ลูกเป็นหวัด มีน้ำมูก

ลูกเป็นหวัด มีน้ำมูก 5 วิธีรักษาแบบไม่ต้องพึ่งยา

Alternative Textaccount_circle
event
ลูกเป็นหวัด มีน้ำมูก
ลูกเป็นหวัด มีน้ำมูก

ลูกเป็นหวัด มีน้ำมูก อาการเจ็บป่วยของลูกส่วนใหญ่แล้วจะเห็นว่าป่วยเป็นหวัด คัดจมูก มีน้ำมูกกันบ่อย นั่นเพราะสภาพอากาศที่แปรปรวนบวกกับเป็นช่วงที่สภาพร่างกายอ่อนแอ แต่บางครั้ง ลูกน้อยเป็นหวัด มีน้ำมูก ไม่ถึงขั้นนอนซม จะสามารถดูแลรักษาบรรเทาแบบไม่ต้องใช้ยาปฎิชีวนะได้ไหม? ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีเคล็ดลับในการดูแลสุขภาพลูกเมื่อเป็นหวัด ที่ไม่ต้องทานยามาฝากกันค่ะ

 

ลูกเป็นหวัด มีน้ำมูก –  โรคหวัดเกิดจากอะไร?

เวลาที่เด็กๆ ไม่สบายด้วยอาการหวัด แต่ไม่ถึงขั้นต้องนอนซม ให้ยา ให้น้ำเกลือ เรียกว่าโรคไข้หวัดธรรมดา (Common Cold) ซึ่งเป็นจะเป็นกันมากและบ่อยประมาณปีละ 6-8 ครั้ง เนื่องจากเด็กเล็กๆ จะมีภูมิต้านทานโรคน้อย อย่างในเด็กอนุบาลเวลาที่อยู่โรงเรียนได้รับเชื้อจากเพื่อนๆ ที่ป่วยเป็นหวัด ก็จะทำให้ได้รับเชื้อหวัดกลับมาบ้านด้วย และไม่กี่วันลูกก็จะรู้สึกไม่สบายเนื้อตัว มีอาการตัวร้อนรุมๆ  ยิ่งโดยเฉพาะในช่วงหน้าฝนและหน้าหนาว เด็กๆ จะป่วยเป็นหวัดกันมากกว่าปกติ

 

โรคหวัดเกิดจากการติดเชื้อไวรัส ชนิดที่ทำให้เกิดการอักเสบของอวัยวะระบบทางเดินหายใจ ซึ่งมีหลากหลายชนิด แต่กลุ่มใหญ่คือกลุ่ม ไรโนไวรัส (Rhinoviruses) และ โคโรนาไวรัส (Coronaviruses)1

อ่านต่อ >> “วิธีป้องกันไข้หวัดให้ลูกเบื้องต้น” หน้า 2

 

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

จิตแพทย์แนะ…เลี้ยงลูกให้สตรอง!! ต้องใช้ “หน้าต่างแห่งโอกาส 9 บาน”

event

หน้าต่างแห่งโอกาส …คุณพ่อคุณแม่ทราบไหมคะว่าช่วงเวลาสำคัญของการเรียนรู้สู่สมองลูกที่เรียกว่า ‘หน้าต่างแห่งโอกาส’ นั้นเปิดและปิดลงในเวลาอันสั้น เมื่อเด็กได้รับการเรียนรู้หรือ การพัฒนาสมอง อย่างถูกต้องในช่วงเวลานี้ ก็จะช่วยกระตุ้นสมอง และความฉลาด ให้เด็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ (more…)

วิธีใช้ลูกยางแดง

วิธีใช้ลูกยางแดง ดูดน้ำมูก-เสมหะ ให้ลูกน้อยหายใจสะดวก

Alternative Textaccount_circle
event
วิธีใช้ลูกยางแดง
วิธีใช้ลูกยางแดง

เมื่อลูกน้อยหายใจไม่สะดวก มีเสียงครืดคราดในลำคอ คุณพ่อคุณแม่สามารถช่วยให้ลูกน้อยหายใจสะดวกขึ้นได้ด้วย การใช้ลูกยางแดงดูดน้ำมูกและเสมหะ หนึ่งในอุปกรณ์ที่ควรมีติดบ้าน เพราะเด็กเล็กๆ นั้นยังสั่งน้ำมูกและขับเสมหะเองไม่เป็น คุณพ่อคุณแม่จึงควรช่วยดูดน้ำมูกและเสมหะให้ลูกค่ะ อย่างไรก็ดีคุณพ่อคุณแม่อาจเป็นกังวลกลัวว่าลูกน้อยจะเจ็บ แต่หากคุณรู้ วิธีใช้ลูกยางแดง อย่างถูกต้องแล้ว คุณพ่อคุณแม่ก็จะมั่นใจมากขึ้นค่ะ

เมื่อลูกเป็นหวัด การทำงานของต่อมภายในโพรงจมูกให้มีการหลั่งน้ำมูก ซึ่งเกิดจากการตอบสนองของร่างกายต่อเชื้อไวรัสทำให้เจ้าตัวน้อยมักมีน้ำมูกใสๆ ตลอดทั้งวัน เมื่อมีน้ำมูก คุณพ่อคุณแม่ควรช่วยลูกระบายน้ำมูกออกให้หมด เพื่อไม่ให้น้ำมูกจะไปคั่งค้างอยู่ที่โพรงไซนัส ทำให้ไซนัสอักเสบ หรือน้ำมูกอาจจะลงคอ ทำให้ไอ คออักเสบ และเป็นหวัดเรื้อรังได้

ส่วนเสมหะ หรือเสลด (Sputum) เป็นสารคัดหลั่งที่ร่างกายสร้างขึ้นมาเพื่อดักจับสิ่งแปลกปลอมที่ผ่านเข้ามาในทางเดินหายใจ และกำจัดออกโดยการไอ เมื่อทางเดินหายใจระคายเคือง อักเสบ ติดเชื้อ หรือมีความผิดปกติของระบบทางเดินหายใจ จะทำให้มีการสร้างเสมหะมากกว่าปกติ เสมหะมีได้หลายสีขึ้นกับสาเหตุเช่น สีขาว (โรคภูมิแพ้) สีชมพู (มีน้ำในปอด) สีเขียว เหลือง (ปอดอักเสบติดเชื้อ) และเป็นเลือด (เช่น โรคมะเร็งปอด)

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

ทำอย่างไรเมื่อลูกมีเสมหะ

เมื่อลูกมีเสมหะ ควรให้ลูกจิบน้ำหรือดื่มน้ำมากๆ น้ำเป็นตัวละลายเสมหะที่ดีที่สุด หากดื่มน้ำน้อย หรือทานยาลดน้ำมูกด้วยเสมหะจะเหนียวข้นขับออกยาก โดยเฉพาะเด็กเล็กซึ่งขับเสมหะออกเองไม่เป็น การไอออกมาจะช่วยขับเสมหะออกได้ทางหนึ่ง แต่ถ้าเสมหะเหนียวหนืดมากจนขับไม่ออกก็จำเป็นต้องใช้ลูกยางแดงดูดออก

ลูกยางแดงเบอร์ 2 จะช่วยได้เวลาลูกมีเสมหะมากในคอ ลูกยางแดงที่เป็นลูกยางทั้งอันคือส่วนปลายเป็นยางไม่ใช่พลาสติกจะช่วยดูดน้ำมูกในรูจมูก และดูดเสมหะที่โคนคอได้ การดูดเสมหะที่คอจะกระตุ้นให้เด็กไอช่วยขับเสมหะออกมาแล้วดูดเสมหะที่คอออก

อ่านต่อ วิธีใช้ลูกยางแดง ดูดน้ำมูก-เสมหะ คลิกหน้า 2

4 วิธีการตรวจมะเร็งเต้านมด้วยตัวเอง คลำหาง่าย ๆ ด้วยสองมือเรา (มีคลิป)

event

ตรวจเต้านมด้วยด้วยเอง …จากสถิติทั่วโลก มะเร็งเต้านมได้กลายเป็นหนึ่งในเนื้อร้ายที่พบเห็นได้บ่อยที่สุดในผู้หญิง ในทุกๆปี ทั่วโลกมีอัตราการเพิ่มขึ้นของมะเร็งอย่างรวดเร็วคิดเป็นร้อยละ 0.2 – 8 ในจำนวนนี้ประเทศกำลังพัฒนามีอัตราการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วที่สุด ทุกๆ ปีประชากรจำนวนประมาณ 1.4 ล้านคนจากทั่วโลกได้รับวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งเต้านม

 

โรคมะเร็งเต้านม เป็นหนึ่งในมะเร็งร้ายที่พบเห็นได้บ่อยที่สุดในเพศหญิง และปรากฏว่ามีอัตราการเกิดโรคเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี ทั้งยังมีแนวโน้มเกิดกับบุคคลที่อายุยังน้อยอีกด้วย จากข้อมูลสถิติพบว่า อัตราการเกิดโรคมะเร็งเต้านมเป็น 7%-10% ของโรคมะเร็งทั้งหมด โดยเฉพาะบุคคลที่มีอายุระหว่าง 40 – 60 ปี ส่วนใหญ่หญิงวัยก่อนหรือหลังหมดประจำเดือนจะมีอัตราการเกิดโรคค่อนข้างสูง

Must readมะเร็งเต้านมคร่าชีวิต!! รู้ก่อน หายก่อน

วิธีการง่ายๆ ตรวจเต้านมด้วยด้วยเอง

การตรวจมะเร็งเต้านมด้วยตนเอง เป็นวิธีการป้องกันมะเร็งเต้านมอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด เพราะสามารถทำได้บ่อย ๆ เพื่อคอยสังเกตความเปลี่ยนแปลงของเต้านมตนเองอยู่เสมอ ๆ หากตรวจพบก้อนเนื้อหรือสิ่งปกติใด จะได้นำไปสู่การตัดชิ้นเนื้อเพื่อตรวจวินิจฉัยโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และเข้ารับการรักษาอย่างรวดเร็วที่สุด เพื่อไม่ให้เนื้อร้ายเติบโตลุกลามจนยากแก่การรักษา

อาการในระยะแรกของโรคมะเร็งเต้านม ได้แก่

ตรวจเต้านมด้วยด้วยเอง

  1. เจ็บปวดเต้านม: แม้ว่าผู้ป่วยในระยะแรกบางส่วนไม่สามารถคลำสัมผัสพบก้อนเนื้อได้อย่างชัดเจน แต่มักจะมีอาการเจ็บภายในเต้านม เจ็บเหมือนถูกแทง หรือปวดบวม เป็นต้น หากมีอาการเจ็บปวดดังเช่นที่กล่าวมาข้างต้น แนะนำให้ไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลเพื่อตรวจโดยการคลำสัมผัส หากจำเป็นก็สามารถตรวจโดยการอัลตร้าซาวด์ได้
  2. เต้านมสองข้างไม่เท่ากัน: เนื่องจากการมีเนื้องอกหรือเนื้องอกกับผนังทรวงอกยึดติดกัน เต้านมจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงขนาดหรือรูปร่างไป ต้องระมัดระวังและเข้ารับการตรวจ
  3. มีน้ำไหลออกมาจากหัวนม: ส่วนใหญ่มักปรากฏเป็นน้ำนมสีขาวไหลออกมาจากหัวนม อาจเป็นของเหลวสีเหลืองอ่อน สีเลือด เป็นน้ำ หรือลักษณะเหมือนน้ำหนอง เป็นต้น
  4. ต่อมน้ำเหลืองโต: ผู้ป่วยในระยะแรกบางส่วนจะปรากฏต่อมน้ำเหลืองตรงรักแร้บวมโตขึ้น
  5. หัวนมเปลี่ยนไป: เมื่อเนื้องอกลุกลามถึงหัวนมหรือบริเวณใต้ลานหัวนม จะทำให้หัวนมเอียงไปข้างหนึ่ง หดตัวหรือบุ๋มลงไป
  6. ก้อนเนื้อที่เต้านม: เมื่อกดเต้านมจะสามารถสัมผัสได้ถึงก้อนเนื้อ มักมีก้อนเดียว ไม่สม่ำเสมอ เป็นก้อนเนื้อที่มีลักษณะแข็งเคลื่อนที่ได้ โดยปกติแล้วจะไม่รู้สึกเจ็บปวดอย่างชัดเจน แนะนำให้ผู้ป่วยไปตรวจอัลตราซาวด์ที่โรงพยาบาล เพื่อตรวจวินิจฉัยขนาดของก้อนเนื้อ รูปร่าง ลักษณะ เป็นต้น
  7. ผิวหนังเฉพาะส่วนเปลี่ยนไป: ผิวหนังเต้านมจะเปลี่ยนไปเหมือนผิวเปลือกส้ม บริเวณที่บวมน้ำและมีรูขุมขนจะบุ๋มลงไปอย่างชัดเจน ทำให้ผิวหนังขรุขระไม่สม่ำเสมอเหมือนกับผิวเปลือกส้ม
Must readลดเสี่ยงโรคมะเร็งเต้านม ด้วยวิธีง่ายๆ

หากเกิดอาการใดอาการหนึ่งดังที่กล่าวมาข้างต้น ควรให้ความสนใจและไปตรวจเต้านมอย่างละเอียดในโรงพยาบาลเฉพาะทาง ขณะเดียวกัน ในการใช้ชีวิตประจำวันนั้น ผู้หญิงทั้งหลายยังสามารถตรวจการเปลี่ยนแปลงของเต้านมด้วยตนเองได้

อ่านต่อ >> 4 วิธีการง่ายๆ ตรวจเต้านมด้วยด้วยเอง” คลิกหน้า 2

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

การดูผิวพรรณหลังคลอด

การดูแลผิวพรรณหลังคลอด ให้กลับมาสวยมีน้ำมีนวล

Alternative Textaccount_circle
event
การดูผิวพรรณหลังคลอด
การดูผิวพรรณหลังคลอด

การดูแลผิวพรรณหลังคลอด  ผู้หญิงในช่วงตั้งครรภ์อาจไม่ได้บำรุงผิวกันมากเพราะต้องระวังเรื่องของความปลอดภัย  และบางคนมีร่องรอยจากสิวที่เกิดขึ้นเพราะฮอร์โมนช่วงที่ท้องอยู่ด้วย เป็นผลให้หลังคลอดลูกแล้วผิวหน้า ผิวกายดูไม่สวยใสเหมือนแต่ก่อน ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีวิธี การดูแลผิวพรรณหลังคลอด ให้กลับมาสวยมีน้ำมีนวล มาฝากคุณแม่หลังคลอดลูกค่ะ

 

การดูแลผิวพรรณหลังคลอด –  ความเปลี่ยนแปลงของแม่หลังคลอดลูก

ช่วงที่คุณแม่ตั้งครรภ์ฮอร์โมนต่างๆ มีความเปลี่ยนแปลง เพื่อให้สอดคล้องกับร่างกายขณะที่มีครรภ์ ซึ่งฮอร์โมนที่ปรับสมดุลขึ้นๆ ลงๆ อยู่ตลอดเวลา ไม่เพียงส่งผลให้คนท้องมีอารมณ์แปรปรวนง่ายเท่านั้น แต่ยังส่งผลถึงผิวพรรณไม่ว่าจะผิวหน้ามัน หมองคล้ำ สิวฮอร์โมนเห่อขึ้นเต็มใบหน้า หรือในคนท้องบางรายมักมีผิวกายแตกลายเป็นเส้นขาวๆ โดยเฉพาะบริเวณผิวหน้าท้อง ก้น สะโพก ต้นขา รวมทั้งรักแร้ดำ ฯลฯ  นอกจากนี้การเปลี่ยนแปลงของร่างกายหลังคลอดยังมีอีกหลายเรื่องที่คุณแม่ควรรู้ไว้ เพื่อหากมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น จะได้ดูแลรักษาทันค่ะ  ความเปลี่ยนแปลงของร่างกายที่เกิดขึ้นหลังคลอดลูก คือ

1. มดลูก

ในช่วงหลังคลอดระยะ 2-3 วัน คุณแม่จะสังเกตเห็นและเกิดความกังวลว่าทำไมลูกคลอดออกมาแล้ว แต่พุงยังใหญ่อยู่  นั่นเป็นมดลูกยัลมีขนาดใหญ่อยู่ที่ระดับสะดือจนทำให้หน้าท้องของคุณแม่ยังดูใหญ่อยู่นั่นเองค่ะ แต่หลังจาก 7-8 วันหลังคลอดขนาดพุงจะค่อยๆ ลดลง ที่เหลือรอให้คุณแม่พักฟื้นและให้นมลูกไปแล้วสัก 3-4 เดือน ค่อยออกกำลังกายกระชับหน้าท้องให้แข็งแรงไม่หน่อนคล้อยได้ค่ะ

 

2. น้ำคาวปลา

หลังคลอดลูกคุณแม่จะยังไม่มีประจำเดือนกันนะคะ แต่จะมีน้ำคาวปลาออกมาก่อน น้ำคาวปลาก็คือเยื่อบุโพรงมดลูกที่หลุดออกมาปนกับเลือด ซึ่งในช่วง 3-7 วันหลังคลอดน้ำคาวปลาที่ออกมาจะมีลักษณะคล้ายประจำเดือน แต่สีจะสดมากกว่าสีของประจำเดือน สำหรับน้ำคาวปลาจะมีสีและปริมาณที่ออกมาค่อยๆ ลดลง และหลังคลอดไปแล้วประมาณ 6-8 สัปดาห์น้ำคาวปลาก็จะหมดไม่มีออกมาแล้วค่ะ

 

3. เต้านม

หลังจากคลอดลูกได้ไม่กี่ชั่วโมงเต้าของคุณแม่ก็จะคัดตึงขึ้นมา นั่นเป็นเพราะร่างกายมีการกระตุ้นให้มีน้ำนม และพร้อมที่จะให้อาหารมื้อแรกที่เต็มไปด้วยคุณค่าสารอาหาร และภูมิคุ้มให้กับร่างกายของลูก ซึ่งในช่วงวันแรกๆ จะเรียกว่าน้ำนมเหลือง หรือคอลอสตรัม เป็นหัวน้ำนมที่ควรให้ลูกได้กินอย่างมากค่ะ

 

4. ผนังหน้าท้อง

คุณแม่หลังคลอดส่วนใหญ่เข้าใจว่าหลังคลอดลูกแล้วหน้าท้องจะยุบลงและกลับแบนเรียบเหมือนเดิม จริงๆ แล้วหน้าท้องของคุณแม่หลังคลอดลูกจะยังไม่แบนเรียบค่ะ อันนี้สืบเนื่องมาจากมดลูกตามที่บอกไว้ในข้อ 1 ซึ่งการจะให้หน้าท้องกลับมาแบนเรียบแข็งแรงกระชับ จะต้องออกกำลังกายและใช้ท่าบริหาเฉพาะเพื่อเพิ่มความกระชับให้กล้ามเนื้อหน้าท้อง เช่น การซิทอัพ  การเล่นโยคะ ฯลฯ รวมทั้งควบคุมอาหารให้เป็นไปตามสัดส่วนของอาหารหลัก 5 หมู่

 

5. ผิวแตกลาย

หลังคลอดลูกแล้วผิวแตกลายที่หน้าท้องจะยังไม่หายไปหมดซะทีเดียว แต่จะค่อยๆ จางลงจนมีลักษณะคล้ายแผลเป็น ซึ่งนอกจากการออกกำลังกายเพื่อกระชับกล้ามเนื้อให้แข็งแรงแล้ว คุณแม่ควรต้องดูแลบำรุงเพิ่มด้วยผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่เหมาะกับการใช้ดูแลผิว ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวพรรณค่ะ

 

อ่านต่อ >> “การเปลี่ยนแปลงของร่างกายแม่หลังคลอด” หน้า 2 

 

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

ปัสสาวะอักเสบหลังคลอด อาการที่ไม่ควรมองข้าม!!

Alternative Textaccount_circle
event

ปัสสาวะอักเสบหลังคลอด อาการผิดปกติหลังคลอดสามารถเกิดขึ้นได้  ไม่ว่าจะคลอดธรรมชาติ หรือผ่าคลอด ซึ่งอาการข้างเคียงทางสุขภาพอาจจะแค่อาการเล็กน้อย ไปจนถึงกลุ่มอาการติดเชื้อที่ต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน  ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีอีกหนึ่งอาการที่มักจะเกิดขึ้นได้กับแม่หลังคลอดลูก นั่นคือ อาการปัสสาวะอักเสบหลังคลอด มาให้ได้ทราบกันค่ะ

 

ปัสสาวะอักเสบหลังคลอด สาเหตุจากอะไร?

ตามปกติแล้วหลังจากคลอดลูกคุณแม่อาจพบว่าตัวเองมีปัญหาเรื่องการขับถ่ายปัสสาวะยาก ซึ่งอาการนี้เกิดจากการที่น้ำที่คั่งอยู่ในร่างกายถูกขับออกผ่านทางปัสสาวะ ซึ่งแม่ที่คลอดลูกเองแบบธรรมชาติจะมีการเบ่งคลอด หรือบางครั้งการคลอดลูกเองในบางจังหวะคุณหมอมีการใช้คีม หรือเครื่องดูดลูกออกมา ด้วยปัจจัยเหล่านี้สามารถทำให้กระเพาะปัสสาวะ ท่อปัสสาวะเกิดการถูกกระทบจนบอบช้ำ ส่งผลให้ผนังกระเพาะปัสสาวะ รวมทั้งท่อปัสสาวะเกิดการบวมแดง เวลาที่คุณแม่ถ่ายปัสสาวะจึงถ่ายไม่ออก

 

การที่ถ่ายปัสสาวะไม่ออกพยาบาลจะใส่สายสวนปัสสาวะคาไว้ให้ เพื่อให้ปัสสาวะออกมาทางสายสวน ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 2-3 วัน เพื่อให้ท่อปัสสาวะหายจากการบวมแดง จากนั้นจึงจะถ่ายปัสสาวะได้เองเป็นปกติ

 

Good to know… “หลังคลอดภายในสัปดาห์แรกปัสสาวะจะออกมาก หรือมีภาวะ diuresis เพื่อลดปริมาณเลือดที่เพิ่มขึ้นในช่วงตั้งครรภ์ให้กลับสู่ภาวะปกติ กระเพาะปัสสาวะจะยืดขยายใหญ่ และการถ่ายปัสสาวะจะสู่ภาวะปกติภายในสัปดาห์ที่ 3 หลังคลอด1

 

อ่านต่อ >> “วิธีการดูแลเมื่อมีอาการปัสสาวะอักเสบหลังคลอด” หน้า 2 

 

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

ลูกหัวแบน

ลูกหัวแบน แก้ยังไงให้ลูกมีหัวสวย!!

Alternative Textaccount_circle
event
ลูกหัวแบน
ลูกหัวแบน

 

ลูกหัวแบน จากคำถามของคุณแม่ที่ว่า “เห็นลูกของเพื่อนๆ ที่คลอดออกมา หัวสวย เชียว  ไอ้เราแอบเสียดายที่ลูกเราตอนเกิดมาให้นอนหงาย กว่าจะจับตะแคงก็ปาไป 3 เดือน ซื้อหมอนหัวทุยมาแต่ก็เหมือนไม่ช่วยอะไร อยากทราบว่าทารกหัวแบนโตขึ้นมาจะมีโอกาสหัวสวยขึ้นไหมคะ? ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีคำตอบจากคุณหมอมาให้ทราบกันค่ะ

 

ลูกหัวแบน เพราะอะไร?

คุณพ่อคุณแม่ที่เพิ่งมีลูกน้อยคลอดมาใหม่ๆ อาจยังไม่รู้ว่าจะให้ลูกนอนท่าไหนถึงจะดีและสบายปลอดภัยที่สุด สำหรับเด็กทารกแรกเกิดปกติคุณหมอ หรือผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กมักจะแนะนำให้ทารกนอนหงายมากกว่านอนคว่ำ เพื่อเป็นการป้องกันภาวะ SIDS (Sudden Death Syndrome) หรือเด็กเสียชีวิตขณะนอนหลับ

 

การนอนหงายอาจทำให้ลูกวัยทารกหัวแบนได้ นั่นเพราะกระดูกของเด็กแรกเกิดยังมีความอ่อน เวลาที่ให้ลูกนอนทับอยู่ในตำแหน่งเดิมตลอดเวลาก็จะทำให้กะโหลกศีรษะของลูกแบนได้  แต่คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องกังวลใจกันไปค่ะ เพราะการที่ลูกหัวแบนไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด เพียงแค่อาจจะส่งผลต่อรูปของศีรษะเท่านั้นเองค่ะ

 

ถึงแม้ว่าการนอนหงายจะเป็นท่านอนที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับลูกวัยทารก แต่ก็อาจทำให้ ลูกหัวแบน หัวไม่ทุยสวย ซึ่งปัญหานี้จะหมดไป เพราะเรามีคำแนะนำในการจัดท่านอนให้ลูกหัวสวย จาก พญ.สุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านทารกแรกเกิด มาให้คุณพ่อคุณแม่ทราบกันค่ะ

 

อ่านต่อ >> “3 วิธีจากหมอแก้ปัญหาลูกหัวไม่สวย ไม่ทุย” หน้า 2

 

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

เชื้อไมโคพลาสมา

พาลูกน้อยไปที่ชุมชนเมื่อใด ระวังภัยโรคติดเชื้อไมโคพลาสมา

Alternative Textaccount_circle
event
เชื้อไมโคพลาสมา
เชื้อไมโคพลาสมา

เพราะลูกน้อยวัยทารก ยังมีภูมิต้านทานที่พัฒนาไม่สมบูรณ์ ทำให้ติดเชื้อโรคต่างๆ และเจ็บป่วยไม่สบายได้ง่าย ซึ่งการพาลูกน้อยไปในสถานที่แออัดหรือชุมชน จะทำให้ลูกเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคร้ายต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะเชื้อโรคที่ติดต่อได้ง่ายผ่านการไอ จาม เสมหะและอื่นๆ ซึ่งไม่ใช่แค่ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ หรือเชื้อไวรัสที่หลายคนเข้าใจ เพราะอาการหวัดที่ลูกน้อยเป็นนั้นอาจเกิดจากเชื้อแบคทีเรียร้ายที่ชื่อว่า ไมโคพลาสมา ได้อีกด้วย

โรคติดเชื้อ ไมโคพลาสมา แบคทีเรียร้าย ติดต่อง่าย ตรวจยาก

โรคติดเชื้อไมโคพลาสมา เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่ง (Mycoplasma pneumonia) ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรียขนาดเล็กในกลุ่มสายพันธุ์ Mycoplasma เชื้อโรคนี้ติดต่อได้ง่ายคล้ายไข้หวัดผ่านระบบทางเดินหายใจ คือ ติดเชื้อผ่านสารคัดหลั่ง เช่น น้ำมูก เสมหะ จากการไอ จาม สัมผัสกันใกล้ชิดกับผู้มีเชื้อ หรือได้รับละอองเชื้อโดยส่วนใหญ่เชื้อโรคชนิดนี้มักจะพบในเด็กวัยเรียน  แต่ก็จะพบโรคนี้ในเด็กเล็กได้ประมาณ 5-10% ซึ่งทำให้เกิดอาการปอดติดเชื้อได้ถึง 20%

บทความแนะนำ โรคปอดบวมในเด็ก รู้ทันอาการ ป้องกันลูกเสียชีวิตได้ !!
เชื้อไมโคพลาสมา
เชื้อไมโคพลาสมา

จากอาการไข้หวัดธรรมดา สู่ปอดติดเชื้อรุนแรงได้

โรคติดเชื้อไมโคพลาสมานี้  ไม่มีอาการแสดงเฉพาะ อาการของเด็กที่ป่วยส่วนใหญ่จะคล้ายไข้หวัดธรรมดา โดยสามารถสังเกตการติดเชื้อของโรค จากอาการต่างๆ ดังนี้

  • ลูกน้อยมีอาการหวัด มีน้ำมูก และมีไข้ต่ำๆ ซึ่งบางรายผ่านไป 4-5 วันก็สามารถหายเองได้
  • หากลูกน้อยได้รับเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายในปริมาณมาก จะทำไห้มีไข้สูงมากกว่า 38 องศาเซลเซียส อาจมีอาการหนาวสั่น
  • มีอาการไอ และจะมีอาการแสดงของปอดติดเชื้อคือไอเรื้อรังมากขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้เจ็บหน้าอกได้
  • ลูกน้อยจะอ่อนเพลียปวดเมื่อยกล้ามเนื้อปวดศีรษะ ซึมลงหรือชัก เป็นอาการแสดงทางสมอง
  • หายใจมีเสียงวี้ด หรือเวลาหายใจจะมีเสียงฟึดฟัดอยู่ในปอด หายใจลำบาก เป็นอาการที่บอกว่าปอดติดเชื้อ
  • ลูกน้อยมีภาวะซีด เป็นอาการแสดงทางระบบเลือด
  • แสดงอาการทางผิวหนัง คือ ลูกน้อยอาจมีผื่นจ้ำแดงตามร่างกาย
  • ลูกน้อยอาจมีอาการ Walking Pneumonia คือลูกน้อยมีอาการปอดติดเชื้อแล้ว แต่ยังวิ่งเล่นได้ปกติ หมายถึงลูกอาจมีไข้มาหลายวัน และไอมาก แต่ยังวิ่งเล่นได้ดี ทำให้คุณพ่อคุณแม่คิดว่าลูกน้อยไม่เป็นอะไร  แต่จะมีเสียงหายใจผิดปกติ ซึ่งเมื่อตรวจมักพบว่ามีเสมหะอยู่เต็มปอด ซึ่งหากปล่อยไว้ปอดจะถูกทำลายไปเรื่อยๆ  จนถึงขั้นทำให้ระบบหายใจของลูกล้มเหลวเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

เชื้อไมโคพลาสมา

ไมโคพลาสมา เชื้อโรคอันตรายตรวจพบได้ยาก

วิธีการตรวจที่จะทำให้รู้ได้ว่าลูกน้อยติดเชื้อโรคนี้ นอกจากการสังเกตอาการแสดงผิดปกติ ที่ดูรุนแรงมากกว่าไข้หวัดธรรมดาของลูกน้อยแล้ว  คือการตรวจเลือดด้วยเทคนิค PCR (Polymerase chain reaction)โดยเก็บตัวอย่างเลือดไปตรวจหาเชื้อโรค และการตรวจน้ำมูกหรือเสมหะ เนื่องจากเชื้อไมโคพลาสมานี้ตรวจพบค่อนข้างยากต้องส่งไปตรวจที่แล็บใหญ่ มีค่าใช้จ่ายสูงมาก  แพทย์จึงพิจารณารักษาตามอาการที่เกิดขึ้นของลูกน้อย ยกเว้นกรณีที่ลูกน้อยมีอาการติดเชื้อที่ปอดรุนแรง หายใจลำบากมากแพทย์จึงมักจะแนะนำให้เจาะเลือดตรวจหาเชื้อโรคเพื่อการรักษาได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น

ไมโคพลาสมา รักษาได้ หากไม่มีภาวะแทรกซ้อน

โรคติดเชื้อไมโคพลาสมาส่วนใหญ่มักจะไม่มีอาการรุนแรง และสามารถรักษาให้หายได้ แต่ก็ประมาทไม่ได้เพราะการติดเชื้อชนิดนี้สามารถทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงต่างๆ ได้ตามมา โดยการรักษาทั่วๆ ไปหากลูกน้อยเป็นหวัดไม่มีไข้ แพทย์อาจจะทำการรักษาแบบการติดเชื้อไวรัสธรรมดาทั่วๆ ไปก่อน แต่หากภายใน 2-3 วัน อาการไม่ดีขึ้น ยังมีไข้ ไอมาก หายใจมีเสียงและลำบาก แพทย์จะเริ่มสงสัยว่าป่วยจากเชื้อโรคนี้โดยให้ยากินในกลุ่มเฉพาะ และอาจจำเป็นต้องนอนรักษาในโรงพยาบาล เพื่อดูแลรักษาตามอาการแสดงของโรค หรืออาการที่เกิดจากภาวะแทรกซ้อนรุนแรง

บทความแนะนำ  IPD โรคติดเชื้อ สาเหตุการตายอันดับ 1 ในเด็ก

ปอดติดเชื้อ ไมโคพลาสมา

อ่านต่อ>>อันตรายจากภาวะแทรกซ้อน คลิกหน้า 2

วิธีตรวจคัดกรองดาวน์ซินโดรม

4 ทางเลือกในการตรวจคัดกรองดาวน์ซินโดรม แบบไหนดีที่สุด?

Alternative Textaccount_circle
event
วิธีตรวจคัดกรองดาวน์ซินโดรม
วิธีตรวจคัดกรองดาวน์ซินโดรม

สำหรับคุณแม่ที่เตรียมตัวตั้งครรภ์ คงจะต้องหาข้อมูลเกี่ยวกับการดูแลครรภ์ และบำรุงสุขภาพกันไว้ล่วงหน้าอย่างมากมาย แต่สิ่งหนึ่งที่คุณแม่หลายท่านอาจไม่ได้ใส่ใจ คือวิธีการตรวจคัดกรองความผิดปกติของลูกน้อยในครรภ์ในแบบต่างๆ ที่คุณแม่เกือบทุกท่านอาจจะต้อง เพื่อจะได้รู้ว่าลูกน้อยเสี่ยงเป็นดาวน์ซินโดรมหรือไม่ และมีความผิดปกติอื่นใดหรือเปล่า แต่ว่าจะ ตรวจดาวน์ซินโดรม แบบไหนดี เรามีข้อมูลมาฝากค่ะ

การตรวจคัดกรองความผิดปกติของทารกในครรภ์ ไตรมาสแรก

ในช่วงที่คุณแม่ตั้งครรภ์ 10-12 สัปดาห์ ทางการแพทย์จะมีวิธีการตรวจคัดกรองความเสี่ยงของทารกในครรภ์หรือตรวจโครโมโซมเพื่อดูความเสี่ยงที่ลูกน้อยในครรภ์จะเป็นดาวน์ซินโดรมอยู่ 4 แบบคือ

ตรวจดาวน์ซิมโดรม แบบไหนดี

  • การตรวจชิ้นเนื้อรก หรือ CVS(Chorionic villous sampling)

เป็นวิธีการที่คนทั่วไปมักจะไม่ค่อยรู้จัก แต่เป็นการตรวจที่ให้ผลแม่นยำ วิธีการทำคือใช้การนำท่อส่องกล้องเข้าไปในปากมดลูก และใช้เครื่องมือดึงหรือดูดนำตัวอย่างรกของลูกน้อยในครรภ์ออกมาตรวจที่ห้องปฏิบัติการ การตัดชิ้นเนื้อรกเพื่อนำมาตรวจนี้ให้ผลการตรวจที่แม่นยำมาก สามารถตรวจได้ทุกโครโมโซม  แต่คุณแม่จะเสี่ยงต่อการแท้งได้  จึงต้องทำโดยแพทย์ที่มีความชำนาญในการทำหัตถการนี้อย่างแท้จริง วิธีการนี้จึงมักทำในโรงเรียนแพทย์ที่มีเครื่องมือและบุคลากรที่พร้อม ซึ่งปัจจุบันไม่นิยมการตรวจคัดกรองด้วยวิธีการนี้ จึงจะทำในกรณีที่คุณแม่ตั้งครรภ์มีข้อบ่งชี้ที่จำเป็นเท่านั้น

  • การตรวจอัลตราซาวด์ เพื่อวัดความหนาของน้ำที่สะสมบริเวณต้นคอทารก หรือ NT(Nuchal Translucency)

อัลตร้าซาวนด์วัดความหนาต้นคอ

วิธีการนี้คือการใช้เครื่องอัลตราซาวนด์ตรวจวัดความหนาบริเวณต้นคอของลูกน้อยในครรภ์ ซึ่งเมื่อตรวจแล้วพบว่าลูกน้อยมีความหนาของผนังคอมากกว่าปกติ จะมีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่จะมีโครโมโซมผิดปกติ หรืออาจเป็นดาวน์ซินโดรมเพิ่มมากขึ้นด้วย วิธีการตรวจนี้ให้ผลที่ค่อนข้างแม่นยำ และไม่มีความเสี่ยงต่อการแท้งอีกด้วย

  • การทำ NT ร่วมกับ การตรวจสารในเลือดแม่ไตรมาสแรก(First Trimester BloodTest) หรือ ตรวจเลือด Double Marker (PAPP-A,Free ßHCG)

วิธีการนี้เป็นการตรวจร่วมกันทั้งการอัลตราซาวนด์วัดความหนาของต้นคอทารก (NT) ร่วมกับ การตรวจสารชีวเคมีและฮอร์โมนในเลือดคุณแม่ตั้งครรภ์ไตรมาสแรก 2 ชนิด นั่นคือ Pregnancy-associated plasma protein A หรือ PAPP-A  กับ free beta subunit of human gonadotropin หรือ free ß –HCG

ซึ่งการตรวจคัดกรองวิธีนี้ถือว่าได้ผลที่แม่นยำมากยิ่งขึ้นถึงประมาณ 90%และไม่เสี่ยงแท้งอีกด้วย

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

อ่านต่อ>> วิธีตรวจคัดกรองความผิดปกติของทารกในครรภ์ แบบใหม่ล่าสุด คลิกหน้า 2

5 วิธีง่ายๆ เลี้ยงลูก….ให้เป็นคนปกติ!

event

เลี้ยงลูกให้เป็นคนปกติ …มีคุณแม่ท่านหนึ่งมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการเลี้ยงลูก เพราะคุณแม่ไม่ได้คาดหวังว่าเขาต้องเป็นเลิศกว่าคนอื่น ไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ (เพราะเราเองก็ไม่ใช่ผู้ใหญ่ที่สมบูรณ์แบบ) แค่อยากเลี้ยงลูกให้เติบโตขึ้นมาเป็นคนปกติที่รับผิดชอบตนเอง ครอบครัวและสังคมได้ มีความสุข พร้อมรับมือกับความทุกข์ความไม่สบายกายไม่สบายใจที่แวะเวียนเข้ามาในชีวิตได้ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าแบบไหนถึงจะถือว่า “เป็นคนปกติของสังคม” และจะเลี้ยงดูเขาอย่างไร

เป็นคำถามที่น่าสนใจค่ะ ที่คุณแม่สงสัยว่าแบบไหนจึงจะถือว่า “เป็นคนปกติของสังคม” เพราะมนุษย์ในสังคมก็มีความแตกต่างและหลากหลาย มีรูปร่างลักษณะนิสัยใจคอไม่เหมือนกัน  มีความชอบ-ไม่ชอบที่แตกต่างกันออกไป มีรูปแบบการดำเนินชีวิตที่ไม่เหมือนกัน มีลักษณะนิสัย-ความถนัด-ระดับความสามารถที่แตกต่างกัน  แล้วนิยามคำว่า “ปกติ” ครอบคลุมอะไรและได้แค่ไหนบ้าง?

หลักการ เลี้ยงลูกให้เป็นคนปกติ !

เลี้ยงลูกให้เป็นคนปกติ

เพราะมนุษย์มีความหลากหลายตามที่แจกแจงเบื้องต้นจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะวัด “ความปกติ” ให้ออกมาชัดเจน  แม้ว่าจะมีคนใช้หลักสถิติมาอธิบาย เช่น ความสูง น้ำหนักตัว (ซึ่งมักเป็นข้อมูลเชิงปริมาณ) ช่วยให้เราแยกแยะ เด็กเตี้ยผิดปกติกับเด็กที่เตี้ยตามพันธุกรรม หรือเด็กที่มีน้ำหนักน้อยจนเป็นความผิดปกติกับเด็กที่มีน้ำหนักน้อยแต่ยังอยู่ในเกณฑ์ แต่ก็ยังมีอีกหลายเรื่องที่ไม่สามารถแยกแยะให้เป็นรูปธรรมชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องเชิงคุณภาพ เช่น การตรงต่อเวลา มีความรับผิดชอบ มุ่งมั่น ยืดหยุ่น ซื่อสัตย์ มั่นใจในตนเอง เห็นอกเห็นใจผู้อื่น พึ่งตนเอง  บริหารจัดการชีวิตได้ เป็นต้น

โดยคุณหมอ นลินี  เชื้อวณิชชากร แนะนำว่า แทนการมุ่งเป้าอยากให้ลูก “เป็นคนปกติของสังคม” ซึ่งหาคำจำกัดความได้ยาก อยากให้คุณแม่มุ่งที่แนวทางการเลี้ยงดูลูกเพื่อให้เขาเติบโตขึ้นมาเป็นคนที่รับผิดชอบตนเอง ครอบครัวและสังคมได้ มีความสุข  พร้อมรับมือกับความทุกข์ความไม่สบายกายไม่สบายใจที่แวะเวียนเข้ามาในชีวิตได้ตามที่คุณแม่ตั้งเป้าไว้ แต่ขอเพิ่มเติมว่า “เข้าใจและรับมือ” กับความไม่แน่นอนของโลกใบนี้ได้

ทั้งนี้ คุณหมอขอฝาก 5 หลักสำคัญในการเลี้ยงลูกไว้ ดังต่อไปนี้ค่ะ

1. สร้างความรักใคร่ผูกพันระหว่างกัน

เป็นพื้นฐานหลักที่สำคัญต่อการอบรมเลี้ยงดูเด็กทุกคนในโลกใบนี้ เหมือนที่คุณหมอมักเน้นว่า “ความสัมพันธ์ที่ดีต้องมาก่อน” ผ่านการใช้ชีวิตด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการดูแลชีวิตประจำวันทั่วไป การทำกิจกรรมร่วมกัน การแสดงให้ลูกรู้ว่าคุณรักเขา รับฟังและพูดคุยกับเขา (ให้ถูกหลักด้วยนะคะ) การอุทิศตัวซึ่งกันและกัน รวมทั้งการให้เด็กมีส่วนร่วมลงมือทำกิจกรรมของครอบครัว เช่น ทำงานบ้านหรือร่วมคิดและทำอาหาร

อ่านต่อ >> “วิธีง่ายๆ เลี้ยงลูกอย่างไรให้เป็นคนปกติ” คลิกหน้า 2

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

ข้าวโพดหวาน

ลูกน้อยป่วยหนัก เพราะข้าวโพดต้ม ข้าวโพดหวาน

Alternative Textaccount_circle
event
ข้าวโพดหวาน
ข้าวโพดหวาน

มีคุณแม่คนหนึ่ง ได้เล่าเรื่องราวของลูกน้อยเอาไว้เพื่อเป็นอุทาหรณ์เกี่ยวกับ ข้าวโพดต้ม ข้าวโพดหวาน เมื่อลูกน้อยรับประทานข้าวโพดหวานเข้าไป แล้วดื่มนมเข้าไปเป็นจำนวนมาก หลังจากนั้นลูกน้อยก็นอนตั้งแต่หัวค่ำตามปกติ แต่เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืน ลูกน้อยก็ปวดท้องรุนแรง และท้องโต

(more…)

3 หัวใจหลัก เลี้ยงลูกด้วยธรรมะ เสริมภูมิคุ้มกันตลอดชีวิต

event

เลี้ยงลูกด้วยธรรมะ …เพราะเด็กวันนี้คือผู้ใหญ่ในวันหน้า ซึ่งก็เชื่อว่าความหวังของคนเป็นพ่อเป็นแม่ก็คงอยากเห็นลูกโตไปเป็นคนดี มีชีวิตที่ดีและมีความสุข แต่ก็เป็นอีกหนึ่งโจทย์ที่ว่าทำอย่างไรจึงจะเลี้ยงลูกให้ลูกได้ดี

เชื่อว่านี่คือคำถามที่ผุดขึ้นมาในใจของพ่อแม่ส่วนใหญ่นับตั้งแต่วันที่ลูกลืมตาดูโลก เพราะอยากเห็นลูกของเราทั้งเก่ง ดี มีความสุข และมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงพอให้เขาสามารถใช้ชีวิตในสังคมโลกที่นับวันยิ่งยุ่งเหยิงและซับซ้อนนี้ได้โดยไม่ล้มเป๋ไปเสียก่อน จริงๆ คำตอบอาจอยู่ใกล้ตัวเรานิดเดียว นั่นคือพ่อแม่นำธรรมะมาปรับใช้ในการดูแลกายใจให้ลูก ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถยืนยาวไปตลอดชีวิต

เลี้ยงลูกด้วยธรรมะ เสริมภูมิคุ้มกันตลอดชีวิต

Amarin Baby & Kids จึงมีแนวทางการเลี้ยงลูกด้วยธรรมะ เพื่อเป็นวัคซีนทางใจให้ทุกครอบครัวเริ่มต้นปี 2560 อย่างมีความสุขสดชื่น ตลอดปีตลอดไปค่ะ

เลี้ยงลูกด้วยพรหมวิหารธรรม

การเลี้ยงลูกนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเลี้ยงด้วยความรักอย่างเดียวไม่พอ แต่ต้องมีความรู้ อดทน และธรรมะเพื่อให้เกิดคุณธรรม ศีลธรรมและจริยธรรมประกอบเข้าไปด้วย ดังเช่นที่ท่าน ว. วชิรเมธี เคยเขียนไว้ในคอลัมน์  Answer Key นิตยสารซีเคร็ต ฉบับมิถุนายน 2554 ว่า “การเลี้ยงลูกที่บอกว่ายากก็เพราะว่าต้องใช้ทั้งความรัก ความรู้ ความอดทน และคุณธรรมอีกสารพัดประกอบกัน ลำพังให้ความรักอย่างเดียว ถ้ามากเกินไปก็จะกลายเป็นลูกแหง่ อ่อนแอ ทำอะไรไม่เป็น ความรู้ ถ้าให้มากเกินไปก็จะกลายเป็นคนแข็งกร้าวไม่ยอมฟังใคร…ดังนั้นคนเป็นแม่จะต้องเรียนรู้ที่จะปรับคุณธรรมต่างๆ ในการเลี้ยงลูกให้ลงตัวพอดี งานเลี้ยงลูกจึงจะประสบความสำเร็จ”

หลักธรรมง่ายๆ ที่ช่วยเลี้ยงลูกได้ตามที่ท่าน ว.วชิรเมธีกล่าวไว้นั่นคือ พรหมวิหารธรรม ซึ่งมีอยู่ 4 ประการ ได้แก่ เมตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ทั้ง 4 ข้อสามารถปรับมาใช้ในการเลี้ยงลูกได้ ดังนี้

เมตตา ถ้ามากเกินไป พ่อแม่จะตามใจลูก

♥ กรุณา ถ้ามากเกินไป พ่อแม่จะทำทุกอย่างแทนลูก

♥ มุทิตา ถ้ามากเกินไป พ่อแม่จะส่งเสริมไปเสียทุกเรื่อง (เช่น ลูกทำผิด แต่คอยให้ท้าย)

♥ อุเบกขา ถ้ามากเกินไป พ่อแม่จะกลายเป็นคนใจไม้ไส้ระกำ คือไม่แยแสลูก

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าลูกขอเงินไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม พ่อแม่ก็ต้องยืนกรานที่จะไม่ให้ แต่ต้องไม่ลืมชี้แจงด้วยเหตุผล หรือถ้าลูกเป็นคนเจ้าอารมณ์ พ่อแม่ก็ต้องหาวิธีปฏิเสธที่นุ่มนวล เพราะการตามใจลูกด้วยความสงสารมากเกินจะทำให้เขาได้ใจ หากวันไหนไม่ได้ดังใจก็จะพาล ข้อเสียคือ เมื่อพาลโมโหแล้วได้ตามที่ต้องการ เขาก็จะจดจำพฤติกรรมไม่ดีนี้ไว้ เมื่อเกิดเหตุการณ์อีกเขาก็จะทำซ้ำแบบเดิมอีก

ดังนั้น การเลี้ยงลูกจึงต้องใช้ธรรมะ ใช้ปัญญาอยู่เสมอ ลำพังความรักอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะสอนลูกให้เป็นคนดีมีศีลธรรมได้ และควรต้องใช้ทางสายกลางในการเลี้ยงลูกให้มาก

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

♠ ธรรมะแบบง่ายๆ

อยากเลี้ยงลูกด้วยธรรมะ เพราะเชื่อว่าธรรมะจะกล่อมเกลาลูกและช่วยให้รอดพ้นจากสังคมที่ยุ่งเหยิงไปได้ หลายครอบครัวจึงมุ่งแต่ธรรมะในเชิงสัญลักษณ์มากกว่าหลักธรรมอันแท้จริง เชิงสัญลักษณ์ที่ว่าคือ ให้ลูกท่องบทสวดมนต์ หรือพาเข้าวัดเช้าเย็น โดยคาดหวังว่านี่คือหนทางทำให้ลูกเป็นคนดีและมีความสุข ซึ่งนั่นอาจไม่เพียงพอหากเราไม่เข้าใจธรรมอย่างถ่องแท้ ถ้าอย่างนั้นเราจะใช้ธรรมะอย่างไรดี นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ จิตแพทย์ โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ กล่าวถึงประเด็นการใช้ธรรมะเลี้ยงลูกได้อย่างน่าสนใจ ในคอลัมน์ Talk It Easy นิตยสารเรียล พาเรนติ้ง ฉบับกันยายน 2556 ว่า “ก่อนที่จะคิดเรื่องเลี้ยงลูกด้วยธรรมะ พ่อแม่ควรทบทวนตนเองเป็นอย่างแรกว่า ตนเองมีธรรมะและเดินทางสายกลางมากน้อยเพียงไร”

พ่อแม่หลายคนคาดหวังว่าให้ลูกเป็นคนดี มีความสุข ดูแลตนเองได้ แต่ไม่นานความคาดหวังก็มากขึ้นเป็นขอให้เรียนเก่ง มีงานทำดี และร่ำรวย คุณหมอประเสริฐกล่าวว่า “ธรรมะที่แท้คือ เดินสายกลาง และเด็กๆ พัฒนาด้วยการดูพ่อแม่เป็นหลัก…หากลูกๆ จับสังเกตได้ว่าพ่อแม่มีความคาดหวังสูง (พูดแรง ว่าโลภมากในการเลี้ยงลูก) เช่นนี้มิใช่สายกลาง เพียงเท่านี้ลูกก็รู้แล้วว่าพ่อแม่มิได้มีธรรมะอะไรมากนัก”

เลี้ยงลูกด้วยธรรมะ

ดังนั้น คำแนะนำจากคุณหมอถึงการเลี้ยงลูกด้วยธรรมะแบบง่ายๆ ก็คือความเป็นธรรมชาติ การเลี้ยงลูกจึงควรผสมผสานหลากหลายวิธี มากบ้างน้อยบ้างตามสถานการณ์ บางครั้งต้องเข้มงวดและคาดหวัง บางครั้งต้องปล่อย บางครั้งต้องปกป้องภยันตรายให้ และบางครั้งก็ต้องทำไม่รู้ไม่เห็นบ้าง เพื่อให้ลูกเติบโตได้ด้วยตนเอง แต่สิ่งที่น่าสนใจมากกว่าศีลธรรมคือ จริยธรรม ซึ่งก็คือความสามารถในการกำกับตนเอง มิให้ใช้อำนาจหรือความสามารถไปเบียดเบียนคนอื่น ส่วนการสอนเรื่องจริยธรรมนั้นก็ไม่ยาก เด็กก่อนเจ็ดขวบจะกลัวการถูกลงโทษ เด็กหลังเจ็ดขวบจะชอบรางวัล ดังนั้นก่อนเจ็ดขวบพ่อแม่สามารถทำโทษได้เมื่อเขาทำผิด หลังเจ็ดขวบใช้วิธีกอด ชมเชย หรือให้ของขวัญเมื่อเขาทำดี นี่คือวิธีที่ง่ายที่เขาจะเรียนรู้ว่าอะไรดีหรือไม่ดี ทั้งหมดนี้จะเรียกว่าธรรมะอย่างง่ายก็ได้

อ่านต่อบทความน่าสนใจ คลิก!


อ่านต่อ >> “3 หัวใจแห่งทางสายกลางกับหลักการเลี้ยงลูกด้วยธรรมะ” คลิกหน้า 2

อาการแพ้ยา

วิธีสังเกตอาการแพ้ยาของลูกน้อยไม่ให้รุนแรง

Alternative Textaccount_circle
event
อาการแพ้ยา
อาการแพ้ยา

อาการแพ้ยา โดยเฉพาะทางผิวหนัง เป็นอาการที่พบได้บ่อย และมีอาการรุนแรง ถึงขั้นอาจทำให้เสียชีวิต เมื่อคุณพ่อ คุณแม่ หรือลูกน้อยพบว่ามีประวัติในการแพ้ยา ควรจดจำชื่อยาเหล่านั้นเอาไว้ให้แม่น เพื่อป้องกันความรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้นจากการแพ้ยา จนทำให้เสียชีวิต

(more…)

37 แนวทาง เลี้ยงลูกให้ถูกธรรม!! ตามคำสอนพุทธ เพื่อให้ลูกเป็นคนดีและมีสุข

event

 

สอน ลูก ด้วย ธรรมะ …เลี้ยงลูกถูกธรรม คือ การเลี้ยงลูกอย่างถูกต้องนั่นเอง เมื่อเราเลี้ยงลูกอย่างถูกต้องแล้ว ทั้งตัวเราและลูกก็จะไม่มีปัญหา หรือเมื่อเกิดมีปัญหาขึ้นมาไม่ว่ากรณีใดๆ เราก็สามารถใช้ธรรมะนำทางแก้ไขได้

ธรรมะ จะแก้ได้ทุกเรื่อง หรือ ทุกคน หรือ ?

แน่นอน, แก้ได้ทุกเรื่องและทุกคน แต่ผลลัพธ์จะลงเอยด้วยอาการอย่างไร? นั่นก็ย่อมจะต้องขึ้นอยู่กับเหตุและปัจจัยหลายอย่าง กล่าวคือ มันจะออกหัว หรือออกก้อย ก็ต้องเป็นอีกเรื่องหนึ่ง กล่าวอย่างรวบรัด ก็คือ การเลี้ยงลูกอย่างถูกต้องในที่นี้ หมายถึง พ่อแม่ให้การเลี้ยงดูลูกอย่างถูกวิธี ถูกหลักการ ถูกประเพณี ถูกธรรมเนียม รวมๆ ว่า “ถูกต้อง” หรือเลี้ยงลูกถูกต้องนั่นเอง

ว่าโดยหลักใหญ่ๆ แล้ว การเลี้ยงลูกมีอยู่ 2 วิธีเท่านั้น คือ

– เลี้ยงลูกถูกใจ

– เลี้ยงลูกถูกต้อง (ถูกธรรม)

สอน ลูก ด้วย ธรรมะ

เลี้ยงลูกถูกใจ คือ การเอาใจพ่อแม่เป็นเกณฑ์ พ่อแม่มีความรู้ ความคิด ความเห็นอย่างไร ก็จะปั้นลูกของตนให้เป็นไปอย่างนั้น การเลี้ยงลูกถูกใจ มันออกจะเสี่ยงมากเกินไป กล่าวคือ

ถ้าพ่อและแม่เป็นสัมมาทิฐิบุคคลด้วยกันทั้งคู่มันก็จะไม่มีปัญหา การเลี้ยงลูกต้องไปได้สวยแน่ แต่ถ้าพ่อหรือแม่คนใดคนหนึ่งเกิดมีมิจฉาทิฐิ หรือเกิดมิจฉาทิฐิเสียทั้งสองคน ลูกก็คงจะบรรลัยแน่จอดไม่ต้องแจว แต่โดยทั่วไปแล้ว การเลี้ยงลูกถูกใจนี้จะมีส่วนเสียมากกว่าส่วนดี และที่ลูกส่วนมากจะเสียก็จะมาเสียที่จุดนี้ และการแก้ไขก็ย่อมจะเป็นไปได้ยากหรือแก้ไม่ได้เลย

เลี้ยงลูกถูกต้อง (ถูกธรรม) คือ การเอาความถูกต้องเป็นเกณฑ์ การเลี้ยงลูกถูกต้อง หรือถูกธรรมนั้น หมายถึงว่า พ่อแม่ไม่เอาใจของตนเองเป็นบทตั้ง แต่จะอาศัยความถูกต้องของเหตุและปัจจัยนั้นๆ เป็นหลักในการเลี้ยงลูก

การเลี้ยงลูกถูกธรรม จึงเป็นการเลี้ยงลูกที่ยอดเยี่ยมที่สุด สามารถจะใช้ได้แก่ลูกทุกคน และทุกกาลสมัย พร้อมทั้งผลลัพธ์ที่ออกมาก็ย่อมจะเป็นที่ยุติได้ กล่าวคือ จะมีความพอใจด้วยกันทุกฝ่าย นั่นก็คือ พ่อแม่ก็จะไม่โยนปัญหาไปให้ลูกแต่ฝ่ายเดียว และลูกก็จะไม่โยนปัญหาไปให้พ่อแม่แก้แต่ฝ่ายเดียวเช่นกัน เพราะต่างก็เข้าใจหน้าที่อย่างถูกต้องของกันและกัน ไม่ว่าปัญหานั้นๆ จะลงเอยด้วยบวกหรือลบ ทั้งพ่อแม่และลูกก็จะไม่ดีใจจนตกขอบ และก็จะเสียใจจนเป็นโรคประสาท หรือต้องถึงกับฆ่าตัวตายอย่างแน่นอน

ซึ่งจากที่กล่าวมาข้างต้น Amarin Baby & Kids จึงมีหลักการเลี้ยงลูกด้วยธรรมะ จาก ปุตตปริทรรศน์ กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา เว็บไซต์ ธรรมจักรดอทเน็ต มาฝากคุณพ่อคุณแม่ให้ดูเป็นแนวทางในการเลี้ยงลูกให้ถูกธรรม ถูกต้อง ดังต่อไปนี้

หลักการเลี้ยงลูกให้ถูกธรรม 37 ประการ

1. เด็กน้อย เปรียบเหมือนผ้าขาวบริสุทธิ์

พ่อแม่จะย้อมหรือประทับสิ่งใดไว้บนผ้าขาว ก็ย่อมจะเห็นได้ชัดและติดทนนาน จึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่งที่พ่อแม่ควรย้อมหรือประทับแต่สิ่งที่ดีงามไว้บนผ้าขาวสะอาดผืนน้อยนี้ อย่าได้ประทับสิ่งสกปรกไว้เป็นอันขาด เพราะจะเกิดราคีแก่เด็ก และจะไปซักล้างภายหลังยาก หรือไม่ได้เลย

2. อย่าตามใจลูกในทางผิดๆ

เพราะการตามใจลูกในทางผิดๆนั้น  เท่ากับการสอนให้ลูกทำผิดนั่นเอง เหตุเพราะลูกยังเล็กหรือไร้เดียงสาเกินไป จึงไม่อาจที่จะแยกได้ว่าอะไรผิดหรือถูก พ่อแม่ที่ดีจึงควรที่จะห้ามเมื่อลูกทำผิดหรือชั่ว และควรจะส่งเสริมในเมื่อลูกทำถูกหรือทำดี

3. จงให้ความยุติธรรมแก่ลูก

เมื่อลูกเราไปทะเลาะกับลูกคนอื่น จงวางตนเป็นกลาง สอบสวนด้วยใจเป็นธรรม แล้วแนะนำลูกในทางที่ถูก อย่าใช้อารมณ์และอย่าให้อคติเข้าครอบงำจิต จะทำให้ลูกเราเสียคน ถ้าเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็อย่าไปใส่ใจปล่อยให้เป็นเรื่องของเด็กเขาจัดการกันเอง เดี๋ยวเขาก็จะดีกันเอง

4. ถ้าจะสอนลูก เมื่อลูกทำผิดหรือชั่วก็อย่าได้เอาลูกเราไปเที่ยวประจาน หรือเปรียบกับลูกของคนอื่น

ลูกของใครก็ต้องเป็นลูกของคนนั้น  มันจะเหมือนกันไปหมดย่อมไม่ได้ จะทำให้ลูกน้อยใจและทำประชดให้หนักยิ่งขึ้นกว่าเก่าได้ ควรจะแนะนำด้วยเมตตาจิต อย่าใช้อารมณ์

อ่านต่อ >> “แนวทางการเลี้ยงลูกให้ถูกธรรม 37 ประการ” คลิกหน้า 2

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

คำถาม 15 ข้อ ที่พ่อแม่ควรถามลูกเพื่อให้เข้าใจลูกมากขึ้น

event

พ่อแม่ เข้าใจลูก …ความเข้าอกเข้าใจเป็นสิ่งที่ทุกคน ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่  ชายหรือหญิง สถานะสูงหรือต่ำ ล้วนปรารถนาทั้งสิ้น   ความเข้าใจของใครคนหนึ่งจะเป็นแรงพลังให้เรามีกำลังใจรู้สึกมั่นคง ปลอดภัย รู้สึกได้รับการยอมรับ รวมถึงการได้รับความเชื่อมั่นในส่วนดีของเรา ทำให้สามารถเผชิญกับสิ่งต่าง ๆ ในอนาคตข้างหน้าได้

เด็กก็ต้องการคนที่เข้าใจเขาเช่นกัน แม้ว่าเด็กไม่สามารถสื่อสารให้ผู้ใหญ่เข้าใจได้ครบถ้วน ผู้ใหญ่ต้องพยายามเข้าใจ เช่น เด็กทารกซึ่งพูดไม่ได้เลย คนเลี้ยงก็ต้องเรียนรู้ว่า เวลาเด็กหิว ง่วงนอน ต้องการเปลี่ยนผ้าอ้อม จะแสดงออกอย่างไร

Must readถอดรหัส เสริมพัฒนาการ 11 กระบวนท่าของทารกที่พ่อแม่มือใหม่ควรรู้!

พ่อแม่ เข้าใจลูก

รวม 15 คำถามที่ควรถามเพื่อให้ พ่อแม่ เข้าใจลูก มากขึ้น

ซึ่งการเป็นพ่อแม่ที่ดีและเข้าใจลูกได้นั้น  สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้เลย คือ การคอยสังเกตความคิด หรือมุมมองของลูก  เพื่อที่จะจัดระเบียบมุมมองได้ พ่อแม่จึงต้องพูดคุยและคอยซักถามความคิดลูกอยู่เสมอ 15 คำถามเหล่านี้จะช่วยให้คุณ เข้าใจลูก มากยิ่งขึ้น

*คำถามทั้งหมดนี้เหมาะสำหรับถามเด็กวัย 7 ขวบขึ้นไป

1. ขอ 5 คำที่คิดว่าเป็นตัวลูก

คำถามนี้เป็นการชี้ให้เด็กรู้จักทิศทางของตัวเองว่าตัวเองเป็นคนแบบไหน และคนอื่นมองเขาแบบไหน เป็นการช่วยให้เด็กมีกรอบความคิดว่าตัวเองมีความสามารถอย่างไร และจัดระเบียบความคิดให้ตัวเองเป็นคนแบบใดในอนาคต

2. ลูกทำอะไรแล้วมีความสุขที่สุด

เด็กบางคนมีความสุขกับการเล่นเกม ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่ดีนะคะ เพราะเกมทำให้พ่อแม่มีความใกล้ชิดกับเด็กมากยิ่งขึ้นด้วย การที่เราได้รู้ว่าลูกเราชอบอะไรจะทำให้เราสามารถหากิจกรรมอื่นๆมาส่งเสริมลูกเราเพิ่มเติม หรือพอจะบอกคร่าวๆ ได้ว่า ลูกจะเป็นอะไรในอนาคตได้

3. ลูกรู้วิธีที่จะสอนคนอื่นไหม

คำถามนี้จะทำให้เด็กๆ คิดว่า เรื่องราวต่างๆ ไม่ได้เกี่ยวกับเขาเพียงคนเดียว มันคือการแบ่งปัน และการได้สอนคนอื่นยังทำให้ลูกของคุณมีความมั่นใจ รู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า และยังช่วยส่งเสริมให้ลูกชอบเรียนรู้เพิ่มอีกด้วย

4. อะไรเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต / อะไรแย่ที่สุดในชีวิต ของลูก

ชีวิตไม่ได้สวยงามกันหมดหรอกค่ะ ต่อให้คุณประคบประหงมเขามากแค่ไหน สังคมโรงเรียน หรือสิ่งแวดล้อมต่างๆ หล่อหลอมให้ลูกของคุณเจอเรื่องราวมากมายในชีวิต การถามคำถามนี้จะให้ลูกของคุณเข้าใจว่า ชีวิตของเราทุกคนไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ และต้องจัดการกับสิ่งที่ดีและร้ายอย่างไร

อ่านต่อ >> “คำถามที่พ่อแม่ควรถามลูก เพื่อเข้าใจลูกมากขึ้น” คลิกหน้า 2

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

อัพเดทอาการน้องแม็กซ์เวลล์ rsv

อัพเดทอาการ น้องแมกซ์เวลล์ติดเชื้อ ไวรัส RSVลามลงปอด

Alternative Textaccount_circle
event
อัพเดทอาการน้องแม็กซ์เวลล์ rsv
อัพเดทอาการน้องแม็กซ์เวลล์ rsv

เวลาลูกป่วยนั้น เป็นช่วงเวลาทุกข์ที่สุดของคนเป็นพ่อแม่เลยก็ว่าได้ ยิ่งปัจจุบันเชื้อโรคต่างๆ ก็พัฒนาความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งในเด็กเล็กๆ ที่ยังมีภูมิต้านทานต่ำ เมื่อติดเชื้อแล้ว มักมีอาการรุนแรงและเป็นอันตราย ล่าสุด น้องแม็กซ์เวลล์ ติดเชื้อ ไวรัส RSV ต้องนอนโรงพยาบาล ทำเอาพ่อไมค์ พิรัชต์ และแม่ซารา คาซิงกินีทรมานใจสุดๆ

โดยคุณแม่ซาร่า ได้อัพเดทอาการน้องแม็กซ์เวลล์ผ่านอินสตาแกรม sarahcasinghini ว่า “น้องติดเชื้อไวรัสโรคระบาด RSV (ค่อนข้างจะอันตรายในเด็กเล็ก) ลองหาข้อมูลเพิ่มเติมตาม internet ได้ค่ะ มีหลายคนสงสัยว่า น้องติดมาจากเกาหลี/ฮ่องกงหรือป่าว? ขอตอบว่าไม่ใช่นะคะ คุณหมอแจ้งว่าไวรัสอาศัยในเมืองร้อนไม่ใช่เมืองหนาวและเป็นโรคที่มีอยู่ในประเทศไทยเรานั้นเอง ติดได้จากคนที่มีเชื้อ และ จากที่สาธารณะ ห้างสรรพสินค้า ที่ผู้คนแออัด เป็นต้น”

https://www.instagram.com/p/BPH7VKXjV5M/

 

“อาการของน้องตอนนี้มีไข้สูงอยู่เรื่อยๆ 38.3-39 น้องไอมากมีเสมหะ ซึมอยู่ตลอดเวลา ถ่ายเสีย อาเจียน งอแง ที่น่าเป็นห่วงคือ คุณหมอแจ้งว่า มีภาวะปอดเริ่มอักเสบ เพราะเริ่มลงปอด ไวรัสนี้ยังไม่มียารักษา ทำได้แค่รักษาตามอาการเท่านั้น ระยะเวลาค่อนข้างจะนาน ราวๆ 1-2 อาทิตย์ อาจทำให้น้องต้องนอนรพ.ดูอาการหลายวัน เป็นโรคที่ทรมานใจพ่อแม่จริงๆ มีช่วงที่น้องเช็ดตัวไปทายาไปแต่กลับกลายว่าไข้ยังสูงกว่าเดิม น้องไม่ยอมทานข้าวเลย ยังดีที่มีน้ำเกลือพอช่วยได้บ้าง ตอนนี้น้องพ่นยาทุกๆ 6 ชม. ขั้นตอนไปอาจมีการเคาะปอด กายภาพบำบัด เคสของผู้รับเชื้อนี้หนักเบาของแต่ละคนจะต่างกันนะคะ อยู่ที่ร่างกายและภูมิของเด็กแต่ละคนด้วยค่ะ”

https://www.instagram.com/p/BPHHaL6gBe8/?taken-by=maxwell.c_family&hl=en

 

“ระหว่างที่กำลังพิมพ์ พยาบาลเข้ามาเช็คไข้ ล่าสุดคือ 39.8 ตอนนี้กำลังป้อนยา และเช็ดตัว เพราะพยาบาลเกรงว่าจะชัก (ที่หายไปต้องดูแลน้องและตัวเอง อาจไม่ได้อัพเดทถี่ๆ นะคะ ต้องขออภัยสำหรับหลายๆ คนที่เป็นห่วงอาการน้องนะคะ และขอขอบคุณทุกๆ กำลังใจนะคะ) คุณแม่แอบร้องไห้ตาบวมไปเยอะ แอบอ่อนแอ มันรู้สึกทรมานหัวใจ อาจเพราะไม่เคยเห็นลูกต้องมาป่วยหนักขนาดนี้ มันค่อนข้างจะจัดการกับความรู้สึกตัวเองยากพอควร ถ้าเวิ่นไปต้องขออภัยล่วงหน้านะคะ #mummylovesyou #bestrongmyson”

บทความแนะนำ น่าฮักขนาด! แม็กซ์เวลล์ & คุณแม่ซาร่า แอ่วม่อนแจ่ม

ทางด้านคุณพ่อไมค์ ถึงตัวอยู่ไกลก็ยังส่งกำลังใจมาจากเมืองจีนถึงลูกชายสุดที่รัก ผ่านอินสตาแกรม m1keangelo ว่า ส่งกำลังใจไปให้พี่แม็กซ์จากจีน ยิ้มได้แล้วแลบลิ้นทะเล้นกับดี๊ได้แล้วเห็นไหม เดี๋ยวก็หายนะคับคนดีของดี๊ …ใครมีลูกเคยเป็น RSV บ้างขอคำแนะนำหน่อยครับ หวังว่าคงไม่ใช่ไข้หวัดนก เห็นฮ่องกง เกาหลี ระบาดอยู่ ยังไงใครมีประสบการณ์ฝากแชร์ในคอมเมนต์หน่อยนะครับ ตอนนี้ถึงมือหมอแล้วแต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี 🙁 #myotherhalf

ส่งกำลังใจไปให้พี่แม็กซ์จากจีน ยิ้มได้แล้วแลบลิ้นทะเล้นกับดี๊ได้แล้วเห็นไหม เดี๋ยวก็หายนะคับคนดีของดี๊ …ใครมีลูกเคยเป็น RSV บ้างขอคำแนะนำหน่อยครับ หวังว่าคงไม่ใช่ไข้หวัดนก เห็นฮ่องกง เกาหลี ระบาดอยู่ ยังไงใครมีประสบการ์ณฝากแชร์ในคอมเมนต์หน่อยนะครับ ตอนนี้ถึงมือหมอแล้วแต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี 🙁 #myotherhalf

A post shared by MIKE ANGELO (@m1keangelo) on

 

ล่าสุดเมื่อวันเสาร์ที่ 14 มกราคม ซึ่งเป็นวันเด็กแห่งชาติ และวันเกิดน้องแม็กซ์เวลล์อายุครบ 2 ปี 6 เดือน คุณแม่ซาร่าได้โพสต์ข้อความสุดซึ้ง ถึงหัวอกคนเป็นแม่ที่โลกทั้งใบมีแต่ลูกเท่านั้น โดยแฟนคลับต่างเข้ามาให้กำลังใจคุณแม่คนเก่งและน้องแม็กซ์เวลล์จำนวนมาก

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

อ่านต่อ>> ซาร่าโพสต์สุดซึ้งถึงน้องแม็กซ์เวลล์ คลิกหน้า 2

เตือนพ่อแม่!! สารดูดความชื้นทำให้ลูกน้อยตาบอด

Alternative Textaccount_circle
event

กรณีศึกษาหนึ่งเล่าจากปากของคุณแม่ เมื่อลูกน้อยวัย 8 ขวบที่เพิ่งจะสอบเสร็จกลางภาค ด้วยความดีใจที่ทำข้อสอบได้มาก คุณแม่ก็ภูมิใจที่ลูกน้อยตั้งใจเรียน จึงให้รางวัลด้วยการพาไปซื้อขนมก่อนกลับบ้าน ลูกนั่งกินขนมอย่างเพลิดเพลิน แต่สิ่งไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเพราะ สารดูดความชื้น

(more…)

สินค้าสำหรับเด็ก ถูก และ ดี ต้องที่ Babyshop

event

พูดถึงร้าน Babyshop แบรนด์เสื้อผ้าและของใช้สำหรับเด็ก ที่นำเข้าและจัดจำหน่ายโดยห้างสรรพสินค้าโรบินสันแล้วต้องยกนิ้วให้กับคุณภาพและดีไซน์ในราคาน่าคบหา หลายคนที่ไม่คุ้นเคยอาจมองข้ามแบรนด์นี้ไป แต่เชื่อเถอะว่าเมื่อได้ทดลองผลิตภัณฑ์ดูแล้ว ต้องหลงรัก เหมือนกับคุณแม่ทั้งสองคนนี้ ที่เมื่อได้ลองใช้สินค้าของแบรนด์นี้แล้ว รู้สึกถูกใจจนต้องแวะเวียนไปซื้ออีก

สินค้าสำหรับเด็ก ถูก และ ดี สินค้าสำหรับเด็ก ถูก และ ดี

Baby Bouncer (เปลโยก)  เหมาะสำหรับเด็กแรกเกิดถึง 6 เดือน สามารถรับน้ำหนักได้ไม่เกิน 5 กิโลกรัม มีฟังค์ชั่นการสั่นอย่างเป็นธรรมชาติ ช่วยในเรื่องการกล่อมนอน พร้อมของเล่นเพื่อเสริมสร้างพัฒนาการเด็ก (ราคา 2,450 บาท)

“ เปิ้ลมีลูกมาแล้ว 2 คนค่ะ น้องเฟ เป็นคนสุดท้อง ช่วงที่มีน้อง 2 คนแรก เคยคิดจะซื้อเปลโยกให้เขาเหมือนกัน ไปงานแฟร์สำหรับเด็กหลายครั้งก็มองทุกครั้ง แต่ไม่ได้ซื้อกลัวเขาไม่ชอบ กลัวเขาไม่อยู่เฉย กลัวสารพัด ฉะนั้นพอได้เปลโยกชิ้นนี้มาเลยขอลองกับลูกคนเล็กทันที ซึ่งหลังจากใช้กับน้องเฟแล้ว ดูเขาชอบนะคะ นั่งเพลินเชียว ทุกวันนี้คุณแม่ใช้เปลโยกเป็นอุปกรณ์ช่วยน้องกล่อมนอนค่ะ พอเห็นเขาง่วงเมื่อไหร่จับนั่งโยกไม่นานก็หลับสบาย ส่วนของเล่นเสริมพัฒนาการที่ติดมา เขายังเล็กเลยได้แค่มอง แต่โตกว่านี้คงได้ใช้อย่างจริงจังแล้วค่ะ “

ลักษณ์ศิณี ชัยสงคราม คุณแม่น้องเฟ วัย 3 เดือน

◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊

สินค้าสำหรับเด็ก ถูก และ ดี

Baby Cuddle Wrap (ผ้าห่อตัวเด็ก) สำหรับแรกเกิด – 6 เดือน ผลิตจากผ้าฝ้าย 100% สวมใส่ง่าย ช่วยให้เด็กรู้สึกอบอุ่นสบายและหลับสนิท (ราคา 440 บาท)

“ ใช้มาตั้งแต่น้องเกิดเลยค่ะ ผ้านุ่มมากๆ เวลาห่อตัวเขาแล้วดูเขาสบายตัว สงสัยคงอบอุ่นดี มาตอนนี้น้องโตก็ห่อไม่ค่อยมิดแล้วแม่ก็ปรับมาใช้ห่มแทน ไม่ก็ปูรองนอน “

ทิพากร นันทมงคล คุณแม่น้องไอคิว 5 เดือน 1 สัปดาห์

◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊

สินค้าสำหรับเด็ก ถูก และ ดี

Newborn Starter Set (ชุดอุปกรณ์สำหรับเด็กแรกเกิด) 1 เซ็ทมีทั้งหมด 7 ชิ้น ประกอบด้วย แปรงหวีผม, หวีปลายมน, กรรไกรตัดเล็บ, กรรไกรปลายมน, จุกนมหลอก, ขวดนม และ อุปกรณ์ป้อนยา (ราคา 350 บาท)

“ ชุดนี้คุ้มมาก มีทุกอย่างครบในราคาไม่แพงเลย ชอบที่สุดคือ กรรไกรตัดเล็บ ใช้งานง่าย และสะดวก ความโค้งของตัวกรรไกรพอดีกับเล็บน้อง ส่วนหวีขนนุ่มดีค่ะ น้องไอคิวไม่ค่อยมีผมหรอก แต่พอหวีแล้วน้องเขาหัวเราะคิกคัก จั๊กจี้ใหญ่ นอกจากนี้มีอีกชิ้นที่รู้สึกว่าตอบโจทย์คนเป็นแม่คือ อุปกรณ์ป้อนยา มีชิ้นนี้ทำให้การป้อนยาสะดวกขึ้นมาก ไม่หกเลอะเทอะ แถมบอกระดับปริมาณยาไว้ด้วย “

ทิพากร นันทมงคล คุณแม่น้องไอคิว 5 เดือน 1 สัปดาห์


Information:

Babyshop เป็นแบรนด์เสื้อผ้าและของใช้สำหรับเด็กที่คุณแม่มั่นใจมานานกว่า 40 ปี มีวางจำหน่ายกว่า 200 สาขาทั่วโลกด้วยรูปแบบ One-stop shop ภายในร้านจึงรวบรวมเสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้สำหรับเด็กแรกเกิดไปจนถึง 8 ปีไว้อย่างครบครัน ผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นที่นำเข้ามาได้รับการคัดสรรมาเป็นอย่างดี ผลิตจากวัสดุที่ผ่านการทดสอบแล้วว่าปลอดภัยต่อลูกน้อยและได้มาตรฐานระดับสากล พบกับ Babyshop ได้ทั้ง 7 สาขาที่

  • โรบินสันพระรามเก้า ชั้น 4
  • โรบินสันรังสิต ชั้น 2
  • โรบินสันศรีราชา ชั้น 4
  • โรบินสันอุดรธานี ชั้น 3
  • โรบินสันสระบุรี ชั้น 2
  • โรบินสันเมกาบางนา ชั้น 2
  • โรบินสันขอนแก่น ชั้น 4

รายละเอียดเพิ่มเติม Facebook: BabyshopThailand
IG: @babyshop_th

keyboard_arrow_up