อาการลูกติดแม่ มากไปแก้ไขอย่างไรดี?

Alternative Textaccount_circle
event

อาการลูกติดแม่ คุณแม่คนไหนเป็นแบบผู้เขียนบ้าง ที่ลูกเราติดเราแจไม่ยอมให้เราไปทำอะไรได้เลย จะเข้าห้องน้ำก็เรียกแม่ จะเอาผ้าไปตากก็เดินตามแบบไม่ให้เราคลาดสายตา สามีจะอุ้มลูก เอาลูกไปดูให้  ลูกก็ไม่เอาพ่อซะนี่! ลูกตัวติดกับแม่เป็นตังเมแบบนี้ เขาเรียกอาการติดแม่ใช่ไหมเนี่ย?  ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีเคล็ดลับช่วยปรับพฤติกรรม อาการลูกติดแม่ มาฝากค่ะ

 

อาการลูกติดแม่ ปัญหานี้แก้ไขได้อย่างไร?

ลูกๆ ที่บ้านใครมีอาการแบบนี้บ้างคะ…

เรียกหา “แม่” อยู่ตลอดเวลา

แม่นั่งอยู่ตรงไหน ลูกนั่งตัวติดกับแม่เป็นตังเม

พ่อจะอุ้ม พ่อจะป้อนข้าว ก็ไม่ยอม  จะให้แม่ทำให้คนเดียว

ตื่นขึ้นมาไม่เห็นหน้าแม่ก็ร้องไห้จะหาแม่คนเดียว ใครมาอุ้ม มาปลอบก็ไม่เอา

ปั๊มนมแม่ใส่ขวดให้ลูกกิน ก็ไม่ยอมจะร้องกินนมจากเต้าแม่อย่างเดียว

นี่แค่น้ำจิ้มกับอาการลูกติดแม่นะคะ ซึ่งคุณแม่บางท่านอาจบอกก็ดีแล้วที่ลูกติดแม่ ดีกว่าลูกไม่เอาแม่เลย คือลูกเรียกร้องจะขอแม่นี่ดีค่ะ ใครเป็นแม่ย่อมปลื้มใจ แต่ถ้าลูกจะให้ตลอดทั้งวันต้องมีแม่ทำให้เท่านั้น แบบนี้แม่คงเหนื่อยไม่มีเวลาทำเรื่องส่วนตัวของตังเองเลย และแน่นอนว่าความเครียด ความเหนื่อยล้าย่อมมาเยือนคนเป็นแม่อย่างแน่นอน ซึ่งก็จะทำให้คุณภาพในการเลี้ยงลูกได้ไม่ดีเท่าที่ควร เพราะท้ายที่สุดแล้ว การเลี้ยงลูก เมื่อถึงช่วงเวลาหนึ่ง หน้าที่ของแม่ก็คือต้องหัด ต้องฝึกสอนให้ลูกรู้จักทำอะไรได้ด้วยตัวเอง รู้จักว่าจะต้องรอคอยได้อย่างไรหากแม่ไม่อยู่บ้านออกไปทำธุระข้างนอก แล้วเขาจะต้องอยู่กับย่า ยาย พี่เลี้ยง หรือพ่อ

จริงๆ ปัญหาลูกติดแม่เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ อย่างตัวผู้เขียนเคยเจอปัญหาที่ว่าลูกติดกินนมแม่มาก จนไม่ยอมห่างเต้าเลย กระทั่งปั๊มนมแม่ใส่ขวดให้เขากินก็ยอม จะขอกินจากเต้าแม่อย่างเดียว ทั้งๆ ที่ลูกก็อายุขวบกว่าเกือบสองขวบแล้ว  จนไม่รู้ว่าควรจะให้ลูกหย่านมแม่ได้อย่างไร เพราะแม่เองก็สงสารใจอ่อนทุกครั้งที่ลูกทำสายตาอ้อนวอน  แต่ก็อย่างว่าค่ะเมื่อถึงจุดหนึ่งหน้าที่ของแม่ก็คือการฝึกให้ลูกโตขึ้นตามวัยของเขา

ซึ่งคุณหมอเด็กแนะนำวิธีแก้ไข คือ  ควรฝึกวินัยลูก ไม่ตามใจ ถ้าลูกร้องไห้ ก็ต้องยอมให้ร้อง ไม่กินนมแม่พร่ำเพรื่อ ให้กินเป็นเวลา ถ้ายังไม่ถึงเวลา ก็ชวนเล่น ทำกิจกรรมอื่นๆ เช่น ชวนเล่นสนุกๆ ที่สำคัญ คือ คนในครอบครัวควรช่วยกันดูแลลูกด้วย อย่าโยนภาระให้คุณแม่คนเดียว ต้องหากลยุทธวิธี และ ใช้ฝีมือในการทำให้ลูกติดใจคุณพ่อ1

 

อ่านต่อ >> “5 วิธีช่วยแก้ไขปัญหาอาการลูกติดแม่” หน้า 2

 

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

9 ผัก ผลไม้สีแดง สารต้านอนุมูลอิสระสูง ดีต่อสุขภาพคุณแม่

Alternative Textaccount_circle
event

ผัก ผลไม้สีแดง การดูแลสุขภาพด้วยการทานอาหารที่มีประโยชน์จำเป็นกับทุกคน ยิ่งโดยเฉพาะกับคนที่แม่ยิ่งต้องดูแลสุขภาพมากกว่าปกติ นั่นเพราะเรายังมีชีวิตน้อยๆ ที่เป็นเหมือนแก้วตาดวงใจ จะต้องอยู่ดูแลเขาไปจนเติบใหญ่  ทีมงาน Amarin Baby & Kids มี ผัก ผลไม้สีแดง ที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ที่อยากแนะนำให้คุณแม่ได้ทานกันค่ะ

 

ผัก ผลไม้สีแดง – สารต้านอนุมูลอิสระมีในอาหารประเภทใด?

เชื่อว่าส่วนใหญ่คงเคยได้ยินเกี่ยวกับสารต้านอนุมูลอิสระกันมาบ้างแล้วว่ามีประโยชน์อย่างไรกับสุขภาพร่างกาย สารต้านอนุมูลอิสระหรือสารแอนติออกซิแดนซ์ (antioxidants) ได้แก่ วิตามินซี วิตามินอี ซีลีเนียม บีตาแคโรทีน วิตามินเอ พฤกษาเคมีต่างๆ (phytochemicals) เช่น สารประกอบฟีโนลิก (polyphenol) จากชาและสมุนไพรบางชนิด ไอโซฟลาโวน (isoflavones) จากถั่วเหลือง เป็นต้น เพื่อให้ร่างกายได้รับสารต้านอนุมูลอิสระพอเพียงกับความต้องการ ควรกินผักผลไม้สีเข้มเป็นประจำ1

สารต้านอนุมูลอิสระสามารถช่วยชะลอวัย และช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งได้อีกด้วย  ดังนั้นหากอยากให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ ควรที่จะทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระกันเป็นประจำด้วยนะคะ  และนี้คือ ผัก ผักไม้สีแดงที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่อยากให้ทุกคนได้ทานกัน โดยเฉพาะกับคุณแม่ และผู้หญิงทุกคน เพราะดีกับสุขภาพมากจริงๆ นั่นคือ

อ่านต่อ >> “9 ผักผลไม้สีแดงสารต้านอนุมูลอิสระสูง ดีต่อสุขภาพ” หน้า 2

 

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

เช็ก พัฒนาการเด็ก ตามวัย! กับคู่มือสำหรับส่งเสริมพัฒนาการเด็กแรกเกิด -5 ปี

event

พัฒนาการเด็ก 0-5 ปี …คู่มือสำหรับส่งเสริมพัฒนาการเด็กแรกเกิด -5 ปี แบ่งพัฒนาการตามวัยออกเป็น 5 ด้าน ได้แก่ การเคลื่อนไหว กล้ามเนื้อมัดเล็กและสติปัญญา การเข้าใจภาษา การใช้ภาษา และการช่วยเหลือตัวเองและสังคม สำหรับคุณพ่อคุณแม่

ในหลายปีก่อนหน้านี้ มีการคัดกรอง พัฒนาการเด็ก 330,000 ราย ในจำนวนนี้มีเด็ก 4,000 ราย ที่พัฒนาการมีปัญหาต้องได้รับการแก้ไข พญ.พรรณพิมล วิปุลากร รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต บอกว่า จำนวนเด็กที่มีปัญหาด้านพัฒนาการข้างต้นถือว่าน้อยมาก เมื่อเปรียบเทียบกับผลสำรวจพัฒนาการของเด็กไทยทั่วประเทศที่พบว่า  มีเด็กที่มีปัญหาพัฒนาการถึงร้อยละ 30  แสดงให้เห็นว่า ยังมีเด็กจำนวนมากที่มีปัญหาพัฒนาการบกพร่องต้องได้รับการแก้ไข

“อัตราการเข้าถึงบริการของเด็กที่มีปัญหาพัฒนาการ ปัญหาพฤติกรรมและอารมณ์ยังมีน้อย เด็กที่บกพร่องทาง สติปัญญามีการเข้าถึงเพียง 33,592 คน หรือประมาณ 5.23% และเป็นเด็กออทิสติก 7,212 คน หรือประมาณ 12.02% ของประชากรเด็ก การค้นหาช่วยเหลือเด็กที่มีความเสี่ยงและการดูแลส่งเสริมให้มีพัฒนาการตามวัยที่ถูกต้องเหมาะสม ตั้งแต่ระยะแรกอย่างเป็นระบบจึงมีความสำคัญ ยิ่งที่จะส่งผลให้เด็กเติบโตเป็นทรัพยากร ที่มีคุณภาพในการพัฒนาประเทศต่อไป การค้นหาจึงมีความสำคัญยิ่ง”

คู่มือสำหรับส่งเสริม พัฒนาการเด็ก ตามวัย 0-5 ปี

พัฒนาการเด็ก ตามวัย 0-5 ปี

ส่วนสาเหตุที่มีผลต่อพัฒนาการเด็ก พญ.พรรณพิมล อธิบายว่า ปัจจัยแรกมาจากสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลต่อสภาวะความสมบูรณ์ของเด็ก เช่น บางพื้นที่ยังมีปัญหาไอโอดีน ทำให้ส่งผลต่อการพัฒนาการทางสมอง การกินระหว่างตั้งครรภ์ของแม่ การดูแลลูกหลัง คลอด เป็นต้น การไม่รู้ของพ่อแม่ที่มาจากเวลาในการเลี้ยงดูที่จำกัด เนื่องจากปัจจุบัน แม่ต้องทำงานนอกบ้าน ทำให้มีเวลาเลี้ยงดู ลูกน้อยมาก ทำให้ไม่เห็นหรือสังเกตสิ่งบ่งบอกพัฒนาการของลูกว่าเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ล่าช้าหรือมีปัญหาหรือไม่ ทั้งการนั่ง คว้าของ  ส่งเสียง หันตามเสียงเรียก เป็นต้น เพื่อที่จะรีบแก้ไข และสุดท้ายคือโอกาสในการเข้าถึงบริการคัดกรอง

ด้วยเหตุนี้ที่ผ่านมาทางกรมสุขภาพจิตจึงได้มีการจัดทำเครื่องมือคัดกรองแบบง่ายๆ สำหรับพ่อแม่ในการติดตามดูพัฒนาการเด็กว่าเป็นไปตามวัยหรือไม่ จัดทำเป็นหนังสือ “คู่มือส่งเสริมพัฒนาการเด็กแรกเกิด 0-5 ปี สำหรับผู้ปกครอง” โดยภายในเล่มจะมีรายละเอียดการพัฒนาการเด็กใน 4 ด้านอย่างที่ควรจะเป็นไปในแต่ละช่วงอายุ เพื่อให้พ่อแม่ได้สังเกต ได้แก่

พัฒนาการเด็ก 4 ด้านสำคัญ

1.การพัฒนาของกล้ามเนื้อมัดใหญ่ ดูได้จากการเคลื่อนไหวของเด็ก ทั้งการคว่ำ คลาน ยืนและเดิน

2.การพัฒนาการใช้งานของกล้ามเนื้อ มัดเล็กและสติปัญญา ซึ่งจะมีความสัมพันธ์กันในการพัฒนาการต่อเนื่อง

3.การพัฒนา ทางอารมณ์และการเข้าสังคมของลูก

4.การพัฒนาภาษา การพูดของลูก ซึ่งพ่อแม่จะสังเกตลูกได้ไม่ยาก โดยหนังสือเล่มนี้เป็นเครื่องมือที่ผ่านการวิจัยและพัฒนามาหลายปีจนได้รับรางวัลระดับนานาชาติ United nations public service awards

ทั้งนี้ ระยะเวลาของการพัฒนาการเด็กยังแบ่งออกเป็น 4 ระยะ ก่อนที่จะถึงอายุ 5 ปี คือ ระยะอายุ 9 เดือน, 18 เดือน, 36 เดือน และ 42 เดือน โดยในช่วงขวบปีแรก คือ อายุ 9 เดือน อยากให้พ่อแม่ดูเป็นพิเศษ ซึ่งเด็กจะสามารถบอกถึงการพัฒนาการของตนเองได้ เพื่อที่จะได้นำไปสู่การแก้ไขในกรณีที่พบปัญหา ซึ่งหนังสือนี้ยังเป็นเครื่องมือในการค้นหาเด็กที่มีปัญหาพัฒนาการเพื่อนำเข้าสู่การแก้ไขเพื่อให้มีพัฒนาการที่ดีขึ้น

คลิกดาวน์โหลด >> “คู่มือสำหรับส่งเสริมพัฒนาการเด็กแรกเกิด -5 ปี”
คลิกหน้า 2

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

ข่มขืน

ข่มขืน ภัยมืดของสังคม กับความเสี่ยงทั้งแม่ลูก

Alternative Textaccount_circle
event
ข่มขืน
ข่มขืน

จากการรายงานข่าวของ Amarin TV ที่เผยแพร่สถิติเด็กถูก ข่มขืน กระทำชำเรา ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พบว่า ในปีที่ผ่านมามีเด็กเป็นเหยื่อถูกข่มขืนแล้วมากกว่า 100 คน โดยในปี 2559 มีเด็กถูกข่มขืน 120 คน และปี 2560 มีเด็กถูกข่มขืนแล้วกว่า 36 คน

(more…)

10ข้อคิด

ลูกๆ ควรอ่าน 10 ข้อฉุกคิด… ก่อนที่จะเถียงหรือขึ้นเสียงใส่แม่!

event
10ข้อคิด
10ข้อคิด

ก่อนที่จะเถียงแม่ …เชื่อว่ามีลูกๆ หลายคนคงมีอารมณ์แบบนี้เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง เพราะด้วยความเป็นห่วงลูก สัญชาตญาณความเป็นแม่ ก็อดไม่ได้ที่จะ พูด หรือจนกลายเป็นการบ่นไปบ้าง เพื่อเตือนลูก สอนลูก ซึ่งนั้นก็เป็นเพราะความรัก ความหวังดีและเป็นห่วงลูกนั้นเอง แต่ก็ทำให้คนเป็นลูก รู้สึกรำคาญ และเผลอขึ้นเสียงใส่ไปโดยไม่ได้ตั้งใจ หรือตั้งใจ จนทำให้เกิดความไม่เข้าใจหรือเข้าใจผิดกันได้

ก่อนที่จะเถียงแม่

10 ข้อฉุกคิด… ก่อนที่จะเถียงแม่

ด้วยเหตุนี้ Amarin Baby & Kids จึงอยากให้ทุกคนได้อ่านเรื่องราวนี้ไว้เตือนใจตัวเองและสอนลูก ๆ ให้รู้ว่า “แม่” คือคนที่รักและหวังดีโดยเสียสละทุกสิ่งกับเราได้มากขนาดไหน

ก่อนที่จะเถียงแม่หรือขึ้นเสียงใส่แม่ กับข้อคิดดีๆ จากเพจ นุสนธิ์บุคส์ และเมื่ออ่านเสร็จแล้วทบทวนตัวเองดูว่า… คุณมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ครบหรือไม่?

♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦

เย็นวันหนึ่ง ลูกชายวัยมัธยมปลายถูกคุณแม่บ่นว่าเรื่องไม่ยอมเก็บห้องนอน กินข้าวไม่เป็นเวลา ออกไปไหนไม่บอกก่อนล่วงหน้า ฯลฯ
หนุ่มน้อยทนไม่ได้ เพราะคิดว่าแม่ชอบจู้จี้จุกจิกเรื่องส่วนตัวของเขา ก็เลยเถียงแม่ออกไปด้วยเสียงอันดัง ทำให้คุณแม่ยิ่งโมโหที่ลูกชายไม่เชื่อฟัง

คุณพ่อเห็นท่าจะไม่ดี ก็เลยกันลูกชายออกมาและพาไปเดินเล่น
เดินไปด้วยกันเป็นนานสองนาน คุณพ่อจึงพูดกับลูกชายว่า
“การที่ลูกจะเถียงแม่ได้นั้น มีข้อแม้ว่า หากลูกทำได้ใน10ข้อนี้ ลูกจึงมีคุณสมบัติที่จะเถียงแม่ได้!”
“อะไรเหรอครับ?” เด็กหนุ่มถามคุณพ่อ

⇒ Must read : 3 คาถาบูชาพ่อแม่! ให้ลูกสวดได้ทุกวัน เพื่อชีวิตที่ราบรื่น

อ่านต่อ >> “10 ข้อฉุกคิด… ก่อนที่จะเถียงหรือขึ้นเสียงใส่แม่” คลิกหน้า 2

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

กินลิ้นจี่ตอนท้องว่าง

กินลิ้นจี่ตอนท้องว่าง อันตรายเสี่ยงถึงชีวิต!!

Alternative Textaccount_circle
event
กินลิ้นจี่ตอนท้องว่าง
กินลิ้นจี่ตอนท้องว่าง

กินลิ้นจี่ตอนท้องว่าง การสนับสนุนให้ลูกมีสุขภาพดีด้วยการให้ทานผลไม้เป็นเรื่องที่พ่อแม่ควรเพิ่มความใส่ใจกันให้มาก เพราะผลไม้บางชนิดก็ไม่ควรให้เด็กๆ ทานตอนท้องว่าง โดยเฉพาะผลไม้รสชาติหอมหวานอย่าง “ลิ้นจี่” ที่มีผลวิจัยออกมาแล้วว่าเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เด็กเสียชีวิตได้  ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีข้อมูลในเรื่องนี้มีอัพเดทให้คุณพ่อคุณแม่ได้ทราบค่ะ

 

กินลิ้นจี่ตอนท้องว่าง อันตรายถึงชีวิต !

เป็นข่าวใหญ่ชวนให้ตระหนกตกใจเป็นอย่างมาก เมื่อมีรายงานข่าวว่าพบสาเหตุของการเสียชีวิตของเด็กที่ประเทศอินเดีย จากการทานลิ้นจี่ขณะท้องว่าง ซึ่งมีข้อมูลข่าวที่น่าเชื่อถือ ตามนี้ค่ะ

“นักวิทยาศาสตร์ของสหรัฐอเมริกาและอินเดีย ระบุว่า โรคปริศนาที่ทำให้เด็กในภาคเหนือของอินเดียเสียชีวิตมากกว่า 100 คนใน 1 ปี เกิดจากการทานลิ้นจี่ตอนท้องว่าง

สำนักข่าว บีบีซี รายงานว่า นานกว่า 2 ทศวรรษที่ผ่านมา เด็กสุขภาพดีหลายคนในรัฐพิหาร ทางเหนือของอินเดีย เกิดอาการชักอย่างกระทันหันและหมดสติโดยไม่ทราบสาเหตุ โดยครึ่งหนึ่งของเด็กที่เกิดอาการนี้เสียชีวิต สร้างความฉงนให้แก่แพทย์เป็นอย่างมาก แต่ผลการวิจัยล่าสุดซึ่งตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ ‘เดอะ แลนเซ็ต’ (The Lancet) ชี้ว่า สาเหตุที่ทำให้เด็กๆ เสียชีวิตเป็นเพราะพิษจากผลไม้

ตามที่ระบุในวารสาร เด็กๆ ที่เสียชีวิตเกือบทั้งหมดเป็นคนยากจนอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่เน้นการปลูกลิ้นจี่เป็นหลัก และพวกเขาก็ทานผลไม้เหล่านั้นที่ร่วงลงสู่พื้นในสวนผลไม้ ทว่าลิ้นจี่มีสารพิษที่ยับยั้งความสามารถในการผลิตกลูโคสของร่างกาย และจะส่งผลกระทบต่อเด็กอายุน้อยที่มีระดับน้ำตาลในเลือดต่ำอยู่แล้ว เนื่องจากไม่ได้ทานอาหารเย็น

เด็กๆ ที่ได้รับผลกระทบหลายคนตื่นขึ้นมากลางดึกและกรีดร้องเสียงดัง ก่อนจะเกิดอาการชักและหมดสติเพราะสมองบวมฉับพลัน

นักวิจัยได้ตรวจสอบเด็กที่มีอาการป่วยซึ่งถูกส่งตัวเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลในเมือง มูซาฟฟาร์ปุระ ระหว่างเดือนพ.ค.-ก.ค. ในปี 2014 และพบควมเชื่อมโยงระหว่างการแพร่กระจายของอาการป่วยที่ทำให้สมองบวม และอาการชักในเด็กในแถบทะเลแคริบเบียน ซึ่งสาเหตุเกิดจากผลแอคกี (ackee) ซึ่งมีสาร ‘ไฮโปกลีซิน’ สารพิษที่ยับยั้งความสามารถในการผลิตกลูโคสของร่างกาย และผลการทดสอบชี้ว่าลิ้นจี่ก็มีสารนี้เช่นกัน

การค้นพบดังกล่าวทำให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขเตือนพ่อแม่ในอินเดีย ว่าให้ลูกๆ ทานอาหารเย็นและจำกัดจำนวนลิ้นจี่ที่รับประทาน ส่วนเด็กที่มีอาการป่วยควรเข้ารับการรักษาอาการน้ำตาลในเลือดต่ำทันที และหลังจากนั้น จำนวนเด็กล้มป่วยก็ลดลงจากหลายร้อยคนต่อไป เหลือเพียงประมาณ 50 คนเท่านั้น1”

 

ถึงแม้ว่าผลวิจัยจากนักวิทยาศาสตร์จะชี้ว่าการทานลิ้นจี่คือหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เด็กเสียชีวิตได้ แต่นั้นมาจากการทานลิ้นจี่ขณะท้องว่าง ที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลต่ำ เมื่อทานลิ้นจี่เข้าไปจึงไปทำปฏิกิริยาบางอย่างที่ส่งผลเสียต่อการผลิตกลูโคสของร่างกาย เมื่อร่างกายที่มีระดับน้ำตาลต่ำอยู่ก่อนแล้วนั้น ไม่สามารถผลิตกูลโคสเพื่อรักษาสมดุลภายในร่างกายได้ จึงก่อให้เกิดอันตรายแก่ชีวิตได้นั่นเองค่ะ

 

อ่านต่อ >> “ประโยชน์จากลิ้นจี่ต่อสุขภาพร่างกาย” หน้า 2

 

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

ท่อน้ำนมอุดตัน

ท่อน้ำนมอุดตัน แก้อาการ ด้วยมะเขือเปราะ

Alternative Textaccount_circle
event
ท่อน้ำนมอุดตัน
ท่อน้ำนมอุดตัน

ท่อน้ำนมอุดตัน ปัญหาหนึ่งในการให้นมลูกที่มักเกิดขึ้นกับคุณแม่ที่ให้นมลูกนั้นคืออาการท่อน้ำนมอุดตัน จนเกิดการอักเสบและสร้างเจ็บปวดทรมานให้กับคุณแม่ ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีเคล็ดที่จะช่วยให้คุณแม่หายจากอาการเต้านมคัดอักเสบมาให้ได้ทราบกันค่ะ

 

ท่อน้ำนมอุดตัน เกิดจากสาเหตุใด?

ตัวผู้เขียนเองก็เคยผ่านประสบการณ์การให้นมลูก แล้วเกิดมีปัญหานมคัดเจ็บ จนกลายเป็นเต้านมอักเสบ เจ็บทรมานให้นมลูกไปร้องไห้ไปค่ะ  สำหรับท่อน้ำนมอุดตัน ทางคลินิกนมแม่ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ได้อธิบายเพื่อให้คุณแม่เข้าใจง่ายๆ กันตามนี้ค่ะ สาเหตุของท่อน้ำนมอุดตัน เกิดจากท่อส่งน้ำนมบางส่วนอุดตันทำให้น้ำนมไหลไม่สะดวก และมีน้ำนมคั่งค้างอยู่ภายในเต้านม ทำให้เต้านมบางบริเวณมีลักษณะแข็ง เป็นแผ่นหนา หรือเป็นก้อนอยู่ภายในเต้านม โดยไม่ได้เป็นทั่วทั้งเต้านม ผิวหนังที่บริเวณเหนือก้อน กดเจ็บ และอาจจะบวมแดงโดยไม่มีไข้ ลักษณะหัวนมและลานหัวนมผิดรูป บางครั้งอาจมีเส้นเลือดที่ผิวหนังของเต้านมปูด และอาจพบจุดสีขาวที่บริเวณหัวนม (White dot)1

นอกจากนี้ก็ยังมีปัจจัยแวดล้อมที่สามารถทำให้เกิดเต้านมคัดอักเสบได้ระหว่างที่ให้นมลูก ดังนี้

  1. คุณแม่ให้ลูกดูดนมไม่เกลี้ยงเต้า
  2. คุณแม่ปล่อยให้น้ำนมค้างอยู่ในเต้านมนาน
  3. คุณแม่ไม่สามารถระบายน้ำนมชุดเก่าออกให้ทันกับน้ำนมชุดใหม่ที่ผลิตออกมา
  4. คุณแม่อาจใส่เสื้อชั้นในที่คับแน่นจนเกินไป ทำให้น้ำนมไหลเวียนได้ไม่สะดวก
  5. คุณแม่ทานอาหารที่มีไขมันมากเกินไป
ท่อน้ำนมอุดตัน
Credit Photo : Shutterstock, Google

เห็นแบบนี้แล้วว่าที่คุณแม่มือใหม่คงไม่อยากให้เกิดขึ้นกับตัวเองกันใช่ไหมคะ ฉะนั้นหากอยากให้การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ราบรื่นปราศจากอุปสรรคต่างๆ ในช่วงที่ให้นมลูกง่ายมากค่ะ เพียงแค่ให้ลูกดูดนมแม่ทุก 1-2 ชั่วโมง หากเต้านมผลิตน้ำนมออกมากจนคัดแน่น และให้ไม่ทันกับมื้อนมที่ลูกจะต้องทาน คุณแม่สามารถปั๊มน้ำนมออกมาเก็บไว้เป็นสต็อกน้ำนมให้ลูกทานได้ค่ะ

และหากคุณแม่เริ่มมีอาการเต้านมเป็นก้อนแข็ง ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้นะคะ เพราะไม่เช่นนั้นจะลามกลายเป็นเต้านมอักเสบขึ้นมาได้ และนี่คือข้อควรปฏิบัติเมื่อเริ่มมีอาการเต้านมคัดเจ็บ มีก้อนแข็ง  จาก พญ.สุธีรา  เอื้อไพโรจน์กิจ2 ซึ่งคุณหมอได้ให้ความรู้ไว้อย่างเข้าใจง่าย ดังนี้

  1. อย่าหยุดให้นมลูกข้างที่เป็นก้อนแข็งเจ็บ
  2. การทำอัลตราซาวด์ด้วยกำลัง 2 watt/cm2 นาน 5 นาที วันละ 1 ครั้ง โดยทำซ้ำได้ 2-3 วัน (โดยแพทย์เป็นคนสั่งการรักษา) แล้วตามด้วยการบีบน้ำนมไล่ออกมาตามท่อ ร่วมกับการดูดจากลูก จะช่วยให้ที่อุดตันหลุดเร็วขึ้น
  3. ใช้ยาปฏิชีวนะร่วมด้วย ถ้าเป็นนานเกิน 48 ชั่วโมงแล้ว ไม่เช่นนั้น อาจพัฒนาจนกลายเป็นฝีได้
  4. ถ้ามีจุดสีขาวที่หัวนม (white dot) ถ้าให้ลูกดูดขณะหิวจัดแล้วไม่หลุด ให้ใช้เข็มปลอดเชื้อ (ซื้อที่ร้านขายยา) สะกิดให้หลุด
  5. ถ้าเป็นฝีแล้ว ห้ามให้หมอกรีดแผลเด็ดขาด แต่ให้ใช้เข็มเบอร์ใหญ่ที่สุด พยายามดูดออกหนองออกให้หมด อาจดูดซ้ำหลายๆครั้ง และให้ยาปฏิชีวนะให้นานจนฝีหยุบเป็นปกติ โดยไม่ต้องหยุดให้นมลูก และดูดเต้าได้ตามปกติ2

Must Read >> ทำอย่างไรดี ? ท่อน้ำนมอุดตันเพราะ “ไวท์ดอท (white dot)” !!

อ่านต่อ >> “5 วิธีป้องกันท่อน้ำนมอุดตัน ที่ได้ผล” หน้า 2

 

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

ต้นไม้ไล่ยุง

10 ต้นไม้ไล่ยุง ที่ควรปลูกไว้บริเวณบ้าน

Alternative Textaccount_circle
event
ต้นไม้ไล่ยุง
ต้นไม้ไล่ยุง

ต้นไม้ไล่ยุง  ปัญหาไข้เลือดออกในประเทศไทยมีต่อเนื่องมากขึ้นทุกปี และพบว่ามีเด็กๆ เสียชีวิตจากการป่วยเป็นไข้เลือดออกด้วยเช่นกัน ซึ่งไข้เลือดออกมีพาหะมาจากยุงลาย และเพื่อเป็นการปกป้องลูกน้อย และทุกคนในบ้านอีกทางหนึ่งจากการถูกยุงกัด ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีต้นไม้ไล่ยุง ที่แนะนำให้หามาปลูกไว้บริเวณบ้านกันค่ะ  

 

ต้นไม้ไล่ยุง – ไข้เลือดออกในเด็ก

อย่างที่เราทราบกันดีว่ายุงลายตัวร้ายคือพาหะทำให้เกิดโรคไข้เลือดออก ซึ่ง นพ.ประสงค์ พฤกษานานนท์ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อในเด็ก ศูนย์กุมารเวช โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์1  ได้ให้ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับไข้เลือดออก ไว้ดังนี้ “โรคไข้เลือดออก (dengue hemorrhagic fever หรือ dengue shock syndrome) เกิดจากการติดเชื้อไวรัสไข้เลือดออกเดงกี (dengue virus) ซึ่งมีอยู่ 4 สายพันธุ์ จัดอยู่ในกลุ่ม flavivirus และสามารถแพร่ได้โดยมียุงลายเป็นพาหะ ทั้งนี้องค์การอนามัยโลกคาดการณ์ว่าสถานการณ์ระบาดของไข้เลือดออกในหลายประเทศโดยเฉพาะในเขตร้อนจะรุนแรงขึ้น โดยส่วนหนึ่งเนื่องมาจากภาวะโลกร้อนทำให้ยุงแต่ละชนิดสามารถแพร่พันธุ์ได้มากขึ้น1

 

โรคไข้เลือดออก เป็นอีกหนึ่งโรคที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรมองข้าม เพราะปัจจุบันเชื้อไข้เลือดออกมีการกลายพันธุ์และรุนแรงมากขึ้น ถึงขั้นส่งผลให้เด็กที่ได้รับเชื้อบางรายเสียชีวิตจากอาการไข้เลือดออก  ดังนั้นเพื่อปกป้องและรักษาชีวิตของลูก และทุกคนในครอบครัว สิ่งสำคัญที่สุดคือไม่ควรถูกยุงกัด ฉะนั้นเรามาป้องกันยุงไม่ให้เข้าบ้านด้วยต้นไม้ไล่ยุงกันดีกว่าค่ะ

10 ต้นไม้ไล่ยุง ที่ควรปลูกไว้บริเวณบ้าน

ต้นไม้ไล่ยุงที่อยากแนะนำให้ปลูกไว้บริเวณรอบๆ บ้าน เป็นต้นไม้ที่ส่วนหนึ่งอยู่ในกลุ่มของพืชผักสวนครัว ที่นอกจากมีประโยชน์ป้องกันยุงได้ดีแล้ว คุณแม่ยังสามารถนำมาทำอาหารบำรุงสุขภาพทุกคนในครอบครัวให้แข็งแรงมีภูมิคุ้มกันโรคได้อีกด้วยค่ะ

 

ต้นไม้ไล่ยุง
Credit Photo : พืชเกษตร.คอม

 

1. สะระแหน่ (Kitchen mint)

สะระแหน่สมุนไพร เป็นผักสมุนไพรที่นำมาใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง โดยเฉพาะใบสะระแหน่ที่นิยมใช้ทั้งใบสดมาเป็นส่วนผสมของอาหาร และยังนำมาสกัดน้ำมันหอระเหยใช้เป็นประกอบของเครื่องสำอาง และยารักษาโรคได้  และด้วยกลิ่นของใบสะระแหน่ที่มีน้ำมันหอมระเหยที่คนชอบ แต่ยุงไม่ชอบกลิ่นฉุนๆ ของใบสะระแหน่ จึงแนะนำว่าทุกบ้านควรปลูกไว้รอบบริเวณบ้าน หรือจะปลูกในกระถางเล็กวางไว้ข้างประตู หรือหน้าต่างก็ได้ค่ะ

2. โหระพา (Thai Basil)

แกงไทยถ้าใส่ใบโหระพานี่หอมยวนใจอยากจะทานข้าวให้หมดหม้อเลยค่ะ ใบโหระพามีกลิ่นหอมเฉพาะตัวที่ดีต่อการช่วยให้เจริญอาหาร กินแล้วดีต่อระบบเลือดลมในร่างกาย ซึ่งกลิ่นหอมฉุนของน้ำมันหอมระเหยที่อยู่ในใบโหระพา สามารถไล่ยุงได้ดีมากๆ แนะนำว่าควรปลูกผักสวนครัวชนิดนี้ไว้ที่บ้านกันค่ะ

3. ตะไคร้หอม (Citronella grass)

หลบหน่อยพระเอกมา ขอบอกว่าตะไคร้หอมสามารถไล่ยุงร้ายได้ชนะเลิศมากค่ะ เพราะในต้นและใบของตะไคร้หอมจะมีกลิ่นน้ำมันหอมระเหยที่ให้กลิ่นฉุนเฉพาะตัว ซึ่งหากมนุษย์ขอย่างๆ เราดมก็ว่าหอมชื่นใจกันใช่ไหมคะ แต่ถ้าเป็นยุงจะเกลียดกลิ่นน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้หอมแบบสุดๆ เลยละค่ะ

4. มะกรูด (Leech lime)

มะกรูดนี่ใช้ประโยชน์ได้ทั้งผลและใบเลยค่ะ ที่สามารถนำมาประกอบอาหารได้ทั้งใบและผล  ซึ่งในใบและผลมะกรูดจะมีน้ำมันหอมระเหยที่ให้กลิ่นหอมฉุนแบบโล่งจมูกมาก อย่างเวลาคนเป็นลมเขาจะให้ดมลูกมะกรูดที่ช่วยบรรเทาอาหารหน้ามืดเป็นลมได้ดีมากๆ หากบ้านไหนที่พอมีพื้นที่ให้หาต้นมะกรูดมาปลูก เพราะกลิ่นน้ำมันหอมระเหยที่ใบและลูกมะกรูดสามารถช่วยไล่ยุงร้ายได้ค่ะ

5. จิงจูฉ่าย (Guizhou)

ต้นไม้ชื่อแปลกนี้จะมีผักใบเขียวๆ ที่คล้ายต้นขึ้นฉ่าย ที่มีสรรพคุณทางยาคือช่วยแก้ไข้  บำรุงปอด ฟอกเลือด ทำให้เลือดไหลเวียนดี ซึ่งใบของจิงจูฉ่ายจะมีกลิ่นหอมที่ยุงไม่ชอบ คุณแม่สามารถนำใบจิงจูฉ่ายมาขยี้แล้วทาผิวลูกเพื่อป้องกันยุงกัดได้ค่ะ

 

ต้นไม้ไล่ยุง
Credit Photo : cnseed.org

6. เจอเรเนียม (Geranium Rose)

คือไม้ประดับที่ไม่ได้มีดีแค่ความสวยงามเท่านั้น เพราะยังช่วยไล่ยุงร้ายไม่ให้เข้ามากัดเด็กๆ และคนในบ้านได้ค่ะ ต้นเจอเรเนียมเมื่อนำมาปลูกประดับไว้รอบๆ บ้าน จะให้กลิ่นหอมโชยออกมาตามธรรมชาติดีในช่วงหัวค่ำ ที่จะให้กลิ่นหอมฉุนคล้ายกับกลิ่นตะไคร้  ซึ่งเป็นกลิ่นที่ยุงไม่ชอบค่ะ

7. มอสซี่ บัสเตอร์ (Mozzie Buster)

ลักษณะของ มอสซี่ บัสเตอร์ เป็นไม้พุ่ม ขอบใบหยัก คล้ายกับต้นเจอราเนียม แต่จะมีกลิ่นแบบตะไคร้หอม กลิ่นน้ำมันที่ระเหยออกมาจากต้นมอสซี่ บัสเตอร์ สามารถไล่ยุงได้ในพื้นที่ประมาณ 100 ตารางฟุต แบบนี้หากบ้านไหนยังไม่มีต้องรีบไปหาซื้อมาปลูกไว้ที่บ้านกันนะคะ

8. ต้นแมงลัก (Hairy Basil)

เป็นผักสมุนไพรสวนครัวที่ควรปลูกไว้บริเวณบ้านค่ะ ต้นแมงลักเป็นไม้ล้มลุก สูงประมาณ 1.50 เมตร ใบแมงลักจะให้กลิ่นฉุน ที่เมื่อนำใบมาขยี้จะทำให้กลิ่นหอมฉุนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งกลิ่นฉุนของใบแมงลัก เป็นกลิ่นที่ยุงไม่ชอบ จึงใช้ไล่ยุงได้ดีค่ะ

 

ต้นไม้ไล่ยุง
Credit Photo : Pixabay

 

9. โรสแมรี่ (Rosemary)

หากคุณพ่อคุณแม่ที่เคยเดินซื้อต้นไม้มาประดับสวนที่บ้าน อาจคงคุ้นตากันดีกับต้นไม้พุ่มเตี้ยที่ชื่อไพเราะอย่างต้นโรสแมรี่ที่ไม่ได้มีดีแค่ความสวยงามเท่านั้น แต่อีกหนึ่งประโยชน์คือสามารถใช้ไล่ยุงได้ด้วย  วิธีใช้ประโยชน์เพื่อไล่ยุงคือ ให้เอาโรสแมรี่มาเผา แล้ววางไว้บริเวณรอบนอกบ้าน กลิ่นหอมของควันที่ได้จากโรสแมรี่จะช่วยไล่ยุงได้ดีมากค่ะ

10. แคทนิป (Catnip)

ต้นไม้เล็กๆ นี้เรียกอีกอย่างว่ากัญชาแมว ที่น้องเหมียวชอบกินกัน ในใบแคทนิปจะมีสารแห่งความสุข ที่น้องแมวกินทีไรฟินกันทุกตัว สารแห่งความสุขที่ได้จากใบแคทนิปไม่เป็นอันตรายใดต่อน้องแมวนะคะ ต้นกัญชาแมวเป็นพืชตระกูลเดียวกับต้นสะระแหน่ ที่มีประโยชน์ใช้ไล่ยุงได้ดีไม่แพ้พรรณไม้ไล่ยุงชนิดอื่นเลยค่ะ

 

ครอบครัวไหนที่กำลังมองหาวิธีไล่ยุง หรือการป้องกันยุงไม่ให้เข้ามากัดทุกคนในบ้าน  ที่ไม่อยากฆ่ายุงแบบต้องใช้สารพิษ ลองหาต้นไม้ไล่ยุงที่นำมาฝากทั้ง 10 ชนิดนี้ คุณพ่อคุณแม่ลองเลือกหามาปลูกซัก 3-5 ชนิดไว้รอบๆ บ้าน เพียงเท่านี้ก็สามารถช่วยให้เด็กๆ และทุกคนในครอบครัวปลอดภัยห่างไกลจากการเจ็บป่วยด้วยไข้เลือดออก …ด้วยความใส่ใจและห่วงใยค่ะ

 

ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิง
1นพ.ประสงค์ พฤกษานานนท์ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อในเด็ก ศูนย์กุมารเวช โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์. ไข้เลือดออกในเด็ก. www.bumrungrad.com
home.kapook.com , www.vegetweb.com , www.baanlaesuan.com

ป้อนอาหารก่อนวัย

แม่ใจสลาย ลูกวัย 10 วันเสียชีวิตเพราะอาหาร!!

Alternative Textaccount_circle
event
ป้อนอาหารก่อนวัย
ป้อนอาหารก่อนวัย

จากบทความของ คุณหมอสุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ ที่เล่าเรื่องราวของหนูน้อยวัย 10 วัน ที่พ่อแม่ของเด็กโพสต์ภาพ ป้อนอาหารก่อนวัย ลงในเฟสบุ๊ค ทำให้ลูกน้อยเสี่ยงอันตรายถึงชีวิต มีอาการตัวเหลือง ติดเชื้อในกระแสเลือด ไตวาย น้ำเหลืองไม่ดี และเสียชีวิตในที่สุด จึงเตือนเป็นอุทาหรณ์

ป้อนอาหารก่อนวัย

#ป้อนอาหารอื่นก่อน 6 เดือนเสี่ยงอันตรายถึงชีวิต

หนูน้อยอายุ 7 วันพ่อแม่ป้อนอาหารแล้วมีการโพสต์ภาพลงเฟซบุ๊ก

อายุ 8 วัน น้องตัวเหลือง ไปรพ. คุณพ่อเข้าใจผิดว่า หมอเจ้าของไข้จะเลี้ยงไข้ พ่อไม่ยอม จึงพากลับบ้าน อีก 2 วันต่อมา น้องตัวเหลืองเพิ่มขึ้น พากลับไปรพ.อีกครั้ง รพ.บอกว่าอาการหนักแล้วต้องส่งต่อไปรักษาที่รพ.อีกแห่ง สุดท้ายรพ.ที่สองแจ้งว่า น้องอาการหนัก ตัวเหลืองมาก ติดเชื้อในกระแสเลือด ไตวาย น้ำเหลืองไม่ดี ในที่สุดน้องเสียชีวิต

ป้อนอาหารก่อนวัย

สันนิษฐานว่ากรณีนี้อาจเป็นอีกรายหนึ่งที่ต้องสูญเสียชีวิตจากการเริ่มป้อนอาหารเร็วเกินไป กระเพาะอาหารและลำไส้ของทารกยังไม่แข็งแรงพอที่จะย่อยหรือดูดซึมอาหารอื่นที่ไม่ใช่นม เมื่อลำไส้อักเสบก็เกิดการติดเชื้อแทรกซ้อนเข้ากระแสเลือด จนเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต

อย่าเชื่อคำพูดว่า โบราณก็ทำกันมา ไม่เห็นเป็นอะไร หรือ เธอก็ถูกเลี้ยงมาแบบนี้ ยังไม่เห็นเป็นไรเลย เพราะลูกเราอาจโชคร้ายเป็นแบบเคสตัวอย่างหรืออีกหลายๆ เคสที่เป็นข่าวมาเป็นระยะๆ

รบกวนแชร์ข้อมูลวิธีการให้อาหารเสริมที่ถูกต้องให้คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ทุกท่านได้ทราบกันมากๆ จะได้ไม่มีเคสน่าเศร้าแบบนี้เกิดขึ้นอีกค่ะ

ป.ล. ลบโพสต์เก่าเพื่อต้องการสื่อเฉพาะประเด็นการให้ความรู้เรื่องการให้อาหารอย่างถูกต้องแก่ทารกเท่านั้นค่ะ

อันตรายจากการให้อาหารเสริมไม่ถูกต้อง

ขอแสดงความเสียใจกับการป่วยของลูกคุณแม่ท่านนี้ด้วยค่ะ ด้วยความไม่มีความรู้เรื่องการป้อนอาหารที่ถูกต้องให้กับทารก จึงทำให้เกิดอันตรายต่อลูกอันเป็นที่รัก อยากให้ทุกท่านที่ได้อ่านโพสต์นี้ช่วยกันแชร์ข้อมูลความรู้ที่ถูกต้อง เพื่อที่จะได้ไม่มีเรื่องเศร้าแบบนี้อีกต่อไปค่ะ

ป้อนอาหารก่อนวัยทำไมจึงไม่ควรให้ทารกกินอาหารเสริมก่อนอายุ 6 เดือน

คุณหมอสุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ กล่าวว่า “เมื่อ 10 ปีก่อน แนะนำให้เริ่มอาหารเสริมหลัง 4 เดือน แต่ปัจจุบันเปลี่ยนเป็น 6 เดือนแล้วค่ะ โดยมีงานวิจัยมากมายสนับสนุนคำแนะนำดังกล่าว แต่บุคลากรทางการแพทย์จำนวนหนึ่งและหนังสือคู่มือเลี้ยงลูกหลายๆ เล่มยังไม่ทราบข้อมูลใหม่เหล่านี้”

ต่อไปนี้ คือ หน่วยงานที่แนะนำว่า ทารกควรกินนมแม่อย่างเดียว หรือ กินนมผงบวกน้ำเปล่าเพียงอย่างเดียวในช่วง 6 เดือนแรก

*องค์การอนามัยโลก *ยูนิเซฟ *สมาคมกุมารแพทย์แห่งสหรัฐอเมริกา *คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติออสเตรเลีย *คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติแคนาดา

ข้อดีของการเริ่มอาหารหลังอายุ 6 เดือน

ทารกส่วนใหญ่จะมีความพร้อมทั้งด้านพัฒนาการและร่างกายในการกินอาหารเสริมที่อายุประมาณ 6 เดือน ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้

ข้อดีของการเริ่มอาหารหลังอายุ 6 เดือน

  • ช่วยลดอัตราการเจ็บป่วย เพราะได้รับภูมิต้านทานจากนมแม่เต็มที่ มากกว่า 50 ชนิด และยังมีอีกมากมายที่ยังไม่รู้จัก การศึกษาหนึ่งพบว่าเด็กที่ได้รับนมแม่อย่างเดียวใน 6 เดือนแรกมีปัญหาโรคหูชั้นกลางอักเสบน้อยกว่ากลุ่มที่เริ่มอาหารเสริมเร็ว โดยลดลงถึง 40% และมีปัญหาโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจลดลงอย่างชัดเจน
  • ไม่ทำให้ระบบทางเดินอาหารทำงานหนักเกินไป ถ้าเริ่มเร็วเกินไป อาจมีปัญหา ท้องอืด ท้องผูก น้ำย่อยโปรตีนยังพัฒนาไม่เต็มที่ ทำให้ย่อยโปรตีนได้ไม่เต็มที่ น้ำย่อยคาร์โบไฮเดรตยังไม่สมบูรณ์จนกว่าจะอายุ 6-7 เดือน น้ำย่อยไขมันยังไม่สมบูรณ์จนกว่าจะอายุ 6-9 เดือน
  • ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคแพ้อาหาร งานวิจัยพบว่า ยิ่งให้นมแม่นาน ยิ่งลดความเสี่ยงของโรคแพ้อาหาร เพราะว่าก่อน 6 เดือน เซลเยื่อบุลำไส้ยังอยู่กันแบบหลวมๆ (open) เพื่อให้ ภูมิคุ้มกันจากนมแม่ผ่านเข้าไปตามช่องว่างดังกล่าวเข้าไปอยู่ในเลือดของลูก ช่วยป้องกันการติดเชื้อโรค แต่หากมีการให้อาหารแปลกปลอมอื่นเข้าไป สารแปลกปลอมก็จะเล็ดลอดเข้าไปกระตุ้นให้ร่างกายทารกสร้างสารต่อต้าน จนเกิดปัญหาแพ้อาหารตามมาได้ หลัง 6 เดือนเซลเยื่อบุลำไส้จะอยู่กันชิดๆแล้ว (close) ความเสี่ยงจึงลดลง

ป้อนอาหารก่อนวัย

  • ลดความเสี่ยงปัญหาขาดธาตุเหล็ก การให้อาหารอื่นก่อนอายุ 6 เดือน จะทำให้ลำไส้ดูดซึมธาตุเหล็กจากนมได้น้อยลง งานวิจัยพบว่า เด็กที่ได้รับอาหารเสริมก่อน 6 เดือน จะมีปัญหาซีดจากขาดธาตุเหล็กที่อายุ 1 ขวบมากกว่า และเมื่อเริ่มอาหารเสริมแล้ว อย่าลืมให้กินอาหารที่มีธาตุเหล็กเป็นประจำ จะได้ไม่ซีด อีกปัจจัยหนึ่งที่จะลดความเสี่ยงของโรคซีดหลัง 6 เดือน คือ ตอนคลอดควรรีดเลือดจากสายสะดือเข้ามาทางลูก ถึงแม้จะเพิ่มปัญหาตัวเหลืองขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่มีความสำคัญอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
  • ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคอ้วนเมื่อโตขึ้น
  • ช่วยให้แม่ผลิตน้ำนมได้เต็มที่ เพราะหากกินอาหารเสริม จะทำให้เด็กกินนมแม่ลดลง แม่จะสร้างน้ำนมลดลง พบว่าเด็กที่เริ่มอาหารเสริมเร็วก่อน 6 เดือน มีแนวโน้มหย่านมแม่เร็วขึ้น
  • ลูกมีปัญหาการกินน้อยกว่ากลุ่มที่เริ่มอาหารเสริมก่อน 6 เดือน เพราะลูกมีความพร้อมมากกว่า อย่าเชื่อคำขู่ว่า ถ้าไม่เริ่มเร็วๆ ลูกจะกินข้าวยาก เพราะเริ่มเร็วเริ่มช้ากว่า 6 เดือน ก็มีปัญหากินข้าวยากได้ทั้ง 2 กลุ่ม กินนมแม่หรือนมผง ก็เจอปัญหากินข้าวยากทั้ง 2 กลุ่ม และข้อเท็จจริง คือ กลุ่มที่เริ่มเร็วกว่า 6 เดือน (เพราะน้ำย่อยและการเคลื่อนไหวของลำไส้ยังไม่พร้อม) และ กลุ่มนมผง (เพราะเด็กนมแม่ รสชาตินมแม่จะแปรเปลี่ยนไปตามอาหารที่แม่กิน จึงทำให้เด็กคุ้นเคยกับรสชาติอาหารมากกว่า แต่นมผง รสชาติจะคงเดิมตลอด) จะมีปัญหากินข้าวยากมากกว่าค่ะ

ลูกใครที่กินก่อน 6 เดือน แล้วไม่มีปัญหาอะไร ก็ถือว่าโชคดีไปค่ะ เช่น ให้กินกล้วยตั้งแต่ 1 เดือน ลูกก็ไม่เห็นเป็นไร กระเพาะก็ไม่เห็นแตกเหมือนกับที่เป็นข่าว ก็เหมือนกับการรัดเข็มขัดนิรภัยที่บางคนไม่รัด ก็ยังอยู่รอดปลอดภัยดีอยู่ แต่ผลกระทบต่อสุขภาพระยะยาวนั้นมีแน่ๆ ค่ะ


เครดิต: พญ.สุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ

 

อ่านเพิ่มเติม คลิก!!

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

Save

Save

ไขข้อข้องใจ ที่ตรวจครรภ์ ตรวจอย่างไร-ตอนไหนดี?

event

ที่ตรวจครรภ์ ตรวจตอนไหน …หากผู้หญิงเราต้องการทราบว่าท้องหรือไม่ แต่ไม่สะดวกไปพบแพทย์ คุณสามารถใช้ที่ตรวจครรภ์ที่มีขายอยู่ตามร้านขายยาได้ทั่วไป มาตรวจการตั้งครรภ์ด้วยตนเองได้ ซึ่งที่ ตรวจครรภ์ สามารถแจ้งผลได้รวดเร็วและมีความแม่นยำสูงถึง 97-99% และสามารถสอบถามวิธีการใช้ให้ถูกวิธีได้จากเภสัชกรที่ร้านได้เลย

ที่ตรวจครรภ์ นี้จะใช้จับฮอร์โมน HCG (Human Chorionic Gonadotropin) ซึ่งฮอร์โมนตัวนี้จะพบในปัสสาวะหลังจากมีการปฏิสนธิแล้ว ซึ่งแสดงว่ากำลังท้องนั่นเองค่ะ

ไขข้อข้องใจ ที่ตรวจครรภ์ ตรวจตอนไหน ตรวจอย่างไร?

ที่ตรวจครรภ์ ตรวจตอนไหน

โดยในขณะที่ผู้หญิงเราตั้งครรภ์ ร่างกายจะเกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายหลายอย่างเพื่อเตรียมตัว สำหรับอีกชีวิตหนึ่งที่จะเกิดมา ก็เหมือนเราเตรียมบ้านสำหรับคนมาใหม่ ต้องเก็บต้องจัดของให้เข้าที่เรียบร้อย

Must read15 สัญญาณ คุณอาจเป็น ‘แม่ท้องคนใหม่’

ซึ่งการจะรู้ว่าท้องหรือไม่ ถ้าจะอาศัยวิธีสังเกตอาการทางร่างกายคงเป็นเรื่องยาก และไม่แน่นอน ยิ่งในช่วงเริ่มต้น อย่างเรื่อง การแพ้ท้อง คลื่นไส้อาเจียน ก็ไม่ได้เป็นอาการเฉพาะเจาะจงของคนท้องทุกคนเสมอไป ซึ่งโรคอื่นก็มีสาเหตุอื่นก็ทำให้มีอาการอย่างนี้ได้ …ดังนั้นจึงต้องอาศัยการ ตรวจครรภ์ จึงจะบอกได้แน่ชัดนั้นเอง โดยต้องผ่านการตรวจ ร่างกาย เช่น ตรวจปัสสาวะ ตรวจเลือด อัลตร้าซาวด์ เพื่อเป็นการยืนยันได้ว่าคุณกำลังตั้งครรภ์จริง

การตรวจการตั้งครรภ์ที่นิยมและรวดเร็วมากที่สุดก็คือการตรวจปัสสาวะ ส่วนมากซื้อชุดตรวจการตั้งครรภ์มาตรวจเอง โดยใช้ปัสสาวะเพียงไม่กี่หยด เพราะเนื่องจากในปัสสาวะของหญิงตั้งครรภ์จะมีฮอร์โมนชนิดหนึ่ง (HCG) ที่บ่งบอกให้รู้ได้ว่ากำลังตั้งครรภ์ ซึ่งการเก็บปัสสาวะหลังตื่นนอนตอนเช้าจะได้ผลที่แน่นอนยิ่งขึ้น แต่มีข้อแม้ว่าประจำเดือนจะต้องขาดไปแล้วประมาณ 35-40 วัน นับจากครั้งสุดท้ายที่ประจำเดือนมา หรืออีกอย่างก็คือให้ประจำเดือนเลยกำหนดที่จะมาไปก่อนประมาณ 7-10 วันขึ้นไป การตรวจครรภ์ โดยใช้ปัสสาวะจึงจะเชื่อถือได้และแม่นยำเกือบ 100%

ที่ตรวจครรภ์ ตรวจตอนไหน

Must readผู้หญิง ปวดประจำเดือน แบบไหนต้องไปหาหมอ!
Must readรู้จักนับวันตกไข่ แก้ไขมีลูกยาก
Must readQ&A คลายสงสัย อาการแพ้ท้อง ของคุณแม่ทุกไตรมาส

วิธีการใช้ชุดตรวจการตั้งครรภ์ด้วยตนเอง

ชุดตรวจการตั้งครรภ์เป็นการตรวจหาฮอร์โมน HCG (Human chorionic gonadotropin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่สร้างขึ้นจากรกที่จะมีการผลิตขึ้นหลังการปฏิสนธิประมาณ 6-8 วันและจะสูงขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ 8-12 ชุดการตั้งครรภ์จะให้ผลแม่นยำสูงถึง 90% ในรายที่มีการขาดของประจำเดือนตั้งแต่ 10-14 วัน รูปแบบของชุดตรวจการตั้งครรภ์สามารถแบ่งได้หลักๆ 3 แบบที่สามารถหาซื้อได้ง่ายและมีขายทั่วไปตามร้านขายยาและอุปกรณ์ทางการแพทย์

ที่ตรวจครรภ์ แบบแถบจุ่ม (Test Strip)

ที่ตรวจครรภ์ ตรวจตอนไหน

ภายในกล่องจะประกอบไปด้วยแผ่นทดสอบการตั้งครรภ์และถ้วยตวงปัสสาวะ ราคาของแผ่นตรวจประเภทนี้อยู่ที่ 100-140 บาท มีวิธีการใช้ดังนี้

1. ปัสสาวะใส่ในถ้วยตวงที่เตรียมไว้ ระยะเวลาที่เหมาะสมสำหรับการตรวจควรเป็นตอนเช้าหลังตื่นนอนเนื่องจากเป็นช่วงที่ฮอร์โมนสูงที่สุดและควรเป็นปัสสาวะใหม่หรือทิ้งไม่เกิน 1 ชม.เพื่อความแม่นยำของผลตรวจมากที่สุด

2. หลังจากได้ปัสสาวะแล้วให้ใช้แผ่นตรวจการตั้งครรภ์ด้านที่มีลูกศรชี้ลง จุ่มลงในถ้วยที่เก็บปัสสาวะเตรียมไว้ โดยระวังไม่ให้น้ำปัสสาวะสูงเกินขีดที่กำหนด ใช้เวลาจุ่มประมาณ 3 วินาทีและนำแผ่นตรวจขึ้นจากน้ำปัสสาวะ ถือไว้ในแนวระนาบหรือวางไว้ในบริเวณที่แห้งเพื่อป้องกันการแปรผลที่ผิดพลาด แผ่นตรวจจะใช้เวลาอ่านผล 1-5 นาที

อ่านต่อ >> “วิธีการใช้ชุดตรวจการตั้งท้องด้วยตนเอง” คลิกหน้า 2

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

ลูกร้องไห้นาน

ปล่อยให้ลูกร้องไห้นานๆ ทำลายสมองจริงหรือ?

Alternative Textaccount_circle
event
ลูกร้องไห้นาน
ลูกร้องไห้นาน

มีความเชื่อหนึ่งที่ว่า การปล่อยให้ ลูกร้องไห้นาน เป็นการบริหารปอด ความเชื่อนี้อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสมองของลูกน้อย เพราะเมื่อลูกถูกปล่อยให้ร้องไห้เป็นเวลานาน สมองของลูกน้อยจะหลั่งฮอร์โมนความเครียดคอร์ติโซล (cortisol) ทำให้เกิดอันตรายต่อสมอง ทำลายพัฒนาการได้

(more…)

กินนมแม่ แล้วลูกตัวเล็ก

ไม่จริงใช่ไหม! กินนมแม่ แล้วลูกตัวเล็ก น้ำหนักน้อย

Alternative Textaccount_circle
event
กินนมแม่ แล้วลูกตัวเล็ก
กินนมแม่ แล้วลูกตัวเล็ก

คุณแม่ให้นมหลายคนอาจกำลังเครียดหนัก เนื่องจากคนรอบข้างต่างกดดันให้เลิกเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เพราะเข้าใจว่าเป็นสาเหตุทำให้ลูกตัวเล็ก และน้ำหนักน้อย อยากให้เปลี่ยนไปกินนมผสม หรือเพิ่มวิตามินอาหารเสริมแทน เพื่อให้ลูกตัวอ้วนใหญ่เหมือนเด็กคนอื่น ๆ ข้อเท็จจริงนี้จะเป็นอย่างไร วันนี้เราจะพาคุณแม่ไปทำความเข้าใจกันค่ะว่า กินนมแม่ แล้วลูกตัวเล็ก น้ำหนักน้อย จริงหรือ? (more…)

ลดหย่อนภาษี 2560 เพิ่มสิทธิลดหย่อนสามี-ภรรยาและลูกเป็น 2 เท่า

event

ลดหย่อนภาษี 2560  …กฎหมายภาษีฉบับใหม่ เพิ่มสิทธิลดหย่อนคู่สมรส ปรับโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ลดหย่อนคู่สมรสที่มีเงินได้ 60,000 บาท บุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้มีเงินได้ หรือบุตรชอบด้วยกฎหมายของสามีหรือภริยาของผู้มีเงินได้คนละ 30,000 บาท บุตรบุญธรรมของผู้มีเงินได้คนละ 30,000 บาท แต่รวมกันต้องไม่เกิน 3 คน

ภาษี คืออะไร ?

ลดหย่อนภาษี 2560

ภาษี คือ สิ่งที่รัฐบาลบังคับเก็บจากราษฏร เพื่อใช้เป็นประโยชน์ส่วนรวม โดยไม่ได้มีสิ่งตอบแทนโดยตรงแก่ผู้เสียภาษีอากร หรืออีกนัยหนึ่งคือ เงินที่ได้จากเอกชนไปสู่รัฐบาล โดยการเก็บภาษีมีวัตถุประสงค์เพื่อหารายได้ให้พอใช้กับค่าใช้จ่ายของรัฐบาล เพื่อกระจายรายได้ เพื่อควบคุมการบริโภคของประชาชน เพื่อชำระหนี้สินของรัฐบาล หรือสนองนโยบาลทางธุรกิจในอนาคต

ซึ่งผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ได้แก่ ผู้ที่มีเงินได้เกิดขึ้นระหว่างปีที่ผ่านมา โดยมีสถานะ อย่างหนึ่งอย่างใด เช่น บุคคลธรรมดา , ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล , ผู้ถึงแก่ความตายระหว่างปีภาษี , กองมรดกที่ยังไม่ได้แบ่ง และ วิสาหกิจชุมชน ตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน

กฎหมายภาษีฉบับใหม่ เพิ่มสิทธิ ยื่น ลดหย่อนภาษี 2560

ทั้งนี้หลักเกณฑ์ในการหักค่าใช้จ่าย การหัก ลดหย่อนภาษี 2560 การกำหนดเงินได้พึงประเมินที่ต้องเสียภาษีเงินได้ การกำหนดเงินได้พึงประเมินที่ต้องยื่นรายการสำหรับบุคคลธรรมดา และอัตราภาษีเงินได้สำหรับบุคคลธรรมดาที่กำหนดในบัญชีอัตราภาษีเงินได้นั้น …ตามประมวลรัษฎากร ได้ใช้บังคับมาเป็นระยะเวลานาน ซึ่งไม่สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและค่าครองชีพในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไป จึงสมควรต้องปรับปรุงหลักเกณฑ์การหักค่าใช้จ่าย การหัก ลดหย่อนภาษี 2560 การกำหนดเงินได้พึงประเมินที่ต้องเสียภาษีเงินได้ การกำหนดเงินได้พึงประเมินที่ต้องยื่นรายการสำหรับบุคคลธรรมดาและอัตราภาษีเงินได้สำหรับบุคคลธรรมดาให้เหมาะสมยิ่งขึ้น

Must readลงทะเบียนคนจนรอบสอง พ่อแม่ผู้มีรายได้น้อย

โดยมีรายงานจาก ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 44) พ.ศ. 2560 (สมเด็ จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ให้ไว้ ณ วันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2560 เป็นปีที่ 2 ในรัชกาลปัจจุบัน ระบุว่า …อ่าน พระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 44) พ.ศ. 2560 คลิก!

23

อ่านต่อ >> “กฎหมายภาษีฉบับใหม่ เพิ่มสิทธิลดหย่อนสามี-ภรรยา และลูก อย่างไร” คลิกหน้า 2

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

แม่ใจสลาย เมื่อลูกน้อยถูกสุนัขที่มีเจ้าของกัด

Alternative Textaccount_circle
event

มีคุณแม่ท่านหนึ่งโพสต์ข้อความเอาไว้เป็นอุทาหรณ์ในเฟซบุ๊ก  เพื่อเตือนภัยคุณพ่อ คุณแม่ว่าให้ระวังลูกหลานเอาไว้ให้ดีๆ เพราะถ้าไม่ระมัดระวังให้ดีอาจ ถูกสุนัขกัด โดยเฉพาะสุนัขที่อยู่แถวบ้าน น้องอั่งเปา ลูกน้อยของคุณแม่อายุเพียงแค่ 2 ขวบ ถูกกัดเป็นแผล ต้องเย็บกว่า 20 เข็ม

(more…)

ลำดับการขึ้นของฟัน

ลำดับการขึ้นของฟัน และวิธีดูแลฟันลูกอย่างถูกวิธีตั้งแต่ซี่แรก

Alternative Textaccount_circle
event
ลำดับการขึ้นของฟัน
ลำดับการขึ้นของฟัน

สิ่งที่คุณแม่ที่มีลูกน้อยวัยเบบี๋เป็นกังวลนอกจากเรื่องสุขภาพและพัฒนาการทางร่างกายของเจ้าตัวน้อยแล้ว เรื่องการขึ้นของฟันลูก ก็เป็นอีกเรื่องที่คุณแม่เฝ้ารอว่า เมื่อไหร่นะที่ฟันซี่แรกของลูกจะขึ้น เราจะพาคุณแม่ไปดู ลำดับการขึ้นของฟัน และลำดับการหลุดของฟันน้ำนม พร้อมคำแนะนำในการดูแลฟันลูกอย่างถูกวิธีตั้งแต่ซี่แรกกันค่ะ (more…)

อันตรายจากไส้กรอก

อันตรายจากไส้กรอก ที่แพทย์ห้ามให้เด็กกิน

Alternative Textaccount_circle
event
อันตรายจากไส้กรอก
อันตรายจากไส้กรอก

อันตรายจากไส้กรอก อาหารเช้า หรืออาหารว่างตอนบ่ายๆ ไม่ว่าจะเด็ก หรือผู้ใหญ่ ก็มักจบลงที่ไส้กรอกทอดจิ้มซอสมะเขือเทศ ไส้กรอกเป็นอาหารที่ทานง่าย อร่อย และเป็นหนึ่งในเมนูสุดโปรดของเด็กๆ แต่ก่อนที่คุณแม่จะให้ลูกทานไส้กรอกกันมากเกินไปกว่านี้  ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีคำเตือนถึงโทษจากการทานไส้กรอกมาให้ได้ทราบกันค่ะ

 

อันตรายจากไส้กรอก – ไส้กรอกทำมาจากอะไร?

ไส้กรอกเป็นหนึ่งในวิธีถนอมอาหาร โดยใช้เนื้อสัตว์บดละเอียดผสมกับเกลือและเครื่องเทศ บรรจุลงในไส้  วัตถุดิบที่สำคัญในการผลิตไส้กรอก ได้แก่ เนื้อสัตว์ เกลือแกง ไขมัน เกลือไนเตรต์ เครื่องเทศ และเครื่องปรุงรส โดยเนื้อสัตว์ที่นำมาใช้ในการผลิตไส้กรอกจะต้องมีความสามารถในการรวมตัวกับน้ำได้สูง โดยมีแอคติน และไมโอซิน ทำหน้าที่ให้น้ำและไขมันในเนื้อสัตว์สามารถรวมตัวกันได้ เกลือนอกจากจะทำหน้าที่ให้รสชาติแล้วยังทำหน้าที่สกัดโปรตีนจำพวก แอคตินและไมโอซิน ออกจากกล้ามเนื้อของสัตว์ ทำให้ไส้กรอกที่ได้มีเนื้อสัมผัสที่นุ่มและชุ่มฉ่ำและให้กลิ่น และรสชาติที่คงตัว เกลือไนเตรต (KNO3, NaNO3) ทำให้ไส้กรอกเกิดสีและกลิ่นที่คงตัว และป้องกันไม่ให้ไส้กรอกเกิดการเน่าเสียจาก แบคทีเรียที่ไม่ใช้ออกซิเจนในการหายใจ1

 

พอจะรู้จักที่มาที่ไปของไส้กรอกกันแล้วใช่ไหมคะ  แต่มีอยู่ส่วนผสมหนึ่งในการผลิตไส้กรอกที่ถูกกำหนดให้ใช้ในปริมาณสัดส่วนที่เหมาะสมเท่านั้น นั่นก็คือไนเตรต์ โทษของไนเตรต์คือ เมื่อเด็กๆ หรือทุกคนที่รักในการทานไส้กรอกทานมากเกินไป อาจทำให้ได้รับสารพิษสะสมในร่างกาย ไนเตรต์ที่อยู่ในอาหารมากเกินไปจะทำให้เป็นพิษต่อร่างกาย เนื่องจากสารประกอบไนเตรต์ เมื่อเข้าสู่กระแสเลือดจะไปทำปฏิกิริยาออกซิไดซ์กับฮีโมโกลบินในเม็ดเลือด ทำให้เม็ดเลือดแดงนั้นหมดสภาพ ไม่สามารถทำหน้าที่ลำเลียงออกซิเจนได้ และยังก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้ด้วย

อันตรายจากไส้กรอก
Credit Photo : shutterstock

อันตรายจากไส้กรอก ที่แพทย์ห้ามให้เด็กกิน!!

กระทรวงสาธารณสุขอนุญาตให้ใช้โซเดียมไนไตรต์หรือโปแตสเซียมไนไตรต์ในไส้กรอกและกุนเชียงได้โดยกำหนดปริมาณสูงสุด ต้องไม่เกิน 125 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม อย่างไรก็ตามในปีพ.ศ. 2555 จากรายงานการเฝ้าระวังทางระบาดวิทยาของกระทรวงสาธาณสุข พบว่ามีโซเดียมไนไตรต์ในปริมาณที่เกินกำหนดในไส้กรอกและกุนเชียง ถึงร้อยละ 16.4 และ 8.9 ของจำนวนตัวอย่างที่ถูกสุ่มตรวจ ตามลำดับ และตรวจพบการเจือปนของโซเดียมไนไตรต์ในแหนม ไก่ทอด หมูยอ ปลาเค็ม และปลาเค็มตากแห้งหวาน ทั้งที่ไม่อนุญาตให้มีการใช้ไนไตรต์ในผลิตภัณฑ์อาหารดังกล่าว

 

ในเดือนมีนาคม-เมษายน พ.ศ. 2558 ภาควิชาอาหารเคมี คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้สุ่มตัวอย่างไส้กรอก แฮม และโบโลน่า จำนวนทั้งหมด 13 ตัวอย่าง ที่มีจำหน่ายในร้านสะดวกซื้อทั่วไปและซุปเปอร์มาร์เก็ต มาตรวจวิเคราะห์ปริมาณโซเดียมไนไตรต์ด้วยวิธี Modified AOAC official method 973.31 ซึ่งสรุปผลการตรวจวิเคราะห์ ได้ดังนี้ คือ ตรวจพบว่ามีไนไตรต์ในทุกตัวอย่างและมีปริมาณโซเดียมไนไตรต์ที่ตรวจพบอยู่ในเกณฑ์ที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดไว้ (ไม่เกิน 125 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม) ผลการวิเคราะห์แสดงในตารางที่ 1

 

อันตรายจากไส้กรอก

อ่านต่อ >> “ผลกระทบต่อสุขภาพ เมื่อทานไส้กรอกมากเกินไป” หน้า 2

 

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

ผู้หญิง ปวดประจำเดือน

ผู้หญิง ปวดประจำเดือน แบบไหนต้องไปหาหมอ!

Alternative Textaccount_circle
event
ผู้หญิง ปวดประจำเดือน
ผู้หญิง ปวดประจำเดือน

ผู้หญิง ปวดประจำเดือน เวลามีประจำเดือนเป็นช่วงเวลาที่ผู้หญิงส่วนใหญ่ไม่ชอบใจเลย  เพราะหลายคนต้องทรมานกับอาการปวดท้องประจำเดือน แม้กระทั่งแม่ที่ผ่านการมีลูกมาแล้วหลายคนก็ยังพบกับปัญหา “ปวดประจำเดือน”  ทีมงาน Amarin Baby & Kids จะมาชวนให้ผู้หญิงทุกคนสังเกตตัวเองว่าปวดประจำเดือนแบบไหนที่ควรต้องไปหาหมอ มาให้ทราบกันค่ะ

 

ผู้หญิง ปวดประจำเดือน – ประจำเดือนคืออะไร?

ประจำเดือน หรือ รอบเดือน หรือ ระดู (Menstruation หรือ Period) คือ เลือดและเนื้อเยื่อต่างๆ ที่หลุดลอกออกจากเยื่อบุโพรงมดลูก หรือเยื่อบุมดลูก โดยเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเพศหญิง โดยสัมพันธ์กับการตกไข่  ซึ่งการหลุดลอกของเยื่อบุโพรงมดลูกจะเกิดประมาณเดือนละครั้ง ภาวะที่เกิดขึ้นนี้ จึงถูกเรียกว่า ประจำเดือน1

เป็นที่รู้กันดีว่าผู้หญิงทุกคน เราไม่สามารถปฏิเสธการมีประจำเดือนกันได้นะคะ นอกจากกรณีที่เจ็บป่วยแล้วทำให้ต้องตัดมดลูก ออกไป นั่นอาจทำให้ไม่มีประจำเดือน แต่โดยธรรมชาติร่างกายของผู้หญิงได้ถูกสร้างขึ้นมาให้มีประจำเดือนไปจนถึงอายุประมาณ 40 ปีขึ้นไป ประจำเดือนก็จะเริ่มค่อยๆ หมดไปค่ะ

แต่ช่วงที่มีประเดือนเป็นช่วงเวลาที่ผู้หญิงส่วนใหญ่ไม่ค่อยชอบใจนัก เพราะการมาของประจำเดือนมักจะพาเอาความเจ็บปวดท้องมาด้วย บางคนถึงขั้นไม่สามารถไปทำงานได้ ปวดท้องจนตัวงอ เป็นไข้เลยก็มี เอาเป็นว่ามาดูกันสักนิดคะว่าปวดประจำเดือนแบบไหนที่บอกถึงภาวะผิดปกติ ที่ควรต้องไปพบคุณหมอกันค่ะ

พญ.จูลี หวัง สูติ-นรีแพทย์ โรงพยาบาลเวชธานี2 ได้อธิบายถึงการปวดท้องประจำเดือนมีอยู่ 2 กลุ่มคือ เป็นโรค กับ ไม่เป็นโรค

  1. การปวดท้องประจำเดือนแบบไม่เป็นโรค จะปวดท้องรอบเดือนใน 1-2 วันแรกของรอบเดือนเท่านั้น ปวดแบบทนได้ไม่ต้องทานยาแก้ปวด สาเหตุเกิดจากการหดรัดตัวของกล้ามเนื้อมดลูกเพื่อไม่ให้รอบเดือนมามากจนทำให้เกิดภาวะตกเลือด
  2. การปวดท้องประจำเดือนแบบเป็นโรค จะปวดท้องประจำเดือนมากจนต้องทานยาแก้ปวด สังเกตได้จากการเพิ่มปริมาณของยา เช่น พาราเซตามอล 2 เม็ด เป็น 4 เม็ด หรือเปลี่ยนเป็นยา Ponstan อาการปวดจาก 2-3 วัน กลายเป็นตลอดของช่วงรอบเดือน หรือคนที่มีอาการหนักจะพบว่าปวดตลอดเวลาโดยไม่สัมพันธ์กับรอบเดือนคนไข้กลุ่มนี้ ส่วนใหญ่เกิดจากสภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ นอกจากนี้ถ้าพบในอวัยวะภายในอุ้งเชิงกราน รังไข่ ปีกมดลูก จนกลายเป็นพังผืดในท้องก็อาจเป็นสาเหตุของการเกิด Chocolate Cyst, เนื้องอกในมดลูก และมดลูกโตมีพังผืดในมดลูก2

อ่านต่อ >> “ผู้หญิง ปวดท้องแบบไหนต้องไปหาหมอ” หน้า 2

 

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

การแพ้อาหาร

ข้อสรุปสำหรับพ่อแม่ เรื่องการแพ้อาหารในเด็ก

Alternative Textaccount_circle
event
การแพ้อาหาร
การแพ้อาหาร

การแพ้อาหารในเด็ก สามารถแบ่งออกได้ 2 ชนิด คือ ชนิดที่เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน และไม่เฉียบพลัน ในที่นี้จะกล่าวถึง ชนิดที่เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน คือที่เกี่ยวข้องกับ อิมมูโนโกลบูลิน อี อาการแพ้อาหารที่พบนั้นแตกต่างกันตามความรุนแรง ตั้งแต่น้อย ปานกลาง และรุนแรงที่สุด

(more…)

keyboard_arrow_up