สอนลูก รู้จัก “การให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน” อ้างจากเรื่องจริง!

สอนลูก ให้แบ่งปัน และรู้จักการให้ …ถ้าพูดถึงการให้ ความหมายของการให้ในทศพิศราชธรรมจากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี แล้ว คือ ทาน (ทานํ) หมายถึง การให้ การเสียสละ นอกจากเสียสละทรัพย์สิ่งของแล้ว ยังหมายถึงการให้น้ำใจแก่ผู้อื่นด้วย ซึ่งเป็นข้อที่ 1 ใน 10 ข้อของทศพิธราชธรรม

สำหรับการให้ ถ้าเป็นการให้โดยไม่หวังผลหรือสิ่งตอบแทน นั่นหมายถึง การให้ที่ให้ด้วยใจ ให้แล้วเกิดความสุขต่อเพื่อนมนุษย์ แม้แต่ต่อสัตว์ทั้งหลายที่เกิดมาร่วมชะตาชีวิตบนโลกมนุษย์ด้วยกัน เป็นการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกัน

การให้ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นการให้ด้วยทรัพย์สิน เงินทอง ในที่นี้จะหมายถึง การให้ด้วยน้ำใจ ซึ่งปัจจุบันเรียกว่า เป็นเรื่องที่หายากในสังคม การที่จะพบบุคคลที่มีความเสียสละ ทุ่มเท อุทิศแรงกายแรงใจ เสียสละเวลาส่วนตัว ด้วยแล้ว เหมือนงมเข็มในมหาสมุทร ยากเหลือเกินที่จะค้นพบ…การให้ด้วยน้ำใจ

Amarin Baby & Kids จึงขอนำเสนอเรื่องราว จากผลของการให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน พร้อมแนะนำเทคนิคการสอนลูกให้รู้จัก การให้ ด้วย 3 วิธีง่ายๆ เพื่อให้คุณธรรมความดีนั้น ส่งกลับมาหาลูกของคุณ เช่นเดียวกับเหตุการณ์นี้

สอนลูก ให้แบ่งปัน และรู้จักการให้
จากเรื่องจริง!
“ราคาของนมสดหนึ่งแก้ว”

…เมื่อหลายปีมาแล้ว ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เด็กชายเคลลี่ ซึ่งอยู่ในครอบครัวที่มีฐานะยากจน เขาต้องหาเงินไปโรงเรียนเองด้วยการนำสิ่งของใส่กระเป๋าเดินไปขายตามบ้านที่อยู่ในเมืองใกล้เคียง

วันหนึ่งเขาพบว่าเมื่อจ่ายค่ารถและค่าสินค้าแล้ว เขามีเงินในกระเป๋าเหลือเพียง 10 เซ็นต์ เท่านั้น
ขณะนั้นเขากำลังหิวมาก แต่เงินสดที่เขามีอยู่นั้นไม่พอที่จะซื้ออาหารแม้แต่เพียงมื้อเดียว

ดังนั้นเขาจึงคิดจะไปขออาหารจากบ้านที่กำลังเดินไปถึง
แต่เมื่อกดกริ่ง หญิงสาวเจ้าของบ้านมาเปิดประตู
เด็กชายเคลลี่ กับเกิดความละอายใจที่จะขออาหารเหมือนกับขอทาน เขาจึงขอเพียงน้ำเปล่าเพียงแก้วเดียวเท่านั้น

แต่เจ้าของบ้านสาวสังเกตเห็นท่าทางของเด็กชายเคลลี่ว่าคงจะกำลังหิว!
เธอจึงได้นำเอานมสดแก้วใหญ่มาให้เคลลี่ดื่มเด็กชายเคลลี่ดื่มนมอย่างกระหายจนหมดแก้ว แล้วถามว่า ผมต้องจ่ายเงินค่านมถ้วยนี้ให้คุณเท่าไหร่ครับ?
เจ้าของบ้านสาวตอบว่า ไม่ต้องจ่ายเงินหรอก แม่ของฉันสอนไม่ให้รับสิ่งตอบแทนจากการให้น้ำใจไมตรี

สอนลูก ให้แบ่งปัน

เคลลี่ซาบซึ้งใจมากและตอบว่า ถ้าเช่นนั้น ผมขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง จากหัวใจของผมก็แล้วกันนะครับ ขณะที่เด็กชายเคลลี่ได้เดินออกจากบ้านหลังนั้น เขาไม่เพียงแต่รู้สึกว่ามีกำลังแข็งแรงขึ้นจากนมสดแก้วโตเท่านั้น แต่เขาได้มีความเข้าใจในเรื่องของน้ำใจไมตรีเพิ่มขึ้นด้วย…

Must readสอนลูกให้มีน้ำใจ ในพริบตา!

อ่านต่อ >> เรื่องจริง! “ราคาของนมสดหนึ่งแก้ว” คลิกหน้า 2

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

    ภัยสุขภาพ ปี 2560

    เตือนพ่อแม่ระวัง 4 โรคติดต่อ 2 ภัยสุขภาพ ปี 60

    กรมควบคุมโรค พยากรณ์ 4 โรค และ 2 ภัยสุขภาพ ปี 2560 ที่ต้องเฝ้าระวัง โดยมี 4 โรคสำคัญ ได้แก่ โรคไข้เลือดออก โรคไข้หวัดใหญ่ โรคมือเท้าปาก และโรคเมลิออยโดสิส โดยเฉพาะไข้หวัดใหญ่ที่คาดว่าจะมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้น 2 เท่าจากปีที่ผ่านมา หรือมากกว่า 300,000 คน มี 7 จังหวัดเสี่ยง

    Continue reading “เตือนพ่อแม่ระวัง 4 โรคติดต่อ 2 ภัยสุขภาพ ปี 60”

      Amarin Baby & Kids Fair ครั้งที่ 9

      Amarin Baby & Kids Fair ครั้งที่ 9 ห้ามพลาด!

      กลับมาอีกครั้งกับงาน Amarin Baby & Kids Fair ครั้งที่ 9 วันที่ 23-26 กุมภาพันธ์นี้ ที่ไบเทคบางนา Hall 98-99 คุณพ่อ คุณแม่พลาดไม่ได้กับสินค้าสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ ลูกเล็ก ลูกโต จัดเต็มกว่า 1,000 บู๊ธ ลดสูงสุด 80% พร้อมเปิดโซนใหม่ Baby Market ร้านค้าจาก Facebook, Instagram

      Continue reading “Amarin Baby & Kids Fair ครั้งที่ 9 ห้ามพลาด!”

        เยื่อบุโพรงมดลูกอักเสบ

        เยื่อบุโพรงมดลูกอักเสบ เป็นแล้วอาจตายได้จริงหรือ?

        เยื่อบุโพรงมดลูกอักเสบ โรคฮิตที่ผู้หญิงทุกคนสามารถเป็นได้โดยไม่รู้ตัว และหากปล่อยลุกลามจนรุนแรงอาจถึงขั้นเสียชีวิต โรคนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร มีสัญญาณเตือนให้เตรียมตัวแบบไหน และเมื่อเป็นแล้วจะดูแลรักษาอย่างไร วันนี้เรามีข้อมูลมานำเสนอค่ะ

        เยื่อบุโพรงมดลูกอักเสบ เรื่องสำคัญที่ผู้หญิงต้องรู้

        ภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกอักเสบหรือมดลูกอักเสบ เริ่มจากปากมดลูกหรือช่องคลอดติดเชื้อแบคทีเรีย แล้วผ่านเข้าไปสู่โพรงมดลูก ทำให้มดลูกเกิดการอักเสบ ซึ่งหากปล่อยไว้นานไม่ดูแลรักษาให้ดี เชื้อนี้ก็จะลุกลามต่อไปยังท่อนำไข่ ทำให้ปีกมดลูกและอุ้งเชิงกรานอักเสบต่อ จนเกิดภาวะแทรกซ้อน และอาจเสียชีวิตได้

        คุณกำลังมีความเสี่ยงอยู่หรือไม่

        ผู้หญิงที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้มีหลายกลุ่ม ได้แก่ ผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์แบบเสรี หรือสามีมีคู่นอนหลายคน ซึ่งมักจะติดมาจากโรคทางเพศสัมพันธ์ ที่พบบ่อยคือ โรคหนองใน การมีเพศสัมพันธ์ขณะมีประจำเดือน ซึ่งปากมดลูกจะเปิด ทำให้เชื้อโรคเข้าสู่โพรงมดลูกได้ง่าย มีภาวะการติดเชื้อแบคทีเรียในช่องคลอดอยู่แต่อาจจะไม่รู้ตัว การดูแลสุขอนามัยอวัยวะเพศไม่ดีพอ และกลุ่มผู้หญิงรักความสะอาดมากเกินไปที่ชอบสวนล้างช่องคลอดเป็นประจำ ทำให้สภาวะในช่องคลอดเปลี่ยน จนติดเชื้อได้ง่าย

        อีกกลุ่มที่มีความเสี่ยงในการเกิดโรคเยื่อบุโพรงมดลูกอักเสบคือ กลุ่มคุณแม่ตั้งครรภ์และคลอดบุตร ที่สามารถติดเชื้อได้ทุกระยะ ตั้งแต่ในช่วงตั้งครรภ์ ระหว่างคลอด และหลังคลอด เช่น การผ่าคลอด ภาวะคลอดยาก ถุงน้ำคร่ำแตกก่อนเวลาคลอดนานเกินไป รวมถึงการทำแท้ง และขูดมดลูกด้วย เพราะโดยปกติช่องคลอดจะมีเชื้อแบคทีเรียอยู่แล้ว เมื่อมีการกระตุ้นก็จะยิ่งทำให้เชื้อเหล่านี้เจริญเติบโตเข้าสู่ช่องคลอด และติดเชื้อที่มดลูก จนเกิดเป็นภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกอักเสบ

        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

         

        อ่านต่อ วิธีเช็คอาการด้วยตัวเอง ก่อนพบแพทย์ คลิกหน้า 2

          น้ำหนักตัวของแม่ท้อง ต้องแบบนี้!

          ในความเป็นจริง น้ำหนักตัวของแม่ท้อง ต้องแบบนี้! เพราะคุณแม่หลายคนยังมีความเชื่อว่า ขณะตั้งครรภ์ควรทานอาหารเผื่อลูกให้มากๆ รวมทั้งเข้าใจผิดเรื่องไม่ควรออกกำลังกายหรือเคลื่อนไหวร่างกายมากๆ เพราะอาจเป็นอันตรายต่อลูก จนทำให้คุณแม่มีปัญหาน้ำหนักขึ้นมากเกินไปขณะตั้งครรภ์ ส่งผลเสียทั้งต่อสุขภาพคุณแม่เอง เรื่องการคลอดและสุขภาพของลูกน้อยในครรภ์

          น้ำหนักตัวของแม่ท้อง ต้องแบบนี้

          น้ำหนักตัวของแม่ท้อง

           

          ดังนั้นเพื่อให้ลูกน้อยและคุณแม่สุขภาพดี แม่มีน้ำหนักที่พอดี ไม่เสี่ยงโรคภัย และไม่อ้วน เรามาดูกันว่าขณะที่คุณแม่ตั้งครรภ์จะต้องมีน้ำหนักเท่าไรกันดี

          น้ำหนักตัวคุณแม่ควรขึ้นเท่าไร?

          ก่อนที่เราจะทราบว่าน้ำหนักขณะตั้งครรภ์ควรเพิ่มขึ้นเท่าไร ชวนคุณแม่มาคำนวณ ดัชนีมวลกาย(BMI)กันก่อนค่ะ

          ดัชนีมวลกาย(BMI) =   น้ำหนักคุณแม่ (กก.) หาร/ ความสูง (เมตร2)

          ยกตัวอย่างการคำนวณ สมมุติว่าคุณแม่หนัก 50 กก. และสูง 165 ซม.
          ก่อนอื่นต้องแปลงส่วนสูงเป็นเมตรก่อนค่ะ
          โดย 165 ซม. เท่ากับ 1.65 เมตร
          ก็นำค่ามาเทียบในสูตรข้างต้นได้เลย

          = 50 / (1.65 x 1.65)
          = 50 / 2.72
          = 18.38

          ค่า BMI ของคุณแม่ก็จะเท่ากับ 18.38 นั่นเองค่ะ

          เมื่อคุณแม่คำนวณแล้ว มาดูกันค่ะว่าน้ำหนักตัวคุณแม่ก่อนตั้งครรภ์เป็นอย่างไร และคุณแม่ควรจะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเท่าไรตลอดการตั้งครรภ์ ?

          • ค่า BMI น้อยกว่า 18.5 > คุณแม่มีน้ำหนักตัวก่อนตั้งครรภ์น้อยกว่าปกติควรมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น 12.5 – 18 กก. เฉลี่ยสัปดาห์ละ 0.51 กิโลกรัม
          • ค่า BMI 18.5 – 22.9 > คุณแม่มีน้ำหนักตัวก่อนตั้งครรภ์ปกติหรือสมส่วน ควรมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น 11.5 – 16 กก. เฉลี่ยสัปดาห์ละ 0.42 กิโลกรัม
          • ค่า BMI 23 – 29.9 > คุณแม่มีน้ำหนักตัวก่อนตั้งครรภ์เกินมาตรฐาน ควรมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น 7 – 11.5 กก. เฉลี่ยสัปดาห์ละ 0.28 กิโลกรัม
          • ค่า BMI 30 > คุณแม่มีภาวะอ้วน ควรมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น 5 – 9 กก. เฉลี่ยสัปดาห์ละ 0.22 กิโลกรัม

          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

           

          น้ำหนักของคุณแม่มาจากไหนกันนะ? หากคุณแม่กำลังสงสัยว่าน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นมาจากอะไร ไปดูกันค่ะ

          • ลูกน้อย 2-3.6  กิโลกรัม
          • รก  7  กิโลกรัม
          • ไขมันสะสม 7-3.6 กิโลกรัม
          • เลือดที่เพิ่มขึ้น 0.4 – 1.8  กิโลกรัม
          • น้ำคร่ำ  9 กิโลกรัม
          • เต้านมที่ขยายใหญ่ 0.45- 1.4 กิโลกรัม
          • ขนาดมดลูกที่ใหญ่ขึ้น  9 กิโลกรัม

          ติดตาม น้ำหนักตัว ของแม่ท้องต้องแบบนี้ คลิกต่อหน้า 2

            อุ่นนมแม่

            อุ่นนมแม่ อย่างไรไม่ให้เสียคุณค่าสารอาหาร?

             

            อุ่นนมแม่ มีคุณแม่นักปั๊มที่ทำสต็อกนมแม่ไว้ในตู้เย็นมาก เพื่อให้ลูกได้กินนมแม่ไปนานๆ ถือเป็นเรื่องที่น่าสนับสนุนค่ะ เพราะนมแม่มีประโยชน์กับลูกมากจริงๆ แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าน้ำนมแม่ที่ปั๊บเก็บในตู้เย็น ถ้าจะ อุ่นนมแม่ ให้ลูกกิน จะต้องอุ่น หรือละลายนมแม่อย่างไรเพื่อไม่ให้เสียคุณค่าสารอาหาร ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีคำตอบที่คุณแม่ไม่ควรพลาดมาให้ทราบกันค่ะ

             

            อุ่นนมแม่ ลูกชอบกินแต่นมอุ่นๆ ทำอย่างไรดี?

            ก่อนที่เราจะไปอุ่นนมแม่ให้ไม่เสียคุณค่าสารอาหาร เรามาหาคำตอบกับคำถามที่คุณแม่ที่ให้นมลูก ถามกันเข้ามาว่า “ลูกชอบกินแต่นมอุ่น” แบบนี้ได้หรือเปล่า นมแม่ที่อุ่นจะได้ประโยชน์ไหม? ซึ่งผู้ที่จะให้คำตอบได้ดีที่สุด ก็คือ แพทย์หญิงสุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ กุมารแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านทารกแรกเกิด(1) ที่คุณหมอได้ให้ข้อมูลอธิบายไว้อย่างชัดเจนในเรื่องที่ว่าลูกชอบกินนมแม่อุ่น ดังนี้

             

            “ไม่เป็นปัญหาใหญ่ค่ะ แต่ถ้าไม่ยอมกินทั้งเย็นทั้งอุ่น น่าปวดหัวกว่าค่ะเด็กบางคนชอบกินนมเย็น เนื่องจากมีกลิ่นเหม็นหืนน้อยกว่าและรสชาติดีกว่านมที่ถูกอุ่น แต่บางคนชอบกินอุ่นๆ คล้ายอุณหภูมิที่เหมือนออกจากเต้านมแม่ การกินนมเย็นไม่ได้ทำให้ปวดท้องหรือท้องเสีย ถ้าลูกชอบอย่างใดก็ทำอย่างนั้นได้ค่ะ แต่สิ่งที่ควรระวังในการทำให้นมอุ่นคือ อย่าให้ร้อนเกินไป เพราะทำให้วิตามินบางตัว สารภูมิคุ้มกันเซลล์เม็ดเลือดขาวลดลงเมื่อเทียบกับนมที่ยังเย็นอยู่ แต่แน่นอนว่ายังมีคุณค่ามากกว่านมผงทุกยี่ห้อ และหากร้อนมากอาจลวกปากลูกได้ ดังนั้นการอุ่นนมแม่ที่ปลอดภัยและได้คุณค่าเต็มที่คือให้ย้ายจากช่องแช่แข็งลงมาที่ตู้เย็นด้านล่าง โดยเตรียมก่อนวันใช้หนึ่งคืน วันรุ่งขึ้นนมจะละลายบางส่วน เมื่อนำออกจากตู้เย็นให้แช่ขวดนมไว้ในน้ำอุ่นหรือน้ำอุณหภูมิห้อง ห้ามเอานมใส่ไมโครเวฟหรือแช่ในน้ำร้อนหรือวางไว้ในที่อุ่นนมไฟฟ้า

            หากคุณแม่อยากฝึกให้ลูกกินนมเย็น แต่พยายามให้กินจากขวดแล้วไม่สำเร็จ ลองเปลี่ยนรูปแบบเป็นดื่มจากถ้วยน่ารักที่ลูกชอบ ดูดหลอดหรือใช้ช้อนขูดนมน้ำแข็งกินเป็นไอศกรีม ลูกอาจชอบและยอมกิน เพราะเป็นรูปแบบใหม่ที่ไม่เคยเจอมาก่อน”

             

            จากคำอธิบายของคุณหมอดังที่กล่าวไปข้างต้น น่าจะพอช่วยให้คุณแม่สบายใจหากต้องอุ่นนมให้ลูกได้ทานกันนะคะ เอาเป็นว่าเพื่อให้คุณแม่เข้าใจกันมากขึ้นในเรื่องของการนำนมแม่แช่เย็นเก็บเป็นสต็อกในตู้เย็น แล้วเมื่อถึงเวลาที่ต้องนำมาให้ลูกกิน คุณแม่ควรจัดการกับนมแม่แช่เย็นก่อนให้ลูกกินกัน ซึ่งมูลนิธินมแม่แห่งประเทศไทย(2) ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับนมแม่แช่เย็น ไว้ดังนี้

             

            อ่านต่อ >> “น้ำนมแม่แช่เย็น อุ่นอย่างไรไม่เสียคุณค่าสารอาหาร” หน้า 2

             

             

            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

              อุ้มลูกเรอ

              อุ้มลูกเรอ ช่วยไล่ลม สบายท้อง

              อุ้มลูกเรอ การทำให้ลูกสบายท้องหลังกินนมแม่ หรือกินนมขวดอิ่มแล้ว เป็นเรื่องที่คุณแม่คุณพ่อควรทำให้ทุกครั้ง เพราะลูกวัยทารกยังมีระบบย่อยอาหารที่ไม่แข็งแรง เวลาดูดนมอาจทำให้ลูกดูดกลืนเอาลมเข้าไปในท้องด้วย ทำให้มีอาการปวดท้องไม่สบายท้องเกิดขึ้นได้ ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีวิธี อุ้มลูกเรอ ช่วยไล่ลม ทำให้ลูกสบายท้องหลังกินนมอิ่มมาฝากกันค่ะ

               

              อุ้มลูกเรอ เกิดจากอะไร?

              คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ในหลายๆ ครอบครัวที่ไม่เคยมีประสบการณ์การเลี้ยงลูกมาก่อน และพอมีลูกก็อยู่กันเป็นครอบครัวเดี่ยว และต้องเลี้ยงลูกกันตามลำพัง จึงทำให้ไม่ทราบว่าบางครั้งลูกวัยทารกก็มีอาการอึดอัดหลังกินนมอิ่มได้ ซึ่งการสังเกตง่ายๆ คือ ทุกครั้งที่ลูกกินนมอิ่มมักจะร้องงอแง บิดตัวเล็กน้อย ซึ่งนั่นเป็นลูกปวดท้อง ไม่สบายท้อง

               

              การที่คุณแม่ให้นมลูกไม่ว่าจะกินนมแม่จากอก หรือลูกกินนมจากขวด อาจทำให้ลูกกลืนเอาอากาศเข้าไปพร้อมกับนมได้ ซึ่งอากาศที่เข้าไปจะเกิดเป็นฟองอากาศในกระเพาะอาหาร และนั่นจึงเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ลูกไม่สบายท้อง เมื่อลูกปวดท้องเขาจะร้องไห้

               

              Must Read >> อุ้มไล่ลมลูก หยุด! ไม่สบายท้อง

               

              ซึ่งหนึ่งในวิธีที่จะช่วยให้ลูกสบายท้อง สามารถขับเอาลมที่ทำให้ปวดท้องนั้นออกได้ ก็คือการที่คุณพ่อคุณแม่ช่วยทำให้ลูกเรอเอาลมในกระเพาะออกมา ที่สามารถทำให้ลูกได้ทุกครั้งหลังจากให้นมลูกอิ่มแล้ว

               

              อ่านต่อ >> “หลากวิธีช่วยลูกเรอ ช่วยสบายท้อง” หน้า 2

               

               

              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                เล็มขนตาลูก

                ตัดขนตาลูก ช่วยให้ลูกขนตางอนยาว ได้จริงหรือ?

                ตัดขนตา หรือ เล็มขนตาลูก …เป็นเรื่องที่คุณสาวๆ หรือคุณแม่มือใหม่อาจเคยได้ยินคนอื่นบอกกันมาว่าถ้าอยากให้ลูกขนตายาวและงอน ต้องใช้วิธี ตัดขนตา เพื่อให้ลูกมีขนตางอกออกมายาวขึ้น

                Continue reading “ตัดขนตาลูก ช่วยให้ลูกขนตางอนยาว ได้จริงหรือ?”

                  ใช้ธรรมะสอนลูกอย่างไร…ให้เป็นคนดี! โดย ท่าน ว.วชิรเมธี

                  สอนลูกอย่างไรให้เป็นคนดี …การใช้ธรรมะกล่อมจิตใจเลี้ยงลูกให้เป็นคนดี หลายคนคิดว่าสอนธรรมะให้เด็กแล้วจะไม่รู้เรื่อง แต่ความจริงแล้วเขาเข้าใจ ให้สอนไปเลยโดยใช้คำพูดง่ายๆ หรือการยกตัวอย่าง เด็กในวัยเตาะแตะนี้จะเชื่อฟังผู้ใหญ่อยู่แล้ว สอนตั้งแต่เด็กค่อยๆ แทรกไปในเรื่องต่างๆ เมื่อโตขึ้น ลูกจะเป็นคนมีธรรมะในใจ ที่สำคัญคือต้องไม่บังคับ ถ้าโดนบังคับลูกจะรู้สึกต่อต้านกับสิ่งที่สอนทันที

                  สอนลูกอย่างไรให้เป็นคนดี ใช้ธรรมะกับวัยซน โดย ท่าน ว.วชิรเมธี

                  หากนำดอกไม้ใส่มือเด็ก …เขาจะกลายเป็นคนที่จิตใจดีงาม

                  หากนำเอาความรักใส่มือเด็ก …เขาจะกลายเป็นคนที่เปี่ยมด้วยเมตตา

                  หากนำเหตุผลใส่มือเด็ก …เขาจะกลายเป็นนักวิทยาศาสตร์

                  หากนำหนังสือใส่มือเด็ก …เขาจะกลายเป็นปัญญาชน

                  หากนำนิสัยแห่งการให้ใส่มือเด็ก …เขาจะกลายเป็นคนที่มีจิตสำนึกแห่งสาธารณะ

                  หากนำธรรมะใส่มือเด็ก …เขาจะกลายเป็นคนดี

                  หากนำสมบัติผู้ดีใส่มือเด็ก …เขาจะกลายเป็น สุภาพชน

                  หากนำดนตรีใส่มือเด็ก …เขาจะกลายเป็นคนอารมณ์ดี

                  หากนำธรรมชาติใส่มือเด็ก …เขาจะกลายเป็นคนสงบ สุข

                  หากนำความก้าวร้าวใส่มือเด็ก …เขาจะกลายเป็นอันธพาล

                  หากนำความตามใจใส่มือเด็ก …เขาจะกลายเป็นจอมบงการ

                  หากนำเงินใส่มือเด็ก …เขาจะกลายเป็นคนมักง่าย

                  หากนำปืนใส่มือเด็ก …เขาจะกลายเป็นฆาตกร

                  หากนำวัตถุแพงๆใส่มือเด็ก …เขาจะกลายเป็นคนบ้าวัตถุ

                  หากนำความรักสบายใส่มือเด็ก …เขาจะกลายเป็นคนหยิบโหย่งอ่อนแอ

                  หากนำความไม่รับผิดชอบใส่มือเด็ก …เขาจะกลายเป็นคนที่สูญเสียสามัญสำนึก

                  หากนำความริษยาใส่มือเด็ก …เขาจะเป็นคนที่ขาดความ สุขของชีวิต

                  หากนำแต่วิชาชีพใส่มือเด็ก …เขาจะกลายเป็นคนสมองโตแต่ใจตีบ

                  คุณเอง… ในฐานะเป็นพ่อแม่ วันนี้คุณเอาอะไรใส่มือเด็กๆ ของคุณ

                  สอนลูกอย่างไรให้เป็นคนดี

                  ธรรมะ เปรียบเสมือนสะพานให้ทุกคนข้ามไปสู่ความดีงาม… เพราะนอกจากธรรมะจะเป็นเกราะป้องกันมนุษย์ จากสิ่งไม่ดีรอบข้างแล้ว ธรรมะยังสามารถดึงมนุษย์ออกมาจากสิ่งที่ไม่ดีได้อีกด้วย เชื่อว่าพ่อแม่ทุกคนย่อมรักลูก และอย่างให้ลูกมีชีวิตที่ดี มีสุข ปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง Amarin Baby & Kids จึงขอพาคุณพ่อคุณแม่ ไปไขข้อข้องใจเรื่องการสอนธรรมะให้ลูกอย่างไร แล้วลูกได้เรียนรู้จริงๆ

                  เริ่มสอนธรรมะลูกตอนไหนดีล่ะ?

                  พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี เจ้าของนามปากกา ว.วชิรเมธี บอกไว้ว่า “การสอนธรรมะให้ลูกนั้นพ่อแม่ต้องเริ่มตั้งแต่ลูกอยู่ในครรภ์ ระหว่างที่ตั้งครรภ์พ่อแม่ก็ควรดำเนินชีวิตให้อยู่ในศีลธรรม ก็จะเป็นการปลูกฝังเมล็ด พันธุ์แห่งความดีงามที่จะเติบโตขึ้นในวันพรุ่ง แต่ถ้าเรามาปลูกฝังเขาวันที่เราคลอดออกมาแล้วอาจจะช้าเกินไป”

                  หลายคนเปรียบเด็กแรกเกิดเสมือนผ้าขาว เพราะศักยภาพของลูกแรกเกิดนั้น เหมือนผ้าขาวที่พร้อมรองรับน้ำย้อมผ้า (คำสอน) ทุกรูปแบบ ถ้าคนเป็นพ่อแม่เอาสิ่งที่ดีไปย้อมให้ ลูกก็จะซึมซับสิ่งดี แต่ถ้าพ่อแม่เป็นนักย้อมผ้าที่ไม่ฉลาดก็จะเอาน้ำยาย้อมที่ไม่ดี ไปเปรอะเปื้อนผ้าขาวผืนนั้น ก็ย่อมทำให้ผ้าขาวสีหมองไป …และธรรมะคือสิ่งที่ดีพ่อแม่จึงจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะเอาธรรมะไปย้อมลงในตัวลูกให้ได้!

                  อ่านต่อ >> 3 เทคนิคง่ายๆ สอนลูกเรื่องธรรมะเป็นเรื่องไม่ยาก ท่าน ว.วชิรเมธี” คลิกหน้า 2

                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                   

                    แพ็คเกจวัคซีนไวรัสโรต้า

                    แพ็คเกจวัคซีนป้องกันไวรัสโรต้า ประจำปี 2560

                    เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าไวรัสโรต้า เป็นโรคที่พบบ่อยมากในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ เพราะเด็ก 5 ขวบปีแรกทุกคน จะต้องเคยเป็นอย่างน้อย 1 ครั้งในชีวิต และอาการอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต Amarin Baby & Kids จึงมี แพ็คเกจวัคซีนไวรัสโรต้า มาแนะนำคุณพ่อ คุณแม่เพื่อป้องกันลูกน้อย

                    Continue reading “แพ็คเกจวัคซีนป้องกันไวรัสโรต้า ประจำปี 2560”

                      โรค ที่แถมมาจากโรงพยาบาล

                      อันตราย!! 8 โรค ที่แถมมาจากโรงพยาบาล ต้องระวังโรคอะไรบ้าง?

                      โรค ที่แถมมาจากโรงพยาบาล เวลาที่คุณพ่อคุณแม่ หรือเด็กๆ มีอาการเจ็บป่วยเกิดขึ้น สิ่งแรกที่เรามักจะนึกถึงคือการไปหาคุณหมอที่โรงพยาบาล แต่ทราบหรือไม่ว่าการไปตรวจรักษาอาการเจ็บป่วยที่โรงพยาบาล อาจทำให้ได้รับเชื้อโรคเพิ่มส่งผลให้ป่วยหนักมากกว่าเดิมได้ ทีมงาน Amarin Baby & Kids มี 8 โรค ที่คุณหมอแนะนำว่าต้องระวัง เมื่อไปรักษาสุขภาพที่โรงพยาบาล

                       

                      โรค ที่แถมมาจากโรงพยาบาล มีโรคอะไรบ้าง?

                      เด็กๆ มักจะมีภูมิคุ้มกันที่น้อยกว่าผู้ใหญ่ จึงทำให้เจ็บป่วยได้ง่าย ซึ่งการพาเด็กๆ ที่ป่วยอยู่แล้วไปโรงพยาบาล หรือเด็กๆ อาจตามพ่อแม่ไปเยี่ยมญาติที่นอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล ปัจจัยแวดล้อมเหล่านี้สามารถส่งผลให้ได้รับเชื้อโรคและโรคที่อาจจะทำให้ป่วยตามมาได้

                       

                      นพ.กฤษดา ศิรามพุช แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุรวัฒน์ ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับ 8 โรค ที่เด็กๆ และทุกคนในครอบครัวสามารถเจ็บป่วยกันได้ เพียงได้รับเชื้อโรคมาจากการไปโรงพยาบาล ก็สามารถก่อให้เกิดโรคทั้ง 8 นี้ได้ สำหรับ 8 โรค ที่แถมมาจากการไปโรงพยาบาล มีดังต่อไปนี้ คือ

                      1. โรคไข้หวัดใหญ่

                      ถือเป็นโรคที่ป่วยกันได้ตลอดทั้งปี แทบจะเรียกว่าไม่มีช่วงไหนเป็นช่วงระบาดของโรค เพราะไข้หวัดใหญ่จะเป็นซุกอยู่ตลอดทั้งปี เมื่อคนป่วยเป็นไข้หวัดกันมาก ก็จะไปตรวจรักษาที่โรงพยาบาล และห้องที่มีผู้ป่วยเข้ารับการตรวจรักษามากๆ คือ ห้องรอตรวจ หรือโอพีดี ของโรงพยาบาลนั่นเองค่ะ ซึ่งหากคุณพ่อหรือคุณแม่ไม่สบายมีเหตุต้องไปตรวจรักษากับคุณหมอที่โรงพยาบาล ไม่แนะนำให้พาลูกเล็กๆ ไปด้วยนะคะ เพราะร่างกายของเด็กจะง่ายและไว้ต่อการได้รับเชื้อโรคค่ะ

                      2. โรคไข้หวัด

                      คนที่เจ็บป่วยด้วยอาการไข้หวัด มักจะมีอาการแสดงคือ มีน้ำมูก และเจ็บคอมาก ซึ่งสาเหตุของการเจ็บคอก็เพราะมีเชื้อแบคทีเรียที่ติดในลำคอโดยตรง ทำให้เกิดอาการเจ็บคอมาก และเสียงเปลี่ยน สำหรับไข้หวัดสามารถแผ่เชื้อให้คนป่วยตามๆ กันได้มาก เพียงแค่ตัวเราเอง หรือเด็กๆ อยู่ใกล้ๆ กับคนที่ป่วยเป็นไข้หวัด แล้วหายใจร่วมกัน ก็สามารถได้รับเชื้อไข้หวัดได้ง่ายๆ แล้วค่ะ ฉะนั้นหากต้องพาเด็กๆ ไปโรงพยาบาล หรือออกนอกบ้านแล้วต้องไปในที่ที่มีคนเยอะๆ แนะนำให้ใส่ผ้าปิดจมูกกันด้วยนะคะ

                      3. โรคปอดติดเชื้อ

                      โรคนี้มีหลักฐานว่ามากจากโรงพยาบาลโดยตรง ถึงขนาดมีชื่อเรียกสามัญประจำโรคว่า “ปอดติดเชื้อจากโรงพยาบาล (Hospital acquired pneumoniq)” โดยคนป่วยเป็นโรคนี้มักเกิดจากไปเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลแล้วต้องนอนค้างพักรักษาตัวโรงพยาบาล ไม่ว่าจะนอนดูอาการแค่คืนเดียว หรือในเด็กและผู้ใหญ่ที่ต้องนอนห้องไอซียู ก็ยิ่งได้สิทธิ์รับเชื้อลงปอดมากกว่าปกติ

                       

                      อ่านต่อ >> “8 โรค ที่แถมมาจากโรงพยาบาล” หน้า 2

                       

                       

                      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                        น้องเรซซิ่ง

                        คลอดแล้ว น้องเรซซิ่ง ลูกแม่แพท ณปภา

                        น้องเรซซิ่ง ข่าวดีแต่เช้าสำหรับครอบครัวพ่อเบนซ์ แม่แพท ณปภา ที่ได้ให้กำเนิดสมาชิกลูกชายตัวน้อย เมื่อเวลา 11.01 น. ณ โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน

                        วันที่ 13 ก.พ. ที่อาคารหมอแวลส์ รพ.กรุงเทพคริสเตียน แพท-ณปภา ตันตระกูล ดาราและพิธีกรชื่อดัง ให้กำเนิดลูกชาย ‘น้องเรซซิ่ง’ ด้วยวิธีการผ่าคลอด ตามฤกษ์ที่ดูไว้คือช่วงเวลาประมาณ 11.00-11.36 น.ของวันนี้

                         

                        น้องเรซซิ่ง
                        Credit Photo : ig benzracing

                        น้องเรซซิ่ง มีน้ำหนักตัวแรกเกิด 3,665 กรัม สุขภาพแข็งแรงดีทั้งแม่และลูก โดยมี เบนซ์-อัครกิตติ์ วรโรจน์เจริญเดช หรือ เบนซ์ เรซซิ่ง สามีคุณแพท ณปภา คอยให้กำลังใจอยู่ไม่ห่างตั้งแต่ก่อนคลอดและหลังคลอด

                         

                        ท้ายนี้ทีมงาน Amarin Baby & Kids ขอแสดงความยินดีกับคุณพ่อเบนซ์ คุณแม่แพท ณปภา ขอให้เป็นคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ป้ายแดงที่มีความสุขมากๆ กับการเลี้ยงน้องเรซซิ่งนะคะ 

                         

                         

                         


                        ขอขอบคุณข้อมูลข่าวจาก khaosod.co.th
                        ขอขอบคุณข้อมูลภาพจาก benzracing

                          ทารกฉี่สีส้ม

                          ทารกฉี่สีส้ม สีอิฐ สีเลือด อันตรายหรือไม่?

                           

                          ทารกฉี่สีส้ม การสังเกตลูกวัยทารกตั้งแต่แรกเกิดเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ ไม่ว่าจะเรื่องของสุขภาพ การนอน เสียงร้อง ระบบการขับถ่าย ฯลฯ ที่พ่อแม่จะต้องสังเกตลูกอย่างใกล้ชิด เพราะหากพบความผิดปกติจะได้แก้ไขอย่างทันท่วงที ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีข้อสงสัยที่คุณแม่ถามกันเข้ามาว่า ทำไมลูกวัยทารกบางครั้งฉี่ออกมาเป็นสีส้ม แบบนี้อันตรายหรือไม่อย่างไร?

                           

                          ทารกฉี่สีส้ม เป็นเพราะสาเหตุใด?

                          ในเด็กทารกที่ดื่มนมแม่ช่วง 3 – 4 วันแรกที่นมแม่ยังมาไม่มาก อาจพบว่าเมื่อลูกน้อยปัสสาวะออกมาจะลักษณะของสีออกเป็นสีส้มออกไปทางสีอิฐ ซึ่งภาวะนี้ไม่ใช่ปัสสาวะสีเลือด ดังนั้นคุณแม่ไม่ต้องวิตกกังวลกันมากเกินไปว่าลูกจะป่วยเป็นอะไรหรือเปล่า การที่ลูกวัยทารกฉี่สีส้ม เกิดจากรอยที่เกิดขึ้นเกิดเนื่องมาจากผลึกของกรดยูริคในปัสสาวะ ที่จะเกิดขึ้นในช่วงที่ได้รับน้ำนมน้อย จนทำให้ปัสสาวะเข้มข้น สารในปัสสาวะจะตกตะกอนเป็นสีส้ม-อิฐ ซึ่งวิธีแก้ไขคือให้ลูกดูดนมแม่บ่อยๆ เพราะยิ่งลูกดูดบ่อยจะเป็นการช่วยกระตุ้นให้ร่างกายแม่ผลิตน้ำนมออกมาในปริมาณที่เพิ่มมากขึ้น และหากลูกได้ดื่มนมแม่อย่างเพียงพอ ก็จะทำให้ลูกปัสสาวะออกมาสีใสเป็นปกติค่ะ

                          อ่านต่อ >> “ทารกปัสสาวะสีส้ม อาจเพราะกินนมแม่ไม่พอ!!” หน้า 2

                           

                           

                          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                            เครื่อง MRI เอ็มอาร์ไอ สแกนดูทารกในครรภ์แนวใหม่ เห็นชัดเว่อร์!

                            นวัตกรรมการแพทย์สุดล้ำ การสแกนดู ทารกดิ้นในครรภ์ แนวใหม่ ที่ให้คุณพ่อคุณแม่ได้เห็นถึงรูปร่างลักษณะของทารกในครรภ์อย่างชัดเจนกว่าการอัลตร้าซาวด์ ด้วยเครื่อง MRI ซึ่งผลที่ได้ช่วยให้เห็นโครงสร้างของทารกส่วนต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจน ตรวจดูได้ว่าอวัยวะแต่ละส่วนของทารกมีความสมบูรณ์แค่ไหน หรือทารกกำลังทำอะไรอยู่ ก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน

                            เอ็มอาร์ไอ (MRI : Magnetic Resonance Imaging) เป็นเครื่องตรวจอวัยวะภายในด้วยสนามแม่เหล็กเป็นเทคโนโลยีประสิทธิภาพสูง และคลื่นวิทยุ แล้วนำสัญญาณที่ได้มาประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์  ช่วยให้ได้ภาพสแกนอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย เช่น สมอง กระดูกสันหลัง ตับ ไต ข้อ ที่มีความคมชัด สามารถแยกเนื้อเยื่อของร่างกายที่ปกติและที่ผิดปกติออกจากกันได้

                            ซึ่งผู้ป่วยไม่ต้องกลั้นหายใจไว้นานๆ โดยเฉพาะในผู้สูงอายุที่กลั้นหายใจนานๆ ไม่ได้ ก็สามารถตรวจวินิจฉัยด้วยเครื่องมือนี้ได้ เพื่อนำไปสู่การรักษาโรคที่มีประสิทธิภาพและรวดเร็วมากขึ้น

                            สิ่งสำคัญ คือ การตรวจด้วยเครื่องสนามแม่เหล็กไฟฟ้า MRI นี้ สามารถตรวจในผู้ที่ไม่สามารถตรวจแบบใช้รังสีเอ็กซ์เรย์ และผู้ที่แพ้สารทึบรังสีได้ด้วย เช่น สตรีมีครรภ์ ผู้ที่แพ้สารทึบรังสี ผู้ที่มีภาวะไตวาย ซึ่งจะปลอดภัยและไม่มีผลแทรกซ้อน

                            ทารกดิ้นในครรภ์
                            ภาพเปรียบเทียบ การดุทารกด้วยเครื่องสแกน MRI และการ อัลตร้าซาวด์

                            ทารกดิ้นในครรภ์ เห็นชัดมาก ด้วยเครื่องสแกน MRI

                            เครื่อเอ็มอาร์ไอ(MRI) สามารถใช้ตรวจหาความผิดปกติของอวัยวะใดได้บ้าง

                            • ตรวจสมอง
                            • หาภาวะสมองขาดเลือด
                            • ดูลักษณะเส้นเลือดของสมอง(MRA)
                            • หาความผิดปกติของเนื้อสมอง เยื่อหุ้มสมอง
                            • หาภาวะเนื้องอกสมอง

                            การตรวจ MRI ทารกดิ้นในครรภ์

                            ทารกดิ้นในครรภ์

                            การพัฒนาเทคนิคการตรวจของเครื่อง MRI รุ่นใหม่มี fast imaging sequence ทำให้  มีความว่องไวมากพอที่จะตรวจทารกในครรภ์ได้โดยภาพไม่สั่นไหว ใช้ดูเด็กทารกในครรภ์ของคุณแม่ การตรวจด้วยเครื่อง MRI สามารถใช้ตรวจหาความผิดปกติของทารกในครรภ์ได้ MRI มีบทบาทในการวินิจฉัยความผิดปกติบางอย่างของทารกในครรภ์ที่การตรวจอัลตร้าซาวด์อาจให้วินิจฉัยได้ลำบาก เช่น การตรวจหาความผิดปกติของสมองส่วน  posterior fossa , การตรวจหาความผิดปกติของทารกในครรภ์ที่มีความซับซ้อน และการตรวจหา ความพิการของทารกในครรภ์  ผลที่ได้จะช่วยให้คุณหมอหาแนวทางรักษาทารกได้ตั้งแต่ทารกอยู่ในครรภ์ หรือ แนวทางการคลอดบุตรให้กับคุณแม่ได้

                            อ่านต่อ >>”ชมคลิปวีดีโอการเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์แม่อย่างชัดเจน ด้วยเทคโนโลยี MRI” คลิกหน้า 2

                            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                             

                              ลูกนอนกัดฟัน ส่งผลเสียอย่างไร และแก้ด้วยวิธีไหน?

                              ลูกนอนกัดฟัน …หนึ่งในอาการที่ทำเอาคุณพ่อคุณแม่หลายคนเกิดความเป็นกังวลอยู่ไม่น้อย และอดห่วงไม่ได้ในเรื่องสุขภาพฟันของลูก

                              สาเหตุที่ ลูกนอนกัดฟัน

                              ลูกนอนกัดฟัน

                              การนอนกัดฟันพบได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ อาการนอนกัดฟันในเด็กเป็นภาวะที่พบได้ร้อยละ 15 – 33 ส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นทุกวัน และถึงแม้ว่ายังไม่สามารถหาคำอธิบายถึงสาเหตุที่แท้จริงของอาการนอนกัดฟันได้ แต่กลับพบปัจจัยเสี่ยงของเด็กที่ชอบนอนกัดฟัน ซึ่งเกิดขึ้นได้จากปัจจัยดังต่อไปนี้

                              1. สภาพจิตใจ ที่เกิดจากการความตึงเครียดความวิตกกังวล ก็มีส่วนไปกระตุ้นให้เกิดอาการนอนกัดฟันได้ เช่น การมีน้องคนใหม่และการสอบ

                              2. พันธุกรรมในครอบครัวที่พ่อหรือแม่นอนกัดฟัน มีเด็กมีพี่หรือน้องนอนกัดฟัน ลูกจึงมีโอกาสสูงที่จะนอนกัดฟันได้เหมือนกัน

                              3. เกิดจากร่างกายของตัวเด็กเอง ที่สมองและระบบประสาทอัตโนมัติถูกกระตุ้นมากเกินจึงทำให้เกิดพฤติกรรมเช่นนั้นได้

                              4. การเจ็บป่วย การขาดสารอาหารบางอย่าง เช่น วิตามินบี 5 และธาตุ แคลเซียม รวมถึงการมีพยาธิ

                              5. ฟันใหม่จะขึ้นหรือฟันเก่าหลุด

                              6. การได้รับยาหรือสารบางอย่าง ที่ทำให้คุณภาพการนอนไม่ดี เช่น กาเฟอีน ในชา กาแฟ น้ำอัดลม โกโก้หรือช็อกโกแลต และแอลกอฮอล์ หรือยาต้านโรคซึมเศร้าบางตัว อาจกระตุ้นการนอนกัดฟัน แต่มักเกิดกับผู้ใหญ่ที่มีพฤติกรรมนอนกัดฟันมากกว่าในเด็ก

                              7. ส่วนในรายที่เป็นทุกวันอาจเป็นเพราะมีการสบฟันที่ผิดปกติ การเป็นโรคภูมิแพ้อากาศ หรือเป็นความผิดปกติของการนอนรูปแบบหนึ่ง (sleep disorder)

                              อย่างไรก็ดี เด็กที่ชอบนอนกัดฟัน อาจพบร่วมกับโรคและพฤติกรรมที่ผิดปกติในขณะนอนหลับอื่นๆได้ด้วย เช่น นอนละเมอพูดหรือละเมอเดิน ปัสสาวะรดที่นอน นอนกรนและโรคทางเดินหายใจอุดกั้นทำให้หยุดหายใจเป็นพักๆขณะหลับ และ โรคสมาธิสั้น ซึ่งสามารถเกิดอาการควบคู่กับการนอนกัดฟันในตัวเด็กได้ ผู้ปกครองควรสังเกตด้วยว่าเด็กมีโรคอื่นๆเกิดร่วมหรือไม่และควรนำลูกไปพบแพทย์เพื่อรักษาโรคนั้นๆด้วย

                              เด็กที่นอนกัดฟันบางคนอาจบ่นว่าปวดตรงข้อต่อขากรรไกร ร้าวไปที่ในหู หรือปวดๆเมื่อยๆเวลาอ้าปาก เคี้ยวอาหาร บริเวณแก้มหรือขมับเพราะกล้ามเนื้อบดเคี้ยวเมื่อยล้าจากพฤติกรรมนอนกัดฟัน หรือบ่นปวดศีรษะบ่อยๆ อาการนี้อาจเป็นข้อบ่งชี้ได้ว่าลูกนอนกัดฟัน

                              อ่านต่อ >> “ผลเสียของการ ที่ลูกชอบนอนกัดฟัน” คลิกหน้า 2

                              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                               

                                สุดนอบน้อม! “น้องกร” หนูน้อยแห่งวัดป่ามณีกาญจน์ เข้ากราบ “พระสังฆราชองค์ที่ 20” พร้อม เทคนิคการสอนธรรมะให้เด็กเล็ก

                                น้องกร กราบ สมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 20 อย่างนอบน้อม  …น้องกร หรือ ด.ช.จิรกร ศรสงคราม ที่โด่งดังและเป็นที่รู้จักในโลกออนไลน์ กับความน่ารัก ท่านั่งสัปหงกระหว่างทำสมาธิ และได้บวชเณรภาคฤดูร้อนเมื่อปีที่แล้ว ณ วัดป่ามณีกาญจน์ ซึ่งปัจจุบันแม้น้องกรจะสึกจากเณรแล้ว แต่ก็ยังมาทำหน้าที่เด็กวัดเหมือนเดิม

                                โดยล่าสุดได้มีภาพน่าปลื้มใจเผยแพร่ออกมา เมื่อ “น้องกร” ได้เข้ากราบ “สมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 20” ในรัชกาลที่ 10  ด้วยความนอบน้อม สร้างความประทับใจแก่ชาวเน็ตกันมากมาย ต่างเข้ามาชื่นชมถึงความน่ารัก น่าเอ็นดูของน้องกร

                                น้องกร กราบ สมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 20

                                ก่อนหน้าเมื่อวันที่ 7 ก.พ. นายกรัฐมนตรีแจ้งว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โปรดให้สถาปนาสมเด็จพระมหามุนีวงศ์ เป็นสมเด็จพระสังฆราช ทั้งนี้พุทธศาสนิกชนต่างชื่นชมในวัตรปฏิบัติที่งดงาม และเรียบง่ายของพระสังฆราชองค์ใหม่ และในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ นี้ จะมีการสถาปนาที่วัดพระแก้วในเวลา 17.00 น. ซึ่งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร จะเสด็จด้วยพระองค์เอง ทั้งนี้การสถานปนา สมเด็จพระมหามุนีวงศ์ เป็นสมเด็จพระสังฆราช นักวิชาการประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม เห็นว่าเหมาะสมมากที่สุด ด้วยจริยวัตร ที่เรียบร้อย ไม่ได้มีประวัติด่างพร้อยของเจ้าประคุณสมเด็จ

                                น้องกร กราบ สมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 20น้องกร กราบ สมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 20

                                สำหรับ น้องกร หรือ ด.ช.จิรกร ศรสงคราม ปัจจุบันอายุได้ 4 ขวบ แล้ว ซึ่งในช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ น้องกร จะใช้เวลามาอยู่ที่วัดตลอดทั้งวัน นั่งข้างๆ พระอาจารย์อำนวย จิตตสังวโร เจ้าอาวาสวัดป่ามณีกาญจน์ จ.นนทบุรี ทำหน้าที่เป็นเด็กวัด คอยช่วยเหลือเมื่อมีผู้มาทำบุญ แต่สิ่งที่เรียกรอยยิ้มและสร้างความเอ็นดูให้แก่ผู้พบเห็น คือ การให้พรที่เป็นเอกลักษณ์ของเด็กชายใฝ่ธรรมะคนนี้ ความใกล้ชิดกับวัดมาตั้งแต่เด็ก และเพิ่งผ่านการบวชเณรเมื่อปีที่แล้ว ยังส่งผลให้การสวดมนต์ที่อาจจะดูเป็นเรื่องยากในเด็กวัยเดียวกัน กลับเป็นสิ่งที่น้องกรทำได้ด้วยตัวเอง

                                น้องกร กราบ สมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 20

                                โดยเกือบกว่า 4 ปีที่ผ่านน้องกรคลุกคลีอยู่กับวัด ซึ่ง นางวริษฐา เสือแผ้ว ผู้เป็นแม่บอกว่า เห็นความเปลี่ยนแปลงของลูกชายอย่างเห็นได้ชัด เพราะการใช้ธรรมะช่วยขัดเกลาจิตใจ ทำให้เป็นเด็กที่มีเหตุผลขึ้น แต่ความซุกซน สดใสตามประสาเด็กก็ยังมีให้เห็น

                                อ่านต่อ >> “4 เทคนิคสอนธรรมะให้เด็กเล็ก” คลิกหน้า 2

                                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                 

                                  ลูกร้องโคลิค

                                  ลูกร้องโคลิค สาเหตุ อาการ และวิธีแก้ไข

                                  ลูกร้องโคลิค หลังจากคลอดลูกและกลับมาบ้าน ดูเหมือนทุกอย่างจะราบรื่นดี แต่แล้วผ่านไปไม่กี่สัปดาห์จู่ๆ ทำไมเจ้าตัวเล็กถึงร้องนานเป็นชั่วโมงอย่างนี้นะ ตัวก็ไม่ร้อน ผ้าอ้อมก็ไม่เปียก ปัญหาอื่นก็ไม่มี ใครช่วยบอกทีลูกร้องทำไม? ทีมงาน Amarin Baby & Kids มาไขข้อสงสัยให้แล้วว่าทำไมลูกถึงร้องนานเป็นชั่วโมง ร้องซ้ำเวลาเดิม การร้องแบบนี้เรียกว่า ลูกร้องโคลิค

                                  ลูกร้องโคลิค คืออะไร?

                                  โคลิค หรือ โคลิก (colic) คืออาการร้องของเด็กทารก ที่มักจะเกิดขึ้นในทารกอายุ 3 สัปดาห์จนถึง 3 เดือน ลักษณะการร้องของลูกจะร้องมาก ร้องนาน ร้องหน้าแดงกำหมัดแน่น ร้องจนตัวงอ เป็นต้น และมักชอบร้องช่วงเวลาเย็นๆ หรือไม่ก็ช่วงกลางคืน  เป็นการร้องที่ตรงเวลากันทุกวัน โดยจะร้องนานมากกว่า 3 ชั่วโมงต่อวัน

                                  อาการร้องโคลิค เกี่ยวข้องกับความเชื่อได้อย่างไร?

                                  ถ้าเป็นทางการแพทย์สมัยใหม่จะวินิจฉัยลักษณะอาการร้องของลูกอย่างนี้ว่าเป็นอาการร้องโคลิก แต่ถ้าเป็นในสมัยโบราณเวลาที่เด็กๆ ร้องไห้โดยไม่มีสาเหตุ ร้องเสียงดัง และไม่ยอมหยุด เชื่อกันว่า เด็กมองเห็นบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้รู้สึกหวาดกลัว เช่น วิญญาณ หรือ แม่ซื้อ และเล่ากันต่อๆ มาถึงหลายๆ สาเหตุ เช่น แม่ซื้อมากวน ชวนให้เล่นด้วย, ถูกเร่งให้มาเกิด ยังไม่พร้อมที่จะมา, เด็กเห็นในสิ่งที่เราไม่เห็น, นมแม่เป็นพิษ ดวงไม่ถูกกับพ่อแม่, เป็นซาง (กินน้อย ไม่ยอมกิน ทั้งที่ไม่ได้เจ็บป่วย), สวรรค์กำลังทดสอบความเป็นแม่ ถ้าผ่านไปได้ จะได้ผลตอบแทนที่ยิ่งใหญ่

                                  โคลิค สาเหตุเกิดจากอะไร?

                                  การร้องโคลิกของลูกวัยทารก ยังไม่ทราบสาเหตุของอาการที่แน่ชัด แต่ก็อาจมาจากหลายสาเหตุร่วมกันที่นำมาสู่การร้องโคลิค ศาสตราจารย์ แพทย์หญิงอรุณี เจตศรีสุภาพ กุมารเวชศาสตร์(1) ได้อธิบายถึงสาเหตุที่อาจนำไปสู่การร้องโคลิคของทารก ดังนี้

                                  1. จากพื้นฐานอารมณ์ของเด็ก ซึ่งเป็นกลุ่มเด็กเลี้ยงยาก
                                  2. เด็กกลืนอากาศขณะดูดนมเข้าไปมาก
                                  3. เด็กไม่ได้เรอออกมา อากาศในท้องจึงก่อให้เด็กเกิดอาการแน่นอึดอัดในท้อง
                                  4. เด็กอยู่ในท่านอนที่ไม่เหมาะสม
                                  5. เด็กกินมากเกินไป หรือกินน้อยเกินไป
                                  6. ครอบครัวมีความเครียด หรือความวิตกกังวลมาก (ซึ่งอาจตรงกับที่พบอุบัติการณ์โคลิดสูงในครอบครัวที่มีสถานะทางเศรษฐกิจสังคมสูง เป็นบุตรของพ่อแม่ที่มีอายุมาก ครอบ ครัวที่มีลูกน้อย และในพ่อแม่ที่มีการศึกษาสูง) พบว่าความเครียดของแม่ตั้งแต่ช่วงตั้งครรภ์มีผลให้เกิดโคลิกในเด็กได้
                                  7. เกิดในเด็กที่มีภาวะ/โรคกรดไหลย้อน
                                  8. เกิดในเด็กที่มีการเคลื่อนตัวของลำไส้ผิดปกติ คือมีการเคลื่อนตัวของลำไส้มากเกินไป
                                  9. เกิดในเด็กที่มีการกินอาหารพวกแป้งมากเกินไป ทำให้ลำไส้ย่อยแป้งไม่หมด จึงเหลือแป้งให้แบคทีเรีย (ในลำไส้) ย่อยแป้งที่เหลือ ทำให้เกิดแก๊สในลำไส้มาก เด็กจึงแน่นอึดอัดท้อง
                                  10. ในเด็กที่มีการแพ้อาหาร หรือในเด็กที่ได้รับน้ำผลไม้บางอย่าง เช่น น้ำแอปเปิ้ล
                                  11. เด็กที่บิดา มารดา มีปัญหาทางอารมณ์
                                  12. มีการเปลี่ยนแปลงของเชื้อแบคทีเรียในลำไส้เด็ก โดยเฉพาะมีแบคทีเรียบางกลุ่มสัมพันธ์กับการเกิดอาการโคลิกซึ่งเมื่อลดแบคทีเรียกลุ่มดังกล่าวอาการโคลิกก็ลดลงได้(1)

                                  การร้องโคลิคของลูกวัยทารกจะยาวนานเพราะจะร้องติดต่อกันทุกวัน แต่อาการร้องจะค่อยดีและหายไปเองเมื่อลูกเริ่มเข้าช่วงเดือนที่ 4 เป็นต้นไป ซึ่งระหว่างนี้คุณพ่อคุณแม่ต้องเตรียมแผนรับมือกับอาการร้องโคลิกของลูก อย่างแรกที่สุดคือพ่อแม่ต้องไม่เครียด หาเวลาพักบ้างผ่อนด้วยการสลับกันดูแลลูก ไม่ควรทิ้งภาวะการดูแลไว้ที่คนใดคนหนึ่ง เพราะจะกลายเป็นความเครียดสะสมซึ่งส่งผลเสียต่อพัฒนาการของลูกได้

                                   

                                  ลูกร้องโคลิก

                                  จะช่วยอย่างไรเมื่อ ลูกร้องโคลิค ?

                                  การจะรับมือกับเมื่อลูกร้องโคลิค ก่อนอื่นพ่อแม่ต้องตั้งสติ ไม่คิดมากและไม่ฟุ้งซ่าน เพราะการร้องโคลิคไม่ใช่การร้องที่จะนำไปสู่อันตรายต่อสุขภาพของลูก แต่อาจส่งผลต่อสภาพจิตใจของพ่อแม่ได้บ้าง ดังนั้นแนะนำว่าพ่อแม่ต้องไม่เครียดกับเสียงร้องของลูกเด็ดขาด

                                  หากลูกๆ ของคุณพ่อคุณแม่มีอาการร้องโคลิค อาจเป็นการยากที่จะทำให้ลูกหยุดร้องในทันที แต่ก็พอที่ช่วยให้อาการร้องดีขึ้น ซึ่งคุณหมอได้มีคำแนะในการดูแลเมื่อ ลูกร้องโคลิค ดังนี้

                                  1. ให้คุณพ่อคุณแม่สังเกตการร้องของลูกก่อนว่าร้องเพราะหิวนมหรือไม่ เพราะเด็กที่หิวนมมักจะร้องกวน
                                  2. ควรจัดสิ่งแวดล้อมรอบตัวลูก โดยเฉพาะในบ้าน ห้องนอน อย่าให้มีอะไรมากระตุ้นลูก อาทิ เสียงดังๆ หรือแสงรบกวน โดยเฉพาะแสงไฟที่จ้ามากไป
                                  3. การอุ้มลูกพาดบ่าเพื่อให้ลมในท้องดันเรอออกมา จะช่วยให้ลูกรู้สึกสบายตัวขึ้น
                                  4. เมื่อลูกเริ่มร้อง คุณแม่อาจใช้วิธีนวดตัวลูกเบาๆ เพื่อให้เขารู้สึกสบายขึ้น การลูบหลัง หรืออุ้มขึ้นมาแล้วเขย่าเบาๆ ก็ช่วยให้ลูกผ่อนคลายได้เช่นกัน
                                  5. การเปิดเพลงเบาๆ ให้ลูกฟัง สามารถช่วยทำให้ลูกรู้สึกผ่อนคลายได้
                                  6. คุณพ่อคุณแม่เมื่อได้ยินลูกร้องนานมากกว่าปกติ ไม่ควรปล่อยลูกให้ร้องอยู่คนเดียว แต่ควรเข้าไปอุ้มแล้วปลอบโยกตัวลูกเบาๆ
                                  7. หาคนช่วยดูลูก เพื่อแม่จะได้พักบ้าง เช่น คุณพ่อช่วย หรือพี่เลี้ยงมาสลับ ไม่เช่นนั้นคุณแม่จะเครียดมาก(2)

                                  วิิธีที่สามารถป้องกัน ลูกร้องโคลิค ได้ดีที่สุดคือขจัดต้นตอของปัญหาออกไปตั้งแต่แรก  โดยสาเหตุที่มักพบบ่อย คือ ลูกกลืนอากาศเข้าไปขณะดุูดนม แล้วไม่ได้เรอออกมา หรือเรอออกมาไม่หมด ทำให้ท้องอืด แน่นอึดอัด ไม่สบายตัว  คุณแม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการเลือกใช้ Philips Avent Anti-colic bottle ขนาด 9 ออนซ์ ขวดนมป้องอาการโคลิค มาพร้อมจุกนมควบคุมการไหลของนม ใช้ได้ตั้งแต่แรกเกิด- 3 เดิือน

                                   Philips Avent Anti-colic bottle  เป็นขวดนมและจุกนมมาตรฐานระดับโลก ที่ผ่านการคิดค้นและออกแบบอย่างเข้าใจถึงสรีระช่องทางของทารก ลักษณะการดูดนมอย่างเป็นธํรรมชาติ โดยพัฒนาขวดนมให้ลักษณะพิเศษสามารถไล่อากาศออกจากท้องลูกได้  โดยมีวาล์วทำงานอัตโนมัติ ระหว่างที่ดูดนม ขวดก็จะไล่อากาศส่วนเกินออกมาด้วย ทำให้ไม่มีลมในมากเกินไป ลูกน้อยจึงสบายท้อง ไม่มีอาการท้องอืด แน่นท้องต้นเหตุของอาการโคลิค แถมยังช่วยให้ดื่มนมได้มากขึ้นด้วย

                                  ลูกร้องโคลิค

                                  ขวดนมทำจากวัสดุเกรดดี ไม่มีสาร BPA และ BPS  คอขวดกว้างพร้อมกับมุมขวดที่โค้งมนจึงทำความสะอาดได้ง่าย รูปทรงออกแบบให้หยิบจับถนัดมือ ส่วนจุกนมซิลิโคนไม่แข็งเกินไป ลูกดูดไม่สำลัก มีผิวเป็นร่องๆช่วยป้องกันการหดตัว ทำให้นมได้อย่างไม่ติดขัด

                                  ด้วยนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ของคุณแม่ พร้อมดูแลสุขภาพลูกไปในตัว  ขวดนม Philips Avent Anti-colic bottle จึงได้รับการการเสนอชื่อและคะแนนโหวตของคุณแม่ทั่วประเทศกว่า 10,000 คน ให้ได้รับรางวัล Mommy’s Choice สาขา Best Baby Bottle & Nipple Product จาก AMARIN BABY AND KIDS AWARDS2020 ในปีนี้ 

                                  สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่สนใจ  Philips Avent Anti-colic bottle พลาดไม่ได้กับโปรโมชั่นสุดพิษ “ซื้อ 2 ขวดแถมฟรีทันที 1 ขวด” ในราคาเพียง 660 บาท จากปกติ 990 บาท คลิกที่นี่เลย https://bit.ly/2LPvWbO

                                  อาการร้องโคลิค ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว และอันตรายอย่างที่คิด ขอเพียงคุณพ่อคุณแม่มีสติและอย่าเครียดกับสิ่งที่เกิดขึ้น ขอให้ในทุกวันดูแลลูกให้ดีตามคำแนะนำจากคุณหมอ แล้วอาการร้องโคลิคจะหายไปในที่สุด …ด้วยความใส่ใจและห่วงใยค่ะ

                                   

                                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                  อ่านต่อบทความเรื่องอื่นที่น่าสนใจคลิก

                                  ทารกขาดวิตามินบี 12 เสียชีวิต เพราะแม่รักสุขภาพกินแต่ผัก
                                  อาการนอนผวาในทารก สาเหตุ และวิธีแก้ไข
                                  ไขทารก มีประโยชน์กับลูกหรือไม่ ทำไมต้องกำจัด?

                                   

                                   


                                  ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก
                                  1,2ศาสตราจารย์ แพทย์หญิง อรุณี เจตศรีสุภาพ วว.กุมารเวชศาสตร์, อว.โลหิตวิทยา.โคลิก (Baby colic) : เด็กร้องร้อยวัน.haamor.com
                                  รศ.นพ.ประพันธ์  อ่านเปรื่อง ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล. เด็กร้อง 3 เดือน (โคลิก). www.si.mahidol.ac.th

                                    การเลือกเพศลูก

                                    การเลือกเพศลูก เทคนิคร่วมรักช่วยได้จริงหรือ?

                                    การเลือกเพศลูก สามีภรรยาหลายคู่อยากมีลูกน้อยตามเพศที่ต้องการ ด้วยเหตุผลต่างๆ อาทิ อยากมีลูกชายเพื่อสืบสกุล อยากได้ลูกสาวเพราะมีลูกชายแล้ว ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีวิธีการร่วมรักที่ต้องใช้เทคนิคเล็กๆ น้อยๆเพื่อให้ได้ ลูกชาย หรือ ลูกสาว จากผู้เชี่ยวชาญ มาแนะนำให้ทุกครอบครัวทราบกันค่ะ

                                     

                                    การเลือกเพศลูก – เด็กผู้ชาย กับ เด็กผู้หญิง กำเนิดขึ้นมาได้อย่างไร?

                                    ตามหลักการของแพทย์จะอธิบายไว้อย่างเข้าใจว่า เพราะอะไรทำไมแม่ถึงให้กำเนิดลูกชาย หรือลูกสาวขึ้นมาได้

                                    ซึ่งช่วงเวลาสำคัญนี้เกิดขึ้นมาจากการที่ อสุจิ กับ ไข่ ได้รวมตัวกันจนเกิดการปฏิสนธิขึ้นของตัวอ่อน

                                    “ตัวอสุจิ” จะมีโครโมโซมเพศ 2  ชนิด คือ “X”  และ  “Y”

                                    “ไข่”  จะมีโครโมโซมชนิดเดียว คือ  “X”

                                    หากตัวอสุจิที่มีโครโมโซม “X” เข้าผสมกับไข่ก็จะได้ผลเป็น  “XX”  คือ เพศหญิง

                                    หากตัวอสุจิที่มีโครโมโซม “Y” เข้าผสมกับไข่ก็จะได้ผลเป็น  “XY”  คือ เพศชาย(1)

                                     

                                    ดูเหมือนเป็นหลักการเข้าใจง่ายๆ ใช่ไหมคะ แต่ทว่าแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าช่วงไหนควรให้โครโมโซมเพศลูกที่เราต้องการมาเจอกัน ฟังดูอาจจะยากมาก แต่อย่าเพิ่งท้อกันไปค่ะ เพราะการเลือกเพศลูก อาจต้องอาศัยเทคนิคหลายๆ อย่างเข้าช่วยด้วย ซึ่งก็มีทั้งใช้วิทยาการเทคโนโลยีทางการแพทย์ หรือจะเป็นเทคนิคแบบวิธีธรรมชาติ ที่สามารถใช้การมีเซ็กส์เข้าช่วย เอาเป็นว่าเรามาลองแบบไม่ต้องเสียเงินกันดูก่อนไหมคะ เพราะเห็นหลายคู่รักที่อยากได้เพศลูกตามต้องการเขาก็ทำกัน

                                     

                                    อ่านต่อ >> “วิธีเลือกเพศลูกด้วยเทคนิคธรรมชาติ” หน้า 2

                                     

                                     

                                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่