เคล็ดลับช่วยลูกอึง่าย ขับถ่ายสบายท้อง

Alternative Textaccount_circle
event

เรื่องขับถ่ายเป็นเรื่องสำคัญที่ส่งผลกับพัฒนาการของลูกๆ ถ้าลูกมีปัญหาขับถ่ายยาก เรามีเทคนิคช่วยให้เขาขับถ่ายได้ดี เป็นเวลามาแนะนำค่ะ

เด็กๆ วัยนี้เป็นวัยที่ชอบเล่นชอบเรียนรู้ หากลูกๆ เกิดอาการท้องผูกหรือไม่สบายตัวแล้วละก็อาจส่งผลเสียทำให้ลูกงอแง พัฒนาการของลูกแย่ลงไปด้วย ปัญหาเรื่องการขับถ่ายยากเป็นเรื่องที่สำคัญ เด็กแต่ละคนมีความต่างกันทั้งในเรื่องของอาหารเสริม กิจกรรมที่ทำ พฤติกรรมของลูก ระบบต่างๆ ในร่างกาย และการขับถ่าย คุณพ่อคุณแม่ก็สามารถแก้ไขปัญหานี้ให้ลูกได้ อยากรู้ว่าทำอย่างไรเรามีเทคนิคช่วยให้ลูกวัยเล่นวัยเรียนรู้ขับถ่ายดีมาแนะนำค่ะ

  • ดื่มน้ำสม่ำเสมอ เมื่อลูกทานนม หรือทานอาหารเสริมเสร็จ คุณแม่ควรให้ลูกดื่มน้ำตามให้มากๆ เวลาลูกเล่นก็ควรหาน้ำให้ลูกดื่มบ่อยๆ อย่างน้อยวันละ 6 -8 แก้วต่อวัน
  • ทานผักและผลไม้ที่มีกากใยมากขึ้น เช่น มะละกอ กล้วย ส้ม ลูกพรุน ลูกแพร์ ตำลึง และแครอท เพราะใยอาหารจะช่วยเพิ่มกากอาหาร หรือปริมาณเนื้ออุจจาระและอุ้มน้ำ ทําให้อุจจาระอ่อนตัวขับถ่ายได้ง่ายและหลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้อุจจาระแข็ง เช่น ข้าวกล้อง ช็อกโกแลต ชีส เป็นต้น
  • ฝึกการขับถ่ายเจ้าตัวน้อยให้เป็นเวลาทุกวัน การฝึกง่ายๆ สำหรับคุณแม่เริ่มจากการให้ลูกรับประทานอาหารให้เป็นเวลาและอิ่มท้องเพื่อเป็นการกระตุ้นลำไส้ด้วยวิธีทางธรรมชาติ หรือควรฝึกลูกนั่งกระโถนหรือชักโครกเงียบๆ ในมุมส่วนตัวคุณแม่ค่อยอยู่ใกล้ๆ ไม่ควรดุหรือทำให้ลูกกลัว ให้คําชมเมื่อลูกทำได้ ลูกจะรู้สึกดีและไม่กลั้นอุจจาระ
  • เลือกนมที่ดีกับระบบขับถ่าย เพราะนมเป็นหนึ่งในอาหารสำคัญที่ลูกน้อยต้องดื่มเป็นอาหารหลัก การเลือกนมที่มีโปรตีน ที่ย่อยและดูดซึมง่าย และมีใยอาหารที่ช่วยในเรื่องการขับถ่าย ย่อมเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการช่วยลูกให้อึง่าย ขับถ่ายสบายท้อง อย่างนมแพะที่อุดมไปด้วย CPP หรือ Casein Phosphopeptidesที่เป็นโปรตีนนุ่ม ย่อยง่าย ร่างกายดูดซึมนำไปใช้ได้อย่างเต็มที่ ช่วยดูแลลูกน้อยไม่ให้เกิดอาการท้องอืด หรือท้องผูกนอกจากนี้ “นมแพะ” ยังมีใยอาหารจากธรรมชาติ หรือพรีไบโอติกส์ อย่างอินนูลิน (Inulin) และโอลิโกฟรุคโตส (Oligofructose) ซึ่งเป็นใยอาหารที่ไม่ถูกย่อยในกระเพาะอาหาร ช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์สุขภาพ เช่น แลคโตบาซิลัส และบิฟิโดแบคทีเรีย จึงช่วยปรับสมดุลของระบบทางเดินอาหารทำให้ลูกน้อยขับถ่ายได้ง่าย หมดปัญหาเรื่องท้องผูกและส่งเสริมภูมิคุ้มกันที่ดีให้แก่ลูกน้อยอีกด้วย
  • การใช้ยาระบาย ทางเลือกสุดท้ายที่ควรได้รับคำแนะนำจากคุณหมอเท่านั้น การใช้ยาระบายจะใช้ในกรณีที่การปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหารและการฝึกขับถ่ายไม่ได้ผล ซึ่งการใช้ยาดังกล่าวนี้จะต้องได้รับคําแนะจากแพทย์เท่านั้น

ไข่กระทะทรงพลัง

Alternative Textaccount_circle
event

ไข่กระทะเมนูแสนง่ายที่จัดเต็มมากคุณค่าทางสารอาหาร กินพร้อมกับนมอุ่น ๆ เหมาะสมเป็นมื้อเช้ามื้อสำคัญของเจ้าตัวเล็กที่สุด

เครื่องปรุง

  1. ไข่ไก่ 2 ฟอง
  2. เนยจืด 1 ก้อน
  3. หมูบด 3 ขีด
  4. กุนเชียง หมูยอ และหอมหัวใหญ่หั่นเป็นลูกเต๋า
  5. ซอสหอยนางรม
  6. ซอสถั่วเหลือง
  7. ซีอิ๊วขาว
  8. ผักชีซอย
  9. กระเทียม พริกไทยเม็ด น้ำตาลทราย เกลือป่น ขนมปังกระเทียม

วิธีทำหน้าไข่กระทะ

  1. ตั้งกระทะใช้ไฟกลางค่อนข้างอ่อน ตัดเนยใส่ลงไปสัก 1 ใน 4 ส่วน พอเนยละลายใส่หอมหัวใหญ่ที่หั่นไว้ลงไปผัดจนนิ่ม
  2. เร่งไฟให้แรงขึ้นใส่หมูบดลงไป ตามด้วยผัดรวมกับหอมหัวใหญ่ ใส่ซอสหอยนางรม ซีอิ๊วขาว ซอสถั่วเหลือง ผัดให้เข้ากัน
  3. พอหมูบดใกล้สุก ใส่กุนเชียงและหมูยอลงไปผัด แล้วตักใส่ชามพักไว้

 

วิธีทำ ไข่กระทะ

  1. ตั้งกระทะลูกเล็กใช้ไฟกลาง ตัดเนยก้อนเท่าหัวแม่มือใส่ลงไป รอจนเนยละลายกลายเป็นน้ำมัน ตอกไข่ลงในกระทะ 1 ฟอง
  2. ใช้ตะหลิวตีไข่แดงให้แตก ตักหน้าที่ผัดไว้ลงไปด้านบน ใช้ฝาหม้อที่เตรียมไว้ปิดกระทะ
  3. รอจนไข่สุก (แง้มฝาหม้อดูเป็นระยะ ๆ พอเห็นว่าไข่ด้านล่างเริ่มจะเกรียมเป็นอันว่าใช้ได้)
  4. โรยผักชีหั่นหยาบๆ เสิร์ฟพร้อมขนมปังกระเทียม

เท่านี้เป็นอันว่าเสร็จอาหารเช้ามื้อสำคัญทั้งอร่อยทำง่าย เสิร์ฟพร้อมนมแพะเพิ่มคุณค่าทางสารอาหารให้เด็กๆ เพราะวิตามินในนมแพะมีส่วนช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกายแข็งแรง ทำให้เด็ก ๆ พร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ตลอดวัน

สุขภาพของลูกน้อย ดีได้ด้วยลำไส้ที่แข็งแรง พรีไบโอติกช่วยได้

Alternative Textaccount_circle
event

รู้หรือไม่ว่า “ลำไส้” ของคนเรานั้น ไม่ได้ทำหน้าที่เฉพาะย่อยอาหารเพียงอย่างเดียว หากแต่ลำไส้ยังทำหน้าที่สำคัญต่อร่างกายนั่นคือ ศูนย์กลางของพัฒนาการต่าง ๆ ของร่างกายอีกด้วย ดังนั้นเบื้องต้นหากทราบกันอย่างนี้แล้ว เรามาเริ่มต้นดูแล “ลำไส้” กันดีกว่า โดยเฉพาะในเด็กเล็กหากคุณแม่ดูแลลำไส้ของลูกน้อยเป็นอย่างดี ผลที่ตามมาก็คือ สุขภาพร่างกายลูกน้อยมีพัฒนาการที่ดี รวมถึงมีสุขภาพที่แข็งแรงด้วย

ลำไส้ทำหน้าที่เป็นแหล่งสร้างระบบภูมิต้านทานที่ใหญ่ที่สุดในร่างกาย เมื่อแรกคลอดลูกน้อยลืมตาออกมาดูโลก บอกเลยว่าเขามีโอกาสได้รับเชื้อโรคต่างๆ จากสิ่งแวดล้อมรอบตัว ยิ่งเมื่อเขาโตขึ้นและอยู่ในช่วงวัยที่หยิบจับสิ่งของได้เอง ก็มีโอกาสที่ลูกจะหยิบของเหล่านั้นเข้าปาก ซึ่งหากลูกน้อยมีลำไส้ที่แข็งแรง แน่นอนว่าการดูแลรวมถึงปกป้องเชื้อโรคย่อมต้านทานได้

ลำไส้ทำหน้าที่ในการควบคุมดูแลอารมณ์ของคนเราด้วย หากคุณแม่ดูแลลำไส้ของลูกน้อยดีจะสังเกตได้ว่าลูกน้อยเลี้ยงง่าย หลับง่าย อารมณ์ดี

ลำไส้ยังทำหน้าที่ในการดูดซึมสารอาหารไปเลี้ยงส่วนต่างๆ โดยกระบวนการย่อยและดูดซึมสารอาหาร ต้องอาศัยจุลินทรีย์สุขภาพจากลำไส้ ซึ่งหากลูกน้อยมีลำไส้ที่แข็งแรง ก็ย่อมส่งผลต่อการเจริญเติบโตนั่นเอง และที่สำคัญอีกอย่างลำไส้ยังส่งผลต่อพัฒนาการทางสมองของลูกน้อย นั่นเพราะหากลูกน้อยได้รับอาหารที่เพียงพอตามช่วงวัย ได้รับอาหารที่มีประโยชน์ตามช่วงวัย ก็เท่ากับว่าพัฒนาการทางสมองย่อมดีตามมา

คุณแม่จึงควรใส่ใจในเรื่องของการดูแลลำไส้ลูกน้อยให้ดี ซึ่งในคุณแม่คนไหนที่มีปัญหาเรื่องน้ำนมไม่เพียงพอ หรือไม่มีน้ำนม การเลือกนมสำหรับลูกน้อยจึงสำคัญอย่างยิ่ง ทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ คือ นมแพะ” เพราะมีระบบการสร้างน้ำนมแบบเดียวกับนมแม่ คือ ระบบอะโพไครน์ ทำให้มีสารอาหารจากธรรมชาติในปริมาณสูง ที่สำคัญยังมี “พรีไบโอติก” ชนิด Oligosaccharide เช่น Inulin และ Oligofructose ซึ่งเป็นใยอาหารที่ไม่ถูกย่อยในกระเพาะอาหาร เพราะทนต่อน้ำย่อย กรด ด่าง ในกระเพาะและลำไส้ ช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์สุขภาพ เช่น แลคโตบาซิลัส และบิฟิโดแบคทีเรีย จึงช่วยปรับสมดุลของระบบทางเดินอาหาร ลดการอักเสบบริเวณลำไส้ ทำให้ระบบทางเดินอาหารทำงานได้อย่างเป็นปกติ ร่างกายมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง ผลที่ตามมาคือ ลูกน้อยมีสุขภาพที่ดี นอกจากนี้นมแพะอุดมไปด้วย CPP หรือ Casein Phosphopeptides ที่เป็นโปรตีนนุ่ม ย่อยง่าย ร่างกายดูดซึมนำไปใช้ได้อย่างเต็มที่  นมแพะจึงเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับคุณแม่ที่มีปัญหาเรื่องน้ำนม และต้องการดูแลสุขภาพลำไส้ของลูกน้อยค่ะ

7 แหล่งโปรตีนสำคัญที่ลูกควรได้รับ

Alternative Textaccount_circle
event

โปรตีนจัดเป็นสุดยอดอาหารที่ดีต่อร่างกาย แต่ก็ควรให้ลูกทานอย่างเหมาะสมไม่มากหรือน้อยจนเกินไป แต่ก็มีเด็กจำนวนไม่น้อยที่ขาดโปรตีน เราจึงมี 7 แหล่งโปรตีนสำคัญใกล้ตัวมาแนะนำ เพื่อให้เด็กๆ เติบโตสมวัย

โปรตีนเป็นหนึ่งในสารอาหารที่ร่างกายของลูกควรได้รับอย่างเหมาะสม เพราะโปรตีนมีหน้าที่เพิ่มความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อ เสริมสร้างการเจริญเติบโตและช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอให้กับร่างกายได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้โปรตีนยังเป็นส่วนประกอบของอวัยวะและเซลล์อีกด้วย ดังนั้น เด็กๆ ก็ควรที่จะได้รับอาหารที่มีโปรตีนเพียงพอ เพื่อการเจริญเติบโตที่สมวัย โปรตีน 7 แหล่งที่คุณแม่ไม่ควรพลาดมีดังนี้

  1. ปลา – ปลาเป็นแหล่งโปรตีนที่มีเส้นใยสั้น ๆ ไขมันต่ำย่อยง่าย ควรให้ลูกเริ่มกินปลาน้ำจืดก่อนปลาทะเล เพื่อหลีกเลี่ยงการแพ้อาหารทะเล เช่น ปลาช่อน ปลานิล ส่วนปลาทะเลเริ่มให้ได้เมื่อลูกอายุ 1 ปี เช่น ปลาแซลมอนที่มีโอเมก้าสาม และมีกรดไขมันที่ดีต่อร่างกาย
  2. ตับหมู ตับไก่–เป็นวัตถุดิบที่ทำอาหารได้ง่าย เหมาะสำหรับหนูๆ เพราะนอกจากมีโปรตีนแล้ว ในตับยังมีธาตุเหล็กสูง ช่วยเสริมสร้างเม็ดเลือดได้ดี
  3. หมู–เป็นโปรตีนธรรมชาติจากสัตว์ที่มีกรดอะมิโนจำเป็นที่ร่างกายควรได้รับแต่สำหรับเด็กควรรับประทานอย่างเหมาะสม ไม่มากและไม่น้อยจนเกินไป สำหรับลูกๆ ในเมนูเนื้อหมูคุณแม่อาจจะทำเป็นซุปเพื่อให้ลูกทานง่าย และย่อยง่าย
  4. ไก่ – ควรใช้บริเวณที่เป็นสันในไก่ เพราะเด็กส่วนใหญ่ไม่แพ้โปรตีนจากไก่ เริ่มให้ได้ตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป ให้ทีละน้อย เพื่อให้อาหารมีส่วนกระตุ้นการสร้างน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร โดยคุณแม่ควรเริ่มจากการต้มและปั่นละเอียดผสมในโจ๊กบด
  5. ไข่แดง – เป็นแหล่งโปรตีนชนิดแรกที่เหมาะกับการเป็นอาหารเสริมตามวัยของเด็ก 6 เดือนขึ้นไป มีทั้งโปรตีน วิตามินเอ วิตามินอี เลซิติน ลูทีน ธาตุเหล็ก ช่วยบำรุงกล้ามเนื้อสายตา ผิวหนัง และความจำ
  6. ถั่ว- เป็นแหล่งให้พลังงานและเสริมโปรตีนจากพืช เช่น ถั่วเหลือง ถั่วเขียว นอกจากโปรตีนแล้ว ยังมีใยอาหารสูง ช่วยในเรื่องของระบบขับถ่าย และถั่วลันเตาหรือถั่วสีเขียวยังอุดมไปด้วยวิตามิน B12
  7. นม – นอกจากนมแม่ที่มีโปรตีนสำคัญต่อทารก นมอื่นๆ อย่างเช่นนมแพะ ก็มีโปรตีนที่จำเป็นกับร่างกายลูกๆ เช่นกัน อย่างนมแพะมีโปรตีน CPPหรือ Casein Phosphopeptides ซึ่งเป็นโปรตีนนุ่ม ที่ย่อย และดูดซึมง่ายช่วยให้ร่างกายได้รับโปรตีนไปช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียม เหล็ก สังกะสี และแมกนีเซียมสู่ร่างกาย อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้กับลูกน้อยได้อีกด้วย

แหล่งโปรตีนสำคัญยังมีอีกมากมายให้คุณแม่เลือกสรร ทั้งโปรตีนที่มาจากสัตว์และโปรตีนที่มาจากพืชแต่สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ คือต้องเป็นสารอาหารจากธรรมชาติที่ดูแลร่างกายของลูกน้อยให้เจริญเติมโตสมวัยอย่างเป็นธรรมชาติ

เคล็ดลับ ช่วยลูกอารมณ์ดี

Alternative Textaccount_circle
event

การเห็นลูกอารมณ์แจ่มใส และเรียนรู้ได้อย่างมีความสุข ย่อมเป็นความปรารถนาสูงสุดของคุณแม่ๆ ซึ่งการจะไปให้ถึงเป้าหมายหรือความสำเร็จนั้นก็ไม่ยากค่ะ เรามี 3 เคล็ดลับดีๆ ที่จะช่วยให้ลูกของคุณแม่เติบโตอย่างอารมณ์ดีค่ะ

29940847_ml_Edit

กินอิ่ม กินครบ
เรื่องโภชนาการของลูกเป็นเรื่องสำคัญที่คุณแม่ทุกคนมองข้ามไม่ได้ ทั้งเรื่องสารอาหารที่ต้องครบถ้วนซึ่งนมแม่ถือเป็นอาหารที่ดีที่สุดสำหรับลูก เพราะมีทั้งโปรตีน แคลเซียม แร่ธาตุ และวิตามินต่างๆ อยู่พร้อมสรรพ อีกทั้งควรตอบสนองเมื่อลูกน้อยหิวอย่างทันท่วงทีไม่ปล่อยให้เขาร้องงอแงนาน
แต่หากคุณแม่ไม่สามารถให้นมแม่ได้ นมแพะก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกหนึ่ง เนื่องจากมีสารอาหารในน้ำนมตามธรรมชาติ (Bioactive Components) จากกระบวนการสร้างน้ำนมเหมือนนมแม่ คือ อะโพไคร์น (Apocrine Secretion) จึงทำให้มีสารอาหารอันประกอบไปด้วย

นิวคลีโอไทด์ ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทาน และเสริมสร้างการเจริญเติบโต

ทอรีน  พัฒนาเซลล์สมองและจอประสาทตา

โพลีเอมีนส์  เพิ่มภูมิต้านทานต่อระบบทางเดินอาหารและส่งเสริมระบบการย่อยอาหารให้สมบูรณ์

โกรทแฟคเตอร์  ส่งเสริมการเจริญเติบโต

12671655_l_Edit

สบายท้อง นอนสบาย
ปัญหาลูกท้องอืด ท้องผูก มีผลต่อการเรียนรู้ของลูกน้อยนะคะ เพราะอาการทางร่างกายส่งให้ลูกหงุดหงิดไม่สบายตัว งอแง มีปัญหาการนอน และไม่พร้อมต่อการกระตุ้นหรือเรียนรู้ใดๆ ดังนั้นคุณแม่จึงควรเลือกนมที่เหมาะสมให้กับลูก โดยนมแม่เป็นอาหารที่ดีที่สุดของลูก มีสารอาหารครบถ้วน และย่อยง่าย ไม่ทำให้ลูกท้องผูก แต่หากคุณแม่ไม่สามารถให้นมแม่กับลูกได้ ก็ควรเลือกนมแพะที่มีโปรตีน CPP อันนุ่มย่อยง่าย ร่างกายจึงดูดซึมไปใช้ได้อย่างเต็มที่ ช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียม เหล็ก สังกะสี แมกนีเซียม เข้าสู่ร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งนมแพะยังมีใยอาหารจากธรรมชาติ รวมถึงอินนูลิน (Inulin) และโอลิโกฟรุคโตส (Oligofructose) ทำให้เด็กมีอาการท้องอืด ท้องผูกน้อยกว่านมวัว ซึ่งจะทำให้ลูกน้อยสบายท้อง นอนสบาย อารมณ์แจ่มใสพร้อมต่อการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ

19937828_l-copy

เล่นกับลูก
คุณพ่อคุณแม่ถือเป็นของเล่นชิ้นสำคัญของลูกนะคะ เพียงการอยู่กับเขา พูดคุย ยิ้ม หัวเราะไปกับเขา หรือร้องเพลง อ่านนิทานให้ฟัง ก็ช่วยกระตุ้นให้เขายิ้มหัวเราะตาม อีกทั้งการที่คุณพ่อคุณแม่เล่นกับลูกจะช่วยเสริมสร้างทักษะด้านภาษาและการสื่อสารให้ลูกอีกด้วยค่ะ และที่สำคัญคุณพ่อคุณแม่ควรสังเกตธรรมชาติของลูกนะคะว่าในช่วงเวลานั้นเขาพร้อมกับกิจกรรม หรือการเล่นแบบใด เพื่อให้ช่วงเวลาของคุณพ่อคุณแม่กับลูกมีความสุข สนุกสนานอย่างเต็มที่
เห็นไหมคะเคล็ดลับดีๆ ทำได้ไม่ยากแบบนี้ จะช่วยให้ลูกน้อยของคุณพ่อคุณแม่อารมณ์ดี พร้อมต่อการเรียนรู้ในเรื่องอื่นๆ ต่อไปอย่างมีประสิทธิภาพค่ะ

5 กิจกรรมสร้างเจ้าตัวเล็กมั่นใจในตัวเอง

Alternative Textaccount_circle
event

เด็กวัย 2-3ปี วัยนี้ค่อนข้างเริ่มเป็นตัวเองสูง ดังนั้นจะต้องทำตัวแบบว่า… แม่ไม่บังคับหนูหรอก แต่ขอแจมสิ่งที่หนูกำลังสนใจอยู่หน่อยได้ไหม กิจกรรมที่เราสามารถสร้างความเชื่อมั่นในตัวเองให้ลูกวัยนี้มีอะไรบ้างต้องดู

อย่างที่เรารู้กันดีว่าเด็กวัย 2-3 ปี เป็นวัยที่เริ่มมีความคิดเป็นของตัวเอง เริ่มมีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมทั้งพัฒนาการและการเจริญเติบโตที่แข็งแรงขึ้น ทำให้เด็กๆ สามารถทำอะไรด้วยตนเองได้หลายอย่าง รวมถึงการเลือกที่จะให้ความสนใจหรือไม่สนใจกับอะไร เมื่อลูกเริ่มมีความเป็นตัวเองมากขึ้นพ่อแม่จะทำอย่างไรให้ลูกมีความมั่นใจ ความภูมิใจกับกิจวัตรประจำวันหรือเหตุการณ์ที่ลูกต้องเจอ กิจกรรมที่เราสามารถสร้างความเชื่อมั่นในตัวเองให้กับลูกในวัยนี้มีอะไรบ้างมาดูกันค่ะ

  1. กิจกรรมแสดงความรัก – การแสดงความรักกันตลอดเวลาในครอบครัวนั้น เช่น การกอด การหอม การชมเชย รับฟังลูก ให้กำลังใจกันอยู่เสมอ จะทำให้ลูกรู้สึกอบอุ่นมั่นคง ปลอดภัย และมีความสุข ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างความมั่นใจในตนเองของลูกได้
  2. กิจกรรมฝึกลูกช่วยเหลือตนเอง – การฝึกลูกให้รู้จักทำอะไรด้วยตนเองตั้งแต่ยังเล็กๆ นั้นเป็นการปลูกฝังให้เด็กสามารถพึ่งพาตนเอง มีความคิดทางบวกว่าตนเองสามารถทำสิ่งต่างๆ สำเร็จได้ด้วยตนเอง เช่น การกินข้าวด้วยตัวเอง เก็บของเล่นเอง พยายามใส่เสื้อผ้าเอง เป็นต้น
  3. กิจกรรมส่งเสริมลูก – เมื่อลูกมีความสามารถ และความชอบในเรื่องใดเป็นพิเศษ เช่น ชอบเล่นกีฬา ชอบร้องรำทำเพลง ชอบวาดรูประบายสี ชอบคิดเลข ชอบอ่านหนังสือ ชอบเข้าครัวกับคุณแม่ ชอบซ่อมรถกับคุณพ่อ ซึ่งพ่อแม่ควรส่งเสริมในสิ่งที่ลูกมีความถนัด ไม่ควรขัดขวางหรือบังคับให้ลูกทำอย่างอื่น การสนับสนุนลูกนอกจากจะเป็นการพัฒนาความสามารถของลูกโดยตรงแล้ว ยังช่วยพัฒนาความมั่นใจในตนเองของลูกรักอีกด้วย
  4. กิจกรรมของผู้กล้า – การฝึกให้ลูกมีความรับผิดชอบกล้ายอมรับนี้ก็เป็นเรื่องที่เด็กๆ สามารถทำได้ พ่อแม่ต้องเปลี่ยนจากการดุลูกเมื่อทำผิดมาเป็นการอธิบายเหตุผลการทำผิดของลูก และควรบอกลูกเสมอว่าเมื่อทำผิดต้องรู้จักขอโทษ เมื่อลูกทำได้ก็ควรแสดงความชื่นชมที่มีความกล้าหาญกล้ารับผิดชอบ
  5. กิจกรรมสร้างสังคมให้ลูก – การที่เด็กๆ มีเพื่อนเล่นในวัยเดียวกันเป็นอีกหนึ่งทางที่พ่อแม่จะสังเกตลูกได้ว่าลูกมีพฤติกรรมอย่างไรเมื่ออยู่กับคนอื่น ลูกไม่เข้าหาเพื่อน ลูกเล่นคนเดียว หรือลูกมีความสุขดีเมื่อได้เล่นกับเพื่อนๆ เมื่อลูกไม่กล้าเล่นกับเพื่อน ควรเริ่มจากพาลูกออกมาข้างนอกบ่อยขึ้น พบปะผู้คนเยอะขึ้น ปล่อยให้เด็กๆ ได้เข้าหากัน ความเป็นตัวเองของลูกก็สามารถเกิดขึ้นได้จากความคุ้นเคยเมื่อเจอคนเยอะๆ

ความมั่นใจในตนเองสามารถพัฒนาได้ตั้งแต่เด็ก เพียงพ่อแม่ดูแลลูกด้วยความรักและความเข้าใจ ลูกของเราจึงจะเติบโตขึ้นเป็นคนที่กล้าคิดกล้าทำ กล้าตัดสินใจ โภชนาการก็เป็นสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ อย่างนมแพะก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือก เพราะนมแพะมีระบบการให้น้ำนมแบบเดียวกับนมแม่ ที่เรียกว่า ระบบอะโพรไคน์ ทำให้มีสารอาหารจากธรรมชาติในปริมาณที่สูง เรียกว่า Bioactive component และโปรตีน CPP หรือ Casein Phosphopeptides ซึ่งเป็นโปรตีนนุ่ม ย่อยง่าย ร่างกายดูดซึมนำไปใช้ได้อย่างเต็มที่ ทำให้ลูกรักมีน้ำหนักตัวดีนอกจากนี้ยังมีใยอาหารอย่าง Prebiotic ชนิด Oligosaccharide เช่น Inulin และ Oligofructose ซึ่งเป็นใยอาหารที่ไม่ถูกย่อยในกระเพาะอาหาร ช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ชนิดดี จึงช่วยปรับสมดุลของระบบทางเดินอาหาร ทำให้ระบบทางเดินอาหารทำงานได้อย่างเป็นปกติ ร่างกายมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง ผลที่ตามมาคือลูกน้อยมีพัฒนาการที่ดีสมวัย ซึ่งเป็นคุณลักษณะของคนที่มีความมั่นใจในตนเองอย่างแน่นอน

 

 

เก็บยาในตู้เย็น

เก็บยาในตู้เย็น บริเวณไหนปลอดภัย ช่วยลดยาเสื่อมสภาพ

Alternative Textaccount_circle
event
เก็บยาในตู้เย็น
เก็บยาในตู้เย็น

เก็บยาในตู้เย็น ผู้เขียนเคยเห็นแม่เก็บยาไว้ในตู้เย็นตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นเด็ก ตอนนั้นรู้แค่ว่าที่แม่เก็บไว้ในตู้ย็น เพราะต้องการให้ยายืดอายุคงสภาพยาไว้ให้ได้ตลอดการใช้งาน ซึ่งในความเป็นจริงก็ไม่รู้ว่าการเก็บยาไว้ในตู้เย็นนั้นถูกต้อง ปลอดภัยจริงหรือเปล่า ทีมงาน Amarin Baby & Kids วิธีการ เก็บยาในตู้เย็น ที่ถูกต้องมาฝากให้ทุกครอบครัวได้ทราบกันค่ะ

 

เก็บยาในตู้เย็น ใช่ที่ปลอดภัยในการเก็บรักษายาหรือเปล่า?

ส่วนมากแล้วยาที่ทุกครอบครัวมีเก็บไว้ในตู้ยาสามัญประจำบ้านจะเป็นยาพื้นฐานทั่วไป เช่น พาราเซตามอล ยาแก้ปวดหัว ลดไข้ตัวร้อน พลาสเตอร์แผ่นยาปิดแผล ยาใส่แผลสด แอลกอฮอล์ทำความสะอาดแผล ฯลฯ ซึ่งยาเหล่านี้โดยมากแล้วเราจะเก็บกันไว้ในกล่องยา ที่แค่ระวังเรื่องความอับชื้นที่จะเข้าสู่ยา เพราะอาจเกิดเชื้อราในกล่องยาขึ้นได้

Good to know… “ยาทุกตัวควรมีวันหมดอายุของยา  โดยวันหมดอายุของยาจะพิมพ์ด้วยข้อความ “วันหมดอายุ” , “ควรบริโภคก่อน” , “Exp. Date” , “Use before” , “Best by” , “Best before” หรือ “Exp.”  การระบุบางครั้งบอกเป็น วัน/เดือน/ปี ,  เดือน/วัน/ปี หรือ เดือน/ปี  กรณีที่วันหมดอายุบอกเป็น “เดือน/ปี” ให้ใช้ถึงวันสุดท้ายของเดือนนั้น  แต่ยาบางขนานบอกเพียงวันผลิต  ได้แก่ “วันผลิต” หรือ “Mft.  Date”  การกำหนดวันหมดอายุของยากลุ่มนี้ให้นับจากวันผลิตของยา 3 ปี (โดยต้องเก็บในภาชนะบรรจุเดิม และสภาพการเก็บรักษา ตามที่ระบุจากบริษัทเท่านั้น)(1)

อ่านต่อ >> “การเก็บรักษายาที่ถูกวิธี ต้องเก็บอย่างไร?” หน้า 2

 

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

ไร้ฝุ่น สาเหตุภูมิแพ้

ไรฝุ่น สาเหตุภูมิแพ้ อันตรายใกล้ตัวที่มองไม่เห็น!!

Alternative Textaccount_circle
event
ไร้ฝุ่น สาเหตุภูมิแพ้
ไร้ฝุ่น สาเหตุภูมิแพ้

ไรฝุ่น สาเหตุภูมิแพ้ หากจะพูดถึงวายร้ายประจำบ้านที่ก่อให้เกิดการเจ็บป่วยด้วยอาการภูมิแพ้ ก็คงหนีไม่พ้นเจ้าไรฝุ่น ที่อยู่ในชุดเครื่องนอนต่างๆ โดยเฉพาะกับหมอน เตียงนอน ผ้าห่ม ที่เด็กๆ และทุกคนในครอบครัวต้องสัมผัสกันทุกคืน ทีมงาน Amarin Baby & Kids จะพาไปดูหน้าตา และความน่ากลัวของไรฝุ่น ที่เห็นแล้วคุณแม่ต้องรีบทำความสะอาดที่นอนกันด่วนค่ะ

 

ไรฝุ่น สาเหตุภูมิแพ้ – ไรฝุ่นคืออะไร?

ตัวไรฝุ่นหรือไรฝุ่น (Dust Mite) เป็นสัตว์ประเภท  ไร  เช่น ไรฝุ่นบ้าน ไรนก ไรหนู ไรโรงเก็บ(Storage Mite) ฯลฯ ส่วนตัวไรที่เกี่ยวกับโรคภูมิแพ้ คือ ตัวไรฝุ่นบ้าน (House Dust Mite) ที่สามารถพบได้หลายที่ในบ้าน เช่น ในที่นอน หมอน พรม โซฟาที่มีเบาะเป็นผ้า กองขี้ฝุ่น ฯลฯ ซึ่งตัวไรฝุ่นคือสาเหตุของโรคภูมิแพ้

ในประเทศไทยได้มีการสำรวจพบตัวไรฝุ่นในบ้านมากถึง 98 ใน 100 หลังคาเรือน ที่พบปริมาณสูงสุดในห้องนอน และในที่นอนที่ทุกคนต้องนอนสัมผัสกันอยู่ทุกคืน

ที่นอนที่ซื้อมาใหม่ๆ เมื่อใช้ไปได้ประมาณ 4-6 เดือน มีเศษผิวหนังของคนที่นอนลงไปอยู่พอสมควรแล้ว ก็มีไรฝุ่นมากพอที่จะทำให้คนที่แพ้ไรฝุ่นเกิดอาการภูมิแพ้ได้

มีการสำรวจในประเทศไทยพบว่า ร้อยละ 60 ของที่นอนที่ทำการสำรวจมีปริมาณสารก่อภูมิแพ้จากไรฝุ่นสูงกว่า 10 ไมโครกรัม/ฝุ่น 1 กรัม ซึ่งเท่ากับตัวไรฝุ่น 500 ตัว/ฝุ่น 1 กรัม นี่แหละที่ทำให้ทุกคนเกิดมีอาการโรคภูมิแพ้กำเริบได้

นอกจากนี้ยังมีการศึกษาพบว่า ถ้าเด็กที่มีกรรมพันธุ์เป็นโรคภูมิแพ้ และได้รับไรฝุ่นในปริมาณที่กล่าวไว้ข้างต้น ก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสในการหายใจมีเสียงวี้ด (Wheeze) และโอกาสที่จะเป็นโรคหืดสูงกว่าเด็กทั่วไปเกือบ 5 เท่า(1)

อ่านต่อ >> “ตัวไรฝุ่นทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ได้อย่างไร” หน้า 2

 

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

9 ทางแก้ วิธีดับทุกข์ เพราะ..ลูก ด้วยหลักธรรม ได้ผล 100%

event

วิธีดับทุกข์ เพราะ..ลูก พระพุทธองค์ได้ตรัสถึงลูกไว้ในปุตตสูตร (๒๕/๒๕๗) ว่ามีอยู่ ๓ ประเภท คือ อภิชาตบุตร อนุชาตบุตร อวชาตบุตร โดยทรงยกเอาศีล ๕ มาเป็นมาตรวัดไว้ ดังนี้

  • อภิชาตบุตร ลูกที่สูงกว่าตระกูล คือ พ่อแม่ไม่มีศีล ๕ แต่ลูกเป็นผู้มีศีล ๕

  • อนุชาตบุตร ลูกที่เสมอกับตระกูล คือ พ่อแม่มีศีล ๕ และลูกก็เป็นผู้มีศีล ๕ ด้วย

  • อวชาตบุตร ลูกที่ต่ำกว่าตระกูล คือ พ่อแม่มีศีล ๕ แต่ลูกไม่มีศีล ๕

วิธีดับทุกข์ เพราะ..ลูก

ในขัตติยสูตร (๑๕/๑๐) พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า “ลูกคนใดเป็นลูกที่เชื่อฟัง ลูกคนนั้น นับว่าเป็นลูกที่ประเสริฐสุดกว่าลูกทั้งปวง”

โดยนัยพระพุทธวจนะ ที่ได้ยกมากล่าวไว้นี้ เป็นเครื่องแสดงว่า พระพุทธองค์ทรงชี้ให้ดูว่าลูกจะดีหรือชั่ว ที่มีศีล ๕ และการเชื่อฟังพ่อแม่และการกระทำของพ่อแม่ในยุคปัจจุบันเพียงไร พ่อแม่ในยุคปัจจุบันมักมุ่งแต่จะหาเงินไว้ให้ลูก หวังให้ลูกเรียนเก่ง เรียนสูง ทำงานเบา ทำงานมีเกียรติ ได้เงินเดือนสูง ร่ำรวย

ส่วนมากจะไม่สนใจคุณธรรมในตัวของลูกเลย พ่อแม่ส่วนมากในยุคนี้ ต้องผิดหวังน้ำตาตก เป็นโรคประสาท ทั้งที่มีเงินทองเหลือล้น ต้องกับพุทธภาษิต (นันทิสูตร ๑๕/๙) ว่า  “คนมีลูก ย่อมเสียใจเพราะลูกคนมีวัว ก็ย่อมเสียใจเพราะวัวเหมือนกัน”

เพราะลูกในยุคปัจจุบัน พากันเป็น “ลูกบังเกิดเกล้า” กันเป็นส่วนมากเสียแล้ว ต้นเหตุ ก็เกิดจาการ “เลี้ยงลูกไม่ถูกวิธี” นั่นเอง คือมักตามใจลูกในทางผิดๆ เช่น ถนอมลูก ไม่ยอมให้ลูกทำอะไรเลย มีพ่อแม่หรือมีคนรับใช้ทำให้เสร็จ ลูกอยากได้อะไรก็ให้ อยากได้เงินเท่าไหร่ก็ตามใจ ประเคนให้ ตามใจลูกทุกสิ่ง ผลหรือ? ลูกก็เลยกลายเป็นลูกเทวดา ปรารถนาอะไรก็ได้ดั่งใจ กลายเป็นคนเห็นแก่ตัวจัด ใช้เงินเก่งไม่เห็นคุณค่า ของเงินทำอะไรเองก็ไม่เป็น ตีนไม่ติดดิน เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ

>> ทางที่ถูกนั้น ควรมุ่งปลูกฝังคุณธรรม หรือศีลธรรมลงในจิตใจขอลูกที่มีกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่ เมื่อระลึกถึงเขา

แต่ถ้าลูกขาดคุณธรรมแล้ว ถึงจะมีความรู้วิชาชีพสูงก็เอาตัวไม่รอด แม้พ่อแม่จะมีฐานะร่ำรวย ลูกมันก็จะผลาญหมด แต่ถ้าลูกเป็นคนดีถึงฐานะจะยากจน ลูกก็สร้างขึ้นมาได้

ถ้าไม่รับปลูกฝังศีลธรรม ลงในตัวของลูกไว้แต่เล็ก ๆ แล้วโอกาสที่ลูกจะเป็นเด็กดีค่อนข้างยาก และจะยิ่งยากมากขึ้นทุกวัน ทั้งนี้เพราะวิทยาการทางวัตถุ ยิ่งเจริญมากขึ้นเท่าไร จิตใจของคนในโลกก็ยิ่งต่ำลงเห็นแก่ตัวมากขึ้น โหดร้ายมากขึ้น

ต้นเหตุที่สำคัญคือ ทุกคนต้องแข่งขันกันมีวัตถุให้มากขึ้น เพื่อส่งเสริมความสุขทางเนื้อหนัง การเอารัดเอาเปรียบกัน ก็ย่อมจะเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว

พ่อแม่ก็ต้องออกไปหาเงินเพื่อให้พอใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นตามจำนวนพลเมือง โอกาสที่จะเลี้ยงลูกเองแบบเก่าจึงไม่มี สายสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่กับลูก ก็ยิ่งจะห่างไกลออกไปทุกที

ด้วยเหตุนี้ เพื่อนจึงมีความสำคัญ ที่ลูกมักจะให้ความเชื่อถือมากกว่าพ่อแม่ เพราะพ่อแม่ที่ดีส่วนมาก มักจะไม่ตามใจลูกในทางที่ผิด  เมื่อเห็นลูกทำผิด ก็มักจะตักเตือนหรือดุด่า จนถึงเฆี่ยนตี เป็นต้น

ตรงกันข้ามกับเพื่อน มีแต่คำหวาน ตามอกตามใจแม้ในสิ่งที่ผิดๆ ลูกจึงมักจะรักเพื่อนมากกว่าพ่อแม่ คนเราเมื่อรักกันแล้วย่อมจะถนอมน้ำใจกัน ก็มักจะพยายามทำอะไร ๆ ตามที่เพื่อนชอบหรือขอร้อง

จุดมืดหรือจุดสว่างของลูก จึงอยู่ตรงนี้เอง ถ้าคบกับเพื่อนที่ดีก็เป็นบุญตัว ถ้าคบเพื่อชั่ว ก็พาตัวพินาศเสียอนาคต กว่าจะรู้สึกตัวก็หมดโอกาสเสียแล้ว

Must readพ่อแม่รังแกฉัน ผลสำรวจค่านิยมยอดฮิตของพ่อแม่ยุคดิจิตอล

อ่านต่อ >> “สาเหตุที่พ่อแม่เป็นทุกข์เพราะลูก” คลิกหน้า 2

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

เคล็ดลับแม่บ้าน เทคนิคเก็บอาหารให้อยู่นาน คงคุณค่าสูง!

event

สำหรับคุณแม่บ้านทั้งหลาย วิธีการเก็บอาหาร ให้ได้นาน และคงคุณค่าไว้ เป็นเรื่องที่ควรรู้ …เพราะสุขอนามัยภายในครัวเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับการประกอบอาหารที่ดีเพื่อลูกน้อย และทุกคนในครอบครัว ดังนั้นจึงควรเก็บอาหารให้ถูกวิธี เพื่อสุขภาพที่ดีกว่า

หากคุณเป็นแม่บ้านที่นิยมซื้ออาหารสดประเภทผัก ผลไม้ และเนื้อสัตว์ รวมทั้งอาหารอื่นๆ เช่น นมและผลิตภัณฑ์จากนม ไข่ รวมถึงเครื่องดื่มชนิดต่างๆ มาเก็บไว้ในครัว หรือตู้เย็นคราวละมากๆ ก็ควรเลือกเก็บอาหารเหล่านี้ด้วยวิธีที่ถูกต้อง หรือเก็บในตู้เย็นบนช่องที่มีอุณหภูมิเหมาะสมกับอาหารประเภทนั้นๆ และควรจะเก็บไว้ในระยะเวลาที่เหมาะสม เพื่อช่วยรักษาอาหารให้สดใหม่ไม่เน่าเสีย อีกทั้งยังคงคุณค่าวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ ไว้ได้ โดยมีวิธีง่ายๆ ตามนี้

สุดยอดเคล็ดลับ วิธีการเก็บอาหาร ให้ได้นาน

วิธีการเก็บอาหาร ให้ได้นาน

#หมวดผัก

วิธีเก็บผักให้นานขึ้น

เมื่อเวลาที่คุณแม่ล้างผัก อย่างเช่น ผักกาดหอม ต้นหอม หรือ ขึ้นฉ่าย เสร็จแล้ว ให้ วางผักเหล่านั้นลงบนกระดาษเช็ดมือชนิดแผ่นใหญ่ แล้ว ห่อผักนำไปแช่ตู้เย็น จะช่วยเก็บผักไว้ได้นานขึ้น

กะหล่ำปลีเก็บได้นาน

ผักกาดหอม ต้นหอม กะหล่ำปลี สามารถเก็บได้สองอาทิตย์โดยไม่ต้องล้าง ให้นำไปห่อไว้ในผ้าชื้นๆ ใส่ในกล่องพลาสติกแล้วปิดฝานำไปเก็บในตู้เย็น

เก็บรักษามะนาวไว้ใช้ได้นาน

เคล็ดลับแสนง่าย คือ ให้เอาไม้เจาะเข้าไปในลูก แล้วค่อยๆ บีบเอาน้ำมะนาวออกจนพอกับความต้องการ แล้วดึงไม้ออกรู รูนั้นจะปิดตามเดิม คุณยังสามารถเก็บลูกมะนาวไว้ใช้ได้อีกนานหลายวัน ไม่แห้งทิ้งหรือเสียไป
ถ้าอยากเก็บน้ำมะนาวให้คงทน ให้บีบน้ำมะนาวลงในกล่องเนยแข็งที่ใช้แล้ว ปิดฝา เก็บไว้ในตู้แช่แข็ง เมื่อนำน้ำมะนาวมาใช้ จะมีรสชาติเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

หรืออีกวิธีก็คือ คั้นมะนาวเอาแต่น้ำนะคะ เมื่อได้แล้วก็นำใส่ภาชนะที่มีฝาปิดสนิท แล้วเก็บไว้ในช่องแช่เย็น ส่วนวิธีที่สอง คือให้นำมะนาวเป็นลูกๆ นี่ละ ไปฝังไว้ในทรายชื้น เพียงเท่านี้คุณก็จะมีน้ำมะนาวที่เก็บไว้ใช้ได้นานเท่านาน

เก็บรักษากระเทียมให้อยู่ได้นาน

เก็บกระเทียมให้มีอายุใช้ทนนาน ให้แกะเป็นกลีบแล้วเลือกกระเทียมที่ดีใส่กล่องปิดฝา เอาเก็บไว้ในตู้เย็นช่องแช่แข็ง เมื่อเวลาจะใช้จึงค่อยหยิบออกมาตามต้องการ

เก็บรักษาฟักทอง

ฟักทองลูกใหญ่ๆที่ซื้อมา หากแบ่งรับประทานไม่หมดในครั้งเดียว จะทิ้งก็เสียดาย จริงๆแล้วมีวิธีเก็บฟักทองไม่ให้เน่าเสียไว อีกทั้งเป็นการป้องกันแมลงวัน แมลงหวี่ต่างๆที่จะมารุมตอม เพียงแต่คุณนำ ปูนแดงมาทาบริเวณที่ตัดออก ปูนแดงก็จะทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันแมลงและเชื้อโรคที่จะกัดกินให้ฟักทองเน่าและเสียไว

เก็บรักษาพริกไทยสด หอมสด

ถ้าซื้อ พริกไทยสด หอมสด พริกสด ไว้ตอนที่มีราคาถูก จะช่วยประหยัดได้มากทีเดียว เวลาจะเก็บก็ให้นำมาล้างแล้วตัดเป็นช่อๆ ใส่ถุงพลาสติกจนเต็ม แล้วปิดปากถุงให้แน่นสนิท นำไปแช่ช่องแข็ง เมื่อต้องการจะใช้ก็เปิดปากถุงแบ่งออกมาใช้ได้ทันทีค่ะ

วิธีเก็บรักษาต้นหอมซอย

นำต้นหอมที่เหลือจากการทำอาหาร นำไปผึ่งให้แห้งก่อน เก็บไว้ในขวดพลาสติก จากนั้นจึงนำไปแช่ในช่องแช่แข็ง ช่วยให้เก็บได้นานมากขึ้น

วิธีเก็บรักษาพริกสด

พริกสดสามารถเก็บไว้ใช้นาน  ให้เลือกพริกที่เน่าออกเสีย เด็ดขั้วพริกทิ้ง จากนั้นให้นำพริกไปล้างให้สะอาด แล้วนำมาผึ่งลมให้แห้ง ห่อด้วยกระดาษหนาๆ เช่น กระดาษถุงสีน้ำตาล หรือห่อด้วยหนังสือพิมพ์หลายๆชั้น แล้วนำไป เก็บไว้ในที่แห้ง พริกจะสดนานได้ถึง 2 สัปดาห์ ค่ะ หรือว่าจะเก็บพริกที่ผึ่งแห้งแล้วใส่กล่องหรือถุง ปิดฝาให้สนิท แล้วนำไปแช่ตู้เย็น จะเก็บได้นานถึง 1 เดือน ทีเดียวค่ะ

วิธีเก็บพริกขี้หนูได้นาน

วิธีนี้เป็นแบบ ดองน้ำปลา ดองโดยเด็ดก้านพริกออกวางไว้ในตะแกรง ต้มน้ำเดือด เทน้ำร้อนราด ปล่อยให้แห้ง จัดใส่ขวด ต้มน้ำปลาให้เดือด พออุ่นเทน้ำปลาลงในขวดพริก วิธีนี้เก็บไว้ได้นานเป็นเดือน รสชาติของน้ำปลาพริกดองจะหอมและมีความเผ็ดอร่อย นอกจากนี้ใช้ใส่ในต้มยำ ต้มข่าได้อร่อยไม่แพ้ พริกสดเลยทีเดียวค่ะ

เก็บหน่อไม้ฝรั่งให้ใช้ได้นาน

การเก็บหน่อไม้ฝรั่งให้อยู่ได้นานและสดเสมอ ให้แช่ไว้ในภาชนะที่มีน้ำ เอาถุงพลาสติกครอบส่วนบน แล้วเก็บไว้ในตู้เย็นค่ะ

อ่านต่อ >> สุดยอดเคล็ดลับ วิธีการเก็บอาหารให้ได้นาน (หมวดผัก/ผลไม้)” คลิกหน้า 2

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

สถานการณ์ไข้หวัดใหญ่ 2560 มีเด็กเสียชีวิตแล้ว!

Alternative Textaccount_circle
event

รายงานข่าวแจ้งว่า ผู้อำนวยการสำนักอนามัย (สนอ.) ได้มีหนังสือถึงสถานพยาบาลของกรุงเทพมหานคร (กทม.) ขอความร่วมมือเร่งรัดมาตรการเตรียมความพร้อมสำหรับ สถานการณ์ไข้หวัดใหญ่ 2560 เนื่องจากขณะนี้เป็นช่วงที่เข้าสู่ช่วงฤดูกาลระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่และโรคไข้หวัดนก จนถึงประมาณเดือน มี.ค.

สถานการณ์ไข้หวัดใหญ่ 2560

เมื่อวันที่ 28 มกราคม ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผู้อำนวยการศูนย์โรคติดเชื้อ โรคอุบัติใหม่ สภากาชาดไทย และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า จากข้อมูลการเฝ้าระวังการป่วยด้วยโรคไข้หวัดใหญ่ ทั้งไข้หวัดใหญ่ 2009 ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B พบว่านอกจากอาการทั่วไป คือมีไข้ ไอ จาม น้ำมูกไหล อ่อนเพลีย หรือหากถึงขั้นอาการรุนแรงจะมีปอดอักเสบ ปอดบวมซึ่งเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตแล้ว ยังต้องเฝ้าระวังอาการทางสมองที่เหมือนกับภาวะสมองอักเสบจากเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียตัวอื่นๆ ด้วย เพราะเมื่อปี 2557 มีการสอบสวนโรค พบว่าในจำนวนผู้ป่วยกว่า 2,000 ราย ในพื้นที่ จ.นครราชสีมา มีผู้ป่วยเสียชีวิตมากถึง 22 ราย ในจำนวนนี้ที่เกิดจากสาเหตุภาวะปอดอักเสบ 21 ราย และมี 1 รายเสียชีวิตจากภาวะสมองอักเสบ ซึ่งเป็นวัยรุ่นอายุราว 14-15 ปี

“ล่าสุดเมื่อวันที่ 15 มกราคมที่ผ่านมา มีเด็กเป็นพี่น้องกัน 2 คนในจังหวัดหนึ่งทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์บีและมีภาวะสมองอักเสบ ซึ่งต่อมาเมื่อวันที่ 26 มกราคม เด็กเสียชีวิต 1 คน ส่วนอีกคนต้องย้ายไปรักษาในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งที่ศักยภาพสูงกว่า แต่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่รู้สึกตัว อย่างไรก็ตาม ภาวะสมองอักเสบจากไข้หวัดใหญ่นั้นสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกวัย ไม่เฉพาะเด็กเท่านั้น เพราะเมื่อปี 2559 ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ได้ทำการรักษาผู้ใหญ่ที่ป่วยด้วยโรคสมองอักเสบจากไข้หวัดใหญ่มาแล้ว แต่โชคดีที่รักษาได้ทัน”

ศ.นพ.ธีระวัฒน์กล่าวอีกว่า สิ่งสำคัญในขณะนี้คือ อยากให้แพทย์ที่ทำการรักษาผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่นึกถึงโรคทางสมองไว้ด้วย เพื่อจะได้ทำการรักษาผู้ป่วยได้อย่างทันท่วงที อย่าดูแค่โรคระบบทางเดินหายใจอย่างเดียวเหมือนที่ผ่านมา สำหรับประชาชนเองนั้น แนะนำหลักการปฏิบัติตัวเช่นเดิมคือ หากมีไข้ ไอ จาม ขอให้สวมหน้ากากอนามัย และหลีกเลี่ยงการไปในที่ชุมชนเพื่อป้องการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น

——————–

ต่อมาเมื่อวันที่ 30 มกราคม ที่กรมควบคุมโรค (คร.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นพ.เจษฎา โชคดำรงสุข อธิบดีกรมควบคุมโรค ได้ประชุมศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน ( EOC) ร่วมกับผู้บริหารกรมฯ โดยหารือประเด็น สถานการณ์ไข้หวัดใหญ่ 2560 ซึ่งภายหลังการประชุมได้จัดทำเป็นข้อมูลเผยแพร่ ดังนี้

สถานการณ์ไข้หวัดใหญ่ ตั้งแต่ต้นปี จนถึงวันที่ 22 มกราคม 2560 พบผู้ป่วย 3,125 ราย ยังไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่ อายุที่พบมากที่สุดคือ ช่วงอายุ 25-34 ปี รองลงมาคือ อายุ 35- 44 ปี และอายุ 15-24 ปี ตามลำดับ

ขณะที่จังหวัดที่มีอัตราป่วยสูงสุด 5 อันดับแรกคือ ลำพูน เชียงใหม่ สุราษฎร์ธานี อุตรดิตถ์ และพิษณุโลก

โดยสายพันธุ์ที่พบบ่อยคือ Influenza A (subtype H1N1), Influenza A (subtype H3N2) และ Influenza B

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

อ่านต่อ>> ไข้หวัดใหญ่ระบาด สาธิตจุฬาฯ แจ้งปิดการเรียนการสอน คลิกหน้า 2

แม่สะดุดกระโปรง

แม่สะดุดกระโปรง ทำลูกหลุดมือตกบันไดเลื่อน

Alternative Textaccount_circle
event
แม่สะดุดกระโปรง
แม่สะดุดกระโปรง

สื่อจากต่างประเทศ ได้เผยแพร่คลิปเหตุการณ์ เพื่อเป็นอุทาหรณ์เตือนใจ ถึงอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นได้ เมื่อ แม่สะดุดกระโปรง ขณะที่กำลังอุ้มลูกเอาไว้ ทำให้พลาดทำลูกน้อยหลุดมือ ตกบันไดเลื่อน 4 ชั้น เสียชีวิตกลางห้างสรรพสินค้าเมืองอันดียอน ทางตะวันออกของอุซเบกิสถาน

(more…)

วัคซีน IPD วัคซีนทางเลือกที่จำเป็นต้องให้ลูกฉีด ป้องกันดีกว่ารักษา

Alternative Textaccount_circle
event

ไอพีดี คือโรคติดเชื้อชนิดรุนแรง ซึ่งเกิดจากแบคทีเรีย ที่มีชื่อว่า นิวโมคอคคัส สามารถทำให้เกิดการติดเชื้อในกระแสเลือด เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ปอดอักเสบรุนแรง ไปจนถึงทำให้พิการ และเสียชีวิตได้ คุณพ่อ คุณแม่จึงควรศึกษาวิธีการป้องกัน เช่น การฉีด วัคซีน IPD ดีกว่าการรักษา

(more…)

แม่ท้องขับรถ

จริงหรือไม่? ขับรถบ่อยเสี่ยงคลอดก่อนกำหนด

Alternative Textaccount_circle
event
แม่ท้องขับรถ
แม่ท้องขับรถ

จากประสบการณ์ของคุณแม่ ที่ออกมาแชร์เพื่อเป็นกรณีศึกษาให้กับคุณแม่คนอื่นๆ เมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์ได้ 34 สัปดาห์ แม่ท้องขับรถ ทุกๆ วัน คุณแม่จะขับรถวันละหลายรอบ เพราะคิดว่าคงไม่เป็นอะไร จนมาถึงวันที่ 31 มกราคมที่ผ่านมา ประมาณ 6 โมงเช้า เหตุการณ์นี้จึงเกิดขึ้น

(more…)

ทารกมองเห็นตอนไหน

นี่คือสายตาของเด็กทารกที่มองเห็นพ่อแม่ในแต่ละเดือน จนถึงอายุ 1 ขวบ

event
ทารกมองเห็นตอนไหน
ทารกมองเห็นตอนไหน

ทารกมองเห็นตอนไหน …เด็กแรกเกิดจะเริ่มใช้สายตาตั้งแต่สัปดาห์แรกที่เกิดมา การช่วยฝึกสายตาและการมองให้ลูกจะช่วยพัฒนาการลูกได้มากทีเดียว การมองไม่เหมือนกับการได้ยิน ซึ่งทารกเริ่มใช้ได้ตั้งแต่อยู่ในท้อง


เคยสงสัยไหมคะว่าเด็กทารกแรกเกิดเขาสามารถมองเห็นได้ไกลแค่ไหน และเด็กทารกชอบมองอะไรเป็นพิเศษ วันนี้เรามีผลการวิจัยที่จะบอกได้ว่า เด็กทารกแรกเกิดนั้นสามารถมองเห็นได้แค่ไหน และพวกเขาชอบมองอะไรค่ะ

เด็กทารกชอบมองอะไรมากที่สุด

โดยธรรมชาติของเด็กแล้ว ใบหน้าของแม่คือสิ่งที่เด็กทุกคนชอบมองมากที่สุด เพราะเคลื่อนไหวไปมาได้ เป็นของเล่นของลูกได้ทุกเมื่อ แต่คุณแม่คงจะเหนื่อยถ้าจะต้องเล่นกับลูกตลอดเวลา มาหาผู้ช่วยกันดีกว่าค่ะ

ทารกมองเห็นตอนไหน

นอกจากหน้าพ่อแม่แล้ว ลูกจะชอบมองสิ่งของที่มีรูปทรงซับซ้อนและมีสีสันสะดุดตา คุณพ่อคุณแม่อาจทดสอบสิ่งนี้ได้ด้วยการนำเอาสิ่งของที่แตกต่างกัน 2 แบบ อย่างแรกเป็นสิ่งของที่มีสีสันธรรมดา อีกแบบเป็นลวดลาย สีสดใส คุณจะเห็นว่าลูกจะมองสิ่งหลังมากกว่าค่ะ เพราะสะดุดตากว่านั่นเอง

Must readโมบายสีขาว ดำ แดง กระตุ้นสมอง การมอง และสมาธิ ให้ลูกน้อย
Must readแม่ท้องฟังเพลง คลาสสิค-โมสาร์ท ช่วยให้ทารกฉลาดขึ้นจริงหรือ?
Must readพัฒนาการของทารกในครรภ์ ตั้งแต่ปฏิสนธิ จนกระทั่งเกิด (มีคลิป)

มีผลการวิจัยจาก Dr. Robert Fantz นักวิจัยด้านพฤติกรรมทารก ท่านได้ศึกษาเรื่องเด็กทารกชอบมองอะไรและได้ทดสอบจนได้ผลที่น่าสนใจดังนี้

  • เด็กทารกชอบมองใบหน้าของพ่อแม่ที่แสดงออกถึงความรัก ความอ่อนโยน เพราะเวลาที่เด็กทารกมองนั้น เด็กจะมองจ้องที่ดวงตาของพ่อและแม่ เพราะรอยยิ้มและแววตาที่อ่อนโยนของพ่อแม่นั้นสร้างความอบอุ่นใจให้กับทารก
  • เด็กทารกชอบมองวัตถุที่เคลื่อนไหวมากกว่าวัตถุที่อยู่นิ่งๆ
  • เด็กทารกชอบมองวัตถุที่มีสีตัดกันชัดเจน เช่น สีดำตัดกับสีขาว
  • เด็กทารกชอบมองวัตถุ 3 มิติมากกว่า 2 มิติ

ทารกมองเห็นตอนไหน
และนี่คือสายตาของเด็กทารกที่มองเห็นพ่อแม่ในแต่ละเดือน

เด็กทารกในช่วงขวบปีแรก จะมองเห็นสิ่งต่างๆ ไม่เหมือนกับที่ผู้ใหญ่เห็น แต่เมื่อเริ่มอายุเดือนมากขึ้น หนูน้อยก็จะมีสายตาที่คมชัดมากขึ้นตามลำดับ จนกระทั่งเห็นพวกเราได้อย่างชัดเจนตอนอายุครบ 1 ปี

โดยหลังจากที่ทารกได้คลอดออกมาแล้ว โดยปกติเด็กทารกจะสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ในระยะ 1 ฟุต และสามารถจ้องมองสิ่งต่างๆ ค้างได้นานประมาณ 4-10 วินาที

ทารกแรกเกิดสามารถจดจำหน้าพ่อแม่ได้ภายใน 4 วันหลังคลอด พออายุ 1 เดือน เด็กทารกจะสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้ในระยะ 15 นิ้ว ซึ่งการพัฒนาของการมองเห็นของลูกนั้นจะสามารถลำดับขั้นได้ดังนี้…

ระบบการมองเห็นและเทคนิคกระตุ้นการมองเห็นของลูกแต่ละช่วงวัย

โรเมช แอนกูนาเวลา ที่ปรึกษาด้านการผ่าตัดสายตาจากโรงพยาบาลตามัวร์ฟิลด์ ในลอนดอนได้จับมือกับคลินิกสายตา Clinic Compare ทำภาพเปรียบเทียบ พัฒนาการการมองเห็นของเด็กทารกทุกๆ เดือน ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 1 ขวบ แล้วคุณจะรู้ว่า เด็กทารกมองเห็นโลกเป็นอย่างไรในแต่ละเดือน

ทารกมองเห็นตอนไหน
แรกเกิด – เด็กจะมองแทบไม่เห็นอะไรเลย ระยะโฟกัสของเด็กจะอยู่แค่ 8-10 ซม. เท่านั้น

2-3 วันแรก

เด็กจะยังไม่มอง ไม่มีโฟกัส คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องตกใจไปเพราะ 2-3 วันแรกเด็กจะยังโฟกัสไม่ได้ เมื่อมองหน้าแม่ก็จะเห็นเป็นแบบลาง ๆ เท่านั้นเอง ส่วนใหญ่ในประเทศที่พัฒนาแล้วจะมีการตรวจตาเด็กตั้งแต่วันแรกที่เด็กคลอดออกมา เพราะจริง ๆ แล้วเราสามารถตรวจพบภาวะต้อกระจกได้ตั้งแต่แรกเกิด ซึ่งถ้าต้อกระจกนี้เกิดขึ้นในเด็กแล้วจะส่งผลให้เด็กเกิดภาวะตาเหล่ ตาสั่น (ตาไม่อยู่นิ่ง สั่นตลอดเวลา) ภาวะตาขี้เกียจ หรือพัฒนาไปเป็นต้อหินได้

สัปดาห์แรก

มีระยะโฟกัสของเด็กจะอยู่แค่ 8-10 ลูกจะมองเห็นเป็นสีเทา ๆ เห็นหน้าแม่ราง ๆ เราพบว่าถ้าแม่เลี้ยงลูกด้วยการให้นมแม่ ให้นมทางซ้ายบ้างทางขวาบ้าง โดยที่แม่ไม่ได้เปลี่ยนทรงผมมาก เด็กจะจำหน้าแม่ได้เร็ว แล้วสิ่งนั้นจะส่งผลต่อพัฒนาการของลูกเป้นอย่างมามาก แล้วด้วยความที่เด็กยังมองเห็นไม่ชัด เป็นแค่โครงร่างสีเทา ๆ เมื่อเด็กเห็นโครงหน้าแม่แบบเดิม ๆ เขาก็จะจำได้ แล้วเมื่อมีคนอื่นที่ไม่ใช่แม่มาอุ้มเขาก็จะรู้ว่านี่ไม่ใช่แม่

  • กระตุ้นพัฒนาการลูก วิธีที่จะช่วยกระตุ้นการมองเห็นเมื่อแรกเกิดที่ดีคือแม่ควรเป็นคนเลี้ยงลูกด้วยตัวเอง แล้วก็เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ไม่ควรเปลี่ยนทรงผมบ่อย ควรทำทรงผมทรงเดิม ลูกจะจดจำได้ง่ายขึ้น
Must readafter birth 8 อาการลูกแรกเกิด แม่ (ไม่ต้อง) กังวล
ทารกมองเห็นตอนไหน
1 เดือน – เด็กจะเห็นเป็นสีขาวดำ สายตาของเด็กยังไม่สามารถโฟกัสได้

1 เดือน

ในช่วง 1 เดือนแรกลูกอาจมีอาการตาเหล่ได้นิดหน่อย ทั้งตาเหล่เข้าในและออกนอก แต่ภาวะนี้จะหายไปเองเมื่ออายุ 2- 3 เดือน ยกเว้นว่าเหล่แบบที่ตาดำหายไปเลย อาการนี้ต้องรีบพาไปพบแพทย์ โดยสิ่งที่ลูกมองเห็นจะเป็นภาพสีขาวดำ และสายตาของเด็กยังไม่สามารถโฟกัสได้

  • กระตุ้นพัฒนาการลูก ควรตกแต่งห้องด้วยสีสว่าง ๆ แขวนปลาตะเพียนหรือโมบายที่เป็นสีสันสดใส โดยเฉพาะสีแดง สีส้ม สีเหลือง สีเขียว ซี่งเด็กจะสามารถมองเห็นได้ดี ให้ขยับไปขยับมาในระยะประมาณ 1 ฟุต จะเป็นการกระตุ้นการมองเห็นของเด็กได้
ทารกมองเห็นตอนไหน
2 เดือน – ภาพที่เห็นยังคงเป็นโทนขาวดำอยู่ แต่เริ่มชัดขึ้น
ทารกมองเห็นตอนไหน
3 เดือน – มองเห็นสีสันมากขึ้น และโฟกัสใบหน้าพ่อแม่ได้ หากเข้ามาใกล้ๆ

2-3 เดือน

จากภาพที่เห็นราง ๆ ก็จะเริ่มมองเห็นได้ดีขึ้น เริ่มเป็นรูปร่าง เริ่มกลอกตาซ้ายขวาได้ การมองเห็นก็จะเริ่มดีขึ้น ในช่วงวัยนี้เด็กควรจะมองหน้าแม่แล้ว พอแม่ยิ้มเขาควรจะยิ้มตอบ ภาวะตาเหล่นิดหน่อยที่เห็นในช่วงเดือนแรกควรจะหายไป ตาควรจะอยู่ตรงกลาง ไม่ควรมีอาการตาสั่น เพราะถ้ายังสั่นน่าจะมีพยาธิสภาพเกิดขึ้น อาจเกิดจากลูกตาหรือระบบประสาท ถ้ายังมีอาการอยู่ควรพาไปพบแพทย์

  • กระตุ้นพัฒนาการลูก ควรหาวัสดุใหม่ ๆ เข้ามาแต่งห้องให้มีสีสันเพิ่มมากขึ้น คุณแม่ควรจะพูดกับลูก เวลาเราเดินไปรอบ ๆ ห้องควรพูดกับเขาด้วย เพื่อฝึกเด็กในเรื่องการได้ยินและการมองตามคุณแม่
Must readจุดบอบบางของลูก ที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ
Must readไขข้อสงสัย! ทารกแรกเกิดควรมีน้ำหนักเท่าไหร่?

อ่านต่อ >> นี่คือสายตาของเด็กทารกที่มองเห็นพ่อแม่ในเดือนที่ 4-6” คลิกหน้า 2

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

สุดยอด 5 แกงไทย! ลดความเสี่ยงโรคมะเร็งได้ เพื่อสุขภาพที่ดีของทุกคนในครอบครัว

event

อาหาร ต้านมะเร็ง …นี่คือสุดยอด “5 แกงไทย” ที่ฆ่าเซลล์มะเร็งได้ แต่ละเมนูทำไม่ยาก และเป็นแกงแบบไทยๆ อร่อยเต็มไปด้วยคุณประโยชน์ ให้คุณแม่บ้านทำให้คนในครอบครัวทาน เพื่อสุขภาพที่ดีของทุกคนในบ้าน

สุดยอด  5 แกงไทย อาหาร ต้านมะเร็ง

ขึ้นชื่อว่า”แกงไทย” หลายคนก็คงติดใจ ทั้งรสชาติที่อร่อยถึงใจ ถูกปากคนไทย และงานวิจัยของ รศ.ดร.สมศรี เจริญเกียรติกุล อาจารย์ประจำฝ่ายเคมีทางอาหาร สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล จะทำให้เรารู้ว่า “แกงไทย” ยังมีประโยชน์ในด้านการลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งได้จริง เมื่อน้ำแกงจากแกงไทยยอดนิยม เช่น แกงเลียง แกงป่า แกงเหลือง แกงส้ม และต้มยำ ซึ่งเป็นอาหารที่ไม่ทำลายเซลล์ดี และไม่ได้รักษา แนะต้องกินหลากหลาย ไม่ซ้ำซากในทุกวัน

Must readสัญญาณเตือนโรคมะเร็งในเด็กที่พ่อแม่ควรรู้

อาหาร ต้านมะเร็ง

ได้ทดลองในห้องปฏิบัติการด้วยการนำพริกแกงและส่วนผสมในการทำอาหารแกงทั้ง 5 ชนิดในรูปของน้ำแกง มาทดลองกับเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวในจานเพาะเชื้อ เพื่อดูว่าเซลล์มะเร็งตายมากน้อยแค่ไหน  โดยทำการทดลองในเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว เปรียบเทียบกับการเลี้ยงเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวตามปกติ และการให้ยาเคมีบำบัด เพื่อดูว่ามีเซลล์มะเร็งรอดชีวิตกี่เปอร์เซ็นต์ ตายกี่เปอร์เซ็นต์ และการตายของเซลล์มะเร็งนั้นเป็นการตายแบบธรรมชาติ คือ ค่อย ๆ ฝ่อ แบบค่อยเป็นค่อยไป หรือเซลล์ตายแบบไม่เป็นธรรมชาติ คือ เซลล์บวมแตก ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเซลล์โดยรอบด้วย

เนื่องจากลักษณะการตายของเซลล์มะเร็งเป็นแบบบวมแตกและกระจายไปอวัยวะอื่นได้ ผลการทดลองพบว่า

  • เซลล์มะเร็งที่ได้รับแกงป่า สามารถฆ่าเซลล์มะเร็งให้ตายแบบธรรมชาติร้อยละ 38.82 และร้อยละ 43.93 ตายแบบผิดธรรมชาติ คืออาจลุกลามไปเซลล์ดีอื่นๆ
  • ส่วนแกงส้ม เซลล์มะเร็งรอดตายได้ร้อยละ 29.08 และฆ่าเซลล์มะเร็งตายแบบไม่ลุกลามไปเซลล์อื่นถึงร้อยละ 43.59 แต่ในทางกลับกันมีเซลล์ที่ตายถึงร้อยละ 27.33 อาจกระจายไปเซลล์อื่นได้
  • ส่วนแกงเหลืองพบว่า ตายตามธรรมชาติร้อยละ 22 เซลล์ตายผิดธรรมชาติถึงร้อยละ 46.13
  • ส่วนแกงเลียงพบว่า ฆ่าเซลล์มะเร็งให้ตายโดยไม่กระทบเซลล์อื่นๆ ร้อยละ 38.98 มีเพียงร้อยละ 3.78 เท่านั้นที่เซลล์ตายแบบกระจาย

อย่างไรก็ตาม จากผลการทดลองทำให้อาจมองว่า แกงส้ม สามารถฆ่าเซลล์มะเร็งได้มากที่สุดถึงร้อยละ 43.59 แต่หากพิจารณาดีๆ จะพบว่าตัวเลขฆ่าเซลล์มะเร็งแบบผิดธรรมชาติที่อาจลุกลามไปถูกเซลล์ดีอื่นๆในแกงส้มก็สูงเช่นกัน

แต่หากเป็น แกงเลียง จะพบว่า แม้การฆ่าเซลล์มะเร็งจะน้อยกว่า คือ ร้อยละ 38.98 แต่การลุกลามไปเซลล์ดีอื่นๆน้อยกว่ามาก โดยหลักส่วนผสมของแกงเลียงก็จะมี หอมแดง พริกไทย กะปิ ซึ่งหอมแดงมีประโยชน์มาก เพราะมีสารฟลาโวนอยด์ (flavonoid)สารพฤกษเคมี มีคุณสมบัติทำลายสิ่งผิดปกติ พวกอนุมูลอิสระ สารอักเสบที่เป็นบ่อเกิดการเกิดมะเร็งได้ แต่ไม่ได้หมายความว่า ควรบริโภคแกงเลียงมากกว่าแกงอื่นๆ เพราะ แกงทั้ง 4 ชนิดมีประโยชน์ในแง่ต้านการเกิดมะเร็งได้ ไม่ได้รักษา สิ่งสำคัญคือ ต้องกินอย่างหลากหลาย ไม่ซ้ำซากในทุกวัน

Must readแนะนำเมนูสำหรับคุณแม่หลังคลอด ลดอาการเจ็บปวด+ฟื้นฟูร่างกาย+กระตุ้นน้ำนม

อ่านต่อ >> “นักโภชนาการเผยผลวิจัย สุดยอด  5 แกงไทย อาหารต้านมะเร็งได้” คลิกหน้า 2

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

ครรภ์ไข่ปลาอุก

ครรภ์ไข่ปลาอุก สาเหตุเกิดจากอะไร อันตรายหรือไม่?

Alternative Textaccount_circle
event
ครรภ์ไข่ปลาอุก
ครรภ์ไข่ปลาอุก

ครรภ์ไข่ปลาอุก มีคำถามจากคุณแม่ผู้อ่านทางเว็บไซต์ ได้เข้ามาแชร์ข้อมูลของตัวเองเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพครรภ์เนื่องจากมีการตั้งครรภ์ในลักษณะที่เรียกว่า การตั้งครรภ์ไข่ปลาอุก จนต้องยุติการตั้งครรภ์ครั้งนี้ลง เพราะมีภาวะแท้งเกิดขึ้น ทางทีมงาน Amarin Baby & Kids มีข้อมูลที่น่าสนใจมาให้ได้ทราบกันค่ะ

 

ครรภ์ไข่ปลาอุก เกิดจากสาเหตุใด?

การครรภ์ไข่ปลาอุก (Molar pregnancy) เป็นการตั้งครรภ์ที่รกมีลักษณะเป็นถุงน้ำใสๆ อยู่ติดกันเป็นพวงคล้ายกับไข่ปลา หรือพวงองุ่น ที่มาจากเนื้องอกของเนื้อรกชนิดหนึ่งที่แบ่งตัวมากผิดปกติ มีสาเหตุจากการปฏิสนธิระหว่างไข่กับเชื้ออสุจิที่มีโครโมโซมผิดปกติ ทำให้ไม่สามารถเจริญไปเป็นตัวอ่อนที่จะพัฒนาการเป็นทารกต่อไปได้ ทำให้เกิดเป็นถุงน้ำเล็กๆ จำนวนมากมาย

สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์รายนี้ที่เกิดปัญหาแทรกซ้อนของการตั้งครรภ์ที่เรียกว่า ตั้งครรภ์ไข่ปลาอุก ลักษณะอาการเริ่มต้นจะเหมือนกับการตั้งครรภ์ปกติทุกอย่าง คือ ประจำเดือนขาด คลื่นไส้ อาเจียน เหนื่อยง่าย ปัสสาวะบ่อย ฯลฯ แต่เมื่อการตั้งครรภ์ดำเนินต่อไปสักพัก จะเริ่มมีเลือดสีน้ำตาลออกทางช่องคลอด และเมื่อตรวจอัลตราซาวนด์ดู จะไม่พบตัวทารก แต่จะพบเพียงรกที่เสื่อมสภาพ มีลักษณะเป็นถุงน้ำขนาดเล็ก

อ่านต่อ >> “อาการแสดงของการตั้งครรภ์ไข่ปลาอุก” หน้า 2

 

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

มะเร็งเต้านม คร่าชีวิต นุ๊กซี่

อาลัย “นุ๊กซี่” มะเร็งเต้านม คร่าชีวิต!! รู้เร็ว หายได้

Alternative Textaccount_circle
event
มะเร็งเต้านม คร่าชีวิต นุ๊กซี่
มะเร็งเต้านม คร่าชีวิต นุ๊กซี่

ขอร่วมไว้อาลัย นุ๊กซี่ อัญพัชญ์ ที่จากไปด้วย มะเร็งเต้านม กับการต่อสู้อย่างเข้มแข็งมาย้อนฟังคำเตือนที่เธอมีให้ผู้หญิงทุกคนหมั่นตรวจเต้านม เพื่อรู้ไวรักษาทัน

อาลัย “นุ๊กซี่” มะเร็งเต้านม คร่าชีวิต!! รู้เร็ว หายได้

 

ขอขอบคุณ AmarinTV

มะเร็งเต้านม ขึ้นชื่อว่ามะเร็งพอได้ยินก็กลัวกันทั้งนั้น แต่สาวสวยที่ทั้งเก่ง และแกร่งแบบสุด ๆ สำหรับ นุ๊กซี่-อัญพัชญ์ วัฒนาตันติรัตน์ เซ็กซี่สตาร์ทรงโต หวานใจของ ปู-อานนท์ สายแสงจันทร์ หรือ ปู แบล็กเฮด ก็ยังคงต่อสู้กับโรคร้าย ด้วยความเข้มแข็ง พร้อมทั้งให้ความรู้แก่แฟนคลับไปด้วย หนึ่งในคำถามที่มักมีคนถามถึงอยู่เสมอ คือ“อยากทราบว่ามะเร็งเต้านมมันมาจากการเสริมหน้าอกด้วยหรือเปล่า แอบกลัว กำลังตัดสินใจเสริมหน้าอก”

ซึ่งนุ๊กซี่ อัญพัชญ์ ก็ได้ตอบคำถามอย่างชัดเจน เพื่อให้กับทุกคนคลายความสงสัยว่า “ไม่เกี่ยวกับเสริมเลยค่ะ จุดที่เป็นมะเร็งคือส่วนเนื้อนม ส่วนซิลิโคนอยู่ใต้กล้ามเนื้อค่ะ อันนี้คุณหมอบอกมาว่าการเสริมหรือไม่เสริมมีความเสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านมได้เหมือนกันค่ะ นุ๊กมีคลิปเก่าๆ ที่ลงอยู่ไปหาดูได้นะคะ”

ถึงแม้ว่าวันนี้เราจะได้รับข่าวร้าย เมื่อ ปู แบล็คเฮด นักร้องชื่อดัง ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเมื่อเวลา 23.27 น. วันที่ 26 มี.ค. 2565 ด้วยความอาลัยแฟนสาว นุ๊กซี่ อัญพัชญ์ เสียชีวิตแล้ว หลังรักษาตัวด้วยโรคมะเร็งเต้านม ที่โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ แต่ความห่วงใยของคุณนุ๊กซี่ยังคงอยู่ ความรู้ความหวังดีต่าง ๆ ที่น้องได้มอบให้กับผู้หญิงทุกคนยังคงเป็นส่วนช่วยเตือนใจให้เราไม่ละเลยการตรวจเต้านมอยู่เสมอ 

หญิงไทยเราป่วยเป็นโรคมะเร็งเต้านมมากเป็นอันดับ 2 รองจากมะเร็งปากมดลูกแล้ว กระทรวงสาธารณสุขยังยืนยันถึงความน่ากลัวของมะเร็งเต้านมมาอีกว่า มะเร็งเต้านมคือโรคที่คร่าชีวิตหญิงไทยไปมากที่สุดเป็นอันดับ 1 โดยมีอัตราการเสียชีวิตปีละ 3,000 คน เลยทีเดียว และยังพบว่ามีผู้ป่วยมะเร็งเต้านมมากถึง 19 ล้านคนอีกด้วย

BreastCancerAwareness

มะเร็งเต้านม จะรู้ได้ยังไง ว่าเรามีความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งเต้านมมากน้อยแค่ไหน

1. ครอบครัวมีประวัติ เคยเป็นโรคมะเร็งเต้านมมาก่อน

2. ประจำเดือนครั้งแรก มาก่อนอายุ 12 ปี

3. สำหรับคุณแม่ และญาติผู้ใหญ่ ประจำเดือนยังมา หลังอายุ 55 ปี

4. อายุมาก ความเสี่ยงยิ่งมาก

5. ทำงานที่ต้องเกี่ยวข้องกับพวกรังสี สารเคมีอันตราย

6. เคยใช้ฮอร์โมนเพศหญิงเป็นเวลานาน

7. บริโภคอาหารมันๆ หรือเนื้อแดงมาก เป็นโรคอ้วน

8. ดื่มแอลกอฮอล์มาก สูบบุหรี่จัด

9. สุดท้าย หากมีบุตรช้า หรือไม่มีบุตรเลย ก็มีความเสี่ยงเช่นกัน

มะเร็งเต้านม

หากเป็นมะเร็งเต้านม อาการจะเป็นอย่างไร

1. คลำเจอก้อนที่เต้านม หรือรักแร้

2. เต้านมมีขนาดที่เปลี่ยนแปลงไป อาจจะใหญ่ หรือบวมขึ้นอย่างผิดปกติ

3. มีน้ำไหลออกจากหัวนม

4. เจ็บ หรือรู้สึกเหมือนหัวนมถูกดึงรั้ง

5. ผิวเต้านมไม่เรียบ ขรุขระและหยาบเล็กน้อยเหมือนเปลือกส้ม

6. สำหรับผู้ที่มีอาการหนัก อาจจะปวดกระดูก น้ำหนักลด มีแผลที่ผิวหนัง หรือแขนบวมได้

วิธีตรวจหามะเร็งเต้านมเบื้องต้น ด้วยตัวเอง

อาการที่บ่งบอกว่าอาจมีโอกาสเป็นมะเร็ง อันได้แก่ “ระบบขับถ่ายที่เปลี่ยนแปร แผลที่ไม่รู้จักหาย ร่างกายมีก้อนตุ่ม กลุ้มใจเรื่องกินกลืนอาหาร ทวารทั้งหลายมีเลือดไหล ไฝหูดที่เปลี่ยนไป ไอและเสียงแหบจนเรื้อรัง” และยังมี 7 สัญญาณอันตรายของอาการที่บ่งบอกว่ามีโอกาสเป็นมะเร็งเต้านมด้วยเช่นกัน

qq3

  • มีก้อนที่เต้านมหรือที่รักแร้ เป็นอาการยอดนิยมอันดับหนึ่งที่ทำให้ผู้หญิงรีบมาพบแพทย์ ไม่ว่าจะแน่ใจหรือไม่แน่ใจว่าเป็นก้อนเนื้องอกหรือเนื้อเต้านมที่หนาผิดปกติ ควรรีบมาพบแพทย์เพื่อตรวจซ้ำหรือส่งตรวจทางรังสีเพิ่มเติม
  • รูปร่างหรือขนาดของเต้านมที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ต้องหมั่นสังเกตทั้งรูปทรงและขนาดของเต้านมอย่างสม่ำเสมอ และควรเปรียบเทียบในช่วงเวลาเดียวกันของรอบเดือน
  • มีน้ำผิดปกติไหลจากหัวนม ผู้หญิงในวัย 41-58 ปีอาจมีของเหลวที่ออกจากหัวนมทั้งสองข้างได้บ้างจำนวนเล็กน้อย ซึ่งเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนตามรอบเดือน แต่ถ้าออกจากหัวนมข้างเดียวหรือมีสีคล้ายเลือดก็ควรมาพบแพทย์
  • รูปร่างหรือขนาดของหัวนมที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ปกติรูปร่างและขนาดของหัวนมมีโอกาสเปลี่ยนแปลงตามอายุขัยและน้ำหนักตัวที่เพิ่มมากขึ้นได้ แต่ที่ต้องระวังหมั่นสังเกตเป็นพิเศษคือ หัวนมที่เคยปกติกลายเป็นหัวนมบอด อาจเกิดจากมีก้อนเนื้อมะเร็งใต้หัวนม ที่ลุกลามไปที่ท่อน้ำนมและดึงรั้งหัวนมให้บุ๋มลง รวมถึงต้องสังเกตด้วยว่ามีแผลที่หัวนมหรือไม่
  • สีหรือผิวหนังบริเวณลานหัวนมที่เปลี่ยนไปจากเดิม เช่น มีรอยบุ๋ม รอยย่น ผื่นคันที่รักษาแล้วไม่หายขาด เป็นๆ หายๆ ก็มีโอกาสเป็นมะเร็งได้เช่นกัน
  • อาการเจ็บผิดปกติที่เต้านมหรือที่รักแร้ ที่ไม่ใช่อาการเจ็บเต้านมปกติระหว่างมีประจำเดือน โดยเฉพาะเจ็บเต้านมข้างเดียวหรือรักแร้ข้างเดียว
  • ผิวหนังของเต้านมที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ไม่ว่าจะเป็นรอยบุ๋มแบบลักยิ้ม มีรอยย่น ผิวหนังบวมหนาตัวเหมือนผิวของเปลือกส้ม ก็อย่านึกว่าไม่มีอะไร เพราะนั่นเป็นสัญญาณว่าเซลล์มะเร็งได้ลุกลามขึ้นมาที่ชั้นเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
มะเร็งเต้านม
ขอบคุณภาพจาก : www.jeedmak.com

วิธีการป้องกันการเป็นโรคมะเร็งเต้านม

  1. ลดของมัน ของทอด และเนื้อแดง
  2. เลือกรับประทานผัก และผลไม้
  3. ออกกำลังกายเป็นประจำ วันละ 30-45 นาทีเป็นอย่างน้อย
  4. ควบคุมน้ำหนัก ไม่ให้มากจนเกินเกณฑ์
  5. งดแอลกอฮอล์ บุหรี่
  6. หากเป็นไปได้ มีบุตรในช่วงอายุที่เหมาะสม ก็ช่วยลดความเสี่ยงได้เช่นกัน

อย่างไรก็ตามคุณผู้หญิงต้องหมั่นสังเกตหมั่นตรวจเต้านมด้วยตนเองเป็นประจำ หากมีอาการผิดปกติอย่างใดอย่างหนึ่งตามสัญญาณอันตรายทั้ง 7 ประการนี้ ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้ ต้องรีบไปพบแพทย์ตรวจเมื่อมีอาการต้องสงสัยทันที และตรวจแมมโมแกรมประจำปีตั้งแต่อายุ 40 ปีขึ้นไป

อาหารต้านภัยมะเร็งร้าย!!

Superfood

เพราะมีหลายปัจจัยเสี่ยงที่เป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งเต้านม และนั่นรวมถึงการรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสม ดังนั้นเรามาทานอาหารต้านมะเร็งเต้านมที่มีประโยชน์ต่อร่างกายกันดีกว่าค่ะ

  1. ธัญพืชโดยเฉพาะธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ถั่วเมล็ดแห้ง เป็นต้น ช่วยให้ร่างกายได้รับโฟเลทซึ่งสามารถให้ผลดีต่อผู้ป่วยมะเร็งเต้านมได้
  2. เต้าหู้หรือน้ำนมถั่วเหลืองวันละ 1 แก้วสามารถให้ผลดีต่อการป้องกันการเกิดมะเร็งและลดอัตราการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้ แต่ทั้งนี้ต้องไม่รับประทานในปริมาณมากเกิน เพราะการได้รับถั่วเหลืองในปริมาณมากเกิน ก็สามารถส่งผลให้เซลล์มะเร็งเจริญเติบโตขึ้นจากฤทธิ์ที่คล้ายคลึงกับฮอร์โมนเพศหญิงของถั่วเหลืองได้
  3. กระเทียมและหอมมีสารออร์กาโนซัลเฟอร์ซึ่งมีลักษณะเด่นคือ มีกลิ่นฉุน แต่สารกลุ่มนี้มีคุณสมบัติในการป้องกันมะเร็ง โดยเฉพาะกระเทียมป้องกันมะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง อีกทั้งเพิ่มภูมิคุ้มกันลดน้ำตาลในเลือด ต้านการเหนี่ยวนำการเกิดมะเร็งจากสารเคมี ลดการเจริญของเซลล์มะเร็ง และลดคอเรสเตอรอลได้อีกด้วย
  4. พริกมีสรรพคุณทางยาอีก พริกคือ แคปไซซิน ซึ่งช่วยให้เซลล์มะเร็งตายได้ นอกจากพริกแล้วสารแคปไซซินยังพบได้ในพริกไทยอีกด้วย ดังนั้น การรับประทานอาหารที่มีพริกเป็นส่วนประกอบจึงช่วยต้านมะเร็งได้
  5. ขิงและข่าในข่ามีสารเคมีธรรมชาติที่กระตุ้นเอนไซม์กลูตาไธโน-เอส-ทรานสเฟอรเรส ซึ่งมีหน้าที่ในการแอนติออกซิแดนท์ จึงมีส่วนช่วยในการป้องกันมะเร็งได้ ดังนั้น เราควรรับประทานอาหรที่มีข่าขิงซึ่งเป็นพืชในกลุ่มเดียวกับข่าก็ยังช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งได้ เนื่องจากขิงมีสาร 6-จินเจอรอล ซึ่งมีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระ
  6. ขมิ้นและพริกไทยดำสารเคมีธรรมชาติที่พบได้ในขมิ้นและพริกไทยดำ ช่วยยับยั้งการเติบโตของเนื้องอกที่เต้านม
  7. ผลไม้ที่ไม่มีรสหวานจัดและควรเลือกรับประทานผลไม้ที่มีเส้นใยสูง เช่น ฝรั่ง ชมพู่ ผลไม้ที่มีสีแดงสดและมีสีออกแดงหรือสีส้ม ที่สามารถรับประทานได้ทั้งเปลือกเพราะให้สาร flavonoid ลดการเกิดมะเร็งได้
  8. กลุ่มผักมีสีได้แก่ บีทรูท ผักโขม แครอท มะเขือเทศ ยิ่งมีสีเข้มมากย่อมหมายถึงว่ามาสารมีประโยชน์มากขึ้นเท่านั้น สารสีเหล่านี้ได้แก่ ไบโอฟลาวานอยด์ และแคโรทีนอยด์ ซึ่งเป็นสารต้านอนูมูลอิสระที่ช่วยปกป้องร่างกายและยังช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันในการทำลายเซลล์มะเร็งอีกด้วย

    อาหารต้าน มะเร็งเต้านม
    อาหารต้าน มะเร็งเต้านม
  9. กระหล่ำปลีกระหล่ำดอกซึ่งมีสารไฟโตเคมิคัล ที่มีสรรพคุณในการต่อต้านมะเร็งเต้านม โดยการปรับเปลี่ยนฮอร์โมนเอสโตรเจนประเภทที่ส่งเสริมการเกิดโรคมะเร็ง ให้กลายเป็นฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ช่วยป้องกันมะเร็ง
  10. เห็ดการบริโภคเห็ดและสารสกัดจากเห็ด มีคุณสมบัติต่อต้านมะเร็ง และกระตุ้นการตอบสนองของภูมิคุ้มกัน และการวิจัยก็พบอยู่เสมอว่า ชาเขียวก็มีคุณสมบัติต่อต้านมะเร็งเช่นกัน
  11. ชาเขียวในการศึกษาเดียวกันนี้พบว่าเมื่อบริโภคเห็ดร่วมกับชาเขียวจะยิ่งป้องกันมะเร็งได้ดียิ่งขึ้น ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งเต้านม โดยไปลดผลความรุนแรงของมะเร็งลง
  12. พืชผักจากทะเลมีคุณสมบัติช่วยชะลอการเกิดมะเร็งเต้านม เช่น สาหร่ายทะเล

ลองเปลี่ยนอาหารตามใจปาก มาหมั่นรับประทานอาหารต้านมะเร็งเต้านมดูบ้าง ร่างกายจะได้แข็งแรง และควรหลีกเลี่ยงอาหารที่เป็นปัจจัยเสี่ยงสูงสำหรับผู้ป่วยมะเร็งเต้านม คือ ไขมัน น้ำตาล นม อาหารผสมสี ผลไม้รสหวาน เนื้อสัตว์ ของดอง สนับสนุนให้ผู้หญิงทุกคน หมั่นเช็ก เลี่ยงปัจจัยเสี่ยง กินให้ห่างไกลมะเร็งร้าย กันเถอะ


ที่มา: เว็บไซต์คมชัดลึกออนไลน์ โดย นพ.วีรวุฒิ อิ่มสำราญ , health.sanook.com/3225/
ขอขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก กระทรวงสาธารณสุข, BCACampaign.com,siamhealth.net / www.khaosod.co.th

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

สัญญาณมะเร็งเต้านม ก้อนเนื้อที่เต้านมเป็นเพราะอะไร พร้อมวิธีตรวจด้วยตัวเอง

สังเกตสัญญาณเตือนจากเคสจริงโรค คาวาซากิ อันตราย!!

เปลือกตากระตุก ลางบอกโรค!! โรคอะไร ป้องกันอย่างไร

โรคใหลตาย สัญญาณอันตราย ความตายที่ไม่รู้ตัว

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

keyboard_arrow_up