ตั้งครรภ์ 19-20 สัปดาห์ และพัฒนาการทารกในครรภ์

พัฒนาการ การตั้งครรภ์ 19-20 สัปดาห์ เป็นช่วงเวลาครึ่งทางของการตั้งครรภ์แล้วค่ะ จากนี้ไปคุณแม่จะสามารถสื่อสารกับลูกน้อยในครรภ์ได้มากขึ้น ท้องคุณแม่ใหญ่ขึ้น ลูกน้อยก็เก่งและเติบโตขึ้นทุกวัน แถมคุณแม่ยังสามารถตรวจครรภ์และเห็นหน้าลูกน้อยได้อีกด้วย

พัฒนาการ การตั้งครรภ์ 19-20 สัปดาห์

พัฒนาการ การตั้งครรภ์ 19-20 สัปดาห์

อาการคนท้อง 19-20 สัปดาห์

  • ขี้ร้อน และหายใจลำบาก คุณแม่จะขี้ร้อนและเหงื่อออกง่าย เพราะต่อมไทรอยด์ต้องทำงานมากขึ้นรวมถึงขนาดของมดลูกที่ใหญ่ขึ้นเริ่มไปเบียดปอด ทำให้หายใจลำบาก หรือรู้สึกหายใจหอบได้
  • ผิวแตก เป็นขุย มีรอยดำ ฝ้าขึ้น มือและฝ่ามือแดงขึ้นกว่าปกติ เนื่องจากเลือดที่มาเลี้ยงร่างกายคุณแม่ที่เพิ่มขึ้นขณะตั้งครรภ์ ร่วมกับฮอร์โมนที่เพิ่มขึ้น ส่งผลทำให้ผิวพรรณแห้ง แพ้ มีอาการอักเสบหรือระคายเคืองได้ง่าย คุณแม่จึงควรหมั่นดูแลบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นอยู่เสมอ รวมถึงทาครีมกันแดดที่มีส่วนผสมอ่อนโยนทุกวันสม่ำเสมอ เพื่อปกป้องผิวจากแสงแดด และความแห้งกร้าน
  • ท้องลาย คุณแม่อาจเริ่มมีริ้วรอยบริเวณหน้าท้องได้ จากการขยายตัวของผิวหนังบริเวณหน้าท้องในขณะตั้งครรภ์  ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดริ้วรอยชัดเจนขึ้น และดูแลผิวที่ขยายใหญ่ให้ชุ่มชื้นไม่แห้งตึง คุณแม่ควรทาครีม หรือโลชั่นบำรุงผิวที่มีมอยซ์เจอร์ไรเซอร์ให้ความชุ่มชื่น เลือกที่ไม่มีสารเคมีรุนแรง อ่อนโยนปลอดภัย ปราศจากน้ำหอม เพื่อบำรุงป้องกันผิวคุณแม่ไม่ให้แตกลายมากขึ้น และบำรุงให้ผิวชุ่มชื้นเสมอ
  • ปวดแปลบบริเวณหน้าท้องช่วงล่างด้านใดด้านหนึ่งหรือทั้งสองข้าง เมื่อเปลี่ยนอิริยาบถ เนื่องจากการเปลี่ยนท่าทางเร็วๆ อาจทำให้คุณแม่รู้สึกเจ็บ อึดอัด เพราะเมื่อคุณแม่เคลื่อนไหว จะส่งผลทำให้ลูกน้อย น้ำคร่ำ และอวัยวะต่างๆ เคลื่อนตามไปด้วย จึงอาจมีอาการจุกเสียด เจ็บแปลบได้บ้าง คุณแม่จึงควร
  • เส้นเลือดขอด เมื่ออายุครรภ์ที่มากขึ้น ทำให้มดลูกขยายใหญ่ จนไปกดทับหลอดเลือดดำในช่องท้อง ความดันในหลอดเลือดจึงสูงขึ้น และทำให้หลอดเลือดเล็กๆ บริเวณโคนขา และน่องของคุณแม่ โป่งพองขึ้นจนเกิดเป็นเส้นเลือดขอด

ป้องกันเส้นเลือดขอด คุณแม่สามารถป้องกันการเกิดเส้นเลือดขอด ด้วยการไม่นั่งหรือยืนห้อยขานานๆ เวลานอนควรหนุนเท้าให้สูงขึ้นเล็กน้อย เพื่อให้เลือดไหลเวียนกลับมาที่หัวใจได้ดีขึ้นค่ะ

เตือนคุณแม่ !

งดแช่น้ำร้อนและซาวน่าเพราะเป็นการเพิ่มอุณหภูมิให้ร่างกายจนเป็นอันตราย ควรดื่มน้ำให้บ่อยและเพียงพอ โดยเฉพาะขณะออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมกลางแจ้ง

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

ติดตาม แม่ท้องตรวจอะไรได้บ้างในช่วงนี้ คลิกต่อหน้า 2

    ตั้งครรภ์ 17-18 สัปดาห์ และพัฒนาการทารกในครรภ์

    พัฒนาการ การตั้งครรภ์ 17-18 สัปดาห์ เป็นช่วงที่คุณแม่จะมีความรู้สึกที่ดีที่สุดค่ะ เพราะลูกน้อยจะเติบโตดิ้นแรงจนคุณแม่รู้สึกได้แล้ว

    พัฒนาการ การตั้งครรภ์ 17-18 สัปดาห์

    พัฒนาการ การตั้งครรภ์ 17-18 สัปดาห์

    อาการคนท้อง 17-18 สัปดาห์

    รู้สึกว่าลูกดิ้น

    ช่วงนี้คุณแม่จะรู้สึกตื่นเต้นมีความสุขมากๆ ค่ะ เพราะสามารถรับรู้ได้แล้วว่าลูกดิ้นเป็นครั้งแรก เหมือนกับมีปลามาตอดตุบๆ อยู่ในท้องทีเดียวค่ะ ซึ่งหากคุณแม่กำลังท้องแรกอาจจะรู้สึกว่าลูกดิ้นได้ช้ากว่าท้องที่สองนะคะ

    บ้านหมุน สาเหตุเกิดจาก

    • ยืนเร็วเกินไป การลุกขึ้นยืนกะทันหัน หรือแม้แต่ยืนหรือนั่งนานเกินไป เลือดจะไปรวมกันอยู่ที่เท้าและขาส่วนล่าง จึงทำให้เลือดไหลกลับไปที่หัวใจไม่ทัน ประกอบกับมีความดันเลือดต่ำลง
    • นอนหงาย มดลูกที่ขยายใหญ่ขึ้นจะไปกดทับหลอดเลือดเส้นใหญ่ ทำให้เลือดไหลเวียนช้าลง

    ดื่มน้ำน้อยและกินอาหารไม่เพียงพอ

    • การกินน้อยเกิน ทำให้น้ำตาลในเลือดต่ำเกินไป ทำให้เวียนหัว การขาดน้ำก็เช่นกัน
    • ร้อนเกินไป การแช่น้ำร้อนในอ่าง อาบน้ำร้อน อยู่ให้ห้องร้อนๆ อยู่ท่ามกลางผู้คนแออัด ทำให้หลอดเลือดขยายและความดันเลือดต่ำ

    ออกกำลังกายหนักเกินไป

    การออกกำลังกายหนักเกินไปทำให้หายใจไม่ทัน หายใจสั้น จึงเวียนหัวได้ อาการวิงเวียนศีรษะที่เกิดขึ้นนี้สามารถเกิดขึ้นได้ แต่ไม่ควรปล่อยให้เกิดขึ้นบ่อยๆ เพราะอาจมีอันตรายจากอุบัติเหตุ หรือหากมีอาการอื่นร่วม เช่น ตาพร่ามัว ปวดหัวรุนแรง ปวดหน้าอก หายใจสั้น เลือดออก เป็นต้น ควรรีบพบแพทย์โดยด่วน เพราะอาจเป็นสัญญาณผิดปกติที่เป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ได้

    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

     

    ติดตาม การเปลี่ยนแปลงของแม่ท้อง 17-18 สัปดาห์ คลิกหน้า 2

      อุทาหรณ์! แม่ฝากเตือน ระวังเด็กเล่นกัน ลูกถูกฝักคูนแทงเข้าตา รักษาไม่ได้ หมอต้องผ่าดวงตาทิ้ง

      ฝักคูน แทงตา เด็ก 7 ขวบ เพราะเล่นกันไม่ระวัง …พูดถึงการเล่น กับเด็ก ถือเป็นของคู่กันก็จริง จะห้ามไม่ให้เล่นก็อาจผิดวิสัยของธรรมชาติ แต่บ่อยครั้งที่เราอาจเคยได้ยินข่าวเกี่ยวกับอันตรายจากการที่เด็กๆ เล่นด้วยกัน เพียงเพราะไม่มีผู้ใหญ่คอยดูแล เช่นเดียวกับเหตุการณ์นี้…

      เด็ก 7 ขวบ ถูกเด็ก 10 ขวบ ใช้ฝักคูน แทงเข้าเบ้าตา รักษาไม่ได้ต้องควักดวงตาทิ้ง

      โดยเรื่องนี้เกิดขึ้น เมื่อเดือนต.ค. 2559 ซึ่งเด็กชายผู้เคราะห์ร้าย ชื่อน้องอิกคิว อายุ 7 ปี ได้ถูก ด.ช. คนหนึ่งซึ่งอายุ 10 ปี มาเล่นที่บ้านด้วยกัน และได้ใช้ฝักคูณแทงเข้าไปที่ดวงตาข้างซ้ายของ ด.ช.อิกคิว จนทำให้ดวงตาแตกยุบเข้าไปในเบ้าตา ทำให้แพทย์ต้องควักดวงตาทิ้ง ซึ่งขณะนี้ ล่าสุด ด.ช.อิกคิว ยังคงใช้ผ้าปิดตาเอาไว้ เนื่องจากว่าแผลยังไม่หายสนิท โดยพ่อและแม่ต้องคอยดูแลอย่างใกล้ชิด

      โดยผู้เป็นแม่ของน้องอิกคิว เล่าว่า เหตุที่ทำให้น้องอิกคิวพิการตาบอดตลอดชีวิตเกิดขึ้น น้องอิกคิวกำลังเล่นอยู่หน้าบ้าน ปรากฏว่าได้มี ด.ช. อายุ 10 ขวบ ซึ่งติดตามพ่อแม่มาร่วมงานวันเกิดของเพื่อนบ้านคนหนึ่งได้มาขอเล่นด้วย และต่อมาก็ได้ยินเสียงน้องอิกคิวร้องไห้เสียงดังลั่น ตนจึงได้รีบวิ่งออกมาดู พบว่าน้องอิกคิวมีเลือดไหลทะลักออกมาจากดวงตาข้างซ้ายตนจึงได้ถามว่าใครทำแบบนี้น้องอิกคิวได้ชี้ไปที่ ด.ช.วัย 10 ขวบคนนั้น

      ขอบคุณภาพข่าวจาก : www.tvpoolonline.com
      ขอบคุณภาพข่าวจาก : www.manager.co.th

      ซึ่งน้องอิกคิวบอกว่า ด.ช. นั้นได้ใช้ฝักคูณที่น้องอิกคิวเก็บมาเพื่อที่จะเล่นขายของ โดยได้หักฝักคูณเป็น 2 ท่อน จากนั้นได้ใช้ฝักคูณแทงมาที่น้องอิกคิว โดยครั้งแรกน้องอิกคิวหลบทัน แต่พอ ด.ช.อายุ 10 ขวบ ใช้ฝักคูณแทงมาครั้งที่ 2 น้องอิกคิวหลบไม่ทันทำให้โดนฝักคูณทางเข้าที่ดวงตาข้างซ้ายจนทำให้ดวงตายุบเข้าไปในเบ้าตาเลือดไหลทะลักออกมาจำนวนมาก ผู้เป็นแม่จึงได้รีบนำตัวน้องอิกคิวส่งไปที่ รพ.

      ฝักคูน แทงตา
      ขอบคุณภาพข่าวจาก : www.tvpoolonline.com

      แพทย์ได้ทำการตรวจบาดแผล แล้วแจ้งว่าจะต้องควักดวงตาข้างซ้ายของน้องอิกคิวทิ้ง เนื่องจากว่าดวงตากระจกแก้วตาแตกกระจายไม่สามารถที่จะรักษาได้หากไม่ควักตาทิ้งอาจจะทำให้ลุกลามติดเชื้อไปยังดวงตาอีกข้างหนึ่งและจะทำให้ตาบอดทั้ง 2 ข้าง ผู้เป็นแม่จึงได้อนุญาตให้แพทย์ทำการรักษาพยาบาลโดยการควักเอาดวงตาข้างซ้ายของน้องอิกคิวทิ้งไป

      อ่านต่อ >> “เด็ก 7 ขวบ ถูกเด็ก 10 ขวบ ใช้ฝักคูนแทงเข้าเบ้าตาจนต้องควักลูกตาทิ้ง” คลิกหน้า 2

      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

       

        แผลผ่าคลอดอักเสบ

        แผลผ่าคลอดอักเสบ ปวด คัน เป็นหนอง ต้องทำอย่างไร?

        แผลผ่าคลอดอักเสบ ปวด คัน เป็นหนอง อาจเกิดขึ้นได้กับคุณแม่ผ่าคลอดทุกคน แต่จะรู้ได้อย่างไรว่า แผลที่ผ่านั้นจะได้รับผลกระทบหรือความเสี่ยงจากอาการดังกล่าวหรือไม่ หากเป็นแล้วต้องทำอย่างไร หรือมีวิธีที่จะป้องกันและดูแลตัวเองหลังผ่าคลอดแบบไหนบ้าง วันนี้เราจัดข้อมูลแบบเจาะลึกมานำเสนอกันค่ะ

        ทำไมต้องผ่าคลอด

        ปัจจุบันคุณแม่นิยมหันมาผ่าคลอดมากขึ้น ด้วยเหตุผลต่าง ๆ กัน เช่น การผ่าคลอดไม่ต้องเผชิญกับความเจ็บและน่ากลัวขณะคลอดเหมือนการคลอดเองตามธรรมชาติ เพราะคุณหมอจะให้ดมยาสลบหรือบล็อกหลัง ซึ่งต่างกับการคลอดเองที่คุณแม่จะต้องอดทนรอเจ็บท้อง ซึ่งไม่รู้ระยะเวลาว่านานแค่ไหนกว่าลูกจะคลอดออกมาสู่โลกภายนอก แต่เหตุผลการผ่าคลอดที่เป็นที่นิยมมากที่สุดในตอนนี้คงจะเป็นการเลือกฤกษ์วันคลอดที่เป็นมงคลสำหรับลูก จึงทำให้คุณแม่ตัดสินใจผ่าคลอดเพิ่มมากขึ้น

        ในอดีตการผ่าคลอดดูจะเป็นเรื่องอันตรายกับชีวิตของทั้งคุณแม่และคุณลูก คุณหมอจะเลือกผ่าคลอดให้กับครรภ์ที่ผิดปกติ และไม่สามารถคลอดเองตามธรรมชาติได้เท่านั้น เช่น กระดูกเชิงกรานแคบเกินกว่าจะคลอดเองได้ เด็กไม่กลับหัว ครรภ์เป็นพิษ รกเกาะต่ำ คุณแม่มีโรคประจำตัว เป็นต้น แต่ในปัจจุบันวิวัฒนาการทางการแพทย์ก้าวหน้ามาก ทั้งอุปกรณ์เครื่องมือที่ทันสมัย วิธีลดความเจ็บปวดระหว่างคลอด การให้คำแนะนำก่อนคลอด ระหว่างคลอด และหลังคลอด ซึ่งทำให้คุณแม่มั่นใจมากยิ่งขึ้น ถึงแม้จะรู้ว่าการผ่าคลอดมีความเสี่ยงมากกว่าการคลอดเองตามธรรมชาติก็ตาม

        บทความแนะนำ ผ่าคลอด หรือ คลอดธรรมชาติ แบบไหนดีกว่ากัน?

        อันตรายและความเสี่ยงที่เกิดจากการผ่าคลอดมีหลายอย่าง เช่น ความเสี่ยงจากการบล็อกหลังหรือดมยาสลบ  ความเสี่ยงจากการเลือกวันคลอดซึ่งอาจทำให้ทารกเกิดความผิดปกติ ความเสี่ยงจากการเสียเลือดระหว่างผ่าคลอด และความเสี่ยงจากการติดเชื้อที่แผลผ่าคลอด ซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณแม่โดยตรง

        บทความแนะนำ ผ่าคลอด ดมยาสลบหรือบล็อกหลังดี?

        อ่านต่อ>> สัญญาณเตือน เมื่อแผลผ่าคลอดอักเสบ คลิกหน้า 2

        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

         

          คุณเลือกสิ่งที่ดีที่สุด เพื่อลูกรักแล้วหรือยัง

            พังผืดใต้ลิ้น ทารก

            พังผืดใต้ลิ้น ทารก สาเหตุทำลูกดูดนมแม่ยาก

            พังผืดใต้ลิ้น ทารก การเฝ้าติดตามเด็กแรกคลอดในเรื่องสุขภาพ เสียงร้อง การดูดนมแม่ ฯลฯ เป็นสิ่งที่กุมารแพทย์ ให้ความสำคัญมากจนกว่าจะแน่ใจว่าทารกปกติทุกอย่างถึงให้กลับบ้าน แต่ปัญหาหนึ่งที่เกิดขึ้นได้กับเด็กแรกเกิดนั่นคือ “พังผืดใต้ลิ้น” ที่เป็นอุปสรรคต่อการดูดนมแม่ ทีมงาน Amarin Baby  & Kids มีข้อมูลพร้อมคำแนะนำในการรักษา พังผืดใต้ลิ้น ทารก มาให้ทราบค่ะ

             

            พังผืดใต้ลิ้น ทารก คืออะไร?

            สำหรับพังผืดใต้ลิ้นจะมีอยู่บริเวณโคนลิ้นของทั้งเด็ก และผู้ใหญ่เป็นปกติ แต่ในเด็กทารกแรกคลอดบางรายอาจมีพังผืดใต้ลิ้นที่มากเกินไป จนเป็นอุปสรรคต่อการดูดนมแม่ เมื่อเด็กอ้าปากดูดนมแม่ให้ครอบเต็มบริเวณลานนมไม่ได้ เด็กจะใช้เหงือกในการงับหัวนมแม่ ซึ่งจะทำให้แม่รู้จึกเจ็บ และส่งผลให้หัวนมแตกได้

             

            พังผืดใต้ลิ้น(Ankyloglossia หรือ Tongue-tie) เป็นลักษณะของเยื่อบางๆ เล็กๆ อยู่ตรงบริเวณโคนลิ้นที่มีในเด็กทารกแรกเกิดเป็นปกติ แต่บางครั้งการมีพังผืดใต้ลิ้นที่มากเกินไปในทารกแรกเกิดหลายๆ ราย ก็ถือว่าเป็นปัญหาอยู่มากเหมือนกันค่ะ นั่นเพราะพังผืดที่ติดมากจนถึงบริเวณปลายลิ้น จะส่งผลกระทบต่อทารกในการดูดนมแม่ เพราะทารกจะไม่สามารถขยับปลายลิ้นได้ถนัดเพื่อดูดนมแม่ และแม่ก็จะเจ็บเพราะลูกจะเปลี่ยนจากการใช้ลิ้นในการดันรีดนมแม่ เปลี่ยนเป็นใช้เหงือกในการงับหัวแม่เพื่อจะได้ดูดนมแม่ได้ ซึ่งผลที่ตามมาคือ แม่เจ็บหัวนม หัวนมแดงช้ำ และแตกในที่สุดค่ะ

             

            ว่าที่คุณแม่คุณพ่อมือใหม่ในหลายๆ ครอบครัว ที่กำลังจะคลอดลูกในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้ เพื่อให้สามารถสังเกตเห็นถึงความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นกับลูกน้อย ผู้เขียนมีลักษณะอาการของพังผืดใต้ลิ้น มาให้ทราบกันค่ะ

             

            อ่านต่อ >> “อาการของพังผืดใต้ลิ้น” หน้า 2

             

             

            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

              เตือนภัยพ่อแม่! “3 เชื้อโรค” จากมือถือ ภัยร้ายใกล้ตัว หากจะคิดเอาให้ลูกเล่น

              อย่าปล่อยให้ ลูกเล่นโทรศัพท์ …ระวัง! เชื้อโรคสุดสกปรก เทียบเท่ากับเชื้อโรคในห้องน้ำ เพิ่มความเสี่ยงในการเจ็บป่วยด้วยโรคภัยต่าง ๆ ให้กับลูกน้อยและคุณพ่อคุณแม่ได้อย่างไม่คาดคิด

              ลูกเล่นโทรศัพท์ …ระวัง! เชื้อโรค เสี่ยงทำลายสุขภาพ

               

              มีการทดสอบโดยนิตยสารวิช? (Which?) ซึ่งพบว่า อัตราเฉลี่ยแล้วโทรศัพท์มือถือที่คุณพ่อคุณแม่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้มีเชื้อโรคอันตรายซ่อนอยู่มากกว่าที่กดชักโครกในห้องน้ำชายถึง 18 เท่า และไม่ใช่แค่นั้น …มีการวิเคราะห์พบว่าโทรศัพท์มือถือเกือบ 1 ใน 4 สกปรกขนาดที่มีปริมาณแบคทีเรียที่ยังมีชีวิตเกินระดับที่รับได้ถึง 10 เท่าเลยทีเดียว

              ซึ่งการทดสอบนี้ มาจากตัวอย่างโทรศัพท์มือถือ 30 เครื่องบ่งชี้ว่า มือถือ 14.7 ล้านเครื่องจากทั้งหมด 63 ล้านเครื่องในสหราชอาณาจักร อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพผู้ใช้

              ลูกเล่นโทรศัพท์

              ด้านผู้เชี่ยวชาญด้านสุขอนามัยจิม ฟรานซิส ได้เป็นผู้ทำการทดสอบเรื่องนี้ เสริมว่า โทรศัพท์เครื่องหนึ่งมีจำนวนแบคทีเรียมากจนต้องนำไปฆ่าเชื้อ และโทรศัพท์ที่สกปรกที่สุดมีปริมาณแบคทีเรียที่ยังมีชีวิตอยู่เกินระดับที่รับได้มากกว่า 10 เท่า โดยโทรศัพท์ที่เข้าข่ายนี้มีอยู่ 7 เครื่อง (จาก 30)

              ซึ่งโทรศัพท์เครื่องที่ผิดหลักสุขอนามัยที่สุดยังมีเอนเทอโรแบคทีเรีย หรือกลุ่มแบคทีเรียที่อยู่ในลำไส้ส่วนล่างของคนและสัตว์ ซึ่งรวมถึงเชื้อโรคหลักๆ ที่ทำให้เกิดโรคที่เป็นผลเสียต่อสุขภาพได้ง่ายๆ อย่าง

              • เชื้อซาลโมเนลลา อยู่ถึง 39 เท่าของระดับที่ปลอดภัย และมีเฟคัลโคลิฟอร์มที่เชื่อมโยงกับของเสียของคนในจำนวนมากกว่าระดับที่รับได้ 170 เท่า

              ลูกเล่นโทรศัพท์

              ซึ่งเจ้าเชื้อ ซาลโมเนลลา (salmonella) นี้เป็นชื่อสกุลของแบคทีเรียในวงศ์ Enterobacteriaceae ซึ่งก่อให้เกิดโรค ซึ่งมีอาหารเป็นสื่อกลาง ซาลโมเนลลามีรูปร่างเป็นท่อน ย้อมติดสีแกรมลบ จัดอยู่ในกลุ่ม facultative anaerobe คือเจริญได้ทั้งในสภาวะที่มีอากาศและไม่มีอากาศ แต่ในสภาวะที่มีอากาศเจริญได้ดีกว่า และไม่สร้างสปอร์ ทำให้เกิดโรคซาลโมเนลโลซิส (Salmonellosis) ซึ่งเป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อ (infection) ในระบบทางเดินอาหาร ทำให้เกิดอาการลำไส้อักเสบ1

              อ่านต่อ >>  เชื้อโรคที่อยู่บนหน้าจอโทรศัพท์มือถือที่เป็นภัยต่อลูกน้อย” คลิกหน้า 2

              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                7 วิธีสอนลูกให้เป็นคนดีมีคุณค่า

                วิธีสอนลูกให้เป็นคนดี มีคุณค่า ในสังคม …ดังสุภาษิตโบราณที่กล่าวว่า คุณค่าของคน อยู่ที่ผลของงาน แต่ถ้าผลของงานเป็นสิ่งทำลายสังคม และมนุษยชาติ เช่น คนที่เบียดเบียนผู้อื่น ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน หรือคนที่ไม่ประกอบสัมมาอาชีวะ บุคคลนั้นจะเรียกได้ว่ามีคุณค่าจริงหรือ?

                คุณค่าของคนอยู่ที่ตรงไหน?

                พระพุทธเจ้าตรัสสอนภิกษุว่า ให้บำเพ็ญประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น คุณค่าของคน จึงอยู่ที่การสร้างประโยชน์และความสุข แก่ตนเอง บุพการี และเพื่อนมนุษย์ร่วมโลก โดยเป็นประโยชน์ ซึ่งมาจากวิธีที่ชอบธรรม ถ้าทำให้พ่อแม่ ญาติมิตร หรือเพื่อนร่วมโลก มีกินมีใช้ ก็ยิ่งทำให้เป็นบุคคลที่มีคุณค่ามากยิ่งขึ้นไปตามลำดับ

                ความดีเป็นสิ่งที่มีคุณค่าอยู่ในตัวเองเมื่อใดที่เราลงมือ “กระทำ” ความดีงามนั้นก็จะเกิดขึ้นกับตัวเราโดยไม่มีใครห้ามได้แต่เมื่อใดก็ตามที่เราเผลอตัวเข้าไปยึดถือในความดีของตน เราก็สร้างทุกข์ให้ตัวเองยิ่งยึดมากก็กลายเป็นถือตัวว่าดีกว่าคนอื่นเอาความดีเป็นเครื่องอวดอ้างเพราะมุ่งหวังคำสรรเสริญเยินยอ

                วิธีสอนลูกให้เป็นคนดี มีคุณค่า ต่อพ่อแม่และสังคม

                วิธีสอนลูกให้เป็นคนดี

                ซึ่งบางคนอาจบอกว่าคนที่มีคุณค่านั้นคือ คนที่เก่ง คนที่มีความสามารถ บางคนอาจจะบอกว่าคนที่มีคุณค่าหมายถึงคนดีที่มีคุณธรรมประจำใจ ซึ่งสังคมไทยเราก็สามารถมองหาคนเก่งและมีความสามารถได้ไม่ยาก แต่กลายเป็นการหาคนดีที่มีคุณธรรมนั้นได้ยากยิ่งเหลือเกิน เพราะใครๆต่างก็เห็นแก่ตนเองและทำทุกอย่างเพื่อตนเอง มากกว่าจะประกอบคุณประโยชน์ให้แก่สังคม ส่วนรวมและประเทศชาติ

                การจะเป็นคนดีของสังคม เราต้องรู้จักคุณสมบัติของคนดีในสังคมเสียก่อน ซึ่งเส้นทางสู่การเป็นคนดีสามารถกระทำได้คือ คนดีต้องมีคุณสมบัติการกระทำ 3 ข้อ ดังนี้

                1. การกระทำด้วยกายเรียกว่า กายกรรม

                กล่าวคือ การกระทำในสิ่งที่ดี ไม่เบียดเบียนผู้อื่นให้เกิดความเดือดเนื้อร้อนใจ ประพฤติปฏิบัติตนให้อยู่ในกรอบของศีลธรรมและ จริยธรรมอันดีงาม กระทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่สังคม

                ♥ แนะนำเรื่องควรอ่าน! : Happy Family สอนลูกให้รู้จักทำดีกับพ่อแม่แล้วชีวิตจะเป็นสุข
                ♥ แนะนำเรื่องควรอ่าน! : ให้ลูกทำดี ไม่ต้องมีสินบน

                2. การกระทำด้วยวาจาเรียกว่า วจีกรรม

                กล่าวคือ การพูดจาดี มีความ อ่อนหวาน ซื่อตรง พูดในสิ่งที่สร้างสรรค์ ไม่พูดปดหรือพูดหลอกลวงผู้อื่นให้หลงเชื่อเพื่อให้ได้มาซึ่ง ผลประโยชน์แก่ตน

                ♥ แนะนำเรื่องควรอ่าน! : เติมอาหารสมองให้ลูกในตอนเช้า สร้างจิตสำนึกที่ดีให้ลูก

                3. การกระทำด้วยใจ เรียกว่า มโนกรรม

                กล่าวคือ การเป็นผู้มีความคิดด้วย จิตอันบริสุทธิ์ คิดในสิ่งที่ดีมีประโยชน์ คิดในทางที่สร้างสรรค์ ไม่คิดร้ายแก่ผู้อื่นเพียงเพราะผลประโยชน์

                ♥ แนะนำเรื่องควรอ่าน! : 12ข้อคิด กับวิธีเลี้ยงลูกให้เป็นผู้มีปัญญา

                และการที่พ่อแม่จะอบรมเลี้ยงดูให้ลูกเป็นคนจิตใจดี มีความประพฤติดีนั้นเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ต้องใช้เวลาและความอดทน โดยการเลี้ยงดูให้ลูกเป็นคนดีนั้นสามารถเริ่มได้ตั้งแต่ลูกยังอยู่ในท้องแม่ด้วยซ้ำไป เพราะเด็กสามารถได้ยินเสียงตั้งแต่อายุ 5 เดือนที่ยังอยู่ในท้องของแม่ ดังนั้นพ่อแม่ควรพูดแต่สิ่งดี ๆ และเรื่องดี ๆให้ลูกฟังตั้งแต่เขาอยู่ในท้อง เพื่อเป็นการปลูกฝังให้ลูกได้ซึมซับคุณธรรมให้เป็นส่วนหนึ่งของจิตใจ ซึ่งจะมีคุณธรรมหรือความดีอะไรบ้างที่พ่อแม่ควรปลูกฝังให้กับลูก ตามไปดูกันค่ะ

                อ่านต่อ >> “7 ข้อที่พ่อแม่ควรสอนลูก เพื่อให้ลูกมีคุณค่าในความดี” คลิกหน้า 2

                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                 

                  เรื่องที่ พ่อแม่ต้องเจอ เมื่อมีลูกชาย

                  10 เรื่องที่ พ่อแม่ต้องเจอ เมื่อมีลูกชาย

                  เรื่องที่ พ่อแม่ต้องเจอ เมื่อมีลูกชาย ใครเคยมีประสบการณ์ในการเลี้ยงลูกชายบ้างไหมคะ ผู้เขียนเองก็มีลูกชาย  อยากรู้จังว่าทุกครอบครัวที่มีลูกชาย มีเรื่องอะไรที่ต้องเจอและรับมือกับลูกชายกันบ้าง ทีมงาน Amarin Baby & Kids ขอแชร์ประสบการณ์การมีลูกชาย พร้อมเรื่องที่เชื่อว่าพ่อแม่ทุกคนต้องเจอ เมื่อมีลูกชาย

                   

                  เรื่องที่ พ่อแม่ต้องเจอ เมื่อมีลูกชาย

                  ใครเคยมีอารมณ์ประมาณว่า “สิ่งที่คิด” กับ “สิ่งที่เห็น” คล้ายๆ กับ before & after  ผู้เขียนเป็นบ่อยกับลูกชายจอมซน เพราะเราคงนึกไม่ออกว่าจะทำยังไงให้เด็กผู้ชายนั่งนิ่งๆ สัก 5-10 นาที ต่อให้มีอะไรมาหลอกล่อ เผลอแป๊บเดียววิ่งไปตรงหน้าประตูบ้านซะแล้ว คือมีลูกชายยิ่งกว่าจับปูใส่กระด้งเสียอีกค่ะ ^_^  แต่ที่พูดมานี้ไม่ใช่จะบอกว่ามีลูกชายแล้วไม่ดีไม่ใช่นะคะ

                   

                  เด็กผู้ชายจะลักษณะที่ต่างจากเด็กผู้หญิง ก็ตรงที่ไม่ค่อยขี้อ้อนแม่เหมือนลูกสาว แต่จะไปลุยๆ เหมือนกับพ่อ อันนี้ไม่แน่ใจลูกชายบ้านอื่นเป็นเหมือนกันไหมนะ

                  เด็กผู้ชายจะเล่นแรงๆ และชอบเล่นอะไรแบบเลอะเทอะเต็มบ้าน ไม่ค่อยเป็นระเบียบสักเท่าไหร่

                  เด็กผู้ชายจะไม่ค่อยชอบให้แม่พูด หรือบ่นมาก แล้วก็จะชอบต่อรอง ถ้าแม่ให้กินข้าวอีกคำ จะขอกินแต่หมูไม่เอาผัก อันนี้ที่บ้านเจอบ่อยมากค่ะ ^_^

                  เด็กผู้ชายชอบชุดเสื้อผ้าแบบแมนๆ ยิ่งถ้าเป็นเสื้อผ้าที่มีลายการ์ตูน ลายซูเปอร์ฮีโร่ที่ชอบนี่ขอให้พ่อกับแม่ซื้อให้เลย

                  เด็กผู้ชายอยากเป็นซูเปอร์แมน เพราะบินได้ แต่ความจริงเราต้องบอกเขานะคะ ชีวิตจริงลูกไม่สามารถบินได้ อันนั้นเป็นในหนัง ในการ์ตูนเท่านั้นที่ทำได้

                   

                  นี่แค่พอหอมปาก หอมคอ ที่เจอกับลูกชายที่บ้าน ซึ่งต่อไปที่เป็นไปตามวัยของเขา คุณพ่อคุณแม่ยังจะต้องเจอ และต้องรับมือกับเด็กผู้ชายอีกเยอะค่ะ เอาเป็นว่าเราลองไปดูเรื่องเหล่านี้ที่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นกับเด็กผู้ชาย ที่เราในฐานะพ่อแม่ควรจะรู้และเตรียมใจไว้ให้พร้อมกันค่ะ

                   

                  อ่านต่อ >> “10 เรื่องที่ พ่อแม่ต้องเจอ เมื่อมีลูกชาย” หน้า 2

                   

                   

                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                    แม่ต้องระวัง! นอนคลุมโปง เสี่ยงสมองลูกสื่อม

                    นอนคลุมโปง ไม่ดี ต่อสุขภาพ… เพราะเวลาที่หายใจออกเราจะเอาคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาด้วย ดังนั้นการคลุมโปงจึงเป็นการกักคาร์บอนไดออกไซด์เอาไว้หายใจ สมองจึงขาดออกซิเจนที่เพียงพอนั่นเอง

                    นอนคลุมโปง ไม่ดี เสี่ยงลูกสมองเสื่อม

                    ถ้าหากคุณพ่อคุณแม่มีเจ้าตัวเล็ก ที่มีอาการชอบนอนคลุมโปงบ่อย ๆ คงเป็นเรื่องไม่ดีแน่ เพราะการนอนคลุมโปงจะทำให้อากาศที่ใช้หายใจมีจำกัดและไม่ถ่ายเท ส่งผลให้มีคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้น ซึ่งลูกก็จะหายใจเอาก๊าซที่ว่าเข้าไปด้วยซึ่งก็จะทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานของสมองลดลง ส่งผลต่อการทำงานของสมองเสื่อมเร็วขึ้น

                    นอนคลุมโปง ไม่ดี

                    อาการเสื่อมถอยของสมองไม่ใช่แค่การหลงลืม  แต่รวมถึงอาการขาดสมาธิ ภาวะความตื่นตัวของสมอง ความสามารถในการเรียนรู้จดจำสิ่งใหม่ รวมถึงความสามารถในการวิเคราะห์ด้วย

                    ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ควรให้ลูกเข้านอนแต่หัวค่ำ และนอนในท่าที่ถูกต้องด้วย เพราะภายในร่างกายคนเรามีนาฬิกาชีวภาพอยู่ หากเราเข้านอนในเวลาที่ร่างกายหลั่งสารเมลาโทนิน ก็จะทำให้ร่างกายและสมองได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่ พร้อมเรียนรู้อย่างเต็มกำลัง

                    Must read : 7 วิธี เสริมความฉลาด สร้างเซลล์สมอง ลูกน้อย
                    Must read : 11 วายร้าย!! ทำลายสมองลูก

                    ซึ่งด้าน นพ.ยุทธชัย ลิขิตเจริญ อาจารย์ประจำหน่วยประสาทวิทยา ฝ่ายอายุรศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย กล่าวว่า ภาวะสมองเสื่อม แบ่งกลุ่มอาการออกเป็น 2 ประเภท คือ

                    1. กลุ่มอาการที่เซลล์สมองเสื่อมไม่สามารถรักษาและหยุดการดำเนินของโรคได้ เช่น อัลไซเมอร์ จะพบมากที่สุดในกลุ่มนี้
                    2. เซลล์สมองเสื่อมที่สามารถรักษาและหยุดการดำเนินโรคได้เช่น เซลล์สมองเสื่อมที่เกิดจากปัญหาหลอดเลือดสมอง อาการทางจิต โรคซึมเศร้า หรือขาดวิตามินบางตัว คือ วิตามินบี 12 และโฟเลต ซึ่งการขาดวิตามินพบได้น้อย มักพบในกลุ่มผู้ป่วยโรคพิษสุราเรื้อรัง

                    ดังนั้น การรักษาอาการเซลล์สมองเสื่อม จึงต้องคัดกรองหาสาเหตุเพื่อรักษาให้ตรงกับการเจ็บป่วย โดยเฉพาะกลุ่มที่สามารถรักษาได้ จะมีโอกาสกลับมาได้เกือบเหมือนเดิม

                    นอกจากการนอนคลุมโปง จะเป็นการทำลายสมองของลูกน้อย ยังมีเรื่องที่สามารถทำลายประสิทธิภาพการทำงานของสมอง ของลูกน้อยให้ลดลงอีกด้วย ดังนี้

                    อ่านต่อ >> “พฤติกรรมที่ก่อให้เกิดการทำลายสมองของลูกน้อย” คลิกหน้า 2

                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                     

                      The goat milk of New zealand

                        ใช้หลอดดูดร่วมกับคนอื่น

                        คุณพ่อเสียชีวิต เพราะใช้หลอดดูดร่วมกับคนอื่น

                        ข่าวสุดสะเทือนใจ เมื่อคุณพ่อลูกอ่อน มีอาการตับวายโดยไม่ทราบสาเหตุ จนเสียชีวิต คาดว่าน่าจะมาจากการ ใช้หลอดดูดร่วมกับคนอื่น โดยคุณหมอวินิจฉัยว่า คุณพ่อติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ จากการดูดน้ำร่วมกับคนอื่น ซึ่งคุณพ่อ มีอาการโคม่า คุณหมอต้องให้เลือด 6 ถุงต่อวัน

                        ใช้หลอดดูดร่วมกับคนอื่น

                        คุณหมอคาดว่าต้นเหตุของอาการป่วยในครั้งนี้ เกิดจากการใช้แก้วน้ำดื่ม หลอด หรือช้อนร่วมกับคนอื่น ทำให้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ ในที่สุดคุณพ่อก็เสียชีวิตลง

                        ใช้หลอดดูดร่วมกับคนอื่น

                        คุณแม่ กล่าวว่า “ทำไมถึงเร็วขนาดนี้ ทำไมต้องแยกเราสองคน ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก คิดถึงแต่ทำอะไรไม่ได้ พยายามทำตัวไม่ให้เครียด แต่ก็ยังคิดซ้ำ ๆ เขาไม่ได้หายไปไหน เขายังอยู่ในความทรงจำ อยากบอกเขาว่าไม่ต้องห่วงตนกับลูก ตนอยู่ได้ และจะเลี้ยงลูกให้เป็นคนดี ส่วนเงินบริจาคนั้น ปิดรับบริจาคนานแล้ว แต่ก็ยังมีพี่ ๆ ใจดี โทร. มาขอบริจาค แต่ทางเราไม่รับแล้ว”

                        ใช้หลอดดูดร่วมกับคนอื่น

                        Amarin Baby & Kids ขอแสดงความเสียใจกับทางครอบครัวของคุณพ่อด้วยนะคะ สำหรับการเสียชีวิตในครั้งนี้ คือการเสียชีวิตแบบเฉียบพลัน ซึ่งต้องระมัดระวังให้มากๆ   “โรคไวรัสตับอักเสบเอ”  สามารถติดต่อกันได้ทางการรับประทานอาหาร และการดื่มน้ำที่มีการปนเปื้อนของเชื้อนี้  การรับประทานอาหารร่วมกับคนอื่นโดยไม่ใช้ช้อนกลาง หรือล้างมือไม่สะอาด ทำให้เชื้อโรคปนเปื้อนอยู่ในอาหาร และภาชนะ

                        คนที่ติดเชื้อจะมีอาการอักเสบของตับ ทำให้มีไข้ อ่อนเพลีย ปวดท้อง ตัวเหลือง คลื่นไส้ อาเจียน และอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้

                        ฉะนั้น ถ้าคุณพ่อ คุณแม่ และลูกน้อยจะรับประทานอาหาร จึงควรรับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆ และสะอาดอยู่เสมอ โดยเฉพาะการเลือกรับประทานอาหารตามร้านอาหารริมทาง ควรเลือกร้านที่สังเกตดูแล้วมีความปลอดภัย เพื่อสุขภาพที่ดีของคุณพ่อ คุณแม่ และลูกน้อย

                        เรามาทำความรู้จักกับไวรัสตับอักเสบกันค่ะ ว่ามีกี่ชนิด และมีความรุนแรงแตกต่างกันอย่างไรบ้าง เพื่อคุณพ่อ คุณแม่และลูกน้อยจะได้ระมัดระวัง

                         

                        ไวรัสตับอักเสบมีกี่ชนิด?

                        จากข้อมูลของโรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่า ไวรัสตับอักเสบนั้น มี 5 ชนิด ได้แก่ ไวรัสตับอักเสบเอ บี ซี ดี และอี   ซึ่งสาเหตุเกิดจากการติดเชื้อไวรัสเข้าไปในตับ ซึ่งไวรัสแต่ละชนิดมีความแตกต่างกัน ดังนี้

                        1.ไวรัสตับอักเสบเอ

                        เป็นเชื้อไวรัสที่มีมาตั้งแต่สมัยอียิปต์โบราณ ซึ่งมีการบรรยายไว้ว่ามีการระบาด ทำให้เกิดดีซ่านทั้งเมือง ติดต่อกันได้ง่ายโดยการรับประทานอาหาร หรือดื่มน้ำที่มีการปนเปื้อนของเชื้อโรค เมื่อเชื้อโรคผ่านกระเพาะไปยังลำไส้ เชื้อจะฝังอยู่ในลำไส้ แล้วกระจายไปสู่ตับ หลังจากนั้นประมาณ 1-2 สัปดาห์ จะเกิดอาการตับอักเสบเฉียบพลัน มีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ดีซ่าน ซึ่งผู้ใหญ่จะมีอาการมากกว่าเด็ก ซึ่งมักจะเกิดตามแหล่งที่มีคนอาศัยอยู่กันอย่างหนาแน่น เช่น บ้านเด็กอ่อน ค่ายทหาร หรือตามจังหวัดแนวตะเข็บชายแดน

                        ไวรัสตับอักเสบเอเป็นไวรัสที่เป็นเฉียบพลัน ถ้าหายแล้วจะหายขาด ซึ่งคนที่มีภูมิคุ้มกันนี้แล้วจะไม่เป็นซ้ำอีก ในปัจจุบันพบน้อยลงเพราะมีวัคซีนป้องกันแล้ว

                        2.ไวรัสตับอักเสบบี

                        ไวรัสตัวนี้เป็นปัญหาสำคัญของประเทศไทย รวมไปถึงประเทศเพื่อนบ้านใน AEC เพราะคนไทย 3% มีเชื้อไวรัสตับอักเสบบีอยู่ในร่างกาย เพราะการติดเชื้อมักเกิดจากการติดเชื้อจากแม่สู่ลูก ซึ่งเมื่อ 20 ปีก่อนยังไม่มีวัคซีนป้องกันเด็กแรกเกิด คุณแม่ที่เป็นพาหะ ทำให้ลูกติดเชื้อระหว่างคลอด มักทำให้เกิดการแฝงตัว เป็นไวรัสตับอักเสบเรื้อรัง และเกิดผลระยะยาวคือ มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะตับแข็ง และเป็นมะเร็งตับได้ในระยะยาว ถ้าไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม

                        ในปัจจุบันมีแนวในการรักษาได้ในบางระยะ เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนในระยะยาว ในประเทศทางตะวันออก จะแตกต่างกับทางตะวันตก การติดเชื้อมักเกิดในวัยผู้ใหญ่ อาการของโรคมักจะเป็นตับอักเสบเฉียบพลัน และสามารถกำจัดเชื้อออกจากร่างกายให้หายขาดได้

                        ใช้หลอดดูดร่วมกับคนอื่น3.ไวรัสตับอักเสบซี

                        เป็นไวรัสตับอักเสบเรื้อรัง ซึ่งการติดเชื้อเกิดจากการได้รับเลือด หรือใช้ของมีคมร่วมกัน เช่น การสัก การใช้เข็มฉีดยาที่ไม่สะอาด ในประเทศไทยมีความเสี่ยงประมาณ 1% มักไม่ทำให้เกิดอาการผิดปกติ แต่จะทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังในตับ เมื่อนานๆ เข้า จะเกิดพังผืดสะสม จนกลายเป็นตับแข็งในที่สุด ซึ่งปัจจุบันสามารถรักษาให้หายขาดได้

                        4.ไวรัสตับอักเสบดี

                        เป็นไวรัสที่แฝงมากับไวรัสตับอักเสบบี พบในประเทศทางยุโรปมากกว่าในประเทศไทย เป็นไวรัสที่ไม่สมบูรณ์ในตัวเอง ต้องอาศัยไวรัสตับอับเสบบีในการแบ่งตัว ซึ่งจะทำให้ตับอักเสบซ้ำซ้อน จึงต้องรักษาร่วมกัน

                        5.ไวรัสตับอักเสบอี

                        เป็นไวรัสชนิดใหม่ที่ตรวจพบมากขึ้น ซึ่งทำให้เกิดตับอักเสบเฉียบพลัน ตัวเหลือง ตาเหลือง บางคนอาจเหลืองนานเป็นสัปดาห์ หรือ 2-3 เดือน พบได้ในสัตว์ เช่น หมู กวาง และสัตว์อื่นๆ ซึ่งเกิดในคนที่รับประทานอาหารสุกๆ ดิบๆ

                        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                        อ่านต่อ “ไวรัสตับอักเสบ ชนิดไหนน่ากลัวที่สุด?” คลิกหน้า 2

                          คุณแม่ท้อง ก็ขาดสารอาหาร ได้นะ

                          เมื่อรู้ว่าตั้งครรภ์ คุณแม่ส่วนใหญ่มักจะบำรุงร่างกายกันเต็มที่ แต่รู้ไหมคะว่า…แม่ท้องก็ขาดสารอาหารได้นะ เพราะบางคนกินไม่ถูกวิธี กินน้อย กลัวอ้วน หรืออื่นๆ ดังนั้น มาดูกันว่า แม่ท้อง ขาดสารอาหาร ได้อย่างไร

                          คุณแม่ท้อง ขาดสารอาหาร

                          แม่ท้อง ขาดสารอาหาร ได้อย่างไร

                           

                          ภาวะขาดสารอาหารคืออะไร

                          คือ ภาวะที่เกิดจากร่างกายไม่ได้รับวิตามิน เกลือแร่ หรือสารอาหารอื่น ๆ เพียงพอต่อการทํางานของร่างกายที่จะทําให้ร่างกายแข็งแรงเป็นปกติสุข อาจจะเกิดจากการรับประทานอาหารไม่เพียงพอ มีปัญหาการย่อย การดูดซึมอาหาร หรือปัญหาทางการแพทย์อื่น ๆ

                          สาเหตุสําคัญที่ แม่ท้อง ขาดสารอาหาร

                          1. ขาดสารอาหารมาตั้งแต่ก่อนท้อง

                          2. รับประทานอาหารได้ไม่เพียงพอ สาเหตุจากความยากจน อาหารมีราคาแพง การขาดแคลนอาหารในท้องถิ่นแพ้ท้อง ท้องอืด แน่นและจากสาเหตุอื่น ๆ

                          3. รับประทานอาหารไม่ถูกวิธี เช่น กิน ข้าวขัดขาวทําให้ขาดวิตามิน รับประทานอาหารไม่ครบหมู่ ไม่รับประทานผักผลไม้ เป็นต้น

                          4. มีโรคภัยไข้เจ็บ เช่น ท้องเสียตกเลือดมากโรคกระเพาะลําไส้อักเสบโรคพยาธิลําไส้แพ้อาหาร โรคตับ โรคไต โรคถุงน้ําดี โรคเบาหวาน โรคเอดส์ โรคมะเร็ง โรคเรื้อรังอื่น ๆ ติดเหล้า ติดบุหรี่ติดยาเสพติด นอนบนเตียงในโรงพยาบาลนาน ๆ ได้รับการผ่าตัด กระเพาะ ลําไส้ฯลฯ

                          5. มีความเชื่อเรื่องการรับประทานอาหารที่ไม่ถูกต้อง เช่น กลัวอ้วนหลังคลอด ไม่รับประทานโปรตีนจากเนื้อสัตว์ เพราะกลัวลูกจะโตคลอดยาก คนบางกลุ่มมีความเชื่อว่าหากกินไข่เด็กที่คลอดออกมาจะลักเล็กขโมยน้อย

                          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                           

                          ติดตาม ผลเสียเมื่อแม่ท้องขาดสารอาหาร คลิกต่อหน้า 2

                            ตั้งครรภ์ 15-16 สัปดาห์ และพัฒนาการทารกในครรภ์

                            เข้าสู่การตั้งครรภ์ไตรมาสที่ 2 กันแล้ว เรามาดูกันค่ะว่า พัฒนาการ การตั้งครรภ์ 15-16 สัปดาห์ ของคุณแม่ท้องจะเป็นอย่างไร และลูกน้อยในครรภ์จะมีพัฒนาการดีแค่ไหนกันแล้ว

                             พัฒนาการ การตั้งครรภ์ 15-16 สัปดาห์

                            พัฒนาการ การตั้งครรภ์ 15-16 สัปดาห์

                            อาการคนท้อง 15-16 สัปดาห์

                            • ภูมิคุ้มกันทำงานช้าลง

                            เข้าสู่ไตรมาสที่ 2 อย่างเต็มตัวแล้ว คุณแม่ท้องหลายๆ คนอาจรู้สึกว่าทำไมช่วงนี้ถึงป่วยง่ายจัง เดี๋ยวก็เป็นหวัด เดี๋ยวก็คัดจมูก สาเหตุสำคัญที่ช่วงนี้รู้สึกอ่อนแอกว่าปกติ นั่นเพราะระบบภูมิคุ้มกันทำงานช้าลง ซึ่งการที่ระบบนี้ทำงานช้าลงนั้นกลับส่งผลดีต่อลูกน้อยในครรภ์ หมายความว่าร่างกายของคุณแม่จะไม่ไปกำจัด ปฏิเสธ หรือมองว่าลูกในครรภ์เป็นสิ่งแปลกปลอม แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้การต้านทานต่อเชื้อโรคต่างๆ ของคุณแม่ลดต่ำลงไปด้วย จึงทำให้คุณแม่เป็นหวัด คัดจมูก เจ็บคอได้ง่าย ซึ่งหากดูแลตัวเองดีๆ อาการหวัดก็จะหายไปได้เอง แต่หากเป็นไข้หนักอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อลูกได้ ดังนั้น หากใครสงสัยว่าจะมีไข้สูงเกิน 38 องศาเซลเซียส ควรรีบไปพบแพทย์ทันที และไม่ควรซื้อยาแก้หวัดมากินเอง เพราะยาบางตัวอันตรายหรืออาจได้รับตัวยามากเกินความจำเป็น

                            ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ หากคุณแม่ท้องคนไหนยังไม่เคยได้รับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่มาก่อน ในช่วงสัปดาห์นี้สามารถรับวัคซีนนี้ได้แล้ว ซึ่งสามารถคุ้มกันโรคได้นาน 1 ปี ไข้หวัดใหญ่นับเป็นเรื่องน่าห่วงสำหรับแม่ท้อง เพราะอาจทำให้เกิดอาการแทรกซ้อนที่รุนแรงและเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ เช่น ปอดบวม เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ เป็นต้น เพราะฉะนั้นอย่าลืมแจ้งแพทย์หรือขอคำแนะนำเรื่องการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่นะคะ

                            บทความแนะนำ กลุ่มเสี่ยง ไข้หวัดใหญ่ ที่ควรได้รับวัคซีนทุกปี
                            • น้ำหนักเพิ่ม หุ่นเปลี่ยนไป

                            เพราะน้ำหนักของคุณแม่จะขึ้นมาประมาณ 2.5 กิโลกรัม และขนาดท้องก็เริ่มเห็นชัดเจน ถึงเวลาต้องเปลี่ยนไซส์เสื้อผ้าและเสื้อชั้นในแล้วค่ะ

                            • มีอาการปวดแปลบที่ท้องน้อยเป็นบางครั้ง

                            หรือปวดเวลาเปลี่ยนอิริยาบถเร็วเกินไป เพราะมดลูกของคุณแม่ขยายตัว ซึ่งจะทำให้อึดอัดเริ่มหายใจลำบากเล็กน้อย เพราะมดลูกที่ขยายไปเบียดกะบังลมและปอด

                            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                             

                            ติดตาม การเปลี่ยนแปลงของแม่ท้อง 15-16 สัปดาห์ คลิกต่อหน้า 2

                              ของใช้ใกล้ตัว ที่ซ่อนความสกปรก

                              10 อันดับ ของใช้ใกล้ตัว ที่ซ่อนความสกปรก ถูกใช้บ่อยที่สุด

                              ของใช้ใกล้ตัว ที่ซ่อนความสกปรก มีเรื่องชวนให้ยี้กันอีกแล้วค่ะ ที่ขอบอกว่าทุกคนในครอบครัวต้องสัมผัส หยิบ จับกันทุกวันเป็นประจำ ของใช้บางอย่างก็อยู่ติดตัวเกือบจะตลอดเวลา ซึ่งวันนี้ทีมงาน Amarin Baby & Kids จะมาเฉลย 10 อันดับของใช้ใกล้ตัว ที่ซ่อนไว้ด้วยความสกปรก แบบที่ทุกคนในครอบครัวนึกไม่ถึงเลยล่ะค่ะ

                               

                              ของใช้ใกล้ตัว ที่ซ่อนความสกปรก – ความสกปรกเกิดได้จากอะไรบ้าง?

                              มีคุณแม่บ้าน พ่อบ้าน ที่รักความสะอาด ปัด กวาด ถูบ้านกันทุกวัน ยิ่งถ้าวันหยุดเสาร์อาทิตย์นี่เรียกว่างานล้างบ้านกันเลย แต่เชื่อไหมคะว่า ที่ทำความสะอาดกันหนักๆ แบบนี้ ภายในบ้านตามมุมโต๊ะ ตู้หนังสือ หมอน ที่นอน ผ้าห่ม โซฟา ผ้าม่าน หลังทีวี ฯลฯ ก็ยังจะมีเศษฝุ่น ผง ให้หงุดหงิดใจจนได้

                               

                              ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า เวลาที่เราเปิดหน้าต่าง เปิด-ปิด ประตูเข้าออกบ้าน ฝุ่นก็สามารถลอยเข้ามาตามอากาศได้ค่ะ แล้วไหนจะเศษฝุ่น กลิ่นควันพิษต่างๆ ที่ติดมากะเสื้อผ้าของทุกคนในบ้านตอนที่ออกไปข้างนอก กลับมาก็มานั่งพักเหนื่อยบนโซฟา จับรีโมทเปิดทีวีดูให้สบายใจ หรือบางคนเข้าห้องนอนได้ยังไม่ทันถอดถุงเท้าก็กระโดดขึ้นเตียงนอน แอบกระซิบว่าผู้เขียนก็ทำแบบนี้บ่อยค่ะ ^_^ แต่ไม่ดีนะคะ ไม่ควรเอาเป็นตัวอย่าง เพราะจริงๆ ก่อนขึ้นเตียงนอนเราควรจะเปลี่ยนเสื้อผ้า อาบน้ำทำความสะอาดร่างกายเสียก่อน แล้วค่อยล้มตัวลงนอนบนเตียงค่ะ

                               

                              แต่เรื่องของเรื่องวันนี้เราจะมาพูดกันถึงของใช้ใกล้ตัวในบ้าน ที่ทุกคนอาจนึกไม่ถึง หรือนึกได้ก็ไม่คิดว่าจะมีความสกปรกอะไรกันขนาดนั้น ผู้เขียนเตือนไว้ก่อนนะคะว่าของใช้ของพ่อแม่ที่ใช้เซย์ฮัลโหลปลายสายกันอยู่ทุกวัน ที่เจ้าตัวเล็กขอเล่น บางทีเผลอๆ ก็เอาเข้าปาก คือเชื้อโรคทั้งนั้นนะนั่น เข้าปากลงคอ ลงกระเพาะทำลูกป่วยได้ค่ะ

                              อ่านต่อ >> “10 ของใช้ใกล้ตัวที่ซ่อนความสกปรกมากที่สุด” หน้า 2

                               

                               

                              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                อาหารช่วยลดไข้ ตัวร้อน ช่วยฟื้นไข้

                                10 อาหารช่วยลดไข้ ตัวร้อน ช่วยฟื้นไข้ สำหรับทุกคนในครอบครัว

                                อาหารช่วยลดไข้ตัวร้อน อาหารเป็นยา ตอนที่ผู้เขียนเป็นเด็กมักจะเป็นไข้หัวลมบ่อยๆ แล้วแม่กับยายก็จะแกงส้มดอกแค หรือไม่ก็ผัดมะระใส่ไข่มะระจะออกขมนิดๆ ช่วยเจริญอาหาร แม่กับยายบอกว่ากินดอกแค กินมะระดีเป็นยาช่วยไล่ไข้ตัวร้อนรุมๆ ได้ ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีอาหารสมุนไพร ที่ช่วยลดไข้ตัวร้อน และยังช่วยในเรื่องฟื้นตัวจากไข้ได้ดีอีกด้วย มาฝากกันค่ะ

                                 

                                อาหารช่วยลดไข้ ตัวร้อน ช่วยฟื้นไข้  – อาหารเป็นยาได้อย่างไร?

                                เวลาที่เด็กหรือผู้ใหญ่อย่างเราๆ เป็นไข้ ตัวร้อนรุมๆ แต่ไม่ถึงขั้นหนักมาก เรามักจะเลือกทานยาดักกันไว้ก่อนที่อาการจะเป็นหนักมากขึ้น แต่รู้ไหมคะว่าอีกหนึ่งทางช่วยที่ดีในการลดไข้ตัวร้อน ที่จะสามารถลดการทานยาลงได้ นั่นคือการทานอาหารที่มีสรรพคุณเป็นยาไปด้วยในตัว  อาหารสมุนไพรมีมานานตั้งแต่ก่อนสมัยย่า ยาย และพ่อแม่ของเราเสียอีก  คนสมัยก่อนเวลาเจ็บป่วย ปวดหัว ตัวร้อน มีไข้ ปวดหลัง ปวดไหล่ ฯลฯ ก็จะไปเก็บหาพืช ผักตามริมรั้ว หรือในป่า ในสวน ตามไร่นา ยกตัวอย่างเช่น ใบย่านาง ใบขี้เหล็ก มะรุม มะระขี้นก ใบโหรพา ใบกะเพรา ใบสาระแหน่ ใบตำลึง ฟักเขียว ใบฝรั่ง  ฟ้าทะลายโจร บอระเพ็ด มะแว้ง กล้วยน้ำว้า ทับทิบทิม ดอกแค ฯลฯ  ซึ่งอาหารสมุนไพรเหล่านี้สามารถกินเป็นอาหารบำรุงสุขภาพ แถมมีฤทธิ์เป็นยาในการรักษาอาการเจ็บป่วยไปด้วยในตัว คือต้องบอกว่าคนสมัยปู่ทวด ย่า ยาย เวลาเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ จะไม่นิยมกินยากัน แต่จะนำเอาอาหารสมุนไพรมาประกอบอาหารเพื่อกินแทนยา ช่วยรักษาอาการไข้ เจ็บป่วย ซึ่งก็ได้ประสิทธิผลที่ดีมากๆ ด้วยค่ะ

                                 

                                อาหารสมุนไพรสามารถนำมาประกอบอาหารที่นอกจากจะช่วยในเรื่องลดไข้ตัวร้อนได้ดีแล้ว  ยังกินเป็นอาหารเพื่อช่วยฟื้นบำรุงร่างกายหลังเป็นไข้ได้ดีด้วยเช่นกัน ยิ่งโดยเฉพาะกับเด็ก หรือผู้ใหญ่ที่หลังเป็นไข้ไม่สบายแล้ว มักจะไม่ค่อยอยากอาหาร ทานข้าวได้น้อย ซึ่งอาหารสมุนไพรอย่างมะระช่วยได้ค่ะ ผัดไข่ หรือต้มจืดยัดไส้หมูสับ แค่นี้ก็กินข้าวได้หมดจานแล้วค่ะ

                                 

                                อ่านต่อ >> “10 อาหารช่วยลดไข้ ตัวร้อน” หน้า 2

                                 

                                 

                                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                  ผ่าคลอด

                                  ไขข้อข้องใจ! “ผ่าคลอด น้ำนมไหลช้า” จริงหรือ?

                                  ผ่าคลอด น้ำนมไหลช้า จริงหรือ!? และหากน้ำนมมาช้าลูกสามารถกินนมชงจากขวดได้หรือไม่? ไปหาคำตอบของเรื่องนี้กันค่ะ

                                  ผ่าคลอด น้ำนมไหลช้า จริงหรือ?

                                  ไม่ว่าแม่จะคลอดด้วยวิธีใด  ธรรมชาติก็สร้างให้แม่ทุกคนมีน้ำนมสำหรับลูกที่เกิดมาอยู่แล้ว โดยปกติน้ำนมแม่จะมาอย่างเต็มที่ภายใน 1-5 วันหลังจากคลอด  แม่ที่คลอดด้วยวิธีธรรมชาติ แม่จะฟื้นตัวเร็วไม่ต้องอดอาหารและน้ำ ลูกก็จะไม่ได้รับผลข้างเคียงจากยาใดๆ  ก็จะตื่นตัวเร็วตอบสนองต่อแรงกระตุ้นในการดูดนมแม่ได้ดี นมแม่ก็จะมาเร็ว ทำให้การคลอดธรรมชาติได้เปรียบกว่าเล็กน้อย

                                  ส่วนการผ่าคลอด  แม่ต้องอดอาหารและน้ำหลังการผ่าตัด  ร่างกายอ่อนเพลียจากการผ่าตัด  ทำให้การสร้างน้ำนมของแม่ที่ผ่าตัดคลอดจะช้ากว่าแม่ที่คลอดธรรมชาติ 2-3 วัน  เพื่อช่วยให้การสร้างน้ำนมเร็วขึ้น  จะต้องให้ลูกดูดนมแม่ให้เร็วที่สุด  ดูดบ่อยๆ  ดูดให้ถูกวิธี  และเมื่อแพทย์อนุญาตให้ทานอาหารได้  แม่ก็ต้องทานอาหารประเภทน้ำมากๆ  เพราะร่างกายจำเป็นต้องใช้น้ำในการสร้างน้ำนม นอกจากนี้ แม่ก็ต้องพักผ่อนให้พอเพียงอีกด้วย การต้อนรับญาติๆ หรือเพื่อนๆที่มาเยี่ยมตลอด ในช่วงสัปดาห์แรกหลังคลอด จนไม่ได้พักผ่อน  สามารถส่งผลกระทบทำให้สร้างน้ำนมได้น้อยเช่นกัน

                                  อย่างไรก็ตาม การกระตุ้นเต้านมโดยให้ทารกดูดนมประมาณ 3-5 นาทีแม้ยังไม่มีน้ำนมมา (ให้ก่อนให้นมลูกทุกครั้ง) วันละอย่างน้อย 6 ครั้งในช่วงแรกจะช่วยกระตุ้นให้น้ำนมมาเร็วขึ้นและมากเพียงพอ และเมื่อน้ำนมมาแล้ว เพิ่มการให้ในแต่ละครั้งนานขึ้นเป็นครั้งละ 10-15 นาที การมีความพยายามและตั้งใจของคุณแม่โดยให้กระตุ้นบ่อยพอและนานพอในแต่ละครั้งจะช่วยให้ปริมาณน้ำนมมาได้พอเพียงกับความต้องการของลูกได้ และคุณแม่จะภูมิใจที่สามารถให้นมแม่ที่มีประโยชน์แก่ลูกได้

                                  Must readอุ้มลูกดูดนม ด้วย 6 เคล็ดลับ ท่าอุ้มกระตุ้นน้ำนม

                                  กระบวนการสร้างน้ำนม

                                  เมื่อเริ่มตั้งครรภ์ได้ 8 สัปดาห์ เต้านมจะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง คือ ที่ลานหัวนมจะใหญ่และสีเข้มขึ้น หัวนมอาจจะตั้งขึ้น เต้านมแข็งและตึง จากนั้นจะค่อยๆ ขยายขนาดออก  ซึ่งเต้านมใหญ่หรือเล็กนั้นขึ้นอยู่กับไขมันในเต้านม ฉะนั้นจึงไม่เกี่ยวกับการมีน้ำนมว่าจะมีปริมาณมากหรือน้อย ซึ่งขึ้นอยู่กับจำนวนต่อมน้ำนมภายในเต้านมมากกว่าเมื่อตั้งครรภ์ในช่วง 2 – 3 เดือนสุดท้ายก่อนครบกำหนดการคลอดฮอร์โมนโปรแลคตินจะมีระดับสูงขึ้น ซึ่งฮอร์โมนตัวนี้เป็นตัวการสำคัญในการผลิตน้ำนม แต่ไม่เกี่ยวกับการไหลของน้ำนม ซึ่งน้ำนมจะไหลออกมาได้ดีต้องมีขึ้นร่วมกับการดูดของลูกน้อย ซึ่งเราจะเรียกว่า Reflex 5 อย่าง

                                  • Reflex 3 อย่างจากลูก   1. ลูกอ้าปากหาหัวนม (Searching) 2. ลูกดูด (Sucking)3. ลูกกลืนน้ำนม (Swallowing)
                                  • Reflex 2 อย่างจากแม่ 4. Plolactin reflex (เป็น reflex จากร่างกาย) ยิ่งลูกดูดมาก ร่างกายก็จะหลั่งโปรแลคตินมาก ทำให้มีการผลิตน้ำนมมากขึ้น 5. Oxytocin reflex (เป็น reflex จากจิตใจแม่) ถ้าแม่มีอารมณ์ดี ไม่เครียด จะยิ่งทำให้การไหลของน้ำนมเป็นไปด้วยดี
                                  Must readกลไกการหลั่งน้ำนมที่แม่มือใหม่ควรรู้!

                                  แพท คลอดลูกแล้ว

                                  ท่อน้ำนมอุดตัน เกิดจาก?

                                  เป็นเรื่องปกติสำหรับผู้หญิงหลายคนที่จะมีอาการท่อน้ำนมอุดตันถ้าเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ท่อน้ำนมอุดตันมีอาการปวดบวมและเป็นก้อนในเต้านม ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการมีไข้หรืออาการอื่น ท่อน้ำนมอุดตันเกิดขึ้นเมื่อน้ำนมไม่ถูกระบายออกและเกิดการอักเสบ จากนั้นแรงดันที่เกิดจากการอุดตัน และเนื้อเยื่อบริเวณใกล้เคียงจะเกิดการอักเสบ ท่อน้ำนมอุดตันมักเกิดทีละข้าง  ปัญหาท่อน้ำนมอุดตัน เป็นเพราะน้ำนมบริเวณนั้นข้นมากจนทำให้ไหลไม่สะดวก และอุดตันคั่งค้างอยู่ในท่อน้ำนมท่อใดท่อหนึ่ง น้ำนมส่วนที่เหนือจุดที่อุดตันขึ้นไปจะคั่งจนเกิดเป็นก้อนไตแข็งๆ อาจเกิดจาก

                                  • ให้ลูกดูดนมไม่บ่อยพอ เพราะแม่เจ็บนมอันเนื่องมาจากหัวนมแตก เป็นต้น
                                  • ระบายน้ำนมออกจากเต้าไม่หมด
                                  • ผลจากแรงกดทับเต้านม อาจเกิดจากการสวมเสื้อชั้นในที่คับเกินไป นอนตะแคงทับข้างนั้นนาน เป็นต้น
                                  • เต้านมใหญ่หย่อนยาน ทำให้ส่วนล่างระบายน้ำนมออกไม่ได้ดี

                                  แพท คลอดลูกแล้ว

                                  ทำไมต้องเปิดท่อน้ำนม?

                                  อาการท่อน้ำนมอุดตันนั้น เกิดจากการที่น้ำนมไหลไม่สะดวกจากการอุดตันของท่อส่งน้ำนม ทำให้เต้านมแข็ง เป็นแผ่นหนา หรือเป็นก้อนอยู่ใต้ผิวหนัง คลำพบก้อนแข็งบริเวณที่ท่อน้ำนมอุดตัน ลักษณะหัวนมและลานนมผิดรูปไป บางครั้งอาจมีอาการเส้นเลือดปูดออกมาอย่างเห็นได้ชัด ลูกดูดนมไม่ออก หรือดูดได้เพียง 20%เท่านั้น บางครั้งอาจจะพบจุดสีขาวที่หัวนม (White dot) อาการท่อน้ำนมอุดตัน สามารถพัฒนาไปเป็นเต้านมอักเสบ Mastitis ได้ หากปล่อยทิ้งไว้นาน และไม่ได้รับการรักษา

                                  Must readเต้านมคัด ปวดมาก แก้ไขอย่างไรดี ?
                                  Must read : น้ำนมเหลือง สิ่งมหัศจรรย์ปกป้องลูกจากโรคร้าย
                                  Must read : ผลวิจัยเผย! “นมแม่” สามารถสกัดกั้นเชื้อโรคได้จริง!
                                  Must read : ประโยชน์คับเต้า นมแม่ ทำอะไรได้มากกว่าที่คิด

                                  ทั้งนี้สามารถใช้วิธี ประคบร้อน อาจจะใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำร้อนจัดประคบ หรือแช่น้ำฝักบัว โดยเปิดน้ำร้อนจ่อไปที่หน้าอกบริเวณที่ท่อน้ำนมอุดตัน หลังจากประคบร้อนหรือแช่น้ำฝักบัวร้อนๆสัก 15 นาทีแล้ว ให้ใช้มือนวดวนเป็นก้นหอย จากรอบๆหน้าอกด้านนอกเข้ามาจนลานนม

                                  ***แต่วิธีที่ดีที่สุด คือ

                                  1. ลูกและแม่ควรจะอยู่ด้วยกันตลอดเวลาหลังคลอด เพื่อให้ลูกได้ดูดนมแม่เร็ว และได้ดูดตามต้องการตลอดเวลา
                                  2. ให้ลูกดูดนมถูกวิธี ดูดบ่อย และดูดนานพอ
                                  3. ไม่ให้ลูกดูดนมผสมร่วมกับนมแม่
                                  4. ขจัดความกังวลหรือความเครียดที่มีอยู่ให้หมดไป ก่อนให้นมลูกทำจิตใจให้สบายทุกครั้ง
                                  5. คุณแม่ต้องกินอาหารและดื่มน้ำให้เพียงพอ
                                  6. พักผ่อนให้เพียงพอ
                                  7. ปรึกษาแพทย์หรือเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์เกี่ยวกับการใช้ยารักษาโรคหรือการคุมกำเนิด

                                  Must read : ท่อน้ำนมอุดตัน แก้อาการ ด้วยมะเขือเปราะ

                                  ควรให้ลูกกินนมจากขวดหรือไม่?

                                  การที่คุณแม่เพิ่งคลอด แล้วอาจทำให้มีน้ำนมจากเต้าออกมาน้อย มีคุณแม่จำนวนมากที่ได้รับความรู้ผิดๆ จากบุคลากรในโรงพยาบาลว่า น้ำนมน้อย ต้องเสริมนมผสมให้ลูกก่อน รอให้น้ำนมมาก่อน แล้วค่อยให้นมแม่ ซึ่งการทำเช่นนั้นยิ่งทำให้น้ำนมแม่มาช้ากว่าเดิม  วิธีที่จะเร่งให้น้ำนมมาเร็วๆ คือ ต้องพยายามนำน้ำนมออกจากร่างกายให้เร็วที่สุด มากที่สุด ด้วยการให้ลูกดูดนมแม่อย่างถูกวิธีบ่อยๆ ซึ่งในช่วงสองสามวันแรกนั้น ลูกจะหลับเป็นส่วนใหญ่ และดูดยังไม่ค่อยเก่ง แม่ก็อ่อนเพลียจากการคลอด การใช้มือบีบหรือเครื่องปั๊มคุณภาพดีจะช่วยให้สามารถนำน้ำนมออกมาจากร่างกายได้มากขึ้นกว่าการรอให้ลูกดูดอย่างเดียว  และจะช่วยให้การผลิตน้ำนมเร็วและมากขึ้น

                                  แต่การบีบหรือปั๊มในช่วงหลังคลอดใหม่ๆ นี้ก็มีข้อควรระวังคือ ร่างกายที่ผ่านการคลอดมาใหม่ๆ นั้น มักจะอ่อนเพลียและ อ่อนไหวง่าย การบีบหรือปั๊ม หรือแม้แต่ให้ลูกดูด ก็จะทำให้คุณแม่รู้สึกเจ็บหัวนม เต้านมมากๆได้  จนทำให้แม่หลายๆ ท่าน รู้สึกว่าการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่นี้ช่างเจ็บปวด และทรมานเสียจริง  ขอให้เข้าใจว่าความรู้สึกเจ็บปวดทรมานแบบนั้นจะคงอยู่ไม่นาน จะดีขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป หลังจากนั้น ไม่ว่าลูกจะดูด ใช้มือบีบ หรือใช้เครื่องปั๊ม ก็จะไม่เจ็บอีกต่อไป

                                  ปัญหาติดจุก NIPPLE CONFUSION

                                  อีกหนึ่งเรื่องหากคุณแม่ให้ลูกกินนมจากขวด ก่อนเข้าเต้า ก็อาจทำให้ลูกติดขวดได้จึงไม่ควรให้ลูกน้อยที่เพิ่งเกิดกินนมจากขวดก่อน เพราะถ้าเด็กดูดนมจากขวด ซึ่งมันจะเป็นการดูดคนละแบบกับการดูดนมจากเต้า และดูดง่ายกว่าเยอะ
                                  ทำให้เด็กจะชินกับการดูดนมจากขวดมากกว่า แล้วจะไม่ยอมดูดนมจากเต้าอีก ซึ่งภาวะนี้เรียกว่า ว่า nipple confusion หรืออาการสับสนระหว่างจุกนมแม่และจุกนมปลอม

                                  ปัญหานี้เกิดจากความเข้าใจผิดๆ ว่า การกินนมจากเต้าแม่ก็เหมือนกับการกินนมจากขวด ทารกที่กินนมจากขวดตั้งแต่อายุน้อยมากๆ จะมีปัญหาในการดูดนมแม่ เพราะนมแม่และขวดมีวิธีดูดที่แตกต่างกัน

                                  อ่านต่อ >> วิธีแก้อาการติดจุก ทำอย่างไรให้ทารกหายสับสน” คลิกหน้า 2

                                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                   

                                    ลูกติดเชื้อเพราะดูดนมผิดวิธี

                                    ลูกติดเชื้อ เพราะดูดนมผิดวิธีจริงหรือไม่?

                                    มีคุณแม่คนหนึ่ง เล่าประสบการณ์ของลูกน้อยวัย 18 วัน ที่มีอาการไข้ในช่วงเวลากลางคืนมาแล้ว 2 คืน คุณแม่จึงพาลูกน้อยไปหาหมอ เพราะสังเกตเห็นความผิดปกติที่ท้องของลูกน้อย ที่มีลักษณะโตใสผิดปกติ เบื้องต้นคุณหมอสันนิษฐานว่า ลูกติดเชื้อเพราะดูดนมผิดวิธี เพราะมีลมเต็มท้อง

                                    Continue reading “ลูกติดเชื้อ เพราะดูดนมผิดวิธีจริงหรือไม่?”