มูลนิธิศุภนิมิต

เติมสุขรับปีใหม่ เติมชีวิตด้วยการให้ ‘ของขวัญ’ เพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตเด็กยากไร้

มูลนิธิศุภนิมิต ชวนให้ของขวัญเพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตเด็กยากไร้ เพียงเลือกของขวัญผ่านเว็บไซต์ง่ายๆ จากรายการของขวัญที่ผ่านการสำรวจโดย มูลนิธิศุภนิมิตแล้ว ว่าเป็นที่ต้องการและจำเป็นสำหรับชุนชน ทั้งด้านอาหาร การศึกษา สุขภาพ อนามัย

🎁 มีของขวัญให้เลือกหลากหลายประเภท และหมวดหมู่ ไม่ว่าจะเป็น

  • ชุดหนังสือนิทานภาพเสริมสร้างจินตนาการ
  • จักรยานสำหรับปั่นไปโรงเรียน
  • ไก่พันธุ์ไข่ หรือไก่พันธุ์เนื้อ กินหรือขายได้คุ้มทุน
  • ชุดผักข้างรั้ว สวนครัวในโรงเรียน
  • และของขวัญอื่นๆอีกมากมาย

🎁 มอบของขวัญได้ที่  http://worldvision.or.th/5550.html

#GIFTbyWorldVision

หรือสำหรับท่านที่สนใจสนันสนุนน้องๆ ในด้านโภชนาการ มูลนิธิศุภนิมิตยังมีโครงการ “มื้อเช้าเพื่อน้องท้องอิ่ม” ให้คุณได้มอบความหวัง โอกาส อนาคตและความรัก ให้น้องๆได้ ผ่านการบริจาคเริ่มต้นเพียงมื้อละ 20 บาท

“เพราะอาหารเช้า ไม่ใช่แค่มื้ออาหาร”

คือ ความหวัง ของวันใหม่

คือ โอกาส ที่จะเรียนรู้

คือ อนาคต ที่จะได้เติบโต

คือ ความรัก ที่สัมผัสได้

ร่วมบริจาคได้ที่
• ผ่านบัตรเครดิต : https://www.worldvision.or.th/5551.html

  • ผ่าน Mobile App โดยสแกนผ่าน QR code ด้านล่าง

มูลนิธิศุภนิมิต

หลังจากท่านร่วมแบ่งปันในทั้ง 2 โครงการแล้ว ยังสามารถส่งสลิปเพื่อขอรายละเอียดการลดหย่อนภาษีได้ที่ Line @worldvision-thai

 

 

    นมกล่อง ยี่ห้อไหนดี

    นมกล่อง ยี่ห้อไหนดี คุณแม่เลือก ไทย-เดนมาร์ค เป็นแบรนด์ นม UHT อันดับหนึ่งในดวงใจ

    นมกล่อง ยี่ห้อไหนดี สำหรับลูกวัย 3 ขวบปีไว้กินเป็นอาหารเสริมในช่วงไปโรงเรียนหรือทำกิจกรรมนอกบ้าน นม UHT บรรจุกล่องเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกง่ายๆ พกพาได้สะดวก และที่สำคัญคือยังให้สารอาหารจำเป็นที่ร่างกายต้องการ คุณแม่ทั่วประเทศ ให้นมกล่อง ไทย-เดนมาร์ค เป็นแบรนด์นม UHT อันดับหนึ่งในดวงใจ และรับรางวัล Amarin Baby & Kids Awards 2019 สาขา Mommy’s Choice

    นมกล่อง ยี่ห้อไหนดี แม่ทั่วประเทศเลือกแล้ว ใช้ยี่ห้อนี้เป็นแบรนด์ในดวงใจ

    Amarin Baby & Kids “เครือข่ายแม่ลูกใหญ่ที่สุด” ผู้นำด้านคอนเทนต์คุณภาพ เข้าใจครอบครัวไทย และตอบสนองความต้องการของคุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ ไทย ทั้งรูปแบบ Online ผ่านเว็บไซต์ www.AmarinBabyAndKids.com และเฟซบุ๊คแฟนเพจที่มีเนื้อหาตรงใจ ทันสถานการณ์ โดยมียอดผู้ติดตามมากกว่า 1,000,000 Followers และรูปแบบ On print ผ่าน Bookazine ราย 2 เดือน รวมถึง รูปแบบ On ground งานแฟร์แม่ลูก Amarin Baby & Kids Fair ที่จัดมาแล้วถึง 15 ครั้ง

    เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านเครือข่ายแม่ลูกอันดับ 1 ของประเทศที่เข้าใจคุณแม่ไทยมากที่สุด เว็บไซต์ Amarin Baby & Kids จึงได้จัด “Amarin Baby & Kids Awards 2019” ครั้งแรกในเมืองไทย เพื่อเฟ้นหาสุดยอดแบรนด์สินค้าแม่และเด็กในดวงใจ  จากคะแนนโหวตของคุณแม่ทั่วประเทศกว่า 10,000 คน ผ่าน www.AmarinBabyAndKids.com เว็บไซต์สื่อกลางข้อมูลคุณภาพจากแม่สู่แม่ Mom to Mom Sharing เพื่อเป็นประโยชน์แก่คุณแม่มือใหม่ที่กำลังมองหา “สินค้าใช้ดี ที่ได้รับการยืนยันจากคุณแม่ตัวจริงทั่วประเทศ”

    และเพื่อให้สมกับรางวัลที่มาจากความคิดเห็นของแม่อย่างแท้จริง สำหรับแบรนด์สินค้าในสาขา Mommy’s Choice จึงเปิดโอกาสให้แม่ได้ร่วมโหวต  2  รอบ ได้แก่ “รอบเสนอชื่อแบรนด์ที่ชื่นชอบ” จากนั้นทีมงานได้ทำการเลือกแบรนด์ที่ถูกเสนอชื่อมากที่สุด มาจัด“รอบโหวตแบรนด์ในดวงใจ” อีกครั้งหนึ่ง

    ทำไมแม่โหวตให้ ไทยเดนมาร์ก เป็นแบรนด์นม UHT ในดวงใจ

    “ให้ลูกดื่มแล้วชอบมาก แถมไม่มีอาการแพ้ใดๆ ไม่ต้องกลัวท้องเสีย เป็นนมที่ต้องซื้อไว้ติดบ้านเลยค่ะ”

    “เป็นนมวัวแท้ 100 % ไม่มีนมผงผสมเลย คุณภาพดี โปรตีนสูง แต่ราคาไม่แพงและหาซื้อสะดวกดีค่ะ”

    “มั่นใจในแบรนด์ที่มีมานาน และเป็นผลิตภัณฑ์ของคนไทย กินได้ทั้งครอบครัวเลยค่ะ”

    นม UHT ไทย-เดนมาร์ค เป็นผลิตภัณฑ์ขององค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าเฟรดเดอริคที่ 9 แห่งประเทศเดนมาร์ค ได้ทรงประกอบพิธีเปิดฟาร์มโคนมและศูนย์ฝึกอบรมการเลี้ยงโคนมไทย-เดนมาร์คเมื่อปีพ.ศ. 2505 และหลังจากโอนย้ายมาอยู่ภายใต้สังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงจัดตั้งเป็นว่า “องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.)”  ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ไทย-เดนมาร์ค 4 กลุ่ม ได้แก่ นมโคสด UHT และพาสเจอร์ไรซ์  โยเกิร์ต นมเปรี้ยว ไอศกรีม นมโรงเรียน และน้ำดื่ม

     

    อ่านบทความ Amarin Baby & Kids Awards 2019 

    ประกาศผลรางวัล Amarin Baby & Kids Awards 2019 สุดยอดแบรนด์สินค้าแม่และเด็กในดวงใจ

    ชมภาพบรรยากาศ งานมอบรางวัล Amarin Baby & Kids Awards 2019

     

    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

     

      เตรียมอาหารเสริมให้ลูก

      เตรียมอาหารเสริมให้ลูก ใช้อุปกรณ์อะไรบ้าง?

      เมื่อลูกใกล้ถึงวัยเริ่มทานอาหารเสริมทารก สิ่งแรกที่แม่ ๆ จะต้องทำคือการเตรียมอุปกรณ์ในการ เตรียมอาหารเสริมให้ลูก เพื่อให้ลูกน้อยทานอาหารได้อย่างปลอดภัย อร่อย และไม่สำลัก

      เตรียมอาหารเสริมให้ลูก ใช้อุปกรณ์อะไรบ้าง?

      7 อุปกรณ์ที่ต้องใช้ในการ เตรียมอาหารเสริมให้ลูก

      1. อุปกรณ์ที่ใช้ในการนึ่ง ต้ม หรือตุ๋น

      หลังจากล้าง ผัก ข้าว และเนื้อสัตว์ต่าง ๆ แล้ว (สำหรับขั้นตอนในการเลือกวัตถุดิบ และการปรุงอาหาร อ่านได้ที่นี่ค่ะ อาหารเสริมทารก เริ่มด้วยอาหารแบบไหน? ทานอย่างไร?) ให้นำข้าว ผัก และเนื้อสัตว์มาทำให้สุก โดยวิธีที่นิยมใช้คือการนึ่ง ต้ม หรือตุ๋น เนื่องจากกระบวนการเหล่านี้จะทำให้อาหารนิ่ม ง่ายต่อการบดและเคี้ยว นอกจากนี้ การนึ่งยังช่วยสงวนคุณค่าสารอาหารได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

      • อุปกรณ์สำหรับนึ่ง มีให้เลือกซื้อได้ตั้งแต่ หม้อนึ่งที่ใช้ประกอบอาหารทั่วไป หม้อนึ่งไฟฟ้า และเครื่องนึ่งและปั่นอาหารสำหรับเด็กทารกในเครื่องเดียว ดังนี้
      หม้อนึ่งอาหาร
      หม้อนึ่งอาหาร
      หม้อนึ่งไฟฟ้า
      หม้อนึ่งไฟฟ้า
      เครื่องนึ่งและปั่นอาหารเสริมเด็ก
      เครื่องนึ่งและปั่นอาหารเสริมเด็ก
      • หม้อต้ม และตุ๋น การปรุงอาหาร 2 แบบนี้ มีข้อดีในด้านการทำให้อาหารเปื่อย เคี้ยวได้ง่ายเป็นอย่างดี แต่ข้อเสียคือ ในขณะที่อาหารแช่อยู่ในน้ำ สารอาหารบางชนิด เช่น วิตามินซีจะละลายออกมาทำให้ สูญเสียคุณค่าสารอาหารได้
      หม้อต้ม หรือตุ๋น
      หม้อต้ม หรือตุ๋น

      2. เครื่องปั่น หรือ ที่บดอาหาร

      อุปกรณ์ที่จำเป็นอีกหนึ่งอย่างในการ เตรียมอาหารเสริมให้ลูก คือ อุปกรณ์ที่ใช้ในการทำให้อาหารมีเนื้อที่ละเอียดขึ้น เหมาะแก่การกลืนอาหารของทารกในแต่ละช่วงวัย โดยการบดอาหารนั้น คุณแม่จะต้องมั่นใจได้ว่าอาหารที่บดนั้นจะต้องละเอียดมากพอ และไม่ควรมีชิ้นส่วนที่ใหญ่เกินไปหลงเหลืออยู่ การใช้กระชอนในการบดอาหาร จึงเป็นที่นิยมกันมาก และเพื่อความสะดวกยิ่งขึ้น คุณแม่สามารถใช้เครื่องปั่นอาหาร เพื่อลดเวลาในการปรุงอาหารเสริมสำหรับเด็กได้อีกด้วย

      กระชอนบดอาหาร
      กระชอนบดอาหาร
      เครื่องปั่นอาหาร
      เครื่องปั่นอาหาร

      3. ชุดจานเด็ก

      แม่ ๆ สามารถใช้อุปกรณ์ทานอาหารทั่วไปในการป้อนอาหารเสริมให้ลูกได้ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ควรคำนึงถึงคือ อุปกรณ์เหล่านี้ต้องสะอาดเพียงพอ เพื่อป้องกันไม่ให้มีเชื้อโรคปนเปื้อนในอาหาร นอกจากนี้ ช้อน เป็นอุปกรณ์ที่คุณแม่ต้องเลือกให้ดี เพราะช้อนที่ใช้ป้อนอาหารจะต้องมีความนิ่มและมีขนาดที่พอดีกับปากของลูกน้อย ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกเจ็บเหงือกจากการงับช้อนได้

      การซื้อชุดจานสำหรับเด็กโดยเฉพาะ จะมีข้อดีคือขนาดของจาน ชาม ช้อน ส้อม ต่าง ๆ จะมีขนาดที่พอดีสำหรับลูกน้อย ในบางรุ่น จานที่ใส่อาหารจะมีที่สำหรับบดอาหารไปในตัว พร้อมแบ่งช่องสำหรับใส่น้ำเพื่อป้อนไปพร้อม ๆ กับอาหาร และในบางรุ่นจะสามารถนำชุดจานเด็กเข้าเครื่องนึ่งขวดนมได้อีกด้วย

      ชุดจานเด็ก
      ชุดจานเด็ก

       

      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

      อ่านต่อ เตรียมอาหารเสริมให้ลูกใช้อุปกรณ์อะไรบ้าง?

        เข้าอนุบาลกี่ขวบ

        แม่อยากรู้ เข้าอนุบาลกี่ขวบ ส่งลูกเข้าเรียนต้องอายุ 3 หรือ 4 ขวบกันแน่?

        คำถามที่แม่มือใหม่สงสัย ควรส่งลูก เข้าเรียนอนุบาลกี่ขวบ บางอนุบาลก็รับตอน 3 ขวบ บางโรงเรียนก็ว่าต้องมีเกณฑ์เข้าตอน 4 ขวบ ตกลงลูกต้องเข้าเรียนตอนกี่ขวบกันแน่?

         “รมว.ศึกษาธิการสั่งเซ็ตซีโร่รับเด็กอนุบาลปี 2562 โดยย้ำเด็กอนุบาล 3 ขวบต้องให้ท้องถิ่นหรือโรงเรียนเอกชนดูแล ส่วนอนุบาลในสังกัดสพฐ. รับเด็กอนุบาล 4 ขวบ” ยกเว้นในพื้นที่นั้นไม่มีสถานศึกษาของสองหน่วยงานดังกล่าว โรงเรียนสังกัด สพฐ.สามารถดำเนินการรับเด็กอายุ 3 ขวบได้

        นพ.ธีระเกียรติ รมว.ศึกษาธิการ ได้กล่าวถึงภาพรวมของเด็กอนุบาล 3 ขวบทั่วประเทศพบว่า ส่วนใหญ่ 3 ใน 4 ไปเรียนกับสถานศึกษาสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และ 1 ใน 4 ได้เข้าเรียนกับโรงเรียนเอกชน  ทั้งนี้ ขณะนี้มีข้อสรุปชัดเจนโดยให้เริ่มกระบวนการรับเด็กอนุบาลใหม่ทั้งหมด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการแย่งรับนักเรียน ซึ่งพ่อแม่ผู้ปกครองมีสิทธิจะเลือกในกรณีที่โรงเรียนสังกัด สพฐ.รับเพราะพื้นที่ไม่มีบริการอะไรเลยทุกคนเห็นด้วย ขณะเดียวกัน นพ.ธีระเกียรติ ได้สั่งการให้ สพฐ.ไปเปลี่ยนการเรียกชั้นอนุบาล เพราะสพฐ. รับอนุบาล 4 ขวบ ก็ควรจะเปลี่ยนเป็นอนุบาล 2 อนุบาล 3 

        (ข้อมูลอัพเดทเมื่อวันที่ 1 มี.ค 2562 จาก นสพ. แนวหน้า )

        ซึ่งหมายความว่า เด็กที่อยู่ในวัย 3 ขวบทุกคน ก็ยังสามารถเริ่มต้นเข้าเรียนอนุบาล 1 ได้เหมือนเดิม เพียงแต่จะให้เข้าเรียนในโรงเรียนในสังกัดขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และสถานศึกษาเอกชน (สช.) เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนในการรับนักเรียน และเมื่ออายุครบ 4 และ 5 ขวบแล้ว ก็สามารถสมัครเข้าเรียนในโรงเรียนสังกัด สพฐ. (หรือโรงเรียนรัฐบาล) ในชั้นอนุบาล 2 และ 3 ได้นั่นเองค่ะ

        เข้าอนุบาลกี่ขวบ อายุเท่าไหร่จึงเหมาะสมที่จะให้ลูกเข้าเรียนอนุบาลมากที่สุด

        เข้าอนุบาลกี่ขวบกันแน่

        จะเห็นได้ว่า โดยทั่วไปแล้วอายุที่เหมาะสมในการเริ่มต้นเข้าโรงเรียนของเด็ก ไม่ว่าจะอยู่ที่ท้องถิ่นหรือโรงเรียนเอกชน รวมทั้งโรงเรียนสังกัด สพฐ. จะเริ่มต้นที่ประมาณ 3-4 ขวบ เนื่องจากในช่วงวัยนี้เจ้าตัวน้อยเริ่มมีความคิดของตัวเองได้ดีขึ้น และมีความพร้อมสำหรับพัฒนาการด้านต่าง ๆ เพิ่มขึ้น อาทิเช่น ทางด้านร่างกาย ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อมือมัดเล็กใหญ่ที่พร้อมจะหยิบจับขยับเคลื่อนไหว ประสาทสัมผัสต่างๆ การใช้สายตาในการมองแยกแยะ พัฒนาการด้านภาษาและสติปัญญาที่สามารถการสื่อสารโต้ตอบบอกและแสดงความต้องการ ช่วยเหลือตัวเองได้บ้าง และการเริ่มเข้าสังคมกับเพื่อนใหม่

        บทความแนะนำ : สิ่งที่พ่อแม่อยากรู้ พัฒนาการ เด็ก 3 ขวบ ลูกควรทำอะไรเองได้บ้าง

        เช็กลิสต์ ลูกพร้อมเข้าโรงเรียนอนุบาลแล้วหรือยัง?

        • ร่างกายมีความพร้อมก่อนเข้าโรงเรียน ในช่วงแรก ๆ ของการไปโรงเรียน เด็กจะมีโอกาสป่วยหลายครั้งหลังเข้าโรงเรียน แม้จะเป็นเด็กที่ร่างกายแข็งแรง ไม่ค่อยได้เจ็บป่วยก็ตาม ถือเป็นเรื่องปกติของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายเด็กเล็ก หลังผ่านเวลาระยะหนึ่งร่างกายก็จะสร้างภูมิคุ้มกันและจะทำให้ป่วยน้อยลง แต่ถ้าเด็กที่ไม่สบายเจ็บป่วยบ่อย ๆ ก็ควรรอให้ถึงอายุ 3 ขวบที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายพัฒนาอย่างสมบูรณ์ ไม่ควรส่งลูกเข้าอนุบาลก่อน 3 ขวบ เพื่อที่จะช่วยลดอาการรุนแรงจากการป่วยน้อยลง

        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

         

        อ่านต่อ เช็กลิสต์ ลูกพร้อมเข้าโรงเรียนอนุบาลแล้วหรือยัง คลิกหน้า 2

          พาลูกเที่ยว ระยอง

          พาลูกเที่ยว ระยอง เจาะ 9 แหล่งเรียนรู้ น่าลองพาลูกไปสักครั้ง

          ถ้าพูดถึง “ทะเล” จังหวัดระยองก็คงเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่คุณพ่อคุณแม่จะนึกถึงในวันหยุดสุดสัปดาห์ที่  พาลูกเที่ยว ระยอง ขับรถชิล ๆ แค่ 3 ชั่วโมง นอกจากได้ไปเล่นน้ำทะเลแล้ว ระยองถือเป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่มีของดีเต็มไปด้วยที่สถานที่ท่องเที่ยวมากมาย ทริปนี้ทีมแม่ ABK จะพาไปเจาะแหล่งท่องเที่ยวและแหล่งเรียนรู้ของเจ้าตัวเล็กที่ไม่ใช่มีแค่ทะเลมาฝากกันค่า

          พาลูกเที่ยว ระยอง เจาะ 9 แหล่งเรียนรู้น่าพาลูกไปสักครั้ง

          1.Rayong Aquarium

          พาเจ้าตัวเล็กมาสำรวจโลกใต้ทะเล ที่ Rayong Aquariumสถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำระยองกันค่ะ แหล่งเรียนรู้ที่รวบรวมพันธุ์สัตว์ทะเลมีชีวิต ทั้งปลาทะเลสวยงาม ปลาหน้าตาแปลกและสัตว์ทะเลหายาก ที่มีให้ชมอย่างมากมายหลากหลายชนิด โดยแบ่งการจัดแสดงออกเป็น 3 ส่วน

          ส่วนแรก จัดแสดงพันธุ์สัตว์น้ำมีชีวิต โดยรวบรวมและจัดแสดงพันธุ์ปลาสวยงาม เช่น ปลาการ์ตูน ปลาผีเสื้อ ปลานกแก้ว ปลานกขุนทอง  ม้าน้ำ และกุ้งมังกร เป็นต้น ปลาเศรษฐกิจ เช่น ปลากะรังดอกดำ กั้งกระดาน เป็นต้น สัตว์ทะเลมีพิษหรือสัตว์ทะเลที่เป็นอันตราย เช่น เม่นทะเล ปลาสิงโต ปลากะรังหัวโขน ปลากะเบนจุดฟ้า ฯลฯ ไฮไลท์ของโซนนี้คือ ทางเดินลอดอุโมงค์แก้วความยาว 10 เมตร ให้เด็ก ๆ สัมผัสชีวิตใต้ทะเลอย่างใกล้ชิด จนรู้สึกเสมือนอยู่ในโลกใต้ทะเลที่มีปลาขนาดเล็กใหญ่มากมายลอยอยู่เหนือศีรษะ อาทิ ปลากะเบนนก ปลากะรังหลากหลายชนิด ปลาโมงตาโต ปลาหูช้าง ปลากะพงแดง ปลาพยาบาล เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีบ่อขนาดใหญ่ที่จัดแสดงระบบนิเวศใต้ท้องทะเล มีปลาทะเลขนาดใหญ่ อาทิ ปลาหมอทะเล ปลากระเบน ปลาโฉมงาม ปลาฉลามหูดำ ปลากะพง และปะกะรังชนิดต่างๆ สัตว์น้ำที่หายาก รวมถึงบ่อเต่าทะเล สำหรับจัดแสดงพันธุ์เต่าทะเล ได้แก่ เต่ากระ และเต่าตนุ พันธุ์ปลาทะเลขนาดเล็ก ได้แก่ ปลากระบอก ปลาสลิดหิน ปลากะพงเหลืองขมิ้น และปลาสลิดทะเล เป็นต้น

          ส่วนที่สอง จัดแสดงนิทรรศการ โดยแสดงโครงการฟื้นฟูทรัพยากรชายฝั่งทะเล ชีวประวัติสัตว์ทะเลที่เลี้ยงลูกด้วยนม นิทรรศการจัดแสดงวิวัฒนาการของเรือประมง อาชีพการทำประมง และเครื่องมือประมง จำลองนิเวศน์ป่าชายเลน

          ส่วนที่สาม จัดแสดงพิพิธภัณฑ์เปลือกหอย ซึ่งจำแนกเปลือกหอยชนิดต่าง ๆ อย่างถูกต้อง จำนวน 150 ชนิด เช่น ปะการัง หอยทะเล เป็นต้น

          ถือว่าเป็นอีกแหล่งเรียนรู้ที่น่าสนใจที่จะพาเด็ก ๆ มาดูเพื่อเปิดโลกทัศน์ใหม่ ๆ ให้กับลูกได้อีกที่กันเลยค่ะ

          2.สตรอเบอรี่ ทาวน์

          สตรอเบอรี่ ทาวน์ 
          สตรอเบอรี่ ทาวน์ Credit photo www.brookside.co.th

          สตรอเบอรี่ ทาวน์ (Strawberry Town) ดินแดนแห่งสีสันสวย ๆ ที่จำลองสถาปัตยกรรมเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นสไตล์ตะวันตก เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ดึงดูดใจด้วยสตรอว์เบอร์รีสีแดงขนาดใหญ่ยักษ์ หรือ Prince of Strawberry ที่เป็นไฮไลท์ตั้งโดดเด่นอยู่ริมสระน้ำ และกังหันลม อีกหนึ่งสัญลักษณ์ที่บ่งบอกความเป็นเมือง จำลองที่สร้างขึ้นมาในคอนเซ็ปต์ของประเทศเนเธอร์แลนด์ ตัวอาคารที่มีสีสันโดดเด่นสวยงาม มีสวนดอกไม้สวย ๆ และมุมถ่ายรูปสวย ๆ ให้แชะเก็บภาพประทับใจได้เพียบ นอกจากนี้ภายใน สตรอว์เบอร์รี ทาวน์ ยังมีกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย เช่น โซน Adventure Land สนุกกับเครื่องเล่นมันส์ ๆ (ปีน ป่าย ไต่ โหน), ให้อาหารน้องแกะในโซน อังเคิลแซมฟาร์ และมีร้านอาหาร, ร้านสเต็ก, ร้านกาแฟ ร้านขายของที่ระลึก เรียกมาพากันมาที่นี่ได้ความสุขจบครบในที่เดียวเลยค่า

          3.ทุ่งโปรงทอง 

          ทุ่งโปรงทอง
          ทุ่งโปรงทอง Credit photo www.thailandtourismdirectory.go.th

          ทุ่งโปรงทอง คือบริเวณป่าชายเลนริมปากแม่น้ำประแส บริเวณพื้นที่กว่า 6,000 ไร่นี้เต็มไปด้วยต้นโปรงสีเขียวปนเหลืองทองอร่าม ที่ขึ้นเรียงรายกันนับพันนับหมื่นต้นมองไปได้ไกลสุดลูกหูลูกตา สวยงามมาก ๆ ที่นี่เป็นพื้นที่ป่าชายเลนผืนที่ใหญ่และเต็มไปด้วยความสมบูรณ์ที่สุดของ จ.ระยอง และพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และศึกษาเรียนรู้ โดยสร้างสะพานเดินศึกษาธรรมชาติเป็นระยะทางประมาณ 2.6 กิโลเมตร ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ให้ความรู้ สร้างความเข้าใจในเรื่องระบบนิเวศน์ของป่าชายเลน ตลอดสองข้างทางเต็มไปด้วยพืชพันธุ์หลากหลายชนิดทั้งต้นแสม ตะบูนดำ ลำพูน โกงกาง โปรงแดง โปรงทอง ที่ทำให้ได้สัมผัสธรรมชาติอย่างใกล้ชิด เป็นที่อยู่อาศัย แหล่งหลบภัย และเป็นแหล่งอนุบาลของสัตว์น้ำที่ชอบอาศัยอยู่ในบริเวณป่าชายเลน เช่น กุ้ง หอย ปูแสม ปูก้ามดาบ ปลาตีน เป็นต้น

          ไฮไลท์เด็ดคือตรงจุดชมวิวกลางทุ่งต้นโปรงที่สามารถชมวิวของทุ่งโปรงทองในมุมสูงได้แบบพาโนราม่า 360 องศา เห็นวิวความสวยได้รอบทิศทางเสมือนถูกโอบด้วยทุ่งสีเหลืองทองอยู่โดยรอบ เป็นภาพที่สร้างความตื่นตาและประทับใจมาก ๆ กับความที่ธรรมชาติสร้างขึ้นเอง ช่วงเวลาที่เหมาะจะพาเจ้าตัวเล็กมาเดินชม คือ ช่วงเช้าและช่วงบ่ายแก่ ๆ ที่นอกจากบรรยากาศไม่ร้อนมาก และเป็นช่วงเวลาที่แสงแดดมาส่องกระทบใบโปรงทองเป็น สีเหลืองอร่าม จะได้ไม่พลาดชมความงามของธรรมชาติเมื่อได้มาเที่ยวกันนะคะ

          Note: บริเวณเส้นทางศึกษาธรรมชาติทุ่งโปรงทองไม่อนุญาตให้นำอาหารและเครื่องดื่มเข้าไป เพราะฉะนั้นควรเตรียมตัวเด็ก ๆ ให้เรียบร้อยก่อนที่จะเดินเข้าไปเที่ยวชมนะคะ

          4.พิพิธภัณฑ์บ้านครูกัง

          พิพิธภัณฑ์บ้านครูกัง  ถือเป็นแหล่งเรียนรู้ที่ได้รวบรวมของสะสม ของเล่น ข้าวของเครื่องใช้โบราณไว้มากมาย “ครูกัง” ผู้เป็นเจ้าของพิพิธภัณฑ์ซึ่งใช้เวลาสะสมของเก่านานกว่า 40 ปีได้เปิดบ้านบนเนื้อที่เกือบ 2 ไร่ สร้างเป็นพิพิธภัณฑ์เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เข้าไปศึกษา เรียนรู้ข้อมูลต่างร่วมไปกับการอนุรักษ์ของเก่าที่หาชมได้ยากในปัจจุบัน ด้วยเหตุผลที่ว่า “ครูไม่อยากเก็บไว้ดูคนเดียว”

          ภายในพิพิธภัณฑ์มีถึง 2 ชั้นด้วยกัน ได้แบ่งโซนตามคอนเซปต์ที่แตกต่างกันไป ตกแต่งได้อย่างเป็นสัดส่วน เช่น ร้านตัดผม ร้านตัดเสื้อ ร้านทอง โรงภาพยนตร์ ร้านถ่ายภาพ ร้านกาแฟ มีโซนจัดแสดงรถเก่าแบบคลาสสิกหาดูยากทั้งขนาดเล็ก-ใหญ่ นอกจากนี้ยังมีเครื่องดนตรีโบราณ ของเล่นหายาก ธนบัตรรุ่นเก่า หนังสือ เครื่องใช้ไม้สอยอายุหลายสิบปี และอื่น ๆ อีกมากมาย เรียกว่ามาที่นี่เหมือนพากันมาเจาะเวลาหาอดีตที่ชวนตื่นตาตื่นใจ ได้สนุกสนานไปกับการถ่ายรูปมุมต่าง ๆ ได้ชมของสะสมที่บางอย่างก็อาจจะไม่เคยเห็น เพลิดเพลินทั้งครอบครัวกันเลยค่า

           

          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

           

          อ่านต่อ 9 แหล่งเรียนรู้ในระยองน่าลองพาลูกไปสักครั้ง คลิกหน้า 2

            แชมพูเด็ก

            แชมพูเด็ก ยี่ห้อไหนดี คุณแม่เลือก เบบี้มายด์ เป็นแบรนด์อันดับหนึ่งในดวงใจ

            แชมพูเด็ก ยี่ห้อไหนดี ใช้แล้วผมลูกหอม พลิ้วสลวย ไม่ติดเป็นก้อน ที่สำคัญต้องไม่ระคายเคือง คุณแม่ทั่วประเทศ ให้ เบบี้มายด์ (Babi Mild) เป็นแบรนด์สบู่เหลวอันดับหนึ่งในดวงใจ และรับรางวัล Amarin Baby & Kids Awards 2019 สาขา Mommy’s Choice

            แชมพูเด็ก ยี่ห้อไหนดี แม่ทั่วประเทศเลือกแล้ว ใช้ยี่ห้อนี้เป็นแบรนด์ในดวงใจ

            Amarin Baby & Kids “เครือข่ายแม่ลูกใหญ่ที่สุด” ผู้นำด้านคอนเทนต์คุณภาพ เข้าใจครอบครัวไทย และตอบสนองความต้องการของคุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ ไทย ทั้งรูปแบบ Online ผ่านเว็บไซต์ www.AmarinBabyAndKids.com และเฟซบุ๊คแฟนเพจที่มีเนื้อหาตรงใจ ทันสถานการณ์ โดยมียอดผู้ติดตามมากกว่า 1,000,000 Followers และรูปแบบ On print ผ่าน Bookazine ราย 2 เดือน รวมถึง รูปแบบ On ground งานแฟร์แม่ลูก Amarin Baby & Kids Fair ที่จัดมาแล้วถึง 15 ครั้ง

            เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านเครือข่ายแม่ลูกอันดับ 1 ของประเทศที่เข้าใจคุณแม่ไทยมากที่สุด เว็บไซต์ Amarin Baby & Kids จึงได้จัด “Amarin Baby & Kids Awards 2019” ครั้งแรกในเมืองไทย เพื่อเฟ้นหาสุดยอดแบรนด์สินค้าแม่และเด็กในดวงใจ  จากคะแนนโหวตของคุณแม่ทั่วประเทศกว่า 10,000 คน ผ่าน www.AmarinBabyAndKids.com เว็บไซต์สื่อกลางข้อมูลคุณภาพจากแม่สู่แม่ Mom to Mom Sharing เพื่อเป็นประโยชน์แก่คุณแม่มือใหม่ที่กำลังมองหา “สินค้าใช้ดี ที่ได้รับการยืนยันจากคุณแม่ตัวจริงทั่วประเทศ”

            และเพื่อให้สมกับรางวัลที่มาจากความคิดเห็นของแม่อย่างแท้จริง สำหรับแบรนด์สินค้าในสาขา Mommy’s Choice จึงเปิดโอกาสให้แม่ได้ร่วมโหวต  2  รอบ ได้แก่ “รอบเสนอชื่อแบรนด์ที่ชื่นชอบ” จากนั้นทีมงานได้ทำการเลือกแบรนด์ที่ถูกเสนอชื่อมากที่สุด มาจัด“รอบโหวตแบรนด์ในดวงใจ” อีกครั้งหนึ่ง

            ทำไมแม่โหวตให้ เบบี้มายด์ เป็นแบรนด์แชมพูเด็กในดวงใจ

            “ชอบตรงกลิ่นหอมอ่อนๆ สระแล้วผมลูกสะอาดมากค่ะ ผมยาวแค่ไหนก็ไม่กันค่ะ”

            “ปกติจะให้ลูกสระผมพร้อมอาบน้ำเลย สังเกตว่าล้างออกง่าย และไม่มีฟองลื่นติดตัว”

            “สูตรอ่อนโยนเหมาะกับทารกด้วยค่ะ ใช้แล้วไม่แพ้เลย สบายใจมากค่ะ”

            ผลิตภัณฑ์แบรนด์ เบบี้มายด์เป็นหนึ่งในแบรนด์สินค้าดูแลผิวสำหรับเด็กในหลายกลุ่มได้แก่ สบู่เหลว แชมพู โลชั่น  แป้งเด็ก น้ำยาซักผ้าและปรับผ้านุ่มเด็ก และน้ำยาล้างขวดนม เป็นต้น โดยเน้นส่วนผสมที่บริสุทธิ์และอ่อนโยนจากธรรมชาติซึ่งผ่านมาตรฐานทดสอบว่าไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองผิว จนเป็นที่ไว้วางใจของคุณแม่คนไทยมายาวนานกว่า 21 ปี

            อ่านบทความ Amarin Baby & Kids Awards 2019 

            ประกาศผลรางวัล Amarin Baby & Kids Awards 2019 สุดยอดแบรนด์สินค้าแม่และเด็กในดวงใจ

            ชมภาพบรรยากาศ งานมอบรางวัล Amarin Baby & Kids Awards 2019

            สบู่เหลวเด็ก ยี่ห้อไหนดี คุณแม่เลือก เบบี้มายด์ เป็นแบรนด์อันดับหนึ่งในดวงใจ

             

            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

             

              Tags

              ละมุน เบบี้ ก้าวสู่ปีที่ 10

              ละมุน เบบี้ ก้าวสู่ปีที่ 10 ผู้นำตลาดผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคสำหรับแม่และเด็ก

              ละมุน เบบี้ ก้าวสู่ปีที่ 10 …เชื่อว่าถ้าพูดถึงละมุน เบบี้ คุณแม่ลูกเล็กต้องรู้จักกันเป็นอย่างดีแน่นอน และด้วยคุณภาพที่ดีเยี่ยม และมีประเภทผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ครอบคลุมตอบโจทย์การใช้ได้ทั้งคุณแม่ ลูกน้อย จึงทำให้ผลิตภัณฑ์สำหรับแม่และเด็ก ละมุน เบบี้ เป็นสินค้าออร์แกนิคในดวงใจยอดนิยมของคุณแม่ที่มีการแนะนำบอกต่อจากคุณแม่ผู้ใช้ละมุน เบบี้จริง สู่คุณแม่ท่านอื่นๆ มาจนถึงปัจจุบันนี้

              ละมุน เบบี้ ก้าวสู่ปีที่ 10

              ละมุน เบบี้ รักษาตำแหน่งผู้นำตลาดผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคสำหรับแม่และเด็ก โตถึง 34% จาก 3 สินค้าขายดี โฟมอาบน้ำ น้ำยาซักผ้า น้ำยาล้างขวดนม ปรับกลยุทธ์รุกตลาด Modern Trade  เพิ่ม Distribution ให้เข้าถึงคุณแม่ยุคใหม่มากขึ้น ปฎิวัติวงการเปิดตัวถุงเก็บน้ำนมลดกลิ่นหืนเอาใจแม่สายปั้ม ผลตอบรับดีมาก โกยส่วนแบ่งการตลาด สวนกระแสภาวะเศรษฐกิจ

              ละมุน เบบี้ ก้าวสู่ปีที่ 10 อย่างมั่นคง ทุบสถิติมูลค่าการตลาด 130 ล้านบาทในปีนี้ตามคาด จากการเพิ่มช่องทางจัดจำหน่ายในซุปเปอร์มาร์เก็ต ลุยต่อเนื่องก้าวกระโดดมั่นใจรายได้ ถึง200 ล้านบาท ในปี 2020 จากการที่มี R&D และ Supply Chain ที่มีความพร้อมสูง  เตรียมนำเสนอสินค้าใหม่อีก 2 รายการในปี 2020 คือ Spray กันยุงและยาสีฟันสูตร Non Fluoride สำหรับเด็กโต มั่นใจพ่อแม่ยุคใหม่หาข้อมูลตามเทรนด์โลก

              ละมุน เบบี้ ก้าวสู่ปีที่ 10

              คุณเนตรนพิศ  รุ่งธนเกียรติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ละมุนเบบี้ จำกัด กล่าวถึงกระแสผลิตภัณฑ์ออร์แกนิค ว่าละมุนมั่นใจด้วยความเป็น Brand แรกๆ ของไทยที่เข้ามาเปิดตลาด Organic อย่างจริงจังตั้งแต่ยังไม่เป็นกระแส พร้อมยืนยันจุดแข็งที่ใช้เฉพาะส่วนผสมจากสารสกัดจากธรรมชาติ 100% เท่านั้น ไม่กลัวแบรนด์ใหญ่หรือแบรนด์ใหม่ๆกระโดดลงมาเล่นตลาดนี้  เพราะเชื่อว่าเป็นเราคือ Number one จากการวางมาตรฐานความเป็นออร์แกนิคของละมุน ไว้ว่าผลิตภัณฑ์ต้องมีแหล่งต้นกำเนิดจากธรรมชาติในทุกส่วนผสม รวมถึงวัตถุดิบที่ใช้ต้องมีใบรับรองและผ่านการทดสอบคุณภาพว่าไม่ก่อให้เกิดอาการระคายเคือง  ไม่มีน้ำหอม และสารเคมี  กว่า 10 ปีที่บุกเบิกเข้ามาในตลาดนี้ จับกลุ่มแม่ในเมืองที่มีลูกน้อยลงแต่กำลังการจ่ายสูงจนละมุน ไม่กลัวคู่แข็งเพราะคิดว่าเป็นการส่งเสริมตลาดให้ผู้บริโภคมีทางเลือกมากขึ้นและยิ่งสร้างกระแสสินค้าOrganic ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง และทำให้เราต้องยิ่งรักษาคุณภาพเร่งพัฒนาสินค้าไกลจากแบรนด์อื่นๆ  ส่งผลให้ละมุนเติบโตต่อเนื่อง โดย 2-3  ปีให้หลังมานี่  หากเทียบกับตลาดรวมสินค้าเด็กที่มีมูลค่ากว่า 5,800 ล้านบาท ติดลบที่  -1.1% แบรนด์ “ละมุน ” สามารถเติบโตมากกว่าตลาดรวม อยู่ที่ 34 %

              คุณเนตรนพิศ กล่าวต่ออีกว่า “ปัจจุบันสินค้าของละมุน เบบี้ Focus เป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่

              ละมุน เบบี้ ก้าวสู่ปีที่ 10

              1. สินค้าหลักขายดีตลอดกาล All-time Best Sellerไม่ใช่แค่Must Try แต่ละมุนมั่นใจว่าเป็น Must Have Item ที่แม่ทุกคนต้องใช้ คือ โฟมอาบน้ำสระผม น้ำยาล้างขวดนม น้ำยาซักผ้า เป็นสินค้าที่ขายดีสูงสุดตลอดการเป็นสินค้าที่ทำให้แม่ละมุนรู้จักเรามากที่สุดด้วยคุณภาพสินค้าที่แตกต่างอย่างชัดเจนกับผลิตภัณฑ์อื่นที่มีอยู่ในท้องตลาด ทำให้เมื่อได้ลองใช้แล้วเกิดความประทับใจ กลับมาซื้อซ้ำ รวมถึงเกิดการบอกต่อในวงกว้าง หรือเอาไปรีวิวต่อทำให้ยอดขายสินค้ากลุ่มนี้โตขึ้น100% นอกจานี้เรามีการนำสินค้าขายดีมาทำ Welcome Baby Set ออกมาสำหรับคุณแม่มือใหม่โดยเฉพาะ นอกจากกลุ่มคุณแม่ที่ซื้อไปใช้เองแล้ว ก็ยังรวมถึงลูกค้าอีกกลุ่มที่ไม่ได้มีลูกแต่นิยมซื้อไปเยี่ยมแม่ลูกอ่อนตามโรงพยาบาล ทั้งหมดนี้เมื่อคุณแม่มือใหม่ท้องแรกได้ลองซื้อ Set นี้ก็ต้องกลับมาซื้อซ้ำ หรือพอคลอดลูกไปแล้วเจอปัญหาผดผื่นซึ่งเป็นปัญหาที่เกือบทุกบ้านเจอ เพราะเด็กแพ้สารเคมีลองเปลี่ยนมาใช้ละมุนเป็นทางเลือกก่อนต้องพาไปหาหมอ เพราะบางครั้งอาจแพ้อาหารหรือปัจจัยอื่นๆอันนั้นต้องให้คุณหมอดูแลแต่ถ้าเปลี่ยนน้ำยาซักผ้า หรือโฟมอาบน้ำแล้วจบแม่ก็สบายใจลูกก็Happy

              ละมุน เบบี้ ก้าวสู่ปีที่ 10

              2. Strong Growth สินค้าที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง อาทิ สเปรย์ทำความสะอาดของใช้เด็ก ยาสีฟันที่ไม่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์ใช้ได้ตั้งแต่อายุ 6 เดือน  แป้งเด็กที่ไม่มีส่วนผสมของ Talcum  น้ำยาล้างผักและผลไม้ ที่ตอบรับNature and Hygienic trend ของโลกตอนนี้  หรือแผ่นแปะกันยุงที่เราเพิ่งได้รางวัล Mom Choice’s Award มาเมื่อเดือนที่ผ่านมาจากการโหวตของคุณแม่ สินค้ากลุ่มนี้แม้จะไม่ได้มีสัดส่วนการขายที่สูงมากแต่มีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง สูงมากเป็นสินค้าที่มีอนาคตในการเพิ่ม Basket Size ของครอบครัวและคนรักสุขภาพ

              ละมุน เบบี้ ก้าวสู่ปีที่ 10

              3. Rising Star สินค้าดาวรุ่ง มาแรงผลิตภัณฑ์สำหรับคุณแม่ให้นม ของMum ต้องมี โดยมีดาวเด่นได้แก่ถุงเก็บน้ำนมที่มีจุดขายโดดเด่น ตอบโจทย์ทุกความต้องการของแม่ให้นม แตกต่างจากสินค้าที่มีอยู่ตามท้องตลาดอย่างชัดเจน ซึ่งละมุนได้จับเทรนด์ “การเลี้ยงลูกให้นมแม่” มานานแล้ว เป็น Global Trend สินค้าขาดตลาดตั้งแต่เดือนแรก หลังจากเปิดตัวได้เพียง 15 วัน โดยตัวถุงเก็บน้ำนมนี้ต่อยอดมาจากที่ประคบหน้าอก บาล์มทาหัวนมและริมฝีปาก ผ้าคลุมให้นมลูก และกระเป๋าเก็บอุณหภูมิ ละมุนเก็บเกี่ยวประสบการณ์ความเป็นแม่ ตอบโจทย์แม่ยุคใหม่ เพราะนมแม่คือ Organic Love บริสุทธิ์ที่สุด สร้างภูมิคุ้มกัน เป็นอาหารที่มีคุณค่าทางกายและเสริมสายใยความรักแม่ลูกได้อย่างเปี่ยมล้น การที่เราจับเทรนด์นี้และผลิตออกมา แรกก็เกิดสินค้าขาดตลาดเกือบเดือน สร้างปรากฎการณ์ Happy Crisis Management จนต้องทำขนาด 5 ออนซ์ และแบบ 3 in 1 เพื่อเอาใจคุณแม่กลุ่มนี้โดยเฉพาะ ซ้ำยังสร้างความฮือฮาด้วยการออกถุงเก็บน้ำนมLimited Edition เป็น Festive Holiday Design เพื่อเป็นกำลังใจให้คุณแม่มีความสุขกับการปั้มนมในทุกๆวัน

              นอกจากนี้จะสังเกตได้จากเวลาออกงานอย่างงาน Baby Fair ต่างๆ ทุกครั้งยอดขายเพิ่มขึ้นทุกครั้งลูกค้าใหม่เค้ามาเฉลี่ยครั้งละ 3,000-5,000 คน ยอดขายเฉลี่ยต่อบิลล์อยู่ที่ 2,000 บาท โดยลูกค้าประจำหรือแม่ใหม่ซื้อยกเซ็ท มักซื้อบิลล์ใหญ่ครั้งละไม่ต่ำว่าหมื่นบาท  หลายคนมาเพราะเพื่อนที่มีลูกมากก่อนแนะนำมว่าต้องละมุนเท่านั้น รวมถึงลูกค้าต่างชาติ ที่อยู่เมืองไทยหาข้อมูลพูดคุยตลอดเวลาว่าต้อง ละมุน เบบี้ เท่านั้น  เราเริ่มต้นจากการทำธุรกิจจากแม่ที่ต้องการแก้ปัญหาผดผื่นคัน จนลองมาทำขายแล้วเกิดกระแสบอกต่อ ดาราเซเลปและลูกค้ารีวิวให้เองเพราะความเชื่อมั่นในแบรนด์ที่มีมาอย่างยาวนานและคุณภาพของสินค้าที่แตกต่าง ตอกย้ำความสำเร็จด้วยรางวัลมหาชนจาก ETDA* และ Sticker กันยุงที่ คุณแม่ Vote มาทาง Amarin Baby & Kids  ละมุนเบบี้มีจำหน่ายในแผนกเด็กที่ห้างสรรสินค้าเซ็นทรัล โรบินสัน เดอะมอลล์  แต่ช่องทางที่นิยมสั่งสินค้ามากที่สุดก็คือออนไลน์เพราะต้องการความสะดวกและรวดเร็วทั้งจาก  www.lamoonbaby.com  Facebookและ Line@ Lamoonbaby  Lazada Shopee  แต่ละมุนก็ขยายDistribution ให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่มากยิ่งขึ้นผ่านSupermarket ชั้นนำ อาทิ Tops Gourmet Big C Villa รวมถึงร้านขายยาBoots ที่และ Kingpower  ที่ตอบโจทย์ลูกค้าต่างชาติหรือชาวจีนที่นิยมสินค้าเด็กจากไทยและญี่ปุ่น ปีนี้มีสัดส่วนการขายในModern trade และตัวแทน 50% และอีก 50% ผ่านช่องทางออนไลน์และงานFair ต่างๆ

              ละมุน เบบี้ ก้าวสู่ปีที่ 10

              คุณเนตรนพิศ  รุ่งธนเกียรติ ยังกล่าวถึงการทำตลาดในต่างประเทศ ปัจจุบันได้ส่งออกผลิตภัณฑ์ผ่านตัวแทนจำหน่ายไปประมาณ 8 ประเทศ ได้แก่ เวียดนาม ลาว กัมพูชา สิงค์โปร มาเลเซีย จีน  ตอนนี้ต่างประเทศตอนนี้มีส่วนแบ่งอยู่ที่ 20% เทียบกับในประเทศ แต่เนื่องจากปีหน้าเราจะเข้าจีนแบบเต็มตัวซึ่งถือเป็นตลาดใหญ่และมีศักยภาพค่อนข้างสูง คาดว่าจะช่วยผลักดันรายได้จากการส่งออกในปีหน้าเพิ่มขึ้น 300 % และแผนที่จะเข้าไปเล่นตลาดจีน อินโดนีเซีย ฟิลิปินส์ รวมถึงกลุ่มอาหรับและตะวันออกกลางอย่างเต็มตัว  สำหรับปี 2020 ทำให้บริษัทตั้งเป้ารายได้การเติบโตไว้ประมาณ 54 % และตั้งเป้าผลักดันรายได้รวมเพิ่มเป็นปีละ 200 ล้านบาทโดยหัวใจหลักจะมาจากการพัฒนาสินค้านวัตกรรมใหม่ให้ครอบคลุมทุกกลุ่มสินค้ามากขึ้นและการทำการตลาดที่เข้าถึงคุณแม่ตั้งแต่เตรียมพร้อมการตั้งครรภ์ และขยายอายุให้ใช้ต่อเนื่องนานขึ้นจนลูกโต ทั้งนี้เรายังเป็นแบรนด์ที่ใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมทั้งการออกผลิตภัณฑ์ในรูปแบบ refill เพื่อลดปริมาณขยะและพัฒนาแพคเกจจิ้งให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อการเติบโตของลูกและเพื่อความยั่งยืนของโลก

              หมายเหตุ

              *สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.); Electronic Transactions Development Agency หรือ ETDA

                เจลแต้มสิว

                รีวิว เจลแต้มสิว หน้าใสไร้สิวด้วยธรรมชาติ แม่ให้นมบุตรใช้ได้ปลอดภัย

                เจลแต้มสิว มีให้เลือกใช้มากมาย คำถามคือแล้วแบบไหนละที่ปลอดภัยไร้สารอันตรายต่อแม่ตั้งครรภ์และให้นมบุตร มีคุณแม่ๆ ถามมามากว่าอยากให้ช่วยแนะนำผลิตภัณฑ์ดูแลรักษาสิวที่ผิวหน้าให้หน่อย คือถ้าพูดกันตามจริงเราก็กังวลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์รักษาสิวอยู่มากพอสมควร ยิ่งถ้าแนะนำให้แม่ท้องหรือแม่ที่ให้นมบุตรนี้ยิ่งต้องเลือกให้ปลอดภัยมากที่สุด

                หลังจากตามหามานานและแล้วเราก็ได้ไปเจอเข้ากับผลิตภัณฑ์เจลแต้มสิวที่ปลอดภัยไร้สารอันตราย ที่สำคัญใช้ได้ทั้งคุณแม่ตั้งครรภ์และคุณแม่ที่ให้นมบุตรด้วย ขอบอกว่าคุณภาพคับหลอดจริงๆ เพราะสารสกัดมาจากสมุนไพร 100% ทีมงาน Amarin Baby & Kids จะพาไปรู้จักกับ เฮอร์บิสต้าร์ แอคเน่ (Herbistha Acne) เจลรักษาสิวที่ถ้าคุณแม่ได้ใช้แล้วต้องกดเลิฟให้ค่ะ

                 

                เจลแต้มสิว ตัวช่วยเมื่อสิวบุกหน้าตอนท้อง!!

                ก่อนที่เราจะไปรู้จักกับ เจลแต้มสิว เฮอร์บิสต้าร์ แอคเน่ ขอไขข้อสงสัยที่ถามกันมาด้วยว่าทำไม๊ ทำไม ตอนท้องสิวถึงขึ้นเต็มหน้า ทั้งที่ก่อนท้องก็หน้าใสไร้สิว

                สำหรับสิวที่ขึ้นขณะตั้งครรภ์ อาจจะไม่ได้เป็นกับคนท้องทุกคนค่ะ บางคนสิวขึ้น บางคนสิวไม่ขึ้น ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับฮอร์โมนการตั้งครรภ์ที่เป็นสาเหตุของการเกิดสิว คนท้องจะมีฮอร์โมนต่างๆ ภายในร่างกายเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะฮอร์โมนสองตัวนี้ คือ Human Chorionic Gonadotropin หรือ ฮอร์โมน hCG กับฮอร์โมนเอสโตรเจน ( Estrogen ) ที่เป็นฮอร์โมนการตั้งครรภ์ เมื่อฮอร์โมนต่างๆ ภายในร่างกายไม่สมดุลกัน ก็เป็นเหตุให้คุณแม่มีอาการระหว่างตั้งครรภ์เกิดขึ้นได้ เช่น อาการแพ้ท้อง เวียนศีรษะ เหม็นอาหาร หน้ามันหมองคล้ำ เป็นสิวนั่นเองค่ะ ต้องบอกว่าอาการเหล่านี้เป็นเรื่องปกติที่จะเกิดขึ้นกับคนท้องค่ะ และพอหลังจากคลอดลูกแล้วอาการต่างๆ รวมถึงสิวบุกหน้าก็จะค่อยๆ หายไปค่ะ

                 

                เปลี่ยนหน้าสิว มาเป็นหน้าใสไร้สิวด้วยธรรมชาติ

                อย่างที่บอกไปค่ะว่าสิวขึ้นเต็มหน้าในช่วงตั้งครรภ์ หรือในแม่ที่ให้นมลูกบางคนก็ยังมีสิวขึ้นอยู่ให้หงุดหงิด หมดความมั่นใจ แล้วก็คิดไม่ออกว่าจะใช้ผลิตภัณฑ์อะไรมารักษาสิวดี เพราะกลัวว่าถ้าใช้สุ่มสี่สุ่มห้าหน้ายิ่งพัง แถมสารเคมีต่างๆ ในผลิตภัณฑ์รักษาสิวจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพตัวเองแล้วก็ต่อลูกน้อยด้วย

                อยากจะบอกว่านี่เราก็หาตัวช่วยรักษาสิวไม่ต่างจากแม่ๆ คนอื่นเลย จนได้มาเจอเข้ากับเจลแต้มสิว เฮอร์บิสต้าร์ แอคเน่ (Herbistha Acne) ขอใช้คำนี้ได้ไหมคะ สูงสุดสูงสามัญ เพราะอะไรนะหรือ ก็เพราะเจลแต้มสิวตัวนี้เขาสกัดมาจากสมุนไพรธรรมชาติ ที่ได้จาก เหงือกปลาหมอ ขมิ้นชัน เบญกานี ทั้งสามอย่างนี่คือสมุนไพรนะคะ หลายคนอาจไม่เคยได้ยินชื่อสมุนไพรนี้มาก่อน คือต้องบอกสมุนไพรไทยนี่ดีสุดๆ แล้วค่ะ

                พูดว่าสกัดมาจากสมุนไพร หลายคนอาจยังกังวลที่จะใช้ว่า เอ๊ะ!! ปลอดภัยจริงเหรอ ใช่ค่ะเราก็เคยคิดแบบเดียวกับคุณๆ นั่น แหละ แต่ก่อนที่จะใช้ผลิตภัณฑ์อะไรก็ตามในช่วงที่ท้อง กับช่วงที่ให้นมลูก สิ่งแรกที่จะเลือกคือ ขอเป็นมาจากธรรมชาติ โดยเฉพาะทั้งของกินบำรุงร่างกาย แล้วก็ของที่ใช้กับผิวหน้า ผิวกาย แล้วถ้ามีสถาบันวิจัยยืนยันมาด้วยก็ยิ่งดี เพิ่มความ ไว้วางใจได้มากหน่อย

                เจลแต้มสิว

                ก่อนทา และ หลังจากทาเจลแต้มสิว 3 วัน

                อย่างเจลแต้มสิวเฮอร์บิสต้าร์ แอคเน่ก่อนจะใช้นี่ก็หาข้อมูลหนักเอาเรื่องเลยค่ะ เพราะถ้าไม่ปลอดภัยจริงเราไม่แนะนำให้ใช้ อย่างแน่นอน ที่ผ่านอย่างแรกคือเป็นสารสกัดธรรมชาติที่อุดมไปด้วยคุณค่าของสารสกัดจากสมุนไพร ซึ่งทั้ง เหงือกปลาหมอ ขมิ้นชัน และ เบญกานี ก็มีฤทธิ์ทางยาในการใช้รักษาสิวได้ด้วย

                เฮอร์บิสต้าร์ แอคเน่ เป็นเจลแต้มสิวที่ปลอดภัย ไร้สารอันตราย ผ่านการทดสอบทางคลินิคแล้วว่าไม่ก่อให้เกิดการระคาย เคืองต่อผิว ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม ไม่แต่งสีหรือกลิ่น ไม่มีส่วนผสมของสเตอรอยด์ , Paraben และ Retinoids ที่เป็นอันตรายต่อหญิงตั้งครรภ์และแม่ให้นมบุตร

                ซึ่งกว่าจะมาเป็นผลิตภัณฑ์ดูแลสิวเฮอร์บิสต้าร์ แอคแน่ เขามีการวิจัยและพัฒนาโดย ทีมนักวิจัย คณะการแพทย์แผนไทย  มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ที่ได้รับการสนับสนุนโดย สวทช. , กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และที่สำคัญเจลแต้มสิวสูตรนี้ ได้รับการจดทะเบียนอนุสิทธิบัตรจากกรมทรัพย์สินทางปัญญาเรียบร้อยแล้วด้วย
                ไม่เพียงเท่านี้ เจลแต้มสิวสายเลือดไทยแบรนด์นี้ ยังได้รับคัดเลือกจากกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ เป็นตัวแทนของประเทศ ไปประกวดแข่งขันบนเวทีนวัตกรรมระดับโลกมาแล้ว และสามารถคว้ารางวัลเหรียญทอง  จากงานแข่งขันนวตกรรม ITEX 2017 ณ ประเทศมาเลเซีย ได้เป็นผลสำเร็จ จากผู้เข้าประกวดทั้งสิ้น 1000 กว่าผลงาน จาก 33 ประเทศทั่วโลก

                ขอปรับมือให้ฝีมือคนไทย ผลิตภัณฑ์คนไทยค่ะ

                เจลแต้มสิว

                แล้วถามว่าผลิตภัณฑ์ตัวนี้ใช้ได้แต่คนท้องกับให้นมลูกอย่างเดียวเลยหรือเปล่า  จริงๆ สาวๆ ที่เป็นสิวทั่วไปก็ใช้ได้ค่ะ ถ้าชอบอะไรที่เป็นสมุนไพรแล้วก็ปลอดภัย แต่เจลสิวตัวนี้เขาเอาใจแม่ท้องกับแม่ให้นมลูกมากหน่อย เพราะแม่ๆ เวลาเป็นสิวแล้วจะไม่กล้าใช้ยารักษาสิวทั่วไป เพราะกลัวในเรื่องสารเคมีต่างๆ เป็นแม่ก็ต้องคิดหนัก ศึกษาข้อมูลมากหน่อย เพื่อความปลอดภัยไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพลูกค่ะ

                เจลแต้มสิว

                เจลแต้มสิวเฮอร์บิสต้าร์ แอคแน่ ที่ลองใช้กับตัวเอง คือ แต้มทิ้งไว้ก่อนนอน พอตื่นเช้ามาหัวสิวยุบลงค่ะ แล้วที่เห็นสีเหลืองๆ ไม่ต้องตกใจว่าจะล้างไม่ออกกันนะคะ เพราะเป็นสีของสมุนไพรล้างออกง่าย ส่วนกลิ่นก็หอมสมุนไพรอ่อนๆ เป็นแบบอโรมาเธอราพี ทาแล้วนอนหลับสบาย สบายใจตื่นมาสิวยุบค่ะ

                เอาเป็นว่าคุณแม่ท้อง คุณแม่ให้นมบุตร หรือจะเป็นสาวๆ ที่รักษาสวยรักงาม แต่มีปัญหาสิวผด สิวอักเสบ หรือสิวฮอร์โมน ลองหาเจลแต้มสิวเฮอร์บิสต้าร์ แอคเน่ (Herbistha Acne) มาใช้กันดูนะคะ  คือที่พูดมาทั้งหมดอย่าเพิ่งเชื่อ ถ้าคุณยังไม่ได้ลองใช้ด้วยตัวเองกันนะคะ

                ส่วนใครที่อยากได้ข้อมูลเพิ่มเติม ให้เข้าไปที่นี่เลยค่ะ http://www.herbistha.com/  หรือที่

                https://www.facebook.com/HERBISTHA/

                  สมุนไพรเพิ่มน้ำนม

                  น้ำนมไหลดี ลูกกินอิ่มสต๊อกแน่น สมุนไพรเพิ่มน้ำนม เห็นผลทันใจ

                  ปลดล็อกความกังวลของคุณแม่หลังคลอดที่มีปัญหาน้ำนมน้อยด้วย สมุนไพรเพิ่มน้ำนม ของดีจากธรรมชาติที่มีสรรพคุณช่วยกระตุ้นการผลิตน้ำนมให้ไหลดี ลูกกินอิ่ม ปั๊มเก็บเป็นสต๊อกได้สบายๆ  แถมยังดีต่อสุขภาพของคุณแม่ให้กลับมาเหมือนเดิมได้โดยไว จะมีวิธีเลือกกันอย่างไรตามมาดูกันเลยค่ะ

                  เพราะแม่รู้ดีว่าน้ำนมแม่มีประโยชน์มากแค่ไหน แต่อุปสรรคหลายอย่างทำให้ความตั้งใจที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ไปไม่ถึงฝัน โดยเฉพาะเรื่องปริมาณที่แม่หลายคนรู้สึกว่าน้อยเกินกว่าจะทำให้ลูกกินอิ่ม ซึ่งมาจากหลายสาเหตุ เช่น

                  สมุนไพรเพิ่มน้ำนม

                  1. ภาวะซึมเศร้าหลังคลอด ความเครียดและเหนื่อยล้าของแม่ที่ต้องดูแลลูกอ่อน มีผลต่อการทำงานของ “ไฮโพทาลามัส” ในสมอง จึงหลั่งน้ำนมออกมาน้อยลง
                  2. นมคัด หัวนมอุดตันทำให้ลูกดูดไม่ออก และพาลไม่ดูดในครั้งต่อไป
                  3. ฮอร์โมนของแม่ไม่สมดุล น้ำนมจึงผลิตน้อย
                  4. ท่าดูดนมของลูกไม่ถูกต้อง ทำให้ดูดนมได้น้อย ไม่เกลี้ยงเต้า จึงผลิตน้ำนมใหม่น้อยลง
                  5. ช่วงเวลาให้นมไม่สัมพันธ์กับความอยากนมของลูก เช่น ให้นมถี่เกินไป พอลูกร้องก็ให้นมทันที เมื่อลูกดูดไม่หมด นมก็ผลิตน้อยลงเช่นกัน และนี่เป็นสาเหตุใหญ่ที่สุดของปริมาณน้ำนมน้อย ไม่ใช่ขนาดของหน้าอก หรือน้ำหนักของแม่อย่างที่เข้าใจกัน

                  หากคุณแม่หาสาเหตุให้เจอและแก้ไขได้ตรงจุด จะช่วยน้ำนมมีปริมาณมากขึ้นได้ อีกทั้งคุณแม่ควรได้รับสารอาหารที่เพียงพอในแต่ละวันโดยเพิ่มจากช่วงก่อนตั้งครรภ์ราว 500 กิโลแคลอรี กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ และดื่มน้ำวันละ 1 – 2 ลิตร ซึ่งในช่วงหลังคลอด ควรดื่มน้ำอุ่นเพื่อช่วยกระตุ้นให้ร่างกายผลิตน้ำนมได้ดีขึ้น

                  สมุนไพรเพิ่มน้ำนม

                  หากน้ำนมยังน้อยอยู่ อาจต้องใช้วิธีลัดด้วยการใช้ สมุนไพรเพิ่มน้ำนม มาช่วยบำรุงน้ำนมแม่ให้ผลิตออกมาเพียงพอสำหรับให้ลูกได้กิน สมุนไพรเหล่านี้มีหลายประเภท ทั้งที่เป็น “ของสด” “ของแห้ง” และ “แปรรูป” ซึ่งการกินสมุนไพรแทบไม่ส่งผลข้างเคียงต่อสุขภาพ แต่ยังระมัดระวังอยู่บ้าง สิ่งที่คุณแม่ควรพิจารณาก่อนซื้อ สมุนไพรเพิ่มน้ำนม ง่ายๆ ดังนี้

                  • สมุนไพรต้องมีตรารับรองจากอย. หรือมีเลขทะเบียนยา
                  • สมุนไพรสกัดต้องระบุส่วนผสมที่ชัดเจน
                  • ระบุขนาดยาควรบริโภคอย่างชัดเจน พร้อมกับคำเตือนบนฉลากผลิตภัณฑ์

                  สมุนไพรเพิ่มน้ำนม

                  Amarin Baby & Kids Awards 2019 ยกให้ ยาพริมแคปซูล (Prim) เป็น สมุนไพรเพิ่มน้ำนม ที่ได้รับรางวัล Editor’s Choice Best Breastfeeding Supplement

                  พริม  (Prim) สมุนไพรในรูปแบบแคปซูล ซึ่งช่วยในการฟื้นฟูร่างกาย และมีสรรพคุณช่วยบำรุงน้ำนม ซึ่งเหมาะกับคุณแม่หลังคลอด ที่ต้องการให้ร่างกายผลิตน้ำนมอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เพียงพอกับความต้องการของลูกน้อย “น้ำนมราชสีห์ช่วยบำรุงน้ำนม ฟื้นกำลังและกระชับมดลูก

                  นอกจากนี้ยังมีส่วนผสมธรรรมชาติ 100 % เอี้ยะบ่อเช่า รากสามสิบ เจตมูลเพลิงแดง โกฐเชียงโกฐหัวบัว ดอกคำฝอย พริกไทยดำ และสมุนไพรอื่นอีก กว่า 30 ชนิด ที่ช่วยในการดูแลสุขภาพของคุณแม่หลังคลอดอย่างครบถ้วน สามารถใช้แทนการอยู่ได้ทั้งขับน้ำคาวปลา หน้าท้องยุบไว ลดอาการปวดหลัง ปวดเอว ปวดหนาวหลังคลอด เหมาะกับคุณแม่ยุคใหม่ที่ต้องการฟื้นฟูร่างกายให้กลับมาสวยเปล่งปลั่งโดยเร็วและง่ายขึ้น

                  ที่สำคัญ prim เป็นสมุนไพรแผนโบราณ ที่ช่วยบำรุงน้ำนม และใช้แทนการอยู่ไฟ บำรุงร่ายกายหลังคลอด ที่ไม่มีอาหารกลุ่มเสี่ยงแพ้ นมวัว  ถั่วและพืชตระกูลถั่ว ไข่ แป้งสาลี อาหารทะเล (Top 8 Free) จึงหมดห่วงว่าจะปะปนในน้ำนม และทำให้ลูกแพ้อาหาร เมื่อน้ำนมไหลดีแล้ว คุณแม่จะรู้สึกผ่อนคลายและมีความสุข ส่งผลดีต่อพัฒนาการของลูกเช่นกัน

                  ทาง Amarin Baby & Kids “เครือข่ายแม่ลูกใหญ่ที่สุด” ผู้นำด้านคอนเทนต์คุณภาพ เข้าใจครอบครัวไทย และตอบสนองความต้องการของคุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ จึงคัดเลือกให้ผลิตภัณฑ์ดูแลคุณแม่หลังคลอด Prim ได้รับ รางวัล Editor’s Choice  Best Breastfeeding Supplement จาก “Amarin Baby & Kids Awards 2019” ซึ่งมอบให้กับสินค้าแม่ลูก “สินค้าใช้ดี และมีประโยชน์จริง”

                  คุณแม่สามารถศึกษาข้อมูลผลิตภัณฑ์เพิ่มเติมได้ที่  https://www.mkh.co.th/

                   

                  อ่านบทความ Amarin Baby & Kids Awards 2019 

                  ประกาศผลรางวัล Amarin Baby & Kids Awards 2019 สุดยอดแบรนด์สินค้าแม่และเด็กในดวงใจ

                   

                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                   

                    สบู่เหลวเด็ก ยี่ห้อไหนดี

                    สบู่เหลวเด็ก ยี่ห้อไหนดี คุณแม่เลือก เบบี้มายด์ เป็นแบรนด์อันดับหนึ่งในดวงใจ

                    สบู่เหลวเด็ก ยี่ห้อไหนดี สินค้าชิ้นสำคัญที่ขาดไม่ได้สำหรับการดูแลความสะอาดของลูกน้อย แม้ร่างกายของวัยแบเบาะจะไม่มีสิ่งสกปรกมากเท่าผู้ใหญ่ แต่จะเลือกสบู่เหลวอย่างไรให้เหมาะกับผิวลูกน้อย ไม่เสี่ยงระคายเคือง คุณแม่ทั่วประเทศ ให้ เบบี้มายด์ (Babi Mild) เป็นแบรนด์สบู่เหลวอันดับหนึ่งในดวงใจ และรับรางวัล Amarin Baby & Kids Awards 2019 สาขา Mommy’s Choice

                    สบู่เหลวเด็ก ยี่ห้อไหนดี แม่ทั่วประเทศเลือกแล้ว ใช้ยี่ห้อนี้เป็นแบรนด์ในดวงใจ

                    Amarin Baby & Kids “เครือข่ายแม่ลูกใหญ่ที่สุด” ผู้นำด้านคอนเทนต์คุณภาพ เข้าใจครอบครัวไทย และตอบสนองความต้องการของคุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ ไทย ทั้งรูปแบบ Online ผ่านเว็บไซต์ www.AmarinBabyAndKids.com และเฟซบุ๊คแฟนเพจที่มีเนื้อหาตรงใจ ทันสถานการณ์ โดยมียอดผู้ติดตามมากกว่า 1,000,000 Followers และรูปแบบ On print ผ่าน Bookazine ราย 2 เดือน รวมถึง รูปแบบ On ground งานแฟร์แม่ลูก Amarin Baby & Kids Fair ที่จัดมาแล้วถึง 15 ครั้ง

                    เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านเครือข่ายแม่ลูกอันดับ 1 ของประเทศที่เข้าใจคุณแม่ไทยมากที่สุด เว็บไซต์ Amarin Baby & Kids จึงได้จัด “Amarin Baby & Kids Awards 2019” ครั้งแรกในเมืองไทย เพื่อเฟ้นหาสุดยอดแบรนด์สินค้าแม่และเด็กในดวงใจ  จากคะแนนโหวตของคุณแม่ทั่วประเทศกว่า 10,000 คน ผ่าน www.AmarinBabyAndKids.com เว็บไซต์สื่อกลางข้อมูลคุณภาพจากแม่สู่แม่ Mom to Mom Sharing เพื่อเป็นประโยชน์แก่คุณแม่มือใหม่ที่กำลังมองหา “สินค้าใช้ดี ที่ได้รับการยืนยันจากคุณแม่ตัวจริงทั่วประเทศ”

                    และเพื่อให้สมกับรางวัลที่มาจากความคิดเห็นของแม่อย่างแท้จริง สำหรับแบรนด์สินค้าในสาขา Mommy’s Choice จึงเปิดโอกาสให้แม่ได้ร่วมโหวต  2  รอบ ได้แก่ “รอบเสนอชื่อแบรนด์ที่ชื่นชอบ” จากนั้นทีมงานได้ทำการเลือกแบรนด์ที่ถูกเสนอชื่อมากที่สุด มาจัด“รอบโหวตแบรนด์ในดวงใจ” อีกครั้งหนึ่ง

                    ทำไมแม่โหวตให้ เบบี้มายด์ เป็นแบรนด์สบู่เหลวในดวงใจ

                    ใก็เคยตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเลือก สบู่เหลวเด็ก ยี่ห้อไหนดี แต่พอใช้ครั้งแรกประทับใจเลยค่ะ อาบน้ำผิวลูกสะอาด ฟองไม่เยอะ ล้างออกง่ายมากๆเลยค่ะ”

                    “ลูกตัวหอมมากค่ะ แต่เป็นกลิ่นหอมอ่อนๆติดผิวเลย ลูกเป็นคนผิวแพ้ง่าย แต่ใช้ขวดนี้แล้ว ไม่ต้องกลัวว่าจะระคายเคือง”

                    “ชอบตรงที่มีหลายสูตรให้เลือกใช้กับลูกวัยต่างกัน ที่บ้านมีลูกชายสองคนก็ใช้คนละสูตรได้เลย หาซื้อง่าย ราคาไม่แพงด้วย”

                    ผลิตภัณฑ์แบรนด์ เบบี้มายด์เป็นหนึ่งในแบรนด์สินค้าดูแลผิวสำหรับเด็กในหลายกลุ่มได้แก่ สบู่เหลว แชมพู โลชั่น  แป้งเด็ก น้ำยาซักผ้าและปรับผ้านุ่มเด็ก และน้ำยาล้างขวดนม เป็นต้น โดยเน้นส่วนผสมที่บริสุทธิ์และอ่อนโยนจากธรรมชาติซึ่งผ่านมาตรฐานทดสอบว่าไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองผิว จนเป็นที่ไว้วางใจของคุณแม่คนไทยมายาวนานกว่า 21 ปี

                    อ่านบทความ Amarin Baby & Kids Awards 2019 

                    ประกาศผลรางวัล Amarin Baby & Kids Awards 2019 สุดยอดแบรนด์สินค้าแม่และเด็กในดวงใจ

                    ชมภาพบรรยากาศ งานมอบรางวัล Amarin Baby & Kids Awards 2019

                    แชมพูเด็ก ยี่ห้อไหนดี คุณแม่เลือก เบบี้มายด์ เป็นแบรนด์อันดับหนึ่งในดวงใจ

                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                     

                      ลูกทำชามแตก

                      ลูกทำชามแตก แต่อย่าให้ลูกใจ “แหลก” ด้วยคำพูดพ่อแม่ โดย พ่อเอก

                      ลูกทำชามแตก เป็นเหตุการณ์ที่น่าจะเจอกันทุกบ้าน แล้วแต่ละบ้านรับมือกับเหตุการณ์นี้อย่างไร? ผมขอแชร์ประสบการณ์ของบ้านผมให้ฟังฮะ

                      ช่วงเย็นวันอาทิตย์สัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากเสร็จจากการออกไปปั่นจักรยานกับปะป๊าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ปะป๊าไม่ค่อยสบายเป็นหวัดนิดๆ พอเข้าบ้าน พี่ปูนปั้นพูดถามขึ้นว่า

                      “อยากทานข้าวกับไข่คนได้มั้ยครับ”

                      ปะป๊าตอบไปว่า ได้สิ ปูนปั้นพูดต่อว่า “เดี๋ยวปูนปั้นทำเอง” แล้วก็วิ่งเข้าครัวไปคนเดียว

                      (ถ้าเคยอ่านเรื่องราวของปูนปั้นกับปั้นแป้งผ่านตามาบ้างจะคุ้นว่า เราให้ลูกทั้ง 2 คนช่วยทำกับข้าวเสมอ แต่สำหรับพี่ปูนปั้นซึ่งอยู่ ป.1 แล้วก็จะทำกับข้าวง่ายๆทานเองได้)

                      บทความแนะนำ ชวนลูกทำอาหาร “สร้างความมั่นใจ” ติดตัวไปจนโต

                      ส่วนปะป๊าก็ขึ้นไปอาบน้ำ ล้างตัว สบายอารมณ์

                      “เพล้ง” เสียงดังฟังชัด

                      ป๊าเงี่ยหูฟังทันทีว่ามีเสียงร้องไห้มั้ย เพราะหลังเสียงเพล้งสิ่งที่ลุ้นที่สุดคือลูกเจ็บมั้ย

                      เมื่อไม่มีเสียงร้อง ป๊ารีบ แต่งตัวลงมาดู

                      โถแก้วใส่ข้าวกล้องใบโตแตกกระจาย

                       

                      เมื่อลงมาถึงและเห็นหน้าปูนปั้นผมถามว่า

                      “หนูไม่โดนบาดใช่มั้ย เจ็บหรือป่าวลูก”

                      เมื่อลูกตอบว่าไม่โดนอะไร แล้วอธิบายว่ามันหนักแล้วลื่นหลุดมือ เราก็เพียงตอบว่า

                      “ไม่เป็นไรลูก อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ ไม่เจ็บดีแล้ว ถอยมาก่อน เดี๋ยวเหยียบโดนเศษแก้วบาด”

                      แล้วลูกก็พยายามเข้ามาช่วยทำความสะอาด เราก็ให้เขาช่วยห่างๆ

                      แล้วเหตุการณ์ก็ผ่านไปด้วยดี ลูกก็ทานข้าวกับไข่คนที่ตัวเอง ทำเอง กินเอง อร่อยเอง

                      ในครั้งต่อไป ปูนปั้นจะยังคงอยากทำกับข้าวเอง ความมั่นใจจะไม่ลดลง และเขาได้เรียนรู้ว่าหากไม่ระวังจะเกิดอุบัติเหตุได้ ส่วนปั้นแป้งที่อยู่ในเหตุการณ์ก็ได้เรียนรู้ไปด้วยกัน ไม่ตกอกตกใจและคงพร้อมที่จะช่วยทำกับข้าวไปเรื่อยๆ จนโตพอก็จะทำเองเหมือนพี่ปูนปั้น

                       

                      แต่หากเหตุการณ์กลับกัน ผมดุใส่ทันที่ที่ ลูกทำชามแตก

                      “ทำไมทำอะไร ไม่ระวังหละลูก ของแตกเสียหายหมด … สอนให้ระวังทำไมไม่จำ”

                      ลูกคงเสียใจ ในครั้งหน้าเขาอาจจะไม่อยากทำกับข้าวเอง ถ้าโชคดีเขาอาจจะแค่ถอยไปเล็กน้อย แค่ต้องให้เราอยู่ใกล้ๆ สร้างความมั่นใจขึ้นมาใหม่ หากโชคร้ายเขาไม่ต้องการทำมันอีกแล้วเพราะไม่เห็นมีแรงจูงใจในการทำ เพราะไม่ทำกับข้าวเองก็มีคนทำให้ แต่ถ้าทำเองแล้วผิดพลาดอาจจะโดนดุ

                       

                      ในทุกการกระทำที่ผิดพลาดของลูก เรามีทางเลือกเสมอในการสร้างประสบการณ์ชีวิตให้เขา ดุเพื่อให้รู้ว่าทำไมหนูแย่ หรือ อธิบายอย่างเข้าใจว่าเราสามารถเรียนรู้ไปด้วยกัน

                      ผมไม่ได้กำลังบอกว่า เราดุลูกไม่ได้ เราทำโทษลูกไม่ได้ แต่ถ้าความผิดพลาดเกิดจากการตั้งใจที่ดี ผมว่าเรามีทางเลือกที่ดีกว่า แต่หากการกระทำนั้นเป็นสิ่งไม่ดีหรืออาจจะเกิดอันตรายหรือทำความเดือดร้อนให้คนอื่น การดุการทำโทษก็อาจจะเป็นเรื่องที่จำเป็น

                       

                      อ้อ ไม่ว่าคุณจะเลือกวิธีไหน อย่าลืมกอดลูกและบอกรักลูก … เรามักกอดและบอกรักลูกตอนที่เขายังอยู่ในวัยทารก แต่พอเขาโตขึ้น ผมเห็นหลายๆ ครอบครัว หลงลืมมันไป สำหรับครอบครัวเรา ผมยังบอกรักลูกทุกวัน กอดลูกทุกวัน และนั่นยังเป็นสายใยที่สำคัญที่จะผูกโยงเราให้ใกล้ชิดกันเสมอ

                       


                      >>แวะไปดู รอยยิ้มหวานฉ่ำ ที่มีแจกฟรีทุกวันได้ที่เฟซบุ๊ค

                      หมุนรอบลูก – พี่ปูนปั้น กับ น้องปั้นแป้ง นะครับ<<

                      ปูนปั้น ปั้นแป้ง พ่อเอก
                      ปูนปั้น ปั้นแป้ง พ่อเอก เพจหมุนรอบลูก

                      บทความน่าสนใจอื่นๆ

                      6 ข้อดีที่ผมได้เรียนรู้ จากประสบการณ์ พาลูกท่องเที่ยว

                      แชร์เทคนิค”สอนลูกให้รู้จักรับผิดชอบ”ตั้งแต่เด็ก

                      “ลูกทำผิด” เทคนิคสอนลูก แบบไม่ต้อง “ทำโทษ”

                       

                      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                        อาการหวัด ไอ จาม

                        อาการหวัด ไอ เจ็บคอ 3 วิธีป้องกันอาการที่มักเข้าใจกันผิด

                        อาการหวัด ไอ เจ็บคอ ลูกน้อยมักป่วยกันมากในช่วงหน้าหนาว ซึ่งในเด็กบางคนที่ภูมิคุ้มกันร่างกายต่ำมากก็อาจมีไข้ตัวร้อน  นอนซมจนต้องแอดมิทเข้าโรงพยาบาล ดังนั้นเพื่อให้คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ได้เข้าใจวิธีการดูแลและป้องกันลูกน้อยจาก ไข้หวัดมากขึ้น เราจะพามาดู 3 ความเข้าใจผิดที่คุณพ่อคุณแม่อาจจะมี เกี่ยวกับการป้องกันไข้หวัดของลูกน้อยกันค่ะ

                         

                        อาการหวัด ไอ เจ็บคอ การดูแลบรรเทาอาการที่เข้าใจกันผิด

                        1. วิตามินซีช่วยป้องกันหวัดได้

                        มีการทำการวิจัยหลายครั้งถึงประสิทธิภาพของวิตามินซีในการป้องกันหวัด แต่ผลวิจัยส่วนใหญ่ไม่สม่ำเสมอนัก ทำให้ในทางวิชาการยังถือว่าไม่มีหลักฐานอะไรว่าวิตามินซีสามารถป้องกันโรคหวัดได้ อย่างไรก็ตามมีการวิจัยที่เชื่อถือได้หลายแหล่ง พบว่าการทานวิตามินซีในปริมาณเพียง 2 มิลลิกรัมต่อวันทุกวัน สามารถลดระยะเวลาการเป็นหวัดได้ หมายความว่าเมื่อลูกน้อยทานวิตามินซีเป็นประจำอาจจะไม่ได้มีโอกาสเป็นไข้หวัดลดลง แต่จะสามารถลดระยะเวลาที่ป่วยให้สั้นลงได้นั่นเองค่ะ

                        แต่ยังมีสารอีกตัวที่อาจจะมีชื่อที่ไม่คุ้นหูคุณแม่นักคือ Flavonoid ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีการวิจัยรองรับว่าสามารถ ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อในปอด ลำคอ และจมูก ได้ถึง 33% ซึ่งตัว Flavonoid นี้เป็นสารที่พบได้ในผักและผลไม้ อย่างเช่นผลไม้อย่าง เอลเดอร์เบอร์รี่ค่ะ เพราะฉะนั้นถ้าอยากป้องกันอาการหวัดของลูกต้องไม่ลืมเรื่องของการกินอาหารให้ครบ 5  หมู่เลยค่ะ

                        https://www.healthline.com/nutrition/does-vitamin-c-help-with-colds#section3

                        2. วัคซีนสเปรย์ฉีดจมูกทดแทนการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ได้

                        วัคซีนสเปรย์ฉีดจมูกอาจจะเป็นตัวเลือกของคุณพ่อคุณแม่บางท่านที่ลูกกลัวเข็ม และเห็นว่าเป็นตัวเลือกที่ทำใจได้ง่ายกว่า สำหรับลูกน้อย แต่ความเสี่ยงที่ตามมาคือประสิทธิภาพที่ค่อนข้างน้อยกว่ามาก จนในปีล่าสุดคำแนะนำการให้วัคซีน (ACIP) ของศูนย์ควบคุมโรคอเมริกัน ( CDC ) ได้แนะนำว่าให้การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่เป็นตัวเลือกแรกในการป้องกันไข้หวัด ใหญ่ และแนะนำให้ใช้วัคซีนสเปรย์ฉีดจมูกเฉพาะในผู้ป่วยที่แพ้วัคซีนแบบฉีดเท่านั้น เพราะฉะนั้นเพื่อความชัวร์แนะนำให้คุณพ่อคุณแม่พาลูกไปฉีดวัคซีนแบบปกติจะดีกว่าค่ะ

                        https://www.cdc.gov/media/releases/2016/s0622-laiv-flu.html

                        3. การกินยา Antibiotic โดยไม่จำเป็น

                        ยา Antibiotic หรือเรียกว่า ยาปฎิชีวนะ เป็นยาที่ต้องใช้ตรงกับชนิดของโรค ซึ่งคุณพ่อคุณแม่อาจเข้าใจกันว่าเวลาที่ลูกป่วยเป็นหวัด เจ็บคอ ก็สามารถหาซื้อเป็นยาปฎิชีวนะให้ลูกกินก็ได้ ซึ่งตรงนี้เป็นเรื่องที่เข้าใจผิดและเป็นการใช้ยาที่ไม่เหมาะกับโรค เสี่ยงต่อการเกิดอันตรายขึ้นได้ แนะนำว่าการใช้ยากลุ่ม Antibiotic ควรอยู่ในคำแนะนำของแพทย์เท่านั้นค่ะ หากเด็กๆมีอาการหวัด เจ็บคอ ไม่ควรใช้ยาปฎิชีวนะ เพราะเชื้อหวัดเป็นไวรัสไม่ใช่แบคทีเรียค่ะ

                        http://www.thaipediatrics.org/Media/media-20191010135541.pdf
                        https://www.pharmacy.mahidol.ac.th/th/knowledge/article/405/ยาปฏิชีวนะอย่าใช้พร่ำเพรื่อ/

                         

                        อาการหวัด ไอ จาม

                        สำหรับวิธีการดูแลรักษาสุขภาพลูกน้อยในช่วงหน้าหนาวที่ถูกต้องนั้น ต้องดูว่าลูกน้อยของเรามีอาการหวัดประเภทไหนค่ะ ซึ่งแบ่งได้ 2 ประเภทได้แก่ อาการหวัดธรรมดา (Common cold) เกิดจากเชื้อไวรัสทางเดินหายใจ ซึ่งอาการจะไม่รุนแรงมาก จะมีไข้ต่ำๆ มีอาการไอ จาม และ มีเสมหะ มีน้ำมูก คัดจมูก ซึ่งสามารถบรรเทาอาการด้วยการให้รับประทานยาลดไข้สำหรับเด็ก รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ นอนพักผ่อน อาการหวัดก็จะค่อยๆ ดีขึ้นหายเป็นปกติภายในประมาณ 2-3 วันค่ะ ส่วนอาการไข้หวัดใหญ่ (Flu) เกิดจากเชื้อไวรัส INFLUENZA ที่พบว่าเด็กๆ ป่วยกันมากจะมาจากสายพันธุ์ A และ B ซึ่งอาการแสดงคือเด็กๆ จะมีไข้สูง หนาวสั่น ปวดศีรษะ มีอาการไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ไม่อยากอาหาร และคลื่นไส้ อาเจียน แนะนำให้พาลูกไปโรงพยาบาลทันที เพราะหากปล่อยไว้ลูกอาจชักจากไข้ขึ้นสูงได้ค่ะ

                        และอีกสาเหตุหนึ่งที่อาจทำให้ลูกอาจมีอาการคล้ายอาการหวัด พร้อมอาการไอ จาม อาจเกิดจากการที่ในปัจจุบันในอากาศมีทั้งฝุ่น ควัน ฝุ่นละอองPM 2.5 เป็นต้น ปัจจัยแวดล้อมต่างๆ นี้ ทำให้สุขภาพลูกน้อยแย่ และเจ็บป่วยเป็นภูมิแพ้ได้เช่นเดียวกันค่ะ ซึ่งคุณพ่อคุณแม่สามารถที่จะดูแลบรรเทารักษาอาการได้ในเบื้องต้น ด้วยการเช็ดตัวให้ลูกน้อยเพื่อลดไข้ ล้างจมูกเพื่อไล่น้ำมูกและเสมหะ หรือให้ลูกน้อยทานยาแก้ไอ และหวัดสำหรับเด็กที่ปลอดภัย ไม่มีผลข้างเคียง อย่าง…

                        อาการหวัด ไอ จาม

                        ยาแก้ไอเด็ก ตรามิสเตอร์เฮิร์บ ส่วนผสมจากสมุนไพร 100%

                        คุณพ่อคุณแม่ที่มีความกังวลในการที่จะให้ลูกรับประทานยาน้ำแก้ไอสำหรับเด็ก “ยาแก้ไอเด็ก ตรามิสเตอร์เฮิร์บ” เป็นสูตรยาน้ำที่ได้พัฒนาขึ้นมาสำหรับเด็กโดยเฉพาะ ปราศจากสารเคมี แอลกอฮอล์ และ กลิ่นสังเคราะห์

                        ส่วนประกอบหลักของยาคือ มะขามป้อม (Phyllanthus emblica Linn.)

                        ผลมะขามป้อมสดใช้รับประทานเป็นผลไม้ แก้กระหายน้ำได้เป็นอย่างดี
                        นอกจากนั้นยังเป็นยาบำรุงแก้หวัด แก้ไอ ละลายเสมหะ

                        เป็นยาแก้ไอที่ปลอดภัย ไม่มีผลข้างเคียง เหมาะกับการให้เด็กตั้งแต่ 2 ขวบขึ้นไปทานค่ะ

                        คุณพ่อคุณแม่สามารถอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ได้ที่ลิ้งค์นี้เลยค่ะ http://bit.ly/2rEMD0d

                        อาการหวัด ไอ จาม

                        ยาน้ำบรรเทาอาการเนื่องจากหวัดสำหรับเด็ก ตรามิสเตอร์เฮิร์บ รสเอลเดอร์เบอร์รี่ ส่วนผสมจากสมุนไพร 100%

                        สูตรยาที่ได้พัฒนาขึ้นมาสำหรับเด็กโดยเฉพาะ เป็นสูตรที่ปราศจากสารเคมี แอลกอฮอล์ และสีสังเคราะห์ ปลอดภัยไม่ทิ้งสารตกค้าง มีส่วนประกอบสำคัญหลักของยาคือ เอลเดอร์เบอร์รี่ที่มีสารอย่าง Flavonoid อยู่มาก จึงช่วยยับยั้งการเจริญของเชื้อไวรัสไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่และลดอาการของหวัดได้ หวงฉี ซึ่งมีฤทธิ์กระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน เจี๋ยเกิง มีฤทธิ์ระงับการไอ กันเฉ่า มีฤทธิ์ระงับไอ บรรเทาอาการระคายเคือง และขับเสมหะ กุ้ยจือ มีฤทธิ์ลดไข้และระบายความร้อนอย่างอ่อนๆ สำหรับยาบรรเทาอาการหวัดตัวนี้ ทานได้ตั้งแต่เด็กอายุ 2 ปีขึ้นไปเช่นกันค่ะ

                        คุณพ่อคุณแม่สามารถอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ได้ที่ลิ้งค์นี้เลยค่ะ http://bit.ly/36CfocC

                        อยากให้ลูกน้อยมีพัฒนาการที่สมบูรณ์สมวัย คุณพ่อคุณแม่ต้องดูแลใส่ใจสุขภาพร่างกายลูกน้อยให้มีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงอยู่ตลอดเวลา เพื่อที่ลูกจะได้ไม่เจ็บป่วยบ่อย หรือไม่เจ็บป่วยเลยดีที่สุดค่ะ

                          เกรซ มหาดํารงค์กุล

                          เกรซ มหาดํารงค์กุล กับสไตล์การเลี้ยงลูกแบบง่ายๆ เน้นเรื่องมารยาท

                          เกรซ มหาดํารงค์กุล เซเลบริตี้คุณแม่ลูกสอง ผู้มีความสามารถเกินตัว แถมความสวยที่ไม่เป็นสองรองใคร เผยวิธีการเลี้ยงลูกแบบง่ายๆ แต่เน้น “มารยาท” เรื่องที่เด็กยุคนี้ต้องมี!

                          เผยสไตล์การเลี้ยงลูกแบบง่ายๆ
                          ของ คุณแม่สายลุย
                          “เกรซ มหาดํารงค์กุล”

                          เกรซ มหาดํารงค์กุล คุณแม่ลูกสอง สาวสวยทรงเสน่ห์ ซึ่งเคยได้รับบทเป็น พระสุพรรณกัลยา ในภาพยนตร์เรื่องสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และยังเป็นผู้หญิงต้นแบบ เป็นไอดอลในใจใครหลายๆ คน เป็นเวิร์กกิ้งวูแมน ที่มีความสามารถทางการงานที่แน่นมากๆ

                          เกรซ มหาดํารงค์กุล
                          ขอบคุณภาพจาก sanook.com

                           

                          โดยคุณ เกรซ มหาดํารงค์กุล ได้แต่งงานกับ คุณโน้ต จงเจต วัชรานันท์ ไปเมื่อปี พ.ศ. 2555 หลังพบรักกันที่กองถ่ายภาพยนตร์ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

                          ซึ่งหลังจากที่คุณเกรซและคุณโน้ตแต่งงานกัน ก็ใช้เวลาเกือบ 3 ปี กว่าจะมีลูก โดยมีลูกสาวคนแรก คือ น้องจาติม ปัจจุบันอายุ 5 ขวบ อยู่ในวัยที่กำลังน่ารักสดใส และถัดมาอีก 4 ปี ก็มีลูกชายตัวน้อยอีกหนึ่งคน คือ น้องจินต ซึ่งตอนนี้ก็อยู่ในวัยกำลังซนชอบเรียนรู้ ก็ถือได้ว่าเป็นคุณแม่สายตรองที่ยังสวยและเก่งด้วย เพราะถึงแม้จะแต่งงานช้าและมีลูกช้า แต่คุณเกรซก็ยังสามารถเลี้ยงลูกไปพร้อมกับทำงานได้อย่างไม่แพ้ใคร และด้วยความเก่ง สวย มีเสน่ห์น่าสนใจของคุณแม่เกรซ ทางทีมแม่ ABK จึงได้แอบไปสัมภาษณ์ล้วงเอาเทคนิคการเลี้ยงลูกดีๆ มาฝากคุณพ่อคุณแม่กันค่ะ

                          เกรซ มหาดํารงค์กุล
                          ขอบคุณภาพจาก : IG @gracemahadumrongkul

                          พัฒนาการของน้องจินตเป็นยังไงบ้าง : น้องจินตตอนนี้อายุ 1 ขวบ 8 เดือน พัฒนาการก็ตามวัยตามเกณฑ์ปกติทั่วไป แต่เด็กผู้ชายจะพูดช้ากว่าผู้หญิง เพราะตอนจาติมขวบนึงก็เริ่มเป็นคำออกมาแล้ว ส่วนน้องจินตพูดเป็นคำเหมือนกันแต่ว่ายังได้ไม่เยอะ แต่เค้าฟังรู้เรื่องทุกอย่าง แล้วเค้าก็จะเป็นเด็กร่าเริง ชอบเที่ยว ชอบออกนอกบ้านมาก แล้วก็จะชอบใส่รองเท้าพี่ พี่เค้าจะมีรองเท้าบูทคู่หนึ่งสีชมพูวางไว้ เค้าก็จะใส่เพราะรู้สึกว่าใส่แล้วมันสนุกมันสวมเข้าไปเลยแล้วมันก็สูง พอใส่แล้วเค้าก็จะทำหน้าทำตายิ้มมีความสุข

                          และที่บ้านก็เลี้ยงสุนัขตัวหนึ่งเป็นพันธุ์ลาบาดอร์ชื่อชาลี เค้าก็จะเล่นกับชาลีทุกวัน เค้าจะตัวเท่ากันแต่เค้าก็ไม่กลัวชาลี ก็ไปหาของกินมาให้ เค้าก็จะเรียกชื่อได้เรียกมาเอาของกินแล้วก็เดินตามกัน

                          นอกจากนี้แม่เกรซยังบอกอีกว่า : แต่น้องจินตเค้าจะชอบมีพัฒนาการแปลกๆ ด้วย เช่น ตอนที่เค้าคลานได้ปุ๊บ เค้าก็เดินเลย เค้าไม่มีฝึกตั้งไข่ก่อน หรือตอนที่น้องจินตกินนมแม่ ซึ่งปกติเด็กทั่วไปกินนมแม่เค้าก็ต้องใช้จุกนมหรือกินนมขวด แต่น้องจินตเค้าจากนมแม่เสร็จก็กินหลอดได้เลย

                          เกรซ มหาดํารงค์กุล
                          ขอบคุณภาพจาก : IG @gracemahadumrongkul

                          น้องจาติมกับน้องจินต ใครเหมือนพ่อหรือแม่ มากกว่ากัน : น้องจินตจะเหมือนพ่อ ส่วนจาติมเหมือนเกรซ จาติมจะออกลุยๆ หน่อย คือเค้าจะไม่ใช่เป็นเด็กพูดเยอะแล้วใจเค้ากล้าไม่ใช่เด็กผู้หญิงมุ้งมิ้ง เค้าจะเป็นเด็กแบบใจกล้า เช่น พาเค้าไปปีนเขาแบบ Block Climbing เค้าก็จะไปกับพี่ๆ ที่อายุ 11 12 ขวบ เค้าไปแล้วเค้าปีนถึงยอดเลยค่ะ คือมันจะมียอดให้แตะ ถ้ามองลงมาจะหน้ากลัว เพราะว่าตอนลงมันต้องรูดตัวลงมา เค้าก็ทำได้ ซึ่งตอนแรกที่ไปกับพี่ๆ คนที่นั่นเค้าก็บอกว่ายังเด็กอยู่ยังไม่ให้ขึ้นแล้วทางเราก็บอกว่าเค้าขึ้นได้ พอเค้าขึ้นไปทุกคนก็ยืนตบมือให้ แล้วบอกว่าเด็กคนนี้กล้าและเป็นผู้หญิงด้วย ซึ่งจาติมเค้าก็จะเป็นเด็กที่ไม่พูดมากเค้าลุยเลย เค้าก็ไม่ได้เป็นเด็กห้าวแต่จะชอบลุย ลุยได้เหมือนแม่ ส่วนจินตจะเหมือนพ่อชอบอะไรกุ๊กกิ๊กเค้าจะเป็นผู้ชายอ่อนโยน แต่ถ้าชอบปีนป่ายอะไรตั้งแต่เด็กน้องจาติมก็จะเหมือนเกรซเลย

                          เกรซ มหาดํารงค์กุล

                          ลูกสองคน นิสัยเหมือนหรือต่างกันยังไง : ไม่เหมือนกันเลย จินตจะเป็นเด็กผู้ชายที่อ่อนโยนชอบตุ๊กตา ส่วนจาติมจะไม่เล่นตุ๊กตาเลย ซึ่งจะมีตุ๊กตาคุณยายตัวนึงคือคุณแม่เกรซเค้าซื้อให้จาติม แต่จาติมไม่สนใจเลย ปรากฏว่ากลายมาเป็นเพื่อนของจินต จินตเอานอนด้วยทุกคืน เค้าก็จะมีตัวโปรดแล้วก็จะเอาไปกอดเอาไปจูบ แต่จาติมเค้าก็จะมองๆ จับๆ เฉยๆ เค้าก็ไม่ค่อยสน ซึ่งจาติมเค้าจะเป็นเด็กที่ชอบต่อจิ๊กซอว์มาก แล้วก็ชอบประดิษฐ์อะไรขึ้นมา ด้วยความที่เค้าโตกว่า แต่ถ้าเทียบของเล่นจาติมจะชอบอะไรที่ปั้นๆต่อๆ แต่จินตเค้าจะเป็นต่อๆ เหมือนกันแต่จะมุ้งมิ้งหน่อย

                           

                          กิจกรรมอะไรที่ทั้ง 4 คนพ่อแม่ลูกชอบทำด้วยกันมากที่สุด : จริงๆ เราก็ชอบเล่นน้ำกัน แต่น้องจินตเค้าจะแพ้น้ำ คือเล่นทีไรเป็นเรื่องทุกที คือแบบอากาศในกรุงเทพอาจจะไม่ค่อยบริสุทธิ์เค้าก็เลยจะกลายเป็นเด็กที่มีโรคภูมิแพ้อยู่หน่อย พอลงน้ำที่ไรก็จะมาแล้วทั้งน้ำมูกเอยหวัดเอย แต่เราก็จะหากิจกรรมอะไรทำด้วยกันแต่ไม่ค่อยจะอยู่บ้าน เพราะถ้าอยู่บ้านลูกก็จะรบเร้าขอดูทีวี ขอเล่นเกมบ้าง ซึ่งถ้าว่างๆ เสาร์อาทิตย์ก็จะพาไปคล้ายทัศนศึกษา คือพาไปเห็นไปเรียนรู้ของจริงที่จับต้องได้พร้อมอธิบายให้เค้าฟัง แต่ถ้ามีเวลาไม่เยอะก็จะพาไปสวนสาธารณะ ไปเดิน ไปวิ่ง เค้าก็จะเห็นกิจกรรมต่างๆ ของพี่ๆ คุณตาคุณยาย แต่ถ้าสัปดาห์ไหนมีเวลามากหน่อยเราก็จะไปต่างจังหวัดกัน เพราะว่าต่างจังหวัดจะทำให้เห็นอะไรมากขึ้น เช่นร้านค้าเล็กๆ ที่สมัยนี้หายากแล้ว อาหารเครื่องดื่มที่ไม่ค่อยมีหรือขนมโบราณบางอย่างที่เค้าไม่เคยเห็น เราก็จะอธิบายเค้าว่าที่มาเป็นยังไง หรือพาไปสวนสัตว์ ให้ทำความรู้จักกับสัตว์ต่างๆ เค้าก็จะได้มีจิตใจที่อ่อนโยน คือแบบนี้เด็กๆ ชอบ

                          ซึ่งวัยนี้เค้าก็จะชอบอะไรง่ายๆ แบบนี้ ไม่ต้องไปไกลๆ ไปไหนที่แปลกใหม่สำหรับเค้าแล้วมีคนอธิบาย หรือบางทีก็พาไปมิวเซียมอาร์ทไปวาดรูปด้วยกัน ดูภาพด้วยกัน แล้วเราก็อธิบายให้เค้าฟัง เพียงแค่รูปภาพระบายสามสีธรรมดาอาจดูไม่น่าสนใจ แต่ถ้าเราอธิบายความหมายของแต่ละสี แล้วพอเอามารวมกันจะมีความหมายว่าอะไร แบบนี้มันก็จะเกิดความน่าสนใจมากขึ้น คือจะไปไหนที่ไหนก็แล้วแต่จริงๆ ไม่ต้องพาไปไกลมากไปสิ่งที่เราไปได้ใกล้ตัวเรา เพียงแต่คุณพ่อคุณแม่ต้องใส่ใจในการอธิบายไปด้วย ซึ่งบางจุดอาจจะดูว่าเค้าไม่สนใจ แต่เด็กเค้าฟังตลอด แค่เค้าจะไม่พูด ให้คุณพ่อคุณแม่ลองสังเกตลูกตัวเอง แล้วพอกลับบ้านไปลองไปทบทวนกับเค้า เค้าก็จะบอกได้ เราต้องค่อยๆ เติมความรู้ให้เค้าไปเรื่อยๆ

                          เกรซ มหาดํารงค์กุล
                          ขอบคุณภาพจาก : IG @jongjet_note

                           

                          สไตล์การเลี้ยงลูกของคุณเกรซ : สไตล์การเลี้ยงลูกของเกรซจริงๆ แล้วง่ายๆ นะคะ ไม่มีพิธีอะไรมากเลี้ยงตามความเข้าใจของตัวเอง น้อยมากที่เกรซจะไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เพราะเกรซมีความรู้สึกว่าเด็กแต่ละคนเค้ามีลักษณะเฉพาะตัว เรารู้ดีที่สุดว่าลูกเราเป็นยังไง เพราะฉะนั้นการเลี้ยงลูกไม่ใช้แพทเทิร์น ว่าถ้าแพทเทิร์นมาแบบนี้แล้วเราต้องทำตามแบบนี้ ซึ่งบางทีลูกเราเรารู้จักเค้าก็จะเอามาประยุกต์ใช้กับลูกเราดีกว่า การเลี้ยงลูกของเกรซสไตล์ของเกรซก็คือง่ายๆ ดูจากตัวลูกว่านิสัยใจคอเป็นยังไงแล้วก็ค่อยๆ ปรับไปกับตัวของลูกเรา

                           

                          เรื่องที่เน้นสอนลูกทั้งสองคนมากที่สุด : เกรซจะคอยสอนมากเรื่องมารยาท เพราะเกรซมีความรู้สึกว่ามันเป็นเครื่องหมายบวกเลยสำหรับตัวเค้าเอง สำหรับเด็กที่น่ารักแล้วมีมารยาทเวลาผู้ใหญ่คนอื่นเห็นเค้าก็จะเอ็นดูในตัวเด็ก คือเราอาจจะไม่ได้อยู่ด้วย แต่ถ้าเค้ามีมารยาทกับผู้ใหญ่คนอื่นๆ เค้าก็จะให้ความเอ็นดูเด็กได้โดยที่เป็นตัวเค้าเอง ก็เลยเรื่องนี้ค่อนข้างจะซีเรียสหน่อย อยากให้เค้าเป็นเด็กที่มีมารยาทมีกาลเทศะ แล้วน้องจาติมเค้าก็ไม่ได้เรียนแบบโรงเรียนเด็กไทยเค้าเรียนอินเตอร์ก็เลยต้องพร่ำสอนเรื่องนี้เยอะหน่อย

                           

                          วิธีการเลี้ยงลูกให้ดีที่สุด ในแบบของคุณเกรซ คืออะไร : เกรซก็ไม่รู้ว่าอะไรคือดีที่สุดนะคะ ของเกรซก็อาจจะผิดก็ได้ อาจจะไม่ได้ถูกต้องก็ได้ แต่ว่าเราจะพยายามดูจากตัวเค้า ดูจากนิสัยใจคอของน้องเอง ดูจากลักษณะเด็ก ดูจากวิธีการ เช่นเด็กบางคนเวลาถูกทำโทษต้องจับเข้ามุมแล้วเค้าก็จะกลัว แต่จาติมเค้าไม่กลัว คือตั้งแต่เค้าขวบกว่าเกรซเคยจับเค้าเข้ามุมหลายทีเค้าก็ไม่กลัว มันก็เลยไม่ได้ตามแพทเทิร์นว่า ถ้าเด็กทำผิดแล้วเราต้องสอนแบบนี้ ซึ่งตัวเกรซเองจะไม่มีกฎตายตัว แต่เราต้องดูว่าลักษณะเค้าคือยังไงแค่นั้น

                           

                          มีวิธีสอนให้พี่รักน้องยังไงบ้าง : อันนี้ก็ถือว่ายากนะคะ เพราะว่าด้วยอายุที่เค้าห่างกันเค้ายังเล่นด้วยกันได้ไม่ค่อยเต็มที่ในวัยนี้ เพราะคนพี่นี่ 5 ขวบแล้วอีกคนหนึ่งก็ขวบกว่าเอง เพราะฉะนั้นเวลาที่คน 5 ขวบ กำลังเล่นตัวต่อสร้างเป็นปราสาทขึ้นมา คนขวบกว่ามาถึงทำลายเลย เอามือปัดรวดเดียว คนพี่ก็ร้องขึ้นมาก็โมโห ก็ในวัยนี้ยังยากอยู่ แต่แม่ก็พยายามสอนว่าน้องไม่รู้ แต่คนพี่เค้าก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ เพราะยังเด็กทั้งคู่ แม่ก็ได้แค่พยายามบอก เช่นเวลาที่น้องเด็กเล็กเค้าเห็นว่าพี่มีอะไรหรือได้อะไรไป เค้าก็จะมาอยากรู้ ซึ่งความอยากรู้อยากเห็นของน้องบางทีมาแย่งออกจากมือพี่ พี่ก็โกรธ แล้วจะเอาคืน ซึ่งถ้าดึงคืนทันทีน้องร้องแน่นอน แม่ก็จะบอกว่าลูกไปเอาอย่างอื่นมาแลกกับน้องแล้วกัน แล้วก็อธิบายให้เค้าฟังว่า น้องไม่ได้อยากได้ของของพี่จริงๆ แต่น้องแค่อยากจะรู้ว่ามันคืออะไร แต่แค่พี่เอาอะไรมาแลกและน้องเค้าเปลี่ยนไปอยากรู้สิ่งใหม่แล้ว แต่วิธีนี้ก็เวิร์กบ้างไม่เวิร์กบ้าง แต่ก็ยังดีกว่าที่ไม่ได้บอกอะไร

                          นอกจากนี้เพื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องแม่เกรซยังได้บอกว่า มักจะให้คนพี่และคนน้องทำกิจวัตรประจำวันไปพร้อมๆ กัน มาร่วมกันโดยให้พี่นำน้อง ทำให้น้องเห็นสอนน้องให้พี่ทำเป็นตัวอย่างไปด้วยกัน

                           

                          ฝากถึงคุณแม่ที่อยากมีลูก แต่มีลูกยาก ทำยังไงก็ไม่สำเร็จ! : สำหรับคุณผู้หญิงทุกคนสมัยนี้ซึ่งก็อยู่ในวัยทำงานแล้วและมีครอบครัวกันช้า แต่งงานช้า เพราะฉะนั้นการแต่งงานช้าก็หมายถึงการเริ่มมีลูกที่ช้าไปด้วย แต่ก็ไม่ต้องกลัวที่จะมีลูกได้หรือเปล่า สิ่งสำคัญก็คือ เราควรทำร่างกายตัวเองให้แข็งแรงไว้ แล้วก็ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จย่อมอยู่ที่นั่น ก็คืออย่ายอมแพ้หรือท้อถอย คือคนที่ยังไม่แต่งงานก็ยังไม่ต้องรีบก็ให้เป็นไปตามธรรมชาติ ส่วนคนที่แต่งงานแล้ว และอยากมีลูกหรือพยายามอยู่ ก็อย่าย่อท้อให้พยายามต่อไปตามขั้นตอน ซึ่งหากทำเองแล้วถ้าไม่ได้ก็เข้าไปปรึกษาคุณหมอ ก็คืออยากให้กำลังใจตรงที่ว่าไม่ต้องท้อ คือความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น เราอย่าไปคิดมาก ต้องปล่อยวาง ซึ่งถ้าเรากังวลมากๆ ร่างกายจะหลั่งสารบางอย่างออกมา แล้วมันจะทำให้เรามีลูกยาก คือต้องดูแลร่างกายตัวเองให้ดีๆ รอไว้ด้วยก็จะดีที่สุด

                          ชมคลิปความน่ารักของสองแม่ลูก “แม่เกรซ-น้องจาติม”
                          ในรายการ ABK Mom’s Journey Ep.2 ตอนแม่เกรซ น้องจาติม พาเที่ยวพิพิธบางลำพู

                          อย่างไรก็ดีนะคะ จากแนวการใช้ชีวิตการเลี้ยงลูกของคุณ เกรซ มหาดํารงค์กุล ก็ถือเป็นอีกหนึ่งแนวทางที่ดีที่ทางทีมแม่ ABK แนะนำ ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ก็สามารถนำไปประยุกต์ให้กับครอบครัวกับลูกน้อยของตัวเองได้นะคะ แล้วครั้งหน้าทีมแม่ ABK จะเสนอแนวทาง วิธีเลี้ยงลูกของดารา หรือ สไตล์การเลี้ยงลูกของดารา คนดัง คนไหนอีก ติดตามกันได้ที่เว็บไซต์ www.amarinbabyandkids.com กันได้นะคะ

                           

                          อ่านต่อบทความดีๆ น่าสนใจ คลิก : 


                          ขอบคุณภาพจาก : IG @gracemahadumrongkul , @jongjet_note

                           

                          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                           

                            เรียนศิลปะที่ไหนดี

                            เรียนศิลปะที่ไหนดี 9 โรงเรียนศิลปะที่มีคอร์สเด็กเล็ก ฝึกสมาธิ เสริม EF ให้ลูกน้อย

                            การส่งเสริมทางด้านศิลปะให้กับเจ้าตัวน้อย จะช่วยกระตุ้นให้เกิดพัฒนาการดี ๆ ขึ้นรอบด้าน แต่จะให้ลูก เรียนศิลปะที่ไหนดี ทีมแม่ ABK เลยรวบรวมโรงเรียนสอนศิลปะที่มีคอร์สเริ่มต้นสอนสำหรับเด็กเล็กที่จะช่วยฝึกสมาธิ เสริมทักษะสมอง  EF ให้ลูกน้อย มาฝากแม่ ๆ ค่า

                            เรียนศิลปะที่ไหนดี 9 โรงเรียนศิลปะที่มีคอร์สสอนเด็กเล็ก

                            #1 Art House School

                            อาร์ตเฮ้าส์ เป็นสถาบันสอนศิลปะและการออกแบบที่เปิดมาแล้ว 21 ปี โดยมีคอร์สศิลปะที่หลากหลายเพื่อออกแบบให้เหมาะสมกับความต้องการของเด็ก ๆ สำหรับคอร์สศิลปะเด็ก เปิดสอนอายุ 4-15 ปี เนื่องจากเด็กแต่ละคน แต่ละช่วงวัย มีทักษะ ความชอบ ความสนใจที่แตกต่างกัน จึงมีการแบ่งคอร์สสอนตามช่วงอายุ ศิลปะเด็ก อายุ 4-8 ขวบ ครูผู้สอนจะสังเกตความชอบและความถนัดของเด็กแต่ละคน และต่อยอดให้นักเรียนได้ทดลองอะไรใหม่ ๆ เช่น การสังเกต การวาดคนสัตว์ ต้นไม้ โดยเป็นรูปแบบงานศิลปะ 3 มิติ งานประดิษฐ์ เป็นต้น เพื่อเพิ่มทักษะเสริมสร้าง จินตนาการ ศิลปะเด็ก อายุ 9-12 ขวบ ฝึกการใช้จินตนาการ และ การจัดลำดับเรื่องราว พร้อมวาดและฝึกการออกแบบผลงานให้มีเอกลักษณ์ลักษณะที่ตัวเองต้องการหรือสนใจตามจินตนาการ เปิดโอกาสให้เด็กได้ร่วมแสดงความคิดเห็น เล่าถึงเรื่องราวการสร้างสรรค์ผลงานของตัวเอง และฝึกรับฟังความคิดของผู้อื่น ศิลปะเด็ก อายุ 12-15 ขวบ หลักสูตรในการเรียนจะเข้มข้นมากขึ้นสำหรับเด็กที่มีพื้นฐานมานานพอสมควรจะเรียนรู้การวาดภาพจากหุ่นนิ่ง พื้นฐานการวาดเส้นให้ถูกสัดส่วน และทฤษฎีระบายสีแบบไล่น้ำหนักสี ที่มีแสงเงาถูกต้อง โดยแต่ละคอร์สจะเน้นเนื้อหาที่เข้าใจง่ายสำหรับเด็ก ๆ และเรียนเป็นกลุ่มในห้องเรียนเพื่อเปิดโอกาสให้เด็กได้ร่วมกันแสดงความคิดเห็นและฝึกการรับฟังความคิดของเพื่อน ๆ ได้เรียนรู้การทำงานร่วมกัน

                            Art House School
                            เครดิตภาพจาก facebook.com/arthouse.artschool

                            Art House School

                            ที่อยู่ : 69/7 ถ.พญาไท กรุงเทพฯ 10400

                            เวลา เปิด – ปิด  : ทุกวัน เวลา 10.00 – 20.00 น.

                            โทร : 02-251-1000

                            สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม : www.arthouseschool.com

                            #2 Art Player 

                            Art Player เป็นสตูดิโอสอนศิลปะสำหรับเด็ก ๆ ตั้งแต่อายุ 3-12 ปี โดยครูผึ้ง ซึ่งมีประสบการณ์การสอนศิลปะเด็กมายาวนานเกือบ 20 ปี ครูผึ้งได้ทำการคิดค้นหลักสูตรศิลปะที่แตกต่าง มุ่งเน้นพัฒนาทักษะทุกด้านผ่านศิลปะเพื่อปลูกฝังให้เด็ก ๆ คิดเป็น ทำเป็น เรียนรู้เป็น แก้ปัญหาเป็น อยู่กับคนอื่นเป็น และมีความสุขเป็น เพื่อรับมือกับโลกแห่งเทคโนโลยีในอนาคต โดยแบ่งหลักสูตรเป็น 2 ช่วงวัย คือ ศิลปะเพื่อพัฒนาทักษะ EF (3 – 6 ขวบ) ฝึกทักษะการคิด ทักษะชีวิต พัฒนาสมองส่วนหน้า พัฒนากล้มเนื้อมือมัดเล็ก ผ่านกิจกรรมศิลปะ และ Creative Art : CBL Course ศิลปะเพื่อพัฒนาทักษะความคิดสร้างสรรค์ (7 – 12 ขวบ) มุ่งเน้นพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ เพื่อตอบโจทย์ทักษะการเรียนรู้ใน ศตวรรษที่ 21 (Future Skill) นอกจากคอร์สศิลปะแล้วยังรวมคอร์สศิลปะทำอาหารที่เด็ก ๆ จะได้สนุกกับหลากเมนู พัฒนาสมอง EF เรียนรู้ผ่านการชั่ง ตวง วัดช่วยพัฒนากล้ามเนื้อมือ ไปพร้อมกับความสนุกสนาน และผสมสานงานศิลปะลงไปด้วยการวาดรูปสูตรเมนูอาหารด้วย สมกับคอนเซ็ปต์ “เล่น Learn เพลิน Art” ของที่นี่จริง ๆ ค่ะ

                            Art Player
                            เครดิตภาพจาก facebook.com/ART.PLAYER.TEACHER.PEUNG

                            Art Player

                            ที่อยู่ : 52/068 ม.เมืองเอก เทศบาลเมืองปทุมธานี 12000

                            เวลา เปิด – ปิด  : จันทร์ – อาทิตย์ เวลา 10.00 – 18.00 น.

                            โทร : 085-495-6996

                            สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม : www.facebook.com/ART.PLAYER.TEACHER.PEUNG/

                            #3 Artino School of Creative art

                            อาร์ตติโน่ โรงเรียนศิลปะสร้างสรรค์ เปิดคอร์สศิลปะเด็กสร้างสรรค์ ตั้งแต่อายุ 2-12 ปี เด็ก ๆ จะได้สนุกกับการเรียนศิลปะ ในแนว Creative Art for Children ซึ่งเน้นพัฒนาความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ สอนให้เด็กได้เรียนรู้จากการปฏิบัติจริง รู้จักเทคนิคและวิธีการ รูปแบบแปลกใหม่ในการสร้างสรรค์งานศิลปะด้วยตัวเองอย่างสนุกสนาน และมีความสุข ทำให้มองโลกในแง่ดีและมีสมาธิที่ดีขึ้น มีความภาคภูมิใจ และเชื่อมั่นในตัวเอง ทั้งยังเป็นการฝึกใช้เวลา ว่างให้เป็นประโยชน์ รวมไปถึงการเรียนรู้ที่จะปรับตัวในการทำงานร่วมกับผู้อื่น เด็กๆ จะได้เรียนการวาด (Drawing) ในหัวข้อที่เด็ก ๆ สนใจ การระบายสี (Painting) ใช้สีชอล์คสีน้ำ สีโปสเตอร์ สีไม้ สีเมจิก ฯลฯ การปั้น (Sculpture) ปั้นดินน้ำมันนูนต่ำ ลอยตัว ปั้นเทคนิคผสม ฯลฯ การพิมพ์ภาพ (Printmaking) พิมพ์พลาสติก ฟองน้ำ ใบไม้ นิ้วมือ ฯลฯ การประดิษฐ์สร้างสรรค์ (Creative Crafts) และกิจกรรมเทคนิคพิเศษอื่น ๆ อีกมากมาย โดยในหลักสูตรเด็ก ๆ จะได้เรียนแต่ละหัวข้อสลับกันไป แยกเรียนตามระดับอายุ กลุ่มละ 6 -8 คนต่อคุณครู 1 ท่าน ประเมินผลเป็นรายบุคคลตามอายุและความสามารถเฉพาะตัวของเด็กแต่ละคน เพื่อสามารถพัฒนางานศิลปะที่เด็ก ๆ ชอบได้อย่างตรงใจค่ะ

                            Artino School of Creative art
                            เครดิตภาพจาก facebook.com/Artino.Art.School

                            Artino School of Creative art

                            ที่อยู่ : OFFICE :128/187 ชั้น 17 H อาคารพญาไทพลาซ่า ถนนเพชรบุรี แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทีวี กรุงเทพฯ 10400

                            โทร : 02-610-9727 (สาขาสนามพารากอน)

                            สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม : www.artinothai.com

                            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                             

                            อ่านต่อ 9 โรงเรียนศิลปะที่มีคอร์สเด็กเล็ก คลิกหน้า 2

                              โรงเรียนทางเลือก

                              โรงเรียนทางเลือก เลือกแบบไหนให้เหมาะกับเจ้าตัวน้อย

                              เรื่องการศึกษาเป็นอีกเรื่องที่คุณพ่อคุณแม่ให้ความสำคัญกับลูกตั้งแต่เริ่มต้น การหาโรงเรียนให้ลูกสมัยนี้ก็ช่างแตกต่างจากสมัยก่อนที่เคยมีหลักสูตรแนวการสอนแบบคล้ายกันหมด แต่ในปัจจุบันนี้มีหลักสูตรการเรียนการสอนที่เยอะขึ้น จนทำให้คุณพ่อคุณแม่มีตัวเลือกหลายทางที่ต้องศึกษาหาข้อมูลก่อนตัดสินใจเพื่อการเรียนของลูกน้อย สำหรับ โรงเรียนทางเลือก ก็เป็นอีกตัวเลือกของหลักสูตรทางด้านการศึกษาในยุคปัจจุบันที่ผู้ปกครองได้ให้ความสนใจไม่น้อย สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่เล็ง ๆ หลักสูตรนี้ให้เจ้าตัวน้อยอยู่ ลองดูข้อมูลเพื่อเป็นแนวทางในการตัดสินใจกันนะคะ

                              โรงเรียนทางเลือก เลือกแบบไหนให้เหมาะกับเจ้าตัวน้อย

                              “โรงเรียนทางเลือก” คือ โรงเรียนที่มีหลักสูตรแนวการสอนที่แตกต่างไปจากโรงเรียนกระแสหลัก โดยออกแบบหลักสูตรเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพื่อมุ่งเน้นให้เหมาะสมกับกลุ่มผู้เรียน มีหลายแนวคิดส่วนใหญ่มุ่งเน้นให้เข้าถึงธรรมชาติของผู้เรียน  ระบบการศึกษาจะมีความยืดหยุ่น ไม่เน้นการสอนแบบท่องจำ แต่เปิดโอกาสให้นักเรียนได้เรียนรู้นอกห้องเรียน เน้นตอบสนองต่อความสนใจของผู้เรียนเป็นหลัก ให้นักเรียนเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้ ผ่านการลงมือทำจริง รู้จักกล้าคิด กล้าตั้งคำถาม สิ่งที่เด็กสนใจก็จะนำไปสู่การเรียนรู้ด้วยตนเอง และเปิดโอกาสให้ผู้ปกครองได้มีส่วนร่วมในการศึกษาของลูกไปพร้อม ๆ กันด้วย แต่หลักทางวิชาการของโรงเรียนก็ยังคงเป็นไปตามที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กำหนดอยู่เช่นกัน

                              โรงเรียนทางเลือกอนุบาล
                              เครดิตภาพจาก www.roong-aroon.ac.th

                              5 รูปแบบโรงเรียนทางเลือก

                              ถึงแม้แนวการสอนของโรงเรียนทางเลือกจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แต่ยังคงตั้งอยู่บนหลักสูตรแกนกลางที่กำหนดโดยกระทรวงศึกษาธิการ และมีการจัดตั้งขึ้นอย่างถูกกฎหมาย ซึ่งทางกระทรวงศึกษาธิการได้มีการกำหนดรูปแบบของโรงเรียนทางเลือกไว้ 5 รูปแบบคือ

                              1. โรงเรียนในความกำกับของรัฐ แต่เน้นความเป็นอิสระและคล่องตัว มีระเบียบกฎเกณฑ์ในการปฏิบัติเฉพาะของตัวเอง
                              2. โรงเรียนวิถีพุทธ ที่เน้นนำหลักธรรมของพระพุทธศาสนามาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาผู้เรียน
                              3. โรงเรียนสำหรับผู้มีความสามารถพิเศษ เปิดโอกาสให้ผู้เรียนทุกคนได้เข้ารับการประเมินความสามารถพิเศษว่าตนเองมีในด้านใดบ้าง
                              4. โรงเรียนสองภาษา เป็นโรงเรียนที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นสื่อหลักในการเรียนการสอน
                              5. โรงเรียนต้นแบบการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เป็นโรงเรียนที่ใช้สื่ออิเลคทรอนิคส์และเครือข่ายคอมพิวเตอร์เป็นหลัก ผู้เรียนจะอยู่ที่ไหนก็สามารถเรียนได้

                              แนวการสอนของโรงเรียนทางเลือกมีแบบไหนบ้าง?

                              แต่ละโรงเรียนแนวการสอนจะมีความแตกต่างกันไปในแต่ละโรงเรียน โดยมุ่งเน้นให้เข้ากับปรัชญาและเป้าหมายของทางโรงเรียน อาทิเช่น

                              โรงเรียนสมบุญวิทย์
                              เครดิตภาพจาก sombunwit.ac.th
                              • แนวการสอนแบบมอนเตสเซอรี่ (Montessori) เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ทดลองกับอุปกรณ์จริงหรือสถานการณ์จริง มีการเรียนรู้ผ่านการเล่น โดยผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 มีการใช้สื่ออุปกรณ์ในรูปแบบเฉพาะ ที่ช่วยให้เด็กเข้าใจง่าย โรงเรียนแนวมอนเตสเซอรี่ เช่น โรงเรียนสมบุญวิทย์ โรงเรียนอนุบาลกรแก้ว
                              โรงเรียนวรรณสว่างจิต
                              เครดิตภาพจาก www.wsc.ac.th
                              • แนวการสอนในรูปแบบโครงการ (Project Approach) เน้นให้ผู้เรียนได้ศึกษาสิ่งรอบตัวที่สนใจ โดยให้เด็กได้เลือกทำโครงการตามหัวข้อที่สนใจ ต้องการรู้ หรือสงสัย มีการรวบรวมข้อมูลและศึกษาจากสิ่งแวดล้อมจริง รวมถึงค้นคว้าจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ นำเสนออย่างเป็นขั้นตอนจนถึงสรุปบทเรียน ก่อให้เกิดการเรียนรู้ด้วยตนเองและกับผู้อื่นอย่างมีความสุข และครูจะมีส่วนช่วยบูรณาการกิจกรรม ภาษาไทย อังกฤษ คณิต วิทย์ สังคม ผนวกเข้ากับกระบวนการเรียนรู้ โรงเรียนแนว Project Approach เช่น โรงเรียนวรรณสว่างจิต
                              โรงเรียนปัญโญทัย
                              เครดิตภาพจาก www.panyotai.com
                              โรงเรียนเพลินพัฒนา
                              เครดิตภาพจาก www.plearnpattana.ac.th
                              • แนวการสอนแบบระบบวอลดอร์ฟ (Waldorf) คือ การให้การศึกษาแก่เด็กแบบองค์รวม ทั้ง Head Heart และ Hands เน้นให้ความสำคัญกับจินตนาการของผู้เรียนและการกลมกลืนกับธรรมชาติเชื่อมโยงกัน การจัดแผนการเรียนการสอน เป็นการพัฒนาไปตามช่วงอายุ ผ่านทางกาย อารมณ์ ความคิด และสร้างสมดุลระหว่างวิชาการ ดนตรี ศิลปะ และการฝึกฝนทักษะชีวิตประจำวัน ในระดับอนุบาลวิชาการจะยังไม่ถูกสอนในช่วงปีแรก ๆของการเรียน โรงเรียนที่สอนแบบวอลดอร์ฟ เช่น โรงเรียนปัญโญทัย โรงเรียนไตรพัฒน์ โรงเรียนเพลินพัฒนา
                              • แนวการสอนแบบนีโอ-ฮิวแมนนิสต์ (Neo-Humanist Education) เป็นการสอนตามแนวคิดที่เชื่อว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีพัฒนาการสูงสุด มีความต้องการจากภายในที่จะพัฒนาตนเองไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด การเรียนการสอนแนวนี้จึงเน้นการพัฒนาศักยภาพแฝงเร้นที่มีอยู่ในตัว ช่วยให้เด็กๆ เกิดความภาคภูมิใจในตัวเอง (Self -Esteem) มีแนวทางในการช่วยทำให้เด็กฉลาด เก่ง ดี แข็งแรง ส่งเสริมให้เด็กเพิ่มพลังบวกในตนเอง  มีน้ำใจ และมีความสุข เช่น โรงเรียนอมาตยกุล
                              โรงเรียนรุ่งอรุณ
                              เครดิตภาพจาก www.roong-aroon.ac.th
                              • แนวการสอนแบบวิธีพุทธ เป็นโรงเรียนที่มีปรัชญาการสอนให้มองมนุษย์เป็นชีวิต มีลักษณะบูรณาการพุทธธรรมในการเรียนรู้ มีกระบวนการเรียนรู้ด้วยตนเองแบบองค์รวม ให้เข้าใจความจริงของชีวิต และดำเนินชีวิตได้อย่างเหมาะสม ซึ่งต้องมีการพัฒนาด้านศีล สมาธิ และปัญญา รู้จักวิธีปฏิบัติเพื่อพัฒนาจิตใจของตนเอง รวมถึงการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมได้อย่างเป็นกัลยาณมิตรตามหลักทางสายกลาง โรงเรียนที่มีการสสอนแบบวิธีพุทธ เช่น โรงเรียนรุ่งอรุณ โรงเรียนทอสี โรงเรียนสยามสามไตร
                              โรงเรียนอนุบาลมณีรัตน์
                              เครดิตภาพจาก www.maneerut.com
                              • นอกจากนี้ยังมีแนวการสอนของโรงเรียนทางเลือกอื่น ๆ อีกมาก เช่น โรงเรียนอนุบาลมณีรัตน์ ใช้แนวการสอนแบบเรกจิโอ เอมิเลีย (Reggio Emilia) ให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางเรียนรู้จากปฏิสัมพันธ์รอบตัว โรงเรียนดรุณสิกขาลัย ใช้แนวทางการสอนแบบ Constructionism ของ Seymour Papert ที่เชื่อว่า “ความรู้เป็นของบุคคล ถ่ายทอดให้คนอื่นไม่ได้” เป็นการนำทฤษฎีการเรียนรู้เพื่อสร้างสรรค์ด้วยปัญญามาใช้อย่างเต็มรูปแบบ ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากการปฏิบัติจริงในเรื่องที่ตนเองสนใจผ่านโครงงาน บูรณาการคุณธรรม จริยธรรม เทคโนโลยี วิชาการต่าง ๆ รวมไปถึงศิลปวัฒนธรรม เป็นต้น

                              จะเห็นได้ว่าแนวการสอนของโรงเรียนทางเลือกก็มีหลากหลายมาให้คุณพ่อคุณแม่ได้พิจารณาเลือกโรงเรียนให้กับเจ้าตัวน้อย แต่ทั้งนี้นอกจากศึกษาข้อมูลดูแนวทางของโรงเรียนเพื่อเน้นพัฒนาศักยภาพในตัวลูกแล้ว ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ต้องคำนึงถึงด้วยนะคะ ไม่ว่าจะเป็นการเดินทาง ค่าใช้จ่าย สภาพแวดล้อมของโรงเรียน บุคลากรในโรงเรียน และความพร้อมของเจ้าตัวน้อยเป็นสำคัญนะคะ

                              ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : story.motherhood.co.thwww.posttoday.com

                              อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ :

                              ทำความรู้จัก 7 หลักสูตรอนุบาล เลือกยังไงให้เหมาะกับลูก

                              แม่เครียด ลูกไปโรงเรียน ป่วยบ่อย ป้องกันยังไงดี?

                              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                               

                                เครื่องปั๊มนม

                                คุณแม่มือใหม่เลือก เครื่องปั๊มนม แบบไหนดี ใช้งานคล่องตัว ปั๊มได้ไม่สะดุด

                                สำหรับคุณแม่ที่วางแผนเลี้ยงลูกด้วยนมแม่นานอย่างน้อย 6 เดือนขึ้นไป เพราะนมแม่เป็นอาหารดีที่สุดของลูกน้อย สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือ เครื่องปั๊มนม คู่ใจซึ่งช่วยให้คุณแม่สามารถสต๊อกนมได้มากพอ และเป็นวิธีกระตุ้นให้มีน้ำนมมากขึ้นด้วย เครื่องปั๊มนมแบบไหนที่เหมาะกับคุณแม่ยุคใหม่ ที่ต้องกลับไปทำงาน หรือใช้ชีวิตนอกบ้านได้สะดวกสบายขึ้น มาอ่านข้อมูลดี ๆ ไปพร้อมกันค่ะ

                                เครื่องปั๊มนม

                                ปกติร่างกายของคุณแม่จะเริ่มผลิตน้ำนมได้ตั้งแต่ช่วงตั้งครรภ์ เริ่มมากขึ้นในช่วงหลังคลอด และมากที่สุดในช่วงให้นม เพราะหลังจากการกระตุ้นจากการดูด บีบ หรือปั๊มนมอย่างสม่ำเสมอ น้ำนมจะผลิตออกมาอย่างต่อเนื่อง ช่วงที่มีปริมาณน้ำนมมากที่สุดคือ ระหว่างตี 5 – 7 โมงเช้า นับเป็นช่วงดีที่สุดสำหรับปั๊มนม ช่วง 3 เดือนแรกระหว่างให้ลูกดูดนม คุณแม่สามารถปั๊มนมจากเต้าอีกข้าง หรือปั๊มนมที่ค้างเต้าออกตามเวลาที่ลูกกินนมราว 2-3 ชั่วโมง แล้วนำไปแช่แข็งไว้เป็นนมสต๊อกไว้ และปั๊มอย่างสม่ำเสมอตามเวลาที่ลูกดูดนมเมื่อกลับไปทำงาน

                                แต่คุณแม่หลายคนอาจเจอปัญหาว่า ที่ทำงานไม่มีมุมให้ปั๊มนม หรืองานยุ่งจนไม่สามารถปั๊มนมตามเวลาได้ ซึ่งอาจมีผลให้น้ำนมปริมาณลดลง และต้องเปลี่ยนไปใช้นมผง การเลือกใช้เครื่องปั๊มนมประสิทธิภาพดีและเหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคุณแม่จึงเป็นสิ่งสำคัญ

                                วิธีเลือก เครื่องปั๊มนม สำหรับคุณแม่มือใหม่

                                • ใช้เครื่องปั๊มนม แบบสองเต้าเพื่อเก็บน้ำนมจากสองเต้าไปพร้อมกัน โดยปกติเมื่อน้ำนมข้างหนึ่งถูกระตุ้นอีกข้างก็จะไหลตามมา เครื่องปั๊มแบบนี้จะช่วยประหยัดเวลา และได้น้ำนมปริมาณมากพอ จากสถิติพบว่าคุณแม่ที่ใช้ เครื่องปั๊มนม แบบ 2 ข้างมักเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้นานกว่าการใช้เครื่องปั๊มข้างเดียวหรือแบบมือด้วย เพราะเหนื่อยน้อยกว่า และทำกิจกรรมอื่นๆไปพร้อมกันได้
                                • เลือกแบบมีจังหวะปั๊มเลียนแบบการดูดของทารก ซึ่งมีแรงดูดอย่างน้อย 200 mmHg และความถี่อย่างน้อย 40-60 รอบต่อนาที หากคุณแม่คิดว่าจะปั๊มนมนานกว่า 4 เดือนแน่นอน ควรเลือก เครื่องปั๊มนมที่รอบดูดมากกว่า 100 ครั้งต่อนาทีขึ้นไปจะใช้งานได้ดีกว่า
                                • ขนาดไม่ใหญ่เกินไป น้ำหนักเบา เสียงไม่ดัง พกพาสะดวก หลายครั้งคุณแม่ต้องปั๊มนมนอกสถานที่ มีผู้คนพลุกพล่าน เช่น โต๊ะทำงาน ห้างสรรพสินค้า รถยนต์ หรือขนส่งสาธารณะ เป็นต้น
                                • เลือกลักษณะการชาร์ตไฟตามสะดวก หากต้องเดินทางบ่อย ควรเลือกแบบใช้ถ่านแบตเตอรี่ ไม่ต้องเสียบปลั๊ก ขอแนะนำให้ใช้ถ่านที่สามารถชาร์ตซ้ำได้ในตัว เพื่อความสะดวก
                                • มีอุปกรณ์เสริม และฟังก์ชั่นช่วยให้การปั๊มง่ายขึ้น เช่น ระบบเลือกระดับความแรงปั๊มได้ บนเครื่องมีหน้าปัดแสดงผลชัดเจน เข้าใจง่าย กรวยปั๊มอ่อนโยน ไม่ทำให้เต้านมช้ำ และควรพกพาไปปั๊มสะดวกในทุกที่ ทุกสถานการณ์

                                เครื่องปั๊มนม

                                Amarin Baby & Kids Awards 2019 ยกให้ Freena Youha Plus เป็น เครี่องปั๊มนม ที่ได้รับรางวัล Editor’s Choice Best Breast Pump

                                เครื่องปั๊มนม Freena Youha Plus เป็นนวัตกรรมเครื่องปั๊มนมใหม่ถูกออกแบบให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคุณแม่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเข้าใจจริง ทั้งประสิทธิภาพในการปั๊มน้ำนม ซึ่งสอดคล้องกับกระบวนการสร้างน้ำนมตามธรรมชาติ ด้วย 3 โหมดให้เลือกใช้ ได้แก่ โหมดกระตุ้นจี๊ด ช่วยเร่งการหลั่งน้ำนม กระตุ้นการสร้างน้ำนม โหมดดูดทั่วไป สำหรับดูดน้ำนมจนเกลี้ยงเต้า และโหมดดูดท่อน้ำนมอุดตัน จะปั๊มแรงและลึกขึ้นเพื่อดูดน้ำนมที่ค้างเต้าหลายชั่วโมงให้นิ่ม เกลี้ยงเต้า โดยมีรอบปั๊มสูงสุดถึง 120 ครั้งต่อนาที และความแรงปรับได้สูงสุดมากถึง 350 mmHg

                                เครื่องปั๊มมีขนาดเล็ก กะทัดรัด  น้ำหนักเบา หน้าจอแสดงการใช้งานที่เปลี่ยนสีไปตามโหมดการทำงาน และตัวเลขบอกระยะเวลาการปั๊มให้เห็นชัดเจน  พร้อมมีปุ่มกดเลือกโหมดทำงาน และมีปุ่มเพิ่ม-ลดความแรงให้คุณแม่สามารถปรับให้เหมาะกับตัวเองได้อย่างอิสระ เสียงเงียบ ไม่รบกวนลูกน้อยยามหลับ

                                อุปกรณ์และฟังก์ชั่นต่างๆ ที่เสริมเข้ามาก็ช่วยปลดล็อกทุกข้อจำกัดของการปั๊มนมออกไป ทั้งกรวยปั๊มทำจากซิลิโคน Food Grade BPA Free จึงนิ่มกว่าพลาสติกและแนบได้สนิท ไม่เจ็บเวลาใช้งาน แถมมีความทนทานสูง ทนความร้อนได้ดี สามารถล้างและลวกน้ำร้อนทำความสะอาดก่อนใช้ได้ มีระบบป้องกันการไหลย้อนกลับ จึงหมดปัญหาน้ำนมไหลย้อนกลับไปค้างในสายยาง ซึ่งเป็นส่วนที่ทำความสะอาดยากและเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคได้

                                เชื่อว่าคุณแม่ทำงานหรือแม่ฟูลไทม์ต้องชอบสิ่งนี้ กรวยปั๊มแบบติดเต้าที่สามารถสอดไว้กับเสื้อชั้นใน เมื่อปั๊มแล้วน้ำนมจะไหลไปเก็บไว้ในถ้วยพลาสติกที่มีความจุมากถึงข้างละ 8 ออนซ์โดยไม่ต้องต่อกับขวดนม คุณแม่จึงสามารถปั๊มนมได้ทุกที่ ทุกเวลา โดยไม่ต้องกลัวโป๊ จะอยู่ในอิริยาบทไหนก็ปั๊มนมได้สะดวก แม้แต่ในท่านอน ไม่ต้องตื่นกลางดึกมานั่งปั๊มนมอีกต่อไป  แถมยังมีเข็มขัดปั๊มนมติดตั้ง เครื่องปั๊มนม ไม่ต้องถือ เหมาะกับคุณแม่ที่ต้องเดินหรือยืนทำงานเป็นเวลานาน ๆ

                                ทาง Amarin Baby & Kids “เครือข่ายแม่ลูกใหญ่ที่สุด” ผู้นำด้านคอนเทนต์คุณภาพ เข้าใจครอบครัวไทย และตอบสนองความต้องการของคุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ จึงคัดเลือกให้ เครื่องปั๊มนม  Freena Youha Plus  ได้รับ รางวัล Editor’s Choice  Best Breast Pump จาก “Amarin Baby & Kids Awards 2019” ซึ่งมอบให้กับสินค้าแม่ลูก “สินค้าใช้ดี และมีประโยชน์จริง”

                                คุณแม่สามารถศึกษาข้อมูลผลิตภ้ณฑ์เพิ่มเติมได้ที่ บริษัท วีรินทร์ จำกัด YOUHA ( Thailnd) โทร. 085-497-6656 Line : @jpenshop

                                 

                                อ่านบทความ Amarin Baby & Kids Awards 2019 

                                ประกาศผลรางวัล Amarin Baby & Kids Awards 2019 สุดยอดแบรนด์สินค้าแม่และเด็กในดวงใจ

                                 

                                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                 

                                  จัดกระเป๋าไปคลอด

                                  จัดกระเป๋าไปคลอด กระเป๋าแม่ กระเป๋าลูก ต้องเตรียมอะไรไปบ้าง ?

                                  จัดกระเป๋าไปคลอด ว่าที่คุณแม่มือใหม่ใกล้คลอด จะต้องจัดเตรียมอะไรไว้ให้พร้อมบ้าง เพื่อที่จะได้ไม่ฉุกละหุกในวัน คลอด วันนี้เรามี Check List คุณแม่ต้องเตรียมจัดกระเป๋าเตรียมคลอดมาฝากกัน มีอะไรมาดูเลย

                                   

                                  จัดกระเป๋าไปคลอด ต้องมีอะไรบ้าง ?  

                                  การไปคลอดลูกที่โรงพยาบาลปกติแล้วคุณแม่จะใช้เวลาอยู่ที่โรงพยาบาลประมาณ 3 วัน 2 คืน หรือ 4 วัน 3 คืน เท่านั้น หาก ไม่ได้มีอาการแทรกซ้อนหลังคลอด หรืออันตรายต่อสุขภาพร่างกายทั้งของคุณแม่และลูกน้อย ฉะนั้นการจัดกระเป๋าเตรียมคลอด ให้เตรียมเฉพาะของใช้ที่จำเป็นสำหรับคุณแม่ และลูกน้อยเท่านั้นค่ะ

                                  จัดกระเป๋าเตรียมคลอด (คุณแม่)

                                  1. เอกสารต่าง ๆ เช่น ใบนัดแพทย์ บันทึกการตั้งครรภ์ เอกสารประกันสุขภาพ บัตรประจำตัวประชาชนหรือบัตรประจำตัวของโรงพยาบาล บันทึกการฝากครรภ์ สำเนาบัตรประชาชนคุณพ่อและคุณแม่ สำเนาทะเบียนบ้าน รวมถึงชื่อลูกเพื่อใช้สำหรับแจ้งเกิด
                                  2. เสื้อชั้นในสำหรับให้นมลูก แผ่นซับน้ำนม กางเกงชั้นใน และผ้าอนามัย
                                  3. ของใช้ส่วนตัวประจำวัน เช่น สบู่ แชมพู แปรงสีฟัน ยาสีฟัน โฟมล้างหน้า หวี ครีมบำรุงผิว เป็นต้น
                                  4. ชุดใส่กลับบ้าน และ รองเท้าที่สวมใส่สบายๆ
                                  5. โทรศัพท์มือถือ และสายชาร์จ สำหรับติดต่อครอบครัว และญาติ

                                  จัดกระเป๋าไปคลอด (ลูกน้อย)

                                  จัดกระเป๋าคุณแม่เสร็จแล้ว ทีนี่เรามาจัดกระเป๋าเตรียมคลอดที่มีอุปกรณ์ของใช้จำเป็นสำหรับลูกน้อยกันบ้าง อย่างที่บอกไปค่ะว่าให้เตรียมส่วนที่จะนำไปใช้ที่โรงพยาบาลประมาณ 3-4 วัน ส่วนที่เหลือก็เตรียมไว้ให้มีพร้อมใช้ในวันที่พาลูกน้อยกลับมาบ้านค่ะ

                                  1. สมุดบันทึกพัฒนาการลูกน้อย
                                  2. Infant car seat เบาะนิรภัยสำหรับทารก ซื้อเตรียมติดไว้ในรถยนต์ให้พร้อมเลยค่ะ
                                  3. ผ้าอ้อมสำเร็จรูป Newborn Size และ ผ้าอ้อมผ้าสาลู
                                  4. ผ้าขนหนู หมวก ถุงเท้า
                                  5. ชุดหมี หรือผ้าห่อตัว สำหรับใส่กลับบ้าน
                                  6. อุปกรณ์ของใช้เด็กอ่อน เช่น เบบี้ไวพ์ , สบู่อาบน้ำและสระผม , เบบี้ออยล์ , สำลี , เบบี้โลชั่น , แป้งเด็ก เป็นต้น แนะนำคุณแม่ว่าควรเลือกที่เป็นออร์แกนิค เป็นสารสกัดธรรมชาติ ไร้สารเคมี อ่อนโยน เหมาะกับลูกน้อยแรกเกิดที่บอบบางมาก ดังนั้นผลิตภัณฑ์เหล่านี้ต้องปลอดภัยกับลูกน้อยมากที่สุด

                                  เราลองมาดูผลิตภัณฑ์ของใช้เด็กแรกเกิด ที่เป็นออร์แกนิค อย่าง ดีนี่ ออร์แกนิค ที่มีผลิตภัณฑ์สำหรับใช้ได้ตั้งแต่เด็กแรกเกิดค่ะ และผ่านการรับรอง Hypoallergenic Tested ไม่ก่อให้เกิดการแพ้

                                  • สบู่เหลวอาบและสระ (Baby Head & Body Wash)

                                  – สูตรออร์แกนิค อ่อนโยนด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ 7 ชนิด ช่วยให้ผิวชุ่มชื่นไม่แห้งตึง

                                  – ปราศจากพาราเบน และมี pH Balance ช่วยรักษาสมดุลผิว และล้างออกง่าย

                                  • เบบี้โลชั่น (Baby Lotion)

                                  – ซึมซาบเร็ว ไม่เหนียวเหนอะหนะ มีกลิ่นหอมละมุนอ่อนๆ

                                  – ปราศจากพาราเบน

                                  – ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นให้กับผิวด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ

                                  • เบบี้ออยล์ (Baby Oil)

                                  – เนื้อออยล์ใส ซึมซาบไว ไม่เหนียวเหนอะหนะ

                                  – ปราศจากสีและสารพาราเบน

                                  – ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นให้กับผิวด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ

                                  – สามารถใช้ผสมอาบน้ำ หรือนวดผิวลูกน้อยหลังอาบน้ำเสร็จ ทำให้ลูกน้อยรู้สึกผ่อนคลาย ทำให้ผิวไม่แห้ง ไม่ ลอกเป็นขุย

                                  • แป้งเด็กเนื้อโลชั่น (Baby Powder Lotion)

                                  – แป้งเนื้อโลชั่น ช่วยลดการฟุ้งกระจาย ทาแป้งแล้วได้บำรุงผิวไปด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ

                                  – ปราศจากสี และสารพาราเบน

                                  – กลิ่นหอมละมุนอ่อนๆ เนื้อแป้งบางเบาซึมซาบเร็ว

                                  • เบบี้ไวพ์ (Baby Wipe)

                                  – เนื้อผ้าหนานุ่ม อ่อนโยนต่อผิวเด็กแรกเกิด

                                  – ผ้าเปียกมีส่วนผสมของน้ำบริสุทธิ์ 99% และมี pH 5.5

                                  – สูตรออร์แกนิค มีสารสกัดจากธรรมชาติช่วยให้ผิวชุ่มชื้น

                                  – ปราศจากสารพาราเบน แอลกอฮอล์ น้ำหอมและสี

                                  • สำลี (Baby Cotton)

                                  – สำลีบริสุทธิ์จากฝ้ายแท้ 100% นุ่มพิเศษ ไม่เป็นขุยติดผิว ปราศจากกาว และสารเคมี 100%

                                  – ซึมซับได้ดี ไร้สารตกค้าง ปราศจากสารเรืองแสงตามมาตรฐานสากล

                                  สำหรับผลิตภัณฑ์ ดีนี่ ออร์แกนิค ของใช้เด็กแรกเกิด ที่คุณแม่สามารถจัดเตรียมไว้ในกระเป๋าคลอด เพื่อใช้ที่โรงพยาบาล ก็ยังใช้ได้ต่อเนื่องหลังพาลูกน้อยกลับบ้าน นอกจากนี้ยังมีในกลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กที่เป็นผลิตภัณฑ์ล้างขวดนมเด็ก(Baby Bottle & Nipple Cleaner) น้ำยาซักผ้าเด็ก และน้ำยาปรับนุ่มด้วยค่ะ

                                  ว่าที่คุณพ่อคุณแม่รู้กันแล้วนะคะว่าต้องจัดกระเป๋าเตรียมคลอดมีอะไรบ้าง ทุกอย่างที่จำเป็นสำหรับคุณแม่ คุณลูก จัดเตรียมใส่กระเป๋าไว้ให้พร้อม พอวันคลอดจริงมาถึงก็ไปโรงพยาบาลคลอดลูกอย่างสบายใจเลยค่ะ  

                                   

                                    จุดกางเต็นท์

                                    5 จุดกางเต็นท์ แคมปิ้งฉบับครอบครัว ชวนลูกนอนกลางดิน กินอยู่ง่าย ใกล้ชิดธรรมชาติ

                                    จุดกางเต็นท์ ใกล้กรุง เดินทางง่าย เหมาะมากสำหรับแคมปิ้งฉบับครอบครัว และมือใหม่หัดแคมปิ้ง ที่ไม่ยุ่งยาก มาลองเปลี่ยนบรรยากาศการไปเที่ยว นอนในห้องพักสี่เหลี่ยมในโรงแรม มาเป็นพาเจ้าตัวเล็กมานอนกางเต็นท์ใกล้ชิดกันธรรมชาติมากขึ้นกันค่า

                                    5 จุดกางเต็นท์ แคมปิ้งฉบับครอบครัว พาลูกลุยธรรมชาติ ปลูกประสบการณ์

                                    1.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี

                                    เริ่มจาก “แก่งกระจาน” ที่เหมาะสำหรับมือใหม่หรือครอบครัวที่อยากจะลองมากางเต็นท์เปลี่ยนบรรยากาศการเที่ยวแบบเดิม ๆ  เพราะเดินทางไม่ไกล อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ 180 กิโลเมตรก็เข้าสู่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน พร้อมกางเต็นท์นอน ใกล้ชิดกับธรรมชาติ ชมวิวพระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตก ที่สวยจับใจ และชมวิวสวย ๆ ตามเส้นทางท่องเที่ยวธรรมชาติ เช่น ทะเลสาบ น้ำตก ถ้ำ หน้าผาที่สวยงาม สะพานแขวน ฯลฯ สำหรับบริเวณสำหรับกางเต็นท์ก็มีอยู่หลายจุด ทั้งบริเวณอ่างเก็บน้ำริมเขื่อนแก่งกระจาน ลานกางเต็นท์บ้านกร่าง และลานน้ำตกป่าละอู หรือกางเต็นท์ที่บริเวณที่ทำการอุทยานฯ ซึ่งมีให้เลือกถึง 4 โซน แต่ละโซนก็มีวิวสวยที่แตกต่างกันไปค่ะ สำหรับบ้านไหนที่อยากเริ่มต้นกางเต็นท์แคมปิ้งชิล ๆ ยังไม่รู้จะไปไหน ลานกางเต็นท์ที่แก่งกระจานก็เป็นตัวเลือกที่น่าเที่ยวอีกที่นะคะ

                                    แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี
                                    เครดิตภาพจาก www.facebook.com/Kaengkrachannationalparkofficial

                                    พิกัด : อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ต.แก่งกระจาน อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี
                                    โทร. 091-0504 461,032-772311 (ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว) 032-772312 (ที่ทำการอุทยานฯ)
                                    ค่าเข้าอุทยานฯ: ผู้ใหญ่ 100 บาท เด็ก 40 บาท, ค่ากางเต็นท์ คนละ 30 บาท/คืน
                                    ร้านค้าสวัสดิการ (ร้านอาหาร) เบิดบริการ อาทิตย์ -ศุกร์ เวลา 08.00 น. – 18.00 น. เสาร์ เวลา 08.00 น. – 19.00 น.
                                    ราคาเช่าอุปกรณ์แคมป์ปิ้ง : เต็นท์ 3 คน ราคา 225 บาท,หมอน 10 บาท, ถุงนอน 30 บาท, แผ่นรองนอน 20 บาท

                                    2.ศูนย์ศึกษาธรรมชาติ เจ็ดคต-โป่งก้อนเส้า จ.สระบุรี

                                    ที่นี่เป็นอีกที่หนึ่งที่สำหรับครอบครัวที่รักการท่องเที่ยวแบบธรรมชาติ และมานอนกางเต็นท์ชิล ๆ เพื่อการพักผ่อนอย่างแท้จริง จากกรุงเทพมา ศูนย์ศึกษาธรรมชาติเจ็ดคด -โป่งก้อนเส้า ใช้เวลาไม่ถึง 2 ชม. ก็ได้พาเด็ก ๆ มากางเต็นท์นอนและวิ่งเล่นกับลานธรรมชาติกว้าง ๆ ชมวิวสวยของแอ่งน้ำ มีอากาศสดชื่น เย็นสบาย มีกิจกรรมที่น่าสนใจ อาทิเช่น เดินเล่นรอบแอ่งน้ำ มีเส้นทางศึกษาธรรมชาติให้เดิน เข้าไปชมน้ำตกที่มีให้เลือกถึง 6 แห่ง ตามระยะใกล้-ไกล (ถ้าเดินป่าลึกควรแจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อนำทาง) ระหว่างทางเดินก็จะได้สัมผัสกับธรรมชาติสวย ๆ เช่น นกชนิดต่าง ๆ โปงผีเสื้อนับร้อยตัว หรือเห็ดแชมเปญสีสวยที่จะออกดอกให้ชมในช่วงฤดูฝน ตั้งแต่เดือน ส.ค-ต.ค อีกด้วย ภายในไม่มีร้านค้า ร้านอาหารนะคะ สามารถเตรียมอาหารมาทำกันเองได้เลย มีบริเวณล้างจานให้ มีห้องน้ำเพียงพอ มีเตาไฟให้บริการ แต่ห้ามก่อกองไฟนะคะ เรียกว่าสะดวกสบายสำหรับแม่ และชวนให้เด็ก ๆ สนุกและเรียนรู้กับประสบการณ์แคมปิ้งได้อย่างดีทีเดียวเชียวล่ะ

                                    ศูนย์ศึกษาธรรมชาติเจ็ดคด -โป่งก้อนเส้า
                                    เครดิตภาพจาก www.facebook.com/CudKangTenTh

                                    พิกัด : ศูนย์ศึกษาธรรมชาติและท่องเที่ยวเชิงนิเวศเจ็ดคต-โบ่งก้อนเส้า อ.แก่งคอย จ.สระบุรี
                                    เวลาในการเข้าออกสถานที่ ด่านเปิด 06.00-20.00 น.
                                    ติดต่อสอบถามหรือจองบ้านพัก : โทร.089-2378659, 085-9683520, 080-0192762 (ในเวลาราชการ 08.30-12.00 น. และ 13.00-16.30 น.)
                                    ค่าบริการกางเต็นท์ :ไม่มี แล้วแต่จะบริจาค

                                    3.โครงการชั่งหัวมัน จ.เพชรบุรี

                                    นอกจากบริเวณ “โครงการชั่วหัวมัน” ตามพระราชดำริแล้ว จะเป็นแหล่งเรียนรู้วิถีเศรษฐกิจพอเพียงแล้ว หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติที่สามารถนำเต็นท์มานอนกางได้ มีจุดกางเต็นท์เป็นสนามหญ้าริมแอ่งน้ำที่มีบรรยากาศสวยมาก ยิ่งในช่วงธันวาคม-มกราคม หน้าหนาวอากาศเย็นสบาย ๆ เป็นใจสำหรับมานอนรับลมธรรมชาติซักคืนค่ะ แถมยังสามารถนำอาหารเข้ามาทำกิน ดินเนอร์กันหน้าเต็นท์ได้อีกด้วย มีห้องน้ำบริการสะดวกสบาย นอกจากจากจะวางแผนมากางเต็นท์นอนที่นี่แล้ว ก็ต้องพาเจ้าตัวเล็กเข้าชมกิจกรรมในโครงการชั่งหัวมันด้วย ไม่ว่าจะเป็นการนั่งรถรางชมพื้นที่บริเวณรอบ ๆ หรือจะปั่นจักรยานที่นี่ก็มีให้บริการฟรีด้วยนะ แค่นำบัตรประชาชนมาแลก ก็ปั่นได้ทั้งวันไม่จำกัดชั่วโมงเลยจ้า

                                    โครงการชั่งหัวมัน
                                    เครดิตภาพจาก www.facebook.com/srirachacamp

                                    พิกัด : โครงการชั่วหัวมัน บ้านหนองคอไก่หมู่ที่ 5 ตำบลเขากระปุก อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี
                                    ค่าเข้าโครงการ : ผู้ใหญ่ 20 บาท เด็ก 10 บาท
                                    ติดต่อสอบถาม :  โทร.0-3247-2700-1
                                    ค่าบริการกางเต็นท์ : นำเต็นท์มาเอง หลังละ 100 บาท/ เช่าเต็นท์ หลังละ 300 บาท
                                    ราคาเช่าอุปกรณ์แคมป์ปิ้ง: มีบริการเช่าเตาประกอบอาหาร

                                     

                                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                     

                                    อ่านต่อ ที่กางเต็นท์ใกล้กรุง พาลูกไปนอนกลางดินใกล้ชิดธรรมชาติ คลิกหน้า 2