ยาแก้ไอเด็ก

ระวัง! อันตรายของ ยาแก้ไอเด็ก ควรใช้อย่างไรให้ปลอดภัยกับลูก

Alternative Textaccount_circle
event
ยาแก้ไอเด็ก
ยาแก้ไอเด็ก

4. ยาแก้แพ้ (Antihistamines) 

หากลูกของคุณไอและคัดจมูกเพราะภูมิแพ้ ยาแก้แพ้อาจเป็นทางเลือกหนึ่ง แต่ถ้าลูกของคุณเป็นหวัด ก็มักจะไม่เปลี่ยนแปลงอะไร ยาแก้แพ้ไม่ได้รับการพิสูจน์ว่ามีประสิทธิภาพในการบรรเทาอาการของโรคไข้หวัด รวมทั้งอาการไอ ยาแก้แพ้จะบล็อกเสมหะที่เกิดจากการแพ้เท่านั้น ดังนั้น จะไม่ได้ผลเกี่ยวกับน้ำมูกที่เกิดจากหวัด การศึกษาเมื่อเร็ว ๆ นี้มีปัญหาในการหาหลักฐานสรุปว่ายาต้านฮิสตามีนใช้ได้ผลจริงกับเด็กและผู้ใหญ่ที่มีอาการไอเรื้อรังหรือไม่ อย่างไรก็ตาม หลักฐานจำกัดจากรายงานปี 2564 พบว่าอาการไอมีผลกระทบน้อยที่สุด

5. ยาประเภทการแพทย์ทางเลือก (Homeopathic Options) 

มียาแก้ไอสำหรับเด็กจำนวนมากบนชั้นวางเป็นยาแนวการแพทย์ทางเลือก ตามแนวคิดที่ว่าสารที่เจือจางสูงสามารถช่วยร่างกายรักษาตัวเองได้ อย่างไรก็ตาม ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ไม่มีประโยชน์ที่พิสูจน์ได้ และไม่ควรให้เด็กอายุต่ำกว่า 4 ปีรับประทาน นอกจากนี้ บางส่วนของผลิตภัณฑ์เหล่านี้ ยังพบว่ามีส่วนผสมของยาที่ออกฤทธิ์ในระดับที่สูงกว่าที่กล่าวอ้างบนฉลาก และอาจก่อให้เกิดอันตรายอย่างมากต่อเด็กเล็ก รวมถึงอาการชัก หายใจลำบาก และอาการแพ้ 

ผลข้างเคียงของ ยาแก้ไอเด็ก

สารออกฤทธิ์ที่แตกต่างกัน ในยาสามารถทำให้เกิดผลข้างเคียงที่แตกต่างกันได้ อาทิ

  • ยาบรรเทาอาการไอ อาจทำให้เกิดอาการง่วงนอนและสับสนได้
  • ยาลดอาการคัดจมูก อาจทำให้เกิดความปั่นป่วน นอนไม่หลับ กระสับกระส่ายและความดันโลหิตสูง
  • ยาแก้แพ้สามารถทำให้รู้สึกง่วงได้
  • ยาขับเสมหะอาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียนและท้องร่วง

ในปี 2560 การศึกษาด้านกุมารเวชศาสตร์ ในสหรัฐอเมริกา ได้ศึกษาผลของยาแก้ไอในเด็ก การศึกษาห้าปี ระบุ  3,251 กรณีของเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปีที่ได้รับผลข้างเคียงจากยาแก้ไอและแก้ไข้หวัด ในกรณีมากกว่า 20% ผลข้างเคียงเหล่านี้รวมถึงการกระวนกระวายใจ ง่วงนอนมาก ภาพหลอน การเคลื่อนไหวของร่างกายโดยไม่ตั้งใจ และหัวใจเต้นผิดจังหวะ นอกจากนี้ พบว่ามีเด็ก 20 คน ส่วนใหญ่อายุน้อยกว่า 2 ขวบ ที่เสียชีวิตหลังจากกินยาแก้ไอและหวัด ซึ่งสองในสามเกิดจากการให้ยาเกินขนาดโดยไม่ได้ตั้งใจ

ความเสี่ยงของ ยาแก้ไอเด็ก

จากการวิจัย ผู้เชี่ยวชาญพบว่า ยาแก้ไอสำหรับเด็กมีความเสี่ยงสำคัญ สำหรับเด็กเล็ก อาจรวมถึงการต้องเข้ารับรักษาในโรงพยาบาลและแม้กระทั่งการสูญเสียชีวิต

ในปี 2547-2548 เด็กอายุต่ำกว่า 2 ปีประมาณ 1,519 คนได้รับการรักษาในห้องฉุกเฉินของสหรัฐอเมริกา เนื่องจากมีอาการรุนแรงต่ออาการไอและยาแก้หวัด ซึ่งเพียงพอที่จะทำให้ผู้ผลิตเลิกขายยาแก้ไอและผลิตภัณฑ์แก้ไข้หวัดสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปีอย่างไม่มีข้อแม้

องค์การอาหารและยายังได้ดำเนินการทบทวนการศึกษาเชิงสังเกตภายในซึ่งพิจารณาถึงผลข้างเคียงที่คุกคามชีวิตและการเสียชีวิตในเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี การทบทวนนั้นพบผู้ป่วย 54 รายที่เสียชีวิตด้วยยาลดไข้ และ 69 รายที่ได้รับยาต้านฮีสตามีนระหว่างปี 2512 ถึง 2549 และผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี ในขณะที่ 56% ของกรณีเกิดจากการให้ยาเกินขนาด 22% ของผู้เสียชีวิตเหล่านี้เกิดจากการได้รับตัวยาโดยไม่ได้ตั้งใจ 6% เกิดจากการให้ยาเกินขนาดโดยเจตนา และ 16% เนื่องจากความผิดพลาดของยา

ยาแก้ไอสำหรับเด็ก
ยาแก้ไอสำหรับเด็ก

หนึ่งในความเสี่ยงที่ใหญ่ที่สุดของยาแก้ไอสำหรับเด็ก คือ ความเสี่ยงจากการืั้ผู้ปกครองให้ยาแก่เด็กเกินขนาดโดยไม่ได้ตั้งใจ ยกตัวอย่างเช่น การให้ยาแก้ไอกับลูกหนึ่งช้อนชา แต่เห็นว่าอาการของลูกไม่ดีขึ้นจึงมีการเพิ่มปริมาณยาโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ซึ่งเป็นที่มาของการได้รับนาเกินขนาดที่เป็นอันตรายต่อเด็กได้ นอกจากนี้การใช้ยาเกินขนาดอาจเกิดขึ้นเนื่องจากการติดฉลากที่ไม่ชัดเจนและการให้ยาที่ไม่ถูกต้อง รวมทั้งเกิดอาการเป็นพิษโดยไม่ได้ตั้งใจ หรือมีการให้ทานแบบผสมยี่ห้อ ซึ่งการผสมยาแก้ไอยี่ห้อต่างๆ อาจเป็นอันตรายได้ เนื่องจากยาต่างๆ อาจมีส่วนผสมออกฤทธิ์ต่างกัน

สรุปการใช้ ยาแก้ไอเด็ก

ไม่แนะนำให้ใช้ยา OTC หรือยาที่มีขายร้านขายยา สำหรับอาการไอและหวัดในเด็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบเพราะอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ร้ายแรงและอาจถึงแก่ชีวิตได้  เนื่องจากผลิตภัณฑ์แก้ไอและยาแก้หวัด OTC จำนวนมากมีส่วนผสมหลายอย่างที่อาจนำไปสู่การให้ยาเกินขนาดโดยไม่ได้ตั้งใจ

ยาระงับอาการไอที่จำหน่ายหน้าเคาน์เตอร์มักไม่ได้ผลกับเด็กเล็ก และองค์การอาหารและยาได้แนะนำว่าเด็กอายุต่ำกว่าสี่ขวบ ไม่ควรได้รับยาแก้ไอหรือยาแก้หวัด เพราะอาจมีผลข้างเคียงที่เลวร้ายได้

นอกจากนี้ ยาระงับอาการไอตามใบสั่งแพทย์อาจเป็นอันตรายมากกว่าสำหรับเด็กเล็ก หากเด็กไอบ่อยและหนักจนนอนไม่หลับ มีโอกาสที่เด็กอาจป่วยมากกว่าการเป็นหวัด และจำเป็นต้องรักษาสาเหตุที่แท้จริง และการระงับอาการไอด้วยยาแก้ไอตามใบสั่งแพทย์อาจทำให้อาการแย่ลงได้

ยาเหล่านี้ยังเป็นอันตรายต่อเด็กเนื่องจากมีสารเสพติด Hydrocodone หรือ โคเดอีน เป็นยาเสพติดที่สามารถชะลออัตราการหายใจของเด็ก สามารถกดระบบทางเดินหายใจมากจนเด็กหยุดหายใจได้

เมื่อลูกไอควรรับมืออย่างไร ?

ในเบื้องต้น หากลูกมีอาการไอไม่รุนแรง โดยเฉพาะเด็กอายุน้อยกว่า 6 ปี อาจลองใช้วิธีรักษาโดยไม่ใช้ยาก่อน เช่น ให้ลูกดื่มน้ำมากขึ้น กินอาหารอ่อน จิบน้ำอุ่นเมื่อไอมีเสมหะ กลั้วคอด้วยน้ำเกลือ ใช้น้ำมันหอมระเหยทาผิวเพื่อบรรเทาอาการไอ และให้เด็กพักผ่อนอย่างเพียงพอ แต่ถ้าอาการไม่ดีขึ้น ควรพาไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสมต่อไป

อาการไอส่วนใหญ่จะอยู่ได้นานถึง 2 สัปดาห์หากเกิดจากการติดเชื้อไวรัส พ่อแม่สามารถช่วยบรรเทาอาการไอและช่วยให้เด็กรู้สึกสบายขึ้นได้โดยใช้วิธีการรักษาที่บ้าน เช่น

  • ให้ดื่มน้ำมากขึ้น

ให้เด็กดื่มน้ำสะอาดปริมาณมากในขณะที่มีอาการไอ โดยเฉพาะเครื่องดื่มอุ่น ๆ สามารถช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอได้ ตรวจสอบให้แน่ใจเสมอว่าของเหลวนั้นมีอุณหภูมิที่เหมาะสมเพียงพอสำหรับเด็กที่จะดื่มจากขวดหรือถ้วยที่ปลอดภัยสำหรับเด็ก

  • เมนทอลชนิดทา

เด็กอายุมากกว่า 2 ปีอาจได้รับประโยชน์จากการถูเมนทอลเพื่อบรรเทาอาการไอ เมนทอลช่วยให้การไหลเวียนของอากาศดีขึ้นผ่านทางจมูกและอาจช่วยให้เด็กนอนหลับได้ดีขึ้น ผู้ดูแลสามารถทาครีมหนาๆ บริเวณหน้าอกและคอของเด็กได้

  • เครื่องทำความชื้น

สามารถใช้เครื่องทำความชื้นแบบไอเย็นเพื่อให้หายใจสะดวกขึ้น การรักษาความชื้นในทางเดินหายใจสามารถช่วยให้ไอเสมหะได้ง่ายขึ้น องค์การอาหารและยาแนะนำว่าอย่าใช้เครื่องเพิ่มความชื้นแบบไออุ่น ซึ่งอาจทำให้โพรงจมูกบวมและทำให้หายใจลำบากขึ้น อย่างไรก็ตาม ไม่แนะนำให้ใช้เครื่องทำความชื้นหรือเครื่องทำไอระเหยที่ใช้น้ำร้อนเนื่องจากอาจเสี่ยงต่อการไหม้หากพลิกคว่ำ

  • น้ำผึ้ง

สำหรับเด็กอายุมากกว่า 12 เดือน น้ำผึ้งสามารถช่วยเพิ่มความรุนแรงและความถี่ของการไอได้ ใช้น้ำผึ้งครึ่งถึง 1 ช้อนชา มากถึง 4 ครั้งต่อวัน โดยจะใช้ช้อนโดยตรงหรือละลายในน้ำอุ่นก็ได้ อย่างไรก็ตามไม่ควรให้น้ำผึ้งแก่เด็กอายุต่ำกว่า 12 เดือน เนื่องจากมีความเสี่ยงที่เด็กอาจเป็นโรคโบทูลิซึมในทารกได้

ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.verywellhealth.comhttps://www.forbes.com/health/https://www.fda.gov

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

เรื่องที่คนอ่านมากสุด

keyboard_arrow_up