Page 147 – AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

สัญญาณมะเร็งเต้านม ก้อนเนื้อที่เต้านมเป็นเพราะอะไร พร้อมวิธีตรวจด้วยตัวเอง

ผู้หญิงทุกคนตรวจเต้านมด้วยตัวเองเป็นประจำ หากจับเจอก้อนเนื้อแข็ง ๆ จับแล้วเจ็บหรือไม่เจ็บ ก็ควรไปพบแพทย์ เพื่อตรวจอย่างละเอียด เพราะก้อนบริเวณเต้านมเป็น สัญญาณมะเร็งเต้านม หากพบว่ามีความเสี่ยง อย่ารอช้า!

ภัยร้าย “มะเร็งเต้านม” มะเร็งอันดับหนึ่ง สาเหตุการเสียชีวิตผู้หญิงทั่วโลก

มะเร็งเต้านมเป็นโรคมะเร็งที่คร่าชีวิตผู้หญิงทั่วโลก จากสถิติพบว่า เพศหญิงเสียชีวิตจากมะเร็งเต้านมอยู่ที่ประมาณ 41,760 รายต่อปี ทั้งยังมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง พบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย ประมาณ 100 เท่า ส่วนสถานการณ์มะเร็งเต้านมของคนไทย ในปี 2557 พบว่าผู้หญิงป่วยเป็นมะเร็งเต้านม 14,804 คน (ผู้หญิงไทยป่วยเป็นมะเร็งเต้านมรายใหม่อย่างน้อย 13,000 คนต่อปีหรือ 35 คนต่อวัน และเพิ่มมากขึ้นทุกปี) ผู้ชายป่วยเป็นมะเร็งเต้านม 162 คน

สัญญาณมะเร็งเต้านม
สัญญาณมะเร็งเต้านม

ปัจจัยเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็งเต้านม

  • อายุและพฤติกรรมการใช้ชีวิตจะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงการป่วยมะเร็งเต้านม เช่น ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ
  • มีประวัติมะเร็งเต้านมในครอบครัว โดยญาติสายตรง พบมากถึง 20 เปอร์เซ็นต์ของผู้ป่วย
  • เคยได้รับการฉายรังสีบริเวณหน้าอก
  • ระดับฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจนสูงกว่าปกติ เริ่มมีประจำเดือนเมื่ออายุน้อยกว่า 12 ปี ประจำเดือนหมดช้าหลังอายุ 55 ปี
  • ผู้หญิงที่ไม่มีลูกหรือมีลูกคนแรกหลังอายุ 30 ปี
  • กินยาฮอร์โมนทดแทนหลังวัยทองนานเกิน 5 ปี และการกินยาคุมกำเนิด

สำหรับผู้ชายหากมีฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงก็มีโอกาสเป็นมะเร็งเต้านมได้เช่นกัน โดยเฉพาะกลุ่มอาการคลายน์เฟลเทอร์ ซึ่งความผิดปกติจากดีเอ็นเอของเพศหญิงเพิ่มขึ้นมาตั้งแต่เกิด ทำให้มีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนสูง ระดับฮอร์โมนเพศชายต่ำ

สัญญาณเตือนมะเร็งเต้านม

  • พบก้อนเนื้อที่เต้านม ใต้รักแร้ ก้อนที่เต้านม โดยก้อนที่เต้านมเป็นสัญญาณของโรค 3 กลุ่ม 1.ซีสต์เต้านม 2.เนื้องอกเต้านม (ไม่ร้าย) 3.มะเร็งเต้านม ซีสต์มักจะเจ็บ แต่มะเร็งมักจะไม่เจ็บ หากพบก้อนเนื้อจึงควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อวินิจฉัยต่อไป
  • เต้านมมีขนาดหรือรูปร่างเปลี่ยนจากเดิม เป็นไปได้ว่ามีความผิดปกติบริเวณเต้านม
  • กดที่หน้าอกแล้วบุ๋ม ผิวหนังที่เต้านมบุ๋มลง หรือบวมหนา ลักษณะพื้นผิวคล้ายเปลือกส้ม รวมถึงสีของผิวหนังที่ลานนม หากมีสีที่เปลี่ยน อาจเกิดจากเซลล์มะเร็งลุกลามถึงชั้นเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง
  • ของเหลวไหลออกมาจากหัวนม อาจมีสีคล้ายเลือด หรือเป็นน้ำเหลือง
  • เจ็บเต้านมทั้งที่ไม่เป็นประจำเดือน หรือมีอาการบวมแดงที่ผิวหนังรอบเต้านม
  • เกิดผื่นคัน ทั้งที่เต้านมหรือหัวนม อาจเป็นผื่นแดงแสบ ๆ คัน ๆ รักษาไม่หาย หรือกลายเป็นแผลตกสะเก็ดแข็ง
  • ผิวหนังที่เต้านมบวม แดง รู้สึกร้อน ๆ
  • เกิดแผลบนเต้านมหรือหัวนม ไม่หายสักที

วิธีตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมด้วยตัวเอง

ผู้หญิงที่อายุเกิน 20 ปีขึ้นไปควรตรวจเต้านมด้วยตัวเองเป็นประจำ และควรเข้ารับการตรวจมะเร็งเต้านมโดยแพทย์ทุก ๆ 3 ปี เริ่มได้ตั้งแต่อายุ 20 ปี สำหรับผู้หญิงอายุ 35 ปีขึ้นไป ควรเริ่มตรวจด้วยเครื่องแมมโมแกรมและอัลตราซาวนด์ อย่างไรก็ตาม วิธีตรวจเต้านมด้วยตัวเองก็สามารถคัดกรองมะเร็งเต้านมระยะเริ่มต้นได้ดี ซึ่งควรตรวจหลังประจำเดือนมา 7 – 10 วัน โดยนับจากวันแรกของการมีประจำเดือน หากไม่มีประจำเดือนแล้ว ให้ตรวจวันเดียวกันทุก ๆ เดือน ด้วยขั้นตอนง่าย ๆ ทำได้ดังนี้

  1. ยืนหน้ากระจก ดูเต้านมทั้ง 2 ข้าง สังเกตขนาด รูปร่าง สีผิว ตำแหน่งเต้านม หัวนม แล้วเปรียบเทียบกันทุก ๆ เดือน
  2. ยกแขนขึ้นเหนือหัวพร้อมกันทั้ง 2 ข้าง ดูที่เต้านม ค่อย ๆ หมุนตัวช้า ๆ ดูบริเวณด้านข้างของเต้านม
  3. มือเท้าเอวแล้วโน้มตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย เพื่อดูความเปลี่ยนแปลง
  4. ใช้นิ้วมือบีบที่หัวนมเบา ๆ ดูว่ามีเลือด หนอง หรือน้ำไหลออกมาหรือไม่
  5. คลำเต้านม ตั้งแต่กระดูกไหปลาร้าลงมา ใช้มือซ้ายคลำเต้านมข้างขวา ให้ใช้นิ้วชี้ นิ้วกลาง และนิ้วนางทั้ง 3 นิ้ว ค่อย ๆ กดลงบนผิวหนังเบา ๆ และกดแรงขึ้น จนกระทั่งสัมผัสกระดูกซี่โครง คลำเต้านมให้ทั่ว ไปจนถึงบริเวณรักแร้ อาจคลำจากหัวนมไปตามแนวก้นหอยจนถึงฐานเต้านม หรือคลำใต้เต้านมถึงกระดูกไหปราร้า
  6. จากนั้นคลำในท่านอนต่อไป ใช้หมอนหนุนไหล่ข้างที่จะทำ แล้วคลำซ้ำ

มะเร็งเต้านมตรวจเจอเร็ว รักษาหายได้ง่าย สิ่งสำคัญคือจิตใจต้องพร้อมต่อสู้ เพื่อเอาชนะมะเร็งร้ายให้ได้ เช่นเดียวกับดารา นักแสดง เหล่านี้ ที่ชีวิตเคยผ่านมรสุมอย่างหนักจากอาการป่วยด้วยโรคมะเร็งเต้านม แต่สุดท้ายก็ฝ่าฟันจนปัจจุบันร่างกายแข็งแรงดีขึ้น

เอ๊ะ-ศศิกานต์ อภิชาตวรศิลป์

เอ๊ะ-ศศิกานต์ อภิชาตวรศิลป์ สัญญาณมะเร็งเต้านม

เครดิตภาพ : IG เอ๊ะ-ศศิกานต์

อดีตนางเอกคนสวย เอ๊ะ-ศศิกานต์ คุณแม่คนสวยของน้องโรนิน ที่ทิ้งวงการบันเทิงไปตั้งรกราก ณ สหรัฐอเมริกา เธอเองก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ต้องเผชิญกับมะเร็งเต้านม แต่ปัจจุบันเธอก็ชนะโรคนี้แล้ว ด้วยครอบครัวของเธอมีประวัติเป็นมะเร็ง คุณพ่อเป็นมะเร็งลำไส้ ส่วนคุณแม่เป็นมะเร็งเต้านมเช่นเดียวกับเธอ ทำให้เธอมีภูมิคุ้มกันด้านจิตใจที่เข้มแข็ง และสามารถดูแลรักษาอาการมะเร็งเต้านมได้อย่างทันท่วงที

แหวนแหวน-ปวริศา เพ็ญชาติ

แหวนแหวน สัญญาณมะเร็งเต้านม

เครดิตภาพ : IG แหวนแหวน-ปวริศา

เป็นทั้งนักแสดงและพิธีกรชื่อดัง แหวนแหวน-ปวริศา เพ็ญชาติ เธอทั้งสวย สดใส ทำงานได้อย่างมืออาชีพ แต่ใครจะรู้ว่า ช่วงหนึ่งแหวนแหวนก็เคยเจอกับปัญหาสุขภาพอย่างโรคมะเร็งเต้านม และได้ผ่าตัดเนื้อร้ายไปตอนอายุ 23 ปี ปัจจุบันหายดีกว่า 99% เพียงแต่ต้องดูแลสุขภาพให้มากยิ่งขึ้น

นุ่น (รุ้งทอง) ดารัณ

นุ่นดารัณ สัญญาณมะเร็งเต้านม

เครดิตภาพ : IG นุ่น-ดารัณ

นักแสดงสาวมากความสามารถ นุ่น-ดารัณ ฐิตะกวิน หรือชื่อเดิม รุ้งทอง ร่วมทอง ก็เป็นคุณแม่หัวใจแกร่ง ที่ต้องผ่าตัดเต้านมออกไป 1 ข้าง เพราะเจ้ามะเร็งเต้านมตัวร้าย แต่เธอก็ผ่านมันมาได้ด้วยกำลังใจจากลูก ๆ เธอเล่าด้วยว่า สิ่งแรกที่ต้องทำคือ มองโลกในแง่ดี เพราะโรคมะเร็งทำให้เครียด แต่ถ้ายอมแพ้คนรอบข้างก็จะแย่ไปด้วย หลังจากการผ่าตัดผ่านพ้นไปด้วยดี เธอก็ต้องเฝ้าดูแลสุขภาพอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกิน

แจง-วราพรรณ หงุ่ยตระกูล

แจง-วราพรรณ หงุ่ยตระกูล

เครดิตภาพ : IG แจง-วราพรรณ

อีกหนึ่งนักแสดงหัวใจแกร่ง แจง-วราพรรณ หงุ่ยตระกูล ที่ต่อสู้กับมะเร็งร้าย ด้วยการตัดเต้านมข้างซ้ายไปทั้งเต้า คุณแจงยังต้องเลาะต่อมน้ำเหลืองออกไปด้วย ทั้งยังต้องรับคีโมอีก แต่เธอก็ฝ่าฟันไปได้ด้วยกำลังใจจากเพื่อน ๆ รวมถึงสามีที่คอยดูแลเอาใจใส่ทั้งร่างกายและจิตใจ ทำให้เธอมีแรงที่จะต่อสู้กับโรคร้าย

อาย-กมลเนตร เรืองศรี

อาย กมลเนตร

เครดิตภาพ : IG อาย-กมลเนตร

ถึงแม้จะไม่ใช่มะเร็งเต้านม แต่นางเอกหน้าหวาน อาย-กมลเนตร ก็ตัดสินใจผ่าตัดหลังจากพบก้อนเนื้อที่หน้าอก เนื่องจากก้อนเนื้อโตขึ้นและมีเส้นเลือดมาเลี้ยง จนอดลุ้นไม่ได้ว่านี่เป็นสัญญาณมะเร็งเต้านมหรือไม่ แต่สุดท้ายก็มีข่าวดีว่า ก้อนเนื้อที่พบไม่ใช่เนื้อร้าย แต่การผ่านพ้นวันเหล่านั้นไปได้ ทำให้เธอเข้าใจว่า ชีวิตคนเรามันแสนสั้น พร้อมกับพบความโชคดีอันเรียบง่าย…โชคดีมากที่วันนี้มีชีวิต

ถึงแม้ว่ามะเร็งเต้านมจะเป็นโรคร้ายที่คร่าชีวิตผู้หญิงทั่วโลก แต่ถ้าตรวจเป็นประจำ พบได้เร็วก็จะรักษาได้ทัน หากมีกำลังใจที่แข็งแรง โรคร้ายก็ชนะได้ไม่ยาก

อ้างอิงข้อมูล : goodlifeupdate, samitivejhospitals, bangkokpattayahospitalและ phyathai

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

อ่านบทความอื่นเพิ่มเติม

เลือดออกทางช่องคลอด ไม่ใช่เลือดประจำเดือน สัญญาณอันตรายที่ต้องไปหาหมอ!

วิธีสังเกตอาการ ซีสต์ในรังไข่ รู้ไว้..รักษาได้ทัน ไม่อันตราย!

แจก!!พิกัด ตรวจภายใน ไม่เจ็บ..ไม่แพง ตรวจได้ทุกวัย

 

    อาหารบํารุงครรภ์

    รีบไปรับ! แจกฟรี “นม-ไข่” อาหารบํารุงครรภ์ ที่แม่ต้องได้กิน (มีรายละเอียด)

    แม่ท้องรีบไปรับ..แจกฟรี “นม-ไข่” อาหารบํารุงครรภ์ ที่แม่ต้องกิน ตามโครงการส่งเสริมโภชนาการแม่และเด็กเชิงรุก รับได้ที่ รพ.สต. ใกล้บ้าน

    แจกฟรี “นม-ไข่” อาหารบํารุงครรภ์ ที่แม่ต้องกิน

    นมและไข่ ถือเป็นหนึ่งใน อาหารบํารุงครรภ์ ที่สำคัญสำหรับแม่ท้อง เพราะการตั้งครรภ์เป็นระยะที่มีการสร้างเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆ เกิดขึ้นมากกว่าปกติ และอัตราการเติบโตของทารกในครรภ์จะสูงกว่าระยะอื่นๆ ของชีวิต ความต้องการสารอาหารและพลังงานระหว่างตั้งครรภ์จึงมีมากกว่าระยะอื่นๆ

    ถ้าแม่ท้องได้รับสารอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง กิน อาหารบํารุงครรภ์ ในปริมาณที่เพียงพอ ก็จะมีสุขภาพสมบูรณ์และให้กำเนิดลูกทารกที่สมบูรณ์ด้วย ในทางตรงกันข้ามถ้าแม่ได้รับอาหารที่ไม่ถูกต้องหรือไม่เพียงพอ ก็มักทำให้เกิดภาวะโลหิตจาง ลูกคลอดก่อนกำหนด แท้ง หรือโลหิตเป็นพิษขณะตั้งครรภ์ได้ รวมถึงลูกทารกที่เกิดมาอาจมีน้ำหนักแรกคลอดน้อย ซึ่งจะมีผลต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการทั้งด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคมและสติปัญญาของเด็กต่อไปในอนาคต

    อาหารบํารุงครรภ์

    ทั้งนี้เพื่อส่งเสริมภาวะโภชนาการในกลุ่มแม่ตั้งครรภ์ แม่หลังคลอด และลูกทารกอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มหญิงตั้งครรภ์ที่มีฐานะยากจน กรมอนามัยจึงได้ทำโครงการส่งเสริมภาวะโภชนาการมารดาและทารกเชิงรุก (เสริม อาหารบํารุงครรภ์ นม-ไข่) ขึ้น เพื่อให้ส่งเสริมภาวะโภชนาการที่ดีให้กับหญิงตั้งครรภ์ คุณแม่และทารกหลังคลอด ป้องกันภาวะซีดก่อนคลอด พร้อมส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ อันจะส่งผลให้ทารกแรกคลอดมีสุขภาพอนามัยที่ดี มีน้ำหนักไม่ต่ำกว่าเกณฑ์และมีพัฒนาการสมวัยซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติต่อไป

    อีกทั้งโครงการนี้ยังมีวัตถุประสงค์เพื่อดูแลและเฝ้าระวังสุขภาพทั้งด้านร่างกายและจิตใจของหญิงตั้งครรภ์ แม่หลังคลอด และเด็กแรกเกิด จนถึงอายุ 5 ปี (เด็กปฐมวัย) เพื่อให้ลูกเกิดรอด แม่ปลอดภัย เด็กมีพัฒนาการสมวัยและเติบโตเป็นประชากรที่มีคุณภาพของประเทศในอนาคต ตลอดจนการส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่และเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของแม่และเด็ก

    โดยหลักเกณฑ์และคุณสมบัติของผู้ลงทะเบียน   มีดังนี้

    1. หญิงตั้งครรภ์ที่ไปฝากครรภ์และมีผลการตรวจเลือดแล้ว
    2. มีทะเบียนบ้านอยู่ในเขตพื้นที่นั้นๆ ไม่น้อยกว่า 6 เดือน และอาศัยอยู่จริง เพื่อให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขและอาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) สามารถติดตามให้บริการสุขภาพที่บ้านได้
    3. สมัครใจปฏิบัติตามนโยบายส่งเสริมการเลี้ยงดูลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว อย่างน้อย 6 เดือน
    4. เป็นหญิงตั้งครรภ์

    อาหารบํารุงครรภ์

    บริการที่จะได้รับหลังจากลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ

    1.หญิงตั้งครรภ์ที่เข้าร่วมโครงการทุกรายจะได้รับการอบรมความรู้การดูแลสุขภาพ (โรงเรียนพ่อแม่) เพื่อให้ความรู้และเสริมทักษะการดูแลตนเองและการเลี้ยงดูบุตร ส่งเสริมการเป็นพ่อแม่คุณภาพ

    2. ได้รับการติดตามบริการสุขภาพที่บ้าน ตั้งแต่ระยะตั้งครรภ์ ระยะหลังคลอด เด็กแรกเกิด – 5 ปี โดยเจ้าหน้าที่สาธารณสุข และ อสม.

    3. ได้รับอาหารส่งเสริมสุขภาพ (นม-ไข่) ดังนี้

    –  กลุ่มหญิงตั้งครรภ์ ได้รับ นมสเตอริไลส์ 30 กระป๋อง  ไข่ไก่ 30 ฟอง ต่อเดือน จนกระทั่งคลอด
    –  กลุ่มแม่หลังคลอด  หากเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว อย่างน้อย 6 เดือน ได้รับนมสเตอริไลส์ 30 กระป๋อง  ไข่ไก่ 30 ฟอง ต่อเดือน  ต่อเนื่อง 6 เดือน
    หมายเหตุ   หากแม่หลังคลอดไม่สามารถปฏิบัติตามนโยบายเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างน้อย 6 เดือนได้ และเริ่มให้นมผงแก่เด็ก ก่อนอายุ 6 เดือน จะสิ้นสุดการรับนม-ไข่ทันที
    – กลุ่มเด็ก 6 เดือน – 1 ปี  ได้รับ นมผง 600 กรัม 2 กล่อง ไข่ไก่ 30 ฟอง

    ทั้งนี้การบริการที่จะได้รับหลังจากลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ ในแต่ละพื้นที่อาจไม่เหมือนกัน สำหรับใครที่กำลังตั้งท้อง อยู่ สามารถไปติดต่อสอบถามการรับ “นม-ไข่” ได้ฟรี!! กับทาง รพ.สต. (โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล) หรือ โรงพยาบาลของอำเภอใกล้บ้านก่อน เพราะบางจังหวัดบางอำเภอก็ไม่ได้ได้เข้าร่วมโครงการนี้

    แต่อย่างไรก็ดีหากไม่ได้รับของแจก และไม่ว่าจะยากดีมีจนหรือมีฐานะอย่างไร คุณแม่ก็ไม่ควรเลี่ยงที่จะไป ฝากครรภ์ พร้อมกินอาหารบํารุงครรภ์ ที่มีประโยชน์นะคะ เพราะหากลูกน้อยได้รับการดูแลอย่างดีตั้งแต่ช่วง 1,000 วันแรกของชีวิต ก็สามารถทำให้มีพัฒนาการที่ดีได้ ช่วยให้เติบโตอย่างมีคุณภาพได้นะคะ


    ขอบคุณข้อมูลจาก : www.hatyaicity.go.thwww.yourfmhatyai.com

     

    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

     

    อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิกที่ภาพด้านล่าง ⇓

    เมนูคนท้อง บำรุงคุณแม่ท้อง และลูกน้อยในครรภ์

    อาการคนท้อง1เดือน เป็นยังไง? พร้อม 5 เคล็ดลับดูแลแม่ท้องอ่อน

    10 รายชื่อหมอสูติ หมอฝากครรภ์ฝีมือดี ที่แม่ท้องบอกต่อ

    10 วิตามินคนท้อง ที่ควรกินเพื่อบำรุงแม่และลูกในท้อง

     

    อาหารเพิ่มน้ำหนักทารกในครรภ์ เพื่อแม่ท้องไตรมาสที่ 2

      พลังบวก

      ทักทายเด็กด้วย “พลังบวก” ดีกว่ามั้ย? โดย พ่อเอก

      คำทักทาย สามารถเป็นได้ทั้ง พลังบวก และ อาวุธร้าย ที่ทำลายความมั่นใจของเด็กคนหนึ่ง เมื่อมีคนทักลูกว่า “ทำไมลูกผิวดำจัง” ประสบการณ์สดใหม่ของภรรยาผม

      ทักทายเด็กด้วย “พลังบวก” ดีกว่ามั้ย?

      ภรรยาผมซึ่งคอยสอนลูกเสมอว่า ‘การทักทายใครต่อใคร ควรหรือไม่ควรใช้คำเช่นไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือไม่ควรทักทายในสิ่งที่เป็นรูปลักษณ์ภายนอก ที่เราเองถ้าได้ฟังแล้วไม่ชอบ ไม่เกิด พลังบวก เราก็ไม่ควรทักทายแบบนั้น’ แต่คงไม่คิดว่าจะมีคนทักลูกเราเอง แบบนั้น ในยุคนี้

      เราเองเคยบอกคนรอบข้างเสมอว่า อย่าทักเรื่องแบบนี้ เพราะเราอยากให้ลูกมั่นใจจากเรื่องดีๆ ที่เค้าทำ ไม่ใช่มั่นใจเพราะแค่รูปลักษณ์ภายนอกที่นิยมในช่วงเวลาหนึ่ง หรือในรสนิยมคนในภูมิภาคหนึ่งๆ แต่ก็มิวายที่เคยมีอยู่ช่วงนึงที่ครอบครัวเราเจอกับคนที่ชอบทักทายเรื่องสีผิวของลูก จนทำให้เจ้าปั้นแป้งพยายามทำอะไรก็ได้ เพื่อจะให้มี “ผิวขาว” เช่น

      “หม่ามี้ขา ถ้าหนูดื่มน้ำเยอะๆ ผิวจะขาวใช่มั้ยคะ”

      “หม่ามี้ขา ถ้าหนู ….. หนูจะผิวขาวใช่มั้ยคะ”

      ภรรยาผมต้อง พยายามหาคำอธิบาย พูดคุยกับลูกสาวในวัย 4 ขวบให้เข้าใจว่า ‘หนูดื่มน้ำ เพื่อให้ผิวสดใส ร่างกายได้ขับของเสีย ไม่ใช่เพื่อผิวขาว หนูออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง ไม่ใช่เพื่อผิวขาว และอื่นๆ ที่ไม่ใช่เพื่อผิวขาว’

      บทความแนะนำ ไขข้อข้องใจ! คนท้องกินน้ำมะพร้าวได้ไหม กินแล้วล้างไข คลอดง่าย ลูกออกมาผิวขาวจริงหรือ?

      ภรรยาผมมีเชื้อสายจีน แต่ก็ไม่ใช่คนจีนแบบ 100% เพราะคุณยายเธอก็เป็นสายไทยแท้ (น้องชายของภรรยาผมก็ “ผิวคล้ำ” แบบว่าคนไม่เชื่อว่า เป็นพี่น้องแท้ๆ) ส่วนตัวผมเอง แม้จะจีนแท้ 100% แต่ก็ไม่ใช่คนผิวขาวจั๊วะ ซึ่งก็อาจจะเพราะการใช้ชีวิตกลางแจ้งเยอะ ยิ่งสมัยเด็กๆเล่นกลางแดดตลอดจนเขาเรียกว่า ลูกคนเก็บขยะ ก็เลยไม่แปลกอะไรที่ลูกๆ ทั้งสองของเราจะมีผิวที่ไม่ได้ขาวแบบพิมพ์นิยม ที่สำคัญ เด็กทั้งสองคนออกกำลังกาย ทำกิจกรรมกลางแจ้งเยอะมากๆ ถึงผิวจะไม่ขาว แต่ลูกเราแข็งแรงมากนะ อาจจะโชคดีที่ปูนปั้นเป็นเด็กชาย เลยไม่ค่อยสนใจใครที่มาทักว่าผิวคล้ำ ทั้งๆที่ตอนเกิดขาวจั๊วะโอโม่ แต่ด้วยการว่ายน้ำ เล่นกีฬาทั้งวิ่ง เตะฟุตบอล ปั่นจักรยาน สเก็ตบอร์ด โรลเลอร์เบลด สารพัด และพ่วงด้วยการท่องเที่ยว การเดินป่า ก็ทำให้เด็กทั้ง 2 โตขึ้นแล้วก็เลยไม่ขาวเหมือนตอนเป็นทารก

      บทความแนะนำ เรียนว่ายน้ำดียังไง 7 ข้อดีที่ควรฝึกลูกว่ายน้ำตั้งแต่เล็ก

      ดังนั้น เลิกทักทายเด็กๆ ด้วยคำพูดเหล่านี้เถอะ มีแต่ทำลาย Self-Esteem ของเด็กที่กำลังเติบโต เช่น

      • ทำไมอ้วนจัง
      • ทำไมผอมจัง
      • ทำไมดำจัง

      หัดทักทายด้วยคำด้านบวก หรือ ทักในสิ่งที่การกระทำที่ดี เช่น หนูยิ้มสวยจังเลย หนูตัวโตดูแข็งแรงขึ้นเยอะเลย หนูเป็นเด็กอดทนเดินกลางแดดขนาดนี้ก็ไม่บ่น อะไรอีกมากมายที่เราสามารถมองด้านดียกด้านดีมาพูดสร้าง พลังบวก ให้เด็กได้ ใครจะว่า เราโลกสวยก็เถอะ เรามีประสบการณ์เติบโตภายใต้คำทักทายแย่ๆมาจริงๆ

      หม่ามี้เองเล่าว่า เธอเติบโตมากับคำทักทายแบบนี้ จนกลายเป็นคนไม่มั่นใจในหน้าตารูปร่างของตัวเอง สุดท้ายคิดว่าจะจบปัญหาไม่อยากฟังคนทักทายแบบนี้อีกด้วยการไปเสริมความงามต่างๆ แต่ก็ยังมิวายมีคนไปทัก ไปติเรื่องอื่น จนวันที่โตขึ้น เธอรู้สึกว่า “เราจะไม่ใส่ใจคำพูดคนพวกนี้อีกแล้ว”  และหันมาเคารพกับสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่ และคิดว่าเราเป็นคนดี จริงใจ เคารพในสิทธิ์ของคนอื่นก็พอ

      ส่วนตัวผมเอง ก็ไม่เคยลืมการถูกเรียกถูกทักแย่ๆ ในตอน ป.2 ในสมัยนั้น คำว่าเจ๊ก ถูกเรียกแบบเหยียดๆ แล้วก็มีเพื่อนที่ชอบเรียกผมว่า ‘ไอ้เจ๊กกบฏ’ ซึ่งทำเอาผมไม่อยากไปโรงเรียนและก็ไม่กล้ามาเล่าให้ที่บ้านฟังด้วย จนปัจจุบันผมยังฝังใจไม่ชอบเพื่อนคนนั้นอยู่เลย

      คุยเรื่องนี้ทีไร ภรรยาผมชอบยกเพลง Beautiful ของ Christina Aguilera มาประกอบ แต่ตัวผมเองนั้นชอบเพลง The Greatest Love of All ของ Whitney Houston มากกว่า ทั้ง 2 เพลง ทำให้เราเห็นความงามจากภายในของเราเอง

      บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

      60 ที่เที่ยวใกล้กรุงเทพ เหมาะกับลูกเล็ก โดยพ่อเอก

      6 ข้อดีที่ผมได้เรียนรู้ จากประสบการณ์ พาลูกท่องเที่ยว โดย พ่อเอก

      5 เทคนิค อ่านหนังสือให้ลูกฟัง เริ่มตอนไหน? อ่านยังไง? โดย พ่อเอก

      แชร์เทคนิค”สอนลูกให้รู้จักรับผิดชอบ”ตั้งแต่เด็ก โดย พ่อเอก

      แชร์ประสบการณ์ ฝึกวินัยการกินให้ลูก กินข้าวตรงเวลา โดยพ่อเอก


      >>แวะไปดู รอยยิ้มหวานฉ่ำ ที่มีแจกฟรีทุกวันได้ที่เฟซบุ๊ค

      หมุนรอบลูก – พี่ปูนปั้น กับ น้องปั้นแป้ง นะครับ<<

      ปูนปั้น ปั้นแป้ง พ่อเอก
      ปูนปั้น ปั้นแป้ง พ่อเอก เพจหมุนรอบลูก

       

       

      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

       

        ยาหม่องเด็ก

        ของใช้ที่คุณแม่ควรมีติดบ้าน เพื่อให้ลูกน้อยสบายตัว

        วันนี้แม่ ABK อยากจะมาแชร์กลเม็ดเคล็ดลับที่ใช้ดูแลลูกที่บ้านแบบง่ายๆ ด้วย “ยาหม่องเด็ก” อย่าเพิ่งตกใจที่ว่าใช้ยาหม่องกับลูก เพราะที่แม่ใช้นี่เป็นยาหม่องสำหรับเด็กจริงๆ ไม่ใช่ยาหม่องของผู้ใหญ่นะคะ มาดูกันว่าทีมแม่ ABK ใช้ดูแลบรรเทาอาการอะไรให้ลูกที่บ้านกันบ้างค่ะ

         

        ยาหม่องเด็ก ใช้แก้อาการอะไรได้บ้าง ?

        วันนี้แม่ ABK อยากจะมาแชร์กลเม็ดเคล็ดลับที่ใช้ดูแลลูกที่บ้านแบบง่ายๆ ด้วย “ยาหม่องเด็ก” อย่าเพิ่งตกใจที่ว่าใช้ยาหม่องกับลูก เพราะที่แม่ใช้นี่เป็นยาหม่องสำหรับเด็กจริงๆ ไม่ใช่ยาหม่องของผู้ใหญ่นะคะ มาดูกันว่าทีมแม่ ABK ใช้ดูแลบรรเทาอาการอะไรให้ลูกที่บ้านกันบ้างค่ะ

        ยาหม่องเด็ก

        ยาหม่องเด็ก กับรอยแดง อาการคันผิว

        เวลาพาลูกออกไปวิ่งเล่นนอกบ้าน หรือพาไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ บางทีเราดูแลลูกชนิดที่ว่า ยุงไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม แต่บางครั้งก็เกิดสถานการณ์ไม่คาดคิดขึ้นจนได้ ลูกถูกยุงกัด มดกัด แมลงกัดต่อย ฯลฯ แต่ทุกครั้งแม่ก็จัดการบรรเทาอาการคัน บวม แดง ของลูกน้อยได้อย่างทันที เพราะพก คิดดี้ บาล์ม สีเขียว (ตลับสีเขียว) ไว้ที่บ้าน หรือใส่กระเป๋าติดตัวหยิบใช้ได้ตลอดเวลา

        ยาหม่องเด็ก

        ดังนั้นถ้าแม่บ้านไหนที่มักจะเจอกับปัญหาผิวลูกมีอาการคัน ปวด บวม แดง จากแมลงสัตว์กัดต่อย  แม่บ้านนี้แนะนำให้รีบล้างทำความสะอาดแผลด้วยน้ำสะอาด แล้วบรรเทาอาการลูกด้วย คิดดี้ บาล์ม สีเขียว (ตลับสีเขียว) ทันทีค่ะ ขอบอกว่าบริเวณผิวที่ถูก ยุง มด แมลงกัดกัดต่อย ถ้าไม่รีบบรรเทาอาการ แล้วลูกเล็กๆ เกิดเกาผิวตรงที่คัน เกามากๆ เสี่ยงต่อการเกิดแผล ติดเชื้อ หรือผิวหนังอักเสบได้นะคะ ทีมแม่ ABK ขอแชร์เคล็ดลับลดรอยดำรอยแดงจากแมลงกัดต่อยบนผิวลูก สามารถทา คิดดี้ บาล์ม สีเขียว ทาบ่อยได้ตามต้องการ รอยดำรอยแดงบนผิวลูกก็จะจางลง ลดการเป็นแผลเป็นได้ด้วย

        ส่วนอีกหนึ่งปัญหาที่เชื่อว่าแม่ๆ น่าจะทุกบ้านที่มีลูกเล็ก เด็กวัยเรียน เวลาเป็นหวัดแล้วมักจะมีอาการคัดจมูก หายใจไม่สะดวก หัวอกอย่างเราๆ นี่สงสารลูกมากค่ะ ยิ่งตอนนอนกลางคืน ลูกงอแง นอนไม่หลับ เพราะหายใจไม่โล่ง น้ำมูกแน่นคัดจมูกไปหมด สำหรับแม่มือใหม่อาจมีคำถามว่า แล้วจะรู้ได้ไงว่า “ลูกมีอาการคัดจมูก”

        • หายใจเสียงดังครืดคราด
        • นอนไม่ค่อยหลับ เพราะแน่นจมูก
        • ชอบอ้าปาก เพื่อหายใจได้สะดวก

         

        “คิดดี้ บาล์ม สีขาว (ตลับสีชมพู)”

        ถ้าลูกมีอาการตามนี้ให้รู้ไว้เลยว่า อาการคัดจมูกมาแล้วจ้ะแม่จ๋า ซึ่งวิธีที่บรรเทาอาการคัดจมูกเบื้องต้นที่ทีมแม่ ABK ใช้กับลูก คือ

        1. ถ้าลูกมีน้ำมูกแน่นจมูก จะใช้ลูกยางสำหรับดูดน้ำมูก ดูดออกมาค่ะ
        2. หรือใช้เป็นน้ำเกลือ สำหรับฉีดล้างจมูก ก็เป็นวิธีเคลียร์น้ำมูกในรูจมูกให้ออกไป ทำให้ลูกโล่งจมูก หายใจได้สบายขึ้นค่ะ
        3. แต่เพื่อให้ลูกหลับสบาย หายใจโล่ง แม่บ้านนี้ขอแนะนำให้มี “คิดดี้บาล์ม” เพิ่มอีกหนึ่งตัวช่วยค่ะ ขอบอกว่าทาแล้วไม่มีอาการหายใจฟืดฟาด และไม่แสบผิวด้วยนะคะ สามารถทาได้บริเวณเสื้อนอน ผ้าอ้อม หน้าอก เพื่อให้ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ เวลานอน และนี่คือผู้ช่วยที่ทีมแม่ ABK มีติดบ้านไว้ตลอด ขาดไม่ได้เลยนะจะบอกให้

        ยาหม่องเด็ก

        “คิดดี้ บาล์ม สีขาว (ตลับสีชมพู)” เป็นยาหม่องที่ใช้กับเด็กโดยเฉพาะ ช่วยบรรเทาอาการคัดจมูก เวลาที่เป็นหวัด ช่วงนอนกลางคืน ถ้าจะให้ลูกนอนหลับสบาย ไม่มีอาการคัดจมูกมาขัดจังหวะการนอน ให้ทาคิดดี้ บาล์ม สีขาว (ตลับสีชมพู) ที่หน้าอก และคอ ก่อนนอนทุกวันจนกว่าอาการหวัดจะหายดี หรือระหว่างวันที่ลูกต้องออกไปทำกิจกรรมนอกบ้าน เช่น ไปโรงเรียน คุณแม่ใส่ไว้ในกระเป๋ากระเกง – กระโปรงลูก ไว้หยิบขึ้นมาสูดดมเวลาที่รู้สึกคัดแน่นจมูก

         

        ทีมแม่ ABK ขอย้ำให้อีกที เผื่อแม่ๆ บ้านอื่นอยากจะใช้ “ยาหม่องเด็ก” แบบแม่บ้านนี้บ้าง

        1. Kiddy Balm (คิดดี้ บาล์ม) เป็นยาหม่องที่อ่อนโยนและปลอดภัย ออกแบบมาเผื่อเด็กใช้ค่ะ ใช้ได้กับเด็กอายุตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป ฉะนั้นเวลาที่ใช้ทาผิวลูก จะไม่ทำให้แสบร้อนผิว แต่ถ้ายาหม่องทั่วไปที่ผู้ใหญ่ใช้กัน อันนั้นไม่เหมาะใช้ทาผิวลูกกันนะคะ เพราะมีฤทธิ์ร้อนต่อผิวบอบบางของลูกค่ะ
        2. Kiddy Balm (คิดดี้ บาล์ม) มีส่วนผสมจากสมุนไพร เช่น น้ำมันยูคาลิปตัส เกร็ดสาะแหน่ และการบูร ส่วนผสมธรรมชาติ ปลอดภัยต่อผิวลูก
        3. คิดดี้ บาล์ม สีเขียว (ตลับเขียว) ใช้สำหรับบรรเทาอาการจากแมลงสัตว์กัดต่อย ส่วน คิดดี้ บาล์ม สีขาว (ตลับสีชมพู) ใช้สำหรับบรรเทาอาการคัดจมูก เนื่องจากหวัด

        แม่ชี้เป้าให้ค่ะว่าจะซื้อ คิดดี้ บาล์ม กันได้ที่ไหนบ้าง สถานที่จำหน่าย มีที่ร้านขายยาทั่วไป , ร้ายยา Pure ในบิ๊กซี (ทุกสาขา) และสั่งซื้อได้ใน Line Official ถ้วยทอง @GoldenCup

        แม่บ้านนี้ซื้อมาใช้ตลับแค่ 50 บาท (ปกติ 55 บาท) 2 ตลับ 100 เดียวเอง แต่คุณภาพ สรรพคุณเขาคับตลับมากจ๊ะ อย่าว่างั้นงี้ เวลาแม่แน่นคัดจมูก ก็หยิบมาใช้สูดดมอยู่บ่อยๆ ค่ะ ดูข้อมูล คิดดี้บาล์ม เพิ่มเติม ได้ที่ www.goldencup.co.th/kiddybalm

         

        KIDDY BALM คิดดี้ บาล์ม

        ปัญหาสุขภาพเล็กๆ น้อยๆ ของลูก ถ้าแม่ดูแลบรรเทาอาการได้อย่างทันท่วงที ก็สบายใจได้ว่าจะไม่มีอาการแทรกซ้อนต่างๆ ที่กระทบกับสุขภาพร่างกายเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ลองนำเทคนิควิธีที่ทีมแม่ ABK นำมาฝากไปลองใช้กันดูนะคะ เพื่อลูกน้อยมีสุขภาพดี พัฒนาการรอบด้านมีประสิทธิภาพค่ะ

         

          ให้นมลูกกิน กาแฟ ชา น้ำอัดลมได้ไหม

          หมอตอบชัด!!แม่ให้นมกินน้ำอัดลม ชา กาแฟ คาเฟอีนส่งถึงลูกไหม

          กาแฟ กับแม่ท้องเป็นสิ่งไม่คู่กัน แต่แม่จ๋าเตรียมเฮได้ หมอแนะวิธีทานกาแฟสำหรับแม่ให้นมลูก ว่าทานอย่างไรไม่ทำให้คาเฟอีนตกค้างในน้ำนมแม่ ลูกปลอดภัย แม่ได้ฟิน

          หมอตอบชัด!!แม่ให้นมกินน้ำอัดลม ชา กาแฟ คาเฟอีนส่งถึงลูกไหม

          ไหนจะคาเฟ่เปิดใหม่ ไหนจะกลิ่นหอมของกาแฟเตะจมูกแทบทนไม่ไหว แบบนี้คุณแม่จึงเกิดคำถามในใจกันใช่ไหมละว่า แม่ให้นมลูกจะกินกาแฟได้ไหม? ทีมแม่ ABK เรารู้ใจแม่ทุกคน วันนี้จึงได้หาคำตอบ มาตอบคำถามที่แม่หลาย ๆ คนเรียกร้องกันมาให้หายข้องใจกันเสียทีว่า แม่ให้นมลูกอย่างเราจะฟินกับกาแฟหอม ๆ รสละมุนได้หรือไม่

          กาแฟ กับการให้นมลูกทำได้จริงหรือ?
          กาแฟ กับการให้นมลูกทำได้จริงหรือ?

          คาเฟอีน (caffeine) เป็นสารที่พบได้ใน เมล็ด ผล และใบจากพืชบางชนิด โดยพบมากในเมล็ดกาแฟ และเป็นที่นิยมกันอย่างมากในปัจจุบัน นอกจากนี้ยังมีการสังเคราะห์ขึ้นมาได้อีกด้วย คาเฟอีนมีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง จึงมีการนำมาใช้ประโยชน์เพื่อกระตุ้นสมองให้ตื่นตัว ตลอดจนใช้รักษาโรคบางอย่าง เช่น โรคปวดศีรษะ โรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ นอกจากนี้ทารกที่คลอดก่อนกำหนดบางรายอาจได้รับคาเฟอีนเพื่อกระตุ้นการหายใจ ดังนั้นคาเฟอีนจึงไม่ได้เป็นเพียงสารที่ให้แต่โทษอย่างที่เข้าใจกัน หากใช้ในปริมาณที่เหมาะสมก็สามารถใช้ประโยชน์จากสารคาเฟอีนนี้ได้เช่นกัน

          ส่วนด้านเครื่องดื่มเราจะพบคาเฟอีนในเครื่องดื่มหลายชนิด เช่น กาแฟ ชา น้ำอัดลม เครื่องดื่มชูกำลัง คาเฟอีนจึงไม่ได้มีแต่เพียงในกาแฟแก้วโปรดของคุณพ่อคุณแม่เท่านั้น การได้รับคาเฟอีนเป็นประจำโดยเฉพาะในปริมาณมากอาจส่งผลกระทบต่อร่างกายได้ และการที่สารคาเฟอีนมีอยู่ในเครื่องดื่มชนิดอื่น ๆ นอกจากกาแฟด้วยแล้ว การที่เราจะคำนวณปริมาณสารคาเฟอีนจึงต้องรู้ปริมาณของมันในเครื่องดื่มอื่น ๆ ที่เรารับประทานในแต่ละวันรวมด้วย

          จำกัดปริมาณคาเฟอีนได้ด้วยการนับ

          ปริมาณคาเฟอีนในเครื่องดื่มมีมากน้อยแตกต่างกันไป ขึ้นกับชนิดของเครื่องดื่ม และความนิยมในการบริโภคของแต่ละท้องถิ่นหรือแต่ละคน กล่าวคือ ในเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนปริมาณเท่ากันของแต่ละคน อาจมีปริมาณคาเฟอีนไม่เท่ากัน เช่น ในกาแฟหนึ่งแก้ว บางคนชอบเข้มข้นใส่กาแฟ 2 ช็อต ก็ย่อมมีปริมาณคาเฟอีนมากกว่ากาแฟแบบบาง ๆ อ่อน ๆ

          ดังนั้นจะขอกล่าวถึงปริมาณของคาเฟอีนโดยทั่วไปในรูปแบบที่เตรียมเสร็จแล้วและพร้อมสำหรับดื่มนั้น ในกาแฟจะมีปริมาณคาเฟอีนมากกว่าชาและมากกว่าช็อกโกแลต ตามลำดับ เครื่องดื่มปริมาตร 1 แก้ว (ขนาด 240-250 มิลลิลิตร)

          • กาแฟ                  มีปริมาณคาเฟอีน 60-200 มิลลิกรัม
          • ชา                       มีปริมาณคาเฟอีน 10-50 มิลลิกรัม
          • ช็อกโกแลต        มีปริมาณคาเฟอีน 2-5 มิลลิกรัม
          • กาแฟที่สกัดเอาคาเฟอีนออก (decaffeinated coffee) ยังคงมีคาเฟอีนหลงเหลืออยู่เล็กน้อย โดยในเครื่องดื่ม 1 แก้วอาจมีปริมาณ  คาเฟอีนราว 3 มิลลิกรัม
          กาแฟช่วยแม่กระปี้กระเป่า แต่ไม่ควรกินมากเพื่อลูก
          กาแฟช่วยแม่กระปี้กระเป่า แต่ไม่ควรกินมากเพื่อลูก

          จะเห็นได้ว่าปริมาณคาเฟอีนมีอยู่ในเครื่องดื่มหลายชนิด ดังนั้นเราจึงควรระวังและจำกัดปริมาณคาเฟอีนที่ร่างกายจะได้รับในแต่ละวัน สำหรับคุณแม่ที่ให้นมลูก คาเฟอีนสามารถขับออกทางน้ำนมได้ดังนั้นแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยนมตนเองหากดื่มกาแฟปริมาณมากอาจส่งผลถึงปริมาณคาเฟอีนแก่ลูกได้

          อ่านต่อ ดื่มกาแฟขณะตั้งครรภ์ แม้ในปริมาณพอดีก็มีผลให้ลูกตัวเล็กได้

          กาแฟในน้ำนมแม่

          คุณเป็นคนหนึ่งที่ติดกาแฟหรือเปล่า? แม่ที่ให้นมลูกจำนวนไม่น้อยติดกาแฟ หากสามารถเลิกดื่มได้ควรเลิกดื่มกาแฟในช่วงให้นมลูกนี้ไปก่อนเพื่อความสบายใจ และปลอดภัยของลูกน้อย แต่หากไม่สามารถเลิกได้ หรือต้องการความฟินจากรสชาติของกาแฟให้ชีวิตได้มีรสชาติกันสักหน่อยก็มิได้เป็นเรื่องที่ผิดแต่อย่างใด แต่คุณแม่อาจต้องรับประทานให้น้อยที่สุด แม้ว่าคาเฟอีนในน้ำนมไม่ได้ส่งผลเสียร้ายแรงต่อลูก แต่อาจมีผลรบกวนพฤติกรรมบางอย่างของลูกได้ โดยเฉพาะเมื่อให้นมแก่ทารกแรกคลอด ทารกที่คลอดก่อนกำหนด หรือทารกที่อายุน้อยกว่า 3 เดือน โดยทั่วไปการบริโภคคาเฟอีนในปริมาณน้อยกว่า 200 มิลลิกรัม หรือดื่มกาแฟ 1-2 แก้ว (บางแหล่งข้อมูลอาจกำหนดไว้มากกว่านี้) มักไม่ส่งผล กระทบต่อทารก อย่างไรก็ตามไม่มีการศึกษาที่สนับสนุนอย่างชัดเจนว่าแม่ที่ให้นมลูกควรกำหนดปริมาณการบริโภคคาเฟอีนไว้ไม่เกินเท่าใด ในบางประเทศเคยกำหนดปริมาณไว้ที่ 300 มิลลิกรัม แต่ต่อมาลดเหลือ 200 มิลลิกรัม

          ปริมาณคาเฟอีนในน้ำนมจะมากหรือน้อยขึ้นกับปริมาณที่แม่บริโภค คาเฟอีนถูกขับออกทางน้ำนมได้ดีและรวดเร็ว พบระดับคาเฟอีนสูงสุดในน้ำนมที่เวลา 1-2 ชั่วโมงหลังจากแม่ดื่มกาแฟ ปริมาณคาเฟอีนออกมาในน้ำนม 0.06-1.5% ของขนาดที่แม่ได้รับ หรือประมาณได้ว่าทารกที่ดื่มนมแม่น่าจะได้รับคาเฟอีนราว 7-10% ของปริมาณที่มารดาได้รับเมื่อปรับค่าตามน้ำหนักตัว หากแม่ได้รับคาเฟอีนน้อยกว่า 100 มิลลิกรัม จะมีคาเฟอีนในน้ำนมต่ำมากจนวัดไม่ได้ (ต่ำกว่า 0.2 มิลลิกรัมต่อลิตร) คาเฟอีนมีค่าครึ่งชีวิตในน้ำนม 4-6 ชั่วโมง (หมายความว่าทุก ๆ ช่วงเวลาดังกล่าวปริมาณคาเฟอีนในน้ำนมจะลดลงไปครึ่งหนึ่ง)

          ให้นมลูก กินกาแฟได้ไหม?
          ให้นมลูก กินกาแฟได้ไหม?

          สังเกตอาการลูก วิธีง่าย ๆ ก่อนดื่มกาแฟ

          ถึงแม้จะไม่มีผลการวิจัยที่ชัดเจนว่าแม่ที่ให้นมลูกสามารถดื่มกาแฟในปริมาณเท่าใดที่จะไม่เป็นอันตรายต่อการให้นมลูกก็ตาม แต่ขึ้นชื่อว่าคนเป็นแม่แล้ว ก็คงต้องคำนึงถึงลูกเป็นอันดับแรกกันใช่ไหม วันนี้จึงมีคำแนะนำดี ๆ จากคุณหมอ สุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ ที่ได้ให้คำแนะนำไว้ในเพจเฟสบุ๊กของคุณหมอว่า

          สำหรับคุณแม่ให้นมลูกนั้น ###ไม่เหมือนกับคุณแม่ตั้งครรภ์ค่ะ คุณแม่ให้นมลูกสามารถกินกาแฟได้ค่ะ
          แหม… ก็เลี้ยงลูก เหนื่อยและอดนอนมากมาย การกินกาแฟให้พอชื่นใจ วันละ 1-2 แก้ว หรืออาจได้ถึง 3 แก้ว ย่อมทำได้ค่ะ ถ้าสังเกตอาการลูก ไม่มีความผิดปกติ ไม่งอแง ไม่ยอมดูดนม ไม่หลับไม่นอน ก็แสดงว่ากินได้ แต่ถ้ามีอาการ ก็แสดงว่าคุณแม่กินเยอะเกินไป ให้ลดปริมาณลงมาค่ะ และควรกินกาแฟที่ไม่ผสมนมวัว เพื่อลดความเสี่ยงที่ลูกจะแพ้นมวัวแล้วทำให้ป่วยบ่อยๆค่ะ หรือถ้าแม่มีกินนมวัวบ้างเล็กน้อย ให้สังเกตอาการแพ้ของลูกด้วยค่ะ เช่น อาการงอแงมากกว่าปกติ ผื่นผิวหนังอักเสบ คันตามตัว อาการของระบบทางเดินอาหาร เช่น อาเจียน ปวดท้อง ถ่ายเหลว ระบบทางเดินหายใจ เช่น คัดจมูก หายใจครืดคราด คันตา เลือดกำเดาไหล และ อาการเจ็บป่วยบ่อยๆ ถ้ามีก็ลองหยุดดูว่าดีขึ้นไหม ถ้าไม่ดีขึ้น ก็แสดงว่าน่าจะเป็นจากสาเหตุอื่นค่ะ แต่ถ้าดีขึ้น ก็ควรงดกินนมวัวเพื่อไม่ให้ลูกต้องป่วยบ่อยๆ
          คาเฟอีนในกาแฟมากไปมีโทษ
          คาเฟอีนในกาแฟมากไปมีโทษ
          ขอสรุปวิธีการทานกาแฟในช่วงที่ต้องให้นมลูกไว้เป็นข้อ ๆ ดังนี้
          1. สังเกตอาการลูกว่าปริมาณกาแฟที่แม่ทานเยอะไปหรือยัง หากลูกทานนมแม่แล้วมีอาการผิดปกติ งอแง ไม่หลับไม่นอน ไม่ยอมดูดนม นั่นเป็นอาการแสดงว่า เขาได้รับปริมาณคาเฟอีน คุณแม่ควรลดปริมาณกาแฟลง อาการผิดปกติดังกล่าวก็จะค่อย ๆ ดีขึ้น เพราะฤทธิ์คาเฟอีนในตัวลูกจะลดลงอย่างชัดเจนภายใน 2 สัปดาห์หรือเร็วกว่านี้
          2. ควรกินกาแฟที่ไม่ผสมนมวัว เพื่อลดความเสี่ยงที่ลูกจะเกิดอาการแพ้นมวัว ซึ่งจะมีอาการดังต่อไปนี้ ผื่นผิวหนังอักเสบ คันตามตัว อาเจียน ปวดท้อง ถ่ายเหลว คัดจมูก หายใจครืดคราด คันตา เลือดกำเดาไหล เป็นต้น
          3. สำหรับคุณแม่ที่ลูกเล็กกว่า 6 เดือน คาเฟอีนที่ถูกส่งผ่านไปถึงทารกจะอยู่ในตัวลูกนานกว่า เพราะตับที่ยังไม่พัฒนาเต็มที่ จึงควรระวังการสะสมของคาเฟอีนในร่างกายลูก และเด็กในช่วงวัยนี้ มีโอกาสในการแพ้อาหารสูง หากคุณแม่ทานกาแฟที่มีนมวัวเป็นส่วนประกอบ ก็อาจทำให้ลูกเสี่ยงแพ้นมวัวมากยิ่งขี้นไปอีก จึงอยากแนะนำว่าให้อดใจรอไม่ทานกาแฟเลยจนลูกโตเกิน 6 เดือนขึ้นไปจะดีกว่า
          4. ถ้าเป็นห่วงเรื่องคาเฟอีนในน้ำนม เพื่อเพิ่มความมั่นใจก็สามารถให้ลูกกินนมแม่ก่อนแม่ทานกาแฟ หรือเลือกเว้นระยะการให้นมหรือปั๊มนม 2 ชม.หลังจากที่ได้ดื่มกาแฟ เพราะหลังทานกาแฟจะเป็นช่วงที่วัดระดับคาเฟอีนได้สูงที่สุด หลังจากนั้นระดับคาเฟอีนจะลดลงเอง โดยจะปั๊มหรือไม่ปั๊มนมทิ้งก่อนก็ได้

            ปั๊มนมหลังกิน กาแฟ 2 ชั่วโมงลดคาเฟอีนในนม
            ปั๊มนมหลังกิน กาแฟ 2 ชั่วโมงลดคาเฟอีนในนม
          5. การกินกาแฟที่เข้มข้น หรือปริมาณมากกว่า 3 แก้วต่อวัน ทำให้ระดับธาตุเหล็กในนมแม่ลดลงถึง 30% แม้ว่าคาเฟอีนในน้ำนมไม่ได้ส่งผลเสียร้ายแรงต่อทารก อย่างไรก็ตามหากแม่ที่บริโภคคาเฟอีนปริมาณสูงเป็นประจำ เช่น วันละ 750 มิลลิกรัมหรือมากกว่านี้ อาจส่งผลต่อพฤติกรรมบางอย่างของทารกอันเกิดจากฤทธิ์คาเฟอีนที่กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง เช่น นอนน้อยลง ตื่นง่าย กระสับกระส่าย งอแง อยู่ไม่สุข ดูดนมได้ไม่ดี นอกจากนี้แม่ที่ดื่มกาแฟเกินกว่าวันละ 450 มิลลิลิตร (หรือ 2 แก้ว) เป็นประจำ อาจทำให้ธาตุเหล็กในน้ำนมลดลง ในระยะยาวอาจทำให้ทารกที่บริโภคนมแม่เพียงอย่างเดียวเกิดภาวะโลหิตจางได้เล็กน้อยจากการขาดเหล็ก
          6. สรรพคุณของคาเฟอีนในชา กาแฟ โคล่า โกโก้ ทำให้กระปรี้กระเปร่า แต่มันมีสรรพคุณในการขับน้ำและลดการดูดซึมของสารอาหารต่างๆ ดังนั้นถ้าจะทานก็ไม่ควรทานพร้อมกับวิตามิน (ลดการดูดซึม ประสิทธิภาพของวิตามินจะต่ำลง) และควรทานน้ำให้มากขึ้นเพื่อทดแทนน้ำนมที่ถูกขับออกมา และควรทานกาแฟพร้อมนมถั่วเหลืองที่มีแคลเซี่ยม เพื่อลดความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุนได้

          อ่านต่อ ภาวะซีดจากการขาดธาตุเหล็ก ส่งผลไอคิวลดลงเมื่อเข้าสู่วัยรุ่น

          อย่างที่คุณหมอได้แนะนำกันไปว่า การทานกาแฟกับการให้นมลูกสามารถทำได้เพียงแต่ต้องเพิ่มความระมัดระวังให้ดี เพราะคาเฟอีนก็มีผลต่อเจ้าตัวน้อยของคุณแม่ โดยได้รับผ่านทางน้ำนม และที่สำคัญนอกจากต้องระวังในเรื่องปริมาณของกาแฟต่อวันแล้ว แม่ยังต้องคำนึงถึงเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีนชนิดอื่นด้วย เพราะไม่ได้มีเพียงแค่กาแฟเท่านั้น ทั้งชา น้ำอัดลม เครื่องดื่มชูกำลัง และช็อกโกแลต  ก็ล้วนแล้วแต่มีคาเฟอีนทั้งสิ้น แม้จะตามใจปากอย่างไรก็อย่าลืมนึกถึงผลกระทบต่อลูกน้อยให้มากกว่ารสชาติที่ถูกปากก็แล้วกัน

          ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิง FB:นมแม่แฮปปี้ / คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล / FB:สุธีรา เอืื้อไพโรจน์กิจ

          อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

          8 ตัวการทำ “น้ำนมหด น้ำนมน้อย” แม่ลูกอ่อนอย่าหาทำ!!

          เทคนิค 5 ดูดให้ทารก ดูดนม จากเต้าได้ดี ลูกแข็งแรง แม่น้ำนมเยอะ

          Magic hold อุ้มท่านี้ลูกชอบ..ไม่ต้องห่วง กระดูกสันหลังคด

          เลิกเต้าไม่เศร้าใจ เผยเทคนิค หย่านม ทำได้ใน 10 วัน

          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

            น้ำนมหด

            8 ตัวการทำ “น้ำนมหด น้ำนมน้อย” แม่ลูกอ่อนอย่าหาทำ!!

            แม่ทุกคนทราบดีถึงคุณค่าทุกหยดของนมแม่ จึงเฝ้าทำทุกวิถีทางให้มีนมแม่เพียงพอให้ลูกได้กินไปนาน ๆ แต่หากคุณแม่เผลอไปทำ 8 สิ่งนี้ คุณแม่อาจต้องเจอปัญหา น้ำนมหด น้ำนมน้อย แน่นอน!

            8 ตัวการทำ “น้ำนมหด น้ำนมน้อย” แม่ลูกอ่อนอย่าหาทำ!!

            ปัญหาที่แม่ให้นมบุตร แม่นักปั๊มไม่อยากเจอคือ น้ำนมหด น้ำนมน้อยลง เพราะแม่ทุกคนทราบดีว่าการกู้น้ำนมให้กลับมามีปริมาณเท่าเดิมเป็นเรื่องที่ยากกว่าตอนกระตุ้นให้มีน้ำนมหลังคลอดมาก และปัญหา น้ำนมหด น้ำนมน้อยลงนั้น มีสาเหตุมาจากการกระทำของคุณแม่ทั้งสิ้น ดังนั้น มาดูตัวการทำ น้ำนมหด น้ำนมน้อยลง ว่ามีกี่สาเหตุกันบ้าง?

            1. ลูกเข้าเต้า / ปั๊มนมไม่ตามรอบ

            ปกติแม่ฟูลไทม์ที่เน้นเอาลูกเข้าเต้า เด็กแรกเกิดมักจะตื่นขึ้นมาดูดนมบ่อย ๆ อยู่แล้ว โดยส่วนมากจะตื่นมาทานนมทุก ๆ 2-3 ชั่วโมง ซึ่งทุก 3 ชั่วโมง เป็นรอบที่คุณแม่ต้องเคลียร์เต้าเพื่อให้มีน้ำนมเพียงพออยู่แล้ว ดังนั้นหากลูกตื่นมาทานทุก ๆ 2-3 ชั่วโมง ก็จะทำให้คุณแม่มีน้ำนมเพียงพอให้ลูกทาน แต่หากช่วงกลางคืน ลูกนอนยาว คุณแม่ก็ควรจะต้องตื่นมาปั๊มนมทุก ๆ 3 ชั่วโมง อย่าให้ขาด เพราะการนอนยาวไปพร้อมกับลูก ก็อาจเป็นตัวการทำให้น้ำนมน้อยลงได้เช่นกัน

            สำหรับแม่นักปั๊ม ก็ควรจะปั๊มนมทุก ๆ 3 ชั่วโมง โดยให้นับรอบปั๊มตั้งแต่เวลาที่เริ่มปั๊ม เช่น เริ่มปั๊มตอน 12.00 น. รอบถัดไปที่ควรเริ่มปั๊มคือ 15.00 น. และ 18.00 น. เช่นกัน หากคุณแม่นอนยาวจนเลยเวลารอบปั๊ม ก็อาจทำให้น้ำนมหดลงได้

            ปั๊มนม
            ปั๊มนม

            2. แม่ปั๊มนม / ลูกดูดนม ไม่เกลี้ยงเต้า

            ร่างกายของเรามีการเรียนรู้และจดจำทุกการกระทำของตัวเราเอง ดังนั้น หากคุณแม่ปั๊มนมหรือให้ลูกดูดนมไม่เกลี้ยงเต้า น้ำนมเก่าที่ค้างอยู่ในเต้าไม่ได้รับการระบายออก และไม่มีน้ำนมใหม่เข้ามาแทนที่ ร่างกายก็จะรับรู้ว่าลูกต้องการน้ำนมเพียงเท่านี้ ก็จะผลิตน้ำนมให้น้อยลง นอกการปั๊มหรือดูดนมไม่เกลี้ยงเต้านั้น ยังสร้างปัญหาให้คุณแม่นอกเหนือจากน้ำนมที่น้อยลงอีก คืออาจเป็นตัวการทำให้ท่อน้ำนมอุดตันได้ วิธีสังเกตว่าลูกดูดนม / ปั๊มนมได้เกลี้ยงเต้าหรือยัง คือให้สังเกตว่าเต้ามีลักษณะอ่อนนิ่ม ยวบลง เมื่อบีบดูจะไม่มีก้อนแข็ง ๆ หรือรู้สึกคัด และให้ดูที่น้ำนม หากน้ำนมที่ปั๊มออกมามีลักษณะใส นั่นคือน้ำนมส่วนหน้า ให้ปั๊มจนกว่าน้ำนมจะมีสีขาวขุ่นขึ้น เพราะนั่นคือน้ำนมส่วนหลัง

            อ่านต่อ เทคนิค ปั๊มนมเกลี้ยงเต้า เพื่อลูกได้สารอาหารครบ!

            นมแม่
            นมแม่

            3. ปล่อยให้คัดเต้าบ่อย ๆ

            วิธีการหลัก ๆ ที่จะทำให้คุณแม่มีน้ำนมเพียงพอต่อความต้องการของลูกคือ ดูดเร็ว ดูดบ่อย ดูดถูกวิธี ดูดเกลี้ยงเต้า การที่คุณแม่ปล่อยให้นมคัดเต้าแล้วไม่ปั๊มหรือไม่ให้ลูกดูดออก ปล่อยทิ้งไว้จนกว่าจะว่างปั๊มนั้น ผิดต่อหลักการที่จะทำให้มีน้ำนมเพียงพอได้ เพราะร่างกายจะเรียนรู้ว่าคุณแม่ต้องการให้มีนมในปริมาณที่น้อย จึงไม่จำเป็นต้องผลิตออกมามาก

            4. ป่วย

            ไม่ว่าจะเป็นแม่ป่วย หรือลูกป่วย ก็อาจเป็นสาเหตุที่น้ำนมหดลงได้ เพราะเมื่อแม่ป่วย ร่างกายจะต้องการการพักผ่อนเพิ่มขึ้น แต่แม่ต้องเลี้ยงลูก จึงอาจทำให้พักผ่อนไม่เพียงพอได้ และการพักผ่อนไม่เพียงพอนั้น เป็นสาเหตุที่ทำให้น้ำนมลดลงได้ นอกจากนี้ยาบางชนิด เมื่อทานแล้ว ตัวยาจะสามารถออกมาทางน้ำนมได้ แพทย์จึงแนะนำให้ลูกงดทานนมในช่วงที่แม่ทานยานั้น ๆ หากคุณแม่ไม่ได้ปั๊มหรือบีบทิ้ง ร่างกายก็จะเรียนรู้ว่าเราไม่ต้องการให้มีน้ำนมแล้ว ก็จะผลิตน้ำนมน้อยลง แต่การป่วยไข้หวัดทั่วไป คุณแม่สามารถทานยา พร้อมกับให้นม / ปั๊มนมให้ลูกได้ เพราะยาส่วนใหญ่ออกทางน้ำนมน้อยมาก เพียงไม่ถึง 1 % ของปริมาณยาที่แม่ได้รับ ส่วนยาแก้คัดจมูก อาจมีบางคนที่ไวต่อยานี้ และทำให้น้ำนมลดลงได้ แต่พบเป็นส่วนน้อย และเป็นชั่วคราว

            ยาสำหรับรักษาอาการไข้หวัดที่คุณแม่มักจะใช้กันบ่อย ๆ มาดูกันว่ายาตัวไหนมีผลต่อน้ำนมบ้าง

            • คลอเฟนนิรามิน (chlorpheniramine) เป็นยาลดน้ำมูก ใช้ได้ แต่คุณแม่จะง่วงนอนบ้าง น้ำนมอาจลดได้บ้าง
            • Actifed มียาลดน้ำมูกรวมกับยาแก้คัดจมูก อาจจะง่วง และเสมหะจะเหนียว ต้องดื่มน้ำมากๆ ในบางคนที่ไวต่อยานี้มาก อาจมีผลกดการสร้างน้ำนมได้ ทำให้น้ำนมน้อยลง ให้ลองสังเกตอาการดู ถ้ามีปัญหาน้ำนมลดลง ให้หยุดยา ก็จะดีขึ้น
            • ยาลดไข้ พาราเซตามอล (paracetamol) ใช้ได้ ไม่มีผลต่อลูก
            • Dextromethorphan เป็นยากดอาการไอ ใช้ได้ ไม่มีผลต่อลูก

            อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่ ยาแก้หวัด แก้ไข้ ที่แม่ให้นมกินแล้ว นมไม่หด ไม่ส่งถึงลูก

            ในกรณีที่ลูกป่วย ที่อาจกระทบต่อปริมาณน้ำนม เป็นเพราะเมื่อลูกรู้สึกไม่สบายตัว ลูกจะทานได้น้อยลง จึงเป็นสาเหตุให้น้ำนมลดลงได้

            ยา น้ำนม
            ยา น้ำนม

            5. กินของหวาน ของมัน ของทอด

            การทานของหวาน ๆ ของมัน ๆ ของทอดตัวอย่างเช่น ข้าวเหนียวมะม่วงราดน้ำกะทิ เค้ก คุ๊กกี้ นมบราวน์ชูก้าไข่มุก ซีเรียลใส่นม ปาท่องโก๋ เวเฟอร์ กล้วยทอด ฯลฯ เป็นการเพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการทำให้น้ำนมอุดตันได้ เพราะอาหารเหล่านี้ทำให้นมเป็นก้อนและปั๊มออกยาก การที่ท่อน้ำนมอุดตัน ทำให้นมที่คั่งอยู่ไม่มีการระบายออก ไม่มีการสร้างใหม่ทำให้ร่างกายผลิตน้ำนมได้น้อยลง เป็นสาเหตุที่ทำให้น้ำนมหดได้ค่ะ แต่ถ้าใครกินแล้วน้ำนมพอ ก็ไม่ต้องงดนะคะ สามารถทานได้ปกติ เพียงแต่อาจจะต้องคอยระวังน้ำหนักที่อาจเพิ่มขึ้นได้ค่ะ

            อ่านต่อ ท่อน้ำนมอุดตัน เพราะกินของทอด ของมัน

            6. เครียด

            ฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการให้นม มี 2 ชนิด คือ โพรแลคตินและออกซีโทซิน เป็นฮอร์โมนที่เกี่ยวกับการสร้างการผลิตและการให้นมแม่ โดยฮอร์โมนออกซีโทซินจะไวต่ออารมณ์และความรู้สึกของคุณแม่มาก หากคุณแม่รู้สึกเครียด กังวล  เกิดความกลัว  หรือเหนื่อยอ่อนจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ ก็จะทำให้สมองผลิตฮอร์โมนชนิดนี้น้อยลง ทำให้ปริมาณน้ำนมน้อยลงไปด้วยเช่นกัน ในทางตรงข้าม สิ่งที่ทำให้ฮอร์โมนนี้หลั่งได้ดีขึ้น ก็คือจิตใจที่มีความสุขของแม่เอง ลองสังเกตดูสิคะว่ารอบปั๊มที่คุณแม่ปั๊มในตอนกลางดึก หลังจากได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอ ปริมาณน้ำนมจะมีมากกว่ารอบอื่น ๆ ดังนั้น หากต้องการให้ฮอร์โมนหลั่งดี น้ำนมมาในปริมาณมาก คุณแม่ก็ต้องทำใจให้สบาย ไม่เครียด  เพราะถ้าเครียดน้ำนมก็จะยิ่งน้อย

            น้ำนมน้อย
            น้ำนมน้อย

            7. ดื่มน้ำน้อย

            การดื่มน้ำร้อน ไม่เพิ่มน้ำนม อาจทำให้เราเสียเวลาและพลังงานมากมาย เพราะในความเป็นจริงคือ แม่ให้นมดื่มน้ำเย็นได้ ไม่ลดน้ำนมสักนิด และการดื่มน้ำมาก ๆ ก็ไม่ช่วยเพิ่มน้ำนม แต่ในทางกลับกัน การดื่มน้ำน้อย จนทำให้ร่างกายขาดน้ำ น้ำนมจะลดลงได้ค่ะ ดังนั้น จึงสรุปได้ว่าหากต้องการเพิ่มปริมาณน้ำนม ไม่ต้องดื่มน้ำมาก ๆ แต่ควรดื่มน้ำให้พอดี ไม่ทำให้ร่างกายขาดน้ำ จะดื่มน้ำอุ่นหรือน้ำเย็น ก็ตามแต่ที่คุณแม่ชอบ และควรทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ และสำคัญที่สุดคือการให้ลูกดูดนม / ปั๊มนม เพื่อกระตุ้นบ่อย ๆ เท่านี้ก็เพียงพอแล้วค่ะ

            อ่านต่อ สีปัสสาวะ สามารถบอกภาวะขาดน้ำได้

            8. เสริมนมผง เสริมอาหาร ก่อน 6 เดือน

            หากนมแม่มีเพียงพอให้ลูกทาน ก็ไม่จำเป็นต้องเสริมนมผง และนมแม่ยังมีประโยชน์ทุกหยด ไม่ได้เสื่อมคุณภาพลงหลังลูกอายุ 6 เดือน ลูกยังสามารถทานนมแม่ไปเรื่อย ๆ โดยไม่จำเป็นต้องเสริมนมผง วิธีดูว่านมแม่มีเพียงพอหรือไม่นั้น ทีมแม่ ABK ขอนำบทความจาก ป้าหมอ สุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ ที่ได้อธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้มาฝากค่ะ

            #อย่างไรเรียกว่ามีน้ำนมเพียงพอ

            แม่บางคนเลือกวิธีปั๊มนมใส่ขวด เพื่อที่จะได้รู้ปริมาณน้ำนมที่ลูกกิน แต่…การทำเช่นนี้จะทำให้เด็กไม่มีโอกาสดูดกระตุ้นที่เต้านม การสร้างน้ำนมของแม่จะลดลงเรื่อย ๆ เพราะเครื่องปั๊มกระตุ้นได้ไม่ดีเท่าการดูดของเด็ก การประเมินว่าเด็กได้นมเพียงพอหรือไม่ สามารถทำได้คือ

            • สังเกตว่าขณะดูดได้ยินเสียงกลืนน้ำนมลงคอ
            • มีอาการเรอ อาการสะอึกหลังกินนมเสร็จ
            • มีอาการพุงกางออกหลังกินนม
            • อุจจาระมากกว่า 2 ครั้ง ปัสสาวะมากกว่า 6 ครั้งต่อวัน

            การตื่นบ่อยหรือร้องไห้มาก หรือทำปากอยากดูดตลอดเวลา ไม่ได้เป็นตัวชี้วัดที่เชื่อถือได้ ว่าเป็นเพราะยังหิวอยู่ เพราะทารกบางคนได้กินนมมากจนมีอาการปวดแน่นท้อง อึดอัดมาก ก็แสดงอาการดังกล่าวได้ ควรใช้วิธีสังเกตปริมาณอุจจาระปัสสาวะจะดีกว่า

            สำหรับการเสริมอาหาร ควรทำเมื่อลูกอายุ 6 เดือนขึ้นไป การให้เสริมอาหารให้ลูกทานก่อน 6 เดือน จะทำให้ลูกอิ่มจากอาหารเสริม หรือนมผง จนทานนมได้น้อยลง จึงทำให้ น้ำนมหด ได้นั่นเอง

            หากคุณแม่ได้เผลอทำ 8 ข้อนี้ไปแล้ว และอาจทำให้ น้ำนมหด น้ำนมน้อยลง ก็อย่าเพิ่งท้อใจไปนะคะ ทีมแม่ ABK มีขั้นตอนการ กู้น้ำนม แบบเร่งด่วน ที่ทั้งง่ายและได้ผลเร็วมาฝากค่ะ

            5 ขั้นตอนในการ กู้น้ำนม แบบเร่งด่วน ง่าย และได้ผลเร็ว

            1. ปรึกษาและศึกษา

            ปรึกษาแพทย์ พยาบาล หรือผู้เชี่ยวชาญด้านนมแม่ หาสาเหตุที่ทำให้น้ำนมแม่น้อย เช่น การใช้ยาคุมกำเนิดที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจน แม่ได้รับยาขับปัสสาวะ แม่สูบบุหรี่ หรือลูกติดจุกหลอกหรือขวดนม หรือแม่แยกจากลูกไปเป็นเวลานาน และศึกษาวิธีการที่จะทำการกู้น้ำนมกลับคืนมา

            2. เตรียมตัวให้พร้อม

            เตรียมร่างกายและจิตใจให้พร้อม เพราะการกู้น้ำนม อาจต้องใช้เวลาและความอดทนพอสมควร โดยคุณแม่ควรเตรียมร่างกายและจิตใจ ดังนี้

              • โภชนาการ แม่ควรรับประทานอาหารให้เพียงพอและรับสารอาหารให้ครบถ้วน เพื่อเป็นการเตรียมร่างกายให้แข็งแรงและปกติ เพื่อใช้พลังงานในการผลิตน้ำนมแก่ลูก
              • การดื่มน้ำ ในอดีตแนะนำให้ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อเป็นการเพิ่มน้ำนม แต่พบว่าการพยายามดื่มน้ำมากกว่าความกระหายน้ำตามธรรมชาติไม่ได้ช่วยให้น้ำนมเพิ่มขึ้น แต่อาจทำให้น้ำนมลดลงได้
              • พักผ่อนให้เพียงพอ การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอทำให้แม่มีพลังงานสะสมในร่างกาย ทำให้ร่างกายพร้อมที่จะผลิตสารอาหารที่จำเป็นให้เพียงพอแก่ลูกเพื่อให้ลูกดูดนมได้บ่อย ๆ
              • เวลา แม่ควรมีเวลาเพื่อจะได้ใกล้ชิดกับลูก และสามารถช่วยเรียกน้ำนมแม่กลับคืนได้เร็วขึ้น เพราะลูกได้ดูดนม เนื่องจากพบว่า แม่ที่ทำงานนอกบ้านจะมีความเสี่ยงที่จะสามารถผลิตน้ำนมได้ไม่เพียงพอต่อความต้องการของลูก หากแม่ไม่มีเวลา แม่จะต้องใช้ความพยายามมากกว่าปกติที่จะพยายามเรียกน้ำนมแม่กลับคืน

            3. เริ่ม “กู้น้ำนม” ด้วยหลัก 4 ด. (ดูดเร็ว ดูดบ่อย ดูดถูกวิธี ดูดเกลี้ยงเต้า)

            ในกรณีที่ลูกยังคงดูดนมจากเต้า ให้เริ่มกลับมาทำเหมือนลูกอยู่ในวัยแรกเกิด คือ ให้ลูกดูดทุก ๆ 2-3 ชั่วโมง วันละ 8 รอบ และต้องดูดอย่างถูกวิธีและดูดเกลี้ยงเต้าทุกครั้ง ในกรณีที่ลูกไม่ได้ตื่นมาทานนมครบทุกรอบ ให้คุณแม่ปั๊มนมในรอบนั้น ๆ แทน

            ในกรณีที่คุณแม่เลือกวิธีปั๊มนม ก็ใช้วิธีเดียวกัน คือ ปั๊มเร็ว ปั๊มบ่อย ปั๊มถูกวิธี ปั๊มให้เกลี้ยงเต้า ปั๊มทุก 3 ชม.ทั้งกลางวันกลางคืน

            การเรียกน้ำนมแม่กลับคืนใช้เวลานานหรือไม่ ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแม่และสภาพแวดล้อมต่าง ๆ อาจใช้เวลาเพียง 2-3 วัน หรือ 2-3 สัปดาห์ก็ได้ การเรียกน้ำนมแม่กลับคืนจะกลับมาได้เร็วในแม่ที่เพิ่งหยุดให้นมลูกไปได้ไม่นาน หรือยังให้ลูกดูดนมบ้างบางครั้งคราว

            4. ใช้ยาช่วย

            หากเรียกน้ำนมแม่กลับคืนด้วยวิธีธรรมชาติไม่สำเร็จ สามารถพิจารณาใช้ยาช่วยร่วมกับการกระตุ้นเต้านมได้ ในการเพิ่มปริมาณน้ำนมแม่ ยาที่ช่วยในการเพิ่มน้ำนมนี้เรียกว่าแลคโตกัส หรือ กาแลคโตกัส (lactogogues
            หรือ galactogogues) ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ

              • กลุ่มฮอร์โมนที่เกี่ยวกับการตั้งครรภ์ การใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจน (estrogen) ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (progesterone) หรือยาคุมกำเนิด ในการกระตุ้นถุงเต้านมให้มีการสร้างถุงน้ำนม เป็นการเลียนแบบการ
                สร้างฮอร์โมนเหมือนการตั้งครรภ์จริง เมื่อหยุดให้ยาจะเปรียบเหมือนการคลอดลูก จะ
                ทำให้น้ำนมมาภายใน 2-3 วัน
              • กลุ่มที่ช่วยเพิ่มปริมาณโปรแลคติน (prolactin) เช่น คลอโปรมาซีน (Chlorpromazine)  มีโทโคลพลามาย (Metoclopramide) เป็นต้น

            ทั้งนี้ คุณแม่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทานยา เพราะยาบางชนิดอาจมีผลข้างเคียง หรือถูกขับออกมาทางน้ำนมได้

            5. รักษาปริมาณน้ำนม

            เมื่อสามารถ กู้น้ำนม กลับมาสำเร็จแล้ว ก็อย่าลืมที่จะรักษาปริมาณน้ำนมให้มีปริมาณเท่าเดิม อย่าเผลอทำสิ่งที่อาจทำให้น้ำนมหด น้ำนมน้อยลงอีกนะคะ

            การหลีกเลี่ยง 8 ตัวการทำ น้ำนมหด น้ำนมน้อยลงนั้นทำได้ไม่ยากเลยใช่ไหมล่ะคะ เพียงคุณแม่ทำร่างกายให้แข็งแรง ทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ ให้ลูกดูดเร็ว ดูดบ่อย ดูดถูกวิธี และดูดเกลี้ยงเต้า โอกาสที่จะทำให้คุณแม่มีน้ำนมที่น้อยลงก็แทบจะไม่มีเลยค่ะ เป็นกำลังใจให้คุณแม่ให้นมทุกท่านนะคะ

            อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

            กู้น้ำนมแม่ ในวันที่น้ำนมหดหาย ทำได้จริงถ้าใจแม่สู้!!

            นมแม่ป้องกันโรค ช่วยลูกสุขภาพดีตั้งแต่แรกเกิด

            อยาก ให้นมแม่ สำเร็จ แม่ต้องสตรอง และห้ามท้อ

            4 วิธีกระตุ้นนมแม่ อย่างได้ผลดี ไม่เหนื่อย ไม่เจ็บ

             

            ขอบคุณข้อมูลจาก : เพจนมแม่แฮปปี้, เพจนมแม่, พญ. ศิริพัฒนา ศิริธนารัตนกุล, ป้าหมอ สุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ

             

            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

              ยายดื้อป้อนกล้วยทารก

              สุดเศร้า! ยายดื้อป้อนกล้วยทารก เกิดมาแค่ 10 วันก็ต้องจบชีวิต

              สุดยื้อ ทารกแรกเกิดที่เกิดมาเพียง 10 วันก็ต้องจากโลกนี้ไป สาเหตุจาก ยายดื้อป้อนกล้วยทารก ถึงจะเสียใจแต่ก็สายเกินไปเสียแล้ว

              ยายดื้อป้อนกล้วยทารก

              “ก็ฉันเลี้ยงแกมาแบบนี้” “ตอนแกตัวเท่านี้ไม่เห็นเป็นไรเลย” “ใคร ๆ ก็เลี้ยงแบบนี้” สารพัดคำพูดจากความเชื่อโบราณที่ต้องการป้อนอย่างอื่น นอกเหนือจากนมแม่ให้กับทารก จนกลายเป็นเหตุการณ์น่าสะเทือนใจ เช่นเดียวกับอุทาหรณ์ที่ประเทศมาเลเซีย เมื่อคุณยายดื้อดึงที่จะป้อนกล้วยบดให้กับทารกอายุเพียง 10 วัน จนกลายเป็นเรื่องราวน่าเศร้า

              เว็บไซต์เดอะคัฟเวอร์เรจของมาเลเซีย นำเสนอข่าวที่ถูกแชร์กันอย่างถล่มทลายในโซเชียลมีเดีย เปิดเผยเรื่องราวของคุณยายท่านหนึ่ง ที่ป้อนกล้วยบดให้กับหลานแทนน้ำนมแม่ โดยเฟซบุ๊ก Lia Imelda Siregar ได้โพสต์เรื่องราวนี้ว่า คนสมัยก่อนคิดว่าการป้อนกล้วยบดทารกไม่เป็นไร แต่สมัยนั้นไม่มีการฉีดยาฆ่าแมลงที่อันตราย อย่างกรณีคุณยายคนนี้ที่ดื้อป้อนกล้วยบดให้หลานอายุเพียง 10 วัน ทำให้เสียชีวิต

              ในรายงานข่าวบอกไว้ว่า ทารกแรกเกิดรายนี้กินกล้วยบดเป็นเวลา 10 วัน จนทารกถ่ายอุจจาระออกมาเลือด พร้อมกับกลิ่นฉุนรุนแรง จึงรีบส่งตัวไปยังห้องฉุกเฉิน แต่ไม่นานอาการของทารกตัวน้อยก็ทรุดหนัก เกิดภาวะช็อค มีเลือดออกทางจมูก ปาก และทวารหนัก จนแพทย์ยื้อชีวิตทารกน้อยไว้ไม่ไหว สิ้นใจในที่สุด

              ยายดื้อป้อนกล้วยทารก
              ยายดื้อป้อนกล้วยทารก

              ตัวคุณยายเองในตอนแรกก็ยังไม่อยากจะเชื่อว่า การป้อนกล้วยบดเป็นสาเหตุให้หลานชายสุดที่รักต้องเสียชีวิต เธอเล่าว่า ทุกครั้งที่หลานชายร้องหิวนมก็จะป้อนกล้วยบดให้ เพราะในสมัยก่อนก็ทำเช่นนี้กับลูกสาวของตัวเอง

              คุณยายเล่าเรื่องนี้ด้วยน้ำตานองหน้าว่า รู้สึกเสียใจอย่างที่สุดกับสิ่งที่ทำลงไป แม้ว่าพยาบาลผดุงครรภ์จะเตือนแล้ว แต่ก็ยังดึงดันป้อนกล้วยบด โดยหลานชายเกิดมาด้วยน้ำหนักตัวแรกเกิด 1.8 กิโลกรัม แต่ผ่านไป 10 วัน น้ำหนักก็ลดลงเหลือ 1.3 กิโลกร้ม

              แม้จะรู้สึกโศกเศร้าเสียใจและรู้สึกผิด แต่ก็สายเกินไป ชีวิตของทารกน้อยไม่อาจย้อนกลับมาได้ เรื่องนี้จึงเป็นอุทาหรณ์สำคัญให้กับปู่ย่าตายายที่ต้องการป้อนอาหารชนิดอื่นแทนนมแม่ เพราะลำไส้ของเจ้าตัวน้อยยังไม่พร้อมรับสิ่งใดนอกจากน้ำนม

              ยายดื้อป้อนกล้วยทารก
              ยายดื้อป้อนกล้วยทารก

              ทารกควรกินนมแม่อย่างน้อย 6 เดือน

              องค์การอนามัยโลก และองค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ แนะนำว่า ทารกควรกินนมแม่อย่างเดียว ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 6 เดือน โดยไม่ต้องให้น้ำหรืออาหารชนิดอื่น เนื่องจากธรรมชาติได้สร้างให้นมแม่ มีสารอาหารครบถ้วน มีน้ำมากเพียงพอสำหรับเจ้าตัวน้อย นมแม่ยังย่อยง่ายดีต่อท้องเล็ก ๆ ของลูก นมแม่ยังสร้างมาให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายของทารก ที่มีระบบการย่อยและดูดซึมอาหารยังพัฒนาได้ไม่เต็มที่

              นมแม่มีคุณค่าทางอาหารสูง มีสารอาหารมากกว่า 200 ชนิด ช่วยให้ทารกเจริญเติบโตอย่างแข็งแรง มีประโยชน์ต่อสมอง จอประสาทตา ส่งเสริมพัฒนาการให้สมวัย เด็กจึงเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะน้ำนมแม่ในระยะ 1-7 วันแรก ที่มียอดน้ำนมหรือหัวน้ำนม (โคลอสตรัม) อุดมไปด้วยสารอาหารครบถ้วน เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน หัวน้ำนม จึงเปรียบเสมือนวัคซีนหยดแรกของชีวิต เพิ่มภูมิต้านทานในการต่อต้านเชื้อโรค ลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรค เช่น การติดเชื้อของระบบทางเดินอาหาร การติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจ ลดภาวะเสี่ยงต่อโรคภูมิแพ้ หอบหืด และหูอักเสบ

              ผลเสียจากการป้อนอาหารก่อนวัยอันควร เป็นอย่างไร

              ทารกอาจมีอาการผิดปกติ เช่น

              • ท้องอืด
              • อาหารไม่ย่อย
              • ท้องผูก
              • ท้องเสีย
              • แพ้อาหาร

              ที่อันตรายยิ่งกว่านั้น ทารกยังเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากลำไส้อุดตัน ดังนั้น ต้องรอเวลาให้เจ้าตัวน้อยมีอายุ 6 เดือนขึ้นไป ระบบย่อยและดูดซึมอาหารพัฒนาได้ค่อนข้างสมบูรณ์ จึงให้เริ่มมื้อแรก จากนั้นป้อนอาหารที่เหมาะสมตามวัย เช่น กล้วยน้ำว้า ไข่แดง ข้าว ผัก และผลไม้ ควบคู่กับการกินนมแม่ต่อเนื่องไปจนถึงอายุอย่างน้อย 2 ขวบ โดยมื้อแรก ๆ ควรให้อาหารในปริมาณน้อย มีความเหลว เจ้าตัวน้อยจะได้ค่อย ๆ ฝึกกลืน ดีต่อกระบวนการย่อย สำหรับช่วงเวลาในการให้อาหารเสริมชนิดใหม่ ควรให้ทารกลองในตอนเช้าหรือกลางวัน พร้อมกับสังเกตอาการหลังได้รับอาหารอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันการแพ้อาหาร เมื่อลูกกินดีแล้ว ค่อยเพิ่มปริมาณและความเข้มข้นของอาหารเสริม

              ทำไมคนโบราณใช้กล้วยเลี้ยงเด็กทารกได้

              เพจความรู้สนุกๆแบบหมอแมว ได้โพสต์ในหัวข้อ ทำไมคนโบราณใช้กล้วยเลี้ยงเด็กทารกได้ แต่หมอแผนปัจจุบันไม่ค่อยอยากให้ใช้ โดยมีใจความสำคัญว่า กล้วยทุกชนิดที่เป็นกล้วยดิบ เนื้อกล้วยจะมีแป้งเป็นส่วนประกอบมากกว่าน้ำตาล มีส่วนที่ไม่สามารถย่อยได้ในทางเดินอาหารมนุษย์อยู่ในสัดส่วนที่สูง เมื่อกินไปแล้วจึงท้องผูก ท้องอืด ปวดท้องได้ แม้แต่ผู้ใหญ่เองก็เป็นได้ ทารกซึ่งมีความสามารถในการย่อยแป้งน้อยกว่าผู้ใหญ่จึงเสี่ยงต่ออันตราย การเลือกกล้วยให้เด็กทารกกินของคนสมัยก่อนจะเป็นกล้วยสุกงอม สีเปลือกเป็นสีดำบ้างแล้ว เนื้อภายในนุ่มเละ บางคนยังเคี้ยวกล้วยก่อนป้อนทารก ทำให้เอนไซม์อะไมเลสจากน้ำลายช่วยย่อยแป้งในกล้วย แต่ปัจจุบันเลือกกล้วยสีเหลืองสวยงาม บางคนเลือกกล้วยหอมซึ่งมีแป้งที่ย่อยไม่ได้มากกว่ากล้วยน้ำว้า ทั้งยังไม่เคี้ยวกล้วยหรือข้าวในปากแล้วคายไปป้อนเด็กเพราะเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ทำให้เกิดปัญหาขึ้นได้ ทางเดินอาหารของทารกก็ยังไม่เหมือนกัน บางคนเริ่มย่อยได้ดีตั้งแต่อายุ 3 เดือน แต่บางคนไม่ กลายเป็นลำไส้อุดตันในที่สุด

              อย่าลืมนะคะ ทารกที่อายุต่ำกว่า 6 เดือนจำเป็นต้องกินนมแม่อย่างเดียว เพื่อให้ได้สารอาหารครบถ้วน ปลอดภัยกับลำไส้ กระเพาะน้อย ๆ ของเจ้าตัวน้อย และไม่ควรป้อนอาหารชนิดอื่น ๆ เพื่อป้องกันการเกิดอันตรายกับทารก

               

              อ้างอิงข้อมูล : facebook.com/HmxMaew, thecoverage.my และ springnews

              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

               

              อ่านบทความอื่นเพิ่มเติม

              ไขบนศีรษะลูก เกิดจากอะไร ไขบนหัวทารก ดูแลอย่างไรให้หาย

              มือ เท้า ปาก หน้าฝน ระบาดหนัก! เจอ 8 อาการนี้ต้องพาลูกไปหาหมอ

              6จุดนวดมือลูก…กระตุ้นพลังสมองช่วย ระบบย่อยอาหาร

                เชื้อซาโมเนลลา

                อุทาหรณ์! ลูกติด เชื้อซาโมเนลลา ไข้ขึ้น ถ่ายทั้งคืน เพราะคนอื่นจับอุ้มหอมลูก

                แม่เล่าอาการละเอียด! ลูกวัย 2 เดือน ป่วยไข้ขึ้น ถ่ายทั้งคืน เพราะคนอื่น จับ อุ้ม หอม   สุดท้ายหมอบอก ติด เชื้อซาโมเนลลา

                แม่เล่าอาการ! ลูกป่วยไข้ขึ้น ถ่ายทั้งคืน
                เพราะติด เชื้อซาโมเนลลา

                เชื้อซาโมเนลลา (salmonella) อีกหนึ่งเชื้อแบคทีเรียซึ่งก่อให้เกิดโรคอุจจาระร่วงโดยมีอาหารเป็นสื่อกลาง ทำให้เกิดอาการลำไส้อักเสบ ส่งผลให้มีอาการเป็นไข้ ถ่ายเหลว หรืออาเจียน และโดยปกติแล้วอาการของโรคติด เชื้อซาโมเนลลา จะคงอยู่ประมาณ 2-7 วัน ส่วนอาการท้องเสียอาจคงอยู่ประมาณ 10 วัน ต้องใช้เวลาหลายเดือนจนกว่าลำไส้จะกลับมาทำงานปกติ อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยที่มีสุขภาพดีบางคนอาจฟื้นตัวจากอาการต่าง ๆ ได้เองภายใน 2-3 วันโดยไม่ต้องรับการรักษา หรือบางคนอาจไม่มีอาการใด ๆ เลยก็ได้ … แต่หากยังมีอาการผิดปกตินานเกิน 7 วัน ควรไปพบแพทย์ซ้ำอีกครั้ง นอกจากนี้หากผู้ติดเชื้อเป็นเด็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่ภูมิคุ้มกันบกพร่อง แล้วมีอาการอุจจาระเป็นเลือด มีไข้สูง หรือมีภาวะขาดน้ำเกิดขึ้นนานกว่า 2-3 วัน ควรไปพบแพทย์ซ้ำเช่นเดียวกัน

                ทั้งนี้สำหรับเด็กเล็กแล้ว หากติด เชื้อซาโมเนลลา ก็อาจทำให้อาการแย่กว่าผู้ใหญ่ เช่นเดียวกับน้องดิน หนูน้อยวัย 2 เดือนคนนี้ ที่ติด เชื้อซาลโมเนลลา ซึ่งไม่ใช่ทางการกินอาหารโดยตรง แต่มาจากผู้ใหญ่ >> โดยคุณแม่บีมได้เล่าอาหารป่วยติด เชื้อซาโมเนลลา  ของน้องดินผ่านทางเฟซบุ๊กกลุ่ม คนท้อง แม่ลูกอ่อน คุยกัน ให้ฟังว่า…

                วันนี้ขออนุญาตเเชร์ประสบการณ์ และ บทเรียนครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของความเป็นแม่…
                ยินดีที่(ไม่อยาก)รู้จัก
                ***เชื้อไวรัส ซาโมลเนลลา****
                ลูกชายอายุ 2เดือนกับ5วัน
                ขอท้าวความตั้งแต่แรกเริ่มเลยนะคะ

                (ตอนนี้ลูกกินนมผง+นมแม่)
                และถ่ายปกติมาตลอด วันละสองครั้ง หรือวันละครั้งไม่เกินนี้

                เช้าวันรุ่งขึ้นก่อนจะไปรับวัคซีนตามเกณฑ์
                (ต้องขอบอกก่อนว่าอยู่เราชอบสังเกตที่อุจจาระลูกทุกครั้ง)
                ลูกถ่ายออกมาผิดปกติ คือ มันมีมูกใสๆออกมาด้วย
                เราก็ยังไม่คิดอะไรมาก สักพักเริ่มถ่ายบ่อยขี้น +สีอุจจาระเริ่มเปลี่ยนเป็นเข้มและมีนํ้าปน เอาล่ะ….แม่ว่าผิดปกติละ
                ฉีดวัคซีนเสร็จเรียบร้อย หมอตรวจเรียบร้อยดี
                กลับบ้าน เอ๊ะ! ทำไมลูกร้องกริ๊ดๆ อยู่ดีๆก็ร้อง
                ( ในขณะเดียวกันถ่ายไป5-6ครั้ง) พอตกค่ำ เริ่มมีตัวลุมๆและถ่ายมีเส้นเลือดฝอยติดมาด้วย แม่โทรปรึกษาหมอ หมอให้คำแนะนำว่าพรุ่งนี้เข้ามาตรวจร่างกายหน่อยดีกว่า
                (และคืนนั้นก็ไข้ขึ้น ถ่ายทั้งคืน)
                เช้ามาไม่รอช้า รีบพาลูกไป รพ ลูกเริ่มซึมไม่ค่อยเล่น หมอได้นำอุจจาระไปตรวจ เก็บปัจสาวะและตรวจเลือด
                ผลออกมา ไม่มีเม็ดเลือดขาวเม็ดเลือดเเดง
                แม่คิดอ้าว…อีหยังวะ แล้วอาการแบบนี้เป็นอะไร
                หมอเลยคิดว่าน้องอาจจะย่อยแลคโตสไม่ได้
                จึงให้นมตัวสำหรับท้องเสีย และให้นํ้าเกลือ😭😭จุดนี้แม่ใจจะขาด
                ผ่านไป1คืน น้องยังคงมีไข้และถ่ายไม่หยุด หมอตัดสินใจเอาอุจจาระไปเพาะเชื้อ เท่านั้นละ รู้เรื่องงงง!!!

                เจอเชื้อไวรัสที่ชื่อว่า ซาโมเนลลา เป็นเชื้อที่มาจากอาหารดิบ และสัตว์เลี้ยง เเต่ลูกเรากินนมล้วน ไม่เคยให้อาหารใดๆ หมอเลยสันนิษฐานว่า อาจจะมาจากที่มีคนที่จับสัตว์หรือมีเชื้อติดมาจับมือมาเล่น และน้องเอามือเข้าปาก

                เท่านั้นละแม่ถึงบางอ้อเลยจ้าา
                เนื่องจาก น้องค่อนข้างมีเนื้อและมีคนเอ็นดู (เพื่อนบ้าน)
                หรือแม้แต่คนในครอบครัว ที่ออกไปทำงานด้านนอก

                กลับมาเเค่ล้างมือมาอุ้มมากอดมาฟัด หรือ เพื่อนบ้านเอ็นดูขนาดที่ว่า ขออุ้ม มาเลี้ยงมาอุ้มทุกวัน บางทีเราจะขอเอาลูกมากินนมมากล่อม เค้าจะชอบพูดเล่นๆว่าเราหวงลูก
                จับไม่ได้ ขออุ้มหน่อย ให้ไปทำนู้นนี่เถอะ จะดูแลให้ เราผิดเองที่เลี้ยงลูกด้วยความเกรงใจเลยคนอื่น
                จึงไม่ได้พูดไม่ได้บอกในสิ่งที่ควรจะพูด…😢😢😢

                พอลูกป่วย คนเป็นพ่อเป็นแม่เจ็บมากกว่าร้อยเท่า
                ถ่ายจนก้นแดงมากๆเพลียไม่เล่น ซึม นอนเองไม่ต้องกล่อม เบ่งทีจะร้องทรมานมาก
                ร้องจนหลับ. แค่2เดือนเท่านั้นเจออะไรแบบนี้แล้ว

                เป็นความผิดของแม่เองค่ะที่เลี้ยงลูกด้วยความเกรงใจคนอื่นขอบพระคุณที่รักเอ็นดูตัวเล็ก ต่อจากนี้แม่ขออนุญาตเซฟน้อง รอให้โตกว่านี้สักนิดนะคะเป็นอุทาหรณ์และประสบการณ์ดีๆจากแม่นะคะ

                ก่อนมีลูกเราเห็นคนหวงลูก ประคบประหงม เราแอบพูดในใจทำไมหวงจังไม่เล่นก็ได้ มาวันนี้เป็นแม่เรารู้ซึ้งทุกสิ่งอย่าง

                คนเป็นแม่…เวลาลูกเจ็บเหนื่อสิ่งอื่นใด เราเจ็บยิ่งกว่า..

                เชื้อซาโมเนลลา

                ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก Apst Beam

                จะเห็นได้ว่าจากอาการป่วยของน้องดินที่ติดเชื้อซาโมเนลลานั้น มาจากการถูกผู้ใหญ่ที่อาจมีเชื้อและมาสัมผัสน้อง และน้องก็เอามือเข้าปาก ซึ่งก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่เด็กเล็กแม้จะยังกินอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรียนี้โดยตรง แต่ก็สามารถรับเชื้อมาได้จนทำให้มีอาการไข้ขึ้น และท้องเสีย จากเชื้อซาโมเนลลานั่นเอง

                อย่างไรก็ตามโรคจากการที่เด็กป่วยเพราะถูกผู้ใหญ่มาสัมผัสก็ยังมีทั้ง เริม, RSV, มือ เท้า ปาก, ไข้หวัดใหญ่ และโรคทางเดินอาหาร ซึ่งโรคติดเชื้อซาโมเนลลา ก็ถือเป็นหนึ่งในลิสต์โรคทางเดินอาหาร ที่คุณแม่ต้องระวังให้ดีด้วยนะคะ

                การป้องกันลูกน้อยติดเชื้อโรคจากผู้ใหญ่

                • หลีกเลี่ยงการให้ลูกถูกคนอื่นมาสัมผัส อุ้ม จับ กอด หอม และงดหอมแก้ม จับแก้ม จับมือ หรืออุ้มเด็กที่ไม่ใช่ลูกของตัวเอง เพราะผู้ใหญ่อาจมีเชื้อไวรัสที่ยังไม่แสดงอาการไปติดต่อสู่เด็กได้
                • หากต้องการสัมผัสหรือเล่นกับเด็ก ควรขออนุญาตผู้ปกครอง และล้างมือให้สะอาดก่อนทุกครั้ง
                • ผู้ปกครองที่กลับมาจากที่ทำงาน ควรล้างมือให้สะอาดก่อนเข้าไปหาลูกทุกครั้ง
                • เด็กในวัยที่ไปโรงเรียน หากกลับมาจากโรงเรียน ต้องอาบน้ำ ล้างมือ ก่อนไปเล่นกับน้อง หรือเด็กเล็กคนอื่นทุกครั้ง
                • ไม่ควรพาเด็กเล็ก (อายุน้อยกว่า 6 เดือน) ไปที่ที่มีคนแออัด คนจำนวนมาก
                • ในช่วงการระบาดของโรคร้ายทั้งหลาย ควรงดพาลูกออกไปในที่ที่มีคนแออัด หรือพลุกพล่าน เช่น ห้างสรรพสินค้า หรือสนามเด็กเล่น เพราะมีโอกาสสัมผัสกับเชื้อโรคที่อันตรายต่อสุขภาพได้ง่าย

                ลูกถ่ายเหลวมีมูก

                การป้องกันการติด เชื้อซาโมเนลลา

                เชื้อแบคทีเรีย ซาโมลเนลลา อาจแฝงอยู่ในเนื้อดิบ ผักผลไม้ หรือบนผิวหนังของสัตว์เลี้ยง ซึ่งการรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนหรือสัมผัสสัตว์เลี้ยงอาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคชนิดนี้ได้ คุณพ่อคุณแม่จึงควรปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้ เพื่อป้องกันเชื้อโรคดังกล่าวเข้าสู่ร่างกาย

                1. ล้างมือด้วยน้ำอุ่นและสบู่หลังทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น สัมผัสเนื้อดิบ เข้าห้องน้ำ เปลี่ยนผ้าอ้อมให้ทารก เล่นกับสัตว์เลี้ยง สัมผัสสัตว์เลื้อยคลาน หรือเก็บมูลสัตว์ เป็นต้น
                2. ห้ามรับประทานเนื้อสัตว์ที่ยังไม่สุก เช่น เนื้อไก่ เนื้อวัว หรือเนื้อหมู เป็นต้น
                3. หลีกเลี่ยงการรับประทานไข่ดิบหรืออาหารที่ใช้ไข่ดิบเป็นส่วนผสม หากไข่นั้นยังไม่ผ่านการพาสเจอร์ไรซ์
                4. ล้างผักและผลไม้ให้สะอาด หากเป็นไปได้ควรปอกเปลือกก่อนรับประทาน
                5. แยกเนื้อสัตว์ที่ยังดิบออกจากวัตถุดิบอื่น ๆ เมื่อเก็บในตู้เย็น
                6. ทำความสะอาดครัวบริเวณที่ใช้วางวัตถุดิบสำหรับทำอาหาร และควรใช้เขียงหรืออุปกรณ์อื่น ๆ แยกกันระหว่างเนื้อดิบและผักหรือผลไม้
                7. ล้างภาชนะที่ใช้ใส่เนื้อดิบให้เรียบร้อยก่อนนำมาใส่อาหารที่ปรุงสุกแล้ว

                ข้อมูล : โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย , www.pobpad.comwww.sanook.com

                 

                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                 

                อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิกที่ภาพด้านล่าง ⇓

                ลูกท้องเสียเพราะ ยืดตัว จริงหรือ?

                หมอเตือน!! กิน “มะม่วง” ที่มีจุดดำ เสี่ยงติดเชื้อได้!!

                4 อุทาหรณ์ !ป้อนยาลูกผิด พร้อมวิธีสังเกตอาการหลังป้อน

                  โรคชีแฮน ตกเลือดหลังคลอด

                  ตกเลือดหลังคลอด เสี่ยงโรคชีแฮนฝันร้ายแม่อยากให้นมลูก

                  โรคชีแฮน คืออะไร หากคุณมีการ ตกเลือดหลังคลอด หรือระหว่างคลอดมาก รู้ไว้เสี่ยงภาวะความผิดปกติของต่อมใต้สมอง ทำให้ร่างกายไม่สร้างฮอร์โมนผลิตน้ำนมดับฝันให้นมลูก

                  ตกเลือดหลังคลอด เสี่ยงโรคชีแฮน!!ฝันร้ายแม่อยากให้นมลูก

                  โรคชีแฮน (Sheehan’s syndrome) เป็นภาวะความผิดปกติของต่อมใต้สมองที่เกิดจากการเสียเลือดมากจนเกินไป การตกเลือดระหว่างคลอด คุณแม่อาจเสียเลือดมากถึง 800-1000 cc. หรือมีความดันโลหิตต่ำกว่าปกติ ระหว่างการคลอดบุตรหรือหลังคลอดบุตร การตกเลือดปริมาณมาก ๆ ทำให้เลือดไม่สามารถไปเลี้ยงบริเวณต่อมใต้สมองได้เพียงพอ เกิดการตายถาวรของเนื้อบริเวณต่อมใต้สมอง ส่งผลให้การหลั่งฮอร์โมนไปควบคุมส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้น้อยลง ระบบทำงานของร่างกายผิดปกติ  ทำให้ผู้ป่วยมีอาการอ่อนเพลีย น้ำนมน้อยไม่สามารถให้นมลูกได้ ผิวแห้ง เป็นต้น

                  อ่านต่อ น้ำนมน้อย น้ำนมแม่ไม่พอ? และเคล็ดลับขับน้ำนมด้วยวิธีธรรมชาติ

                  ตกเลือดหลังคลอด ฝันร้ายแม่ให้นมลูก
                  ตกเลือดหลังคลอด ฝันร้ายแม่ให้นมลูก

                  ภาวะดังกล่าวในคุณแม่บางคนอาจมีผลกระทบหลังคลอดเลย แต่ในบางคนอาจผ่านไปแล้วเป็นปี ๆ จึงจะทราบว่าตัวเองมีภาวะซีแฮน ซิมโดรม โรคนี้จะเกิดกับกับ สตรีหลังคลอดลูกประมาณ  5 ใน 100,000 ราย

                  ภาวะที่มีผลต่อการเสี่ยงการเกิดโรคกลุ่มอาการชีแฮน

                  1. การตกเลือดหลังการคลอดลูก การเสียเลือดมาก จากการคลอดลูก หากไม่ได้รับเลือดและสารอาหารทดแทนการเสียเลือดทันต่อความเสี่ยง ภาวะความดันเลือดต่ำ อาจทำให้เกิด โรคซีแฮน ได้
                  2. ภาวะเลือดแข็งตัวผิดปกติ การที่มีเลือดออก แล้วเกิดการแข็งตัวของเลือดช้ากว่าปกติ ทำให้เสียเลือดมาก ซึ่งการเสียเลือดมาก เป็นสาเหตุของการเกิด โรคกลุ่มอาการซีแฮน
                  3. ภาวะเบาหวานในสตรี โรคเบาหวาน ทำให้เลือดไปเลี้ยงอวัยวะไม่เพียงพอ ซึ่งส่งผลต่อ การขาดเลือดไปเลี้ยงสมองได้
                  4. ภาวะครรภ์เป็นพิษ ความดันโลหิตสูงระหว่างตั้งครรภ์

                  อ่านต่อ 6 สมุนไพรลดความดัน ที่หาทานง่าย และลดความดันได้จริง

                  ภาวะตกเลือดหลังคลอด

                  เป็นสาเหตุสำคัญในการเกิดโรคกลุ่มอาการซีแฮน ซึ่งมีเหตุปัจจัยได้หลายสาเหตุ ดังนั้นทางทีมแม่ ABK จึงได้รวบรวมสาเหตุของการเกิดภาวะตกเลือดหลังคลอดที่พบได้บ่อย ๆ มาฝากกัน

                  ลูกตัวโต เสี่ยง ตกเลือดหลังคลอด
                  ลูกตัวโต เสี่ยง ตกเลือดหลังคลอด
                  1. ลูกในท้องที่มีน้ำหนักมากกว่า 4,000 กรัม ทำให้การคลอดมีความยากลำบาก แผลฉีกขาดในช่องคลอด เนื้อเยื่อช่องคลอด และหลอดเลือดในมดลูก รวมถึงใช้เวลาคลอดนาน
                  2. ภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนด
                  3. รกเกาะต่ำ
                  4. คุณแม่มีภาวะการเป็นโรคอ้วน
                  5. การใช้ยาที่กระตุ้นการคลอด
                  6. การใช้คีมในการทำคลอด

                  สังเกตอาการได้ทัน ป้องกันการตกเลือดได้

                  คุณแม่อย่าพึ่งเกิดความกังวลใจมากเกินไป เพราะภาวะการตกเลือดหากเราสามารถรู้ตัวได้ทัน หรือเตรียมการป้องกันการเกิดภาวะตกเลือดไว้ก่อนการคลอด เช่น การเตรียมเลือด หรือ สารอาหารทดแทนได้ทันก็ไม่เป็นอันตราย โดยคุณแม่สามารถสังเกตอาการได้ดังต่อไปนี้

                  • อัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น
                  • เลือดออกเป็นปริมาณมาก และการหยุดของเลือดช้ากว่าปกติ
                  • ความดันเลือดลดลงต่ำ
                  • เนื้อเยื่อบริเวณรอบช่องคลอดบวม และเจ็บ

                  อ่านต่อ ภาวะตกเลือดหลังคลอด ละเลยเพียงนิด อันตรายถึงชีวิตได้

                  สังเกตอาการแก้ทันภาวะ ตกเลือดหลังคลอด
                  สังเกตอาการแก้ทันภาวะ ตกเลือดหลังคลอด

                  อาการของโรคซีแฮน

                  1. ไม่มีน้ำนม สำหรับสตรีหลังคลอดจะยังน้ำนมไม่ไหลในช่วงแรก แต่จะยังอาการคัดที่เต้านม แต่ผู้ที่เกิดภาวซีแฮน ซิมโดรม เกิดจากภาวะผิดปกติของต่อมใต้สมอง ทำให้ไม่สามารถสร้างฮอร์โมนในการผลิตน้ำนมได้ เป็นผลให้ไม่รู้สึกคัดเต้านม ถึงกระตุ้นอย่างไรก็ไม่มีน้ำนมออกมา
                  2. ไม่มีประจำเดือน ซึ่งการไม่มาของประจำเดือน เกิดจากต่อมใต้สมองที่ไม่สามารถผลิตฮอร์โมนไปกระตุ้นรังไข่  เพื่อสร้างฮอร์โมนเพศหญิงได้ ทำให้นอกจากไม่มีประจำเดือนแล้ว ยังเกิดอาการขนาดหน้าอกลดลง ช่องคลอดแห้ง อารมณ์ทางเพศหาย หรือลดลงอีกด้วย
                  3. เดินช้า พูดช้า คิดช้า เซื่องซึม กินจุ ผมร่วง เป็น อาการของภาวะขาดออร์โมนไทรอยด์ เกิดจาก ต่อมใต้สมองไม่สามารถสร้างฮอร์โมนต่อมไทรอยด์ ที่จะไปควบคุมระบบเผาผลาญของร่างกายได้มากพอต่อความต้องการทำให้เกิดอาการดังกล่าว
                  4. ขาดเกลือแร่ เนื่องจาก ต่อมหมวกไตทำงานผิดปกติ ต่อหมวกไตจะมีหน้าที่หลั่งสารคอร์ติซอล ที่ช่วยให้ร่างกายปรับตัวรับกับภาวะเครียดที่เกิดขึ้นกับร่างกาย ทำให้เรารับมือกับความเครียดได้ เช่น ทำให้น้ำตาล และความดันสูงขึ้น เพื่อไม่ให้เป็นลม หรือช็อกง่าย ๆ เป็นต้น หากต่อมหมวกไตทำงานผิดปกติ เวลาเจอความเครียดก็จะตอบสนองไม่ทัน เกิดอารมณ์แปรปรวน ปวดหลัง ไม่สบายตัว ไม่สดชื่น เหนื่อยทั้งวัน ซึ่งเป็นอาการของร่างกายที่ขาดเกลือแร่ และหากต่อมหมวกไตต้องทำงานหนังเรื่อย ๆ ก็อาจเกิดภาวะวิกฤต เมื่อเจอกับภาวะเครียดรุนแรงก็อาจช็อก อันตรายต่อชีวิตได้
                  5. เหนื่อย ล้า อ่อนเพลีย และ เบื่ออาหาร เพราะร่างกายไม่สามารถผลิตโกรทฮอร์โมนได้เพียงพอ ทำให้ไม่สามารถทำงานออกแรงได้เหมือนเดิม

                  การตรวจภาวะโรคกลุ่มชีแฮน

                  1. การตรวจประวัติทางการแพทย์ ดูประวัติการเสียเลือดหลังคลอด และ ความผิดปกติต่าง ๆ ของร่างกาย
                  2. การตรวจร่างกาย สังเกตอาการผิดปกติที่เกิดจากการขาดฮอร์โมน เช่น ร่างกายสร้างน้ำนมได้หรือไม่ ร่างกายบวมหรือไม่ ช่องคลอดแห้ง หรือไม่ และ ผนังช่องคลอดบางหรือไม่
                  3. การตรวจเลือด เพื่อดูระดับฮอร์โมนในเลือด เป็นการตรวจที่มีความแม่นยำที่สุด และทำให้ทราบว่าร่างกายของคุณแม่ขาดฮอร์โมนตัวไหนบาง ก็จะทำการใหฺ้ฮอร์โมนตัวที่ขาดเสริมให้แก่ร่างกายต่อไป
                  วิธีตรวจเลือด แม่นยำสุด
                  วิธีตรวจเลือด แม่นยำสุด

                  ไม่หมดหวัง หากรู้ทัน…สามารถให้นมแม่แก่ลูกได้

                  สำหรับคุณแม่ที่ตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะให้นมลูกเอง แม้ว่าหากเกิดโชคร้ายทำให้ร่างกายต้องประสบกับภาวะโรคกลุ่มชีแฮนทำให้ขาดฮอร์โมนในการผลิตน้ำนมแม่ แต่ถ้าหากเรารู้ทัน และได้เข้ารับการรักษาจากแพทย์ ความหวังของคุณแม่ในการให้นมลูกก็ยังไม่หมดหวังเสียทีเดียว

                  โดยขั้นแรกคุณหมอจะทำการตรวจเลือดเพื่อดูว่าร่างกายของคุณแม่ขาดฮอร์โมนตัวไหนบ้าง ก็จะทำการรักษาโดยให้ฮอร์โมนตัวนั้นมาเสริม ทดแทนให้แก่ร่างกาย ซึ่งอาจจะต้องทำใจว่าเมื่อป่วยเป็นโรคในกลุ่มชีแฮนนี้จะต้องกินฮอร์โมนตัวที่ขาดไปตลอดชีวิต แต่ไม่ต้องเป็นกังวลไปเพราะเรายังสามารถใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างปกติหากได้รับการรักษา เช่น หากฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำ ก็ให้ฮอร์โมนไทรอยด์เสริม โดยฮอร์โมนสำคัญ ๆ ที่ร่างกายของผู้ป่วยในกลุ่มโรคชีแฮนขาด ได้แก่

                  • ยากลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroid) ฮอร์โมนทดแทนต่อมหมวกไต
                  • ยากลุ่มเลโวไทรอกซีน (Levothyroxine) เพิ่มระดับของฮอร์โมนไทรอยด์
                  • ฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) และโปรเจสเตอโรน (Progesterone)ในผู้ป่วยที่ตัดมดลูกออกแล้วจะใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจนอย่างเดียว ฮอร์โมนดังกล่าวนี้จะช่วยให้ประจำเดือนมาปกติ
                  • ฮอร์โมนลูติไนซิงฮอร์โมน(Luteinizing hormone  : LH) ทำหน้าที่กระตุ้นรังไข่ ให้ไข่สุกและสามารถตั้งครรภ์ได้
                  • ฟอลลิเคิลสติมิวเลติงฮอร์โมน(Follicle stimulating hormone ; FSH) ทำหน้าที่กระตุ้นรังไข่ ให้ไข่สุกและสามารถตั้งครรภ์ได้
                  • โกรทฮอร์โมน (Growth hormone) ช่วยรักษาความหนาแน่นของกระดูก เสริมสร้างกล้ามเนื้อและลดระดับคอเลสเตอรอล

                  ซึ่งการรักษาด้วยการให้ฮอร์โมนทดแทนถือว่าเป็นวิธีรักษาที่ดีที่สุด และคุณแม่ที่ต้องการให้นมลูกก็ไม่ต้องกังวลไป เพราะเราสามารถให้ลูกกินนมได้ตามปกติ ยาฮอร์โมนที่ได้รับส่วนใหญ่เป็นยาสเตียรอยด์ ซึ่งคุณแม่จะได้รับในปริมาณที่ไม่มาก และส่งต่อผ่านทางน้ำนมได้น้อยมาก และยังมีวิธีการทานยาที่จะทำให้หลงเหลือยาส่งต่อไปยังลูกผ่านทางน้ำนมแม่น้อยที่สุดด้วย คือ การที่คุณแม่ต้องรับประทานยาหลังจากให้นมลูกแล้วในแต่ละมื้อ เพราะระยะเวลาที่จะให้นมลูกในครั้งต่อไป ก็นานพอที่ยาที่รับประทานเข้าไปหมดฤทธิ์ หรือหลงเหลือในร่างกายของคุณแม่น้อย จึงไม่เป็นอันตรายต่อลูกน้อยที่ทานนมคุณแม่ ไม่ส่งต่อผ่านทางน้ำนมไปสู่ลูก

                  อย่าพึ่งหมดหวัง ให้นมลูก
                  อย่าพึ่งหมดหวัง ให้นมลูก

                  ดังนั้น คุณแม่ควรจะต้องรับประทานยาและฮอร์โมนเสริมตามคำสั่งของหมออย่างเคร่งครัด และพบหมอตามนัดอย่างสม่ำเสมอ นอกจากการพบคุณหมอ และรับประทานยาตามคำสั่งแล้ว การออกกำลังกายและการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ก็เป็นวิธีการดูแลตัวเองที่ดีอีกวิธีหนึ่ง

                  อาหารเป็นยาจากธรรมชาติ…มาบำรุงร่างกายเพื่อลูกน้อยกันเถอะ

                  โรคซีแฮนเป็น โรคที่เกิดจากการเสียเลือดมาก หลังคลอดบุตร การป้องกันการเกิดโรค คือ การบำรุงร่างกายเพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารและแร่ธาตุที่ช่วยบำรุงร่างกายหลังจากการเสียเลือดหลังคลอด ซึ่งอาหารของไทยเรานั้นมีสมุนไพรมากมายที่มีสรรพคุณช่วยในการบำรุงเลือด และสารอาหารที่จำเป็นแก่ร่างกาย ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยร่างกายของคุณแม่กลับมาแข็งแรง เป็นการช่วยร่างกายได้ดีอีกวิธีหนึ่งนอกจากการรับประทานยาฮอร์โมน เพราะนอกจากได้บำรุงทางกายแล้ว การได้รับประทานของชอบอร่อย ๆ ก็เป็นการบำรุงทางใจ ทำให้ร่างกายผ่อนคลายก็จะส่งผลดีต่อความสมบูรณ์ของร่างกายอีกด้วย

                  สมุนไพรสำหรับคุณแม่หลังคลอด

                  ฟักทอง มีคุณค่าทางอาหารที่อุดมไปด้วย แบต้าแคโรทีน วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินบี และฟอสฟอรัส ฟักทองมีสรรพคุณในเรื่องของการช่วยบำรุงน้ำนม ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง อาหารที่แนะนำ ฟักทองผัดไข่ ฟักทองนึ่ง ฯลฯ

                  ฟักทอง บำรุงเลือดเพิ่มน้ำนมแม่
                  ฟักทอง บำรุงเลือดเพิ่มน้ำนมแม่

                  ขิง ขิง เป็นผักและสมุนไพรไทยที่อุดมไปด้วยวิตามินเอ บี 1 บี 2 แร่ธาตุ แคลเซียม และคาร์โบไฮเดรต มีสรรพคุณช่วยแก้คลื่นไส้ แก้อาเจียน ขับลม ขับเหงื่อ และช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ทำให้น้ำนมไหลได้ดี ส่วนใหญ่มักจะนำมาหั่นฝอยรับประทานกับโจ๊ก หรือจะนำมาทำเป็นกับข้าวอย่าง ไก่ผัดขิง ยำปลาทูใส่ขิง หรือจะชงเป็นน้ำขิงดื่มร้อน ๆ ก็ยังได้

                  อ่านต่อ แจกฟรี..เมนูขิงเรียกนมแม่ หลากหลายทั้งคาวหวาน

                  หอมหัวใหญ่ สารไซโคลอัลลิอินในหัวหอมใหญ่ช่วยในการสลายลิ่มเลือด ป้องกันไม่ให้ลิ่มเลือดอุดตันหรือยับยั้งการรวมตัวกันของเกล็ดเลือด ปกป้องหลอดเลือดเลี้ยงสมองเกิดการอุดตันและช่วยกระจายเลือดลม การรับประทานเป็นประจำในระยะยาวจะช่วยทำให้หลอดเลือดสะอาด และลดการแข็งตัวของหลอดเลือด

                  มะขาม มะขามมีธาตุเหล็ก ซึ่งมีส่วนช่วยในการสร้างเม็ดเลือด ใบสด และฝักดิบมะขามมีคุณสมบัติในการช่วยฟอกโลหิต ดอกสดของมะขามใช้เป็นยาลดความดันโลหิตสูง

                  กานพลู งานวิจัยพบว่าน้ำมันกานพลูสามารถช่วยละลายลิ่มเลือดและช่วยลดการจับตัวเป็นก้อนได้

                  มะละกอ มีคุณค่าทางอาหารที่อุดมไปด้วย ไฟเบอร์ วิตามินเอ วิตามินบี วิตามินซี ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก และมีแคลเซียมสูง รวมทั้งยังมีในเรื่องของเอนไซม์ที่จะช่วยสร้างภูมิต้านทานให้ร่างกาย มะละกอจะช่วยเพิ่มน้ำนม บำรุงเลือด บำรุงกระดูก สายตา อาหารแนะนำ เช่น น้ำมะละกอปั่น แกงส้มมะละกอสด หรือจะทานสุกก็ได้

                  แคนา ดอกแค ใช้ขับเสมหะ บำรุงโลหิต ขับผายลม ช่วยให้นอนหลับสบาย และเมล็ด แก้อาการปวดประสาท แก้โรคชัก

                  ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก Helloคุณหมอ /Beezab.com / Kapook.com / Medthai.com

                  อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                  แม่ท้องต้องรู้! เลือดล้างหน้าเด็ก อันตรายไหม? มีผลต่อลูกในท้องหรือไม่

                  แม่ท้อง …จะรู้ได้อย่างไรว่าลูกในท้องสมบูรณ์ แข็งแรงดีหรือไม่?

                  แจก!!พิกัด ตรวจภายใน ไม่เจ็บ..ไม่แพง ตรวจได้ทุกวัย

                  เลือดออกทางช่องคลอด ไม่ใช่เลือดประจำเดือน สัญญาณอันตรายที่ต้องไปหาหมอ!

                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                    คลอดลูกแม่เสียชีวิต สาเหตุแม่เสียชีวิตหลังคลอด

                    คลอดลูกแม่เสียชีวิต สาเหตุแม่เสียชีวิตหลังคลอด

                    เรื่องราวสุดสะเทือนใจ คลอดลูกแม่เสียชีวิต เมื่อคนเป็นแม่พร้อมสละทั้งชีวิตเพื่อลูกน้อยให้ปลอดภัย ความรักอันยิ่งใหญ่ของคนเป็นแม่

                    คลอดลูกแม่เสียชีวิต

                    เหตุการณ์น่าเศร้า เมื่อผู้เป็นแม่ต้องเสียชีวิตหลังคลอดด้วยภาวะแทรกซ้อน เรื่องราวของคุณแม่หัวใจแกร่ง ถูกเปิดเผยโดยพี่ที่สนิท โพสต์เฟซบุ๊กเพื่อเป็นอุทาหรณ์ว่า น้องคนนี้เป็นคุณแม่ที่ดื้อและรั้นกับคุณหมอสุด ๆ ไม่เคยตรวจร่างกายตัวเอง โดยคิดว่า ได้ผ่านการผ่าคลอดลูกมาแล้ว 2 คน คนที่ 3 ก็จะผ่านไปได้ด้วยดีแบบที่ผ่านมา แต่มันไม่ใช่

                    คุณหมอได้เตือนคุณแม่ตั้งแต่ 2-3 เดือนแรก ตั้งแต่รู้ว่ากำลังจะมีลูก น้องมาปรึกษาตลอดว่า การตั้งครรภ์ครั้งนี้มีปัญหา

                    • มดลูกต่ำ
                    • มีเลือดไหลในช่องท้องจำนวนมาก แต่ไม่ทราบสาเหตุ คุณหมอแนะนำว่า ถ้าเอาลูกไว้อันตรายต่อแม่แน่นอน เลือดที่อยู่ในช่องท้อง ไม่มีผลต่อลูก เพราะไม่ได้เข้าไปอยู่ในรก ลูกปลอดภัยแน่นอน แต่คุณแม่เสี่ยงมาก
                    • ก่อนครบกำหนดผ่าคลอด ประมาณ 2-3 สัปดาห์ คุณหมอตรวจเจอว่า น้องลิ้นหัวใจรั่วอีก ซึ่งเจอในเวลากระชั้นชิด ไม่สามารถทำอะไรได้อยู่แล้ว

                    ตอนผ่าคลอดลูกทั้ง 2 คนที่ผ่านมา ตรวจไม่เจออะไรเลย ทุกคนงงมาก ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ทำให้การผ่าคลอดครั้งนี้ต้องหนักแน่นอน

                    ด้วยความหวังดีของเจ้าของโพสต์ บอกให้น้องเชื่อหมอรีบเอาลูกออก ไม่ใช่ว่าใจร้ายหรือคิดไม่ดีกับหลาน แต่เพราะครอบครัวนี้ยังมีสามี มีลูกอีก 2 คนที่ต้องดูแล ไม่ควรไปเสี่ยง แต่ความดื้อรั้น ที่สำคัญคือ หัวใจของคนเป็นแม่ที่รักลูก ความเป็นแม่ผู้เสียสละ เลือกที่จะเก็บลูกไว้ ทั้งที่รู้ว่าจะเป็นเช่นไร ผู้เป็นแม่เชื่อว่าทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดี คุณหมอเก่ง อุปกรณ์ครบ ทันสมัย

                    จนกระทั่งวันที่ 5 ตุลาคม 2563 ถึงกำหนดผ่าคลอด ลูกออกมาดูโลกภายนอก แทนที่จะได้เจอหน้าแม่ ทารกน้อยมีร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ น้ำหนัก 3,600 กรัม อย่างไรก็ตาม ต้องขอชื่นชม ขอบคุนทีมคุณหมอ คุณพยาบาล ที่เตรียมเครื่องมือ เตรียมเลือดไว้สำหรับเคสนี้เยอะมาก ใช้คุณหมอในการผ่าคลอดถึง 4 คน รวมทุกหมอ พยาบาลอีกเยอะแยะมากมาย ใช้เวลาในการผ่าคลอด เข้าห้องคลอดประมาณ 8.30 น. เสร็จประมาณ 15.00 น.

                    มันนานมากเลยใช่ไหม ปกติผ่าคลอดใช้เวลาไม่เกิน 2-3 ชั่วโมง เพราะอะไร ทุกคนต่างสงสัยว่า มันหนักขนาดนี้เลยหรอ ความจริงคือ ตัวคุณแม่มีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย

                    1. รกลูกเหมือนจะอยู่นอกมดลูก
                    2. รกมันกินส่วนของกระเพาะปัสสาวะ ติดกับกระดูกสันหลัง

                    คุณหมอต้องค่อย ๆ ตัดเลาะมดลูกออกทั้งหมด ต้องค่อย ๆ ทำจริง ๆ ไม่อย่างนั้นจะไปโดนส่วนสำคัญอื่น ๆ ทำให้ต้องใช้เวลานานในการผ่าตัด เลือดก็ไหลไม่หยุด ใช้เลือดไปทั้งหมด 50 ถุง จนต้องย้ายโรงพยาบาล คุณหมอรักษาอย่างสุดความสามารถ แต่น้องไม่รู้สึกตัว ความดันขึ้น ๆ ลง ๆ หัวใจหยุดเต้นไป 3 ครั้ง คุณหมอก็ปั๊มหัวใจให้กลับมาได้ คุณหมอให้ยาที่ดีที่สุด ให้ยาที่แพงที่สุด ให้เลือดไปเยอะมาก ทั้งยังต้องล้างไต ซึ่งเป็นสิ่งสุดท้ายที่หมอทำให้ จนร่างกายและอวัยวะข้างในไม่ตอบสนอง ไม่รับยา ไม่รับเลือดที่คุณหมอให้แล้ว จนสุดท้าย เวลา 03.00 น. คนในครอบครัวก็ได้ปล่อยน้องให้ไปอย่างสงบ

                    เจ้าของเฟซบุ๊กยังทิ้งท้าย อยากให้ผู้หญิงที่วางแผนอยากมีลูก เพื่อเติมเต็มความสุขในครอบครัว ควรไปตรวจสุขภาพอย่างละเอียด ปรึกษาเเพทย์ผู้เชี่ยวชาญให้ดี ควรเชื่อและทำตามที่หมอสั่ง

                    คลอดลูกแม่เสียชีวิต สาเหตุแม่เสียชีวิตหลังคลอด
                    คลอดลูกแม่เสียชีวิต สาเหตุแม่เสียชีวิตหลังคลอด

                    เรื่องราวเลวร้ายที่ไม่มีใครอยากให้เกิด ทางทีมงานของแสดงความเสียใจกับการจากไปของคุณแม่หัวใจแกร่งท่านนี้ด้วยนะคะ สำหรับสาเหตุแม่เสียชีวิตหลังคลอด เกิดได้จากหลายปัจจัย ดังนี้

                    สาเหตุแม่เสียชีวิตหลังคลอด

                    1. ตกเลือดหลังคลอด สาเหตุสำคัญ พบมากถึง 1 ใน 3 ของการเสียชีวิตของผู้เป็นแม่ โดยเกิดจากมดลูกไม่แข็งตัว ช่องคลอดฉีกขาดมาก มดลูกแตก รกค้าง หรือแม่มีเลือดแข็งตัวผิดปกติ และการท้องนอกมดลูก เพื่อป้องกันการคลอดลูกแล้วผู้เป็นแม่ต้องจบชีวิต ควรรีบฝากครรภ์ให้เร็วที่สุด พบแพทย์อย่างสม่ำเสมอ จะสามารถป้องกันอันตราย และได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที
                    2. ติดเชื้อในกระแสเลือด คุณแม่บางรายอาจติดเชื้อโรค ไวรัส หรือแบคทีเรีย โดยเฉพาะคุณแม่ที่มีภูมิต้านทานบกพร่อง หรือการดูแลรักษาร่างกายภายหลังคลอดที่ไม่ถูกสุขลักษณะ
                    3. ครรภ์เป็นพิษ อาการรุนแรงของครรภ์เป็นพิษจะส่งผลให้ผู้เป็นแม่เสียชีวิตได้จากความดันโลหิตสูง หากเป็นในชนิดที่รุนแรง คุณหมอมักจะช่วยให้เด็กคลอดออกมาโดยเร็วที่สุด ผ่านการผ่าคลอด เพื่อป้องกันการสูญเสียชีวิตทั้งตัวแม่และทารก
                    4. ภาวะแทรกซ้อนของโรคทางอายุรกรรม โรคอื่น ๆ ที่คุณแม่เป็นตั้งแต่ก่อนการตั้งครรภ์ เช่น ความดันโลหิตสูง หอบหืด ลมชัก โรคปอด ไต ตับ มะเร็ง ลิ้นหัวใจรั่ว ลิ้นหัวใจตีบ ส่งผลให้คุณแม่ต้องจากไปได้ทั้งในช่วงก่อนคลอด ระหว่างคลอด และหลังคลอด โดยเฉพาะโรคหัวใจ ที่คุณหมออาจประเมินไม่ให้มีการตั้งครรภ์เลยตั้งแต่แรก เพื่อให้ตัวคุณแม่ปลอดภัยมากที่สุด
                    5. น้ำคร่ำอุดหลอดเลือดที่ปอด หากเกิดขึ้นแล้วมีโอกาสเสียชีวิตสูง และยังไม่อาจตรวจได้ล่วงหน้าว่าจะเกิดขึ้นกับใคร
                    คลอดลูกแม่เสียชีวิต สาเหตุแม่เสียชีวิตหลังคลอด
                    คลอดลูกแม่เสียชีวิต สาเหตุแม่เสียชีวิตหลังคลอด

                    วิธีป้องกันแม่เสียชีวิตหลังคลอด

                    • ตรวจร่างกายอย่างละเอียด เพื่อวางแผนก่อนการตั้งครรภ์ การเตรียมตัวก่อนการตั้งครรภ์จะช่วยให้คุณหมอได้ประเมินความเสี่ยง และตรวจเช็คโรคประจำตัวของคุณแม่ เพื่อป้องกันการคลอดลูกที่ทำให้คุณแม่เสี่ยงเสียชีวิต
                    • ฝากครรภ์ให้เร็วที่สุด แม่ฝากครรภ์ทันทีเมื่อรู้ว่าตั้งครรภ์ ควรฝากครรภ์ก่อนอายุครรภ์ 12 สัปดาห์หรือ 3 เดือน
                    • ฝากครรภ์สม่ำเสมอ พบแพทย์ตรงตามนัด เพื่อติดตามการตั้งครรภ์ และป้องกันการเกิดอันตราย
                    • ปฎิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ คุณหมอห้ามทำอะไร ให้ทำอะไร คุณแม่ควรยึดถือปฏิบัติ เช่น การนับลูกดิ้น ควรสังเกตอาการผิดปกติของร่างกายแม่ ถ้ารู้สึกไม่แน่ใจ ให้รีบพบแพทย์

                    การป้องกันการเสียชีวิตของตัวคุณแม่และลูกน้อยเป็นสิ่งสำคัญ ต้องรีบตรวจตั้งแต่ก่อนการตั้งครรภ์ และอย่าลืมสังเกตความผิดปกติของร่างกายคุณแม่ นี่เป็นสิ่งที่แม่จะทำได้ดีที่สุด เพื่อปกป้องลูกน้อยที่รัก และรักษาชีวิตของคุณแม่เอง

                    อ้างอิงข้อมูล : mgronline.com, facebook.com/kalasinthonburi และ facebook.com/bumrungrad

                     

                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                     

                    อ่านบทความอื่นเพิ่มเติม

                    ปกป้องลูกน้อยในครรภ์ ให้ไกลจาก ครรภ์แฝดน้ำ

                    ภาวะตกเลือดหลังคลอด ละเลยเพียงนิด อันตรายถึงชีวิตได้

                    คลอดลูกตาย การเสียชีวิตของทารกแรกเกิดหลังคลอด

                      คลอดลูกตาย

                      คลอดลูกตาย การเสียชีวิตของทารกแรกเกิดหลังคลอด

                      คุณแม่ 3 คนข้องใจ ฝากครรภ์กับคุณหมอคนเดียวกัน แต่ทารกคลอดออกมาแล้วเสียชีวิต สาเหตุที่ทำให้ คลอดลูกตาย มีอะไรบ้าง

                      คลอดลูกตาย

                      หัวอกคนเป็นแม่ใจสลาย เมื่อลูกน้อยต้องจากไป ทั้งยังรู้สึกค้างคาใจกับสาเหตุการตาย เพราะไม่ได้รับคำชี้แจงที่ชัดเจน 3 คุณแม่ที่ต้องสูญเสียลูกไป ออกมาบอกเล่าอุทาหรณ์ พร้อมขอคำชี้แจงอย่างชัดเจนเกี่ยวกับสาเหตุการเสียชีวิตของทารกแรกเกิด ทั้ง 3 ชีวิต

                      สาเหตุที่ทำให้คลอดลูกตาย การเสียชีวิตของทารกแรกเกิดหลังคลอด
                      คลอดลูกตาย การเสียชีวิตของทารกแรกเกิดหลังคลอด

                      น้องกัปตัน ลูกคนที่ 3 ของครอบครัว – ขี้เทาไปอุดปอด ลูกหายใจเองไม่ได้

                      เรื่องราวนี้เริ่มจากคุณแม่ของน้องกัปตัน ที่ทำการฝากครรภ์พิเศษกับคุณหมอคนเดิมที่เคยผ่าคลอดลูกคนที่ 2 ออกมาอย่างปลอดภัย แต่คราวนี้ไม่เป็นเช่นนั้น ทารกน้อยหรือลูกคนที่ 3 กลับเสียชีวิตตั้งแต่วันแรกหลังคลอด (คลอด 5 ต.ค. 63 เสียชีวิต 6 ต.ค. 63) ทั้งที่การผ่าคลอดนั้นเป็นไปได้ด้วยดี คุณแม่ได้บล็อกหลังผ่าคลอด เห็นตั้งแต่วินาทีแรกที่ลูกน้อยออกมาร้องได้ปกติ หลังจากทำความสะอาดก็อุ้มมาให้กินนมแม่ ตอนดูดนมลูกก็มีแรงดูดได้ปกติ หายใจปกติ สมุดที่เขียนตอนผ่าคลอดยังระบุด้วยว่า ระดับความแข็งแรงของเด็ก 9.9 เต็ม 10 ทั้งยังแจ้งด้วยว่า น้ำคร่ำใสสะอาด แล้วแม่ก็ไม่เห็นน้องอีก จนได้รับแจ้งหลังจากนั้นว่า อาการ50/50 จนน้องเสียชีวิตก็มาแจ้งว่า สาเหตุเกิดจากขี้เทาไปอุดปอด ส่วนตัวรู้สึกติดใจ จึงตัดสินใจจะนำร่างลูกส่งที่นิติเวช ตอนนี้รอชันผลสูตรศพ ซึ่งต้องใช้เวลา 45 วัน

                      ด้านคุณพ่อของน้องกัปตัน เล่าว่า ตลอดการตั้งครรภ์ แม่ของเด็กมีอาการปกติมาตลอด แพทย์ที่ไปฝากครรภ์ด้วยไม่เคยแจ้งภาวะเสี่ยง แต่หลังจากคลอดลูกได้ 4 ชั่วโมงก็ได้รับแจ้งว่า ลูกหายใจเองไม่ได้ น้ำคร่ำสกปรก ทำให้ไปติดที่ปอดจนหายใจไม่ได้ จึงทำให้ติดใจในการรักษา เพราะแม่บอกว่าลูกแข็งแรง น้ำคร่ำใส จึงมองว่า การชี้แจงของโรงพยาบาลไม่มีความชัดเจน

                       

                      สาเหตุที่ทำให้คลอดลูกตาย การเสียชีวิตของทารกแรกเกิดหลังคลอด
                      การเสียชีวิตของทารกแรกเกิดหลังคลอด

                      น้องอาร์ม ลูกคนที่ 4 ของครอบครัว – เสียชีวิตทันทีหลังคลอด ผู้เป็นแม่ตกเลือด

                      คุณแม่ของน้องอาร์มที่ฝากครรภ์แบบพิเศษกับหมอคนเดียวกัน เล่าว่า มีอาการคลอดก่อนกำหนด จากกำหนดคลอดเดือนเมษายน แต่มีเลือดออกที่ช่องคลอดตอนเดือนมีนาคม เลือดออกมาค่อนข้างมากจึงโทรแจ้ง คุณหมอให้ไปที่โรงพยาบาลวัดคลื่นหัวใจทารกในครรภ์ พบว่าปกติดี ตอนนั้นมีแค่หมอเวรกับพยาบาล หมอเวรยังถามว่า คุณหมอคนที่คุณฝากครรภ์ไว้ เค้ารู้ไหมว่าคุณตัวบวมมาก ตัวเหลือง ตาเหลือง แต่แล้วพยาบาลก็แจ้งให้กลับบ้านไปทั้งที่ปวดท้องหน่วง ๆ จนวันต่อมาปวดท้องหนัก จึงกลับมาโรงพยาบาล แต่ก็ยังไม่พบหมอ ได้แต่นอนรออยู่ในห้องผ่าตัด จนน้ำคร่ำแตก แล้วหมอก็มาทำคลอดให้ และได้รับแจ้งภายหลังว่า ลูกเสียชีวิตแล้ว สาเหตุคือ สายรกพันคอลูก แต่ก่อนหน้านั้นทุกอย่างปกติ อัลตราซาวด์แล้ว รกปกติ คลื่นหัวใจทุกอย่างปกติ จึงเชื่อว่า หากหมอทำคลอดให้ตั้งแต่วันแรกที่มีอาการ ลูกคงไม่ต้องตาย วันนั้นลูกยังดิ้นในท้องอยู่เลย

                      ด้านคุณพ่อของน้องอาร์ม เล่าว่า หลังจากนั้นได้รับแจ้งว่า น่าจะเกิดจากครรภ์เป็นพิษเฉียบพลัน แต่ก่อนหน้านั้นที่มาหาหมอก็ไม่มาดู ตัวของแม่เองก็มีอาการตกเลือดจนต้องเข้ารับการรักษา ส่วนศพของลูก ทางโรงพยาบาลขอไป โดยไม่มีเอกสารอะไรให้เซ็นเลย

                      สาเหตุที่ทำให้คลอดลูกตาย การเสียชีวิตของทารกแรกเกิดหลังคลอด
                      สาเหตุที่ทำให้คลอดลูกตาย การเสียชีวิตของทารกแรกเกิดหลังคลอด

                      น้องใบบุญ ลูกคนแรกของครอบครัว – เสียชีวิตหลังคลอดได้ 7 วัน

                      คุณแม่ของน้องใบบุญ เล่าว่า ได้ฝากครรภ์แบบพิเศษกับหมอคนเดียวกัน ที่ผ่านมา อัลตราซาวด์ไม่เคยได้รับแจ้งว่าลูกมีอาการผิดปกติ จนช่วงปลายเดือนสิงหาคม มีอาการน้ำเดิน เมื่อตรวจแล้วพบว่าปากมดลูกยังไม่เปิด จากนั้นอัลตราซาวด์ดูแพทย์บอกว่า น่าจะมีอาการหัวใจโต หลังคลอดอาจจะต้องแยกกับแม่สัก 7 วัน ในระหว่างรอคลอด มีอาการหายใจไม่ออกจนต้องให้ออกซิเจน จนผ่าคลอดในช่วงตี 1 ได้ยินเสียงร้องลูก 2 ครั้ง แล้วก็นิ่งเงียบไป มาทราบภายหลังว่า ลูกตัวเล็ก น้ำหนักแรกคลอดเพียง 1.85 กิโลกรัม ทารกมีอาการบวมน้ำ หายใจช้า กว่าเด็กทั่วไป จึงต้องส่งไปที่ห้อง NICU หมอเด็กบอกว่า เปอร์เซนต์รอดแทบไม่มี หลังจากนั้นรู้ว่า น้องมีโรคแทรกซ้อนหลายอย่างมาก ปอดติดเชื้อ ตับโต ความดันในเลือดสูง เลือดจาง น้องอยู่ 7 วันจึงเสียชีวิต

                      ทางทีมงานขอแสดงความเสียใจกับคุณแม่ทั้ง 3 ท่านด้วยนะคะ สำหรับสาเหตุที่ทำให้ทารกแรกเกิดเสียชีวิตนั้น เกิดได้จากหลายสาเหตุ ต้นเหตุจากหลายปัจจัย

                      สาเหตุการเสียชีวิตของทารกแรกเกิด

                      • ทารกสําลักน้ำคร่ำ สำลักขี้เทา จนเสียชีวิต

                      ขี้เทา คือ อุจจาระของเด็กทารกแรกเกิดที่ปกติเด็กจะสร้างเองได้ตั้งแต่อยู่ในท้อง ตั้งแต่ช่วงเดือนที่ 2-3 ของการตั้งครรภ์ เด็กจะสร้างขี้เทาออกมาในลำไส้ใหญ่ โดยมีลักษณะมันเหนียวเขียวจนเกือบจะดำ มีทั้งไขของตัวเด็กเอง ขนอ่อน น้ำคร่ำ แต่ด้วยการตั้งครรภ์ที่มีปัญหา หรือตัวเด็กเองมีปัญหา จะทำให้ถ่ายขี้เทาออกมาปนในน้ำคร่ำ สาเหตุที่ทารกถ่ายขี้เทาออกมาก่อนกำหนดเกิดได้จาก

                      1. เลือดไปเลี้ยงทารกผ่านสายสะดือแม่น้อยลง มีปฏิกิริยาทางระบบประสาทกระตุ้นทำให้เด็กมีการถ่ายขี้เทา
                      2. โรคประจำตัวของคุณแม่ การเจ็บป่วยบางอย่างที่กระทบกับการไหลเวียนของเลือด เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ น้ำคร่ำน้อย หรือคลอดเกินกำหนด
                      3. สาเหตุจากทารกเอง ความผิดปกติของทารกในครรภ์

                      อันตรายจากภาวะสูดสำลักขี้เทาในเด็กแรกเกิด อาจทำให้ทารกขาดออกซิเจน เพราะทารกที่อายุครรภ์มากขึ้นใกล้ครบกำหนดหรือตั้งครรภ์เกินกำหนด สภาพเลือด หลอดเลือด รก ก็จะเสื่อมสภาพ กระทบต่อระบบทางเดินหายใจ ระบบไหลเวียนเลือด ทำให้ทารกหายใจหอบ เหนื่อย หายใจไม่สะดวก ลักษณะเหมือนปอดอักเสบ เพราะขี้เทาจะเหนียวมาก พอทารกสูดสำลักเข้าไปจึงอุดตันทางเดินหายใจ ถุงลมเล็ก ๆ หรือระดับที่ลึกลงไปเรื่อย ๆ ในปอด ถ้าอุดเต็มที่อากาศไม่ผ่านเลย ปอดส่วนนั้นก็จะมีปัญหาการแลกเปลี่ยนก๊าซ หรืออุดไม่เต็ม 100% อากาศจะผ่านเข้าได้ แต่มักจะออกไม่ได้ ทำให้มีปอดโป่งพองออก จากนั้นก็จะมีการอักเสบของเนื้อเยื่อโดยรอบ ทำให้เด็กหายใจหอบหลังคลอด เสี่ยงเสียชีวิตได้

                      • สายสะดือพันคอทารกเสียชีวิต

                      สายสะดือพันคอลูกหรือสายรกพันคอ เป็นสิ่งที่ตรวจได้ยาก เพราะหลังจากที่ทารกอายุได้ 20 สัปดาห์ จะมีการเคลื่อนไหวไปมาภายในน้ำคร่ำ ยิ่งตัวเล็กก็ยิ่งเคลื่อนไหวได้สะดวก ช่วงที่ลูกดิ้นมาก ๆ จึงอาจทำให้เกิดสายสะดือพันคอทารกได้ แต่การที่สายรกหรือสายสะดือพันคอนั้นอาจไม่ทำให้เสียชีวิตทุกราย ขึ้นอยู่กับความแน่นหนาที่พันคอทารก เพราะเด็กบางคนสายสะดือพันคอมากถึง 5-6 รอบก็มีโอกาสรอดชีวิตได้เช่นกัน แต่ถ้าทารกดิ้นรุนแรงจนสายสะดือพันแน่นหนา จะเกิดการกดทับ ทำให้ลูกดิ้นน้อยลงหรือหยุดดิ้น นี่จึงเป็นสัญญาณอันตรายที่แม่ต้องใส่ใจในการนับลูกดิ้นเป็นประจำ

                      สำหรับอันตรายของภาวะสายสะดือพันคอทารกที่แน่นหนา จะทำให้เกิดภาวะพร่องออกซิเจน ในช่วงที่มดลูกบีบตัวดันทารกสู่ช่องคลอด ทำให้หลอดเลือดในสายสะดือถูกกดทับ จนทารกขาดออกซิเจน โดยคุณหมอจะผ่าคลอดกรณีที่สายสะดือพันคอแน่นจนขาดเลือดไปเลี้ยงสมอง ขาดออกซิเจนส่งผลให้การเต้นของหัวใจผิดปกติ เมื่อมีความเสี่ยงจะเสียชีวิต คุณหมอจะรีบทำการผ่าคลอดฉุกเฉิน

                      • ภาวะทารกบวมน้ำเสี่ยงตายคลอด

                      ภาวะทารกบวมน้ำ (Hydrops Fetalis) เป็นภาวะที่มีสารน้ำระหว่างเซลล์เพิ่มขึ้นทั่วไปในร่างกายของทารกในครรภ์ โดยปริมาณน้ำที่มากจนผิดปกติจะทำให้เกิดอาการบวม กระจายอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เข้าไปคั่งในช่องว่างของร่างกาย รวมถึงรกและสายสะดือ ภาวะทารกบวมน้ำแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม

                      1. ทารกบวมน้ำที่เกิดจากปฏิกิริยาอิมมูน (immune hydrops fetalis; IHF) เกิดจากแอนติบอดีในมารดาผ่านรกไปทำลายเม็ดเลือดทารก จนทารกมีภาวะซีด เกิดภาวะบวมน้ำ ปัญหาการไม่เข้ากันของหมู่เลือด Rh ระหว่างมารดากับทารก เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อย
                      2. ทารกบวมน้ำที่ไม่เกี่ยวกับปฏิกิริยาอิมมูน (non-immune hydrops fetalis; NIHF) ซีดจากสาเหตุอื่น ๆ ซึ่งที่พบบ่อยที่สุดคือฮีโมโกลบินบาร์ท อาจเกิดจากโรคหัวใจพิการ (cystic hygroma) หรือความผิดปกติทางโครโมโซม แต่คนไทยมักเกิดจากความผิดปกติโดยกำเนิดชนิดรุนแรงที่พบได้บ่อยที่สุด

                      ภาวะทารกบวมน้ำเกิดขึ้นได้ทุกไตรมาส และภาวะทารกบวมน้ำจากฮีโมโกลบินบาร์ท จะเสี่ยงเสียชีวิต เพราะเป็นความผิดปกติรุนแรง ทำให้เสี่ยงต่อการตายคลอดหรือคลอดออกมาได้ไม่นานก็เสียชีวิต

                      การป้องกันที่ดีที่สุดคือ หลังจากที่ทราบว่าตั้งครรภ์ ควรรีบฝากครรภ์ให้เร็วที่สุด เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์กับร่างกายของแม่และลูกในท้อง หมั่นไปตรวจครรภ์ให้ตรงนัดทุกครั้ง นับลูกดิ้นเป็นประจำ และคอยสังเกตอาการผิดปกติของร่างกาย ถ้ามีอาการที่ส่งสัญญาณอันตราย ควรรีบไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุด

                      อ้างอิงข้อมูล : amarintv.com, med.cmu.ac.th, hsi.mahidol.ac.th และ รายการโหนกระแส

                      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                       

                      อ่านบทความอื่นเพิ่มเติม

                      3 วิธี คลอดลูก คลอดแบบธรรมชาติ แบบผ่าคลอด หรือคลอดลูกในน้ำ คลอดแบบไหนดี?

                      7 วิธีดูแลตัวเองไม่ให้ “คลอดก่อนกำหนด” ในท้องสอง

                      ตรวจร่างกายหลังคลอด สำคัญมาก! ทั้งแม่และลูกอย่าลืมไปตามนัด

                        ปวดบิดในทารก

                        ปวดบิดในทารก ลูกบิดตัว ร้องไห้ ต้องหาหมอไหม เป็นอะไรกันแน่

                        อาการ ปวดบิดในทารก ร้องไห้จ้า ลูกเป็นอะไร อันตรายไหม ต้องหาหมอหรือเปล่า

                        ปวดบิดในทารก อาการแบบนี้เป็นอะไร

                        อาการบิดตัวของทารก หากแบ่งเป็นตามช่วงวัย อาจมีสาเหตุที่แตกต่างกันไป ต้องดูบริบทอื่น ๆ ประกอบด้วย อย่างการบิดตัวของทารกแรกเกิดจะเรียกกันว่า บิดเรียกเนื้อ อาการนี้เกิดได้กับทารกทุกคน เป็นการออกกำลังกายกล้ามเนื้อของทารกที่มักทำตอนตื่นนอน คนโบราณเชื่อกันว่า การที่ทารกบิดขี้เกียจเรื่อย ๆ จะทำให้เด็กมีเนื้อเยอะ โตเร็ว อาการบิดตัวของทารกแรกเกิด มักจะมาพร้อมเสียงร้องเอี๊ยด ๆ เป็นเพราะว่าทารกยังควบคุมกล้ามเนื้อได้ไม่ดี พบได้บ่อยในเด็กที่น้ำหนักตัวขึ้นเร็ว แต่ไม่ได้มีอันตราย

                        ทารกปวดบิดจากโคลิก

                        หนึ่งในอาการปวดบิดของทารกที่พบบ่อยคือ โคลิก (Baby Colic) หรือที่เรียกกันว่า เด็กร้อง 100 วัน เนื่องจากโคลิกเป็นอาการที่เด็กแรกเกิด อายุ 3 สัปดาห์ขึ้นไปจนถึง 3 เดือน ร้องไห้หนักมาก ซ้ำยังร้องเป็นเวลานาน โดยเฉพาะในตอนกลางคืน ทารกมักจะร้องโดยหาสาเหตุได้ยาก อาการอื่น ๆ ของโคลิก เช่น

                        • ร้องไห้หนักเป็นเวลานาน มักจะร้องไห้มากกว่า 3 ชั่วโมงต่อวัน มากกว่า 3 วันต่อสัปดาห์ และเป็นอยู่นานมากกว่า 3 เดือน
                        • แผดเสียงคล้ายโมโห
                        • บิดตัวไปมา
                        • งอขาเข้าหาหน้าท้อง งอตัว กำมือแน่น

                        แม้ว่าเจ้าตัวน้อยจะกินนมได้ตามปกติ มีสุขภาพที่แข็งแรงดี แต่ก็ยังร้องไห้โคลิกเป็นเวลานาน จนพ่อแม่หลายคนหาสาเหตุของโคลิกไม่เจอ ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะโคลิกเกิดได้จากหลายสาเหตุ

                        ปวดบิดในทารก
                        ปวดบิดในทารก

                        สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโคลิก

                        • ระบบทางเดินอาหาร

                        มีความผิดปกติที่ระบบทางเดินอาหาร เกิดจากทารกร้องไห้หนักมาก ๆ มักจะกลืนก๊าซเข้าไปในลำไส้ หรือกลืนอากาศเข้าไปตอนดูดนม โดยเฉพาะการดูดขวด ทำให้แน่นท้อง เกิดการไม่สบายตัว จนร้องไห้ออกมาอย่างรุนแรง ซ้ำยังแสดงท่างอขาไปชิดหน้าท้อง คล้ายกับว่าปวดบิดภายในท้องของเจ้าตัวน้อย จึงมีความเป็นไปได้ด้วยว่า มีการเคลื่อนไหวของลำไส้มากกว่าปกติ หากได้รับยาลดการบีบตัวของลำไส้ ก็ช่วยให้ทารกบางคนมีอาการที่ดีขึ้นได้ นอกจากนี้ ถ้าพ่อแม่ไม่อุ้มเรอ กินมากไป กินน้อยไป ก็ทำให้เจ้าตัวน้อยอึดอัดแน่นท้องจนร้องบิดได้

                        • สุขภาพจิตของแม่

                        ความเครียดตั้งแต่ตอนท้องก็มีผลต่ออาการของทารก รวมไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างแม่และลูก ก็จะส่งผลเช่นกัน โดยเฉพาะคุณแม่ท้องแรกที่กังวลเรื่องการเลี้ยงลูก หรือจำเป็นต้องเลี้ยงลูกเพียงลำพัง ทำให้รู้สึกล้า ท้อ กังวล เครียด เมื่อทารกร้องไห้จึงไม่รู้วิธีจัดการอย่างถูกต้องเพื่อให้ทารกหยุดร้อง

                        • ระบบประสาทและพัฒนาการในทารก

                        ทารกกลุ่มนี้อาจจะร้องไห้มากกว่าทารกทั่วไป แต่เมื่อเติบโตขึ้นระบบประสาทและพัฒนาการจะดีขึ้นจนค่อย ๆ หายได้เอง หรือแม้แต่พื้นฐานทางอารมณ์ของทารกก็สำคัญเช่นกัน อย่างทารกอาจอยู่ในกลุ่มเด็กเลี้ยงยาก

                        ปวดบิดในทารก
                        ปวดบิดในทารก

                        อาการโคลิกก็ยังพบได้ในหลายโรค และมักมีอาการอย่างเฉียบพลัน เช่น

                        1. ภาวะกรดไหลย้อนในเด็กเล็ก
                        2. ความผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลาง
                        3. ท้องผูก
                        4. แพ้นม สำลักอาหารหรือขย้อน
                        5. แผลที่รูก้น
                        6. การติดเชื้อในร่างกาย เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ทางเดินปัสสาวะอักเสบ และหูชั้นกลางอักเสบ
                        7. ได้รับอุบัติเหตุ เช่น กระดูกหัก แผลที่ตาดำ และแมลงเข้าไปในหู เป็นต้น

                        วิธีดูแลลูกเมื่อมีอาการโคลิก

                        • อุ้มทารกเมื่อลูกร้องโคลิก คอยปลอบ ดูแลทารกอย่างใกล้ชิด
                        • สังเกตว่าลูกหิวนมหรือเปล่า แต่ไม่ควรให้นมมากเกินไป เพราะ Overfeeding ทำให้เกิดอาการท้องอืดได้ จนแหวะนม และรู้สึกไม่สบายตัว เพราะน้ำนมมีมากจนล้นกระเพาะออกมา ดังนั้น ตอนให้นมควรจับลูกเรอเป็นระยะ ส่วนอาการแพ้นมวัวนั้นต้องพิจารณาอาการทางร่างกายของทารกอื่น ๆ ประกอบด้วย
                        • ถ้าลูกดูดขวดต้องอุ้มเรอให้ดี

                        • ลูกขับถ่ายหรือเปล่า ต้องเปลี่ยนผ้าอ้อมหรือไม่
                        • อากาศร้อนหรือเย็นเกินไป ก็มีผลให้ลูกรู้สึกไม่สบายตัว
                        • โคลิกเกิดได้ทั้งเด็กนมผง และเด็กนมแม่ ถ้าคุณแม่กังวลเรื่องอาหารที่รับประทาน ทำให้ลูกมีอาการโคลิก ให้ลองดูหลังจากที่แม่กินนมวัว ไข่ และถั่ว ดูว่าลูกมีอาการอย่างไรบ้าง
                        • ทารกที่ดื่มนมผสม เช็คดูว่าลูกอาจแพ้นมวัวหรือไม่ เช่น อาการแหวะนม ผื่นขึ้น ถ่ายเหลว หรือถ่ายเป็นเลือด

                        ถ้าลูกมีอาการปวดบิดในทารกไม่หายสักที ประกอบกับมีอาการไข้ ร้องนานกว่าเดิมจนหน้าดำหน้าแดง สีอุจจาระเปลี่ยนไป หรือหายใจผิดปกติ ควรรีบมาพบแพทย์ให้เร็วที่สุด

                        อ้างอิงข้อมูล : si.mahidol.ac.th และ ekachaihospital

                        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                         

                        อ่านบทความอื่นเพิ่มเติม

                        พ่อแม่ระวัง! หูชั้นกลางอักเสบ ภัยเงียบ..เด็กทุกคนเสี่ยงเป็น

                        ไขบนศีรษะลูก เกิดจากอะไร ไขบนหัวทารก ดูแลอย่างไรให้หาย

                        Magic hold อุ้มท่านี้ลูกชอบ..ไม่ต้องห่วง กระดูกสันหลังคด

                          Breast Cancer Campaign 2020 Guide Script

                          เดือนตุลาคมของทุกปีถือเป็นเดือนแห่งการรณรงค์กระตุ้นเตือนภัยให้ผู้คนตระหนักถึงโรคมะเร็งเต้านมและกว่า 24 ปีที่บริษัท เอลก้า (ประเทศไทย) จำกัด ยึดมั่นกับพันธสัญญาของบริษัทในการสนับสนุนการวิจัย, การศึกษาและการบริการต่างๆทางการแพทย์ให้มากขึ้น เพื่อลดอัตราการสูญเสียและช่วยเหลือผู้หญิงและผู้ชายที่ต้องต่อสู้กับโรคมะเร็งเต้านม ซึ่งการรณรงค์ของบริษัทฯ ในปีนี้มุ่งเน้นคอนเซปต์ #TimeToEndBreastCancer

                          โดยทางบริษัท เอลก้า (ประเทศไทย) จำกัด ยังคงสนับสนุนให้ผู้หญิงทุกวัยรวมถึงผู้ชายได้ตระหนักถึงภัยของมะเร็งเต้านม และมีการรณรงค์ให้ตรวจเช็คเต้านมด้วยตัวเอง ทุกๆ 1 หรือ 2 เดือนซึ่งสามารถทำได้ง่ายๆจากที่บ้าน หากตรวจเช็คเป็นประจำจะสามารถสังเกตได้เมื่อมีลักษณะผิดปกติเกิดขึ้นและพบแพทย์ได้ทันท่วงที 

                          หากสนใจข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแคมเปญการรณรงค์กระตุ้นเตือนภัยมะเร็งเต้านมของบริษัท เอลก้า (ประเทศไทย) สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook : Pink Ribbon ELCA

                            Tags

                            คันช่องคลอด ภาวะช่องคลอดแห้ง

                            คันช่องคลอด รึป่าว มีปัญหารึป่าว เช็กอาการก่อนsexสะดุด

                            คันช่องคลอด ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะเล็ด มีตกขาว เจ็บขณะมี sex อยู่ไหม มาสังเกตอาการกันเถอะสาว ๆ หากมีครบจงระวัง ภาวะช่องคลอดแห้งตัวการ sex สะดุดที่เกิดได้ทุกวัย

                            คันช่องคลอด รึป่าว มีปัญหารึป่าว รีบเช็กอาการก่อนsexสะดุด

                            อาการคันในช่องคลอด เป็นสัญญาณเตือนจากร่างกายว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับของสำคัญของสาว ๆ ก่อให้เกิดความรำคาญ ความกังวลใจ และอาจนำพาไปสู่ปัญหาทางจิตใจ ทำให้บางรายอาจเกิดความรู้สึกความต้องการทางเพศลดลง ซึ่งจะไปกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างคู่ครอง และต่อการใช้ชีวิตประจำวันได้

                            เช็กลิสต์ปัญหาอาการคันช่องคลอดว่าเกิดจากสาเหตุใด

                            √  ตรวจดูว่ามาจาก…ปัญหาสุขภาพ?

                            • วัยทอง ผู้หญิงที่เข้าสู่วัยทองหรือวัยหมดประจำเดือนจะมีระดับของฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจนลดลง ทำให้เมือกที่เคลือบช่องคลอดบางลง ส่งผลให้ช่องคลอดแห้งจนอาจทำให้เกิดอาการคันและระคายเคืองได้
                            คันช่องคลอด ปัญหากวนใจสาว ๆ
                            คันช่องคลอด ปัญหากวนใจสาว ๆ
                            • โรคผิวหนัง โรคผิวหนังบางชนิดอาจทำให้ผิวบริเวณจุดซ่อนเร้นเกิดอาการคันและแดง เช่น โรคผิวหนังอักเสบที่มักเกิดกับผู้ป่วยโรคภูมิแพ้หรือโรคหืด โดยอาจมีผื่นแดงคันหรือตกสะเก็ด และอาการอาจลุกลามไปยังช่องคลอด หรือโรคสะเก็ดเงินที่มักทำให้ผิวหนังตกสะเก็ด มีอาการคันหรือแดงบริเวณหนังศีรษะและตามข้อพับต่าง ๆ เป็นต้น
                            • ภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย เป็นภาวะที่เกิดจากความไม่สมดุลกันของแบคทีเรียชนิดที่ดีและไม่ดีซึ่งอยู่ภายในช่องคลอด โดยอาการที่พบได้บ่อย คือ คันบริเวณช่องคลอด ตกขาวมีกลิ่นเหม็น อาจมีลักษณะบาง เป็นสีขาว เทาขุ่น หรือเป็นฟอง
                            • การติดเชื้อรา เป็นโรคที่พบได้บ่อยในผู้หญิง โดยเกิดจากการเพิ่มจำนวนของเชื้อราในช่องคลอดที่มากกว่าปกติ ส่งผลให้เกิดอาการคัน รู้สึกแสบร้อน และอาจมีตกขาวลักษณะเป็นก้อนไหลออกมาจากช่องคลอด ซึ่งอาจเกิดจากการใช้ยาปฏิชีวนะเป็นเวลานาน เพราะยาดังกล่าวจะทำลายแบคทีเรียชนิดที่ดีที่ช่วยควบคุมจำนวนของเชื้อราในช่องคลอด
                            • โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกันอาจเสี่ยงเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ เช่น การติดเชื้อทริโคโมแนส (Trichomoniasis) หนองในแท้ หนองในเทียม หูด หรือเริมที่อวัยวะเพศ เป็นต้น ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการคันช่องคลอด และมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ตกขาวมีสีเหลืองหรือสีเขียว รู้สึกปวดแสบขณะปัสสาวะ เป็นต้น
                            • มะเร็งปากช่องคลอด อาการคันช่องคลอดอาจเป็นสัญญาณของมะเร็งปากช่องคลอดได้ ซึ่งบางรายอาจไม่ปรากฏอาการใด ๆ เลย แต่โดยทั่วไปแล้วผู้ป่วยโรคมะเร็งปากช่องคลอดอาจมีอาการคันช่องคลอด มีเลือดออก และรู้สึกเจ็บบริเวณปากช่องคลอด อย่างไรก็ตาม หากตรวจพบตั้งแต่เนิ่น ๆ ขณะที่มะเร็งยังไม่ลุกลาม ก็อาจรักษาให้หายขาดได้

                            √ ตรวจดูถึง…พฤติกรรมการใช้ชีวิต?

                            • การโกนขนบริเวณจุดซ่อนเร้น การกำจัดขนด้วยวิธีการโกนบริเวณจุดซ้อนเร้นอาจทำให้รู้สึกคันเมื่อขนเริ่มงอกใหม่อีกครั้ง โดยงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ศึกษาปัญหาจากการกำจัดขนบริเวณอวัยวะเพศพบว่า ผู้หญิงประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ รู้สึกคันอย่างรุนแรงหลังจากการโกนขนออก ทั้งนี้ อาจใช้วิธีกำจัดขนด้วยการเล็มหรือแวกซ์ขนแทน เพื่อป้องกันอาการคันบริเวณช่องคลอด
                            • การใช้สารเคมี สารเคมีในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดอาจทำให้ช่องคลอดเกิดการระคายเคืองจนส่งผลให้คันบริเวณช่องคลอดได้ เช่น สบู่ ครีมอาบน้ำ ผงซักฟอก น้ำยาปรับผ้านุ่ม ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดจุดซ่อนเร้น หรือกระดาษชำระ เป็นต้น
                            ความเครียดสาเหตุอาการ คันช่องคลอด
                            ความเครียดสาเหตุอาการ คันช่องคลอด
                            • ความเครียด แม้ว่าจะเป็นสาเหตุที่พบได้ไม่บ่อย แต่ภาวะเครียดอาจทำให้เกิดอาการคันหรือระคายเคืองบริเวณช่องคลอดได้เช่นกัน เนื่องจากความเครียดอาจทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอ ซึ่งอาจเป็นเหตุให้เกิดการติดเชื้อและอาการคันได้ง่ายขึ้น
                            • การทำกิจกรรรมต่าง ๆ กิจกรรมบางอย่างก็อาจทำให้เกิดอาการคันช่องคลอดได้ เช่น ปั่นจักรยาน ขี่ม้า หรือสวมใส่เสื้อผ้าหรือชุดชั้นในที่รัดเกินไป เป็นต้น

                            หากสาว ๆ ได้เช็กอาการต่าง ๆ ที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ไม่พบว่าอาการคันช่องคลอดมาจากเชื้อโรคภายนอกที่เข้ามาทำให้เกิดอาการคันแล้วละก็ สาเหตุหลักส่วนใหญ่จึงมักเกิดจากภายในร่างกายของเราเอง ไม่ว่าจะจากภาวะเครียด ร่างกายอ่อนแอ หรือด้วยวัยที่มากขึ้นจนทำให้เกิดอาการที่เรียกว่า “ช่องคลอดแห้ง” ซึ่งถึงแม้ว่าอาการนี้จะไม่ใช่เรื่องร้ายแรง แต่เนื่องจากเมือกหล่อลื่นที่ลดลงอาจทำให้ผนังช่องคลอดระคายเคืองและเกิดแผลบ่อย จึงอาจเป็นบ่อเกิดที่จะทำให้มีความเสี่ยงติดแบคทีเรียหรือเชื้อราในบริเวณช่องคลอดง่ายขึ้น

                            อ่านต่อ ยาคุมฉุกเฉิน ผู้หญิงรู้ไว้ใช้บ่อยไปผลร้ายต่ออยู่กับคุณ!

                            คัน …เพราะช่องคลอดแห้งเป็นอย่างไร?

                            ภาวะช่องคลอดแห้ง (Vaginal Dryness) เกิดขึ้นเมื่อเมือกหล่อลื่นภายในช่องคลอดลดน้อยลง ส่งผลให้เยื่อบุช่องคลอดแห้งกร้าน ขาดความชุ่มชื้น จนอาจทำให้มีอาการเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ได้ สาเหตุหลักมาจากการที่ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนบริเวณเนื้อเยื่อช่องคลอดลดลงเนื่องจากเข้าสู่ภาวะวัยทอง แต่ในปัจจุบันได้มีการค้นพบที่ทำลายความเชื่อเก่า ๆ ลงว่าภาวะนี้จะเกิดกับสาว ๆ ในวัยทองเท่านั้น  จากการศึกษาทางการแพทย์พบว่า ภาวะช่องคลอดและปากช่องคลอดแห้งนั้น พบได้บ่อยกว่านั้น แต่มักไม่ได้รับการรายงาน โดยสาเหตุหลักเกิดจากระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนที่เนื้อเยื่อช่องคลอดลดลง และพบว่าสามารถเกิดกับผู้หญิงได้ทุกวัยในช่วงชีวิตหนึ่งเมื่อมีการขาดเอสโตรเจน ซึ่งโดยส่วนมาก ประมาณร้อยละ 50 จะพบในหญิงวัยหมดระดู จึงทำให้เกิดความเชื่อดังกล่าว

                            ปรึกษาแพทย์แก้ปัญหาช่องคลอดแห้งได้
                            ปรึกษาแพทย์แก้ปัญหาช่องคลอดแห้งได้

                            รู้อย่างนี้แล้ว สาว ๆ จะมาวางใจว่าอายุเรายังไม่ถึงวัยทอง จึงไม่ได้กังวลถึงอาการคันที่เกิดจากภาวะช่องคลอดแห้งนี้อีกต่อไปไม่ได้ งั้นเราลองมาทำความรู้จักกับภาวะนี้ให้มากขึ้นไปอีกนิดดีกว่า

                            อาการของภาวะช่องคลอดแห้ง

                            ผู้มีภาวะช่องคลอดแห้งอาจเกิดอาการตลอดเวลา หรือบางรายอาจมีอาการเป็นระยะหรือเฉพาะในขณะมีเพศสัมพันธ์เท่านั้น โดยอาการที่พบคือ ระคายเคือง คัน รวมถึงแสบร้อนบริเวณช่องคลอด แสบขัดขณะปัสสาวะ อาจมีปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะเล็ด หรือกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ช่องคลอดอักเสบ มีปัญหาตกขาวบ่อย ๆ เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ หรือมีเลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์ บางรายอาจมีความต้องการทางเพศลดลง หรือถึงจุดสุดยอดได้ยากขึ้น

                            สิ่งที่เห็นได้ชัดเมื่อตรวจร่างกายหรือตรวจภายใน เราจะพบอาการดังนี้

                            • ช่องคลอดมีสีซีด แห้ง อาจพบจุดเลือดออก ลูกคลื่นของช่องคลอดหายไป ปากมดลูกอาจแบนแนบไปกับช่องคลอด
                            • หากต้องการวินิจฉัยชัดเจนขึ้น สามารถตรวจภาวะกรดด่าง จะพบความเป็นด่าง โดยค่า pH จะมากกว่าหรือเท่ากับ 4.6
                            • เมื่อตรวจปัสสาวะ มักพบมีเม็ดเลือดแดงปนเปื้อน ในสตรีวัยหมดระดู เมื่อตรวจสุขภาพประจำปี ผลตรวจปัสสาวะมักมีเม็ดเลือดแดงปนเปื้อน หากได้ตรวจวินิจฉัยแยกโรคของทางเดินปัสสาวะไปแล้ว ก็มักจะเป็นจากภาวะช่องคลอดแห้งๆ

                            ดังนั้นหากอาการคันของคุณสาว ๆ พบความผิดปกติร่วมกับอาการดังกล่าวไปแล้วข้างต้นนั้น จึงสันนิษฐานคร่าว ๆ ได้ว่าอาจเกิดจากภาวะช่องคลอดแห้ง ที่ฟังดูแล้วคงจะวางใจกันว่าไม่ใช่โรคร้ายแรงใด ๆ แต่อย่าพึ่งชะล่าใจกันไป เพราะภาวะนี้สามารถเป็นต้นเหตุปัญหาใหญ่ ๆ ได้มากมาย ไม่เว้นแม้แต่ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างคู่รักกันเลยทีเดียว

                            โรคอื่นที่แฝงมากับภาวะช่องคลอดแห้ง

                            • ภาวะช่องคลอดอักเสบจากการติดเชื้อ เช่น การติดเชื้อแบคทีเรีย โปรโตซัว เชื้อรา ซึ่งอาจมีอาการแสบร้อน คัน ปัสสาวะขัดร่วมด้วย นอกจากการมีตกขาว เนื่องจากขาดเมือกหล่อลื่น ทำให้ผนังช่องคลอดระคายเคืองและเกิดแผลบ่อย จึงทำให้มีความเสี่ยงติดแบคทีเรียหรือเชื้อราในบริเวณช่องคลอดง่ายขึ้น รวมถึงการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะอีกด้วย
                            • ระคายเคืองช่องคลอดจากการแพ้สบู่ทำความสะอาดจุดซ่อนเร้น หรือชุดชั้นในที่สวมใส่ หรือแผ่นอนามัย หากตรวจพบว่าเป็นเพียงแค่การระคายเคืองจากสารเคมีที่ใช้เสียแต่เนิ่น ๆ ก็จะทำการรักษาได้ง่ายเพียงแค่หยุดใช้ และรักษาตามอาการจนกว่าจะหาย แต่ถ้าปล่อยไว้นานไปอาจมีผลข้างเคียงอื่น ๆ ตามมาได้
                            ชุดชั้นใน ทำให้ระคายเคืองช่องคลอด
                            ชุดชั้นใน ทำให้ระคายเคืองช่องคลอด
                            • ผื่นผิวหนังบริเวณปากช่องคลอดและช่องคลอด อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า ภาวะช่องคลอดแห้ง จะทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นมีมักมีการเสียดสีอยู่เป็นประจำแห้ง ไม่มีเมือกหล่อลื่น ก็จะเป็นต้นเหตุให้เกิดผื่นแดง ผื่นคันขึ้นมาได้ และไม่ควรปล่อยไว้นาน เพราะอาจจะลุกลามไปเป็นโรคอื่นที่ร้ายแรงกว่าได้
                            • ระยะก่อนมะเร็งหรือมะเร็งช่องคลอด ปากช่องคลอด ซึ่งจะมีอาการแห้ง คัน ระคายเคืองเรื้อรังได้ ดังนั้น หากมีอาการควรปรึกษาแพทย์เพื่อทำการตรวจร่างกายและวินิจฉัยก่อนเสมอ เพราะถ้าพบก่อนในลักษณะเป็นแค่เชื้อก่อมะเร็ง จะสามารถรักษาเชื้อมะเร็งนั้นให้หายขาดได้
                            • ปัญหาภาวะทางจิตใจ เมื่ออาการดังกล่าวไปกระทบความสัมพันธ์กับคู่รัก ซึ่งทำให้เกิดภาวะความรู้สึกที่กระทบต่อจิตใจของทั้งคู่ อาจถึงขั้นเกิดความเครียด โรคซึมเศร้า เพราะเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า การมี sex เป็นส่วนสำคัญของชีวิตคู่ หากสาว ๆ มัวแต่เขินอายคุณหมอ ปล่อยไว้จนเนิ่นนาน นอกจากจะไม่ดีต่อสุขภาพร่างกายของทั้งสองฝ่ายแล้ว ยังสามารถส่งผลต่อปัญหาชีวิตคู่ นำพาไปสู่ปัญหาสังคมได้อีกด้วย

                            เพิ่มฮอร์โมนเอสโตรเจน เพิ่มดีชีวีมีสุข

                            ฮอร์โมนเอสโตรเจน เป็นสาเหตุหลักในเรื่องของภาวะช่องคลอดแห้ง ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนจะอยู่ที่ 10-800 pg/ml ปริมาณแตกต่างตามระยะของรอบระดู แต่เมื่อเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนมักน้อยกว่า 30 pg/ml ดังนั้นก่อนที่ร่างกายจะขาดจนเกิดภาวะช่องคลอดแห้งไปแล้วยนั้น สาว ๆ ควรหมั่นดูแลร่างกายให้อยู่ในภาวะสมดุล เป็นปกติก่อนเกิดโรคจะดีกว่าด้วยการ

                            • รับประทานอาหารที่ช่วยเพิ่มฮอร์โมนเอสโตรเจน โดยเฉพาะถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ซึ่งมีสารไอโซฟลาโวน (Isoflavones) ออกฤทธิ์เหมือนฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกาย ใช้สารเพิ่มความชุ่มชื้นให้ช่องคลอด
                            • ใช้เจลหล่อลื่นขณะมีเพศสัมพันธ์ การเพิ่มกิจกรรมทางเพศด้วยความรักและภาษากาย เช่น การเล้าโลมก่อนมีเพศสัมพันธ์ จะช่วยกระตุ้นให้มีน้ำหล่อลื่นออกมาให้ช่องคลอดชุ่มชื้นขึ้น ก็เป็นอีกวิธีที่ช่วยลดปัญหาได้ รวมถึงหลีกเลี่ยงการใช้ถุงยางอนามัยที่มีสารโนน็อกซินอล 9 (Nonoxynol-9) ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงภาวะช่องคลอดแห้ง
                            • เลี่ยงการใช้สบู่หรือน้ำยาทำความสะอาดช่องคลอด ควรล้างช่องคลอดให้สะอาดด้วยน้ำธรรมดา ไม่ร้อนหรือเย็นจนเกินไป
                            • ไม่สวนล้างช่องคลอด
                            • ดูแลความสะอาดของกางเกงใน หากใช้แผ่นอนามัยควรเปลี่ยนบ่อยๆ ไม่ปล่อยให้หมักหมมหรืออับชื้น
                            • หากพบผื่นหรือสิ่งผิดปกติบริเวณช่องคลอด ควรปรึกษาแพทย์ อย่าอายหรือปล่อยทิ้งไว้จนเรื้อรัง
                            • การตรวจสุขภาพประจำปีสม่ำเสมอ การตรวจภายในเพื่อดูความผิดปกติของผนังช่องคลอด รวมถึงการตรวจระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน จะช่วยป้องกันภาวะพร่องฮอร์โมนได้
                            คันช่องคลอดลามสู่ปัญหาความสัมพันธ์
                            คันช่องคลอดลามสู่ปัญหาความสัมพันธ์

                            ทุกปัญหาแก้ไขได้ อย่ามัวแต่เสียเวลาไปกับการเขินอาย อย่ามัวนั่งกังวลเพียงลำพัง แม้จะเป็นเรื่องของลับของสาว ๆ แต่หากเกิดปัญหา มีอาการเกิดขึ้น การปรึกษาคุณหมอเฉพาะทางก็ทำให้เรื่องลับ ๆ ไม่ต้องทำให้สาว ๆ ต้องมานั่งกลุ้มใจกันอย่างลับ ๆ อีกต่อไป เพราะในปัจจุบันทุกโรงพยาบาลทั่วประเทศมีคุณหมอคอยให้คำปรึกษา และมีขั้นตอนวิธีการตรวจภายในที่ช่วยลดความกังวล ความเขินอายของเราได้เป็นอย่างดี อย่ามัวปล่อยไว้เนิ่นนานจนปัญหาลุกลามใหญ่โตจนกลายเป็นเรื่องไม่ลับอีกต่อไป

                            ขอขอบคุณข้อมูบอ้างอิงจาก Pobpad.com /Samitivejhospital.com / Phyathaihospital.com

                            อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                            เช็ก 10 สัญญาณมะเร็งปากมดลูก ภัยเงียบใกล้ตัวแม่

                            รวม กระบวนท่ารัก (sex) สำหรับทำลูกสาว-ลูกชาย

                            วิธีสังเกตอาการ ซีสต์ในรังไข่ รู้ไว้..รักษาได้ทัน ไม่อันตราย!

                            ตกขาวสีเขียว ตกขาวเป็นก้อนแป้ง ตกขาวตั้งครรภ์ ตกขาว ผิดปกติอันตรายจนน่าตกใจ!

                             

                            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                              ชวนลูกคุย

                              หมอเด็กแนะ 3 เทคนิค ชวนลูกคุย เรื่องโรงเรียน ให้ลูกยอมเปิดใจ

                              หมอเด็กแนะ 3 เทคนิค ชวนลูกคุย เรื่องที่โรงเรียน ให้ลูกยอมเปิดปากเปิดใจ เพราะเราตามลูกไปเรียนด้วยไม่ได้ ถ้าลูกยอมเล่าทุกเรื่องที่โรงเรียนให้ฟังเราจะได้รับรู้ถึงความเป็นไป แต่ต้องทำยังไงตามมาดูกันเลย

                              เทคนิคแสนง่าย 3 วิธี ชวนลูกคุย เรื่องโรงเรียน

                              เมื่อลูกน้อยโตขึ้นจนถึงวัยเรียน ก็ได้เวลาที่ต้องแยกห่างจากอกแม่พ่อ ไปยังโรงเรียน และเมื่อลูกไปอยู่ต่างที่ห่างไกลจากสายตาพ่อแม่ หลายคนก็คงอยากรู้ว่า เวลาลูกอยู่ที่โรงเรียนมีความสุขกับการเรียนไหม พบเจออะไรบ้าง สังคมเด็กๆของลูกเราเป็นอย่างไร อาหารที่ลูกกินที่โรงเรียนถูกปากถูกใจลูกหรือเปล่า คุณครูใจดีไหม หรือ มีใครแกล้งลูก เกิดเรื่องไม่ดีอะไรกับลูกหรือไม่ ซึ่งเรื่องราวทั้งหมดนี้ เด็กบางคนอาจเล่าให้ฟังโดยที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ได้ถาม หรือก็มีบางคนที่จะพูดก็ต่อเมื่อพ่อแม่ถาม

                              ซึ่งการที่พ่อแม่ชวนลูกคุยเรื่องที่โรงเรียนและเรื่องในชั้นเรียนของเขามีผลทำให้เด็กรู้สึกดีมีความอบอุ่นใจว่า พ่อแม่ให้ความสนใจเขาและรู้สึกปลอดภัย เปิดโอกาสให้ลูกได้ระบายความในใจกับพ่อแม่ได้ เพราะเด็ก ๆ ก็ต้องการที่ปรึกษาหรือพูดให้ตรง ๆ คือ เด็กก็เจอปัญหาได้ เพราะการไปอยู่ในที่ใหม่ที่ไม่คุ้นเคยกับคนที่ไม่ใช่บุคคลในครอบครัวเด็กอาจจะยังปรับตัวไม่ทัน ลูกต้องปรับตัวกับการทำตามกฎระเบียบต่าง ๆ ทำกิจกรรมตามตารางเวลาของโรงเรียน ต้องทำความรู้จักกับคุณครูที่คอยดูแลนักเรียนซึ่งบางครั้งก็ใจดีบางครั้งต้องมีดุนักเรียนบ้าง และการอยู่รวมกับเพื่อนใหม่ในวัยเดียวกันแต่ต่างอุปนิสัยกัน ย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่อาจจะมีปัญหาบ้าง เรื่องที่กล่าวมาเป็นสิ่งใหม่ที่ลูกของเราต้องไปเรียนรู้ พ่อแม่จึงควรที่จะพูดคุย

                              และสำหรับลูกวัยอนุบาล สาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้ลูกไม่เล่าคือ ลูกยังเรียบเรียงเหตุการณ์มาเป็นเรื่องเล่าไม่เก่ง และยังจำเหตุการณ์ได้ไม่ดีนัก ลูกต้องการความช่วยเหลือจากเราในการหัดเล่า โดยเริ่มจากเรื่องของความจำในช่วงตอนเช้า หรือเหตุการณ์ที่ลูกเจอเมื่อวาน เพราะความทรงจำของเด็กจะผูกกันไว้ แม้ลูกจะยังไม่รู้เรื่องวันเวลา แต่พอนึกถึงเหตุการณ์นึง ก็จะนึกถึงความรู้สึก และเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกันออก พ่อแม่จึงต้องดึงความจำของลูกออกมา เป็นคำพูด ด้วยการพูดคุยถึงข้อมูลแบบให้ความสนใจเรื่องราวที่ลูกเล่า ถามต่อไปเรื่อยๆ ด้วยความอยากรู้ ทำท่าทางสนใจพร้อมแสดงความคิดเห็นในทางที่เห็นด้วย อยากช่วยเหลือ เป็นต้น หรืออาจเริ่มจากไปทำความรู้จักกับตัวแปรต่างๆ รอบตัวลูกที่โรงเรียน ครูของลูกชื่ออะไร เพื่อน ๆ ลูกชื่ออะไร ตารางกิจกรรมของลูกวันนี้เป็นอย่างไร อาหารกลางวันของลูกวันนี้คืออะไร ซึ่งข้อมูลเหล่านี้มักหาได้จากทางโรงเรียนอยู่แล้ว

                              และให้คุณพ่อคุณแม่ ชวนลูกคุย โดยนำข้อมูลพวกนี้มาใช้เพื่อนำร่อง เพื่อให้ลูกเริ่มนึกออก และกระตุ้นให้ลูกเล่าออกมาค่ะ เช่น
                              “ฮันน่าห์คะ วันนี้หนูเรียนพละกับครูตุ๋มใช่มั้ย” “ตอนเด็กๆ แม่ชอบเล่นพละมากเลย แล้วหนูได้วิ่งเล่นด้วยรึเปล่านะ” “แล้วครูให้ทำอะไรอีกคะ” “โอ้โห น่าสนุกจัง หนูชอบมั้ย” “แล้วทำอะไรต่อคะ” “วันนี้แม่เห็นครูทำไข่เจียวให้กินด้วย อร่อยมั้ยลูก” “แล้วหนูกินหมดจานเลยรึเปล่า” “แล้ววันนี้หนูได้ทำอะไรสนุกๆ มั้ยคะ ชอบทำอะไรที่สุด” “แล้วมีอะไรที่หนูไม่ชอบมั้ย” คุยกับลูกทุกวันด้วยท่าทีเป็นมิตร สนใจในความรู้สึกที่ลูกมีต่อแต่ละเหตุการณ์ ลูกก็จะเล่าเรื่องเก่งขึ้น และอยากเล่ามากขึ้น

                              ชวนลูกคุย
                              เทคนิค ชวนลูกคุย เรื่องโรงเรียน ให้ลูกยอมเปิดใจ

                              แต่ทั้งนี้ก็มีเด็กหลายคนที่พ่อแม่ถามเรื่องที่โรงเรียนแล้วลูกไม่อยากพูด ไม่กล้าบอกเล่า ดังนั้นหากพ่อแม่อยากรู้เรื่องที่โรงเรียนจากปากลูก จะต้องถามหรือใช้วิธีพูดคุยอย่างไรเพื่อให้ลูกยอมเปิดปาก เปิดใจเล่าเรื่องที่โรงเรียน ทีมแม่ ABK มีคำแนะนำดีๆ จาก คุณหมอเสาวภา เจ้าของเพจ หมอเสาวภา เลี้ยงลูกเชิงบวก มาฝากค่ะ ซึ่งคุณหมอเป็นกุมารแพทย์พัฒนาการและพฤติกรรม ได้ไลฟ์สด พร้อมสรุปแนะนำถึงวิธีชวนลูกคุยเรื่องโรงเรียนแบบง่ายๆ ที่คุณพ่อคุณแม่สามารถทำได้ ใจความว่า…

                              ❤หมอขอแชร์เทคนิค ชวนลูกคุย เรื่องโรงเรียน ให้ฟัง (แบบสรุปๆ) ดังนี้

                              1 เปิดประเด็นด้วยการคุยเรื่องทั่วๆไปก่อน จะนั่งอยู่ในรถ หรือเล่นไปคุยไป ที่บ้านก็ได้

                              เป้าหมายคือ สร้างบรรยากาศสบายๆ เหมือน warm up ให้ลูกเพลินกับการโต้ตอบ ไม่ใช่นั่งเค้นแบบเครียดๆ, แล้วลูกก็จะตอบคำถามแบบลื่นไหลขึ้นทีละนิดๆ

                              2 ต่อด้วยเรื่องโรงเรียน แต่เป็นสิ่งที่ลูกชอบหรือสนใจก่อน

                              เป้าหมายคือ ให้ลูกจูนภาพในสมองเป็น #ภาพเหตุการณ์ที่โรงเรียน จะคุยเรื่องของเล่น หรือสิ่งสนุกๆที่โรงเรียนก็ได้ เพื่อให้ลูกโต้ตอบกับเราเพลินๆ ไม่เครียด

                              3 ต่อด้วยการถามเจาะประเด็นเรื่องคุณครู แต่ให้เริ่มที่ครูใจดีก่อน

                              เป้าหมายคือ ให้สมองลูกเปลี่ยนภาพจากสิ่งที่สนุก ไปจับภาพครู(เด็กคิดเป็นภาพ) เด็กชอบคุยเรื่องดีๆ ดังนั้น จึงถามถึงครูว่าคนไหนใจดีก่อน แล้วค่อยถามต่อว่า คนไหนไม่ใจดี คำตรงข้ามจะทำให้ลูกเชื่อมข้อมูลและตอบง่ายขึ้น อีกทั้งคำว่า ไม่ใจดี อาจทำให้เด็กกล้าตอบ (เพราะครูอาจบอกว่าอย่าบอกพ่อแม่ว่าครูดุ)
                              .
                              พ่อแม่อย่าลืมต้องตอบสนองในสิ่งที่ลูกเล่าอย่างเข้าใจ ไม่แสดงอารมณ์โกรธออกมาให้ลูกเห็น และอย่าซักถามอย่างเดียวจนลูกกังวล หรือกลัว

                              โดยทั่วไป คำถามที่ลงลึกแบบนี้ จะได้รับการตอบสนองดีก็เมื่อเราทำข้อที่ 1 กับข้อที่ 2 ได้ดีมาก่อน ถ้าหากลูกแสดงท่าทีเบื่อหน่าย ไม่อยากเล่า เราก็ต้องหาเวลาอื่นคุยนะคะ อย่าคาดคั้นจนลูกต่อต้าน เพราะจะทำให้ลูกไม่อยากคุยอีกเลย

                              หมอเสาวภาเลี้ยงลูกเชิงบวก
                              #ครูตี #ครูดุ #ครูทำร้ายเด็ก

                              ขอบคุณข้อมูลจาก เพจ หมอเสาวภา เลี้ยงลูกเชิงบวก 

                              สุดท้ายการคุยกัน ชวนลูกคุย แบบนี้ นอกจากจะทำให้ทุกคนในบ้านเข้าใจกันมากขึ้นแล้ว ยังเปิดโอกาสให้คิดทบทวนเรื่องราวต่างๆ ในแต่ละวัน ซึ่งหากเกิดเรื่องที่ไม่ดีขึ้นกับลูกที่โรงเรียน ก็จะทำให้คุณพ่อคุณแม่สามารถรับรู้ได้ทันที และเป็นการกระตุ้นให้ทำสิ่งดีๆ เพื่อคนอื่นในทุกๆ วันด้วย ซึ่งถ้าพ่อแม่เคยมีพฤติกรรมที่ทำให้ลูกรู้สึกว่า ไม่สนใจฟัง (เช่น เล่นโทรศัพท์ไปฟังไป ดูทีวีไปฟังไป) หรือชอบสั่งสอน ก็ขอให้ปรับเปลี่ยนตัวเองก่อนนะคะ เพราะการจะ ชวนลูกคุย ลูกต้องรู้สึกว่า พ่อแม่จะฟังเขา อยู่เคียงข้างเขา เป็นพวกเดียวกับเขา ลูกถึงจะอยากเล่าทุกเรื่องให้เราฟังนั่นเองค่ะ

                              อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิกที่ภาพด้านล่าง ⇓

                              คำพูดที่พ่อแม่ไม่ควรพูดกับลูก ข้อคิดสะกิดใจจากคุณหมอ!!

                              8 คำพูดที่ลูกไม่อยากได้ยิน จากปากพ่อแม่ พูดแบบนี้โตไปลูกแย่แน่!

                              ลูกทำชามแตก แต่อย่าให้ลูกใจ “แหลก” ด้วยคำพูดพ่อแม่ โดย พ่อเอก

                                มะม่วง

                                หมอเตือน!! กิน “มะม่วง” ที่มีจุดดำ เสี่ยงติดเชื้อได้!!

                                มะม่วง ผลไม้ที่มีรสหวาน มัน โดยเฉพาะมะม่วงสุกที่แม่ ๆ มักจะนำมาให้ลูก ๆ ทาน แต่รู้หรือไม่ว่ามะม่วงที่สุกมาก ๆ จนมีจุดดำบนผลมะม่วง หากนำมาทาน อาจทำให้ปวดท้อง ท้องเสียอย่างรุนแรงได้

                                หมอเตือน!! กิน “มะม่วง” ที่มีจุดดำ เสี่ยงติดเชื้อได้!!

                                มะม่วง เป็นผลไม้ที่เป็นที่นิยมของคนไทยมานาน แม่หลาย ๆ คนนิยมนำมาให้ลูก ๆ ทาน เพราะมีรสหวาน มัน มีวิตามินและสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย อีกทั้งยังเป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงอีกด้วย ช่วยป้องกันและรักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน มีสารต้านอนุมูลอิสระ บำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส แก้ร้อนใน และประโยชน์อื่น ๆ อีกมากมาย

                                มะม่วงในเมืองไทยนั้นมีมากกว่า 50 สายพันธุ์ แต่ละสายพันธุ์ก็มีความแตกต่างกันทั้งลักษณะภายนอกและรสชาติ แม่ ๆ หลายคนอาจจะไม่แน่ใจว่ามะม่วงสายพันธุ์ที่ซื้อมาให้ลูกทานนั้น ควรจะทานตอนสุกหรือดิบ ควรทานตอนไหนถึงจะอร่อยที่สุด ทีมแม่ ABK มีเคล็ด (ไม่) ลับในการเลือกซื้อ เลือกทานมะม่วงมาฝากค่ะ

                                เคล็บลับการเลือกมะม่วง พันธุ์ไหนควรทานตอนไหน?

                                1. สายพันธุ์ที่นิยมรับประทานดิบ คือ มีรสหวาน มัน แต่พอสุกจะมีรสหวานชืด ไม่อร่อย หรือบางสายพันธุ์มีรสเปรี้ยว นิยมรับประทานกับน้ำปลาหวาน เช่น
                                  • เขียวเสวย รสชาติมันอมเปรี้ยว ผลเรียวยาว ผิวเรียบสีเขียวเข้ม เปลือกหนา
                                  • มะม่วงแรด มีรสชาติอมเปรี้ยว บริเวณใกล้ขั้วจะมีติ่งงอกออกมาคล้ายนอแรด
                                  • ฟ้าลั่น มีรสมัน ผลกลม ท้ายแหลม เมื่อปอกเปลือก เนื้อมะม่วงจะปริแตก จึงเป็นที่มาของชื่อ “ฟ้าลั่น”
                                2. สายพันธุ์ที่นิยมรับประทานสุก คือ มีรสเปรี้ยวตอนที่ยังดิบ แต่เมื่อสุกแล้วเนื้อ มะม่วง จะเหลือง หวาน อร่อย นิยมรับประทานกับข้าวเหนียวมูน เช่น
                                  • น้ำดอกไม้ จะมีลักษณะลูกยาวป้อม มีรูปทรงของผลสวยงาม ผลมีขนาดไม่ใหญ่หรือเล็กเกินไป ผลสุกจะมีรสหวาน เนื้อในเป็นสีเหลืองอมส้ม เนื้อละเอียดมีกลิ่นหอมมาก และเมล็ดบาง
                                  • มะม่วงอกร่อง ผลจะมีลักษณะเป็นร่องตื้น ผลสุกจะมีสีเหลืองทองหรือเหลืองอมส้ม เนื้อในละเอียดมีสีเหลืองอ่อนหรือสีครีม มีเสี้ยนเล็กน้อย มีรสหวานมากและจะหวานมากกว่ามะม่วงทุกชนิด
                                3. สายพันธุ์ที่นิยมนำมาแปรรูป คือ เมื่อแก่จัดมีรสมันอมเปรี้ยว เมื่อสุกมีรสหวานอมเปรี้ยว หรือหวานชืด จึงนิยมนำมาแปรรูปเป็น มะม่วงดอง มะม่วงกวน และ อื่นๆ เช่น
                                  • มะม่วงแก้ว จะมีลักษณะผลอ้วนป้อม เล็ก เปลือกเหนียว ถ้าผลดิบเนื้อจะกรอบมีรสเปรี้ยว ตอนใกล้สุกเปลือกจะมีสีอมส้มหรืออมแดง เนื้อนุ่ม เหนียว ไม่เละง่าย จะนิยมนำมาทำมะม่วงแช่อิ่ม
                                  • มะม่วงพิมเสนสามปี” รสชาติจะเปรี้ยวหวานเนื้อสีเหลือง มีเสี้ยนรสชาติจะเปรี้ยวหวาน จะนิยมนำมาทำมะม่วงกวน
                                ข้าวเหนียวมะม่วง
                                ข้าวเหนียวมะม่วง

                                มะม่วงสุก มักจะเป็นผลไม้ที่ชื่นชอบของเด็กหลาย ๆ คน ยิ่งมะม่วงที่สุกมาก ๆ ก็จะมีรสชาติหวานมาก ๆ เช่นกัน แต่ในบางครั้ง การทานมะม่วงที่สุกเกินไป จนตัวผลมีจุดดำ ๆ ก็อาจทำให้ลูกเสี่ยงที่จะติดเชื้อทางเดินอาหารได้ ทีมแม่ ABK ขอนำข่าวจากประเทศไต้หวัน ซึ่งมีคนนำมะม่วงที่มีจุดดำมาทาน ทำให้มีอาการปวดท้องมวนท้องอย่างรุนแรง ตามรายละเอียดของข่าว ดังนี้

                                ชาวเน็ตจากประเทศไต้หวันได้โพสต์เล่าประสบการณ์จริงของตนเองว่า เห็นมะม่วงที่ซื้อมาเริ่มมีเชื้อรา เป็นจุด ดำ ๆ ที่เปลือกภายนอกบางส่วนนิดหน่อย จึงเสียดายไม่อยากทิ้ง โดยตัดแบ่งส่วนที่ดำ ๆ ออก แล้วรับประทานส่วนที่ยังเหลือง ๆ แต่พอผ่านไป 2 วันก็เริ่มรู้สึกปวด มวนท้องขึ้นมาจนทนไม่ไหวรีบไปหาหมอทันที

                                หลังจากที่หมอตรวจเสร็จก็พบว่า “เป็นโรคกระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย” (Gastroenteritis) หมอบอกว่าหากอาการรุนแรง กว่านี้อาจถึงแก่ชีวิตได้นะ แต่เนื่องจากไม่ได้กินเข้าไปจำนวนมาก ทำให้อาการไม่ทรุดหนักไปกว่านี้

                                คุณหมอจางเจิ้งหยง จึงนำประสบการณ์ของคนไข้ รายนี้มานำแบ่งปันในรายการเพื่อหวังว่าจะเตือน ให้ผู้คนควรหลีกเลี่ยงการรับประทานมะม่วง กล้วย หรือผลไม้ที่มีจุดดำแบบนี้ แม้ว่าภายนอกจะมีจุดดำเพียงนิดเดียว แต่ความจริงเชื้อราได้ลามเข้าไปถึงด้านในแล้ว

                                นอกจากผลไม้แล้ว ยังมี ถั่วลิสง อัลมอนด์ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ และถั่วชนิดต่าง ๆ ด้วย เพราะเป็นสิ่งที่มีเชื้อราได้ง่าย หากรับประทานเป็นประจำในระยะยาวอาจส่งผลต่อกระเพาะอาหารและลำไส้ ทำให้อักเสบได้ นอกจากนี้มันอาจเติบโตเซลล์ที่ไม่ดีในร่างกายได้

                                คุณหมอจึงออกมาเตือนประชาชนว่าอย่าเอาสุขภาพมาแลกกับเงินเล็กน้อย มันไม่คุ้มค่าเลย ฉะนั้นควรคำนึงถึงสุขภาพเป็นหลักมากกว่า

                                จากข่าวดังกล่าว ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าการทาน มะม่วง ที่มีจุดดำนั้น อันตรายขนาดนั้นเลยหรือ? ทีมแม่ ABK จึงขอนำบทสัมภาษณ์ของ ผศ.(พิเศษ) นพ. ปิยะพันธ์ พฤกษพานิช อายุรแพทย์โรคระบบทางเดินอาหาร โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ที่ได้กล่าวถึงการทานมะม่วงที่มีจุดดำในรายการชัวร์ก่อนแชร์ โดยสรุปได้ดังนี้

                                “มะม่วงที่มีจุดดำนั้นเกิดจากการตกกระตามธรรมชาติของผลไม้ทั่วไป เกิดจากการเปลี่ยนจากแป้งเป็นน้ำตาลในผลไม้ การทานผลไม้ที่มีจุดดำจากการตกกระบริเวณเปลือกของผลไม้นั้นไม่เป็นอันตราย สามารถปลอกเปลือกเอาจุดดำออกและทานเนื้อข้างในที่ไม่มีจุดดำได้ แต่หากจุดดำนั้นลุกลามเข้าไปในเนื้อผลไม้ นั่นอาจหมายความว่าผลไม้ชนิดนั้นอาจมีเชื้อรา หรือเชื้อแบคทีเรียได้ ดังนั้น จึงไม่ควรเสียดายและเฉือนเนื้อที่มีจุดดำและทานเนื้อส่วนที่เหลือ เพราะเราไม่สามารถมองเห็นได้ว่าเชื้อราและเชื้อแบคทีเรียนั้นลุกลามไปถึงส่วนไหนของเนื้อผลไม้แล้ว หากพบว่ามีจุดดำข้างในเนื้อผลไม้ จึงควรทิ้งทั้งลูก การทานผลไม้ที่มีเชื้อราและแบคทีเรียนั้น อาจทำให้เกิดการติดเชื้อในทางเดินอาหารได้จริง และหากเชื้อมีความรุนแรง อาจส่งผลให้เกิดอาการปวดท้อง ท้องเสียอย่างรุนแรงได้”

                                ดูคลิป กิน มะม่วง มีจุดดำทำให้ลำไส้อักเสบ จริงหรือ ? | ชัวร์ก่อนแชร์ FACTSHEET

                                เชื่อว่าแม่ ๆ หลายคน เคยเฉือนจุดดำที่เนื้อผลไม้ออกแล้วทานต่อ แม่พริมาก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ทำแบบนี้ เพราะเข้าใจว่าการทานเนื้อบริเวณอื่นไม่เป็นอันตราย เห็นอย่างนี้แล้วคงต้องทิ้งผลไม้ทั้งลูกเมื่อเห็นว่ามีจุดดำที่เนื้อผลไม้ซะแล้วค่ะ เพราะการเฉือนเนื้อทิ้งแล้วทานต่อเพราะเสียดาย ก่อให้เกิดอันตรายกว่ามากจริง ๆ

                                อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                                เฉลยวิธีเลือก กล้วยน้ำว้า แบบไหนดีกว่ากัน ลูกได้ประโยชน์เต็มๆ

                                อาหารและยา ที่ไม่ควรกินร่วมกัน 10 อย่าง

                                17 ผลไม้คลายร้อน ลูกน้อยกินได้ แม่ท้องกินดี

                                10 ขนมเด็ก สุขภาพดีก็มีในโลก

                                 

                                ขอบคุณข้อมูลจาก : รายการชัวร์ก่อนแชร์, medthai.com, tescolotus.com, www.herbtrick.com

                                 

                                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                  เป็นไข้เลือดออก ได้กี่ครั้ง

                                  เป็นไข้เลือดออก ได้กี่ครั้ง ซ้ำรอบสองทำไมรุนแรงกว่ารอบแรก

                                  ไข้เลือดออก โรคร้ายรุนแรงถึงชีวิตได้ เป็นแล้วยังเป็นซ้ำได้อีก จริง ๆ แล้วคนเรา เป็นไข้เลือดออก ได้กี่ครั้ง ทำไมไข้เลือดออก ครั้งที่ 2 ถึงรุนแรงกว่าครั้งแรก

                                  ในหนึ่งชีวิต เป็นไข้เลือดออก ได้กี่ครั้ง

                                  หน้าฝนทีไร ไข้เลือดออกระบาดทุกที เพราะยุงเป็นพาหะตัวร้ายที่นำพาโรคภัยมาสู่คนได้หลายโรค ทั้งโรคไข้ซิกาจากไวรัสซิกา โรคมาลาเรีย โรคชิคุนกุนยา (โรคไข้ปวดข้อยุงลาย) และโรคไข้เลือดออก

                                  เป็นไข้เลือดออก ได้กี่ครั้ง
                                  เป็นไข้เลือดออก ได้กี่ครั้ง

                                  ไข้เลือดออก เกิดจากเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue Virus) มียุงลายเป็นพาหะ ความรุนแรงของโรคนี้จะยิ่งอันตราย เมื่อเกิดภาวะแทรกซ้อน สำหรับสถานการณ์โรคไข้เลือดออกในปี 2563 ของเมืองไทย ตั้งแต่ต้นปี วันที่ 1 ม.ค.-8 ก.ค. 2563 พบผู้ป่วยทั่วประเทศ 25,708 ราย เสียชีวิต 15 ราย กลุ่มอายุที่พบมากที่สุด คือ 15-24 ปี รองลงมาคือ 10-14 ปี และ 25-34 ปี ภูมิภาคที่พบผู้ป่วยไข้เลือดออกมากที่สุด ได้แก่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ และภาคใต้ ตามลำดับ ส่วน 5 จังหวัดที่มีผู้ป่วยสูงสุด ประกอบด้วย

                                  1. ชัยภูมิ
                                  2. ระยอง
                                  3. ขอนแก่น
                                  4. แม่ฮ่องสอน
                                  5. นครราชสีมา

                                  อาการของโรคไข้เลือดออก

                                  • ไข้สูงลอย 2-7 วัน
                                  • เลือดออกที่ผิวหนัง
                                  • ตับโต กดแล้วเจ็บ
                                  • มีภาวะไหลเวียนโลหิตล้มเหลว/ภาวะช็อก

                                  3 ระยะสำคัญต่อชีวิต

                                  • ระยะไข้ ผู้ป่วยจะมีไข้สูงเกิน 38.5 องศาเซลเซียส เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน ในเด็กต้องระวังอาการชัก มีอาการหน้าแดง เบื่ออาหาร อาเจียน ปวดท้อง ปวดหัว อาจพบมีผื่น พร้อมกับเลือดออกที่ผิวหนัง เป็นจุดเลือดออกเล็ก ๆ ตามตัว บางคนมีเลือดกำเดาไหลหรือเลือดออกตามไรฟัน หรือเลือดออกในอวัยวะภายในร่างกายที่มองไม่เห็น เช่น กระเพาะอาหารและลำไส้ หากอาการรุนแรงมากจะอาเจียนเป็นเลือด และถ่ายอุจจาระเป็นเลือดออกมาเป็นสีดำ
                                  • ระยะวิกฤติ/ช็อค 1 ใน 3 ของผู้ป่วยไข้เลือดออกเดงกีจะมีอาการรุนแรง มีภาวะไหลเวียนโลหิตล้มเหลวเกิดขึ้น พร้อมกับไข้ที่ลดลงอย่างรวดเร็ว อาการช็อคอาจเกิดได้ตั้งแต่วันที่ 3 ของโรค ถ้ามีไข้ 2 วัน หรือเกิดวันที่ 8 ของโรค ถ้ามีไข้ 7 วัน ภาวะช็อก ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที จะเสี่ยงเสียชีวิตภายใน 12-24 ชั่วโมง หลังภาวะช็อก
                                  • ระยะฟื้นตัว ผู้ป่วยที่ไม่มีอาการช็อค หลังจากที่ไข้ลดจะดีขึ้น ส่วนผู้ป่วยที่ช็อคถ้าได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ระยะฟื้นตัวจะอยู่ที่ 2-3 วัน

                                  ทำไมคนเราถึงมีโอกาสเป็นไข้เลือดออกได้ถึง 4 ครั้ง

                                  โรคไข้เลือดออกเกิดจากไวรัสเดงกี มีทั้งหมด 4 สายพันธุ์ DEN-1, DEN-2, DEN-3 และ DEN-4 คนเราสามารถเป็นไข้เลือดออกได้ 4 ครั้ง แต่จะไม่ได้เกิดจากสายพันธุ์เดิม เพราะเมื่อเราติดเชื้อไวรัสเดงกีชนิดหนึ่งแล้ว ร่างกายจะมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสเด็งกี่ชนิดนั้นไปตลอดชีวิต แต่จะมีภูมิคุ้มกันต่อชนิดอื่น ๆ ในเวลาสั้น ๆ 6-12 เดือน ทำให้หนึ่งชีวิตของเรา เป็นโรคไข้เลือดออกได้ถึง 4 ครั้ง

                                  เป็นไข้เลือดออก ได้กี่ครั้ง
                                  เป็นไข้เลือดออก ได้กี่ครั้ง

                                  เป็นไข้เลือดออก รอบ 2 รุนแรงกว่ารอบแรก

                                  การป่วยไข้เลือดออกครั้งแรกจะไม่ค่อยรุนแรงมาก แต่หากเป็นไข้เลือดออกครั้งที่ 2 จะเกิดความรุนแรงมากขึ้น เลือดออก และช็อกได้ เพราะสายพันธุ์อื่นที่เข้าสู่ร่างกายจะกระตุ้นให้เกิดอาการรุนแรง มีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อน ซึ่งเชื้อที่ต่างสายพันธุ์กับครั้งแรก อาจรุนแรงถึงขั้นเลือดออก มีอาการช็อค เช่น อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายเป็นเลือด หากเป็นช่วงมีประจำเดือน ก็จะมีปริมาณมากกว่าปกติ การเป็นไข้เลือดออกครั้งที่ 2 จึงเพิ่มโอกาสเสี่ยงอันตราย ถึงขั้นเสียชีวิตได้

                                  ศ.ดร.ศุขธิดา อุบล นักจุลวิทยา ผู้เชี่ยวชาญไวรัสเดงกี่ อธิบายว่า คนที่เคยเป็นไข้เลือดออกมาก่อน และได้รับเชื้อไข้เลือดออกต่างสายพันธุ์ ในครั้งที่ 2 จะมีอาการรุนแรงขึ้น 15-80 เท่า จากการติดเชื้อครั้งแรก

                                  สำหรับอาการช็อคของคนที่เป็นโรคไข้เลือดออกมักเกิดขึ้น 4-5 วัน หลังไข้ลด ผศ.พญ.อรุณี ธิติธัญญานนท์ ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิคุ้มกันและโรคเลือด กล่าวว่า อาการช็อคของผู้ป่วยไข้เลือดออกชนิดรุนแรง เกิดจากภูมิคุ้มกันร่างกายต่อสู้กับไข้เลือดออก กลายเป็นผลเสียแทน

                                  วิธีกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย ลดการติดโรค

                                  โรคไข้เลือดออกเดงกีติดต่อโดยยุงลายบ้าน หรือยุงลายสวน หากอยู่ในชนบท เมื่อยุงลายตัวเมียกัดและดูดเลือดผู้ป่วยระยะไข้ ซึ่งมีไวรัสอยู่ในกระแสเลือดอยู่มาก เมื่อยุงตัวนั้นมากัดคน ก็ทำให้ติดโรคไข้เลือดออกได้ การป้องกันโรคไข้เลือดออกที่ดีที่สุดจึงต้องกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย

                                  1. เก็บบ้านให้สะอาด ทำความสะอาดบ่อย ๆ ไม่วางของไว้รกรุงรัง เช่น พับเก็บเสื้อผ้าใส่ในตู้ หรือเอาเสื้อใส่ไม้แขวนให้เรียบร้อย เพื่อไม่ให้มีมุมอับทึบ ซึ่งเป็นที่เกาะพักของยุง
                                  2. เก็บขยะที่อยู่บริเวณรอบบ้าน พยายามไม่ให้มีภาชนะใส่อาหารหรือน้ำดื่มรอบ ๆ บ้าน ให้เทน้ำทิ้งเสมอ และคอยสำรวจรอบตัวบ้านไม่ให้มีน้ำขัง ป้องกันการเกิดแหล่งเพาะพันธุ์ยุง
                                  3. เก็บน้ำ ภาชนะที่ใส่น้ำกินน้ำใช้ต้องปิดฝาให้มิดชิด หมั่นล้างคว่ำภาชนะใส่น้ำ เปลี่ยนน้ำในกระถางหรือแจกันทุกสัปดาห์ วิธีนี้จะช่วยป้องกันไม่ให้ยุงลายไปวางไข่

                                  การกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายจะป้องกันได้ จะป้องกันได้ 3 โรค คือ 1.โรคไข้เลือดออก 2.โรคติดเชื้อไวรัสซิกา และ 3.โรคไข้ปวดข้อยุงลายหรือโรคชิคุนกุนยา

                                  สำหรับผู้ใหญ่ควรสวมใส่เสื้อแขนยาวและกางเกงขายาว ส่วนเด็ก ๆ ควรสวมใส่เช่นกัน แต่ต้องพิถีพิถันเลือกเนื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี ไม่อบ เพื่อป้องกันผื่นที่อาจเกิดขึ้นได้ การใช้สารไล่ยุงภายในบ้านก็ต้องระมัดระวัง เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยสำหรับเด็ก หรือมีสารสกัดจากธรรมชาติอย่างตะไคร้หอม เพื่อป้องกันการเกิดโรคไข้เลือดออก และโรคอื่น ๆ ที่มีเจ้ายุงลายเป็นพาหะตัวร้าย

                                  อ้างอิงข้อมูล : nationtv.tvthairath, vibhavadi และ phyathai

                                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                   

                                  อ่านบทความอื่นเพิ่มเติม

                                  มือ เท้า ปาก หน้าฝน ระบาดหนัก! เจอ 8 อาการนี้ต้องพาลูกไปหาหมอ

                                  ระวัง ไข้หัดแมว ระบาด! อีกหนึ่งภัยร้าย..บ้านไหนเลี้ยงแมวควรรู้

                                  โรคเสี่ยงลูกป่วย ปี 63 รวมโรคเด็ก ที่พ่อแม่ต้องระวัง

                                    ชี้ทางแม่! กฎหมาย สิทธิ์การดูแลบุตร ทำยังไง..ให้แม่ได้เปรียบ?

                                    พ่อแม่หย่ากัน! กฎหมาย สิทธิ์การดูแลบุตร ลูกจะตกเป็นของใคร แม่จะได้อะไรจากการฟ้องร้อง พ่อจะมีสิทธิ์อะไรในตัวลูก หรือ ต้องรับผิดชอบ จ่ายเรื่องใดบ้าง ตามมาดูกันเลย

                                    กฎหมาย สิทธิ์การดูแลบุตร ทำยังไง..ให้แม่ได้เปรียบ?

                                    ปัจจุบันมี คุณแม่เลี้ยงเดี่ยว – คุณพ่อเลี้ยงเดี่ยว เกิดขึ้นมากมาย เพราะคนเรารักกันอยู่ด้วยกันก็ต้องมีกระทบกระทั้งกันบ้าง และเมื่อความสัมพันธ์ในครอบครัวสะดุด ความรักหยุดอยู่กลางทาง ก็ทำให้ต้องเกิดเหตุเลิกลากัน แต่จะทำอย่างไรหากครอบครัวนั้นมีลูกด้วยกันแล้ว ซึ่งในทางกฎหมายตามที่ใครๆ เคยได้ยินคือ กฎหมาย สิทธิ์การดูแลบุตร ได้ระบุไว้ชัดเจนว่าลูกจะตกเป็นของแม่ในการดูแล โดยเรื่องนี้ ทนายชื่อดัง ทนายรัชพล ศิริสาคร ได้ให้คำอธิบายไว้ว่า..

                                    เมื่อพ่อแม่แยกทางกัน ใครจะเป็นผู้มีสิทธิดูแลลูก

                                    แบ่งเป็น 2 กรณี คือ พ่อแม่ที่จดทะเบียนสมรส กับพ่อแม่ที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส

                                    สำหรับคู่ที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส เมื่อแยกทางกัน ลูกจะตกเป็นสิทธิแก่ฝ่ายแม่ ที่เป็นเช่นนี้เพราะกฎหมายกำหนดไว้แบบนั้น ส่วนพ่อไม่มีสิทธิเลย โดยแม่ผู้ที่วามารถใช้อำนาจปกครองกับลูกได้ มีสิทธิ ดังนี้
                                    (1) กำหนดที่อยู่ของบุตร
                                    (2) ทำโทษบุตรตามสมควรเพื่อว่ากล่าวสั่งสอน
                                    (3) ให้บุตรทำการงานตามสมควรแก่ความสามารถและฐานานุรูป
                                    (4) เรียกบุตรคืนจากบุคคลอื่นซึ่งกักบุตรไว้โดยมิชอบด้วยกฎหมาย
                                    (5) สิทธิในการให้ความยินยอมบุตรผู้เยาว์ทำการหมั้นและสมรส
                                    (6) สิทธิที่เกี่ยวข้องกับการอุปการะเลี้ยงดูบุตรในด้านต่างๆ เช่นการให้ความยินยอมในการเข้ารับการรักษาพยาบาลการผ่าตัดหรือการทำนิติกรรมต่างๆ

                                    แต่ยกเว้นบางกรณีที่พ่อจะมีสิทธิเลี้ยงลูก หรือ สิทธิ์การดูแลบุตร  เช่น

                                    ⇒กรณีแรก ไปจดทะเบียนรับรองบุตร (การที่บิดาไปแจ้งเกิดมีชื่อเป็นพ่อในใบเกิด ไม่ใช่การจดทะเบียนรับรองบุตร) การจดทะเบียนรับรองบุตร จะต้องไปจดทะเบียนที่อำเภอ โดยความยินยอมของแม่
                                    ⇒ กรณีที่ 2 พ่อแม่สมรสกันในภายหลัง เช่น ลูกเกิดมาแล้ว แล้วก็ไปจดทะเบียนสมรสกัน แบบนี้พ่อก็จะมีสิทธิเลี้ยงดูลูก
                                    ⇒  กรณีที่ 3 คือ เมื่อมีคำพิพากษาของศาลในทำนองที่ให้มีสิทธิเลี้ยงดูลูก ซึ่งพ่อก็อาจจะไปฟ้องศาลเพื่อขอให้ตนมีสิทธิเลี้ยงดูบุตรได้

                                    ซึ่งกรณีที่พ่อจดรับรองบุตรแล้ว ก็จะทำให้ลูกมีสิทธิได้รับค่าอุปการะเลี้ยงดูเเละรับมรดกจากพ่อ เเละพ่อมีสิทธิในตัวลูก ส่วนเรื่องฝ่ายไหนจะเลี้ยงนั้น หากฝ่ายชายเมื่อรับรองบุตรแล้วสามารถจะเอาบุตรไปเลี้ยงได้ ต้องร้องขอเปลี่ยนอำนาจปกครองจากแม่ไปเป็นของพ่อเสียก่อน ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1566(5)

                                    โดยศาลจะพิจารณาว่า ลูกอยู่กับพ่อหรือแม่ลูกจะได้ประโยชน์มากที่สุด ก็จะพิจารณาไปตามที่สมควร อาจจะเป็นแม่หรือพ่อก็ได้ แต่ไม่ตัดสิทธิผู้ที่ไม่ได้มีอำนาจปกครองพบปะบุตรตามสมควร **เเต่อย่างไรก็ตาม ในเรื่องของการเลี้ยงลูกนั้น หากต้องมีการฟ้องร้องการเลี้ยงดูลูกนั้น ว่าพ่อหรือเเม่มีความเหมาะสมมากกว่ากัน ศาลจะพิจารณาโดยอิงผลประโยชน์ของเด็กเป็นอันดับแรก

                                    ทั้งนี้ในกรณีที่พ่อแม่จดทะเบียนสมรสกัน ไม่มีกฎหมายข้อไหนระบุว่า ถ้าเป็นลูกสาวให้พ่อเป็นคนเลี้ยง ถ้าเป็นลูกชายให้แม่เลี้ยง ถ้าพ่อแม่จะแยกทางกัน ให้ตกลงกันเอง เช่น จ-ศ อยู่กับพ่อ ส-อา อยู่กับแม่ หรือมีลูก 2 คน ก็แบ่งไปเลย เอาไปเลี้ยงคนละคน … หรือจะตกลงกันยังไงก็ได้ ถ้าตกลงกันไม่ได้ ต้องไปฟ้องให้ศาลตัดสิน ซึ่งถ้าอยากจะชนะ แนะนำว่าให้หาทนายเก่งๆ ไปสู้คดี ถ้าตกลงกันได้ จะเป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะจะได้ไม่ต้องเสียเงินจ้างทนาย ไม่ต้องเสียเวลาไปศาล

                                    สิทธิ์การดูแลบุตร

                                    ไม่ได้จดทะเบียนสมรส ฟ้องขอค่าเลี้ยงดูบุตรได้หรือไม่

                                    เมื่อคุณแม่ต้องกลายเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว (Single mom) ในกรณีที่พ่อและแม่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน ลูกที่เกิดมาจะถือว่าเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของผู้เป็นแม่เพียงผู้เดียว และจะเป็นลูกที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของพ่อ ดังนั้นผู้เป็นพ่อก็ไม่ต้องจ่ายค่าเลี้ยงดูบุตรตามกฎหมาย แต่ต่อมาถ้าแม่ต้องการให้พ่อจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร ก็จะต้องดำเนินการให้พ่อดำเนินการรับรองให้เป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของพ่อเสียก่อน จึงจะมีสิทธิเรียกร้องเงินค่าเลี้ยงดูบุตรได้

                                    และเมื่อพ่อจดทะเบียนรับรองบุตรแล้ว กฎหมายกำหนดหลักไว้ว่าพ่อแม่ต้องอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาแก่บุตรจนกว่าจะบรรลุนิติภาวะคืออายุ 20 ปีบริบูรณ์

                                    ทั้งนี้แม่สามารถยื่นฟ้องพ่อต่อศาลเยาวชนและครอบครัว โดยการฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรนั้นได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียค่าขึ้นศาลและค่าธรรมเนียม และเพื่อความสะดวกรวดเร็วการฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร ก็ยังสามารถฟ้องรวมกับการฟ้องให้บิดารับเด็กเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายอีกด้วย

                                    แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับเรื่อง สิทธิ์การดูแลบุตร  นี้ ทั้งสองฝ่ายควรหันหน้ามาหากัน และหาจุดกึ่งกลาง วางทิฐิ วางความขัดแย้ง วางข้อกฎหมาย และวางความต้องการเอาชนะลงก่อน ที่สำคัญยึดผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับตัวลูกเป็นที่ตั้งในการเจรจา ควรหาคนกลาง หรือนักจิตวิทยา หรือขอคำปรึกษาจากกรมสุขภาพจิต เพื่อช่วยแนะนำและคลี่คลายปัญหาที่เกิดขึ้นให้ยุติโดยเร็วที่สุด รวมถึงเกิดประโยชน์สูงสุดกับทุกฝ่าย เพราะทั้งหมดทั้งมวลนั้นก็ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดของเรื่องนี้ก็คือลูก แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นชีวิตเรายังต้องดำเนินต่อไป ทีมแม่ ABK ก็ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนนะคะ


                                    ขอบคุณข้อมูลเรื่อง กฎหมาย สิทธิ์การดูแลบุตร จาก ทนายรัชพล ศิริสาครประธานชมรมสนับสนุนการต่อสู้เพื่อความยุติธรรมเพจ สายตรงกฎหมาย ยึดมั่นความยุติธรรมโทร 0957563521 www.facebook.com/LawByRachaponsLawyer

                                    และ www.thairath.co.thwww.scb.co.th

                                     

                                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                     

                                    อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิกที่ภาพด้านล่าง ⇓

                                    10 สัญญาณบอกอาการแบบนี้ สามีมีกิ๊ก แน่!

                                    นี่คือ 10 ลักษณะ “ภรรยาที่ดี” ที่สามีต้องการ!

                                    วิธีมัดใจสามี ให้อยู่หมัด ด้วย 5 เคล็ดลับเด็ด

                                    6 เคล็ด(ไม่)ลับ มัดใจสามี ลูกๆ แฮปปี้ครอบครัวอบอุ่น จากคุณพลอยชิดจันทร์ คุณแม่ลูก 4

                                    10 สูตรผัวรักผัวหลง มัดใจสามีให้ดิ้นไม่หลุด!

                                    25 เคล็ดลับ พิชิตใจให้แม่สามีรัก ภายใน 7 วัน