้องงอแง อาจไม่ใช่โคลิก
                              อาการแพ้นมวัวลูกร้องงอแง อาจไม่ใช่โคลิก

                              6. น้ำมูกไหลเรื้อรัง

                              ในขั้นแรกคุณพ่อคุณแม่อาจเข้าใจว่าลูกแพ้อากาศหรือเป็นหวัดธรรมดาได้ แต่หากสังเกตเห็นว่าลูกมีน้ำมูกไหลเรื้อรังทุกครั้งหลังจากที่ให้ลูกกินนม นั่นอาจเป็นสัญญาณของเด็กที่มีอาการแพ้นมวัว

                              7. มีอาการหอบ

                              หายใจมีเสียงวี้ดๆ ร่วมกับมีอาการหายใจเหนื่อย หน้าอกกระเพื่อม ซึ่งถือเป็นอาการทางระบบหายใจของเด็กที่มีแนวโน้มว่าจะเกิดจากการแพ้นมวัว ต้องรีบพาไปพบคุณหมอเพื่อวินิจฉัยอาการที่แท้จริง

                              ซึ่งโดยปกติแล้วที่เมื่อเด็กอายุ 1 ปี จะมีโอกาสหายจากแพ้นมวัวประมาณ 30-50% และจะมีโอกาสหายมากขึ้น เมื่ออายุมากขึ้นโดยส่วนใหญ่หายได้ภายในอายุ 5 ปีขึ้นไป ซึ่งสามารถทราบได้โดยปรึกษาแพทย์ก่อนเพื่อความแน่ใจ ยิ่งโดยเฉพาะในรายที่มีอาการรุนแรง
                              ดังนั้นในช่วงที่ลูกยังเล็ก วิธีการที่ดีที่สุดที่คุณหมอแนะนำ คือ การให้ทานนมแม่ โดยให้แม่หลีกเลี่ยงอาหารที่มีส่วนประกอบจากนมก็สามารถให้นมลูกได้ตามปกติ

                              การปฏิบัติตัวเมื่อลูกมีภาวะแพ้นมวัว

                              การอ่านฉลากอาหารจึงเป็นเรื่องสำคัญ ที่คุณแม่ควรมองหาคำที่บ่งบอกถึงส่วนประกอบจากนม เช่น คาเซอีน เวย์ แลคโตเฟอร์ริน แลคโตโกลบูลิน แลคตัลบูมิน หรือสังเกตส่วนผสมที่สะกดขึ้นต้นด้วยคำว่าแลค เช่น แลคโตส แลคเตท เป็นต้น หากมีควรหลีกเลี่ยงทั้งตัวคุณแม่เองที่ให้นมลูก หรือลูกในวัยที่สามารถรับประทานอาหารอื่นนอกจากนมได้แล้วแต่ยังมีอาการแพ้นมวัวอยู่

                              ผู้ที่แพ้นมวัวสามารถดื่มนมถั่วเหลือง นมข้าวโอ๊ต หรือนมแอลมอนด์ที่เปี่ยมคุณค่าทางสารอาหาร อุดมด้วยแคลเซียมและวิตามินดี หรือรับประทานอาหารอื่น ๆ เช่น ไอศกรีม ช็อกโกแล็ต หรือโยเกิร์ต ที่ไม่ผสมนมวัวได้ นอกจากนี้ แม่ที่ต้องให้นมลูกที่แพ้นมวัวต้องระมัดระวังการรับประทานผลิตภัณฑ์จากนมทุกประเภทไปด้วย เพราะโปรตีนจากนมวัวนั้นสามารถไหลผ่านน้ำนมไปสู่ลูกได้ การที่แม่ไม่อาจรับประทานนมวัวจึงเสี่ยงต่อการขาดแคลเซียมและสารอาหารที่ควรได้รับจากนม แม่อาจทดแทนสารอาหารที่ขาดไปด้วยการรับประทานอาหารเสริม เช่น แคลเซียม วิตามินดี และวิตามินบี 2 และหมั่นรับประทานอาหารจำพวกบร็อคโคลี่ หน่อไม้ฝรั่ง และถั่วเหลืองมาก ๆ

                              แม่ให้นมลูกแพ้นมวัว งดผลิตภัณฑ์นม นมกล่อง
                              แม่ให้นมลูกแพ้นมวัว งดผลิตภัณฑ์นม นมกล่อง

                              นมแม่หด ถึงเวลานมกล่อง

                              นมแม่คือแหล่งสารอาหารที่ดีที่สุดของทารก การให้นมในระยะ 4-6 เดือนแรกแทนการใช้นมผสมจากนมวัว ยังอาจช่วยปกป้องและลดความเสี่ยงต่อการแพ้นมวัวของลูกน้อยในอนาคตได้สูง แต่หากแม่มีน้ำนมไม่เพียงพออีกต่อไป ในวันที่ลูกเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ การหาทางเลือกเสริมก็เป็นอีกหนึ่งที่จะช่วยให้ลูกน้อยได้รับสารอาหารครบถ้วน เพียงพอต่อพัฒนาการของร่างกายได้เช่นกัน

                              สำหรับเด็กที่แพ้นมวัว จึงเป็นเรื่องที่ยุ่งยากเสียหน่อยในการหาผลิตภัณฑ์นมจากแหล่งอื่น ๆ มาทดแทนนมแม่ที่มีปริมาณไม่เพียงพออีกต่อไป เพราะแหล่งนมที่ได้จากวัว ซึ่งเป็นแหล่งน้ำนมหลักนั้นลูกไม่สามารถรับประทานได้ แล้วเราจะหาแหล่งนมจากไหนที่จะมาเสริมให้แก่ลูกน้อยที่แพ้นมวัวกันละ

                              นมทางเลือกสำหรับเด็กที่แพ้นมวัว

                              • นมทำจากถั่วเหลือง (Soy-based Formulas) การใช้โปรตีนจากถั่วเหลืองแทนนมถือเป็นทางเลือกที่ดีทีเดียว เพราะในนมถั่วเหลืองเต็มไปด้วยสารอาหารครบถ้วนไม่แพ้นมวัว และมีการเติมแคลเซียมเพื่อเพิ่มคุณค่าทางสารอาหาร ทว่าเด็กบางคนที่แพ้นมวัวอาจมีความเป็นไปได้ที่จะแพ้นมถั่วเหลืองตามไปด้วย แล้วปริมาณเท่าใดถึงจะทำให้ลูกได้รับสารอาหารครบถ้วนเทียบเท่านมวัวกันนะ??
                              • Hypoallergenic Formulas สูตรให้นมทางเลือกสำหรับเด็กที่แพ้ทั้งนมวัวและนมถั่วเหลือง ด้วยการผลิตที่ใช้เอนไซม์สลายโปรตีนนม เช่น โปรตีนเคซีนหรือโปรตีนเวย์ บางครั้งอาจใช้ความร้อนหรือการคัดกรองในกระบวนการผลิต และบางสูตรที่ไม่ใช้นมแต่ใช้กรดอะมิโนแทน จึงมีโอกาสน้อยมากที่ทารกจะแพ้นมสูตรนี้
                              • นมแพะ นมควาย โปรตีนในนมแพะบางตัวเหมือนกับที่อยู่ในนมวัว จึงมีโอกาสแพ้ได้ประมาณ 92% นมแพะมีรสชาติดี แต่ราคาค่อนข้างแพงเนื่องจากต้องผ่านกระบวนการเติมสารต่างๆที่จำเป็นหลายอย่าง เพราะนมแพะสด มีคุณค่าทางอาหารไม่เพียงพอกับการเจริญเติบโตของทารก ขาดวิตะมินหลายตัว เช่น บี 6 บี 12 วิตะมินซี วิตะมินดี และโฟลิค
                              นมผง นมกล่อง อันไหนดี
                              นมผง นมกล่อง อันไหนดี

                              ทำไมต้องนมกล่อง

                              การเลือกใช้นมกล่องนอกจากความสะดวกสบาย และการมีข้อจำกัดของนมกล่องเพียงว่า นมกล่องเป็นนมที่กุมารแพทย์แนะนำ ว่าเหมาะสมในเด็กอายุ 12 เดือนขึ้นไป ห้ามใช้ในเด็กที่อายุน้อยกว่านี้แล้ว นมกล่อง ยังสามารถคงคุณค่าทางสารอาหารได้มากกว่านมผง เช่น ในนมกล่อง UHT เป็นนมที่ผลิตโดยผ่านกระบวนการให้ความร้อนสูงเป็นเวลาสั้นๆ ประมาณ 1-2 วินาทีที่อุณหภูมิ 135 องศาเซลเซียส (275 องศาฟาเรนไฮต์) ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่สปอร์ในน้ำนมถูกทำลายจนหมด คุณค่าทางสารอาหารอาจลดลงแต่ยังคงอยู่มากกว่านมผง เพราะนมผงมีการแปรรูปหลายขั้นตอนเพื่อการเก็บรักษา  การแปรสภาพจากน้ำนมสด ๆ ไปเป็นนมผงนั้นต้องใช้ต้นทุนมหาศาล แต่คุณค่าทางสารอาหารกลับน้อยลงเพราะว่าขบวนการแปรรูป จะทำให้สารอาหารตามธรรมชาติหายไปจากความร้อน จึงกล่าวสรุปได้ว่า หากคุณแม่ที่ลูกมีอาการแพ้นมวัว แล้วน้ำนมแม่หดไม่เพียงพอแล้ว การหันมาหาทางเลือกจากแหล่งอื่นจึงเป็นสิ่งจำเป็น และถ้าลูกน้อยคุณแม่อายุ 12 เดือนขึ้นไปแล้ว แนะนำว่าหาทานนมจากนมกล่อง จะได้รับสารอาหารมากกว่านมผง

                              ประเภทของนมกล่องที่คุณแม่ควรรู้

                              นมกล่องสําหรับเด็กแต่ละชนิดที่คุณแม่รู้จัก รู้ไหมว่ามีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน หลัก ๆ แล้ว นมพร้อมดื่มมี 3 ประเภท ดังนี้ค่ะ

                              • นมพาสเจอร์ไรซ์ (Pasteurized Milk) นมสดที่ผ่านกรรมวิธีฆ่าเชื้อด้วยความร้อนไม่ต่ำกว่า 63 องศาเซลเซียสไม่น้อยกว่า 30 นาที นมชนิดนี้อร่อย มีคุณค่าทางอาหารสูง แต่ต้องเก็บไว้ในตู้เย็นและเก็บได้นานเพียงไม่เกิน สองสัปดาห์
                              • นมสเตอรีไลซ์ (Sterilization Milk) นมสดที่ผ่านกรรมวิธีฆ่าเชื้อด้วยความร้อนไม่ต่ำกว่า 100 องศาเซลเซียส นมชนิดนี้เก็บได้นานมากกว่า 1 ปีโดยไม่ต้องแช่เย็น เพราะเชื้อจุลินทรีย์ถูกทำลายหมดด้วยความร้อนของระบบสเตอริไลซ์ โดยที่ไม่ทำให้คุณภาพของน้ำนมเปลี่ยนแปลงมากนัก
                              • นมยูเอชที (Ultra Heat Treatment) นมสดที่ผ่านกรรมวิธีฆ่าเชื้อด้วยความร้อนไม่ต่ำกว่า 133 องศาเซลเซียส ทำให้เป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นบรรจุลงภาชนะในสภาวะที่ปราศจากเชื้อ ยังคงรักษากลิ่น สี และรสไว้ได้ดี คุณค่าของอาหารก็สูญเสียน้อย สามารถเก็บไว้ในอุณหภูมิห้องได้นานกว่า 6 – 8 เดือน

                              เทคนิคในการเลือกนมถั่วเหลืองกล่องให้เหมาะกับเด็กแพ้นมวัว

                              ฉลากข้าง กล่องนม เทคนิคการเลือกที่ถูกต้อง
                              ฉลากข้าง กล่องนม เทคนิคการเลือกที่ถูกต้อง
                              1. ไม่ผสมนมผง เป็นข้อสำคัญข้อแรกเลยที่คุณแม่ต้องสังเกตจากฉลากให้ดีว่านมถั่วเหลืองกล่องนั้นมีส่วนผสมของนมผงหรือไม่ หลาย ๆ คนอาจจะยังไม่ทราบว่านมถั่วเหลืองบางกล่องก็มีการผสมนมผง และนมผงก็ทำมาจากนมวัวเป็นส่วนประกอบ ดังนั้นจึงควรอ่านรายละเอียดของส่วนประกอบข้างกล่องให้ดีก่อน
                              2. แคลเซียมสูง นมถั่วเหลืองแม้มีแคลเซียมแต่ก็มีน้อยกว่านมวัว โดยปกตินมวัวทั่วไปจะมีแคลเซียมประมาณ 30-35% ในปัจจุบันได้มีนม ถั่วเหลืองกล่องในบางยี่ห้อที่มีการเติมปริมาณของแคลเซียมเพิ่มเพื่อให้มีปริมาณเทียบเท่ากับนมวัว ดังนั้นต้องเช็คทุกครั้งว่าปริมาณแคลเซียมเพียงพอหรือไม่
                              3. รสจืดหรือหวานน้อย นมกล่องแตกต่างจากนมแม่ตรงที่ผู้ขายต้องการให้เด็กทานง่าย ดึงดูดใจในการทานนม ทำให้มีการเพิ่มน้ำตาลลงไปเพื่อให้เกิดรสหวาน แต่หากมีมากเกินไปก็ส่งผลไม่ดีต่อลูกน้อยได้ เพื่อไม่ให้เด็กติดหวาน และมีปัญหาฟันผุ โรคอ้วนตามมาจึงควรพิจารณาปริมาณน้ำตาลในกล่องด้วยว่ามากเกินไปไหม
                              4. lactose free หากสามารถเลือกนมกล่องสูตร lactose free เหมาะกับเด็กที่มีปัญหาย่อยน้ำตาลแล็กโทสไม่ได้ (lactose intolerance)ก็จะเป็นการช่วยเพิ่มความมั่นใจว่า จะลดการเกิดอาการข้างเคียงกับลูกมากขึ้นไปอีก เพราะบางครั้งเด็กอาจไม่เพียงแต่แพ้นมวัว แต่อาจมีภาวะบกพร่องในกายย่อยน้ำตาลแล็กโทส ทำให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ
                              5. สารอื่น ๆ ที่จำเป็นที่เพิ่มเข้ามา ในนมกล่องบางยี่ห้อจะมีการเพิ่มสารอาหารอื่น ๆ ที่จำเป็นใกล้เคียงนมแม่ที่สุดเพิ่มเข้ามาก็เป็นการดีต่อลูกน้อยที่จะได้รับสารอาหารจากนมกล่องใกล้เคียงนมแม่ที่สุด เช่น โอเมก้า และโคลีน ซี่งเป็นสารอาหารตามธรรมชาติที่มีอยู่ในถั่วเหลื่องที่ร่างกายใช้เป็ฯสารตั้งต้นในการสร้างสารสื่อประสาท Acetylcholine ส่งผลดีต่อพัฒนาการเรียนรู้ สมาธิ และความจำ ช่วยพัฒนาระบบประสาทและสมอง หรือบางครั้งอาจมีการเสริมไฟเบอร์เพื่อช่วยในเรื่องการขับถ่ายอีกด้วย

                              จะเห็นแล้วว่า ถึงแม้ลูกน้อยของคุณแม่จะมีอาการแพ้นมวัว แต่ก็ไม่ต้องกังวลใจมากจนเกินไปนัก เพราะหากเราสามารถรู้ได้ก่อนว่าลูกมีภาวะแพ้นมวัวแต่เนิ่น ๆ เราก็จะสามารถปรึกษาแพทย์ เพื่อให้รู้ถึงสาเหตุและวิธีการป้องกันก็จะสามารถควบคุมอาการได้ และสามารถช่วยให้ลูกหายขาดจากอาการดังกล่าวได้เมื่อโตขึ้น และหายได้เร็วขึ้น ไม่เป็นอันตรายต่อลูกอีกด้วย

                              ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก FB: เลี้ยงลูกโตไปด้วยกันกับหมออร/Mama expert/Pobpad.com/ foremostthailand

                              อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                              เทียบสารอาหาร “นมสำหรับเด็กแพ้นมวัว” (นมถั่วเหลือง-นมอัลมอนด์-นมข้าว-นมลูกเดือย)

                              อาการแพ้นมวัว เป็นอย่างไร? อันตรายถึงชีวิตหรือไม่?

                              หมอตอบชัด!!แม่ให้นมกินน้ำอัดลม ชา กาแฟ คาเฟอีนส่งถึงลูกไหม

                              ลูกน้อยผิวแห้งมาก ดูแลอย่างไรดี ?

                              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                โรคเกล็ดเลือดต่ำ ITP ภูมิคุ้มกันทําลายเกล็ดเลือด

                                โรคเกล็ดเลือดต่ำ ITP ภูมิคุ้มกันทําลายเกล็ดเลือด โรคอันตรายทำร้ายลูก

                                ลูกมีรอยช้ำ จ้ำๆ ตามแขนขา แม่ช็อคตรวจเจอว่า ลูกเป็น โรคเกล็ดเลือดต่ำ ITP จากภูมิคุ้มกันทําลายเกล็ดเลือด

                                โรคเกล็ดเลือดต่ำ ITP ภูมิคุ้มกันทําลายเกล็ดเลือด

                                รอยช้ำเกิดขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ ใครจะคิดว่ารอยช้ำ จ้ำ ๆ ไม่ใช่เพราะลูกหกล้ม ไม่ใช่เพราะลูกเดินชนเก้าอี้ แต่มันเป็นสัญญาณของโรคอันตราย ที่ซ่อนตัวอยู่ภายในร่างกายของลูก เช่นเดียวกับกรณีหนูน้อยวัย 1 ขวบ 8 เดือนที่ต้องทรมานจากอาการป่วยด้วยโรคเกล็ดเลือดต่ำ ภูมิคุ้มกันทําลายเกล็ดเลือด

                                คุณแม่เล่าว่า ในวันหนึ่งแม่สังเกตเห็นรอยช้ำขึ้นที่ขาเยอะมาก รอยช้ำนี้ยังหายยาก แต่ตอนแรกก็ยังไม่สังหรณ์ใจ เพราะน้องอยู่ในวัยใกล้จะ 2 ขวบ กำลังอยู่ในวัยหัดเดิน จึงคิดว่าลูกหกล้มทำให้เกิดรอยช้ำขึ้นบนร่างกาย จนรอยช้ำนี้ก็อยู่มาตลอดถึงราว ๆ 2 เดือน น้องมีอาการไข้สูงจากวัคซีน จนเกิดการชัก ทำให้ต้องแอดมินในโรงพยาบาล เมื่อคุณหมอตรวจจึงพบว่าน้องป่วยด้วยโรคเกล็ดเลือดต่ำ ภูมิคุ้มกันทําลายเกล็ดเลือด

                                โรคเกล็ดเลือดต่ำ ITP
                                ลูกเป็นโรคเกล็ดเลือดต่ำ ITP

                                “ถ้าลูกไม่ป่วย แม่ก็ไม่รู้เลยว่าน้องเป็นโรคนี้ เพราะอาการแสดงแค่รอยช้ำที่ขึ้นเองตามแขน ขา ก้น ทั้งที่ลูกไม่ได้ล้มหรือชนกับอะไรเลย” คุณแม่ยังเล่าอีกว่า ในช่วงแรก ๆ ไปตรวจที่โรงพยาบาลเอกชน ไม่มีหมอโรคเลือดที่ดูแลเด็กโดยเฉพาะ ด้านหมอเด็กและหมอโรคเลือดผู้ใหญ่ จึงวินิจฉัยร่วมกัน สงสัยในตอนแรกว่า ลูกเป็นมะเร็งเม็ดเลือด ตอนนั้นแม่ตกใจมาก แต่ได้รับคำแนะนำให้พาลูกไปตรวจที่โรงพยาบาลรัฐที่มีหมอโรคเลือดสำหรับเด็ก เพื่อตรวจอย่างละเอียดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ทั้งยังสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้

                                เมื่อไปถึงคุณหมอได้เจาะไขสันหลังตรวจ และยืนยันว่า ไม่ใช่มะเร็ง ทำให้คุณแม่โล่งอก เพราะถ้าเป็นโรคเลือดแม่รับได้ ขอแค่ไม่ใช่มะเร็งแม่รับได้หมด จากนั้นคุณหมออธิบายให้แม่ฟังว่า โรคเกล็ดเลือดต่ำ ภูมิคุ้มกันทําลายเกล็ดเลือด ถ้าเกิดในเด็กส่วนมากจะหายได้เองใช้เวลา 3-6 เดือน เพราะอาจจะเกิดขึ้นช่วงที่เด็กป่วยแล้วเกิดภาวะเกล็ดเลือดต่ำได้ แต่สำหรับน้องอยู่ในเคสที่รักษายาก เพราะภูมิคุ้มกันของน้อง ทำลายเกล็ดเลือดตัวเอง

                                ในช่วงแรก ๆ ของอาการป่วย คุณหมอเคยให้ยา IVIG ทางสายน้ำเกลือ โดสละ 16,000 บาท หลังให้ยา 2 สัปดาห์ เกล็ดเลือดขึ้นมาที่ 240,000 ตอนที่เกล็ดเลือดขึ้นแม่ดีใจนึกว่าลูกหายแล้ว พอผ่านไป 1 เดือน เกล็ดเลือดลงมาเหมือนเดิม แล้วจึงรู้ว่าเป็นโรคเกล็ดเลือดต่ำ สาเหตุจากภูมิคุ้มกันทำลายเกล็ดเลือด สำหรับการดูแลรักษาน้องในปัจจุบัน คุณหมอให้กินยาเพนนิโซโลน 5 มิลลิกรัม ก่อนหน้านี้กินวันละ 6 เม็ดใน 2 สัปดาห์เกล็ดเลือดขึ้นมาที่ 110,000 พอลดยาลงเป็นวันละ 3 เม็ดต่อสัปดาห์ และ 1 เม็ด 1 สัปดาห์ ปรากฏว่า เกล็ดเลือดต่ำลงเหลือ 35,000 ช่วงนี้ลูกจึงต้องกินยากดภูมิไปก่อน แต่ข้อเสียของยาจะมีผลต่อมวลกระดูก ทำให้ลูกอ้วนเตี้ย น้องจะหิวตลอดเวลา กลางคืนจะร้องกินนมตลอด

                                ส่วนข้อควรระวังอื่น ๆ ที่คุณหมอฝากไว้คือ ไม่ให้เล่นแรง ๆ ต้องคอยระวังไม่ให้ล้ม กลัวเลือดออกตามข้อข้างในที่มองไม่เห็น ดูแลอาหารการกินเป็นพิเศษ ลูกต้องไม่กินอาหารค้างคืน หมั่นล้างมือเพราะน้องกินยากดภูมิจะทำให้ติดเชื้อได้ง่าย ถ้าเป็นไปได้อยากให้เล่นคนเดียวอย่าพึ่งเล่นกับเด็กหลาย ๆ คน และต้องหลีกเลี่ยงการพาไปสถานที่คนเยอะ ๆ

                                ตอนนี้น้องกลับมารักษาตัวที่บ้านแล้ว เพียงแต่ต้องไปเจาะเลือด ติดตามอาการทุก ๆ 2 สัปดาห์ ทางทีมงานขอให้น้องสุขภาพแข็งแรงในเร็ววันนะคะ

                                โรคเกล็ดเลือดต่ำ ITP
                                รอยช้ำจากโรคเกล็ดเลือดต่ำ ITP

                                ทำความรู้จัก โรคเกล็ดเลือดต่ำจากภูมิคุ้มกันทำลายเกล็ดเลือด

                                รศ.นพ.บุญชู พงศ์ธนากุล สาขาวิชาโลหิตวิทยาและอองโคโลยี ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายถึงโรคเกล็ดเลือดต่ำจากภูมิคุ้มกันทำลายเกล็ดเลือด (Immune thrombocytopenia: ITP) ว่า เป็นโรคเลือดออกง่ายในเด็ก พบบ่อยช่วงอายุ 2-5 ปี โดยเกล็ดเลือดเป็นเม็ดเลือดชนิดหนึ่งทำให้เลือดหยุดเวลาเกิดบาดแผล เมื่อเกล็ดเลือดต่ำมากจึงมีเลือดออกได้เอง แม้จะไม่เกิดอุบัติเหตุ ไม่กระทบกระแทก หรือเกิดบาดแผล

                                สาเหตุของโรคเกล็ดเลือดต่ำจากภูมิคุ้มกันทำลายเกล็ดเลือด

                                โรคเกล็ดเลือดต่ำจากภูมิคุ้มกันทำลายเกล็ดเลือดเกิดจากภูมิต้านทานของร่างกายสร้างแอนติบอดี้ ซึ่งการสร้างนี้อาจได้รับการกระตุ้นจากการติดเชื้อไวรัส การรับยาหรือวัคซีนเชื้อบางชนิด เมื่อสร้างแอนติบอดี้แล้วจะมาจับกับผนังเกล็ดเลือดและทำลายเกล็ดเลือดตัวเอง

                                อาการสำคัญของโรคเกล็ดเลือดต่ำ

                                • รอยช้ำ จุดจ้ำเลือดบนผิวหนัง ตามลำตัว แขน ขา
                                • ถ้าเกล็ดเลือดต่ำมาก เลือดอาจจะออกรุนแรงขึ้นตามอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย เช่น เยื่อบุในช่องปาก

                                ผู้ป่วยอาจมีประวัติการติดเชื้อไวรัส ไข้หวัด ไข้ออกผื่น หรือได้รับวัคซีนเชื้อ ก่อนมีอาการประมาณ 2-4 สัปดาห์ เมื่อตรวจร่างกายจะพบเลือดออก อาจซีดได้บ้าง แต่ไม่พบต่อมน้ำเหลืองโตหรือตับม้ามโต

                                ลูกเป็นโรคเกล็ดเลือดต่ำ ITP
                                อาการโรคเกล็ดเลือดต่ำ ITP

                                การรักษาโรคเกล็ดเลือดต่ำจากภูมิคุ้มกันทำลายเกล็ดเลือด

                                1. ยากลุ่มสเตียรอยด์ เป็นยาหลักในการรักษาโรคนี้ เพื่อกดภูมิต้านทานร่างกายในการสร้างแอนติบอดี้มาทำลายเกล็ดเลือดตัวเอง ส่วนใหญ่จะใช้ขนาดสูงระยะสั้น ๆ หรือ ขนาดปานกลางระยะยาว แต่ไม่ควรให้ยาเกิน 2 สัปดาห์ เพราะจะพบผลข้างเคียงจากยาสเตียรอยด์ได้ เช่น หน้าบวม น้ำหนักเพิ่มขึ้น และอารมณ์หงุดหงิด ยาสเตียรอยด์จะช่วยให้เกล็ดเลือดเพิ่มขึ้น ประมาณ 5-7 วันหลังได้ยา
                                2. ยาอิมมิวโนโกลบูลินให้ทางเส้นเลือด ( Intravenous Immunoglobulin: IVIG) ยาตัวนี้ต้องให้ทางเส้นเลือด นาน 8-12 ชั่วโมง 1-2 วันต่อกัน การตอบสนองต่อยาตัวนี้จะรวดเร็วกว่า คือ เกล็ดเลือดจะเพิ่มขึ้น 1-2 วันหลังได้ยา ด้วยราคาที่แพงมาก จะใช้ยานี้ในกรณีที่ต้องการเพิ่มเกล็ดเลือดอย่างรวดเร็ว ส่วนผลข้างเคียงของยาตัวนี้ คือ มีอาการแพ้แบบรุนแรงได้

                                คุณพ่อคุณแม่ที่เห็นลูกมีรอยช้ำ จ้ำตามเนื้อตัว ไม่หายเสียที ลองพาลูกไปตรวจร่างกายอย่างละเอียด เพื่อรับการรักษาและศึกษาวิธีป้องกันไม่ให้ลูกเกิดอันตรายร้ายแรง และหากมีการตรวจวินิจฉัยว่าเป็นโรคนี้แล้ว พ่อแม่ผู้ปกครองต้องดูแลอาการอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะเด็กที่มีพฤติกรรมซุกซน ไม่อยู่นิ่ง เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ ยิ่งต้องใส่ใจเป็นพิเศษนะคะ

                                 

                                อ้างอิงข้อมูล : http://tsh.or.th

                                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                 

                                อ่านบทความอื่นเพิ่มเติม

                                รวม 20 อาการต้องสงสัย ลูกไม่สบาย แบบนี้..! กำลังป่วยเป็นโรคอะไร?

                                วิจัยชี้!! ลูก นอนกลางวัน ช่วยให้ความจำดี เรียนรู้เร็ว!

                                ปวดบิดในทารก ลูกบิดตัว ร้องไห้ ต้องหาหมอไหม เป็นอะไรกันแน่

                                ลูกอึเหม็น!สัญญาณ แพ้นมวัว พร้อมอีก 4 กลิ่นบอกโรคร้าย

                                  กล้วยบด

                                  10 สัญญาณอันตราย หลังป้อน “กล้วยบด” ให้ลูก

                                  กล้วยบด อาหารสุดฮิตที่ปู่ ย่า ตา ยาย มักจะนำมาป้อนให้ทารกได้ทาน เพราะคิดว่านมแม่ไม่ทำให้หลานอิ่ม แต่ความหวังดีนี้ กลับกลายเป็นการยื่นยาพิษ ที่อาจทำให้หลานเสียชีวิตได้!!

                                  10 สัญญาณอันตราย หลังป้อน “กล้วยบด” ให้ลูก

                                  อาหารของทารกแรกเกิด – 6 เดือนที่ดีที่สุดคือนมแม่ เพราะระบบทางเดินอาหารของทารกแรกเกิดมีข้อจํากัดในการสร้างน้ำย่อย ทําให้การย่อยการดูดซึมอาหารไม่มีประสิทธิภาพมากเท่ากับผู้ใหญ่ การป้อนอาหารอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากนมแม่ เช่น ข้าว กล้วยบด จะทำให้อาหารที่ทานเข้าไปไม่สามารถย่อยและดูดซึมในกระเพาะอาหารและลําไส้ของทารกได้ และจะก่อให้เกิดปัญหาลําไส้อุดตันจากเศษอาหารที่ไม่ย่อยนี้ได้ ถ้ารุนแรงมากอาจต้องรักษาด้วยการผ่าตัดลําไส้ และอาจเสี่ยงต่ออาการแทรกซ้อนต่าง ๆ ได้เลยทีเดียว แต่เมื่อลูกได้ถูกป้อนกล้วยไปแล้ว (โดยคุณพ่อคุณแม่อาจจะไม่รู้) เรามีวิธีสังเกตอาการที่มักจะเกิดกับลูกหลังป้อนกล้วยบด มาฝากกันค่ะ

                                  10 สัญญาณอันตราย หลังป้อน “กล้วยบด” ให้ลูก

                                  1. ปวดท้อง แน่นท้อง ท้องอืด

                                  เนื่องจากระบบย่อยในทารกยังทำงานได้ไม่ดีพอ ทำให้แน่นท้อง ท้องอืด มีลมในกระเพาะอาหารได้ ลูกจะร้องไห้งอแง ร้องกวนตลอดเวลา ถ้าลูกมีอาการแบบนี้คุณแม่อาจช่วยลูก โดยนำตัวลูกขึ้นมานอนทับให้ส่วนท้องอยู่ตรงหน้าขาและขยับตัวลูกเบา ๆ เพื่อไล่ลมออกจากท้อง หรือ ทำอย่างไรก็ได้ให้ลูกผายลมให้ได้มากที่สุด หากอาการไม่ดีขึ้น ควรพาลูกไปพบแพทย์ค่ะ

                                  2. ท้องผูก

                                  เด็กทารกแรกเกิดส่วนมากจะถ่ายวันละ ประมาณ 7 – 8 ครั้ง ยิ่งเด็กที่กินนมแม่จะถ่ายบ่อย ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องท้องผูก แต่การป้อนกล้วย เป็นการรบกวนระบบย่อยอาหารของลูก ทำให้ลูกมีอาการท้องผูกหลังจากป้อนกล้วยได้ อาการท้องผูก สังเกตได้ง่ายมาก เวลาลูกถ่ายจะบิดตัวไปมา เด็กบางคนอุจจาระเป็นสีน้ำตาลเข้ม หรือ สีดำ หากหลังจากป้อนกล้วยแล้ว ลูกยังไม่ถ่าย หรือถ่ายลำบาก เป็นเวลาหลายวัน ควรไปพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ดูอาการและรักษาต่อไป

                                  3. คลื่นไส้ อาเจียน

                                  อาการนี้ เป็น 1 ในอาการที่เสี่ยงต่อการเกิดปัญหาลำไส้อุดตัน (ลำไส้อุดตัน คือภาวะที่มีสิ่งอุดตันหรือมีการรบกวนการบีบตัวของลำไส้ ทำให้อาหารหรือของเหลวต่าง ๆ เคลื่อนผ่านไม่ได้ตามปกติ) หรือแพ้อาหารได้ ดังนั้น หากลูกอาเจียน ร้องไห้งอแงหลังจากป้อนกล้วย คุณพ่อคุณแม่ควรพาลูกไปพบแพทย์ทันที เพราะลูกอาจต้องได้รับการผ่าตัดลำไส้ หากไม่ได้รับการรักษาที่ทันการณ์ อาจเสี่ยงต่อภาวะลำไส้แตกทะลักจนเสียชีวิตได้

                                  4. สำลัก ไออย่างรุนแรง

                                  อีก 1 สัญญาณที่สุดจะอันตรายต่อชีวิตของทารก เพราะทารกยังไม่พร้อมสำหรับการกลืนอาหาร การทานอาหารชนิดอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากนมแม่ เช่ย กล้วยซึ่งมีลักษณะข้น เหนียว และแข็งกว่าของเหลว อาจทำให้อาหารเหล่านี้ เข้าไปอุดกั้นทางเดินหายใจของลูกน้อยได้ หากลูกมีอาการ  สำลัก  ไออย่างรุนแรง หายใจลำบาก ริมฝีปากเขียวคล้ำ ถือเป็นภาวะฉุกเฉิน จนอาจทำให้สมองขาดเลือดและเสียชีวิตได้ในที่สุด หรือในเด็กบางคนก็อาจกลายเป็นเจ้าหญิงเจ้าชายนิทราได้

                                  อาการป่วย
                                  อาการป่วย

                                  5. ท้องเสีย

                                  เป็นอาการที่เกิดจากการแพ้อาหาร เพราะร่ายกายของทารก ยังไม่สามารถรับอาหารชนิดอื่น ๆ ได้ การทานกล้วย จึงทำให้ทารกเสี่ยงต่อเชื้อโรคที่เกิดจากการประกอบอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ และยังเสี่ยงต่อการทำให้ลูกแพ้กล้วยได้

                                  6. คันบริเวณริมฝีปาก ลิ้น และลำคอ เป็นลมพิษ ตาบวม คันที่ดวงตา ตาแดง หายใจถี่รัว

                                  เป็นอาการแพ้อาหารแบบเฉียบพลัน ถือเป็นอาการที่หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีอาจนำไปสู่ภาวะช็อก อาจร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ เนื่องจากเยื่อบุกระเพาะอาหารและลำไส้ของเด็กทารกยังไม่แข็งแรง จึงอาจมีโปรตีนก่อการแพ้หรือสารบางชนิดหลุดเข้าไปในกระแสเลือดจนทำให้ลูกเกิดการแพ้อาหารได้ และเนื่องจากโปรตีนชนิดที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ซึ่งพบในกล้วย ยังเป็นโปรตีนชนิดเดียวกันกับที่พบในถั่ว หรือผลไม้อื่น ๆ ดังนั้น อาจทำให้ลูกเป็นภูมิแพ้อาหารได้อีกหลายชนิดในอนาคตได้อีกด้วย ดังนั้น หากลูกมีอาการดังกล่าว ควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด ไม่ควรปล่อยให้อาการแพ้หายไปเอง เพราะคุณพ่อคุณแม่ไม่สามารถรู้ได้ว่าลูกแพ้กล้วยรุนแรงแค่ไหน และอนาคตลูกจะแพ้กล้วยอีกหรือไม่

                                  7. จามและน้ำมูกไหล

                                  อีกหนึ่งในอาการแพ้กล้วย ลูกน้อยจะมีน้ำมูก คัดจมูก หายใจได้ลำบาก จาม ไอ เนื่องจากน้ำมูก ไปขัดขวางทางเดินหายใจ หากลูกน้อยไม่มีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย คุณแม่สามารถดูอาการต่อไปได้อีก แต่หากอาการจามและน้ำมูกไหลไม่ลดลง ก็ควรไปพบแพทย์ค่ะ

                                  8. ถ่ายเป็นมูกเลือด

                                  การขับถ่ายที่ปกติหลังจากทานกล้วย ลักษณะของอุจจาระจะข้นกว่าทานนมแม่ มีกลิ่นที่แรงขึ้นเล็กน้อย อาจมีเส้นสีดำ ๆ ปะปนอยู่กับอุจจาระ แต่หากลูกถ่ายเป็นมูกเลือด หรือมีเลือดปะปนมาในอุจจาระ อาจแปลได้ว่าลูกอาจจะมีปัญหาในลำไส้ หรือแพ้อาหารได้ ดังนั้น ให้คุณแม่ถ่ายรูปอุจจาระไว้ แล้วพาลูกไปพบแพทย์ค่ะ

                                  9. ป่วยง่าย ป่วยบ่อย

                                  เพราะนมแม่มีประโยชน์ต่อระบบภูมิคุ้มกันโรคที่ดี นมแม่ช่วยให้ลูกสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อต่อต้านการเจ็บป่วย ด้วยการสร้างแอนติบอดี (Antibody) มาต่อต้านอาการเจ็บป่วยทั่วไปอย่างไข้หวัด การติดเชื้อจากแบคทีเรีย ไปจนถึงการป้องกันการติดเชื้อไวรัสบางชนิด เช่น โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ (RSV) โรคงูสวัด ภูมิต้านทานเหล่านี้มาจากแม่ที่เคยเป็นโรคเหล่านี้มาก่อนและมีภูมิต้านทานโรคแล้ว ด้วยการส่งผ่านไปยังลูกน้อยทางน้ำนมแม่ได้ ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถช่วยป้องกันโรคที่จะเกิดกับลูกได้ 100% แต่ก็ช่วยลดโอกาสการเกิดโรคเหล่านี้กับลูกได้ นอกจากนี้นมแม่ยังสามารถช่วยลดการเกิดโรคภูมิแพ้ในเด็กได้ รวมไปถึงโรคร้ายแรงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เช่น โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคไหลตายในเด็กทารก (SIDS) เป็นต้น ดังนั้น การป้อนกล้วยก่อนวัยที่เหมาะสม เป็นการลดโอกาสในการได้รับภูมิคุ้มกันที่ดีจากนมแม่ เมื่อลูกมีภูมิต้านทานลดลง ลูกก็อาจมีโอกาสป่วยบ่อย ป่วยง่าย ได้นั่นเอง ซึ่งอาการป่วยง่าย ป่วยบ่อย นั้น อาจไม่ได้เกิดทันทีหลังจากทานกล้วย แต่หากยังป้อนกล้วยลูกไปเรื่อย ๆ ลูกอาจเสี่ยงต่ออาการนี้ได้

                                  10. อ่อนเพลีย ไม่อยากอาหาร ผิวหนังลอกเป็นขุย ตาแห้ง น้ำหนักลดลง

                                  เป็นที่ทราบกันดีว่าทารกควรจะได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน เพราะเป็นปัจจัยสำคัญต่อพัฒนาการและการเจริญเติบโตของร่างกายและสมองของทารก (อ่านต่อ สารอาหาร 11 ชนิด ที่จำเป็นสำหรับ “ทารกแรกเกิด – 2 ปี”) สารอาหารในนมแม่มีมากกว่า 200 ชนิด ในขณะที่สารอาหารในกล้วยจะมีอยู่ประมาณ 20 กว่าชนิด การที่ผู้ปกครองเลือกที่จะป้อนกล้วยเร็ว ๆ ก็เป็นการลดโอกาสให้ลูกได้รับสารอาหารที่ดีมากกว่า 200 ชนิดที่อยู่ในนมแม่ แทนที่ลูกจะได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วน ลูกกลับต้องขาดสารอาหารแทน เช่นกันว่าอาการที่เกิดจากการขาดสารอาหารนั้น อาจไม่ได้แสดงออกมาในทันที แต่หากผู้ปกครองยังดื้อดึงป้อนกล้วยให้ทารกไปเรื่อย ๆ ก็อาจทำให้ลูกขาดสารอาหารได้ค่ะ

                                  ป้อนกล้วย
                                  ป้อนกล้วย

                                  นมแม่ จะเพียงพอต่อความต้องการของทารกหรือไม่?

                                  ในนมแม่อุดมไปด้วยสารอาหารมากกว่า 200 ชนิด ที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตทั้งทางด้านร่างกายและการพัฒนาการทางด้านสมองของลูกน้อย ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มให้แก่ร่างกาย ปรับสมดุลของระบบย่อย ระบบขับถ่ายของทารก และลดอาการติดเชื้อในทารกแรกเกิดได้ นอกจากสารอาหารที่มากมายแล้ว ในนมแม่ยังมีน้ำเป็นส่วนประกอบหลัก จึงไม่จำเป็นต้องให้ทารกดื่ม หรือจิบน้ำหลังทานนมแม่

                                  ถ้าหลานไม่อิ่ม ร้องกวนจะทานนม จะทำอย่างไร?

                                  หากนมแม่มีปริมาณที่ไม่เพียงพอต่อทารกจริง ๆ (อ่านต่อ วิธีอัพ “น้ำนม” ให้มากพอ โดย ป้าหมอสุธีรา) ให้คุณแม่ลองทำกระตุ้นน้ำนมให้เพียงพอต่อความต้องการของลูก และหากมีปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจทำให้นมแม่มีปริมาณที่ไม่เพียงพอต่อทารกจริง ๆ ก็ควรเสริมด้วยนมผง การเสริมอาหารเสริม กล้วยบด หรืออาหารใด ๆ ก็ตาม เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ และอันตรายเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้น การป้อน กล้วยบด ให้ทารกแรกเกิด – 6 เดือน อาจทำให้ลูกมีอาการป่วยดังต่อไปนี้

                                   

                                  จะเห็นได้ว่าการป้อนกล้วย ป้อนอาหารเสริมมก่อนวัยที่เหมาะสม นอกจากไม่ทำให้เกิดประโยชน์แล้ว ยังก่อให้เกิดโทษและอันตรายมากกว่าที่คิด และอันตรายเหล่านี้ เดิมพันด้วยชีวิตของลูกน้อยของเราเอง คำกล่าวที่บอกว่า “เด็กหลายคนก็โตมาได้ด้วยกล้วยบด ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย” ขอบอกว่า “เด็กเหล่านั้น โชคดีที่ผ่านอันตรายที่ผู้ปกครองหยิบยื่นให้มาได้” จะถูกต้องกว่าค่ะ

                                  อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                                  สุดเศร้า! ยายดื้อป้อนกล้วยทารก เกิดมาแค่ 10 วันก็ต้องจบชีวิต

                                  วิธีป้อนกล้วยทารก ที่ถูกต้อง! ไม่ทำร้ายลำไส้ลูก

                                  7 สัญญาณ ลูกพร้อมกิน “อาหารเสริมเด็ก-ทารก”

                                  อยาก ให้นมแม่ สำเร็จ แม่ต้องสตรอง และห้ามท้อ

                                   

                                  ขอบคุณข้อมูลจาก : พญ.อรพร ดํารงวงศ์ศิริ สาขาวิชาโภชนวิทยา ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล, คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล, กรมอนามัย, hellokhunmor.com, โรงพยาบาลสุขสวัสดิ์

                                   

                                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                    กลิ่นบอกสัญญาณลูก แพ้นมวัว

                                    ลูกอึเหม็น!สัญญาณ แพ้นมวัว พร้อมอีก 4 กลิ่นบอกโรคร้าย

                                    กลิ่นใครคิดว่าไม่สำคัญ สัญญาณบอกโรคที่ทำให้แม่รู้ได้ไวก่อนสายง่าย ๆ แค่ดม มาเรียนรู้วิธีสังเกตกลิ่นแบบไหนปกติ แบบไหนบอกว่าลูก แพ้นมวัว หรือโรคร้ายกันเถอะ

                                    ลูกอึเหม็น!สัญญาณ แพ้นมวัว พร้อมอีก 4 กลิ่นบอกโรคร้าย

                                    กลิ่นเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่หมอนำมาใช้ประกอบการวินิจฉัยโรค เพราะสามารถวินิจฉัยได้เร็วกว่าการรอผลจากห้องแล็ปถึงแม้จะมีความชัดเจนไม่มาก แต่ก็เป็นแนวทางช่วยให้การวินิจฉัยให้เป็นไปได้อย่างถูกทาง และรวดเร็ว

                                    โรคที่ได้รับการบันทึกไว้ในวารสารทางการแพทย์ ว่าสามารถให้การวินิจฉัยโดยการดมกลิ่นได้ เช่น

                                    • โรคไข้เหลือง กลิ่นเหมือนโรงฆ่าสัตว์
                                    • ไข้รากสาดน้อย กลิ่นขนมปังสีน้ำตาลอบใหม่
                                    • หัดเยอรมัน กลิ่นขนนกที่ถอนใหม่ ๆ
                                    • ภาวะโคม่าจากเบาหวาน กลิ่นผลไม้
                                    • ไข้ทรพิษ กลิ่นโรงเลี้ยงสัตว์
                                    • โรคคอตีบ กลิ่นหวานเอียน
                                    กลิ่นช่วยให้แพทย์วินิจฉัยได้เร็ว
                                    กลิ่นช่วยให้แพทย์วินิจฉัยได้เร็ว

                                    จะเห็นได้ว่า การใช้กลิ่นทำนายโรคนั้นมีบันทึกไว้ในทางการแพทย์ จึงไม่อาจเรียกได้ว่าการใช้วิธีการดมกลิ่นนี้เป็นเรื่องไร้สาระอีกต่อไป แม้จะมีความชัดเจนไม่มาก ต้องขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของผู้สังเกตแต่ก็มิใช่เรื่องที่ไม่น่าศึกษาไว้เลยซะทีเดียว ยิ่งโดยเฉพาะคนเป็นแม่อย่างเรา ที่คงไม่มีใครสามารถรู้จักลูกดีไปกว่าเรา การที่แม่สามารถสังเกตอาการลูก และเก็บข้อมูลเพื่อนำไปแจ้งแก่คุณหมอได้อย่างละเอียด ครบถ้วนก็จะยิ่งช่วยทำให้การวินิจฉัยโรคเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

                                    5 กลิ่นนี้ที่แม่ควรเอะใจ

                                    กลิ่นไข่เน่า ในลมหายใจ

                                    ปากเหม็น อาจบอกอะไรเราได้มากกว่าที่คิด หากคุณแม่สังเกตได้ว่า ลูกตื่นนอนตอนเช้าแล้วมีกลิ่นปากเหม็นเหมือนกลิ่นไข่เน่า รวมทั้งมีอาการต่าง ๆ เหล่านี้ร่วมด้วย เช่น

                                    1. หงุดหงิด อ่อนเพลียในช่วงเวลากลางวัน จากการนอนหลับไม่เต็มที่ ทำให้ผลการเรียนตกต่ำลง
                                    2. มีพฤติกรรมไม่อยู่นิ่ง สมาธิสั้น
                                    3. มีการหลั่งของฮอร์โมนที่จำเป็นในการเจริญเติบโตลดน้อยลง เนื่องจากฮอร์โมนดังกล่าวจะหลั่งในขณะที่เด็กมีการนอนหลับสนิท
                                    4. มีการเปลี่ยนแปลงของกระดูกใบหน้า ทำให้รูปหน้ารีเป็นรูปไข่ จากการโก่งตัวสูงขึ้นของกระดูกเพดานปาก และมีการยื่นออกของฟันหน้าจนผิดรูป ซึ่งเกิดจากการที่เด็กหายใจทางปาก
                                    อาการปากเหม็นที่ไม่ได้เกิดจากโรคทันตกรรม
                                    อาการปากเหม็นที่ไม่ได้เกิดจากโรคทันตกรรม

                                    ให้สงสัยได้ว่าลูกอาจมีภาวะของโรคต่อมอะดีนอยด์โต ซึ่งจะมีอาการของทางเดินหายใจส่วนบนอุดกั้น เช่น หายใจไม่สะดวก หายใจมีเสียงดัง นอนอ้าปาก เนื่องจากมีการหายใจทางปาก นอนกรน สะดุ้งตื่นกลางดึก หรือมีภาวะหยุดหายใจ เป็นต้น ซึ่งอาการดังกล่าวสามารถสังเกตเห็นได้ในช่วงตอนกลางคืนขณะที่เด็กมีการนอนหลับสนิท การนอนกรนทำให้เกิดการอ้าปากขณะหลับ เชื้อแบคทีเรียก็สามารถเข้าไปแพร่พันธ์ุได้อย่างรวดเร็วซึ่งจะกลายเป็นการผลิตแก๊สกำมะถัน ที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดกลิ่นปากเหมือนกลิ่นไข่เน่า

                                    การนอนกรนนอกจากจะเป็นข้อสังเกตให้สงสัยในโรคต่อมอะดีนอยด์โตในเด็กแล้ว ก็อาจนำมาซึ่งสาเหตุของการเกิดโรคอื่น ๆ ได้อีกด้วย เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ ซึ่งหากเกิดอาการกลิ่นปากมีกลิ่นไข่เน่าตอนตื่นนอน และมีอาการอ่อนเพลียเหมือนคนนอนไม่อิ่มแล้วละก็ แนะนำว่าควรรีบไปพบแพทย์เพื่อไปตรวจดูว่าอาการนอนกรนนั้นเกิดจากสาเหตุโรคร้ายใด ๆ หรือไม่

                                    อ่านต่อ ต่อมอดีนอยด์โต และภาวะการนอนกรนในเด็ก

                                    กลิ่นอึเหม็น จากภาวะแพ้นมวัว

                                    อุจจาระเหม็น หลาย ๆ คนคงเถียงว่าก็เป็นสิ่งปกติธรรมดาไม่ใช่หรือ แต่ในเด็กเล็กที่ทานเพียงแต่นมเป็นอาหารหลัก การที่ลูกมีกลิ่นของอุจจาระเหม็นนั่นจึงไม่ใช่เรื่องที่ปกติแต่อย่างใด

                                    ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจกับคำว่า แพ้นมวัว และภาวะการย่อยแลกโทสบกพร่องกันก่อน  โดยหากหลังทานนมวัวแล้ว เกิดอาการ

                                    • อืดแน่นท้องจากก๊าซ ผายลมบ่อย มีเสียงลมในท้อง
                                    • ปวดท้องแถวสะดือ หรือท้องน้อย
                                    • คลื่นไส้อาเจียน มักพบในเด็กโตและวัยรุ่น
                                    • ถ่ายเหลวเป็นน้ำ มีฟอง และมีกลิ่นเหม็นมาก
                                    กลิ่นอึเหม็น จากการ แพ้นมวัว
                                    กลิ่นอึเหม็น จากการ แพ้นมวัว

                                    ซึ่งเป็นอาการอันไม่พึงประสงค์หลังทานนม เกิดจากการที่ร่างกายย่อยน้ำตาลแล็กโทสในนมผิดปกติ น้ำตาลแล็กโทส (lactose) เป็นน้ำตาลที่มีมากในน้ำนมของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม โดยในน้ำนมคนมีสูงถึงร้อยละ 7 น้ำนมวัวแพะแกะอูฐมีร้อยละ 4 โดยน้ำตาลชนิดนี้มีโมเลกุลใหญ่ก่อนจะถูกดูดซึมเข้าสู่ผิวเยื่อบุผนังลำไส้ต้องผ่านการย่อยด้วยเอนไซม์แล็กเทส (lactase) ซึ่งน้ำย่อยนี้สร้างจากเยื่อบุผนังลำไส้เล็กเท่านั้น เมื่อร่างกายไม่สามารถผลิตแล็กเทสได้เพียงพอก็จะทำให้ไม่สามารถย่อยแล็กโทสได้ ส่งผลให้ลำไส้เล็กส่งแล็กโทสไปที่ลำไส้ใหญ่แทนที่จะไปยังกระแสเลือด ในลำไส้ใหญ่จะมีแบคทีเรียหมักหมมอยู่ เป็นสาเหตุให้อุจจาระมีกลิ่นเหม็น ท้องอืด

                                    ส่วนการแพ้นมวัว หรือ โรคแพ้โปรตีนนมวัว เกิดจากร่างกายมีปฏิกิริยาทางภูมิคุ้มกันต่อโปรตีนในนมวัว อาการและอาการแสดงโรคแพ้โปรตีนนมวัวแบ่งตามระบบ ดังนี้

                                    1. ผิวหนัง : ผื่นลมพิษ เนื้อเยื่อใต้ผิวหนังบวมแบบเฉียบพลัน ผื่นผิวหนังอักเสบภูมิแพ้
                                    2. ระบบทางเดินหายใจ :น้ำมูกไหล ไอแห้ง คัดจมูก นอนกรน หายใจเสียงหวี๊ด หอบ, Heiner syndrome
                                    3. ระบบทางเดินอาหาร : ริมฝีปากบวม อาเจียน ถ่ายเหลวเฉียบพลัน ถ่ายมีมูกเลือดเรื้อรัง
                                    4. อาการแพ้รุนแรงเฉียบพลันทั่วตัว (Anaphylaxis)

                                    จะเห็นได้ว่า ภาวะย่อยแล็กโทสบกพร่องนั้นเป็นหนึ่งในอาการของการแพ้นมวัว หากคุณแม่สังเกตพบว่าอุจจาระของลูกมีกลิ่นเหม็นผิดปกติ หลังจากทานนมบ่อย ๆ ควรพาไปพบแพทย์เพื่อสืบหาว่าลูกมีอาการแพ้นมวัว หรือแค่เกิดภาวะย่อยแล็กโทสบกพร่อง จะได้สามารถดูแลได้อย่างถูกวิธี เพราะถ้าเป็นการแพ้นมวัวหากเป็นอย่างรุนแรงจะต้องเลี่ยงอาหารที่ทำจากนมวัวทุกชนิด รวมถึงน้ำนมแม่ที่ทานนมวัวด้วยเช่นกัน แต่หากเป็นภาวะย่อยแล็กโทสบกพร่อง ซึ่งเป็นอาการปกติที่อาจเกิดได้กับคนทั่วไป โดยเฉพาะในคนเอเซีย คุณหมออาจจะให้เลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลแล็กโทส หรือกำหนดปริมาณแล็กโทสที่ควรบริโภคในแต่ละวันโดยไม่สร้างปัญหากับสุขภาพเท่านั้น ไม่ต้องงดนมวัวที่มีประโยชน์ต่อร่างกายในผู้ที่ไม่แพ้ไป

                                    อ่านต่อ 5 วิธีรับมือ ลูกแพ้อาหารที่แม่กิน ลูกแพ้อาหารผ่านนมแม่ทำไงดี

                                    กลิ่นเหมือนผลไม้ ในลมหายใจ

                                    ปัสสาวะรดที่นอน จากโรคเบาหวานในเด็ก
                                    ปัสสาวะรดที่นอน จากโรคเบาหวานในเด็ก

                                    แม้จะไม่ใช่กลิ่นเหม็น แต่หากแม่ได้กลิ่นเหมือนผลไม้ในลมหายใจลูกอย่างพึ่งวางใจไป นั่นอาจเป็นสัญญาณอันตรายที่บ่งบอกว่าลูกอาจเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน ที่เรามักคิดว่าเป็นโรคที่เกิดแต่ในผู้ใหญ่ แต่แท้จริงแล้วปัจจุบันก็พบมากขึ้นในเด็กเช่นกัน อาการของโรคเบาหวานเกิดจากการที่มีระดับน้ำตาลสูงในเลือด น้ำตาลจึงรั่วออกมาในปัสสาวะ  เด็กบางรายมีปัสสาวะรดที่นอนทั้งที่เคยหายไปแล้ว เมื่อร่างกายเสียน้ำมากจากการต้องปัสสาวะบ่อยจึงมีอาการกระหายน้ำมากผิดปกติ และถึงแม้จะมีระดับน้ำตาลสูงในเลือดแต่ร่างกายขาดอินซูลิน จึงนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานไม่ได้ทำให้มีอาการอ่อนเพลีย กินเก่ง หิวบ่อย แต่น้ำหนักตัวลด และหากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษา จะทำให้เลือดเป็นกรดและมีสารคีโตนคั่ง ที่เรียกว่า ดี เค เอ (DKA,  diabetic   ketoacidosis) ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องได้รับการรักษาทันที เด็กจะมีอาการอาเจียน ปวดท้อง หายใจหอบลึก ลมหายใจมีกลิ่นคล้ายผลไม้จากสารคีโตน ถ้าเป็นรุนแรงอาจหมดสติหรือโคม่าได้ อาการเหล่านี้พบได้ทั้งในเบาหวานชนิดที่ 1 และ 2 การรักษาเบาหวานในเด็กเป็นเรื่องที่ซับซ้อนกว่าในผู้ใหญ่มาก ดังนั้นเมื่อเราสังเกตอาการลูกว่าอาจเป็น จึงควรรีบไปพบแพทย์ จะได้รู้วิธีการดูแล เลี้ยงลูกอย่างถูกต้องเหมาะสมต่อไป

                                    อ่านต่อ รพ.จุฬาเผย! พบเด็กเป็นเบาหวานเพิ่มขึ้น 27%

                                    กลิ่นฉุน ของปัสสาวะ

                                    หากลูกปัสสาวะมีกลิ่นฉุนผิดปกติ และมีสีที่ผิดปกติร่วมด้วย อาจเกิดจากการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ เป็นการติดเชื้อจุลินทรีย์ ที่เกิดจากการคั่งค้างของปัสสาวะร่วมกับการปนเปื้อนจุลินทรีย์ผ่านเข้าทางท่อปัสสาวะ ทำให้เกิดการอักเสบในระบบทางเดินปัสสาวะ  พบได้ในเด็กเล็กและเด็กโต แบ่งได้เป็นการติดเชื้อทีไตและกรวยไต และการติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะ การติดเชื้อไตและกรวยไตซ้ำ ๆ อาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญ ได้แก่ ความดันเลือดสูงและโรคไตเรื้อรัง

                                    อ่านต่อ ระวังโรคทางเดินปัสสาวะในเด็ก

                                    กลิ่นคล้ายเนย ในลมหายใจ

                                    อาการที่มีกลิ่นลมหายใจมีกลิ่นเหม็น คล้ายเนย หากเกิดขึ้นกับลูกของคุณแม่ ร่วมกับอาการต่าง ๆ เหล่านี้ เช่น

                                    1. คัดจมูก น้ำมูกข้นเขียวหรือเหลือง
                                    2. ปวดศีรษะ ปวดขมับ ปวดแก้ม ปวดท้ายทอย หนักหัว
                                    3. เสมหะข้นไหลลงคอ ไอบ่อย
                                    4. เลือดออกทางจมูก (พบในบางราย)
                                    5. รายที่เป็นรุนแรงอาจมีไข้สูง ตาบวมอักเสบได้
                                    ไซนัส มีกลิ่นลมหายใจคล้ายเนย
                                    ไซนัส มีกลิ่นลมหายใจคล้ายเนย

                                    รู้หรือไม่ว่าหากมีอาการต่าง ๆ เหล่านี้ลูกอาจเสี่ยงเป็นโรคไซนัสอักเสบได้ ควรพาไปพบแพทย์ จะได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงที การรักษาโรคไซนัสอักเสบนอกจากทำตามที่คุณหมอแนะนำอย่างเคร่งครัดแล้ว การดูแลสุขภาพต่อไปจนหายขาดก็จะทำให้โรคไซนัสอักเสบไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด  แล้วเมื่อนั้นเราก็จะหายใจโล่ง โปร่งสบาย ไม่เหม็นอีกต่อไป

                                    อ่านต่อ ไข้หวัดธรรมดา ไซนัสอักเสบ ภูมิแพ้ แตกต่างกันอย่างไร?

                                    เรื่องของสุขภาพนั้น เป็นเรื่องที่เราควรให้การสนใจเป็นพิเศษ ยิ่งโดยเฉพาะสุขภาพของลูกน้อยของเราแล้ว คงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับคุณแม่ทุกคน เมื่อเราพบว่าร่างกายผิดปกติแม้กระทั่งกลิ่นจากการหายใจ หรือกลิ่นตัวแล้วนั้น ก็ย่อมแสดงว่าโรคภัยต่าง ๆ เริ่มถามหา หรือคุกคามสุขภาพเรากันแล้วอย่างแน่นอน อย่ามัวแต่นิ่งนอนใจ

                                    ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก สถาบันราชานุกูล/ โรงพยาบาลพญาไท/ คณะแพทยศาสตร์รพ.รามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล/คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล /หมอชาวบ้าน/LINE TODAY

                                    อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                                    10 เช็กลิสต์ 12 วินัยป้องกันลูกเป็น โรคขาดสารอาหาร!!

                                    โรคอีสุกอีใส กับความเชื่อผิดๆ พร้อมคำเตือนจากคุณหมอ

                                    5 พาหะนำโรค หน้าฝน ภัยร้ายต่อสุขภาพลูกน้อย

                                    วัคซีนมะเร็งปากมดลูก ฉีดแล้วไม่ตาย ถ้าทำตามที่หมอแนะ

                                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่