Page 200 – AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

ที่ดูดน้ำมูก

ที่ดูดน้ำมูก เด็กและทารก ใช้อย่างไร? แบบไหนดี?

เมื่อลูกเป็นหวัดคัดจมูก หายใจได้ลำบาก คุณแม่ก็จะอยากเอาน้ำมูกที่ค้างอยู่ในจมูกลูกออก เพื่อให้หายใจได้โล่งขึ้น ที่ดูดน้ำมูก จึงเป็นอุปกรณ์ที่ใช้เป็นตัวช่วยแม่ ๆ ได้ดี

ที่ดูดน้ำมูก เด็กและทารก ใช้อย่างไร? แบบไหนดี?

ที่ดูดน้ำมูก มีกี่แบบ?

  1. ลูกยางแดง

การใช้ลูกยางแดง เหมาะกับเด็กเล็กที่มีน้ำมูกใส ไม่เหนียว ปริมาณไม่มาก ลูกยางแดงที่เป็นลูกยางทั้งอันคือส่วนปลายเป็นยางไม่ใช่พลาสติกจะช่วยดูดน้ำมูกในรูจมูก และดูดเสมหะที่โคนคอได้ การดูดเสมหะที่คอจะกระตุ้นให้เด็กไอช่วยขับเสมหะออกมาแล้วดูดเสมหะที่คอออก

วิธีใช้ลูกยางแดงดูดน้ำมูก

  1. ใช้มือข้างที่ถนัดจับลูกยางแดง บีบลมออกให้แฟบ เตรียมพร้อมที่จะดูด ขณะที่มืออีกข้าง จับหน้าเด็กให้เอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง (การจับให้เด็กหันหน้าไปด้านใดด้านหนึ่ง เป็นการป้องกันไม่ให้เด็กสำลักเอาน้ำลายหรืออาหารเข้าปอด หากขณะดูดน้ำมูกหรือเสมหะแล้วเด็กอาเจียนออกมาพร้อม ๆ กัน)
  2. สอดลูกยางแดงเข้าไปในรูจมูกทีละข้าง โดยสอดเข้าไปตื้นๆ พร้อมกับปล่อยมือช้าๆ น้ำมูกจะถูกดูดเข้ามาในลูกยางแดง
  3. ดึงลูกยางแดงออกจากรูจมูก บีบน้ำมูกที่ดูดมาได้ทิ้งในทิชชู หรือภาชนะที่เตรียมไว้
  4. ทำซ้ำ ๆ แบบเดิม และดูดน้ำมูกออกจนหมดในจมูกแต่ละข้าง

 

ลูกยางแดง
ลูกยางแดง

ข้อดี

  1. ราคาไม่แพง
  2. พกพาได้สะดวก
  3. มีแรงดูดมาก

ข้อเสีย

  1. ล้างทำความสะอาดยาก น้ำมูกที่ถูกดูดจะอยู่ในลูกยางแดง ทำให้ไม่รู้ว่าล้างน้ำมูกออกหมดหรือยัง มีคนเคยผ่าดูข้างในลูกยางแดง พบว่ามีเชื้อราอยู่
  2. ใช้วิธีควบคุมแรงดูดด้วยมือ ทำให้บางครั้งน้ำมูกถูกดูดออกมาแรงเกินไป ลูกอาจเจ็บได้
  3. ลูกยางแดงอาจทิ่มเยื่อบุจมูกลูกได้

 

2. เครื่องดูดน้ำมูกชนิดสายยาง

ที่ดูดน้ำมูกชนิดสายยาง ถูกออกแบบเพื่อขจัดปัญหาของการดูดช่วงสั้นในที่ดูดน้ำมูกแบบลูกยางและยังลดแรงดูดที่มากเกินไปในลูกยาง โดยใช้การดูดจากปากของแม่ซึ่งจะมีความต่อเนื่องกว่า สามารถควมคุมแรงดูดด้วยตนเอง น้ำมูกที่ถูกดูดออกมาจะถูกแยกเก็บใส่ขวด ง่ายต่อการมองเห็นและทำความสะอาด น้ำมูกจะไม่ไหลย้อนกลับ ปลายซิลิโคนนิ่ม ไม่ทำให้ลูกน้อยเจ็บโพรงจมูก

วิธีใช้ ที่ดูดน้ำมูก ชนิดสายยาง

  1. ล้างทำความสะอาดที่ดูดน้ำมูกก่อนใช้ทุกครั้ง
  2. เหน็บปลายเล็ก (ที่มีรูอากาศใหญ่กว่า) ไว้ที่ปากของแม่
  3. อุ้มทารกจัดท่าให้สบายและล็อคศีรษะให้คงที่
  4. นำปลายที่มีรูอากาศเล็กเรียวแตะบริเวณปลายจมูกของทารกเบา ๆ
  5. คุณแม่ดูดโดยการหายใจเข้าทางปากโดยควบคุมแรงดูดตามแต่คุณแม่ต้องการ
  6. ล้างทำความสะอาดโดยล้างถ้วยพบาสติก และสายยางโดยใช้น้ำผ่านรูอากาศทั้งสองรู
  7. เก็บไว้ที่สะอาด
ที่ดูดน้ำมูก แบบสายยาว
ที่ดูดน้ำมูกแบบสายยาว

ข้อดี

  1. สามารถควบคุมแรงดูดได้ด้วยตนเอง
  2. แรงดูดมีความต่อเนื่องกว่าที่ดูดน้ำมูกแบบลูกยางแดง
  3. น้ำมูกไม่ไหลย้อนกลับ

ข้อเสีย

  1. คุณพ่อคุณแม่เสี่ยงต่อการติดหวัดจากลูก

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

อ่านต่อ ที่ดูดน้ำมูกเด็กและทารก ใช้อย่างไร? แบบไหนดี?

    ผ้าอ้อมสำเร็จรูป

    เลือก ผ้าอ้อมสำเร็จรูป อย่างไรให้ถูกใจลูก สบายตัวทั้งวัน หลับสบายทั้งคืน

    ผ้าอ้อมสำเร็จรูป เป็นของใช้อันดับแรกๆ ที่คุณพ่อคุณแม่รุ่นใหม่เลือกช้อปไว้ให้ลูกน้อย โดยเฉพาะวัยขวบปีแรกที่ลูกน้อยยังขับถ่ายเองไม่เป็น ขณะที่วัยนี้ก็มีพัฒนาการด้านต่างๆที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ผ้าอ้อมสำเร็จรูปที่ใช้จึงต้องเหมาะสมกับลูกในแต่ละช่วงวัยด้วยเพื่อให้เขารู้สึกสบายตัว อารมณ์ดีตลอดวัน ซึ่งส่งผลต่อทั้งสุขภาพกายและใจของลูกน้อย

    แต่จะรู้ได้อย่างไรว่า ผ้าอ้อมสำเร็จรูป ใช้แล้วจะไม่เกิดอาการแพ้ระคายเคือง ซึมซับเร็ว แห้งไว ลูกรู้สึกสบายตลอดเวลาที่ใส่ ไม่ว่าจะเป็นกลางวัน หรือกลางคืน ตามมาดูคำแนะนำดีๆ กันเลยค่ะ

    ต้องยอมรับว่า พ่อแม่สมัยใหม่นิยมใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูปกันมากขึ้น เพราะพกพาง่าย ใช้สะดวก ช่วยประหยัดเวลาซักทำความทำความสะอาด ช่วยให้คุณแม่เหนื่อยน้อยลง มีเวลาดูแลลูกน้อยได้อย่างเต็มที่ แต่คุณแม่หลายคนประสบปัญหาว่าพอให้ลูกใส่ผ้าอ้อมตลอดวันกลับเป็นผื่นแดงเป็นปื้นหรือที่เรียกว่า “ผื่นผ้าอ้อม” ทำให้ลูกร้องงอแง ไม่สบายตัว หรือผ้าอ้อมซึมซับได้ไม่ดีพอ จึงต้องเปลี่ยนบ่อย สิ้นเปลืองมากขึ้น

    โดยเฉลี่ยลูกน้อยแรกเกิดจะปัสสาวะบ่อยเกือบทุกๆ  20 นาที หรือราว 10 -15 ครั้งต่อวัน แต่ะจะถ่ายครั้งละไม่มากเพราะกระเพาะปัสสาวะยังเล็ก เมื่อโตขึ้นความถี่จะน้อยลงเรื่อยๆ ช่วง 5-6 เดือนจะปัสสาวะ 9 – 12 ครั้งต่อวัน ช่วง 6-8 เดือน ปัสสาวะ  8 – 10 ครั้งต่อวัน จากนั้นครบ 1 ขวบปีแล้วจะปัสสาวะเหลือเพียง  6-8 ครั้งต่อวันเท่านั้น (ไม่นับรวมที่ลูกถ่ายอุจจาระที่คุณแม่ต้องเปลี่ยนผ้าอ้อมใหม่ทุกครั้ง) การใส่ผ้าอ้อมสำเร็จรูป คุณภาพดีจึงช่วยให้รองรับปัสสาวะได้มากขึ้นโดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนทุกครั้ง

    ผ้าอ้อมสำเร็จรูป

    วิธีการเลือก ผ้าอ้อมสำเร็จรูป คุณภาพเยี่ยมให้ลูกใส่แล้วสบายตัว

    • เลือกชนิดและขนาดของผ้าอ้อมให้เหมาะกับวัยของลูก โดยใช้น้ำหนักตัวเป็นเกณฑ์ตัดสิน ไม่ใช่อายุ เพราะเด็กวัยเดียวกันอาจมีน้ำหนักต่างกันได้ เช่น เบบี๋น้ำหนักแรกเกิด – 8 กิโลกรัม ควรใช้ชนิดเทปกาว เพราะลูกยังไม่หัดคลาน หรือยืน แม่จึงใส่ได้สะดวก ช่วงน้ำหนักแรกเกิด – 5 กิโลกรัม สามารถใช้แบบ Newborn ได้ เมื่อน้ำหนักลูกอยู่ที่ 6-8 กิโลกรัมจะเหมาะกับไซส์ S มากกว่า
    • ถ้าลูกน้ำหนักตั้งแต่ 7 กิโลกรัมขึ้นไปสามารถใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูปแบบกางเกงได้ เพื่อให้เหมาะกับพัฒนาการด้านร่างกายที่เคลื่อนไหวมากขึ้น
    • แม้ผ้าอ้อมยังไม่ตุง ไม่เต็ม แต่ควรเปลี่ยนตามเวลาที่ระบุไว้ข้างฉลากผลิตภัณฑ์ เพื่อไม่ให้หมักหมมจนติดเชื้อได้
    • ที่สำคัญ เมื่อถึงเวลาต้องเปลี่ยนทุก 2-3 ชั่วโมงหรือเมื่อลูกถ่ายอุจจาระ ควรเปลี่ยนผ้าอ้อมทันที และใช้เพียงครั้งเดียวทิ้ง อย่าเสียดายนำกลับมาใช้ซ้ำเป็นอันขาด
    • เลือกผ้าอ้อมสำเร็จรูปที่ซึมซับดี แห้งเร็ว ลูกรู้สึกสบายไม่เฉอะแฉะ
    • เลือกผ้าอ้อมที่ใช้วัสดุไม่ระคายเคืองผิว นุ่มสบาย ไม่ทำให้เกิดแผลกดทับ โดยเฉพาะบริเวณ ขาหนีบ โคนขา และขอบเอว
    • หลีกเลี่ยงผ้าอ้อมที่ใส่น้ำหอม หรือกาวชนิดที่ก่อให้เกิดอาการแพ้

    Amarin Baby & Kids Awards 2019 ยกให้ Cherry Baby เป็น ผ้าอ้อมสำเร็จรูป ที่ได้รับรางวัล Editor’s Choice Best Disposable Diaper

    Cherry Baby (เชอร์รี่ เบบี้) เป็นแบรนด์ผ้าอ้อมสำเร็จรูปน้องใหม่ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของแม่ยุคใหม่ และแก้ไขปัญหาของการใส่ผ้าอ้อมของลูกน้อยในทุกวัย ด้วยผลิตภัณฑ์ Cherry Baby SPEED DRY 4G รุ่นNB เทคโนโลยีใหม่จากประเทศญี่ปุ่นในการผลิต  เพื่อให้ลูกใส่แล้วรู้สึกผ่อนคลายตลอดวัน ทั้งลักษณะของผืนผ้าที่บางเฉียบเพียง 3 มิลลิเมตร เบาสบาย ลูกวัยเบบี๋ใส่แล้วไม่รู้สึกหนักหรืออึดอัด แต่กลับซึมซับดีเยี่ยม แห้งไว และรองรับปัสสาวะของลูกน้อยมากสุดเทียบเท่ากับน้ำ  8 แก้วทีเดียว ด้วยเทคโนโลยีแบบ 3D Leak Guard มาพร้อมแผ่นเจล ZAP 2 ชั้นที่ดูดซับและกระจายของเหลวออกทันที ลูกจึงไม่รู้สึกสบาย ไม่เปียกชื้น

    เนื้อผ้าอ้อมทำจากผ้าฝ้ายอย่างดี จึงมีความอ่อนนุ่ม ไม่ระคายเคือง แถมยังช่วยระบายอากาศได้ 360 องศา โดยเฉพาะบริเวณก้นที่มีรูระบายอากาศแบบรังผึ้ง อากาศจึงถ่ายเทได้ดีเหมาะกับลูกวัยแบเบาะ ที่ยังนอนนิ่งๆ เคลื่อนไหวเองไม่ได้ ขอบผ้าอ้อมยกสูงโอบกระชับลำตัว แต่ไม่รัดขาจนอึดอัด ขอบขาเป็นการเย็บตะเข็บออกด้านนอก จึงไม่เสียดสีให้เกิดรอยแดง

    รูปทรงของ ผ้าอ้อมสำเร็จรูป Cherry Baby จะแตกต่างจากแบรนด์อื่นๆในตลาดตรงที่การออกแบบรูปทรงให้เป็นรูปตัว U ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เพื่อพยุงน้ำหนักของเจลซึมซับเอาไว้ ไม่ทำให้ผ้าอ้อมตุงห้อยที่หว่างขา นอกจากนี้ยังใส่ใจกับส่วนประกอบเล็กๆ อย่างแถบกาวที่ทำจากผ้าฝ้าย จึงอ่อนนุ่ม สามารถติดซ้ำได้หลายครั้ง พร้อมแถบวัดความเปียกชื้นด้านหน้าให้คุณแม่สังเกตรู้ทันทีเมื่อต้องเปลี่ยนผ้าอ้อม และมีเทปสำหรับม้วนทิ้งได้สะดวก

    ผ้าอ้อมสำเร็จรูป

     

    Cherry Baby มีทั้งผ้าอ้อมแบบแถบกาว และแบบกางเกง เลือกไปใส่ในเหมาะกับลูกน้อยแต่ละวัย แถมยังมีหลายขนาดตั้งแต่ห่อเล็กสุด 24 ชิ้นเหมาะสำหรับพกพา และห่อใหญ่ 304 ชิ้น ซื้อติดบ้านไว้ใช้กันยาวๆ ถึงจะเป็นแบรนด์ใหม่ก็หาซื้อได้สะดวกตามร้านสะดวกซื้อ และซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำทั่วไป

    ทาง Amarin Baby & Kids “เครือข่ายแม่ลูกใหญ่ที่สุด” ผู้นำด้านคอนเทนต์คุณภาพ เข้าใจครอบครัวไทย และตอบสนองความต้องการของคุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ จึงคัดเลือกให้ผ้าอ้อมสำเร็จรูป Cherry Baby ได้รับ รางวัล Editor’s Choice  Best Disposable Diaper จาก “Amarin Baby & Kids Awards 2019” ซึ่งมอบให้กับสินค้าแม่ลูก “สินค้าใช้ดี และมีประโยชน์จริง”

     

    คุณแม่ที่สนใจผลิตภัณฑ์สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/CherryBabyThailand/

     

    อ่านบทความ Amarin Baby & Kids Awards 2019 

    ประกาศผลรางวัล Amarin Baby & Kids Awards 2019 สุดยอดแบรนด์สินค้าแม่และเด็กในดวงใจ

     

    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

     

      โรงเรียนนานาชาติ

      แนะนำ 3 หลักสูตร โรงเรียนนานาชาติ ทำความรู้จักก่อนส่งลูกเข้าเรียน

      มีการศึกษาวิจัยพบว่า หากต้องการให้ลูกหลานพัฒนาทักษะด้านภาษาให้ดีเทียบเท่ากับเจ้าของภาษาควรส่งเสริมให้ลูกได้เริ่มต้นก่อนอายุ 10 ขวบ โดยผู้ปกครองส่วนใหญ่ก็มีความสนใจ โรงเรียนนานาชาติ เป็นตัวเลือกสำหรับการส่งลูกเข้าโรงเรียน

      โรงเรียนนานาชาติ เป็นโรงเรียนที่อ้างอิงหลักสูตรการสอนจากต่างประเทศ มีการเรียนการสอนเหมือนประเทศเจ้าของหลักสูตร โดยมีการปรับรายละเอียดเนื้อหารายวิชาใหม่หรือหลักสูตรที่จัดทำขึ้นเอง ไม่อิงหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ และเน้นการใช้ภาษาต่างประเทศเป็นสื่อการเรียนการสอนให้กับนักเรียน มีการเรียนการสอนที่แตกต่างไปจากระบบหลักสูตรไทย แต่ก็ยังคงมีวิชาภาษาไทยมาเป็นวิชาบังคับ อย่างไรก็ตาม จุดแข็งของการให้ลูกเข้าเรียนโรงเรียนประเภทนี้คือ ได้ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารกับทุกคนภายในโรงเรียนและได้รับการปลูกฝังวัฒนธรรมในระดับสากล

      แนะนำ 3 หลักสูตร โรงเรียนนานาชาติ ทำความรู้จักก่อนส่งลูกเข้าเรียน

      สำหรับหลักสูตรของ โรงเรียนนานาชาติ ในประเทศไทยที่ใช้กันมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ หลักสูตรการศึกษาหลักของอังกฤษ (UK) หลักสูตรการศึกษาของอเมริกา (US) และหลักสูตรนานาชาติ International Baccalaureate (IB) โดยในแต่ละโรงเรียนก็จะมีรูปแบบการจัดการเรียนการสอนที่มีคุณลักษณะและการบูรณาการให้มีจุดเด่นที่แตกต่างกันไป

      โรงเรียนนานาชาติหลักสูตรอังกฤษ
      โรงเรียนนานาชาติหลักสูตรอังกฤษ

      1.หลักสูตรแห่งสหราชอาณาจักรอังกฤษและเวลส์ หรือ ระบบอังกฤษ

      มีรูปแบบการสอนและแบบเรียนตามกฏตามกระทวงศึกษาธิการของประเทศอังกฤษ โดยหลักสูตรจะเน้นการใช้ภาษาที่ถูกต้อง และเน้นการเรียนมากกว่ากิจกรรม เมื่อเรียนถึงชั้นมัธยมตอนต้นก็จะใช้หลักสูตรที่เรียกว่า International General Certificate of Secondary Education (IGCSE) ซึ่งจะเรียนราว 8-9 วิชา เป็นวิชาบังคับอย่างน้อย 3 วิชา ได้แก่ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ โดยข้อสอบ IGCSE จะเป็นข้อสอบสากลที่ใช้สอบร่วมกันทั่วโลก จากนั้นนักเรียนที่ต้องการจะศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ ต้องเรียนต่อในระดับช่วงชั้นที่ 5 หรือที่เรียกว่า Sixth Form นักเรียนเลือกเรียนเฉพาะวิชาที่จะใช้ในการสมัครเรียนต่อในระดับอุดมศึกษาหลังจบหลักสูตร 2 ปีสุดท้าย สำหรับการแบ่งช่วงชั้นเรียนของหลักสูตรแบบอังกฤษจะเรียกระดับชั้นเป็น Year กำหนดให้อยู่ระหว่างอายุ 5-16 ปี ได้แก่

      • Early Years (สำหรับเด็กอายุ 3-5 ขวบ)
      • ช่วงชั้นที่ 1 อายุ 5-6 ปี (year 1-2)
      • ช่วงชั้นที่ 2 อายุ 7–10 ปี ( year 3 – year 6)
      • ช่วงชั้นที่ 3 อายุ 11–13 ปี (year 7 – year 9)
      • ช่วงชั้นที่ 4 อายุ 14–16 ปี (year 10 – year 11) และจะต้องสอบเพื่อเข้าเรียนหลักสูตร A-Level 2 ปีเพื่อเตรียมตัวเรียนต่อในมหาวิทยาลัย
      โรงเรียนนานาชาติหลักสูตรอเมริกัน
      โรงเรียนนานาชาติหลักสูตรอเมริกัน

      2.หลักสูตรระบบอเมริกัน

      การสอนและบทเรียนจะใช้ตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการของประเทศสหรัฐอเมริกา มีหลักการที่สำคัญ คือ คำนึงถึงความต้องการของผู้เรียนเป็นสำคัญ เน้นการสร้างความรู้ โดยผ่านกิจกรรมต่าง ๆ โดยโรงเรียนส่วนใหญ่จะจัดการวัดผลรายวิชาเป็นการภายใน เพื่อให้นักเรียนสะสมหน่วยกิตเพียงพอแก่การจบหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานตามระบบการศึกษาแบบอเมริกัน การเรียนการสอนตามหลักสูตรนี้เริ่มที่อายุ 5 ปี หรือในบางโรงเรียนก็เปิดรับนักเรียนในระดับเตรียมอนุบาล (Pre-school อายุ 3-5 ปี ซึ่งไม่ได้เป็นการศึกษาภาคบังคับ) โดยเรียกระดับชั้นป็น Grade ซึ่งจะแบ่งดังนี้

      • ระดับอนุบาล kindergarten (KG)
      • ระดับประถมศึกษา Elementary School (Grades 1-5)
      • มัธยมศึกษาตอนต้น Middle School (Grades 6-8)
      • มัธยมศึกษาตอนปลาย High School (Grades 9-12) หลังจากนั้นนักเรียนจะต้องเตรียมตัวสอบวัดระดับที่เรียกกันว่า SAT เพื่อใช้ศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย

       

      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

      อ่านต่อ ส่งลูกเข้าโรงเรียนนานาชาติควรวางแผนอย่างไร คลิกหน้า 2

        นิทานสำหรับเด็ก 0-3 ปี

        บอกต่อจ้าแม่!! 50 นิทานสำหรับเด็ก 0-3 ปี ที่ควรอ่านให้ลูกฟังก่อนนอน

        เซลล์สมองของลูกน้อยจะเติบโตได้ดีในช่วงวัย 3  ขวบปีแรก นี่เป็นเหตุผลที่แม่ ๆ ใส่ใจในการเลือกหนังสือมาอ่านให้ลูกเพื่อเสริมสร้างพัฒนาการของเจ้าตัวน้อย ทีมแม่ ABK มี นิทานสำหรับเด็ก 0-3 ปี ที่คัดสรรมาให้เหมาะสำหรับลูกน้อยวัยนี้ ให้คุณพ่อคุณแม่ได้อ่านนิทานให้ลูกฟังกันนะคะ

        การเลือกหนังสือให้เหมาะสมกับวัยและประสบการณ์ของเด็กจัดว่าเป็นสิ่งจําเป็น ที่จะได้รับผลลัพธ์ที่ดีแตกต่างกัน หนังสือนิทานสำหรับเด็กวัย 0-3 ปี ที่คุณพ่อคุณแม่เลือกที่จะอ่านให้เจ้าตัวน้อยฟัง ควรเน้นเป็นหนังสือภาพ มีสีสันสดใสหรือจะเป็นสีอบอุ่นนุ่มนวลตามแต่เนื้อเรื่องก็ไดเ เน้นเรื่องราวง่าย ๆ เกี่ยวกับสัตว์ สิ่งของ หรือเรื่องราวในชีวิตประจำวัน และเป็นประโยคสั้น ๆ มีคำคล้องจองเพื่อให้เจ้าตัวน้อยได้จดจำได้ง่าย เพราะเด็กในวัยนี้เป็นเริ่มมีพัฒนาการด้านการมองเห็นชัดขึ้น หนังสือจึงเปรียบเสมือนของเล่นที่จับต้องได้ และจะดึงดูดความน่าสนใจและสนุกมากขึ้นเมื่อเปิดหนังสือแล้วได้เห็นรูปภาพต่าง ๆ ที่เคยเห็นในชีวิตจริง

        บอกต่อ นิทานสำหรับเด็ก 0-3 ปี ที่คัดมาแล้วว่าดี

        จริง ๆ แล้วหนังสือที่ดีที่สุดหรับเด็กก็คือ หนังสือที่ลูกชอบ “เล่มไหนก็ได้” แต่หนังสือดีก็ย่อมที่จะนำมาบอกต่อค่ะ นี่คือ หนังสือนิทานที่แนะนำโดย “สมาคมไทสร้างสรรค์” สำหรับเด็กวัย 0-3 ขวบ ลองดูรายชื่อหนังสือด้านล่างและเรื่องย่อคร่าว ๆ เผื่อว่าบ้านไหนยังไม่มี ลองเก็บลิสต์เอาไว้ไปซื้อมาอ่านให้เจ้าตัวน้อยฟังกันนะคะ

        หนังสือดีครูชีวัน

        กระดุ๊ก กระดิ๊ก กระด๊อก กระแด๊ก คลิก
        ก ไก่ ไข่ สนุก คลิก
        ก๊อก ก๊อก ขอค้างหนึ่งนะ คลิก
        ของเล่นเดินทาง คลิก
        ขอหนูหลับหน่อย คลิก
        เค้าโมงหลบมุม คลิก
        คุณฟองฟันหลอ คลิก
        คุณฟองนักแปรงฟัน คลิก
        คลึ่งวงกลม สีแดง คลิก
        คุณกลม ๆ เล็ก ๆ คลิก

        หนังสือสำหรับเด็ก 0-3 ขวบ

        คุณตาหนวดยาว คลิก
        จ้อยมาหาพะจันทร์ คลิก
        ฉันแก่กว่าใคร คลิก
        ที่อยู่ของใคร คลิก
        ตด, อึ คลิก
        น้องส้มโอกับพี่หลอดไฟ คลิก
        ตัวเลขทำอะไร คลิก
        บ้านใบไม้ คลิก
        พระจันทร์อร่อยไหม คลิก
        ราชสีห์กับหนู คลิก

        หนังสือที่เหมาะกับวัย 0-3 ปี
        หนังสือที่เหมาะกับวัย 0-3 ปี

        รองเท้าสีแดง คลิก
        ลูกหมีทายอะไรเอ่ย คลิก
        เล่นกลางแจ้ง, เล่นในป่า, เล่นริมน้ำ คลิก
        เล่นแปลงกาย คลิก
        ลายของใคร คลิก
        เพื่อนใหม่ของลุงหมี คลิก
        มดสิบตัว คลิก
        เม่นหลบฝน คลิก
        แมวขี้กลัวกับแม่มดตัวเล็ก คลิก
        มิฟฟี่ไปโรงเรียน, มิฟฟี่เที่ยวสนามเด็กเล่น คลิก

        หนังสือนิทานสําหรับลูกน้อย
        หนังสือนิทานสําหรับลูกน้อย

        มากินข้าวด้วยกันนะ, อาบน้ำด้วยกันนะ คลิก
        เศรษฐีชาวนาและจอมพลัง คลิก
        หนังสือชุด “น้องหมี” คลิก
        หนังสือชุด “หนูนิด” คลิก
        อนุบาลช้างเบิ้ม คลิก
        อีเล้งเค้งโค้ง คลิก
        อาหารของใคร คลิก
        ทาโร่เดินทาง คลิก
        วันอังคาร คลิก
        ลูกสัตว์น่ารัก คลิก

        หนังสือนิทานสําหรับปฐมวัย
        หนังสือนิทานสําหรับปฐมวัย

        คุณตา คลิก
        คุณหมอเดอโซโต คลิก
        หนูนักระบายสี คลิก
        คอร์ดูรอย คลิก
        เดินเล่นในป่า คลิก
        เมล็ดแครอต คลิก
        แบ่งฉันบ้างซิ คลิก
        เมี้ยว คลิก
        เจี๊ยบ เจี๊ยบ อยากเหมือนแม่ คลิก
        ขอบคุณ
        คลิก

        มีผลจากการศึกษาจากทั่วโลก ชี้ชัดมานานแล้วว่า การอ่านหนังสือให้ลูกฟังมีประโยชน์หลายอย่าง ทั้งพัฒนาการและทักษะทางด้านภาษา และการนำเด็ก ๆ ไปสู่ความดีงามในชีวิต ผู้ใหญ่ที่อ่านหนังสือให้เด็กฟังตั้งแต่เล็ก ๆ มีโอกาสประสบความสำเร็จในการเรียน มีความคิดอ่านเป็นของตัวเอง สามารถแยกแยะสิ่งผิดออกจากสิ่งที่ถูกได้ ช่วยให้เข้าใจความแตกต่างหลากหลายของโลกใบนี้ และเป็นคนที่ดีในสังคมได้ ก่อนนอนคืนนี้เลือกหนังสือเล่มโปรดของลูกซักเรื่องมานอนอ่านให้เจ้าตัวน้อยฟังกันนะคะ.

        ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงและภาพประกอบจาก: taiwisdom.org

        อ่านต่อบทความอื่นที่น่าสนใจ:

        โหลดฟรี! 12 นิทานคุณธรรมสำหรับเด็ก บ่มเพาะ “ความดี” ในใจลูก

        โหลดฟรี! 100 นิทานก่อนนอนสำหรับเด็ก อ่านให้ลูกฟังทุกคืนมีแต่ได้กับได้

         

        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

         

          ลูกวัยก่อนเรียน

          6 พฤติกรรม ลูกวัยก่อนเรียน กับปัญหาที่พ่อแม่มือใหม่เตรียมรับมือ!

          ลูกวัยก่อนเรียน หรือเด็กวัย 3-6 ปี ในช่วงวัยอนุบาล ถือว่าเป็นวัยที่สำคัญหนึ่งของชีวิต เพราะในช่วงนี้คุณพ่อคุณแม่จะเห็นพัฒนาการหลายด้านที่ก้าวหน้าขึ้น รวมถึงปัญหาพฤติกรรมที่จะเกิดขึ้นด้วย

          เด็กในวัยนี้เป็นช่วงที่เริ่มมีพัฒนาการหลายด้านก้าวหน้าขึ้น ทั้งด้านความคิด ภาษา การ สื่อสาร ด้านกล้ามเนื้อ การเคลื่อนไหว และการช่วยเหลือตนเอง เริ่มที่จะช่วยเหลือตัวเองได้ มีความเป็นอิสระ และแสดงเป็นตัวของตัวเอง ที่แสดงออกมาในรูปของการเอาแต่ใจได้เช่นกัน อีกทั้งยังเป็นวัยที่เริ่มก้าวสู่การเข้าสังคม ได้เรียนรู้การอยู่ร่วมกับผู้อื่น และได้เปิดประสบการณ์ภายนอกบ้านมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็มีพฤติกรรมใหม่ ๆ ที่จะเกิดขึ้นได้ตามช่วงวัย เป็นสิ่งที่พ่อแม่มือใหม่ควรรู้และเตรียมพร้อมที่จะรับมือต่อไปกันคะ

          6 พฤติกรรม ลูกวัยก่อนเรียน กับปัญหาที่พ่อแม่มือใหม่เตรียมรับมือ!

          1.ตื่นงอแงกลางดึก

          ลูกในวัยนี้ยังคงเป็นเด็กเล็กที่อาจจะตื่นขึ้นมางอแงกลางดึก ฝันร้าย กลัว และไม่อยากเข้านอนอีก เนื่องจากในตอนกลางวันใช้เวลาเล่น และใช้พลังในการเล่นมากเกินไป ทำให้ตกค้างอยู่ที่จิตสำนึกแล้วเกิดฝันร้าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เด็กวัยนี้จะเริ่มต่อต้านการนอนกลางวัน เพราะเจ้าตัวเล็กเริ่มกลายเป็นนักสำรวจที่ชอบดูสิ่งรอบตัว สนุกกับการเล่นราวกับไม่รู้จักเหนื่อย การนอนกลางวันจึงไม่ใช่เรื่องสนุกในสายตาของเด็ก ๆ บางคนไม่ยอมนอนเลย บางคนนอนบ้างบางวัน แต่เด็กบางคนก็ยังนอนกลางวันได้ทุกวัน ทั้งนี้แล้วแต่พฤติกรรมการนอนของเด็กแต่ละคน

          ดังนั้นในช่วงเวลากลางวันพ่อแม่ควรแบ่งเวลาเล่น และจัดสรรให้นอนกลางวัน หรือในช่วงที่ลูกไปโรงเรียนอนุบาลก็จะมีเวลานอนกลางวันเพื่อให้เด็กได้พักผ่อนหลังจากที่ทำกิจกรรมจนเหนื่อย ซึ่งรวมแล้วแต่ละวันลูกควรนอนให้ได้ราว 11 – 12 ชั่วโมง คุณพ่อคุณแม่ควรสร้างวินัยการนอนให้เป็นกิจวัตรประจำวัน หากลูกตื่นกลางดึกก็ควรสร้างบรรยากาศการนอนขึ้นใหม่ ฟังลูกเล่าเรื่อง และปลอบโยนพูดคุยเพื่อให้ลูกสงบ และเข้านอนหลับอย่างเต็มอิ่มจนถึงตอนเช้า การนอนอย่างเพียงพอจะทำให้ลูกมีอารมณ์ดีขึ้น สร้าง Growth Hormone เพื่อให้ร่างกายเจริญเติบโต มีสุขภาพที่ดีสมวัย

          2.ชอบดูดนิ้ว

          ลูกชอบดูดนิ้วมือ
          ลูกชอบดูดนิ้วมือ

          ลูกชอบดูดนิ้วมือเป็นการสร้างความพอใจหรือระบายความเครียด การดูดนิ้วในเด็กอายุ 1 ปี เป็นพฤติกรรมที่ปกติ และนิสัยดูดนิ้วมือสามารถเลิกได้เองในช่วงอายุ 2-4 ปี แต่หากสังเกตว่าลูกยังมีพฤติกรรมชอบดูดนิ้วจริงจังช่วงอายุ 4-5ปี และยังคงดูดอยู่อย่างต่อเนื่องจะทำให้เกิดความผิดปกติที่มีผลต่อฟันแท้รุนแรงขึ้น มีการจัดเรียงผิดปกติ เช่น อาจเกิดการซ้อนทับกัน ฟันยื่นไปข้างหน้า ฟันยื่นเข้าลึก ฟันห่างกัน เป็นต้น หากสังเกตว่าลูกชอบดูดนิ้ว ควรรีบแก้สถานการณ์นั้นทันที

          รศ.ทพญ.ประภาศรี ริรัตนพงษ์ คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ให้คำแนะนำการปรับพฤติกรรมนิสียดูดนิ้วเด็กไว้ว่า “หากลูกดูดนิ้วในช่วงที่เหงาหรือกังวล คุณพ่อคุณแม่ควรแสดงความรักโดยการโอบกอด ให้ความมั่นใจ และเบี่ยงเบนความสนใจลูกไปจากการดูดนิ้วโดยหากิจกรรมที่ต้องใช้มือหรือปากให้ลูกทำ หากลูกดูดนิ้วก่อนนอนอาจเป็นเพราะลูกพยายามกล่อมตัวเองให้หลับ คุณพ่อคุณควรหานิทานมาอ่าน ร้องเพลง โอบกอดกล่อมลูกเข้านอน” การแก้ไขปัญหารดูดนิ้วของเด็กวัยก่อนเรียน พ่อแม่มีส่วนสำคัญที่จะช่วยให้เจ้าตัวเล็กลดการดูดนิ้วลงได้

          3.ฉี่รดที่นอน

          ลูกชอบฉี่รดที่นอน
          ลูกชอบฉี่รดที่นอน

          การปัสสาวะรดที่นอนสำหรับเด็กช่วงอายุ 3-4 ปีถือเป็นเรื่องธรรมดา เด็กบางคนอาจฉี่รดที่นอนทุกคืนจนอายุ 4-5 ปี ถึง และก็จะสามารถหยุดไปเองได้ในที่สุด ซึ่งตามปกติเด็กที่มีอายุมากกว่า 4 ปีจะสามารถควบคุมการขับถ่ายได้แล้ว แต่ถ้ายังพบว่าลูกยังฉี่รดที่นอนอยู่ สาเหตุอาจเกิดได้จากปัญหาทางจิตใจ เจ้าตัวเล็กอาจจะเกิดความกลัว วิตกกังวล เครียดจากเรื่องคับข้องใจต่าง ๆ เช่น การเริ่มเข้าโรงเรียน การถูกพลัดพรากจากแม่ การมีน้องใหม่ หรือการนอนหลับไม่สนิท เป็นต้น หรือเกิดจากปัญหาทางร่างกายที่เกิดจากความไม่สมดุลของปัสสาวะ (การหลั่งฮอร์โมน ADH ไม่เพียงพอ) ขณะนอนหลับกับขนาดของกระเพาะปัสสาวะ ทำให้กลางคืนฉี่รดออกมา แต่วิธีช่วยลูกไม่ให้ฉี่ดรดที่นอนแก้ได้ไม่ยากค่ะ (อ่านต่อ วิธีแก้ปัญหาลูกฉี่รดที่่นอนเป็นประจำ)

           

          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

          อ่านต่อ 6 พฤติกรรมพบบ่อยในเด็กวัย 3-6 ปี คลิกหน้า 2

            โรงเรียนเตรียมอนุบาล

            ข้อดี vs ข้อเสีย ส่งลูกเข้า โรงเรียนเตรียมอนุบาล

            ช่วงเวลาที่คุณพ่อคุณแม่ต้องมากังวลอีกช่วงหนึ่งคือการตัดสินใจส่งลูกเข้า โรงเรียนเตรียมอนุบาล ในช่วงวัยก่อนเรียนดีหรือไม่ จำเป็นมั้ย บ้านไหนกำลังสับสนหรืออยู่ในช่วงตัดสินใจมาลองอ่านบทความนี้กันค่ะ

            เหตุผลที่พ่อคุณแม่ส่วนใหญ่ตัดสินใจที่จะส่งลูกน้อยเข้าเตรียมอนุบาล ที่พบบ่อยก็คือ หน้าที่การงานที่จำเป็นจึงต้องมองหาที่สำหรับดูแลลูกน้อยในตอนกลางวัน และการให้ลูกเข้าเรียนเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับวัยอนุบาล กลัวลูกเรียนไม่ทัน กลัวลูกไม่มีสังคม ก่อนที่จะตัดสินใจให้ลูกน้อยไปโรงเรียนลองพิจารณาถึงข้อดีและข้อเสียกันค่ะ

            ส่งลูกเข้า โรงเรียนเตรียมอนุบาล ข้อดี vs ข้อเสีย ที่แม่ควรรู้

            ข้อได้เปรียบของการส่งลูกเข้าโรงเรียนเตรียมอนุบาล

            โรงเรียนเตรียมอนุบาล

            • ในโรงเรียนอนุบาลมีพื้นที่อย่างกว้างขวางและสื่อการเรียนการสอนที่เหมาะสมกับวัยให้เด็ก ๆ ได้มาเรียนรู้ ซึ่งพวกเขาสามารถเรียนรู้พฤติกรรมในห้องเรียนที่เหมาะสมตั้งแต่อายุยังน้อย ช่วยให้ลูกน้อยได้พัฒนาความรู้สึกของตนเองและความเป็นอิสระ ส่งผลดีต่อพัฒนาการด้านสังคมและอารมณ์ทำให้เด็กรู้จักปรับตัวให้เข้ากับเพื่อนคนอื่นในห้องเรียน และต่อเนื่องไปจนถึงการเข้าเรียนในชั้นอนุบาลได้ดี

             

            • โรงเรียนเตรียมอนุบาลส่วนใหญ่มีความพร้อมสำหรับการสอนเด็กก่อนวัยเรียน ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ที่ออกแบบมาเพื่อสอนทักษะและส่งเสริมความรู้สอดแทรกให้กับเด็ก ๆ เช่น การร้องเพลง ศิลปะ งานฝีมือ การเล่านิทาน เกมต่าง ๆ ทั้งในห้องและกิจกรรมกลางแจ้ง ฯลฯ ซึ่งช่วยส่งเสริมให้เด็กกล้าแสดงออก ไม่เคอะเขิน และเพิ่มความรู้พื้นฐานทางวิชาการบางอย่าง เช่น การนับเลขหรือตัวอักษร

             

            • ช่วยฝึกให้ลูกรู้จักความมีระเบียบวินัย ความรับผิดชอบในตัวเอง ฝึกทักษะการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น รู้จักหน้าที่ของตนเอง การเก็บสิ่งของส่วนตัวในที่ของตัวเอง รู้จักเดินเข้าแถวเป็นระเบียบ ล้างมือ รับประทานอาหาร เข้าห้องน้ำเองได้ เป็นต้น

             

            • การได้ทำกิจกรรมที่โรงเรียน เล่นในห้องหรือปีนป่ายในสนามเด็กเล่น ส่งผลดีต่อพัฒนาการด้านร่างกาย ช่วยให้เด็กเคลื่อนไหวได้คล่อง ซึ่งจะทำให้ร่างกายมีการเจริญเติบโตได้ดี สุขภาพแข็งแรง

             

            • หลักสูตรของโรงเรียนเตรียมอนุบาลจะมุ่งเน้นไปที่การจัดสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพ ดังนั้นครูผู้สอนในโรงเรียนเตรียมอนุบาลมักจะมีวุฒิการศึกษาหรือการรับรองเป็นอาจารย์

            ข้อเสียของการส่งลูกเข้าโรงเรียนเตรียมอนุบาล

            โรงเรียนเตรียมอนุบาล

            • แม้ว่าเด็ก ๆ จะมีครูดูแลอย่างทั่วถึงในห้องเรียน แต่ก็ไม่ใช่แบบตัวต่อตัว ความสนใจของครูจะถูกแบ่งเฉลี่ยออกไปดูนักเรียนในห้องอย่างเท่า ๆ กัน ซึ่งแตกต่างจากการเลี้ยงดูภายในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นคุณพ่อ คุณแม่ หรือญาติพี่น้องคนใดคนหนึ่งเลี้ยงที่เป็นการดูแลแบบหนึ่งต่อหนึ่ง ซึ่งถือว่าเป็นพื้นฐานสำคัญที่สุดในการเลี้ยงดูเด็ก ความรู้ใจและเข้าใจในตัวเด็กเป็นอย่างดี จะทำให้ลูกมีความรู้สึกผูกพันที่เหนียวแน่น รู้สึกสงบ และปลอดภัย ส่งผลต่ออารมณ์ที่ดี ร่าเริง แจ่มใส เชื่อฟังผู้ใหญ่ ซึ่งก็จะส่งผลต่อระดับสติปัญญาที่ดีได้

             

            • เด็กที่มีการเรียนรู้เร็วเกินไปจะเสียโอกาสที่จะเล่นและพัฒนาจิตใจและสมองตามที่ควรจะเป็น อ้างอิงจากบทความ นพ.ประเสริฐ ผลผลิตการพิมพ์ นักจิตเวชพัฒนาการเด็กและวัยรุ่น ตอนหนึ่งว่า “โรงเรียนหรือศูนย์เด็กเล็กที่ไม่มีการเรียนการสอน และครูให้โอกาสเด็กได้เล่นตามความชอบและความถนัดจะมีความสำคัญมากต่อพัฒนาการทั้งทางด้านจิตใจและสมอง” การมองหาโรงเรียนเตรียมอนุบาลสำหรับเด็กเล็ก คุณพ่อคุณแม่ควรศึกษาข้อมูลหลักสูตรการเรียนการสอนของโรงเรียนว่าตอบโจทย์ความต้องการหรือไม่

             

            • ค่าใช้จ่ายของโรงเรียนเตรียมอนุบาลเอกชนค่อนข้างสูง เนื่องจากครูที่มีวุฒิการศึกษา สื่อการเรียนการสอนและหลักสูตรที่แตกต่างกันแต่ละโรงเรียน

             

            • เด็กเล็กที่เข้าโรงเรียนในระยะแรก ๆ อาจมีโอกาสป่วยบ่อย เนื่องจากยังขาดภูมิต้านทาน และเด็กทุกคนต่างก็มีโอกาสเป็นพาหะของโรคได้ เด็กในห้องจะหมุนเวียนติดเชื้อไวรัส เป็นหวัด มีน้ำมูก ไอ จาม แพร่เชื้อโรคให้แก่กันและกันได้ ผลัดกันป่วย ผลัดกันหยุด ในช่วงระยะ 3-4 เดือนหรือในเทอมแรก เมื่อรับเชื้อจนครบร่างกายจะมีภูมิต้านทานต่อไวรัสทุกตัวที่มีอยู่ในห้อง เด็กก็จะห่างหายจากไข้หวัด

            เลือกโรงเรียนเตรียมอนุบาลให้ลูกที่ไหนดีควรมีหลักเกณฑ์พิจารณา ได้แก่

            • งบประมาณค่าใช้จ่ายที่เหมาะสมกับเงินในกระเป๋าของพ่อแม่
            • การเดินทางระหว่างบ้านและโรงเรียน
            • ระบบการรักษาความปลอดภัยของโรงเรียน
            • สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อตัวเด็กเล็ก/ ความสะอาดภายในโรงเรียน
            • แนวการเรียนการสอน/ บรรยากาศในห้องเรียน
            • อัตราส่วนของครูผู้สอนต่อเด็กในห้อง
            • การดูแลสุขภาพอนามัยของเด็กเล็กและมาตรการป้องกันโรค
            • อาหารและโภชนาการ

            เคล็ดลับเตรียมพร้อมให้ลูกน้อยก่อนเข้าเตรียมอนุบาล

            หากความจำเป็นอยู่ในภาคบังคับที่ต้องส่งเจ้าตัวน้อยเข้าโรงเรียนเตรียมอนุบาลมาเตรียมพร้อมให้เจ้าตัวน้อยกันค่ะ

            #เตรียมร่างกาย ต้องยอมรับว่าในโรงเรียนอนุบาลนั้นเป็นสถานที่ที่เด็กเล็กหลายคนต่างที่มาอยู่ร่วมกัน จึงเป็นที่แพร่และรับเชื้อโรคระบาดต่าง ๆ ได้ง่าย ดังนั้นก่อนเข้าโรงเรียนควรพาลูกไปฉีดวัคซีนและตรวจสุขภาพให้ครบถ้วน ดูแลร่างกายให้แข็งแรงด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ สอนลูกเรื่องสุขอนามัยเบื้องต้น เช่น ล้างมือ ไม่ใช้ของส่วนตัวร่วมกับคนอื่น เป็นต้น

            #หัดลูกให้ช่วยเหลือตนเอง

            ในสังคมโรงเรียนลูกจะไม่มีคนดูแลใกล้ชิดแบบหนึ่งต่อหนึ่ง การฝึกให้ลูกได้หัดช่วยเหลือตัวเองเบื้องต้น เช่น การกินข้าวได้เอง ใส่เสื้อถอดกางเกง/ กระโปรงได้เอง ใส่รองเท้า สามารถพูดบอกความต้องการได้ เป็นต้น

            #สร้างความคุ้นเคยกับโรงเรียนใหม่

            เมื่อตัดสินใจวางแผนให้ลูกเข้าโรงเรียนแล้ว คุณพ่อคุณแม่ควรสร้างทัศนคติที่ดีต่อโรงเรียนเพื่อให้เจ้าตัวน้อยเกิดความคุ้นเคย คุ้นชื่อ เพื่อให้ลูกไม่เกิดความกลัวที่จะไปโรงเรียน หรือวันสองวันก่อนเปิดเทอมพาลูกขับรถผ่านหน้าโรงเรียน อาจจะพาลูกเข้าไปเล่นเครื่องเล่นในโรงเรียน ได้คุยกับคุณครูก็เป็นการลดความกลัว ให้ความมั่นคงและรู้สึกปลอดภัยของเจ้าตัวน้อยขึ้นมาได้

            โดยรวมแล้วการส่งลูกเข้าโรงเรียนเตรียมอนุบาลนั้นขึ้นอยู่กับความจำเป็นของแต่ละบ้าน แต่ก็ยังมีอีกด้านหนึ่งสำหรับตัวลูกน้อยเอง หากคุณพ่อคุณแม่สังเกตว่าลูกเป็นเด็กขี้อาย กลัวคนแปลกหน้า มีพฤติกรรมเก็บตัว ไม่กล้าแสดงออก หรือไม่แสดงออกตามพัฒนาการอย่างสมวัย โรงเรียนเตรียมอนุบาลก็เป็นตัวเลือกที่ดีในการช่วยเสริมพัฒนาการให้ลูกน้อย แต่ถ้าหากบ้านที่มีคุณแม่พร้อมคอยดูแล เป็นแม่ฟูลไทม์สอนลูกทำกิจกรรม ชวนเล่น รวมถึงฝึกระเบียบวินัยและส่งเสริมพัฒนาการลูกได้ตามวัย เจ้าตัวน้อยเป็นเด็กสดใส ร่าเริง รู้จักการเล่นร่วมกับผู้อื่น เท่านี้คุณแม่ก็อาจตัดสินใจได้ว่าอะไรดีที่สุดสำหรับคุณและเจ้าตัวน้อยแล้วละค่ะ.

            ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : cambridgemontessoriglobal.orgbabekits.com

            อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ :

            ส่งลูกเข้า เตรียมอนุบาล จำเป็นมั้ย? ควรให้ลูกเข้าเรียนตอนกี่ขวบดี?

            9 สิ่ง ที่พ่อแม่ควรฝึกลูกน้อยเพื่อ เตรียมเข้าอนุบาล

             

            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

             

              เรียนร้องเพลงที่ไหนดี

              เรียนร้องเพลงที่ไหนดี 7 สถาบันสอนร้องเพลง เปิดประตูปูทางให้ลูกสู่ Star Singer

              หนึ่งในกิจกรรมที่ได้รับความนิยมของเด็ก ๆ แทบทุกคนนั้นก็คือ การร้องเพลง เมื่อเห็นเจ้าตัวเล็กส่งเสียงร้องเจื้อยแจ้วทุกวัน แววศิลปินเริ่มออก ถ้าหากคุณพ่อคุณแม่มองเห็นแววและอยากสนับสนุนให้ลูกได้เทคนิคดี ๆ หรือการให้ลูกได้ไปเรียนร้องเพลงเพื่อใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ เติมประสบการณ์ อยากให้ลูก เรียนร้องเพลงที่ไหนดี ทีมแม่ ABK มีโรงเรียนสอนร้องเพลงมาแนะนำ สนับสนุนให้ลูกได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบกันค่ะ

              เรียนร้องเพลงที่ไหนดี 7 สถาบันสอนร้องเพลง ยอดนิยม ต้องที่นี่!

              1.e-muzic ztudio

              "เรียนร้องเพลงที่ไหนดี
              เครดิตภาพ: www.facebook.com/iloveemuzic

              e-muzic ztudio สถาบันสอนร้องเพลงและดนตรี ดำเนินการสอนโดย ครูเอ็ดดี้ (ยงยุทธ มานะกรโกวิท) และทีมงาน ผู้อยู่เบื้องหลังศิลปินดังมากมายด้วยประสบการณ์การสอนมากกว่า 25 ปี หลักสูตรที่นี่เน้นสอนร้องเพลงตั้งแต่พื้นฐานจนถึงระดับสูง การหายใจ การออกเสียง การทำความเข้าใจทฤษฎีดนตรีพื้นฐานที่จำเป็นต่อการร้องเพลง ทำนอง และจังหวะ มุ่งเน้นพัฒนาศักยภาพในการใช้เสียงเพื่อการร้องเพลงอย่างถูกวิธี ด้วยวิธีการสอนร้องเพลงแนวใหม่ ผสมผสานสื่อการเรียนการสอนที่มีศักยภาพ เพื่อให้ผู้ที่มาเรียนได้เรียนรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับการร้องเพลง เข้าใจอย่างถ่องแท้ จึงทำให้เด็ก ๆ มีความมั่นใจ กล้าแสดงออก สามารถสื่อสารอารมณ์ ความรู้สึก ของบทเพลงไปยังผู้ฟังได้ ซึ่งนั้นหมายถึงการร้องเพลงในครั้งนั้น ๆ ประสบความสำเร็จ นอกจากนี้ยังมีการใช้เทคโนโลยีการบันทึกเสียงเพื่อวัดผล และนำกลับมาวิเคราะห์ปัญหาต่าง ๆ ในการร้องเพลง เพื่อให้เด็ก ๆ สามารถค้นหาความเป็นตัวเอง และพัฒนาต่อยอดไปสู่ความเป็นมืออาชีพได้ด้วยตัวเองในอนาคต เรียกว่าที่นี้เป็นสถาบันที่มุ่งเน้นพัฒนาศักยภาพของเด็กที่มาเรียนให้มีคุณภาพและได้รับประโยชน์สูงสุดมาก ๆ เลยค่ะ

              e-muzic ztudio
              Location: 226, 228 เสนานิคม 1 พหลโยธิน 32 ลาดพร้าว กทม. 10230
              Phone: 089-9524922
              Website: www.e-muzic.com

              2.Grammy Vocal Studio

              Grammy Vocal Studio
              เครดิตภาพ www.facebook.com/GrammyVocalStudio

              Grammy Vocal Studio เป็นสถาบันพัฒนาศิลปิน สอนร้องเพลงและดนตรี ในเครือ GMM Grammy โดยมีครูผู้สอนระดับชั้นนำของประเทศที่มีทั้งประสบการณ์การสอนและการแสดงและผ่านการฝึกอบรมอย่างสม่ำเสมอเพื่อรักษาคุณภาพและระดับการสอนให้มีประสิทธิภาพที่ดีที่สุด หลักสูตรของที่นี่เป็นหลักสูตรการสอนร้องเพลงหลักของ GMM Grammy เน้นในเรื่องการสอนให้นักเรียนเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงเรื่องเทคนิคการใช้เสียง วิธีร้องเพลงให้เพราะ ถูกคีย์ ร้องเสียงขึ้นสูง ลงต่ำได้ ฝึกการหายใจอย่างถูกวิธี การแก้ปัญหาทางการร้องและการประยุกต์เทคนิคลงในเพลงได้อย่างถูกวิธี ด้วยการวางแผนการสอนที่เฉพาะเจาะจงและตรงต่อจุดประสงค์ของผู้เรียนเพื่อให้ผู้เรียนได้รับประโยชน์จากการเรียนมากที่สุด

              หลักสูตรวิชาขับร้องมี 8 ระดับ ตั้งแต่ระดับพื้นฐาน ระดับกลาง และระดับสูง โดยได้เน้นหลักสูตรที่ให้นักเรียนมีความเชี่ยวชาญทั้งทางด้านเทคนิคการร้องเพลงและทักษะทางดนตรีของนักร้องไปควบคู่กัน และมีการประเมินผลเมื่อเรียนจบชั่วโมงสุดท้ายของแต่ละเกรด นอกจากนี้ทางสถาบันยังได้จัดให้มีการสอบของสถาบันอื่น ๆ เช่น Trinity College of Music และ Associated of The Royal Schools of Music อีกด้วย นักเรียนของที่นี้ประสบความสำเร็จเป็นศิลปินมากมาย หลายคนได้รับรางวัลมากมายจากเวทีประกวดต่าง ๆ ที่นี้จึงถือว่าเป็นอีกประตูหนึ่งที่จะผลักดันปั้นดาวให้ลูกเข้าสู่วงการเพลงตามความฝันได้ดีทีเดียวเลยค่ะ

              Grammy Vocal Studio
              Location: ชั้น 4 อาคาร GMM Grammy ถนนอโศก คลองเตยเหนือ
              Phone: 02 669-9988, 02 669-8827, 02 669-9784
              Website: www.grammyvocalstudio.com
              www.facebook.com/GrammyVocalStudio

              3.ครูเอก Vocal Studio

              ครูเอก Vocal Studio
              เครดิตภาพจาก www.facebook.com/KruAkeStudio

              ครูเอก Vocal Studio สตูดิโอสอนร้องเพลงและการใช้เสียง โดย ครูเอก ณัฐวัตร ศรีสวัสดิ์ ครูสอนร้องเพลงและการใช้เสียง ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของศิลปิน นักแสดงและผู้ใช้เสียงหลากหลายสาขาอาชีพ โดยนำประสบการณ์ในการทำงานทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง ฯลฯ มาพัฒนาเป็นองค์ความรู้และเทคนิคการการสอนที่มีประสิทธิภาพ ที่นี้เปิดสอนคอร์สการเรียนร้องเพลงและแก้ไขปัญหาการร้องเพลงหลากหลายรูปแบบเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้เรียนทุกเพศ-ทุกวัย สำหรับผู้เรียนอายุ 7 ปีขึ้นไป โดยครูเอก เป็นผู้ฝึกสอนแต่เพียงผู้เดียวในทุก ๆ ชั่วโมง มุ่งเน้นความรู้ ความเข้าใจ  การนำไปใช้เพื่อผลลัพธ์ของการเรียนที่ได้ผลและเกิดประโยชน์สูงสุด

              สำหรับหลักสูตรเรียนเดี่ยวสำหรับเด็กและวัยรุ่น (Singing for Kid & Teen) เป็นหลักสูตรการร้องเพลงและเทคนิคการใช้เสียง เพื่อเสริมสร้างทักษะด้านการร้องเพลงและดนตรีด้วยความสุข พัฒนาให้เด็กมีความมั่นใจ และเป็นตัวของตัวเอง ตลอดจนการฝึกฝนและแก้ไขปัญหาช่วงเสียงเปลี่ยน (เสียงแตก) ในช่วงวัยรุ่น เพื่อการร้องเพลงได้อย่างต่อเนื่อง และสร้างพื้นฐานของการพัฒนาเสียงไปในทิศทางที่ดีในอนาคต รู้จักวิธีการใช้เสียงของตนเองได้อย่างถูกวิธี ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ด้านกายภาพ เสียง อารมณ์-ความรู้สึก ผ่านแบบฝึกหัด การฝึกเปล่งเสียง การพูด การควบคุมร่างกาย ตลอดจนค้นพบความสามารถที่ซ่อนอยู่ของตนเองและนำมาใช้ได้อย่างมีเสน่ห์และเป็นตัวของตัวเองที่สุด เป็นอีกสถาบันที่จะทำให้เด็ก ๆ ได้รู้จักเสียงของตัวเองได้ดีทีเดียวเชียวค่า

              ครูเอก Vocal Studio
              Location: สาขา 1 เขตดินแดง กรุงเทพฯ เปิด-ปิด : อังคาร – พฤหัส : 10.00-20.00 น./ เสาร์ – อาทิตย์ : 09.00-20.00 น.
              สาขา 2 ท่ายาง จ.เพชรบุรี เปิด-ปิด : จันทร์ : 10.00-20.00 น. (ปลายปี 2562)
              Phone: 092-663-5514
              website: www.kruake.com
              www.facebook.com/KruAkeStudio

              4.ร้องเพลงดอทคอม

              ร้องเพลงดอทคอม ให้ความสำคัญในการสอนร้องเพลงโดยดูที่ความต้องการของผู้เรียนแต่ละคนเป็นหลัก ในหนึ่งบทเรียนจะมีการประเมินปัญหาและสามารถวางแผนการเรียนและการแก้ไขปัญหาการร้องเพลงได้ทันที เด็ก ๆ ที่มาเรียนจะค่อย ๆ สามารถควบคุมการออกเสียง ใช้เสียง และพัฒนาเสียงให้มีความแข็งแรงและยืดหยุ่น นอกจากนี้ยังมีการออกแบบให้โดยเฉพาะสำหรับแต่ละคนทั้งเรื่องสไตล์การร้อง และเรื่องของลูกคอ รวมถึงเทคนิคต่าง ๆ เพิ่มขึ้นด้วย

              คอร์สเรียนที่นี่มีหลากหลายมาก อาทิเช่น คอร์สเทคนิคการร้องเพลงขั้นพื้นฐาน เหมาะสำหรับทุกเพศ ทุกวัยที่มีประสบการณ์น้อย หรือไม่ได้มีการฝึกฝนอย่างเป็นระบบ ที่จะได้เรียนรู้เทคนิคขั้นพื้นฐานเกี่ยวกับสรีระของร่างกาย พื้นฐานของการออกเสียง การบริหารจัดการลมหายใจ และการสร้างสมดุลให้กับเสียง นอกจากนั้นจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับสุขภาพของเสียงและการดูแลเสียงได้อย่างถูกวิธี เป็นการสอนสิ่งที่จำเป็นเบื้องต้นสำหรับคนที่ต้องการ “ร้องเพลงเพราะ” ต้องทราบและต้องฝึก หลังจากนี้ก็จะเขิยบมาเป็น คอร์สเทคนิคการร้องเพลงขั้นกลาง โดยจะสอนให้เรียนรู้การจัดการลมหายใจในระดับที่สูงขึ้นเพื่อช่วยให้ร้องเพลงได้นานขึ้น ไม่เหนื่อยหอบ สามารถลากโน้ตได้ยาวขึ้น เรื่องของคุณภาพของเสียงที่ร้องออกมาก็จะได้รับการพูดถึงแบบละเอียด รวมถึงเทคนิคการร้องเพลงที่ยากขึ้น ละเอียดมากขึ้นด้วย คอร์สสำหรับเตรียมพร้อมการออดิชั่น คอร์สนี้จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเลือกเพลงที่ถูกต้องสำหรับเสียงของแต่ละคน วิธีการเตรียมตัวสำหรับการออดิชั่น วิธีการนำเสนอตนเองให้หน้าสนใจ วิธีการจัดการกับความประหม่าและความตื่นเต้น นอกจากนั้นนักเรียนจะได้เรียนเทคนิคการร้องเพลงที่จะช่วยส่งเสริมให้ตัวเองโดดเด่นจากผู้เข้าแข่งขันคนอื่น และเปิดโอกาสให้นักเรียนได้ฝึกซ้อมทักษะการออดิชั่นด้วยการจำลองการออดิชั่นจริง เพื่อเตรียมตัวก่อนไปออดิชั่นจริงได้ นอกจากนี้ยังมีอีกหลากหลายคอร์สที่สามารถเลือกเรียนตัวต่อตัว กลุ่ม หรือออนไลน์สดก็ได้

              rongplengdotcom
              เครดิตภาพจาก www.facebook.com/RongPlengDotCom

              RongPleng.com
              Location: 289/126 The Base condo, สุขุมวิท 77 กรุงเทพมหานคร 10110
              Phone: 099 232 4519
              Website: www.rongpleng.com
               www.facebook.com/RongPlengDotCom

               

              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

              อ่านต่อ 7 สถาบันสอนร้องเพลงยอดนิยม คลิกหน้า 2

                เด็กเป็นเบาหวาน

                รพ.จุฬาเผย! พบ เด็กเป็นเบาหวาน เพิ่มขึ้น 27%

                เด็กเป็นเบาหวาน ได้เช่นเดียวกับผู้ใหญ่ โดยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่พบเด็กป่วยเพิ่มขึ้นนี้ เกิดจากพฤติกรรมการติดหวาน โดยพบว่ามีการขายน้ำหวาน น้ำอัดลม ที่หวานจนเกินไปตามโรงเรียนประถม

                รพ.จุฬาเผย! พบ เด็กเป็นเบาหวาน เพิ่มขึ้น 27%

                รพ.จุฬาฯ เปิดเผยข้อมูลที่น่าตกใจเพราะพบว่าโรคเบาหวานในเด็กและวัยรุ่น ยอดพุ่ง 27% มาจากการการดื่มน้ำหวานในโรงเรียน

                ผลจากการศึกษาจากคลินิกต่อมไร้ท่อเด็ก โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ พบว่า สัดส่วนของโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในเด็ก และวัยรุ่น ปี 2551-2560 เด็กอายุ 10-19 ปี ป่วยเบาหวาน ร้อยละ 13 และในปี 2551-2562 เพิ่ม เป็นร้อยละ 27 ขณะนี้ทั่วโลกมีวัยรุ่นเป็นเบาหวานแล้วถึง 63 ล้านคนสาเหตุที่เบาหวานในเด็กและวัยรุ่นเพิ่มมากขึ้น เกิดการพฤติกรรมบริโภคหวาน และขนมในโรงเรียน

                โดย ทพญ.สุวรรณา สมถวิล หัวหน้ากลุ่มงานทันตสาธารณสุข สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสระบุรี ในฐานะผู้ประสานงานเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน สระบุรี บอกว่า จากการสำรวจ โรงเรียนในจังหวัดสระบุรี 140 แห่งจากทั้งหมดกว่า 200 แห่งที่เข้าร่วมเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน พบว่า เด็กสระบุรีกินหวานถึง 22 ช้อนชาต่อคนต่อวัน แต่จากการสำรวจในปี 2562 พบว่ากินหวานลดลงเหลือเพียง 8-10 ช้อนชาต่อคนต่อวัน แม้จะยังเกินกว่าปริมาณที่แนะนำคือ 6 ช้อนชาต่อคนต่อวัน

                เด็กติดหวาน
                เด็กเป็นเบาหวาน

                ทั้งนี้ทพญ.สุวรรณา บอกว่า การลดบริโภคน้ำตาลในในโรงเรียนสระบุรีทีลดลงเกิดจากการไม่จำหน่ายน้ำอัดลมทุกชนิด ไม่มีเครื่องปรุงใดๆ บนโต๊ะอาหาร ไม่มีเครื่องดื่มที่มีความหวานเกิน 10% ขายในโรงเรียน ไม่มีสื่อโฆษณาขนมขบเคี้ยวหรือน้ำหวานในโรงเรียน และในโรงเรียนต้องมีมุมความรู้ด้านโภชนาการให้กับนักเรียนได้เข้าไปศึกษาด้วย จึงกอยากเรียกร้องให้โรงเรียน งดการขายน้ำอัดลมทุกชนิดในโรงเรียน

                ขณะที่ข้อมูลจากสมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย พบว่า โรงเรียนมีบทบาทสำคัญมากในการลดน้ำตาล โดยต้องมีนโยบายชัดเจนโดยต้องมีการส่งเสริมให้เด็ก ๆ ให้มีกิจกรรมทางกายให้มาก ๆ ต้องจำกัดการเข้าถึงขนม น้ำอัดลม อาหารขบเคี้ยวที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย

                ขอบคุณข่าวจาก : www.tnnthailand.com

                สิ่งที่น่าตกใจจากข่าวนี้คือ มีการปลูกฝังพฤติกรรมการบริโภคหวานแบบผิด ๆ ตั้งแต่อายุยังน้อย ทำให้เด็กไทยสมัยนี้ ติดทานหวาน โดยเฉพาะน้ำหวานที่ขายอยู่ตามโรงเรียน มักจะทำรสชาติออกมาเพื่อเอาใจเด็ก ๆ โดยใส่น้ำตาลเยอะ ๆ เพื่อให้มีรสชาติหวาน นอกจากนี้ขนมและอาหารในสมัยนี้ ก็พบว่ามีปริมาณน้ำตาลมากเกินกว่าปริมาณที่แนะนำให้ทานต่อวัน นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ เด็กเป็นเบาหวาน ชนิดที่ 2 เพิ่มมากขึ้น

                โรคเบาหวาน มี 2 ชนิด โดยโรคเบาหวานชนิดที่ 1 นั้น เกิดจากความผิดปกติของภูมิคุ้มกันในร่างกาย กรรมพันธุ์ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ไม่สามารถป้องกันได้ ซึ่งโรคเบาหวานชนิดนี้พบได้ไม่บ่อย ส่วนโรคเบาหวานชนิดที่ 2 นั้น เกิดจากพฤติกรรมกรบริโภคที่ไม่เหมาะสม คือทานหวานเกินไป รวมถึงสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ โรคเบาหวานชนิดนี้สามารถพบได้ทุกเพศ ทุกวัย แต่ส่วนมากจะเกิดในวัยผู้ใหญ่มากกว่าเด็ก

                จะเห็นได้ว่าโรคเบาหวานชนิดที่ 2 นั้นเกิดขึ้นจากพฤติกรรมการทานอาหารของตัวผู้ป่วยเอง เมื่อรู้เช่นนี้แล้ว ทีมแม่ ABK อยากชวนคุณพ่อคุณแม่มารู้จักกับโรคเบาหวานชนิดที่ 2 วิธีป้องกัน เด็กเป็นเบาหวาน และวิธีลดโอกาสการเป็นเบาหวานให้ลูก ได้ที่หน้า 2 ค่ะ

                 

                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                อ่านต่อ โรคเบาหวานชนิดที่ 2 และวิธีลดโอกาสการเป็นเบาหวานให้ลูก

                  โรงเรียนนานาชาติ Shrewsbury – City Campus

                  โรงเรียนนานาชาติ Shrewsbury – City Campus เปิดตัวหลักสูตรที่เน้นเรียนรู้ตามความสนใจ และเปิดโลกทัศน์ด้าน วิศวกรรม สถาปนิก สำหรับเด็กวัยแรกเรียน

                  โรงเรียนนานาชาติ Shrewsbury – City Campus  ซึ่งเป็นโรงเรียนระดับอนุบาลถึงประถมศึกษาแห่งแรกของโลก  และยัง เป็นโรงเรียนแห่งแรกของไทย ที่ได้นำเอาหลักสูตร Design , Engineer , Contruct (DEC) มาใช้ในการสอนให้กับเด็กวันแรกเรียน

                   

                  โรงเรียนนานาชาติ Shrewsbury – City Campus  กับหลักสูตร “DEC”

                  สำหรับ โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ ถือว่าเป็นโรงเรียนนานาชาติคุณภาพระดับต้นๆ ของเมืองไทย ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นโรงเรียนที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคมาอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด “ซิตี้ แคมปัส” ซึ่งเป็นแคมปัสแห่งที่ 2 ของโรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ ได้นำเอาหลักสูตรด้านการออกแบบ วิศวกรรม และการสร้างสรรค์โครงการ Design , Engineer , Contruct (DEC) จากประเทศอังกฤษ เข้ามาใช้ในการเรียนการสอนให้กับเด็กๆ โดยได้พัฒนาต่อยอดให้เหมาะกับเด็กวัยแรกเรียน ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างทักษะพัฒนาการการเรียนรู้ให้กับเด็กๆ ในเรื่องการคิดแบบวิเคราะห์ การสร้างสรรค์ การแก้ปัญหา การทำงานเป็นทีม และรวมถึงการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย  ตอกย้ำความเป็นผู้นำของโชรส์เบอรีในเรื่องการส่งเสริมศักยภาพอย่างรอบด้านให้กับนักเรียนทุกช่วงวัย โดยเฉพาะ Key Stage อายุ 7-8 ปี หรือชั้น Year 3

                  โรงเรียนนานาชาติ Shrewsbury – City Campus

                  คุณอแมนดา เดนนิสสัน ครูใหญ่ โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ – ซิตี้ แคมปัส ได้ให้ข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับ หลักสูตร Design , Engineer , Contruct (DEC)

                  “โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ – ซิตี้ แคมปัส ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมพัฒนาการและ ศักยภาพของเด็กอย่างรอบด้าน และเริ่มตั้งแต่วัยแรกเรียนเพราะเด็กๆ จะซึบซับได้ดีกว่า เราจึงได้นำหลักสูตร DEC จาก ประเทศอังกฤษ ซึ่งได้รับการยอมรับในระดับโลก มาใช้ในการเรียนการสอนสำหรับเด็กอนุบาลและประถมศึกษาเป็นครั้งแรกในประเทศไทยและในโลก เป็นการเปิดมิติใหม่ทางการเรียนรู้ให้แก่เด็กนักเรียน และเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับ เส้นทางอาชีพในสายงานสถาปนิก วิศวกรรมศาสตร์ และการสร้างสรรค์โครงการ โดยเน้นการลงมือปฏิบัติโครงการที่มีความยั่งยืน (Sustainable Building Project) และการทำเวิร์คช็อป (Workshop) ควบคู่ไปกับการเรียนรู้วิธีนำคณิตศาสตร์มา ประยุกต์ใช้ในการทำงาน และการต่อยอดทักษะด้านภาษา การอ่านและการเขียน ซึ่งจะช่วยในเรื่องของการทำรายงาน (Report) การนำเสนอ (Presentation) และการโต้ตอบ (Feedback) พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้สำรวจความคิดที่ท้าทาย บริบททางสังคม ผ่านตัวอย่างและโครงการที่นำมาสอนภายใต้สภาพแวดล้อมที่กำหนดขึ้น ซึ่งจะช่วยพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์และการแก้ปัญหาให้กับเด็กๆ”

                  โรงเรียนนานาชาติ Shrewsbury – City Campus

                  บุคลากรครูผู้สอนเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งในการนำหลักสูตรคุณภาพมาใช้ให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด เราจึงได้แต่งตั้ง นางสาวเคที่ ฮอลแลนด์ ซึ่งเป็นครูผู้ชำนาญการด้านการออกแบบและเทคโนโลยีจากประเทศอังกฤษ มารับตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายการออกแบบและนวัตกรรมเทคโนโลยี (Design and Technology Innovation Leader) ซึ่งเป็นหนึ่งในวิชาสำคัญสำหรับนักเรียนตั้งแต่ชั้น Year 1 ของโรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ – ซิตี้ แคมปัส และการนำหลักสูตร DEC มาใช้จะทำให้การเรียนการสอนด้านการออกแบบและเทคโนโลยีมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น จับต้องได้ และมีความเชื่อมโยงกับผู้เรียนมากขึ้น”

                  โรงเรียนนานาชาติ Shrewsbury – City Campus

                  คุณเคที่ ฮอลแลนด์ หัวหน้าภาควิชาการออกแบบและนวัตกรรมเทคโนโลยี (Design and Technology Innovation Leader) ซึ่งเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบหลักสูตร DEC ของโรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ – ซิตี้ แคมปัส ได้ให้ข้อมูลเสริมเพิ่มเติม “หลักสูตร DEC จะช่วยให้เด็กนักเรียนได้รับประสบการณ์การเรียนรู้ที่มากขึ้นจากการพัฒนาทักษะที่เกี่ยวเนื่องกับการออกแบบและเทคโนโลยีตั้งแต่อายุยังน้อย เช่น วิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ประยุกต์ (Application of Science and Mathematics) การคิดเชิงวิเคราะห์และสร้างสรรค์ (Creative and Logical Thinking) การแก้ปัญหา (Problem Solving) การทำงานเป็นทีม (Teamwork) ความกล้าเสี่ยง (Risk-Taking) และความสามารถในการปรับตัว (Resilience) เป็นต้น ซึ่งหลักสูตร DEC จะช่วยพัฒนารูปแบบการคิดซึ่งจะส่งผลต่อไปถึงพฤติกรรมและการเรียนรู้ทั้งในและนอกห้องเรียน ดังนั้นการนำหลักสูตรดังกล่าวนี้มาใช้ในการเรียนการสอนเด็กตั้งแต่วัยแรกเรียนย่อมจะมีประโยชน์ต่อพัฒนาการมากที่สุด”

                  คุณอแมนด้า กล่าวเพิ่มเติมว่า “โชรส์เบอรียังให้ความสำคัญอย่างมากกับช่วงอายุ 7-8 ปี หรือชั้น Year 3 เนื่องจากเป็นช่วงวัย ที่มีความสำคัญ (Key Stage) อีกช่วงหนึ่ง เพราะถือเป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านสู่การเติบโต (Transitional Year) ดังนั้นรูปแบบการเรียนการสอนสำหรับเด็กชั้นปีนี้ โชรส์เบอรีได้เน้นให้มีความเฉพาะทางและเป็นระเบียบแบบแผนมากขึ้น   เพื่อให้เด็กๆ ได้นำทักษะและความรู้ที่ได้จากการเรียนในชั้นปีก่อนๆ มาใช้ในการพัฒนาต่อยอดการมีส่วนร่วม  (Engagement) การสร้างแรงบันดาลใจ (Motivation) การคิดวิเคราะห์ (Critical Thinking) และการดูแลตัวเองได้โดยไม่ต้อง  พึ่งพาผู้อื่น (Independence) ซึ่ง Year 3 ที่โชรส์เบอรี เด็กๆ จะได้เริ่มสวมเสื้อเชิ้ต ผูกเน็คไท และใส่รองเท้านักเรียนที่ เหมาะสมมาเรียนหนังสือ เริ่มย้ายห้องเรียนจากชั้นล่างขึ้นไปอยู่ชั้นบน เริ่มได้ใช้พื้นที่หรือสิ่งอำนวยความสะดวกของ โรงเรียนมากขึ้น และเริ่มได้รับมอบหมายหน้าที่ความรับผิดชอบต่างๆ เป็นต้น ทั้งหมดนี้เป็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในแต่ ละวันที่ช่วยให้เด็กเกิดการเรียนรู้และสัมผัสได้ถึงการเติบโตขึ้น (Sense of maturity) และมากไปกว่านั้น ยังเป็นการเปิดโลก ทัศน์และโอกาสทางการเรียนรู้ที่หลากหลายยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยให้เด็กมีความพร้อมและประสบความสำเร็จในการศึกษาระดับที่สูงขึ้นในอนาคต

                  โรงเรียนนานาชาติ Shrewsbury – City Campus

                  จากการศึกษาวิจัยพบว่า หากต้องการพัฒนาทักษะด้านภาษาของบุตรหลานให้ดีเทียบเท่ากับเจ้าของภาษานั้นๆ ควร เริ่มต้น ก่อนอายุ 10 ปี ซึ่งตรงกับแนวทางการเรียนการสอนที่ ซิตี้ แคมปัส ซึ่งให้ความสำคัญกับการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษโดยครูผู้สอนจากประเทศอังกฤษโดยตรง และการผนวกหลักสูตรภาษาไทยและภาษาจีนกลางที่ดีที่สุดเข้าไป ใน กระบวนการเรียนการสอนตั้งแต่แรกเริ่ม เพื่อให้มั่นใจว่า นักเรียนจะมีทักษะภาษาอังกฤษที่เป็นเลิศ และสามารถใช้ภาษาไทยและภาษาจีนกลางได้อย่างคล่องแคล่วแตกฉาน ทั้งทักษะการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  นักเรียนชั้น Year 3 ซึ่งเป็นช่วงวัยที่เหมาะสมสำหรับการเรียนรู้ด้านภาษา จะมีทีมผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาไทยและภาษาจีนกลางมาร่วมวางแผนการเรียนการสอนกับคุณครูประจำชั้นเรียนอย่างใกล้ชิด สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของประโยชน์ที่ ผู้เรียนจะได้รับจากการเริ่มต้นศึกษาในหลักสูตรนานาชาติตั้งแต่อายุยังน้อย แทนที่จะรอจนเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นซึ่งอาจจะสายเกินไปสำหรับการสร้างพัฒนาการที่สมบูรณ์”

                  โรงเรียนนานาชาติ Shrewsbury – City Campus

                  การเริ่มต้นปูพื้นฐานการเรียนรู้ให้กับบุตรหลานด้วยหลักสูตรการเรียนที่มีประสิทธิภาพจากโรงเรียนนานาชาติที่ได้คุณภาพ ระดับโลก จะยิ่งช่วยส่งเสริมให้เด็กๆ ประสบความสำเร็จในอนาคตได้มากขึ้นค่ะ  

                  สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่อยากให้ลูกๆ ได้เข้าเรียนที่ โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ ทั้งริเวอร์ไซด์ แคมปัส และซิตี้  แคมปัส ก็สามารถนำบุตรหลานมาสมัครเรียน ดูข้อมูลเพิ่มเติมและลงทะเบียนเข้าร่วมกิจกรรม Open House ของโรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ เพื่อเยี่ยมชมบรรยากาศการเรียนการสอนและพูดคุยกับครูใหญ่รวมทั้งบุคลากรอย่างใกล้ชิดได้ทางเว็บไซต์ www.shrewsbury.ac.th นะคะ

                  โรงเรียนนานาชาติ Shrewsbury – City Campus

                    เห็บกัด

                    ลูกโดน “เห็บกัด” อย่าชะล่าใจ อาจติดเชื้อจากโรคลายม์

                    บ้านที่มีสัตว์เลี้ยง ไม่ว่าจะเป็นหมา แมว มักจะมีปัญหาเห็บหมัดมารังควาญใจ โดยเฉพาะบ้านที่มีเด็กเล็กด้วย ยิ่งต้องระวังไม่ให้ลูกโดน เห็บกัด เพราะเห็บนำพาเชื้อโรคที่เป็นอันตรายต่อลูกได้

                    ลูกโดน “เห็บกัด” อย่าชะล่าใจ อาจติดเชื้อจากโรคลายม์

                    โรคลายม์ คืออะไร?

                    โรคลายมเ์ป็นโรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Borrelia spp. ติดต่อโดยการแพร่เชื้อผ่านเห็บ อาการของโรคแตกต่างกันไป โดยมีอาการต่อไปนี้

                    • เป็นไข้
                    • ปวดตามเนื้อตามตัว
                    • ปวดศีรษะ, อ่อนเพลีย
                    • มีบางรายที่มีอาการ หัวใจเต้นผิดปกติ
                    • เจ็บหน้าอก
                    • มีปัญหาในเรื่องของการได้ยินที่ลดลง
                    • กล้ามเนื้อหน้าเคลื่อนไหวผิดปกติ
                    • ปวดข้อ
                    • บริเวณที่โดนกัดจะมีผื่นวงแดง

                    โรคนี้พบได้ทั่วโลก แต่พบได้น้อยในประเทศไทย โดยล่าสุดได้มีหญิงคนหนึ่งได้ติดเชื้อโรคลายม์นี้หลังจากไปเที่ยวตุรกี หลังจากกลับเข้าประเทศ ก็ป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ มีอาการหนัก แพทย์ได้ช่วยกันรักษา ใช้เวลาอยู่ในโรงพยาบาลนาน 2 เดือน หลังจากนั้นอีก 5 เดือนก็กลับไปทำงานปกติ แต่ความทรงจำบางส่วนหายไป และแพทย์ได้ตรวจพบว่าติดเชื้อโรคดังกล่าว

                    โรคลายม์
                    โรคลายม์

                    โรคลายม์ติดต่อกันได้อย่างไร?

                    แม้ว่าอัตราการติดต่อโรคในประเทศไทยนั้นมีต่ำมาก และลักษณะการติดต่อของโรคลายม์นั้น เป็นการติดจากสัตว์ไปสู่คน กล่าวคือติดต่อผ่านทางเห็บที่คน ไม่ติดต่อจากคนไปสู่คน ซึ่งการที่คนคนหนึ่งจะติดเชื้อชนิดนี้ จะต้องมาจากคนคนนั้นไปคลุกคลีกับสัตว์ที่มีเห็บ หรือเดินทางไปตามพื้นที่ที่มีเห็บอาศัยอยู่ จึงทำให้พบผู้ป่วยโรคลายม์ในไทยไม่กี่คน  แต่เคยมีรายงานอยู่รายงานหนึ่งระบุว่า พบสุนัขในประเทศไทยตัวหนึ่งติดเชื้อแบคทีเรียโบเรลเลีย คุณพ่อคุณแม่จึงไม่สามารถไว้ใจได้ว่าเห็บที่อาจจะมากัดลูกนั้น เป็นเห็บที่มีเชื้อแบคทีเรียโลเรลเลีย หรือไม่? ดังนั้นจึงควรรักษาความสะอาดของสัตว์เลี้ยง หากเป็นไปได้ ควรแยกที่อยู่ของสัตว์เลี้ยงและเด็กเล็กให้ชัดเจน เพื่อป้องกันโอกาสที่จะทำให้ลูกโดน เห็บกัด ได้

                     

                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                    อ่านต่อ เห็บนำโรคอะไรมาสู่คนบ้าง? และ โดน เห็บกัด จะเป็นอย่างไร?

                      กินยาดักไข้

                      กินยาดักไข้ กันลูกเป็นหวัด เป็นไข้ ได้จริงหรือ?

                      ความเชื่อที่ว่าเมื่อลูก กินยาดักไข้ หลังจากที่ลูกไปเล่นน้ำมาทั้งวัน ไปตากฝนมา ไปรับวัคซีนมา หรือกลัวว่าลูกจะไม่สบาย ทั้ง ๆ ที่ยังไม่มีไข้ เป็นความเชื่อที่ถูกหรือผิด?

                      กินยาดักไข้ กันลูกเป็นหวัด เป็นไข้ ได้จริงหรือ?

                      ขอบคุณคลิปจาก : GPO องค์การเภสัชกรรม

                      แม่ ๆ คงจะเคยได้ยินคำพูดที่ว่าลูกตากฝนมา กินยาดักไข้ไว้ก่อนสิ เดี๋ยวจะเป็นหวัดเอา ทำเอาหลายคนสงสัยว่าการกินยาลดไข้ เช่น พาราเซตามอล จะทำให้ช่วยป้องกันการเป็นหวัด เป็นไข้ได้จริงหรือไม่? ขอบอกเลยว่าเป็นความเชื่อที่ผิดเป็นอย่างมากเลยค่ะ และแม่ ๆ ที่ให้ลูก กินยาดักไข้ ไว้ก่อนก็ควรจะเลิกพฤติกรรมนี้ เพราะยาแก้ปวด ลดไข้ ควรกินก็ต่อเมื่อมีข้อบ่งชี้เท่านั้น ไม่ควรกินยาเหล่านี้ขณะที่ร่างกายปกติหรือกินล่วงหน้า เพราะนอกจากจะไม่ช่วยกันการเป็นหวัด เป็นไข้แล้ว ยังจะก่อให้เกิดอันตรายจากการกินยาผิดวิธี กินยาเกินขนาด จนไปทำลายตับและอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพอีกต่างหาก

                      ทำความรู้จักกับยาพาราเซตามอล

                      “พาราเซตามอล” ยาสามัญประจำบ้านที่หลายคนคุ้นเคยเป็นอย่างดี เป็นยาบรรเทาอาการปวดระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง และบางครั้งยังใช้ลดไข้ในเด็กและผู้ใหญ่ จัดเป็นยาสามัญประจำบ้าน และเป็นยาที่ไม่อันตราย ซึ่งยาพาราเซตามอลมีกลไกในการออกฤทธิ์โดยการยับยั้งสารเคมีบางชนิดในสมองของมนุษย์ ที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับอาการปวด เช่น สารโพรสตาแกลนดิน (Prostaglandin) และจะชักนำให้เกิดกลไกการลดอุณหภูมิหรือลดไข้ของร่างกายลง

                      พาราเซตามอล รับประทานอย่างไร?

                      ปริมาณที่เหมาะสมในการกินยาต่อครั้ง คือ  10-15 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) ทานได้ทุก ๆ 4-6 ชั่วโมง หรือเมื่อมีอาการ ดังนั้นการรับประทานยาจึงควรให้เหมาะสมกับน้ำหนักตัว

                      เด็กไม่ควรรับประทานติดต่อกันเกิน 5 วัน ผู้ใหญ่ไม่ควรรับประทานติดต่อกันเกิน 10 วันผู้ที่เป็นไข้ (ทั้งเด็กและผู้ใหญ่) ไม่ควรทานติดต่อกันเกิน 3 วัน

                       

                      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                      อ่านต่อ วิธีการคำนวณปริมาณยาต่อน้ำหนักตัวเด็ก และ วิธีทานยาพาราเซตามอลที่ถูกต้อง

                        4U2 I HEART YOU

                        4U2 I HEART YOU โชว์ริมฝีปากแม่สวยเด่นดูสุขภาพดี

                        4U2 ตอบโจทย์สาวๆที่มีหลายอารมณ์ในวันเดียว ด้วยลิปสติกรุ่นใหม่ล่าสุด 4U2 I Heart You ที่ทำออกมาพร้อมกัน 2 รุ่น เนื้อแมท และ เนื้อลื่น รวมกว่า 21 เฉดสี

                        When Matte VS Moist!

                        บ่อยครั้งที่เรารู้สึกลังเลว่าวันนี้จะทาเนื้อแมทที่มีความเด่นชัด หรือทาเนื้อมอยซ์ฉ่ำๆวาวๆเน้นโชว์ริมฝีปากสุขภาพดี  4U2 แบรนด์เครื่องสำอางไทยชื่อดังขอแนะว่าพกทั้งสองรุ่นใส่กระเป๋าไว้เลยค่ะ เพราะวันหนึ่งมีหลายอารมณ์ ตอนเช้าอาจเลือกเบาๆใสๆด้วยลิปสติกเนื้อมอยซ์ชุ่มฉ่ำก่อน แล้วช่วงบ่ายเร่งดีกรีความสดใสด้วยลิปสติกเนื้อครีมแมท

                        4U2 I HEART YOU 💖 ลิปหมุนหัวใจ
                        โชว์ริมฝีปากแม่สวยเด่นดูสุขภาพดี

                        4U2 ตอบโจทย์สาวๆที่มีหลายอารมณ์ในวันเดียว ด้วยลิปสติกรุ่นใหม่ล่าสุด 4U2  ที่ทำออกมาพร้อมกัน 2 รุ่น

                        💖 ทั้งรุ่นเนื้อแมท I Heart You All-Day Color Intense Heart Lipstick SPF35 PA+++ มี 13 เฉดสี (เฉดสี No. 13 มีขายเฉพาะที่ EVEANDBOY)

                        💖 และ I Heart You Moisture Cream Intense Heart Lipstick SPF25 PA+++ มีให้เลือก 8 เฉดสี

                         

                        4U2 I HEART YOU

                        4U2 I HEART YOU

                        โดยแบบแรกสูตรเนื้อแมทติดทนนาน ทาง่าย ไม่ตกร่องปาก เนื้อลื่นเนียนนุ่ม เม็ดสีแน่นคมชัดกลบสีปากมิด ที่สำคัญแมทสูตรนี้ไม่ทำให้ปากแห้งนะจ๊ะ อีกสูตรคือรุ่นมอยซ์ให้ความฉ่ำวาว ปากอวบอิ่ม น่ารัก น่าจูบ ดูสุขภาพดี สดใสสไตล์เกาหลีถึงไม่ใช่ติ่งก็ฟินได้   ทางแบรนด์ยังเล็งเห็นว่าสุขภาพผิวปากก็มีความสำคัญไม่แพ้ความงาม ทั้งสองรุ่นจึงมี SPF เพื่อคุ้มครองปากไม่ให้หมองคล้ำ แถมอุดมด้วยวิตามินอีที่บำรุงริมฝีปากแบบจัดเต็ม

                        4U2 I HEART YOU

                         

                        ลิปสติกรุ่นใหม่นี้มาในแท่งรูปหัวใจไม่เหมือนใคร น่ารัก น่าสะสม และยังมีกระจกรูปหัวใจสีชมพูหวานน่ารักเข้าชุดกันสุดๆ ควักออกมาส่องทีไร เพื่อนสาวต้องอิจฉาแน่นอน #รีวิว4U2 #ลิปหมุนหัวใจ

                        4U2 I HEART YOU

                        4U2 I HEART YOU

                        (4U2 I Heart You ราคาแท่งละ 199 บาท โปรแรงลดเหลือ 149 บาทเท่านั้น/  I Heart You Mirror ราคาปกติ 199 ลดเหลือ 99 บาทเท่านั้น มีจำหน่ายที่  WATSONS, EVEANDBOY, BEAUTRIUM และ www.4U2Thailand.com)

                         

                        อ่านต่อบทความน่าสนใจ คลิก : 

                         

                        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                         

                          ขาดกรดโฟลิก

                          แม่เล่า ขาดกรดโฟลิก ตอนท้อง ลูกเกิดมาพิการเป็นโรคนี้..แต่กำเนิด

                          หากแม่ท้อง ขาดกรดโฟลิก หรือไม่ได้บำรุง โฟเลต อย่างเพียงพอ ก็อาจเสี่ยงทำให้ลูกน้อยเกิดมาพิการแต่กำเนิดได้..ตามไปอ่านอีกหนึ่งเรื่องจริงจากคุณแม่ที่ ขาดกรดโฟลิก ตอนท้อง!

                          แม่เล่าประสบการณ์ละเอียด เพราะ ขาดกรดโฟลิก
                          ทำลูกเกิดมาพิการ!!

                          แม่ท้อง ขาดกรดโฟลิก ไม่ดีแน่!! กรดโฟลิก Folic Acid คือสารอาหารในกลุ่มวิตามิน B ที่มนุษย์สังเคราะห์ขึ้น ในขณะที่ โฟเลต (folate) คือวิตามินชนิดเดียวกันแต่เป็นรูปแบบที่พบได้ในอาหารตามธรรมชาติ

                          Must read : 15 อาหารที่มีโฟเลตสูง ที่แม่ท้องและลูกในท้องควรทาน

                          Must read : 10 วิตามินคนท้อง ที่ควรกินเพื่อบำรุงแม่และลูกในท้อง

                          โฟเลต มีหน้าที่สำคัญในกระบวนการสร้างเม็ดเลือดแดง และให้หลอดประสาทของทารกพัฒนาไปสู่สมองและไขสันหลัง  ซึ่งถือว่าเป็นสารอาหารที่จำเป็นสำหรับว่าที่คุณแม่และสำคัญมากตั้งแต่คิดวางแผนที่จะตั้งครรภ์ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า คุณผู้หญิงก่อนที่จะตั้งครรภ์ ควรเตรียมร่างกายให้พร้อม ด้วยการกินอาหารที่อุดมไปด้วยโฟลิก หรือโฟเลตเป็นเวลาอย่างน้อย 3 เดือนก่อนตั้งครรภ์ และกินต่อเนื่องไปถึงอายุครรภ์ 12 สัปดาห์

                          Must read : เรื่องน่ารู้ โฟลิค กรดโฟลิก เริ่มกินตอนไหนถึงจะดี

                          Must read : ลูกน้อยมีน้ำในสมอง เพราะคุณแม่ท้องขาดโฟลิก

                          ทั้งนี้ความผิดปกติของทารกในครรภ์จะเกิดขึ้นภายใน 3-4 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์ ดังนั้นสำคัญมากๆ คือว่าที่คุณแม่จะต้องมีปริมาณของโฟเลตในร่างกายให้เพียงพอตั้งแต่ระยะแรกๆ ของการตั้งครรภ์ ซึ่งเป็นช่วงที่ทารกกำลังพัฒนาสมองและไขสันหลังอยู่ เพราะโฟเลตจะช่วยป้องกันความผิดปกติของท่อระบบประสาท ช่วยป้องกันและลดปัญหาความผิดปกติของระบบสมอง และระบบประสาทของทารกในครรภ์ รวมถึงภาวะไขสันหลังไม่ปิด

                          ซึ่งก็เป็นเรื่องจริง เพราะหากคุณแม่ท้อง ขาดกรดโฟลิก ก็อาจทำให้ลูกทารกเสี่ยงต่อความพิการ โดยในรายที่เป็นมาก..จะเกิดความพิการทางสมอง ระบบประสาทส่วนกลาง  และกะโหลกศีรษะไม่ปิด  หากปล่อยให้ตั้งครรภ์จนคลอด…ทารก
                          จะมีอายุอยู่ได้ไม่เกิน 24 ชั่วโมง! ในส่วนของประสาทไขสันหลังเองก็เสี่ยงเกิดความพิการได้เหมือนกัน เช่นเดียวกับทารกน้อยคนนี้ ที่เกิดมาเป็น โรคความบกพร่องของกระดูกสันหลัง​ตั้งแต่กำเนิด เพราะคุณแม่ ขาดกรดโฟลิก ตอนท้อง

                          ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : www.honestdocs.co

                           

                          โดยคุณแม่ ได้ออกมาโพสต์เรื่องราวของตัวเองกับการ ขาดกรดโฟลิก ตอนท้อง ผ่านกลุ่มปิดกลุ่มหนึ่ง ใช่ชื่อเฟซบุ๊กว่า Lookpud Praweena ซึ่งก็ทำไมลูกน้อยที่คลอดออกมา เป็น โรคความบกพร่องของกระดูกสันหลัง​ตั้งแต่กำเนิด โดยคุณแม่เล่าว่า…

                          #วันนี้ขออนุญาติเล่าเรื่องของตัวเองเป็นอุทาหรณ์​ ให้แม่ๆได้รู้จักป้องกันและเห็นความสำคัญของการกินกรดโฟลิคนะคะ💊
                          #น้องภีม​ ปัจจุบันอายุ5เดือนกว่าค่ะ น้องป่วยเป็นโรคความบกพร่องของกระดูกสันหลังตั้งแต่กำเนิด #เพราะขาดโฟลิก​ อาจจะดูเหมือนไม่มีอะไรมาก​ แต่อยากให้รู้ถึงผลกระทบทั้งหมด #ภายใต้รอยยิ้มของเด็กคนนี้แบกรับอะไรไว้มากมาย😭

                          ขาดกรดโฟลิก

                          ขาดกรดโฟลิก

                          “เล่าย้อนไปตั้งแต่ที่รู้ตัวว่าท้องเขาครั้งแรก ก็ตอนอายุครรภ์ได้ 12 สัปดาห์แล้วค่ะ พอรู้ก็รีบไปฝากท้องเลย (คือดีใจมากเพราะว่าอยากมีลูก) บำรุงและดูแลตัวเองทุกอย่าง ไปพบหมอตรวจตามนัดปรกติ​ แม่ฝากท้อง กับ รพ.รัฐฯ​ แม้ใช้สิทธิประกันสังคม​ แต่ได้ซาวด์ดูเขาแค่ครั้งเดียว คือตอน 18 สัปดาห์ ซาวด์เพื่อดูในเรื่องของขนาดตัวเด็กและกำหนดคลอด​ ผลวันนั้นคือน้องปรกติดีทุกอย่าง แต่ไม่เห็นเพศ เสร็จแล้วหมอก็แจ้งกำหนดเดือนที่จะคลอดน้องให้เรารู้​ได้ฟังก็ยิ้มปลื้มปริ่มเลยค่ะ
                          ..ช่วงท้องแม่พยายามนับลูกดิ้นตลอดตามที่หมอบอกเพื่อจะบันทึกลงในสมุดสีชมพู​ แต่เชื่อไหมคะว่า​ #ในสมุดน้องภีมไม่เคยมีบันทึกจำนวนการดิ้นไว้สักครั้งเลย​ จนวันคลอดก็ไม่เคยค่ะ เวลาไปตรวจแม่ก็จะแจ้งให้พยาบาลทราบว่าไม่เคยรู้สึกว่าลูกดิ้นเลย​ นอกจากแค่ตอดตึบๆนานๆครั้งแค่นั้น​ คำตอบที่ได้ก็ยังช่วยให้แม่สบายใจมาตลอด​ คือ..คงเป็นเพราะท้องแม่หนามาก​ ตอนไม่ท้องก็เหมือนคนท้องอยู่แล้ว​ เลยทำให้ไม่รู้สึกถึงการดิ้นของลูก​ เพราะฟังเสียงหัวใจของน้องก็เต้นปรกติตามเกณฑ์ดีทุกครั้ง​

                          ขาดกรดโฟลิก

                          🔸10​ มิถุนายน​ 2562 วันที่คลอดน้อง​ แม่ตรวจวัดความดันพบว่าสูงมากถึง 200 กว่า​ นั่งพักและตรวจใหม่ยังไงก็ไม่ลดลง​ (นน.​แม่หนักเกิน 110 kg.ด้วย)​

                          เวลาประมาณ 9 โมงเช้า​​ แม่ถูกส่งไปห้องรอคลอด ปากมดลูกแม่เปิด​ 6-7 ซม.แต่ไม่มีลมเบ่งมาสักที​ ถูกฉีดทั้งยาเร่งคลอด​ และยากันชักหลายเข็มมาก​ จำไม่ได้ว่าเท่าไร​ รอดูอาการและรอลมเบ่งมา..จนประมาณบ่ายโมงตรง​ คุณหมอมาตรวจ​และสรุปว่า​ #แม่ครรภ์เป็นพิษ​ แน่ๆ ต้องส่งผ่าตัดด่วน​ ก่อนเข้าห้องผ่าตัด​ หมอพูดกับแม่ประโยคหนึ่งว่า.. #ไม่ต้องกลัวนะหมอจะพยายามช่วยรักษาชีวิตไว้ให้ได้ทั้งแม่และลูก​ ได้ยินแค่นั้นน้ำตามันไหล​ ความกลัว​ ความกังวลทุ กอย่างมันจุกแน่นไปหมด​ ร้องไห้จนหลับไปตอนไหนไม่รู้ #ผ่าแบบดมยา ในที่สุดน้องก็ผ่าคลอดออกมาสำเร็จ เวลา 13.59 น.​ น้ำหนักแรกคลอดคือ 2,922 กรัม

                          🔸หลังจากที่น้องคลอดเรา 2 แม่ลูกก็ถูกแยกกันไปคนละตึกเลย​ แม่ถูกส่งไปห้อง ICU ต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ​ ส่วนน้องก็ไปอยู่​ ICU เด็กค่ะ​ ไม่ได้เจอหน้ากันเลยสักนิด แม่ก็ไม่รู้ข่าวลูกด้วยว่าเป็นอะไร และเป็นยังไงบ้าง😖และเช้าวันที่​ 11​ มิถุนายน​ 2562 น้องถูกส่งตัวไปผ่าตัดด่วนที่​ รพ.เด็กฯ ตอนนั้นแม่ก็ยังไม่รู้ว่าลูกเป็นอะไร ถามใครก็ไม่ได้เพราะท่อออกซิเจนช่วยหายใจมันยัดเต็มปากจนพูดไม่ได้ ได้ยินแต่พยาบาลในห้อง ICU ประมาณ 3-4 คนเขาคุยกัน ตอนที่มารุมเจาะเลือดทั้งขาแขน ​(ใช้เลือดเยอะมาก)​ เขาพูดกันว่า​ เด็กต้องส่งไปผ่าตัดปิดกระดูกสันหลัง​ที่กรุงเทพฯ​ ตึกนู้นเขาเลยโทรมาบอกให้เจาะเลือดแม่ส่งไปแมทกับลูก​ด้วย​❓❓

                           

                          อ่านต่อ >> “แม่เล่าประสบการณ์ เพราะ ไม่ได้กินโฟลิก ก่อนท้อง
                          ทำลูกเกิดมาพิการ” คลิกหน้า 2

                           

                          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                           

                            เครื่องฟอกอากาศ Samsung

                            3 วิธีลดฝุ่น ให้อากาศบริสุทธิ์ทุกพื้นที่ในบ้าน

                            สภาพแวดล้อม อากาศและมลพิษจากสภาวะปัจจุบัน ทั้ง ฝุ่นละออง ควันเสียจากรถยนต์ ฯลฯ ใครว่ามีแต่เฉพาะนอกบ้าน เพราะภายในบ้านเราก็สามารถสัมผัส และหายใจเอาสิ่งสกปรกเหล่านี้เข้าสู่ร่างกายได้เช่นกัน ซึ่งเสี่ยงต่อการเป็นโรค ภูมิแพ้อากาศ โดยเฉพาะกับลูกน้อย

                             

                            ภูมิแพ้อากาศ อยู่บ้านลูกน้อยก็ป่วยได้นะ !!

                            คุณพ่อคุณแม่เคยสังเกตไหมคะว่าทำไมลูกเล็ก เด็กโต ทุกคนในบ้านถึงมักจะมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหลกันอยู่บ่อยๆ ซึ่ง อาการแบบนี้คือสัญญาณเตือนว่าอาจจะป่วยเป็น “ภูมิแพ้อากาศ” สำหรับโรคภูมิแพ้อากาศ หรือที่เราเรียกกันสั้นๆ ภูมิแพ้อากาศ จะแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ที่มีสาเหตุมาจาก

                            1. ภูมิแพ้อากาศเฉพาะฤดูกาล (Seasonal Allergic Rhinitis)

                            ร่างกายจะได้รับการกระตุ้นจากสารก่อภูมิแพ้ที่กระจายในอากาศที่มากับฤดูกาล ที่มีในรูปแบบของ อากาศเย็น ความชื้น   ลม เกสรดอกไม้ ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 เป็นต้น ซึ่งถ้าลูกน้อยป่วยก็จะเป็นๆ หายๆ ตามฤดูกาลที่มากระตุ้นให้มี  อาการภูมิแพ้อากาศ

                            2. ภูมิแพ้อากาศตลอดทั้งปี (Perennial Allergic Rhinitis)   

                            ภายในบ้านแสนอบอุ่น อาจซ่อนสารก่อภูมิแพ้ ที่มาในรูปแบบของ ไรฝุ่น รังแคสัตว์ เชื้อรา แมลงสาบ เศษอาหาร ฝุ่นใน บ้าน รวมถึงมลพิษในอากาศอย่างฝุ่น PM 2.5 PM10 ควันบุหรี่ ที่ลอยปะปนมากับอากาศ เป็นต้น ซึ่งหากป่วยเป็นภูมิแพ้ อากาศชนิดนี้ ก็จะเป็นตลอดทั้งปี 365 วันเลยค่ะ แล้วยิ่งในลูกเล็กๆ เป็นภูมิแพ้อากาศ ก็อาจจะกระทบกับพัฒนาการการเจริญเติบโตตามวัยได้ค่ะ

                            อาการเด่นๆ เตือนว่าลูกน้อยอาจกำลังป่วยเป็น “ภูมิแพ้อากาศ”   

                            • จาม ไอ หรือเจ็บคอ
                            • คันจมูก ปาก หู ตา ผิวหนัง
                            • คัดจมูก น้ำมูกไหล
                            • น้ำตาไหล ตาแดง ตาบวม หรือขอบตาคล้ำ
                            • ผิวหนังแห้งและคัน ผื่นลมพิษ

                             

                            เครื่องฟอกอากาศ Samsung

                            จะปกป้องลูกน้อยจาก “ภูมิแพ้อากาศ” ได้อย่างไร ?

                            อย่างที่บอกไปค่ะว่า โรคภูมิแพ้อากาศ ที่ลูกน้อย รวมถึงทุกคนในครอบครัวเสี่ยงที่จะเจ็บป่วย สุขภาพแย่กันถ้วนหน้า ตัวการที่ก่อสารภูมิแพ้ให้กับร่างกาย ก็คือมาจากสภาพแวดล้อม สิ่งสกปรกที่มากับอากาศ และก็ฝุ่นขนาดเล็กที่ไม่ว่าจะนอกบ้าน หรือในบ้าน ก็สามารถสัมผัสหายใจเข้าสู่ร่างกายได้ในทุกวัน ฉะนั้นเพื่อเป็นการลดฝุ่นในบ้าน ลดการก่อเชื้อโรค แบคทีเรียที่มากับอากาศ ลองมาดูวิธีสร้างอากาศบริสุทธิ์ภายในบ้านให้สะอาด ปราศจากฝุ่นกันค่ะ

                            เครื่องฟอกอากาศ Samsung

                            1. ล้าง …เครื่องปรับอากาศ

                            เครื่องปรับอากาศไม่ว่าจะติดอยู่ในห้องนั่งเล่น ห้องนอนคุณพ่อคุณแม่ ห้องนอนเจ้าตัวเล็ก แนะนำว่าควรล้างทำความสะอาดแผ่นกรองอากาศทุก 3 เดือน หรืออาจจะล้างปีละ 2-3 ครั้ง เพื่อลดการสะสมของเชื้อโรค เศษฝุ่น ผง ที่อยู่ในเครื่องปรับอากาศ นอกจากเป็นการถนอมเครื่องใช้ไฟฟ้าแล้ว ยังได้อากาศเย็นบริสุทธิ์เพิ่มขึ้นด้วยค่ะ

                            เครื่องฟอกอากาศ Samsung

                            2. ซัก ดูด …เครื่องนอน พื้น พรม

                            ผ้าคลุมเตียง ผ้าห่ม ปลอกหมอน แนะนำให้คุณแม่ถอดออกมาซักทำความสะอาดทุกสัปดาห์ เพื่อจะกำจัดเชื้อโรค ไรฝุ่นตัว ก่อกระตุ้นภูมิแพ้ในร่างกาย ส่วนพื้นพรม โซฟาผ้า ควรทำความสะอาดด้วยการดูดฝุ่นทุกวัน พื้นบ้านต้องกวาด เช็ดถูกทุกวัน โดยเฉพาะครอบครัวที่มีสัตว์เลี้ยง ขนสัตว์ เศษผิวหนัง รังแคที่หลุดร่วงลงบนพื้น ก็เป็นตัวกระตุ้นก่อให้เกิดภูมิแพ้ได้เช่นกันค่ะ

                            เครื่องฟอกอากาศ Samsung

                             

                            3. ติด…เครื่องฟอกอากาศ   

                            เครื่องฟอกอากาศ ชื่อก็บอกอยู่แล้วค่ะว่า ฟอกอากาศที่ไม่ดีให้กลายเป็นอากาศดี หรือฟอกอากาศที่ดีอยู่แล้ว ให้ดีเพิ่มขึ้นไป อีก ดังนั้นแนะนำให้ติดเครื่องฟอกอากาศไว้ภายในบ้านกันค่ะ ไม่ว่าจะห้องนอน หรือห้องนั่งเล่น ก็จะช่วยทำให้อากาศ  ภายในบ้านสะอาด เวลาที่ลูกน้อยหายใจเข้าไปก็มั่นใจได้ว่าจะได้สูดเอาอากาศ และออกซิเจนที่บริสุทธิ์เข้าสู่ปอด และ  ร่างกาย ที่สำคัญนะคะ เครื่องฟอกอากาศยังเป็นตัวช่วยให้สุขภาพดีทุกคนในครอบครัวไม่ป่วยเป็น “โรคภูมิแพ้อากาศ” กัน อีกด้วยนะคะ

                            เครื่องฟอกอากาศ Samsung

                            ใหม่… เครื่องฟอกอากาศ Samsung CUBE ที่แม่เลือกดูแลสุขภาพลูกน้อย และทุกคนในบ้าน

                            คุณพ่อคุณแม่ที่กำลังมองหาเครื่องฟอกอากาศไว้ดูแลสุขภาพของลูกน้อย และทุกคนในครอบครัว แนะนำเครื่องนี้เลย  Samsung CUBE  AX9500  นวัตกรรมฟอกอากาศบริสุทธิ์เพื่อสุขภาพ อยากรู้ไหมว่าทำไมหลายๆ ครอบครัวถึงเลือกใช้ Samsung CUBE  ตามไปดูคุณสมบัติเด่นของเครื่องฟอกอากาศรุ่นนี้กันเลยค่ะ

                            เครื่องฟอกอากาศ Samsung CUBE

                            • ช่วยขจัดฝุ่นอนุภาคเล็ก PM0.3 ได้มากถึง 99.9% ด้วยนวัตกรรมฟอกอากาศบริสุทธิ์หลายขั้นตอน ฟอกอากาศให้ บริสุทธิ์และปลอดภัยด้วยแผ่นกรองอากาศ 3 ชั้น โดยจะดักจับฝุ่นขนาดใหญ่ด้วยแผ่นกรอง Pre-filter ที่สามารถถอดล้างได้ สามารถกรองอากาศให้บริสุทธิ์ยิ่งขึ้นด้วยแผ่นกรอง Activated Carbon ช่วยดูดซับก๊าซอันตรายต่างๆ* และกลิ่นไม่พึง ประสงค์ กรองอากาศให้บริสุทธิ์ขั้นสุดด้วยแผ่นกรอง HEPA กรองฝุ่นอนุภาคเล็กถึงขนาด PM10, PM2.5, PM1.0 และ PM0.3 ได้มากถึง 99.9%** รวมถึงยับยั้งเชื้อแบคทีเรียได้อีกด้วย***

                            เครื่องฟอกอากาศ Samsung CUBE

                            • เครื่องฟอกอากาศ Samsung มีสุดยอดเทคโนโลยีที่เรียกว่า Wind-Free™ Purification เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของซัมซุง ที่สามารถฟอกอากาศบริสุทธิ์ แบบลมไม่ปะทะตัว เป็นการทำงานแบบใช้ระบบการกระจายอากาศบริสุทธิ์ผ่านรูขนาดเล็กๆ นับหมื่น ลดเสียงรบกวนระหว่างการฟอกอากาศ และไม่สร้างกระแสลมปะทะตัว อากาศภายในบ้านจึงสะอาดบริสุทธิ์ เพื่อสุขภาพที่ดีทุกลมหายใจ เมื่อเปิดโหมดอัตโนมัติ เครื่องจะปรับระดับคุณภาพอากาศภายในห้องให้บริสุทธิ์ก่อน และจะเปลี่ยนเป็นระบบวินด์ฟรีโดยอัตโนมัติ เพื่อคงอากาศสะอาดบริสุทธิ์กระจายไปทั่วห้องได้อย่างนุ่มนวลไม่มีลมปะทะตัว เงียบสนิทไร้เสียงรบกวนผ่าน 60,000 Micro Holes
                            • มีระบบส่งงานอัจฉริยะ SmartThings ที่คุณแม่สามารถสั่งงานด้วยเสียงผ่าน Bixby* และ Wi-Fi เทคโนโลยีสุดล้ำจากสมาร์ทโฟน ผสมผสานแพลตฟอร์มอัจฉริยะ เชื่อมต่อให้เข้ากับเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านได้อย่างง่ายดายส่งมอบชีวิตที่เชื่อมต่อให้กับทุกคน เพียงโหลด SmartThings แอปพลิเคชั่น ก็สามารถสั่งงานควบคุมเปิดปิด เช็คสถานะการทำงานของเครื่องฟอกอากาศ ได้ทุกที่ทุกเวลา** ผ่านสมาร์ทโฟน เพื่อเตรียมอากาศสะอาดบริสุทธิ์ทุก ลมหายใจ ให้ปลอดภัยจากมลพิษทางอากาศภายนอกบ้าน สูดอากาศบริสุทธิ์ภายในบ้านได้เต็มปอดอีกครั้ง

                            ส่วนเรื่องดีไซน์ของเครื่องฟอกอากาศที่หลายๆ คนมักจะคิดว่าใหญ่เทอะทะ จะวางในบ้านมุมไหนก็ไม่น่ามองเอาซะเลย   ขอให้ลืมภาพนั้นไปค่ะ เพราะ เครื่องฟอกอากาศ Samsung CUBE  ออกแบบมาให้มีดีไซน์หรูดูพรีเมียม แบบมินิมัลสไตล์  สามารถจัดวางให้เข้ากับทุกมุม ทุกห้องของบ้าน สวยดึงดูดทุกสายตา ทำให้ บรรยากาศภายในบ้านน่าอยู่มากค่ะ

                            เครื่องฟอกอากาศ Samsung

                             

                            ติดเครื่องฟอกอากาศสักเครื่องในบ้านแล้วช่วยให้ลูกน้อยไม่มีปัญหาสุขภาพ ไม่ว่าจะโรคภูมิแพ้อากาศ หรืออาการผดผื่นแพ้  ขึ้นตามตัวแบบไม่รู้สาเหตุ ให้หายไปได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่สร้างอากาศที่บริสุทธิ์ขึ้นภายในบ้านของเราเองทุกวัน แค่นี้ก็ตอบได้แล้วค่ะว่า เครื่องฟอกอากาศ จำเป็นกับสุขภาพมากแค่ไหน

                            ครอบครัวไหนที่สนใจ เครื่องฟอกอากาศ Samsung CUBE อยากจะมีสักเครื่อง สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.samsung.com/th/air-purifier/air-purifier-cube-ax9500n/

                            #เครื่องฟอกอากาศSamsung #SamsungCUBE

                              สายสิญจน์

                              อุทาหรณ์เพราะ สายสิญจน์ บัง! ลูกเอายางรัดข้อมือ แม่รู้อีกทีกลายเป็นแผลลึก

                              อุทาหรณ์..อันตรายใกล้ตัว บ้านไหนทำขวัญให้ลูกน้อยใส่ สายสิญจน์ ระวังให้ดี ลูกเผลอเล่นยางรัดผมใส่ที่ข้อมือ ถูกสายสิญจน์บัง แม่รู้อีกทีกลายเป็นแผลลึก!

                              ลูกใส่ สายสิญจน์ ระวังให้ดี!!
                              อุทาหรณ์แม่รู้อีกทีกลายเป็นแผลเหวอะ

                              สายสิญจน์ คือด้ายดิบที่นำมาเข้าพิธีปลุกเสก ซึ่งการนำ สายสิญจน์มาผูกข้อมือให้เด็กทารก ก็เป็นอีกหนึ่งความเชื่อโบราณเรื่องการรับขวัญที่มีมานาน โดยเชื่อกันว่าการผูกข้อมือด้วยสายสิญจน์ที่ผ่านพิธีกรรมแล้วให้กับทารกที่เพิ่งเกิด จะเป็นการปัดเป่าเคราะห์โศก โรคภัยให้ออกไป โดยจะให้ทั้งปู่ย่าตายายพ่อแม่และญาติๆ ทำการผูกด้ายสายสิญจน์รับขวัญลูกหลานตัวน้อยโดยเรียงลำดับกันไปจนครบทุกคน

                              Must read : ความเชื่อโบราณ! การไหว้ผีบ้านผีเรือน-แม่ซื้อ และรับขวัญเมื่อพาลูกทารกเข้าบ้าน

                              Must read : 10 คาถาป้องกันภัย ช่วยแม่-ลูก แคล้วคลาด ปลอดภัย ทุกสถานการณ์

                              แต่เหรียญย่อมมี 2 ด้านฉันใด สายสิญจน์ที่ช่วยเรื่องปัดเป่าเคราะห์โศก โรคภัย ก็อาจเป็นอันตรายทำให้ลูกน้อยได้รับบาดเจ็บด้วยก็เป็นได้ฉันนั้น … เช่นเดียวกับเหตุการณ์นี้ ที่คุณแม่ได้ออกมาโพสต์เตือนถึงอันตรายของการให้ลูกใส่ สายสิญจน์ที่ข้อมือ ที่ปรากฏว่า จู่ๆ มีอยู่วันหนึ่งอาบน้ำให้ลูกแล้วร้องว่าเจ็บเลยเพิ่งมารู้ ว่าลูกเผลอไปเอายางรัดผมมาใส่ที่ข้อมือ ซึ่งก็ไม่สามารถเห็นได้เพราะ สายสิญจน์ บังอยู่ มารู้อีกทีก็พบว่าที่ข้อมือของลูกกลายเป็นแผลลึกเหวอะไปแล้ว

                              โดยคุณแม่ได้ใช้ เฟซบุ๊ก ชื่อ GaTae Yamaha โพสต์ภาพและข้อความในกลุ่มปิดกลุ่มหนึ่ง เพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้กับพ่อแม่คนอื่นๆ … ที่เผยให้เห็นแผลที่ข้อมือของลูกน้อยวัย 2.7 ขวบ พร้อมระบุข้อความว่า…

                              “อุทาหรณ์ เตือนพ่อแม่ เด็กที่มีสายสิญจน์ผูกข้อมือ เราจะไม่รู้เลยว่าเค้าจะเอาหนังยางใส่ข้อมือตัวเค้าเองตอนไหน กว่าจะเห็นข้อมือลูกก็เป็นแผลเหวอะไปแล้ว ถ้าวันนี้ไม่เห็น ถ้าลูกไม่บอกว่าเจ็บ แล้วเวลาผ่านไปอีกไม่รู้เลยว่าจะเป็นยังไง…ฝากไว้เป็นอุทาหรณ์เตือนพ่อแม่ที่มีลูกน้อยด้วยค่ะ #อันตรายใกล้ตัวจริงๆ”

                              สายสิญจน์

                              สายสิญจน์

                              สายสิญจน์

                              สายสิญจน์

                              ทั้งนี้ เรื่องราวดังกล่าวก็ได้เผยแพร่สู่โลกออนไลน์ และมียอดแชร์กว่า 800 ครั้ง อีกทั้งยังมีชาวเน็ตจำนวนมากเข้ามาแสดงความคิดเห็นมากมาย เช่น

                              • สงสารน้องจังเลย
                              • เคยเหมือนกันค่ะแต่แค่ไม่นาน ลูกใส่เสื้อแขนยาว ลูกก็เล่นยางแบบนี้แหละค่ะ รัดเข้าไปน่าจะ 10เส้นได้ ดีนะที่เห็นก่อน ถ้าปล่อยไว้แบบนั้นทั้งคืน คงแย่
                              • ที่บ้านไม่ใส่ให้ ผูกแค่ตอนรับขวัญ2-3วันก้ตัดออกแล้ว มันสกปรก
                              • บ้านนี้มีสามีคนเกาหลีไม่เชื่ออะไรแบบนี้เลย ยายมาเยี่ยมทีไรมัดให้ตลอด มัดให้ได้ไม่นาน ก่อนอาบน้ำสามีบอกให้ตัดทิ้ง เพราะมันหมักหมม อับชื้น ทั้งเชื้อโรค เชื้อรา ยิ้งเด็กเล็ก ชอบอมชอบดูดมือ แต่ไม่อยากขัดแม่ให้แกมัดให้สมใจก่อน แล้วค่อยตัดออก
                              • เป็นอีกเรื่องที่ระวังมาก เราไม่ยอมให้มีอะไรที่มือที่เท้าลูกเลย มีญาติผู้ใหญ่เคยบอกว่าให้หากระดิ่งใส่ข้อเท้าลูก เวลาขยับจะมีเสียงกรุ๊งกริ๊งๆ อิแม่ได้แต่สงบสติ อยากบ่นแต่ต้องเงียบ
                              • เคยเหมือนกันค่ะลูกไปโรงเรียนอนุบาลไม่รู้ว่าเอายางในห้องที่คุณครูมัดผมเด็กผู้หญิงมาใส่ข้อมือตอนไหนจนเย็นเลิกเรียนไปรับถึงเห็นมือบวมมากดีที่ไปหาหมอทันค่ะ…นอยมากค่ะตอนนั้นคุณครูไม่เห็นเลยค่ะจนไปรับแล้วเห็นคุณครูเลยเพิ่งเห็น
                              • บ้างก็บอกว่า เราไม่ให้ลูกใส่อะไรเรย มันอับชื้น แต่ก็โดนผู้ใหญ่ดุบ่อยๆว่าต้องใส่ จะได้ไม่มีอะไรมารบกวนลูก ส่วนตัวเราเชื่อนะ แต่พอใส่ให้ลูกที่ไรก็เปื้อย เหนื่อยใจ
                              • เข้าใจนะว่าศรัทธา แต่เด็กก็ไม่ควรจะใส่อะไรเยอะแยะในข้อมือเพราะเป็นอันตราย
                              • และเตือนให้พ่อแม่ควรสังเกตลูกดี ๆ ซึ่งทางที่ดีเลยก็คือ อย่าใส่สายสิญจน์ให้ลูกเป็นเวลานาน เพราะสายสิญจน์แบบนี้ใส่ไปไม่กี่วันเวลาอาบน้ำก็จะเริ่มมีกลิ่นเป็นแหล่งรวมของเชื้อโรคอีกด้วย

                               

                              ซึ่งตัวคุณแม่เองก็ได้บอกว่าต่อไปก็จะไม่ให้ใส่อะไรอีกแล้ว เพราะกลัวจะเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นอีก ไม่ใช่ไม่ศรัทธาในตัวพระสงฆ์องค์เจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ป้องกันไว้ดีกว่า เกรงว่าจะส่งผลต่อสุขภาพลูกน้อยมากกว่า ส่วนอาการล่าสุดแผลน้องก็ปิด แผลเริ่มแห้งแล้ว แต่คุณแม่บอกว่ายังต้องกินยาแก้อักเสบ และหมอบอกว่าอย่าให้แผลโดนน้ำ ทีมแม่ ABK ก็ขอให้น้องหายเป็นปกติไวๆ นะคะ

                              สิ่งของใกล้ตัวต่ออันตรายลูกทารก ที่พ่อแม่คาดไม่ถึง

                              ครอบครัวไหน ที่ลูกน้อยอยู่ใน “วัยหยิบจับ” จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องคอยระวังอย่าให้ลูกน้อยคาดสายตา เพราะหากเผลอไปหยิบสิ่งของที่ไม่สมควรเอามาเล่นก็อาจเป็นอันตราย ได้ เช่น ลูกปัด-กระดุม , ฝาขวดน้ำ , เหรียญเงิน หรือ กระดาษทิชชู่, สำลี ซึ่งเด็กจะชอบมาก และสามารถเผลอเอาเข้าปากเข้าจมูก ได้ รวมไปถึงหนังยาง หรือ ที่รัดผม ที่ลูกอาจหยิบเล่นก็สามารถเอาเข้าปากหรือเผลอใส่มือใส่เท้ารัดข้อรัดนิ้ว โดยที่คุณพ่อคุณแม่ไม่เห็นก็เป็นได้

                              อย่างไรก็ตามอันตรายอยู่รอบตัวจริงๆนะคะ เพราะเด็กๆ จะหยิบจับเล่นตามประสา แต่คุณพ่อคุณแม่เองต้องระวังให้มากกว่านี้ ต้องคอยหมั่นเช็กตัวลูกทุกๆวัน มิเช่นนั้นอาจจะเป็นเหมือนหนูน้อยคนนี้ได้นะคะ ด้วยความปรารถนาดีจากทีมแม่ ABK

                               

                              อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิก!


                              ขอบคุณข้อมูลและภาพจากคุณแม่เฟซบุ๊ก : ‎GaTae Yamaha

                              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                               

                                แม่วัยใส

                                ครม. ออกกฏกระทรวงช่วย แม่วัยใส หาคนรับเลี้ยงดูลูกให้

                                ครม. เห็นชอบร่างกฎกระทรวงการจัดสวัสดิการสังคมที่เกี่ยวกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น เพื่อช่วยให้ แม่วัยใส มีทางออกเมื่อท้องไม่พร้อม

                                ครม. ออกกฏกระทรวงช่วย แม่วัยใส หาคนรับเลี้ยงดูลูกให้

                                จากปัญหาการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควรมีเพิ่มสูงขึ้น โดยพบว่าในปีพ.ศ. 2561 พบ แม่วัยใส อายุ 10-19 ปี คลอดบุตรเฉลี่ย 119 คนต่อวัน และพบว่าตั้งครรภ์ซ้ำสูงถึง 6,543 คน ซึ่ง ภาวะท้องไม่พร้อมก่อให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับแม่และเด็กหลายอย่าง เนื่องจากผู้ตั้งครรภ์ไม่ได้วางแผนเพื่อเตรียมตัวมีบุตรมาก่อน จึงอาจส่งผลต่อสุขภาพครรภ์ของตนเองและทารกในครรภ์ได้ ดังนั้น คณะรัฐมนตรีจึงได้ทำงานเชิงรุก โดยส่งเสริมสนับสนุนให้สภาเด็กและเยาวชนทุกระดับสร้างเครือข่ายเด็กและเยาวชนในพื้นที่เพื่อเป็นแกนนำป้องกัน แก้ไข และเฝ้าระวังปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น  และส่งเสริมสนับสนุนให้หน่วยงานภาครัฐและเอกชนได้รับข้อมูลข่าวสารและความรู้ รวมถึงบริการและสวัสดิการทางสังคมต่าง ๆ เพื่อเป็นประโยชน์ในการปฏิบัติหน้าที่และเฝ้าระวัง และเพื่อให้ไปเป็นตามพระราชบัญญัติการป้องกันและแก้ปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พ.ศ.2559 ที่กำหนดให้รัฐต้องจัดสวัสดิการสังคมที่เกี่ยวกับการป้องกันและการแก้ปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น ทางครม. จึงผ่านร่างกฎกระทรวงการจัดสวัสดิการสังคมที่เกี่ยวกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น ให้ดำเนินการตามสาระสำคัญต่อไปนี้

                                ท้องไม่พร้อม
                                ท้องไม่พร้อม

                                1. ให้ร่างกฎกระทรวงมีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด 60 วัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

                                2. กำหนดบทนิยามคำว่า “สภาเด็กและเยาวชนระดับจังหวัดและระดับอำเภอ”

                                3. ส่งเสริมสนับสนุนสภาเด็กและเยาวชนทุกระดับ โดยจัดให้มีการสร้างเครือข่ายเด็กและเยาวชนในพื้นที่เพื่อเป็นแกนนำป้องกัน แก้ไข และเฝ้าระวังปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น

                                4. ส่งเสริมสนับสนุนหน่วยงานรัฐและหน่วยงานของเอกชน โดยจัดให้ได้รับข้อมูลข่าวสารและความรู้ รวมถึงบริการและสวัสดิการทางสังคมต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ในการทำหน้าที่ประสานงานและเฝ้าระวัง

                                5. กำหนดให้กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัวจัดให้มีการฝึกอาชีพ หรือจัดหาที่ฝึกอาชีพให้แก่วัยรุ่นที่ตั้งครรภ์หรือแม่วัยรุ่นที่ประสงค์จะเข้ารับการฝึกอาชีพตามความสนใจและความถนัด

                                6. กำหนดให้กรมกิจการเด็กและเยาวชนจัดหาผู้ที่ประสงค์จะรับเลี้ยงดูบุตรของแม่วัยรุ่นเป็น การชั่วคราวเพื่อทำหน้าที่ครอบครัวทดแทนในกรณีที่แม่วัยรุ่นไม่สามารถเลี้ยงดูบุตรด้วยตนเองได้

                                7. กำหนดให้มีบริการให้คำปรึกษาหรือคำแนะนำแก่วัยรุ่นและครอบครัว และให้กรมกิจการเด็กและเยาวชนจัดหาที่พักที่เหมาะสมและปลอดภัย พร้อมทั้งประสานความร่วมมือกับหน่วยงานภายในกระทรวง ส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และหน่วยงานเอกชนที่เกี่ยวข้อง ให้วัยรุ่นที่ต้องการหรือแม่วัยรุ่นได้รับการศึกษา อย่างเหมาะสมและบริการดูแลสุขภาพอย่างต่อเนื่อง และได้รับการฝึกอาชีพหรือทำงานอื่นใดตามความสนใจหรือความถนัด

                                ที่มา: ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชาถ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 26 พฤศจิกายน 2562

                                จะเห็นได้ว่าในข้อที่ 5 6 และ 7 จะมุ่งเน้นไปที่การช่วยแก้ไขปัญหาเมื่อ แม่วัยใส ท้องไม่พร้อม โดยจะจัดหาผู้ปกครองเลี้ยงลูกให้แม่วัยใสชั่วคราว พร้อมทั้งให้คำปรึกษาจัดหาอาชีพ เพื่อให้แม่วัยใสสามารถทำงานเลี้ยงดูบุตรได้ต่อไป ซึ่งเมื่อร่างกฏกระทรวงนี้มีผลบังคับใช้ ก็ได้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์หลายทางด้วยกัน มีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ดังความคิดเห็นต่อไปนี้

                                 

                                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                อ่านต่อ ครม. ออกกฏกระทรวงช่วย แม่วัยใส หาคนรับเลี้ยงดูลูกให้

                                  เรียนดนตรี

                                  ให้ลูกเรียนดนตรี กี่ขวบดี? แชร์ประสบการณ์ โดย พ่อเอก

                                  “ให้ลูกเรียนดนตรี กี่ขวบดี?” “เด็กน่าจะเริ่มเล่นดนตรีตอนอายุเท่าไหร่?”

                                  คุณครูท่านหนึ่ง เคยตอบไว้ตอนที่เห็นว่า ปั้นแป้งทำท่าอยากเรียนไวโอลิน เมื่อครั้งที่เราพาเจ้าไวโอลินของพี่ปูนปั้นไปทำการเปลี่ยนสาย

                                  “สัก 5 ขวบค่อยพามาเรียนดีกว่าค่ะ เพราะเห็นมาหลายคนแล้ว บางคนมาเหมือนมีพรสวรรค์ติดตัว จับเครื่องปุ๊บ ท่าเป๊ะ สีออกมาแบบใช้ได้เลย แต่มาเรียนไม่กี่ครั้งพอยากขึ้นก็เลิก”

                                  ครอบครัวเราเองก็เคยมีประสบการณ์ประมาณนี้

                                  ในตอนที่พี่ปูนปั้นเรียนอยู่อนุบาลหนึ่งและมีคุณครูจากโรงเรียนดนตรีที่มีชื่อเสียงมาสอน คุณครูเขียนข้อความสั้นๆ กลับมาว่า “เป็นเด็กที่น่าส่งเสริมทางด้านดนตรี” เราจึงพาปูนปั้นไปที่โรงเรียนนั้นและพี่ปูนปั้นก็ตื่นตาตื่นใจกับเสียงของเปียโนและตกลงที่จะเรียน เราเองพร้อมสนับสนุนลูกอยู่แล้ว เช้าวันเสาร์เราจึงตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อพาพี่ปูนปั้นไปเรียนเปียโน ซึ่งช่วงแรกๆ ก็แววดีสนุกสนานกับการเรียน แต่พอผ่านไปพักใหญ่ๆ เพลงยากขึ้น ต้องเล่นทีละ 2 มือพร้อมกัน ก็เริ่มมีงอแง ช่วงนั้นก็พยายามเชียร์กันไปถูๆ ไถๆ ไปในที่สุดก็รู้สึกได้ว่า ลูกไม่ได้สนุกกับการเรียนดนตรีตอนนั้นแล้ว เราเกรงใจคุณครูที่พยายามคะยั้นคะยอให้เล่นกว่าจะผ่านไปแต่ละครั้งก็เลยตัดสินใจถามเจ้าตัว เจ้าตัวบอกว่าไม่อยากเรียนแล้วจริงๆ เราก็เลยตกลงว่าจบในระยะเวลาประมาณครึ่งปี จากนั้นก็ไม่ได้มีการเรียนดนตรีอะไรนอกจากเปิดเพลงให้ฟัง เพราะพี่ปูนปั้นชอบฟังเพลงทั้งไทยและสากลที่ป๊ากับมี้ฟัง ตั้งแต่เฉลียง อินโนเซนต์ QUEEN ไปจนถึง Maroon5 BNK48 โดยมี Freddie Mercury เป็นขวัญใจตามปะป๊า

                                  จนกระทั่งพี่ปูนปั้นขึ้น ป.1 ก็เลยถามว่าหลังเลิกเรียนอยากทำกิจกรรมอะไร (เพราะป๊ากับมี้เป็นมนุษย์เงินเดือนต้องเลิกงานถึงมารับได้ เราจึงอยากให้เขามีกิจกรรมที่เขาเลือกเองทำ ในระหว่างที่รอเรามารับ) หนึ่งในหวยที่ออกคืออยากเรียนดนตรี เรามีให้ดูว่าที่โรงเรียนมีอะไรให้เรียนบ้าง และให้ข้อมูลเพื่อให้เขามีส่วนร่วมในการเลือก และมาจบที่ไวโอลิน

                                  บทความแนะนำ เรียนดนตรีดียังไง หลายเหตุผลที่บอกว่า เลี้ยงลูกด้วยดนตรี มีโอกาสประสบความสำเร็จในชีวิต

                                  ในวัย 7 ขวบพี่ปูนปั้นมีความสุขกับการเรียนไวโอลินมากและแม้จะย้ายจากโรงเรียนนั้นมาเรียนโรงเรียนทางเลือกใกล้บ้านแล้ว พี่ปูนปั้นก็ยังยืนยันอยากเรียนไวโอลินต่อ เราจึงหาที่เรียนใกล้ๆ บ้านให้ โดยพาเขาไปลองเรียนก่อน เพราะคราวนี้จะเป็นการเรียนแบบ 1 ต่อ 1 ซึ่งจะดูจริงจังกว่าเรียนที่โรงเรียนเดิม ซึ่งคุณครู 1 คนจะมีเด็ก 2-3 คนเรียนพร้อมกัน ในการทดลองเรียนแบบ 1 ต่อ 1 เราก็แอบยืนดูอยู่ข้างนอก ในใจผมคิดว่า พี่ปูนปั้นน่าจะตอบว่าไม่ชอบ เพราะดูจริงจังทีเดียว แต่ผิดคาด พี่ปูนปั้นบอกว่าชอบอยากเรียน (สารภาพเลยตอนนั้นยังหวั่นๆ ว่า จะเรียนสักกี่ครั้งกันว้า) ผลปรากฏว่าผิดคาดอีกครั้งเพราะนอกจากจะตั้งใจเรียนจนครูชม ยังกลับมาซ้อมทุกวัน ซ้อมมากกว่าที่ครูบอก ขึ้นรถหลายๆ ครั้งขอฟังเพลงที่ใช้ไวโอลิน จนอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้าจะได้แสดงโชว์ คุณครูบอกว่าขอให้มาวันอาทิตย์เพื่อซ้อมจังหวะพร้อมเปียโน ก็ทำให้พี่ปูนปั้นตาโตอยากไปลองมากๆ

                                  ปูนปั้น เรียนเปียโน
                                  ปูนปั้นกำลังสนุกกับเครื่องดนตรีของเขา

                                  ให้ลูกเรียนดนตรี กี่ขวบดี?

                                  แม้ว่าจริงๆ จะมีเด็กที่มีพรสวรรค์และสามารถเล่นและเรียนดนตรีได้ตั้งแต่เล็ก แต่ก็เป็นส่วนน้อย วัยที่พร้อมน่าจะทำให้การเรียนดนตรีมีความสุขทั้งผู้เรียนและผู้สอน ทำให้สามารถพัฒนาไปได้ดี การพยายามผลักดันในวัยที่ไม่พร้อมอาจจะส่งผลเสียหากเด็กเกิดไม่ชอบดนตรีไปเลย เราอาจจะโชคดีที่พี่ปูนปั้นแม้จะเลิกเปียโนแต่ก็ยังอยากเรียนดนตรีจึงมาได้เรียนไวโอลินที่ตัวเองเลือกเองและชอบ ตอนนี้ก็ละเมอเพ้อพกว่าจะเล่นให้เก่งเพื่อมาเล่นเพลง Memories ของ Maroon5 และไปจนถึง เชลโล่ กลองชุด ซอม้า เรื่อยเปื่อย

                                  อีกหนึ่งอย่างที่อาจจะเป็นข้อพิสูจน์ว่าวัยที่เหมาะสม มีส่วนสำคัญต่อความพร้อมของกายและใจคือ เมื่อปูนปั้นมาเรียนไวโอลินตั้งแต่คลาสที่ 2 คุณครูก็บอกว่า หูเขาฟังได้ดีแยกเสียงได้ดี และตอนที่ไปซ่อมไวโอลินเจ้าของร้านซึ่งจบทางด้านดนตรีจากสถาบันที่มีชื่อเสียงและเป็นครูสอนดนตรีได้ลองให้ปูนปั้นเล่นให้ฟัง ก็บอกว่า เขาฟังดีหูเขาดี ซึ่งตรงกับที่คุณครูดนตรีสมัยอนุบาลเคยเขียนไว้ว่าน่าส่งเสริมด้านดนตรี แต่ในตอนนั้นวัยอาจจะยังไม่ถึงจุดที่พร้อม

                                  ดังนั้นในวัยเด็กเล็กจริงๆ ถ้าอยากปลูกฝังให้เขารักดนตรี อาจจะเริ่มจากคลาสที่มีลักษณะกิจกรรมในเชิงกิจกรรมเข้าจังหวะเพราะเด็กจะสนุกและไม่ต้องเคร่งกับการที่กลับมาฝึกซ้อมที่บ้านและเมื่อกายพร้อมใจพร้อม ตัวโน้ตในหัวใจก็จะออกมาเริงระบำเอง

                                  บทความนี้ไม่ได้สรุปว่าเด็กอายุต่ำกว่า 5-6 ขวบไม่ควรเล่นดนตรี แต่แบ่งปันคำแนะนำจากผู้รู้ครูบาอาจารย์และประสบการณ์ของครอบครัวตัวเองฮะ


                                  >>แวะไปดู รอยยิ้มหวานฉ่ำ ที่มีแจกฟรีทุกวันได้ที่เฟซบุ๊ค

                                  หมุนรอบลูก – พี่ปูนปั้น กับ น้องปั้นแป้ง นะครับ<<

                                  ปูนปั้น ปั้นแป้ง พ่อเอก
                                  ปูนปั้น ปั้นแป้ง พ่อเอก เพจหมุนรอบลูก

                                  บทความน่าสนใจอื่นๆ

                                  6 ข้อดีที่ผมได้เรียนรู้ จากประสบการณ์ พาลูกท่องเที่ยว

                                  แชร์เทคนิค”สอนลูกให้รู้จักรับผิดชอบ”ตั้งแต่เด็ก

                                  “ลูกทำผิด” เทคนิคสอนลูก แบบไม่ต้อง “ทำโทษ”

                                   

                                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                    โรคภูมิแพ้

                                    ทำอย่างไรเมื่อลูกเป็น “โรคภูมิแพ้” ?

                                    โรคภูมิแพ้ สามารถเกิดขึ้นได้กับเด็กทุกเพศ ทุกวัยเลยค่ะ แต่ที่พบว่ามีปัญหาสุขภาพที่มีสาเหตุมาจากโรค ภูมิแพ้ มักจะเป็นกลุ่มเด็กเล็ก และเด็กวัยเรียน เนื่องจากภูมิต้านทานต่อโรคในร่างกายยังไม่แข็งแรง ทำให้ง่ายต่อการรับเอาเชื้อโรค หรือสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย จนทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยขึ้นได้ง่ายนั่นเองค่ะ

                                    ที่ผ่านมาหลายหน่วยงานได้ให้ความสำคัญต่อสุขภาพของกลุ่มเด็กเล็ก และกลุ่มเด็กที่อยู่ในวัยเรียน จึงได้มีการ ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการดูแลสุขภาพเพื่อไม่ให้ลูกน้อยมีปัญหาสุขภาพที่เกิดจากโรคภูมิแพ้ และเมื่อเร็วๆ นี้ Pharmax & iCare ได้จัดสัมมนาพิเศษ ซึ่งให้ความรู้โดย พญ.สุรีรัตน์ พงศ์พฤกษา กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โรคภูมิแพ้ หอบหืด และวิทยาภูมิคุ้มกัน ประจำศูนย์กุมารเวช และภูมิแพ้ โรงพยาบาลเปาโล พหลโยธิน เพื่อให้ความรู้แก้พ่อแม่ ผู้ปกครองในการดูแลสุขภาพลูกน้อย โดยเฉพาะกับเด็กที่มีปัญหาโรคภูมิแพ้ รวมถึงการดูแลสุขภาพเพื่อป้องกันโรคติดเชื้อต่างๆ ที่สามารถเกิดขึ้นกับกลุ่มเด็กเล็ก และเด็กโตที่กำลังอยู่ในวัยเรียน

                                    โรคภูมิแพ้

                                    โรคภูมิแพ้ เกิดจากอะไร ?

                                    แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพได้บอกถึงที่มาของสาเหตุการเกิด โรคภูมิแพ้ ในเด็กนั่นเกิดจากร่างกายตอบสนองต่อสารกระตุ้นที่ในภาวะปกติ ซึ่งไม่ทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย เช่น ไรฝุ่น ละอองเกสรพืช แล้วเกิดการตอบสนองอย่างมากจนผิดปกติ ทำให้เกิดการอักเสบในอวัยวะที่สัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ อีกสาเหตุหนึ่งของการเกิดโรค คือมาจากพันธุกรรม และสิ่งแวดล้อม โดยพบว่าถ้าสามี หรือ ภรรยาเป็นโรคภูมิแพ้ ก็จะทำให้ลูกมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้ประมาณร้อยละ 30-50 แต่ถ้าทั้งสามีและภรรยาเป็นโรคภูมิแพ้ จะมีผลให้ลูกมีโอกาศเป็นโรคภูมิแพ้มากขึ้นถึงร้อยละ 50-701

                                     

                                    ถ้าลูกป่วยเป็นภูมิแพ้ ควรดูแลสุขภาพอย่างไร ?

                                    คุณหมอแนะนำว่า ควรได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและเหมาะสม ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรพาลูกน้อยไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษา นอกจากนี้ควรดูแลให้ลูกมีสุขภาพ และภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงอยู่ตลอดเวลา ให้เด็กๆ ได้รับประทานอาหารครบ 5 หมู่ หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้เกิดอาการแพ้ โดยเฉพาะอาหารบางกลุ่มที่เสี่ยงกระตุ้นให้เกิดการแพ้ขึ้นในร่างกาย เช่น อาหารทะเล ถั่วลิสง เป็นต้น ส่งเสริมให้ลูกได้ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม

                                    ที่สำคัญปัจจุบันมีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์ เกี่ยวกับบทบาทของโพรไบโอติก ในร่างกายของคนเราจะมีจุลินทรีย์ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกแบคทีเรีย อาศัยอยู่กับเรามากมายเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบบทางเดินอาหาร เป็นเชื้อดีมีประโยชน์ จุลินทรีย์เหล่านี้อยู่ในร่างกายมาตั้งแต่คลอด โดยเด็กจะได้รับจากแม่ทั้งจากเมือกบริเวณช่องคลอด และในน้ำนมแม่ก็จะมีจุลินทรีย์ดีเหล่านี้รวมอยู่ด้วย เช่น แล็กโทบาซิลลัส รียูเทอรี รวมทั้งสารพรีไบโอติกซึ่งเป็นอาหารของจุลินทรีย์เชื้อดีเหล่านี้  จุลินทรีย์เชื้อดีพวกนี้มีประโยชน์มาก พวกมันจะทำหน้าที่หลายอย่าง เช่น ช่วยในการย่อยอาหาร กำจัดเชื้อร้ายก่อโรค และมีส่วนสำคัญในการช่วยกระตุ้นและเสริมภูมิคุ้มกัน2

                                    โรคภูมิแพ้

                                    โพรไบโอติก (Probiotic) ช่วยให้สุขภาพดีได้อย่างไร ?

                                    โพรไบโอติกที่ชื่อว่า Lactobacillus reuteri Protectis (แล็กโทบาซิลลัส รียูเทอรี โพรเทคทิส) มีการศึกษาที่ประเทศสวีเดน โดยให้หญิงตั้งครรภ์ที่มีความเสียงจะเกิดโรคภูมิแพ้ในทารก คือตัวแม่เองก็เป็นโรคภูมิแพ้ ซึ่งมีโอกาสสูงมากที่ลูกจะเกิดโรคภูมิแพ้ตามพันธุกรรม การศึกษานี้เขาให้แม่ทานโพรไบโอติก Lactobacillus reuteri Protectis 1 เดือนก่อนคลอด จากนั้นเมื่อคลอดแล้วก็ให้ลูกกินโพรไบโอติก Lactobacillus reuteri Protectis นี้ต่อไปอีก 1 ปี แล้วตามดูอัตราการเกิดผื่นภูมิแพ้ไปจนลูกอายุ 2 ปี โดยเป็นการศึกษาเทียบกับกลุ่มที่ได้ยาหลอก จากการศึกษาก็พบว่ากลุ่มที่กินโพรไบโอติก Lactobacillus reuteri Protectis มีอัตราการเกิดผื่นภูมิแพ้น้อยกว่ากลุ่มที่กินยาหลอกถึง 12% และที่สำคัญไม่พบการเกิดผลข้างเคียงหรืออันตรายจากการกินที่แตกต่างจากการกินยาหลอก

                                     

                                    ทำไมเด็กวัยเรียน จึงเสี่ยงต่อการเกิดโรคภูมิแพ้ ?

                                    เด็กที่อยู่ในวัยเรียนมักจะเจ็บป่วยได้บ่อย เนื่องจากติดต่อโรคกันกับเพื่อนในชั้นเรียน หลายครั้งเป็นกันทั้งห้อง อย่างที่พบบ่อยๆ ก็จะมี ท้องเสียซึ่งเกิดจากเชื้อโรต้าไวรัส หรือโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ เช่น หวัด ปอดอักเสบ อันนี้ก็เจอได้บ่อย ทีนี้จะไม่ให้ลูกไปโรงเรียนก็คงเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดก็คือก็ดูแลให้ร่างกายของเขาแข็งแรง และมีภูมิคุ้มกันที่ดี

                                    โพรไบโอติกสามารถเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง อีกทั้งยังช่วยกำจัดเชื้อร้ายที่ก่อโรคให้เราได้อีกด้วย ก็มีการศึกษาการกินโพรไบโอติกเพื่อหวังผลดังกล่าว แต่ก็เช่นเดิม ไม่ใช่ทุกตัวจะให้ผลเหมือนกัน หลายตัวที่ก็ไม่ได้ให้ผลในเรื่องนี้ สำหรับโพรไบโอติก Lactobacillus reuteri Protectis เขาก็มีการศึกษาหลายการศึกษาเลยที่ยืนยันผลที่ดี อย่างเช่น หนึ่งในนั้นเป็นการศึกษาจากแม็กซิโก โดยเขาศึกษาในเด็กที่ศูนย์รับเลี้ยงเด็กจำนวน 300 กว่าคน โดยแบ่งเป็นกลุ่มที่กินโพรไบโอติก Lactobacillus reuteri Protectis วันละ 100 ล้าน CFUs และอีกกลุ่มกินยาหลอก โดยให้กินทุกวันติดต่อไป 3 เดือน และติดตามต่อไปอีก 3 เดือน รวม 6 เดือน ก็พบว่า เด็กกลุ่มที่กินโพรไบโอติก Lactobacillus reuteri Protectis มีการเกิดท้องเสีย และภาวะติดเชื้อทางเดินหายใจที่ต่ำกว่ากลุ่มที่กินยาหลอก จำนวนวันที่ขาดเรียนก็น้อยกว่า จำนวนครั้งที่ต้องไป โรงพยาบาลหาหมอก็น้อยกว่า และที่สำคัญ เด็กที่กลุ่มที่กินโพรไบโอติกได้รับยาปฏิชีวนะน้อยกว่า6 อันนี้สำคัญมาก เพราะเดี๋ยวนี้หลายคนคงเคยได้ยินเรื่องเชื้อดื้อยาปฏิชีวนะดี ซี่งอันนี้อันตรายมาก

                                    โรคภูมิแพ้

                                    สำหรับโพรไบโอติก Lactobacillus reuteri Protectis นี้ เป็นสายพันธุ์ที่ค่อนข้างปลอดภัย เพราะเป็นโพรไบโอติกที่มีต้นกำเนิดมากจากน้ำนมแม่ โดยเขาได้มาจากหญิงชาวเปรู ซึ่งใช้ชีวิตกับธรรมชาติ ปัจจุบันก็เป็นสายพันธุ์ที่ในทางการแพทย์ มีการนำมาใช้ในการบรรเทาหลายโรค เช่น ท้องเสียเฉียบพลัน ภาวะปวดท้อง รวมทั้งใช้ในทารกที่มีภาวะโคลิคอีกด้วย สายพันธุ์นี้เขามีจำหน่ายใน 99 ประเทศทั่วโลก2 ก็ทำให้มั่นใจได้มากขึ้นอีกด้วย

                                    คุณหมอผู้เชี่ยวชาญ ยังทิ้งท้ายให้คุณพ่อคุณแม่ดูแลลูกที่อยู่ในวัยเรียน ว่าสามารถที่จะป้องกันโรคติดเชื้อในโรงเรียนได้ด้วยการส่งเสริมให้ลูกได้รับโพรไบโอติกที่มีประโยชน์ โพรไบโอติก หรือ Good bacteria มีในหลายผลิตภัณฑ์ทั้งโยเกิร์ต นมบางยี่ห้อ หรืออยู่ในรูปของ Food supplement แต่สายพันธุ์ที่ช่วยป้องกันการติดเชื้อในร่างกายได้ดีจะเป็นโพรไบโอติก Lactobacillus reuteri Protectis อยู่ในรูปเม็ดเคี้ยวและแบบหยด ซึ่งจะมีขายตามร้านขายยยาทั่วไป

                                    งานสัมมนาพิเศษ “สวมเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยด้วยโพรไบโอติก”

                                     

                                     

                                     

                                    Reference :

                                    1.รศ.นพ.สุวัฒน์ เบญจพลพิทักษ์. โรคภูมิแพ้ในเด็ก ตอนที่ 1. The allergy, Asthma and immunology association of Thailand; http://allergy.or.th/2016/resources_expert_detail.php?id=92

                                    2.Ramesh Srinivasan. Et.al. Lactobacillus reuteri DSM 17938: Review of Evidence in Functional Gastrointestinal Disorders. Pediatr Ther 2018, 8:3, DOI: 10.4172/2161-0665.1000350.

                                    3.Thomas R. Abrahamsson. Et.al. Probiotics in prevention of IgE-associated eczema: A double-blind, randomized, placebo-controlled trial. J Allergy Clin Immunol, 2007;119:1174-80.

                                    4.N. Gromert and I.Axelsson. Lactobacillus reuteri effect on atopic eczema in childhood. J Pediatr Gastroenterol Nutr, 2009; 48, Suppl 3, E148-149.

                                    5.Miraglia Del Guidce M. et.al. Airways allergic inflammation and L. reuteri treatment in asthmatic children. Journal of Biological Regulators & Homeostatic Agents, 2012; 26 (1),35-40.

                                    6.Pedro Gutierrez-Castrellon. et.al. Diarrhea in Preschool Children and Lactobacillus reuteri: A Randomized Controlled Trial. Pediatrics, 2014;133:e904–e909.