ไส้กรอกมหันตภัย

ไส้กรอกมหันตภัย ติดหลอดลมลูกถึงตาย!!

ไส้กรอกมหันตภัย ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของพ่อแม่กับเรื่องใกล้ตัวเล็กๆ น้อยๆ ที่มักจะมองข้ามกันไป หรือบางครั้งคิดว่าไม่น่าจะเกิดเหตุร้ายแรงกับลูกได้ ความจริงคือ การประมาทเพียงเสี้ยววินาที อาจทำลูกเสียชีวิตได้ค่ะ ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีเรื่องเตือนสะเทือนใจ จากเพจเรื่องเล่าหมอ x exclusive ที่พูดถึงการเสียชีวิตของเด็กน้อยคนหนึ่งจากการทานไส้กรอก

 

ไส้กรอกมหันตภัย ติดหลอดลมลูกถึงตาย!!

เรื่องราวต่อไปนี้ทางทีมงานได้ไปอ่านเรื่องราวที่เป็นความรู้จากเพจเรื่องเล่าจากหมอ x exclusive ซึ่งเป็นการให้ความรู้ที่ให้แง่คิดที่ดีกับพ่อแม่อย่างมาก จนมาสะดุดใจเข้ากับเรื่องราวหนึ่ง ที่พูดถึง “ไส้กรอกมหันตภัย” ดิฉันในฐานะแม่คนหนึ่งที่ก็มีลูกเล็ก และไม่อยากให้เหตุการสูญเสียเกิดขึ้นกับลูกของตัวเอง รวมถึงลูกๆ ของคุณพ่อคุณแม่ท่านอื่น จึงอยากให้ลองอ่านเรื่องราวต่อไปนี้กันค่ะ เพื่อที่เราในฐานะพ่อแม่ หรือผู้เลี้ยงดูเด็ก โดยเฉพาะกับเด็กเล็กๆ ที่เราไม่ควรจะประมาท หรือให้ลูกคาดสายตาเลยแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว

ดิฉันขออนุญาตหยิบยกเรื่องราวที่คุณหมอเล่าเตือนใจให้กับพ่อแม่ ดังนี้ค่ะ…

“หลายวันก่อน ในช่วงหัวค่ำ ณ รพ แห่งหนึ่ง มี notify จากห้องฉุกเฉินถึงหมอเด็กที่อยู่เวรวันนั้นจากหมอน้องๆ ที่ตรวจ ได้ความว่า เด็กน้อยอายุ 3 ขวบมาโรงพยาบาลด้วยอาการหมดสติ สอบถามจากผู้ปกครองได้ความว่า จู่ๆ น้องก็ลงไปนอนดิ้นทุรนทุราย ปากเขียว เลยรีบพามาโรงพยาบาลโดยไม่ได้ปฐมพยาบาลเบื้องต้นมาก่อน ใช้เวลาในการเดินทางมาโรงพยาบาลพอสมควร

พอถึงห้องฉุกเฉิน แพทย์เวรที่ห้องฉุกเฉินได้ทำการช่วยเหลือกู้ชีพ รวมถึงการใส่ท่อช่วยหายใจ เพราะน้องอยู่ในสภาวะระบบหายใจล้มเหลว ทันใดนั้นเอง!!!! ระหว่างใส่ท่อช่วยหายใจ ไส้กรอกชิ้นนึงขนาดพอคำ ก็หลุดออกมาจากหลอดลม

ทุกอย่างกระจ่าง สอบถามผู้ปกครอง ได้ความว่า เด็กน้อยถือไส้กรอกกินตามลำพัง แต่อะไรก็ไม่สำคัญไปกว่า การช่วยฟื้นคืนชีพครั้งนี้ทำไม่สำเร็จ เด็กน้อยมาถึงโรงพยาบาลช้าไป

 

ไส้กรอกมหันตภัย
Credit Photo : เพจเรื่องเล่าหมอ x exclusive

 

ได้อ่านแล้วรู้สึกสะเทือนใจปนหดหู่ใจกันอย่างมากเลยใช่ไหมคะ ดิฉันตอนอ่านเรื่องแชร์นี้มาจากเพื่อนคนหนึ่ง อ่านแล้วรู้สึกน้ำตาคลอ และรู้สึกเสียใจเสียดายกับชีวิตบริสุทธิ์น้อยๆ ที่เพิ่งจะ 3 ขวบ กำลังน่ารัก ช่างพูด สุดท้ายต้องมาจบชีวิตด้วยการกินไส้กรอก และเท่าจากที่อ่านสรุปจากคุณหมอ พอทราบว่าเด็กได้ไส้กรอกที่ถือกินตามลำพัง โดยที่ผู้ใหญ่อาจไม่ทันได้เห็นว่าเด็กมีการกินไส้กรอก แล้วเมื่อชิ้นไส้กรอกที่กัดกินนั้นหลุดเข้าไปในคอโดยที่ยังไม่ได้เคี้ยวให้ละเอียดเสียก่อน ทำให้หลุดลงไปติดตรงหลอดลม เด็กจึงล้มลงดิ้น แล้วหมดสติ ด้วยความที่ผู้ใหญ่ตกใจ และไม่ทราบว่าเหตุที่เด็กล้มลงนั้นเกิดจากอะไร จึงไม่ได้มีการปฐมพยาบาลเบื้องต้น และเมื่อถึงโรงพยาบาลก็ไม่สามารถแจ้งหมอ พยาบาลได้ว่าเกิดจากสาเหตุใด

 

อ่านต่อ >> “วิธีปฐมพยาบาลเด็กที่ถูกต้องเมื่อมีสิ่งของติดคอ” หน้า 2

 

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

    เลี้ยงลูกให้เป็น “คนปกติ” ตามวัย

    การ เลี้ยงลูกให้เป็นคนปกติ …หากความพยายามปั้นลูกให้เป็นเด็กอัจฉริยะทำให้ลูกเครียด กดดัน หรือหลงทางไปตามความฝันของพ่อแม่ ทั้งที่สิ่งนั้นไม่ใช่ฝันและความสามารถที่แท้จริงของเขาเอง

    Continue reading “เลี้ยงลูกให้เป็น “คนปกติ” ตามวัย”

      การเปลี่ยนแปลงของเต้านมขณะตั้งครรภ์ ความลับที่แม่ท้องควรรู้

      รู้ไหมว่า หน้าอกของคุณแม่ ไม่ใช่แค่สัญลักษณ์ความสวยความงามเท่านั้น แต่ยังมีความลับบางอย่างที่แม่ท้องควรรู้เกี่ยวกับ การเปลี่ยนแปลงของเต้านมขณะตั้งครรภ์

      การเปลี่ยนแปลงของเต้านมขณะตั้งครรภ์

      การเปลี่ยนแปลงของเต้านมขณะตั้งครรภ์

      เต้านมแม่ท้องไตรมาสที่ 1

      • เกิดอะไรขึ้นบ้าง : ฮอร์โมนกระตุ้นถุงน้ำนมเติบโต

      การเพิ่มขึ้นของฮอร์โมนเอสโตรเจนจะช่วยให้ท่อน้ำนมยาวขึ้นและแตกแขนงออกไป ในขณะที่การเพิ่มขึ้นของฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนจะช่วยกระตุ้นให้ถุงน้ำนมเจริญเติบโต (โดยถุงน้ำนมมีลักษณะคล้ายกับพวงองุ่น) ซึ่งทั้งสองส่วนนี้เป็นแหล่งผลิตน้ำนมนั่นเอง อีกทั้งมีการสร้างเนื้อเยื่อไขมันขึ้นมาปกคลุมรอบๆ ท่อน้ำนมและถุงน้ำนม และมีเลือดมาหล่อเลี้ยงที่บริเวณหน้าอกเพิ่มขึ้นด้วย

      • สัญญาณและอาการ: หัวนมแข็ง อ่อนไหว ลานนมสีคล้ำ

      หัวนมจะแข็งขึ้นและอ่อนไหวมากขึ้น สีของวงปานนมจะเข้มและคล้ำ โดยสีเข้มๆ นี้จะช่วยให้ลูกน้อยจอมหิวของเราสามารถมองเห็นและระบุตำแหน่งได้ ส่วนต่อมไขมันบริเวณวงปานนม (มีหน้าที่หลั่งสารต้านเชื้อแบคทีเรีย) จะปรากฏเป็นตุ่มเล็กๆ ชัดเจนขึ้น รวมไปถึงเส้นเลือดดำด้วย ทั้งนี้ทั้งนั้นหน้าอกของเราจะมีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิม และยังคงรู้สึกเจ็บ คัด ตึง อย่างต่อเนื่อง

      • สิ่งที่ควรทำ:

      ตอนนี้ถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนเสื้อในแล้ว เพราะเมื่อหน้าอกของเราขยายใหญ่ขึ้นและมีน้ำหนักเพิ่มมากขึ้น (เฉลี่ยข้างละประมาณ 5.4 กิโลกรัม ตลอดการตั้งครรภ์) คุณแม่ต้องเลือกเสื้อในที่มีขนาดเหมาะสม รองรับการขยายตัวของหน้าอกเสมอๆ ดังนั้นจึงไม่ควรซื้อเสื้อในที่ใหญ่เกินจนหลวมและเล็กเกินจนคับ จนไปจำกัดการสร้างเนื้อเยื่อต่างๆ ที่จำเป็นต่อการผลิตน้ำนม ถึงแม้ราคาเสื้อในสำหรับแม่ท้องจะแพงไปสักหน่อย แต่ก็ถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าไม่น้อย

      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

       

      ติดตาม การเปลี่ยนแปลงของเต้านมแม่ท้องไตรมาสสอง คลิกหน้า 2

        ตั้งครรภ์ 13-14 สัปดาห์ และพัฒนาการทารกในครรภ์

        มาถึงสัปดาห์สุดท้ายของไตรมาสแรกกันแล้ว ซึ่ง พัฒนาการ การตั้งครรภ์ 13-14 สัปดาห์ นี้คุณแม่จะมีอาการแพ้ท้องลดลง ควรใส่ใจเรื่องโภชนาการ และน้ำหนักให้มากขึ้น เพื่อสุขภาพที่ดีของคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์ค่ะ

        พัฒนาการ การตั้งครรภ์ 13-14 สัปดาห์
        พัฒนาการ การตั้งครรภ์ 13-14 สัปดาห์

        อาการคนท้อง 13-14 สัปดาห์

        ผ่านมาหลายสัปดาห์จนมาถึงสัปดาห์สุดท้ายของไตรมาสแรก เพิ่งจะรู้สึกว่าเป็นคนท้องจริงๆ ก็คราวนี้ เพราะคุณแม่จะมีหน้าท้องที่ขยายใหญ่ขึ้นจนเห็นได้ชัด นอกจากนี้ อาการทรมานจากการแพ้ท้อง และอีกสารพัดก็ทุเลาลงไปบ้าง ทำให้สบายกายสบายใจขึ้น จะกินอะไรก็อร่อย ซึ่งหากไม่ระวังก็อาจส่งผลต่อสุขภาพได้ ดังนั้นก่อนจะเข้าสู่ไตรมาสที่สองในสัปดาห์หน้า เรามาเตรียมตัวรู้จักการเปลี่ยนแปลง อาการคนท้อง และดูแลเรื่องการกินกันดีกว่าค่ะ

        • รอบเอวหนาขึ้น  ด้วยขนาดของท้องที่ขยายใหญ่ขึ้นและรอบเอวก็หนาขึ้น และรู้สึกหน่วงๆ บริเวณกระเพาะปัสสาวะ  อาจมีอาการเจ็บแปลบที่หน้าท้องและหัวหน่าว เนื่องจากเส้นเอ็นที่ยึดมดลูกตึงตัว
        • แพ้ท้องลดลง ในสัปดาห์นี้ฮอร์โมนเริ่มลดลง ทำให้อาการแพ้ท้องลดลงด้วย
        • มีตกขาวเพิ่มมากขึ้น เพื่อช่วยป้องกันการติดเชื้อในช่องคลอดและอวัยวะเพศ
        • คุณแม่อาจรู้สึกปวดแน่นท้องเล็กน้อย เพราะมดลูก เส้นเอ็น กล้ามเนื้อบริเวณนั้นกำลังขยายตัวเพื่อรองรับการเติบโตของลูก
        • ผิวหนังก็มีการเปลี่ยนแปลง บางคนอาจมีกระขึ้น หรือที่มีอยู่แล้วก็ชัดเจนขึ้น รวมถึงมีเส้นสีดำขึ้นกลางหน้าท้องยาวไปถึงบริเวณกระดูกหัวหน่าว
        • หน้าอกเริ่มขยาย รู้สึกเจ็บคัดเต้านมเพราะเต้านมเริ่มมีการเตรียมสร้างท่อน้ำนม และลานหัวนมก็มีสีเข้มขึ้น
        • เริ่มเป็นเส้นเลือดขอด ได้ เพราะร่างกายต้องสูบฉีดเลือดเพื่อไปเลี้ยงลูกน้อยมากขึ้น ทำให้เกิดเส้นเลือดขอดที่ขาได้ แก้ไขโดยการเดินบ่อยๆ

        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

         

        ติดตาม โภชนาการคุณแม่ท้องไตรมาสที่ 1 คลิกต่อหน้า 2

          โรคขาดแฟคเตอร์ 7 เลือดออกง่ายหยุดยาก …อันตรายลูกตายได้ตั้งแต่เกิด

          จากข่าวในสังคมออนไลน์ปีที่ผ่านมา มีข่าวคุณแม่ท่านหนึ่งออกมาบอกว่าลูกน้อยเป็น โรคขาดแฟคเตอร์ 7 ที่มีเลือดออกจากร่างกายเองและมีค่ารักษาพยาบาลสูง เราจึงพลาดไม่ได้ที่จะมาให้ความรู้เกี่ยวกับโรคที่หลายคนไม่รู้จักชนิดนี้ให้มากขึ้น โดยมีศาสตราจารย์ พญ.อำไพวรรณ จวนสัมฤทธิ์  กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านนี้มาอธิบายอย่างละเอียดค่ะ

          โรคขาดแฟคเตอร์ 7 คืออะไร?…ทำไมเด็กจึงเลือดออกง่าย

          โรคขาดแฟคเตอร์ 7

          โรคขาดแฟคเตอร์ 7 เป็นโรคทางพันธุกรรม ที่เกิดจากความผิดปกติเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด ทำให้เลือดออกง่ายผิดปกติและหยุดยาก แต่พบได้น้อยคือประมาณ 1:500,000 คน ถึง 1:1,000,000 คน เกิดขึ้นได้ทั้งกับผู้หญิงและผู้ชาย ในขณะที่โรคฮีโมฟีเลียที่เคยได้ยินกันมักจะพบได้บ่อยกว่าคือ 1:10,000 และส่วนใหญ่เกิดกับผู้ชาย

          แฟคเตอร์ (coagulation factors) 7 คือโปรตีนตัวหนึ่งที่อยู่ในเลือดของคนเรา โดยสารโปรตีนเหล่านี้คือสิ่งสำคัญที่จะทำให้เลือดแข็งตัว และหยุดไหลดังนั้นหากร่างกายขาดสารโปรตีนชนิดนี้ก็จะทำให้มีเลือดออกผิดปกติ แต่ในร่างกายเราจะมีโปรตีนอยู่หลายชนิด ซึ่งหากขาดตัวไหนก็จะส่งผลที่ต่างกันไปนั่นคือถ้าร่างกายขาดแฟคเตอร์ 8 ก็จะทำให้เป็นโรคฮีโมฟีเลีย ชนิด A ถ้าขาดแฟคเตอร์ 9 ก็จะเป็นฮีโมฟีเลีย ชนิด B  แต่การขาดแฟคเตอร์ 7 จะเรียกว่าโรคขาดแฟคเตอร์ 7 โดยไม่ได้ตั้งชื่อเป็นพิเศษ และมีโอกาสเกิดน้อย ทำให้ไม่ค่อยมีใครรู้จักโรคนี้

          โรคขาดแฟคเตอร์ 7 นั้นมี 2 ชนิด

          • ชนิดแรกพบในเด็กเล็ก มีอาการรุนแรงตั้งแต่แรกเกิด

          ซึ่งส่วนใหญ่จะเสียชีวิตทั้งหมด หากตรวจพบได้เร็วตั้งแต่เกิด ก็จะมีการให้พลาสม่าชนิดพิเศษที่ทำให้เลือดแข็งตัว ช่วยให้มีชีวิตที่ยืนยาวขึ้นได้

          • ชนิดที่สองพบในเด็กโตหรือผู้ใหญ่ที่มีอาการเลือดออกง่าย แต่อาการจะไม่มาก คือได้รับอุบัติเหตุ

          แล้วเลือดออกเยอะ หรือการไปทำหัตถการ เช่น ถอนฟัน หรือผ่าตัดแล้วมีเลือดออกมากผิดปกติหรือหยุดยาก แต่โรคนี้จะอันตรายมากสำหรับเด็กเพราะจะทำให้เลือดออกในสมองและอวัยวะต่างๆ จนเสียชีวิตได้

          อ่านต่อ >> “สาเหตุของโรคขาดแฟคเตอร์ 7” คลิกหน้า 2

          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

           

            โรคตากุ้งยิง

            ระวัง ลูกเป็นตากุ้งยิง เพราะล้างมือไม่สะอาด

            มีคุณแม่คนหนึ่งออกมาเตือนว่าช่วงนี้ให้ระมัดระวัง เพราะเด็กเป็น โรคตากุ้งยิง จำนวนมาก ลูกน้อยของคุณแม่เป็นเยอะ ถึงขั้นต้องเจาะเอาออก ซึ่งสาเหตุสำคัญเกิดจากการล้างมือไม่สะอาด เด็กเล็กๆ กำลังอยู่ในวัยซุกซน ชอบจับโน่น จับนี่ แล้วนำมือที่สกปรกมาป้ายที่บริเวณใบหน้าได้

            Continue reading “ระวัง ลูกเป็นตากุ้งยิง เพราะล้างมือไม่สะอาด”

              เคล็ดลับ ท้อง สุขภาพดี ลูกน้อยแข็งแรง

              เคล็ดลับ ท้อง สุขภาพดี ในช่วงเดือนแรกๆ ของการตั้งครรภ์ คือช่วงเวลาที่สำคัญมากๆ ของลูกน้อย เพราะเป็นช่วงที่ต้องก่อร่างสร้างตัวอย่างมาก เซลล์ของอวัยวะพื้นฐานสำคัญกำลังเจริญเติบโต ดังนั้น จึงถือเป็นก้าวสำคัญที่คุณแม่ท้องต้องหันกลับมาดูแลตัวเองเป็นพิเศษ และต่อไปนี้คือเคล็ดลับที่จะทำให้ท้องนี้มีสุขภาพที่ดีได้ในระยะยาวค่ะ

              เคล็ดลับ ท้อง สุขภาพดี

              เคล็ดลับ ท้อง สุขภาพดี

              Step 1 ฝากครรภ์

              เมื่อรู้ว่าตัวเองท้องแล้ว สิ่งแรกที่ควรทำก็คือการฝากครรภ์ให้เร็วที่สุด องค์การอนามัยโลกยกย่องว่า การฝากครรภ์เป็นการป้องกันสุขภาพของแม่และเด็กในครรภ์ที่ได้ผลที่สุดในบรรดาการป้องกันอื่นๆ เพราะอะไรจึงสำคัญ พญ.ชัญวลี ศรีสุโข สูติ-นรีแพทย์ โรงพยาบาลพิจิตร กล่าวว่า อันที่จริงในประเทศไทยยังมีคุณแม่ที่มาคลอดโดยไม่ฝากครรภ์เลย ซึ่งมีทั้งลงเอยด้วยดี แม่และเด็กแข็งแรง แต่เป็นส่วนน้อย คนที่ไม่ฝากครรภ์แล้วมาคลอด ส่วนใหญ่เกิดปัญหา เช่น คลอดก่อนกำหนด คลอดเกินกำหนด ตกเลือดหลังคลอด มารดาและทารกได้รับบาดเจ็บ เสียชีวิต ฯลฯ” การฝากครรภ์จึงมีประโยชน์อย่างมากในการช่วยตรวจและติดตามสุขภาพ ดังนั้นเมื่อฝากครรภ์แล้ว คุณแม่ต้องขยันไปพบคุณหมอตามที่นัดไว้ทุกครั้งด้วยนะคะ”

              Step 2 วิตามิน

              ปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยลดความเสี่ยงเรื่องสุขภาพครรภ์ของเราคือ การกินวิตามินอย่างเพียงพอ ไม่มากและน้อยเกินไป โดยวิตามินสามทหารเสือสำหรับแม่ท้องที่ควรกินคือ โฟเลต เหล็ก และแคลเซียม โดยโฟเลตจะช่วยป้องกันไม่ให้ทารกเกิดภาวะหลอดประสาทไม่ปิดและการคลอดก่อนกำหนด เหล็ก คือพระเอกตัวสำคัญในกระบวนการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดงที่มีหน้าที่นำอ๊อกซิเจนในเลือดไปหล่อเลี้ยงทารก ส่วนแคลเซียมคือผู้สร้างกระดูกและฟันของลูกน้อย ซึ่งหากไปฝากครรภ์ คุณแม่ท้องทุกคนก็จะได้รับวิตามินจากคุณหมออย่างพอเหมาะค่ะ

              Step 3 ไลฟ์สไตล์

              บางครั้งสิ่งที่เราชอบ หรือสิ่งที่ทำอยู่ในชีวิตประจำวันอาจเป็นการทำร้ายลูกน้อยได้ ดังนั้นหากรู้ตัวว่าท้องแล้ว พฤติกรรมเสี่ยงๆ ทั้งหลายต้องลด ละ เลิก ให้เด็ดขาด เช่น การดื่มเหล้า สูบบุหรี่ การกินอาหารไม่มีประโยชน์หรือสุกๆดิบ การใช้ผลิตภัณฑ์เสริมความสวยงามที่มีผลโดยตรงต่อการตั้งครรภ์ ยารักษาโรคบางตัว เป็นต้น เพื่อให้ครรภ์นี้สมบูรณ์แข็งแรงค่ะ

              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

               

              ติดตาม การรับมือ “พายุอารมณ์” ตอนท้อง คลิกต่อหน้า 2

                7 สาเหตุ สำคัญ ของการแท้ง และวิธีป้องกัน

                เพราะการแท้ง เป็นเรื่องไม่พึงประสงค์ของคุณแม่ตั้งครรภ์ เราจึงรวม 7 สาเหตุ การแท้ง ที่แม่ควรรู้ ว่าอะไรที่ทำให้เกิดการแท้ง และวิธีที่จะช่วยให้คุณแม่มีสุขภาพครรภ์ที่ดีมาฝากค่ะ

                สาเหตุ การแท้ง

                7 สาเหตุ การแท้ง และวิธีป้องกัน

                1. โครโมโซมผิดปกติ

                • ทำไมจึงทำให้แท้ง

                โครโมโซมคือโครงสร้างขนาดเล็กที่ประกอบไปด้วยยีนส์ โดยปกติเรามีโครโมโซมทั้งหมด 23 คู่ ชุดหนึ่งมาจากแม่ และอีกชุดหนึ่งมาจากพ่อ เมื่อไข่และสเปิร์มมาผสมกัน บางครั้งโครโมโซมอาจบกพร่อง ไม่สามารถจับคู่กันได้อย่างสมบูรณ์ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดการแท้งขึ้นได้

                • แก้ไขได้อย่างไร

                หากคุณแม่เคยแท้งมาแล้วครั้งหนึ่ง ต้องอดทนรอสักหน่อย เพราะจากสถิติคุณแม่มีโอกาสท้องและมีลูกที่แข็งแรงได้อีก หากคุณแม่ยังคงแท้งอีก ให้แจ้งคุณหมอเพื่อเก็บเนื้อเยื่อไปตรวจหาความผิดปกติของโครโมโซม หรือหากโครโมโซมปกติคุณหมอจะได้หาสาเหตุอื่นต่อไปและสามารถเยียวยาได้ทันท่วงที

                 

                1. มดลูกผิดปกติและปากมดลูกหลวม

                • ทำไมจึงทำให้แท้ง

                หากคุณแม่มีมดลูกผิดปกติ การแท้งย่อมเกิดขึ้นได้ เพราะตัวอ่อนไม่สามารถฝังตัวได้ หรือหากฝังตัวได้แต่ก็ไม่สามารถเจริญเติบโต ส่วนอีกสาเหตุหนึ่งคือมดลูกอ่อนแอหรือปากมดลูกหลวม เพราะก่อนจบไตรมาสแรก ทารกจะตัวโตขึ้นจนทำให้ปากมดลูกขยาย หากปากมดลูกอ่อนแอก็จะไม่สามารถพยุงตัวทารกไหว

                • แก้ไขได้อย่างไร

                หากมีประวัติการแท้งและความเสี่ยงอื่นๆ แพทย์อาจมีคำแนะนำในการป้องกันและแก้ไขได้ด้วยการผ่าตัด เรียกว่า การเย็บปากมดลูก หรือการใส่ห่วงพยุงปากมดลูก

                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                 

                ติดตาม 7 สาเหตุ สำคัญของ การแท้ง คลิกต่อหน้า 2

                  ตั้งครรภ์ 11-12 สัปดาห์ และพัฒนาการทารกในครรภ์

                  คุณแม่จะรู้ว่าท้องแน่นอนแล้ว เพราะ พัฒนาการ การตั้งครรภ์ 11-12 สัปดาห์ จะทำให้คุณแม่มีอาการต่างๆ ตามมามากมาย และลูกน้อยในครรภ์เองก็เติบโตได้เร็วยิ่งขึ้น

                  พัฒนาการ การตั้งครรภ์ 11-12 สัปดาห์

                  พัฒนาการ การตั้งครรภ์ 11-12 สัปดาห์

                  อาการคนท้อง 11-12 สัปดาห์

                  คุณแม่หลายท่านในช่วงนี้อาจมีอาการแพ้ท้องอยู่บ้าง แต่ก็มีบางคนที่อาจรู้สึกสดชื่นขึ้นเพราะอาการแพ้ท้องเริ่มลดลงหรือปรับตัวได้แล้ว ช่วงนี้คุณแม่จึงควรพักผ่อนให้มาก ทำจิตใจให้สดชื่นแจ่มใส รับประทานอาหารที่สะอาด ปลอดภัยและมีประโยชน์ นอกจากนี้อาการอื่นๆ ของคุณแม่ที่สังเกตได้ชัดเจนขึ้นได้แก่

                  น้ำหนักตัวเริ่มเพิ่มขึ้น

                  คุณแม่จะเริ่มสังเกตได้ว่าน้ำหนักเพิ่มขึ้น กรณีที่ไม่แพ้ท้องมากจนทานอะไรไม่ได้ โดยอาจจะมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นนิดหน่อยประมาณครึ่งกิโลกรัม- 1 กิโลกรัม  นอกจากนี้ระบบการทำงานต่างๆ ในร่างกายคุณแม่ที่หล่อเลี้ยงลูกน้อยก็มีการเติบโตอย่างรวดเร็วตามไปด้วย

                  ยอดมดลูกโตขึ้น

                  ในช่วงนี้หากคุณหมอได้คลำมดลูกคุณแม่จะพบว่ายอดมดลูกของคุณแม่เริ่มโตขึ้นปริ่มอยู่บริเวณหัวหน่าว ทำให้คุณแม่มั่นใจได้ว่ากำลังตั้งครรภ์มีลูกน้อยสมใจแน่นอนค่ะ

                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                   

                  ท้องอืด มีแก๊ส

                  สาเหตุหลักๆ มาจากฮอร์โมนแม่ท้องที่ขยันทำงาน ส่งผลให้ระบบย่อยของคุณแม่ทำงานช้าลง ทำให้แก๊สในท้องก่อตัวเพิ่มขึ้น เมื่อแก๊สเพิ่มมากขึ้น กลไกปกติของร่างกายคือการกำจัดออก ดังนั้นวิธีกำจัดที่ดีที่สุดก็คือการเรอและการผายลมนั่นเอง

                  นอกจากนี้ขนาดมดลูกที่ขยายใหญ่ขึ้นจนไปเบียดอวัยวะข้างเคียงอย่างลำไส้และกระเพาะอาหาร ก็ยิ่งทำให้กระบวนการย่อยอาหารทำได้ช้า จนเป็นสาเหตุให้เกิดอาการท้องอืดร่วมด้วยอีกค่ะ

                  วิธีบรรเทาอาการท้องอืดของแม่ท้อง

                  1. ออกกำลังกาย เพราะการขยับเคลื่อนไหวร่างกายจะช่วยให้ระบบย่อยทำงานดีขึ้น
                  2. เลือกกิน กินอาหารย่อยง่าย ใยอาหารสูง และไม่ก่อให้เกิดแก๊ส อาหารที่ควรเลี่ยง เช่น หอมหัวใหญ่ ผักกาด ดอกกะหล่ำ ของทอด อาหารที่ใส่ซอสปรุงเยอะๆ ขนมหวาน น้ำโซดา นม เป็นต้น
                  3. กินพอดี ไม่ควรกินอาหารต่อมื้อมากเกินไป การแบ่งมื้อเป็นมื้อย่อยๆ จะช่วยลดอาการท้องอืดได้ดีมาก เพราะกระเพาะอาหารถูกเบียด เนื้อที่ในการรับอาหารก็น้อยตามไปด้วย
                  4. ไม่ต้องรีบ ค่อยๆ กิน ค่อยๆ เคี้ยว เพราะการรีบเคี้ยวรีบกลืน รีบอ้าปากกิน จะเป็นการเปิดทางให้ลมเข้าไปในร่างกายเรามากขึ้น
                  5. ยอมรับ อย่างไรเสียคุณแม่ท้องก็ต้องเผชิญกับอาการเหล่านี้ ถือเป็นอาการปกติที่เกิดขึ้นได้ เป็นเรื่องธรรมชาติ ดังนั้นสูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ และทำใจให้สบายดีกว่าค่ะ

                  ติดตาม พัฒนาการ การเปลี่ยนแปลงของแม่ท้อง คลิกต่อหน้า 2

                    ตั้งครรภ์ 9-10 สัปดาห์ และพัฒนาการทารกในครรภ์

                    สำหรับ พัฒนาการ การตั้งครรภ์ 9-10 สัปดาห์ ของแม่ท้องจะมีการเปลี่ยนแปลงที่สังเกตได้มาก ทำให้คุณแม่แพ้ท้อง ร่างกายเปลี่ยนแปลง และต้องระวังหลายๆ อย่าง ไปดูกันว่ามีอะไรบ้างค่ะ

                    พัฒนาการ การตั้งครรภ์ 9-10 สัปดาห์

                    พัฒนาการ การตั้งครรภ์ 9-10 สัปดาห์

                    อาการคนท้อง 9-10 สัปดาห์


                    สำหรับท้องแรก ขนาดท้องอาจยังไม่ใหญ่มากจนเป็นที่สังเกต แต่คุณแม่จะเริ่มรู้สึกว่าเอวหนาขึ้น กางเกงเริ่มจะคับแล้ว ร่างกายคุณแม่จะมีการเปลี่ยนแปลงคล้ายๆ กับสัปดาห์ก่อนๆ คือยังคงมีอาการคนท้อง ได้แก่ แพ้ท้อง คลื่นไส้อาเจียน วิงเวียนบ้าง ปวดปัสสาวะบ่อย อยากอาหาร สิวขึ้น อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ อ่อนไหว ซึมเศร้า เหนื่อยล้า เป็นต้น

                    แม่ท้องเปลี่ยนแปลงอย่างเข้าใจ

                    เนื่องจากฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนและ HCG ที่สูงขึ้นในขณะตั้งครรภ์ อุณหภูมิในร่างกายที่เพิ่มขึ้นรวมถึงมีปริมาณเลือดที่สร้างมาหล่อเลี้ยงในร่างกายคุณแม่มากขึ้น จะทำให้รูปร่างของคุณแม่มีการเปลี่ยนแปลงมากมาย ได้แก่ เต้านมเริ่มคัดตึง มีตกขาวมากขึ้นและมีมูกออกมาทางช่องคลอดจากเลือดและฮอร์โมนที่หล่อเลี้ยงช่องคลอดมากขึ้น ปัสสาวะบ่อยขึ้นเพราะมดลูกขายไปกดกระเพาะปัสสาวะ อารมณ์แปรปรวนอ่อนไหวง่าย รู้สึกง่วงอ่อนเพลียง่าย หรือหงุดหงิดและซึมเศร้าง่ายกว่าปกติ

                    วิธีการปรับตัวคือ  ตัดความกังวลใจทั้งหมด โดยคุณแม่ควรทำใจให้สบายๆ ดูแลความสะอาดของร่างกาย ทานอาหารให้ครบถ้วน 5 หมู่ ดื่มน้ำมากๆ และพักผ่อนให้เพียงพอสม่ำเสมอ พยายามเข้าใจว่าทุกอย่างเกิดขึ้นจากการที่ร่างกายปรับตัวเพื่อต้อนรับลูกน้อยในครรภ์ และหมั่นสังเกตอาการผิดปกติที่เกิดขึ้น แล้วรีบปรึกษาแพทย์ทันที  เช่น ตกขาวมากผิดปกติ มีกลิ่นและคัน มีอาการแสบขัดเวลาปัสสาวะ เป็นต้น

                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                     

                    เตือนคุณแม่!

                    * 1. หากอาเจียนมาก

                    จนคุณแม่ดื่มน้ำหรือกินอาหารไม่ได้เลย ปัสสาวะเริ่มน้อย หัวใจเต้นเร็ว ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อแก้ไขทันที เพราะอาจเกิดความผิดปกติของร่างกาย และเสี่ยงต่อการแท้งหรือโรคแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายอื่นๆ

                    * 2. ไม่ยกของหนัก ไม่เครียด

                    คุณแม่ควรระมัดระวังอุบัติเหตุจากการกระแทก ไม่ควรทำงานหนัก ขึ้นที่สูง หรือออกกำลังกายหนัก เพราะอาจเสี่ยงต่อภาวะแท้งได้

                    * 3. ระวัง…ภาวะแท้งคุกคาม

                    นั่นคืออาการเลือดออกผิดปกติในช่วงตั้งครรภ์ 3 เดือนแรก(สัปดาห์แรกจนถึง 12-14 สัปดาห์ของการตั้งครรภ์) ซึ่งหากคุณแม่สังเกตว่ามีเลือดออกมา แม้จะเพียงเล็กน้อย  ก็อาจจะเกิดจากการตั้งครรภ์ที่ผิดปกติ เช่น การตั้งครรภ์นอกมดลูก และอื่นๆ ได้ จึงควรรีบไปพบแพทย์ทันที

                    บทความแนะนำ 10 ข้อห้าม คนท้องอ่อนๆ ต้องระวังอะไรบ้าง?

                    ติดตาม อาหารและยาต้องห้ามของแม่ท้อง คลิกต่อหน้า 2

                      เครื่องทำน้ำอุ่น

                      พ่อแม่ระวัง ใช้เครื่องทำน้ำอุ่น เสี่ยงเสียชีวิต

                      นายแพทย์โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวหลังการประชุม DDC Forum เกี่ยวกับอันตรายจาก เครื่องทำน้ำอุ่น ระบบแก๊ส โดยเฉพาะในช่วงที่มีอากาศเย็น ประชาชน และนักท่องเที่ยวต่างนิยมไปเที่ยวพักผ่อนตามสถานที่ต่างๆ จึงอาบน้ำอุ่น และพบผู้ที่อาบน้ำเสียชีวิต

                      Continue reading “พ่อแม่ระวัง ใช้เครื่องทำน้ำอุ่น เสี่ยงเสียชีวิต”

                        คนท้องปวดหลัง

                        ปวดหลัง อาการยอดฮิตที่แม่ท้องต้องรับมือ

                        ปวดหลัง อาการยอดฮิตของแม่ท้อง อาการยอดฮิตอันดับหนึ่งคงหนีไม่พ้นอาการปวดหลัง ยิ่งเข้าไตรมาสที่สองและสามอาการปวดจะยิ่งชัดเจนขึ้น และมีหลายคนถึงจะคลอดแล้วอาการปวดก็ยังตามหลอกหลอน สาเหตุเป็นเพราะอะไรกันนะมาดูสาเหตุที่ทำให้ คนท้องปวดหลัง และวิธีแก้ปวดหลังสำหรับคนท้อง กันค่ะ

                        ปวดหลัง อาการยอดฮิตของแม่ท้อง

                        ท้องแล้วทำไมต้องปวดหลัง

                        อาการปวดหลังเป็นหนึ่งในอาการที่ทรมานคนท้องยิ่งนัก จะลุกจะนั่งจะนอนก็ทรมานและรู้สึกรำคาญเป็นบางเวลา หลายคนแปลกใจว่าก่อนท้องไม่เห็นปวด ทำไมพอท้องแล้วปวดเหลือเกิน ซึ่งอาการปวดหลังนี้เป็นกลไกการปรับตัวหรือสรีระร่างกายตามธรรมชาติอย่างหนึ่งนั่นเอง

                        แพทย์ผู้เชี่ยวชาญกล่าวถึงสาเหตุที่ทำให้คุณแม่ท้องทั้งหลายเกิดอาการปวดหลังว่า “กระดูกสันหลังของเราเปรียบเสมือนแกนหรือเสา มีกล้ามเนื้อมัดชุดหลังและหน้าท้องคอยประคองให้กระดูกสันหลังอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง ดังนั้นหากหน้าท้องเราขยายหรือยืดตัวออก เพราะการเติบโตของเด็กในท้อง รวมถึงน้ำหนักที่มากขึ้น จะทำให้ตัวเราโน้มไปด้านหน้า ร่างกายจึงเกิดการแอ่นหลังมากกว่าปกติเพื่อให้คงความสมดุลของกระดูกสันหลังไว้เช่นเดิม ด้วยเหตุนี้กล้ามเนื้อชุดหลังจึงมีการหดเกร็ง เกิดแรงกดตรงข้อกระดูกสันหลัง ประกอบกับกล้ามเนื้อทำงานหนักอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน จึงทำให้เกิดอาการปวดหลังในแม่ท้องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”

                        ปวดหลัง ตั้งครรภ์

                        คนท้องปวดหลัง มาก-น้อย ไม่เท่ากัน

                        อาการปวดหลังมาก-น้อยของคุณแม่แต่ละคนนั้นไม่เท่ากัน บางคนก็ปวดธรรมดา เดี๋ยวเดียวก็หาย แต่กับบางคนนั้นปวดมากจนเหนื่อยใจ ซึ่งสาเหตุสำคัญอยู่ที่ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อค่ะ ดังนั้น การดูแลตัวเองทั้งความแข็งแรงของร่างกายด้วยการออกกำลังกายและโภชนาการแม่ท้องที่ถูกต้องจึงเป็นปัจจัยที่สำคัญและมีผลต่ออาการปวดหลังของแม่ท้องเป็นอย่างมาก ดังนั้นหากคุณแม่คนไหนสามารถเตรียมความแข็งแรงของร่างกายก่อนตั้งครรภ์ได้ ก็ถือว่าได้ติดปีกบินไปข้างหนึ่งแล้ว ส่วนปีกอีกข้างนั้นก็คือการดูแลตัวเองระหว่างตั้งครรภ์ อาการปวดทั้งหลายก็จะน้อยตามไปด้วย

                        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                         

                        ติดตาม 7 เคล็ดลับ ช่วยบรรเทาอาการปวดหลัง คลิกต่อหน้า 2

                          การเก็บรักษานมสต็อก

                          เทคนิค การเก็บรักษานมสต็อก ให้ลูกได้กินนมแม่นานถึง 2 ขวบ

                          เป็นที่ทราบกันดีว่า องค์การอนามัยโลก หรือ WHO รวมทั้งผู้เชี่ยวชาญด้านนมแม่ทั่วโลกต่างสนับสนุนการกินนมแม่นานถึง 2 ขวบหรือมากกว่า เพราะนมแม่เป็นทั้งอาหารกายและอาหารสมองสุดวิเศษที่ช่วยให้ลูกมีภูมิต้านทานโรค ไม่เจ็บป่วยง่าย และมีพัฒนาการทางสมองที่ดี ซึ่งนอกจากการเข้าเต้าอย่างสม่ำเสมอแล้ว การทำสต็อกนมแม่จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะช่วยให้คุณแม่ประสบความสำเร็จในการให้นมลูกได้นานตามที่ตั้งใจ ดังนั้น การเรียนรู้วิธีเก็บรักษานมสต็อกให้คงคุณค่า ไม่เสียง่าย จึงมีความสำคัญอย่างมาก เราจึงขออาสาพาคุณแม่มารู้จัก เทคนิค การเก็บรักษานมสต็อก ที่ถูกวิธีกันค่ะ

                          สต็อกนมแม่…คุณเองก็ทำได้

                          ไม่ว่าจะเป็นคุณแม่ที่มีน้ำนมน้อยหรือ working mom ที่งานรัดตัว ก็สามารถทำสต็อกนมแม่ได้ไม่ยาก ขอเพียงมีความตั้งใจ และวินัยอย่างจริงจัง โดยเริ่มเก็บน้ำนมตั้งแต่สัปดาห์แรกหลังคลอด หมั่นกระตุ้นด้วยการให้ลูกเข้าเต้าทุก ๆ 2-3 ชั่วโมง พร้อมกับปั๊มเก็บทุกครั้งหลังลูกดูดเสร็จ ในช่วงแรกคุณแม่ยังไม่ต้องกังวลนะคะ เพราะน้ำนมอาจยังไม่มา หรือได้เพียงติดก้นขวด ให้นำน้ำนมนั้นหยดใส่ปลายช้อนป้อนให้ลูก และพยายามปั๊มต่อไปเรื่อย ๆ ครั้งละ 15 นาที อีกไม่ถึง 2 สัปดาห์ คุณแม่ก็จะได้เห็นปริมาณน้ำนมที่เพิ่มมากขึ้น ๆ จนพร้อมสำหรับทำสต็อกอย่างแน่นอนค่ะ

                          สำหรับ working mom ที่ต้องกลับไปทำงานหลังคลอด 3 เดือน ควรกำหนดเวลาปั๊มนมในที่ทำงานให้ตรงกันทุกวัน โดยแบ่งเวลาปั๊มทุก 3 ชั่วโมง แล้วแช่ในตู้เย็นหรือในกระเป๋าเก็บความเย็นที่มีคูลแพ็คเพียงพอที่จะรักษาคุณภาพน้ำนม เพื่อนำกลับมาบ้านให้ลูกกินหรือเติมสต็อกที่ขาดไป ส่วนในวันหยุดคุณแม่ควรรักษาปริมาณน้ำนมด้วยการให้ลูกเข้าเต้าทุกมื้อ และปั๊มเก็บเป็นสต็อกนมแม่อย่างสม่ำเสมอ

                          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                           

                          อ่านต่อ การเก็บรักษานมสต็อกที่อุณหภูมิต่างกัน จะเก็บได้นานแค่ไหน คลิกหน้า 2

                            เลี้ยงลูกด้วยนมแม่

                            มหัศจรรย์ เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ สามารถสกัดกั้นเชื้อโรคได้จริง!

                            เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ดีจริง! นมแม่มีประโยชน์มหาศาลกับลูกน้อย เป็นแหล่งอาหารและภูมิคุ้มกันชั้นดีของลูก รับรองด้วยผลวิจัย แบบนี้สิถึงเรียกได้ว่ามหัศจรรย์นมแม่

                             

                            มหัศจรรย์ เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ สามารถสกัดกั้นเชื้อโรคได้จริง!

                            เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ดียังไง? … เพราะ นมแม่ เป็นที่ยอมรับกันในวงการแพทย์และโภชนากรทั่วโลกแล้วว่า เป็นอาหารที่ดีที่สุดสำหรับทารกในระยะแรก ด้วยนมของสัตว์ชนิดใดก็เหมาะกับความเจริญเติบโตของลูกสัตว์ชนิดนั้น นมของวัวจึงเหมาะกับลูกวัว และนมคนก็เหมาะกับลูกคน ดังนั้นถ้าไม่มีความจำเป็นจริงๆ หรือแพทย์ห้ามแล้ว ควรให้ลูกดื่มนมของตนเอง

                            นมแม่ มีประโยชน์มหาศาลสำหรับลูกน้อย เพราะเป็นทั้งแหล่งอาหารและภูมิคุ้มกันสำคัญที่ทำให้ลูกแข็งแรงอีกด้วย และคุณค่าทางอาหารนั้น ยังคงค่าอยู่ไม่ลดลงตลอดไป จนสามารถใช้เลี้ยงทารกได้อย่างน้อย 1-2 ปี หรืออาจนานกว่านั้น

                            มหัศจรรย์ เลี้ยงลูกด้วยนมแม่
                            มหัศจรรย์ เลี้ยงลูกด้วยนมแม่

                            ปกติ นมแม่ ในระยะ 6 เดือนแรกหลังคลอดจะมีปริมาณ 850 มิลลิลิตรต่อวัน และในน้ำนมนั้นจะมีสารอาหารต่างๆ ตั้งแต่ โปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรท เกลือแร่ และวิตามินครบถ้วนเพียงพอกับความต้องการของทารกในระยะ 4-6 เดือนแรก จะขาดหายไปบ้างก็อาจเป็นธาตุเหล็ก วิตามินซี และวิตามินดี น้ำนมแม่จึงมีคุณค่าทางอาหารและมีจำนวนแคลอรี่เหมาะสมกับทารกมากที่สุด ฉะนั้นการเลี้ยงทารกด้วยนมแม่ให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ จะเป็นวิธีการสำคัญในการป้องกันโรคขาดอาหารในทารกได้

                            เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ได้นานแค่ไหน??

                            เมื่อความตั้งใจที่จะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ต้องมาสั่นคลอนความตั้งใจกับคำถามเหล่านี้

                            “ยังให้ลูกกินนมแม่อยู่อีกเหรอ จนลูกเดินได้แล้ว นมแม่จะยังจะมีอะไรดีอีกล่ะ?”

                            มีคุณแม่ให้นมหลายคน อาจเคยได้ยินคำถามนี้ ซึ่งอาจฟังดูเป็นคำถามเชิงทักทายที่คนพูดอาจจะไม่ได้คิดอะไรมาก แต่คนฟังจะมีปฏิกิริยาแตกต่างกันไป ขึ้นกับความเชื่อมั่น ความรู้ความเข้าใจเรื่องนมแม่ และ อุเบกขา (ความวางเฉยแบบวางใจเป็นกลางๆ โดยไม่เอนเอียงเข้าข้าง) ที่มีต่อคนถาม

                            ซึ่งสำหรับคุณแม่ที่มีความเชื่อมั่นเต็มเปี่ยม หาข้อมูลพร้อม และเลือกที่จะให้นมแม่นานๆ ด้วยความเต็มใจ ก็คงจะไม่มีความสั่นคลอนในความมุ่งมั่นนี่ เธอคงจะยืดอกขึ้นแล้วกล่าวด้วยความภาคภูมิใจว่า

                            “ค่ะ ยังจะให้ไปจนลูกเข้าอนุบาลเลยล่ะค่ะ อย่างน้อยก็ช่วยให้หายเจ็บป่วยเร็ว เพราะ นมแม่ มีเซลล์ช่วยจับกินเชื้อโรคแล้วก็มีภูมิต้านทานโรคด้วย”

                            และถ้าคนถามยังไม่เป็นลมไปเสียก่อน ก็อาจจะถามต่อว่า “เธอรู้ได้ไง ?”

                            “อ๋อ! ก็ดูจากลูกของฉันเองนี่ไง อาทิตย์ที่แล้วทั้งปู่ย่า พ่อแม่ เป็นหวัดกันงอมแงม แต่ลูกฉันน้ำมูกไหลนิดหน่อยวันสองวันก็หายแล้ว “ 

                            ทำอย่างไรให้เราเป็นแม่ที่มีความมั่นใจ เชื่อมั่นในแนวทางการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ให้นานที่สุด จนสามารถตอบคนอื่นได้อย่างมาดมั่นเช่นในตัวอย่าง คงต้องเริ่มต้นจากการมั่นใจเสียก่อนว่า นมแม่มีประโยชน์มากแค่ไหน

                            เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ถึงกี่ขวบกันดีนะ
                            เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ถึงกี่ขวบกันดีนะ

                            ผลวิจัยชี้! นมแม่เป็นยาต้านเชื้อโรค

                            โดยทางเพจ มูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องผลวิจัยของนมแม่ ซึ่งสามารถสกัดกั้นเชื้อโรค ไว้ดังนี้…

                            ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะ เต้านมแม่ผลิตสารภูมิต้านทานชนิด SIgA ที่เฉพาะเจาะจงต่อเชื้อที่แม่เคยได้รับ แล้วส่งออกมากับน้ำนมค่ะ ลูกที่ดูดนมแม่จึงได้ภูมิต้านทานเข้าไปทุกวัน จึงไม่ป่วย หรือป่วยก็หายเร็วกว่า ผู้คนก็คงจะงุนงงและสงสัยว่าเป็นไปได้อย่างไรกัน และอยากจะพิสูจน์ให้เห็นกันจะจะไปเลย

                            โดย ผู้ใช้เฟสบุ๊คท่านหนึ่งที่ชื่อ Vicky Greene ก็คงจะสงสัยเช่นเดียวกันค่ะว่า น้ำนมแม่จะสกัดกั้นเชื้อโรคได้จริงหรือไม่ และเนื่องจากเธอเป็น นักศึกษาชีววิทยาชั้นปีที่ 1 ที่ South Devon College เธอจึงตัดสินใจศึกษาคุณสมบัติของน้ำนมแม่ ที่มาจากแม่ที่มีลูกอายุต่าง ๆ กัน ว่าจะหยุดยั้งการเติบโตของเชื้อโรคได้แตกต่างกันหรือไม่

                            ในการศึกษาทางจุลชีววิทยา ผู้วิจัยจะใช้จานเพาะเลี้ยงที่มีอาหารให้เชื้อโรคเจริญเติบโตได้ ใส่เชื้อแบคทีเรีย ลงไป. (การทดลองนี้ใช้เชื้อ M. Luteus ) วางแผ่นกลมๆที่ชุบน้ำนมแม่จนชุ่ม ไว้ตรงกลางจานเพาะเชื้อนี้ จานแรก ( BmA) ใช้น้ำนมจากแม่ที่มีลูกอายุ 15 เดือน จานที่ 2 (BmB) ใช้น้ำนมจากแม่ที่มีลูกอายุ 3 ปี

                            เลี้ยงลูกด้วยนมแม่

                            เมื่อเวลาผ่านไป กลับไปดูจานเพาะเชื้อ ถ้าน้ำนมแม่สกัดกั้นเชื้อไม่ได้ เชื้อก็จะเติบโตลามเข้ามาถึงแผ่นตรงกลางจานได้ แต่ถ้าสกัดได้ก็จะเห็นวงใส ๆ รอบตำแหน่งที่เชื้อหยุดการเติบโต

                            ผลการทดลองออกมาน่ามหัศจรรย์มากเลยค่ะ จานเพาะเชื้อมี่มีแบคทีเรียขุ่นขาวทั้งจาน กลับมี วงใสๆรอบแผ่นน้ำนมแม่! นั่นแสดงว่า โปรตีนชนิดใดชนิดหนึ่งในน้ำนมแม่ เป็นตัวหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อ M. Luteus และเมื่อนักวิจัย ทำกับเชื้อ E. Coli และ MRSA ( เชื้อ staphylococcus ที่ดื้อต่อยาปฏิชีวนะ ) ก็ได้ผลเป็นที่น่าพอใจเช่นเดียวกัน

                            การทดลองนี้ แสดงให้เห็นในเบื้องต้นว่า น้ำนมแม่ที่มาจากแม่ที่ให้นมมานาน ถึง 15 เดือน และ 3 ปี ยังมีประสิทธิภาพในการยับยั้งเชื้อแบคทีเรียได้ในห้องทดลอง

                            น้ำนมแม่ที่แม่ผลิตมานานเป็นปีๆ ไม่ได้ลดทอนคุณภาพลงเลยแม้แต่น้อยค่ะ จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมเด็กที่กินนมแม่จึงเจ็บป่วยน้อยกว่า

                            อย่าไปเชื่อคำพูดลอยๆ ว่านมแม่เท่านั้นเท่านี้เดือนไม่มีประโยชน์อีกต่อไป เพราะน้ำนมแม่มี คุณสมบัติน่าอัศจรรย์ ที่นมผสมไม่อาจทำเทียมเลียนแบบได้ เช่นนี้เองค่ะ

                            นมแม่ไม่ใช่เป็นเพียงแค่สารอาหาร แต่ คือ ยาต้านเชื้อโรค

                            อนาคตช่างสดใส อนาคต คือ นมแม่!
                            /แอดมินหมอติ๋ม


                            (Cr.Facebook ของ คุณ Vicky Greene http://www.huffingtonpost.com/entry/people-are-loving-the-results-of-this-breast-milk-petri-dish-experiment_us_589de343e4b094a129ea7815?6xadzpvi และขอบคุณ พญ. กรรณิการ์ บางสายน้อย ที่นำมาเผยแพร่ค่ะ)
                            ขอบคุณข้อมูลจาก  : เพจ มูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย

                            มหัศจรรย์นมแม่ แท้จริง!

                            นอกจากผลวิจัยที่ชี้ให้เห็นว่านมแม่เปรียบเสมือนยาต้านเชื้อโรคชั้นเยี่ยมให้กับลูกน้อยของเราแล้ว เชื่อหรือไม่ว่านมแม่ยังมีประโยชน์มากมายอีกหลายข้อ โดยเราสามารถแบ่งข้อดีของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ออกเป็น ผลดีต่อแม่ และผลดีต่อลูก ดังนี้

                            เมื่อ เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ส่งผลดีต่อสุขภาพของแม่

                            • ป้องกันภาวะตกเลือดหลังคลอด เนื่องจากทำให้เกิดการกระตุ้นการหลัง hormone oxytocin ทำให้มดลูกกลับสู่สุขภาพปกติเร็วขึ้น
                            • ช่วยการคุมกำเนิด เนื่องจากกดการทำงานของรังไข่ โดยแม่ที่เลี้ยงนมลูกอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอจะมีโอกาสตั้งครรภ์ในระยะ 6 เดือนแรกหลังคลอดน้อยกว่าร้อยละ 2 แต่หลังจาก 6 เดือนไปแล้วแนะนำให้คุมกำเนิดด้วยวิธีอื่นร่วมด้วย
                            • ช่วยลดน้ำหนักแม่ในระยะหลังคลอด โดยน้ำหนักจะค่อยๆลดประมาณ 0.6-0.8 kg/เดือน เนื่องจากมีการเผาผลาญไขมันที่เก็บสะสมไว้ในระยะตั้งครรภ์ เพื่อใช้ในการสร้างน้ำนม ทำให้แม่กลับมามีรูปร่างที่สวยงามได้เร็ว มีการศึกษาว่า การให้นมแม่ถึงอายุ 1 ปี แม่จะมีน้ำหนักใกล้เคียงกับเมื่อก่อนตั้งครรภ์
                            • ลดความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โดยเฉพาะมารดาที่เป็น GDM ซึ่งกลไกคิดว่าเกิดจากการที่มีน้ำหนักตัวลดลง การเปลี่ยนแปลงสัดส่วน การกระจายของไขมัน และความไวต่อการตอบสนองของอินซูลิน
                            • ลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจขาดเลือด ความดันโลหิตสูงและไขมันในเลือดสูง หากเคยเลี้ยงบุตรด้วยนมแม่นาน 12 เดือนขึ้นไป
                            • ลดความเสี่ยงต่อภาวะกระดูกพรุน เนื่องจากการสร้างมวลกระดูกจะสูงมากหลังหยุดให้นมแม่ และจะยังมีผลต่อไปอีก 5-10 ปี
                            • ลดความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งรังไข่ชนิดเยื่อบุผิว กรณีถ้าให้นานกว่า 18 เดือน (แต่ถ้าให้ระยะสั้นๆ จะลดโอกาสการเกิดแต่ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ) มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกและมะเร็งเต้านม โดยเฉพาะมะเร็งเต้านม ในสตรีวัยที่มีประจำเดือน ยิ่งให้นมนาน ก็ยิ่งมีผลในการป้องกันการเกิดมะเร็งเต้านมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ

                            เลี้ยงลูกด้วยนมแม่

                            เมื่อ เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ส่งผลดีต่อสุขภาพทารก

                            • เสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรค โดยการสร้างจุลินทรีย์ประจำถิ่น (Microbial colonization) บนผิวหนังของลูกชนิดเดียวกับแม่ มีสาร prebiotics ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของ Bifidobacterium ในลำไส้ทารก นอกจากนี้ในน้ำนมแม่ยังมีสารนิวคลีโอไทด์หลายชนิด ช่วยทำให้เยื่อบุลำไส้ในลำไส้ทารกเจริญเติบโตเร็ว เพื่อรองรับการสัมผัสกับเชื้อประจำถิ่น การได้รับ sIgA บนบริเวณลานนมซึ่งจะไปดักจับเชื้อโรคบนเยื่อบุผิวลำไส้ และเยื่อบุผิวบนอวัยวะอื่นๆ เช่น ระบบทางเดินหายใจ นอกจากนี้ยังมี T-lymphocyte ทำหน้าที่จับกินเชื้อโรคที่มาเกาะเยื่อบุผิว โดยภาพรวม ทำให้ลดอัตราตายของทารกและเด็ก โดยเฉพาะจากโรคติดเชื้อทางระบบหายใจ และโรคอุจจาระร่วง
                            • ลดโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้ เช่นโรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ โรคหืด โดยมีการศึกษาว่า การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวอย่างน้อย 3 เดือน ช่วยลดโอกาสการเกิด atopic dermatitis และโรคหืดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิตินอกจากนี้ยังลดโอกาสการเกิดเป็นเบาหวาน
                            • เสริมสร้างสมองให้ว่องไวในการเรียนรู้ เพิ่มระดับเชาว์ปัญญา จึงทำให้ทารกเติบโตอย่างเต็มศักยภาพ มีสุขภาพที่ดี เติบโตสมวัย ในนมแม่จะมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสายโมเลกุลยาว ซึ่งมีความสำคัญมากต่อการเจริญของเนื่อเยื่อประสาทและจอประสาทตาเมื่ออายุ 6 เดือน

                            นอกจากนี้ ยังเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกตลอดเวลาที่ให้นมบุตร ซึ่งสามารถพัฒนาพฤติกรรมทางสังคม ทารกจะเกิดการเรียนรู้เนื่องจากมีการทำงานของสมองที่ตอบสนองต่อสิ่งเร้าตลอดเวลา นอกจากนี้การให้ลูกได้ดูดนมแม่ จะทำให้มีการหลั่ง oxytocin ในสมองของมารดา มีผลให้มารดาคลายความกังวล ลดความก้าวร้าวและมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทางสังคมที่เร็วขึ้น

                            ไม่ต้องห่วงลูกขาดสารอาหาร หากทำตามนี้…

                            ข้อเสนอแนะการเลี้ยงดูทารก และเด็กตามนโยบายสาธารณะของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ ได้ให้แนวทางในการเลี้ยงดูด้วยนมแม่ที่เหมาะสม ดังต่อไปนี้

                            1. ช่วงวัยแรกเกิดถึง 6 เดือนให้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว โดยให้ดูดนมแม่เร็วที่สุดหลังเกิดหรือภายใน 1 ชั่วโมงหลังคลอด หลังจากนั้นให้นมลูกบ่อยครั้งตามความต้องการของลูก
                            2. ช่วงอายุ 6-12 เดือนให้นมแม่ร่วมกับอาหารทารกตามวัย
                            3. ช่วงอายุ 1-2 ปี ให้อาหารตามวัย 3 มื้อร่วมกับนมแม่
                            ขอบคุณข้อมูลจาก : www.medicine.cmu.ac.th

                            อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิก!

                            เคล็ดลับ! เลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างไรให้สำเร็จ

                            อุ่นนมแม่ อย่างไรไม่ให้เสียคุณค่าสารอาหาร?

                            เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ : 10 เรื่องอะไร ควรทำ ไม่ควรทำ ช่วงให้นมลูก

                            เทคนิคเพิ่มน้ำนมแม่ ให้ลูกมีกินได้นานเป็นปี

                            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่


                              2 เรื่องสำคัญ แม่ท้องต้องทำ เพื่อให้ลูกเกิดมาครบ 32 และมีสมองดี

                              กลัวลูกออกมาไม่สมบูรณ์ …การตั้งครรภ์เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ก่อให้เกิดความรู้สึกทั้งความสุข ความตื่นเต้นให้กับสมาชิกในครอบครัวและสิ่งหนึ่งที่เป็นความคาดหวังของผู้เป็นพ่อแม่ก็คือ ลูกน้อยในครรภ์จะเติบโตด้วยความสมบูรณ์แข็งแรง มีอวัยวะครบ 32 ประการ

                              แต่การขาดความรู้ความเข้าใจในการดูแลตนเองของผู้เป็นแม่ ตั้งแต่การเตรียมความพร้อมก่อนตั้งครรภ์จนถึงระยะครรภ์ โดยเฉพาะในช่วง 1 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ ซึ่งเป็นช่วงที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับการพัฒนาสมองและระบบประสาทของทารก ซึ่งหากแม่ท้องได้รับสารอาหารหรือการดูแลที่ไม่เพียงพอ ทารกจะเสี่ยงต่อความพิการแต่กำเนิดและจะมีปัญหาปากแหว่งเพดานโหว่และเชาว์ปัญญาต่ำ

                              เรื่องสำคัญแม่ท้องต้องทำ! หาก กลัวลูกออกมาไม่สมบูรณ์ ครบ 32

                              ความผิดปกติของทารกที่เกิดขึ้นตั้งแต่อยู่ในครรภ์แม่ เป็นภาวะที่พบได้ตามธรรมชาติ เช่น ฝาแฝดตัวติดกัน คนมีแขนขาสั้น คนแคระ เด็กหัวบาตร ที่ถูกพามาแสดงในงานวัด ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่เรียกว่าเป็นความพิการแต่กำเนิด

                              โดยเมื่อแรกคลอดพบว่าเด็กพิการอย่างใดอย่างหนึ่งร้อยละ 3.5 เมื่อได้ติดตามต่อไปจนถึงอายุ 5 ปี เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 7.5 เพราะความพิการบางอย่างซ่อนอยู่และแสดงออกภายหลัง

                              เด็กบางคนคลอดออกมาลืมตาแป๋วแต่ความจริงตาบอดมองไม่เห็น พ่อแม่จะทราบในภายหลัง บางคน 2 ขวบแล้วยังไม่พูดสักทีพบว่าหูไม่ได้ยิน เป็นต้น ซึ่งความรุนแรงก็มีความแตกต่างกันตั้งแต่อาการน้อยมากจนถึงตาย ซึ่งเด็กที่เกิดมามีความพิการมากจำนวนร้อยละ 10 ตายตั้งแต่อายุ 1 เดือนแรก

                              • ทั้งนี้ความพิการแต่กำเนิดมีหลายอย่าง อาจเกิดจากความผิดปกติของโครโมโซม ความผิดปกติของยีนสิ่งแวดล้อม ซึ่งความพิการทางกาย บางอย่างสามารถผ่าตัดแก้ไขได้ เช่น ปากแหว่ง เพดานโหว่แต่ก็สามารถป้องปันไม่ให้เกิดกับทารกได้เช่นกัน
                              • รวมไปถึงความพิการบางอย่างอาจมาจากการที่คุณแม่ตั้งครรภ์ส่วนหนึ่งมักไม่รู้ว่าตนเองตั้งครรภ์อาจเป็นเพราะไม่ได้เตรียมพร้อมที่จะมีลูก จึงไม่ได้เตรียมความพร้อมทางด้านร่างกาย ก็ทำให้เด็กในครรภ์เสี่ยงต่อความพิการแต่กำเนิดได้ เช่นกัน

                              Good to know : โรคพิการแต่กำเนิดมีมากกว่า 7,000 โรค ปัจจุบันมีทารกพิการแต่กำเนิดทั่วโลกกว่า 8 ล้านคน ประเทศไทยมีทารกแรกเกิด 800,000 คน /ปี พบพิการแต่กำเนิด 3-5 % หรือ 24,000-40,000 คน/ปี ซึ่งในประเทศไทยยังไม่มีการจดทะเบียนและจัดเก็บข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพเพียงพอ

                              1. เตรียมฝากครรภ์ และตรวจหาความผิดปกติของทารก

                              กลัวลูกออกมาไม่สมบูรณ์

                              สำหรับว่าที่คุณแม่ ซึ่งกำลังตั้งครรภ์อยู่ สิ่งสำคัญคือเมื่อรู้ตัวว่าตั้งครรภ์ ควรรีบไปฝากครรภ์ทันที การตรวจว่าทารกในครรภ์สมบูรณ์ดีหรือไม่ เริ่มตั้งแต่รู้ว่าตั้งครรภ์ คุณแม่มาฝากครรภ์ แพทย์จะตรวจเลือดและปัสสาวะเพื่อดูความพร้อมของสุขภาพแม่ และนัดติดตามดูการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์เป็นระยะๆ หากตรวจพบว่าเป็นปกติ ทารกก็น่าจะสมบูรณ์ดี แต่อย่างไรก็ตามต้องเน้นย้ำว่า “การตั้งครรภ์เป็นความเสี่ยงของคุณแม่และทารกในครรภ์ตลอดการตั้งครรภ์และการคลอด” เพราะทางการแพทย์ยังไม่สามารถติดตามดูทารกได้ตลอดเวลา ยังต้องอาศัยความร่วมมือในการนับการดิ้นของทารกในครรภ์แม่ เพื่อช่วยบอกความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งความรู้ ความเข้าใจและร่วมมือกันระหว่างแพทย์และครอบครัวก็จะลดปัญหาและภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นได้

                              Must readนัดตรวจครรภ์ครั้งแรก เตรียมตัวอย่างไรดี
                              Must read4 ทางเลือกในการตรวจคัดกรองดาวน์ซินโดรม แบบไหนดีที่สุด?

                              โดยสูติแพทย์จะทำการตรวจหาความผิดปกติของทารกในครรภ์ ด้วยวิธีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เช็กประวัติคุณพ่อและคุณแม่ เพื่อดูความเสี่ยงของการเป็นโรคติดต่อทางพันธุกรรม  การอัลตราซาวด์  การตรวจเลือด การเจาะน้ำคร่ำ เพื่อตรวจดูโครโมโซมว่า ผิดปกติหรือไม่ และเมื่ออายุครรภ์อยู่ในช่วงระยะตตั้งแต่สัปดาห์ที่ 18 ถึงสัปดาห์ที่ 34 ก็จะมีการวัดความสูงยอดมดลูก ซึ่งจะแสดงได้ถึงทารกในครรภ์มีสุขภาพแข็งแรง มีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง การตรวจอัตราการเต้นของหัวใจทารกโดยเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ และการตรวจการดิ้นของทารกในครรภ์ ซึ่งการตรวจทั้งหมดนี้จะช่วยให้คุณแม่ท้อง รู้ได้ว่าลูกในท้องมีภาวะที่เป็นปกติหรือไม่

                              อ่านต่อ >> “สารอาหารสำคัญเพื่อลูกครบ 32 และมีสมองดี” คลิกหน้า 2

                              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                               

                                ตั้งครรภ์ 7-8 สัปดาห์ และพัฒนาการทารกในครรภ์

                                พัฒนาการ การตั้งครรภ์ 7-8 สัปดาห์ ของคุณแม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง และลูกน้อยในครรภ์จะเติบโตมากขนาดไหนแล้วนะ มาดูกันเลยค่ะ

                                พัฒนาการ การตั้งครรภ์ 7-8 สัปดาห์

                                พัฒนาการ การตั้งครรภ์ 7-8 สัปดาห์

                                อาการคนท้อง 7-8 สัปดาห์

                                แพ้ท้องชัดเจน เมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์ได้ประมาณ 7-8 สัปดาห์ จะเป็นช่วงที่คุณแม่เริ่มรู้สึกได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับร่างกายอย่างชัดเจน และเริ่มรู้ได้ว่ากำลังตั้งครรภ์ นั่นคือ

                                • เวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน เหม็นกลิ่นอาหารมากขึ้น

                                คุณแม่ตั้งครรภ์จะมีอาการ แพ้ท้อง  โดยมีอาการวิงเวียนศีรษะ พะอืดพะอม คลื่นไส้อาเจียน เหม็นกลิ่นอาหาร แต่ละคนอาจมีอาการมากน้อยต่างกัน และอาการสำคัญคือ Morning Sick ที่ทำให้คุณแม่มีอาการแพ้ท้องได้ในตอนเช้าๆ  โดยสาเหตุหลักเกิดจาก ฮอร์โมน HCG (Human Chorionic Gonadotropin) ฮอร์โมนตัวนี้จะสร้างขึ้นจากรก เมื่อตัวอ่อนของลูกน้อยฝังตัวจนเกิดการตั้งครรภ์และสร้างรก  HCG จะเพิ่มขึ้นในกระแสเลือดคุณแม่เรื่อยๆ และรวดเร็ว สูงสุดในช่วงกำลังตั้งครรภ์ได้ 7-10 สัปดาห์ ทำให้คุณแม่ไวต่อการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนจนแพ้ท้องหนักในช่วงนี้นั่นเอง แต่หลังจาก 3 เดือนแรก หรือ ประมาณสัปดาห์ที่ 13-27  ฮอร์โมนในร่างกายแม่จะค่อยๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ตามมาได้อีก  ซึ่งตลอดการตั้งครรภ์จะมีฮอร์โมนสูงถึง 300 เท่าของตอนที่ยังไม่ตั้งครรภ์เลยทีเดียว

                                คุณแม่จึงควรทำความเข้าใจและรับมือกับอาการแพ้ท้อง คลื่นไส้ อาเจียนด้วยการจิบน้ำขิงอุ่นๆ หรือน้ำหวานป้องกันอาการวิงเวียนคลื่นไส้ในตอนเช้า ทานขนมปังกรอบ หลีกเลี่ยง อาหารทอด อาหารมัน อาหารเค็ม อาหารกลิ่นแรง ทานอาหารน้อยๆ แต่บ่อยมื้อ เพื่อป้องกันการอาเจียน ลดความเครียด  และหากรู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อย เวียนศีรษะให้พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอค่ะ

                                • เต้านมคัดตึง

                                คุณแม่จะเจ็บคัดตึงเต้านมมาก เต้านมมีการขยายขนาดมากขึ้น บริเวณฐานของหัวนมหรือลานนมกว้างขึ้น มีสีเข้มขึ้นและนุ่มขึ้น

                                • ตกขาวมากกว่าปกติ

                                คุณแม่จะมีตกขาวมากกว่าปกติ เพราะมีเลือดไปเลี้ยงอวัยวะเพศภายนอกและช่องคลอดมากขึ้นอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังอาจสังเกตได้ว่าอวัยวะเพศมีสีเข้มยิ่งขึ้น รวมทั้งมดลูกของคุณแม่จะมีขนาดใหญ่กว่าเดิมเป็นสองเท่า

                                สังเกตตกขาวผิดปกติหรือไม่ ? อาการตกขาวเกิดจากฮอร์โมนและการมีเลือดไหลเวียนไปเลี้ยงช่องคลอดเพิ่มขึ้น ทำให้ร่างกายคุณแม่สร้างมูกหรือตกขาวมากกว่าปกติ ซึ่งหากตกขาวไม่มีกลิ่น ไม่มีอาการคันถือว่าปกติ คุณแม่เพียงทำความสะอาดอวัยวะเพศด้านนอกด้วยน้ำสะอาดตามปกติก็เพียงพอ ห้ามใช้น้ำยาฆ่าเชื้อใดๆ ล้าง หรือสวนล้างเข้าไปในช่องคลอดเด็ดขาด แต่หากตกขาวมากผิดปกติ และมีกลิ่นเหม็น หรือมีอาการคัน ควรรีบไปปรึกษาแพทย์ทันที ห้ามซื้อยามาเหน็บเอง เพราะอาจเกิดอันตรายจนอักเสบหรือติดเชื้อ และส่งผลต่อลูกน้อยในครรภ์ได้

                                • ระบบเผาผลาญทำงานมากขึ้น

                                เนื่องจากฮอร์โมนและเลือดที่มาเลี้ยงในร่างกายคุณแม่เพิ่มมากขึ้น ทำให้ระบบการเผาผลาญสารอาหารในร่างกายก็เพิ่มมากเช่นกัน ดังนั้นคุณแม่จึงควรใส่ใจดูแลเรื่องโภชนาการ ให้ได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน 5 หมู่อยู่เสมอ

                                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                 

                                ติดตาม ท้องแล้ว! ต้องทำยังไงต่อ? คลิกหน้า 2

                                  วิธีการเช็ดตัวลดไข้

                                  วิธีการเช็ดตัวลดไข้ ด้วยน้ำอุ่นผสมมะนาว

                                  เผยผลวิจัย! วิธีการเช็ดตัวลดไข้ ด้วยน้ำอุ่นผสมมะนาว เช็ดตัวเด็กในโรงพยาบาลที่อายุต่ำกว่า 5 ขวบ ช่วยลดไข้ได้มากกว่าน้ำอุ่นอย่างเดียวถึง 2 เท่า

                                  วิธีการเช็ดตัวลดไข้ ด้วยน้ำอุ่นผสมมะนาว

                                  นางสาวชลิดา ภาวนาเกษมศานต์ พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ ประจำโรงพยาบาลนครพิงค์ จังหวัดเชียงใหม่ นำเสนอผลงานวิจัยเรื่องประสิทธิภาพ น้ำอุ่นผสมมะนาวลดไข้ เพื่อการเช็ดตัวเด็กในโรงพยาบาลที่อายุต่ำกว่า 5 ขวบ ทีมงาน Amarin Baby & Kids มี วิธีการเช็ดตัวลดไข้ ทารกด้วยน้ำอุ่นผสมมะนาว ที่ถูกต้องมาให้ได้ทราบกันค่ะ

                                  แบบไหนถึงเรียกว่าลูกเป็นไข้

                                  หากลูกร้องไห้งอแงกวนตลอดเวลา นั้นอาจเป็นเพราะลูกมีไข้ไม่สบาย ในเบื้องต้นควรที่จะใช้ปรอทวัดไข้ให้กับลูก หากวัดอุณหภูมิร่างกายลูกได้ประมาณ 37.5 – 38 องศาเซลเซียสขึ้นไปถือว่าลูกเป็นไข้ การดูแลเบื้องต้นเพื่อให้ไข้ลดลง คุณแม่สามารถเช็ดตัวลดไข้ให้กับลูกได้ แต่หากเช็ดตัวแล้วอาการไข้ตัวร้อนไม่ลง ควรต้องรีบพาลูกไปพบคุณหมอเพื่อตรวจรักษาอาการอีกครั้ง

                                  Must read >> ปรอทวัดไข้มีกี่แบบ ? เลือกแบบไหนวัดไข้ลูกแม่นยำที่สุด!

                                  Must read >> วิธีใช้ปรอทวัดไข้ วัดแบบไหนให้รู้จริงลดเสี่ยงชัก

                                  การวัดไข้ให้ลูกที่ถูกต้อง

                                  1. ให้ใช้เทอร์โมมิเตอร์วัดไข้ แต่หากไม่มีอุปกรณ์ให้ใช้หลังมือสัมผัสตรงหน้าผาก ลำตัว
                                  2. การวัดอุณหภูมิทางทวารหนักเป็นการวัดอุณหภูมิของแกนร่างกายที่แม่นยำมากที่สุด
                                  3. การวัดอุณหภูมิทางปากเป็นวิธีที่ง่าย มีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วสอดคล้องตามอุณหภูมิของแกนร่างกาย
                                  4. การวัดอุณหภูมิทางแก้วหูโดยใช้รังสีอินฟราเรด เป็นวิธีที่ง่ายและสะดวก
                                  5. การวัดอุณหภูมิทางรักแร้เป็นวิธีที่เหมาะสม และแม่นยำในทารกแรกเกิด

                                   

                                  สำหรับ วิธีการเช็ดตัวลดไข้ ให้ลูก เมื่อก่อนคุณแม่อาจจะใช้แค่น้ำร้อนต้มสุกผสมกับน้ำเย็น เพื่อให้ได้อุณหภูมิอุ่นๆ แล้วนำมาเช็ดตัวให้ลูกเพื่อลดไข้ ซึ่งผลที่ได้ก็ใช้ได้ดีอยู่ แต่ปัจจุบันนี้พบว่า วิธีการเช็ดตัวลดไข้ให้ลูกด้วยน้ำอุ่นผสมน้ำมะนาว จะช่วยให้อุณหภูมิร่างกายลดลงได้ดีกว่า และเพื่อให้คุณแม่สามารถนำวิธีการเช็ดตัวลดไข้ลูกด้วยน้ำอุ่นผสมมะนาวได้อย่างถูกต้อง สามารถติดตามได้จากข้อมูลต่อไปนี้ค่ะ

                                   

                                  อ่านต่อ >> “การเช็ดตัวลดไข้ ด้วยน้ำอุ่นผสมมะนาว” หน้า 2

                                   

                                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                    แม่ท้อง ลูกตายได้ จากภาวะ ครรภ์เป็นพิษรุนแรง HELLP Syndrome

                                    แม่ท้อง ลูกตายได้ จากภาวะ ครรภ์เป็นพิษรุนแรง HELLP Syndrome ครรภ์เป็นพิษถือเป็นโรคแทรกซ้อนที่มีความรุนแรงสูงสุดของคนท้อง อาการของครรภ์เป็นพิษคือ ท้องแล้วความดันโลหิตจะสูงขึ้นเรื่อยๆจนทำให้อวัยวะภายในร่างกาย เช่น ตับ ไต หัวใจ เริ่มพัง โดยแบ่งครรภ์เป็นพิษออกเป็น ครรภ์เป็นพิษธรรมดา และครรภ์เป็นพิษขั้นรุนแรง

                                    ครรภ์เป็นพิษรุนแรง HELLP Syndrome

                                     

                                    ครรภ์เป็นพิษรุนแรง HELLP Syndrome

                                     

                                    ภาวะครรภ์เป็นพิษขั้นรุนแรง และกลุ่มอาการ HELLP Syndrome

                                    สำหรับครรภ์เป็นพิษธรรมดา มักจะมีความดันสูงและปวดหัวอย่างเดียว ความดันอยู่ที่ประมาณ 140/90 ตรวจเจอไข่ขาวในปัสสาวะ ขาบวมมาก และมักพบตอนอายุครรภ์ 35-36 สัปดาห์หรือท้องใกล้แก่เท่านั้น ในขณะที่ครรภ์เป็นพิษรุนแรง นอกจากความดันสูงมาก ตรวจเจอไข่ขาวแล้ว ยังพบว่ามีเกล็ดเลือดต่ำ อวัยวะภายในล้มเหลวหรือพัง คือมีค่าการทำงานที่ผิดปกติในไตหรือตับ เช่น ตับบวม มีอาการทางระบบประสาท หรือน้ำท่วมปอด ความดันสูงจนทำให้การทำงานของอวัยวะต่างๆ ผิดปกติ เช่น ปวดหัวมาก ตาพร่ามัว คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย ปวดท้องชายโครงขวา และมักเกิดได้ตลอดทุกช่วงอายุการตั้งครรภ์

                                    ครรภ์เป็นพิษขั้นรุนแรง หรือ กลุ่มอาการ HELLP Syndrome ถือเป็นระดับตัวท็อปของครรภ์เป็นพิษ และมักเกิดขึ้นได้น้อยมาก สำหรับ HELLP Syndrome จะมีอาการหลักๆ คือจะมีระดับความดันสูงเกิน160/110  ซึ่งคุณแม่บางคนมาด้วยความดันที่สูงถึง 220 ก็มี  และยังมีการสลายตัวของเม็ดเลือดแดง ตรวจพบเอ็นไซม์ของตับเนื่องจากตับถูกทำลาย และเกล็ดเลือดต่ำ นอกจากนี้ยังมีอาการหัวใจโต แน่นหน้าอก หายใจไม่ออก จุกใต้ลิ้นปี่ น้ำท่วมปอด และหากมีอาการชักด้วยจะรุนแรงมากที่สุด ซึ่งทั้งหมดนั้นล้วนเกิดจากความดันโลหิตที่สูงมากๆ นั่นเอง

                                    HELLP Syndrome นั้นสามารถเกิดกับใครก็ได้ แม้แต่คุณแม่ที่สุขภาพแข็งแรงดี มักเกิดกับท้องแรก และสามารถเกิดซ้ำได้ในท้องที่สอง ร้อยละ 15-30 เป็นภาวะที่นอกเหนือความคาดหมายทุกอย่าง ซึ่งยังไม่มีใครสามารถหาสาเหตุได้

                                     

                                    ใครเสี่ยง ครรภ์เป็นพิษรุนแรง HELLP Syndrome

                                    ภาวะครรภ์เป็นพิษรุนแรงนี้เกิดขึ้นได้ตั้งแต่ท้องแรก และเกิดซ้ำในท้องที่สองได้ รวมถึงคุณแม่ท้องที่มีภาวะความดันโลหิตสูงหลังอายุครรภ์ 20 สัปดาห์ขึ้นไป แต่ส่วนใหญ่จะพบในแม่ท้องไตรมาสสามเป็นต้นไป รวมถึงคุณแม่ที่ท้องตอนอายุน้อยหรือคุณแม่ท้องที่อายุมากเกินไป รวมถึงแม่ท้องกลุ่มเสี่ยงสูง เช่น แม่ท้องที่มีโรคประจำตัวบางอย่างเกี่ยวกับหลอดเลือด อาทิ โรคไต เบาหวาน ความดัน เป็นต้น

                                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                     

                                    ติดตาม แม่ท้อง ลูกตายได้ จากครรภ์เป็นพิษรุนแรง HELLP Syndrome คลิกต่อหน้า 2