ต้นไม้ไล่ยุง

10 ต้นไม้ไล่ยุง ที่ควรปลูกไว้บริเวณบ้าน

ต้นไม้ไล่ยุง  ปัญหาไข้เลือดออกในประเทศไทยมีต่อเนื่องมากขึ้นทุกปี และพบว่ามีเด็กๆ เสียชีวิตจากการป่วยเป็นไข้เลือดออกด้วยเช่นกัน ซึ่งไข้เลือดออกมีพาหะมาจากยุงลาย และเพื่อเป็นการปกป้องลูกน้อย และทุกคนในบ้านอีกทางหนึ่งจากการถูกยุงกัด ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีต้นไม้ไล่ยุง ที่แนะนำให้หามาปลูกไว้บริเวณบ้านกันค่ะ  

 

ต้นไม้ไล่ยุง – ไข้เลือดออกในเด็ก

อย่างที่เราทราบกันดีว่ายุงลายตัวร้ายคือพาหะทำให้เกิดโรคไข้เลือดออก ซึ่ง นพ.ประสงค์ พฤกษานานนท์ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อในเด็ก ศูนย์กุมารเวช โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์1  ได้ให้ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับไข้เลือดออก ไว้ดังนี้ “โรคไข้เลือดออก (dengue hemorrhagic fever หรือ dengue shock syndrome) เกิดจากการติดเชื้อไวรัสไข้เลือดออกเดงกี (dengue virus) ซึ่งมีอยู่ 4 สายพันธุ์ จัดอยู่ในกลุ่ม flavivirus และสามารถแพร่ได้โดยมียุงลายเป็นพาหะ ทั้งนี้องค์การอนามัยโลกคาดการณ์ว่าสถานการณ์ระบาดของไข้เลือดออกในหลายประเทศโดยเฉพาะในเขตร้อนจะรุนแรงขึ้น โดยส่วนหนึ่งเนื่องมาจากภาวะโลกร้อนทำให้ยุงแต่ละชนิดสามารถแพร่พันธุ์ได้มากขึ้น1

 

โรคไข้เลือดออก เป็นอีกหนึ่งโรคที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรมองข้าม เพราะปัจจุบันเชื้อไข้เลือดออกมีการกลายพันธุ์และรุนแรงมากขึ้น ถึงขั้นส่งผลให้เด็กที่ได้รับเชื้อบางรายเสียชีวิตจากอาการไข้เลือดออก  ดังนั้นเพื่อปกป้องและรักษาชีวิตของลูก และทุกคนในครอบครัว สิ่งสำคัญที่สุดคือไม่ควรถูกยุงกัด ฉะนั้นเรามาป้องกันยุงไม่ให้เข้าบ้านด้วยต้นไม้ไล่ยุงกันดีกว่าค่ะ

10 ต้นไม้ไล่ยุง ที่ควรปลูกไว้บริเวณบ้าน

ต้นไม้ไล่ยุงที่อยากแนะนำให้ปลูกไว้บริเวณรอบๆ บ้าน เป็นต้นไม้ที่ส่วนหนึ่งอยู่ในกลุ่มของพืชผักสวนครัว ที่นอกจากมีประโยชน์ป้องกันยุงได้ดีแล้ว คุณแม่ยังสามารถนำมาทำอาหารบำรุงสุขภาพทุกคนในครอบครัวให้แข็งแรงมีภูมิคุ้มกันโรคได้อีกด้วยค่ะ

 

ต้นไม้ไล่ยุง
Credit Photo : พืชเกษตร.คอม

 

1. สะระแหน่ (Kitchen mint)

สะระแหน่สมุนไพร เป็นผักสมุนไพรที่นำมาใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง โดยเฉพาะใบสะระแหน่ที่นิยมใช้ทั้งใบสดมาเป็นส่วนผสมของอาหาร และยังนำมาสกัดน้ำมันหอระเหยใช้เป็นประกอบของเครื่องสำอาง และยารักษาโรคได้  และด้วยกลิ่นของใบสะระแหน่ที่มีน้ำมันหอมระเหยที่คนชอบ แต่ยุงไม่ชอบกลิ่นฉุนๆ ของใบสะระแหน่ จึงแนะนำว่าทุกบ้านควรปลูกไว้รอบบริเวณบ้าน หรือจะปลูกในกระถางเล็กวางไว้ข้างประตู หรือหน้าต่างก็ได้ค่ะ

2. โหระพา (Thai Basil)

แกงไทยถ้าใส่ใบโหระพานี่หอมยวนใจอยากจะทานข้าวให้หมดหม้อเลยค่ะ ใบโหระพามีกลิ่นหอมเฉพาะตัวที่ดีต่อการช่วยให้เจริญอาหาร กินแล้วดีต่อระบบเลือดลมในร่างกาย ซึ่งกลิ่นหอมฉุนของน้ำมันหอมระเหยที่อยู่ในใบโหระพา สามารถไล่ยุงได้ดีมากๆ แนะนำว่าควรปลูกผักสวนครัวชนิดนี้ไว้ที่บ้านกันค่ะ

3. ตะไคร้หอม (Citronella grass)

หลบหน่อยพระเอกมา ขอบอกว่าตะไคร้หอมสามารถไล่ยุงร้ายได้ชนะเลิศมากค่ะ เพราะในต้นและใบของตะไคร้หอมจะมีกลิ่นน้ำมันหอมระเหยที่ให้กลิ่นฉุนเฉพาะตัว ซึ่งหากมนุษย์ขอย่างๆ เราดมก็ว่าหอมชื่นใจกันใช่ไหมคะ แต่ถ้าเป็นยุงจะเกลียดกลิ่นน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้หอมแบบสุดๆ เลยละค่ะ

4. มะกรูด (Leech lime)

มะกรูดนี่ใช้ประโยชน์ได้ทั้งผลและใบเลยค่ะ ที่สามารถนำมาประกอบอาหารได้ทั้งใบและผล  ซึ่งในใบและผลมะกรูดจะมีน้ำมันหอมระเหยที่ให้กลิ่นหอมฉุนแบบโล่งจมูกมาก อย่างเวลาคนเป็นลมเขาจะให้ดมลูกมะกรูดที่ช่วยบรรเทาอาหารหน้ามืดเป็นลมได้ดีมากๆ หากบ้านไหนที่พอมีพื้นที่ให้หาต้นมะกรูดมาปลูก เพราะกลิ่นน้ำมันหอมระเหยที่ใบและลูกมะกรูดสามารถช่วยไล่ยุงร้ายได้ค่ะ

5. จิงจูฉ่าย (Guizhou)

ต้นไม้ชื่อแปลกนี้จะมีผักใบเขียวๆ ที่คล้ายต้นขึ้นฉ่าย ที่มีสรรพคุณทางยาคือช่วยแก้ไข้  บำรุงปอด ฟอกเลือด ทำให้เลือดไหลเวียนดี ซึ่งใบของจิงจูฉ่ายจะมีกลิ่นหอมที่ยุงไม่ชอบ คุณแม่สามารถนำใบจิงจูฉ่ายมาขยี้แล้วทาผิวลูกเพื่อป้องกันยุงกัดได้ค่ะ

 

ต้นไม้ไล่ยุง
Credit Photo : cnseed.org

6. เจอเรเนียม (Geranium Rose)

คือไม้ประดับที่ไม่ได้มีดีแค่ความสวยงามเท่านั้น เพราะยังช่วยไล่ยุงร้ายไม่ให้เข้ามากัดเด็กๆ และคนในบ้านได้ค่ะ ต้นเจอเรเนียมเมื่อนำมาปลูกประดับไว้รอบๆ บ้าน จะให้กลิ่นหอมโชยออกมาตามธรรมชาติดีในช่วงหัวค่ำ ที่จะให้กลิ่นหอมฉุนคล้ายกับกลิ่นตะไคร้  ซึ่งเป็นกลิ่นที่ยุงไม่ชอบค่ะ

7. มอสซี่ บัสเตอร์ (Mozzie Buster)

ลักษณะของ มอสซี่ บัสเตอร์ เป็นไม้พุ่ม ขอบใบหยัก คล้ายกับต้นเจอราเนียม แต่จะมีกลิ่นแบบตะไคร้หอม กลิ่นน้ำมันที่ระเหยออกมาจากต้นมอสซี่ บัสเตอร์ สามารถไล่ยุงได้ในพื้นที่ประมาณ 100 ตารางฟุต แบบนี้หากบ้านไหนยังไม่มีต้องรีบไปหาซื้อมาปลูกไว้ที่บ้านกันนะคะ

8. ต้นแมงลัก (Hairy Basil)

เป็นผักสมุนไพรสวนครัวที่ควรปลูกไว้บริเวณบ้านค่ะ ต้นแมงลักเป็นไม้ล้มลุก สูงประมาณ 1.50 เมตร ใบแมงลักจะให้กลิ่นฉุน ที่เมื่อนำใบมาขยี้จะทำให้กลิ่นหอมฉุนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งกลิ่นฉุนของใบแมงลัก เป็นกลิ่นที่ยุงไม่ชอบ จึงใช้ไล่ยุงได้ดีค่ะ

 

ต้นไม้ไล่ยุง
Credit Photo : Pixabay

 

9. โรสแมรี่ (Rosemary)

หากคุณพ่อคุณแม่ที่เคยเดินซื้อต้นไม้มาประดับสวนที่บ้าน อาจคงคุ้นตากันดีกับต้นไม้พุ่มเตี้ยที่ชื่อไพเราะอย่างต้นโรสแมรี่ที่ไม่ได้มีดีแค่ความสวยงามเท่านั้น แต่อีกหนึ่งประโยชน์คือสามารถใช้ไล่ยุงได้ด้วย  วิธีใช้ประโยชน์เพื่อไล่ยุงคือ ให้เอาโรสแมรี่มาเผา แล้ววางไว้บริเวณรอบนอกบ้าน กลิ่นหอมของควันที่ได้จากโรสแมรี่จะช่วยไล่ยุงได้ดีมากค่ะ

10. แคทนิป (Catnip)

ต้นไม้เล็กๆ นี้เรียกอีกอย่างว่ากัญชาแมว ที่น้องเหมียวชอบกินกัน ในใบแคทนิปจะมีสารแห่งความสุข ที่น้องแมวกินทีไรฟินกันทุกตัว สารแห่งความสุขที่ได้จากใบแคทนิปไม่เป็นอันตรายใดต่อน้องแมวนะคะ ต้นกัญชาแมวเป็นพืชตระกูลเดียวกับต้นสะระแหน่ ที่มีประโยชน์ใช้ไล่ยุงได้ดีไม่แพ้พรรณไม้ไล่ยุงชนิดอื่นเลยค่ะ

 

ครอบครัวไหนที่กำลังมองหาวิธีไล่ยุง หรือการป้องกันยุงไม่ให้เข้ามากัดทุกคนในบ้าน  ที่ไม่อยากฆ่ายุงแบบต้องใช้สารพิษ ลองหาต้นไม้ไล่ยุงที่นำมาฝากทั้ง 10 ชนิดนี้ คุณพ่อคุณแม่ลองเลือกหามาปลูกซัก 3-5 ชนิดไว้รอบๆ บ้าน เพียงเท่านี้ก็สามารถช่วยให้เด็กๆ และทุกคนในครอบครัวปลอดภัยห่างไกลจากการเจ็บป่วยด้วยไข้เลือดออก …ด้วยความใส่ใจและห่วงใยค่ะ

 

ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิง
1นพ.ประสงค์ พฤกษานานนท์ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อในเด็ก ศูนย์กุมารเวช โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์. ไข้เลือดออกในเด็ก. www.bumrungrad.com
home.kapook.com , www.vegetweb.com , www.baanlaesuan.com

    ป้อนอาหารก่อนวัย

    แม่ใจสลาย ลูกวัย 10 วันเสียชีวิตเพราะอาหาร!!

    จากบทความของ คุณหมอสุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ ที่เล่าเรื่องราวของหนูน้อยวัย 10 วัน ที่พ่อแม่ของเด็กโพสต์ภาพ ป้อนอาหารก่อนวัย ลงในเฟสบุ๊ค ทำให้ลูกน้อยเสี่ยงอันตรายถึงชีวิต มีอาการตัวเหลือง ติดเชื้อในกระแสเลือด ไตวาย น้ำเหลืองไม่ดี และเสียชีวิตในที่สุด จึงเตือนเป็นอุทาหรณ์

    ป้อนอาหารก่อนวัย

    #ป้อนอาหารอื่นก่อน 6 เดือนเสี่ยงอันตรายถึงชีวิต

    หนูน้อยอายุ 7 วันพ่อแม่ป้อนอาหารแล้วมีการโพสต์ภาพลงเฟซบุ๊ก

    อายุ 8 วัน น้องตัวเหลือง ไปรพ. คุณพ่อเข้าใจผิดว่า หมอเจ้าของไข้จะเลี้ยงไข้ พ่อไม่ยอม จึงพากลับบ้าน อีก 2 วันต่อมา น้องตัวเหลืองเพิ่มขึ้น พากลับไปรพ.อีกครั้ง รพ.บอกว่าอาการหนักแล้วต้องส่งต่อไปรักษาที่รพ.อีกแห่ง สุดท้ายรพ.ที่สองแจ้งว่า น้องอาการหนัก ตัวเหลืองมาก ติดเชื้อในกระแสเลือด ไตวาย น้ำเหลืองไม่ดี ในที่สุดน้องเสียชีวิต

    ป้อนอาหารก่อนวัย

    สันนิษฐานว่ากรณีนี้อาจเป็นอีกรายหนึ่งที่ต้องสูญเสียชีวิตจากการเริ่มป้อนอาหารเร็วเกินไป กระเพาะอาหารและลำไส้ของทารกยังไม่แข็งแรงพอที่จะย่อยหรือดูดซึมอาหารอื่นที่ไม่ใช่นม เมื่อลำไส้อักเสบก็เกิดการติดเชื้อแทรกซ้อนเข้ากระแสเลือด จนเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต

    อย่าเชื่อคำพูดว่า โบราณก็ทำกันมา ไม่เห็นเป็นอะไร หรือ เธอก็ถูกเลี้ยงมาแบบนี้ ยังไม่เห็นเป็นไรเลย เพราะลูกเราอาจโชคร้ายเป็นแบบเคสตัวอย่างหรืออีกหลายๆ เคสที่เป็นข่าวมาเป็นระยะๆ

    รบกวนแชร์ข้อมูลวิธีการให้อาหารเสริมที่ถูกต้องให้คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ทุกท่านได้ทราบกันมากๆ จะได้ไม่มีเคสน่าเศร้าแบบนี้เกิดขึ้นอีกค่ะ

    ป.ล. ลบโพสต์เก่าเพื่อต้องการสื่อเฉพาะประเด็นการให้ความรู้เรื่องการให้อาหารอย่างถูกต้องแก่ทารกเท่านั้นค่ะ

    อันตรายจากการให้อาหารเสริมไม่ถูกต้อง

    ขอแสดงความเสียใจกับการป่วยของลูกคุณแม่ท่านนี้ด้วยค่ะ ด้วยความไม่มีความรู้เรื่องการป้อนอาหารที่ถูกต้องให้กับทารก จึงทำให้เกิดอันตรายต่อลูกอันเป็นที่รัก อยากให้ทุกท่านที่ได้อ่านโพสต์นี้ช่วยกันแชร์ข้อมูลความรู้ที่ถูกต้อง เพื่อที่จะได้ไม่มีเรื่องเศร้าแบบนี้อีกต่อไปค่ะ

    ป้อนอาหารก่อนวัยทำไมจึงไม่ควรให้ทารกกินอาหารเสริมก่อนอายุ 6 เดือน

    คุณหมอสุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ กล่าวว่า “เมื่อ 10 ปีก่อน แนะนำให้เริ่มอาหารเสริมหลัง 4 เดือน แต่ปัจจุบันเปลี่ยนเป็น 6 เดือนแล้วค่ะ โดยมีงานวิจัยมากมายสนับสนุนคำแนะนำดังกล่าว แต่บุคลากรทางการแพทย์จำนวนหนึ่งและหนังสือคู่มือเลี้ยงลูกหลายๆ เล่มยังไม่ทราบข้อมูลใหม่เหล่านี้”

    ต่อไปนี้ คือ หน่วยงานที่แนะนำว่า ทารกควรกินนมแม่อย่างเดียว หรือ กินนมผงบวกน้ำเปล่าเพียงอย่างเดียวในช่วง 6 เดือนแรก

    *องค์การอนามัยโลก *ยูนิเซฟ *สมาคมกุมารแพทย์แห่งสหรัฐอเมริกา *คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติออสเตรเลีย *คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติแคนาดา

    ข้อดีของการเริ่มอาหารหลังอายุ 6 เดือน

    ทารกส่วนใหญ่จะมีความพร้อมทั้งด้านพัฒนาการและร่างกายในการกินอาหารเสริมที่อายุประมาณ 6 เดือน ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้

    ข้อดีของการเริ่มอาหารหลังอายุ 6 เดือน

    • ช่วยลดอัตราการเจ็บป่วย เพราะได้รับภูมิต้านทานจากนมแม่เต็มที่ มากกว่า 50 ชนิด และยังมีอีกมากมายที่ยังไม่รู้จัก การศึกษาหนึ่งพบว่าเด็กที่ได้รับนมแม่อย่างเดียวใน 6 เดือนแรกมีปัญหาโรคหูชั้นกลางอักเสบน้อยกว่ากลุ่มที่เริ่มอาหารเสริมเร็ว โดยลดลงถึง 40% และมีปัญหาโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจลดลงอย่างชัดเจน
    • ไม่ทำให้ระบบทางเดินอาหารทำงานหนักเกินไป ถ้าเริ่มเร็วเกินไป อาจมีปัญหา ท้องอืด ท้องผูก น้ำย่อยโปรตีนยังพัฒนาไม่เต็มที่ ทำให้ย่อยโปรตีนได้ไม่เต็มที่ น้ำย่อยคาร์โบไฮเดรตยังไม่สมบูรณ์จนกว่าจะอายุ 6-7 เดือน น้ำย่อยไขมันยังไม่สมบูรณ์จนกว่าจะอายุ 6-9 เดือน
    • ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคแพ้อาหาร งานวิจัยพบว่า ยิ่งให้นมแม่นาน ยิ่งลดความเสี่ยงของโรคแพ้อาหาร เพราะว่าก่อน 6 เดือน เซลเยื่อบุลำไส้ยังอยู่กันแบบหลวมๆ (open) เพื่อให้ ภูมิคุ้มกันจากนมแม่ผ่านเข้าไปตามช่องว่างดังกล่าวเข้าไปอยู่ในเลือดของลูก ช่วยป้องกันการติดเชื้อโรค แต่หากมีการให้อาหารแปลกปลอมอื่นเข้าไป สารแปลกปลอมก็จะเล็ดลอดเข้าไปกระตุ้นให้ร่างกายทารกสร้างสารต่อต้าน จนเกิดปัญหาแพ้อาหารตามมาได้ หลัง 6 เดือนเซลเยื่อบุลำไส้จะอยู่กันชิดๆแล้ว (close) ความเสี่ยงจึงลดลง

    ป้อนอาหารก่อนวัย

    • ลดความเสี่ยงปัญหาขาดธาตุเหล็ก การให้อาหารอื่นก่อนอายุ 6 เดือน จะทำให้ลำไส้ดูดซึมธาตุเหล็กจากนมได้น้อยลง งานวิจัยพบว่า เด็กที่ได้รับอาหารเสริมก่อน 6 เดือน จะมีปัญหาซีดจากขาดธาตุเหล็กที่อายุ 1 ขวบมากกว่า และเมื่อเริ่มอาหารเสริมแล้ว อย่าลืมให้กินอาหารที่มีธาตุเหล็กเป็นประจำ จะได้ไม่ซีด อีกปัจจัยหนึ่งที่จะลดความเสี่ยงของโรคซีดหลัง 6 เดือน คือ ตอนคลอดควรรีดเลือดจากสายสะดือเข้ามาทางลูก ถึงแม้จะเพิ่มปัญหาตัวเหลืองขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่มีความสำคัญอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
    • ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคอ้วนเมื่อโตขึ้น
    • ช่วยให้แม่ผลิตน้ำนมได้เต็มที่ เพราะหากกินอาหารเสริม จะทำให้เด็กกินนมแม่ลดลง แม่จะสร้างน้ำนมลดลง พบว่าเด็กที่เริ่มอาหารเสริมเร็วก่อน 6 เดือน มีแนวโน้มหย่านมแม่เร็วขึ้น
    • ลูกมีปัญหาการกินน้อยกว่ากลุ่มที่เริ่มอาหารเสริมก่อน 6 เดือน เพราะลูกมีความพร้อมมากกว่า อย่าเชื่อคำขู่ว่า ถ้าไม่เริ่มเร็วๆ ลูกจะกินข้าวยาก เพราะเริ่มเร็วเริ่มช้ากว่า 6 เดือน ก็มีปัญหากินข้าวยากได้ทั้ง 2 กลุ่ม กินนมแม่หรือนมผง ก็เจอปัญหากินข้าวยากทั้ง 2 กลุ่ม และข้อเท็จจริง คือ กลุ่มที่เริ่มเร็วกว่า 6 เดือน (เพราะน้ำย่อยและการเคลื่อนไหวของลำไส้ยังไม่พร้อม) และ กลุ่มนมผง (เพราะเด็กนมแม่ รสชาตินมแม่จะแปรเปลี่ยนไปตามอาหารที่แม่กิน จึงทำให้เด็กคุ้นเคยกับรสชาติอาหารมากกว่า แต่นมผง รสชาติจะคงเดิมตลอด) จะมีปัญหากินข้าวยากมากกว่าค่ะ

    ลูกใครที่กินก่อน 6 เดือน แล้วไม่มีปัญหาอะไร ก็ถือว่าโชคดีไปค่ะ เช่น ให้กินกล้วยตั้งแต่ 1 เดือน ลูกก็ไม่เห็นเป็นไร กระเพาะก็ไม่เห็นแตกเหมือนกับที่เป็นข่าว ก็เหมือนกับการรัดเข็มขัดนิรภัยที่บางคนไม่รัด ก็ยังอยู่รอดปลอดภัยดีอยู่ แต่ผลกระทบต่อสุขภาพระยะยาวนั้นมีแน่ๆ ค่ะ


    เครดิต: พญ.สุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ

     

    อ่านเพิ่มเติม คลิก!!

     

    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

    Save

    Save

      ไขข้อข้องใจ ที่ตรวจครรภ์ ตรวจอย่างไร-ตอนไหนดี?

      ที่ตรวจครรภ์ ตรวจตอนไหน …หากผู้หญิงเราต้องการทราบว่าท้องหรือไม่ แต่ไม่สะดวกไปพบแพทย์ คุณสามารถใช้ที่ตรวจครรภ์ที่มีขายอยู่ตามร้านขายยาได้ทั่วไป มาตรวจการตั้งครรภ์ด้วยตนเองได้ ซึ่งที่ ตรวจครรภ์ สามารถแจ้งผลได้รวดเร็วและมีความแม่นยำสูงถึง 97-99% และสามารถสอบถามวิธีการใช้ให้ถูกวิธีได้จากเภสัชกรที่ร้านได้เลย

      ที่ตรวจครรภ์ นี้จะใช้จับฮอร์โมน HCG (Human Chorionic Gonadotropin) ซึ่งฮอร์โมนตัวนี้จะพบในปัสสาวะหลังจากมีการปฏิสนธิแล้ว ซึ่งแสดงว่ากำลังท้องนั่นเองค่ะ

      ไขข้อข้องใจ ที่ตรวจครรภ์ ตรวจตอนไหน ตรวจอย่างไร?

      ที่ตรวจครรภ์ ตรวจตอนไหน

      โดยในขณะที่ผู้หญิงเราตั้งครรภ์ ร่างกายจะเกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายหลายอย่างเพื่อเตรียมตัว สำหรับอีกชีวิตหนึ่งที่จะเกิดมา ก็เหมือนเราเตรียมบ้านสำหรับคนมาใหม่ ต้องเก็บต้องจัดของให้เข้าที่เรียบร้อย

      Must read15 สัญญาณ คุณอาจเป็น ‘แม่ท้องคนใหม่’

      ซึ่งการจะรู้ว่าท้องหรือไม่ ถ้าจะอาศัยวิธีสังเกตอาการทางร่างกายคงเป็นเรื่องยาก และไม่แน่นอน ยิ่งในช่วงเริ่มต้น อย่างเรื่อง การแพ้ท้อง คลื่นไส้อาเจียน ก็ไม่ได้เป็นอาการเฉพาะเจาะจงของคนท้องทุกคนเสมอไป ซึ่งโรคอื่นก็มีสาเหตุอื่นก็ทำให้มีอาการอย่างนี้ได้ …ดังนั้นจึงต้องอาศัยการ ตรวจครรภ์ จึงจะบอกได้แน่ชัดนั้นเอง โดยต้องผ่านการตรวจ ร่างกาย เช่น ตรวจปัสสาวะ ตรวจเลือด อัลตร้าซาวด์ เพื่อเป็นการยืนยันได้ว่าคุณกำลังตั้งครรภ์จริง

      การตรวจการตั้งครรภ์ที่นิยมและรวดเร็วมากที่สุดก็คือการตรวจปัสสาวะ ส่วนมากซื้อชุดตรวจการตั้งครรภ์มาตรวจเอง โดยใช้ปัสสาวะเพียงไม่กี่หยด เพราะเนื่องจากในปัสสาวะของหญิงตั้งครรภ์จะมีฮอร์โมนชนิดหนึ่ง (HCG) ที่บ่งบอกให้รู้ได้ว่ากำลังตั้งครรภ์ ซึ่งการเก็บปัสสาวะหลังตื่นนอนตอนเช้าจะได้ผลที่แน่นอนยิ่งขึ้น แต่มีข้อแม้ว่าประจำเดือนจะต้องขาดไปแล้วประมาณ 35-40 วัน นับจากครั้งสุดท้ายที่ประจำเดือนมา หรืออีกอย่างก็คือให้ประจำเดือนเลยกำหนดที่จะมาไปก่อนประมาณ 7-10 วันขึ้นไป การตรวจครรภ์ โดยใช้ปัสสาวะจึงจะเชื่อถือได้และแม่นยำเกือบ 100%

      ที่ตรวจครรภ์ ตรวจตอนไหน

      Must readผู้หญิง ปวดประจำเดือน แบบไหนต้องไปหาหมอ!
      Must readรู้จักนับวันตกไข่ แก้ไขมีลูกยาก
      Must readQ&A คลายสงสัย อาการแพ้ท้อง ของคุณแม่ทุกไตรมาส

      วิธีการใช้ชุดตรวจการตั้งครรภ์ด้วยตนเอง

      ชุดตรวจการตั้งครรภ์เป็นการตรวจหาฮอร์โมน HCG (Human chorionic gonadotropin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่สร้างขึ้นจากรกที่จะมีการผลิตขึ้นหลังการปฏิสนธิประมาณ 6-8 วันและจะสูงขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ 8-12 ชุดการตั้งครรภ์จะให้ผลแม่นยำสูงถึง 90% ในรายที่มีการขาดของประจำเดือนตั้งแต่ 10-14 วัน รูปแบบของชุดตรวจการตั้งครรภ์สามารถแบ่งได้หลักๆ 3 แบบที่สามารถหาซื้อได้ง่ายและมีขายทั่วไปตามร้านขายยาและอุปกรณ์ทางการแพทย์

      ที่ตรวจครรภ์ แบบแถบจุ่ม (Test Strip)

      ที่ตรวจครรภ์ ตรวจตอนไหน

      ภายในกล่องจะประกอบไปด้วยแผ่นทดสอบการตั้งครรภ์และถ้วยตวงปัสสาวะ ราคาของแผ่นตรวจประเภทนี้อยู่ที่ 100-140 บาท มีวิธีการใช้ดังนี้

      1. ปัสสาวะใส่ในถ้วยตวงที่เตรียมไว้ ระยะเวลาที่เหมาะสมสำหรับการตรวจควรเป็นตอนเช้าหลังตื่นนอนเนื่องจากเป็นช่วงที่ฮอร์โมนสูงที่สุดและควรเป็นปัสสาวะใหม่หรือทิ้งไม่เกิน 1 ชม.เพื่อความแม่นยำของผลตรวจมากที่สุด

      2. หลังจากได้ปัสสาวะแล้วให้ใช้แผ่นตรวจการตั้งครรภ์ด้านที่มีลูกศรชี้ลง จุ่มลงในถ้วยที่เก็บปัสสาวะเตรียมไว้ โดยระวังไม่ให้น้ำปัสสาวะสูงเกินขีดที่กำหนด ใช้เวลาจุ่มประมาณ 3 วินาทีและนำแผ่นตรวจขึ้นจากน้ำปัสสาวะ ถือไว้ในแนวระนาบหรือวางไว้ในบริเวณที่แห้งเพื่อป้องกันการแปรผลที่ผิดพลาด แผ่นตรวจจะใช้เวลาอ่านผล 1-5 นาที

      อ่านต่อ >> “วิธีการใช้ชุดตรวจการตั้งท้องด้วยตนเอง” คลิกหน้า 2

      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

       

        ลูกร้องไห้นาน

        ปล่อยให้ลูกร้องไห้นานๆ ทำลายสมองจริงหรือ?

        มีความเชื่อหนึ่งที่ว่า การปล่อยให้ ลูกร้องไห้นาน เป็นการบริหารปอด ความเชื่อนี้อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสมองของลูกน้อย เพราะเมื่อลูกถูกปล่อยให้ร้องไห้เป็นเวลานาน สมองของลูกน้อยจะหลั่งฮอร์โมนความเครียดคอร์ติโซล (cortisol) ทำให้เกิดอันตรายต่อสมอง ทำลายพัฒนาการได้

        Continue reading “ปล่อยให้ลูกร้องไห้นานๆ ทำลายสมองจริงหรือ?”

          กินนมแม่ แล้วลูกตัวเล็ก

          ไม่จริงใช่ไหม! กินนมแม่ แล้วลูกตัวเล็ก น้ำหนักน้อย

          คุณแม่ให้นมหลายคนอาจกำลังเครียดหนัก เนื่องจากคนรอบข้างต่างกดดันให้เลิกเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เพราะเข้าใจว่าเป็นสาเหตุทำให้ลูกตัวเล็ก และน้ำหนักน้อย อยากให้เปลี่ยนไปกินนมผสม หรือเพิ่มวิตามินอาหารเสริมแทน เพื่อให้ลูกตัวอ้วนใหญ่เหมือนเด็กคนอื่น ๆ ข้อเท็จจริงนี้จะเป็นอย่างไร วันนี้เราจะพาคุณแม่ไปทำความเข้าใจกันค่ะว่า กินนมแม่ แล้วลูกตัวเล็ก น้ำหนักน้อย จริงหรือ? Continue reading “ไม่จริงใช่ไหม! กินนมแม่ แล้วลูกตัวเล็ก น้ำหนักน้อย”

            ลดหย่อนภาษี 2560 เพิ่มสิทธิลดหย่อนสามี-ภรรยาและลูกเป็น 2 เท่า

            ลดหย่อนภาษี 2560  …กฎหมายภาษีฉบับใหม่ เพิ่มสิทธิลดหย่อนคู่สมรส ปรับโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ลดหย่อนคู่สมรสที่มีเงินได้ 60,000 บาท บุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้มีเงินได้ หรือบุตรชอบด้วยกฎหมายของสามีหรือภริยาของผู้มีเงินได้คนละ 30,000 บาท บุตรบุญธรรมของผู้มีเงินได้คนละ 30,000 บาท แต่รวมกันต้องไม่เกิน 3 คน

            ภาษี คืออะไร ?

            ลดหย่อนภาษี 2560

            ภาษี คือ สิ่งที่รัฐบาลบังคับเก็บจากราษฏร เพื่อใช้เป็นประโยชน์ส่วนรวม โดยไม่ได้มีสิ่งตอบแทนโดยตรงแก่ผู้เสียภาษีอากร หรืออีกนัยหนึ่งคือ เงินที่ได้จากเอกชนไปสู่รัฐบาล โดยการเก็บภาษีมีวัตถุประสงค์เพื่อหารายได้ให้พอใช้กับค่าใช้จ่ายของรัฐบาล เพื่อกระจายรายได้ เพื่อควบคุมการบริโภคของประชาชน เพื่อชำระหนี้สินของรัฐบาล หรือสนองนโยบาลทางธุรกิจในอนาคต

            ซึ่งผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ได้แก่ ผู้ที่มีเงินได้เกิดขึ้นระหว่างปีที่ผ่านมา โดยมีสถานะ อย่างหนึ่งอย่างใด เช่น บุคคลธรรมดา , ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล , ผู้ถึงแก่ความตายระหว่างปีภาษี , กองมรดกที่ยังไม่ได้แบ่ง และ วิสาหกิจชุมชน ตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน

            กฎหมายภาษีฉบับใหม่ เพิ่มสิทธิ ยื่น ลดหย่อนภาษี 2560

            ทั้งนี้หลักเกณฑ์ในการหักค่าใช้จ่าย การหัก ลดหย่อนภาษี 2560 การกำหนดเงินได้พึงประเมินที่ต้องเสียภาษีเงินได้ การกำหนดเงินได้พึงประเมินที่ต้องยื่นรายการสำหรับบุคคลธรรมดา และอัตราภาษีเงินได้สำหรับบุคคลธรรมดาที่กำหนดในบัญชีอัตราภาษีเงินได้นั้น …ตามประมวลรัษฎากร ได้ใช้บังคับมาเป็นระยะเวลานาน ซึ่งไม่สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและค่าครองชีพในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไป จึงสมควรต้องปรับปรุงหลักเกณฑ์การหักค่าใช้จ่าย การหัก ลดหย่อนภาษี 2560 การกำหนดเงินได้พึงประเมินที่ต้องเสียภาษีเงินได้ การกำหนดเงินได้พึงประเมินที่ต้องยื่นรายการสำหรับบุคคลธรรมดาและอัตราภาษีเงินได้สำหรับบุคคลธรรมดาให้เหมาะสมยิ่งขึ้น

            Must readลงทะเบียนคนจนรอบสอง พ่อแม่ผู้มีรายได้น้อย

            โดยมีรายงานจาก ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 44) พ.ศ. 2560 (สมเด็ จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ให้ไว้ ณ วันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2560 เป็นปีที่ 2 ในรัชกาลปัจจุบัน ระบุว่า …อ่าน พระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 44) พ.ศ. 2560 คลิก!

            23

            อ่านต่อ >> “กฎหมายภาษีฉบับใหม่ เพิ่มสิทธิลดหย่อนสามี-ภรรยา และลูก อย่างไร” คลิกหน้า 2

            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

             

              แม่ใจสลาย เมื่อลูกน้อยถูกสุนัขที่มีเจ้าของกัด

              มีคุณแม่ท่านหนึ่งโพสต์ข้อความเอาไว้เป็นอุทาหรณ์ในเฟซบุ๊ก  เพื่อเตือนภัยคุณพ่อ คุณแม่ว่าให้ระวังลูกหลานเอาไว้ให้ดีๆ เพราะถ้าไม่ระมัดระวังให้ดีอาจ ถูกสุนัขกัด โดยเฉพาะสุนัขที่อยู่แถวบ้าน น้องอั่งเปา ลูกน้อยของคุณแม่อายุเพียงแค่ 2 ขวบ ถูกกัดเป็นแผล ต้องเย็บกว่า 20 เข็ม

              Continue reading “แม่ใจสลาย เมื่อลูกน้อยถูกสุนัขที่มีเจ้าของกัด”

                ลำดับการขึ้นของฟัน

                ลำดับการขึ้นของฟัน และวิธีดูแลฟันลูกอย่างถูกวิธีตั้งแต่ซี่แรก

                สิ่งที่คุณแม่ที่มีลูกน้อยวัยเบบี๋เป็นกังวลนอกจากเรื่องสุขภาพและพัฒนาการทางร่างกายของเจ้าตัวน้อยแล้ว เรื่องการขึ้นของฟันลูก ก็เป็นอีกเรื่องที่คุณแม่เฝ้ารอว่า เมื่อไหร่นะที่ฟันซี่แรกของลูกจะขึ้น เราจะพาคุณแม่ไปดู ลำดับการขึ้นของฟัน และลำดับการหลุดของฟันน้ำนม พร้อมคำแนะนำในการดูแลฟันลูกอย่างถูกวิธีตั้งแต่ซี่แรกกันค่ะ Continue reading “ลำดับการขึ้นของฟัน และวิธีดูแลฟันลูกอย่างถูกวิธีตั้งแต่ซี่แรก”

                  อันตรายจากไส้กรอก

                  อันตรายจากไส้กรอก ที่แพทย์ห้ามให้เด็กกิน

                  อันตรายจากไส้กรอก อาหารเช้า หรืออาหารว่างตอนบ่ายๆ ไม่ว่าจะเด็ก หรือผู้ใหญ่ ก็มักจบลงที่ไส้กรอกทอดจิ้มซอสมะเขือเทศ ไส้กรอกเป็นอาหารที่ทานง่าย อร่อย และเป็นหนึ่งในเมนูสุดโปรดของเด็กๆ แต่ก่อนที่คุณแม่จะให้ลูกทานไส้กรอกกันมากเกินไปกว่านี้  ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีคำเตือนถึงโทษจากการทานไส้กรอกมาให้ได้ทราบกันค่ะ

                   

                  อันตรายจากไส้กรอก – ไส้กรอกทำมาจากอะไร?

                  ไส้กรอกเป็นหนึ่งในวิธีถนอมอาหาร โดยใช้เนื้อสัตว์บดละเอียดผสมกับเกลือและเครื่องเทศ บรรจุลงในไส้  วัตถุดิบที่สำคัญในการผลิตไส้กรอก ได้แก่ เนื้อสัตว์ เกลือแกง ไขมัน เกลือไนเตรต์ เครื่องเทศ และเครื่องปรุงรส โดยเนื้อสัตว์ที่นำมาใช้ในการผลิตไส้กรอกจะต้องมีความสามารถในการรวมตัวกับน้ำได้สูง โดยมีแอคติน และไมโอซิน ทำหน้าที่ให้น้ำและไขมันในเนื้อสัตว์สามารถรวมตัวกันได้ เกลือนอกจากจะทำหน้าที่ให้รสชาติแล้วยังทำหน้าที่สกัดโปรตีนจำพวก แอคตินและไมโอซิน ออกจากกล้ามเนื้อของสัตว์ ทำให้ไส้กรอกที่ได้มีเนื้อสัมผัสที่นุ่มและชุ่มฉ่ำและให้กลิ่น และรสชาติที่คงตัว เกลือไนเตรต (KNO3, NaNO3) ทำให้ไส้กรอกเกิดสีและกลิ่นที่คงตัว และป้องกันไม่ให้ไส้กรอกเกิดการเน่าเสียจาก แบคทีเรียที่ไม่ใช้ออกซิเจนในการหายใจ1

                   

                  พอจะรู้จักที่มาที่ไปของไส้กรอกกันแล้วใช่ไหมคะ  แต่มีอยู่ส่วนผสมหนึ่งในการผลิตไส้กรอกที่ถูกกำหนดให้ใช้ในปริมาณสัดส่วนที่เหมาะสมเท่านั้น นั่นก็คือไนเตรต์ โทษของไนเตรต์คือ เมื่อเด็กๆ หรือทุกคนที่รักในการทานไส้กรอกทานมากเกินไป อาจทำให้ได้รับสารพิษสะสมในร่างกาย ไนเตรต์ที่อยู่ในอาหารมากเกินไปจะทำให้เป็นพิษต่อร่างกาย เนื่องจากสารประกอบไนเตรต์ เมื่อเข้าสู่กระแสเลือดจะไปทำปฏิกิริยาออกซิไดซ์กับฮีโมโกลบินในเม็ดเลือด ทำให้เม็ดเลือดแดงนั้นหมดสภาพ ไม่สามารถทำหน้าที่ลำเลียงออกซิเจนได้ และยังก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้ด้วย

                  อันตรายจากไส้กรอก
                  Credit Photo : shutterstock

                  อันตรายจากไส้กรอก ที่แพทย์ห้ามให้เด็กกิน!!

                  กระทรวงสาธารณสุขอนุญาตให้ใช้โซเดียมไนไตรต์หรือโปแตสเซียมไนไตรต์ในไส้กรอกและกุนเชียงได้โดยกำหนดปริมาณสูงสุด ต้องไม่เกิน 125 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม อย่างไรก็ตามในปีพ.ศ. 2555 จากรายงานการเฝ้าระวังทางระบาดวิทยาของกระทรวงสาธาณสุข พบว่ามีโซเดียมไนไตรต์ในปริมาณที่เกินกำหนดในไส้กรอกและกุนเชียง ถึงร้อยละ 16.4 และ 8.9 ของจำนวนตัวอย่างที่ถูกสุ่มตรวจ ตามลำดับ และตรวจพบการเจือปนของโซเดียมไนไตรต์ในแหนม ไก่ทอด หมูยอ ปลาเค็ม และปลาเค็มตากแห้งหวาน ทั้งที่ไม่อนุญาตให้มีการใช้ไนไตรต์ในผลิตภัณฑ์อาหารดังกล่าว

                   

                  ในเดือนมีนาคม-เมษายน พ.ศ. 2558 ภาควิชาอาหารเคมี คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้สุ่มตัวอย่างไส้กรอก แฮม และโบโลน่า จำนวนทั้งหมด 13 ตัวอย่าง ที่มีจำหน่ายในร้านสะดวกซื้อทั่วไปและซุปเปอร์มาร์เก็ต มาตรวจวิเคราะห์ปริมาณโซเดียมไนไตรต์ด้วยวิธี Modified AOAC official method 973.31 ซึ่งสรุปผลการตรวจวิเคราะห์ ได้ดังนี้ คือ ตรวจพบว่ามีไนไตรต์ในทุกตัวอย่างและมีปริมาณโซเดียมไนไตรต์ที่ตรวจพบอยู่ในเกณฑ์ที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดไว้ (ไม่เกิน 125 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม) ผลการวิเคราะห์แสดงในตารางที่ 1

                   

                  อันตรายจากไส้กรอก

                  อ่านต่อ >> “ผลกระทบต่อสุขภาพ เมื่อทานไส้กรอกมากเกินไป” หน้า 2

                   

                   

                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                    ผู้หญิง ปวดประจำเดือน

                    ผู้หญิง ปวดประจำเดือน แบบไหนต้องไปหาหมอ!

                    ผู้หญิง ปวดประจำเดือน เวลามีประจำเดือนเป็นช่วงเวลาที่ผู้หญิงส่วนใหญ่ไม่ชอบใจเลย  เพราะหลายคนต้องทรมานกับอาการปวดท้องประจำเดือน แม้กระทั่งแม่ที่ผ่านการมีลูกมาแล้วหลายคนก็ยังพบกับปัญหา “ปวดประจำเดือน”  ทีมงาน Amarin Baby & Kids จะมาชวนให้ผู้หญิงทุกคนสังเกตตัวเองว่าปวดประจำเดือนแบบไหนที่ควรต้องไปหาหมอ มาให้ทราบกันค่ะ

                     

                    ผู้หญิง ปวดประจำเดือน – ประจำเดือนคืออะไร?

                    ประจำเดือน หรือ รอบเดือน หรือ ระดู (Menstruation หรือ Period) คือ เลือดและเนื้อเยื่อต่างๆ ที่หลุดลอกออกจากเยื่อบุโพรงมดลูก หรือเยื่อบุมดลูก โดยเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเพศหญิง โดยสัมพันธ์กับการตกไข่  ซึ่งการหลุดลอกของเยื่อบุโพรงมดลูกจะเกิดประมาณเดือนละครั้ง ภาวะที่เกิดขึ้นนี้ จึงถูกเรียกว่า ประจำเดือน1

                    เป็นที่รู้กันดีว่าผู้หญิงทุกคน เราไม่สามารถปฏิเสธการมีประจำเดือนกันได้นะคะ นอกจากกรณีที่เจ็บป่วยแล้วทำให้ต้องตัดมดลูก ออกไป นั่นอาจทำให้ไม่มีประจำเดือน แต่โดยธรรมชาติร่างกายของผู้หญิงได้ถูกสร้างขึ้นมาให้มีประจำเดือนไปจนถึงอายุประมาณ 40 ปีขึ้นไป ประจำเดือนก็จะเริ่มค่อยๆ หมดไปค่ะ

                    แต่ช่วงที่มีประเดือนเป็นช่วงเวลาที่ผู้หญิงส่วนใหญ่ไม่ค่อยชอบใจนัก เพราะการมาของประจำเดือนมักจะพาเอาความเจ็บปวดท้องมาด้วย บางคนถึงขั้นไม่สามารถไปทำงานได้ ปวดท้องจนตัวงอ เป็นไข้เลยก็มี เอาเป็นว่ามาดูกันสักนิดคะว่าปวดประจำเดือนแบบไหนที่บอกถึงภาวะผิดปกติ ที่ควรต้องไปพบคุณหมอกันค่ะ

                    พญ.จูลี หวัง สูติ-นรีแพทย์ โรงพยาบาลเวชธานี2 ได้อธิบายถึงการปวดท้องประจำเดือนมีอยู่ 2 กลุ่มคือ เป็นโรค กับ ไม่เป็นโรค

                    1. การปวดท้องประจำเดือนแบบไม่เป็นโรค จะปวดท้องรอบเดือนใน 1-2 วันแรกของรอบเดือนเท่านั้น ปวดแบบทนได้ไม่ต้องทานยาแก้ปวด สาเหตุเกิดจากการหดรัดตัวของกล้ามเนื้อมดลูกเพื่อไม่ให้รอบเดือนมามากจนทำให้เกิดภาวะตกเลือด
                    2. การปวดท้องประจำเดือนแบบเป็นโรค จะปวดท้องประจำเดือนมากจนต้องทานยาแก้ปวด สังเกตได้จากการเพิ่มปริมาณของยา เช่น พาราเซตามอล 2 เม็ด เป็น 4 เม็ด หรือเปลี่ยนเป็นยา Ponstan อาการปวดจาก 2-3 วัน กลายเป็นตลอดของช่วงรอบเดือน หรือคนที่มีอาการหนักจะพบว่าปวดตลอดเวลาโดยไม่สัมพันธ์กับรอบเดือนคนไข้กลุ่มนี้ ส่วนใหญ่เกิดจากสภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ นอกจากนี้ถ้าพบในอวัยวะภายในอุ้งเชิงกราน รังไข่ ปีกมดลูก จนกลายเป็นพังผืดในท้องก็อาจเป็นสาเหตุของการเกิด Chocolate Cyst, เนื้องอกในมดลูก และมดลูกโตมีพังผืดในมดลูก2

                    อ่านต่อ >> “ผู้หญิง ปวดท้องแบบไหนต้องไปหาหมอ” หน้า 2

                     

                     

                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                      การแพ้อาหาร

                      ข้อสรุปสำหรับพ่อแม่ เรื่องการแพ้อาหารในเด็ก

                      การแพ้อาหารในเด็ก สามารถแบ่งออกได้ 2 ชนิด คือ ชนิดที่เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน และไม่เฉียบพลัน ในที่นี้จะกล่าวถึง ชนิดที่เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน คือที่เกี่ยวข้องกับ อิมมูโนโกลบูลิน อี อาการแพ้อาหารที่พบนั้นแตกต่างกันตามความรุนแรง ตั้งแต่น้อย ปานกลาง และรุนแรงที่สุด

                      Continue reading “ข้อสรุปสำหรับพ่อแม่ เรื่องการแพ้อาหารในเด็ก”

                        บริษัท ซากุระโปรดัคส์ (ไทยแลนด์) จำกัด ได้ร่วมจัด workshop จากผลิตภัณฑ์สี Sakura และ Maped

                        ในวันเด็ก 14 มกราคม  2560 ที่ผ่านมา บริษัท ซากุระโปรดัคส์ (ไทยแลนด์) จำกัด

                        ได้ร่วมจัด workshop จากผลิตภัณฑ์สี Sakura และ Maped  อาทิ เช่น ร้าน CW Art หอศิลป์กรุงเทพฯ, Isetan, Kids Fantasia  The Mall บางกะปิ,  Amarin baby & kids Fair Central จ.อุดรธานี  ให้กับน้องๆได้สนุกไปกับการระบายสี สร้างสรรค์ผลงานศิลปะของตัวเอง 

                        ซึ่งได้รับความสนใจเป็นจำนวนมาก  งานนี้น้องๆทั้งสนุกและได้ผลงานกลับบ้านกันด้วย  ติดตามกิจกรรมดีๆ จากสีซากุระได้ที่ www.sakura.in.th

                          ทดสอบอาการแพ้เอง

                          ทดสอบการหายแพ้ของลูกน้อยเอง ระวังช็อกตาย

                          อาการแพ้ในเด็กนั้น กุมารแพทย์ยืนยันแล้วว่า 100% เกิดจากการแพ้อาหาร ซึ่งไม่ควรทดสอบเอง และพบว่าการเจาะเลือดทำสกินเทสต์นั้น มีโอกาสตรวจเจอเพียง 10% คุณพ่อ คุณแม่จึงอย่าวางให้ใจลูกน้อยรับประทานอาหาร ถ้ายังไม่พบการแพ้ และห้าม ทดสอบอาการแพ้เอง เด็ดขาด

                          Continue reading “ทดสอบการหายแพ้ของลูกน้อยเอง ระวังช็อกตาย”

                            ตัวเหม็นหลังคลอด

                            ตัวเหม็นหลังคลอด สาเหตุเกิดจากอะไร?

                            ตัวเหม็นหลังคลอด  เขาว่ากันว่าผู้หญิงต่อให้สวยแค่ไหน จะเก่งงานไม่แพ้ใคร แต่ถ้าต้องมาเสียหน้าเพราะกลิ่นตัวก็แย่เลยค่ะ และเชื่อไหมคะเรื่องของกลิ่นไม่พึงประสงค์ของเรือนกาย แม่หลังคลอดเขาก็มีกันนะคะ  ทีมงาน Amarin Baby & Kids จะมาไขข้อข้องใจให้ได้ทราบกันว่าแท้จริงแล้วอาการ กลิ่นตัวหลังคลอด นี้เกิดจากสาเหตุใดกันค่ะ

                             

                            ตัวเหม็นหลังคลอด เกิดจากอะไร?

                            ก่อนอื่นขอบอกว่าผู้เขียนเองก็เคยประสบกับปัญหาเรื่องกลิ่นตัว แต่เป็นมาตั้งแต่ช่วงท้องค่ะ ตอนนั้นก็หาสาเหตุว่าเพราะอะไร ซึ่งก่อนหน้าที่ยังไม่ท้องก็ไม่เคยมีกลิ่นตัวมากวนใจเลยแม้แต่น้อย  จึงหาข้อมูลว่าสาเหตุของกลิ่นตัวเนี่ยมาจากอะไรได้บ้าง ก็มีทั้งจากฮอร์โมนในร่างกายเปลี่ยน  ดื่มน้ำน้อย  ท้องผูกขับถ่ายยาก และรวมถึงอาหารบางอย่างที่ทำให้เกิดกลิ่นตัวได้อย่างพวกเครื่องเทศกลิ่นฉุนๆ ค่ะ

                            จึงคิดว่าพอหลังคลอดแล้วยังมีกลิ่นตัวเหม็นอยู่ ก็คงเพราะติดมาจากช่วงตอนท้อง ซึ่งความจริงแล้วแม่หลังคลอดหลายคนเพิ่งจะมามีอาการกลิ่นตัวเหม็นเอาก็ตอนคลอดลูกไปแล้วนี่แหละค่ะ ที่นี่มาดูกันว่าแม่หลังคลอดที่มีกลิ่นตัวเหม็น สาเหตุมาจากอะไรได้บ้างกันค่ะ

                              • เป็นผลมาจากช่วงตั้งครรภ์ฮอร์โมนภายในร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ส่งผลทำให้ต่อมเหงื่อในร่างกายผลิตมากกว่าปกติ จนทำให้มีกลิ่นตัวแรงขึ้น
                              • ขณะตั้งครรภ์ระบบเมตาบอลิซึมหรือระบบการเผาผลาญในร่างกายจะทำงานมากกว่าปกติ 2-3 เท่า ส่งผลให้มีกลิ่นตัวมากกว่าปกติ
                              • ภายในร่างกายมีการหมักหมมจากเสีย คือช่วงหลังคลอดแม่จะต้องมีทั้งน้ำคาวปลา และแม่หลายคนมีปัญหาท้องผูกอยู่ ซึ่งของเสียที่ยังถูกขับออกมาไม่หมด ก็ก่อให้เกิดปัญหาหลิ่นตัวแรงได้
                              • อาหารของแม่หลังคลอดมักจะเน้นพวกสมุนไพรที่ช่วยเรื่องบำรุงน้ำนมแม่ ซึ่งอาหารสมุนไพรบางอย่างก็มีกลิ่นฉุน เช่น กระเทียม พริกไทย ใบกุยช่าย ใบกะเพราะ  หัวหอม ฯลฯ ตรงนี้ดีนะคะสนับสนุนให้กิน แต่อาจมีปัญหากลิ่นตัวได้บ้าง
                              • สภาพอากาศที่ร้อนชื้น ทำให้เชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนังเพิ่มจำนวนมากขึ้น และถ้าแม่ไม่ได้อาบน้ำหรือไม่ดูแลความสะอาดร่างกาย ก็ทำให้เกิดกลิ่นตัวได้ง่าย

                            อ่านต่อ >> “7 วิธีแก้กลิ่นตัวหลังคลอด” หน้า 2

                             

                             

                            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                              ลูกตัวเหลือง-กรุ๊ปเลือด

                              ลูกตัวเหลือง เพราะกรุ๊ปเลือดไม่เข้ากับแม่ จริงหรือ?

                              ลูกตัวเหลือง เป็นภาวะที่พบบ่อยในทารกแรกเกิด เกิดขึ้นจาก 3 สาเหตุ 1. เลือดแม่และลูกไม่เข้ากัน 2. สารบางอย่างที่มีอยู่ในน้ำนมของคุณแม่ 3. ตับของลูกยังทำงานไม่สมบูรณ์ หรือโรคกรรมพันธุ์บางอย่างเกี่ยวกับตับหรือลำไส้ วันนี้เราจะมาพูดถึง ภาวะตัวเหลืองที่เกิดจาก การไม่เข้ากันของหมู่เลือดแม่-ลูก กันค่ะ

                              ลูกตัวเหลือง เพราะกรุ๊ปเลือด คืออะไร

                              โดยทั่วไปแล้ว ลูกจะมีกรุ๊ปเลือดใดนั้น ขึ้นอยู่กับกรุ๊ปเลือดของพ่อ-แม่ แต่หากพ่อกับแม่มีกรุ๊ปเลือดต่างกัน แล้วลูกได้กรุ๊ปเลือดของพ่อ ก็มีโอกาสที่จะตัวเหลืองเนื่องจากเลือดของแม่กับลูกไม่เข้ากัน ได้ใน 2 กรณี แบ่งเป็น 1. การไม่เข้ากันของหมู่เลือด ABO และ 2. การไม่เข้ากันของหมู่เลือด Rh

                              ลูกในท้อง เลือดกรุ๊ปอะไร

                              การไม่เข้ากันของหมู่เลือด ABO

                              ความไม่เข้ากันของหมู่เลือดที่พบบ่อยและเป็นอันตราย เช่น แม่กรุ๊ป O แต่ลูกกรุ๊ป A หรือ B เนื่องจากเม็ดเลือดแดงของลูกจะมีแอนติเจน A หรือ B ซึ่งแม่ไม่มี แอนติเจนที่ลูกมีอาจเล็ดลอดเข้าสู่ร่างกายแม่ และกระตุ้นให้แม่สร้างแอนติบอดีต่อเม็ดเลือดแดงของลูก โดยแอนติบอดีที่เกิดขึ้นจะผ่านรกไปยังตัวลูกและไปจับกับเม็ดเลือดแดงของลูก และทำให้เม็ดเลือดแดงของลูกแตกตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ถ้าปฏิกิริยารุนแรงมาก ทารกอาจบวม หัวใจวาย และตายในครรภ์ ในกรณีที่คลอดออกมามีชีวิต ลูกจะมีอาการตัวเหลือง ซึ่งถ้าไม่มากจะดีขึ้นและหายได้เอง

                              แต่ถ้าเป็นมาก สารบิลิรูบินที่ทำให้ตัวเหลืองอาจไปจับที่สมอง จำเป็นต้องรักษาด้วยการถ่ายเลือดเพื่อกำจัดสารบิลิรูบิน ถ้ารักษาไม่ทันท่วงทีอาจเกิดความพิการทางสมองได้ อย่างไรก็ตาม หากได้รับการรักษาอย่างถูกต้องจะสามารถหายเป็นปกติได้

                              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                               

                              อ่านต่อ การไม่เข้ากันของหมู่เลือด Rh คลิกหน้า 2

                                ขูดมดลูก

                                ขูดมดลูก น่ากลัวไหม เมื่อไหร่ต้องขูดมดลูก?

                                ขูดมดลูก …เพียงแค่คิดผู้หญิงทุกคนก็รู้สึกเสียวแปล๊บบริเวณท้องน้อยขึ้นมาทันที และคงไม่มีใครอยากขึ้นขาหยั่งเพื่อโดนขูดมดลูกอย่างแน่นอน แต่เราจะหลีกหนีความขยาดหวาดเสียวนี้ไปได้หรือไม่ วันนี้มีคำตอบมาบอกค่ะว่า ความจริงแล้ว การขูดมดลูกนั้นน่ากลัวไหม แล้วเมื่อไหร่ที่ต้องขูดมดลูกกันบ้าง Continue reading “ขูดมดลูก น่ากลัวไหม เมื่อไหร่ต้องขูดมดลูก?”

                                  คัมภีร์รับมือ 10 วิธี ทำให้ลูกอยากไปโรงเรียน ได้ผล 100%

                                  ลูกไม่ยอมไปโรงเรียน …เป็นอาการที่มักเกิดขึ้นเมื่อเริ่มภาคการศึกษาใหม่ เนื่องจากเด็กๆ ต้องเปลี่ยนการดำเนินชีวิต จากที่เคยนอนดึก ตื่นสาย ไปเที่ยวกับครอบครัว ไปว่ายน้ำ หรือทำกิจกรรมต่างๆ กับพ่อแม่ และเพื่อนๆ กลายเป็นต้องไปโรงเรียนแต่เช้า เพื่อไปเรียนหนังสือ และมีการบ้านมากมายกลับมาทำที่บ้าน

                                  สำหรับเด็กส่วนใหญ่ จะรู้สึกลำบาก หรือรู้สึกยุ่งยากเพียงช่วงเวลาสั้นๆ และพวกเขาจะกลับไปสู่กิจวัตรประจำวันที่ต้องไปโรงเรียนได้อย่างรวดเร็ว แต่สำหรับเด็กบางคน ความกลัว และความกังวลที่ต้องกลับไปเรียนนั้นอาจเพิ่มมากขึ้น และสามารถนำไปสู่การไม่อยากไปโรงเรียนได้ในที่สุด เด็กบางคนอาจถึงกับพูดว่า “เกลียดโรงเรียน” หรือ “วันนี้ไม่อยากไปโรงเรียน” เด็กที่ไม่อยากไปโรงเรียนอาจร้องไห้คร่ำครวญ ส่งเสียงกรีดร้อง หรืออ้อนวอนพ่อแม่เป็นชั่วโมงเพื่อที่จะขออยู่บ้านแทนการไปโรงเรียน เด็กอาจบ่นว่าไม่สบาย หรือหนีออกจากโรงเรียนเพื่อกลับมาที่บ้าน หากเด็กถูกบังคับให้ไปโรงเรียน หรือเด็กอาจขาดเรียนเป็นเวลาหลายสัปดาห์ หรือหลายเดือน

                                  Must read : เทคนิคการปลุกลูกให้ตื่นนอนแต่เช้าอย่างมีความสุข

                                  สาเหตุที่ ลูกไม่ยอมไปโรงเรียน

                                  ลูกไม่ยอมไปโรงเรียน

                                  ปัญหาของการที่ลูกไม่ยอมไปโรงเรียนอาจเกิดขึ้นจากหลายๆ สาเหตุ แต่ปัจจัยโดยทั่วไปอาจมีสาเหตุมาจาก การเริ่มต้นของภาคเรียนใหม่ การย้ายไปเรียนโรงเรียนแห่งใหม่ หรือการที่โรงเรียนปิดเทอมเป็นเวลานาน แล้วมีการเริ่มภาคการศึกษาใหม่ ความเจ็บป่วย หรือ การสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก ก็อาจเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้เด็กปฏิเสธการไปโรงเรียน

                                  ครูเคทเพจ Kate Inspirer อธิบายว่า การที่ลูกไม่ยอมไปโรงเรียนอาจเกิดขึ้นจากหลายๆ สาเหตุ เช่น อาจเกี่ยวข้องกับโรงเรียน หรือที่บ้าน หรืออาจเกิดจากปัจจัยของตัวเด็กเองก็ได้

                                  สาเหตุที่เกิดจากโรงเรียน เช่น โดนครูดุ หรือขู่ โดนเพื่อนว่า โดนเพื่อนแกล้งหรือหัวเราะเยาะ หรืออาจกลัวสถานที่ เช่น เพื่อนบอกว่าตรงนั้นตรงนี้มีผี มีแมงมุม ฯลฯ คุณพ่อคุณแม่ต้องค่อยๆ หลอกถามเวลาอารมณ์ดี ให้เขาเล่าให้ฟัง

                                  สาเหตุที่เกิดจากครอบครัว เช่น พ่อแม่ทะเลาะกัน หรือมีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้นที่บ้าน ทำให้ลูกเกิดความวิตกกังวล เช่น กลัวพ่อแม่เลิกกัน กลัวพ่อแม่ทะเลาะกัน กลัวพ่อแม่หายไป ฯลฯ หรือในกรณีที่พ่อแม่เลี้ยงลูกแบบใกล้ชิดเกินไป ลูกอาจไม่อยากห่างพ่อแม่ จึงไม่อยากไปโรงเรียนก็ได้

                                  เด็กบางคนเติบโตมากับโลกเสมือนจริงในมือถือ จึงขาดทักษะทางสังคม ไม่รู้จะเล่นกับเพื่อนอย่างไร ไม่รู้จะคุยกับใครอย่างไร ทำให้ไม่อยากเล่นกับคนที่ไม่คุ้นเคย ยิ่งบ้านที่พ่อแม่สื่อสารทางเดียวคือสั่งกับสอน แต่ไม่เคยตั้งใจฟังลูกจริงๆ ยิ่งทำให้เด็กกลัวการพูดคุยกับคนมากขึ้น คุณพ่อคุณแม่ลองสังเกตอาการและพฤติกรรมในด้านอื่นๆ ด้วยเช่น การรอคอย พฤติกรรมเมื่ออยู่กับเพื่อนหรือคนอื่นๆ ที่ไม่คุ้นเคย ภาษาและบทสนทนากับผู้อื่น เด็กบางคนเริ่มต้นบทสนทนาไม่เป็น เพราะส่วนใหญ่มีแต่ถูกถาม

                                  เด็กบางคนยังช่วยเหลือตัวเองไม่เก่งทำให้กังวลใจเวลาเข้าห้องน้ำหรือทำอะไรไม่ทันเพื่อน ขาดความเชื่อมั่นในการทำอะไรโดยที่ไม่มีพ่อแม่อยู่ด้วย คุณพ่อคุณแม่ควรเตรียมความพร้อมของลูกด้านทักษะการดูแลตัวเองและทักษะทางสังคมก่อนที่จะเข้าโรงเรียน

                                  ที่มา : ไทยรัฐ
                                  ฝึกลูกช่วยเหลือตัวเอง
                                  ฝึกลูกช่วยเหลือตัวเอง

                                  Must read : 13 เกม สำหรับเด็ก 3 ขวบ ช่วยกระตุ้นพัฒนาการเจ้าตัวเล็กก่อนเข้าเรียน

                                  Must read5 สัญญาณเตือน “ลูกอาจมีปัญหาที่โรงเรียน”

                                  Must read : วิธีตะล่อมถามลูก เวลาเขาอยู่โรงเรียน

                                  10 วิธีรับมือ เมื่อ ” ลูกไม่ยอมไปโรงเรียน “

                                  ตามการรายงานพิเศษเกี่ยวกับสุขภาพชิ้นล่าสุดที่มีชื่อว่า การจัดการกับความกังวล และความกลัว ของวิทยาลัยแพทย์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด พบว่า การปฏิเสธการไปโรงเรียนมักจะเกิดจากความกังวล โดยสาเหตุที่ซ่อนอยู่ภายในอาจมาจากโรคกลัวสังคม (social phobia) คือ ความกลัวที่เกิดจากสภาพทางสังคม หรือการแสดงออกต่อหน้าสาธารณชน หรือโรควิตกกังวลไปทั่ว กล่าวคือ การกลัวเกินเหตุ และกังวลไปกับหลายๆ สิ่ง หลายๆ อย่าง หรือโรควิตกกังวลเกี่ยวกับการแยกจาก เช่น กลัวการแยกจากพ่อแม่ผู้ปกครอง บางครั้งต้นตอของปัญหาก็เกิดจากความกลัวที่มีลักษณะเฉพาะเจาะจง เช่น กลัวถูกเรียกในชั้นเรียน กลัวครู กลัวการโดนแกล้ง เป็นต้น และนี่คือคัมภีร์แนะนำวิธีรับมือที่คุณแม่ควรรู้ โดย นพ.เจษฎา โชคดำรงสุข อธิบดีกรมสุขภาพจิต กับ เทคนิคให้ลูกอยากและยอมไปโรงเรียนแต่โดยดี ดังนี้

                                  1. ไม่หนีลูก เพราะไม่เช่นนั้นเขาจะรู้สึกเหมือนถูกทอดทิ้ง

                                  2. เมื่อพ่อแม่ต้องไปจริงๆ ก็ขอให้กอดและหอมแก้มพร้อมบอกกับลูกว่าจะกลับมารับให้ตรงเวลา

                                  3. พูดให้ลูกสบายใจ เช่น “รักลูกนะ สัญญาจะมารับตอนบ่าย”

                                  4. การโต้ตอบรุนแรงมักไม่ได้ประโยชน์ เพราะอาการแบบนี้เป็นเรื่องปกติสำหรับเด็กในวัยเปลี่ยนผ่าน จากชั้นอนุบาล เข้าสู่ชั้น ป.1 ลูกของคุณไม่รู้ว่าควรจะวางตัวอย่างไร โดยเฉพาะเมื่อต้องใช้เวลาค่อนข้างมากอยู่ในโรงเรียน ยังไม่รวมการต้องอยู่ห่างจากแม่  และต้องเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อีกมากมาย โลกของวัยประถม ยากกว่าที่คุณคิด

                                  Must read : 8 วิธีป้องกันลูกจาก “โรคกลัวสังคม (ฮิคิโคโมริ ซินโดรม)”

                                  อ่านต่อ >> “เทคนิคทำให้ลูกอยากและยอมไปโรงเรียนแต่โดยดี” คลิกหน้า 2

                                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                   

                                    ฉีดวัคซีน มะเร็งปากมดลูก

                                    8 ข้อควรรู้ ก่อนพาลูกไป ฉีดวัคซีน มะเร็งปากมดลูก

                                    จากการประชาสัมพันธ์ของภาครัฐที่ว่าภายในปี 2560 นี้ จะมีการนำร่องให้บริการฉีดวัคซีน HPV ฟรี ให้แก่เด็กนักเรียนหญิง ชั้นป.5 ประมาณ 400,000 คนทั่วประเทศ ในขณะเดียวกันก็มีข่าวการฟ้องร้องเกี่ยวกับผลข้างเคียงจากการ ฉีดวัคซีน มะเร็งปากมดลูก ที่ประเทศญี่ปุ่น ทำให้คุณพ่อคุณแม่อาจเกิดความกังวลใจว่า ควรให้ลูกฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกหรือไม่ เราจะมาไขข้อข้องใจในเรื่องนี้กัน Continue reading “8 ข้อควรรู้ ก่อนพาลูกไป ฉีดวัคซีน มะเร็งปากมดลูก”