โครงการส่งความรู้ สร้างความสุขปี 2

เพราะโครงการส่งความรู้ สร้างความสุขปี 2 จึงทำให้มีนักอ่านตัวน้อยเพิ่มขึ้นเท่าตัว

นี่คือคำบอกเล่าของ คุณครูวิยะดา สืบสุด คุณครูโรงเรียนอนุบาลบ้านเหนือเขมราฐ จ.อุบลราชธานี ที่บอกกับเราว่า หลังจากที่ทางโรงเรียนได้เข้าร่วมโครงการส่งความรู้ สร้างความสุข ปี 2 ที่เป็นความร่วมมือกันระหว่างบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) และบริษัท อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์ พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) แล้ว มีนักเรียนสนใจและรักการอ่านเพิ่มมากขึ้นอีกเท่าตัวและหลากหลายวัย  จากที่ก่อนหน้านี้เด็กสนใจอ่านจะเป็นเด็กเล็ก ป.1-ป.2 ประมาณ 100-200 คน แต่ตอนนี้มีพี่ประถมปลายสนใจเข้ามาอ่านหนังสือเพิ่มมากขึ้น จึงทำให้จำนวนหนูน้อยนักอ่านเพิ่มจำนวนจาก 200 เป็น 500 คนกันเลยทีเดียว เพราะเมื่อก่อนหนังสือยังไม่เยอะมากเด็กมีความสนใจน้อย พอโครงการนี้เข้ามาทำให้หนังสือมีมากขึ้นและหลากหลาย จึงทำให้เด็กๆหันมาสนใจกันมากขึ้น

โครงการส่งความรู้ สร้างความสุขปี 2

เด็กๆ เหล่านี้มีการบันทึกรักการอ่านกันด้วย โดยคุณครูให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีมีการตรวจและให้คะแนนเสริมกับนักเรียน ทั้งนี้จะมีบันทึกการอ่านระดับชั้น ป.2-ป.6  สำหรับเวลาที่เด็กๆมักสนใจอ่าน คือช่วงเที่ยง หลังจากรับประทานอาหารกลางวันเสร็จ  ผ่านกิจกรรมที่ทางโรงเรียนจัดขึ้น นั่นคือ กิจกรรมอ่านหนังสือก่อนขึ้นเรียนตอนบ่าย โดยเราจะมีตะกร้าหนังสือเคลื่อนที่ไปให้บริการที่ใต้ถุนอาคาร โดยกลุ่มยุวบรรณารักษ์  สำหรับหนังสือที่เด็กๆชอบอ่าน ส่วนใหญ่จะเป็นหนังสือนิทาน นิยาย วรรณกรรมเยาวชน และการ์ตูนความรู้ต่างๆ รวมไปถึงเรื่องราวเกี่ยวกับความรู้รอบตัว

โครงการส่งความรู้ สร้างความสุขปี 2

ผลการเรียนของเด็กๆ ดีขึ้นได้เพราะการอ่าน

ถึงแม้ตอนนี้ทางโรงเรียนจะยังไม่มีการตัดเกรดออกมา แต่ดูจากแนวโน้มแล้วรู้เลยว่าดีขึ้นแน่นอน เพราะนอกจากเด็กจะให้ความสนใจในการเรื่องของการอ่านแล้ว คุณครูในแต่ละระดับชั้นยังมายืมหนังสือจากห้องสมุดไปให้เด็กๆอ่านเสริมกันในห้องเรียนด้วย  ส่วนใหญ่จะยืมเป็นชุดประมาณ 5-10 เล่ม มีทั้งเรื่องทั่วไป และเรื่องเกี่ยวข้องกับเนื้อหาวิชาการ ซึ่งเด็กๆโรงเรียนของเราได้มีโอกาสร่วมแข่งขันในระดับเขตการศึกษาด้วย ซึ่งปีนี้ในส่วนของการแข่งขันเนื้อหาวิชาภาษาไทย คณิตศาสตร์ หรือโครงงานต่างๆ ก็ทำผลงานได้ดี

โครงการส่งความรู้ สร้างความสุขปี 2

การอ่าน…ยังสำคัญมากขึ้นไปกว่านั้น

การอ่าน ถือเป็นผลลัพธ์ทางอ้อมที่ทำให้การเรียนเด็กๆ ดีขึ้น เพราะช่วยสร้างสมาธิให้กับเด็กๆ เมื่อพวกเขาอ่านหนังสือก็ห่างจากโทรศัพท์มือถือไปโดยปริยาย ซึ่งพวกเขาเห็นตัวอย่างนิสัยรักการอ่านมาจาก พี่นุ่น ศิรพันธ์ วัฒนจินดา ที่มาพูดคุยกับเด็กๆในเรื่องเกี่ยวกับการอ่าน จนทำให้เด็กๆได้รับแรงบันดาลใจ ช่วยจุดประกายนิสัยรักการอ่านให้กับพวกเขาได้ พี่นุ่นทำให้พวกเขาอ่านหนังสือสนุกขึ้นเยอะ จากคนที่ไม่เคยจับหนังสือขึ้นมาอ่านจับแต่โทรศัพท์มือถือ ก็ลองมาเปิดอ่านดู ถึงได้รู้ว่าหนังสือมีอะไรน่าสนใจให้อ่านเต็มไปหมด

โครงการส่งความรู้ สร้างความสุขปี 2

คุณครูก็ขอเป็นตัวแทนของโรงเรียนขอบคุณโครงการส่งความรู้ สร้างความสุขปี 2 ด้วยที่เลือกโรงเรียนของเราเป็น 1 ในโครงการ ซึ่งโครงการนี้ ถือว่าดีมากสำหรับเด็กต่างจังหวัด ที่ทำให้พวกเขามีหนังสือดีๆได้อ่านกัน เพราะก่อนหน้านี้ในห้องสมุดของโรงเรียนเองมีหนังสือไม่มาก เมื่อมีจำนวนเพิ่มจึงทำให้เด็กๆ เกิดความสนใจ ชวนกันมาอ่านอย่างไม่ขาดสาย ซึ่งคุณครูแนะนำให้เด็กๆ บันทึกรักการอ่านด้วย  ซึ่งเขาก็บันทึกได้ใจความที่ดี เด็กคนไหนหากเขียนไม่เก่งก็วาดรูปสื่อสารออกมาให้เราเข้าใจ เมื่อเราถามเขาว่า หนูอ่านเรื่องอะไรทำไมหนูถึงวาดออกมาแบบนี้ เขาก็บอกถึงเรื่องราวที่เขาอ่านได้ สอดคล้องกับรูปภาพที่เขาวาดบันทึกให้เราดู ถือว่าดีมากๆ เลยค่ะ

ติดตามข่าวความเคลื่อนไหวและร่วมสนับสนุนโครงการฯ ได้ทาง FB Fanpage : thehappyread และ www.thehappyread.com  ร่วมส่งต่อความรู้โดย  ส่งต่อความรู้มอบหนังสือให้เด็กๆ กับโครงการ ส่งความรู้สร้างความสุข ปี 2

โครงการส่งความรู้ สร้างความสุขปี 2

    นัททิว-ณัฏฐ์ ทิวไผ่งาม

    “นัททิว” ชวนน้องๆ 11 โรงเรียนเขตพื้นที่บางกระเจ้า เติมอาหารสมอง ด้วยการอ่านหนังสือ

    โครงการส่งความรู้สร้างความสุข ปีที่ 2 เกิดจากโครงการส่งความรู้ สร้างความสุขปีที่ 1 ซึ่งเป็นการร่วมมือระหว่างบริษัทอมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) โดยมีจุดประสงค์เพื่อปลูกฝังให้เด็กไทยมีนิสัยรักการอ่านผ่านกิจกรรมต่างๆ เช่น กิจกรรม “อ่านกันวันละ 15 นาที” การจัดตั้งชมรม “รักการอ่าน” เป็นต้น โดยมีการติดตามผลอย่างใกล้ชิด และยังส่งมอบหนังสือให้กว่า 1,000 เล่มต่อโรงเรียนพร้อมชั้นวางหนังสือรวมถึง 57 โรงเรียน ทั่วประเทศ

    นัททิว-ณัฏฐ์ ทิวไผ่งาม

    ในโครงการนอกจากมีชมรมรักการอ่าน และบันทึกรักการอ่านให้เด็กนักเรียนแล้ว ยังมี School Road show ที่มีพี่ๆ นักแสดงและดาราชื่อดัง มาทำกิจกรรมการอ่านกับเด็ก เช่น กิจกรรม Book Talk  กับทูตรักการอ่านอย่าง “คุณนัททิว-ณัฏฐ์ ทิวไผ่งาม “ที่มาร่วมแชร์ประสบการณ์การอ่านหนังสือและร่วมกิจกรรมร่วมกับน้องๆ 11 โรงเรียนเขตพื้นที่บางกระเจ้า ที่โรงเรียนวัดป่าเกด จังหวัดสมุทรปราการ บรรยากาศเต็มไปด้วยความสนุกสนานของน้องๆ ที่เตรียมการแสดงมาต้อนรับพี่นัททิวอย่างอบอุ่น นอกจากนั้นพี่นัททิวยังอ่านนิทานให้น้องๆฟังและมีเคล็ดลับ มีคำแนะนำดีๆเกี่ยวกับการอ่านหนังสืออีกด้วยว่า

    นัททิว-ณัฏฐ์ ทิวไผ่งาม

    “ พี่เป็นนักแสดง เวลาถ่ายละครพี่จะต้องจำบทที่เราจะต้องพูดบางทีเป็นหน้ากระดาษ  วิธีการที่ทำให้พี่สามารถจำข้อความเหล่านั้นได้คือ ตอนที่เราอ่านเราต้องเข้าใจ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น อย่างพี่จะจินตนาการเป็นภาพขึ้นมาว่า วันนั้นมันเกิดอะไรขึ้นมาบ้าง แล้วเราจะเข้าใจว่าสถานการณ์มันมีอะไรเกิดขึ้น หนังสือเรียนมันมีวิธีการในการช่วยจำคือ อย่างแรก อ่านจนเข้าใจหรือปรึกษาคุณครูจนเข้าใจ ความเข้าใจทำให้เราจำได้ไปตลอด แล้วก็สิ่งที่สำคัญมากคือ การตั้งคำถาม เพราะว่าเมื่อไหร่ที่อ่านไม่เข้าใจ และไม่ตั้งคำถาม เราก็จะไม่รู้ แต่ว่าตั้งคำถามมันจะทำให้เราจำได้ บางทีเราตั้งคำถามกับใจตัวเองเราจะจำได้นะ คือตั้งคำถามด้วยแล้วหาคำตอบด้วย  และการอ่านหนังสือสำหรับพี่เหมือนการบริโภคอาหารที่มีประโยชน์ คือบางทีเรากินเยอะมาก กินเยอะเกินไป เราจะอ้วน เพราะเรากินอาหารที่ไม่มีประโยชน์ คราวนี้เวลาเราบริโภคเลือกอ่านหนังสือ เราก็ต้องเลือกอ่านหนังสือที่ดีด้วย และมีปริมาณที่มากพอ ที่จะทำให้เราเก่งและฉลาด”

    นัททิว-ณัฏฐ์ ทิวไผ่งาม

    “ฝากไว้สำหรับการอ่าน การอ่านมันทำให้เราเก่งขึ้น มีวิสัยทัศน์กว้างไกลขึ้น แล้วเราก็จะเป็นคนดี คนเก่งในอนาคตแน่นอน อย่าลืม ที่พี่พูดไปว่าการอ่านเหมือนการกิน เพราะฉะนั้นทุกๆวันที่เรากินอาหารที่มีประโยชน์ คุณพ่อคุณแม่หรือคุณครูบอกเราว่า กินเยอะๆนะ เพราะว่าอาหารที่มีประโยชน์ ผักมีประโยชน์  กินข้าวแล้วอย่าลืมนึกว่า เรากินข้าวเข้าตัวแล้ว เราอย่าลืมกินข้าวเข้าสมองด้วย เพราะฉะนั้นกินข้าวให้สมองไม่ได้ยากเลย วันละอย่างน้อยแค่วันละ 15 นาทีเอง เพราะฉะนั้นขอให้น้องๆ ทุกคนอ่าน กันเยอะๆนะครับ แล้วก็ขอให้ทุกคนเก่งๆ แล้วก็มีความสุขทั้งตอนนี้และตลอดไป”

    เห็นไหมว่า…การอ่านให้ประโยชน์และสร้างดาราคนมีชื่อเสียง และทำให้ชีวิตเราประสบความสำเร็จขนาดไหน ใครสนใจโครงการนี้ และอยากเข้าร่วมชมรมรักการอ่านบ้าง เข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ FB Fanpage : thehappyread และ www.thehappyread.com กันเลยนะจ๊ะ  แล้วอย่าลืมมาติดตามดูว่าจะมีพี่ๆ ดาราคนไหน มาบอกเคล็ดลับความเก่งและความฉลาดจากการอ่านกัน คอยติดตามกันได้ที่นี่เลยค่ะ

    นัททิว-ณัฏฐ์ ทิวไผ่งาม

      เลี้ยงลูกอย่างไรให้เป็นโรค “ฮ่องเต้ซินโดรม”?

      จิตแพทย์ชี้! ผู้ปกครองจอมตามใจ ให้ระวังปัญหา พ่อแม่รังแกฉัน ในสังคมใหม่ยุคดิจิทัล ส่อเกิดภาวะเรียกว่า “ฮ่องเต้ซินโดรม” เต็มสังคม

      เลี้ยงลูกอย่างไรให้เป็นโรค “ฮ่องเต้ซินโดรม”?

      นพ.วิทยา นาควัชระ จิตแพทย์  กล่าวถึงอาการของโรคในเด็กไทยยุคใหม่ว่า  เด็กไทยรุ่นใหม่ที่ถูกเลี้ยงดูเป็นเทวดา เมื่อเวลาเจอเรื่องที่ไม่ได้ดังใจ จะเกิดอาการที่เรียกว่า “ฮ่องเต้ซินโดรม”

      สำหรับ “ฮ่องเต้ซินโดรม” หรือกลุ่มอาการฮ่องเต้ ขณะนี้กลายเป็นภาระของจิตแพทย์ ต้องทำงานหนักมาก เมื่อได้เจอกรณีแบบนี้ พ่อแม่พาลูกมาปรึกษาเต็มไปหมด”  โดยคนรุ่นใหม่ที่กำลังจะเป็นพลังพัฒนาประเทศ กลายเป็นคนที่เปราะบาง รักสบาย ใครขัดใจไม่ได้ ก็พร้อมจะระเบิดอารมณ์ หรือระเบิดอารมณ์ไม่ได้ ก็ระเบิดใส่ตัวเอง กลายเป็นโรคซึมเศร้ากันหมด แล้วประเทศชาติจะเอาใครไปช่วยพัฒนา

      เหตุการณ์แบบนี้ในประเทศไทยและไต้หวัน เรียก “สตรอเบอรี่เจนเนอเรชั่น” … ดูสวยงามแต่เปราะบาง… ไม่ต่างอะไรกับเด็กในประเทศจีน ที่ลูกชายคนเดียวของครอบครัว เลี้ยงตามอกตามใจ ราวกับเทวดา ไร้มารยาท ไร้ความเกรงใจผู้อื่น ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ สุดท้ายกลายเป็นโรคซึมเศร้ากันหมด เวลาเจอเรื่องที่ผิดหวัง

      ขอบคุณข่าวจาก : http://thaitribune.org/contents/detail/304?content_id=36503&rand=1569650143
      เลี้ยงลูกตามใจ
      เลี้ยงลูกตามใจ

      ฮ่องเต้ซินโดรม คืออะไร?

      ฮ่องเต้ซินโดรมหรือ Rich Kid Syndrome คือ โรคที่เกิดในเด็กที่ได้รับการเลี้ยงดูในสภาพแวดล้อมที่ได้รับการปกป้องมากจนเกินไปและได้รับการชดเชยด้วยสิ่งของแทนความรักและความเอาใจใส่จากพ่อแม่หรือผู้ปกครอง ความร่ำรวยของครอบครัวไม่ได้เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคนี้ แต่เป็นวิธีการเลี้ยงดูลูกของแต่ละครอบครัวที่เป็นปัจจัยสำคัญในการเกิดโรคฮ่องเต้ซินโดรม

      ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโรคนี้มักจะแสดงพฤติกรรมของ “เด็กเอาแต่ใจ” ซึ่งเด็กในกลุ่มนี้เชื่อว่าเขามีสิทธิ์ได้รับทุกสิ่งหากเขาต้องการโดยไม่ต้องขออนุญาตก่อน เด็กที่มีภาวะนี้มักจะเป็นเด็กขี้เกียจ มีความอดทนต่ำมาก ไม่ชอบความยุ่งยาก และไม่รู้วิธีจัดการกับตัวเองหากไม่ได้รับสิ่งที่เขาต้องการ พวกเขามีแนวโน้มที่จะแสดงความรุนแรงและแสดงความโกรธเมื่อพวกเขาไม่ได้สิ่งที่ต้องการ

      ตามที่ได้กล่าวไว้ว่าภาวะฮ่องเต้ซินโดรมนั้น เกิดจากการเลี้ยงดูเด็กที่ตามใจมากจนเกินไป หากคุณพ่อคุณแม่สงสัยว่าการเลี้ยงดูในแบบที่ทำอยู่นั้นเสี่ยงให้ลูกเกิดภาวะนี้หรือไม่ อ่านต่อได้ที่หน้า 2 ค่ะ

       

      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

      อ่านต่อ การเลี้ยงดูแบบใด เสี่ยงลูกเป็นฮ่องเต้ซินโดรม?

        อาหารธาตุเหล็กสูง

        5 อาหารธาตุเหล็กสูง ช่วยลูกสุขภาพดี พัฒนาการสมวัย สมองแข็งแรง

        อาหารธาตุเหล็กสูง มีส่วนสำคัญในการเจริญเติบโตของร่างกาย โดยเฉพาะเด็กที่อยู่ในวัยเริ่มอาหารเสริม จำเป็นที่จะต้องได้รับประทานอาหารที่มีประโยชน์อย่างหลากหลาย ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คืออาหารที่มีธาตุเหล็ก

         

        อาหารธาตุเหล็กสูง ได้จากที่ไหนบ้าง

        ธาตุเหล็กมีส่วนสำคัญต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการสมองของเด็กตั้งแต่ที่อยู่ในครรภ์ของแม่ ในเด็กแรกเกิด-อายุ 5 เดือน  ควรได้รับธาตุเหล็กจากน้ำนมแม่เป็นหลัก และเข้าสู่ช่วงวัยเริ่มอาหารเสริม อายุ 6-11 เดือน ควรได้รับธาตุเหล็กประมาณ 9  มิลลิกรัมต่อวัน และในช่วงวัย 1 ขวบขึ้นไป ควรได้รับธาตุเหล็กประมาณ 5-8 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่ง อาหารธาตุเหล็กสูง ที่ลูกน้อยควรได้รับอย่างเหมาะสมในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย จะมีอยู่ในแหล่งอาหารเหล่านี้…

        1. น้ำนมแม่ 1 ลิตร มีธาตุเหล็กประมาณ 0.35 มิลลิกรัม
        2. ไข่แดง 1 ฟอง มีธาตุเหล็กประมาณ 0.4 มิลลิกรัม
        3. ฟักทอง 13.5 กรัม มีธาตุเหล็กประมาณ 0.09 มิลลิกรัม
        4. ใบตำลึง 12 กรัม มีธาตุเหล็กประมาณ 0.17 มิลลิกรัม
        5. ตับไก่ 4.25 กรัม มีธาตุเหล็กประมาณ 0.42 มิลลิกรัม

        อาหารธาตุเหล็กสูง

        นอกจากนี้ยังมีแหล่งอาหารที่มีธาตุเหล็กอีกหลากหลายประเภท คุณแม่สามารถปรับเปลี่ยนให้ลูกน้อยได้รับอย่างสมดุล เช่น ใน ผักโขม ผักปวยเล้ง ใบตำลึง แครอท มะเขือเทศ คะน้า เนื้อหมู เนื้อวัว เนื้อไก่  ปลาซาร์ดีน ปลาแซลมอน ปลาทูน่า กุ้ง ข้าวกล้อง ถั่วแดง ถั่วดำ อัลมอนด์ รวมถึงใน ซีรีแล็ค อาหารเสริมสำหรับเด็กที่ระบุบนฉลากว่าเสริมธาตุเหล็ก เป็นต้น

         

        ธาตุเหล็ก กับ สมอง อยากให้ลูกฉลาด ห้ามขาด

        ในช่วงขวบปีแรกของชีวิตร่างกายลูกน้อยมีความต้องการสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อพัฒนาการการเจริญเติบโต และพัฒนาการสมองเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะ “ธาตุเหล็ก” ที่ถือเป็นสารอาหารกลุ่มเกลือแร่ที่มีส่วนเสริมสร้างและพัฒนาสมอง สติปัญญาให้สมบูรณ์แข็งแรง และมีระดับเชาว์ปัญญาดี

        ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้ลูกน้อยขาดธาตุเหล็ก คุณแม่ต้องดูแลในเรื่องโภชนาการสารอาหารที่เหมาะสมเพียงพอในแต่ละช่วงวัยของลูกน้อย มาดูกันว่าในช่วงวัย 6 – 12 เดือน คุณแม่ควรให้อาหารเสริมลูกน้อยอย่างไรกันบ้าง

        • ลูกน้อยอายุ 6-8 เดือน ควรกินอาหารเสริมวันละ 1 มื้อ อาจเริ่มด้วยการบดข้าวผสมกับนมแม่ก่อน เพื่อเป็นการปรับร่างกายให้คุ้นเคยกับอาหาร แนะนำว่าต้องบดอาหารที่ให้ลูกกินอย่างละเอียด เพื่อให้กินและกลืนง่าย
        • ลูกน้อยอายุ 8-10 เดือน ควรกินอาหารเสริมวันละ 2 มื้อ สามารถปรับเปลี่ยนอาหารที่เสริมให้ลูกกินได้หลากหลายมาก ขึ้น เช่น ฟักทอง แครอท บดกับข้าว หรือเนื้อสัตว์ เป็นต้น ช่วงวัยนี้อาหารเสริมที่ให้ลูกกินจะมีลักษณะที่หยาบขึ้นเล็กน้อย
        • ลูกน้อยอายุ 10 -12 เดือน ควรกินอาหารเสริมวันละ 3 มื้อ และช่วงวัยนี้จะเริ่มมีพัฒนาการบดเคี้ยวอาหารได้ดีมากขึ้น ลูก สามารถที่จะกินอาหารเป็นชิ้นได้ แนะนำว่าให้คุณแม่หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ แต่อาหารยังต้องอ่อนนุ่ม ง่ายต่อการบดเคี้ยวค่ะ

        ในช่วงวัยเริ่มอาหารเสริม แนะนำให้คุณแม่ปรับเปลี่ยนอาหารเสริมอย่างหลากหลายให้กับลูกน้อย เพื่อป้องกันการแพ้อาหาร และเพื่อให้ได้รับธาตุเหล็กอย่างเพียงพอ และนอกเหนือจากธาตุเหล็กที่มีอยู่ในแหล่งอาหารที่แนะนำไปแล้วนั้น คุณแม่สามารถให้ลูกน้อยได้รับประโยชน์จาก “ ธาตุเหล็ก สารอาหารที่มีอยู่ใน เนสท์เล่ ซีรีโกรวท็อดเลอร์ซีเรียลผสมนม สูตรธัญพืชรวมผสมผักรวม ที่มีธาตุเหล็กสูงถึง 4.4 มก. เท่ากับ 76% ของความต้องการต่อวัน และนอกจากนี้ยังมี DHA วิตามิน  และเกลือแร่ 16 ชนิด”  
        ฆอ. 2267/2562

         

        อาการเมื่อร่างกายขาดธาตุเหล็ก  

        เด็กที่ขาดธาตุเหล็กสะสมมาอย่างต่อเนื่อง ร่างกายจะสร้างเม็ดเลือดแดงได้ไม่ดีและไม่เพียงพอ ซึ่งจะทำให้เกิดภาวะโลหิตจางตามมา คุณแม่สามารถสังเกตอาการขาดธาตุเหล็กของลูกน้อย หากมีอาการแสดงดังนี้…

        – ผิวหนังมีลักษณะซีด

        – งอแง หงุดหงิดง่าย

        – การนอนไม่ค่อยดี(นอนไม่หลับ)

        – อ่อนเพลีย ไม่สดใส กระปรี้กระเปร่า

        – พัฒนาการร่างกาย และสมองไม่เป็นไปตามเกณฑ์ของวัย

        ส่วนสาเหตุของการขาดธาตุเหล็กในเด็ก อาจมาได้จากหลายสาเหตุ เช่น…

        1. ไม่ได้กินนมแม่ตั้งแต่แรกคลอด
        2. ได้รับโภชนาการที่ไม่เหมาะสมที่เริ่มต้นมาจากในช่วงวัยของการเริ่มอาหารเสริม
        3. ภาวะการเจ็บป่วยต่างๆ ในวัยเด็ก เป็นต้น

        ธาตุเหล็ก เป็นส่วนประกอบสำคัญของการสร้างเม็ดเลือดแดงในระบบเลือด และเป็นตัวนำออกซิเจนและสารอาหารต่างๆ ไปสู่เซลล์ต่างๆ ในร่างกาย ธาตุเหล็กมีความสำคัญมากต่อพัฒนาการการเจริญเติบโตของร่างกาย และสมอง ดังนั้นเพื่อให้ลูกน้อยมีสุขภาพดี พัฒนาการสมวัย และมีสมองที่แข็งแรง คุณแม่ต้องดูแลลูกน้อยให้ได้รับธาตุเหล็กอย่างเพียงพอ โดยเริ่มได้จากอาหารที่มีธาตุเหล็กสูงค่ะ

        สนับสนุนข้อมูลโดย :  #เนสท์เล่ซีรีโกรว #Nestleceregrow #ใส่ใจทุกคำ 

         

         

         

         

        เครดิต :

        https://www.dmh.go.th/news-dmh/view.asp?id=29701

        https://www.pobpad.com/รู้ทันโลหิตจาง-ภัยจากกา

        https://www.nonthavej.co.th/Iron-in-children.php

        http://nutrition.anamai.moph.go.th/images/file/filet001.pdf

         

          ลูกโดนแกล้ง

          ลูกโดนแกล้ง พ่อแม่ช่วยได้ ป้องกันก่อนสายใช้กำลัง- ฆ่าตัวตาย

          ลูกโดนแกล้ง ปัญหาของเด็กในรั้วโรงเรียน ที่พ่อแม่คาดไม่ถึงว่าจะร้ายแรงจนถึงขั้น “ฆ่าให้ตาย” หรือ “ทำลายชีวิตตัวเอง” หมอจิตวิทยาแนะ ตัดไฟแต่ต้นลม หมั่นสังเกตสัญญาณจากลูก ฝึกทักษะสังคม สอนวิธีเอาตัวรอด ช่วยให้ลูกสร้างเกราะป้องกันให้รอดจากเรื่องบูลลี่ (Bully) ได้สำเร็จ

          จาก 2 เหตุการณ์น่าสลดใจของเด็กชายชั้นมัธยมใช้ปืนบุกยิงเพื่อนร่วมชั้นในโรงเรียนจนเสียชีวิต เพราะคับแค้นใจที่โดนกลั่นแกล้งและล้อเลียนเป็นประจำ และอีกหนึ่งเหตุการณ์เกิดขึ้นกับเด็กหญิงชั้นประถม  พยายามผูกคอตัวเองในห้องน้ำของโรงเรียน เนื่องจากเคยถูกเพื่อนรุมแกล้ง และล้อเลียน ทำร้ายจิตใจอย่างรุนแรง แม้จะไม่เสียชีวิตแต่ต้องกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา ใครจะคิดว่าเรื่องเล่นสนุกของเด็ก จะส่งผลร้ายแรงถึงชีวิต

           ลูกโดนแกล้ง พ่อแม่ช่วยอย่างไรดี ให้ปลอดภัย ไม่ถูกแกล้งซ้ำ

          เพราะหลายบ้านรู้สึกว่าเวลา ลูกโดนแกล้ง หรือล้อเลียนเป็นแค่เรื่องเล่นสนุกๆของเด็ก ผู้ใหญ่ไม่ควรเข้าไปยุ่ง และประเมินจากประสบการณ์ส่วนตัวของพ่อแม่เองว่าในวัยเด็กก็เคยผ่านประสบการณ์แบบนี้มา “ใครๆก็โดนแกล้ง เดี๋ยวก็ผ่านไป” ทราบหรือไม่ว่า ความเข้าใจเช่นนี้ทำให้คุณพ่อคุณแม่มองข้ามปัญหาที่ลูกต้องเจอ และเข้าไปช่วยเหลือช้าเกินไป

           

          ลูกโดนแกล้ง

          6 อย่างที่ ลูกโดนแกล้ง พบบ่อยในโรงเรียน

          กรมสุขภาพจิตระบุว่า การแกล้งกันในโรงเรียน “ไม่ใช่เรื่องเล็ก” เป็นจุดเริ่มต้นของความรุนแรงที่ส่งกระทบต่อร่างกายและจิตใจในระยะยาว รูปแบบการแกล้งที่มักพบบ่อยในโรงเรียนมีดังนี้

          1. ใช้กำลังทำร้ายร่างกาย

          มักพบบ่อยและสังเกตได้ง่ายที่สุด เด็กที่โดนแกล้งมักตัวเล็ก ผอม หรือมีท่าทางอ่อนแอกว่าอีกฝ่าย ซึ่งจะใช้กำลังควบคุม ข่มขู่ด้วยการต่อยตี ตบ หรือผลักกัน

          1. ใช้คำพูดทำร้ายจิตใจ

          ถึงจะไม่มีบาดแผลให้เห็น แต่คำล้อเลียนจุดอ่อน หรือปมด้อยสร้างแผลลึกในจิตใจ ที่สำคัญคือ พ่อแม่และคุณครูจะสังเกตเห็นได้ยาก ส่วนใหญ่มักโดนกระทำจากกลุ่มเพื่อน หรือรุ่นพี่พูดต่อกันแบบปากต่อปาก เรื่องที่โดนล้อเลียนมีทั้ง รูปร่างหน้าตา สีผิว เพศ ฐานะครอบครัว สถาบันการศึกษา และความสามารถ ซึ่งล้วนเป็นเรื่องทำร้ายจิตใจทั้งสิ้น

          1. ใช้อำนาจแยกไม่ให้เข้าพวก

          มักเกิดบ่อยในกลุ่มวัยรุ่นตอนต้น (ประถมปลาย-มัธยมต้น) โดยจะกีดกันไม่ให้เข้ากลุ่ม ปล่อยข่าวลือเสียหาย ทำให้เด็กที่ถูกแกล้งไม่ได้รับการยอมรับจากเพื่อนและสังคมในโรงเรียน เรื่องนี้มีผลกระทบต่อจิตใจของวัยรุ่นมาก และนำไปสู่การตอบโต้ที่รุนแรงได้

             4.ใช้โซเชียลทำลายชีวิต

          เกิดขึ้นได้ง่ายและต่อเนื่อง เพราะหลบลี้จากการเผชิญหน้าได้ ขณะที่หาก ลูกโดนแกล้ง ด้วยวิธีนี้อาจได้รับผลที่โหดร้ายและไม่สิ้นสุดง่ายๆ เพราะการโพสต์ลงโซเชียล เช่น รูปภาพ หรือข้อควายเสียหาย จะถูกกระจายในวงกว้างอย่างรวดเร็ว และยากจะกำจัดให้หมดได้

          นอกจากนี้พบว่า เด็กๆ รุ่นใหม่ที่ถูกแวดล้อมด้วยสื่อความรุนแรงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเกมส์ ภาพยนตร์ และโซเชียลที่เข้าถึงได้ง่าย ส่งผลให้เด็กมีพฤติกรรมก้าวร้าว แรงมาแรงกลับ มองความรุนแรงเป็นเรื่องปกติ สนุกกับการได้แกล้งเพื่อน และขาดความเอื้ออาทร แม้แต่กับคนใกล้ชิด ทั้งหมดนี้จึงยิ่งกระตุ้นให้เวลาที่ ลูกโดนแกล้ง รุนแรงขึ้น

          อ่าน ช่วยลูกโดนแกล้งแบบไหนไม่ให้โดนแกล้งซ้ำอีก หน้า 2

            ผิวลูกแห้ง

            3 สาเหตุทำ “ลูกผิวแห้ง” จะปกป้องอย่างไรดี ?

            คุณแม่สงสัยกันไหมคะว่าทำไม เด็กทารก เด็กเล็กๆ ถึงมีผิวแห้งกันได้ง่ายมาก ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากโครงสร้างผิวที่ยังไม่ แข็งแรงสมบูรณ์ ผิวที่บอบบางกว่าผู้ใหญ่ถึง 30% จึงทำให้ผิวสูญเสียน้ำ ขาดความชุ่มชื้น จนแห้งกร้าน ดังนั้นเพื่อให้ลูกน้อย มีผิวพรรณที่แข็งแรง สุขภาพดี ไม่ระคายเคือง เรามีคำแนะนำมาฝากคุณแม่มือใหม่กันค่ะ

             

            ลูกผิวแห้ง มีสาเหตุมาจากอะไรได้บ้าง ?  

            ในช่วงหน้าหนาวแบบนี้ทำให้ ลูกผิวแห้ง อย่างเดียวไม่พอ แต่ยังทำให้คุณแม่คุณลูกกอดกันน้อยลงด้วยค่ะ  เพราะเจ้าตัวเล็กมักจะร้องงอแง โยเย จากความไม่สบายผิวนั่นเองค่ะ ก่อนที่จะไปถนอม ผิวแห้ง ของลูกน้อยให้กลับมานุ่มชุ่มชื้น มาดูกันก่อนค่ะ ว่ามีสาเหตุอะไรบ้างที่ทำให้ลูกผิวแห้ง !!

            1. อากาศเย็นในหน้าหนาว

            อุณหภูมิความเย็นในช่วงหน้าหนาวจะมีความชื้นต่ำ ทำให้สภาพภายในอากาศต้องปรับสมดุลความชื้น โดยการดูดความชื้นจากในชั้นผิวหนัง แล้วนำไปทดแทนความชื้นในอากาศ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมผิวแห้ง ลอกเป็นขุย ซึ่งไม่ใช่เฉพาะแค่ผิวของเด็กๆ เท่านั้นที่แห้งกร้านได้ง่ายในสภาพอากาศที่เย็น แต่ผิวพรรณของคุณแม่ และผู้ใหญ่ก็มีสภาพผิวแห้งได้ด้วยเช่นกันค่ะ

            2. อาบน้ำอุ่น

            ถ้าจะบอกว่าการอาบน้ำอุ่นคือศัตรูตัวร้ายที่ทำลายความชุ่มชื้นของผิวก็คงจะไม่ผิดนักค่ะ เพราะเด็กแรกเกิด รวมถึงเด็กเล็กๆ คุณแม่มักจะผสมน้ำอุ่นอาบน้ำให้ทุกวันๆ ละ 2 ครั้ง ซึ่งอุณหภูมิของน้ำจะทำให้ผิวสูญเสียน้ำมันหล่อเลี้ยงผิว (ต่อมไขมันใต้ผิว) ส่งผลให้ผิวขาดความชุ่มชื้น และแห้งตึง การอาบน้ำอุ่นในช่วงหน้าหนาวอาจจะพออนุโลมให้ได้ เพราะถ้าอาบน้ำเย็น หรือน้ำอุณหภูมิปกติให้ลูกน้อย ลูกอาจจะร้องงอแงไม่ยอมอาบน้ำ แนะนำว่าอากาศเย็นๆ อาบน้ำให้ลูกวันละครั้งพอค่ะ

            3. ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศ

            การเปิดใช้เครื่องปรับอากาศอาจจะช่วยให้เย็นกาย สบายใจ แต่รู้ไหมคะว่าการเปิดเอาความเย็นชุ่มฉ่ำจากแอร์ในทุกๆ วันนั้น  มีผลกระทบต่อผิวพรรณของลูกวัยทารก เด็กเล็กๆ หรือแม้แต่ในผิวของคุณแม่เองก็ได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน เวลาที่มีการเปิดใช้เครื่องปรับอากาศจะทำให้อุณหภูมิภายในห้องต่ำลง ไอน้ำที่อยู่ในอากาศก็จะลดลง น้ำที่อยู่ใต้ผิวหนังจะถูกดูดสูญเสีย  ไปให้กับอากาศภายในห้อง สรุปง่ายๆ คือ ถ้าอุณหภูมิในห้องต่ำลง ความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศก็จะต่ำลงด้วย ส่งผลให้ ปริมาณไอน้ำในอากาศลดลง ทำให้อากาศแห้ง ส่งผลกระทบต่อผิว ขาดความชุ่มชื้น ผิวแห้งกร้านได้ง่ายขึ้นนั่นเองค่ะ

            อยากให้ลูกน้อยมีผิวสุขภาพดี ผิวไม่แห้งกร้าน ผิวนุ่มชุ่มชื้น น่ากอด น่าสัมผัส ทำได้ง่ายๆ แค่…

            1. เครื่องปรับอากาศที่คุณแม่มักเปิดให้ลูกน้อยได้สบายตัว แต่เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวลูกน้อยแห้ง กร้าน แนะนำว่าให้ปรับอุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศไม่ต่ำกว่า 25 องศา และขณะที่อยู่ในห้องแอร์ควรหมั่นทาผิวลูกน้อยด้วยโลชั่นบำรุงผิวด้วยค่ะ
            2. ในช่วงหน้าหนาวอาบน้ำให้ลูกวันละครั้งก็พอ แนะนำว่าให้ผสมเบบี้ ออยล์ในน้ำอาบเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว และทุกครั้งที่อาบน้ำให้ลูกเสร็จ ควรดูแลบำรุงถนอมผิวลูกด้วยการทา จอห์นสัน คอตตอน ทัช เฟซ แอนด์ บอดี้โลชั่น ที่เป็นสูตรอ่อนโยน ม้ากมาก เด็กแรกเกิดก็ใช้ได้ค่ะ ฉะนั้น ไม่ต้องกลัวว่าลูกน้อยจะแพ้เลย แถมกลิ่นก็หอมอีกด้วย

            สำหรับคุณแม่ก็ควรดูแลรักษาผิวพรรณให้นุ่ม ชุ่มชื้นสุขภาพดีในทุกๆ วัน ด้วยการ ทาโลชั่นยอดฮิตของเหล่าแม่ๆ อย่าง จอห์นสัน มิลค์ ไรซ์ โลชั่น ที่กลิ่นหอมไม่แพ้กัน คุณแม่ใช้แล้วก็สามารถกอดลูกน้อยได้อย่างต้องกลัวระคายเคืองกันเลยค่ะ อย่าลืม จิบน้ำบ่อยๆ และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อผิวที่สุขภาพดีทั้งคุณแม่คุณลูก แล้วอย่าลืมกอดเพิ่มความรักในทุกวันกันด้วยนะคะ

             

            ลูกผิวแห้ง ใช้อะไรดี ?

            วิธีดูแลลูกน้อยผิวแห้ง ให้กลับมานุ่ม ชุ่มชื้น ผิวแข็งแรงสุขภาพดี  แนะนำว่าผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับผิวลูกน้อย ต้องไม่ทำให้ผิวเกิดการระคายเคือง ต้องมีความอ่อนโยนต่อผิวลูก และช่วยกักเก็บน้ำในผิวเพื่อป้องกันผิวไม่ให้แห้งกร้านค่ะ

            • จอนห์สัน เบบี้ ออยล์

            จอห์นสัน เบบี้ ออยล์ ผลิตจากมิเนอรัลออยล์บริสุทธิ์ เหมาะสำหรับหยดผสมในน้ำอาบให้ลูกน้อย หรือสำหรับใช้นวดสัมผัสลูกน้อยหลังอาบน้ำ ช่วยให้เลือดลมไหลเวียนดี ทำให้ลูกน้อยสบายตัว ผ่อนคลาย ทำให้นอนหลับง่าย และอารมณ์ดี  ความพิเศษของจอห์นสัน เบบี้ ออยล์ คือจะช่วยเก็บกักความชุ่มชื้นไว้ในผิวได้มากถึง 10 เท่า

            • จอห์นสัน เบบี้ โลชั่น

            การดูแลถนอมผิวลูกน้อย เพื่อที่ผิวจะได้ไม่แห้งกร้าน คุณแม่ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนต่อผิวลูก สำหรับเบบี้ โลชั่น   จากจอห์นสัน มีให้เลือกใช้หลายสูตร ไม่ว่าจะเป็น…

            จอห์นสัน เฟซ แอนด์ บอดี้ โลชั่น คอตตอนทัช 

            • เป็นโลชั่นสูตรบางเบาและอ่อนโยนเป็นพิเศษสำหรับผิวบอบบาง* ของเด็กแรกเกิด
            • โลชั่นที่มีน้ำเป็นส่วนผสมหลัก ผสานคุณค่าจากคอนตอนแท้ธรรมชาติเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ
            • เนื้อบางเบา ซึบซาบเร็ว ไม่หนียวเหนอะหนะ
            • บำรุงผิวทารกตั้งแต่ครั้งแรกที่ใช้
            • ลดการระคายเคือง เพราะไม่มีส่วนผสมของพาราเบน และสีย้อม ที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองของผิว

             จอห์นสัน เบบี้ โลชั่น (พิงค์)

            • จอห์นสัน เบบี้ โลชั่นให้ความชุ่มชื่นและปกป้องผิวลูกน้อยยาวนาน 24 ชั่วโมง*
            • บำรุงผิวที่อ่อนละมุน เหมาะสำหรับทั้งลูกน้อย และผู้ใหญ่
            • มีค่า pH ที่เหมาะกับผิว และไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง
            • ให้ความชุ่มชื่นแก่ผิวบอบบางอย่างอ่อนโยน
            • ผ่านการทดสอบโดยกุมารแพทย์ (pediatricians)

            จอห์นสัน มิลค์ + ไรซ์ โลชั่น

            • โลชั่นผสานคุณค่าน้ำนมธรรมชาติและสารสกัดจากข้าว เพื่อช่วยบำรุงผิวอย่างครบถ้วน โดยให้ความชุ่มชื้นผิวยาวนาน 24 ชั่วโมง*
            • เพราะผิวลูกน้อยสูญเสียความชุ่มชื้นได้เร็วกว่าผิวของผู้ใหญ่ และต้องการการดูแลที่อ่อนโยน เราจึงได้พัฒนาผลิตภัณฑ์เหล่านี้ขึ้นโดยเฉพาะ ด้วยส่วนผสมของมอยส์เจอร์ไรเซอร์ เพื่อช่วยถนอมผิวของทารกที่กำลังเจริญเติบโต
            • มีค่า pH ที่เหมาะกับผิวของลูกน้อย และไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง ผ่านการทดสอบแล้วโดยกุมารแพทย์ (pediatricians)
            • ฟื้นบำรุงผิวของลูกน้อยให้เนียนนุ่มและดูมีสุขภาพดี
            • มีส่วนผสมของโปรตีนจากน้ำนม สารสกัดจากข้าว รวมถึงวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด

            การได้ใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลบำรุงถนอมผิวที่เหมาะกับลูกน้อย ผลลัพท์ที่ได้ไม่เพียงแค่ทำให้ลูกน้อยมีผิวสุขภาพดี นุ่ม ชุ่มชื้น แต่ยังทำให้แม่ลูกได้ใช้เวลาด้วยกัน ช่วยเพิ่มความสุข และสายใยรักผูกพันธ์ของครอบครัวอีกด้วยนะคะ

            บอกลาผิวแห้งกร้านด้วยเบบี้ ออยล์ และ เบบี้ โลชั่นที่อ่อนโยน ช่วยให้ผิวกลับมานุ่ม ชุ่มชื้น ผิวมีสุขภาพดีแบบนี้แล้ว ก็ทำให้ทั้งคุณแม่ และคุณลูกรักกัน กอดกันอย่างอบอุ่นอีกครั้งค่ะ 

             

              เสริมพัฒนาการลูก

              5 เคล็ดลับ เสริมพัฒนาการลูก ให้มีอีคิวและไอคิวสูง

              เผย 5 เคล็ดลับการ เสริมพัฒนาการลูก อย่างถูกหลัก ซึ่งจะช่วยให้ลูกมีทักษะในการดำเนินชีวิต มีพัฒนาการด้านอารมณ์ที่ดี และรู้จักการมีวินัยในสังคมเมื่อเติบโตขึ้น

              5 เคล็ดลับ เสริมพัฒนาการลูก ให้มีอีคิวและไอคิวสูง

              ความสำคัญของการพัฒนาไอคิว (IQ) และอีคิว (EQ)

              การที่เด็กคนหนึ่งจะเจริญเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่ประสบความสำเร็จและมีชีวิตที่เป็นสุขนั้น ต้องมีความสามารถทางเชาวน์ปัญญาที่ดี (IQ) ควบคู่ไปกับการพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) ที่ดีด้วย  หากขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ย่อมทําให้การพัฒนาเป็นไปอย่างไม่เต็มศักยภาพ

              ไอคิว = Intelligence Quotient (IQ)

              คือผลลัพธ์จากการประเมินความสามารถทางเชาวน์ปัญญา ซึ่ง ไอคิว หมายถึง ความสามารถในการเรียนรู้การจํา การคิดอย่างมีเหตุผล การตัดสินใจ ความสามารถทางการสื่อสาร ไอคิวเป็นตัวทํานายความสามารถในการเรียนรู้ของเด็กได้ ไอคิว เป็นสิ่งที่ติดตัวมาแต่กําเนิด แต่สามารถถูกพัฒนาให้ดีขึ้นได้ตามศักยภาพของเด็ก ซึ่งหากได้รับการกระตุ้นอย่างเหมาะสมตามวัยโดยเฉพาะในช่วงขวบปีแรกอย่างถูกต้อง ก็จะทําให้สติปัญญาพัฒนาขึ้นได้อย่างเต็มศักยภาพ

              องค์ประกอบของไอคิวที่มีความสําคัญต่อเด็กวัยแรกเกิด – 5 ปี ที่พ่อ แม่ควรเสริมสร้างให้กับลูก มีดังต่อไปนี้

              1. ความช่างสังเกต เป็นความสามารถในการรับรู้ คุณลักษณะของสิ่งของ การพิจารณา เทียบเคียงความเหมือน ความแตกต่าง การจําแนกสิ่งต่าง ๆ เป็นต้น
              2. การถ่ายทอดจินตนาการ เป็นการนําสิ่งที่คิดเชื่อมโยงจากประสบการณ์ออกมานําเสนอ
              3. การคิดเชื่อมโยงเหตุผล เป็นความสามารถในการเข้าใจความสัมพันธ์ของสิ่งต่าง ๆ หรือ สถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น รอบ ๆ ตัว
              4. การทํางานประสานระหว่างมือและตา เป็นองค์ประกอบหนึ่งที่มีความสําคัญทางการแสดงความสามารถทางสติปัญญาด้านการกระทํา ที่ต้องอาศัยการทํางานประสานกันของ ประสาทสัมผัสในการลงมือปฏิบัติ

              อีคิว = Emotional Quotient (EQ)

              เป็นผลลัพธ์จากการประเมินความฉลาดทางอารมณ์ ซึ่งความฉลาดทางอารมณ์ หมายถึงความสามารถในการจัดการกับอารมณ์ของตนเอง รู้จักควบคุมและแสดงออกอย่างเหมาะสม เข้าใจตนเองและผู้อื่น สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข

              องค์ประกอบของอีคิวที่มีความสําคัญต่อเด็กวัยแรกเกิด – 5 ปี ที่พ่อแม่ควรเสริมสร้างให้กับลูก มีดังต่อไปนี้

              1. การรู้จักและการควบคุมอารมณ์  การส่งเสริมให้เด็กควบคุมอารมณ์ได้ดี เริ่มต้นด้วยการฝึกให้เด็กรู้ว่าเขากําลังมีอารมณ์อย่างไร ให้ลูกรู้จักถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกออกมาเป็นคําพูด เพื่อที่เด็กจะได้รู้เท่าทันอารมณ์ เมื่อรู้เท่าทันอารมณ์ ก็จะสามารถควบคุมอารมณ์ได์
              2. การเรียนรู้ระเบียบวินัย การเรียนรู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก และการยอมรับผิด การสอนให้เด็กรู้ว่าอะไรควรไม่ควร พ่อแม่ควรกําหนดของเขตเบื้องต้นให้เด็กรู้ว่าอะไร ที่ทําได้ ทำไม่ได้ในเรื่องง่าย ๆ ในชีวิตประจําวัน และที่สําคัญต้องทําเป็นตัวอย่างให้กับเด็กด้วย
              3. ความสนุกสนานร่าเริง ความสุขของเด็กเป็นความสุขแบบสนุกสนานเพลิดเพลิน คือ สุข สนุกจากการเล่นไม่ว่าจะเป็นการเล่นตามลําพังหรือเล่นกับเพื่อน เด็กที่มีโอกาสได้เล่นสนุกสนาน จะมีจิตใจร่าเริงแจ่มใส มีพื้นฐานทางด้านอารมณ์ที่ดี

              ความสามารถทางเชาวน์ปัญญา (IQ) และความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) มีความสําคัญต่อกิจกรรมต่าง ๆ ของชีวิตและทั้งสองปัจจัยส่งเสริมซึ่งกันและกันในการทํากิจกรรมต่าง ๆ แต่จะมีบทบาทสําคัญมาก แตกต่างกัน ในแต่ละกิจกรรม ดังนี้

              ไอคิว อีคิว
              ไอคิว อีคิว

              ทั้งไอคิวและอีคิวนั้นมีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิตของคนทุกคนในอนาคต รวมถึงลูก ๆ ของคุณพ่อคุณแม่ด้วย ดังนั้นการฝึกให้ลูกมีพัฒนาการทางด้านไอคิวและอีคิวให้เป็นไปตามวัยจึงมีความสำคัญเช่นกัน การ เสริมพัฒนาการลูก ให้สำเร็จได้ควรทำตามเคล็ดลับ 5 ประการดังนี้

               

              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

              อ่านต่อ 5 เคล็ดลับ เสริมพัฒนาการลูก ให้มีอีคิวและไอคิวสูง

                ที่เที่ยวธรรมชาติใกล้กรุงเทพ

                เช็กอิน 5 ที่เที่ยวธรรมชาติใกล้กรุงเทพ ปลูกฝังให้ลูกรักสัตว์ รักธรรมชาติตั้งแต่เล็ก

                หากพูดถึง ที่เที่ยวใกล้กรุงเทพฯ เชื่อเถอะว่ายังมีที่เที่ยวเจ๋ง ๆ ซ่อนอยู่อีกเพียบ โดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวที่แบบสัมผัสธรรมชาติ ทีมแม่ ABK ขออาสาแนะนำ เที่ยวธรรมชาติใกล้กรุงเทพ แบบไปเช้า-เย็นกลับ เอาไว้เป็นโปรแกรมเที่ยวง่าย ๆ พาเจ้าตัวเล็กไปเที่ยว ใช้เวลาไม่เยอะ ถ่ายรูปเพลิน ๆ ตลอดทั้งวัน พาลูกออกไปสร้างประสบการณ์ดี ๆ มาเที่ยวสนุก ๆ และสร้างความสัมพันธ์ความสุขระหว่างครอบครัวกันค่ะ

                เช็กอิน 5 ที่เที่ยวธรรมชาติใกล้กรุงเทพ ปลูกฝังให้ลูกรักสัตว์ รักธรรมชาติตั้งแต่เล็ก

                #1 บางกะเจ้า จ.สมุทรปราการ

                ที่เที่ยวธรรมชาติใกล้กรุงเทพ ยอดนิยมอีกแห่งหนึ่ง ที่ขับรถชั่วโมงนิด ๆ ก็มาถึงสถานที่ฟอกปอดที่เหมาะสำหรับการมาเที่ยวพักผ่อนแบบชิล ๆ “บางกะเจ้า” เป็นพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ที่อยู่ใกล้กรุงเทพฯ มากที่สุด ซึ่งถูกพัฒนาให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ พร้อมกับมีเส้นทางจักรยานให้ได้ไปปั่นชมธรรมชาติให้ได้ขี่ลัดเลาะชมบรรยากาศและจุดท่องเที่ยวในบางกะเจ้า กิจกรรมที่น่าสนใจที่สามารถทำกันได้ทั้งครอบครัวก็คือ ปั่นจักรยานเส้นทางจักรยานเลียบคลอง (ถนนมรกต) เวิร์กช้อปผ้ามัดย้อมที่บ้านธูปหอม ไหว้พระที่วัดบางน้ำผึ้งนอก ช้อปชมชิมของอร่อยที่ตลาดน้ำบางน้ำผึ้ง เข้าดูแหล่งเรียนรู้เรื่องปลาที่พิพิธภัณฑ์ปลากัดไทย ไปเดินสูดโอโซนกันที่สวนศรีนครเขื่อนขันธ์ และยังมีแหล่งท่องเที่ยวเชิงธรรมและวิถีการเกษตรอีกมากมาย เช่น สวนป่าเกดน้อมเกล้า สวนน้ำตาลมะพร้าว บ้านสวนศิลป์ และอื่น ๆ อีกมากมาย ยิ่งเห็นกิจกรรมก็ยิ่งกระตุ้นต่อมให้อยากออกไปสัมผัสบางกะเจ้ามากยิ่งขึ้นกันแล้วใช่มั้ยค่ะ วันหยุดนี้เตรียมพาเจ้าตัวเล็กเดินทางไปฟอกปอดอย่างเต็มที่ใกล้กรุงกันเลย

                Tip ; สำหรับบ้านไหนที่พาลูกตัวน้อยมาเที่ยวด้วย ที่ร้านเช่าจักรยานจะมีจักรยานที่มีที่นั่งเด็กทั้งด้านหน้าและด้านหลังให้เลือกไว้บริการ สำหรับคนที่เพิ่งมาครั้งแรก อย่าลืมขอแผนที่จากร้านเช่าจักรยานเพื่อดูว่ามีจุดทำกิจกรรมตรงไหนที่สามารถพาเจ้าตัวเล็กไปทำกันได้บ้าง

                #2 สถานตากอากาศบางปู จ.สมุทรปราการ

                สถานตากอากาศบางปู จังหวัดสมุทรปราการ
                เครดิตภาพจาก www.facebook.com/bangpu10280
                สถานตากอากาศบางปู จังหวัดสมุทรปราการ
                เครดิตภาพจาก www.facebook.com/bangpu10280

                ถ้าพูดถึงแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติของจังหวัดสมุทรปราการในอำเภอเมืองก็ต้องนึกถึง “สถานตากอากาศบางปู” ขึ้นมาทันที ภายในมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ศูนย์ศึกษาธรรมชาติเฉลิมพระเกียรติ, พื้นที่สาธิตและนิทรรศการการบรรเทาผลกระทบจากวิกฤติโลกร้อน, อนุสรณ์ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นยกพลขึ้นบก และสะพานสุขตา เป็นต้น

                ที่นี่เหมาะมากสำหรับคนที่ต้องการมาสัมผัสธรรมชาติแบบชิล ๆ พร้อมวิวสวย ๆ ถ่ายรูปคู่กับนกนางนวลสีขาวที่บินโฉบไปมากลางอากาศ ดังนั้นจุดเช็กอินที่ไม่ว่าใครมาเที่ยวที่นี่ก็คือ สะพานสุขตา สะพานปูนที่สร้างยื่นทอดยาวไปในทะเล เป็นจุดที่จัดว่าวิวสวย ทั้งชมนกและพระอาทิตย์ตกดินที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งเลยทีเดียว และศาลาสุขใจ ที่ปัจจุบันกลายเป็นร้านอาหาร ในบรรยากาศริมทะเล เหมาะสำหรับการได้มาสูดความสดชื่นจากธรรมชาติ ลมพัดเย็นสบาย นั่งทานข้าวกับครอบครัว และกิจกรรมที่ห้ามพลาดเมื่อมาถึงที่นี่ก็คือการให้อาหารนกนางนวลนั่นเอง โดยจะมีร้านค้าในบริเวณนั้นคอยจำหน่ายอาหาร หรือจะเตรียมชุดเพื่อมาลงเลนไปปลูกต้นโกงกาง ต้นลำพู เย็น ๆ หน่อยก็ไปปั่นจักรยานรับลมชมวิว จัดไว้เป็นอีกหนึ่งที่เที่ยวเช็กอินของคนกรุงในวันหยุดช่วงสุดสัปดาห์ที่ไม่อยากมุ่งตรงไปไหนไกล ๆ ให้ได้มาเที่ยวพักผ่อนสบาย ๆ ได้เลยค่า

                Tips; สำหรับฤดูกาลชมนกนางนวลจำนวนหลายหมื่นตัวที่สถานตากอากาศบางปู จะอยู่ในช่วงตั้งแต่เดือนตุลาคม ถึง เดือน เมษายนของทุกปี ซึ่งจะมีนกนางนวลฝูงใหญ่อพยพจากตอนเหนือของจีนมองโกเลีย มาที่สถานตากอากาศบางปูแห่งนี้  และสำหรับบ้านไหนที่เจ้าตัวเล็กอยากจะให้อาหารนกก็ขอแนะนำว่า การให้อาหารนกนางนวลควรหลีกเลี่ยงการให้อาหารนกจากมือ แล้วใช้วิธีโยนเพื่อให้นกโฉบกินกลางอากาศจะเหมาะกว่า เพื่อป้องกันนกพลาดมาจิกมือหรือเชื้อโรคที่เกิดจากการสัมผัสเอาได้

                 

                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                 

                อ่านต่อ 5 แหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติใกล้กรุง คลิกหน้า 2

                  พาลูกนั่งรถไฟ

                  บอกต่อ 6 เส้นทาง พาลูกนั่งรถไฟ ชมวิวสองข้างทาง เที่ยวไปแบบสโลว์ไลฟ์

                  วันหยุดสุดสัปดาห์ มาลองเปลี่ยนประสบการณ์เดินทาง พาลูกนั่งรถไฟ เที่ยวฉึก ๆ ฉัก ๆ แบบสโลว์ไลฟ์กันค่ะ มีเส้นทางรถไฟที่สามารถเที่ยวใกล้กรุงเทพฯ หลากหลายเส้นทาง แบบ ฯ One day trip ทีมแม่ ABK นำเสนอพิกัดเส้นทางรถไฟ นั่งรถไฟเที่ยวกันประสาพ่อแม่ลูก มีจุดท่องเที่ยวที่น่าสนใจทั้งทางด้านประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม มากมาย มาให้เลือกออกทริปพาลูกไปเรียนรู้ เติมประสบการณ์ กันค่า

                  บอกต่อ 6 เส้นทาง พาลูกนั่งรถไฟ เที่ยวแบบสโลว์ไลฟ์

                  #1 เส้นทางรถไฟกรุงเทพฯ-อยุธยา

                  จังหวัดอยุธยานอกจากจะขับรถไปง่ายแล้ว เดินทางด้วยรถไฟก็ใช้เวลาไม่นาน ประมาณชั่วโมงกว่า ๆ ก็ถึงสถานีอยุธยา พาลูกมาเที่ยวเมืองเก่าที่นี่กันค่ะ โดยรถออกจากสถานีหัวลำโพงเที่ยวแรก เวลา 4.20 น. และขากลับเที่ยวสุดท้าย 21.42 น. มีเวลาเที่ยวได้ทั้งวันเต็ม ๆ กันเลย

                  เมื่อมาถึงสถานีแล้ว สามารถเช่ารถตุ๊ก ๆ หรือเช่าจักรยานปั่นเที่ยวก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าจะเลือกไปที่ไหน ซึ่งมีแหล่งท่องเที่ยวมากมายโดยเฉพาะวัดวาอาราม โบราณสถานเก่าแก่ ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวประวัติศาสตร์ให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้ อาทิเช่น วัดมหาธาตุ วัดราชบูรณะ วัดพระศรีสรรเพชญ์ วัดพระราม วัดโลกยสุธาราม วัดไชยวัฒนาราม พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติเจ้าสามพระยา อุทยานประวัติศาตร์อยุธยาที่เป็นมรกดโลกของประเทศไทย ที่อยุธยาจึงนับว่าเป็นเมืองเก่าที่ยังคงมีมนต์ขลัง สัมผัสได้ถึงความยิ่งใหญ่ ความรุ่งเรือง และทำให้ซึมซับคุณค่าของประวัติศาสาตร์ในอดีตได้ทีเดียวเชียวค่ะ

                  เที่ยวรถไฟกรุงเทพ-อยุธยา
                  เครดิตภาพจาก https://www.facebook.com/สถานีรถไฟอยุธยา

                  ข้อมูลเพิ่มเติม

                  ตรวจสอบเวลาการเดินรถ สถานีกรุงเทพ-อยุธยา คลิก

                  อัตราค่าโดยสาร (ไม่รวมค่าธรรมเนียม) : ชั้นที่ 1 ราคา 66 บาท ชั้นที่ 2 ราคา 35 บาท ชั้นที่ 3 ราคา 15 บาท

                  #2 เส้นทางรถไฟกรุงเทพฯ-ฉะเชิงเทรา

                  เส้นทางรถไฟสายตะวันออกที่จะพาเจ้าตัวเล็กนั่งรถไฟแบบระยะสั้น ยังไม่ทันจบความตื่นเต้นบนรถไฟก็ถึงจังหวัดฉะเชิงเทราแล้ว เพราะใช้เวลาเดินทางชั่วโมงครึ่งเท่านั้น โดยรถไฟเที่ยวแรกจากกรุงเทพฯ ออกเวลา 05.55 น. แต่ถ้าไม่รีบร้อนก็สามารถเลือกรอบ 6.55 น. หรือ 8.00 น. ในเที่ยวถัดมาได้ มาถึงฉะเชิงเทราตอนสาย ๆ จากนั้นก็มองหาสองแถวที่จะขับผ่านแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ๆ เช่น วัดหลวงพ่อโสธร ตลาดบ้านใหม่ 100 ปี แล้วก็รอสองแถวนั่งกลับมาที่สถานีซึ่งเที่ยวสุดท้ายเวลา 18.00 น. ถือว่าเป็นทริปเช้าไปเย็นกลับที่ไม่เร่งรีบสำหรับครอบครัวพอดีค่ะ

                  นั่งรถไฟไปฉะเชิงเทรา
                  เครดิตภาพจาก https://www.facebook.com/Chachoengsaorailway/

                  ข้อมูลเพิ่มเติม

                  ตรวจสอบเวลาการเดินรถ สถานีกรุงเทพ-ชุมทางฉะเชิงเทรา คลิก

                  อัตราค่าโดยสาร (ไม่รวมค่าธรรมเนียม) : ชั้นที่ 1 ราคา 57 บาท ชั้นที่ 2 ราคา 30 บาท ชั้นที่ 3 ราคา 13 บาท

                  #3 เส้นทางรถไฟกรุงเทพฯ –กาญจนบุรี

                  สำหรับเส้นทางรถไฟไปเที่ยวกาญจนุบรี การรถไฟแห่งประเทศไทยมีรถไฟพิเศษนำเที่ยวในแบบไปเช้า-เย็น ที่เหมาะสำหรับครอบครัวพาเจ้าตัวเล็กไปเที่ยว สามารถเลือกเส้นทางได้เลยว่าจะไปเที่ยวแบบผจญภัยหรือแบบ สัมผัสธรรมชาติ น้ำตก โดยผ่านเส้นทางสายประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจและมีเสน่ห์ไม่แพ้ที่อื่นเลย ได้แก่

                  • เส้นทางสถานีกรุงเทพ-เดอะสวนไทรโยค แอดเวนเจอร์ ปาร์ค แวะเที่ยวชมและถ่ายภาพสะพานข้ามแม่น้ำแคว แวะสถานีถ้ำกระแซ สัมผัสบรรยากาศประวัติศาสตร์ในอดีตตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 จากนั้นเลาะเลียบไปตามเส้นทางรถไฟสายประวัติศาสตร์ และสนุกกับกิจกรรมที่ เดอะสวนไทรโยค แอดเวนเจอร์ ปาร์ค ที่จะได้เล่นเครื่องเล่นแบบแอดเวนเจอร์อย่าง The Flying Train, The Krasae Swing, The Krasae Cliff เป็นต้น
                  • เส้นทางสถานีกรุงเทพ-น้ำตกไทรน้อย แวะชมทิวทัศน์และถ่ายภาพบนสะพานข้ามแม่น้ำแคว ไปต่อที่สถานีถ้ำกระแซ ชมเส้นทางรถไฟสายประวัติศาสตร์สำคัญซึ่งถูกสร้างโดยเชลยศึกพันธมิตร สมัยสงครามโลกครื้งที่ 2 เป็นเส้นทางที่จัดว่าเป็นสวยที่สุดเส้นหนึ่ง และแวะพักผ่อน เล่นน้ำตก ที่น้ำตกไทรโยคน้อยประมาณ 3 ชั่วโมง แวะชมสุสานทหารพันธมิตร ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพฯ
                  รถไฟท่องเที่ยวกาญจนบุรี
                  พาลูกนั่งรถไฟ เที่ยวกาญจนบุรี

                  ข้อมูลเพิ่มเติม

                  ท่องเที่ยวรถไฟขบวนพิเศษนำเที่ยวทุกวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ทุกเส้นทางออกเดินทางเวลา 06.30 น. -19.25 น.

                  อัตราค่าบริการ รถไฟเที่ยวเดอะสวนไทรโยค แอดเวนเจอร์ ปาร์ค รถนั่งธรรมดาชั้น 3 ผู้ใหญ่ 270 บาท / เด็ก 220 บาท อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม คลิก

                  อัตราค่าบริการ รถไฟเที่ยวน้ำตกไทรโยคน้อย รถนั่งธรรมดาชั้น 3 ผู้ใหญ่/ เด็ก คนละ 120 บาท รถนั่งปรับอากาศชั้น 2 ผู้ใหญ่/ เด็ก คนละ 240 บาท อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม คลิก

                   

                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                   

                  อ่านต่อ 6 เส้นทางรถไฟ น่าพาลูกเที่ยวแบบสโลว์ไลฟ์ คลิกหน้า 2

                    กฎของการใช้ชีวิตคู่

                    5 กฎของการใช้ชีวิตคู่ เมื่อมีความเห็นไม่ตรงกันเรื่องลูก

                    กฎของการใช้ชีวิตคู่ จะช่วยลดการทะเลาะเบาะแว้งกันในครอบครัวได้ โดยหากพ่อและแม่ทำตามกฎ 5 ข้อนี้ ลูกก็จะถูกอบรมสั่งสอนไปในแนวทางที่พ่อและแม่ต้องการได้

                    5 กฎของการใช้ชีวิตคู่ เมื่อมีความเห็นไม่ตรงกันเรื่องลูก

                    เมื่อคน 2 คน ตกลงใจที่จะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน คนทั้ง 2 คนย่อมต้องปรับตัวเข้าหากัน เพื่อให้อยู่ด้วยกันได้ยืนยาว แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่มีปัจจัยอื่น ๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง การปรับตัวเข้าหากันก็จะยากยิ่งขึ้นไปอีก โดยปัจจัยที่เข้ามานี้ก็คือลูกน้อยที่น่ารักของคนทั้งคู่นั่นเอง เพราะทั้งพ่อและแม่ต่างก็ต้องการที่จะเลี้ยงลูกให้ได้ดีที่สุด โดยแน่นอนว่าทั้งพ่อและแม่ ต่างก็มีวิธีการเลี้ยงดูลูกที่แตกต่างกันไป ในความเห็นต่างนี้ ก็อาจเป็นชนวนเหตุให้ทะเลาะกันได้ ดังนั้น การตั้งกฎขึ้นมาเพื่อให้ทั้งคู่ทำตาม ก็จะช่วยให้การเลี้ยงดูลูกเป็นไปในแนวทางเดียวกัน และยังช่วยประคองให้ชีวิตคู่มีความสุขอยู่เสมอ ๆ อีกด้วย

                    5 กฎของการใช้ชีวิตคู่ เมื่อมีความเห็นไม่ตรงกันเรื่องลูก

                    1. อย่าเถียงกันต่อหน้าลูก

                    เมื่อมีความเห็นไม่ตรงกัน ไม่ควรจะมาเอาชนะคะคานกันตรงนั้น หากไม่ใช่เรื่องด่วนหรือเรื่องที่ร้ายแรงอะไร คุณพ่อคุณแม่ควรที่จะนำประเด็นที่เกิดขึ้นนี้มาปรึกษากันทีหลัง ว่าต้องการจะสอนลูกในแนวทางใด และอาจจะหาทางออกร่วมกันว่าหากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นมาอีก จะต้องพูดและสอนลูกว่าอะไร เพราะหากทะเลาะกันต่อหน้าลูก แน่นอนว่าทั้ง 2 ฝ่ายจะต้องเริ่มพูดไม่ดีใส่กัน อาจจะพูดกันเสียงดัง เมื่อลูกได้เห็นเหตุการณ์นี้ สิ่งที่ลูกคิด คือ ทำไมพ่อต้องตะคอกใส่แม่ พ่อเป็นคนไม่ดีเลย หรือ ทำไมแม่ต้องตะโกนใส่พ่อ แม่ไม่ดีเลย เป็นต้น แน่นอนว่าคุณพ่อคุณแม่คงไม่อยากดูไม่ดีในสายตาของลูกใช่ไหมล่ะคะ ดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงการทะเลาะกันต่อหน้าลูก ในทุกกรณีนะคะ

                    กฎการใช้ชีวิตคู่
                    กฎการใช้ชีวิตคู่

                    2. ถ้าไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ลองให้อีกฝ่ายเป็นคนจัดการเรื่องนั้น ๆ เอง

                    คน 2 คนถูกเลี้ยงและเติบโตมาในที่ ๆ ต่างกัน แน่นอนว่าไม่มีทางที่จะมีแนวทางการเลี้ยงลูกที่เหมือนกันไปหมด และเรื่องบางเรื่องก็ไม่ใช่เรื่องที่ใหญ่โตอะไร คุณพ่อคุณแม่ลองปล่อยวางแล้วปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นคนสอนลูกไปในแนวทางของเขา โดยอีกฝ่ายต้องไม่เข้าไปแทรกหรือขัดในขณะที่อีกฝ่ายกำลังสอนลูกอยู่ เช่น ในขณะที่คุณแม่กำลังสอนลูกเรื่องการประหยัดอดออม ไม่ควรซื้อของเล่นทุกครั้งที่อยากได้ หากลูกวิ่งไปขอความช่วยเหลือจากคุณพ่อ ให้ซื้อของเล่นให้ คุณพ่อควรจะบอกลูกว่าให้สิทธิ์ในการตัดสินใจเรื่องนี้กับคุณแม่ ดังนั้น ลูกต้องคุยกับคุณแม่เอง เป็นต้น

                     

                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                    อ่านต่อ 5 กฎของการใช้ชีวิตคู่ เมื่อมีความเห็นไม่ตรงกันเรื่องลูก

                      โรงเรียนคาทอลิก

                      โรงเรียนคาทอลิก แตกต่างจากโรงเรียนทั่วไปอย่างไร ทำไมพ่อแม่ถึงอยากให้ลูกเข้า!

                      โรงเรียนคาทอลิก ส่วนใหญ่เป็นโรงเรียนเก่าแก่ที่ได้รับความนิยมจากผู้ปกครองมาอย่างยาวนาน หากคุณพ่อคุณแม่กำลังสนใจที่จะให้ลูกเข้าโรงเรียนคาทอลิก มาทำความรู้จักแนวทางของโรงเรียนว่าเป็นอย่างไรกันค่ะ

                      โรงเรียนคาทอลิก แตกต่างจากโรงเรียนทั่วไปอย่างไร ทำไมพ่อแม่ถึงอยากให้ลูกเข้าเรียน

                      st. Michael church
                      โรงเรียนคาทอลิกเป็นสถานที่ที่เคร่งครัดวินัย มีกฏระเบียบ

                      “โรงเรียนคาทอลิก” เป็นโรงเรียนที่อยู่ภายใต้การกำกับของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชน กระทรวงศึกษาธิการ และทบวงมหาวิทยาลัย มีองค์ประกอบหลายอย่างที่มีความเป็นคริสต์ศาสนา ตั้งแต่ชื่อโรงเรียน ไปจนถึงวิธีการเรียกคุณครู แต่ก็เปิดรับนักเรียนที่นับถือศาสนาพุทธด้วย การเรียนการสอนยังคงอิงกับหลักสูตรไทยของกระทรวงศึกษาธิการตามปกติ มีสอนทั้งหลักสูตรปกติ และหลักสูตร English Program จัดว่าเป็นโรงเรียนที่ได้รับความสนใจจากผู้ปกครองจำนวนไม่น้อย ถึงแม้ค่าใช้จ่ายจะค่อนข้างสูงและมีการสอบคัดเลือกตามระบบก็ตาม

                      สมณกระทรวงการศึกษาคาทอลิกได้ชี้แนะว่า “นับแต่ชั่วขณะแรกที่นักเรียนคนหนึ่งเหยียบย่างเข้ามาในโรงเรียนคาทอลิก นักเรียนชายหรือหญิงผู้นั้นควรจะรู้สึกประทับใจว่าได้เข้ามาสู่ภาวะแวดล้อมแบบใหม่ เป็นภาวะแวดล้อมที่สว่างไสวด้วยแสงแห่งความเชื่อ และมีลักษณะเฉพาะที่ไม่เหมือนใคร …”(มตส. 25)

                      ถึงแม้โรงเรียนคาทอลิกมักจะมีรูปของ “พระแม่มารีย์” ประดิษฐานอยู่ในบริเวณต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม โรงเรียนคาทอลิกต่าง ๆ ก็ไม่ได้เน้นเรื่องการส่งเสริมวัฒนธรรม และในเรื่องการฝึกอบรมเยาวชนไม่น้อยหรือแตกต่างไปกว่าโรงเรียนอื่นๆ

                      โรงเรียนคาทอลิก คือ

                      ข้อดีและลักษณะพิเศษของโรงเรียนคาทอลิก

                      • โรงเรียนคาทอลิกเป็นโรงเรียนที่มีพื้นฐานทางด้านศาสนา หน้าที่ของโรงเรียนต้องกล่อมเกลาค่านิยมของมนุษย์ โดยมี “พระเยซูคริสต์” เป็นพระฉบับแบบแก่นักเรียนของตน
                      • โรงเรียนเน้นด้านการมุ่งอบรมระเบียบวินัย มารยาท การวางตัวในสังคม นำหลักความเชื่อทางศาสนามาประยุกต์เข้ากับวัฒนธรรม พัฒนามนุษย์ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ สังคม และความสำเร็จในองค์พระคริสตเจ้า
                      • โรงเรียนจะทำหน้าที่อบรมได้ จะต้องสร้างบรรยากาศในโรงเรียนที่อิ่มไปด้วยจิตตารมณ์ เสรีภาพ และความรักแบบในพระวรสาร ที่มุ่งช่วยคนรุ่นหนุ่มสาวให้พัฒนาบุคลิกภาพ
                      • โรงเรียนคาทอลิกมีภารกิจในการ “อบรมบ่มนิสัยให้เข้มแข็ง” ของนักเรียน ให้สามารถต่อต้านลัทธิ – ค่านิยม วัตถุนิยม หรือความคิดที่ผิด ๆ กระตุ้นนักเรียนให้ฝึกสติปัญญาของตนให้เข้าใจ และอธิบายว่าประสบการณ์และความจริงที่เขาพบนั้นหมายความว่าอย่างไร โรงเรียนใดละเลยหน้าที่นี้และสอนเด็ก โดยวิธีไม่ให้เด็กคิด แต่ครูบอกเองทั้งหมด ก็เท่ากับขัดขวางมิให้นักเรียนพัฒนาตนเองให้เจริญ
                      • การอบรมตามหลักพระคริสตธรรมไม่ใช่เพื่อสอนให้คนมาเข้าศาสนาด้วย แต่เพราะศาสนาเป็นส่วนที่มีประสิทธิภาพช่วยพัฒนาด้านอื่น ๆ ของบุคลิกภาพเท่าที่ต้องการสำหรับการอบรมทั่ว ๆไปได้
                      • จุดมุ่งหมายพิเศษของการสอนของโรงเรียนคาทอลิก คือ “การอบรม” ที่ต้องพัฒนามนุษย์จากภายใน ดังนั้นจะบรรลุผลสำเร็จหรือไม่ ก็มิใช่สำคัญที่เรื่องสอนหรือวิธีสอน แต่สำคัญที่คนสอนในโรงเรียนมากกว่า ครูอาจารย์จึงอยู่ในฐานะที่เหมาะสมที่สุดสำหรับแนะนำนักเรียน มีครูที่เอาใจใส่นักเรียนเป็นรายบุคคล ครูผู้สอนส่งเสริมให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการเรียนมากกว่าการสังเกตการณ์ นักเรียนเรียนรู้วิธีคิดสร้างสรรค์ได้อย่างรวดเร็ว และได้รับประสบการณ์ที่มีคุณค่าร่วมกัน และแสดงความคิดเห็นในเวทีสาธารณะ

                       

                      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                       

                      อ่านต่อ ทำความรู้จักหลักสูตรการสอนของโรงเรียนคาทอลิก คลิกหน้า 2

                        ที่พักเชียงใหม่สวยๆ

                        7 ที่พักเชียงใหม่สวยๆ บนถนนนิมมาน เดินทางง่าย ใกล้ที่เที่ยว คุณแม่เพลินพ่อสนุกลูกแฮปปี้

                        ไม่ว่าจะฤดูไหน ๆ “เชียงใหม่” ก็ยังเป็นจังหวัดยอดนิยมที่ปักหมุดมาเที่ยวกัน เพราะมีทั้งที่เที่ยวบนดอยที่มีอากาศเย็นตลอดทั้งปี ที่เที่ยวธรรมชาติอีกหลากหลายแห่ง ที่เที่ยวสุดชิคในเมือง รวมถึงที่เที่ยวอีกหลายที่สำหรับเจ้าตัวเล็กพร้อมกิจกรรมสนุก ๆ ทีมแม่ ABK เลยมองหา ที่พักเชียงใหม่สวยๆ บนถนนนินมมานเหมินต์ ที่ถือว่าเป็นที่พักในตัวเมืองเชียงใหม่ ใกล้แหล่งที่เที่ยวที่จะพาเจ้าตัวเล็กไปแอ่วกันค่า

                        7 ที่พักเชียงใหม่สวยๆ บนถนนนิมมาน เดินทางง่าย ใกล้ที่เที่ยว คุณแม่เพลินพ่อสนุกลูกแฮปปี้

                        1.Chiangmai Chaiyo Hotel

                        โรงแรมเชียงใหม่ไชโย เหมาะมากสำหรับครอบครัวและนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบงานศิลปะ เป็นที่พักที่ตกแต่งแบบสไตล์ลอฟต์ โมเดิร์น ที่ดัดแปลงมาจากตึกทาวน์เฮ้าส์ สำหรับการตกแต่งภายในโรงแรมนั้นจะเป็นศิลปะแบบผสมผสาน มีกลิ่นอายศิลปะและความเป็นล้านนาของจังหวัดเชียงใหม่ได้อย่างลงตัว รวมถึงเฟอร์นิเจอร์ที่เป็นของโบราณและของสะสม มีมุมให้ถ่ายรูปเยอะมาก ภายในโรงแรมก็จะมีโซนนั่งเล่น อ่านหนังสือ หรือจะเดินเล่นชมงานศิลปะไปเพลิน ๆ ก็ได้ค่ะ ในส่วนห้องพักมี 3 รูปแบบ 25 ห้อง มีชื่อห้องเรียกแบบไทย ๆ คือ ห้องยินดี ห้องสวัสดี และห้องไชโย ห้องพักสะอาดพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ที่พักตั้งอยู่บนถนนนิมมานเหมินทร์ ซอย 5 ง่าย และสะดวกในการเดินทางมากค่ะ

                        Chiangmai Chaiyo Hotel
                        เครดิตภาพจาก facebook.com/Chiangmai.Chaiyo.Hotel
                        Chiangmai Chaiyo Hotel
                        เครดิตภาพจาก facebook.com/Chiangmai.Chaiyo.Hotel

                        พิกัด: ถนนนิมมานเหมินทร์ ซอย 5 อ.เมือง จ.เชียงใหม่

                        ราคา : ราคารวมบริการอาหารเช้าเป็นข้าวต้มร้อนๆ ขนมปัง นม กาแฟ และอเมริกันเบรคฟาสท์

                        สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร. 095 889 5050

                        เว็บไซต์ :  www.facebook.com/Chiangmai.Chaiyo.Hotel

                        2.Hug Nimman Hotel

                        โรงแรมฮักนิมมาน ตั้งอยู่บนถนนนิมมานเหมินทร์ ซอย 13 ตรงข้ามร้านอาหารพื้นเมืองชื่อดัง มีห้องพักไว้บริการ 79 ห้อง ดีไซน์ ออกแบบ และตกแต่งในกลิ่นอายของความเรียบ หรูอย่างลงตัว พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เป็นโรงแรมบนถนนนิมมานที่สามารถพาลูกออกมาเดินเที่ยว กิน ช้อปปิ้ง ง่าย ๆ บริเวณใกล้ที่พักได้อย่างสะดวกสบาย จัดว่าเป็นตัวเลือกที่ลงตัวสำหรับการมาพักในเมืองเชียงใหม่อีกที่เลยค่ะ

                        Hug Nimman Hotel
                        เครดิตภาพจาก www.hugnimman.com

                        Location: 4 ซ.13 ถ.นิมมานเหมินทร์ ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่

                        สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร. 093 139 5990

                        เว็บไซต์ : www.hugnimman.comwww.facebook.com/Hugnimmanhotel

                        3.Nimman Zone Suk

                        นิมมานโซนสุข ที่พักบนถนนนิมมานเหมินทร์ ในซอยสุขเกษม ระหว่างนิมมานเหมินทร์ซอย 2 และ ซอย 4 ถึงจะเป็นที่พักที่ให้บริการแบบเซอร์วิส อพาร์ทเม้นท์ แต่ก็ตกแต่งบริเวณที่พักด้วยเฟอร์นิเจอร์และข้าวของเครื่องใช้เก่า ๆ ในแนววินเทจและชิคมาก ๆ ให้ความรู้สึกอบอุ่น เหมือนเป็นบ้านของตัวเอง ที่นี่มีห้องพักหลากหลายรูปแบบตั้งแต่ 2 คนและสำหรับครอบครัว 4-6 คน ทั้งเตียงคิงไซส์ เตียงสองชั้น ภายในห้องพักดูกว้างขวาง สวยสะอาด พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็นภายในห้องแบบครบครัน

                        Nimman Zone Suk
                        เครดิตภาพจาก www.facebook.com/nimmanzonesuk
                        Nimman Zone Suk
                        เครดิตภาพจาก www.facebook.com/nimmanzonesuk
                        Nimman Zone Suk
                        เครดิตภาพจาก www.facebook.com/nimmanzonesuk

                        Location: 36 ซ.สุขเกษม ถ.นิมมานเหมินทร์ จ.เชียงใหม่

                        ราคา : ราคาห้องพักไม่รวมอาหารเช้า แต่มีบริการ กาแฟ ไมโล มาม่า ทานฟรีตลอด 24 ชม.)

                        สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร. 093-2577877 , 094-7275856

                        เว็บไซต์ : www.facebook.com/nimmanzonesuk

                         

                        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                         

                        อ่านต่อ 7 ที่พักสวย ๆ บนถนนนิมมานฯ คลิกหน้า 2

                          เมนูอาหารเด็ก

                          รวม 60 สูตร+วิธีทำ เมนูอาหารเด็ก ตั้งแต่ 6 เดือน – 1 ขวบ

                          แจกสูตรเด็ด เมนูอาหารเด็ก ง่ายๆ กว่า 60 สูตรอร่อยพร้อมวิธีทำ ครบ 5 หมู่ เน้นบำรุงร่างกายและสมอง เพื่อลูกน้อยตั้งแต่วัย 6 เดือน – 1 ขวบ โดยเฉพาะ!

                          รวม เมนูอาหารเด็ก ตั้งแต่ 6 เดือน – 1 ขวบ

                          “วันนี้จะทำอะไรให้ลูกกินดี” เมื่อลูกน้อยถึงวัยเริ่มกินอาหารเสริมได้แล้ว คุณแม่มือใหม่หลายคนก็มักมีคำถามว่าจะทำ เมนูอาหารเด็ก อะไรให้ลูกกินดีนะ!? เพราะอาหารสำหรับลูกวัย 6 เดือนขึ้นไปจนถึง 1 ขวบ จำเป็นที่คุณแม่จะต้องมีความรู้และมีความพร้อมในการทำอาหารเสริมให้ลูกน้อยได้อย่างถูกต้อง ถูกหลัก และดีที่สุด

                          หลักในการป้อนอาหารเสริมให้ลูก

                          อย่าเริ่มเร็วหรือช้าเกินไป

                          โดยทั่วไปกุมารแพทย์จะแนะนำให้เริ่มป้อนอาหารเสริมให้ลูกน้อยตอนช่วงอายุ 6 เดือน นั่นก็เพราะเป็นวัยที่ลูกมีความพร้อมของร่างกายที่สามารถรับและกลืนอาหารที่มีลักษณะกึ่งแข็ง กึ่งเหลวได้แล้ว รวมไปถึงระบบย่อยอาหารและน้ำย่อยต่างๆ จะเริ่มมีมากขึ้น ทำให้สามารถย่อยอาหารประเภทแป้งข้าวได้ดี

                          ทั้งนี้ไม่ควรเริ่มอาหารเสริมเร็วเกินไปก่อนอายุ 6 เดือน เพราะจะทำให้ลูกดูดนมแม่ได้น้อยลง รวมทั้งมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคภูมิแพ้ และในบางครั้งถ้าอาหารที่ให้นั้นเตรียมไม่สะอาด ก็จะทำให้ทารกเกิดการติดเชื้อท้องเสียลำไส้อักเสบได้

                          และไม่ควรเริ่มอาหารเสริมช้าเกินไป เพราะจะทำให้ลูกได้รับสารอาหารไม่พอเพียงและในบางรายอาจจะไม่ยอมรับอาหารเสริม เพราะคุ้นเคยแต่การดูดนมเท่านั้น ทำให้เด็กมีปัญหาทุพโภชนาการในภายหลัง

                          ซึ่งถ้าทารกได้รับแต่นมแม่เพียงอย่างเดียวจนถึงอายุประมาณ 9 เดือน ถึง 1 ปี อาจเริ่มมีปัญหาโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กร่วมกับการได้รับโปรตีนและแคลอรี่ไม่เพียงพอ ทำให้เด็กมีน้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์ต่ำและซีดได้ … แต่ถึงจะเริ่มอาหารเสริมแล้ว ก็อย่าลืมให้ลูกกินนมในปริมาณที่เพียงพอด้วย เพราะน้ำนมแม่เป็นอาหารหลักที่สำคัญที่สุดของลูกน้อยขวบปีแรก

                          Must read : 7 สัญญาณ ลูกพร้อมกิน อาหารเสริมเด็ก-ทารก

                          ควรเริ่มทีละอย่าง 

                          การเริ่มอาหารในครั้งแรกหรือชนิดใหม่ ควรเริ่มทีละอย่าง ถ้าภายใน 1-2 สัปดาห์ หลังจากนั้นหากไม่พบว่าลูกมีอาการแพ้ เช่น ผื่นแพ้เห่อ หรือ อาเจียน ท้องอืด ฯลฯ ที่ผิดปกติ จึงค่อยเริ่มอาหารชนิดอื่นต่อไป

                          ไม่ควรใส่เครื่องปรุง

                          นั่นเพื่อให้ลูกได้คุ้นเคยกับอาหารรสธรรมชาติ ไม่ติดรสหวานหรือ เค็ม เพราะโดยทั่วไปถ้ามีการเติมรสให้อร่อยอย่างของผู้ใหญ่ บางครั้งจะพบว่าทำให้ลูกได้รับเกลือโซเดียมสูงเกินไป เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรค ความดันโลหิตสูง ส่วนอาหารที่มีรสหวาน นอกจาก ทำให้เด็กติดรสหวานไม่ยอมทานอาหารรสธรรมดาแล้ว ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคอ้วน ฟันผุ และ ไขมันใน เลือดสูงในอนาคต

                          เมนูอาหารเด็ก

                          เริ่มไข่แดงก่อน

                          การป้อนไข่ ในช่วงแรกให้เริ่มจากไข่แดงต้มสุกก่อน (ต้มไข่ให้สุกทั้งฟอง แล้วแกะเปลือก แกะเอาไข่ขาวออก เหลือไข่แดงที่สุกแข็งแล้ว นำมาบี้ผสมในข้าวตุ๋นให้ลูก) เพื่อลดการกระตุ้นให้เกิดภูมิแพ้ และไม่ควรให้ลูกกินไข่ที่ไม่สุกเต็มที่ หรือ ไข่ลวก เพราะอาจทำให้เกิดภาวะขาดวิตะมินบี 7 เพราะในไข่ขาวดิบจะมีสารยับยั้งการดูดซึมวิตะมินดังกล่าว

                          Must read : เตรียมอาหารเสริมให้ลูก ใช้อุปกรณ์อะไรบ้าง?

                          เริ่มปลาน้ำจืดก่อนปลาทะเล

                          เพราะปลาเป็นเนื้อสัตว์ที่ย่อยง่ายกว่าเนื้อสัตว์ชนิดอื่นๆ แถมยังมีสารอาหารหลายชนิดที่จำเป็นต่อสมองและการเจริญเติบโตของลูก ซึ่งปลาที่เหมาะสำหรับอาหารเสริมที่สุดคือปลาน้ำจืด เช่น ปลานิล ปลาทับทิม ปลาช่อน ปลาดุก หรือปลาสวาย เพราะเป็นปลาที่มีเนื้อนิ่ม ก้างใหญ่ บดให้ละเอียดง่าย ส่วนปลาทะเล เช่น ปลาทู ปลาเก๋า ปลากะพง ปลาแซลมอน ควรให้ลูกเริ่มกินเมื่ออายุ 1 ขวบขึ้นไป เพราะมีความเสี่ยงที่จะแพ้โปรตีนในปลาทะเลง่ายกว่าปลาน้ำจืด

                           

                          ทั้งนี้เมื่อทราบหลักการป้อนอาหารเสริมให้ลูกน้อยแล้ว แต่ยังไม่รู้ว่าจะทำ เมนูอาหารเด็ก อะไรให้ลูกกินดี ทีมแม่ ABK จึงได้รวบรวม เมนูอาหารเด็ก กว่า 60 สูตรพร้อมวิธีง่ายๆ ที่เน้นสารอาหารบำรุงร่างกายและสมองของลูกน้อยที่อยู่ในวัย 6 เดือน – 1 ขวบ จะมีเมนูอะไรบ้างตามไปดูกันเลย

                           

                          อ่านต่อ >> “รวมสูตรอาหารลูกน้อยเมนูทารก
                          วัย 6
                          เดือน – 1 ขวบ กว่า 60 เมนู” คลิกหน้า 2

                           

                          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                            พัฒนาการด้านอารมณ์

                            เลี้ยงลูกอย่างไร? ให้ลูกมี พัฒนาการด้านอารมณ์ ที่ดี

                            พัฒนาการด้านอารมณ์ ของลูกจะค่อย ๆ เติบโตไปตามวัย หากลูกได้รับการอบรมเลี้ยงดูอย่างถูกต้อง ก็จะช่วยให้เด็กพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ได้เร็วขึ้น

                            เลี้ยงลูกอย่างไร? ให้ลูกมี พัฒนาการด้านอารมณ์ ที่ดี

                            พัฒนาการด้านอารมณ์ คืออะไร?

                            พัฒนาการด้านอารมณ์ หมายถึง ขบวนการวิวัฒนาการของจิตที่สามารถรับผิดชอบควบคุม ขัดเกลา และแสดงออก ซึ่งอารมณ์ให้เหมาะสมกับกาลเวลาและสถานที่ เช่น การโต้เตียงโดยไม่รู้สึกโกรธเคือง รับฟังความคิดเห็น ของบุคคลอื่นที่มีความคิดเห็นขัดแย้งกับตนอย่างสบายใจในขณะที่รู้สึกโกรธเคืองไม่แสดงพฤติกรรมใดๆ ออกมาในทางไม่ดี หรือในทางลบ

                            การแสดงออกทางอารมณ์ของเด็กเล็กนั้นจะเริ่มรุนแรงขึ้นเมื่อเทียบกับวัยทารก เพราะมีพัฒนาการทางด้านร่างกายที่ช่วยให้แสดงความรู้สึกได้มากขึ้น อีกทั้งพัฒนาการทางด้านสมองเริ่มมีความซับซ้อนขึ้น โดยระดับความรุนแรงทางอารมณ์ของเด็กแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหลาย ๆ อย่าง เช่น สุขภาพ สิ่งแวดล้อม การอบรมเลี้ยงดู อารมณ์โดยทั่วไปของเด็กเล็ก ได้แก่

                            1. อารมณ์โกรธ จะเริ่มเมื่อเด็กอายุได้ 6 เดือน และจะมีอัตราความโกรธสูงขึ้นตามลำดับเด็กมักโกรธเมื่อถูกขัดใจ ถูกรังแก และเรียนรู้ว่าวิธีที่จะเอาชนะได้ง่ายที่สุดคือการแสดงอารมณ์โกรธ เด็กจะแสดงอารมณ์โกรธอย่างเปิดเผย เช่น ร้องไห้ กระทืบเท้า กระแทกร่างกาย ทำตัวอ่อน ไม่พูดไม่จา ฯลฯ
                            2. อารมณ์กลัว กลัวในสิ่งที่มักมีเหตุผลมากกว่าวัยทารก สิ่งเร้าที่ทำให้เด็กกลัวมีมากขึ้น เช่น กลัวเสียงดัง คนแปลกหน้า ในเด็กอายุ 3-5 ปี กลัวสัตว์ กลัวถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว พฤติกรรมที่เด็กแสดงออกเวลากลัว ร้องไห้ วิ่งหนี หาที่ซ่อน ความกลัวเหล่านี้จะลดลงเมื่ออายุมากขึ้น
                            3. อารมณ์อิจฉา อารมณ์อิจฉาเป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเด็กมีความรู้สึกว่าตนเองด้อยกว่าผู้อื่น หรือ กำลังสูญเสียของที่เป็นของตนไป จะเกิดขึ้นในเด็กอายุ 2-5 ปี เด็กจะอิจฉาน้อง เมื่อเด็กเห็นว่าพ่อแม่ให้ความสนใจมากกว่าตน พฤติกรรมที่แสดงออกเช่นเดียวกับอารมณ์โกรธ ดังนั้นควรที่จะให้ความรักความอบอุ่นที่ทัดเทียมกันเพื่อป้องกันมิให้เกิดความเลื่อมล้ำ
                            4. อารมณ์อยากรู้อยากเห็น เป็นวัยที่เริ่มรู้จักการใช้เหตุผลมีความเป็นตัวของตัวเองมีความสงสัยในสิ่งที่ไม่เคยเห็น ชอบสำรวจ ชอบซักถาม
                            5. อารมณ์สนุกสนาน เมื่อเด็กประสบความสำเร็จในสิ่งต่าง ๆ ที่ได้กระทำ เด็กจะเกิดความสนุกสนาน ซึ่งแสดงออกด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ
                            6. อารมณ์รัก แรกเริ่มเด็กจะรักตนเองก่อน ต่อมาจะรู้จักการรักคนอื่น อารมณ์นี้เป็นอารมณ์แห่งความสุข เด็กจะแสดงความรักโดยการกอดจูบลูบคลำ เด็กมักแสดงความรักต่อพ่อแม่ หรือสัตว์เลี้ยงตลอดจนของเล่น
                            อารมณ์โกรธ
                            อารมณ์โกรธ

                            พ่อแม่ทุกคนย่อมอยากเห็นลูกเติบโตเป็นคนดีและมีความสุข ดังนั้นการเลี้ยงดูในวัยเด็ก จะเป็นช่วงที่หล่อหลอมลักษณะพิเศษของแต่ละคน หรือที่เราเรียกว่า “บุคลิกภาพ” ซึ่งเปลี่ยนแปลงได้ยากเมื่อเติบโตขึ้น การที่พ่อแม่ช่วยอบรมสั่งสอน ก็จะช่วยนำพาลูกเข้าสู่เส้นทางที่ถูกที่ควร เพื่อให้ลูกเติบโตเป็นเด็กที่เป็นคนดี มีความสุข และมีความสมดุลในชีวิต ดังนั้น การพัฒนาจึงเริ่มต้นขึ้นที่บ้าน ถ้าพ่อแม่พัฒนาลูกในทุกกิจกรรม ลูกจะมีความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมที่ถูกต้อง รู้จักกินเป็น ดูเป็น ฟังเป็น บริโภคเป็น มีจิตใจที่ดีงาม มีการแสดงออกทางอารมณ์ที่เหมาะสม พร้อมที่จะออกสู่สังคมนอกบ้านต่อไป ดังนั้น หากเด็กได้รับการเลี้ยงดูแนะนำที่ถูกต้องเหมาะสม จะทำให้เด็กมีพัฒนาการทางอารมณ์และจิตใจดี เด็กจะยอมรับนับถือตนเอง ได้รับการยอมรับจากผู้อื่น และเด็กก็จะมีความสุขตามมา เมื่อเด็กมีความสุข เด็กจะมีกำลังใจ มีแรงจูงใจในการทำงานตามที่มุ่งหวัง และสามารถทนต่อความขัดแย้งได้ดี ทำให้ประสบความสำเร็จ ถ้าเด็กไม่สามารถทำได้ตามขั้นตอนพัฒนาการ เด็กจะรู้สึกเป็นปมด้อย และจะทำงานในขั้นตอนพัฒนาการที่สูงขึ้นได้ยาก

                             

                            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                            อ่านต่อ เลี้ยงลูกอย่างไร ให้ลูกมีพัฒนาการด้านอารมณ์ที่ดี?

                              สิทธิ์บัตรทอง

                              ของขวัญจากสปสช. เพิ่ม สิทธิ์บัตรทอง ให้แม่และเด็ก

                              ในปี 2563 ที่จะถึงนี้ สปสช. ได้เพิ่ม สิทธิ์บัตรทอง ให้กับแม่และเด็กทุกคน ในการทำฟัน ตรวจคัดกรอง ฉีดวัคซีน โดยมีรายละเอียดดังนี้

                              ของขวัญจากสปสช. เพิ่ม สิทธิ์บัตรทอง ให้แม่และเด็ก

                              “วาระดิถีขึ้นปีใหม่ สปสช.ในฐานะหน่วยงานดำเนินงานด้านหลักประกันสุขภาพให้กับประชาชน ขอเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมดูแลสุขภาพ ซึ่งไม่เพียงแต่ด้านการรักษา แต่ สปสช.ได้ให้ความสำคัญต่อการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค เพื่อมอบรอยยิ้มแห่งความสุขให้กับคนไทยทั่วประเทศ มีสุขภาพที่ดี พลานามัยแข็งแรง และเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีในปี 2563 นี้”

                              นพ.ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า การมีสุขภาพที่ดีเป็นหนึ่งในปัจจัยที่สร้างความสุขให้กับชีวิต เช่นเดียวกับการเข้าถึงการรักษาเมื่อเกิดภาวะเจ็บป่วย โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเป็นอุปสรรค ที่ผ่านมา คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือบอร์ด สปสช.ได้พัฒนาสิทธิประโยชน์ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติอย่างต่อเนื่อง ตามเจตนารมณ์ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 เพื่อให้ประชาชนทุกคนเข้าถึงการรักษาและบริการสาธารณสุขที่จำเป็นอย่างมีคุณภาพและมาตรฐาน และในปี 2563 นี้ สปสช.ขอมอบของขวัญสิทธิประโยชน์ทั้งด้านการรักษาพยาบาลและส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรค เพื่อเป็นการส่งความสุขให้กับคนไทยทั่วประเทศในช่วงปีใหม่นี้ โดยสิทธิประโยชน์ที่เพิ่มขึ้น สำหรับแม่และเด็ก มีดังนี้

                              เด็กเล็กและเด็กโต

                              1. เพิ่มการเข้าถึงยาจำเป็นที่มีราคาแพง ซึ่งก็คือ ยาริทูซิแมบ (Rituximab) รักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิด NHL (Non-Hodgkin lymphoma) ในเด็ก ซึ่งเป็นชนิดที่พบบ่อยที่สุดในไทย
                              2. เพิ่มเติมสิทธิประโยชน์ด้านการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคหลายรายการ ได้แก่ วัคซีนป้องกันโรคอุจจาระร่วงจากเชื้อไวรัสโรต้า (Rotavirus Vaccine) ในทารกอายุ 2-6 เดือน ซึ่งโรคอุจจาระร่วงเฉียบพลันถือเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของประเทศไทย โดยเฉพาะในเด็กเล็ก ประมาณครึ่งหนึ่งของเด็กที่เข้านอนโรงพยาบาลด้วยโรคอุจจาระร่วงมีสาเหตุมาจากไวรัสโรต้า
                              3. ป้องกันฟันผุด้วยการ เพิ่มรายการเคลือบฟลูออไรด์ในเด็กอายุ 4-12 ปี และรายการเคลือบหลุมร่องฟันในเด็กอายุ 6-12 ปี โดยสิทธิประโยชน์นี้ ทางสปสช. ได้ปรับระบบการเบิกจ่ายโดยเพิ่มเติมรายการเบิกจ่ายตามรายการ (Fee Schedule) เพื่อเพิ่มความสะดวกในการเบิกจ่ายของหน่วยบริการอีกด้วย
                              วัคซีนโรต้า
                              วัคซีนโรต้า สิทธิ์บัตรทอง

                              ผู้หญิงและแม่ท้อง

                              1. ผู้หญิงทุกคน สามารถใช้ สิทธิ์บัตรทอง ในการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วยวิธีเอชพีวี ดีเอ็นเอ เทสต์ (HPV DNA test) เป็นวิธีใหม่ที่มีประสิทธิภาพและคุ้มค่า สามารถตรวจพบผู้ป่วยในระยะแรกเริ่มเพิ่มขึ้นและเข้าสู่การรักษาได้เร็วก่อนลุกลาม ซึ่งจะช่วยให้อุบัติการณ์และการเสียชีวิตจากมะเร็งปากมดลูกลดลงเมื่อเทียบกับวิธีคัดกรองในปัจจุบัน
                              2. ส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคในช่องปากสำหรับหญิงตั้งครรภ์ โดยการให้บริการตรวจและป้องกันสุขภาพช่องปากให้แก่แม่ท้องทุกคน ทั้งยังปรับการเบิกจ่ายการตรวจนี้ให้เป็น 1 ในรายการเบิกจ่ายตามรายการ (Fee Schedule) เพื่อเพิ่มความสะดวกในการเบิกจ่ายของหน่วยบริการ

                              นอกจากแม่และเด็กแล้ว ทางสปสช. ยังได้มอบของขวัญปีใหม่ปี 2563 ให้ได้ทั่วถึงทุกกลุ่มคน ทุกเพศ และทุกวัย โดยการเพิ่ม สิทธิ์บัตรทอง ดังต่อไปนี้ (อ่านต่อหน้าที่ 2)

                               

                              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                              อ่านต่อ สปสช.มอบของขวัญปีใหม่ 2563 เพิ่ม สิทธิ์บัตรทอง

                                ครีมทาท้องคุณแม่

                                ครีมทาท้องคุณแม่ ต้องเริ่มทาเมื่อไร ทาแบบไหนกันท้องลายได้ชัวร์

                                ครีมทาท้องคุณแม่ เป็นของจำเป็นที่คุณแม่ทุกคนต้องมี เพราะท้องที่ใหญ่ขึ้นทุกวันจะทำให้เกิดรอยแตกบนผิวบริเวณหน้าท้อง และกลายเป็นรอยแผลเป็นน่าเกลียด ที่คุณแม่หลายๆคนกลัวหนักหนา แต่เริ่มทาได้เมื่อไรและต้องทาแบบไหนถึงจะกันท้องลายได้อยู่หมัด

                                ผู้หญิงที่กำลังวางแผนว่าจะต้องครรภ์ มักกังวลว่าพอท้องใหญ่แล้วจะแตกลาย แม้จะคลอดลูกแล้วก็เหลือร่องรอยหน้าเกลียดไว้บนหน้าท้อง จึงจำเป็นต้องถนอมผิวหน้าท้องไว้ตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์ ครีมทาท้องคุณแม่ ที่รู้จักส่วนใหญ่มักเรียกว่า ครีมทาท้องลาย มีคุณสมบัติเฉพาะเพื่อบำรุงและดูแลลดผิวแตกลายโดยเฉพาะ

                                รอยท้องลายจัดเป็นแผลชนิดหนึ่ง มีสีแตกต่างกับผิวส่วนอื่นอย่างชัดเจน เกิดจากการฉีกขาดของหนังแท้ โดยเฉพาะบริเวณผิวหนังที่เกิดการยืดขยายตัวอย่างรวดเร็ว เช่น หน้าท้องของคุณแม่ขณะตั้งครรภ์ รวมถึงบริเวณที่มีไขมันสะสม เช่น หน้าอก เต้านม ต้นขา สะโพกและน่องได้ด้วย

                                ครีมทาท้องคุณแม่

                                หน้าท้องตากลายมีหลายลักษณะ ตั้งแต่ Striae alba ลานเส้นขยายเป็นสีขาว  Striae rubra ลายเส้นขนานเป็นสีแดง  Striae atrophicans เป็นเส้นขนานและผิวหนังย่น สุดท้ายคือ Striae distensae เส้นขนานที่เกิดการผิวหนังยืดออกอย่างรวดเร็ว  ริ้วรอยที่เกิดขึ้นรอยนี้จะกลายเป็นทางยาวซีดๆ เงาๆ ได้ รอยแตกส่วนใหญ่กว้าง 1-10 มิลลิเมตร และยาวได้หลายเซนติเมตร

                                แม้ว่าอาการแตกลาย ไม่ได้มีผลต่อสุขภาพโดยรวม แต่ขืนปล่อยไว้นานขึ้นโดยไม่ได้รักษา รอยแตกลายจะมีสีซีดลงจนเป็นสีขาว ผิวบางและบุ๋มลงเหมือนแผลเป็น คงไม่มีคุณแม่คนไหนอยากให้เกิดรอยเช่นนั้น นอกจากจะไม่สวยงามแล้วยังทำให้ขาดความมั่นใจ

                                 5 วิธีดูแลหน้าท้องให้เรียบเนียน ไร้ริ้วรอย

                                แค่อาบน้ำก็ช่วยได้

                                แม้การอาบน้ำอุ่นจะช่วยให้คุณแม่สบายตัวและผ่อนคลาย แต่การอาบน้ำอุ่นบ่อยๆ ทำให้ผิวแห้งเป็นขุย ควรอาบน้ำอุณหภูมิปกติจะดีกว่า

                                อย่าเกาเด็ดขาด

                                เวลาผิวเริ่มแตกมักมาพร้อมอาการคัน จนอดเกาไม่ได้ แต่แม่รู้ไหมว่าการเกาทำให้ผิวหนังอักเสบและอาจติดเชื้อได้ ถ้าอดใจไม่ไหวควรพบแพทย์เพื่อรับยาบรรเทาอาการคัน และตัดเล็บให้สั้นแล้วใช้นิ้วถูเบาๆ แทนจะดีกว่า

                                หมั่นทาครีมบำรุงสม่ำเสมอ

                                ช่วงแรกของการตั้งครรภ์การทาครีมบำรุงอาจยังไม่จำเป็น แต่เมื่อท้องเริ่มโตขึ้นช่วง 5-6 เดือน หรือสังเกตเห็นรอยแตกลาย ให้เริ่มทาได้ทันที โดยสามารถทาได้บ่อยครั้งตามต้องการ เลือกใช้ได้ทั้งครีมบำรุงหรือน้ำมันบำรุงผิว ที่สำคัญควรหมั่นทาวันละหลายๆครั้ง และทาให้ทั่วท้อง หากท้องใหญ่มากจนทาไม่ถึง อาจต้องให้คุณพ่อมาเป็นผู้ช่วย

                                หาหมอนรองหน้าท้อง

                                การนอนตะแคงจะเป็นท่านอนที่สบายที่สุดสำหรับคนท้อง แต่กลับทำให้ผิวหนังดึงรั้งไปด้านด้านหนึ่งมากเกินไป ทางที่ดีควรหาหมอนข้างหรือหมอนกอดมารองรับหน้าท้องไว้ จะช่วยให้ปัญหาท้องลายลดลง

                                เสริมวิตามินและเกลือแร่

                                วิตามินอีและคอลลาเจนเป็นสารอาหารที่ช่วยบำรุงผิวพรรณให้มีสุขภาพดี หากต้องการซ่อมแซมผิวที่สึกหรอ ระหว่างตั้งครรภ์คุณแม่ต้องหมั่นรับประทานอาหารที่มีวิตามินและเกลือแร่เหล่านี้ด้วย

                                ครีมทาท้องคุณแม่

                                Amarin Baby & Kids Awards 2019 ยกให้ออยบำรุงผิว Bio Oil ได้รับรางวัล Editor’s Choice Best Stretch Marks Treament

                                ไบโอออย (Bio Oil) สูตรออยบำรุงผิว เป็นผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับคุณแม่ตั้งครรภ์ เพราะทำจากสารสกัดจากพืชและวิตามิน มีสารประกอบ PurCellin Oil™ ลิขสิทธิ์เฉพาะของไบโอออย บวกกับออยที่ซึมซาบเข้าผิวได้รวดเร็วกว่าเนื้อครีม จึงช่วยให้ผิวชุ่มชื่นในทันที ออยเป็นสีใส มีกลิ่นอ่อนๆ ไม่ฉุน

                                นอกจากนี้  Bio Oil ได้ผ่านการประเมิน ตามระเบียบของสภายุโรปและสภาผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง รายละเอียดทางพิษวิทยาว่าปลอดภัยสำหรับการนำไปใช้ในผู้หญิงมีครรภ์ โดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายกับลูกน้อยในครรภ์ ช่วยให้คุณแม่ดูแลผิวพรรณของตัวเองได้อย่างมั่นใจ

                                ทาง Amarin Baby & Kids “เครือข่ายแม่ลูกใหญ่ที่สุด” ผู้นำด้านคอนเทนต์คุณภาพ เข้าใจครอบครัวไทย และตอบสนองความต้องการของคุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ จึงคัดเลือกให้ ออยบำรุงผิว Bio Oil TRYLAGINA  ได้รับ รางวัล Editor’s Choice Best Stretch Marks Treament จาก “Amarin Baby & Kids Awards 2019” ซึ่งมอบให้กับสินค้าแม่ลูก “สินค้าใช้ดี และมีประโยชน์จริง”

                                 

                                อ่านบทความ Amarin Baby & Kids Awards 2019 

                                ประกาศผลรางวัล Amarin Baby & Kids Awards 2019 สุดยอดแบรนด์สินค้าแม่และเด็กในดวงใจ

                                ชมภาพบรรยากาศ งานมอบรางวัล Amarin Baby & Kids Awards 2019

                                 

                                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                 

                                  ของเล่นไม้

                                  พลังที่ซ่อนอยู่ใน ของเล่นไม้ กระตุ้นประสาทสัมผัส สร้างจินตนาการจากธรรมชาติ

                                  ของเล่นไม้ ถูกมองเป็นของเล่นพื้นๆ ไม่มีกลไกให้ว้าว หรือสีสันสะดุดตา แต่รู้ไหมว่าพลังที่ซ่อนอยู่ในไม้ชิ้นเล็กๆที่มาประกอบเป็นของเล่นในรูปแบบต่างๆ กลับช่วยกระตุ้นพัฒนาของลูกน้อยรอบด้านอย่างเป็นธรรมชาติ และปลอดภัยจากสารอันตรายแอบแฝงด้วย

                                  พ่อแม่คือของเล่นชิ้นแรกที่ดีที่สุดก็จริง แต่เมื่อลูกโตขึ้นเริ่มใช้มือไขว่คว้า มองตามเสียง ยิ้มหัวเราะกับโทนเสียงแตกต่างกันช่วงวัย 4-5 เดือน นั่นเป็นสัญญาณให้พ่อแม่รู้ว่าสามารถหาของเล่นมาให้ลูกเล่นได้แล้ว เพราะนอกจากได้ความสนุกแล้ว ระหว่างเล่นของเล่นลูกยังได้ฝึกฝนและเรียนรู้รอบด้าน ทั้งประสาทสัมผัสทั้ง 5 ฝึกสมาธิ พัฒนาการด้านอารมณ์ จินตนาการ รวมถึงพัฒนาการด้านสังคม การเลือกซื้อควรให้เหมาะกับลูกน้อยในแต่ละวัยซึ่งมีพัฒนาการแตกต่างกัน สรุปคร่าวๆดังต่อไปนี้

                                  ลูกวัย 0-6 เดือน : โมบาย รูปภาพสีตัดกันขาว  น้ำเงิน เหลือง แดง กล่องดนตรี ของเล่นบีบหรือเขย่ามีเสียง และหนังสือภาพ

                                  ลูกวัย 6-12 เดือน : ของเล่นที่มีผิวสัมผัสเรียบ หยาบ ขรุขระ ยางกัด บล็อกไม้ กล่องหยอด หนังสือลอยน้ำ กระจกเงา

                                  ลูกวัย  1-2 ขวบ : ของเล่นลากจูง ของเล่นทุบตอกตี กล่องหยอดรูปเลขาคณิต แป้งโด

                                  ลูกวัย 2-3 ขวบ : ม้าโยก จักรยานสามล้อ ร้อยลูกปัด รถไฟเรียงซ้อน ชุดเครื่องครัว

                                  ลูกวัย 3-4 ขวบ : ม้าโยก จักรยานสามล้อ ชุดแท่งไม้สี ลูกลิงสอนสมดุล บ้านตุ๊กตา ชุดเครนก่อสร้าง

                                  ลูกวัย 4-6 ขวบ : จักรยานสองล้อ เชือกกระโดด ชุดแท่งไม้สร้างเมือง ชุดเครื่องมือช่าง

                                  อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องคำนึงการตัดสินใจซื้อของเล่นให้ลูก คือความปลอดภัย เพราะของเล่นทุกชิ้นไม่ได้เหมาะกับเด็กทุกคน รวมถึงวัสดุที่ใช้ผลิตของเล่นอาจอันตรายต่อสุขภาพของลูกด้วย

                                  ของเล่นไม้

                                  วิธีเลือกของเล่นอย่างไรให้ปลอดภัย

                                  1ใช้วัสดุปลอดภัยในการผลิต

                                  หากของเล่นมีส่วนผสมของเคมี คุณแม่ควรเลือกของเล่นที่ไม่มีสารตะกั่วเจือปน ส่วนใหญ่มักเป็นของเล่นสีสันต่างๆ สามารถสังเกตได้จากเครื่องหมายรับรองมาตรฐานและความปลอดภัย เครื่องหมายมาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.) แสดงอยู่ข้างบรรจุผลิตภัณฑ์

                                  2 ความแข็งแรงของของเล่น

                                  ควรเลือกของเล่นที่มีประกอบแน่นหนา แยกเป็นชิ้นเล็กจิ๋วไม่ได้ เพราะลูกอาจเอาเข้าปาก หู หรือจมูก

                                  3ไม่ควรมีปลายแหลม หรือเหลี่ยมคม

                                  แม้จะเป็นของเล่น แต่ชิ้นส่วนที่มีปลายแหลม หรือเหลี่ยมคมอาจทำให้ลูกบาดเจ็บได้

                                  4 ควรซื้อของเล่นคุณภาพสูง

                                  อย่าคิดว่าซื้อของเล่นราคาถูก ลูกเล่นพังก็ไม่เสียดาย ของเล่นราคา 10 บาท 20 บาทอาจแฝงไปด้วยสารเคมีและอันตรายที่คาดไม่ถึง ฉะนั้นควรลงทุนสักหน่อยไม่จำเป็นต้องซื้อเยอะชิ้น แต่เลือกของเล่นคุณภาพที่สามารถเสริมพัฒนาการ ราคาอาจแพงสักหน่อย แต่เล่นได้ยาวนาน

                                  สำหรับ ของเล่นไม้ ถือเป็นของเล่นคุณภาพอีกประเภทหนึ่งที่ให้ลูกเล่นสนุกไปกับจินตนการกว้างไกล แถมเนื้อสัมผัสจากไม้แท้ๆยังส่งผลดีต่อพัฒนาการด้านประสาทสัมผัสได้อย่างไม่น่าเชื่อ เพราะไม้แต่ละชิ้นมาจากต้นไม้แตกต่างกัน เนื้อไม้ที่ลูกสัมผัสได้จึงไม่เหมือนกัน เรียบมาก หยาบมาก ขรุขระมาก ลูกจะได้เรียนรู้และรับรู้ถึงความแตกต่างของสิ่งรอบตัวได้ดี

                                  นอกจากนี้ ของเล่นไม้ ส่วนใหญ่เป็นความรู้ที่ตกทอดจากรุ่นคุณปู่ย่าตายาย ซึ่งไม่มีกลไกซับซ้อน ไม่ต้องใช้ถ่าน หรือเสียบปลั๊ก มีเพียงกฎเกณฑ์ง่ายๆที่เด็กเข้าใจและสนุกได้ทันที แถมไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเท่าไหร่ก็เล่นได้ไมรู้เบื่อ เพราะเมื่อลูกโตขึ้นก็จะมีวิธีเล่นของเล่นชิ้นนั้นๆ เปลี่ยนไปด้วย ที่สำคัญยังทำวัสดุปลอดภัย หมดห่วงเรื่องอันตรายแน่นอน

                                   

                                  ของเล่นไม้

                                  Amarin Baby & Kids Awards 2019 ยกให้ ของเล่นไม้ แบรนด์แปลนทอยส์ ได้รับรางวัล Editor’s Choice Best Toy For Kid

                                  สำหรับของเล่นไม้แปลนทอยส์ถูกออกแบบให้เหมาะกับเด็ก  0 – 3 ขวบ ทั้งของเล่นเด็กแบเบาะ ของเล่นในน้ำ ของเล่นประเภทดึง-ผลัก ของเล่นเสริมพัฒนาการ เกมส์Puzzle ดนตรีไม้ และบล็อกต่อต่างๆ ผลิตจากไม้ยางพารา ผ่านกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ใช้สีปราศจากสารตะกั่ว และเข้ากับพัฒนาการของเด็ก ไม้ทุกชิ้นกลิ้งเหลาจนไร้ส่วนแหลมเหลี่ยมที่เป็นอันตราย

                                  แบรนด์นี้มีของเล่นที่ขายดีหลายอย่าง เช่น บ้านไม้ตุ๊กตา บอลไม้ สัตว์ติดล้อ ลาดจอดรถ กลองไม้ ระนาดไม้ ถ้วยน้ำตก เกมส์ตีกอล์ฟ เป็นต้น ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดไม่ได้ขายเฉพาะในประเทศเท่านั้น แต่ยังส่งออกไปขายในอีกหลายประเทศ จนได้รับรางวัลมากถึง 70 รางวัล ใน  11 ประเทศทั่วโลก

                                  ทาง Amarin Baby & Kids “เครือข่ายแม่ลูกใหญ่ที่สุด” ผู้นำด้านคอนเทนต์คุณภาพ เข้าใจครอบครัวไทย และตอบสนองความต้องการของคุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ จึงคัดเลือกให้ ของเล่นไม้ แปลนทอยส์  ได้รับ รางวัล Editor’s Choice  Best Toy For Kid จาก “Amarin Baby & Kids Awards 2019” ซึ่งมอบให้กับสินค้าแม่ลูก “สินค้าใช้ดี และมีประโยชน์จริง”

                                   

                                  อ่านบทความ Amarin Baby & Kids Awards 2019 

                                  ประกาศผลรางวัล Amarin Baby & Kids Awards 2019 สุดยอดแบรนด์สินค้าแม่และเด็กในดวงใจ

                                  ชมภาพบรรยากาศ งานมอบรางวัล Amarin Baby & Kids Awards 2019

                                   

                                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                   

                                    เครื่องไล่ยุง

                                    เครื่องไล่ยุง สำหรับเด็ก เลือกแบบให้ปลอดภัย หยุดยุงตัวร้าย ไม่แพร่โรคร้ายสู่ลูก

                                    เครื่องไล่ยุง เป็นอีกหนึ่ง Gadget ที่ขาดไม่ได้สำหรับพ่อแม่ยุคใหม่ เพื่อป้องกันลูกน้อยจาก “ยุง” ตัวร้ายไซส์จิ๋วที่เป็นพาหะนำโรคร้ายหลายชนิด แทนการจุดยากันยุง หรือฉีดสเปรย์กันยุงที่อาจมีสารตกค้างอันตรายต่อสุขภาพทุกคนในครอบครัว แต่จะเลือกเครื่องไล่ยุงอย่างไรให้มีประสิทธิภาพดี และปลอดภัย เรามีวิธีง่ายๆมาฝากกันค่ะ

                                    หนึ่งในวิธีกำจัดยุงสำหรับเด็กที่นิยมมากสุด คือ การใช้สเปรย์กันยุง พ่นลงบนผิวหนังหรือเสื้อผ้าของลูกน้อย สารเคมีชื่อ DEET ในสเปรย์จะปกปิดกลิ่นเหงื่อของลูก ซึ่งเป็นตัวล่อยุงให้เข้ามากัด สเปรย์กันยุงโดยทั่วไปจะมีความเข้มข้นของ DEET อยู่ราว  5-25%  ความเข้มข้นนี้ไม่ใช่ตัวชี้วัดประสิทธิภาพในการไล่ยุง แต่หมายถึงระยะเวลาที่ช่วยปกป้องจากยุงได้นานขึ้น

                                    แม้สเปรย์กันยุงจะใช้สะดวกแต่ DEET ยังเป็นสารเคมีซึ่งก่อผลข้างเคียงให้เกิดขึ้นได้ เช่น ลมพิษ ผื่นแดง ปากชา มึนงง คันตามผิวหนัง ปวดหัว และคลื่นไส้ หากมีความเข้มข้นสูงจะส่งผลต่อระบบประสาทอื่น ๆ คุณพ่อคุณแม่ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยากันยุงทุกประเภทกับลูกอ่อนอายุต่ำกว่า 2 เดือน โดยเฉพาะชนิดที่มีสารเคมีสังเคราะห์ หากมีสาร DEET เข้มข้นเกิน 30%  ไม่ควรใช้กับเด็กทุกกรณี ส่วนมากกว่าเด็กอายุ 2 เดือนขึ้นไปควรเลี่ยงยากันยุงที่มีน้ำมันยูคาลิปตัสเข้มข้น  มากกว่า 3 ขวบยังต้องเลี่ยงน้ำมันเลมอนเข้มข้น

                                    อย่างไรก็ตาม การใช้ยากันยุงเหมาะใช้เวลาลูกอยู่นอนบ้านมากกว่าในบ้าน ซึ่งต้องพิจารณาด้วยว่าลูกอยู่ข้างนอกนานแค่ไหน หากเพียง 1-2 ชั่วโมง ควรใช้ชนิดที่มีสารกันยุงเข้มข้นน้อยก็พอ ถ้าต้องการปกป้องลูกในบ้าน ควรใช้เครื่องไล่ยุง ซึ่งมีหลักการทำงานคล้ายเครื่องพ่นไอน้ำอะโรม่า ด้วยการใช้น้ำมันหอมระเหยที่มีสารไล่ยุงพ่นออกมาเป็นละอองเล็กจิ๋วภายในห้อง

                                    เครื่องไล่ยุง

                                     

                                    วิธีเลือกซื้อเครื่องไล่ยุง ให้เหมาะกับลูกน้อย

                                     1 น้ำยาไล่ยุงต้องเป็นสารธรรมชาติ ไม่มีสารเคมีเจือปน
                                    เพราะต้องใช้งานในห้องนอน ห้องนั่งเล่นที่มีลูกน้อยอยู่ด้วย ฉะนั้นต้องเป็นส่วนผสมจากธรรมชาติ ที่ลูกสูดดมแล้วจะไม่ก่ออันตรายต่อระบบทางเดินหายใจ และไม่มีสารตกค้างตามเสื้อผ้า หรือเครื่องนอน

                                    2 จำนวนครั้งในการใช้งาน

                                    เครื่องไล่ยุงประเภทนี้ใช้น้ำยาไล่ยุงเป็นส่วนผสมหลัก ต้องพิจารณาว่าน้ำยา  1 ขวด ใช้ได้กี่ครั้ง และตัวเครื่องสามารถเปิดต่อเนื่องได้กี่ชั่วโมง เพื่อให้คุ้มค่า

                                    3 ขนาดพื้นที่ปกป้องยุงได้

                                    ควรเลือกเครื่องไล่ยุงที่สามารถพ่นน้ำยาเป็นละอองเล็กๆ ได้ดี เพื่อให้กระจายออกไปในห้องได้ดี ครอบคลุมพื้นที่ในห้องได้มากขึ้น

                                    4 ตัวเครื่องไม่ควรใหญ่เกินไป

                                    ควรเลือกเครื่องไล่ยุงที่มีขนาดกะทัดรัด สามารถวางหลบให้พ้นจากมือลูกน้อยได้ เพราะหากเครื่องมีขนาดใหญ่เกินไป ต้องวางกับพื้นอาจเป็นอันตรายกับลูกวัยซนได้

                                     

                                    เครื่องไล่ยุง

                                    Amarin Baby & Kids Awards 2019 ยกให้ เครื่องไล่ยุง Kindee ได้รับรางวัล Editor’s Choice Best Mosquito Repellent for Kids

                                    เครื่องไล่ยุงไฟฟ้าแบรนด์คินดี (Kindee) เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ป้องกันยุงที่ออกแบบให้เหมาะกับการใช้งานของทุกคนในครอบครัว เพราะใช้น้ำยาที่สกัดจากธรรมชาติ ปราศจากสาร DEET สารเคมีอันตราย และน้ำหอม ปลอดภัยต่อระบบทางเดินหายใจ เปิดในห้องนอน ห้องนั่งเล่น หรือบริเวณที่ลูกน้อยอยู่ระหว่างวันได้ สามารถใช้ได้กับเด็กตั้งแต่แรกเกิด โดยไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ใดๆ

                                    ตัวเครื่องไล่ยุงออกแบบให้มีขนาดเล็กกะทัดรัด ดีไซน์สวยงามมีให้เลือกทั้งลายธรรมชาติ และลายคาแรคเตอร์ยอดฮิต เหมาะกับทั้งเด็กชายและหญิง ใช้ง่ายถอด-ใส่ขวดน้ำยาได้ไม่ยุ่งยาก แค่เสียบปลั๊กและเปิดสวิตซ์ เครื่องจะพ่นน้ำยาไล่ยุงออกมาเป็นละองเล็กๆข้างบน ให้กระจายไปทั่วห้องขนาด 13 – 15 ตารางเมตร  น้ำยา 1 ขวดสามารถใช้งานได้นาน 70 วัน ถือว่าคุ้มค่าทีเดียว

                                    ด้วยการใช้งานที่ง่ายๆ แค่เสียบปลั๊ก เปิดสวิตซ์ ให้เครื่องพ่นไอน้ำออกมาก็สามารถปกป้องลูกน้อยจากยุงตัวร้ายได้ ที่สำคัญยังปลอดภัยต่อสุขภาพของวัยแบเบาะแบบนี้  ทาง Amarin Baby & Kids “เครือข่ายแม่ลูกใหญ่ที่สุด” ผู้นำด้านคอนเทนต์คุณภาพ เข้าใจครอบครัวไทย และตอบสนองความต้องการของคุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ จึงคัดเลือกให้ เครื่องไล่ยุงไฟฟ้า Kindee  ได้รับ รางวัล Editor’s Choice  Best Mosquito Repellent for Kids จาก “Amarin Baby & Kids Awards 2019” ซึ่งมอบให้กับสินค้าแม่ลูก “สินค้าใช้ดี และมีประโยชน์จริง”

                                     

                                    อ่านบทความ Amarin Baby & Kids Awards 2019 

                                    ประกาศผลรางวัล Amarin Baby & Kids Awards 2019 สุดยอดแบรนด์สินค้าแม่และเด็กในดวงใจ

                                    ชมภาพบรรยากาศ งานมอบรางวัล Amarin Baby & Kids Awards 2019

                                     

                                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่