โรงเรียนแนววอลดอร์ฟ

ชี้เป้า! 7 โรงเรียนแนววอลดอร์ฟ โซนกรุงเทพมีที่ไหนบ้าง?

การสอนแบบวอลดอร์ฟ มีรูปแบบแนวการสอนที่แตกต่างจากโรงเรียนกระแสหลัก จะเป็นการจัดเนื้อหาสาระบูรณาการออกมาในรูปของประสบการณ์ เน้นเรียนรู้ผ่านกิจกรรม การลงมือทำ การเล่น ทั้งในและนอกห้องเรียนและการดำเนินชีวิต เน้นให้ความสำคัญกับจินตนาการของผู้เรียนและการกลมกลืนกับธรรมชาติเชื่อมโยงกัน แต่ก็ยังคงเป็นโรงเรียนที่มีกฎหมายรองรับและจัดการศึกษาที่อิงกับระบบของกระทรวงศึกษาธิการเช่นกัน ปัจจุบัน โรงเรียนแนววอลดอร์ฟ เริ่มเป็นที่ผู้ปกครองนิยมมากขึ้น ทีมแม่ ABK ได้รวบรวมโรงเรียนที่ใช้การเรียนการสอนหลักสูตรวอลดอร์ฟ ในกรุงเทพฯ จะมีโรงเรียนไหนบ้าง มาดูกันเลยค่ะ

7 โรงเรียนแนววอลดอร์ฟ ในกรุงเทพฯ

#1 อนุบาลบ้านรัก

อนุบาลบ้านรัก
อนุบาลบ้านรัก

อนุบาลบ้านรัก เปิดสอนในระดับชั้นอนุบาล เป็นหนึ่งในโรงเรียนทางเลือกที่มีการสอนแบบวอลดอร์ฟ โดยมองว่าวันนี้ของเด็กๆ จะทำอย่างไรเพื่อไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ การเรียนรู้ของที่นี่จึงเป็นแบบ ‘บ้าน’ ใช้กระบวนการทำให้เด็กมีวิถีชีวิต และกิจวัตรประจำวัน พาเด็ก ๆ ผ่านการทำงานบ้าน งานครัว งานสวน เหมือนที่เด็กควรได้ใช้ในชีวิตประจำวันที่เป็นปกติ ตารางสอนห้าวันของเด็ก ๆ จึงเป็นกิจกรรมหลักที่จะทำในทุกวัน เช่น วันจันทร์คือร้อยดอกไม้ วันอังคารปั้นขนม วันพุธว่ายน้ำหรือวิ่งเล่นข้างนอก วันพฤหัสบดีวาดสีน้ำ สีเทียน วันศุกร์เย็บปักถักร้อย ฯลฯ ซึ่งกิจกรรมจะเกี่ยวข้องกับศิลปะต่าง ๆ ในทุกวัน โดยที่นี่ไม่มีการสอนเขียน อ่าน และนับเลข แต่สิ่งที่เด็กๆ จะเจอทุกวัน คือ ธรรมชาติภายในบ้านที่เข้ามาเล่นและเรียนรู้ ซึ่งที่นี้มองว่าการอ่านเขียนสำหรับเด็กเล็กมันไม่มีคำว่าสาย เพราะสุดท้ายแล้วเด็กจะขวนขวายเองในสิ่งที่เขาต้องรู้ ทำไปทำไม ซึ่งการใช้การศึกษาแบบวอลดอร์ฟที่นี่ตั้งเป้าประสงค์เอาไว้เพียงเรื่องเดียวคือ ความพร้อมที่สุดของร่างกายที่จะทำให้มนุษย์เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ สิ่งที่ครูผู้สอนจะให้ความสำคัญกับเด็ก ๆ คือ 3 ส่วน Head Hand และ Heart ซึ่งแต่ละส่วนก็สัมพันธ์กับพัฒนาการในแต่ละช่วงวัยด้วย

อนุบาลบ้านรัก
เครดิตภาพจาก www.facebook.com/Anubarnbaanrak

อนุบาลบ้านรัก

  • ที่อยู่ : เลขที่ 23 ซ.แสงจันทร์ ถนนสุขุมวิท 40 พระโขนง คลองเตย กรุงเทพ 10110
  • โทรศัพท์ : 023928807
  • เว็บไซต์โรงเรียน :  Anubarnbaanrak

ข้อมูลอ้างอิงจาก : www.thepotential.org

#2 โรงเรียนเพลินพัฒนา

โรงเรียนเพลินพัฒนา
โรงเรียนเพลินพัฒนา

โรงเรียนเพลินพัฒนา เปิดสอนตั้งแต่ระดับอนุบาล ประถม และมัธยม มีการจัดสภาพแวดล้อมและจัดกระบวนการการเรียนการสอนที่สอดคล้องกับธรรมชาติในการเรียนรู้ของเด็กในแต่ละช่วงวัย เพื่อให้เกิดการพัฒนาศักยภาพสูงสุดต่อเด็กแต่ละคน ซึ่งถือเป็นองค์ประกอบสำคัญของการศึกษาวอลดอร์ฟ โดยใช้กิจกรรมต่าง ๆ เป็นส่วนช่วยสนับสนุนพัฒนาการหลายด้านของเด็กๆ โดยมีแนวคิดหลักที่สำคัญที่สุดคือ “เรียนรู้ผ่านการเล่น” แนวทางการจัดการเรียนรู้ของที่นี่มุ่งเน้นไปที่การสร้างอุปนิสัยที่สำคัญในการดำรงชีวิตที่ดีงาม สร้างสรรค์ พร้อมไปกับการสร้างความรักในการเรียนรู้ และสร้างความสามารถในการเรียนรู้ให้เพิ่มพูนขึ้นอยู่เสมอ

โรงเรียนได้ออกแบบหน่วยวิชาต่าง ๆ เช่น  หน่วยวิชาแสนภาษา ดนตรีชีวิต ภูมิปัญญาภาษาไทย จินตทัศน์ มานุษกับโลก ธรรมชาติศึกษาและประยุกต์วิทยา เป็นต้น เพื่อให้ผู้เรียนได้มีทักษะชีวิต ทักษะการเรียนรู้ และทักษะการทำงานที่ดีต่อการใช้ชีวิต ด้วยการเรียนรู้ผ่านการลงมือปฏิบัติจริงจากกิจกรรมที่มีความหลากหลาย และสัมพันธ์กับพัฒนาการชีวิตในแต่ละช่วงวัย อาทิเช่น กิจกรรมพัฒนาประสาทสัมผัสรับรู้ กิจกรรมทางภาษา กิจกรรมดนตรีและการเคลื่อนไหว กิจกรรมศิลปะ ฯลฯ รวมถึงการเรียนรู้ที่อาศัยการบ่มเพาะและซึมซับผ่านกิจวัตรประจำวันที่ทำให้เด็กเกิดความชำนาญ ในทุกๆ วัน เด็ก ๆ จะได้ตั้งคำถาม ทดลองคาดเดา และประมวลสรุปด้วยตนเอง แล้วนำเรื่องจากที่ได้เรียนรู้ไปแลกเปลี่ยนกับเพื่อนร่วมชั้นเรียน มีศักยภาพในการประยุกต์ใช้และต่อยอดความรู้ได้ตามความสนใจ ภายใต้บรรยากาศการเรียนรู้ที่ครูเอื้ออำนวยให้เกิดขึ้น เพื่อสร้างความพร้อมที่จะเผชิญกับความก้าวหน้าและการเปลี่ยนแปลงของโลกในอนาคตอย่างมีความสุข

โรงเรียนเพลินพัฒนา
เครดิตภาพจาก www.plearnpattana.com

โรงเรียนเพลินพัฒนา

  • อยู่ : 33/39-40 ถนนสวนผัก แขวงศาลาธรรมสพน์ เขตทวีวัฒนา กรุงเทพฯ 10170
  • โทรศัพท์ : 02-885-2670-5, 02-885-2685-87
  • เว็บไซต์โรงเรียน : www.plearnpattana.com

#3 โรงเรียนปัญโญทัย

โรงเรียนปัญโญทัย
โรงเรียนปัญโญทัย

โรงเรียนปัญโญทัย เป็นโรงเรียนในแนวคิดที่จัดการศึกษาให้เด็กตามแนวทางวอลดอร์ฟแห่งแรกในประเทศไทย เพื่อให้โอกาสเด็ก ๆ ได้ใช้ชีวิตวัยเด็กอย่างเด็ก เบ่งบานไปตามขั้นตอนอย่างเป็นธรรมชาติ พร้อมทั้งพัฒนาไปอย่างรอบด้านและสมดุล เป้าหมายของโรงเรียนคือช่วยให้เด็กเข้าใจในวิวัฒนาการแห่งวิทยาการของโลก กล่อมเกลาด้วยศิลปะ และสร้างสมดุลด้วยจริยธรรม ให้การเรียนรู้ผ่านทั้งความคิด ความรู้สึก และการปฏิบัติ เพื่อพัฒนาไปสู่การคิดที่กระจ่างชัด สร้างสรรค์ มองเห็นความดี ความงาม และความจริงในโลกนี้  ตามธรรมชาติและพัฒนาการของเด็กแต่ละวัย

ในส่วนบรรยากาศห้องอนุบาลวอลดอร์ฟที่นี่ได้เปิดโอกาสให้เด็กได้ใช้จินตนาการและความคิดสร้างสรรค์อย่างเต็มที่ ทั้งการเรียนและการเล่น ควบคู่ไปกับสภาพแวดล้อมซึ่งมีต้นแบบเป็นครูผู้อยู่เบื้องหน้าร่วมกันทำกิจกรรมที่มีความหมายอยู่รอบ ๆ ตัวเด็ก ผ่านกระบวนเรียนรู้ที่หลากหลายจากการทำงานพื้นฐานของชีวิตและงานศิลปะ สอดคล้องกับวิถีชีวิต ธรรมชาติ ฤดูกาล ประเพณี และวัฒนธรรม พร้อมไปกับได้รับการปลูกฝังให้สำนึกในบุญคุณต่อสิ่งที่ได้รับทั้งจากธรรมชาติและมนุษย์  มองเห็นคุณค่าของการสร้างสรรค์ด้วยตนเอง  เช่น พูดคุย ร้องเพลงไปด้วยกัน ทำอาหาร เล่นตุ๊กตา เป็นพระราชาหรือนายพราน ท่องกลอน ปั้นขี้ผึ้ง สร้างบ้าน ไปสำรวจละแวกใกล้เคียง รวมถึงกิจกรรมสงบซึ่งเป็นการซึมซับรับเข้า เช่น ฟังนิทาน ดูละครหุ่น วาดรูป ระบายสี เป็นต้น

ซึ่งหลักสูตรวอลดอร์ฟมีความสมดุลระหว่างศิลปะ วิทยาการ และ จริยธรรม หลักสูตรทุกชั้นเป็นเอกภาพต่อเนื่องกัน วิชาต่าง ๆ ไม่ได้แยกออกจากกันโดยสิ้นเชิง หากแต่เชื่อมโยงซึ่งกันและกันโดยตลอด เด็กจะเรียนรู้โดยผ่านการปฏิบัติด้วยตนเองในสภาพการณ์ที่เป็นจริง  โดยไม่ได้ผ่านตำราแบบเรียน  ครูผู้สอนจะทำหน้าที่สำคัญในการให้การศึกษาต่อเด็กจากประสบการณ์และความรู้ของตนอย่างมีศิลปะ มีชีวิตชีวา และที่โรงเรียนแห่งนี้ครูประจำชั้นจะเลื่อนชั้นตามลูกศิษย์ไปตั้งแต่ป. 1 จนถึงม. 2 เพื่อสามารถนำหลักการที่เรียนรู้มาปรับใช้ในห้องเรียนได้อย่างสอดคล้องกับภูมิหลัง ความสามารถ และบุคลิกลักษณะของนักเรียน ตามเป้าประสงค์ในการบ่มเพาะหล่อหลอมความเป็นมนุษย์ในตัวเด็กและตัวครูผู้สอน

โรงเรียนปัญโญทัย
เครดิตภาพ www.facebook.com/Panyotai

โรงเรียนปัญโญทัย

  • ที่อยู่ : 199 ถ.สุขาภิบาล 5 ซอย 32 (แยก10)  แขวงออเงิน  เขตสายไหม  กทม. 10220
  • โทรศัพท์ : 02 792 0670, 02 792 0672
  • เว็บไซต์โรงเรียน :  www.panyotai.com

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

อ่านต่อ 7 รายชื่อโรงเรียนวอลดอร์ฟในกรุงเทพฯ คลิกหน้า 2

    ไวรัสโคโรน่า

    เฝ้าระวัง ไวรัสโคโรน่า สายพันธุ์ใหม่ ไป-กลับจีน เสี่ยงป่วยปอดอักเสบรุนแรง

    เตือนก่อนเที่ยวจีน ต้องระวังโรคปอดอักเสบรุนแรงจาก ไวรัสโคโรน่า สายพันธุ์ใหม่จากเมืองจีน แพร่รวดเร็วจากตลาดสด ติดเชื้อแล้วหลายสิบราย เด็กเล็ก-ผู้สูงอายุเป็นแล้วอันตราย เสี่ยงเสียชีวิต

    จากรายงานของประเทศจีนตั้งแต่ช่วงสิ้นปี 2562 ต่อเนื่องพบผู้ป่วยโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรน่า  2019 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ใหม่ ในเมืองอู่ฮั่น แล้วถึง 59 คน เสียชีวิตแล้ว 1 คน และมีอาการป่วยรุนแรงอยู่ในโรงพยาบาลอีกหลายมากกว่า 700 คน โดยได้ประกาศเฝ้าระวังการแพร่กระจายของเชื้อโรคทั้งในและต่างประเทศ

     

    ไวรัสโคโรน่า

    เตือนภัย ไวรัสโคโรน่า สายพันธุ์ใหม่จากจีน ทำป่วยปอดอักเสบรุนแรง ทารก-เด็กเล็กเสี่ยงสูง

    การตรวจสอบเบื้องต้นในประเทศจีน พบว่าผู้ปวยทำงานหรือเดินทางไปยังตลาดปลา South China ที่เมืองดังกล่าว ซึ่งไม่ได้ขายเฉพาะอาหารทะเลเท่านั้น แต่ยังมีสัตว์ป่าอื่นๆ อย่าง นก ไก่ฟ้า งู กระต่าง และเครื่องในจากสัตว์ต่างๆด้วย จึงตั้งข้อสงสัยว่าไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่นี้อาจแพร่จากสัตว์สู่คน ทางการได้สั่งปิดตลาดแล้วตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมเป็นต้นมา

    ขณะที่กระทรวงสาธารณสุขของไทยเองได้ออกมาตรการเฝ้าระวังคัดกรองผู้โดยสารที่เดินทางมาจากเมืองอู่ฮั่นตามสนามบินทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 3 มกราคมเรื่อยมาก โดยล่าสุด ( 13 มกราคม 2563) ตรวจพบนักท่องเที่ยวหญิงชาวจีนวัย 61 ปีติดเชื้อไวรัสดังกล่าวก่อนเข้าประเทศ ซึ่งถือเป็นรายแรกของไทย และเป็นผู้ป่วยรายแรกที่ตรวจพบนอกประเทศจีน พร้อมยืนยันว่า “ไม่ใช่การติดเชื้อในประเทศไทยแต่ติดต่อมาจากจีน”

     

    ไวรัสโคโรน่า

    ทำไม ไวรัสโคโรน่า จึงน่ากลัว

    เชื้อไวรัสโคโรน่า (CoVs) ถูกพบครั้งแรกในปีค.ศ.  1965 สามารถติดเชื้อทั้งในคนและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น หนู ไก่ วัว สุนัข แมว กระต่าย และหมู พบได้ทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศเขตอบอุ่นในช่วงฤดูหนาวและฤดูใบไม้ผลิ เมื่อติดเชื้อผู้ป่วยจะแสดงอาการทางระบบทางเดินหายใจส่วนบนมาถึง 35%  โรคไข้หวัดจาก ไวรัสโคโรน่ามีมากถึง 15%  สามารถติดเชื้อได้ทุกกลุ่มอายุ โดยเฉพาะเด็กเล็กที่มักป่วยซ้ำๆ  มีความใกล้เคียงกับไวรัสซาร์ส (SARs) หรือโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง และไวรัสเมอร์ส (MERs) จึงทำให้ความรุนแรงของโรคมีค่อนข้างมาก

    เมื่อติดเชื้อแล้ว มักมีอาการไข้ อ่อนเพลีย ปวดหัว น้ำมูกไหล เจ็บคอและไอคล้ายกับอาการของไข้หวัด แต่จะรุนแรงมากขึ้นในวัยทารกหรือเด็กเล็ก ทำให้เป็นโรคปอดอักเสบ หลอดลมอักเสบ รวมถึงติดเชื้อในระบบทางเดินอาหารด้วย ส่วนเด็กโตก็มีอาการไม่ต่างกัน และมักตามมาด้วยโรคหอบหืดเรื้อรัง

    ความรุนแรงของโรคจากเชื้อ ไวรัสโคโรน่า ค่อนข้างมาก เพราะหลังจากรับเชื้อแล้วจะใช้เวลาเพียง  2 วันในการฟักตัวก็พร้อมแสดงอาการของโรคทันที และแพร่เชื้อได้ง่ายผ่านการไอหรือจาม สำหรับเชื้อโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ที่ค้นพบนี้ ถือเป็นสายพันธุ์ที่ 7 ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ว่า “สามารถแพร่ระบาดจากคนสู่คน” ได้หรือไม่ เพราะไม่พบว่าผู้ใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อในประเทศจีนได้รับเชื้อด้วย จึงคาดการณ์ว่าน่าจะแพร่ระบาดจากสัตว์สู่คนมากกว่า

    อ่านต่อ ใครเสี่ยงติดเชื้ออ ไวรัสโคโรน่า สายพันธุ์ใหม่ พร้อมวิธีป้องกัน หน้า 2

      เด็กก่อนวัยเรียน

      รับมือความกลัวของ เด็กก่อนวัยเรียน พ่อแม่ช่วยแก้ได้เมื่อหนู “ขี้กลัว”

      เด็กก่อนวัยเรียน หรือเด็กเล็ก  (Preschool age) คือ ช่วงอายุ 3-5 ปี เด็กวัยนี้จะเริ่มมีจินตนาการสูง ทำให้เริ่มมีความกังวลจนทำให้เกิด “ความกลัว” ซึ่งความกลัวของเด็กนั้นเกิดขึ้นได้ตามธรรมชาติในช่วงวัยนี้ คุณพ่อคุณแม่อาจจะสังเกตเห็นได้จากอาการที่ลูกกำลังอารมณ์ดี ยิ้มหัวเราะร่า แต่ก็ทำหน้าเหย๋เกทันทีเมื่อเห็นคนแปลกหน้ามาอยู่ใกล้ๆ บางคนร้องไห้ บางคนรีบกลับไปเดินเกาะพ่อแม่แน่น หรือความกลัวในสถานที่ การพบเจอกับสิ่งแปลกใหม่ที่ไม่คุ้นเคยมากมาย การไม่เห็นพ่อแม่อยู่ในสายตา การห่างจากพ่อแม่เป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นความกลัวที่พบบ่อยในเด็กเล็ก อาการแบบนี้ถือเป็นเรื่องปกติ คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องกังวลไปนะคะ แต่สามารถช่วยลูกให้คลายกังวลและลดความกลัวลงได้ด้วยคำพูดปลอบอย่างอ่อนโยน และช่วยปรับให้ลูกเข้าผู้อื่นหรือปรับตัวเข้ากับประสบการณ์ใหม่ ๆ อย่างค่อยเป็นค่อยไป เพราะถ้าหากปล่อยให้ลูกรู้สึกเครียดและวิตกกังวลกับความกลัวเหล่านี้บ่อยเกินไป ก็อาจส่งผลกระทบต่อพัฒนาการด้านต่าง ๆ ได้

      รับมือความกลัวของ เด็กก่อนวัยเรียน พ่อแม่ช่วยแก้ได้เมื่อหนู “ขี้กลัว”

      “ความกลัว” ถือเป็นอารมณ์พื้นฐานของมนุษย์ ไม่ว่าใครก็สามารถเกิดความกลัวขึ้นได้ แต่สิ่งที่กลัวจะแตกต่างกันออกไปตามช่วงวัยความกลัวที่เกิดกับเด็กก่อนวัยเรียนช่วงอายุ 3-5 ปี เช่น

      ลูกกลัวการอยู่คนเดียว
      ลูกกลัวการอยู่คนเดียว
      • กลัวการนั่งกระโถน
      • กลัวความมืด
      • กลัวเงา
      • กลัวการนอนคนเดียว
      • กลัวสภาพอากาศ เสียงฟ้าร้อง ฟ้าผ่า ฟ้าแล่บ
      • กลัวเสียงดัง
      • กลัวสัตว์ประหลาด
      • กลัวความสูง
      • กลัวแมลงและต่าง ๆ งู  จิ้งจก ตุ๊กแก สุนัข ฯลฯ
      • กลัวการหลงทาง
      • กลัวหายไปจากพ่อแม่
      • กล้วการอยู่คนเดียว
      • กลัวเข็มฉีดยา
      • ฯลฯ
      ลูกกลัวคนแปลกหน้า
      ลูกกลัวคนแปลกหน้า

      สาเหตุของความกลัวของ เด็กก่อนวัยเรียน เกิดจาก

      • เด็กในช่วงวัยนี้เริ่มมีจินตนาการสูง แต่ก็ยังไม่สามารถแยกระหว่างความจริงและเรื่องสมมุติได้ จินตนาการเหล่านี้เป็นจินตนาการสร้างสรรค์ที่เกิดขึ้นจากในนิทาน เรื่องเล่า เช่น เหล่าเจ้าหญิง เจ้าชาย เทพธิดา นางฟ้า แม่มด รวมไปถึงสัตว์ประหลาดต่าง ๆ ซึ่งบทบาทตัวละครบางเรื่องบางตัวอาจทำให้เด็กกลัวได้ แต่เมื่อลูกโตขึ้นผ่านพ้นวัยนี้ ก็จะสามารถแยกแยะว่าสิ่งไหนจริงและสิ่งไหนเป็นเรื่องสมมุติได้
      • สำหรับเด็กที่พ่อแม่เลี้ยงอยู่แต่ในบ้าน ดูแลลูกปกป้องมากเกินไป กลัวจะเกิดอันตรายกับลูกมากไม่กล้าให้ลูกได้ออกมาทำกิจกรรมนอกบ้าน หรือพาไปเที่ยวสถานที่อื่น ๆ ก็อาจทำให้เด็กไม่ได้มีโอกาสได้เจอหรือเข้าสังคมกับเด็กในรุ่นเดียวกัน ไม่เจอกับสิ่งที่ไม่คุ้นเคย จึงทำให้เด็กเกิดความกลัวได้ง่าย
      • บางครั้งสาเหตุความกลัวของเด็กเกิดได้จากผู้ใหญ่ชอบขู่ ชอบหลอกให้เด็กกลัว หรือการพูดไม่จริงเพื่อให้เด็กทำในสิ่งที่เราต้องการ อยากให้ลูกเชื่อฟัง เช่น ดื้อนักเดี๋ยวตุ๊กแกมากินตับ อย่าเล่นซ่อนแอบในเวลากลางคืน เดี๋ยวผีมาเอาตัวไป เป็นต้น การพูดหลอกเด็กหรือขู่ลูกเพื่อให้ทำในสิ่งที่พ่อแม่ต้องการ จะส่งผลให้ความกลัวนั้นจะติดตัวไปกับเด็ก และเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่แล้วบางครั้งลูกก็ยังไม่สามารถกำจัดความกลัวบางเรื่องออกไปได้
      • ความกลัวจากประสบการณ์ตรงที่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทำให้เด็กมีความกลัวฝังใจ เช่น ตอนหัดขี่จักรยานใหม่ ๆ แล้วล้มทำให้กลัวการขี่จักรยานบนท้องถนน กลัวตกบันได เป็นต้น
      • การปล่อยให้ลูกนั่งดูทีวีคนเดียว เปิดช่องที่มีเรื่องราวน่ากลัว มีความรุนแรง เด็กจะเก็บไปจินตนาการต่อกลายเป็นความกลัวอย่างจริงจัง

      นอกจากนี้ นายแพทย์ภาสกร ชัยวานิชศิริ รองอธิบดีกรมการแพทย์ ให้ข้อมูลว่า “สาเหตุหลัก ๆ ที่ลูกน้อยกลายเป็นเด็กขี้กลัว คือ มีแบบอย่างของคนขี้กลัว มีความวิตกกังวล และถูกข่มขู่ ถูกหลอก ทำให้ตกใจกลัวอยู่บ่อย ๆ หรือมีประสบการณ์ที่ทำให้ตกใจอย่างรุนแรงมาก่อน เช่น ถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว ถูกตี ถูกดุว่าอย่างรุนแรง ขาดคนประคับประคอง ขาดการฝึกฝนทักษะ ทำให้ขาดความมั่นใจ แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ไม่ดี

       

      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

       

      อ่านต่อ 5 ข้อพ่อแม่ช่วยได้เมื่อลูกขี้กลัว คลิกหน้า 2

        โรงเรียนอนุบาลดำรงราชานุสรณ์

        เสียงสะท้อนจากคุณครู โครงการส่งความรู้ สร้างความสุขปี 2 ช่วยสร้างความรู้ เพิ่มพูนจินตนาการให้กับเด็กๆ

        คงปฏิเสธไม่ได้ว่าสังคมปัจจุบันเป็นสังคมที่มีการแข่งขันสูง ซึ่งการอ่านเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการแสวงหาความรู้ ทั้งนี้การปลูกฝังนิสัยรักการอ่านตั้งแต่ในวัยเด็กจึงเป็นวิธีที่จะช่วยให้เด็กพัฒนาตนเองให้มีศักยภาพสามารถเข้าสู่โลกที่เต็มไปด้วยการแข่งขันในอนาคตได้ ดังนั้นจึงเกิดโครงการส่งความรู้ สร้างความสุข ขึ้นมาเป็นปีที่ 2  เพื่อจุดประกายรักการอ่านขึ้นในเด็ก โดยได้รับความร่วมมือระหว่างบริษัทอมรินทร์ พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) และบริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ที่ได้คัดสรรหนังสือคุณภาพกระจายไปตามโรงเรียนต่างๆ ทั่วประเทศไทย

        โรงเรียนอนุบาลดำรงราชานุสรณ์

        ซึ่งโรงเรียนอนุบาลดำรงราชานุสรณ์ อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ถือเป็นอีกหนึ่งโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการส่งความรู้ สร้างความสุข ปี 2 ด้วย สำหรับหนังสือที่ทางโรงเรียนได้รับมีหลากหลายประเภท  เช่น หนังสือความรู้รอบตัว หนังสือการ์ตูนภาพสี่สี เป็นต้น ทั้งนี้หนังสือในโครงการดังกล่าวจะส่งผลต่อการอ่านของเด็กๆ ได้อย่างไรบ้าง เราไปฟังพร้อมกันจาก คุณครูสุบรรณ์  ฉัตรสุวรรณ (ครูชำนาญการพิเศษ) หัวหน้างานห้องสมุดโรงเรียนอนุบาลดำรงราชานุสรณ์ ผู้ดูแลโครงการโดยตรง

        “ก่อนอื่นทางโรงเรียนอนุบาลดำรงราชานุสรณ์ ต้องขอขอบคุณบริษัทอมรินทร์ พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) และบริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ที่เล็งเห็นความสำคัญเรื่องการอ่านของเยาวชนไทย จึงทำให้เกิดโครงการดี ๆ อย่างโครงการส่งความรู้ สร้างความสุขปี 2 ขึ้นมา เพราะโครงการนี้ทำให้นักเรียนกระตือรือร้น และสนใจการอ่านมากยิ่งขึ้น เด็กบางคนจากที่ไม่เคยอ่านหนังสือเลย แต่พอเริ่มเข้าโครงการเขาก็เริ่มอ่านหนังสือ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะหนังสือที่เราได้รับมามีความน่าสนใจ อ่านสนุก สามารถดึงดูดเด็กๆ ได้เป็นอย่างดี

        โรงเรียนอนุบาลดำรงราชานุสรณ์

        ซึ่งหนังสือนอกจากจะช่วยสร้างเสริมความรู้ และจินตนาการแล้ว ยังเป็นอีกทางหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมทักษะอื่นๆ ให้ดียิ่งขึ้นด้วย เช่น ยิ่งอ่านหนังสือมาก ยิ่งซึมซับรูปแบบภาษาที่ดีมาใช้ได้ มีคลังคำศัพท์ให้เลือกใช้ได้อย่างหลากหลาย ซึ่งหนังสือที่นักเรียนชอบมากที่สุดเป็นหนังสือการ์ตูนแฝงความรู้อย่างหนังสือการ์ตูนชุดวิทยาศาตร์ฉลาดรู้ อย่างไรก็ดีทางโรงเรียนก็มีการส่งเสริมนิสัยรักการอ่านอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว แต่พอได้เข้าร่วมโครงการก็ถือเป็นการเปิดโอกาส เพิ่มทางเลือกในการเรียนรู้ให้แก่นักเรียน โดยประยุกต์เข้ากับกิจกรรมวันสำคัญต่างๆ เช่น วันภาษาไทย วันสุนทรภู่ กอปรกับครู ๆ ทุกท่านก็มีการส่งเสริม รวมถึงสอนนักเรียนทำบันทึกการอ่าน จึงทำให้นักเรียนสามารถสรุปใจความสำคัญและเรียบเรียงการเขียนได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ส่งผลโดยตรงทำให้การเรียนของนักเรียนมีแนวโน้มสูงขึ้น เพราะนักเรียนได้ทักษะการวิเคราะห์มาจากการอ่าน ทำให้เมื่อทำข้อสอบหรือแบบทดสอบก็จะตีโจทย์แตก และตอบคำถามสิ่งต่างๆ ได้อย่างถูกต้องค่ะ”

        โรงเรียนอนุบาลดำรงราชานุสรณ์

         นอกจากนี้คุณครูสุบรรณ์ ยังได้กล่าวทิ้งท้ายไว้ด้วยว่า “การอ่านหนังสือไม่ใช่เพียงการท่องจำ แต่เป็นการเปิดโลกแห่งการเรียนรู้อย่างแท้จริง สามารถสร้างเด็กให้มีความรู้และจินตนาการไปพร้อมๆ กัน อีกทั้งยังเป็นทางเลือกให้เด็กใช้เวลาว่างอย่างเป็นประโยชน์ สามารถละสายตา และความสนใจจากโทรศัพท์มือถือได้ ซึ่งการได้เข้าร่วมโครงการส่งความรู้ สร้างความสุขทำให้เด็กๆ ได้มีโอกาสอ่านหนังสือที่ดีมีประโยชน์ ซึ่งผลในระยะยาวจะทำให้เด็กมีนิสัยรักการอ่านอย่างยั่งยืน เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีและมีคุณภาพต่อไปค่ะ”

        โครงการส่งความรู้ สร้างความสุข ยังคงจัดขึ้นอย่างต่อเนื่อง คุณพ่อคุณแม่ลองตรวจสอบดูว่าโรงเรียนของลูกน้อยอยู่ในโครงการหรือไม่ หากอยู่ในโครงการลองชักชวนลูกน้อยมาเข้ามาอ่านหนังสือ ปลูกฝังนิสัยรักการอ่าน สร้างความรู้ เพื่อนำไปสู่อนาคตที่ดี หากสนใจกิจกรรมดีๆ สามารถติดตามได้ที่เฟซบุ๊กแฟนเพจ : thehappyread หรือ www.thehappyread.com

        โรงเรียนอนุบาลดำรงราชานุสรณ์

          เก่ง ธชย

          เก่ง ธชย ชวนน้อง ๆ โรงเรียนบ้านย่าป่าแหน ร้อง เล่น เต้น เล่านิทาน

          ยังไม่หยุดจัดกิจกรรมดีๆ เพื่อสร้างเด็กไทยรักการอ่านและพัฒนาการเรียนรู้  สำหรับ บริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) กับ บริษัทอมรินทร์ พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) ที่ร่วมกันจัดกิจกรรม SCHOOL ROADSHOW ผ่านโครงการส่งความรู้ สร้างความสุข ปี 2 โดยได้รับความร่วมมือหลายภาคส่วน อาทิ กระทรวงศึกษาธิการ ร้านนายอินทร์ ซึ่งคัดเลือกหนังสือคุณภาพจำนวนมาก กระจายไปยังโรงเรียนต่างๆ กว่า 57 โรงเรียนทั่วประเทศ เพื่อปลูกฝังให้เด็กไทยรักการอ่าน เพราะเชื่อว่าการอ่านคือรากฐานแห่งการเรียนรู้ และเป็นวิถีทางพัฒนาศักยภาพเด็กไทยให้ดียิ่งขึ้น

          เก่ง ธชย

          สำหรับโครงการส่งความรู้ สร้างความสุข ปี 2 ครั้งนี้เรามาลุยกันต่อที่ภาคเหนือ จังหวัดแม่ฮ่องสอน ที่โรงเรียนบ้านย่าป่าแหน พร้อมนักร้องนักแสดงชื่อดังผู้รักความเป็นไทย เก่ง-ธชย ประทุมวรรณ เจ้าของบทเพลงดังหลากหลายเพลง ซึ่งขนทัพความสนุกขนานใหญ่มาให้เด็ก ๆ โรงเรียนบ้านย่าป่าแหน กิจกรรมในครั้งนี้เริ่มต้นด้วยการต้อนรับแขกรับเชิญและทีมงานอย่างอบอุ่นกับการแสดงเต้นจะคึ ของน้อง ๆ ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์มูเซอดำและมูเซอแดง (ลาหู่) ด้านแขกรับเชิญอย่างคุณเก่ง ธชย ก็ไม่น้อยหน้าได้ร้องเพลง หัวใจทัศกัณฐ์ ต้อนรับน้อง ๆ กลับ พร้อมกับกล่าวชื่นชมศิลปวัฒนธรรมที่สะท้อนผ่านเครื่องแต่งกายอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ บรรยากาศภายในงานจึงเต็มไปด้วยความสนุกสนานเป็นกันเอง เต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข

           เก่ง ธชย

          เมื่อมาถึงช่วง “Book Talk” คุณเก่ง ธชย ก็โชว์ลีลาการเล่านิทานที่สร้างความสนุกให้แก่เด็ก ๆ ด้วยการเล่าเลียนเสียงตัวละครต่าง ๆ พร้อมบรรยายเรื่องด้วยน้ำเสียงโทนสูงต่ำสลับกันไป น้อง ๆ ต่างตั้งใจฟังด้วยความตื่นเต้นและมีรอยยิ้มเสียงหัวเราะเป็นระยะ ที่เห็นเล่านิทานเก่งแบบนี้ คุณเก่งเผยเคล็ดลับดีๆ ว่า “ชอบอ่านหนังสือมากครับ แต่ช่วงที่ชอบจริงๆ คือช่วง ป.6 ความจริงแล้วเคยเป็นนักเล่านอทานมาก่อน ฝึกอ่านนิทานตั้งแต่ช่วง ป.2 แข่งประกวดอ่านนิทานทุกปีตั้งแต่เริ่มอ่าน ก็ได้รางวัลที่ 1 หรือที่ 2 ทุกปี โดยที่เล่านิทานอยู่เรื่องเดียวด้วย คือ เรื่องหนูน้อยหมวกแดง อ่านซ้ำๆ ทำซ้ำๆ จนกลายเป็นความชำนาญ การอ่านเริ่มจากสิ่งที่เราชอบ เวลาอ่านให้ใส่เสียงลงไป เพื่อให้เกิดอรรถรส นี่เป็นเทคนิคการเล่านิทานที่ทำให้ได้รางวัล ส่วนหนังสือที่ชอบมากที่สุด คือ แฮรี่ พอตเตอร์ ตอนศิลาอาถรรพ์ ถ้าน้องๆ ลองอ่านแล้วจะหยุดไม่ได้ เพราะสนุกและน่าติดตามมาก อยากให้ลองอ่านกันดูครับ เวลาว่างผมจะทำกิจกรรมหลายอย่างเพื่อเก็บแรงบันดาล เช่น การอ่าน ซึ่งการอ่านมันไม่จำกัดอยู่แค่หนังสือ การดูโซเชียลต่างๆ ก็ถือเป็นการอ่านอย่างหนึ่งเช่นเดียวกัน” พร้อมปิดท้ายด้วยการแสดงร้องเพลง สร้างความทรงจำที่ดีกับน้องๆ โรงเรียนบ้านย่าป่าแหน

           เก่ง ธชย

          นอกจากนี้ภายในงานยังมีกิจกรรมอื่นๆ ให้น้องๆ ร่วมสนุกอีกมากมาย เช่น กิจกรรมแบ่งกันเล่น เล่มเกมตอบคำถามเพื่อชิงของรางวัลเป็นหนังสือคุณภาพที่ถูกคัดสรรมาอย่างดี กิจกรรมแบ่งกันเล่า โดยการคัดเลือกน้องๆ ออกมาเล่านิทานหรือเล่าเกี่ยวกับหนังสือต่างๆ ที่ได้ทำบันทึกการอ่านไว้ เพื่อแบ่งปันความรู้ให้แก่เด็กคนอื่นๆ เป็นต้น ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้ยังคงจัดอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้เด็กไทยหันมาใส่ใจการอ่าน ตระหนักถึงคุณประโยชน์จากการอ่าน น้องๆ หรือคุณพ่อคุณแม่ท่านใดสนใจกิจกรรมสามารถเข้าไปดูเพื่อเติมได้ที่ FB : thehappyread หรือ www.thehappyread.com

           

           เก่ง ธชย

            เคล็ดวิธีอ่านนิทานสนุก

            5 เคล็ดวิธีอ่านนิทานสนุก ปลุกสมองลูก

            การอ่านนิทาน ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องง่าย เพียงแค่พลิกหน้ากระดาษ อ่านไปเรื่อย ๆ แค่ไม่กี่หน้าก็จบ แต่คุณรู้หรือไม่ว่าวัยเด็กเป็นวัยที่เต็มไปด้วยจินตนาการ การอ่านโดยไร้อารมณ์ร่วมหรืออ่านด้วยน้ำเสียงคงที่อาจไม่สามารถทำให้ลูกน้อยฟังจนจบได้ นั่นก็หมายความว่าลูก ๆ อาจได้ประโยชน์และความสนุกจากการอ่านนิทานจากคุณพ่อคุณแม่ไม่ครบถ้วน ฉบับนี้เราจึงขอนำเสนอ 5 เคล็ด (ไม่) ลับอ่านนิทานสนุก ปลุกสมองลูก ดังนี้

            1. เมื่อจะเริ่มเล่านิทาน

            สิ่งแรกที่ต้องทำเมื่อเริ่มอ่านนิทานให้เด็ก ๆ ฟังคือชื่อเรื่อง ผู้เขียน ผู้วาดภาพ เด็ก ๆ จะได้รู้ว่าใครกันนะที่เป็นเบื้องหลังความสนุกของหนังสือเล่มนี้ ซึ่งการทำเช่นนี้เป็นการหย่อนเมล็ดพันธุ์กตัญญูให้เกิดขึ้นในจิตใจโดยที่ไม่ต้องพร่ำสอนนั่นเอง

            2. มีอารมณ์ดีเป็นตัวตั้ง

            ความเหนื่อยล้าจากการทำงานมักทำให้คุณพ่อคุณแม่เร่งรีบขณะที่อ่านนิทานให้ลูกฟังเพื่อให้จบเร็ว ๆ และบางครั้งอาจจะเผลออารมณ์เสียหรือหงุดหงิดใส่ลูกน้อย เคล็ดลับการอ่านนิทานให้สนุกข้อนี้ง่ายนิดเดียว คือ ต้องอารมณ์ดี การที่เราอารมณ์ดีจะทำให้เล่านิทานสนุกขึ้น เพราะไม่ต้องฝืนอารมณ์ตัวเอง ที่สำคัญการที่คุณอารมณ์ดีจะทำให้คุณใจเย็นพอที่จะฟังคำถามและตอบคำถามของลูกระหว่างเล่านิทาน เป็นการล้วงลึกถึงความคิดเด็ก ๆ ได้ดีเชียวค่ะ

            เคล็ดวิธีอ่านนิทานสนุก

            หู ตา หน้า หัว และทุกส่วนของร่างกายคืออุปกรณ์ที่ดีมากสำหรับการใช้ชีวิตอยู่กับเด็ก จงอย่าลืมขยับใส่ลูก ให้เขารู้สึกว่าได้เล่นกับของเล่นมีชีวิตชิ้นเดียวในโลกที่ไม่มีใครเหมือน นิทานเรื่องไหนต้องใช้ท่าประกอบ อย่ารอช้าที่จะแสดงให้ลูกเห็นโดยไม่ต้องอายนะคะ

            3. คำนวณเวลาให้ดี

            หากคุณพ่อคุณแม่มีเวลาไม่มาก ควรเลือกนิทานเรื่องสั้นๆ มาอ่านดีกว่า เพราะมีการทดลองของครอบครัวในโครงการหนังสือเล่มแรกแล้วพบว่าพ่อแม่ที่อ่านนิทานค้างไว้แล้วผัดไปอ่านให้ลูกฟังอีกวัน ลูกบ้านนั้นก็มักจะติดนิสัยผัดวันประกันพรุ่งไปด้วย อย่างนี้ไม่ดีแน่นอน

            4. รอบรู้ในเรื่องที่อ่าน

            เด็กๆ มักมีความสงสัยใคร่รู้อยู่ตลอดเวลา ฉะนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรรอบรู้ในนิทานที่จะอ่านให้ลูกฟัง เมื่อเวลาถูกตั้งคำถามจะได้มีคำตอบดีๆ ไว้ตอบลูกน้อยได้ (หากไม่รู้ ห้ามตอบแบบส่ง ๆ ไปเด็ดขาด เพราะจะทำให้เด็กเกิดความเข้าใจผิดในเรื่องนั้น ๆ แต่ควรพยายามบอกลูกว่า ขอเวลาไปหาข้อมูลก่อนนะจ๊ะ แล้วจะมาบอก)

            เคล็ดวิธีอ่านนิทานสนุก

            5. ฟิตร่างกายให้พร้อมตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า

            การเล่านิทานให้ลูกฟังจำเป็นอย่างยิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ผู้อ่านจะต้องใส่อารมณ์เข้าไป เพื่อเพิ่มอรรถรสและจินตนาการให้เด็ก ๆ สนุกสนานอย่างเต็มที่ แต่ก็อย่าลืมใช้สายตามองเด็ก ๆ ด้วย เพราะสายตาของคุณจะทำให้ลูกรู้ว่า กำลังอยู่ในสายตาผู้ใหญ่ ได้รับความรักความสนใจ สุดท้ายการอ่านนิทานให้เด็กฟังจะสนุกยิ่งขึ้น หากภาพ เสียง และตัวอักษรสัมพันธ์กัน เพียงแค่คุณชี้ตัวอักษรไปด้วยขณะอ่าน จะช่วยให้เด็กๆ รู้จักคำและความหมาย เนื่องจากเขาได้เห็นทั้งภาพและเห็นหน้าตาของตัวอักษรไปด้วย

            เห็นไหมว่า…การอ่านนิทานให้สนุกพร้อมปลุกสมองลูกไม่ยากอย่างที่คิดเลยค่ะ การอ่านเช่นนี้ไม่เพียงแต่ทำให้ลูกได้ความสนุก ได้ข้อคิดชวนรู้ สร้างความสัมพันธ์กันในครอบครัวแล้ว ยังช่วยให้คุณหนูๆ เกิดการจดจำสะสมคำศัพท์ในคลังคำน้อย ๆ ของลูกอีกด้วย รู้อย่างนี้แล้วอย่าลืมชวนเจ้าตัวน้อยมาอ่านนิทานอย่างน้อยวันละ 15 นาทีกันด้วยนะคะ

            เคล็ดวิธีอ่านนิทานสนุก

            หากคุณพ่อคุณแม่ไม่รู้ว่าจะอ่านนิทานเรื่องอะไร ลองถามเด็กๆ ดูก็ได้ว่าที่โรงเรียนมีชมรมรักการอ่านหรือไม่ เพราะตอนนี้มี โครงการส่งความรู้ สร้างความสุข ปี 2 ที่ได้รับการสนับสนุนจาก  บริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) และ บริษัทอมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) มอบหนังสือดีสำหรับเด็กและนิทานมากมายให้กว่า 1,000 เล่ม  57 โรงเรียน พร้อมกับมีชมรมรักการอ่าน เพื่อน้องๆ จะได้มีนิทานมาอ่านกับคุณพ่อคุณแม่  และคุณพ่อคุณแม่ยังสามารถบริจาคหนังสือให้แก่โรงเรียนอื่นๆ เพื่อเป็นการส่งต่อความรู้เป็นหนังสือให้แก่น้อง ๆ ได้อีกด้วย  

            และขอเชิญชวนคุณพ่อคุณแม่และคุณลูกครอบครัวรักการอ่าน เข้าไปร่วมแบ่งปันเรื่องราวนิทานหรือหนังสือที่อ่านด้วยกัน และติดตามความเคลื่อนไหวของโครงการอ่านดีๆ นี้ ได้ที่  FB : thehappyread หรือ www.thehappyread.com หรือคลิกที่คิวอาร์โค้ดด้านล่างได้เลยค่ะ

             

            เคล็ดวิธีอ่านนิทานสนุก

              โครงการประกวดวาดภาพ ระบายสี ฟ.ฟันสวย ยิ้มใส ชิงถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี ครั้งที่ 6 ประจำปี 2562 บริษัท คอลเกต-ปาล์มโอลีฟ (ประเทศไทย) จำกัด

              ความเป็นมาของโครงการ

              โครงการ ฟ.ฟันสวย ยิ้มใส  (Bright Smiles Bright Futures) ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๑จนถึงปัจจุบัน โดยความร่วมมือระหว่าง บริษัท คอลเกต-ปาล์มโอลีฟ (ประเทศไทย) จํากัด ร่วมกับ สํานักทันตสาธารณสุข กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข และ สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ

              ซึ่งโครงการดังกล่าว ทางบริษัทฯ ได้ให้การสนับสนุนชุดยาสีฟัน แปรงสีฟันตลอดจนสื่อการเรียนการสอน และคู่มือสําหรับเด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ ๓  ครอบคลุมนักเรียน ๒๐ ล้านคนทั่วประเทศ ในระยะเวลา ๒๒ ปีของโครงการ มุ่งเน้นให้เด็กทุกคน ตระหนัก ถึงการดูแลสุขภาพช่องปากและฟัน อย่างถูกวิธี เพื่อสุขอนามัยที่ดีในอนาคต

              วัตถุประสงค์ของโครงการประกวดวาดภาพระบายสี

              เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการโครงการ ฟ.ฟันสวย ยิ้มใส  (Bright Smiles Bight Futures) ทางบริษัทฯจึงจัดกิจกรรมประกวดวาดภาพระบายสีชิงถ้วยพระราชทานฯ พร้อมทุนการศึกษา เริ่มตั้งแต่ปี  พ.ศ. ๒๕๕๗ จนถึงปัจจุบันเป็นปีเป็นปีที่ ๖ เพื่อส่งเสริมการใช้ความคิดสร้างสรรค์ จินตนาการและความรู้สึกที่ดีต่อการดูแลสุขภาพช่องปากและฟัน ผ่านการวาดภาพในกลุ่มเด็กอายุระหว่าง ๖-๙ ปี ผลงานที่ชนะระดับประเทศจะได้เป็นตัวแทนของเด็กไทยร่วมเข้าประกวดแข่งขันรายการ  “My Bright Smile Global Art Contest “ ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยผลงานที่ได้รับคัดเลือก จะได้เป็นส่วนหนึ่งของปฏิทินปี ๒๕๖๔ ที่ทางคอลเกตจะแจกจ่ายไปทั่วโลก

              คณะกรรมการ ตัดสิน

              • ดร.ครูสังคม ทองมี ผู้อำนวยการ ศูนย์ศิลป์สิรินธร และอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านศิลปะ 
              • ตัวแทนจากสำนักทันตสาธารณสุข กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข และ ตัวแทนจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ 
              • รางวัลชนะเลิศ ฟ.ฟันสวย ยิ้มใส ครั้งที่ ๖ จำนวน ๑ รางวัล
                • ถ้วยพระราชทานจาก สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี 
                • ทุนการศึกษา ๒๐,๐๐๐ บาท 
                • ใบประกาศนียบัตร
              • รางวัลรองชนะเลิศ จำนวน ๒ รางวัล
                • โล่ประกาศเกียรติคุณ
                • ทุนการศึกษา รางวัลละ ๑๐,๐๐๐ บาท
                • ใบประกาศนียบัตร
              • รางวัลชมเชย จำนวน ๙ รางวัล
                • โล่ประกาศเกียรติคุณ
                • ใบประกาศนียบัตร

              ผลงานที่ได้รับรางวัลทั้งหมด ๑๒ ผลงาน จะได้รับสิทธิ์เป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมการประกวดที่สหรัฐอเมริกา ชิงเงินรางวัล ๒๕,๐๐๐ บาท

              บรรยากาศ การตัดสิน

              รางวัลชนะเลิศ

              ยิ้มสวยสดใส  เด็กไทยรักคอลเกต

              เด็กหญิง ณัฐชยาภรณ์  ดอกพิกุล อายุ 9 ปี 

              ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านหนองดุม จ.นครราชสีมา

                Tags

                5 เคล็ดลับสร้างนิสัย “การนอนของทารก” ให้มีประสิทธิภาพ

                การนอนของทารก มีความสำคัญต่อพัฒนาการทั้งทางสมองและทางร่างกาย การนอนหลับอย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยให้ลูกเติบโตได้อย่างแข็งแรงและสมวัย

                5 เคล็ดลับสร้างนิสัย “การนอนของทารก” ให้มีประสิทธิภาพ

                วงจรการนอนหลับของทารกนั้นสั้นกว่าวงจรการนอนหลับของผู้ใหญ่ซึ่งสามารถนอนได้ยาว แต่กลับต้องการจำนวนชั่วโมงในการนอนมากกว่าผู้ใหญ่ โดยเด็กแรกเกิดใช้เวลาในการนอนหลับมากถึง 17 ชั่วโมงต่อวัน โดยในตอนกลางคืน ทารกจะตื่นทุก ๆ 2-5 ชั่วโมง เพื่อมาทานนม เมื่ออายุได้ 6-8 สัปดาห์ ทารกจะเริ่มนอนได้ยาวขึ้น และมีช่วงเวลาการนอนหลับตื้น (REM sleep) น้อยลง ในขณะที่มีช่วงเวลาการหลับลึก (non-REM sleep) มากขึ้น

                และเมื่อลูกอายุ 4-6 เดือน เด็กโดยส่วนมากจะสามารถนอนได้ยาวถึง 8-12 ชั่วโมงในช่วงกลางคืน (เด็กบางคนสามารถนอนยาวได้ตั้งแต่อายุ 6 สัปดาห์) แต่เพราะนิสัยในการนอนของเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน ในเด็กบางคนอาจจะยังไม่นอนยาวและยังคงตื่นระหว่างคืนจนถึงวัยเตาะแตะ ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องกังวลใจไปนะคะ ยังไม่ถือว่าเป็นเรื่องผิดปกติแต่อย่างใด ตราบใดที่ลูกน้อยยังคงมีพัฒนาการที่ดีและลูกยังใช้เวลาในการนอนรวมทั้งกลางวันและกลางคืนอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน (เช็คดูได้ที่นี่ ตารางการนอนของทารก นอน/ตื่นกี่ครั้ง นอนนานแค่ไหน?) หากลูกน้อยของคุณพ่อคุณแม่ยังคงไม่ยอนนอนยาวเมื่ออายุ 4-6 เดือน ลองทำตามเคล็ดลับต่อไปนี้ เพื่อฝึกให้ลูกมีลักษณะนิสัยการนอนหลับที่ดีกันดูค่ะ

                ทารกนอนหลับ
                ทารกนอนหลับ

                5 เคล็ดลับสร้างนิสัย “การนอนของทารก” ให้มีประสิทธิภาพ

                1. ให้ลูกได้งีบหลับตอนกลางวันบ่อย ๆ

                คุณพ่อคุณแม่หลาย ๆ คนเข้าใจผิดว่า ถ้าลูกนอนตอนกลางวันบ่อย ๆ จะทำให้ลูกไม่ยอมนอนตอนกลางคืน เด็กแรกเกิด – 2 เดือน จะไม่สามารถตื่นตอนกลางวันได้นานเกิน 2 ชั่วโมง ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรปล่อยให้ลูกตื่นนอนนานเกิน 2 – 2.25 ชั่วโมง เพราะหากปล่อยให้ลูกตื่นนอนนานเกินนี้ จะทำให้ลูกเหนื่อยจนเกินไป และเมื่อลูกเหนื่อยจนเกินไป ก็อาจเป็นสาเหตุให้ลูกมีปัญหาเวลาที่คุณพ่อคุณแม่พาเข้านอน และอาจเป็นการสร้างลักษณะนิสัยการนอนผิด ๆ ได้

                 

                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                อ่านต่อ 5 เคล็ดลับสร้างนิสัย “การนอนของทารก” ให้มีประสิทธิภาพ

                  ตารางการนอนของทารก นอน/ตื่นกี่ครั้ง นอนนานแค่ไหน?

                  คู่มือและ ตารางการนอนของทารก วัยแรกเกิด – 8 เดือน ไขทุกข้อสงสัยสำหรับพ่อแม่มือใหม่ เด็กแรกเกิดควรนอนนานแค่ไหน? ตอนกลางคืนตื่นกี่ครั้ง?

                  ตารางการนอนของทารก นอน/ตื่นกี่ครั้ง นอนนานแค่ไหน?

                  การนอนหลับ เป็นสิ่งที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากสำหรับทารก เพราะการนอนหลับที่เพียงพอจะมีผลต่อการเจริญเติบโต และพัฒนาการต่าง ๆ ทั้งทางร่างกายและสมองของลูกน้อย การนอนหลับจะช่วยเชื่อมต่อสิ่งต่าง ๆ ในสมองของลูก สมองของลูกจะค่อย ๆ พัฒนาและแข็งแรงขึ้นตลอดการนอน ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่จึงควรให้ลูกได้นอนหลับได้อย่างเพียงพอ ทั้งในช่วงกลางวันและกลางคืน

                  แต่เนื่องจากการนอนของทารกแตกต่างจากผู้ใหญ่ที่สามารถตื่นได้ตลอดกลางวันและนอนยาวในช่วงเวลากลางคืน แต่ทารกจะไม่สามารถนอนได้นาน และต้องนอนกลางวันด้วย ซึ่งตารางเวลาการนอนที่แตกต่างกันนี้ ทำให้ยากต่อการเข้าใจและปรับตัวของคุณพ่อคุณแม่เป็นอย่างมาก ทีมแม่ ABK จึงขอนำ ตารางการนอนของทารก เพื่อให้ลูกได้มีพฤติกรรมการนอนที่เหมาะสม และเพื่อให้ลูกตื่นมาแล้วเป็นเด็กร่าเริง สดใส และมีความสุข พร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ รอบตัวได้มากขึ้น

                  ตารางการนอน
                  ตารางการนอน

                  โดย ตารางการนอนของทารก นี้จะช่วยทำให้คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ที่ยังไม่รู้ชั่วโมงการนอนของทารก ได้ลองนำไปสังเกตพฤติกรรมการนอนของลูก ว่าในแต่ละวัน ช่วงเวลาระหว่างกลางวัน-กลางคืน ลูกน้อยนอนหลับเพียงพอหรือเปล่า และหากลูกน้อยนอนนานเกินไปหรือน้อยเกินไป ก็ควรจะฝึกให้เขานอนเป็นเวลา หรือฝึกให้เด็กรู้จักเวลากลางวัน กลางคืน (เพื่อที่ลูกจะได้นอนอย่างมีความสุข สุขภาพแข็งแรง ตัวคุณแม่เองก็จะได้มีความสุข มีเวลาทำกิจกรรมอย่างอื่น ไม่อดหลับอดนอนตลอดเวลาด้วย)

                   

                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                  อ่านต่อ ตารางการนอนของทารก นอน/ตื่นกี่ครั้ง นอนนานแค่ไหน?

                    โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ ซิตี้ แคมปัส

                    “โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี” ครองใจพ่อแม่ ดัน “โชรส์เบอรี กรุงเทพ – ซิตี้ แคมปัส” สำเร็จเกินคาดตั้งแต่ปีแรก

                    โรงเรียนนานาชาติได้รับการยอมรับและความเชื่อถืออย่างสูงมากขึ้นเรื่อยๆ ในกลุ่มพ่อแม่ผู้ปกครองที่ต้องการมอบโอกาสทางการศึกษาคุณภาพมาตรฐานระดับสากลให้แก่บุตรหลาน ทำให้ที่ผ่านมาโรงเรียนนานาชาติในประเทศไทยมีการเติบโตและขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยข้อมูลจากสมาคมโรงเรียนนานาชาติแห่งประเทศไทยระบุว่า มูลค่าตลาดโรงเรียนนานาชาติในปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 60,000-70,000 ล้านบาท และยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เฉลี่ย 7-8% ต่อปี โดยการขยายตัวของโรงเรียนนานาชาติในประเทศไทยเป็นไปใน 3 รูปแบบได้แก่ การเปิดโรงเรียนใหม่ การขยายพื้นที่โรงเรียนเพื่อรองรับนักเรียนได้มากขึ้น และการขยายแคมปัสหรือเปิดแคมปัสใหม่ในทำเลใหม่

                    โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ ซิตี้ แคมปัส

                    อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางตัวเลือกมากมายที่เกิดขึ้น มีโรงเรียนนานาชาติเพียงไม่กี่แห่งที่เป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งในใจพ่อแม่ผู้ปกครองทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ ที่ได้รับการจัดอันดับให้เป็นโรงเรียนนานาชาติที่ดีที่สุดในเอเชียมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน โดยในแต่ละปีมีพ่อแม่ผู้ปกครองพาบุตรหลานมาสมัครเข้าเรียนอย่างล้นหลาม จนทำให้มีเด็กที่คุณสมบัติผ่านเกณฑ์การคัดเลือกจำนวนมากต้องถูกปฏิเสธไป กระทั่งในปี 2561 โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ ได้เปิดแคมปัสใหม่ใจกลางเมืองขึ้นอีกแห่งบนพื้นที่ 15 ไร่ ในทำเลระหว่างถนนสุขุมวิทและถนนพระราม 9 โดยใช้ชื่อว่า “โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ – ซิตี้ แคมปัส” เพื่อรองรับเด็กนักเรียนวัยแรกเรียน อายุ 3-11 ปีโดยเฉพาะ ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างดีเยี่ยมตั้งแต่ปีการศึกษาแรก

                    โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ ซิตี้ แคมปัส

                    นางสาวอแมนดา เดนนิสสัน ครูใหญ่ โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ – ซิตี้ แคมปัส ผู้มีประสบการณ์ในแวดวงการศึกษามาอย่างยาวนาน โดยเคยดำรงตำแหน่งครูใหญ่ฝ่ายอนุบาลของโรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ – ริเวอร์ไซด์ แคมปัส มาเป็นเวลา 7 ปี และก่อนหน้านั้นเคยดำรงตำแหน่งครูใหญ่ของโรงเรียนประถมศึกษาชั้นนำในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ กล่าวว่า “โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ – ซิตี้ แคมปัส ประสบความสำเร็จอย่างดีเยี่ยมตั้งแต่ปีการศึกษาแรกที่เปิดการเรียนการสอน โดยได้รับการตอบรับจากพ่อแม่ผู้ปกครองพาบุตรหลานมาสมัครเข้าเรียนเป็นจำนวนมากเกินความคาดหมาย โดยหลังจากประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้นไปแล้วในปีการศึกษาแรก ซิตี้ แคมปัส มีจำนวนนักเรียนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งในปีการศึกษาถัดมามีนักเรียนเพิ่มขึ้นจากเดิมถึง 2 เท่า และในขณะเดียวกัน ยังมีเด็กที่อยู่ระหว่างรอคิวเพื่อเข้าศึกษาอีกเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญที่ทำให้พ่อแม่ผู้ปกครองให้ความไว้วางใจส่งบุตรหลานเข้าเรียนที่โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ – ซิตี้ แคมปัส ก็คือความเชื่อมั่นของพ่อแม่ผู้ปกครองที่มีต่อโรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ ซึ่งประสบความสำเร็จในประเทศไทยมาอย่างยาวนานกว่า 16 ปี นับตั้งแต่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2546 โดยคุณชาลี โสภณพนิช”

                    โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ ซิตี้ แคมปัส

                    “การดำเนินงานภายใต้แนวคิด One School, Two Campuses หรือ 1 โรงเรียน 2 แคมปัส ทำให้โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ ทั้ง ริเวอร์ไซด์ แคมปัส และ ซิตี้ แคมปัส มีมาตรฐานการเรียนการสอน สภาพแวดล้อมทางการเรียนรู้ และค่านิยมที่ปลูกฝังให้แก่เด็กนักเรียนเฉกเช่นเดียวกันในทุกมิติ ตลอดจนความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับโรงเรียนโชรส์เบอรี ประเทศอังกฤษ ที่ให้การสนับสนุนเป็นอย่างดีเยี่ยมนับตั้งแต่การก่อตั้งโรงเรียน นอกจากนั้น นักเรียนที่สำเร็จการศึกษาระดับอนุบาลและประถมศึกษาจากซิตี้ แคมปัส ยังได้รับสิทธิเข้าศึกษาต่อระดับมัธยมศึกษาที่ริเวอร์ไซด์ แคมปัส ซึ่งทางโรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ ได้มีการจัดกิจกรรมสร้างเสริมความสัมพันธ์ของนักเรียนระหว่างสองแคมปัสเป็นประจำ เพื่อให้กระบวนการย้ายแคมปัสหลังจบการศึกษาเป็นไปอย่างราบรื่นไร้รอยต่อ” นางสาวอแมนดา กล่าว

                    โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ จัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรการศึกษาระบบสหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นหลักสูตรที่เป็นที่ยอมรับไปทั่วโลกว่าเป็นระบบที่สามารถมอบการศึกษาที่รอบด้าน ช่วยเตรียมความพร้อมสู่การเติบโตเป็นผู้นำให้แก่เด็กๆ อีกทั้งระบบราชอาณาจักรยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาค่านิยมความเป็นมนุษย์ตั้งแต่อายุยังน้อย เพื่อให้เยาวชนสามารถเติบโตขึ้นเป็นคนที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและดำรงชีวิตอย่างมีเป้าหมาย โดยโรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ มุ่งเน้นมอบการศึกษาแบบองค์รวมอันเป็นเอกลักษณ์ตามแบบฉบับของโชรส์เบอรี ที่จะช่วยพัฒนาเด็กนักเรียนทั้งในด้านวิชาการและด้านอารมณ์ และมุ่งเน้นการเรียนการสอนที่สอดคล้องกับบริบทต่างๆ ในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อช่วยให้เด็กมีความพร้อมสำหรับการใช้ชีวิตในอนาคต  โดยนายไบรอัน เดวิดสัน เอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย ได้เคยกล่าวว่า ความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างสถานเอกอัครราชทูตอังกฤษ ประจำประเทศไทย และ โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ ที่มีมาอย่างยาวนานมากกว่าทศวรรษ เป็นการตอกย้ำการเป็นโรงเรียนนานาชาติระบบอังกฤษที่ดีเยี่ยม ของโรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ

                    โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ ซิตี้ แคมปัส

                    รวมถึงภาษาในการสื่อสารของโลกในปัจจุบัน โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ – ซิตี้ แคมปัส จึงใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักในการเรียนการสอน โดยบุคลากรครูเกือบทั้งหมดเป็นชาวอังกฤษ แต่ก็ให้ความสำคัญกับการผนวกหลักสูตรภาษาไทยและภาษาจีนกลางที่ดีที่สุดเข้าไปในกระบวนการเรียนการสอนด้วย เพื่อให้มั่นใจว่า นักเรียนจะมีทักษะภาษาอังกฤษที่เป็นเลิศ และสามารถใช้ภาษาไทยและภาษาจีนกลางได้อย่างคล่องแคล่วแตกฉาน ทั้งทักษะการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียนหลังจบการศึกษา โดยอีกหนึ่งจุดเด่นของโรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ – ซิตี้ แคมปัส คือ นวัตกรรมการออกแบบ และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่สร้างสรรค์ออกมาเป็นสภาพแวดล้อมทางการเรียนรู้ที่ส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพเด็กอย่างรอบด้านได้อย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็น การจัดวางผังห้องเรียนเป็นกลุ่มอย่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยห้องเรียนจะตั้งอยู่ภายในอาคารสูง 3 ชั้น และสร้างสภาพแวดล้อมทางการเรียนรู้ที่ดียิ่งขึ้น ด้วยการเพิ่มความเชื่อมโยงระหว่างห้องเรียนและเด็กนักเรียน กระตุ้นให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์กันมากขึ้นระหว่างชั้นเรียนต่างๆ สนับสนุนพัฒนาการทางสังคมที่เหมาะสมให้กับเด็กๆ อีกทั้งยังออกแบบให้พื้นที่สำหรับการเรียนการสอนเชื่อมโยงกับพื้นที่สีเขียวภายนอกอาคารผ่านหน้าต่างบานใหญ่ที่เปิดรับแสงธรรมชาติอย่างเต็มที่ ส่งเสริมการเรียนรู้ที่ดียิ่งขึ้น ซิตี้ แคมปัส จึงเป็นเสมือนโอเอซิสใจกลางเมืองใหญ่ที่วุ่นวาย และยังคงมีพื้นที่โล่งกว้างสำหรับทุกคนแม้ว่าจะมีนักเรียนเต็มจำนวนก็ตาม

                    โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ ซิตี้ แคมปัส

                    โดยห้องเรียนสำหรับเด็กอายุ 3-5 ปี ถูกจัดสรรไว้ในอาคารและพื้นที่ที่แยกเป็นสัดส่วน มีระบบรักษาความปลอดภัยพิเศษที่เพิ่มเติมขึ้นสำหรับเด็กเล็กโดยเฉพาะ และเด็กๆ ยังมีห้องรับประทานอาหารและโรงครัวเฉพาะ ซึ่งออกแบบและทำออกมาในขนาดที่เหมาะกับช่วงวัยของเด็กๆ ส่งเสริมให้เด็กๆ ได้มีปฏิสัมพันธ์และเรียนรู้ซึ่งกันและกันกับเพื่อนๆ โดยเด็กๆ สามารถมองเห็นอาหารที่จัดวางบนโต๊ะเตี้ยได้เอง อีกทั้งยังมีที่ว่างที่โต๊ะอาหารซึ่งคุณครูและคุณครูใหญ่มาร่วมรับประทานอาหารและดูแลเด็กๆ อย่างใกล้ชิด

                    โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ ซิตี้ แคมปัส

                     

                    โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ ซิตี้ แคมปัส

                    นอกจากนั้น โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ – ซิตี้ แคมปัส ยังครบครันไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและสื่อการสอนที่ล้ำสมัยได้มาตรฐานระดับสากล ซึ่งช่วยสร้างสภาพแวดล้อมทางการเรียนรู้ที่ดีที่สุดและตอบโจทย์พัฒนาการของนักเรียนได้อย่างรอบด้าน อาทิ ห้องประชุมขนาดใหญ่ ห้องสมุด ห้องแสดงดนตรี ห้องการแสดงและเต้นรำ ศูนย์ยิมนาสติก ห้องรับประทานอาหาร อาคารออกกำลังกายขนาดใหญ่ สระว่ายน้ำ สนามหญ้าธรรมชาติ ลู่กีฬาในร่มและกลางแจ้ง โดยล่าสุด Aquatics Centre อันทันสมัยของซิตี้ แคมปัส ได้รับเลือกจาก Bangkok International Schools Athletic Conference (BISAC) เลือกใช้เป็นสถานที่จัดงาน Swim Gala ประจำปี ซึ่งมีโรงเรียนนานาชาติในกรุงเทพมหานครเข้าร่วมกว่า 12 แห่ง

                    นางสาวอแมนดา กล่าวว่าจากการพูดคุยกับผู้ปกครองของนักเรียน พบว่า ผู้ปกครองมีความมั่นใจที่ได้ส่งบุตรหลานมาเข้าเรียนที่นี่ ขณะที่ตัวนักเรียนเองก็มีความสุขในการมาโรงเรียนในแต่ละวัน รวมถึงมีพัฒนาการในทางที่ดีขึ้น

                    โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ ซิตี้ แคมปัส

                    นางหร่ง เฉิน ผู้ปกครองของ เด็กหญิงฉิงฉิง เฉิน นักเรียน Year 6 กล่าวว่า “ที่เลือกซิตี้ แคมปัสให้ลูกก็เพราะว่าการที่โรงเรียนออกแบบและก่อสร้างขึ้นเพื่อรองรับเด็กเล็กโดยเฉพาะ รวมไปถึงครูใหญ่และบุคลากรโรงเรียนทุกคนต่างอบอุ่น เป็นมิตรและเข้าถึงได้ง่าย ตั้งแต่ปีแรกที่เรียนที่นี่ ลูกสาวก็กลายเป็นเด็กร่าเริงและมีความกล้า เวลาไปร่วมงานต่างๆ ที่โรงเรียนจัด ฉันรู้สึกดีมากเวลาเห็นลูกมีความสุขและมั่นใจเวลาที่ได้ขึ้นแสดงบนเวทีโรงเรียน”

                    โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ ซิตี้ แคมปัส

                    นายทิโมธี บราวน์ และ นางวิคตอเรีย บราวน์ ผู้ปกครองของ เด็กชายวิลเลี่ยม บราวน์ นักเรียน Year 2 กล่าวว่า “ซิตี้ แคมปัสเป็นตัวเลือกโรงเรียนลำดับแรกของเรา ด้วยความที่โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรีมีชื่อเสียงอยู่แล้วที่อังกฤษ ทั้งในด้านมาตรฐานวิชาการที่เป็นเลิศ คุณค่าทางสังคมที่สูง รวมถึงความมุ่งมั่นตั้งใจที่มีให้กับการจัดการการเรียนการสอน เป็นเรื่องเยี่ยมมากที่ได้เห็นทักษะทางภาษาและวิชาการของวิลเลี่ยม พัฒนาขึ้นตอนอยู่ชั้นเรียน Year 1 วิลเลี่ยมได้กลายเป็นเด็กที่สนใจในการเรียนรู้สิ่งต่างๆ เป็นอย่างมาก ซึ่งนี่คือหัวใจหลักของโชรส์เบอรีอย่างแท้จริง ซึ่งพัฒนาการและความมั่นใจที่มีเพิ่มมากขึ้นของเขาเป็นผลมาจากการมีครูที่ยอดเยี่ยม”

                     

                    นางสาวอแมนดา กล่าวว่า “ด้วยความต้องการที่มีเข้ามาอย่างล้นหลาม และเพื่อเปิดโอกาสให้เด็กๆ สามารถเข้าถึงระบบการศึกษาที่มีคุณภาพได้ตั้งแต่วัยแรกเรียน โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ – ซิตี้ แคมปัส จึงได้ตัดสินใจเปิดห้องเรียนเพิ่มอีก 1 ห้องรวมเป็นทั้งหมด 5 ห้องสำหรับชั้น Early Year 1 ซึ่งจะเปิดการเรียนในเดือนสิงหาคม 2562 นี้

                    นอกจากนั้นทางโรงเรียนยังได้จัดกิจกรรมOpen House อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้พ่อแม่ผู้ปกครองได้มีโอกาสเข้าเยี่ยมชมบรรยากาศการเรียนการสอนและพูดคุยกับบุคลากรของโรงเรียนอย่างใกล้ชิดได้ก่อนการตัดสินใจ ซึ่งการจัดกิจกรรมแต่ละครั้งที่ผ่านมา ได้รับความสนใจจากผู้ปกครองจำนวนมากเข้าร่วมงานกันเป็นจำนวนมาก โดยผู้สนใจสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมและลงทะเบียนเข้าร่วมกิจกรรม Open House ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำในวันศุกร์ ได้ทางเว็บไซต์ www.shrewsbury.ac.th

                     

                      เรียนเต้นที่ไหนดี

                      เรียนเต้นที่ไหนดี 6 พิกัดคลาสสอนเต้นยอดนิยม

                      เสียงเพลง จังหวะดนตรีประกอบสนุกสนานขึ้นมาเมื่อไหร่ คุณพ่อคุณแม่อาจจะสังเกตลูกรักฉายแววนักเต้นขึ้นมาทันที ได้กล้าแสดงออกไม่ว่าจะงานโรงเรียน หรือเวทีกิจกรรม แถมประโยชน์ของการเต้นมีมากมายเชียวล่ะ ทั้งการได้ออกกำลังกายที่ได้ครบทุกส่วนช่วยให้ร่างกายแข็งแรง การได้เคลื่อนไหวร่างกายได้แบบอิสระ ได้ปลดปล่อยความเครียด และยังได้ความสนุกสนาน ถ้าเห็นว่าลูกชอบมาทางนี้ละก็ พาลูกไป เรียนเต้นที่ไหนดี วันนี้ทีมแม่ ABK เลยมี 6 พิกัดคลาสเต้นยอดนิยม ให้คุณพ่อคุณแม่ได้เลือกสานฝันต่ยอดพัฒนาการลูกกันค่ ลองมองดูคลาสสอนเต้นให้ลูกไปชิมลางกันซักที่ มีที่ไหนน่าสนใจบ้าง มาดูเล้ยยย

                      เรียนเต้นที่ไหนดี 6 พิกัดคลาสสอนเต้นยอดนิยม ลูกชอบเต้นต้องไปให้สุด!

                      1.Bangkok Dance Academy

                      สถาบันบางกอกแดนซ์ (Bangkok Dance Academy) เปิดสอนศิลปะการเต้นทั้งแบบตะวันตกและตะวันออก โดยได้รับการรับรองหลักสูตรจากกระทรวงศึกษาธิการ และสถาบันศิลปะการเต้นชั้นนำที่ใด้รับการยอมรับจากทั่วโลก เปิดรับเด็ก ๆ ที่สนใจและชื่นชอบศิลปะการเต้นตั้งแต่อายุ 2 ขวบครึ่ง (มีและไม่มีประสบการณ์) มีหลายคลาสให้เลือกเรียน อาทิ Jazz, Hiphop, Cover Dance, Thai Dance, Street Dance ฯลฯ  และการเล่นบัตเล่ต์ ที่ถือว่าโดดเด่น แบ่งการสอนเป็น 2 ประเภท คือชั้นเรียนประจำ มุ่งเน้นในการพัฒนาเทคนิคการเต้นตั้งแต่ระดับพื้นฐาน เพื่อให้ได้มาตรฐานตามหลักสากลโดยนักเรียนมีสิทธิได้รับคัดเลือกเพื่อทำการสอบวัดผลจากสถาบันชั้นนำที่ได้รับการยอมรับระดับโลก พร้อมได้รับประกาศนียบัตรรับรองทุกปี และชั้นเรียนแบบเปิดกว้าง (เรียนแบบระยะยาว) ทั้งเฉพาะบุคคลและแบบกลุ่ม เน้นสอนเพื่อการแสดง การแข่งขัน ติวเพื่อสอบ เป็นต้น

                      Bangkok Dance Academy
                      Credit photo : www.facebook.com/bangkokdance.academy

                      Bangkok Dance Academy

                      Location: สำนักงานใหญ่เลขที่ 4, 4/5 อาคาร ZEN WORLD ชั้น 15 ถนนราชตำริ แขวงปทุมวัน เขตปทุมวัน กรุงเทพ 10330
                      อัตราค่าเรียน
                      – ลงทะเบียนแรกเข้า  500  บาท (ชำระครั้งเดียว)
                      – ค่าบำรุงสถานที่ 300 บาท /ปี
                      – ค่าเทอม เริ่มต้น 1,700  บาท /เดือน  (ชำระครั้งละ 3 เดือน)
                      **ระยะเวลาการเรียนเป็น 4 เทอม ต่อปี (หยุดวันนักขัตฤกษ์) โดยมีการเรียน 12 สัปดาห์/เทอม ส่วนสัปดาห์ที่ 13 จะเตรียมไว้สำหรับกิจกรรมสร้างเสริมประสบการณ์ต่าง ๆ ของสถาบันฯ
                      E-Mail : [email protected]
                      Phone : 02-255-6189, 090-983-8201
                      Facebook : bangkokdance.academy
                      Website: bangkokdanceacademy.com

                      2.DDance Thailand

                      อีกหนึ่งสถาบันสอนเต้นที่มีชื่อเสียง DDance Thailand ก่อตั้งโดย ครู อู๋ เปรมจิต อำนรรฆมณี Choreographer แถวหน้าของเมืองไทยผู้ออกแบบท่าเต้นให้กับศิลปินตัวจริงมากที่สุดในประเทศไทยมาเป็นระยะเวลาหลายสิบปี และได้รวบรวม Dancer มืออาชีพที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของศิลปินดาราในวงการมากมายมาเป็นครูฝึกสอนให้กับเด็ก ๆ ที่มีความฝัน ความมุ่งมั่น ความกล้า ความคิด และความเป็นตัวของตัวเองในด้านการเต้น ให้มีพื้นที่ในการพัฒนาศักยภาพ และทักษะการเป็นศิลปินคุณภาพบนพื้นฐานของความเป็นตัวจริง โดยที่นี่มีหลายคลาสที่พัฒนาหลักสูตรต่าง ๆ ของ D Dance School โดยฉพาะให้เลือกเต้น ได้แก่

                      DDance Thailand
                      DDance Thailand

                      ATP – Artist Program ATP หลักสูตรที่มุ่งเน้นการพัฒนาเยาวชนในด้านของทักษะการเป็นศิลปินที่มีความคิดสร้างสรรค์ ระเบียบวินัย และทัศนคติ โดยไม่ได้มุ่งเน้นไปในเชิงการแข่งขัน แต่เป็นการเพิ่มศักยภาพ เสริมสร้างความมั่นใจและความเป็นตัวตนของตนเอง โดยมีทั้งการเรียนกลุ่มและเรียนเดี่ยวแบบตัวต่อตัว (Private Class) และจะมีการจัดกิจกรรมการแสดงประจำแต่ละเทอม (Showcase) การแสดงคอนเสิร์ตประจำปี และกิจกรรมอื่น ๆ ตลอดทั้งปีเพื่อฝึกฝน ความกล้าในการแสดงออกบนเวทีจริงและพัฒนาทักษะการเป็นศิลปินแบบมืออาชีพ Life Style Class เรียนเต้นกับหลักสูตร A.T.O.D (Australian Teacher of Dance) หลักสูตรสอนเต้นระดับโลก สอนโดยครูมืออาชีพระดับประเทศในหลากหลายรูปแบบของการเต้น เช่น Extreme Dance, Pre Dance, Pink a Blink, Hiphop ATOD ที่จะได้ทั้งความสนุกและความสุขควบคู่กันไป

                      DDance Thailand
                      Credit photo www.facebook.com/DDanceSchool

                      DDance Thailand

                      Location: 19/14-15 อาคารรอยัลซิตื้ อเวนิว ถนนศูนย์วิจัย พระราม 9 ซอย8 แขวง บางกะปี เขตห้วยขวาง
                      Phone : 084 555 8890
                      Facebook : DDanceSchool
                      Website: www.ddancethailand.com

                      3.Groove Studio

                      Groove Studio สตูดิโอการเต้นที่เปิดสอนศิลปะการเต้นแบบสไตล์ Street Dance ระดับครบวงจร ซึ่งออกแบบหลักสูตรชัดเจนของตัวเอง โดยใช้ระบบคัดเลือกบุคลากผู้สอนจากด้าน Street Dance และระบบอบรมออดิชันอย่างจริงจัง เช่น Street Hip-hop Jazz Funk Contemporary Popping Locking B-Boy มีคลาส Cover Dance ที่ครูสอนเต้นออกแบบท่าเต้นจากเมโลดี้เพลงฮิตทั้งไทยและสากล โดยเปิดสอนตั้งแต่เด็ก ๆ ระดับเยาวชน 10-16 ปี กลุ่มวัยรุ่น 16-24 ปี และกลุ่มวัยทำงาน 24-40 ปี ใช้เวลาการเต้น 90 นาที/ ชั้นเรียน  และช่วงปิดเทอมมีคลาสสำหรับเด็กเล็ก 5-7 ปี และ 8-14 ปีที่สนใจและมีใจรักการเต้น มาพัฒนาทักษะการเต้นสนุกๆ ได้ออกกำลังกายด้วยนะคะ ขาแดนซ์ที่สนใจต้องลองไปเรียนซักคลาสกันดูนะคะ

                      Groove Studio
                      Credit photo www.facebook.com/groovestudiobangkok

                      Groove Studio

                      Location: อาคารเอเชีย 294/1 ถ.พญาไท กรุงเทพมหานคร 10400
                      อัตราค่าเรียน :
                      สำหรับคอร์สเรียน walk in ผู้ที่ไม่ได้เป็นสมาชิก จำหน่ายเป็นคูปอง 450บาท / ใบ  (ซื้อเป็นคูปองชุด ราคา4,200 บาท/ 10ใบ)
                      สมาชิก ซื้อคูปองในราคา 350บาท/ใบ (คูปองชุด ราคา 3,500บาท/ 10ใบ)
                      **ค่าสมาชิกเเรกเข้า 500 บาท (แถมคูปองฟรีทดลองเรียน 2 ใบ)
                      Phone : 02 611 1598 / 085-188-3304
                      Line@:
                      @Groove Studiobkk

                      Facebook: groovestudiobangkok

                       

                      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                       

                      อ่านต่อ 6 พิกัดคลาสสอนเต้น ต่อยอดพัฒนาการลูก คลิกหน้า 2

                        พาลูกเที่ยวโครงการพระราชดำริ

                        พาลูกเที่ยวโครงการพระราชดำริ 4 เส้นทางตามรอยพ่อ

                        เส้นทางท่องเที่ยวโครงการพระราชดำริของในหลวง รัชกาลที่ 9 ถือว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจไม่น้อย แถมยังมีอยู่หลายแห่งตามจังหวัดทั่วประเทศไทย อีกทั้งการเดินทางไปเที่ยวชมยังมีส่วนช่วยสร้างรายได้และอาชีพให้กับชาวบ้านในแต่ละพื้นที่ ให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นด้วยนะคะ วันหยุดสุดสัปดาห์นี้ พาลูกเที่ยวโครงการพระราชดำริ 4 เส้นทางตามรอยพ่อ ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวและเรียนรู้ที่จะทำให้เจ้าตัวเล็กได้ประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่น่าจดจำ มีที่ไหนบ้างไปดูกันเลย

                        พาลูกเที่ยวโครงการพระราชดำริ 4 เส้นทางตามรอยพ่อ

                         1.โครงการพัฒนาพื้นที่หนองใหญ่ตามพระราชดำริ จ.ชุมพร

                        โครงการพัฒนาพื้นที่หนองใหญ่ เป็นแก้มลิงขนาดใหญ่ หลายคนเรียกพื้นที่ธรรมชาติกว้างใหญ่แห่งนี้ว่า “แก้มลิงหนองใหญ่สร้างขึ้นตามพระราชดำริของในหลวง รัชกาลที่ 9 เพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมในจังหวัดชุมพรที่เกิดขึ้นมาโดยตลอด และเป็นแหล่งน้ำสำรองสำหรับการเกษตรและผลิตน้ำประปาสำหรับชุมชนในอนาคต หลังจากนั้นชาวชุมพรก็ร่วมแรงร่วมใจกันสานต่อพระราชดำริ เกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียงด้วยการสร้างศูนย์ความรู้โครงการหนองใหญ่ขึ้นเพื่อเป็นแนวทางการใช้ชีวิตเรียบง่ายให้กับชาวบ้านและบุคคลที่สนใจ

                        โครงการพัฒนาพื้นที่หนองใหญ่ตามพระราชดำริ จ.ชุมพร
                        เครดิตภาพจาก www.facebook.com/DeSeaAlmond

                        โดยพื้นที่ในโครงการแบ่งออกเป็น 3 ส่วนด้วยกัน คือส่วนของป่าธรรมชาติ ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของหมู่นกต่างๆ หลากหลายพันธุ์ ส่วนของการทำเกษตร แปลงนาทดลอง ที่เป็นศูนย์การเรียนรู้และพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติที่มีชีวิตให้เกษตรกร นักเรียน นักศึกษา และบุคคลทั่วไปมาฟังบรรยายงานอยู่เสมอ และส่วนของเกาะเลข 9 คือ อาคารของหน่วยอนุรักษ์และจัดการต้นน้ำพะโต๊ะ โดยส่วนนี้การจัดโฮมสเตย์ที่พักได้จริงเพื่อสร้างงานให้เกิดขึ้นในชุมชน มีการทำแปลงสมุนไพรพืชผักต่าง ๆ นาข้าว การทำไบโอดีเซล ยังมีการสอนเลี้ยง กบ หมู ไก่ ปลา ทั้งนี้เพื่อสร้างงานให้เกิดขึ้นในชุมชน ให้ชาวบ้านได้มีเทคนิคในการทำมาหากินเพิ่มขึ้น ส่วนนักท่องเที่ยวก็ได้เก็บเกี่ยวเกร็ดความรู้ต่าง ๆ กลับบ้าน

                        โครงการพัฒนาพื้นที่หนองใหญ่ตามพระราชดำริ จ.ชุมพร
                        เครดิตภาพจาก www.facebook.com/DeSeaAlmond

                        ส่วนไฮไลท์ที่เป็นอันซีนของที่นี่คือ “สะพานไม้เคี่ยม” สะพานที่สร้างขึ้นมาจากไม้เคี่ยม ซึ่งเป็นไม้เนื้อแข็งที่มีมากในภาคใต้ มีความแข็งแกร่ง ทนทั้งน้ำจืดน้ำเค็ม ทอดยาวไปเชื่อมต่อกับเกาะขนาดเล็กตรงกลางบ่อน้ำ ยาวประมาณ 1 กิโลเมตร มองจากด้านบนจะเห็นสะพานรูปร่างคล้ายตัว S คดโค้งดูแปลกตา สามารถเดินบนสะพานเพื่อเข้าไปยังเกาะเล็ก ๆ กลางบ่อน้ำได้ บนเกาะเต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ร่มรื่น สามารถเดินเล่นรอบเกาะเพื่อชมทิวทัศน์ของทั้ง 2 ฝั่งสะพานได้ เป็นการมาเที่ยวชมกับธรรมชาติอย่างเต็มที่ ถือว่าเป็นเส้นทางพาลูกเที่ยวตามโครงการพระราชดำริอีกหนึ่งแหล่งที่ต้องห้ามพลาดกันเลย

                        สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม www.chppao.go.th

                        2.โครงการช่างหัวมันตามพระราชดำริ จ.เพชรบุรี

                        โครงการช่างหัวมันตามพระราชดำริ อยู่ในความดูแลของกองทัพภาคที่ 1 ในหลวงรัชกาลที่ 9 มีพระราชดำริให้จัดหาที่ดิน เพื่อทำโครงการด้านเกษตร พัฒนาเป็นศูนย์รวบรวมพืชเศรษฐกิจนานาชนิด เพื่อเป็นแนวทางให้กับเกษตรกร โดยเฉพาะในพื้นที่อำเภอท่ายางจังหวัดเพชรบุรี ที่มีพื้นที่ค่อนข้าง แห้งแล้ง ปัจจุบันภายในโครงการฯ ได้จัดสรรทำการเกษตรเป็นอย่างดี มีทั้งแปลงพืชเศรษฐกิจที่ปลูกหลายชนิด อาทิ สับปะรด มะนาว มะพร้าว รวมทั้งมันเทศ นอกจากนี้ยังมีการปลูกไม้ผล พืชไร่ และพืชผักต่าง ๆ อาทิ แก้วมังกร ชมพู่เพชร กล้วย ฟักทอง กะเพรา โหระพา พริก ฯลฯ  มีแปลงปลูกข้าวทั้งข้าวเจ้าและข้าวเหนียว ปลูกยางพารา โดยทั้งหมดนี้จะเน้นไม่ให้มีการใช้สารเคมี หรือหากต้องใช้ก็ต้องมีในปริมาณที่น้อยที่สุด และมีฟาร์มโคนม ฟาร์มไก่ แปลงเกษตรที่จัดเป็นสวนสวยสำหรับนักท่องเที่ยวที่แวะมาเยี่ยมชม บนพื้นที่ 250 ไร่ จากพื้นดินที่เคยแห้งแล้งกลับมาชุ่มชื่นเต็มไปด้วยพื้นที่สีเขียวอีกครั้ง

                        โครงการช่างหัวมันตามพระราชดำริ
                        เครดิตภาพจาก www.facebook.com/Triptothailand2017

                        ส่วนหนึ่งของโครงการนี้ได้ให้ภาครัฐและชาวบ้านร่วมกันดูแล และได้เปิดเป็นแหล่งเรียนรู้ให้ทุกคนทุกเพศทุกวัยได้เข้ามาศึกษา มีรถรางพาชมทั่วไร่พร้อมวิทยากรบรรยายตามแต่ละจุด เพื่อให้ความรู้ด้านการเกษตร หรือจะปั่นจักรยานชมรอบโครงการ ที่จะได้ชื่มชนกับบรรยากาศธรรมชาติล้อมด้วยภูเขาและพื้นที่การเกษตร ปัจจุบันโครงการช่างหัวมันตามพระราชดำรินี้ได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางการเกษตรที่มีชื่อเสียงของจังหวัดเพชรบุรี

                        โครงการชั่งหัวมันตามพระราชดำริ

                        เปิด-ปิด : ตั้งแต่เวลา 09.00 น. ถึง 16.30 น.
                        ค่าบริการเข้าชม: ผู้ใหญ่ ( อายุ 15 ปีขึ้นไป ) คนละ 20 บาท / เด็ก (สูงไม่เกิน 130 ซม.) นักเรียน นิสิต นักศึกษา ในเครื่องแบบคนละ 10 บาท /พระสงฆ์ สามเณร แม่ชี นักบวช ผู้พิการ และเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 3 ขวบ ได้รับการยกเว้นค่าบริการ
                        โทรศัพท์ : 032 472 701
                        สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม www.phetchaburi.go.th

                         

                        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                         

                        อ่านต่อ พาลูกเที่ยว 4 เส้นทางตามรอยพ่อ คลิกหน้า 2

                          วอลดอร์ฟ

                          10 ข้อที่จะทำให้แม่ๆ รู้จักโรงเรียนแนว วอลดอร์ฟ มากขึ้น

                          แนวการสอนแบบ วอลดอร์ฟ (Waldorf Method) เป็นรูปแบบการศึกษาในฐานะหลักสูตรโรงเรียนทางเลือกหรือโรงเรียนแนวบูรณาการ เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่คุณพ่อคุณแม่ในยุคนี้เริ่มหันมามอง และศึกษาหาข้อมูล สำหรับเจ้าตัวน้อยที่กำลังจะเข้าเรียน ซึ่งในปัจจุบันโรงเรียนทางเลือกเริ่มเป็นที่ผู้ปกครองนิยมมากขึ้น เพราะมีรูปแบบแนวการสอนที่แตกต่างจากโรงเรียนกระแสหลัก แต่เป็นโรงเรียนที่มีกฎหมายรองรับและจัดการศึกษาที่อิงกับระบบของกระทรวงศึกษาธิการเช่นกัน แตกต่างตรงที่โรงเรียนจะนำการเรียนการสอนมาประยุกต์และปรับใช้ให้เหมาะสม เน้นเรียนรู้ผ่านกิจกรรม การลงมือทำ การเล่น ทั้งในและนอกห้องเรียน ซึ่งโรงเรียนทางเลือกเองก็มีรูปแบบการศึกษาที่หลากหลาย แต่สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่สนใจแนวการสอนแบบวอลดอร์ฟ ว่ามีรูปแบบการเรียนการสอนอย่างไร มาทำความรู้จักกันค่ะ

                          10 ข้อที่จะทำให้แม่ๆ รู้จักโรงเรียนแนว วอลดอร์ฟ มากขึ้น

                          1.แนวคิดการศึกษาวอลดอร์ฟ เกิดขึ้นในต้นศตวรรษที่ 20 โดยรูดอร์ฟ สไตเนอร์ (Rudolf Steiner) นักปราชญ์ผู้ก่อตั้งการศึกษา วอลดอร์ฟ ที่เชื่อว่า “สิ่งแวดล้อมที่ดีจะช่วยให้เกิดการเรียนรู้ที่ดี” เด็กวัยแรกเกิดถึง 7 ปี เป็นวัยที่เรียนรู้จากการเลียนแบบทั้งท่าทางและคำพูดจนไปถึงการเลียนแบบลึกลงไปถึงอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด ดังนั้นการเรียนรู้ของเด็กจึงเป็นการเรียนผ่านจิตใต้สำนึกซึ่งก็จะส่งผลต่อสุขภาพกาย กริยาท่าทาง อารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด โดยไม่รู้ตัว การจัดการศึกษาจึงต้องคัดเลือกสิ่งที่ดีงามให้แก่เด็กและปกป้องเด็กจากสิ่งที่จะทำลายความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาซึ่งเป็นความดีงามที่ติดตัวเด็กมา

                          2.การจัดบรรยากาศการเรียนการสอนทั้งภายในและภายนอกห้องเรียน อาคารเรียนและบริเวณโรงเรียน เป็นองค์ประกอบสำคัญของการศึกษาวอลดอร์ฟ ความงดงามของธรรมชาติจะปรากฎอยู่ทั้งกลางแจ้งและภายในอาคาร เช่น การจัดสีที่นุ่มนวล ที่ช่วยทำให้เด็กรู้สึกถึงความรักความอบอุ่น และช่วยให้ร่างกายสดชื่นแจ่มใส ไม่เคร่งเครียด ภายในห้องเรียนให้ได้รับแสงสว่างจากธรรมชาติที่ไม่จ้าเกินไปหรือมืดทึมเกินไปช่วยให้เด็กปรับตัวให้เรียนรู้ได้โดยไม่ต้องอาศัยสิ่งเร้าเกินจำเป็น ตลอดจนเสียงที่เกิดจากสิ่งแวดล้อม เช่น เสียงนกร้อง ลมพัด ใบไม้ไหว น้ำไหลริน หรือเสียงดนตรีและเพลงที่ไพเราะอ่อนโยน และแม้แต่ความเงียบ จะช่วยสร้างความรู้สึกอบอุ่น อ่อนโยน และสดชื่นในจิตใจเด็ก ช่วยให้เด็กสงบ มีพลัง ตื่นตัว และมีสมาธิต่อจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ในการเรียนรู้ ทั้งหมดนี้เป็นส่วนสำคัญในการจัดบรรยากาศเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ผ่านทั้งจิตใต้สำนึกของเด็กตลอดทั้งวัน

                          3.เป้าหมายของการศึกษาวอลดอร์ฟคือ ให้ความสำคัญกับการพัฒนามนุษย์ โดยมุ่งเน้นพัฒนาเด็กให้บรรลุศักยภาพสูงสุดที่ตนมี สามารถกำหนดความมุ่งหมาย และแนวทางแก่ชีวิตได้อย่างอิสระตามกำลังความสามารถของตัวเอง เป็นมนุษย์ที่มีบุคลิกภาพสมดุลกลมกลืนกับโลกและสิ่งแวดล้อม ดังนั้นการศึกษาระบบวอลดอร์ฟจึงเน้นเรื่องของการเชื่อมโยงมนุษย์กับจักรวาล มีมุมมองว่า เด็กควรได้เล่นอย่างอิสระ ชีวิตเรียบง่าย กลมกลืนกับธรรมชาติ สอนให้เด็กได้รู้จักจุดยืนที่สมดุลของตนในการใช้ชีวิตอยู่บนโลก ผ่านกิจกรรม 3 อย่างได้แก่ กิจกรรมทางกาย (การลงมือทำ) อารมณ์ความรู้สึก และการคิด และเน้นให้เด็กได้ใช้พลังทุกด้าน ไม่ว่าจะด้านสติปัญญา ด้านศิลปะ และด้านการปฎิบัติอย่างพอเหมาะ

                          แนวคิด ทฤษฎี วอลดอร์ฟ

                          4.หลักสูตรวอลดอร์ฟในระดับปฐมวัยจะไม่มีการแบ่งเนื้อหาสาระเป็นวิชา วิชาการจะยังไม่ถูกสอนในช่วงปีแรก ๆ ของการเรียน แต่จะเป็นการจัดเนื้อหาสาระบูรณาการออกมาในรูปของประสบการณ์ผ่านกิจกรรมการเล่นและการดำเนินชีวิต เน้นให้ความสำคัญกับจินตนาการของผู้เรียนและการกลมกลืนกับธรรมชาติเชื่อมโยงกัน ซึ่งก็จะพบว่าเนื้อหาสาระเหล่านี้ถูกบูรณาการรวมกับในแง่วิชาต่าง ๆ ได้อย่างกลมกลืน สร้างสมดุลระหว่างศิลปะ วิทยาการ ดนตรี จริยธรรม และการฝึกฝนทักษะชีวิตประจำวัน เป็นการปูพื้นฐานสำหรับคุณสมบัติที่ดีงามแห่งความเป็นมนุษย์ซึ่งจะติดตัวเด็กไปจนตลอดชีวิต

                          5.หลักสูตรวอลดอร์ฟทุกชั้นไม่ว่าจะระดับอนุบาลไปจนถึงประถมจะเป็นเอกภาพต่อเนื่องกัน คือ กำหนดขึ้นโดยมีเด็กอยู่ในใจ สอดคล้องกับพัฒนาการในแต่ละวัย ผ่านทางกาย อารมณ์ ความคิด ตอบสนองต่อศักยภาพในตัวเด็กซึ่งกำลังต้องการพัฒนาไปมากที่สุดในช่วงระยะนั้น เด็กจะเรียนรู้โดยผ่านการปฏิบัติด้วยตนเองในสภาพการณ์ที่เป็นจริง การเรียนการสอนไม่ได้เป็นไปโดยผ่านตำราแบบเรียน แต่ผ่านครูไปสู่นักเรียนโดยตรง โดยครูให้การศึกษาต่อเด็กจากประสบการณ์และความรู้ของตนอย่างมีศิลปะ มีชีวิตชีวา ไม่ใช่เพียงถ่ายทอดข้อมูลในตำรา ในโรงเรียนวอลดอร์ฟครูประจำชั้นจะเลื่อนชั้นตามลูกศิษย์ไปตั้งแต่ป. 1 จนถึงม. 2

                           

                          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                          อ่านต่อ 10 ข้อที่จะทำให้รู้จักโรงเรียนแนววอลดอร์ฟมากขึ้น คลิกหน้า 2

                            วันเด็ก 2563 อพวช.

                            วันเด็ก 2563 เด็กเข้าฟรี 4 พิพิธภัณฑ์ อพวช.คลองห้า ปทุมธานี

                            ทีมแม่ABK มีข่าวดีมาบอกค่ะ วันเด็ก 2563 ปีนี้ อพวช.เปิดให้เด็กเข้าฟรี จุใจถึง 4 พิพิธภัณฑ์มอบเป็นของขวัญให้กับน้องๆ หนูเนื่องในวันเด็กแห่งชาติ ได้แก่ พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์, พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยา, พิพิธภัณฑ์เทคโนโลยีสารสนเทศ และพิพิธภัณฑ์พระรามเก้า ซึ่งเพิ่งเปิดใหม่สดร้อนๆ ยังไม่ถึงเดือนเลย โดยทั้ง 4 พิพิธภัณฑ์ตั้งอยู่ภายในเทคโนธานี คลอง 5 อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ค่ะ

                            สำหรับเด็กๆ ที่เข้าร่วมกิจกรรม วันเด็ก 2563 ณ องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ มีรายละเอียดกิจกรรมที่น่าสนใจ ด้านล่างนี้ค่ะ

                            สถานี พวท.

                            กิจกรรม

                            รายละเอียด

                            วิทยาศาสตร์ภูมิปัญญาไทยแมลงปอสมดุลเรียนรู้เรื่องราววิทยาศาสตร์ในของเล่นภูมิปัญญาไทยในเรื่องของสมดุลทั้งยังแทรกเรื่องราวการดำรงชีวิตและธรรมชาติวิทยา เช่นธรรมชาติของแมลงปอในการเกาะบนกิ่งไม้

                             

                            กำหมุนบินสนุกกับการประดิษฐ์และแข่งขันกำหมุนบิน พร้อมเรียนรู้เรื่องราววิทยาศาสตร์ในของเล่นภูมิปัญญาไทยในเรื่องของแรงยก

                             

                            Play and Learnหลุมหลอกตา

                             

                            เรียนรู้เรื่องราวการหักเหของแสงและเล่นเกมส์หลุมหลอกตาสนุกๆพร้อมได้รับของรางวัลต่างๆมากมาย

                             

                             

                             

                            ป๊อปคอร์น

                             

                            อะไรหนอที่ทำให้ป๊อปคอร์นแตกฟู มาเรียนรู้วิทยาศาสตร์ที่อยู่ในป๊อปคอร์น พร้อมได้รับประทานป๊อปคอร์นแสนอร่อยแบบฟรีๆอีกด้วย

                             

                             

                             

                            สายไหม

                             

                            ขนมสายไหมสีสวยๆเป็นปุยนุ่ม และหวานละลายในปาก ทำมาจากอะไรเรียนรู้ผ่านกิจกรรมสนุกๆกับขนมสายไหม

                             

                             

                             

                            เติมแร่แก้เหนื่อย

                             

                            มาเติมแร่แก้เหนื่อยให้กับร่างกายในการทำน้ำหวานสีสวยแสนอร่อยมาเรียนรู้กันว่าในน้ำหวานที่เราทานไปนั้นมีแร่ธาตุอะไรบ้างที่จำเป็นต่อร่างกาย

                             

                             

                             

                             

                            ไอติม

                             

                            เรียนรู้เรื่องราวหลักการทางวิทยาศาสตร์ในการทำไอติมว่าไอติมแข็งตัวได้อย่างไร และได้ทดลองทำไอติมแสนอร่อยด้วยตัวเอง

                             

                            เวทีกลางกิจกรรมเวทีกลางสนุกกับกิจกรรมต่างๆบนเวทีและแจกฟรีของรางวัลมากมาย

                             

                            FunScience 

                            ช็อกโกแลตแปลงกาย

                            เรียนรู้เกี่ยวกับส่วนประกอบ ชนิดและประโยขน์ของช็อกโกแลต ผ่านกิจกรรมสนุกๆ ง่ายๆและได้ประโยชน์

                             

                             

                             

                            ECO  BAG

                             

                            ส่งเสริมจินตนาการสร้างสรรค์กับผลงานลายเส้นบนผืนผ้า เพื่อให้เด็กเห็นคุณค่าของการใช้ทรัพยากรและช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมโดยสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้จริง

                             

                            หน้าผาปีนหน้าผาสนุกท้าทายไปกับการปีนหน้าผาจำลองพร้อมทั้งได้รับรางวัลต่างๆมากมาย

                             

                            Enjoy maker SpaceEnjoy maker Spaceเป็นกิจกรรมที่เน้นลงมือปฏิบัติจากการประดิษฐ์ ชิ้นงาน อุปกรณ์ หรือของเล่นทางวิทยาศาสตร์ เสริมสร้างการเรียนรู้ด้าน STEAM  โดยใช้เครื่องมือพื้นฐาน ในการประดิษฐ์สิ่งประดิษฐ์ต่างๆ

                             

                            กิจกรรมในตึกลูกเต๋าScience Dome + ตึกพวท.Science Dome เรียนรู้เรื่องราวของวิทยาศาสตร์และดาราศาสตร์ ผ่านภาพยนตร์สามมิตินรูปแบบ full dome ในโรงภาพยนตร์แบบโดม

                            ในส่วนของกิจกรรมบนเวทีกลาง ณ หน้าพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยา ยังมีกิจกรรมประกวดชุดแฟนซี ชุด “ความหลากหลายทางชีวภาพ” ด้วยนะคะ

                            ประกวดชุดแฟนซี วันเด็ก 2563
                            กิจกรรมประกวดชุดแฟนซี วันเด็ก 2563

                            การประกวดแบ่งเป็น 2 รุ่นการประกวด (จำนวนรุ่นละ 50 คน)

                            – รุ่นเด็กเล็ก อายุ 3-7 ปี

                            – รุ่นเด็กโต อายุ 7-12 ปี

                            เกณฑ์การตัดสิน

                            • ความสวยงาม
                            • ความคิดสร้างสรรค์
                            • การตอบคำถาม 1 คำถาม  “ชุดของหนูเกี่ยวข้องกับความหลากหลายทางชีวภาพอย่างไร”

                             

                            ผู้สนใจสามารถสมัครได้ในงานวันเด็กแห่งชาติ 2563 ณ องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ

                            10.00-12.00 น. เปิดรับสมัคร บริเวณด้านหน้าอาคารพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยา

                            13.30-15.30 น.ประกวดเดินบนเวทีโชว์ตัวพร้อมตอบคำถาม “ชุดของหนูเกี่ยวข้องกับความหลากหลายทางชีวภาพอย่างไร”

                            15.30 -16.30 น. ประกาศผลการตัดสิน (การตัดสินของคณะกรรมถือเป็นที่สิ้นสุด)

                             

                            วันเด็กปีนี้ หากคุณพ่อคุณแม่ยังไม่รู้จะพาน้องๆ ไปเที่ยวที่ไหน ลองไปเปิดโลกกว้างกับ 4 พิพิธภัณฑ์ของอพวช. รับรองว่าไปแล้วอยากไปอีก เพราะสนุกจุใจแน่นอนค่ะ

                            สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ(อพวช.) เทคโนธานี ต.คลองห้า อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี 12120  โทร.0 2577 9999 http://www.nsm.or.th/

                              มอนเตสเซอรี่

                              6 กิจกรรมเล่นกับลูกสไตล์ มอนเตสเซอรี่ เสริมทักษะให้ลูกง่ายๆ ได้ที่บ้าน

                              แนวการสอนแบบ มอนเตสเซอรี่ (Montessori) ถูกริเริ่มคิดและจัดตั้งโดย ดร.มาเรีย มอนเตสซอรี่ จากความเชื่อในการจัดการศึกษาให้แก่เด็กที่ว่า การให้การศึกษาในระยะแรกนั้น ไม่ใช่การเอาความรู้ไปบอกให้เด็ก แต่ควรเป็นการปลูกฝังให้เด็กได้เจริญเติบโตไปตามความต้องการตามธรรมชาติของเขา และการให้เด็กเติบโตไปตามขั้นตอนของความสามารถนั้น ควรจะสอนให้สัมพันธ์กับความต้องการของเด็ก ตลอดจนการจัดสิ่งแวดล้อมรอบตัวจนเกิดความอยากรู้ อยากเห็น และแสวงหาความรู้อย่างมีสมาธิ รวมทั้งเตรียมอุปกรณ์การสอนต่าง ๆ ขึ้นมาใช้ เพื่อให้เด็กเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างอิสระในขอบเขตที่กำหนดไว้ โดยเปิดโอกาสให้เด็กได้ทดลองกับอุปกรณ์จริงหรือสถานการณ์จริง เรียนรู้ผ่านการเล่น โดยผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 มีการใช้สื่ออุปกรณ์ในรูปแบบเฉพาะ ที่ช่วยให้เด็กเข้าใจง่าย

                              ซึ่งกิจกรรมแนวมอนเตสเซอรี่ที่ทีมแม่ ABK นำมาฝากคุณพ่อคุณแม่ไว้เล่นกับลูกนั้น เป็นกิจกรรมที่ทำได้ง่าย ๆ ที่จะช่วยให้เด็ก ๆ ได้ผ่อนคลาย สนุกสนาน พร้อมทั้งเสริมทักษะ สามารถจัดหาวัสดุอุปกรณ์มาประยุกต์ทำเองได้ มีกิจกรรมน่าสนใจอะไรบ้าง มาดูกันค่ะ

                              6 กิจกรรมเล่นกับลูกสไตล์ มอนเตสเซอรี่ เสริมทักษะให้ลูกง่ายๆ ได้ที่บ้าน

                              #1 รีไซเคิลรักษ์โลก

                              เพียงแค่เตรียมถังขยะแยกประเภทการทิ้งระหว่างถังขยะทั่วไป ถังรีไซเคิล ถังขยะเปียก แล้วสอนลูกให้ทิ้งขยะลงในภาชนะที่เหมาะสม เท่านี้ก็เป็นการให้ความรู้ด้านสิ่งแวดล้อมและเป็นการช่วยเซฟเดอะเวิลด์ไปด้วยนะจ๊ะ

                              #2 จับคู่ถุงเท้า

                              ถุงเท้าของลูกหลังจากซักตากแห้งเรียบร้อยแล้ว ก็นำมาให้เด็ก ๆ จับคู่ถุงเท้าที่ตรงกัน กิจกรรมง่าย ๆ แบบนี้เป็นการเสริมทักษะทางคณิตศาสตร์ และทักษะประสานงานของมือและตาให้กับเจ้าตัวน้อยได้อย่างดีเยี่ยม!

                              #3 กำหรือหยิบถั่ว

                              ใช้เมล็ดถั่วแดงพร้อมกับถ้วย 3 ใบ ให้ลูกใช้มือข้างที่ถนัดกำเมล็ดถั่วจากภาชนะที่ 1 ไปใส่ภาชนะที่ 2 และเมื่อถั่วเต็มภาชนะที่ 2 ให้กำไปใส่ในภาชนะที่ 3 เมื่อเต็มแล้วกำถั่วกลับไปใส่ภาชนะที่ 2 และ 1 อีกตามลำดับ กิจกรรมนี้เด็ก ๆ จะได้เรียนรู้จากการสัมผัสวัตถุที่แตกต่างจากวัตถุอื่น ได้พัฒนากล้ามเนื้อมือมัดเล็ก หรืออาจจะใช้เมล็ดถั่วแค่ 10 เม็ด แล้วเพิ่มทักษะคณิตศาสตร์ด้วยการนับเลข 1-10 ให้เจ้าตัวน้อยได้รู้จักตัวเลขเพิ่มขึ้นก็ได้ค่ะ

                              สื่อมอนเตสซอรี่ทําเอง

                              #4 เทน้ำใส่แก้ว

                              เริ่มต้นด้วยการใช้สีผสมอาหารผสมกับน้ำเปล่าเพิ่มสีสันดึงดูดสำหรับการเล่นกิจกรรมนี้ลงในเหยือก จากนั้นให้ลูกเทน้ำใส่แก้ว 3 ใบ เมื่อเทหมดก็สามารถนำน้ำจากแก้วเทกลับใส่เหยือกให้เด็กเล่นซ้ำไปมาได้ตามความพอใจ กิจกรรมนี้เด็ก ๆ จะได้ทักษะของการประสานงานระหว่างมือและตา นอกจากนี้ทักษะที่ฝึกจนคล่องแคล่ว จะนำไปสู่การช่วยทำงานบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างเช่น การช่วยเทส่วนผสมต่าง ๆ ภายในครัว ไม่ว่าจะเป็นการเทของเหลวหรือสิ่งของต่าง ๆ อย่าง น้ำตาล เกลือ การรองน้ำ เป็นต้น ซึ่งการให้ลูกมีส่วนร่วมในกิจกรรมง่าย ๆ เหล่านี้อย่างอิสระก็จะได้เรียนรู้ทักษะชีวิต ได้เห็นคุณค่าในตัวเอง มีความมั่นใจ เมื่อได้ทำในสภาพแวดล้อมที่ตัวเองเป็นศูนย์กลาง

                              กิจกรรมมอนเตสซอรี่ มีอะไรบ้าง

                              #5 ตักถั่วลงถ้วย

                              ให้เด็กใช้มือที่ถนัดจับช้อนแล้วตักถั่วในถ้วยไปใส่ในถ้วยอีกใบจนหมด เมื่อตักหมดก็สามารถตักกลับใส่ถ้วย เล่นซ้ำไปมาได้ตามความพอใจ เป็นการฝึกทักษะการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก และการทำงานประสานระหว่างมือกับตา

                              #6 วางให้ถูกเลข

                              เกมนี้คุณพ่อคุณแม่ต้องสร้างบัตรเลข 1-10 ขึ้นมา จากนั้นให้เตรียมกระดุม ลูกปัด หรือฝาเครื่องดื่ม อย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อเป็นเบี้ย จากนั้นคุณแม่ขานเลือกเลขให้ลูกวางเบี้ยในบัตรเลขให้ถูกต้อง ระหว่างเล่มเกมก็อาจจะใช้คำถามเรื่องจำนวนเลขคี่ เลขคู่ เช่น เลข 1 เบี้ยมีคู่ไหมคะ เลข 2 มีคู่ เพราะมีเบี้ย 2 ตัวใช่ไหมคะ ใช้คำถามไปจนครบถึงหมายเลข 10 จากนั้นทบทวนอีกครั้งโดยการชี้ที่ตัวเลขแล้วให้ลูกบอกว่าแต่ละจำนวนอะไรคือจำนวนคู่และคี่ ในเกมนี้เด็ก ๆ จะได้เรียนรู้เรื่องการนับจำนวนตัวเลข 1-10 เรียนรู้จำนวนเลขคู่และจำนวนเลขคี่

                               

                              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                               

                              อ่านต่อ ประโยชน์ที่เด็กจะได้รับจากกิจกรรมแนวมอนเตสเซอรี่ คลิกหน้า 2

                                ที่พักรถบ้าน

                                8 ที่พักรถบ้าน ถูกใจลูก เนรมิตห้องนอนในรถ ล้อมด้วยธรรมชาติ

                                เทรนด์พาลูกท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ ที่เปิดโอกาสให้เด็ก ๆ ได้ใกล้ชิดกับภูเขา ทะเล ต้นไม้ ใบหญ้า สายน้ำ ลำธาร เริ่มเป็นที่สนใจคุณพ่อคุณแม่หลายครอบครัวในยุคนี้เพิ่มมากขึ้น และแน่นอนว่าที่พักสำหรับครอบครัวก็มีรองรับได้หลากหลายสไตล์ขึ้นด้วย วันนี้ทีมแม่ ABK มี ที่พักรถบ้าน เปลี่ยนบรรยากาศที่พักแบบเดิม ๆ ตื่นขึ้นมาก็สัมผัสได้ถึงธรรมชาติที่อยู่ตรงหน้า ส่วนภายในไม่ต้องพูดถึง มีสิ่งอำนวยความสะดวกสบายไม่แพ้ห้องพักกันเลยทีเดียว รับรองว่าถูกใจเจ้าตัวเล็กจะได้นอนฟินอย่างแท้ทรู มีที่ไหนบ้างมาดูกันเลยค่ะ

                                8 ที่พักรถบ้าน ถูกใจลูก เนรมิตห้องนอนในรถ ล้อมด้วยธรรมชาติ

                                #1 แอร์สตรีม แคมป์ไซต์ ปราณบุรี, จ.ประจวบคีรีขันธ์

                                Airstream Campsite Pranburi
                                Airstream Campsite Pranburi

                                ว่ากันว่าทะเลทางใต้นั้นสวย สะอาด น้ำทะเลใส ไม่แพ้ภาคไหน ๆ แถมได้มานอนพักฟินในบรรยากาศห้องพักรถบ้านที่ แอร์สตรีม แคมป์ไซต์ ปราณบุรี แคมป์กราวดน์สุดพรีเมี่ยมบนธรรมชาติกว่า 6 ไร่ ที่สามารถเลือกห้องพักสำหรับการนอนพักผ่อนธรรมชาติสวย ๆ สร้างบรรยากาศแคมปิ้งในมุมที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน ทั้งในแบบโซนริมทะเลสาป และโซนกลางป่าริมสระว่ายน้ำ บนรถบ้านสไตล์อเมริกัน ที่ทุกคันอิมพอร์ตจากอเมริกา ในแบบ King of caravans มีหลากหลายขนาด ทั้งแบบรถบ้านคันเล็ก (Zone Wyoming) และรถบ้านคันใหญ่ (Zone Colorado) พร้อมอาหารเช้าแบบ A La Carte และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ภายในรถ เช่น เครื่องปรับอากาศ, ตู้เย็น, สบู่, ยาสีฟัน แปรงสีฟัน, แชมพู และชุดโต๊ะเก้าอี้ Camping Snowline เป็นต้น ภายในห้องพักสะอาด สะดวกสบาย ที่นอนนุ่ม ชวนนอนหลับสบาย ส่วนช่วงค่ำก็ปาร์ตี้บาร์บีคิวกันซู่ซ่าหน้ารถบ้านแบบไพรเวทสุด ๆ ถ้าหากมาเที่ยวปราณบุรีที่นี่เป็นตัวเลือกอีกที่ที่น่าบอกต่อกันเลยค่า

                                Airstream Campsite Pranburi
                                Credit photo www.facebook.com/airstreamcampsitepranburi

                                Airstream Campsite Pranburi

                                Location: 169/19 หมู่ 3 ต.ปากน้ำปราณ อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์
                                Phone: 098 169 8212, 098 169 8393
                                Facebook: แอร์สตรีม แคมป์ไซต์ ปราณบุรี

                                #2 บรุคไซด์ วัลเล่ย์ รีสอร์ท, จ.ระยอง

                                บรุคไซด์ วัลเล่ย์ รีสอร์ท เปิดโซนรถบ้านรอบล้อมทะเลสาป ถึง 13 คัน มาถึงระยองถึงจะไม่ได้ฟีลทะเล แต่ก็ได้บรรยากาศที่โอบล้อมไปด้วยธรรมชาติที่แท้จริงบนพื้นที่กว่า 500 ไร่ แค่ได้มานอนพักสูดอากาศดี ๆ กลางเขาซักคืน ตื่นมาชมวิวสวย ๆ ก็คุ้มแล้วละคะ โดยที่พักรถบ้านแต่ละหลังก็จะมีพื้นที่ส่วนตัวให้ทำกิจกรรม ปาร์ตี้ ปิ้งย่าง ปิกนิกกันริมทะเลสาบ และบริเวณภายในบรุคไซด์ วัลเล่ย์ รีสอร์ท ก็ยังเป็นที่ตั้งของสตรอเบอรี่ ทาวน์ แหล่งท่องเที่ยวสุดฮิตที่โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมยุโรป พร้อมกับสวนดอกไม้นานาพรรณ ที่มีสะพานเดินเชื่อมให้ข้ามไปอีกฝั่งได้ พาเด็ก ๆ ไปเล่น ทำกิจกรรมมากมาย พร้อมกับมุมถ่ายรูปสวย ๆ เพียบถูกใจคุณแม่ด้วยแน่นอนค่ะ

                                Brookside Valley Resort
                                credit photo www.brookside.co.th

                                Brookside Valley Resort

                                Location: 6 หมู่ 5 ต.สำนักทอง อ.เมือง จ.ระยอง
                                Price: รถบ้านราคาเริ่มต้น 2,000 บาท /พัก 2 คน (ราคารวมอาหารเช้า)
                                Phone: 080 554 4477
                                Website:  www.brookside.co.th

                                #3 คาซ่า เดอ มอนทาน่า เขาใหญ่, จ.นครราชสีมา

                                มาถึงเขาใหญ่ หากพูดถึงการพักผ่อนที่ได้ฟีลลิ่งแคมปิ้งนอกจากนอนกางเต็นท์ก็คงเป็นคาราวานแคมป์ นอนในรถบ้านท่ามกลางป่าสีเขียวและขุนเขา ล้อมด้วยธรรมชาติที่หันไปทางไหนก็เจอแต่ท้องฟ้า ต้นไม้ ทำให้สูดโอโซนท่ามกลางอากาศบริสุทธิ์ ตื่นขึ้นมาก็รู้สึกสดชื่น แถมตอนกลางคืนยังได้วิวพระจันทร์สวย มองดาวได้เห็นชัดบนท้องฟ้าอีกด้วย คาซ่า เดอ มอนทาน่า ตอบโจทย์สุดกับรถบ้านสไตล์ Mobi Home ได้ฟีลแคมปิ้ง ซึ่งมีเพียง 5 หลัง แต่ละคันเว้นระยะห่างเพื่อความเป็นส่วนตัว มีพื้นที่ตรงกลางจัดแต่งเป็นแคมป์ไฟ ขนาดของรถมีสองขนาด คือ แบ่งพื้นที่ใช้สอยด้านในของ เป็นไปตามขนาดของตัวรถ คือ ขนาด 20ft. มีห้องนอนแต่ไม่มีส่วนของโซฟานั่งเล่น และขนาด 24ft. มีพื้นที่โซฟาและห้องนอน พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน พร้อมเตาบาร์บีคิวให้ปิ้งทาน ฟิวชั่นกับบรรยากาศดี ๆ บนเขา ให้ฟิลล์ Road Trip แบบแท้ทรูกันเลยค่า

                                Casa De Montana Khaoyai
                                Credit photo www.facebook.com/casademontana168

                                Casa De Montana Khaoyai

                                Location: 8/1 หมู่ 3 บ.ท่ามะปรางค์ ต.หมูสี อ.ปากช่อง
                                Price: รถบ้านราคาเริ่มต้น 3,000-3,300/ คืน (ราคารวมอาหารเช้า)
                                Phone:  088 353 2929
                                Facebook: คาซ่า เดอ มอนทาน่า

                                #4 แคมป์ เอาท์ โคราช, จ.นครราชสีมา

                                แคมป์ เอาท์ โคราช อีกหนึ่งที่พักสไตล์รถบ้านสุดชิคใกล้กรุง ขับรถเพียง 2:30 ชม. ก็พาเจ้าตัวเล็กมาเปิดบรรยากาศที่พักใหม่ ๆ ให้ได้ผ่อนคลายกันทั้งครอบครัวท่ามกลางบรรยากาศกรีน วิวธรรมชาติเรียบง่าย รถบ้านของที่นี่แต่ละคันจะมีสไตล์และขนาดที่แตกต่างกันไปทั้งหมด 7 คัน ด้านในไม่แคบไม่กว้าง แต่ไม่อึดอัด สามารถพักได้ 2-3 คนขึ้นอยู่กับขนาดของแต่ละคัน และที่สำคัญมีแอร์เย็นฉ่ำทุกคัน ทำให้การนอนพักผ่อนสบายมากกว่าที่คิด ภายในสวยด้วยไอเทม และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นที่นอน, เครื่องปรับอากาศ, ตู้เย็น, น้ำดื่ม, โซฟา, โต๊ะ, โทรทัศน์, ตู้เสื้อผ้า, ผ้าขนหนู, แปรงสีฟัน, ยาสีฟัน และสบู่ ฯลฯ ส่วนห้องน้ำนั้นอยู่ภายนอกรถบ้าน เรียกว่าจัดกระเป๋าแค่เสื้อผ้าและของใช่ส่วนตัวมาก็เข้าพักได้สบาย ๆ นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมที่ขนมาเอาใจทุกคนเต็มที่ทั้งปั่นจักรยาน ปั่นเรือเป็ด พายเรือ มีเสื้อชูชีพทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ทั้งหมดนี้เข้าพักแล้วไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมเลยจ้า และกิจกรรมยามเย็นสุดฮิตที่ขาดไม่ได้ก็คงจะเป็นปาร์ตี้บาร์บีคิว ที่จะชวนให้ทุกคนได้สัมผัสการตั้งแคมป์อย่างแท้จริง มาแล้วต้องได้รับความประทับใจกลับบ้านไปกันเลย

                                Camp Out Korat
                                Credit photo www.facebook.com/campoutkorat

                                Camp Out Korat

                                Location: 267 หมู่ 11 หมู่บ้านอ่างแก้ว ถ.โชคชัย-เดชอุดม ต.มะเกลือใหม่ อ.สูงเนิน จ.นครราชสีมา
                                Price: รถบ้านราคา 2,000 บาท/พัก 2-3 คน (ราคารวมอาหารเช้า + d.i.y ไข่กระทะ)
                                Phone: 065 626 9280, 084 103 1098
                                Facebook: แคมป์ เอาท์ โคราช

                                 

                                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                 

                                อ่านต่อ 8 ที่พักสไตล์รถบ้าน พาลูกไปนอนล้อมด้วยธรรมชาติ คลิกหน้า 2

                                  วิธีแก้อาการเบื่ออาหาร

                                  10 วิธีแก้อาการเบื่ออาหาร ทำยังไงให้ลูกกินข้าว?

                                  เมื่อลูกเบื่ออาหาร ไม่ยอมกินข้าว ทำให้พ่อแม่กังวลใจ มาดูกันว่าเพราะอะไรทำไมลูกถึงเบื่ออาหาร และ วิธีแก้อาการเบื่ออาหาร กันค่ะ

                                  10 วิธีแก้อาการเบื่ออาหาร ทำยังไงให้ลูกกินข้าว?

                                  ลูกไม่ยอมกินข้าว เป็นเรื่องที่พบได้บ่อยในทารกและเด็กเล็ก (รวมถึงเด็กโตในบางคน) ซึ่งปัญหาเหล่านี้ สร้างความกังวลใจให้กับคุณพ่อคุณแม่เป็นอย่างมาก ทีมแม่ ABK อยากบอกว่าอาการนี้เป็นเพราะพัฒนาการการเจริญเติบโตทั่วไปของเด็กค่ะ เมื่อทารกอายุประมาณ 9-11 เดือน จะไม่ต้องการให้พ่อแม่คอยป้อนอาหารให้ แต่อยากกินอาหารด้วยตัวเอง โดยเด็กแต่ละคนจะกินข้าวมากน้อยแตกต่างกันไป ในขณะที่เด็กบางคนยังคงอยากให้พ่อแม่ป้อนข้าวอยู่ และโดยทั่วไปแล้ว เมื่อเด็กอายุครบ 1 ปี จะเริ่มเรียนรู้การปฏิเสธหรือคายอาหาร เนื่องจากมีพัฒนาการด้านการเคลื่อนไหวร่างกาย สามารถหาและหยิบอาหารต่าง ๆ มากินได้เอง ลักษณะดังกล่าวจัดเป็นสัญชาตญาณที่ช่วยป้องกันตัวเองไม่ให้รับประทานอาหารที่มีสารพิษหรือเป็นอันตรายต่อร่างกายเข้าไป

                                  ลูกไม่กินข้าว
                                  ลูกไม่กินข้าว

                                  นอกเหนือจากพัฒนาการของเด็กแล้ว ยังมีสาเหตุอื่น ๆ ที่ทำให้ลูกเบื่ออาหาร ไม่ยอมกินข้าว ดังต่อไปนี้

                                  ทำไมลูกถึงไม่ยอมกิน เลือกกินข้าว?

                                  1. เคยถูกบังคับให้กิน ผู้ใหญ่ไม่ชอบถูกบังคับ เด็กก็ไม่ชอบถูกบังคับเช่นกัน แต่การบังคับให้กินนั้นอาจจะไม่ได้มาในรูปแบบของการจับยัดเข้าปาก แต่เป็นในรูปแบบของการใช้คำพูด น้ำเสียงต่าง ๆ ก็ได้เช่นกัน ลูกจึงพยายามต่อต้านนั่นเอง
                                  2. ให้ลูกกินมากจนเกินไป กระเพาะของเด็กและผู้ใหญ่นั้นแตกต่างกันมาก เด็กจะวิ่งเล่นและเผาผลาญพลังงานไปมาก จึงอาจจะมีการหิวระหว่างมื้อบ่อย แต่ในหนึ่งมื้อนั้นจะไม่สามารถทานได้เยอะ หากพ่อแม่กลัวว่าลูกจะไม่อิ่ม พยายามให้ลูกกินเยอะ ๆ จะทำให้ลูกรู้สึกทรมาน อึดอัดเวลาต้องกินอาหาร
                                  3. การทานอาหารเดิม ๆ ซ้ำ ๆ ผู้ใหญ่ยังเบื่อจะที่จะกินอาหารเดิม ๆ ซ้ำ ๆ เลยค่ะ เด็กก็เช่นกัน พ่อแม่บางคนกลัวว่าลูกจะกินลำบาก กลัวจะกินอาหารใหม่ ๆ ไม่ได้ อาหารบางประเภทที่ดูแล้วกินยาก ก็ไม่ให้ลูกกิน จึงทำแต่เมนูที่ทำแล้วมั่นใจว่าลูกจะกินได้ซ้ำ ๆ เด็กกินไป 2-3 ครั้งก็เริ่มเบื่อ
                                  4. ลูกเคี้ยวอาหารไม่เป็น สำหรับเด็กวัย 9 เดือนขึ้นไป พ่อแม่ควรจะทำอาหารให้หยาบขึ้นเพื่อฝึกให้ลูกเคี้ยวอาหาร จนเมื่อลูกอายุ 1-1.5 ขวบ ลูกควรจะเคื้ยวข้าว และอาหารทั่ว ๆ ไปได้แล้ว แต่หากพ่อแม่กลัวว่าลูกจะยังเคี้ยวไม่ได้ เลยไม่ฝึกให้ลูกเคี้ยวอาหารเลย ก็จะทำให้ลูกกินเป็นแต่อาหารที่เหลวหรืออาหารที่ต้องบด
                                  5. ลูกกำลังมีปัญหาสุขภาพ หากลูกไม่สบาย หรือปวดฟัน ความอยากอาหารจะลดน้อยลง ซึ่งพ่อแม่ต้องเข้าใจด้วยว่าเป็นธรรมชาติของเด็กที่ไม่สบายก็มักจะไม่อยากอาหารใด ๆ
                                  6. กินขนมหรือนมจนอิ่ม การให้ลูกกินขนม นม ระหว่างมื้ออาหาร หากไม่จำกัดปริมาณ จะทำให้ลูกกินเยอะเกินไปจนอิ่ม และไม่อยากทานอาหารเมื่อถึงเวลาอาหารได้
                                  7. เล่นสนุกจนลืมหิว หรือเล่นจนเหนื่อยเกินไป หลายครั้งที่เด็กเล่นจนเพลินจนไม่รู้สึกหิวเลยก็มี และการปล่อยให้ลูกเล่นมากเกินไปจนลูกเหนื่อย เมื่อเหนื่อยแล้วจะทำให้ไม่อยากอาหารเลยก็มี
                                  8. พ่อแม่ก็เลือกที่จะกินอาหารเหมือนกัน ปัญหาพ่อแม่ไม่กินผักหรือกินอาหารประเภทใด ลูก ๆ ก็มักจะไม่กินอาหารประเภทนั้นตามไปด้วย เพราะลูกจะจดจำสิ่งที่พ่อแม่ทำ ดังนั้นอย่าแปลกใจว่า ทำไมลูกของเราถึงไม่กินอาหารที่คุณเลือกไว้

                                   

                                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                  อ่านต่อ 10 วิธีแก้อาการเบื่ออาหาร ทำยังไงให้ลูกกินข้าว?

                                    ชุดหนังสือ เราคืออาเซียน

                                    ชุดหนังสือเรียนรู้ประเทศ ”อาเซียน” หนึ่งในหนังสือดี ของโครงการส่งความรู้ สร้างความสุขปี 2

                                    ชุดหนังสือ เราคืออาเซียน เป็นหนึ่งในชุดหนังสือดีที่เราเลือกมาแนะนำจากโครงการส่งความรู้ สร้างความสุข ปี 2 ที่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) และ บริษัทอมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) ร่วมมือกันเพื่อส่งมอบความรู้ด้วยหนังสือ และสนับสนุนให้เด็กไทยมีนิสัยรักการอ่าน โดยได้มอบชั้นหนังสือและหนังสือดีให้แต่ละโรงเรียนกว่า 1,000 เล่ม ใน 57 โรงเรียนทั่วประเทศ  และยังมีการจัดตั้งชมรมรักการอ่าน  ส่งเสริมให้น้องๆ เขียนบันทึกรักการอ่านในทุกโรงเรียนอีกด้วย

                                     

                                    ซึ่งชุดหนังสือ เราคืออาเซียน ชุดนี้ เป็นหนังสืออ่านเสริมความรู้นอกห้องเรียน ที่ได้รวมความรู้สำคัญและน่าสนใจเรื่องประชาคมอาเซียนและ 10 ประเทศสมาชิกมาให้ความรู้และเปิดโลก 10 ประเทศนี้แก่เด็ก  โดยหนังสือในชุดนี้มี 11 เล่ม ประกอบด้วย ประชาคมอาเซียน 1 เล่ม และแยกแต่ละประเทศ 10 เล่ม

                                    ชุดหนังสือ เราคืออาเซียน

                                    * ชุดหนังสือเราคืออาเซียน *

                                    ผู้เขียน : พัชรา โพธิ์กลาง สำนักพิมพ์ : อมรินทร์คอมมิกส์

                                    ชุดหนังสือเสริมความรู้ ภาพประกอบสี่สีน่ารักสดใส ให้ความรู้เกี่ยวกับประเทศต่างๆ ในอาเซียนแบบเข้าใจง่าย ไม่น่าเบื่อ ปูพื้นฐานการศึกษาให้เด็กได้เตรียมพร้อมเข้าสู่อาเซียน เพื่อรู้จักเรื่องราวหลากหลายของประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งข้อมูลพื้นฐานและเกร็ดความรู้มากมาย และเพื่อให้รู้ว่าอาเซียนคืออะไร มีความสำคัญอย่างไรต่อไปในอนาคต ภาพรวมอาเซียน มีเนื้อหาเกี่ยวกับประชาคมอาเซียน กฎบัตร เช่น อาเซียนคืออะไร สัญลักษณ์อาเซียน เพลงอาเซียน บทบาทของอาเซียนในเวทีโลก ความร่วมมือของประเทศต่างๆ ในอาเซียน

                                    ชุดหนังสือ เราคืออาเซียน

                                    ส่วนเล่มรายประเทศ 10 ประเทศ ได้แก่ ประเทศไทย มาเลเซีย พม่า เวียดนาม ลาว กัมพูชา สิงคโปร์ บรูไน อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มีเนื้อหาเกี่ยวกับข้อมูลพื้นฐานของประเทศนั้นๆ ได้แก่

                                    – ข้อมูลพื้นฐาน คือ ธงชาติ ตราแผ่นดิน ดอกไม้ประจำชาติ
                                    – ทำเลที่ตั้ง คือ พิกัด ภูมิอากาศ เทือกเขา แม่น้ำ ทรัพยากรธรรมชาติ
                                    – การเมืองการปกครอง ประวัติศาสตร์ รูปแบบการปกครอง
                                    – ทำมาค้าขาย คือ เศรษฐกิจการค้า สินค้านำเข้า ส่งออก ระบบเงินตรา
                                    – วิถีชีวิต เช่น วัฒนธรรมความเป็นอยู่ ภาษา อาหาร การแต่งกาย เทศกาลและประเพณีต่างๆ
                                    – สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์และสถานที่ท่องเที่ยวโดดเด่นของประเทศ
                                    – บุคคลสำคัญในประเทศ

                                     

                                    ติดตามข่าวความเคลื่อนไหวและร่วมสนับสนุนโครงการฯ ได้ทาง FB Fanpage : thehappyread และ www.thehappyread.com ร่วมส่งต่อความรู้โดย  ส่งต่อความรู้มอบหนังสือให้เด็กๆกับโครงการ ส่งความรู้สร้างความสุข ปี 2

                                    ชุดหนังสือ เราคืออาเซียน