5 ปีผ่านไปไวเหมือนโกหก น้องลิซซี่ “หมู ฉึกฉึก” โตเป็นสาวแล้ว!

เเจ้งเกิดเป็นที่รู้จักจากวลีเด็ด “หมูฉึก ๆ” ในโฆษณาเครื่องปรุงรสยี่ห้อดัง จนครองใจผู้ชมทั่วประเทศไปเมื่อ 5 ปีก่อน สำหรับ น้องลิซซี่ เฟลิเซีย ณัฐษณา บุทเชอร์  จนทำให้มีผลงานต่อเนื่องในวงการบันเทิงไม่น้อย ล่าสุดตอนนี้ น้องลิซซี่ มีอายุ 10 ขวบแล้ว เริ่มโตขึ้นเป็นสาวน้อยน่ารัก เเต่ก็ยังคงความสดใสสมวัยเหมือนเดิม เเถมยังฉายเเววสวยเเละน่ารักออกมาให้ได้เห็น เชื่อว่าคงจะมีหลายคนถ้าไม่บอกว่านี่คือลิซซี่ หมูฉึกๆก็คงจะจำไม่ได้อย่างเเน่นอน  ว่าเเล้วน้องลิซซี่ จะเปลี่ยนไปแค่ไหน? มาดูภาพล่าสุดของสาวน้อยคนนี้กันเลยค่ะ ขอบคุณภาพจาก : https://www.facebook.com/Felicia-Butcher-273599918077/timeline/

ทารกวัยขวบเศษคอหักรอดชีวิตปาฏิหาริย์! แพทย์ผ่าตัดเชื่อมคอให้สำเร็จ

ทารกน้อยรอดปาฏิหาริย์ แพทย์ช่วยผ่าตัดเชื่อมกระดูกคอได้สำเร็จ หลังประสบอุบัติเหตุจนคอหัก เป็นเหตุการณ์ที่ทำเอาคนเป็นแม่แทบใจสลาย เมื่อได้เห็นลูกน้อยวัยหัดเดินได้รับบาดเจ็บ คอหักจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ซึ่งมีโอกาสน้อยเหลือเกินที่จะรอดชีวิต แต่แล้วปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้นในที่สุด เมื่อทีมแพทย์จากโรงพยาบาลบริสเบนในออสเตรเลีย สามารถช่วยเหลือเด็กน้อยรายนี้ให้มีโอกาสกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติอีกครั้ง โดยจากรายงานของ เว็บไซต์นิวยอร์กเดลี่นิวส์ เปิดเผยว่า เด็กน้อยดวงแข็งรายนี้มีชื่อว่า แจ็คสัน เทย์เลอร์ วัย 16 เดือน ซึ่งรอดชีวิตจากอุบัติเหตุรถยนต์มาได้อย่างน่าอัศจรรย์ หลังจากรถที่แม่ของเขาขับชนเข้ากับรถคันอื่น แม่ของแจ็คสันเผยว่า หลังจากที่เกิดเหตุเธอได้พยายามช่วยเหลือลูกชายออกจากรถ แต่ในวินาทีที่ดึงร่างของเขาออกมาเธอก็รู้ได้ทันทีว่าคอของลูกหักเสียแล้ว จากนั้นเด็กน้อยได้ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลบริสเบนอย่างเร่งด่วน โดยแพทย์ผู้รับผิดชอบการรักษาหนูน้อยรายนี้ก็คือ เจฟฟ์ แอสกิน ศัลยแพทย์กระดูกสันหลัง ผู้ได้รับการขนานนามว่าเป็นเจ้าพ่อแห่งการผ่าตัดกระดูกนั่นเอง โดยแพทย์วินิจฉัยว่ากระดูกสันหลังของแจ็คสันเคลื่อนหลุดจากด้านใน ทำให้กระดูกส่วนศีรษะหลุดออกจากส่วนคอ แต่นับว่าเคราะห์ดีทีไขสันหลังไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างใด หลังจากการผ่าตัดร่วม 6 ชั่วโมง ในที่สุดแพทย์ก็ประสบความสำเร็จเชื่อมต่อกระดูกของหนูน้อยเข้าใหม่อีกครั้ง คาดว่าหลังจากใส่อุปกรณ์ช่วยค้ำพยุงส่วนศีรษะอีก 8 สัปดาห์ แจ็คสันก็จะสามารถฟื้นตัวได้อย่างสมบูรณ์ ทั้งนี้กรณีของแจ็คสันนับว่าเป็นเรื่องปาฏิหาริย์ เพราะแพทย์ชี้ว่า เด็กส่วนมากที่มีการบาดเจ็บในลักษณะนี้มักจะเสียชีวิต และหากรอดมาได้ก็อาจจะไม่สามารถเคลื่อนไหวหรือหายใจได้อีก   ขอบคุณข้อมูลข่าวจาก : http://hilight.kapook.com/view/127537 ภาพและคลิปวีดีโอจาก :  7 News Melbourne, คุณ nollygrio สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม

ชาวเน็ตจีนแห่ชื่นชม! พยาบาลใจดีให้ทารกดื่มนมตนเองในห้องผ่าตัด

เรียกได้ว่าเป็นภาพอันน่าประทับใจที่ถูกพูดถึงกันอย่างมาก ซึ่งถูกถ่ายขึ้นในโรงพยาบาลเมืองเซินเจิ้น ประเทศจีน โดยเผยให้เห็นภาพของพยาบาลรายหนึ่งที่กำลังให้ทารกน้อยที่ต้องเตรียมเข้ารับการผ่าตัด ดื่มนมจากอกของตนเองได้ ทั้งนี้เนื่องจากว่าทารกน้อยงอแงจึงทำให้การเตรียมผ่าตัดเป็นไปด้วยความลำบาก  ซึ่งไม่ว่าจะด้วยหน้าที่หรือด้วยสัญชาติญาณก็ตามแต่ พยาบาลรายนี้นามว่า ลี่เบาเซีย จึงได้อุ้มทารกน้อยมาอยู่อ้อมอกพร้อมกับปลอบโยนเพื่อให้หยุดร้องไห้ พร้อมกันนี้เธอยังได้ให้ทารกดื่มนมจากอกของเธอเอง ซึ่งวิธีนี้ก็ทำให้ทารกน้อยสงบลง และคลายความหวาดกลัวจากการผ่าตัด จนกระทั่งการผ่าตัดประสบผลสำเร็จไปได้ด้วยดี เมื่อการผ่าตัดมีผลสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ทางคุณพ่อของทารกน้อยรายนี้ก็ได้ขอพบกับพยาบาลที่ปลอบโยนลูกของเขาพร้อมกับแสดงคำขอบคุณที่พยาบาลได้ดูแลลูกของเขาเป็นอย่างดี รวมถึงยังขอบคุณคุณหมอและเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ทำให้การผ่าตัดผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ทำให้ภาพที่เผยแพร่ออกมานั้นได้รับคำชมจากชาวเน็ตกันอย่างล้นหลาม ถึงความมีน้ำใจของเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์เหล่านี้ พร้อมกับบอกว่านี่คือความภาคภูมิใจของวงการแพทย์จีน เรียกได้ว่าน้ำใจของเพื่อนมนุษย์ที่มีต่อกันนั้นไม่เสื่อมคลายไปเลยจริงๆ ซึ่งก็มีเรื่องราวที่น่าประทับใจในโรงพยาบาลอีกหลายเรื่องราว เป็นการทำให้ผู้ป่วยไว้วางใจได้ว่าการบริการทางการแพทย์นั้น เข้าอกเข้าใจผู้ป่วยได้อย่างแท้จริง ขอบคุณข้อมูลข่าวและภาพจาก : www.guchill.com

แต่อ่านเล่นๆ ยังอ่านน้อยลง

หากทั้งโรงเรียนและบ้านส่งเสริมและให้เวลาเด็กๆ ทุกวัยได้เพลิดเพลิน มีความสุขกับหนังสือที่พวกเขาพอใจหรือเลือกอ่านเองแล้ว จะช่วยให้เด็กๆ ค้นพบพลังและความรื่นรมย์ของการอ่าน

ทำไมพี่วัย 4 ขวบ ชอบแกล้งน้องอยู่เรื่อย

“น้องภูเล่นกับน้องแรงๆ เพราะต้องการได้รับความสนใจต่างหากไม่ได้ดื้อ พอคุณพ่อคุณแม่เปลี่ยนจากจับตาแต่ตอนแกล้งน้อง เล่นแรง มาสนใจมองตอนน้องภูเล่นดีๆ การเล่นแรง แกล้งน้องก็ลดลงไปจนแทบไม่มีแล้ว”

เปิดใจ”พนักงานเก็บขยะ” ปลื้ม!ลูกสวมครุยกราบเท้า

จากกระแสโลกออนไลน์ที่มีการแชร์ภาพ และข้อความจากเฟซบุ๊กของ Klanarong Srisakul ซึ่งเป็นภาพของบัณฑิตใหม่ป้ายแดง จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยคนหนึ่ง ขณะก้มลงกราบเท้าพ่อ ที่ทำงานเป็นพนังงานขับรถขนขยะ … พร้อมระบุข้อความในใจว่าด้วยเรื่องของพ่อ โดยบัณฑิตคนดังกล่าวได้พูดถึง “พ่อ” ที่ทำงานเป็นพนังงานขับรถขนขยะ ว่าในสมัยเด็กนั้นตนอายที่พ่อทำงานนี้ แต่พอโตขึ้นพ่อได้พยายามส่งเสียให้เรียนจน ทำให้ลูกคนเก็บขยะคนนี้ มายืนตรงนี้ได้ พร้อมเล่าเรื่องราวสุดประทับใจ และทิ้งท้ายว่า “ขอบคุณที่มีพ่อเป็นพ่อ ขอบคุณที่สนับสนุนทุกอย่าง ขอบคุณที่เหนื่อยไปด้วยกัน ร้องไห้ด้วยกัน ซึมไปด้วยกัน วันนี้ก็อยากให้พ่อมีความสุขกับความสำเร็จ ที่เราเหนื่อยมาด้วยกัน ขอบคุณจริงๆ ลูกคนเก็บขยะคนนี้ทำให้พ่อของมันภูมิใจได้แล้ว พ่อไม่ต้องอายอะไรใครทั้งนั้น เพราะพ่อคือ พ่อคนดีที่หนึ่ง ไม่แพ้ใคร แม็กภูมิใจ” ภายหลังภาพดังกล่าว และเรื่องราวสุดประทับใจนี้ ได้ถูกเผยแพร่และมีการแชร์ต่อกันเป็นจำนวนมาก จนเกิดเป็นกระแสแสดงชื่นชมในความรักของพ่อลูกคู่นี้ ซึ่งผู้เป็นพ่อ ได้เปิดใจเล่าให้ฟังว่า หลังจากลูกชายไปรับชุดครุย ได้โทรศัพท์มาถามว่า ตนเลิกงานเวลาใด จากนั้นก็มาหาตน พร้อมกับก้มลงกราบเท้าหน้ารถถังขยะ “วันนั้นผมตกใจมาก ที่เห็นลูกทำแบบนั้น รู้สึกดีใจและภูมิใจจนพูดไม่ถูก ผมร้องไห้ เขาก็ร้องไห้ ตอนเด็กๆ เขาเคยถามผมว่า ทำไมผมไม่เป็นทหาร เป็นตำรวจแต่งตัวดีๆ ผมบอกว่าผมจบแค่ ป.4 ไม่มีความรู้ทำงานแบบนั้นไม่ได้ ผมสอนเขาเสมอให้ตั้งใจเรียนให้สูงๆ จะได้เป็นเจ้าคนนายคน […]

[Blogger พ่อเอก-60] ปูนปั้นกับเพื่อนบนกำแพง .. เปลี่ยนความกลัวเป็นโอกาสเรียนรู้

เราได้ยินเสมอๆที่กับประโยคที่คุณพ่อ คุณแม่ หรือ อาจจะเป็นปู่ย่าตายายที่มักใช้หลอกเจ้าตัวเล็ก (ถ้าใช้คำตรงๆ คงใช้คำว่า ขู่ น่าจะถูกต้องกว่า) ประมาณว่า ถ้าไม่ทำโน่นทำนี่แล้วจะมีตัวนั้นตัวนี้มาทำอะไรกับเจ้าตัวเล็ก เช่นถ้าไม่รีบนอนจะเรียกตุ๊กแกมากินตับ (เขาขู่กันอย่างนี้ใช่มั้ยฮะ) หรือ ถ้าไม่กินข้าวเดี๋ยวจะเรียกตำรวจมาจับไปเลยนะเป็นต้น สำหรับครอบครัวเราแล้ว เราพยายามหลีกเลี่ยงการขู่เด็กในลักษณะนี้ฮะ เพราะจะเป็นการสร้างให้เด็กเกิดความกลัวที่ผิดๆ เกิดมุมมองที่ผิดเข้าไปในความคิดยกตัวอย่างหนึ่งใกล้ๆตัวของครอบครัวเรา (และครอบครัวคุณพ่อคุณแม่ที่แวะมาอ่านก็คงเจอเหมือนกัน) คือ เจ้าปูนปั้นเคยรู้สึกกลัวจิ้งจกโดยที่เราเองไม่รู้มาก่อน แล้วมีอยู่วันหนึ่ง หลังกลับมาจากโรงเรียนเจ้าปูนปั้นเห็นจิ้งจกเกาะอยู่เหนือประตูเข้าบ้าน จึงทำท่าจะไม่ยอมเข้าบ้าน บอกว่า “ปูนปั้นกลัวอะ” ต้องเรียกให้คุณยายมาพาเข้าบ้าน ปัญหาคือบ้านเราก็จิ้งจกเยอะเสียด้วย บางทีแปรงฟันอยู่ก็เจอจิ้งจกในห้องน้ำ เจ้าปูนปั้นก็จะทำท่าวิตกกังวลแล้วมีอยู่ช่วงหนึ่ง คุณยายก็เลยเผลอใช้จิ้งจกเป็นเครื่องมือในการจัดการเจ้าตัวป่วน เช่น ไม่ไปอาบน้ำเดี๋ยวจิ้งจกมานะ หรือ ไม่กินนมเดี๋ยวเอาจิ้งจกมาเลย เป็นต้น หม่าม๊าและปะป๊าก็รู้สึกว่าการจะปล่อยให้เขากลัวอะไร อย่างนี้ไม่น่าจะดี หม่าม๊าเลยเป็นคนบอกคุณยายว่าอย่าไปหลอกเจ้าปูนปั้นให้กลัวเรื่องพวกนี้ แล้วปะป๊า หม่าม๊า ก็สอนปูนปั้นให้รู้ว่า ‘จิ้งจกไม่ใช่สัตว์อันตรายอะไร จิ้งจกไม่ทำร้ายเรา และจิ้งจกก็มีประโยชน์ด้วย เพราะจิ้งจกจะมาคอยกินแมลงที่บินไปบินมา’ และเราก็อธิบายให้เขาฟังเรื่อยๆ ทุกครั้งที่ปูนปั้นเจอเจ้าจิ้งจกและทำท่าไม่ค่อยจะถูกใจเท่าไหร่ สิ่งที่เปลี่ยนไปทั้งที่ใช้เวลาไม่นานคือ ‘เจ้าปูนปั้นเริ่มถามถึงจิ้งจกในวันที่ไม่เจอเจ้าจิ้งจก’ยกตัวอย่าง เวลาแปรงฟันก่อนเข้านอนเจ้าปูนปั้นก็จะถาม “ปะป๊า จิ้งจกไปไหน” เราก็จะบอกว่า “จิ้งจกเขาก็ต้องกลับบ้านเหมือนกัน […]

4 เมนูกล้วยๆ ทำเองง่าย ลูกน้อยได้ประโยชน์

การให้ลูกรับประทานกล้วยเป็นประจำทุกวัน จะช่วยให้ไม่ท้องผูก แต่กล้วยแบบเดิมๆ อาจทำให้ลูกเบื่อ เพราะความซ้ำซากจำเจ แม่น้องเล็กจึงมี เมนูกล้วยๆ ทำเองง่าย มาฝาก

ปัญหาฝ้ากระ จุดด่างดำหลังคลอด

ฝ้า กระ รอยดำคนที่ยังไม่เป็น หรือเป็นแล้ว ก็ควรป้องกันไม่ให้เป็นมากขึ้นด้วยการหลีกเลี่ยงแสงแดดจัด ทาครีมกันแดดทุกครั้งก่อนออกจากบ้านและเลือกครีมกันแดดควรจะเลือกที่มี SPF และก็ PA อยู่ในหลอดเดียวกันด้วย

อุทาหรณ์ เกือบเสียลูกรักเพราะลูกไม่ยอมเคี้ยว

มีประสบการณ์หนึ่งจากคุณแม่ ที่โพสต์เล่าเหตุการณ์เอาไว้เป็นอุทาหรณ์ เมื่อลูกรักของคุณแม่ รับประทานมะม่วงเข้าไปแต่ ไม่ยอมเคี้ยว ซึ่งปกติคุณแม่จะหั่นผลไม้ให้ลูกน้อยหยิบรับประทานเองเป็นชิ้นเล็กๆ ลูกน้อยฟันขึ้น 10 ซี่แล้ว จึงสามารถเคี้ยวได้ แต่ปัญหาคือลูกน้อยไม่ชอบเคี้ยว

สุดเศร้า! ทารกมีชีวิตอยู่ได้แค่ 100 นาที พ่อแม่บริจาคอวัยวะเพื่อต่อชีวิตให้ผู้ป่วยคนอื่น

เว็บไซต์มิร์เรอร์ของอังกฤษเผยแพร่เรื่องราวอันน่าเศร้าสลดใจของสามีภรรยาคู่หนึ่ง “เจส อีแวนส์ และ ไมค์ โฮลสตัน” ที่ต้องสูญเสีย “เทดดี้” ลูกน้อยที่เพิ่งจะลืมตาออกมาดูโลกได้เพียงไม่ถึง 2 ชั่วโมงเท่านั้นไป เนื่องด้วยเกิดมาพร้อมกับสภาวะที่เรียกว่า “อเนนเซฟาลี” หรือสภาวะไร้สมองใหญ่ ทำให้ทั้งสมองและหัวกะโหลกไม่สามารถเจริญเติบโตได้ ถือเป็นความผิดปกติที่หายาก ในช่วงที่เจสท้องลูกฝาแฝด 2 คน ซึ่งก็คือเท็ดดี้และพี่ชายชื่อโนอาห์ ได้ 12 สัปดาห์ แพทย์ก็มาแจ้งข่าวร้ายให้ทราบว่าเทดดี้เป็นภาวะไร้สมองใหญ่ เธอและสามีจะมีเวลาอยู่กับลูกได้อีกไม่นาน ฉะนั้นแล้ว ไม่ถึง 2 ชั่วโมงหลังจากที่เทดดี้คลอดออกมา เจสและไมค์จึงตัดสินใจที่จะทำให้ช่วงเวลาอันสั้นกลายเป็นความทรงจำที่มีค่าและพิเศษที่สุด ด้วยการบริจาคอวัยวะของลูกให้กับทางการแพทย์ เพื่อที่จะได้นำไปใช้ต่อชีวิตเพื่อนมนุษย์คนอื่นๆอีกต่อไป ซึ่งถือเป็นการตัดสินใจที่กล้าหาญมาก ทำให้แม้ครั้งนี้คู่สามีภรรยาจะสูญเสียลูกชายไป แต่นั่นก็ไม่ใช่ความสูญเปล่า ทั้งหมดนี้ทำให้เทดดี้ได้ชื่อว่าเป็นผู้บริจาคอวัยวะที่อายุน้อยที่สุดในอังกฤษ และทางครอบครัวยังได้ได้รับใบประกาศเกียรติคุณในพิธี “Pride of Britain” (ความภาคภูมิใจแห่งอังกฤษ) ของหนังสือพิมพ์เดลีมิร์เรอร์อีกด้วย ท่ามกลางน้ำตาแห่งความซาบซึ้งของบรรดาคนที่มาร่วมงาน “เป็นเวลาที่สั้นๆเพียง 100 นาทีที่ลูกมีชีวิตอยู่กับเรา แต่มันก็เป็นช่วงเวลาที่มีค่าที่สุด มันผ่านไปเร็วมาก” เจสกล่าว ที่มา : Mirror ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก : www.khaosod.co.th

[Blogger พ่อเอก-59] คุณพ่อนักเล่ากับเจ้าปูนปั้นนักฝัน

ผมคิดไว้ตั้งแต่สมัยยังไม่มีแฟนเสียด้วยซ้ำ ว่าอยากเป็นคุณพ่อที่แต่งนิทานของตัวเองมาเล่าให้ลูกฟังทุกคืน ผมว่าช่วงเวลาที่เราได้เล่าเรื่องราวต่างๆ แล้วเห็นเจ้าตัวเล็กทำตาโต มองมาด้วยความทึ่งและสนุกสนาน มันเป็นความรู้สึกที่ดีมากทีเดียว แม้ตอนนี้ผมจะเป็นคุณพ่อของเจ้าปูนปั้นที่วัยใกล้ 3 ขวบและมีโอกาสได้เล่านิทานก่อนนอนให้ปูนปั้นฟังเสมอๆ แต่จนแล้วจนรอด ผมก็ยังไม่มีนิทานแต่งเองสักเรื่องมาเล่าให้เจ้าตัวป่วนฟัง มีคุณพ่อคุณแม่ท่านไหนเป็นเหมือนผมมั้ยฮะ ที่อยากเป็นนักเล่านิทาน (แต่งเอง) ให้ลูกฟัง แม้ผมจะยังไม่มีนิทานแต่งเองให้ลูกฟังสักเรื่อง ผมก็มีทางออกให้ตัวเอง (และคุณพ่อคุณแม่ท่านอื่นๆที่อยากเป็นแบบผม) มานำเสนอฮะ เราไม่ต้องเล่านิทานแต่เราก็เป็นนักเล่าเรื่องได้ คำถามหนึ่งที่ผมมักจะถูกถามอยู่เสมอคือ “คาดหวังอะไรจากลูก เมื่อเขาโตขึ้น” ผมเคยตอบไปว่า “ผมไม่คาดหวังอะไรจากเขาเลย” ในการเสวนาครั้งหนึ่ง ท่านผู้ใหญ่ที่ร่วมเป็นแขกในงานนั้นก็เสริมขึ้นมาว่า “ไม่คาดหวังเลยก็คงไม่ดี เพราะความคาดหวัง ทำให้เราพยายามสอนลูกให้ดี แต่อย่าให้ความคาดหวังไปกดดันลูก อย่าเอาความฝันเราไปยัดเยียดให้ลูก” ผมยอมรับว่าคำแนะนำนั้นถูกต้อง เพราะจริงๆคำว่าไม่คาดหวัง คือ ผม ‘ไม่คาดหวัง’ ว่าเจ้าปูนปั้นจะต้องโตไปเป็นอะไร แต่ ‘ผมคาดหวัง’ให้ปูนปั้นได้ประกอบอาชีพที่เขาอยากทำ เพื่อที่ว่าเขาจะทำมันให้ได้ดี และเขาจะอยู่กับมันอย่างมีความสุข ดังนั้นผมจึงเลือกที่จะเป็นคุณพ่อที่ทำหน้าที่เป็นผู้แนะแนวทางมากกว่ากำหนดเส้นทาง ซึ่งวิธีที่ดีวิธีหนึ่งก็คือ การเป็นคุณพ่อนักเล่าเรื่องอาชีพต่างๆ ให้ลูกฟัง (เข้าเรื่องจนได้ว่า ทำไมผมจึงได้เป็นนักเล่าอย่างใจหวัง) เวลาปูนปั้นไปพบเจอใครใหม่ๆ แทนที่เราจะเพียงแนะนำว่านั่นคือใคร ทำอาชีพอะไรแล้วจบ ซึ่งแค่นั้นปูนปั้นซึ่งยังตัวกะเปี๊ยกก็คงไม่เข้าใจหรอกว่า อาชีพซึ่งในวัยของปูนปั้นยังไม่ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยทำหน้าที่อะไร สถาปนิกคืออะไร ตำรวจคือใคร […]

อาหารที่อร่อยที่สุดในโลก

การทำอาหารที่รู้ใจลูกที่สุด ไม่ได้แปลว่าต้องตามใจหรือยอมให้ลูกนั้นกลายเป็นคนเลือกกินนะคะ

[Blogger พญ.พิชญา ตันธนวิกรัย] พ่อแม่อย่าหวังแค่ ‘แก้ปัญหาเฉพาะหน้า’!

คำสัญญา ของรางวัล และการติดสินบน พ่อแม่อย่าหวังแค่ ‘แก้ปัญหาเฉพาะหน้า’! วันก่อน หมอตรวจเคสเด็กผู้ชายคนนึงอายุ 4 ปี ค่ะ ตอนที่ตรวจเสร็จและคุณยายกำลังจะชวนเด็กออกนอกห้อง อยู่ๆเด็กคนนั้นก็ลุกขึ้นร้องโวยวายเป็นการใหญ่ว่า “จะเอาตังค์ จะเอาตังค์ที่หมอ!!!” หืมม….แปลกใช่มั้ยคะ หมอเองก็ตกใจมาก ที่อยู่ๆก็ถูกเด็กตัวเล็กๆขู่กรรโชกทรัพย์ (??) เอาแบบนี้ แต่พอถามถึงที่มาที่ไปถึงได้เข้าใจ ว่าที่แท้คุณยายไปให้สัญญากับเด็กไว้ ตอนที่เด็กเริ่มโยเยอยู่หน้าห้อง ไม่ยอมรอคิวตรวจ โดยบอกว่า “ถ้ายอมเป็นเด็กดี เดี๋ยวหมอจะให้เงินไปซื้อไอติม” แหม…สัญญาลอยๆแบบนี้ เด็กๆจำแม่นนักล่ะค่ะ แต่ถ้าเราให้สัญญาที่ไม่ได้ตั้งใจจะรักษากันบ่อยๆ นอกจากจะมีปัญหาเอาตอนที่เด็กทวงแล้ว จะกลายเป็นว่าคำพูดเราจะไม่ศักดิ์สิทธิ์นะคะ หมอเข้าใจค่ะว่าเรื่องแบบนี้มีกันบ่อยๆ และถ้าจะดูกันให้ลึกถึงสาเหตุของปัญหา เราจะเห็นว่า ที่มาของคำสัญญาเหล่านั้นมักมาจากความพยายามแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เมื่อเด็กๆโยเยหรือทำพฤติกรรมไม่น่ารักนั่นเองค่ะ ซึ่งความร้อนใจที่จะเอาของมาล่อ มา “ติดสินบน” เด็กให้หยุดโยเยตอนที่ปัญหามันเกิดขึ้นแล้วนั้น จะเปิดช่องให้เด็กเอาพฤติกรรมไม่ดีมาต่อรองกับเรา.. กลายเป็นว่าเราจะต้องยอมเสนอโน่นนี่จนกว่าเด็กจะพอใจ เรียกว่าสถานการณ์เป็นรองเด็กไปโดยปริยาย แต่ความจริงเรื่องนี้ป้องกันได้นะคะ แค่ต้องอาศัยการวางแผน และมองให้ไกลกว่าเด็กหนึ่งก้าวเสมอค่ะ เช่น ตื่นเช้ามาเราก็นึกไว้ก่อนเลยว่า เดี๋ยวจะต้องไปทำอะไร แล้วเจ้าตัวเล็กอาจจะก่อเรื่องอะไรได้บ้าง จากนั้นก็นั่งคุยกับเขาก่อนเพื่อสร้างข้อตกลงกันไว้ (“วันนี้แม่จะพาหนูไปซื้อของ แม่อยากให้หนูคอยเดินอยู่ข้างๆ คอยเป็นผู้ช่วย ไม่วิ่งออกห่างจากแม่และไม่ส่งเสียงดังรบกวนคนอื่น.. […]

[Blogger พญ.พิชญา ตันธนวิกรัย] จะชมลูกทั้งทีต้องมี ‘เทคนิค’ ชมยังไงให้เขามีแรงใจทำเรื่องดีๆ ยิ่งขึ้น!?

  คราวก่อนหมอเล่าถึงการใช้คำชมเพื่อช่วยเสริมพฤติกรรมดีๆให้กับเด็ก มาวันนี้หมอก็คิดว่าจะขอลงรายละเอียดอีกซักหน่อย เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่ใช้เทคนิคการชมอย่างถูกวิธีค่ะ เพราะการให้คำชมนี่ก็มีเทคนิคการใช้และข้อควรระวังที่น่าสนใจมากนะคะ หลักการง่ายๆของการให้คำชมก็คือ ชมไปตามพฤติกรรมที่เกิดขึ้นจริงของเด็ก ด้วยความจริงใจของคนชมค่ะ นั่นคือถ้าเรา เห็นเด็กทำเรื่องดีๆอะไร เห็นเด็กมีข้อดีอะไร แล้วเรารู้สึกยังไง เราก็อธิบายไปให้ชัดเจนตามนั้นเลยค่ะ เช่น “น้องดรีมช่วยแม่ถือของด้วย มีน้ำใจจังค่ะ แม่ดีใจจัง” สังเกตดูนะคะ..  เราจะระบุชัดเลยว่า   เราชมเรื่องอะไร — (พฤติกรรมดีๆคือ “ช่วยแม่ถือของ”) เราเห็นเด็กมีข้อดีอะไร – (ข้อดีของเด็กคือ “มีน้ำใจ”) แถมท้ายด้วย         คนชมรู้สึกยังไง – (ความรู้สึกของคนชมคือ “ดีใจ”)   การชมแบบมีรายละเอียดแบบนี้ เราจะเป็นเหมือนกระจก สะท้อนภาพดีๆของเด็กให้เขาเห็น ให้เขารู้ว่าสิ่งดีที่เขาทำมีคนมองเห็นและชื่นชม เพื่อให้เขาเกิดความภูมิใจในตนเองและมีกำลังใจทำเรื่องดีๆต่อไปค่ะ จะเห็นได้ว่าการชมแบบมีรายละเอียดนี้จะต่างกันมากนะคะกับคำชมประเภทที่ชมไปลอยๆ หรือคำชมที่โอเว่อร์เกินจริง อย่าง “เก่งที่สุดเลย ดีที่หนึ่งเลย” เพราะการให้คำชมกว้างๆ นี้ ถ้าใช้บ่อยเกินไป ก็สร้างผลข้างเคียงได้หลายอย่างค่ะ เช่น เด็กเล็กๆก็อาจจะหลงไปกับคำชม เด็กที่โตหน่อยก็อาจจะไม่รู้สึกดี มองว่าเราพูดเกินจริง หรือดีไม่ดีก็อาจจะไปสร้างแรงกดดันให้เด็กโดยที่เราไม่รู้ตัวก็ได้ค่ะ คำชมแบบมีรายละเอียดที่หมอแนะนำ ถ้าฝึกบ่อยๆจะรู้ว่าใช้ไม่ยากค่ะ […]

10 เรื่องน่ารักๆ ของ ‘บรู๊คลิน เบคแฮม’ ที่จะทำให้อ่านไปยิ้มไป

‘บรู๊คลิน เบคแฮม’ ลูกชายคนโตของอดีตนักบอลสุดหล่อ ‘เดวิด เบคแฮม’ และนางแบบสาวสวย ‘วิคตอเรีย เบคแฮม’ ที่ตอนนี้กำลังโตเป็นหนุ่มฮอต เรียกได้ว่าหน้าตาหล่อเหลาจนสาวๆ ทั่วโลกกรี๊ดลั่นสมัครเป็นแฟนคลับกันเป็นแถวๆ เราจึงขอนำเรื่องราวน่ารักๆ 10 ข้อ ที่เกี่ยวกับชีวิตของบรู๊คลิน มาฝากค่ะ รับรองว่าถ้าได้อ่านพร้อมชมภาพน่ารักๆของหนุ่ม บรู๊คลิน เบคแฮม แล้วต้องตกหลุมรักเขาและครอบครัวของเขาเป็นแน่ 1. ที่มาของชื่อ ‘บรู๊คลิน‘ คือ วิกตอเรียแม่ของเขาได้ไปทัวร์คอนเสิร์ตที่เมืองบรูคลิน และในขณะเดียวกันก็กำลังตั้งท้องบรูคลินด้วย 2. เดทครั้งแรกของบรู๊คลิน คือตอนอายุ 14 ปี ซึ่งได้ไปดินเนอร์ที่ร้านซูชิ ในวันวาเลนไทน์ ในการไปเดทครั้งนั้น ‘วิคตอเรีย’ แม่ของเขา ได้บอกให้คุณพ่อสุดหล่อ ‘เบคแฮม’ ให้ไปส่ง ‘บรูคลิน’ ที่ร้าน และนั่งอยู่ในร้านนั้นเพื่อดูลูกด้วย ถ้าไม่ทำตามที่เธอขอ เธอจะไม่ยอมให้ลูกไป 3. บรู๊คลินเป็นแฟนคลับตัวยงของพ่อ เขาไปเชียร์ ‘เดวิด แบ็คแฮม’ ในทุกแมชการแข่งขัน 4. บรู๊คลินทำงานพาร์ทไทม์ ถึงแม้พ่อและแม่ของเขาจะมีรายได้มากมาย แต่เพราะไม่อยากให้ลูกใช้ชีวิตฟุ่มเฟือย เขาจึงบอกลูกว่า ‘หากลูกอยากได้อะไร ลูกก็ควรจะลองทำงานเพื่อเก็บเงิน และใช้จ่ายด้วยเงินของตัวเองดู” บรู๊คลินจึงไปทำงานพาร์ทไทม์เป็นเด็กเสิร์ฟที่ร้านกาแฟในกรุงลอนดอน […]

น่าสงสาร! หนูน้อยเกิดมามีสมองผิดรูป ต้องพึ่งปาฏิหาริย์ให้มีชีวิตยืนยาว

เว็บไซต์เมโทรของอังกฤษเผยแพร่ภาพของ “เจสัน” เด็กชายตัวน้อยที่เกิดมาพร้อมกับอาการ “ไมโครไฮดราเนนซ์ฟาลีย์” หรือภาวะสมองเจริญเติบโตผิดรูปผิดร่าง … ส่งผลให้ศีรษะของเขามีลักษณะไม่เหมือนคนอื่น มีขนาดเล็กไม่สมดุลกับตัว แต่ถึงกระนั้นแล้วก็ไม่ได้ทำให้เด็กชายคนนี้น่ารักน้อยลงไปกว่าเดิมเลยสักนิด ซึ่งผู้เป็นพ่อแม่ ได้เผยแพร่เรื่องราวของลูกชายหัวแก้วหัวแหวน โดยกล่าวว่าเจสันต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา จะคลาดสายตาไม่ได้ เนื่องจากมีพัฒนาการที่ช้ามาก แต่อย่างไรก็ตาม เจสันกลับทำในสิ่งที่แม้แต่แพทย์เองยังคาดไม่ถึง นั่นคือมีชีวิตอยู่ได้จนถึงวันเกิดครบรอบ 1 ปี “ความพยายามและความแข็งแรงของลูกเป็นตัวบ่งชี้ว่าทำไมเราถึงเรียกเรื่องราวของเขาว่าเจสัน สตรอง” ครอบครัวของเจสันกล่าว และว่า “ในท้ายที่สุดแล้ว เจสันจะต้องพึ่งปาฏิหาริย์ในการมีชีวิตยืนยาว เรายังคงพยายามขอทั้งพรและความช่วยเหลือจากเพื่อนมนุษย์” ทั้งนี้ผู้เป็นแม่ต้องยอมลาออกจากงานเพื่อมาดูแลลูกชายอย่างเต็มเวลา ในขณะที่สมาชิกคนอื่นๆในครอบครัวตั้งกระทู้ขอรับบริจาคเงินบนเว็บไซต์ GoFundMe.comเพื่อนำไปเป็นค่าใช้จ่ายในการดูแลเจสัน “เรื่องของเจสันยังคงแพร่ไปทั่วโลก คือเราไม่เคยคิดฝันมาก่อนเลย เราคงพูดได้แค่ว่าขอบคุณจริงๆ บอกไม่ถูกเลยว่าทุกแรงสนับสนุนมีค่าแค่ไหน” ทางครอบครัวกล่าวทิ้งท้าย ที่มา : Metro ขอบคุณข้อมูข่าวและภาพจาก : www.khaosod.co.th

อันตรายมาก! ปล่อยคนหอมแก้มลูกน้อย เด็กเสี่ยงติดเชื้อถึงชีวิต

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อคุณแม่ชาวอังกฤษ ชื่อว่า แคลร์ เฮนเดอร์สัน ได้โพสต์ข้อความและรูปภาพผ่านเฟสบุ๊กเตือนบรรดาคุณแม่มือใหม่ทั้งหลาย อย่าให้ใครมาหอมหรือจูบแก้มลูกน้อยพร่ำเพรื่อ เพราะเสี่ยงต่อการเสียชีวิตของลูกน้อยได้ เฮนเดอร์สันเล่าว่า บรู๊ค ลูกสาวของเธอลืมตัวดูโลกเมื่อ 1 เดือนที่ผ่านมา ท่ามกลางญาติพี่น้องและเพื่อนๆ แวะเวียนมาเยี่ยมและแสดงความยินดีไม่ขาดสาย ในจำนวนแขกที่มาเยี่ยมนั้น ตนก็ไม่ทันระวังเพื่อนคนหนึ่งที่มีเชื้อไวรัส HSV-1 ต้นเหตุของโรคเริม สามารถติดต่อได้จากการจูบปาก หรือแม้แต่จูจุ๊บเบาๆ และหากเด็กทารกติดเชื้อไวรัสตัวนี้เข้าไปแล้วอาจทำอันตรายกับปอด รวมถึงตับและสมองจนถึงขั้นเสียชีวิต ทั้งนี้ อาการติดเชื้อไม่ได้แสดงออกทันที แต่อยู่มาคืนหนึ่งระหว่างป้อนนมลูก ตนสังเกตเห็นความผิดปกติ บรู๊คมีอาการบวมแดงที่ริมฝีปาก จึงรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลทันที แพทย์ระบุว่า โชคดีที่นำตัวหนูน้อยมาโรงพยาบาลทันเวลาเพราะอาการน่าเป็นห่วง โดยบรู๊คต้องนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลถึง 5 วัน เฮนเดอร์สันจึงโพสต์ข้อความเตือนบรรดาคุณแม่คนอื่นๆให้ระมัดระหว่างอย่าใครจูบหรือหอมทารกแรกเกิด เพราะไม่อาจทราบได้เลยว่า ใครที่มีเชื้อไวรัสชนิดนี้ และหากพบเพื่อนหรือญาติคนใดมีแผลที่ปากให้รู้ไว้เลยว่าเป็นอันตรายต่อลูกน้อย ด้านผู้เชี่ยวชาญเรื่องโรคติดต่อ กล่าวถึงกรณีของหนูน้อยบรู๊คว่า เป็นเคสที่พบได้ยากแต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็เป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้เลย อย่างไรก็ตาม ทารกส่วนใหญ่ไม่ได้มีความเสี่ยงเพราะมีภูมิคุ้มกันจากแม่ ที่มา BuzzFeed ขอบคุณข้อมูลข่าวและภาพจาก : www.khaosod.co.th  

keyboard_arrow_up