Page 186 – AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

คริสปี้ ครีม (Krispy Kreme)

เย้ายวน เกินห้ามใจ ไปกับ โดนัท คริสปี้ ครีม ชีส เค้ก ระดับพรีเมี่ยม

คริสปี้ ครีม (Krispy Kreme) โดนัทสูตรลิขสิทธิ์อันดับ 1 ที่ครองใจคนทั่วโลก ส่งโดนัท 4 รสชาติใหม่ ให้คนรัก ชีสเค้กต้องใจสั่น กับความเย้ายวนของ “นิว ชีสเค้ก โอเวอร์โหลด โดนัท” (New Cheesecake Overload Doughnut) ที่ทั้งหอม เนียน นุ่ม ละมุน ทุกสัมผัส

 

คริสปี้ ครีม (Krispy Kreme) กับ 4 รสชาติใหม่ ซัมเมอร์นี้ !!

เริ่มด้วย ไลม์ ชีสเค้ก โดนัทออริจินัล เกลซ ซิกเนเจอร์ สอดไส้ด้วยไลม์ครีมชีส หอม มัน อมเปรี้ยว ความอร่อยแน่นเต็มๆ วง หรือจะเพิ่มความเปรี้ยวขึ้นไปอีกระดับกับ ดัมเบิ้ล บลูเบอร์รี่ ครีม โดนัทฟิลริง สอดไส้บูลเบอร์รี่ ครีมชีส แล้วราดด้วยซอสบลูเบอร์รี่เข้มข้น เคี้ยวเพลิน ไปพร้อมกับเนื้อบลูเบอร์รี่แสนอร่อย ตามด้วย   ออเรนจ์ ชีสเค้ก โดนัทนุ่ม สอดไส้ครีมชีสรสส้ม หอมๆ เคลือบด้วยแยมส้ม ที่มีเกล็ดส้มเพิ่มความสดชื่นให้อร่อยแบบทวีคูณ และสำหรับคนรักสตรอว์เบอร์รี่ ฟินกันให้ขีดสุดไปกับ สตรอว์เบอร์รี่ ครีม ชีส โดนัทนุ่มสอดไส้สตรอว์เบอร์รี่     ครีม ชีส แน่นๆ เคลือบโดนัทด้วยสตรอว์เบอร์รี่ กามัวส์  หวานอมเปรี้ยว ตัดรสชาติ เพิ่มความอร่อยให้กับทุกคำที่ลิ้มรสแบบสุดๆ ด้วยสตรอว์เบอร์รี่ลูกโตปิดท้าย

 

อร่อยไปกับความเย้ายวนใจแบบพรีเมี่ยมของ 4 รสชาติใหม่ นิว ชีสเค้ก โอเวอร์โหลด โดนัท” (New Cheesecake Overload Doughnut)  ได้ตั้งแต่วันที่ 9 มีนาคม – 5 เมษายน 2563 ณ ร้านคริสปี้ ครีม ทั้ง 39 สาขา  ใกล้บ้านคุณ ในราคาเพียงชิ้นละ 35 บาท หรือแบบเซ็ต ในราคา 296 บาท (ราคาดังกล่าว ยกเว้นสาขาสนามบินสุวรรณภูมิ และสนามบินดอนเมือง)

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของคริสปี้ ครีม โดนัทสุดโปรดของคุณได้ที่ www.krispykreme.co.th  หรือ FB Fanpage: krispykremethailandfanpage หรือ #Krispykremethailand

    ผ้ามัสลิน

    วิธีทำหน้ากากผ้าง่ายๆ ให้ลูก จาก “ผ้ามัสลิน” กันโควิด-19 ดีสุด!

    กรมวิทย์ฯ เผยผลการทดสอบประสิทธิภาพของ หน้ากากผ้า พบว่า ผ้ามัสลิน มีความเหมาะสมในการนำมาใช้ทำหน้ากากผ้ามากกว่าผ้าชนิดอื่น!

    ทดสอบแล้ว! หน้ากากจาก ผ้ามัสลิน
    ป้องกันโควิด-19 ได้ดีสุด!

    จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โรค COVID-19 ทำให้หน้ากากอนามัยทางการแพทย์ที่ใช้ใส่เพื่อป้องกันเชื้อโรค ขาดแคลนและมีราคาสูง อีกทั้งยังมีข่าวกรณีความสับสนถึงหน้ากากผ้าที่ไม่เหมาะกับการใช้ป้องกันโรคว่า คนทั่วไปสุขภาพปกติไม่จำเป็นต้องใช้หน้ากากอนามัยในพื้นที่ปกติ แต่สิ่งที่ควรทำคือลดการสัมผัสต่างๆ ซึ่งความเป็นจริงทำได้ยากที่จะไม่หยิบจับอะไร ดังนั้น ต้องล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่ หรือเจลแอลกอฮอล์ และสิ่งที่จะช่วยได้มาก คือ การสวมหน้ากากผ้าเมื่อเข้าสถานที่คนจำนวนมากหรือแออัด

    ผ้ามัสลิน
    หน้ากากผ้า ก็ป้องกันโควิด-19 ได้

    ซึ่งกรมอนามัยได้วิเคราะห์สถานการณ์ทบทวนเอกสารต่างๆ พบข้อมูลยืนยันแล้วว่า “หน้ากากผ้า” เป็นทางเลือกของคนไม่ป่วยที่จะช่วยสังคมไทยให้ผ่านวิกฤตไวรัสโคโรนา 2019 ไปได้ ซึ่งหน้ากากที่มีคุณสมบัติดี คือ ผ้าฝ้าย ผ้ามัสลิน และผ้าสาลู ที่คุณพ่อคุณแม่หลายคนรู้จักดี เพราะเป็นผ้าที่นำมาใช้ทำผ้าอ้อมสำหรับเด็ก หาซื้อได้ทั่วไป ซึ่งสามารถนำมาผลิตหน้ากากผ้าได้ เพราะตัวผ้ามีช่องว่างระหว่างเส้นด้ายขนาดเล็ก ยิ่งซักยิ่งเล็ก

    Must read >> รีวิว ผ้าอ้อมสาลู ผ้าฝ้าย และผ้าสำลี เลือกแบบไหนให้ลูกดี!

    โดยเรื่องการใช้หน้ากากผ้า มาเป็นอีกทางเลือกสำหรับคนที่ไม่ป่วยและมีความเสี่ยงต่ำกว่าบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งสามารถทำเองได้ ทำให้หลายหน่วยงานในภาครัฐสนับสนุนให้ประชาชนตัดเย็บหน้ากากผ้าขึ้นใช้เอง ดังนั้นกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข จึงได้ทำการศึกษาชนิดของผ้าต่างๆ ที่น่าจะมีความเหมาะสมในการนำมาใช้ โดยการทดสอบ 4 หลัก ดังนี้

    1. ทดสอบโดยการส่องด้วยกล้องจุลทรรศน์เพื่อศึกษาเส้นใยผ้าในการกันอนุภาค
    2. ทดสอบประสิทธิภาพการซึมผ่านของละอองน้ำ ละอองฝอย
    3. ทดสอบการเป็นขุยด้วยวิธีการซักหลาย ๆ ครั้ง 50-100 ครั้ง
    4. ทดสอบโดยใช้ผ้าที่มีราคาถูก หาซื้อได้ตามท้องตลาด สามารถทำกันได้ในชุมชน

    โดยทำการศึกษาเปรียบเทียบผ้าหลายรูปแบบ เช่น ผ้าฝ้ายดิบ ผ้าฝ้ายมัสลิน ผ้าสาลู ผ้านาโน และผ้ายืด ผลการทดสอบพบว่า…

    1. การป้องกันอนุภาคขนาดเล็กโดยมีผ้า 3 ชนิดคือ ผ้าฝ้ายดิบ ผ้ามัสลิน และผ้านาโน เมื่อนำไปส่องด้วยกล้องจุลทรรศน์ เส้นใยผ้าสามารถกันอนุภาคได้ได้ดีพอสมควรแต่ดีที่สุดคือผ้าฝ้ายมัสลิน และ ผ้านาโน และพบว่า ยิ่งเป็นผ้า 2 ชั้นประกบกันก็ยิ่งดีประสิทธิภาพกล้เคียงกับหน้ากากอนามัย
    2. การป้องกันการซึมผ่านของน้ำ พบว่า ผ้าสาลู ที่ใช้ทำผ้าอ้อมเด็ก สามารถกันน้ำได้ดี รวมถึงผ้ามัสลินก็ป้องกันได้ดี
    3. การซักทำความสะอาด พบว่า ผ้านาโนซักได้ประมาณ 10 ครั้ง เส้นใยก็ก็เริ่มเสื่อมสภาพ แต่ ผ้าฝ้ายมัสลิน ซัก 100 ครั้งคุณสมบัติยังดีอยู่
    ผ้ามัสลิน
    ขอบคุณภาพจาก กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์

     

    >> ดูภาพสรุปผลการการทดสอบ
    ประสิทธิภาพของหน้ากากผ้า คลิกหน้า 2

     

    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

      กิจกรรมหลังเลิกเรียน

      7 กิจกรรมหลังเลิกเรียน เล่นสนุกกับลูกที่บ้าน เสริมพัฒนาการให้ลูกนอกห้องเรียน

      ถึงแม้ที่โรงเรียนเด็ก ๆ จะมีกิจกรรมให้ทำเยอะตลอดทั้งวัน แต่เมื่อกลับมาถึงบ้านลูก ๆ ของคุณอาจจะมีพลังเหลือเฟือ กิจกรรมหลังเลิกเรียน คือสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่จะจัดสรรไว้เพื่อให้เจ้าตัวเล็กได้ใช้เวลาว่างอย่างเป็นประโยชน์และปลดปล่อยพลังอีกครั้ง และกิจกรรมหลากหลายยังมีส่วนที่จะฝึกฝนทักษะในด้านต่าง ๆ ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการการเรียนรู้ที่อยู่นอกเหนือจากในห้องเรียน มีอะไรน่าสนุกบ้าง มาดูกันค่ะ

      7 กิจกรรมหลังเลิกเรียน เล่นสนุกกับลูกที่บ้าน เสริมพัฒนาการให้ลูกนอกห้องเรียน

      ทำของว่างกับคุณพ่อคุณแม่

       

      อาหารหลังเลิกเรียน

       

      หลังจากเรียน เล่น ที่โรงเรียนมาทั้งวัน เมื่อถึงเวลาเลิกเรียน เมื่อกลับมาถึงบ้านเด็ก ๆ มักจะหิว นอกจากจะเตรียมของว่างเพิ่มพลังให้ลูกแล้ว คุณพ่อคุณแม่ก็สามารถชวนเด็ก ๆ มาช่วยกันทำของว่างด้วยกันได้ ด้วยการเตรียมส่วนผสมง่าย ๆ ให้ของว่างกลายเป็น Snack Art อย่างเช่น การเตรียมผลไม้มาช่วยกันตกแต่งบนหน้าขนมปังให้กลายเป็นท๊อปปิ้งชวนกินขึ้นมาอีกเลเวล หรือจะชวนมา DIY ไอศกรีมง่าย ๆ จากน้ำผลไม้แล้วใส่ผลไม้ลงไปเพิ่ม นำไปแช่ตู้เย็นรอไว้กินหลังอาหารเย็นก็ได้ ซึ่งหลังจากทำเสร็จแล้วเจ้าตัวเล็กก็จะได้แฮปปี้กับของว่างแสนอร้อยกับฝีมือตัวเองด้วย

      ศิลปะสร้างสรรค์

       

      กิจกรรมลูกน้อย

       

      จะมีอะไรดีกว่าปล่อยให้เด็ก ๆ ได้เล่นกับกิจกรรมศิลปะ เพิ่มเติมความสนุกเล็กน้อยด้วยการชวนกันไปนอกบ้านแล้วเก็บรวบรวมใบไม้ ดอกไม้ ก้อนหิน หรือสิ่งต่าง ๆ จากธรรมชาติ ที่จะมาช่วยเพิ่มจินตนาการให้กับเจ้าตัวเล็กได้ ทำให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้ว่าวัตถุต่าง ๆ สามารถสร้างสรรค์ผลงานให้แตกต่างกันได้ ยิ่งเด็ก ๆ ได้ทำสิ่งนี้บ่อยเท่าไหร่ก็จะทำให้พวกเขามีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น กิจกรรมศิลปะยังมีอีกหลากหลายรูปแบบ ที่ล้วนจะมีส่วนช่วยเสริมจินตนาการ และช่วยให้เด็ก ๆ ผ่อนคลาย สามารถทำได้ง่าย ๆ เพียงแค่ใช้สิ่งรอบตัวมาสร้างสรรค์ เพียงแค่คุณพ่อคุณแม่ลองยื่นดินสอ สี พู่กัน กระดาษ กรรไกร หรือกาว เท่านี้นเจ้าตัวเล็กก็ครีเอทอะไรใหม่ ๆ ขึ้นมาให้เราได้ดูกันแล้วละค่ะ

      แต่งตัวและเล่นบทบาทสมมุติ

       

      เล่นบทบาทสมมติ

       

      เชื่อว่าในตู้เสื้อผ้าของเด็ก ๆ ทุกบ้าน ต้องมีชุดเจ้าหญิง ชุดตำรวจ ชุดทหาร ชุดนางพยาบาล ฯลฯ อย่างน้อยติดตู้ไว้คนละหนึ่งชุด หลังกลับมาถึงบ้านลองชวนเจ้าตัวเล็กมาเปลี่ยนชุดแล้วเล่นบทบาทสมมุติซักเรื่องกันดีมั้ย คุณพ่อคุณแม่ลองกระตุ้นให้ลูกเลือกแต่งตัวเป็นตัวละครอะไรก็ได้ เพราะการเล่นบทบาทสมมุติเป็นการเล่นอย่างอิสระ (Free Play) ที่ทำให้เด็ก ๆ ได้เป็นตัวของตัวเอง มีความสำคัญต่อพัฒนาการของเด็ก เพราะระหว่างที่กำลังสนุกกับการเล่นสมมุตินั้น ร่างกาย จิตใจ และสมองของเด็ก ๆ กำลังทำงานประสานกัน ซึ่งทำให้เกิดทักษะและพัฒนาการในหลาย ๆ ด้าน เช่น สติปัญญา อารมณ์ การเข้าสังคม ,ฯลฯ หลังลูกเลิกเรียนกลับมาลองชวนลูกมาแต่งตัวเล่นสนุก ๆ กันซักเรื่องดูนะคะ

      เกมล่าเลโก้

      นอกจากเลโก้จะเป็นของเล่นเด็กที่ช่วยเสริมจินตนาการและทักษะได้ดีแล้ว ลองเปลี่ยนจากการนั่งต่ออยู่กับที่มาเป็นเกมสนุก ๆ ให้เจ้าตัวเล็กเล่นกันดีมั้ยค่ะ กติกาง่าย ๆ ก็คือ คุณพ่อคุณแม่จะต้องใช้กระดาษสี 4 แผ่นและบล็อกเลโก้ที่มีสีต่างกันให้ตรงกับสีกระดาษสำหรับกิจกรรมนี้ และเริ่มต้นด้วยการซ่อนเลโก้ไว้ที่ไหนสักแห่งในบ้าน จากนั้นให้เด็ก ๆ ไปหาชิ้นเลโก้แล้วนำมาวางลงกระดาษสีที่เข้าชุดกันจนกว่าจะพบชิ้นส่วนทั้งหมด ลองจับเวลาดูว่าพวกเขาใช้เวลานานแค่ไหน ครั้งต่อไปลองเพิ่มความท้าทายด้วยการให้คะแนนกันดูค่ะ เกมนี้นอกจากจะสร้างความสนุกตื่นเต้นท้าทานให้กับเด็ก ๆ แล้ว ยังช่วยเผาผลาญพลังงานที่ยอดเยี่ยม กระตุ้นให้เด็ก ๆ ได้ออกกำลังกายเคลื่อนไหวเสริมพัฒนาการร่างกายได้ดีอีกด้วย

      สร้างด่านอุปสรรค

      เด็ก ๆ ทุกวัยล้วนชอบวิ่ง ปีนป่าย มุด กระโดด และท้าทายกับสิ่งกีดขวาง คุณพ่อคุณแม่สามารถหาอุปกรณ์หรือสร้างด่านอุปสรรคเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้มันง่ายหรือซับซ้อนได้เท่าที่ต้องการให้เหมาะกับวัยของลูก เพื่อให้เด็ก ๆ ได้ลองคิดแก้ปัญหาและฝ่าอุปสรรคด้วยตัวเอง ถือว่ามีส่วนช่วยกระตุ้นให้ลูกได้ออกกำลังเคลื่อนไหว และช่วยกระตุ้นให้ลูกได้ใช้สมองมากขึ้นด้วย

      ออกกำลังกาย

       

      ออกกำลังกาย

       

      แม้ว่าที่โรงเรียนเด็ก ๆ จะได้วิ่งเล่น มีกิจกรรมพละ หรือออกกำลังกายมาบ้างแล้ว แต่เมื่อกลับมาถึงบ้าน การชวนเด็ก ๆ มาออกกำลังกายร่วมกัน อย่างการขี่จักรยาน วิ่งไล่จับ เล่นซ่อนแอบ ฯลฯ นอกจากเป็นการใช้เวลาร่วมกับกับคุณพ่อคุณแม่แล้ว ยังช่วยให้เด็ก ๆ ลดความตึงเครียด อารมณ์ดี สุขภาพสมองดี และทำให้ลูกนอนหลับสบาย ซึ่งเป็นผลดีต่อการเจริญเติบโตและการเพิ่มความสูงของลูก รวมถึงการควบคุมการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย ส่งผลให้ลูกมีสุขภาพที่ดี และมีพัฒนาการที่ดีตามมาด้วย

      ช่วยงานบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ

       

      หลังเลิกเรียน

       

      งานบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างรองน้ำ รดน้ำต้นไม้ กวาดบ้าน ล้างจาน เก็บของเล่น หรือแม้แต่ชวนลูกมาช่วยกันทำกับอาหาร ก็ถือว่าเป็นกิจกรรมหลังเลิกเรียนที่สร้างสรรค์และเสริมทักษะที่ดีให้กับลูกได้ เด็ก ๆ จะได้มีทักษะชีวิต ช่วยฝึกความรับผิดชอบในหน้าที่ของตน เป็นการสอนให้ลูกรู้จักช่วยเหลือและดูแลตัวเอง และจะได้เรียนรู้ว่างานบ้านเป็นสิ่งที่สำคัญ เมื่อลูกทำเสร็จคุณพ่อคุณแม่ก็สามารถให้คำชื่นชม เป็นกำลังใจให้ลูก ทำให้เด็กเกิดความรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองด้วยค่ะ และที่สำคัญกิจกรรมนี้จะช่วยแบ่งเบาภาระให้คุณแม่ได้ไม่น้อยเลยค่ะ

      จะเห็นได้ว่ากิจกรรมที่เตรียมพร้อมให้เจ้าตัวเล็กกลับมาทำหลังเลิกเรียน เป็นเรื่องที่พ่อแม่สร้างให้ลูกได้ และสามารถนำมาปรับใช้ให้เหมาะกับวัยของลูกได้ตามสถานการณ์และสภาพแวดล้อม นอกจากเป็นกิจกรรมที่ทำให้ลูกได้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์แล้ว ยังมีส่วนช่วยเสริมสร้างพัฒนาการและทักษะในด้านต่าง ๆ ให้กับเจ้าตัวเล็ก และที่สำคัญคือ พ่อแม่ลูก จะได้มีเวลาทำร่วมกัน สร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างครอบครัวโดยไม่จำเป็นต้องเสียเงินเพิ่มเติมอีกด้วยนะคะ

      ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : www.care.com, www.happyschoolbreak.com

        สอนลูกให้มีระเบียบวินัย

        How to สอนลูกให้มีระเบียบวินัย ต้องไม่ตี ไม่ขู่ ไม่เกิดผลเสียในระยะยาว

        สอนลูกให้มีระเบียบวินัย คุณพ่อคุณแม่สามารถปลูกฝังให้ลูกรักได้ตั้งแต่เล็กกันเลยละคะ เมื่อมี “วินัย” ติดตัวก็จะทำให้เป็นผลดีต่อชีวิตของลูก

        การเลี้ยงลูกจัดเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและไม่มีสูตรสำเร็จ แต่ละบ้านต้องปรับการเลี้ยงลูกให้เหมาะกับครอบครัวของตัวเอง การฝึกวินัยให้ลูกก็เช่นกัน ถ้าคุณพ่อคุณแม่เลี้ยงแบบเร่งรัด คาดหวังว่าลูกจะต้องทำตามสิ่งที่สอนให้ได้ จึงทำให้เกิดการบังคับ ลงโทษด้วยการตี ขู่ ดุด่า ใช้อารมณ์รุนแรงกับลูก เพื่อหวังจะให้เกิดประสิทธิภาพ ให้เด็กรู้ถูกผิด เชื่อฟัง และให้เคารพผู้ใหญ่ แต่สิ่งที่พ่อแม่ทำเหล่านี้กลับส่งผลให้มีปัญหาพฤติกรรมในด้านลบต่อตัวลูกได้ เช่น รู้สึกต่อต้าน แทนที่จะเชื่อฟังกลับดื้อรั้น เอาแต่ใจตัวเอง ไม่ชอบทำตามกติกา เสียความภูมิใจในคุณค่าของตนเอง กลายเป็นว่าสิ่งที่ต้องการจะฝึกระเบียบวินัยที่ดีให้กับลูกกลับทำให้เกิดผลเสียระยะยาวในการดำเนินชีวิต เกิดปัญหาต่อการอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมตามมาได้ ซึ่งถ้าหากขาดวินัย เด็กก็ไม่เข้าใจความสำคัญของการควบคุมตนเอง ดังนั้น การสอนลูกให้มีระเบียบวินัยจึงเป็นสิ่งจำเป็นต่อพฤติกรรมที่ดีของลูกทั้งในวันนี้และในอนาคต ทีมแม่ ABK เลยมีเทคนิคดี ๆ สำหรับการสอนลูกเรื่องนี้กันค่ะ

        How to สอนลูกให้มีระเบียบวินัย ต้องไม่ตี ไม่ขู่ ไม่เกิดผลเสียในระยะยาว

        1. พ่อแม่เป็นตัวอย่างที่ดีของลูก

        การสอนลูกให้เป็นคนมีระเบียบวินัยสิ่งแรกไม่ได้เริ่มจากตัวลูก แต่เป็นการเริ่มต้นจากคุณพ่อคุณแม่ที่ต้องเป็นคนมีวินัย เป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกเห็น เนื่องจากเด็กในวัยเล็กนั้นชอบเลียนแบบพฤติกรรม โดยเฉพาะคนใกล้ตัว และเมื่อคุณพ่อคุณแม่แสดงความเป็นระเบียบ มีวินัย ที่เริ่มต้นได้จากภายในบ้าน เช่น การเก็บของอย่างเป็นระเบียบ การยืนต่อคิว ฯลฯ ลูกก็จะซึมซับความมีวินัยได้จากพ่อแม่

        2.ฝึกลูกให้มีวินัยในกิจวัตรประจำวัน

        การฝึกลูกไม่ใช่การบังคับขู่เข็ญให้ทำตามที่พ่อแม่สั่ง แต่เป็นการสอนและชักจูงให้เข้าใจและทำในสิ่งที่ถูกต้องด้วยความเต็มใจ คุณพ่อคุณแม่อาจจะเริ่มฝึกลูกให้มีระเบียบวินัยจากภายในบ้าน เช่น การเก็บที่นอน เก็บของเล่นที่เล่นเสร็จให้เข้าที่ ช่วยงานบ้าน ทำให้เป็นกิจวัตรประจำวัน และอธิบายให้เห็นถึงผลดีในสิ่งที่ทำ ซึ่งการบอกเหตุผลเป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยชักจูงให้ลูกเข้าใจและเกิดความสมัครใจที่จะทำเองได้ในทุกวัน ๆ จนกลายเป็นวินัยติดตัว สิ่งสำคัญคือต้องค่อย ๆ ฝึกให้ โดยไม่ต้องมีการบังคับ

        บทความแนะนำ : สอนลูกให้มีวินัย สนุกและง่าย ด้วย “การล้างจาน”

        3.ตั้งกฏกติกาภายในบ้าน

        ฝึกวินัยให้ลูก
        ฝึกวินัยให้ลูก

        คุณพ่อคุณแม่ควรมีกฏระเบียบของบ้านเพื่อให้ลูกได้ฝึกวินัยด้วยตัวเองได้ง่าย ๆ เช่น ถอดรองเท้าวางให้เป็นระเบียบก่อนเข้าบ้าน การปิดไฟห้องน้ำทุกครั้งหลังใช้ การช่วยทำงานบ้านตามวัยที่เหมาะสม ฯลฯ ควรระบุไว้อย่างชัดเจนและมอบหมายให้เป็นหน้าที่ของทุกคนในบ้าน เพื่อทำให้ลูกรู้จักความรับผิดชอบ และซึมซับความมีวินัยติดตัวที่สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้

        อ่านต่อ 7 ข้อสอนลูกให้มีระเบียบวินัย ฝึกวินัยให้ลูกติดตัวเป็นผลดีในอนาคต คลิกหน้า 2

        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

          มดลูกแข็งแรง

          5 เคล็ดลับดูแล “มดลูกแข็งแรง” ก่อนตั้งครรภ์

          มดลูกแข็งแรง มดลูกไม่แข็งแรง จะรู้ได้ยังไง ? มีคุณแม่สาวๆ ถามกันเข้ามา วันนี้ทีมแม่ABK เลยหาคำตอบ พร้อมมีเคล็ด ลับง่ายๆ ที่จะช่วยให้มดลูกแข็งแรงก่อนตั้งครรภ์ มาให้ผู้หญิงทุกคนได้ดูแลมดลูกให้พร้อมสมบูรณ์กันค่ะ

          มดลูก เป็นอวัยวะสำคัญของผู้หญิง เพราะเป็นอวัยวะของระบบสืบพันธุ์ที่อยู่ในอุ้งเชิงกราน มีขนาดโดยปกติยาวประมาณ 3  นิ้ว มดลูกจะมีไว้เพื่อใช้ในการตั้งครรภ์ ความพิเศษของมดลูกคือสามารถขยายตัวใหญ่ขึ้นได้ตามขนาดการเจริญเติบโต ร่างกายของทารก และหลังจากคุณแม่คลอดลูก มดลูกก็จะหดตัวกลับคืนสู่สภาพปกติ

          มดลูกแข็งแรง จะรู้ได้ยังไง ?  

          เชื่อว่าคุณแม่ สาวๆ ส่วนใหญ่เลยที่สงสัยว่าเราจะรู้ หรือสังเกตได้จากอะไรถึงรู้ว่า มดลูกแข็งแรง สำหรับมดลูกที่สมบูรณ์ แข็งแรง

          • มีประจำเดือนตรงกันในทุกรอบเดือน(ของทุกเดือน) เช่น ทุก 28 วัน
          • ประจำเดือนที่มาต่อรอบจะต้องไม่เกิน 7 วัน
          • ปริมาณประจำเดือนที่ออกทั้งหมดประมาณครั้งละ 30-100 มิลลิลิตร
          • ไม่มีอาการปวดประจำเดือน หรือหากมีอาการปวดประจำเดือน(ถือเป็นเรื่องปกติ) แต่ระดับความปวดจะต้องอยู่ใน เกณฑ์ที่สม่ำเสมอ ไม่ปวดเพิ่มขึ้นในการมีประจำเดือนครั้งต่อๆไป

           

          มดลูกไม่แข็งแรง จะรู้ได้ยังไง ?

          ผู้หญิงที่มดลูกไม่ค่อยแข็งแรงมีผลกระทบต่อการตั้งครรภ์มากค่ะ เพราะทำให้ตั้งท้องยาก หรือตั้งท้องแล้วมักจะเกิดภาวะ แท้ง เป็นต้น สำหรับลักษณะที่บอกว่ามดลูกไม่แข็งแรง

          • มีประจำเดือนมาไม่ปกติ มาบ้างไม่มาบ้าง (มีรอบประจำเดือนไม่ตรงกันในทุกเดือน)
          • ประจำเดือนที่มาต่อรอบมาน้อยกว่า 7 วัน (1-2 วัน) หรือ ประจำเดือนมามากกว่า 7 วัน
          • ปริมาณประจำเดือนที่ออกทั้งหมดมีปริมาณน้อยกว่า 30 มิลลิลิตร
          • มีอาการปวดประจำเดือนที่มากกว่าปกติ ปวดจนเป็นไข้ และมีการปวดร้าวไปด้านหลัง หรือปวดลงไปตรงหัวหน่าว เป็นต้น
          • ผนังมดลูกบาง
          • ปากมดลูกผิดปกติ ทำให้เชื้ออสุจิผ่านเข้าไปผสมกับไข่ไม่ได้

          พอจะสังเกตร่างกายตัวเองกันได้ในเบื้องต้น ในการเช็กว่ามีมดลูกที่แข็งแรงกันหรือไม่ ทีนี้เพื่อให้คุณผู้หญิงที่อยากมีลูกได้ตั้งครรภ์กันได้ง่ายขึ้น การดูแลมดลูกให้มีสุขภาพดี แข็งแรง จะช่วยเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์มากขึ้นได้ค่ะ ทีมแม่ABK มีเคล็ดลับมาบอกให้ค่ะ

          มดลูกแข็งแรง

          5 เคล็ดลับวิธีดูแล “มดลูกแข็งแรง” มีลูกง่าย

          มดลูกที่แข็งแรง ย่อมเป็นเหมือนประตูที่จะพาให้การตั้งครรภ์สำเร็จ สมบูรณ์ เป็นครรภ์คุณภาพ ดังนั้นต้องดูแลบำรุงให้มีสุขภาพดี แข็งแรง พร้อมอยู่ตลอดเวลานะคะ

          1. กินอะไร มดลูกแข็งแรง

          การดูแลสุขภาพมดลูกอย่างง่ายๆ เลยก็คือปรับการกินค่ะ แนะนำว่าควรลดหวาน ลดเค็ม ของทอด อาหารหมักดอง อาหารมันๆ ไขมันสูง ลดเลิกไปค่ะ รวมถึงเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ อาหารที่ควรกินเพื่อช่วยในการบำรุงมดลูกแข็งแรง แนะนำเป็น เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ย่อยง่าย เช่น เนื้อปลาทะเล (แซลมอล ทูน่า ซาร์ดีน) เนื้อไก่ เนื้อหมู ผัก ผลไม้ เป็นต้น

          2. มีเพศสัมพันธ์ที่สะอาด

          ไม่ว่าก่อนแต่งงาน หรือหลังแต่งงาน ควรมีคู่นอนคนเดียว เพราะการเปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ จะเสี่ยงต่อการติดโรคทาง เพศสัมพันธ์ เช่น การติดเชื้อ HPV, เริม และ HIV การติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์อาจเสี่ยงทำให้มดลูกอักเสบได้

          3. ตรวจสุขภาพ ตรวจภายในทุกปี

          การตรวจสุขภาพ การตรวจภายในเฉพาะกลุ่มที่ผู้หญิงเสี่ยงที่จะเป็นได้ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง จะช่วยให้คุณแม่ และสาวๆ ได้ รู้เท่าทันสุขภาพของตัวเอง และหากมีอาการใดผิดปกติขึ้นมาจะได้รักษาได้อย่างทันท่วงที

          4. ออกกำลังกายบริหารมดลูก

          ว่ายน้ำ จ๊อกกิ้ง แอโรบิก หรือโยคะ เป็นการออกกายบริหารที่เหมาะกับผู้หญิง ซึ่งถ้าได้ออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3-4 วัน ร่วมกับบริหารอุ้งเชิงกรานให้แข็งแรงด้วยการขมิบเป็นประจำ จะยิ่งช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้มดลูก และอุ้งเชิงกรานด้วยเช่นกันค่ะ

          5. ไม่ยกของหนัก

          สาวๆ หรือคุณแม่ที่เตรียมตัวตั้งครรภ์ลูกคนที่สอง แล้วชอบยกของหนัก ขอบอกเลยว่าพฤติกรรมนี้ไม่ควรทำแล้วนะคะ เพราะการยกของหนักเสี่ยงทำให้มดลูกต่ำ ซึ่งการที่มดลูกต่ำเป็นปัญหาทางสุขภาพทำให้ผู้หญิงมีลูกยากได้ค่ะ สำหรับอาการมดลูกต่ำ (Pelvic Organ Prolapse) ลักษณะคือ มดลูกที่อยู่ภายในอุ้งเชิงกราน โดยมีกล้ามเนื้ออยู่ระหว่างกระดูกก้นกบกับกระดูกหัวเหน่าที่ทำหน้าที่ยึดมดลูก ขาดความแข็งแรงจนส่งผลกระทบทำให้มดลูกหย่อนหรือหลุดต่ำลงมาที่ช่องคลอดนั่นเองค่ะ

          ว่าที่คุณแม่ และสาวๆ ที่เตรียมตัวจะมีลูก อย่าลืมเอาคำแนะนำที่จะช่วยดูแลบำรุงให้มดลูกแข็งแรงไปใช้กันนะคะ สุขภาพดีมีชัยไปกว่าครึ่งแล้วค่ะ …ด้วยความห่วงใย 

           


          บทความอื่นที่น่าสนใจ

          มดลูกอักเสบ ปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อยในผู้หญิง

          ปากมดลูกหลวม เสี่ยงแท้ง คลอดก่อนกำหนด

          ระวัง! คุณผู้หญิง กินฟาสต์ฟู้ด บ่อย เสี่ยงมีลูกยาก

           

           

          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

           

           

          เครดิต : paolohospital

            เชื้อไวรัสโคโรนา

            10 สถานที่เสี่ยงแพร่กระจาย “เชื้อไวรัสโคโรนา”

            เชื้อไวรัสโคโรนา (novel coronavirus 2019) หรือเรียกกันว่า COVID-19 เป็นเชื้อไวรัสที่เพิ่งจะประกาศอย่างเป็นทางการว่า เป็นโรคติดต่ออันตราย ลำดับที่ 14 ในประเทศไทย ซึ่งเพื่อให้ทุกครอบครัวได้ใช้ชีวิตประจำวันกันได้อย่างปลอดภัยมากขึ้น ทีมแม่ABK มีสถานที่เสี่ยงต่อการรับแพร่กระจายเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ พร้อมวิธีป้องกันดูแลตัวเองมาฝากค่ะ

             

            เชื้อไวรัสโคโรนา เสี่ยงแพร่กระจายในสถานที่ไหนบ้าง ?  

            ถึงแม้ว่าสถานการณ์การแพร่กระจายของ เชื้อไวรัสโคโรนา ยังน่าเป็นห่วงอยู่ แต่เราทุกคนก็ยังคงต้องดำเนินชีวิตในทุกๆ วันกันอยู่เหมือนเดิม ไม่จะออกไปทำงาน ไปเรียนหนังสือ ต้องเดินทาง ฯลฯ ซึ่งเป็นเรื่องที่ทุกคน ทุกครอบครัวหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นเพื่อให้การทำกิจวัตรประจำวันยังคงดำเนินไปได้ด้วยดี ทีมแม่ABK จึงได้สรุปสถานที่ที่เป็นสาธารณะ ทุกคนต้องใช้บริการ ต้องผ่าน ต้องสัมผัสทุกวัน แน่นอนว่าเสี่ยงต่อการแพร่กระจายของไวรัสโคโรนา (COVID-19) ไปดูกันค่ะว่า 10 สถานที่นี้ ถ้าเราต้องใช้บริการ หรือต้อไปทำงาน จะมีวิธีป้องกันเชื้อโรคโคโรนา ไม่ให้เข้าสู่ร่างกาย ต้องปฏิบัติอย่างไรบ้าง

            1. สถานที่ราชการ / ที่ทำงาน

            คุณพ่อคุณแม่อาจต้องไปทำงาน หรือต้องไปติดต่อทำธุระ แน่นอนว่าทั้งสถานที่ราชการ หรือออฟฟิศที่ทำงานตลอด 5 วัน ล้วนเป็นสถานที่ที่มีคนจำนวนมากมาอยู่ร่วมกัน

            วิธีป้องกันสุขภาพ : ทำความสะอาดที่สัมผัสบ่อยๆ อย่างสม่ำเสมอ เช่นโต๊ะทำงาน คอมพิวเตอร์  อุปกรณ์ที่ใช้ในการทำงาน ที่จับประตู ห้องสุขา

            2. เรือโดยสาร

            เชื่อว่ามีคนใช้บริการการเดินทางด้วยเรือโดยสารกันมากในทุกวัน ทั้งคนไทย และชาวต่างชาติ

            วิธีป้องกันสุขภาพ : สำหรับท่าเทียบเรือโดยสาร ตามที่กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขแนะนำคือ ให้นำแอลกอฮอล์เจลล้างมือไว้ที่ส่วนกลาง เช่น ห้องจำหน่ายตั๋ว และหมั่นทำความสะอาดราวจับ เก้าอี้นั่งในเรือ ที่เท้าแขน ราวบันได ท่าเทียบเรือ ใครใช้บริการเดินทางด้วยเรือ ก็อย่าลืมกดใช้เจลแอลกอฮอล์ล้างมือกันด้วยนะคะ

            3. ห้างสรรพสินค้า / ฟิตเนส / โรงแรม

            ทั้ง 3 สถานที่นี้เป็นสถานที่มีคนไปใช้บริการกันมาก และก็รวมถึงชาวต่างชาติด้วย

            วิธีป้องกันสุขภาพ : เจ้าของกิจการที่ให้บริการต้องมีแอลกอฮอล์เจลไว้บริเวณประตูทางเข้า-ออก บริเวณหน้าลิฟท์ และหมั่นทำความสะอาดที่จับประตู ห้องสุขา เพื่อให้ผู้ที่มาใช้บริการได้มั่นใจถึงความใส่ใจเรื่องความสะอาด และก็มีอุปกรณ์ทำความสะอาดมือให้ใช้อย่างเข้าถึงได้ง่าย

            4. โรงพยาบาล

            ช่วงนี้ไม่อยากป่วย ไม่อยากไปโรงพยาบาลกันใช่ไหมคะ แต่ถ้าไม่สบายไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม การไปหาคุณหมอที่โรงพยาบาลก็เป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้ค่ะ

            วิธีป้องกันสุขภาพ : โดยปกติแล้วทุกโรงพยาบาลจะมีการนำแอลกอฮอล์วางไว้บริเวณที่มีผู้ใช้บริการอยู่แล้ว ซึ่งทุกคนสามารถใช้ได้ และก็เป็นวิธีปกป้องสุขภาพเบื้องต้นที่ดีมากๆ ด้วยค่ะ

            5. ปั๊มน้ำมัน

            คุณพ่อคุณแม่ที่ขับรถไปทำงาน หรือไปรับ-ส่งลูกที่โรงเรียน แน่นอนว่าต้องแวะปั๊มเติมน้ำมันรถกัน ซึ่งตามปั๊มน้ำมันต่างๆ เขาก็มีจุดให้บริการสาธารณะ อย่างห้องน้ำ

            วิธีป้องกันสุขภาพ : เพื่อให้ผู้มาใช้บริการมั่นใจถึงความสะอาด กรมอนามัยแนะนำว่า ให้หมั่นทำความสะอาดห้องสุขา ซึ่งมีผู้ใช้บริการจำนวนมาก เน้นที่จับสายฉีดชำระ บริเวณพื้นห้องสวม ที่รองนั่งโถส้วม ที่กดโถ้สวม โถปัสสาวะ ที่เปิดก๊อกอ่างล้างมือ และกลอนประตูหรือลูกบิด ทีมแม่ABK แนะนำเพิ่มเติมว่าทุกคนควรพกแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อขวดเล็กๆ หรือเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ ทิชชู่ติดใส่กระเป๋าไปด้วย เพื่อฉุกเฉินได้มีใช้ตลอดค่ะ

            อ่านต่อ 10 สถานที่เสี่ยงแพร่กระจายเชื้อไวรัสโคโรนา คลิกหน้า 2

             

            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

              การหั่นอาหาร blw

              “ฝึกลูกกินเอง” การหั่นอาหาร blw หั่นกินแบบไหนไม่ติดคอ?

              หากอยากฝึกลูกกินอาหารเอง ไม่บด ไม่ป้อน การเตรียมอาหาร blw จะมีอะไรบ้าง หรือ การหั่นอาหาร blw ต้องหั่นแบบไหน! เพื่อลูกกินแล้วไม่สำลัก ทีมแม่ ABK มีคำตอบให้ค่ะ

              “ฝึกลูกกินเอง” การหั่นอาหาร blw
              หั่นแบบไหน! กินแล้วไม่สำลัก

              การฝึกลูกกินอาหารด้วยตัวเอง หรือ การให้ ลูกกินแบบ blw (Baby Led Weaning) “แม่ไม่เหนื่อยป้อน สอนลูกให้กินเอง”  คุณแม่สามารถให้ลูกอายุตั้งแต่ 6 เดือนเริ่มฝึกได้ ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีฟันขึ้นก็สามารถให้กินได้ เพราะลูกจะใช้เหงือกในการบดเคี้ยวอาหาร และวิธีนี้จะช่วยให้ลูกเรียนรู้ ฝึกการเคี้ยว ควบคุมลิ้นเอง การใช้กล้ามเนื้อมือ ถือเป็นแนวทางที่ดีที่สุดต่อสุขภาพและพัฒนาการของเด็ก

              Must read >> รู้จัก BLW ฝึกลูกกินอาหารเอง หยิบเอง แม่ไม่ต้องป้อนตั้งแต่มื้อแรก

              การกินแบบ blw คุณแม่จัดการอาหารให้ลูก โดย การหั่นอาหาร blw ให้ถูกวิธี อาหารแต่ละอย่างก็จะมีการหั่นที่ไม่เหมือนกัน ทั้งผัก เนื้อสัตว์ ผลไม้ จะหั่นแตกต่างกันออกไป นอกจากนี้พ่อแม่ควรนำเสนออาหารให้ลูกให้ครบ 5 หมู่ ไม่จำเจเมนูใดเมนูหนึ่งจนเกินไป

              โดยลูกสามารถกินได้ทั้งเมนูข้าว เมนูเส้นและอื่นๆ แรกๆ ลูกอาจยังแค่สำรวจอาหาร ไม่กินเลย กินนิดเดียว กินเยอะ ซึ่งเด็กแต่ละคนก็จะแตกต่างกันไป อาจจะโปรยทิ้งบ้าง กว้างปาทิ้งเลอะเทอะ พ่อแม่ไม่ต้องตกใจไป ลูกจะค่อยๆ เรียนรู้ด้วยตัวเอง

              Must read >> ฝึกลูกกินข้าวเอง ช่วยพัฒนาการอะไรบ้าง?

              การหั่นอาหาร blw

              ทั้งนี้ในวัยที่ลูกเริ่มหัดกินอาหาร ก็มีอาหารหลายอย่างที่แม่ควรเลี่ยง เพื่อไม่ให้เสี่ยงติดคอ และเสี่ยงแพ้อาหาร … โดยสิ่งสำคัญคือ กินแบบ BLW จะไม่มีการแยกอาหารตามวัย และลูกสามารถกินได้เหมือนคุณแม่ แต่จะแยกกระบวนการทำคือ ไม่ปรุง ไม่บด และต้องหั่นให้ถูกต้องตามวัยเท่านั้น

              Must read >> แม่ควรรู้! Gagging หนึ่งในอาการปกติของเด็กที่กินแบบ BLW

              Must read >> การปฐมพยาบาลและทำ CPR เมื่อ อาหารติดคอ ลูกน้อย

              การหั่นอาหาร blw

              ซึ่งการหั่นแบบ blw ต้องหั่นให้ถูกต้อง ดังนี้

              • ต้องไม่หั่นเป็่นแว่น หรือมีหน้าตัดเป็นวงกลม เพราะจะขวางหลอดลมได้
              • ควรหั่นเป็นแท่งยาว เพื่อให้ลูกหยิบจับถนัดมือ เพราะลูกจะได้เรียนรู้การกัดเคี้ยวที่ถูกต้องและปลอดภัยก่อนกลืน
              • การหั่น คือ ให้หนาเท่านิ้วก้อย ชิ้นยาวเท่านิ้วชี้ (เท่านิ้วของแม่) แล้วแบ่งเป็น 2 ส่วน หรือ 4 ส่วน ซึ่งลูกจะสามารถกัดอาหารออกจากกันได้ เรียนที่จะเคี้ยวได้
              • แต่ถ้าหั่นชิ้นเล็กๆ ลูกอาจกลืนไปเลย ไม่ได้ฝึกการกัดเคี้ยวให้ชำนาญ
              • พ่อแม่ควรเช็กให้ดี แต่ละวัย หั่นแบบ blw ต้องหั่นแบบไหนถึงเหมาะสม

              หมายเหตุ: แม้ลูกอายุ 1 ขวบขึ้นไปแล้ว แต่ถ้าเริ่ม กิน BLW ครั้งแรก ควรหั่นเหมือนเด็ก 6 เดือน เพื่อให้ลูกหัดเคี้ยวก่อน

              การหั่นอาหาร blw

              อ่านต่อ “วิธีการหั่นผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์
              สำหรับเด็กกิน
              BLW” คลิกหน้า 2

               

              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

               

                สีเสื้อมงคล 2563

                สีเสื้อมงคล 2563 เสริมดวง 12 ราศี ใส่แล้วงานดี เงินเริ่ดตลอดปี

                สีเสื้อมงคล 2563 แต่ละราศีในปีนี้จะมี สีเสื้อมงคล สีใดบ้างที่ใส่แล้วงานจะดี เงินจะเริ่ด เฮงตลอดปี มีชีวิตที่ราบรื่น ตามมาดูคำแนะนำจากหมอนุช แม่หมอสุดอารมณ์ดีจากแอป a ดวง กันค่ะ

                สีเสื้อมงคล กับ การเสริมดวง

                “ดวง” ถือว่าเป็นเรื่องที่อยู่คู่กับคนไทยมาเป็นเวลานาน เพราะคนไทยมีความเชื่อมากมายกับทุกเรื่อง รวมถึงเรื่องสีของเสื้อผ้าที่ใส่ ซึ่งความเชื่อเรื่อง “สี” มีอิทธิพลต่อชีวิตคนเราในหลายๆ ด้าน รวมไปถึงการส่งเสริมในเรื่องต่างๆ ได้ ทำให้หลายคนที่มีความเชื่อนี้เกิดคำถามว่า แล้วจะใส่ชุดสีไหนดี เสื้อตัวดีใส่มาจะเฮงไหม?

                Must read >> สีกระเป๋าสตางค์ตามวันเกิด 2563 สีไหนดี?
                เสริมดวงสุดปัง เงินเข้าไม่ขาดมือ

                ทีมแม่ ABK จึงมี สีเสื้อมงคล 2563 มาฝาก ซึ่งได้คำแนะนำจากพี่หมอนุช – นุชนัดดา วัฒนบุตร แม่หมอสุดอารมณ์ดีจากแอป a ดวง ชุมชนดูดวงออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุด และเจ้าของเพจ Tarot of the day ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูดวงด้วยไพ่ทาโรต์ โหราศาสตร์ตะวันตก และอักษรรูน ด้วยประสบการณ์กว่า 10 ปี มาดูกันเลยค่ะว่า สีเสื้อมงคล ประจำปี 2563 ใส่แล้ว งานดี เงินเริ่ด เฮงตลอดปี แต่ละราศีจะมีสีเสื้อมงคล สีใดกันบ้าง

                สีเสื้อมงคล 2563
                พี่หมอนุช – นุชนัดดา วัฒนบุตร แม่หมอสุดอารมณ์ดีจากแอป a ดวง ชุมชนดูดวงออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุด และเจ้าของเพจ Tarot of the day

                Must read >> ช่วยพ่อแม่เลือก สีรถถูกโฉลก ขับแล้วเฮง เสริมสิริมงคล

                Must read >> สีเสื้อประจำวันเกิด เสริมดวงสิริมงคลให้ลูกน้อย

                 

                สีเสื้อมงคล 2563 สีนี้ดี ใส่แล้วปังตลอดปี ทั้ง 12 ราศี

                 

                สีเสื้อมงคล 2563ราศีมังกร (ผู้ที่เกิดระหว่างวันที่ 22 ธันวาคม – 20 มกราคม)

                สีเสื้อมงคล ปี 63 คือ “สีเหลือง และ สีน้ำตาล”
                ช่วยเสริมเสน่ห์ เรียกทรัพย์ ดึงดูดความเมตตา  ผู้ใหญ่เอ็นดู

                 

                สีเสื้อมงคล 2563ราศีกุมภ์ (ผู้ที่เกิดระหว่างวันที่ 21 มกราคม – 20 กุมภาพันธ์)

                สีเสื้อมงคล ปี 63 คือ “สีเหลือง และ สีส้ม”
                ช่วยเสริมพลังความคิด ไอเดียใหม่ๆ ส่งเสริมธุรกิจใหม่

                 

                สีเสื้อมงคล 2563ราศีมีน (ผู้เกิดระหว่างวันที่ 21 กุมภาพันธ์ – 21 มีนาคม)

                สีเสื้อมงคล ปี 63 คือ “สีแดง และ สีดำ”
                ช่วยเสริมเรื่องการขจัดอุปสรรค เสริมสภาวะจิตใจให้เข้มแข็งเด็ดเดียว เสริมพลังอำนาจ คุ้มครองป้องกันภัย

                 

                สีเสื้อมงคล 2563ราศีเมษ (สำหรับคนเกิดระหว่างวันที่ 22 มีนาคม – 21 เมษายน)

                สีเสื้อมงคล 2563และ ราศีพฤษภ (สำหรับคนเกิดระหว่างวันที่ 22 เมษายน – 21 พฤษภาคม)

                สีเสื้อมงคล ปี 63 ของทั้ง 2 ราศีนี้ คือ “สีขาว และ สีแดง”
                ช่วยเสริมสร้างความมั่นใจ, เสริมการเงินที่เกี่ยวกับการลงทุน,ช่วยให้สภาวะจิตใจผ่อนคลาย มีผู้ใหญ่ช่วยเหลือสนุบสนุน

                 

                สีเสื้อมงคล 2563ราศีเมถุน (สำหรับคนเกิดระหว่างวันที่ 22 พฤษภาคม – 21 มิถุนายน)

                สีเสื้อมงคล ปี 63 คือ “สีทอง และ สีบรอนด์”
                ช่วยเสริมเรื่องความสามารถพิเศษ,ความมั่งคั่ง,ความสำเร็จ

                 

                สีเสื้อมงคล 2563ราศีกรกฏ (ผู้เกิดระหว่างวันที่ 22 มิถุนายน – 21 กรกฎาคม)

                สีเสื้อมงคล คือ สีแดง,สีเหลือง”
                ช่วยเสริมความโชคดี,โชคลาภ,รอดพ้นอุปสรรค

                 

                สีเสื้อมงคล 2563

                สีเสื้อมงคล 2563ราศีสิงห์ (ผู้เกิดระหว่างวันที่ 22 กรกฎาคม – 21 สิงหาคม)

                สีเสื้อมงคล 2563 คือ สีฟ้า,สีน้ำเงิน”
                ช่วยเสริมความน่าเชื่อถือ เพิ่มความเมตตามหานิยม,ส่งเสริมเรื่องภาพลักษณ์ ช่วยให้สิ่งที่คิดสำเร็จโดยสมบูรณ์

                 

                สีเสื้อมงคล 2563ราศีกันย์ (ผู้เกิดระหว่างวันที่ 22 สิงหาคม – 21 กันยายน)

                สีเสื้อมงคล คือ สีส้ม,สีน้ำตาล”
                ช่วยให้เรื่องยากกลายเป็นเรื่องง่าย สร้างความจดจำในสิ่งที่ทำ ช่วยให้การเจรจาในเรื่องยุ่งยาก จบลงด้วยดี

                 

                สีเสื้อมงคล 2563ราศีตุลย์ (ผู้เกิดระหว่างวันที่ 22 กันยายน – 21 ตุลาคม)

                สีเสื้อมงคล 2563 คือ “สีเหลือง,สีเขียว”
                ช่วยเสริมเรื่องการเติบโต,ขยับขยาย ส่งเสริมเรื่องมิตรภาพ

                 

                สีเสื้อมงคล 2563ราศีพิจิก (ผู้เกิดระหว่างวันที่ 22 ตุลาคม – 21 พฤศจิกายน)

                สีเสื้อมงคล คือ “สีเขียว,สีฟ้า”
                ช่วยเสริมเรื่องการลงทุน หุ้นส่วน การเดินทาง สุขภาพ

                 

                สีเสื้อมงคล 2563ราศีธนู (สำหรับคนเกิดระหว่างวันที่ 22 พฤศจิกายน – 21 ธันวาคม)

                สีเสื้อมงคล 2563 คือ สีดำ”
                ช่วยเสริมเรื่องการป้องกันภัย คุ้มครองจิตใจ ขจัดความกลัว

                 

                อย่างไรก็ตาม ทีมแม่ABK เชื่อว่า เรื่องดวงกับสีเสื้อ ก็เหมือนกับความเชื่อเรื่องอื่นๆ ถ้าถามว่าใส่เสื้อสีมงคลประจำวันแล้วจะโชคดีจริงมั้ย อันนี้ไม่มีใครสามารถตอบได้ แต่หนึ่งเหตุผลที่หลายๆ คนเลือกหยิบชุดที่ตรงกับสีมงคลประจำวัน ก็เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้ตัวเองก่อนก้าวเท้าออกจากบ้าน ทั้งยังเป็นการปรับทัศนคติ ให้คิดในแง่บวกว่า “วันนี้ใส่เสื้อสีมงคล วันนี้จะต้องเป็นวันที่ดี” เมื่อขจัดความคิดเชิงลบหรือความประหม่าออกไป และมีความมั่นใจก่อนเริ่มต้นวันใหม่ ก็สามารถช่วยให้วันเหล่านั้นกลายเป็นวันที่ดีได้ไม่ยาก

                ดังนั้นหากอยากประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน หรือมีเงินทองใช้ไม่ขาดสาย มีความรักที่สมหวัง และมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ฯลฯ นอกจากเราจะต้องเป็นคนที่ขยัน มีความอดทน เก่ง และมีความสามารถรอบด้านแล้วนั้น อีกหนึ่งอย่างที่ไม่ควรพลาดสำหรับคนที่มีความเชื่อ เพื่อช่วยเสริมดวงความเฮง นั่นก็คือ การเลือกใส่ สีเสื้อมงคล ให้ตรงกับราศีเกิด ก็จะสามารถช่วยได้อีกทางหนึ่งนั่นเองค่ะ

                 

                อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิก :

                 

                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                  วิธีซักหน้ากากผ้า

                  7 วิธีซักหน้ากากผ้า ที่ถูกต้อง ใส่ซ้ำได้หลายครั้ง!

                  หน้ากากแบบผ้า ซักยังไงให้สามารถนำกลับมาใส่ซ้ำได้อีก ตามมาดู 7 ขั้นตอนง่ายๆ กับ วิธีซักหน้ากากผ้า ช่วยให้มีไว้ใส่ซ้ำ ป้องกันเชื้อโรคได้ มาดูกัน!

                  แนะ วิธีซักหน้ากากผ้า ที่ถูกต้อง
                  สามารถนำกลับมาใส่ซ้ำได้หลายครั้ง!!

                  จากสถานการณ์แพร่ระบาดของ เชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โรคโควิค-19 (Covid-19) ตัวเชื้อโรคนี้จะมาในรูปแบบละอองฝอยที่พุ่งออกมาจากผู้ที่ติดเชื้อ ซึ่งการใช้หน้ากากอนามัยทางการแพทย์ (surgical face mask) ที่เห็นกันคุ้นตาที่มีสีเขียว สีฟ้าหรือสีขาว สามารถป้องกันการกระจายตัวของโรคนี้ได้ เพราะฉะนั้นผู้ที่ไม่สบายมีการไอ จาม ควรต้องใส่หน้ากากอนามัยทางการแพทย์ เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เชื้อโรคในตัวกระจายไปยังผู้อื่น สำหรับบุคคลทั่วไปที่ไม่ได้เจ็บป่วย แต่ต้องอยู่ในที่ชุมชนที่มีคนจำนวนมาก ก็ควรสวมหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันตัวเองเช่นกัน

                  Must read >> 8 วิธีป้องกันไวรัสโคโรนา ฉบับประชาชน จากกระทรวงสาธารณสุข

                  วิธีซักหน้ากากผ้า

                  ทั้งนี้หากสวมใส่หน้ากากอนามัย แต่ทำไม่ถูกวิธีก็อาจมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้เช่นกัน โดย วิธีสวมหน้ากากอนามัยอย่างถูกต้อง!! สามารถทำได้ดังนี้

                  1. ล้างมือให้สะอาดก่อนสวมหน้ากากอนามัย

                  2. ใช้มือสองข้างดึงสายหน้ากากอนามัยออกพร้อมกันในแนวตรง

                  3. หันด้านสีเขียวหรือสีฟ้าออก และให้แผ่นโลหะอยู่ด้านบน

                  4. ใส่หน้ากาก โดยดึงสายรัดทั้งสองข้าง คล้องบริเวณใบหู

                  5. กดแผ่นโลหะให้แนบกับสันจมูก

                  6. ดึงหน้ากากอนามัยให้คลุมปิดทั้งจมูกและปาก

                  7. เมื่อใช้เสร็จควรดึงหน้ากากอนามัยออกในแนวตรง และไม่ควรจับด้านหน้าของหน้ากาก เพราะอาจมีเชื้อโรคอยู่

                  และการเลือกซื้อหน้ากากอนามัยให้ถูกวิธีก็เป็นสิ่งที่สำคัญเหมือนกัน เพราะหน้ากากแต่ละประเภท มีออกแบบ การใช้วัสดุ และการใช้งานให้เหมาะสมที่แตกต่างกัน ดังนั้นจึงต้องเลือกซื้อหน้ากากให้ถูกประเภท โดยหน้ากากอนามัยที่สามารถกันเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ และหาได้ในท้องตลาด มีประมาณ 3 แบบคือ

                  1. หน้ากากอนามัยแบบธรรมดา หรือ หน้ากากอนามัยทางการแพทย์ = เป็นหน้ากากที่มีตัวกันของเหลวสำหรับกันละอองน้ำลายและเสมหะของผู้สวมใส่ อีกทั้งยังป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรคจากการไอหรือจามได้
                  2. หน้ากาก N95 = เป็นหน้ากากที่มีการออกแบบมาเพื่อใช้สำหรับกันฝุ่น PM 2.5 เพราะหน้ากากอนามัยธรรมดาสามารถกันฝุ่นได้เพียง 30 % เท่านั้น แต่หากนำมาใส่กันไวรัสโควิด-19 อาจไม่เหมาะนักเพราะหน้ากากแบบนี้มีการใช้เส้นใยที่แน่นหนามาก ทำให้เมื่อสวมใส่จะรู้สึกอึดอัด เมื่อต้องสวมใส่เป็นระยะเวลานาน และหากสวมใส่ไม่ถูกวิธีประสิทธิภาพในการป้องกันอาจต่ำกว่าการใส่หน้ากากแบบธรรมดาด้วยซ้ำ
                  3. หน้ากากอนามัยแบบผ้า = เป็นหน้ากากที่ต้องดูให้ดีว่าเป็นผ้าที่มีความหนาแน่นของเส้นใยที่พอเหมาะหรือไม่และที่สำคัญต้องมีการตัดเย็บที่จะต้องมีขนาดที่พอเหมาะ กระชับใบหน้า เพื่อการป้องกันที่ดีที่สุด

                  วิธีซักหน้ากากผ้า

                  Must read >> วิธีทำหน้ากากอนามัย ใช้เองได้ง่ายนิดเดียว

                  ซึ่งตอนนี้ หน้ากากอนามัย ก็ถือเป็นของใช้ที่จำเป็น และนอกจากจะหาซื้อยากแล้วยังมีราคาที่แพงกว่าปกติอีกด้วย สำหรับคนที่ไม่มีหน้ากากอนามัยสวมใส่ สามารถใช้ หน้ากากผ้า แทนได้ … โดย นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค (คร.) กระทรวงสาธารณสุข ได้กล่าวว่า “คนทั่วไปที่ไม่ได้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจ สามารถใช้หน้ากากอนามัยที่ทำจากผ้า มาทดแทนหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ได้ เพราะหน้ากากอนามัยแบบผ้ามีประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อโรคได้เช่นเดียวกัน นั่นก็เพื่อป้องกันน้ำลายกระเด็นเป็นหลัก เหมือนอย่างสมัยตอนไข้หวัดใหญ่ 2009 ก็มีการทำหน้ากากผ้ากันเอง หรือทำหน้ากากผ้าแบบแฟชั่น ซึ่งก็สามารถนำมาสวมใส่ป้องกันได้สำหรับคนปกติทั่วไป ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว”

                  อ่านต่อ “วิธีซักแมสผ้าที่ถูกต้อง” คลิกหน้า 2


                  ขอขอบคุณข้อมูลจาก  www.gettgo.com

                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                   

                    ตรวจรักษาโควิด

                    ตรวจรักษาโควิด ด้วยสิทธิบัตรทองและประกันสังคม

                    ข่าวการแพร่กระจายเชื้อโรคโควิค-19 สร้างความตื่นกลัวให้คนในสังคม ทุกคนต่างใส่หน้ากากอนามัย พกแอลกอฮอล์เจล เพื่อป้องกันเชื้อดังกล่าว เพราะหากติดเชื้ออาจต้องเสียค่าใช้จ่ายอยู่ไม่น้อย สปสช. และกระทรวงแรงงาน จึงมีการอนุมัติ ตรวจรักษาโควิด ด้วยสิทธิบัตรทอง และสิทธิประกันสังคม

                    Continue reading “ตรวจรักษาโควิด ด้วยสิทธิบัตรทองและประกันสังคม”

                      PQ (Play Quotient)

                      “ยิ่งเล่น ยิ่งฉลาด “ พัฒนา PQ (Play Quotient) สร้างลูกให้ฉลาดแข็งแรงจากการเล่นแสนสนุก

                      คุณพ่อคุณแม่รู้ไหมคะ ว่าการให้ลูกได้เล่น “ยิ่งเล่น ยิ่งฉลาด” หมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ได้กล่าวไว้ว่า “งานของเด็กคือการเล่น” และการเล่นของเด็กนั้นนำไปสู่การพัฒนา PQ (Play Quotient) ความฉลาด ที่เกิดจากการเล่นได้ดีอีกด้วย

                      สำหรับเด็กในวัย 2-7 ขวบ “การเล่น” ถือเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาศักยภาพของเด็กให้เกิดขึ้นออกมาได้หลายทาง เป็นการปูพื้นฐานทางด้านสติปัญญา ร่างกาย อารมณ์ และสังคม การแก้ปัญหาในชีวิตประจำวันต่าง ๆ ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์  ฝึกสมาธิ  ให้กับเด็กได้ ดังนั้น ความฉลาดหรือ PQ ที่เกิดจากการเล่นของลูกสร้างได้ไม่ยาก แค่คุณพ่อคุณแม่เพียงปล่อยให้ลูกได้เล่น และส่งเสริมด้วยการสอนลูกเล่นอย่างถูกวิธีตามวัย เช่น ฝึกให้ลูกหัดเดิน ฝึกให้ลูกหัดพูด ให้ลูกได้เล่นกับของเล่นเสริมพัฒนาการที่หลากหลาย พอลูกเข้าเรียนก็ให้เล่นกับเพื่อน ฯลฯ เท่านี้ก็ทำให้ลูกได้เพลิดเพลิน มีความสุขกับการเล่น และมีส่วนช่วยพัฒนาการ มี PQ ที่ดี ส่งผลให้เกิดคุณสมบัติที่ดีในตัวเองคือ เป็นได้ทั้งผู้นำและผู้ตามที่ดี เป็นหลักสำคัญที่จะทำให้เด็กเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่ดีในอนาคต โดยเฉพาะเรื่องการทำงานที่มีประสิทธิภาพได้

                      PQ (Play Quotient) สร้าง “ความฉลาด” ให้ลูกที่เกิดจากการเล่น

                      play quotient

                      การเล่นสำหรับเด็กก็คือการเรียนรู้อย่างหนึ่ง สำหรับวัยเด็กพ่อแม่คือของเล่นที่ดีที่สุดหรับลูก โดยเฉพาะในเด็กเล็ก ที่จะช่วยส่งเสริมการพัฒนาสมอง และเพิ่มประสิทธิภาพและศักยภาพสมอง ยิ่งเล่นมากยิ่งฉลาดมาก มี PQ สูง เมื่อลูกโตขึ้นอยู่ในวัยเรียน กิจกรรมการเล่นก็ย่อมมีมากขึ้นตามวัย แต่พ่อแม่บางคนมุ่งหวังให้ลูกได้เรียนหนังสือเก่ง มุ่งให้ลูกใช้เวลาไปกับการเรียนพิเศษ โดยให้เวลาการเล่นของลูกลดน้อยลง ซึ่งก็อาจทำให้ลูกมีความกดดัน ขาดทักษะชีวิต ความสุขในชีวิตลดน้อยลง ส่งผลต่ออารมณ์ซึมเศร้าในเด็ก ดังนั้นหากลองเพิ่มโอกาสให้ลูกได้เรียนรู้จากการเล่น ใช้ชีวิตวัยเด็กให้สมดุล ก็จะทำให้ลูกได้พัฒนาการ ได้ทักษะทางสังคม รู้จักการปรับตัว การช่วยเหลือกัน การเข้ากับผู้อื่น ใช้ชีวิตในสังคม และมีวุฒิภาวะเพิ่มขึ้น

                      6 ประโยชน์จาก “งานเล่น” ช่วยสร้าง PQ ต่อเด็กอย่างไร

                      เพราะ “การเล่น” คืองานของเด็กที่สามารถส่งเสริมพัฒนาการให้เด็ก ๆ ได้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็น

                      • การเล่นช่วยพัฒนาทักษะหลากหลายและกระตุ้นให้เกิดความคิดใหม่ ๆ และมีส่วนเชื่อมโยงต่อการพัฒนา CQ (ความฉลาดด้านความคิดสร้างสรรค์) เช่น การเล่นเลโก้ต่อเป็นรูปทรงต่าง ๆ การวาดภาพ การเล่นโดว์ เล่นจิกซอว์ การเล่นบทบาทสมมุติ ฯลฯ ก็จะก่อให้เกิดจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ การสร้างกลยุทธ์ การแก้ปัญหา การเล่นซ้ำ ๆ ทำให้เกิดการฝึกฝน เมื่อลูกเติบโตเป็นผู้ใหญ่ก็จะสามารถคิดวางแผน มีวิธี สามารถแก้ปัญหาต่ออุปสรรคได้

                      play quotient คือ

                      • การเล่นมีส่วนเชื่อมโยงต่อการพัฒนา SQ (ความฉลาดในการเข้าสังคม) ช่วยให้เด็กมีทักษะทางสังคม จากการได้เล่นกับเพื่อน กับพี่น้อง รู้จักการปรับตัวเข้ากับคนอื่นได้ดี รู้จักแบ่งปัน ถ้อยทีถ้อยอาศัย การแสดงออกทางอารมณ์อย่างเหมาะสมเมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝันในระหว่างเล่น ทำให้ลูกรู้จักวางตัวได้อย่างเหมาะสมกับทุกสถานการณ์ รู้จักคิดวิเคราะห์ต่อการเข้าสังคมในอนาคตได้ ทำให้ได้รับความไว้วางใจจากคนหมู่มากอีกด้วย

                      play quotient
                      play quotient

                      • การเล่นทำให้ลูกรู้จักกับการที่จะพยายามคิดแก้ปัญหา ฝ่าฟันกับอุปสรรคให้ผ่านพ้นไปได้ เป็นปัจจัยตัวหนึ่งที่เชื่อมโยงกับการพัฒนา AQ (ความฉลาดในการแก้ปัญหา) ด้วยเช่นกัน เมื่อโตขึ้นแล้วหากต้องประสบความผิดหวังก็ไม่คิดย่อท้อ มีความพยายามควบคุมสถานการณ์ และสามารถแก้ไขปัญหา แก้ไขสถานการณ์ด้วยตัวเองได้ และเมื่อลูกผ่านด่านอุปสรรคสำเร็จ ก็ทำให้เกิดความภาคภูมิใจในตัวเอง

                      การเล่นดนตรี

                      • การเล่นทำให้ลูกได้เรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ ๆ สิ่งใหม่ ๆ รู้จักการกล้าแสดงออก เช่น การเล่นดนตรี ร้องเพลง เต้นรำ ส่งผลทำให้เด็ก ๆ ได้รับความสนุกสนานเพลินเพลิน และมีความสุข ซึ่งมีส่วนทำให้สมองเจริญเติบโต นำไปสู่การเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้ดีด้วย

                      การเล่นกับลูก

                      • การเล่นที่ใช้ร่างกายเคลื่อนไหว สิ่งที่ลูกจะได้รับก็คือพัฒนาการในส่วนต่าง ๆ เช่น พัฒนากล้ามเนื้อมัดใหญ่จากการขยับแขน ขา เคลื่อนไหวเดิน วิ่ง ปีนป่าย กระโดดไปมา ฯลฯ พัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็กจากการใช้นิ้วจับของเล่น การทำงานประสานระหว่างมือ สายตา ได้อย่างแม่นยำ การเล่นกีฬาต่าง ๆ จะมีส่วนดีต่อสุขภาพแข็งแรง ทำให้ร่างกายเจริญเติบโตได้ดี และทำให้ลูกได้เรียนรู้กติกาในการเล่นร่วมกับผู้อื่น
                      • การเล่นนอกจากมีส่วนช่วยเพิ่มความฉลาด มีพัฒนาการด้านสมอง ยังนำไปสู่พัฒนาการด้าน Executive Function หรือ EF ร่วมถึงมีส่วนเชื่อมโยงต่อพัฒนาการด้าน EQ (ความฉลาดทางอารมณ์) ที่จะส่งผลอารมณ์และจิตใจของลูก ทำให้เป็นเด็กที่มีความสุข

                      วิธีเล่นเสริม PQ มีวิธีการเล่นและเรียนรู้ที่หลากหลาย เช่น การเล่นกับพ่อแม่ พี่น้อง เพื่อน เล่นของเล่นเสริมพัฒนาการตามช่วงวัย เช่น ของเล่นสำหรับเด็กในวัย 3-5 ขวบ ได้แก่ เลโก้ จิกซอว์ บอร์ดเกม แป้งโดว์ แฟลชการณ์ด เครื่องดนตรี ชุด DIY สมุดภาพระบายสี หนังสือนิทาน ตุ๊กตา หุ่นยนต์ เป็นต้น แม้แต่กิจกรรมที่เป็นงานอดิเรกต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเล่นดนตรี เต้นรำ กีฬา ฯลฯ ก็มีส่วนช่วยเพิ่ม PQ ทำให้ลูกฉลาด เพิ่มทักษะ ส่งเสริมความรู้ และจุดประกายความคิดสร้างสรรค์ในตัวเด็กได้เป็นอย่างดี ยิ่งได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบแล้วก็ยิ่งพัฒนาความฉลาดและทำให้มีความสุขควบคู่ด้วย

                      จะเห็นได้ว่า ความฉลาดที่เกิดจากการเล่น ส่งเสริมให้ลูกได้ไม่ยากเลยใช่ไหมคะ นายแพทย์ประเสริฐยังกล่าวถึงเรื่องนี้อีกด้วยว่า “การเล่นไม่มีข้อเสีย เพราะการเล่นคือภารกิจ การเล่นคือการทำงาน และเด็กสร้างโลกด้วยการเล่น ไม่แม้กระทั่งเสียเวลา การใช้เวลาที่คุ้มค่าที่สุดกับเด็ก คือการเล่น” ดังนั้นการปล่อยให้ลูกได้เล่น และคุณพ่อคุณแม่ควรมีเวลาได้เล่นกับลูกอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ลูกได้เรียนรู้จากการเล่นไปพร้อมกับได้รับรู้ความรักความอบอุ่น ก็จะทำให้ลูกได้เติบโตเป็นเด็กที่ฉลาด แข็งแรง และมีจิตใจที่เข้มแข็งเมื่อเติบโตขึ้นมาในอนาคต.

                      ขอบคุณข้อมูลจาก : www.gotoknow.org

                      อ่านต่อบทความที่น่าสนใจอื่นๆ :

                      8 วิธีเลี้ยงลูก ให้มี OQ (Optimist Quotient) ฉลาดมองโลกในแง่ดี ส่งผลดีต่อชีวิต

                      4 ข้อที่บอกว่า ลูกมี AQ (Adversity Quotient) ฉลาดแก้ปัญหา เอาชนะอุปสรรค รู้จักเอาตัวรอด

                      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                        หมอเด็ก โรคภูมิแพ้

                        ลูกเป็นภูมิแพ้ หาหมอที่ไหนดี? 20 หมอเด็ก โรคภูมิแพ้ เก่งๆ ที่แม่ควรรู้จักไว้

                        ในปัจจุบัน โรคภูมิแพ้เป็นโรคที่พบได้มากในเด็ก ไม่ว่าโรคภูมิแพ้ที่เกิดจากอาหาร หรือโรคภูมิแพ้ที่เกิดจากสิ่งแวดล้อม มาทำความรู้จักกับ หมอเด็ก โรคภูมิแพ้ เมื่อมีปัญหาหรือมีอาการภูมิแพ้เกิดขึ้นกับเจ้าตัวเล็ก จะได้พาไปรักษาหรือปรึกษากับคุณหมอผู้เชี่ยวชาญได้ตรงจุดกันค่ะ

                        ลูกเป็นภูมิแพ้ หาหมอที่ไหนดี? 20 หมอเด็ก โรคภูมิแพ้ เก่งๆ ที่แม่ควรรู้จักไว้

                        กุมารแพทย์
                        กุมารแพทย์

                        1.พญ. วรรณนิภา วงศ์รัศมี

                        คุณหมอเด็กเชี่ยวชาญด้าน อนุสาขากุมารเวชศาสตร์โรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน, สาขาเวชศาสตร์ครอบครัว & สาขากุมารเวชศาสตร์

                        อยู่ที่ : โรงพยาบาลสมิติเวช

                        ตารางแพทย์ออกตรวจ :
                        วันจันทร์-ศุกร์ 09:00 – 12:00 น.
                        วันเสาร์ 09:00 – 12:00 น. / 13:00 – 16:00

                        นัดหมายคุณหมอ : www.samitivejhospitals.com

                        2.นพ. กัลย์ กาลวันตวานิช

                        คุณหมอเด็กเชี่ยวชาญด้านกุมารเวชศาสตร์โรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน และโรคระบบการหายใจ

                        อยู่ที่ : โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์

                        ตารางแพทย์ออกตรวจ :
                        วันจันทร์-พฤหัส 08:30 – 16:30 น.
                        วันศุกร์ 08:30 – 13:00
                        วันเสาร์  08:30 – 16:30 น.

                        นัดหมายคุณหมอ : www.bumrungrad.com

                        3.พญ. ปารวี พรตตะเสน

                        คุณหมอเด็กเชี่ยวชาญพิเศษด้านโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน (Pediatrics, Allergy and Immunology)

                        อยู่ที่ : โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์

                        ตารางแพทย์ออกตรวจ : (ศูนย์เด็กทั่วไป)
                        วันจันทร์ 13:00 – 20:00 น.
                        วันพุธ 12:00 – 20:00 น.
                        วันพฤหัสบดี 07:00 – 08:00 น./ 08:00 – 12:00 น.
                        วันอาทิตย์ 09:00 – 12:00 น.

                        นัดหมายคุณหมอ : www.siphhospital.com

                        4.พญ.โสมรัชช์ วิไลยุค

                        คุณหมอเด็กเชี่ยวชาญภูมิแพ้และโรคข้อในเด็ก

                        อยู่ที่ : ศูนย์สุขภาพเด็กและวัยรุ่น โรงพยาบาลรามาธิบดี

                        ตารางแพทย์ออกตรวจ :
                        วันจันทร์-วันอังคาร 16.30 – 20.00 น.
                        วันพุธ 13.30 – 15.30 น.
                        วันอาทิตย์ 09.00 – 12.00 น.

                        5.นพ.วิชาญ บุญสวรรค์ส่ง

                        คุณหมอเด็กผู้เชี่ยวชาญด้านกุมารเวชศาสตร์ เฉพาะทางด้านโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน

                        อยู่ที่ : โรงพยาบาลวิภาราม คลินิกกุมารเวช ชั้น 4

                        ตารางแพทย์ออกตรวจ :
                        วันจันทร์-วันพุธ 08.00 – 12.00 น.
                        วันพฤหัสบดี 08.00 –  16.00  น.
                        วันศุกร์ 08.00 – 14.00 น.
                        วันเสาร์ 08.00 –  17.00  น.

                        นัดหมายคุณหมอ :  www.vibharam.com

                        6.ผศ.พญ.วิภารัตน์ มนุญากร

                        คุณหมอเด็กผู้เชี่ยวชาญกุมารเวชศาสตร์ สาขาวิชาโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกันในเด็ก

                        อยู่ที่ : โรงพยาบาลรามาธิบดี

                        ตารางแพทย์ออกตรวจ :
                        วันจันทร์ /  เช้า
                        วันพุธ / เย็น
                        วันเสาร์ / บ่าย

                        นัดหมายคุณหมอ : สาขาวิชาโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน โทร: 0-2201-1494

                        อ่านต่อ 10 รายชื่อหมอเด็กรักษาโรคภูมิแพ้ คลิกหน้า 2

                        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                          โรงเรียนอนุบาล

                          เผยเหตุผล..ทำไมพ่อแม่ควร เลือกโรงเรียนอนุบาล ที่วันๆ เอาแต่เล่นให้กับลูก?

                          ลูกถึงวัยต้องเข้าเรียนแล้วจะ เลือกโรงเรียนอนุบาล ให้ลูกอย่างไรดี? ถามคนใกล้ตัวก็ได้คำแนะนำจนมึน ที่สุดแล้วต้องดูที่อะไร และเด็กๆ เริ่มเรียนอนุบาลเลย ไม่ต้องไปเนิร์สเซอรี่ก็ได้ใช่ไหม

                          หมอเผย..เหตุผลที่พ่อแม่ควร เลือกโรงเรียนอนุบาล
                          ที่วันๆ เอาแต่เล่นให้กับลูก!!

                          Q. ผมไปดูแล้วก็ยังไม่รู้ว่าจะ เลือกโรงเรียนอนุบาล ให้ลูกอย่างไรดีครับ ถามคนใกล้ตัวก็ได้คำแนะนำจนมึน ที่สุดแล้วต้องดูที่อะไร เป็นหลักที่ใช้ดูไปถึงชั้นโตกว่านี้ได้ก็จะดีครับ และเด็กๆ เริ่มเรียนอนุบาลเลย ไม่ต้องไปเนิร์สเซอรี่ก็ได้ใช่ไหม

                          ซึ่งปัญหาการส่งลูกเข้าเรียนชั้นอนุบาลเรื่องนี้ นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ได้ให้คำตอบไว้ว่า…

                          A.  ขอแลกเปลี่ยนกันก่อนนะครับ เมื่อยี่สิบปีก่อน ผมเลือกโรงเรียนอนุบาลให้ลูกโดยดู 3 ข้อ

                          ข้อแรก พ่อแม่ลูกเดินไปกลับโรงเรียนด้วยกันได้

                          ข้อสอง โรงเรียนมีสนามหญ้ากว้างมาก

                          ข้อสาม คุณครูไม่สอนอะไร วันๆ เอาแต่เล่นกับเด็กๆ

                          Must read >> มาทำความรู้จัก โฮมสคูล ทางเลือกสอนลูกของพ่อแม่ยุคใหม่กันเถอะ

                          เลือกโรงเรียนอนุบาล โรงเรียนแรก เข้าอนุบาล

                          พ่อแม่ลูกเดินไปด้วยกันได้ทุกเช้าและเดินกลับด้วยกันได้ทุกเย็นเป็นอะไรที่สวรรค์มากๆ ในต่างจังหวัดคงยังทำได้อยู่ ในเมืองใหญ่คงยากขึ้น ประเด็นคือ วัยอนุบาลยังเป็นวัยที่พ่อแม่ควรมีปฏิสัมพันธ์กับลูกมากที่สุด

                          เรื่องสนามหญ้ามีประเด็นเรื่อง การพัฒนากล้ามเนื้อทั้งใหญ่และเล็ก ซึ่งเป็นรากฐานของการพัฒนาสมองในระดับพื้นฐาน กล่าวคือ สมองดีกล้ามเนื้อก็ดีแต่พัฒนาการเป็นไปในทางตรงข้ามด้วย นั่นคือกล้ามเนื้อมัดเล็กมัดใหญ่ดีสมองก็ดีด้วย จำได้ว่าโรงเรียนอนุบาลที่มีชื่อเสียงในจังหวัดที่ผมอยู่มีแต่ตึกและมีเพียงลานคอนกรีตตรงกลาง

                          ข้อสามสำคัญที่สุด หน้าที่ของเด็กอนุบาลคือเล่น ถ้าเล่นสนุกเขาจะเรียนรู้ระหว่างเล่น ถ้าเล่นไม่สนุกเขาเรียนรู้ได้น้อย ถ้าบังคับ “เรียน” เขาไม่ “เรียนรู้” อะไรเลย

                          ผลจากการเลือกโรงเรียนแบบนี้ทำให้ลูกคุณหมอประเสริฐเป็นลูกคุณหมอที่เรียนโรงเรียนระดับล่าง เล่นร่วมกับลูกชาวบ้าน นั่นแปลว่าเราก็จะไม่สนใจการเปรียบเทียบหรือแข่งขันอะไรกับใคร ผมถูกถามกึ่งต่อว่าเสมอ เวลาผ่านมายี่สิบปี ผมนั่งดูลูกสองคนเวลานี้ครั้งใดผมก็มีข้อสรุปส่วนตัวว่าเขาเป็นผลลัพธ์ที่น่าพอใจของการวางรากฐานที่ดีในชั้นอนุบาล ซึ่งเป็นพระคุณของคุณครูทุกคนและโรงเรียนที่ดูแลเขาในชั้นอนุบาลนั่นเอง

                          อ่านต่อ >> “ทำไมต้องเลือกโรงเรียนอนุบาลที่ให้เด็กเล่นทั้งวัน
                          แบบอิงหลักวิชาการ” คลิกหน้า 2

                           

                          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                           

                            โฮมสคูล

                            มาทำความรู้จัก โฮมสคูล ทางเลือกสอนลูกของพ่อแม่ยุคใหม่กันเถอะ

                            “โฮมสคูล” หรือเรียกอีกชื่อกันว่า “บ้านเรียน” เป็นระบบการศึกษาอีกทางเลือกหนึ่งที่พ่อแม่หลายในคนยุคนี้ได้ให้ความสนใจ มาทำความรู้จักแนวการสอนแบบ โฮมสคูล และขั้นตอนการทำโฮมสคูล ที่พ่อแม่อยากรู้กันค่ะ

                            ทำความรู้จัก โฮมสคูล ทางเลือกของพ่อแม่ยุคใหม่

                            ในปัจจุบันการสอนลูกในแบบ “โฮมสคูล” ได้รับความนิยมมากขึ้น พ่อแม่ยุคใหม่ได้มองเห็นการจัดการรูปแบบการเรียนให้กับลูกด้วยตัวเอง หรือที่เรียกว่าอีกชื่อว่า “บ้านเรียน” คือการให้เด็กเป็นศูนย์กลางเรียนรู้อย่างแท้จริง ตอบโจทย์ที่ว่า “ลูกต้องการอะไรและเหมาะสมกับความคิดหรือไม่” โดยไม่พึ่งพาระบบการเรียนการสอนกระแสหลัก

                            การเรียนการสอนแบบ Home School คือการจัดการศึกษาทางเลือก ที่พ่อแม่ได้วางแผนเนื้อหาขึ้นเพื่อที่จะสอนลูก ๆ ตามแนวคิดของตัวเอง ซึ่งได้มีการรับรองให้เปิดสอนในไทยได้อย่างถูกกฎหมายตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 และยังให้สิทธิ์ที่จะได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐ สำหรับการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานอีกด้วย รวมถึงมีการเทียบโอนผลการศึกษาได้ การศึกษาในระบบโฮมสคูลนั้นสามารถทำได้หลายรูปแบบ ทั้งนี้พ่อแม่จะต้องมีเวลาและมีส่วนร่วมในการเรียนกับเด็กเป็นสำคัญ

                            homeschool

                            การเรียนการสอนแบบโฮมสคูลนั้น สามารถจัดรูปแบบการศึกษาได้เองอย่างเสรี  โดยเน้นตามความสนใจของเด็กเป็นสำคัญ เลือกรายวิชาหรือความถนัดที่ลูกชอบ โดยทำให้บ้านกลายเป็นบ้านเรียน มีคุณพ่อคุณแม่เป็นเสมือนครู ที่คอยส่งเสริมสนับสนุน และสร้างบรรยากาศให้เกิดการเรียนรู้ และร่วมเรียนรู้ไปกับลูก หรือกำกับดูแลกิจกรรมที่จัดขึ้นให้กลายเป็น “บ้านเรียนและแหล่งการเรียนรู้ต่าง ๆ” ของลูก ทั้งยังสามารถพาลูกออกไปทำกิจกรรมเสริมสร้างประสบการณ์นอกบ้าน เป็นการเรียนที่เด็กจะได้เรียนรู้จริง เห็นถึงวิถีชีวิต ประสบการณ์ เกิดองค์ความรู้ใหม่ ๆ ที่ไม่จำเป็นว่าต้องอยู่แค่ในบ้านเพียงอย่างเดียว

                            นอกจากนี้อาจไปเรียนกับบุคคลหรือครูที่มีความชำนาญ มีความรู้ เรียนรู้วิถีชีวิต การใช้ชีวิต จนไปถึงความสนใจเฉพาะและลงลึกไปในเรื่องต่าง ๆ ที่ลูกสนใจ เช่น ถ้าเด็กชอบงานด้านศิลปะ วาดรูป ก็สนับสนุนให้ลูกได้วาดภาพ ได้ใช้จินตนาการของตัวเอง และขยายความรู้เพิ่มเติมไปตามแหล่งเรียนรู้เกี่ยวกับศิลปะ เช่น หอศิลป์ พิพิธภัณฑ์ ได้พบปะกับศิลปินที่มีประสบการณ์เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ หรือถ้าลูกเริ่มมีความสนใจอะไร พ่อแม่ก็เปิดโอกาสให้ได้ทดลองทำ คอยหาข้อมูลให้ เพื่อให้เกิดการต่อยอดไปสู่ความรู้เรื่องใหม่ ๆ ต่อไปเรื่อย ๆ

                            Home School เริ่มยังไง สิ่งที่พ่อแม่ต้องเตรียมตัวและมีความพร้อมดังต่อไปนี้

                            1.คุณพ่อคุณแม่มีเป้าหมายชัดเจนในการจัดการเรียนการสอนให้ลูกแบบ Home School และเตรียมความพร้อมโดยหาข้อมูลความรู้ให้สอดคล้องกับระดับพัฒนาการ และความสนใจพิเศษของลูก

                            2.สำรวจความพร้อมของตัวคุณพ่อคุณแม่เองว่า พร้อมที่จะให้เวลาคุณภาพและมีส่วนร่วมไปในการเรียนรู้กับลูกอย่างเต็มที่ มีความตั้งใจที่จะทำหน้าที่ครูของลูก ในการอบรมบ่มนิสัยลูก สอดแทรกผ่านกิจกรรมการเรียนรู้หรือการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น งานบ้าน ฝึกให้ลูกรู้จักหน้าที่ของตัวเองตามวัย รู้จักรับผิดชอบต่อตัวเองและต่อส่วนร่วมในบ้าน รวมถึงความพร้อมที่จะศึกษาค้นคว้าหาข้อมูล แหล่งเรียนรู้ ทั้งสถานที่และบุคคลอื่น ๆ ที่มีความชำนาญ มีความรู้ มาสนับสนุนการเรียนของลูกตลอดเวลาเพื่อให้เกิดประสิทธิผลอย่างแท้จริง เพื่อให้เด็กได้พัฒนาตัวเองทุกแง่มุมทั้งวิชาการ ทักษะชีวิต มีความมั่นคงทางความคิด ทางอารมณ์ และการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า พร้อมปรับตัวเข้าสังคมได้ ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ของลูกต่อการใช้ชีวิตในอนาคต

                            home school in thailand

                            3.เมื่อคิดจะทำโฮมสคูล คุณพ่อคุณแม่ต้องเขียนแผนการจัดการเรียนการสอน เพื่อยื่นแผนให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาตามที่อาศัยอยู่อนุมัติ สามารถเลือกจัดได้ว่าเป็นแบบกลุ่มประสบการณ์ชีวิต หรือแบบผสมผสานบูรณาการและวิชาการ โดยครอบครัวยื่นแผนกับสำนักงานเขตตามวิถีชีวิตครอบครัว และการเรียนรู้ของผู้เรียนเป็นหลัก พร้อมขอยื่นจดทะเบียนการศึกษาบ้านเรียน เมื่อเขตอนุมัติ ใน 1 ปีจะต้องสรุปการเรียนรู้ตามแผนที่เสนอไป

                            อ่านต่อ วิธีการจัดทำโฮมสคูลให้ลูกและการยื่นจดทะเบียนบ้านเรียน คลิกหน้า 2

                            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                              อาการครรภ์เป็นพิษ

                              รู้ทัน อาการครรภ์เป็นพิษ พร้อมวิธีป้องกัน ดูแลดีปลอดภัยทั้งแม่ลูก

                              อาการครรภ์เป็นพิษ หนึ่งในภาวะแทรกซ้อนที่แม่ท้องอาจเจอได้ จะหายก็ต่อเมื่อคลอดลูกแล้ว แต่หากตรวจเจอและแม่ท้องดูแลตัวเองไม่ดีก็เสี่ยงทำให้เสียชีวิตได้ทั้งแม่และลูก

                              แม่ท้องต้องรู้!! สัญญาณ อาการครรภ์เป็นพิษ
                              ดูแลดีปลอดภัยได้ทั้งแม่ลูก

                              ครรภ์เป็นพิษ (Preeclampsia) เป็นภาวะแทรกซ้อนอย่างหนึ่งที่เกิดกับแม่ตั้งครรภ์ คือ กลุ่มอาการสัญญาณ 3 อย่างสำคัญ ที่ตรวจพบได้ในคุณแม่ท้อง อันได้แก่

                              1. น้ำหนักขึ้นอย่างรวดเร็ว ร่างกายบวมน้ำ เช่น มีอาการบวมตามใบหน้า มือ ข้อเท้า เท้า เป็นต้น
                              2. มีความดันโลหิตสูง ตั้งแต่ 140/90 มิลลิเมตรปรอทขึ้นไป โดยตรวจพบระดับความดันนี้ 2 ครั้งในระยะห่างอย่างน้อย 4 ชั่วโมง
                              3. ตรวจพบโปรตีนหรือไข่ขาวส่วนเกินในปัสสาวะ หรือพบอาการอื่น ๆ ที่บ่งบอกว่าไตมีปัญหา

                              โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) รายงานว่าทุกๆปี มีผู้หญิงกว่า 70,000 คนที่เสียชีวิตจากภาวะครรภ์เป็นพิษ และ ทารกเสียชีวิตภาวะดังกล่าวถึง 50,000 คนทั่วโลก1 ขณะที่สถาบันสุขภาพแห่งชาติ ประเทศสหรัฐฯ (NIH) ระบุว่า 2-8% ของผู้หญิงที่ตั้งครรภ์จะมีภาวะครรภ์เป็นพิษ จึงต้องรณรงค์ให้ทั่วโลกตระหนักว่าภาวะครรภ์เป็นพิษมีอันตรายถึงชีวิต

                              อ้างอิง : 1 https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC4354613/ Risk factors and effective management of preeclampsia

                              Must read >> ครรภ์เป็นพิษ ภัยใกล้ตัว! อันตรายต่อคุณแม่และลูกในท้อง

                               

                              อาการครรภ์เป็นพิษเกิดจาก

                              ครรภ์เป็นพิษ เกิดจากความผิดปกติของการฝังตัวของรก ซึ่งโดยธรรมชาติรกจะฝังบริเวณเยื่อบุผนังมดลูก แต่ในกรณีที่แม่ครรภ์เป็นพิษ รกจะฝังตัวได้ไม่แน่น ส่งผลให้รกบางส่วนเกิดการขาดออกซิเจน ขาดเลือด เมื่อเลือดไปเลี้ยงรกได้น้อยลง จะเกิดการหลั่งสารที่เป็นสารพิษเข้าสู่กระแสเลือดของแม่ทีละเล็กทีละน้อย เมื่อถึงจุดหนึ่งจะส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ทั่วร่างกาย

                              ทั้งนี้สาเหตุของ อาการครรภ์เป็นพิษ ที่เกิดยังไม่รู้แน่ชัด เพราะเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน และโดยทั่วไปภาวะครรภ์เป็นพิษมักเกิดหลังอายุครรภ์ 20 สัปดาห์จนถึง 48 ชั่วโมงหลังคลอด ส่วนใหญ่จะพบภาวะนี้หลังอายุครรภ์ 32 สัปดาห์ ทั้งนี้คุณแม่ตั้งครรภ์ส่วนใหญ่มักไม่ทราบว่าตนเองมีภาวะ อาการครรภ์เป็นพิษ จึงอาจมีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนที่ทำให้ทั้งคุณแม่และทารกในครรภ์เสียชีวิตได้ โดยภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดในคุณแม่ตั้งครรภ์ ได้แก่ ชัก การทำงานของไตผิดปกติหรือไตวาย ภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนด มีเลือดออกในระหว่างตั้งครรภ์ ภาวะเลือดออกในสมอง น้ำท่วมปอด ส่วนภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดกับทารก ได้แก่ ทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์ ทารกแรกคลอดน้ำหนักตัวน้อย ทารกคลอดก่อนกำหนด และทารกเสียชีวิตในครรภ์

                              หาก เกิดภาวะ eclampsia คือ ครรภ์เป็นพิษชนิดที่รุนแรงมาก ๆ จะทำให้แม่และลูกเสี่ยงอันตราย ทำให้แม่เสียชีวิตได้ ส่วนทารกในครรภ์ ถ้าอายุครรภ์ใกล้คลอดเข้าสู่ไตรมาสที่ 3 เด็กอาจคลอดก่อนกำหนด กรณีที่อายุครรภ์ยังน้อยอาจต้องยุติการตั้งครรภ์ ถ้าครรภ์เป็นพิษรุนแรงนาน ๆ อาจทำให้ทารกเติบโตช้า ตัวเล็ก และขาดออกซิเจน

                              Must read >> ประสบการณ์จริง เมื่อฉัน ครรภ์เป็นพิษ!

                              Must read >> แม่แชร์ประสบการณ์! ครรภ์เป็นพิษเฉียบพลัน ต้องคลอดลูกที่ไม่มีลมหายใจ

                              Must read >> มาร์กี้แอดมิทเตรียมคลอดก่อนกำหนด! เหตุเสี่ยง “ภาวะครรภ์เป็นพิษ”

                               

                              ปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้แม่มี อาการครรภ์เป็นพิษ

                              1. ตั้งครรภ์ครั้งแรก หรือตั้งครรภ์หลังแต่เป็นครรภ์แรกกับสามีคนใหม่ เพราะมีงานวิจัยหลายชิ้นยืนยันว่า ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์ไม่บ่อยครั้งมีโอกาสครรภ์เป็นพิษมากกว่าผู้ที่มีเพศสัมพันธ์สม่ำเสมอ และเชื่อว่าครรภ์เป็นพิษอาจเกี่ยวข้องกับภูมิต้านทานเชื้ออสุจิ
                              2. ตั้งครรภ์ลูกแฝด / ครรภ์ไข่ปลาอุก
                              3. การตั้งครรภ์ที่เกิดจากการปฏิสนธินอกร่างกาย เช่น IVF
                              4. ตั้งครรภ์ที่อายุไม่เหมาะสม เช่น อายุมากกว่า 35 ปี หรือ อายุน้อยกว่า 20 ปี
                              5. อ้วนหรือน้ำหนักเกินมาตรฐาน
                              6. ครอบครัวเคยเกิดปัญหานี้ และคุณแม่เคยเกิดภาวะนี้เมื่อตั้งครรภ์ครั้งที่ผ่านมา
                              7. มีโรคประจำตัวอยู่เดิม เช่น ความดันสูง เบาหวาน โรคไต
                              8. ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะก่อนตั้งครรภ์
                              9. อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษ

                               

                              ลักษณะ อาการครรภ์เป็นพิษ

                              1. ปวดศีรษะ ตามัว
                              2. บวมตาม เท้ามือ ใบหน้า หรือน้ำหนักตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว
                              3. คลื่นไส้ อาเจียน
                              4. ปวดบริเวณใต้ลิ้นปี่
                              5. ถ้าเป็นชนิดรุนแรง อาจถึงขั้นมีน้ำคั่งในปอด มีเลือดออกในสมอง
                              6. ชัก
                              7. ลูกในท้องดิ้นน้อย ตัวเล็ก โตช้า

                              อาการครรภ์เป็นพิษ

                              Must read >> ครรภ์เป็นพิษ กับอาการสำคัญที่แม่ควรรู้! เพื่อรับมืออันตรายต่อตัวเองและลูกน้อย

                              อันตรายแค่ไหนถ้าเกิดครรภ์เป็นพิษ

                              1. ภาวะนี้จะกระทบกับการทำงานเกือบทุกส่วนของร่างกาย ทำให้เกิดความเสียหาย บกพร่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไต ตับ หัวใจ ระบบการแข็งตัวของเลือดเสียไป
                              2. ถ้ารุนแรงมาก ๆ เกิดการชักเลือดออกในสมอง
                              3. คลอดก่อนกำหนด เนื่องจากแพทย์จำเป็นต้องกระตุ้นให้คลอดเพื่อช่วยเหลือมารดา ทารกที่คลอดออกมามีปัญหาเรื่องการหายใจ และสุขภาพอื่น ๆ
                              4. รกลอกตัวก่อนกำหนด รกลอกจากโพรงมดลูกก่อนทารกคลอด มีเลือดออกอย่างมาก อันตรายทั้งแม่และลูก
                              5. HELLP เป็นกลุ่มอาการที่ทำให้เม็ดเลือดแดงแตก ค่าตับอักเสบสูงขึ้น ภาวะเกร็ดเลือดต่ำ ซึ่งรุนแรงมากเพราะเป็นสัญญานของความเสียหายของอวัยวะในหลาย ๆ ระบบ
                              6. ครรภ์เป็นพิษส่งผลเสียต่อแม่และลูก ถ้ารุนแรงมาก ๆ อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้

                              Must read >> แม่ท้อง ลูกตายได้ จากภาวะ ครรภ์เป็นพิษรุนแรง HELLP Syndrome

                              อาหารลด อาการครรภ์เป็นพิษ

                              มีงานวิจัยบางชิ้นสนับสนุนว่าสารอาหารที่มีแร่ธาตุหรือวิตามินต่อไปนี้จะช่วยลดการเกิด ภาวะครรภ์เป็นพิษ ได้ เช่น อาหารที่มีวิตามินซี วิตามินอี ซีลีเนียม วิตามินบี 6 แคลเซียม ธาตุสังกะสี  และโอเมก้า3 ซึ่งพบมากในผักใบเขียว นม ผลไม้สด ธัญพืช ถั่ว และอาหารทะเล

                              วิธีรักษาและป้องกันไม่ให้เกิด อาการครรภ์เป็นพิษ

                              การรักษาเบื้องต้น คือ ให้ยาลดความดัน และยากันชัก ซึ่งแม้ว่าปัจจุบันยังไม่มีวิธีการป้องกันการเกิดครรภ์เป็นพิษอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ก็มีการตรวจคัดกรองประเมินความเสี่ยงต่อภาวะครรภ์เป็นพิษซึ่งจะช่วยให้แพทย์สามารถพยากรณ์โรคและดูแลรักษาได้ตั้งแต่เริ่มเกิดภาวะนี้ ส่งผลต่อการรักษาที่มีประสิทธิภาพและลดภาวะแทรกซ้อนที่จะเกิดต่อทั้งมารดาและทารกได้ ซึ่ง อาการครรภ์เป็นพิษ เกิดเพราะมีการตั้งครรภ์ ดังนั้นวิธีดีที่สุดคือ “การคลอด” เท่านั้น (ยุติการตั้งครรภ์)

                              ทั้งนี้การจะให้คลอดหรือไม่นั้น คุณหมอจะพิจารณาจากอายุครรภ์เป็นหลัก หากอายุครรภ์น้อยเกินไปคุณหมอก็จะให้ยากระตุ้นปอดแล้วพิจารณาว่าสามารถประคับประคองให้อยู่ในครรภ์แม่ได้นานที่สุดกี่วัน แต่หากอายุครรภ์สามารถทำคลอดได้ คุณหมอจะผ่าคลอดหรือเร่งให้คลอดทางช่องคลอดเพื่อหยุดความรุนแรงของโรค

                              Must read >> เทคโนโลยีใหม่ ตรวจครรภ์เป็นพิษ รวดเร็ว แม่นยำ

                              การป้องกันครรภ์เป็นพิษด้วยตัวเอง

                              ถ้าแม่ท้องไม่อยากให้ตัวเองเกิดครรภ์เป็นพิษอย่างน้อย คือ ควรปรึกษาคุณหมอ ถ้าวางแผนที่จะมีลูกโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าว่าที่แม่ท้องอยู่ใน “กลุ่มเสี่ยง” และควรไปฝากท้องตั้งแต่เนิ่น ๆ และไปตรวจตามนัดทุกครั้ง สุดท้ายหมั่นสังเกตตัวเองให้ดีถ้ามีอาการผิดปกติ อย่านิ่งนอนใจให้รีบไปพบหมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าปวดหัว ปวดตรงลิ้นปี่ บวมตามขาและมือ ดังนั้นคุณแม่ตั้งครรภ์จึงไม่ควรละเลยและใส่ใจสังเกตตนเองอยู่เสมอ หากเกิดความผิดปกติแพทย์จะรักษาได้ทันท่วงที

                              อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิก :


                              ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก หนังสือคู่มือคุณแม่ตั้งครรภ์ โดยแพทย์หญิงชัญวลี ศรีสุโข , siamrath.co.thwww.bumrungrad.com

                              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                รายชื่อหมอเด็ก

                                10 รายชื่อหมอเด็ก ที่เชี่ยวชาญด้านกุมารแพทย์และเฉพาะทางโรคเด็ก ที่แม่บอกต่อ

                                “หมอเด็ก” หรือกุมารแพทย์ เป็นผู้เข้ามารับช่วงดูแลทารกแรกเกิดต่อจากคุณหมอสูติฯ ที่ทำคลอดคุณแม่ทันทีค่ะ โดยคุณหมอจะทำหน้าที่ตรวจสุขภาพทารกตั้งแต่แรกเกิด รวมถึงการให้วัคซีนตามตาราง สำหรับบางบ้านก็อาจจะให้ลูกได้มาตรวจสุขภาพและรักษาเมื่อป่วยกับคุณหมอคนเดิมเป็นประจำต่อเนื่อง แต่นอกจากการรักษาในเด็กเล็ก เด็กโต ยังรวมไปถึงการรักษาตามสาเหตุอาการที่เด็กป่วย นี่คือ รายชื่อหมอเด็ก ที่เชี่ยวชาญด้านกุมารแพทย์และเฉพาะทางโรคเด็ก ที่แม่ ๆ บอกต่อกันค่ะ

                                10 รายชื่อหมอเด็ก ที่เชี่ยวชาญด้านกุมารแพทย์และเฉพาะทางโรคเด็ก

                                นพ. กันย์ พงษ์สามารถ

                                1.นพ. กันย์ พงษ์สามารถ

                                คุณหมอเชี่ยวชาญด้าน กุมารเวชศาสตร์ – โรคภูมิแพ้ และ อิมมูโนวิทยา

                                อยู่ที่ : สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี

                                ตารางเวลาของแพทย์ :

                                วันจันทร์ 13.00 – 16.00 คลินิกโรคภูมิแพ้
                                วันอังคาร 13.00 – 16.00 คลินิกโรคภูมิแพ้
                                วันศุกร์ 13.00 – 16.00 คลินิกอายุรกรรมทั่วไป

                                นัดหมายคุณหมอ : www.childrenhospital.go.th

                                พญ. กนกแก้ว วีรวรรณ

                                2.พญ. กนกแก้ว วีรวรรณ

                                คุณหมอเชี่ยวชาญด้านกุมารแพทย์ทั่วไป  และเป็นหัวหน้าแผนกกุมารเวชศาสตร์

                                อยู่ที่ : โรงพยาบาลไทยนครินทร์

                                ตารางเวลาของแพทย์ :

                                วันจันทร์ 09:00-14:00 น.
                                วันอังคาร 09:00-14:00 น.
                                วันพฤหัส 09:00-14:00 น.
                                วันศุกร์ 09:00-14:00 น.

                                นัดหมายคุณหมอ : www.thainakarin.co.th

                                พญ.มธุรส ดีสวัสดิ์มงคล

                                3.พญ. มธุรส ดีสวัสดิ์มงคล

                                คุณหมอเชี่ยวชาญด้านกุมารเวชศาสตร์โรคติดเชื้อ

                                อยู่ที่ : โรงพยาบาลกรุงเทพ

                                ตารางเวลาของแพทย์ :

                                วันจันทร์ 07:00-12:00 น. / 13:00-14:45 น.
                                วันอังคาร 07:00-12:00 น. / 13:00-14:45 น.
                                วันพุธ 07:00-12:00 น. / 13:00-14:45 น.
                                วันพฤหัส 07:00-12:00 น. / 13:00-14:45 น.
                                วันศุกร์ 07:00-12:00 น. / 13:00-14:45 น.
                                วันเสาร์ 07:00-11:45 น.
                                วันอาทิตย์ 08:45-11:45 น.

                                นัดหมายคุณหมอ : www.bhqdoctors.bdms.co.th

                                นพ.วิชาญ บุญสวรรค์ส่ง

                                4.นพ.วิชาญ บุญสวรรค์ส่ง

                                คุณหมอเชี่ยวชาญด้านกุมารแพทย์ เฉพาะทาง ด้านโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน หากเจ้าตัวเล็กมีปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับอาการภูมิแพ้ หรือระบบภูมิคุ้มกันต่างๆ สามารถมาปรึกษาและรักษากับคุณหมอได้ค่ะ

                                อยู่ที่ : โรงพยาบาลวิภาราม

                                ตารางเวลาของแพทย์ :

                                วันจันทร์ 08.00 – 12.00 น.
                                วันอังคาร 08.00 – 20.00 น.
                                วันพุธ 08.00 –  20.00  น.
                                วันพฤหัสบดี 08.00 –  16.00  น.
                                วันศุกร์ 08.00 – 14.00 น.
                                วันเสาร์ 08.00 –  17.00  น.

                                นัดหมายคุณหมอ : www.vibharam.com

                                5.พญ. สุธีรา ฉัตรเพริดพราย

                                คุณหมอเชี่ยวชาญด้านกุมารเวชศาสตร์

                                อยู่ที่ : โรงพยาบาลบางปะกอก1

                                ตารางเวลาของแพทย์ : วันอังคาร 17:00 – 20:00 น.

                                นัดหมายคุณหมอ : www.bangpakok1.com

                                อ่านต่อ 10 รายชื่อหมอเด็กที่แม่บอกต่อ คลิกหน้า 2

                                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                 

                                  ลูกเป็นเริม

                                  ลูกเป็นเริม อันตรายจากการจูบของแม่

                                  เมื่อไม่นานมานี้มีข่าวน่าสะเทือนใจจากเว็บไซต์ต่างประเทศ The Sun พร้อมรูปภาพของเด็กทารกที่เป็นโรคเริมอย่างน่ากลัว แม่น้องเล็ก จึงอยากจะเตือนถึงอันตรายจากการจูบเด็กทารกแรกเกิดไปจนถึงเด็กเล็ก เพราะการจูบของแม่ อาจทำให้ ลูกเป็นเริม แม้ว่าจะจูบเพียงแค่ครั้งเดียว

                                  Continue reading “ลูกเป็นเริม อันตรายจากการจูบของแม่”

                                    โอรีโอชวนร่วมมหกรรมความสนุก ผ่านแคมเปญสุดครีเอทีฟ “ฉลองวันเกิดโอรีโอครบ 108 ปี” พร้อมแจกฟรี! คุกกี้โอรีโอกว่า 108,000 ชิ้น 

                                    กรุงเทพฯ – 6 มีนาคม 2563  – บริษัท มอนเดลีซ อินเตอร์เนชันแนล (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำด้าน
                                    ขนมและของว่างระดับโลก ชวนแฟนๆ โอรีโอชาวไทยมาร่วมเฉลิมฉลองมหกรรมความสนุกกับแคมเปญระดับภูมิภาค “ฉลองวันเกิดโอรีโอครบรอบ 108 ปี” ผ่านกิจกรรมทางการตลาดสุดสร้างสรรค์บนแพลตฟอร์มดิจิทัล พร้อมจับมือพันธมิตรผู้นำในธุรกิจอีคอมเมิร์ซ อย่าง Lazada / JD Central / Shopee แจกฟรี! คุกกี้โอรีโอจำนวนกว่า 108,000 ชิ้น พร้อมส่วนลดพิเศษมากมาย   ดีเดย์เฉพาะวันที่ 6-8 มีนาคม 2563 นี้

                                    โอรีโอ แบรนด์คุกกี้อันดับหนึ่งของโลก ที่ครองใจแฟนๆ ทุกเพศทุกวัยกว่า 41 ล้านคนทั่วโลก ที่กำลังจะมีอายุครบ 108 ปี ในวันที่ 6 มีนาคมนี้ จัดแคมเปญระดับภูมิภาคสุดยิ่งใหญ่ “ฉลองวันเกิดโอรีโอครบรอบ 108 ปี” ตอกย้ำคอนเซ็ปต์ ‘ชีวิตสนุกได้ในทุกวัน’ (Stay Playful) ชวนแฟนๆ ชาวไทยมาร่วมเฉลิมฉลองมหกรรมความสนุกในวันเกิดของโอรีโอ ผ่านกิจกรรมการตลาดดิจิทัล เซอร์ไพรส์แฟนๆ ด้วย Pop-up แบนเนอร์
                                    ที่จะทำให้ทุกคนลืม Cookies Alert Pop-up หรือ การเปิดใช้คุกกี้บนเว็บไซต์แบบเดิม ๆ พิเศษไปกว่านั้น
                                    Pop-up แบนเนอร์สุดน่ารักยังมาพร้อมโปรโมชั่นส่งเสริมการขาย แจกฟรี! คุกกี้โอรีโอกว่า 108,000 ชิ้น พร้อมส่วนลดแบบจัดเต็ม ซึ่งโอรีโอเตรียมปูพรมกระจายความสุขด้วยการจับมือกับ 50 เว็บไซต์ชั้นนำ ให้สาวกคุกกี้โอรีโอได้คร่วมสนุกง่ายๆ แค่ปลายนิ้ว เพียงคลิกไปที่ปุ่ม “กดรับ โปรโมชั่นโดนๆ กับ OREO ได้เลย!” บน Pop-up แบนเนอร์ ที่หน้าเว็บไซต์ ก็จะได้เปิดประสบการณ์ความอร่อยผ่านการสั่งซื้อทางออนไลน์กับ
                                    3 พันธมิตรอีคอมเมิร์ซชั้นนำ ได้แก่ Lazada / JD Central / Shopee เฉพาะวันที่ 6-8 มีนาคม 2563 นี้เท่านั้น! มาเปิดประสบการณ์ความอร่อยพร้อมเพิ่มช่วงเวลาแห่งความสนุกในทุกวันกับโอรีโอได้ทาง

                                    • Lazada: ทุกการสั่งซื้อ* รับฟรีคุกกี้ 1 แพ็ค ขนาดบรรจุ 3 ชิ้นและฟรีค่าขนส่ง จุใจกับส่วนลด
                                      คุกกี้โอรีโอสูงสุด 22% พิเศษ! สำหรับสำหรับลูกค้า 108 รายแรก รับส่วนลดเพิ่ม 50 บาท เมื่อซื้อสินค้าของบริษัท มอนเดลีซ อินเตอร์เนชันแนล (ประเทศไทย) จำกัด ครบ 250 บาท (ไม่รวมสินค้า 1 แถม 1) 
                                    • JD Central: ทุกการสั่งซื้อ* รับฟรีคุกกี้ มินิโอรีโอ 1 แพ็ค พิเศษ! ส่วนลดสูงสุด 30% กับ
                                      คุกกี้โอรีโอหลากหลายรสชาติ พบกับส่วนลด 1 แถม 1 สุดโดน! ของโอรีโอ และริทซ์ เวเฟอร์ โรล 
                                    • Shopee: ฟรีค่าจัดส่งทุกการสั่งซื้อ* โดนใจกับส่วนลดจากโอรีโอสูงสุด 22% พิเศษ! สำหรับสำหรับลูกค้า 108 รายแรก รับส่วนลดเพิ่ม 50 บาท เมื่อซื้อสินค้าของบริษัท มอนเดลีซ อินเตอร์เนชันแนล (ประเทศไทย) จำกัด ครบ 250 บาท (ไม่รวมสินค้า 1 แถม 1)

                                             * เมื่อซื้อสินค้าใดก็ได้ในร้านค้าของบริษัท มอนเดลีซ อินเตอร์เนชันแนล (ประเทศไทย) จำกัด 

                                    อย่าลืม! มาร่วมเฉลิมฉลองมหกรรมความสนุกและเปิดประสบการณ์ใหม่ให้ชีวิตสนุกได้ในทุกๆ วันกับโอรีโอ ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมพร้อมโปรโมชั่นสุดพิเศษอีกมากมายได้ทาง www.facebook.com/OREO

                                      Tags