Page 192 – AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

แอพนับวันไข่ตก ช่วยให้ท้องได้

แอพนับวันไข่ตก 8 อันดับ แม่นยำ ช่วยวางแผนมีลูกชัวร์

แนะ 8 แอพนับวันไข่ตก ช่วยคุณผู้หญิง นับวันไข่ตก วางแผนมีลูก จะมีแอพพลิเคชั่นนับวันไข่ตกไหนบ้างที่ควรโหลดมาลองใช้ช่วยเรื่อง การนับวันไข่ตก ตามมาดูกันเลย

แอพนับวันไข่ตก 8 อันดับ แม่นยำ ช่วยวางแผนมีลูกชัวร์

วันไข่ตก มีความสำคัญอย่างไรกับผู้หญิง โดยเฉพาะผู้หญิงที่รอวันเป็นคุณแม่อย่างตั้งตารอ ใจจดใจจ่อกันนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องรู้จัก และทำความเข้าใจกับวันไข่ตก

ทำความเข้าใจกับการตกไข่ของผู้หญิง

“ผู้หญิงแต่ละคนจะมีไข่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิดถึง 1 ล้านใบ”

ผู้หญิงที่เข้าสู่วัยรุ่นในแต่ละเดือนจะมีการตกไข่เดือนละ 1 ครั้ง ซึ่งเซลล์ไข่นี้ถูกสร้างตั้งแต่ยังเป็นทารกอยู่ในครรภ์ถึง 6-7 ล้านฟอง แต่เมื่อทารกเพศหญิงคลอดออกมาแล้วจะเหลือไข่เพียง 2 ล้านฟอง เมื่อเข้าสู่วัยรุ่น เซลล์ไข่เหล่านั้นจะเหลือเพียง 2-5 แสนฟอง และจะมีเซลล์ไข่ที่ทำให้ตั้งครรภ์ได้เพียง 400-500 ฟองเท่านั้น

วันไข่ตก สำคัญอย่างไร
วันไข่ตก สำคัญอย่างไร

การคัดเลือกเซลล์ไข่ในแต่ละเดือนเป็นผลมาจากฮอร์โมนที่ควบคุมการตกไข่ คือเอสโตรเจน โปรเจสเตอโรน แอลเอช (LH – Luteinozing Hormone) และเอฟเอสเอช (FSH – Follicle Stimulating Hormone) โดยหลังจากวันที่ 5 ของรอบเดือน ฟองไข่จะเจริญเติบโตอยู่ในถุงรังไข่ประมาณ 15-20 ฟอง ก่อนจะถูกคัดเลือกให้เหลือ 1 ใบที่สมบูรณ์ที่สุด

ในแต่ละเดือนรังไข่ทั้ง 2 ข้างจะสลับกันตกไข่ เวลาผ่านไปในวันที่ 14 ของรอบเดือน ไข่ที่ถูกคัดเลือกแล้วจะหลุดออกมาจากถุงรังไข่ รอการปฏิสนธิอยู่บริเวณท่อนำไข่ เรียกว่า “การตกไข่” เมื่อได้รับการผสมก็จะเคลื่อนตัวไปฝังอยู่ที่ผนังมดลูกเพื่อเติบโตเป็นทารก

เมื่อผ่านการตกไข่ไปแล้ว 14 วันแต่ไม่มีการผสมของอสุจิในช่วงวันตกไข่ ผนังมดลูกที่รอรับการฝังตัวจะสลายตัวแล้วไหลออกทางช่องคลอดกลายเป็น “ประจำเดือน” นั่นเอง

คุณผู้หญิงหลายคนที่กำลังวางแผนจะมีลูก อยากตั้งครรภ์ การคำนวณวันตกไข่จะช่วยให้มีน้องมาติดได้ง่ายขึ้น ไข่ที่ตกจะรอปฏิสนธิอยู่ที่ปลายท่อนำไข่ 12-24 ชั่วโมงเท่านั้น ทำให้การนับวันตกไข่ก็ไม่ควรพลาดเช่นกัน เพราะถ้าในเดือนนี้พลาดแล้วล่ะก็ จะต้องรอการตกไข่รอบใหม่ในอีก 1 เดือน

แอพนับวันไข่ตก ตัวช่วยสำหรับผู้หญิงยุคใหม่!!

การนับวันตกไข่มีได้หลายวิธีทั้งการนับวันรอบเดือนด้วยตัวเอง และการใช้ชุดตรวจการตกไข่ซึ่งมีหลายรูปแบบ ในปัจจุบันนอกจากการที่เราจะมานั่งนับวันไข่ตก หรือตรวจการตกไข่ด้วยตนเองแล้ว ยังมีเทคโนโลยีที่ช่วยให้สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ด้วย แอพนับวันไข่ตก สำหรับคุณผู้หญิงที่มีรอบเดือนมาอย่างสม่ำเสมอสามารถใช้แอพพลิเคชั่นเพื่อช่วยคำนวณวันไข่ตกได้ ซึ่ง แอพนับวันไข่ตก เหล่านี้จะช่วยจดทุกอย่างให้เราโดยที่เราไม่ต้องคอยมานั่งจำอะไรให้เยอะแยะมากมาย ว่าแต่จะมีแอพพลิเคชั่นใดบ้างไปดูกันเลย

สำหรับ แอพนับวันไข่ตก จะทำหน้าที่ช่วยคำนวณระยะตกไข่ของคุณผู้หญิง : ซึ่งเป็นช่วงนี้จะมีโอกาสเกิดการตั้งครรภ์ได้มากที่สุด โดยในระยะนี้จะมีมูกที่ปากมดลูกมาก มูกจะมีลักษณะใสและลื่น (คล้ายไข่ขาวดิบ) สามารถดึงยืดเป็นเส้นได้ ทำให้ตัวอสุจิสามารถผ่านมูกนี้เข้าไปสู่โพรงมดลูกได้สะดวก หากมีการร่วมเพศในช่วงนี้ก็จะมีโอกาสตั้งครรภ์ได้สูง

แอพนับวันไข่ตก

วิธีเลือกแอพนับวันไข่ตก

เรามีข้อแนะนำในการเลือกแอพนับวันไข่ตกมาฝากกัน เพื่อช่วยในการประหยัดเวลาในการโหลดแอพที่ถูกใจ เพราะหากมามัวเสียเวลาทดลองใช้ทุกแอพ คงไม่ดีแน่ ลองมาเลือกแอพตามคำแนะนำ เพื่อให้ถูกใจ และตรงกับความต้องการของเรามากที่สุดกันดีกว่า

1.เลือกตามวัตถุประสงค์ เป็นข้อที่ควรนำมาพิจารณาเป็นข้อแรก และข้อที่สำคัญที่สุด ว่าเราจะนับวันไข่ตกเพื่ออะไร เช่น

  • เพื่อการมีลูก เพื่อป้องกันการมีลูก ควรเลือกแอพที่พัฒนาโดยบริษัทที่น่าเชื่อถือซึ่งมีฐานข้อมูลกว้าง เพราะจะช่วยให้การคำนวณเป็นไปอย่างแม่นยำและควรเลือกแอพที่มีการแสดงผลรายวันถึงโอกาสในการตั้งครรภ์ว่าสูงหรือต่ำในช่วงก่อน และหลังวันไข่ตก เนื่องจากอสุจิสามารถอยู่ในรังไข่ได้นานถึง 2 วัน ใครที่ต้องการมีลูกจะได้คำนวณวัน และเวลาในการทำกิจกรรมได้ตรงกับวันไข่ตก ส่วนใครที่ต้องการลดโอกาสการตั้งครรภ์ก็จะได้หลีกเลี่ยงช่วงเวลาดังกล่าว
  • เพียงเพื่อจดบันทึกรอบเดือน เพื่อตรวจสอบสุขภาพ แนะนำให้เลือกดาวน์โหลดแอปที่มีฟีเจอร์ในการวิเคราะห์ถึงความผิดปกติของรอบเดือนจากข้อมูลเกี่ยวกับรอบเดือนที่เราบันทึก ซึ่งบางแอปมีการแจ้งเตือนเมื่อรอบเดือนของเรายาวหรือสั้นกว่าปกติ พร้อมให้ข้อมูลถึงปัจจัยที่อาจทำให้รอบเดือนคลาดเคลื่อน เช่น ความเครียดและสภาพแวดล้อม เพื่อให้เราสังเกตและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเอง

2.เลือกแอพที่สามารถบันทึกข้อมูลสุขภาพร่างกาย และกิจกรรมระหว่างรอบเดือนได้ ข้อมูลเล็กน้อยในแต่ละวันที่ง่ายต่อการหลงลืม เมื่อถูกบันทึกอย่างเป็นระบบด้วยตัวช่วยอย่างแอพนับวันไข่ตก ก็อาจกลายเป็นข้อมูลสำคัญในการรักษาพยาบาลของเราในอนาคตได้เลยทีเดียว

3.แอพที่มีเกร็ดความรู้ด้านสุขภาพเสริมให้ เพื่อให้ครบจบในแอพเดียว การมีคลังความรู้เสริมให้กับเราก็จะช่วยให้เข้าใจเรื่องราวต่าง ๆ ได้มากขึ้น ยังมีบางแอปที่มีพื้นที่ให้คนอยากมีลูก และว่าที่คุณแม่ได้มาแลกเปลี่ยนความรู้กันได้อีกด้วย

4.เลือกที่สามารถบันทึก และอ่านข้อมูลได้ง่าย ในหัวข้อนี้นับเป็นหัวข้อที่ช่วยดึงดูดให้เราหมั่นเข้าไปใช้ เพราะหากว่าแอพจะมีครบครันเพียงใด แต่หากเราไม่หมั่นเข้าไปบันทึก ก็คงไม่สามารถช่วยอะไรได้มาก และหากแอพแสดงข้อมูลเป็นข้อความยาวเหยียดพร้อมภาษาทางการแพทย์ที่เข้าใจยาก เราก็คงไม่รู้สึกดึงดูดใจที่จะเข้าไปใช้งาน

8 อันดับ แอพนับวันไข่ตกยอดนิยม

1. Period Tracker Clue

แอพนับวันไข่ตก

เป็นแอพพลิเคชั่นที่ช่วยเราคุมกำเนิดหรือจะเป็นการวางแผนการตั้งครรภ์จากการคำนวณการตกไข่ที่ได้ผลแม่นยำมากยิ่งขึ้น จากการศึกษาข้อมูลทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์ ช่วยให้รู้ถึงระยะเวลาการตกไข่เพื่อไม่ให้พลาดช่วงเวลาดีๆ ที่วางแผนจะมีเจ้าตัวน้อย และยังช่วยในการป้องกันการตั้งครรภ์ได้อีกด้วย

แอพนับวันไข่ตก

โดย Period Tracker Clue จะคอยติดตามสุขภาพของเรา ไม่ว่าจะเป็น อาการก่อนมีประจำเดือน การควบคุมอามารมณ์ การนอน การออกกำลังการ และอื่นๆ และยังมีการใช้งานง่ายอีกด้วย

คลิกดาวน์โหลด Period Tracker Clue แอพพลิเคชั่น นับวันไข่ตก ได้ที่นี่!

แบบ iOS

แบบ Android

2. Period Tracker

แอพนับวันไข่ตก

ลักษณะของแอพพลิเคชั่นก็จะคล้าย ๆ กันกับแอพแรก ซึ่งมีการใช้งานที่ง่ายมาก เมื่อเริ่มมีประจำเดือนวันแรก ก็ให้กดปุ่มเริ่มต้นการมีประจำเดือนของเราในทุกๆ เดือน

แอพนับวันไข่ตก

ซึ่งเจ้า Period Tracker จะบันทึกวันที่ และคำนวณค่าเฉลี่ยของรอบเดือนที่ผ่านมา 3 เดือนเพื่อคาดการณ์วันที่เริ่มต้นของช่วงเวลาถัดไป โดยสามารถดูวันที่ปัจจุบันและอนาคตในช่วงวันที่เราจะมีประจำเดือน หรือมีการตกไข่ และอาการของเราในแต่ละเดือนได้ที่ปฏิทิน และยังสามารถตกแต่งโทรศัพท์ของเราด้วยไอคอนที่เราชอบเพื่อให้ Period Tracker ของเราน่ารักไม่เหมือนใครอีกด้วย

แถมมาพร้อมกราฟ และแผนภาพที่เข้าใจง่าย อีกทั้งยังสามารถทำเป็น Report ให้คุณหมอได้ แอพนี้ยังมีฟีเจอร์ Self Care สำหรับสาวรักสุขภาพ เช่น การสาธิตวิธีตรวจเต้านมที่ควรตรวจเป็นประจำ การออกกำลังกายลดอาการปวดประจำเดือนและเกร็ดความรู้ในการดูแลผิวพรรณ หรือหากใครมีปัญหาเรื่องการนอนหลับ ในแอพก็มีเสียงที่ช่วยในการผ่อนคลายอย่างให้เปิดกล่อม หากเกร็ดความรู้ยังไม่จุใจก็ตามไปพูดคุยกันต่อได้ใน Forum กับสาว ๆ จากทุกมุมโลกได้อีกด้วย

คลิกดาวน์โหลด Period Tracker แอพพลิเคชั่น นับวันไข่ตก ได้ที่นี่!

แบบ iOS

แบบ Android

♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥

3. Flo ปฏิทินประจำเดือน

แอพนับวันไข่ตก

Flo หนึ่งใน แอพนับวันไข่ตก เปรียบเสมือนเครื่องมือติดตามการมีประจำเดือนของเรา ซึ่งจะช่วยคำนวณโอกาสในการตั้งครรภ์ได้อย่างแม่นยำถึงแม้ประจำเดือนจะมาไม่สม่ำเสมอก็สามารถใช้งานแอพพลิเคชั่นได้ เพียงบันทึกวันแรกที่มีประจำเดือนลงในปฏิทิน และตอบคำถามเพิ่มเติมได้ เช่น ระยะเวลาการมีประจำเดือนในแต่ละเดือน เป็นต้น หรือจะนำเข้าข้อมูลจากนาฬิกา Fitbit ก็สะดวก

แอพนับวันไข่ตก

นอกจากนี้ยังมีเครื่องคิดการตั้งครรภ์ (ปฏิทินการตั้งครรภ์) ที่จะช่วยเรานับถอยหลังเข้าสู่การเกิดของทารก ติดตามสัปดาห์ของปฏิทินตั้งครรภ์ ดูการพัฒนาการของทารกในครรภ์ และตัวติดตามสมรรถภาพทางร่างกาย ที่จะช่วยดูแลเรื่องการเพิ่มหรือลดน้ำหนัก รวมถึงระยะเวลาการนอนในแต่ละวัน และการบริโภคน้ำ ยังมีหน้าต่าง Chatbot ให้เราสนทนาโต้ตอบกับแอพได้อีกด้วย ถือเป็นแอพพลิเคชั่นที่ครบจบในแอพเดียวเลยก็ว่าได้

คลิกดาวน์โหลด Flo ปฏิทินประจำเดือน แอพพลิเคชั่น นับวันไข่ตก ได้ที่นี่!

แบบ iOS

แบบ Android

♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥

4. Period Tracker – Period Calendar Ovulation Tracke

แอพนับวันไข่ตก

เป็นแอพ ที่จะช่วยนับถ่อยหลังการมีประจำเดือน การตกไข่ โอกาสการตั้งครรภ์ไม่ว่าประจำเดือนจะมาปกติหรือไม่ปกติก็สามารถคำนวณได้ นอกจากนี้ยังเป็นไดอารี่ส่วนตัวที่สามารถบันทึกข้อมูลกิจกรรมทางเพศ น้ำหนัก อุณหภูมิ อาการหรืออารมณ์ในแต่ละวัน มีการแจ้งเตือนการมีประจำเดือน ระยะเวลาที่ไข่ตก การเตือนการคุมกำเนิด (ยา,ห่วง,ฝั่ง) และยังมีการติดตามดูแลเรื่องการตั้งครรภ์อีกด้วย

แอพนี้ยังมีฟีเจอร์ Self Care สำหรับสาวรักสุขภาพ เช่น การสาธิตวิธีตรวจเต้านมที่ควรตรวจเป็นประจำ การออกกำลังกายลดอาการปวดประจำเดือน และเกร็ดความรู้ในการดูแลผิวพรรณ หรือหากใครมีปัญหาเรื่องการนอนหลับ ในแอพก็มีเสียงที่ช่วยในการผ่อนคลายอย่างให้เปิดกล่อม หากเกร็ดความรู้ยังไม่จุใจก็ตามไปพูดคุยกันต่อได้ใน Forum กับสาว ๆ จากทุกมุมโลกได้

แอพนับวันไข่ตก

คลิกดาวน์โหลด Period Tracker – Period Calendar Ovulation Tracke แอพพลิเคชั่น นับวันไข่ตก ได้ที่นี่!

แบบ iOS

แบบ Android

♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥

5. ไดอารี่หญิงๆ

แอพนับวันไข่ตก

แอพนับวันไข่ตก อันสุดท้าย เป็นเสมือนไดอารี่น่ารักๆ สำหรับคุณผู้หญิงอีกหนึ่งแอพซึ่งจะช่วยเตือน และติดตามสถานะการตกไข่และประจำเดือน สามารถบันทึกอาการ, อารมณ์, อุณหภูมิร่างกาย และน้ำหนักในแต่ละวัน รวมทั้งบันทึกข้อความและไดอารี่ต่างๆ ประจำวัน เพื้อการดูแลตัวเอง และวางแผนให้ดียิ่งขึ้น

แอพนับวันไข่ตก

ฟังก์ชั่นการใช้งาน :

  • บันทึกข้อมูลต่างๆ ประจำวันสำหรับผู้หญิง (ประจำเดือน, น้ำหนัก, โอกาสในการตั้งครรภ์, โน้ตประจำวัน และอื่นๆ)
  • กราฟแสดงผลเปรียบเทียบ เข้าใจง่าย
  • มีสติกเกอร์มากมายกว่า 100+ สำหรับเตือนวันสำคัญและเหตุการ์ณต่าง ๆ
  • back up ข้อมูล หมดห่วงข้อมูลไม่หายเวลาเปลี่ยนเครื่อง
  • สามารถคาดการณ์และช่วยเตือนวันที่ประจำเดือนจะมาครั้งถัดไป รวมถึงวันและเวลาในการตกไข่เพื่อช่วยเพิ่มโอกาสการในตั้งครรภ์
  • มีแจ้งเตือนก่อนประจำเดือนในแต่ละเดือน

สาว ๆ คนไหนต้องการเพียงติดตามรอบเดือน และหาวันไข่ตกกันเพียงเบื้องต้น แอพน่ารัก ๆ นี้ก็น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว

คลิกดาวน์โหลด ไดอารี่หญิงๆ แอพพลิเคชั่น นับวันไข่ตก ได้ที่นี่!

แบบ iOS

แบบ Android

♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥

6. My Calenda – Period Tracker

my calenda period tracker

การใช้งานพื้นฐานครบครัน มีฟีเจอร์ใช้งานในโหมดคุณแม่ตั้งครรภ์

แอrนี้น่าจะถูกใจใครหลายคนที่ชอบหน้าจอการใช้งานที่สะอาดตา และชอบการปรับแต่งธีม ครบครันด้วยฟีเจอร์ที่จำเป็นพื้นฐานในการบันทึกข้อมูลด้านร่างกาย และอารมณ์เพื่อนับวันไข่ตก มีโหมดติดตามการตั้งครรภ์ให้บรรดาคุณแม่เลือกใช้ แต่หากใครต้องการคุมกำเนิดก็มีตัวเลือกให้บันทึกการรับประทานยาคุมและแจ้งเตือนเมื่อถึงเวลาเช่นกัน การแสดงผลข้อมูลเพื่อเปรียบเทียบสุขภาพของเราในแต่ละเดือนนั้นก็เข้าใจง่ายด้วยกราฟที่ไม่ซับซ้อน หรือจะเลือกดูเป็นแบบ Timeline ก็สามารถทำได้ แต่ถ้าสาวคนไหน ๆ กำลังตามหาแอพที่ประมวลข้อมูลได้ลึก ละเอียดแอพนี้ก็อาจจะยังตอบสนองได้ไม่เพียงพอนัก

คลิกดาวน์โหลด My Calenda – Period Tracker ได้ที่นี่!!

แบบ IOS

แบบ Android

♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥

7. Glow Period, Fertility Tracker

แอพนับวันไข่ตก

แอพนับวันไข่ตกที่เป็นมากกว่าแอพด้วยการมี Community ให้สาว ๆ ได้มาพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการวางแผนตั้งครรภ์ และการดูแลสุขภาพ ที่เรามาสามารถโพสข้อความหรือแชร์แนะนำสินค้าเพื่อสุขภาพให้แก่กันได้ ทั้งยังมีฟีเจอร์ติดตามสุขภาพของฝ่ายชายควบคู่ไปพร้อม ๆ กันเพื่อช่วยเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จ ส่วนการแสดงผลของแอพนี้บอกได้เลยดูแล้วเข้าใจง่ายมาก ๆ เพราะเขามีทั้งแผนภาพและกราฟสรุปสำหรับทุกข้อมูลที่เราบันทึกกันเลยทีเดียว

คลิกดาวน์โหลด Glow Period,Fertility Tracker ได้ที่นี่!!

แบบ IOS

แบบ Android

♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥

8. Ovia Fertility  & Cycle Tracker

แอพจากผู้พัฒนาที่เชี่ยวชาญด้านการตั้งครรภ์ และวางแผนครอบครัว ซึ่งมีฟีเจอร์ในการบันทึกค่าต่าง ๆ ของร่างกายและรอบเดือนที่มีความละเอียดตั้งแต่แบบสอบถามเพื่อสร้างโปรไฟล์ผู้ใช้งาน ครอบคลุมแทบทุกปัจจัยที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ ทั้งยังมีกราฟบอกวันต่อวันถึงโอกาสในการตกไข่ และช่วยคำนวณหาวันที่เหมาะกับการใช้ที่ตรวจการตั้งครรภ์ ส่วนฟีเจอร์ด้านสุขภาพก็น่าสนใจเพราะมีตั้งแต่ Checklist รายวันที่ช่วยส่งเสริมพฤติกรรมในการดูแลสุขภาพ มีบทความสุขภาพ เช่น โรคซึมเศร้า ไปจนถึงบทความที่ทันเหตุการณ์อย่าง COVID-19 และที่สำคัญคือแอพนี้ใช้งานฟรีไม่มีการเสียเงินอัปเกรด

คลิกดาวน์โหลด Ovia Fertility & Cycle Tracker ได้ที่นี่!!

แบบ IOS

แบบ Android

คำแนะนำ : อย่างไรก็ดีการใช้ แอพนับวันไข่ตก หรือ การคำนวณวันไข่ตก ด้วยตัวเองอาจคลาดเคลื่อนถ้าช่วงรอบประจำเดือนมาไม่ตรงกัน และปัจจัยอื่น ๆ ที่มีผลต่อร่างกาย เพื่อความแน่นอนหากคู่รักคู่ไหนที่วางแผนจะมีลูกหรือเตรียมตัวตั้งครรภ์ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยตรงด้วยจะเป็นการดี

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : wewillapp.com/ my-best.in.th/ กรมอนามัย

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

การนับวันไข่ตก เขานับกันยังไง?

สูตร (ไม่) ลับ ทำอย่างไร แบบไหน ถึงจะได้ลูกชาย หรือลูกสาว

นับวันตกไข่ ให้ดีถ้าอยากมีลูกในวัย 30+

เด็กปฐมวัยเรียนรู้อะไรใน หลักสูตร Early Years ของไบรท์ตัน คอลเลจ กรุงเทพฯ

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

    โรงเรียนนานาชาติในกรุงเทพ

    รวมรายชื่อ 99 โรงเรียนนานาชาติในกรุงเทพ และปริมณฑล ปี 2563

    โรงเรียนนานาชาติ เป็นโรงเรียนที่อ้างอิงหลักสูตรการสอนจากต่างประเทศ มีการเรียนการสอนเหมือนประเทศเจ้าของหลักสูตร ที่ปรับรายละเอียดเนื้อหารายวิชาใหม่ หรือหลักสูตรที่จัดทำขึ้นเอง โดยไม่อิงหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการและเน้นการใช้ภาษาต่างประเทศเป็นสื่อการเรียนการสอนให้กับนักเรียน จุดแข็งของการให้ลูกเข้าเรียนโรงเรียนอินเตอร์คือ การได้ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารกับทุกคนภายในโรงเรียนและได้รับการปลูกฝังวัฒนธรรมในระดับสากล โดยในแต่ละโรงเรียนก็จะมีรูปแบบการจัดการเรียนการสอนที่มีคุณลักษณะและการบูรณาการให้มีจุดเด่นที่แตกต่างกันไป และในยุคที่พ่อแม่ทุกคนก็อยากให้ลูกได้เก่งภาษา การเลือกโรงเรียนอินเตอร์ให้ลูกได้เข้าเรียนจึงเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ นี่คือรายชื่อ โรงเรียนนานาชาติในกรุงเทพ และปริมณฑล ที่เว็บไซต์ www.interschoolthai.com ได้จัดทำขึ้น โดยแบ่งรายชื่อโรงเรียนตามเขต แม่ ๆ สามารถเลือกเช็กข้อมูลโรงเรียนที่อยู่ใกล้บริเวณบ้านกันเลยค่า

    99 รายชื่อ โรงเรียนนานาชาติในกรุงเทพ และปริมณฑล

    โรงเรียนนานาชาติเขตดุสิต พญาไท ราชเทวี

    โรงเรียนนานาชาติเขตบางรัก สาทร ยานนาวา ปทุมวัน

    โรงเรียนนานาชาติเขตคลองสาน ภาษีเจริญ

    โรงเรียนนานาชาติเขตบางพลัด ตลิ่งชัน ทวีวัฒนา พระราม 2

    Kidz Village International Kindergarten
    Credit Photo : www.kidz-village.ac.th

    โรงเรียนนานาชาติห้วยขวาง

    โรงเรียนนานาชาติเขตจตุจักร บางเขน ดอนเมือง

    โรงเรียนนานาชาติเขตวังทองหลาง

    โรงเรียนนานาชาติเขตคลองเตย

    อ่านต่อ 99 โรงเรียนนานาชาติในกรุงเทพและปริมณฑล ปี 2563 คลิกหน้า 2

    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

      โรงเรียนสองภาษา

      4 ข้อที่บอกได้ว่าให้ลูกเข้าเรียน โรงเรียนสองภาษา ดียังไง?

      ปัจจุบันนี้มีโรงเรียนมากมายเป็นตัวเลือกให้พ่อแม่ผู้ปกครองได้เลือกห้ลูกได้เข้าเลือกไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนรัฐบาล โรงเรียนเอกชน โรงเรียนอินเตอร์ โรงเรียนทางเลือก รวมถึง โรงเรียนสองภาษา ในขณะที่โรงเรียนแต่ละประเภทต่างก็มีหลักสูตรและการสอนที่แตกต่างกัน สำหรับคุณพ่อคุณที่กำลังมองหาข้อมูลโรงเรียนหลักสูตรสองภาษา (English Program) มาดูกันค่ะว่าโรงเรียนประเภทนี้มีจุดเด่นที่น่าสนใจอย่างไร

      โรงเรียนหลักสูตรสองภาษา (English Program) หรือที่รู้จักกันในชื่อย่อคือ อีพี (EP) เป็นโรงเรียนที่ใช้หลักสูตรการเรียนการสอนและสาระการเรียนรู้ต่าง ๆ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานของกระทรวงศึกษาธิการ แต่มีข้อแตกต่างต่างคือ จะมีการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษ ยกเว้นบางวิชา เช่น วิชาภาษาไทยและวิชาสังคมศึกษา ที่มีเนื้อหาข้อมูลเกี่ยวกับประเทศไทยและประเพณี วัฒนธรรมไทย โดยแต่ละโรงเรียนก็มีสัดส่วนการสอนเป็นภาษาอังกฤษแตกต่างกันไปตามจำนวนขั้นต่ำที่กระทรวงศึกษาธิการได้กำหนดไว้ เช่น

      • ระดับอนุบาลสอนภาษาอังกฤษได้ไม่เกิน 50% ของการเรียนการสอนทั้งหมด
      • ระดับประถมจะมีการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษเฉพาะวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และพลศึกษา
      • ระดับชั้นมัธยมเรียนเป็นภาษาอังกฤษทุกวิชายกเว้นวิชาภาษาไทยและวิชาสังคม

      สำหรับโรงเรียนเอกชนที่เปิดหลักสูตร English Program โดยเฉพาะ ก็อาจนับรวมเป็นโรงเรียนสองภาษาได้ หรือบางโรงเรียนจะสอนภาษาไทยกับภาษาต่างประเทศอีก 1 ภาษา ซึ่งอาจเป็นภาษาอังกฤษหรือภาษาจีน และบางแห่งมีการสอนถึง 3 ภาษา ทั้งไทย-อังกฤษ-จีน ซึ่งหลักสูตรเหล่านี้จะต้องผ่านการอนุมัติจากกระทรวงศึกษาธิการเช่นกัน

      4 ข้อที่บอกได้ว่าให้ลูกเข้าเรียน โรงเรียนสองภาษา ดียังไง

      โรงเรียน English program

      1.ดีต่อพัฒนาการทางสมองและการเรียนรู้

      การเรียนในหลักสูตรสองภาษานั้นช่วยเสริมสร้างพัฒนาการทางสมองและการเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี เพราะสมองได้รับการกระตุ้นให้เรียนรู้คำศัพท์และไวยากรณ์ของสองภาษา นักเรียนที่เรียนสองภาษาที่สามารถสื่อสารสองภาษาสลับไปมาได้ มีแนวโน้มที่จะพัฒนาทักษะในการจดจำ และแยกแยะได้ดี เนื่องจากมีกระบวนการเรียนรู้ในการผสมคำ เปรียบเทียบความเหมือนและความต่าง ตลอดจนเกิดทักษะในการแปล และตีความความหมายของคำได้ นอกจากนั้นเด็กที่เรียนสองภาษาจะมีทักษะในการแก้ปัญหา การตัดสินใจ รวมถึงทักษะในการทำงานหลายอย่างได้ในเวลาเดียวกัน

      เด็กที่เรียนโรงเรียนสองภาษาจะได้รู้จักการเรียนรู้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ 2 ไปในตัวตั้งแต่เริ่มแรก จึงทำให้มีการพัฒนาด้านภาษาที่ค่อนข้างดีกว่าเด็กโรงเรียนปกติ รวมถึงการเรียนการสอนของโรงเรียนสองภาษาที่เน้นการให้เด็กเป็นศูนย์กลาง ดังนั้นเด็กจะกล้าคิด กล้าแสดงออก และบอกได้ว่าตัวเองต้องการอะไร และหากเด็กจะสอบเพื่อเรียนต่อในต่างประเทศก็จะค่อนข้างได้เปรียบ เพราะโรงเรียนสองภาษาบางโรงเรียนที่มีหลักสูตรจากต่างประเทศ จะมีการใช้คะแนนสอบและการวัดผลของโรงเรียนเพื่อใช้สำหรับเรียนต่อได้เลย

      2.ดีต่อการศึกษาต่อในระดับสูง

      เด็กที่ได้เรียนรู้สองภาษาขึ้นไป จะเป็นประโยชน์ต่อการแสวงหาความรู้ และข้อมูลจากสื่อต่าง ๆ ได้หลากหลายทั้งจากในและต่างประเทศมาใช้ในการเรียน การค้นคว้าวิจัย ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาต่อในระดับสูงขึ้น หรือไปศึกษาต่อต่างประเทศ

      3.ได้ประโยชน์จากการเรียนรู้ทางด้านสังคมและวัฒนธรรม

      นักเรียนในโรงเรียนสองภาษาจะเติบโตมาพร้อมกับสภาพแวดล้อมและวัฒนธรรมที่หลากหลายกว่านักเรียนทั่วไป เพราะในโรงเรียนอาจมีครูและเพื่อนร่วมชั้นชาวต่างชาติที่มีพื้นฐานทางวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน ทำให้ได้มีโอกาสพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิด ซึ่งการได้ใช้ภาษาสื่อสารจะทำให้เด็กได้เปิดโลกทัศน์ที่กว้างขวาง มีมุมมองใหม่ ๆ และสามารถปรับตัวให้เข้ากับสังคมและวัฒนธรรมอื่นได้เป็นอย่างดี

      4.ดีต่อวิชาชีพและการทำงานในอนาคต

      นักเรียนที่จบการศึกษาจากโรงเรียนสองภาษามักจะมีข้อได้เปรียบเวลาสมัครงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์กรระหว่างประเทศ หรือองค์กรที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมเนื่องจากการใช้ภาษาอังกฤษภายในโรงเรียน การเคยชินจากเพื่อนร่วมชั้นเรียนที่เป็นชาวต่างชาติ ที่ทำให้เกิดคล่องแคล่วในการใช้ภาษาสื่อสาร

      อ่านต่อโรงเรียนสองภาษา vs โรงเรียนนานาชาติ ต่างกันยังไง คลิกหน้า 2

      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

        IQ (Intelligence Quotient)

        7 เทคนิคสร้าง IQ (Intelligence Quotient) ความฉลาดของลูกที่เพิ่มพูนได้

        “ความฉลาด” ถือเป็นสมบัติล้ำค่าส่วนหนึ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดกันทุกคน แต่ก็ถือว่าเป็นต้นทุนที่มีไม่เท่ากันของแต่ละคน และยังมีปัจจัยที่ส่งเสริมความฉลาดได้ตั้งแต่เด็กอีกมากมาย ทั้งจากการเลี้ยงดูแลของครอบครัว การเรียนรู้เพิ่มเติม ประสบการณ์ การฝึกฝน การให้ความสำคัญ สภาพแวดล้อมทางสังคม วัฒนธรรม ฯลฯ วันนี้ทีมแม่ ABK มีเทคนิคสร้าง IQ (Intelligence Quotient) พัฒนาสกิลความฉลาดให้ลูกได้ถ้าแม่ทำสิ่งนี้ให้ลูกทุกวัน

        7 เทคนิคสร้าง IQ (Intelligence Quotient) ปัญญาดี บูสต์ไอคิวลูก

        1.เข้านอนตอนหัวค่ำ

        สำหรับเด็กแล้วการนอนถือว่าเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรปล่อยผ่าน เพราะเมื่อร่างกายนอนหลับ สมองก็จะได้พักผ่อนไปด้วย การนอนหลับพักผ่อนที่มีประสิทธิภาพจะช่วยให้เด็กมีการเจริญเติบโตที่สมวัย เพราะช่วงที่นอนหลับ Growth Hormone ก็จะเจริญเติบโตทำงานได้เต็มที่ ทั้งยังเสริมสร้างภูมิต้านทานไม่ให้เจ็บป่วยง่าย ขณะเดียวกันในตอนนอนหลับสมองก็เริ่มจัดระบบความคิด เก็บข้อมูลให้เข้าที่เข้าทาง ช่วยพัฒนาการด้านสมอง ส่งผลให้ลูกตื่นเช้ามาอย่างอารมณ์ดี สมองปลอดโปร่ง แจ่มใส ร่าเริง มีความกระตือรือร้น มีสมาธิ ซึ่งจะช่วยทำให้มีการจดจำที่ดีด้วย

        การนอนที่มีคุณภาพ ช่วยเพิ่มไอคิวให้ลูกได้นั้น ขึ้นอยู่กับช่วงวัยของเด็กแต่ละคน สำหรับเด็กวัยก่อนเรียน ช่วงอายุ 3-5 ปีที่เริ่มเข้าเรียนอนุบาลกันแล้ว การนอนของลูกวัยนี้ควรจะนอนประมาณ 10-12 ชั่วโมงในช่วงเวลากลางคืน และควรได้นอนกลางวันอย่างน้อย 1 ชั่วโมง โดยมีผลจากการศึกษาของ National Institutes of Health กล่าวไว้ว่า “การส่งเสริมให้เด็กวัยก่อนเรียนได้นอนกลางวันจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้และความจำได้มากกว่าเด็กที่ไม่ได้นอนเฉลี่ย 10 เปอร์เซ็นต์” และเด็กวัยเรียนที่อายุ 6-12 ปี ควรได้นอนในช่วงกลางคืนประมาณ 9-11 ชั่วโมง และเมื่อถึงช่วงอายุที่มากขึ้น ชั่วโมงการนอนของลูกจะค่อย ๆ ลดลง แต่ถ้าได้นอนเต็มอิ่ม ตื่นมาก็จะสดชื่น สดใส สมองกระปรี้กระเปร่าสำหรับการเรียนรู้ ช่วยบูสต์ไอคิวสำหรับเจ้าตัวเล็กได้

        2.กินอาหารบำรุงสมอง สร้างไอคิว

        สำหรับเจ้าตัวเล็ก อาหารมีบทบาทในการกระตุ้นพัฒนาการของสมองและยังมีอิทธิพลต่อพฤติกรรม สติปัญญา และความเฉลียวฉลาดของเด็กเป็นอย่างมาก การเลือกรับประทานอาหารที่ดี กินอาหารที่มีประโยชน์ มีสารอาหารที่ครบถ้วน ในปริมาณที่พอเหมาะ ถูกสุขลักษณะ จะมีส่วนช่วยพัฒนาสมองและความจำได้อย่างมีประสิทธิภาพ

        อาหารเพิ่มไอคิว
        อาหารเพิ่มไอคิว

        สำหรับสารอาหารที่จะสามารถช่วยบำรุงสมอง เพิ่มไอคิวสูงปี๊ดให้กับลูกน้อย อาทิเช่น

        • ถั่วและธัญพืช เช่น ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีท ที่อุดมไปด้วยกลุ่มวิตามินบี ช่วยพัฒนาเรื่องความจำ และกรดโฟลิคที่จำเป็นต่อการพัฒนาระบบประสาทของเซลล์ ช่วยในเรื่องของความจำและทำให้สมองทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
        • ผักหลากหลายชนิด ผักอุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเรื่องกระบวนการคิดการเรียนรู้ เสริมภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ซึ่งมีนักวิทยาศาสตร์พิสูจน์แล้วว่าเด็กที่ได้รับสารอาหารจากผักหลากหลายชนิดจะมีผลการเรียนที่ดีกว่าเด็กที่กินแต่ผักชนิดเดิมซ้ำๆ กันด้วยนะคะ
        • ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ เช่น สตรอเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ เชอร์รี่นับว่าเป็นผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง เมื่อได้ทานเป็นประจำจะช่วยในการบำรุงสมอง ให้ระบบหมุนเวียนเลือดไปเลี้ยงสมองได้ดี จึงช่วยให้มีระดับไอคิวและการบวนการคิดที่ดีขึ้น นอกจากนี้ผลไม้อย่างมะม่วงน้ำดอกไม้สุก มะละกอสุก แคนตาลูป แตงโม ฯลฯ ก็เป็นผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงไม่แพ้กัน สามารถหาซื้อมาให้เจ้าตัวเล็กกินเป็นของว่างได้เช่นกันค่ะ
        • นม โยเกิร์ต และชีส ซึ่งเด็ก ๆ ควรจะได้ดื่มนมอย่างน้อยวันละ 1-2 แก้ว ดีต่อการพัฒนาเยื่อประสาท ช่วยในการทำงานของสมอง หากลูกแพ้นมวันก็สามารถชดเชยด้วยการดื่มนมที่ทำจากถั่วเหลืองหรืออัลมอนด์แทนได้นะคะ
        • เนื้อสัตว์ เนื้อปลา มีสารต้านอนุมูลอิสระชนิดหนึ่งที่ช่วยปกป้องเซลล์สมองในเวลาที่เกิดความเครียด โดยเฉพาะในเนื้อปลาที่มีกรดไขมันโอเมก้า-3 มีส่วนช่วยในการเสริมสร้างสมอง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของสมองในส่วนความจำและการเรียนรู้
        • ไข่ไก่ อาหารที่ให้โปรตีนและมีคุณค่าสูง มีโคลีน (Choline) ซึ่งจำเป็นต่อการสร้างเซลล์สมอง ช่วยควบคุมความจำ และช่วยให้การทำงานของสมองเป็นไปได้อย่างสมบูรณ์

        นอกจากสารอาหารต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้ว ร่างกายของเด็กก็ยังคงต้องการสารอาหารทั้ง 5 หมู่ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน วิตามินและเกลือแร่ แม่ ๆ จึงควรจัดสรรอาหารในแต่ละมื้อให้กับเจ้าตัวเล็กได้สารอาหารอย่างหลากหลายและไม่มากไม่น้อยจนเกินไป

        อ่านต่อ 7 เทคนิคสร้างลูกฉลาด ปัญญาดี ไอคิวสูง คลิกหน้า 2

        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

          ไวรัสโคโรน่าระบาด

          สพฐ.สั่งโรงเรียนเฝ้าระวัง ไวรัสโคโรน่าระบาด เจอแล้วปิดทันที

          ไวรัสโคโรน่าระบาด ไม่หยุดขยายวงกว้างจากจีนสู่ประเทศอื่นๆ ไทยพบผู้ป่วยแล้ว 8 ราย กระทรวงสาธารณสุขสั่งคุมเข้มการตรวจคัดกรองโรคกลุ่มเสี่ยง สพฐ สั่งโรงเรียนทั่วประเทศเฝ้าระวังกลุ่มเด็กนักเรียน ซึ่งภูมิคุ้มกันต่ำและเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ พบเด็กป่วยเสี่ยงโรคให้ปิดโรงเรียนได้ทันที

          สั่งโรงเรียนทั่วประเทศ เฝ้าระวัง พร้อมแนะวิธีป้องกัน  ไวรัสโคโรน่าระบาด

          จากสถานการณ์ ไวรัสโคโรน่าระบาด ไปทั่วโลกเมื่อปลายเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา หลังค้นพบการติดเชื้อของผู้ป่วยชาวจีน ในมณฑลอู่ฮั่น สาธารณรัฐประชาชนจีน จากไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ (2019 nCoV) ซึ่งเข้าจู่โจมระบบทางเดินหายใจ และเป็นสาเหตุของโรคปอดอักเสบ  โลกเคยรู้จักไวรัสชนิดนี้ในชื่อ “โรคซาร์ส” และ “โรคเมอร์ส” ที่เคยทำให้มีคนติดเชื้อและเสียชีวิตในหลายประเทศ

          ไวรัสโคโรน่า

          ปัจจุบัน (วันที่  27 มกราคม 2563) เชื้อโรคขยายวงกว้างไปหลายเมืองในประเทศจีน ทำให้มีผู้ติดเชื้อมากถึง  2744 ราย และเสียชีวิตแล้ว 80 คน ขณะที่ยังแพร่ระบาดไปยังหลายประเทศทั่วโลกอีก  13 ประเทศ รวมถึงประเทศไทยที่พบผู้ติดเชื้อแล้ว 8 ราย

          กรมควบคุมโรคได้ดำเนินมาตรการคัดกรองและป้องกันไวรัส ยังคงมาตรการคัดกรองและเฝ้าระวังโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 อย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง หากใครมีแผนการเดินทางไปยังประเทศจีน ขอให้เลื่อนกำหนดไปก่อน ส่วนคนในประเทศขอให้ระมัดระวังป้องกันตนแอง หากมีอาการน่าสงสัย ให้รีบพบแพทย์และโทรแจ้งสายด่วนกรมควบคุมโรคทันที

          ไวรัสโคโรน่า ระบาด

          สั่งเฝ้าระวังโรงเรียน พบเด็กเสี่ยง ปิดได้ทันที

          สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานได้ออกประกาศ เรื่องป้องกันการแพร่ระบาดของโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่  2019 ไปยังโรงเรียนภายใต้สังกัด เพื่อป้องกันการติดเชื้อสู่เด็ก โดยมีรายละเอียด ดังนี้

          ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันได้เกิดโรคปอดอักเสบ ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ๒๐๑๙ ในประเทศจีนและแพร่ขยายเข้าสู่ประเทศไทย โดยเด็กจะเป็นผู้รับเชื้อได้ง่าย เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ๒๐๑๙ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้แจ้งเตือนผ่านสื่อให้เฝ้าระวังและติดตามการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา

          สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จึงขอให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประชาสัมพันธ์ เฝ้าระวังการแพร่ระบาดและป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนา ในโรงเรียนตามที่กระทรวงสาธารณสุขได้แจ้ง ดังนี้

          วิธีป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนา

          ๑. ดื่มน้ำอุ่น เมื่อรู้สึกกระหายน้ำ (เด็ก ๓๐ –๕๐ ซีซี, ผู้ใหญ่ ๕๐ – ๘๐ ซีซี)

          ๒.  หลีกเลี่ยงการสัมผัสผู้ป่วย ไม่อยู่ใกล้ชิดผู้ป่วยไอจาม

          ๓. หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่แออัด

          ๔. สวมใส่หน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในที่ชุมชน

          ๕. ไม่ใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เช่น ผ้าเช็ดหน้า แก้วน้ำ ผ้าเช็ดตัว

          ๖. หลีกเลี่ยงการเข้าไปตลาดค้าสัตว์ และไม่สัมผัสหรืออยู่ใกล้กับสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัตว์ที่ป่วย หรือตาย

          ๗. หมั่นล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอด้วยน้ำและสบู่ หรือ แอลกอฮอล์ เจลล้างมือ

          ๘. ห้ามรับประทานของดิบ รับประทานอาหารที่สะอาดปลอดภัย มีสารอาหารครบถ้วน

          ๙.นอนพักผ่อนให้เพียงพอ

          ๑๐. หากพบนักเรียนมีอาการไข้ขึ้นอย่างรวดเร็ว ลดยาก ปวดศีรษะและลำตัว มีอาการไอต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน มีน้ำมูก ให้รีบพาไปแพทย์ หรือโทรแจ้งสายด่วนกรมควบคุมโรค โทร ๑๔๒๒

          ทั้งนี้ หากพบผู้มีภาวะเสี่ยงต่อโรคให้ประสานและส่งต่อหน่วยงานด้านสาธารณสุขทันที  และหากมีจำเป็นต้องปิดโรงเรียนให้อยู่ในดุลพินิจของผู้อำนวยการโรงเรียน

          ไวรัสโคโรน่า สพฐ.

          อ่านต่อ  ไวรัสโคโรน่าระบาดอันตรายแค่ไหน หน้า  2

            Tags

            “ฆาตกร” เด็กเป็นเองไม่ได้ แนะวิธี เลี้ยงลูกไม่ให้โตไปฆ่าใคร

            ข่าวทำร้ายร่างกาย ใช้ความรุนแรงต่าง และคดีสะเทือนขวัญที่เกิดขึ้นบ่อย จนคุณพ่อคุณแม่หลายคนเป็นกังวลกับอนาคตของลูกน้อย ไม่ใช่แค่กลัวว่าจะ “ตกเป็นเหยื่อ” แต่จะทำอย่างไรหากลูกกลายเป็น “ฆาตกร” เสียเอง …ปัจจัยหนึ่งที่หลอมให้เด็กคนหนึ่งโตขึ้นเป็นอย่างไร มาจากครอบครัว และพ่อแม่คือคนทำหน้าที่ เลี้ยงลูกไม่ให้โตไปฆ่าใคร    

            ลูกเป็นคนแบบไหนเริ่มต้นที่พ่อแม่   เลี้ยงลูกไม่โตไปฆ่าใคร

             เบื้องหลังของฆาตกรเลือดเย็นที่ก่อเหตุเลวร้ายได้อย่างสะทกสะท้าน กลับมาจากสภาพจิตใจที่เปราะบาง สิ่งแวดล้อมบีบคั้น และสภาพครอบครัว ที่ขาดความรัก นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์  จิตแพทย์แผนกจิตเวช โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ได้ให้สัมภาษณ์ถึงเหตุผลที่คนๆ หนึ่งจะฆ่าคนได้อย่างไม่รู้สึกผิดไว้ว่า

             

            เลี้ยงลูกไม่ให้โตไปฆ่าใคร

             

            “ในเชิงจิตวิทยา โจรมี 2 แบบ คือ ทำร้ายคน กับไม่ทำร้ายคน ถึงความรุนแรงจะไม่เท่ากัน แต่สิ่งหนึ่งที่โจรทั้งสองแบบนี้เหมือนกันคือ “ขาดความสามารถในการเข้าถึงความทุกข์ของผู้อื่น” (หรือขาดเมตตา ความเห็นอกเห็นใจ) จึงไม่เข้าใจความรู้สึกของเหยื่อที่ว่าเจ็บปวด สูญเสียอย่างไร ผู้ร้ายที่ฆ่าคนได้เป็นตัวอย่างของการสูญเสียความสามารถนี้สมบูรณ์แบบ นั่นคือไม่รู้เลยว่าการกระทำของตนสร้างความเจ็บปวดแสนสาหัสทั้งทางร่างกายและจิตใจต่อเหยื่ออย่างไร”

            ข้อมูลวิชาการเชิงจิตวิทยา ระบุว่า  75 % ของฆาตกรไม่มีอารมณ์อาทรผู้อื่น ไม่รู้สึกรับผิดชอบใดๆจากการกระทำของตน จะคิดแต่ความต้องการของตัวเองเท่านั้น จากการทดสอบสภาพจิตใจเมื่อได้ยินเสียงดัง หรือได้ยินคำที่ส่ออารมณ์เชิงลึก เช่น “ฆ่า” “สังหาร” หรือ “ทำร้าย” คนร้ายจะไม่ตกใจ กระสับกระส่าย เหงื่อแตก หรือมีผลต่อจิตใจอย่างกับคนปกติทั่วไป

            กระบวนการสร้าง ความเข้าใจถึงจิตใจผู้อื่น เป็นเรื่องควรปลูกฝังให้เด็กตั้งแต่ยังเล็ก เรื่องนี้ไม่เกิดจากการสั่งสอนหากเกิดจากการบ่มเพาะทางจริยธรรม ซึ่งไม่ใช่แค่ “ห้ามฆ่าสัตว์” เท่านั้น “ แต่เริ่มต้นจากเรื่องง่ายๆในบ้าน ว่าคุณพ่อคุณแม่จะ เลี้ยงลูกโตไปไม่ฆ่าใครได้อย่างไร

             เลี้ยงลูกโตไปไม่ฆ่าใคร ทำอย่างไร

            ปลูกฝังความเห็นใจผู้อื่นด้วย “งานบ้าน”

            เด็กๆ จะเรียนรู้วิธีคิดว่า สิ่งใดถูกต้อง ไม่ถูกต้อง รู้จักรับผิดชอบต่อการกระทำ รู้วิธียับยั้บชั่งใจ ด้วยตัวเอง ไม่ได้มาจากคำพร่ำสอนของพ่อแม่เท่านั้น แต่เริ่มต้นด้วยให้ลูกดูแลร่างกายตัวเอง (ตามวัย) เช่น กินข้าวเอง อาบน้ำถูสบู่เอง  ถัดมาก็ให้รับผิดชอบเรื่องรอบตัว อย่าง ใส่เสื้อผ้า รองเท้าเอง เก็บที่นอนเอง แล้วค่อยขยายวงให้กว้างขึ้นด้วยการรับผิดชอบเรื่องงานบ้าน ช่วยแม่ล้างจาน กรอกน้ำ กวาดถูบ้าน ซักตากถุงเท้า เป็นต้น

            เมื่อเด็กทำได้แล้ว จึงค่อยสอนให้เคารพกติกาสาธารณะ เช่น ไม่ส่งเสียงดัง หรือ วิ่งเล่นในร้านอาการ ทิ้งขยะให้เป็นที่ ไม่แซงคิว เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ช่วยให้เด็กรู้จักหน้าที่ของตนเอง รู้วิธียับยั้งชั่งใจ (โดยไม่ต้องคอยบอก) และเข้าใจความรู้สึกผู้อื่น นี่เป็นขั้นตอนแรกในการ เลี้ยงลูกไม่ให้โตไปฆ่าใคร

            ฝึกลูก “รักตัวเอง” จากคำชมมากกว่าคำติ

            เด็กทุกคนต้องการ “คำชม” จากพ่อแม่ เพราะนั่นเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าตัวเองทำอะไรได้ดี กลายเป็นความภาคภูมิใจ มีตัวตน  เมื่อทำได้ลูกก็อยากทำอีก ซึ่งเป็นเกราะป้องกันไม่ให้หันไปทำเรื่องเลวร้าย ในทางตรงกันข้าม พ่อแม่มีแต่คำติ ไม่เคยชม ไม่กอด ไม่แสดงความรัก ความภูมิใจในเรื่องดีจะค่อยๆหายไป และหันไปทำเรื่องแย่ๆแทน เพื่อได้รับความสนใจ จากพ่อแม่ หรือคนรอบตัว

            อ่านต่อ วิธีเลี้ยงลูกไม่โตไปเป็นฆาตรกร หน้า 2

              โฟเลท

              ควรเริ่มเตรียมความพร้อมของสมองลูกตอนไหนดีที่สุด ?

              คุณแม่ทุกคนต่างหวังจะให้ลูกสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงและฉลาดสมวัยจริงไหมครับ ? แล้วเราควรเริ่มเตรียมพร้อมให้ลูกเมื่อไหร่ดีล่ะ ?

              คุณพ่อคุณแม่หลายคนอาจเคยได้ยินคำว่า … “รอให้ถึงอนุบาลก็สายเสียแล้ว” เดี๋ยวนี้คงต้องพูดใหม่เป็น “กว่าจะรอให้ลูกคลอดก็สายเสียแล้ว” เพราะปัจจุบัน เราสามารถให้สิ่งที่ดีกับลูกได้ตั้งแต่ยังอยู่ในครรภ์เลย ทั้งด้านโภชนาการ และการเสริมสร้างพัฒนาการสมอง แต่ความเชื่อที่ว่ารอให้ตั้งครรภ์ก่อน ถึงจะเริ่มรับประทานสิ่งที่มีประโยชน์ก็อาจจะล้าสมัยไปเสียแล้ว ล่าสุดตอนนี้คงต้องใช้คำว่า  “กว่าจะรู้ว่าตั้งครรภ์ก็สายเสียแล้ว”

              ถ้าหากนับอายุของตัวอ่อนตั้งแต่วันที่มีการปฏิสนธิ  วันที่ประจำเดือนต้องมาแต่ก็ไม่มา ตอนนั้นตัวอ่อนก็จะมีอายุ 14 วันไปแล้ว ช่วงประจำเดือนขาดใหม่ๆ บางทีตรวจปัสสาวะก็อาจจะยังไม่เจอ บางทีกว่าจะเจอประจำเดือนก็อาจจะขาดมากว่า 2 สัปดาห์ … นั่นคือตัวอ่อนจะมีอายุ 28 วันไปแล้ว

              28 วันแรกของการตั้งครรภ์นี่แหละครับที่สำคัญที่สุด … ตัวอ่อนจากเม็ดเล็กๆ จะแบ่งเซลล์ เป็นก้อนกลมๆ แล้วแผ่แบนออก แล้วม้วนเป็นหลอดกลมๆ ยาวๆ เหมือนขนมทองม้วน สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้เราเรียกว่าหลอดประสาท ศัพท์ทางการแพทย์เราก็เรียกว่า Neural Tube หลอดประสาทนี้เองครับที่เป็นแกนกลางในการสร้างลูกในท้องเราเป็นอย่างแรก

              หลอดประสาทจะมีการเจริญเติบโต มีการแบ่งเซลล์ กลายเป็นสมอง กลายเป็นระบบประสาทส่วนกลาง ในร่างกายของลูกน้อยในครรภ์มารดาต่อไป

              โฟเลท

              การเจริญเติบโตของระบบประสาทตั้งแต่เริ่มต้นต้องใช้วิตามินและสารอาหารสำคัญหลายอย่าง  วิตามินที่สำคัญก็คือโฟลิค และกรดไขมันไม่อิ่มตัว (GA และ DHA) ซึ่งพบว่าถ้ามีการขาดวิตามินนี้ก็จะทำให้การสร้างหลอดประสาทผิดปกติ และทำให้เกิดความพิการตามมาได้ นอกจากนั้นการเจริญเติบโตของเซลล์ประสาทยังจำเป็นต้องใช้กรดไขมันไม่อิ่มตัว ทั้ง GA, DHA, โอเมก้า-3 และโอเมก้า-6 ตัวที่สำคัญที่สุดก็คือ GA และDHA นั่นเองครับ

              ร่างกายใช้กรดไขมันไม่อิ่มตัวนี้สร้างปลอกหุ้มเส้นประสาท เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การส่งกระแสประสาทเร็วขึ้น อีกทั้งมีการสร้างระบบโครงข่ายเชื่อมต่อทำให้การส่งผ่านกระแสประสาทในแต่ละเซลล์ดีขึ้น

              โฟเลท

              เมื่อมีโฟลิคและกรดไขมันไม่อิ่มตัว (GA และ DHA) นี้อย่างเพียงพอ  นั่นก็จะทำให้ระบบประสาทของทารกในครรภ์เติบโตพัฒนาได้อย่างดีที่สุด หลอดประสาทสร้างได้อย่างสมบูรณ์ในช่วง 28 วันแรก และมีการสร้างเซลล์สมองและระบบประสาทอย่างต่อเนื่องไปตลอดการตั้งครรภ์ เพราะฉะนั้นคุณแม่จำเป็นต้องได้รับโฟลิคและกรดไขมันไม่อิ่มตัว (GA และ DHA) ตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์ไปจนตลอดอายุครรภ์เลย เมื่อมีกรดไขมันนี้อย่างเพียงพอ กระแสประสาทก็จะเดินทางได้เร็วขึ้น มีการเชื่อมต่อโยงใยกันมากขึ้น ทำให้ลูกเรียนรู้ได้ดีที่สุด

              โฟเลท

              อย่างไรก็ตามเจ้ากรดไขมันเหล่านี้ทารกในครรภ์ไม่สามารถสร้างขึ้นมาเองได้ อีกทั้งตัวแม่เองก็ไม่สามารถสร้างขึ้นมาเองได้เช่นกัน  จำเป็นต้องได้มาจากการรับประทานเข้าไปเท่านั้น

              ดังนั้นคุณแม่ที่วางแผนจะตั้งครรภ์ ควรรับประทานอาหาร เช่น ปลาทะเล ปลาทู ปลาแซลมอน สาหร่ายทะเล หรือ นมสำหรับหญิงตั้งครรภ์ ที่มีโฟเลท รวมถึง กรดไขมันไม่อิ่มตัวสูงอย่าง GA และ DHA อย่างต่อเนื่องก่อนการตั้งครรภ์อย่างน้อย 3 เดือน และควรรีบเตรียมความพร้อมเพื่อพัฒนาสมองให้ลูกได้ตั้งแต่เนิ่นๆ  โดยสามารถเริ่มได้ตั้งแต่ช่วงอายุครรภ์สัปดาห์ที่ 7 หรือประมาณวันที่ 28 ของการตั้งครรภ์ เพื่อครรภ์ที่สมบูรณ์และพัฒนาการทางสมองที่ดีของลูกน้อย

              บทความโดย นายแพทย์ อานนท์ เรืองอุตมานันท์ สูตินรีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

              โฟเลท

                โรงแรมที่มี kid club หัวหิน

                9 โรงแรมที่มี Kids Club หัวหิน ชวนกันมาเช็กอินวันหยุด สุข สนุกทั้งครอบครัว

                สำหรับครอบครัวไหนที่กำลังมีแพลนมาเที่ยวหัวหิน บางทีก็ไม่ต้องลิสต์ที่เที่ยวให้เหนื่อย แค่มองหาที่พักสำหรับเด็ก ๆ ที่มี Kid Club มีห้องทำกิจกรรมที่มีของเล่นมากมาย มีสระว่ายน้ำที่เหมาะทั้งเด็กเล็กและเจ้าวัยซน ทั้งหมดนี้อยู่ใน โรงแรมที่มี kids club หัวหิน จะมีที่ไหนบ้างมาดูกันเลยค่ะ

                โรงแรมที่มี Kids Club หัวหิน
                โรงแรมที่มี Kids Club หัวหิน

                9 โรงแรมที่มี Kids Club หัวหิน ชวนกันมาเช็กอินวันหยุด สุข สนุกทั้งครอบครัว

                #1 อมารี หัวหิน : Amari Hua Hin 

                Amari Hua Hin
                เครดิตภาพจาก www.amari.com

                อมารี หัวหิน โรงแรมที่ออกแบบตกแต่งสวยงามสไตล์รีสอร์ทร่วมสมัย มีบรรยากาศที่เงียบสงบและผ่อนคลายท่ามกลางธรรมชาติ มีห้องพักในหลากหลายรปแบบรวมถึงห้องแฟมิลี่ สวีท (Family Suites) ที่จะพาครอบครัวมาใช้เวลาร่วมกันและพักผ่อนในวันหยุดสบาย ๆ สะดวกสบายด้วยเครื่องอำนวยความสะดวกที่ครบครันทุกห้องพัก รวมถึงกิจกรรมต่างๆ มากมาย เช่น สระว่ายน้ำขนาดใหญ่ ที่มีความยาว 40 เมตร และคิดส์คลับสำหรับคุณหนู ๆ ที่มีทั้งกิจกรรมศิลปะ, งานฝีมือ ที่จะช่วยเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ และเกมส์หลากหลายแบบว้บริการ ถ้าคุณพ่อคุณแม่กำลังมองหาที่พักที่เหมาะสำหรับการพักผ่อนกับครอบครัว ที่นี่เป็นอีกที่ที่ตอบโจทย์เลยค่ะ

                Amari Hua Hin

                พิกัด : 117/74 ถนนตะเกียบ, อ.หัวหินจ.ประจวบคีรีขันธ์ 77110
                เบอร์โทรศัพท์ : 032 616 600
                ดูรายละเอียดเพิ่มเติม : www.amari.com

                #2 อนันตรา หัวหิน รีสอร์ท :  Anantara Resort Hua Hin

                Anantara Resort Hua Hin
                เครดิตภาพจาก : www.anantara.com

                อนันตรา หัวหิน รีสอร์ท ที่พักติดทะเลการมาพักแบบครอบครัวแบบสุด ๆ เพราะนอกจากจะได้นอนพักชิลกับวิวทะเลสวย ๆ แล้ว ภายในรีสอร์ทยังมุมถ่ายรูปสวย ๆ มากมาย รวมทั้งยังมีสระว่ายน้ำและ Kids club บ้านปลาน้อย ให้เจ้าตัวเล็กเล่นเพลินไปกับกิจกรรมสนุก ๆ และของเล่นมากมาย มีตั้งแต่งานศิลปะ งานฝีมือ ไปจนถึงกีฬา การสอนทำอาหาร ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีสระว่ายน้ำท่ามกลางสวนสวยเขียวขจีให้ได้เวลาร่วมกันกับครอบครัวได้ฟินในวันหยุดที่มาพักผ่อนกันเลยค่า

                Anantara Resort Hua Hin

                พิกัด : 43/1 ถนนเลียบหาดเพชรเกษม หัวหิน 77110
                เบอร์โทรศัพท์ : 032 520 250
                ดูรายละเอียดเพิ่มเติม : www.anantara.com

                #3 โรงแรมฟูราม่า เอ็กคลูซีฟ แซนดารา หัวหิน : FuramaXclusive Sandara Hua Hin

                FuramaXclusive Sandara Hua Hin
                FuramaXclusive Sandara Hua Hin

                โรงแรมฟูรา เอ็กคลูชีฟ แชนดารา เป็นรีสอร์ทตกแต่งสไตล์โมเดิร์น ตั้งอยู่บนชายหาดที่สวยงามของชะอำ อยู่ห่างจากกรุงเทพฯเพียง 300 กิโลเมตร เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการเลือกมาเป็นที่พัก ใช้เวลาร่วมกับครอบครัวในวันหยุดที่ต้องการมาเที่ยวทะเลอีกที่หนึ่งเลยค่ะ นอกจากที่พักหลากหลายรูปแบบแล้ว ยังมีสระว่ายน้ำแสนสนุก มีเครื่องเล่นสไลเดอร์สำหรับเด็ก ๆ หาดทรายจำลอง และห้อง Kid Room ที่ภายในมีของเล่นเด็กมากมาย มีบ่อบอล รับรองว่าถูกใจคุณหนู ๆ แน่นอน

                FuramaXclusive Sandara Hua Hin
                เครดิตภาพจาก : www.furama.com

                FuramaXclusive Sandara Hua Hin
                พิกัด : 243 อาคาร หาดชะอำ ถนนร่วมจิตร ตำบลชะอำ อำเภอชะอำ เพชรบุรี
                เบอร์โทรศัพท์ : 032470777
                ดูรายละเอียดเพิ่มเติม : www.furama.com

                #4 โรงแรมหัวหิน แมริออท รีสอร์ท แอนด์ สปา : Hua Hin Marriott Resort & Spa

                Hua Hin Marriott Resort & Spa
                Hua Hin Marriott Resort & Spa

                โรงแรมหัวหิน แมริออท รีสอร์ท แอนด์ สปา ที่พักระดับ 5 ดาวสำหรับครอบครัวตกแต่งแบบสไตล์โคโลเนียล ตั้งอยู่บนชายหาดที่สวยที่สุดในหัวหิน บนพื้นที่ว่า 22ไร่ มีห้องพักกว่า 322 ห้อง และมีห้อง Kids Room สำหรับคุณหนู ๆ ที่มีสีสันสดใสธีมทะเลให้น้อง ๆ รู้สึกเหมือนอยู่ในโลกใต้น้ำ พร้อมกิจกรรมมากมาย เช่น ของเล่นเสริมพัฒนาการ วาดรูประบายสี และมุมเล่มเกม และสนุกคลายร้อนสุด ๆ กับสระว่ายน้ำระบบน้ำเกลือที่มีถึง 5 สระ มีสไลเดอร์ มีชิงช้าน้ำพุ ให้เล่นด้วย เรียกว่าครบครันสำหรับครอบครัวสุด ๆ ไปเลยค่า

                Hua Hin Marriott Resort & Spa
                Hua Hin Marriott Resort & Spa
                Hua Hin Marriott Resort & Spa
                เครดิตภาพจาก : www.marriott.com

                Hua Hin Marriott Resort & Spa

                พิกัด : 107/1 ถนนเพชรเกษม, ต.หัวหิน, อ.หัวหิน, จ.ประจวบคีรีขันธ์ 77110
                เบอร์โทรศัพท์ : 032 904 666
                ดูรายละเอียดเพิ่มเติม : www.marriott.com

                #5 มาราเกซหัวหิน รีสอร์ท แอนด์ สปา : Marrakesh Hua Hin Resort&Spa

                Marrakesh Hua Hin Resort&Spa
                Marrakesh Hua Hin Resort&Spa

                มาราเกช หัวหิน รีสอร์ท แอนด์ สปา รีสอร์ทสุดชิคสไตล์โมร็อกโกแห่งเดียวในหัวหิน อยู่ติดชายหาดยาวกว่า 90 เมตร ได้บรรยากาศสวนตัวและเงียบสงบเหมาะกับวันพักผ่อนของครอบครัว พร้อมวิวสวย ๆ ภายในรีสอร์ท อาทิ ทะเลสาบขนาดใหญ่ที่มีความยาวถึง 240 เมตร พร้อมด้วยสวนน้ำและสวนสไตล์โมร็อกโกที่สวยงามและอลังการ และแน่นอนที่นี่มี Kid Club รวมทั้งส่วนของสนามเด็กเล่นให้คุณหนู ๆ ได้มาเล่นอย่างแฮปปี้ เพลิดเพลินไปกับการ์ตูน เกม ของเล่น หนังสือ และกิจกรรม DIY ต่าง ๆ ที่ร่วมกันทำได้ทั้งครอบครัว เช่น การทำผ้าบาติก การทำเทียนเจล การวาดรูปตุ๊กตา และการทำหน้ากาก รับรองว่าที่นี่ต้องเป็นที่พักที่ถูกใจทั้งคุณพ่อคุณแม่และคุณลูก ๆ แน่นอนค่ะ

                Marrakesh Hua Hin Resort&Spa
                เครดิตภาพจาก : www.marrakeshresortandspa.com

                Marrakesh Hua Hin Resort&Spa

                พิกัด : 63/411 ถนนเพชรเกษม, ตำบล หนองแก, อ. หัวหิน, จ.ประจวบคีรีขันธ์  77110
                เบอร์โทรศัพท์ : 032 616 777
                ดูรายละเอียดเพิ่มเติม : www.marrakeshresortandspa.com

                อ่านต่อ 9 โรงแรมที่มี Kids Club ในเมืองหัวหิน คลิกหน้า 2

                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                  Power BQ

                  เด็กยุคใหม่ ทำไมต้องมี Power BQ ติดอาวุธให้ลูกฉลาดรอบด้าน

                  เพราะโลกใบนี้มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในทุกๆ วัน เทคโนโลยีใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย โรคภัย มลภาวะต่างๆ จากสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง สภาพเศรษฐกิจที่ผันผวน การใช้ชีวิตที่เร่งรีบ ผู้คนใจร้อนขึ้น การแข่งขันที่สูงขึ้น ไม่เฉพาะกับคนเก่ง แต่เด็กรุ่นใหม่ยังต้องสู้กับคู่แข่งหน้าใหม่ที่ฉลาดรอบรู้อย่าง AI อีกด้วย พ่อแม่ยุคนี้เจอโจทย์ที่ยาก และท้าทายมาก ว่าจะเลี้ยงลูกอย่างไรให้เติบโต อยู่รอด และประสบความสำเร็จในอนาคตข้างหน้า ที่ยังต้องพบกับการเปลี่ยนแปลงอีกมาก แม่ยุคใหม่จึงต้องมีสติและสตรอง แม่ต้องเป็น Power Mom ที่มีความรู้ในเรื่อง Power BQ (Power Baby & Kids Quotients) ติดอาวุธให้ลูกฉลาดรอบด้าน เพราะเด็กยุคนี้มีแค่ IQ และ EQ นั้นไม่เพียงพออีกต่อไป แต่ยังมี Quotient ต่างๆ ถึง 10Q นั่นคือ “10 ความฉลาด” ที่คุณพ่อคุณแม่ควรส่งเสริมให้ลูกได้ครบไปพร้อมกัน

                  Power BQ ความฉลาด 10 ด้าน ที่เด็กยุคใหม่ควรมี

                  #1 IQ: Intelligence Quotient ฉลาดสมองดี

                  คุณพ่อคุณแม่คงคุ้นเคยกับคำว่า IQ กันดีอยู่แล้ว IQ หมายถึง ความฉลาดทางสติปัญญา เด็กฉลาดจะได้เปรียบในเรื่องความคิด ความจำ การใช้เหตุผล การคำนวณ และการเชื่อมโยง ความฉลาดเป็นศักยภาพที่ติดตัวมาแต่กำเนิด หากพ่อแม่ฉลาดก็จะส่งผลให้ลูกฉลาดด้วย แต่อย่างไรก็ตาม ความฉลาดสามารถสร้างได้ ด้วยอาหารและการเลี้ยงดูที่เหมาะสมของคุณพ่อคุณแม่ นอกจากนี้ เด็กฉลาดไม่ใช่แค่เก่งวิชาการเท่านั้น ยังมีความฉลาดด้านอื่นๆ เช่น ดนตรี กีฬา การเข้าใจตนเอง ก็นับรวมเป็นความฉลาดทางสติปัญญาหรือ IQ เช่นเดียวกัน คุณพ่อคุณแม่ต้องคอยสังเกตลูกว่าชอบอะไร ถนัดด้านไหน แล้วส่งเสริมความฉลาดทางสติปัญญาของลูกไปในทางนั้น ลูกก็จะสามารถประสบความสำเร็จในชีวิตได้

                  บทความแนะนำ : 10 วิธีเลี้ยงลูกให้ฉลาด สอนลูกฉลาดรู้ ฝึกลูกฉลาดทำ โดยรศ.นพ.พงษ์ศักดิ์ น้อยพยัคฆ์

                  ความฉลาด 10 คิว

                  #2 EQ: Emotional Quotient ฉลาดทางอารมณ์

                  EQ หมายถึง ความฉลาดทางอารมณ์ เด็กที่ฉลาดทางอารมณ์จะสามารถจัดการกับอารมณ์ ควบคุมความคิดของตนเองได้ สามารถรับรู้เข้าใจอารมณ์ของคนอื่น  และแสดงออกมาทางพฤติกรรม เช่น มีความเห็นอกเห็นใจ เข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น มีความคิดที่จะทำสิ่งดีๆ มีความอ่อนโยนต่อผู้อื่น มีมนุษย์สัมพันธ์ดี ไปที่ไหนก็มีแต่คนรักและเอ็นดู จึงทำให้เข้าสังคม และรักษาความสัมพันธ์กับผู้อื่นได้ดี สามารถปรับตัวตามสถานการณ์ได้อย่างเหมาะสม เด็กที่มี EQ ดีจะเป็นเด็กที่มีความสุข อยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมและทำงานเป็นทีมได้ดี ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่สำคัญมากในเด็กยุคใหม่ เนื่องจากสภาพสังคมที่เร่งรีบ ผู้คนต่างใจร้อน หงุดหงิดง่าย คนที่มีความฉลาดทางอารมณ์จะสามารถควบคุมตัวเองและควบคุมสถานการณ์ต่างๆ ได้เป็นอย่างดี

                  บบทความแนะนำ : 10 ทักษะสร้างหลักคิดเพื่อพัฒนาอารมณ์ EQ ของลูกน้อย

                  #3 MQ: Moral Quotient ฉลาดคุณธรรม

                  MQ หมายถึง ความฉลาดทางคุณธรรม เป็นความฉลาดที่คุณพ่อคุณแม่ต้องปลูกฝังให้กับลูกตั้งแต่เล็ก เริ่มต้นจากหน่วยที่เล็กที่สุดแต่สำคัญที่สุด ที่เรียกว่าครอบครัว ให้เด็กเกิดการซึบซับความดีงาม การมีจริยธรรมและศีลธรรม เข้าไปในจิตใจ เพื่อเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่ดีในอนาคต การหล่อหลอมให้ลูกเป็นคนดีของสังคม คู่ไปกับการเป็นคนเก่ง จำเป็นอย่างมาก เด็กที่มี MQ ฉลาดคุณธรรม จะสามารถควบคุมตนเองให้มีระเบียบวินัย ทำในสิ่งที่ถูกต้องเป็นนิสัย เช่น พูดจาดี มีกิริยามารยาท มีกาลเทศะ อ่อนน้อมถ่อมตน มีสัมมาคารวะ รวมถึงความคิดดี มีคุณธรรม ซื่อสัตย์ ไม่ให้ทำสิ่งผิด เชื่อมั่นความถูกต้อง มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี มีความกตัญญู

                  บทความแนะนำ 6 เทคนิคดี ๆ สร้าง MQ (Moral Quotient) ให้รู้ผิดชอบชั่วดี โตมาให้เป็นเด็กดีในสังคม

                  #4 SQ: Social Quotient ฉลาดเข้าสังคม

                  SQ หมายถึง ความฉลาดในการเข้าสังคม เด็กที่มี SQ จะมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี สามารถใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นได้ ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ของสังคมได้ เพื่อที่จะใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขในอนาคต SQ ยังรวมไปถึง การวางตัวดี แต่งตัวมีกาลเทศะ บุคลิกภาพดี พูดจาไพเราะ ยิ้มแย้มแจ่มใส มารยาทดี มีความอ่อนน้อม ให้ความร่วมมือ และรู้รับผิดชอบ ซึ่งมีการวิจัยออกมาแล้วว่า คนที่มี SQ ดีนั้นจะสามารถเข้าใจและบรรลุเป้าหมายต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี เข้ากับคนอื่นได้ดี และจะมีบุคลิกที่เหมาะสมกับทุกสถานการณ์ ทำให้ได้รับความไว้วางใจจากคนหมู่มากอีกด้วย ซึ่งคนที่สามารถปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้ดีนี่เอง จึงจะสามารถอยู่รอดได้ในอนาคต

                  บทความแนะนำ สร้างลูกให้มี SQ (Social Quotient) ไม่ก้าวร้าว ไม่เอาเปรียบ ส่งผลต่อความสำเร็จในชีวิตอย่างมีความสุข

                   

                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                   

                  #5 CQ: Creativity Quotient ฉลาดคิดสร้างสรรค์

                  CQ หมายถึง ความฉลาดในการริเริ่มสร้างสรรค์ เป็นความฉลาดที่จะพัฒนาอยู่ในสมองซีกขวาของมนุษย์ เป็นคุณสมบัติสำคัญที่จะทำให้เกิดความคิดใหม่ๆ การต่อยอดนวัตกรรมใหม่ๆ ได้อย่างไม่สิ้นสุด อีกทั้งการคิดนอกกรอบยังเป็นคุณสมบัติหนึ่งของผู้นำที่ดีในอนาคตอีกด้วย คุณพ่อคุณแม่สามารถส่งเสริมให้ลูกเกิดไอเดียใหม่ๆ ผ่านการทำกิจกรรมที่ส่งเสริมจินตนาการ เช่น การเล่นอิสระ วาดรูป ปั้นแป้งโดว์ ต่อเลโก้ การทำงานศิลปะ การประดิษฐ์สิ่งของจากสิ่งของใกล้ตัว การเล่านิทาน สิ่งเหล่านี้จะพัฒนาความฉลาดให้ลูกจากการฝึกคิดเป็นภาพและสร้างจินตนาการเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างมีจุดมุ่งหมาย

                  บทความแนะนำ : สังเกตตรงไหน ลูกเรามีความคิดสร้างสรรค์หรือเปล่า

                  iq eq aq pq sq cq

                  #6 PQ: Play Quotient ฉลาดเล่น

                  PQ ความฉลาดที่เกิดจากการเล่น คือการเล่นที่เกิดขึ้นควบคู่กับการเรียนรู้นั่นเอง นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ได้กล่าวไว้ว่า “งานของเด็กคือการเล่น” สำหรับเด็กในวัย 2-7 ขวบการเล่นจึงเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาศักยภาพของเด็ก และความฉลาดที่เกิดจากการเล่น มาจากความเชื่อที่ว่า การเล่นพัฒนาความสามารถของเด็กได้หลายทาง เช่น ด้านร่างกาย ความคิดสร้างสรรค์ อารมณ์ และสังคม ดังนั้น พ่อแม่ควรปล่อยให้ลูกได้เล่น วัยเด็กพ่อแม่มีเวลาที่จะเล่นกับลูก พอเข้าโรงเรียนก็ได้เล่นกับเพื่อน คุณหมอประเสริฐยังกล่าวอีกด้วยว่า “การเล่นไม่มีข้อเสีย เพราะการเล่นคือภารกิจ การเล่นคือการทำงาน และเด็กสร้างโลกด้วยการเล่น ไม่แม้กระทั่งเสียเวลา การใช้เวลาที่คุ้มค่าที่สุดกับเด็ก คือการเล่น” การเล่นของเด็กจึงเป็นส่วนช่วยพัฒนาการมี PQ ที่ดี ส่งผลให้เกิดคุณสมบัติที่ดีในตัวเองคือ เป็นได้ทั้งผู้นำและผู้ตามที่ดี เป็นหลักสำคัญที่จะทำให้เด็กเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่ดีในอนาคต โดยเฉพาะเรื่องการทำงานที่มีประสิทธิภาพได้

                  บทความแนะนำ “ยิ่งเล่น ยิ่งฉลาด “ พัฒนา PQ (Play Quotient) สร้างลูกให้ฉลาดแข็งแรงจากการเล่นแสนสนุก

                  #7 AQ: Adversity Quotient ฉลาดเผชิญปัญหา

                  AQ หมายถึง ความฉลาดในการเผชิญปัญหา เป็นความสามารถในการเผชิญอุปสรรค มีความพยายาม มุ่งมั่น อย่างไม่ย่อท้อ และสามารถแก้ไขปัญหา แก้ไขสถานการณ์ได้ด้วยตัวเอง Q ตัวนี้เป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ทุกคนอยากให้ลูกมีไว้ติดตัว คล้าย ๆ กับยันต์ที่จะบอกว่า “จงสามารถเอาชนะอุปสรรคต่างๆ ได้ด้วยตัวเอง” เด็กที่มี AQ ดีเกิดได้จากปัจจัยหลายอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการเลี้ยงดูและสอนให้ลูกได้รู้จักกับความอดทนตั้งแต่เล็ก  เพื่อที่จะพยายามแก้ปัญหา ฝ่าฟันกับอุปสรรคให้ผ่านพ้นไปได้ เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดความสำเร็จ ทำให้เด็กเกิดความภาคภูมิใจในตัวเอง (Self-Esteem)

                  ทั้งนี้มีงานวิจัยพบว่า คนที่มี AQ สูง จะมีสุขภาพแข็งแรงไม่ค่อยเจ็บป่วย ไม่เหยาะแหยะ หากเจ็บป่วยจะฟื้นตัวได้เร็วกว่าคนที่มี AQ ต่ำ ซึ่งเกิดความรู้สึกท้อแท้ตลอดเวลา  หากอยู่ในภาวะแบบนี้มากเข้าก็อาจถึงขั้นเป็นโรคซึมเศร้าได้ ดังนั้นการส่งเสริมพัฒนาการทางด้าน AQ ให้ลูกฉลาดเผชิญปัญหา ถือว่าเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญ

                  บทความแนะนำ 4 ข้อที่บอกว่า ลูกมี AQ (Adversity Quotient) ฉลาดแก้ปัญหา เอาชนะอุปสรรค รู้จักเอาตัวรอด

                  #8 HQ: Health Quotient ฉลาดสุขภาพดี

                  HQ คือความฉลาดในการดูแลรักษาสุขภาพ คนที่มี HQ ดี จะรู้จักดูแลสุขภาพของตัวเองให้ดีเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง เช่น กินอาหารที่ดี ครบ 5 หมู่ ขับถ่ายดี ได้ออกกำลังกายสม่ำเสมอ นอนพักผ่อนให้เพียงพอ ดูแลรักษาความสะอาดร่างกายของตัวเอง ฯลฯ สำหรับเด็กเล็กเราอาจจะยังไม่เห็นพัฒนาการด้านนี้ชัดเจน แต่คุณพ่อคุณแม่สามารถเริ่มปลูกฝังและใส่ใจเรื่องสุขภาพ การดูแลร่างกายในการทำกิจวัตรประจำวันได้ทุกวัน เพื่อให้ลูกซึมซับและดูแลใส่ใจสุขภาพตัวเอง ซึ่งก็จะเป็นการสร้าง HQ ที่ดีในตัวลูกได้

                  ยิ่งในปัจจุบันโรคภัยไข้เจ็บมีเยอะขึ้น โรคใหม่ๆ แปลกๆ เชื้อโรคที่พัฒนาขึ้นจาก สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง และมลภาวะต่างๆ เราจึงต้องสอนให้ลูกของเราฉลาดใส่ใจดูแลสุขภาพให้แข็งแรง และมีภูมิคุ้มกันต่อโรคภัยต่างๆ รอบตัว เพราะการไม่มีโรค คือลาภอันประเสริฐ

                  บทความแนะนำ 7 เคล็ดลับ สอนลูกดูแลสุขภาพ มี HQ (Health Quotient) สร้างภูมิต้านทาน แข็งแรง ไม่ป่วยบ่อย

                  ความแตกต่างของ iq eq aq mq sq

                  #9 OQ: Optimist Quotient ฉลาดคิดบวก

                  OQ หมายถึง ความฉลาดด้านการมองโลกแง่ดี มองในมุมบวก พร้อมรับและมองเห็นข้อดี เด็กที่มี OQ นั้นจะทำให้มองเห็นคุณค่าในตัวเองและรู้จักให้คุณค่าต่อผู้อื่นด้วย เป็นองค์ประกอบของจิตใจที่ดี ทำให้เป็นเด็กที่ร่าเริง แจ่มใส กล้าที่จะยอมรับผิดเพื่อที่จะแก้ไขให้ดีและถูกต้อง โดยรวมแล้วเป็นการมองทุกสิ่งในแง่ดีมากกว่าแง่ร้ายนั่นเอง ซึ่งคนที่มี OQ ดีก็จะทำให้เป็นคนมีสุขภาพจิตดีด้วย เมื่อเกิดปัญหาก็มีสติตั้งรับที่จะแก้ไข ไม่เครียดจนเกินไป ทำให้สามารถฝ่าฟันอุปสรรคไปได้ โดยคุณพ่อคุณแม่สามารถสร้างให้ลูกเป็นเด็กฉลาดคิดบวกได้ เริ่มต้นจากการเลี้ยงลูกเชิงบวกนั่นเอง

                  บทความแนะนำ 8 วิธีเลี้ยงลูก ให้มี OQ (Optimist Quotient) ฉลาดมองโลกในแง่ดี ส่งผลดีต่อชีวิต

                  #10 TQ: Thinking Quotient ฉลาดคิดเป็น

                  TQ หมายถึง ความฉลาดในการคิดดีและมีคุณค่า สามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อชีวิตและงานต่าง ๆ ได้ เช่น ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ คิดอย่างมีวิจารณญาณ คิดประยุกต์ ฯลฯ ได้อย่างเหมาะสม โดยเฉพาะในยุคนี้ที่เด็กสามารถเข้าถึงข้อมูลต่างๆ มากมายได้อย่างง่ายดาย แต่ยังไม่รู้ว่าอะไรผิดถูก ยังกลั่นกรองไม่เป็น พ่อแม่จึงต้องสอนให้ลูกรู้จักคิดเป็น ไม่ตกเป็นเหยื่อความรุนแรง การบูลลี่ การล่อลวง หรือสิ่งไม่ดีต่างๆ โตขึ้นลูกจะสามารถเป็นคนที่แก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี สามารถคิดไตร่ตรองสิ่งไหนถูกสิ่งไหนผิด และคิดเลือกทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่นได้

                  บทความแนะนำ เลี้ยงลูกอย่างไรให้มี TQ (Thinking Quotient) ฉลาดในการคิด เก่ง และประสบความสำเร็จ

                  Power BQ ความฉลาดทั้ง 10 ด้านนี้ จะเป็นอาวุธสำคัญให้ลูกของเราเติบโตอย่างมีคุณภาพ และสามารถเอาตัวรอดในอนาคตได้ ไม่ว่าโลกนี้จะเปลี่ยนแปลงและไม่แน่นอนแค่ไหนก็ตาม ซึ่งคุณพ่อคุณแม่สามารถส่งเสริมและสนับสนุนให้ลูกมีครบได้ เพื่อเป็นรากฐานที่ดีของลูกน้อยที่จะติดตัวลูกไปในอนาคต

                   

                  ติดตามเทคนิคเลี้ยงลูกให้มี Power BQ ความฉลาดรอบด้านครบทั้ง 10Q ผ่าน Amarin Baby & Kids ได้ทุกช่องทาง

                  เว็บไซต์ : www.amarinbabyandkids.com

                  Facebook : www.facebook.com/AmarinBabyAndKids

                  LINE : @amarinbabyandkids หรือคลิก >> https://lin.ee/ACRiTxB

                  ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : momandbaby.net, www.mangozero.com, www.dek-d.com

                  อ่านต่อบทความที่น่าสนใจอื่นๆ

                  ของเล่น เด็ก 5 ขวบ เลือกซื้ออย่างไรให้ลูกเล่น เสริมความฉลาด

                  สอนลูกมีความฉลาดทางอารมณ์ ด้วยการสร้าง 7 นิสัยเพิ่มสุขนี้!

                   

                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                    ให้ลูกเรียนภาษาอังกฤษที่ไหนดี

                    ให้ลูกเรียนภาษาอังกฤษที่ไหนดี 5 สถาบันสอนภาษาอังกฤษสำหรับเด็กเล็ก

                    ในปัจจุบันภาษาอังกฤษเข้ามามีบทบาทและพ่อแม่ทุกคนก็อยากให้ลูกได้เก่งภาษา ให้ลูกเรียนภาษาอังกฤษที่ไหนดี บ้านไหนกำลังเล็งสถาบันสอนภาษาอังกฤษที่มีคอร์สสอนเด็กเล็กมาดูกันค่า

                    ให้ลูกเรียนภาษาอังกฤษที่ไหนดี 5 สถาบันสอนภาษาอังกฤษสำหรับเด็กเล็ก ฝึกลูกเก่งภาษาตั้งแต่เล็ก

                    1. British Council

                    บริติช เคานซิล มีคอร์สเรียนภาษาอังกฤษที่ได้ออกแบบสำหรับเด็กนักเรียนชั้นอนุบาล 3 อายุระหว่าง 5-6 ปี ไป และระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา มีการแบ่งคลาสเรียนเพื่อปูพื้นฐานทักษะภาษาอังกฤษที่แข็งแรง รวมไปถึงการเสริมสร้างพัฒนาการทางด้านสังคมและอารมณ์ ให้เด็ก ๆ ได้เริ่มต้นการเรียนรู้ภาษาอังกฤษไปจนถึงในชั้นเรียนที่สูงขึ้นต่อไปในอนาคต โดยเฉพาะช่วยพัฒนาทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษและทักษะการใช้ชีวิตที่จำเป็นอย่างถูกวิธีและมั่นใจตั้งแต่เด็ก เตรียมพร้อมสำหรับอนาคตน้อง ๆ

                    บริติช เคานซิล
                    บริติช เคานซิล

                    โดยแบ่งคลาสเรียนออกเป็นตามระดับ อาทิเช่น Primary Phonics Plus (5-6 ปี) ภาษาอังกฤษสำหรับเต็กอนุบาล เรียนรู้การอ่านเขียนภาษาอังกฤษ ด้วย Jolly phonics ผ่านเกมส์และ การละเล่นต่าง ๆ ทำให้การพูดภาษาอังกฤษเป็นเรื่องสนุกและเป็นธรรมชาติโดยไม่ต้องท่องจำ Primary Plus (6-12 ปี) คอร์สภาษาอังกฤษสำหรับเด็กระดับประถมศึกษา แบ่งเป็นทั้งหมด 6 ระดับ ซึ่งจะส่งเสริมให้เด็กวัย 6 ถึง 12 ปี ได้แสดงออกในสภาพแวดล้อมที่สร้างแรงจูงใจและปลอดภัย  เรียนภาษาอังกฤษเบื้องต้นและปูพื้นฐานภาษาอังกฤษให้แน่นกว่าเติม พร้อมพัฒนาทักษะอื่น ๆ ในชั้นเรียน โดยการแสดงออกผ่านกิจกรรมและโครงการกลุ่มที่น่าตื่นเต้น กระตุ้นให้เด็กๆกล้าพูดภาษาอังกฤษอย่างเป็นธรรมชาติ ให้เด็ก ๆ รู้สึกว่าตนเองเป็นศูนย์กลางในการเรียนรู้ สร้างความมั่นใจมากขึ้น พร้อมกับพัฒนาความคล่องแคล่วในการใช้ภาษาอังกฤษ

                    บริติช เคานซิล
                    credit photo : www.britishcouncil.or.th

                    นอกเหนือจากอาจารย์เจ้าของภาษาที่มีประสบการณ์ในการสอนเด็กแล้ว บริติช เคานซิล ยังใช้อุปกรณ์การเรียน รวมไปถึงกิจกรรมสนุก ๆ เพื่อช่วยให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้และพัฒนาทักษะแบบไม่รู้สึกเบื่อด้วยเทคนิคต่าง ๆ เช่น การสอนแบบ Jolly Phonics, การร้องเพลง, การเล่นเกมส์ และการทายคำศัพท์ ที่จะทำให้เด็ก ๆ สนุกสนานกับการเรียนภาษาอังกฤษในบรรยากาศระดับสากล เป็นมิตร ซึ่งคุณพ่อคุณแม่สามารถมั่นใจได้ว่าเด็ก ๆ จะมีพัฒนาการที่สมบูรณ์แบบทั้งทางด้านไวยากรณ์ และคำศัพท์ภาษาอังกฤษไปควบคู่กันอย่างแน่นอนค่า

                    British Council

                    เบอร์ติดต่อ : 02 657 5678
                    เว็บไซต์ : www.britishcouncil.or.th

                    2. Edu First Language School

                    โรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ เอ็ด ดู เฟิร์สท์ สถาบันสอนภาษาอังกฤษครบวงจรมาตรฐานระดับโลกรับรองโดยกระทรวงศึกษาธิการ ด้วยหลักสูตรภาษาอังกฤษที่ผ่านการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จนครอบคลุมทุกด้านเพื่อการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ มีหลักสูตรให้เลือกเรียนหลากหลายครอบคลุมตั้งแต่นักเรียนไปจนถึงวัยทำงาน สำและหลักสูตรภาษาอังกฤษสำหรับเด็กโดยเฉพาะ เปิดสอนตั้งแต่อายุ 5-14 ขวบ หรือเทียบเท่าระดับชั้น อนุบาล ประถมศึกษา จนถึงมัธยมศึกษาตอนต้น ที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการด้านการใช้งาน และพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษ ตั้งแต่พื้นฐานไปจนถึงขั้นสูง ให้เหมาะกับเด็กนักเรียนในแต่ละวัย พร้อมด้วยความสนุกสนานในการเรียน เพื่อการพัฒนาภาษาอังกฤษอย่างมีคุณภาพ โดยมีการจัดกลุ่มเรียนภาษาที่เหมาะสม และสอนโดยอาจารย์เจ้าของภาษาที่มีคุณภาพและประสบการณ์สำหรับการสอนภาษาอังกฤษสำหรับเด็ก เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการเรียนภาษาอังกฤษ

                    ที่นี่มีรูปแบบการสอนภาษาอังกฤษสำหรับเด็กที่เน้นการเสริมสร้างพื่้นฐานการใช้ภาษาอังกฤษในทุกด้าน ทั้งการฟัง พูด อ่าน และเขียนภาษาอังกฤษ โดยผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ซึ่งจะทำให้เด็กได้เรียนรู้ภาษาอังกฤษ ไปพร้อมกับความสนุกสนาน จึงทำให้ผู้ปกครองมั่นใจว่า เด็ก ๆ จะได้เรียนภาษาอังกฤษอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นพื้นฐานการใช้ภาษาอังกฤษที่ดีต่อไปทั้งในห้องเรียน และชีวิตประจำวัน หลักสูตร คอร์สเรียนภาษาอังกฤษ เช่น

                    โรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ เอ็ด ดู เฟิร์สท์
                    โรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ เอ็ด ดู เฟิร์สท์

                    คอร์สเรียนภาษาอังกฤษเด็กเล็ก (High Flyer Course) อายุ 5 – 10 ปี (ระดับอนุบาล – ระดับประถมศึกษา) ปูพื้นฐานทักษะการใช้ภาษาอังกฤษทั้ง 4 ด้านคือ การฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน ภาษาอังกฤษไปพร้อมๆ กัน คอร์สเรียนการออกเสียงภาษาอังกฤษโฟนิกส์ (Phonics) สำหรับเด็ก อายุตั้งแต่ 5-14 ปี (ระดับชั้น อนุบาล, ประถม, มัธยม) เรียนการออกเสียงภาษาอังกฤษ เพื่อการออกเสียงภาษาอังกฤษอย่างมั่นใจ ถูกต้องตามหลัก Phonics คอร์สเรียนภาษาอังกฤษแกรมม่าเด็ก (Grammar for kids) อายุตั้งแต่ 5-14 ปี (ระดับชั้น อนุบาล, ประถม, มัธยม) สอนแกรมม่าสำหรับเด็ก เพื่อปูพื้นฐานภาษาอังกฤษให้แข็งแกร่ง ช่วยให้นักเรียนเก่งภาษาอังกฤษรอบด้าน เพื่อนำไปต่อยอดการเรียนภาษาอังกฤษที่โรงเรียนและพัฒนาคะแนนสอบวิชาภาษาอังกฤษให้ดียิ่งขึ้น

                    โรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ เอ็ด ดู เฟิร์สท์
                    Credit Photo : www.edufirstschool.com

                    ปัจจุบันสถาบันสอนภาษาอังกฤษ เอ็ด ดู เฟิร์สท์ (EduFirst Language School)  มีทั้งหมด 7 สาขาคือ สาขาเดอะมอล์งามวงศ์วาน ,สาขาเซ็นทรัลบางนา,สาขาเซ็นทรัลแจ้งวัฒนะ, สาขาเซ็นทรัลพระรามเก้า, สาขาเซ็นทรัลลาดพร้าว, สาขาเซ็นทรัลปิ่นเกล้า และสาขาสยามสแควร์ คุณพ่อคุณแม่สามารถเลือกสาขาที่ใกล้บ้าน เพื่อลองเข้าไปติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมกันดูนะคะ

                    Edu First Language School

                    เบอร์ติดต่อ : 02-550-1161 , 02-835-3570
                    เว็บไซต์: www.edufirstschool.com

                    3. Modulo Language School

                    โมดูโล่ เป็นโรงเรียนสอนภาษาชั้นนำแนวใหม่มีวิธีการสอนที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวและมีประสิทธิภาพ นำเสนอการสอนในรูปแบบที่แตกต่างด้วยการผสมผสานการเรียนภาษาเข้ากับวัฒนธรรม เน้นทุกคนให้ใช้ภาษาเป็นและใช้ได้อย่างถูกต้อง มีการปรับรูปแบบให้เฉพาะกับผู้เรียน เพื่อให้ได้ผลดีที่สุดและเร็วที่สุด

                    สำหรับหลักสูตรสำหรับเด็กได้ออกแบบเป็นพิเศษ โดยเฉพาะผู้เรียนที่มีอายุตั้งแต่ 6 – 12 ปี ที่ครอบคลุมทักษะทุกด้านและช่วยพัฒนาผลการเรียนของนักเรียนได้ในทุกระดับพร้อมกับความสนุกและใช้ภาษาอย่างเป็นธรรมชาติ ด้วยวิธีการสอนแบบโมโล่ คือการดึงเอาความธรรมชาติของเด็ก ๆ ออกมา ผ่านการเรียนรู้จากบทเพลงและการเคลื่อนไหว เพื่อให้เด็ก ๆ จดจำได้ง่ายขึ้น

                    โมดูโล่
                    Credit Photo : modulolearning.com

                    หลักสูตรสำหรับเด็ก อาทิเช่น Modulo Kids คอร์สเรียนพื้นฐานที่เน้นความคุ้นเคยกับภาษาและการฝึกฝน เหมาะสมกับผู้เรียนระดับเริ่มต้นที่กำลังศึกษาในโรงเรียนไทยทั่วไป Modulo International เหมาะสำหรับเด็กที่กำลังศึกษาในหลักสูตร English Program ,หลักสูตร 2 ภาษา, และโรงเรียนนานาชาติ หลักสูตรนี้มีวิธีการสอนที่ทันสมัยและวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลให้แก่ผู้เรียน หรือคอร์สเรียนออกแบบเอง ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมตัวสอบต่างๆ การบ้านหรืองานจากโรงเรียน รวมไปถึงเนื้อหาอื่นๆที่นักเรียนสนใจ เป็นต้น จุดเด่นของมี่นี่นอกจากจะได้เรียนกับเจ้าของภาษาที่มีคุณภาพ รูปแบบการสอนเฉพาะตัว ยังสามารถปรับตารางเรียนได้ และมีบรรยากาศการเรียนที่เป็นกันเองอีกด้วย

                    Modulo Language School

                    สาขาเซ็นทรัลพระราม 9 : 02-160-3443
                    สาขาเซ็นทรัลเวิลด์: 02-252-7282
                    สาขาสยามพารากอน : 09-5858-4004
                    สาขาไอคอนสยาม : 080-393-5999
                    เว็บไซต์: modulolearning.com

                     

                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                     

                    อ่านต่อ 5 สถาบันสอนภาษาอังกฤษสำหรับเด็ก คลิกหน้า 2

                      ที่เที่ยววิทยาศาสตร์

                      ห้ามพลาด! 3 ที่เที่ยววิทยาศาสตร์ เปิดโลกเรียนรู้ให้ลูก สนุกจนไม่อยากกลับ

                      ใครว่าเรื่องวิทยาศาสตร์จะดูยากและน่าเบื่อ เพราะว่ามีแหล่งเรียนรู้มากมายและทันสมัยที่จะชวนให้คุณหนู ๆ มาสนุกกับวิทยาศาสตร์ใกล้ตัวที่รอให้คุณพ่อคุณแม่พาลูกไปพิสูจน์ ที่เที่ยววิทยาศาสตร์ แต่ละแห่งจะน่าสนใจขนาดไหน ตามไปดูกันเลยค่า

                      ห้ามพลาด! 3 ที่เที่ยววิทยาศาสตร์ เปิดโลกเรียนรู้ให้ลูก สนุกจนไม่อยากกลับ

                      #1 ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา ท้องฟ้าจำลองกรุงเทพ

                      ถ้าเอ่ยชื่อ ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา คุณพ่อคุณแม่อาจจะยังไม่คุ้น แต่ถ้าพูดชื่อ ท้องฟ้าจำลองกรุงเทพ ไม่ว่ารุ่นไหนคงรู้จักกันดี เพราะที่นี่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2505 เป็นสถานที่เรียนรู้หลากหลายรูปแบบด้านวิทยาศาสตร์ที่เปิดมายาวนานมาก ภายในท้องฟ้าจำลองประกอบไปด้วย 4 อาคาร ได้แก่

                      ท้องฟ้าจำลองกรุงเทพ
                      เครดิตภาพจาก www.facebook.com/bkkplanetarium
                      • อาคารท้องฟ้าจำลอง ภายในอาคารตรงกลางเป็นโดมท้องฟ้าจำลองกรุงเทพ มีห้องฉายดาว ที่จัดว่าเป็นไฮไลท์สำคัญ มาถึงท้องฟ้าจำลองต้องพาน้องเข้ามาดูดาวในห้องนี้กันนะคะ ภายในห้องมีลักษณะเป็นโดมขนาดใหญ่ จัดเก้าอี้นั่งล้อมกันเป็นวงกลม ปรับนอนแหงนดูหมู่ดาวต่างๆ ในจักรวาล ผ่านเครื่องฉายดาวที่มีความคมชัดสูงพร้อมทั้งจัดเต็มทั้งภาพ แสง สี เสียง ได้อย่างชัดเจน โดยจะจัดแสดงและมีผู้เชี่ยวชาญบรรยายให้ความรู้ด้านดาราศาสตร์เป็นรอบๆ รอบละประมาณ 1 ชั่วโมง และมีการเปลี่ยนหัวข้อการแสดงทุก ๆ เดือน มาดูได้ไม่มีวันเบื่อเลยทีเดียว
                      ท้องฟ้าจำลองกรุงเทพ
                      ท้องฟ้าจำลองกรุงเทพ
                      • อาคารพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ จัดแสดงนิทรรศการด้านวิทยาศาสตร์พื้นฐานและวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีด้านต่าง ๆ เช่น ธีออสดวงตาของชาติ ดินแดนแห่งแร่ พลังวิทย์พิชิตยาเสพติด คณิตศาสตร์แสนสนุก ห้องปฏิบัติการหุ่นยนต์ ดาวเคราะห์สีฟ้า ความลับของสิ่งมีชีวิต รวมทั้งมีมุมเครื่องเล่นทางวิทยาศาสตร์ เช่น มุมวิทยาศาสตร์แสนสนุก สัมผัสอวกาศ ลูกกลมกลิ้ง
                      • อาคารโลกใต้น้ำ จัดแสดงนิทรรศการ “มหัศจรรย์ชีวิตในสายน้ำ” ผ่านกลุ่มปลาหายาก ปลาใกล้สูญพันธ์ ปลาเศรษฐกิจ ปลาน้ำจืด ปลาน้ำเค็ม และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่อาศัยอยู่ในทะเล
                      • อาคารธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จัดแสดงนิทรรศการด้านธรรมชาติวิทยาและสิ่งแวดล้อม ทั้งเรื่องของมนุษย์ สัตว์ และพืช เช่น โลกดึกดำบรรพ์และไดโนเสาร์ ขุมทรัพย์โลกสีเขียว เป็นต้น

                      ท้องฟ้าจำลองกรุงเทพและหอดูดาว ถือว่าเป็นแหล่งเรียนรู้ที่มีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการศึกษาวิชาภูมิศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และดาราศาสตร์ ที่เด็ก ๆ จะได้เรียนรู้จากของจำลองเสมือนของจริง ทำให้เข้าใจได้ลึกซึ้งและรวดเร็วจากประสบการณ์ตรง รวมทั้งเปิดโลกจินตนาการความรู้ ความคิด ความมีเหตุผลและได้ความเพลิดเพลินจนกลับบ้านด้วย

                      ท้องฟ้าจำลอง

                      พิกัด : เลขที่ 928 ถนนสุขุมวิท เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร 10110 (ใกล้สถานีรถไฟฟ้าเอกมัย และสถานีขนส่งเอกมัย)
                      โทรศัพท์ : 0-2391-0544, 0-2392-0508, 0-2392-1773
                      วันและเวลาทำการ : วันอังคาร-อาทิตย์ เวลา 09.00-16.30 น. (ปิดวันจันทร์และวันหยุดนักขัตฤกษ์)
                      ค่าเข้าชม :
                      บัตรชมท้องฟ้าจำลอง(รอบภาษาไทย) : เด็ก 20 บาท / ผู้ใหญ่ 30 บาท
                      บัตรชมท้องฟ้าจำลอง(รอบภาษาอังกฤษ) : เด็ก 30 บาท / ผู้ใหญ่ 50 บาท  *รอบภาษาอังกฤษ เปิดบริการเฉพาะรอบ 10.00 น. ของวันอังคาร เท่านั้น*
                      บัตรชมนิทรรศการ : เด็ก 20 บาท / ผู้ใหญ่ 30 บาท
                      หมายเหตุ  ยกเว้นการเก็บค่าเข้าชมในข้อ 1 และ 2 สำหรับพระภิกษุ สามเณร ผู้สูงอายุ เด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี ผู้อยู่ในความดูแลของสถานสงเคราะห์ต่าง ๆ และนักศึกษา กศน. ในเครื่องแบบนักศึกษา หรือแสดงบัตรนักศึกษา
                      เว็บไซต์ : www.sciplanet.org

                      อ้างอิงข้อมูลจาก :  www.museumthailand.com

                       

                      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                       

                      อ่านต่อ 3 แหล่งท่องเที่ยวเชิงวิทยาศาสตร์ เปิดโลกเรียนรู้ให้ลูก คลิกหน้า 2

                        วิธีอาบน้ำให้ลูกน้อย

                        วิธีอาบน้ำให้ลูกน้อย ถูกต้อง ปลอดภัย สำหรับพ่อแม่มือใหม่

                        วิธีอาบน้ำให้ลูกน้อย เป็นเรื่องที่คุณพ่อคุณแม่ขอคำแนะนำกันเข้ามามากค่ะ เพราะถึงแม้จะเรียนวิธีอาบน้ำเด็กมาจาก โรงพยาบาล พอกลับมาบ้านก็ลืมหมด แถมยังกล้าๆ กลัวๆ ที่จะอุ้มลูกน้อยลงอ่างอาบน้ำ ดังนั้นเพื่อเพิ่มความมั่นใจให้พ่อแม่มือใหม่ เรามีวิธีอาบน้ำให้ลูกน้อยที่ถูกต้อง พร้อมการเลือกใช้สบู่เหลวอาบน้ำเด็กที่ปลอดภัยมาฝากกันค่ะ

                         

                        วิธีอาบน้ำให้ลูกน้อย ถูกต้อง ปลอดภัย

                        ลูกน้อยวัยทารกในช่วง 1 เดือนแรก การอาบน้ำแค่วันละ 1 ครั้งก็เพียงพอค่ะ แต่หลังจาก 1 เดือนขึ้นไปการอาบน้ำจะปรับเป็นวันละ 2 ครั้ง เช้าเย็น หรือช่วงสาย ช่วงบ่ายๆ ของวัน ทั้งนี้ให้ดูที่สภาพอากาศด้วยว่าร้อน หรือหนาว การอาบน้ำ นอกจากจะช่วยชะล้างเหงื่อไคล คราบสกปรกที่หมักหมมมากับปัสสาวะ อุจจาระแล้ว การอาบน้ำยังช่วยทำให้ลูกน้อยสบายตัว สบายผิวด้วยค่ะ

                        การเตรียมน้ำอาบให้ลูกน้อย น้ำไม่ควรจะเย็นหรือร้อนเกินไป แนะนำให้ผสมน้ำอาบอยู่ที่อุณหภูมิประมาณ 36-37 องศา เซลเซียส แนะนำคุณพ่อคุณแม่เช็กอุณหภูมิน้ำที่ผสมอาบให้ลูกน้อย ด้วยการใช้เทอร์โมมิเตอร์วัดอุณหภูมิน้ำที่ผสมก่อนอาบให้ลูกน้อยนะคะ

                        อุปกรณ์การอาบน้ำลูกน้อยวัยทารก

                        • กะละมังอาบน้ำ
                        • ฟองน้ำ
                        • สบู่เหลวอาบน้ำและสระผม สำหรับเด็กแรกเกิด สูตรออร์แกนิค
                        • ผ้าขนหนู

                         

                        ขั้นตอน วิธีการอาบน้ำให้ลูกน้อย ไม่มีอะไรยุ่งยากค่ะ

                        1. อุ้มลูกลงกะละมังอาบน้ำ ให้สระผมลูกเป็นอันดับแรก ขณะสระผมให้ห่อตัวลูกไว้ก่อนกันหนาวค่ะ หลังจากสระผมลูกล้างผมเสร็จแล้ว ก็ค่อยอุ้มลูกออกจากผ้าห่อตัว
                        2. ใช้แขนข้างหนึ่งรองหลัง ศีรษะ และคอลูกน้อย แล้วค่อยๆ วางลูกลงในอ่างอาบน้ำ ใช้แขนข้างหนึ่งประคองตัวลูกไว้ตลอดเวลาระหว่างใช้มืออีกข้างอาบน้ำให้ลูกน้อย
                        3. จากนั้นกดสบู่เหลวอาบน้ำเด็กสูตรอ่อนโยนลงบนฟองอาบน้ำ แล้วถูให้ทั่วตัวลูก
                        4. ทำความสะอาดบริเวณจุดซ่อนเร้นเป็นจุดสุดท้าย
                        • สำหรับลูกสาวให้ทำความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศ จากด้านหน้าไปด้านหลัง
                        • สำหรับลูกชาย ให้ทำความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศอย่างเบามือ จากด้านหน้าไปด้านหลัง
                        1. เสร็จแล้วก็ให้ล้างฟองสบู่ออกให้หมด จนผิวลูกสะอาด อุ้มลูกขึ้นจากน้ำแล้วซับผิวให้แห้งพอหมาดๆ ก่อนใส่ผ้าอ้อม ใส่ชุดเสื้อผ้า คุณแม่ควรบำรุงผิวลูกน้อยด้วยเบบี้ออยล์ หรือโลชั่นบำรุงผิวสำหรับเด็ก ซึ่งช่วยให้ผิวพรรณลูกน้อยสุขภาพดี เนียนนุ่ม ชุ่มชื้น ไม่แห้งกร้านค่ะ

                        ช่วงเวลาอาบน้ำเป็นช่วงเวลาความสุขของลูกน้อย แต่สิ่งสำคัญของขั้นตอนการอาบน้ำอยู่ที่สบู่เหลวอาบน้ำเด็ก จึงแนะนำคุณพ่อคุณแม่เลือกใช้สบู่เด็กที่เป็นสูตรออร์แกนิค ที่มีสารสกัดธรรมชาติ มีความอ่อนโยน และปลอดภัยต่อผิวลูกน้อยที่สุดค่ะ

                        วิธีอาบน้ำให้ลูกน้อย

                        อย่างดีนี่ ออร์แกนิค ฟอร์ นิวบอร์น เฮด แอนด์ บอดี้ เบบี้ วอช ที่สามารถใช้ได้ทั้งอาบและสระในขวดเดียว มีกลิ่นหอมอ่อนๆ เนื้อเจลใส ไม่มีสี ปราศจากสารเคมีอันตรายให้แม่ๆต้องกังวลใจ ไม่ทำให้ผิวของลูกน้อยเกิดการแพ้และระคายเคืองด้วยค่ะ

                        • สูตรออร์แกนิค อ่อนโยนด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ 7 ชนิด ให้ผิวชุ่มชื่นไม่แห้งตึง
                        • ปราศจาก พาราเบน, SLS, สารสบู่, กลูเตน, ซิลิโคน, แอลกอฮอร์, และ สีสังเคราะห์
                        • มี pH Balance ช่วยรักษาสมดุลผิว ล้างออกง่าย
                        • อ่อนโยน เพราะผ่านการทดสอบทางการแพทย์ Hypoallergenic Tested ว่าไม่ระคายเคือง

                        การอาบน้ำให้ลูกน้อยวัยทารก ในช่วงเดือนแรกๆ คุณพ่อคุณแม่ควรช่วยกันอาบน้ำให้ลูกน้อย ซึ่งนอกจากจะเป็นการได้ใช้ช่วงเวลาพิเศษร่วมกัน ยังช่วยป้องกันอุบัติเหตุขณะอาบน้ำที่ลูกน้อยอาจลื่นหลุดมือได้ค่ะ

                         

                          น้องพลอยเจ

                          เผยเคล็ดลับ! การเลี้ยงลูกให้เป็นเด็กน่ารักเหมือน “น้องพลอยเจ”

                          น่ารักกว่าตุ๊กตา ก็ “พลอยเจ” นี่แหละ!! ทั้งสดใสและร่าเริงแบบนี้ แม่บีและพ่อจิม มีเคล็ดลับอะไรในการเลี้ยง น้องพลอยเจ กันนะ..ตามไปอ่านบทสัมภาษณ์แบบ Exclusive กันเลยค่า

                          เผยเคล็ดลับ การเลี้ยงลูกของแม่บีและพ่อจิม
                          ทำยังไงให้ลูกเป็นเด็กน่ารักสดใส เหมือน น้องพลอยเจ

                          ทำอย่างไรถึงจะมีลูกได้น่ารักเหมือน น้องพลอยเจ กันนะ ?? …. นี่เป็นหนึ่งคำถามที่วนเวียนอยู่ในหัวของแม่ฮันน่าห์ เพราะเหมือนได้ไปสัมภาษณ์และใกล้ชิดกับครอบครัวนี้ ก็ทำให้รู้สึกอิจฉาและอยากมีลูกน้อยแบบนี้บ้าง!

                          เรียกได้ว่ากำลังน่ารักน่าเอ็นดูเลยสำหรับ น้องพลอยเจ สาวน้อยแววตาบ้องแบ๊ว ใบหน้าสดใส แถมรอยยิ้มแสนหวาน ลูกสาวสุดหวงของนักแสดงหนุ่ม คุณจิม เจจินตัย อันติมานนท์ และคุณบี พลอยพัชชา แวนดิว ที่ตอนนี้มีแฟนคลับเยอะมากเรียกได้ว่ากำลังขึ้นแท่นเป็นซูเปอร์สตาร์คนใหม่ของวงการบันเทิง และดูเหมือนว่าจะฮอตยิ่งกว่าคุณพ่ออีกด้วย

                          ซึ่งเห็นน้องพลอยเจน่ารักน่าเอ็นดูแบบนี้ หลายคนคงอยากรู้แล้วว่า ทั้งแม่บีและพ่อจิมมีเคล็ดลับในการเลี้ยงลูก ให้น้องพลอยเจเป็นน่ารักได้อย่างไร และแท้จริงแล้วน้องพลอยเจเป็นเด็กที่มีนิสัยแบบใด จะอ่อนหวานเหมือนหน้าตาหรือไม่ แม่ฮันน่าห์ และ ทีมแม่ ABK ได้ไปสัมภาษณ์พร้อมล้วงความลับของน้องพลอยเจมาให้แล้วค่ะ ตามไปอ่านกันเลย

                          น้องพลอยเจ
                          ขอบคุณภาพจากไอจี @ploy_mermaid

                          ♥ พลอยเจดาริน ชื่อนี้แม่ได้มาเพราะฝัน!

                          ทำไมชื่อพลอยเจ : ถ้าเป็นชื่อเล่นว่า พลอยเจ ก็คือการนำชื่อจริงตัวแรกของพ่อกับแม่มารวมกัน แต่สำหรับชื่อจริง “พลอยเจดาริน” เหมือนเป็นนิมิตของคุณแม่เอง คือเราเขียนไว้หลายชื่อมากเกือบ 10 ชื่อ แล้วนอนฝัน ฝันว่าให้ลูกชื่อนี้ แล้วมันมีในลิสต์ที่เราลิสต์ไว้พอดี ก็เลยได้ชื่อว่า พลอยเจดาริน ก็รู้สึกว่าน่ารักดี เลยเอาชื่อนี้ แล้วมารู้ทีหลังเปิดพจนานุกรม มาดูความหมาย ก็คือแปลว่า เจ้าหญิงดุจดั่งเพรช เราก็เลยเอาชื่อนี้

                           

                          ♥ แม่อารมณ์ดีขำเก่งตั้งแต่ตอนท้อง!

                          เคล็ดลับการเลี้ยง น้องพลอยเจ ให้เป็นเด็กน่ารักสดใส : น่าจะเป็นตั้งแต่ตอนท้อง คือแม่เป็นคนเส้นตื้น ขำเก่งอยู่แล้ว แต่ตอนท้องจะเส้นตื้นหนักมาก  อยู่บ้านก็ดูแต่ซีรีย์ที่เป็นตลก รถวิ่งผ่านก็นั่งหัวเราะอยู่คนเดียว  อารมณ์ดีเห็นอะไรก็ขำไปหมดเลยก็เลยกลายเป็นอะไรที่มันซึมซับไปกับน้อง พอออกมาเค้าก็กลายเป็นเด็กอารมณ์ดี  ซึ่งทั้งความน่ารักสดใสร่าเริงนี้ก็ได้มาทั้งจากคุณพ่อและคุณแม่ด้วย เพราะเราเป็นคนแบบ alert ทั้งคู่ ขี้เล่น แล้วก็เป็นคนตลก น้องก็เลยได้รับสิ่งนั้นมา

                          น้องพลอยเจ
                          ขอบคุณภาพจากไอจี @jayjintai

                          ♥ 95% คือเหมือนคุณพ่อ!!

                          น้องพลอยเจมีบุคลิกหรือนิสัยเหมือนใคร : 95% เลย คือเหมือนคุณพ่อค่ะ อันนี้คือไม่ได้เห็นด้วยตาเปล่าอย่างเดียว หรือเพราะคนอื่นพูด ซึ่งก็ไม่เชื่อ จนพาน้องพลอยเจไปตรวจวิเคราะห์ลายนิ้วมือ ผลออกมาคือ ตรงกับคุณพ่อ 95% ก็เลยยิ่งเชื่อ เพราะทั้งหน้าตา นิสัย ลักษณะการกินการพูด ก็เหมือนหมดเลย หรือแบบความลุยๆ ชอบออกกำลังกาย ใช้พลัง คือแบบมีความเป็นพ่อสูงมาก

                          แต่ถ้าลักษณะนิสัยส่วนตัวของ น้องพลอยเจ พื้นฐานเค้าจะเป็นเด็กขี้สงสาร เซนซิทีฟ และอ่อนโยนมาก เห็นอะไรเค้าก็จะขี้สงสาร ดูยูทูปเห็นคนเจ็บก็ร้องไห้ น้ำตาไหลเลย  ไปพิพิธภัณฑ์เห็นกวางตาย ก็ถามว่าเค้าเจ็บใช่มั้ย ไปหาหมอทันมั้ย มีน้ำตาคลอนิดๆ

                           

                          ♥ ไม่บังคับลูก แต่มีกรอบไว้ให้เค้ากว้างๆ

                          สไตล์การเลี้ยงลูกของพ่อจิมและแม่บี : เราเป็นลูกที่ถูกคุณพ่อคุณแม่เลี้ยงมาแบบให้เราคิดเอง คือไม่เคยบังคับอะไรทั้งสิ้น อยากเรียนอยากทำอะไรตามใจเรา แล้วเราก็เลยรู้สึกว่าก็ดี เราก็ไม่ได้เกเรอะไร แล้วเราก็เรียนจบมาดี อะไรดีทุกอย่างโดยที่ไม่ได้ถูกบังคับ ก็เลยตั้งใจกับตัวเองไว้ว่าเราจะไม่บังคับลูก

                          แต่พอเรามีลูกจริงๆ มันไม่ได้อย่างนั้น คือมันไม่ได้ที่จะไม่บังคับเลย แล้วก็เคยพาน้องไปตรวจลายนิ้วมือดู  ผลที่ออกมาคือ ลักษณะนิสัยน้องพลอยเจอย่างที่บอก คือเค้าจะเป็นเด็กที่โอนเอียงไปตามคนอื่นได้ง่าย ถ้ามีเพื่อนดีก็จะดีเลย แต่ถ้าเพื่อนไม่ดีก็จะไม่ดีด้วย เพราะเค้าจะเป็นผู้ตามที่ดี ซึ่งก็นิสัยเหมือนคุณพ่อเลยที่เป็นผู้ตามที่ดี คุณหมอจิตวิทยาที่นั่นเค้าก็เลยบอกว่าไม่ดี เราควรกำหนดให้เค้าว่าแบบจะต้องเดินทางนี้นะลูก เค้าก็จะเดินตามกรอบเรา ซึ่งถ้าเราไม่กำหนดไว้ เค้าก็จะตามเพื่อนเลย และซึ่งเราก็ไม่รู้เลยว่าเพื่อนจะดีหรือไม่ดี

                          เราก็เลยเริ่มกำหนด เราบอกให้เค้าทำอะไร แต่ก็มีกรอบไว้ให้เค้ากว้างๆให้เค้าตัดสินใจด้วย แต่ก็มีกรอบแบบเอาไว้นำทางให้เค้าเฉยๆ แต่ถ้าถามใจเราก็ยังคิดว่าถ้าเค้าชอบอะไร โดยที่มันไม่ได้เสียหายอะไรก็ยังปล่อยเค้า

                           

                          ♥ พ่อจะเลี้ยงแบบลุยๆ >> ส่วนคุณพ่อก็จะเลี้ยงสไตล์แบบชอบคิดว่าลูกเป็นผู้ชายตลอดเวลา เลี้ยงแบบปล่อยๆ เพราะตอนแรกเค้าอยากได้ลูกผู้ชายแล้วเราอยากได้ลูกผู้หญิง ซึ่งพอได้ลูกออกมาเป็นผู้หญิงเค้าก็โอเค แต่ก็จะเลี้ยงแบบสไตล์เค้าในความเป็นผู้ชาย ปล่อยลูกให้ทำอะไรไปเลยลุยไป

                          ซึ่งในการเลี้ยงลูกของเราสองคนไม่มีตอนที่ความคิดเห็นไม่ตรงกันเลย เพราะอย่างที่บอกข้างต้นว่าคุณจิมเค้าจะมีนิสัยเป็นผู้ตามที่ดี เค้าก็จะถามเรา ส่วนเราพอลูกเริ่มโต เราก็จะอ่านดูหนังสือทุกคืนว่าลูกช่วงนี้วัยนี้เป็นยังไงเค้าต้องการอะไร ก็กลายเป็นว่าติดอ่านหนังสือเกี่ยวกับการเลี้ยงลูก เค้าก็เลยจะโอเคๆ เห็นด้วยเพราะเค้าไม่ได้อ่าน ก็เลยฟังเรา

                           

                          ♥ เป็นเด็กที่ต้องเอาความน่าสงสารเข้าสู้!

                          น้องพลอยเจกลัวใครมากกว่ากัน : พลอยเจเป็นเด็กที่ถ้าดุแล้วเค้าไม่ฟัง คือเค้าไม่ได้กลัวพ่อหรือแม่ พลอยเจเป็นเด็กที่ต้องเอาความน่าสงสารเข้าสู้ ถ้าบอกว่า “พลอยเจหม่ามี๊เจ็บ หม่ามี๊เสียใจมาก” เค้าก็จะถามว่าหม่ามี๊เป็นอะไร … ก็คือต้องดราม่าใส่เค้า แต่ถ้าบอกว่าพลอยเจหยุดนะ!! เค้าก็จะไม่ ถ้าแม่บอกหยุดก็คือวิ่งไปเลยค่ะ คำว่า No หรือ ห้ามต่างๆ ใช่กับเค้าไม่ได้

                          แต่ถ้าบอกว่าหม่ามี๊เหนื่อย ทำหน้าเศร้าร้องไห้ “เค้าจะเดินเข้ามาโอ๋ถามว่าเป็นอะไร โอเคๆ พลอยเจไม่ทำแล้ว” ต้องใช้ความดราม่าเข้าใส่ ถ้าขึ้นเสียงคือไม่ได้ผลเลย เค้าไม่กลัว

                           

                          อ่านต่อ >> เรื่องที่เน้นสอนพลอยเจและวิธีการเลี้ยงลูกที่ดีที่สุด
                          ในแบบแม่บีและพ่อจิม คลิกหน้า 2

                           

                          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                           

                            เด็กวัยเรียน

                            แม่ต้องรู้! พัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงของ เด็กวัยเรียน 6-12 ปี

                            เด็กวัยเรียน คือเด็กที่อยู่ในช่วงอายุ 6 – 12 ปี คุณพ่อคุณจะสังเกตเห็นว่าลูกวัยนี้มีพัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างแตกต่างจากวัยอนุบาล ช่วงอายุของลูกวัยนี้ ถือเป็นช่วงสำคัญของเด็กในการเรียนรู้ทักษะชีวิตและพัฒนาการต่าง ๆ เช่น มีการเจริญเติบโตที่ช้าลงแต่มีการเปลี่ยนแปลงทางสัดส่วนของร่างกายมากขึ้น รู้จักเข้าสังคมมีกลุ่มเพื่อนมากขึ้น มีความจำดีขึ้น มีเหตุผลมากขึ้น ฯลฯ ช่วงวัยนี้เป็นช่วงที่การทำงานของสมองมีการพัฒนาอย่างรวดเร็วและเต็มที่ ดังนั้นธรรมชาติและพฤติกรรมการเรียนรู้ของเด็กวัยเรียน จึงมีการเจริญเติบโตในแต่ละขวบปีที่พ่อแม่จะเห็นอย่างได้ชัด

                            แม่ต้องรู้! พัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงของ เด็กวัยเรียน 6-12 ปี

                            พัฒนาการลูกอายุ 6 ปี สามารถมองเห็นและเข้าใจความแตกต่างระหว่างสิ่งของได้ เช่น ความแตกต่างของลวดลาย เข้าใจความหมายของทิศทางรอบตัวเอง มีความสนใจการกระทำกิจกรรมต่าง ๆ แต่ก็ยังมีสมาธิจดจ่อกับกิจกรรมค่อนข้างสั้น ไม่ค่อยสนใจความสำเร็จของกิจกรรม นอกจากความสนุกที่ได้ลงมือทำ ลงมือเล่น และจะกระตือรือร้นกับงานหรือกิจกรรมที่ตนเองสนใจ แต่เมื่อหมดความสนใจก็เลิกทำเอาง่าย ๆ ทันที

                            พัฒนาการลูกอายุ 7 ปี เด็กวัยนี้จะมีความอยากรู้อยากเห็น สามารถจำเหตุการณ์ที่ผ่านมาได้เยอะขึ้น มีความสนใจที่จะทำสิ่งต่าง ๆ และจะพยายามทำให้สำเร็จได้มากขึ้น รู้จักชอบหรือไม่ชอบสิ่งนั้นสิ่งนี้ เด็กจะมีความสนใจสิ่งต่าง ๆ ทีละอย่าง ดังนั้น ถ้ามีงานให้ลูกทำ ควรจะแบ่งหรือกำหนดให้เป็นส่วน ๆ ไม่ควรสั่งให้ทำพร้อมกันทีเดียว เพราะจะทำให้ลูกไม่สนใจที่จะทำ

                            พัฒนาการลูกอายุ 8 ปี นอกจากความความอยากรู้อยากเห็นแล้วเด็กจะรู้จักสนใจซักถามมากขึ้น กระตือรือร้นที่จะทำสิ่งใหม่ ๆ ที่ไม่เคยทำมาก่อน เริ่มมีสมาธิจดจ่อกับกิจกรรมนานขึ้น มีความสนใจที่จะทำงานให้สำเร็จ สนใจที่จะรับฟังคำแนะนำจากพ่อแม่มากขึ้น และชอบที่จะแสดงออกกับการเล่น การแสดงต่าง ๆ เริ่มสนใจสิ่งที่ตัวเองชอบและจดจ่อกับสิ่งนั้นเป็นพิเศษ เช่น การสะสมของ วาดภาพ อ่านการ์ตูน หนังสือนินทาน ฟังวิทยุ ตัวละครที่ชื่นชอบ เป็นต้น

                            พัฒนาการลูกอายุ 9 ปี ลูกจะรู้จักใช้เหตุผล มีความรู้รอบตัวกว้างขึ้น สามารถตอบคำถามหรือที่เรียนรู้มาได้อย่างมีเหตุผล สามารถแก้ปัญหาและรู้จักหาเหตุผลโดยอาศัยการสังเกต ลูกวัยนี้โตขึ้นมากแล้วและเริ่มต้องการอิสรภาพเพิ่มขึ้น และชอบที่จะเลียนแบบการกระทำของไอดอลที่ชื่นชอบ

                            พัฒนาการ 6-12 ปี

                            พัฒนาการลูกอายุ 10 ปี วัยนี้เป็นวัยที่สมองกำลังพัฒนาเต็มที่ มีการเรียนรู้ ใช้ความคิด หาเหตุผล และการแก้ปัญหาดีขึ้น สามารถตัดสินใจด้วยตนเองด้วยการคิดก่อนตัดสินใจ เข้าใจวันเดือนปีและทำให้สามารถศึกษาประวัติศาสตร์สำคัญ รู้จักดูวันสำคัญในปฏิทิน สามารถเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำและกว้างขวางขึ้น และเด็กผู้ชายจะเริ่มสนใจแนววิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ เด็กผู้หญิงจะสนใจเรื่องการเรือน DIY การดีไซน์ออกแบบแต่งตัวและแฟชั่นมากขึ้น

                            พัฒนาการลูกอายุ 11-12 ปี เด็กวัยนี้มีความคิดเป็นตัวของตัวเองเต็มที่ มีเพื่อนเล่นในวัยเดียวกันเป็นกลุ่ม ทำกิจกรรมแบบที่ชอบร่วมกัน เช่น เล่นกีฬาในแบบเป็นทีม เต้น cover dance งานอดิเรก ฯลฯ เริ่มเห็นความคิดของเพื่อนสำคัญมากกว่าความคิดเห็นของพ่อแม่ ต้องการให้ผู้อื่นเข้าใจและยอมรับในความคิดของตนด้วย พัฒนาการการร่างกายนอกเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนในร่างกายชัดขึ้น และใส่ใจต่อการเปลี่ยนแปลงนั้น

                            พัฒนาการวัยประถม

                            นอกจากพัฒนาการต่าง ๆ ที่เปลี่ยนแปลงขึ้นตามวัยแล้ว สำหรับเด็กในยุคเจน Z ที่เกิดขึ้นในสังคมที่เปลี่ยนไปจากยุคคุณพ่อคุณแม่ จะเห็นได้ว่าเด็กวัย 6-12 ปีนี้พฤติกรรมที่ทำให้พ่อแม่นั้นต้องพยายามเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเด็ก เพื่อเรียนรู้ไปพร้อม ๆ กับลักษณะทางพฤติกรรมของลูกอย่างสอดคล้อง เพื่อช่วยส่งเสริมพัฒนาการลูกได้อย่างมีประสิทธิภาพและเติบโตขึ้นไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพร่วมด้วย ซึ่งเด็กในวัยเรียนจะมีพฤติกรรมที่แสดงออก อาทิเช่น

                            วัยที่ชอบเรียนรู้

                            เนื่องจากเป็นวัยที่เข้าโรงเรียน เด็กวัยนี้จึงเป็นวัยที่มีการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมจากบ้านสู่โรงเรียน ร่างกาย อารมณ์ สังคม สติปัญญา และวุฒิภาวะทุกด้านกำลังงอกงามเกือบเต็มที่ สังคมในโรงเรียน ประสบการณ์ หรือสิ่งแวดล้อมรอบตัวจะช่วยส่งเสริมพัฒนาการและการเรียนรู้ทำให้เด็กมีความสามารถเพิ่มขึ้นอีกหลายด้าน เนื่องจากสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเป็นสิ่งที่ช่วยก่อให้เกิดความอยากรู้อยากเห็น อยากทดลอง ซึ่งการจัดสิ่งแวดล้อมโดยเปิดโอกาสให้เด็กได้มีการเคลื่อนไหว สรรค์สร้างจินตนาการ และเข้าร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ อยู่เสมอ ทำให้เด็กได้เรียนรู้กว้างขวางขึ้น สามารถที่จะคิดและแก้ปัญหาต่าง ๆ ด้วยตัวเองได้ รวมถึงเป็นการเพิ่มและเสริมพัฒนาการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านอารมณ์ ภาษา และสติปัญญา ของเด็กเป็นอย่างมาก

                             

                            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                            อ่านต่อ เรื่องสำคัญ! การเปลี่ยนแปลงของลูกวัย 6-12 ปีที่แม่ต้องรู้ คลิกหน้า 2

                              พรีเซ็นเตอร์ D-nee

                              เปิดตัว ป๊อก-มาร์กี้-น้องมีก้า-น้องมีญ่า “พรีเซ็นเตอร์ D-nee” ปี 2020

                              ดีนี่ (D-nee) ผู้นำผลิตภัณฑ์เพื่อลูกน้อย หนึ่งในแบรนด์ผลิตภัณฑ์คุณภาพจาก บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด เผยโฉม พรีเซ็นเตอร์ D-nee ครอบครัวใหม่ นำโดย คุณพ่อ “ป๊อก” ภัสสรกรณ์ จิราธิวัฒน์, คุณแม่ “มาร์กี้” ราศรี บาเล็นซิเอก้า จิราธิวัฒน์ และลูกน้อยฝาแฝด “น้องมีก้า และ น้องมีญ่า” พร้อมเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ล่าสุด ในงาน “ดีนี่ โมเม้นท์ ออฟ เพียวเนส” (D-nee Moment of Pureness) เมื่อวันที่ 16 มกราคมที่ผ่านมา ณ ศูนย์การค้าสยามพารากอน ชั้น 1

                              ภายในงานสนุกสนานกับกิจกรรมเวิร์กชอปตกแต่งเสื้อเพื่อลูกน้อย ถ่ายภาพครอบครัวแสนสุขเป็นที่ระลึก และลุยบ่อบอลสุดหรรษา นอกจากนี้ยังมี  พญ.สุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ กุมารแพทย์เชี่ยวชาญด้านทารกแรกเกิด โรงพยาบาลบีเอ็นเอช มาให้ความรู้เกี่ยวกับพัฒนาการของลูกน้อยที่คุณพ่อคุณแม่ควรใส่ใจ รวมถึงการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสำหรับเด็ก

                              หมอสุธีรา

                              ปัทมา ถกลศรี ประธานบริหารฝ่ายการตลาด บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด กล่าวถึงแนวคิดหลักของผลิตภัณฑ์ดีนี่ ในปี 2020 ซึ่งยังคงชูคอนเซ็ปต์ “ดีนี่พิสูจน์แล้วว่าดี” เพื่อสื่อถึงคุณภาพสินค้า ที่เป็นหัวใจสำคัญของผลิตภัณฑ์เด็กดีนี่ โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์ออร์แกนิค ซีรีส์ เป็นสูตรพิเศษ ปราศจากสารเคมีอันตราย ที่อาจทำให้ระคายเคืองผิว มีส่วนผสมจากสารสกัดธรรมชาติ ที่ได้รับการรับรองจากสถาบัน ECOCERT ประเทศฝรั่งเศส และผ่านการทดสอบทางการแพทย์ (Hypoallergenic Tested) ว่าปลอดภัย ไม่ระคายเคืองแม้ผิวบอบบางของทารก

                              เปิดตัว พรีเซ็นเตอร์ D-nee ปี 2020

                              ที่สำคัญในปีนี้ ได้มีการคัดเลือกพรีเซ็นเตอร์แบรนด์ดีนี่ครอบครัวใหม่ โดยได้ คุณพ่อ“ป๊อก” ภัสสรกรณ์, คุณแม่ “มาร์กี้” ราศรี และลูกน้อยฝาแฝด “น้องมีก้า และ น้องมีญ่า” จิราธิวัฒน์ ซึ่งถือเป็นตัวแทนของครอบครัวยุคใหม่ ที่มีสไตล์การเลี้ยงลูกแบบทันสมัย ใส่ใจเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูก รวมทั้งมีคาแร็กเตอร์ ร่าเริง สดใส สอดคล้องกับภาพลักษณ์ของแบรนด์ดีนี่ โดยสื่อสารผ่านภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ ที่จะออกอากาศในวันที่ 16 ม.ค.เป็นวันแรก

                              ป๊อก มาร์กี้ อัปเดตพัฒนาการลูกแฝด พร้อมเผยวิธีรับมือเมื่อมีคนขอจับลูก

                              มาร์กี้ ลูก
                              พรีเซ็นเตอร์ D-nee ครอบครัวใหม่

                              พร้อมกันนี้ ปัทมา ได้แนะนำ D-nee LINE Official Account พร้อมเชิญชวนให้คุณแม่ร่วมเป็น ครอบครัวดีนี่ โดยแอดไลน์ @DneeThailand เพื่อสมัครสมาชิก D-nee Club พร้อมรับสิทธิพิเศษมากมาย หากเป็นคุณแม่ตั้งครรภ์หรือคุณแม่แรกคลอดจะได้รับชุดของขวัญสุดพิเศษ สินค้าทดลองใช้ และยังสามารถสะสม D-nee point จากการซื้อสินค้าที่บูธดีนี่ในงานแม่และเด็กต่าง ๆ หรือที่ดีนี่ ช็อป (D-nee Shop) ในห้างสรรพสินค้าโรบินสัน ทั้ง 3 สาขา ได้แก่ รังสิต , ศรีสมาน และ แฟชั่นไอส์แลนด์ รวมทั้งอัพเดทโปรโมชั่นและกิจกรรมพิเศษต่าง ๆ ที่จัดขึ้นเพื่อสมาชิก D-nee Club โดยเฉพาะ

                              ดูแลลูกรักอย่างอ่อนโยน ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดสำหรับลูกน้อยได้ที่ ดีนี่ หรือที่แผนกเด็กในห้างสรรพสินค้าชั้นนำ รวมถึงร้านสะดวกซื้อ  ร้านค้าในซูเปอร์มาร์เก็ต ไฮเปอร์มาร์ททั่วประเทศ ร้านค้าออนไลน์และ LINE @dneethailand  พร้อมติดตามกิจกรรมสนุก ๆ และเคล็ดลับดี ๆ ในการดูแลลูกรัก หรือสมัครสมาชิก D-nee club เพื่อรับข่าวสารสิทธิประโยชน์และร่วมกิจกรรมสนุก ๆ ได้ทาง เฟซบุ๊ก www.facebook/Dneethailand

                              บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

                              โลชั่นทาผิวเด็ก ยี่ห้อไหนดี คุณแม่โหวต D-nee เป็นแบรนด์อันดับหนึ่งในดวงใจ

                              สบู่เหลวเด็ก แบบอาบและสระ เลือกแบบไหนให้คุ้มค่าน่าใช้และอ่อนโยนต่อผิวลูก

                              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                               

                                ป๊อก มาร์กี้

                                ป๊อก มาร์กี้ อัปเดตพัฒนาการลูกแฝด พร้อมเผยวิธีรับมือเมื่อมีคนขอจับลูก

                                ป๊อก มาร์กี้ พาลูกแฝด น้องมีก้า และ น้องมีญ่า ออกงานครั้งแรก อัปเดทพัฒนาการ พร้อมเผยไม่หวงคนเข้าหา แต่มีวิธีพูดและเตรียมรับมือไว้อย่างดีแล้ว

                                ป๊อก มาร์กี้  พาลูกแฝดออกงานครั้งแรก!!
                                พร้อมอัปเดท
                                พัฒนาการ

                                ถือเป็นอีกหนึ่งครอบครัวซุปตาร์ที่มีแฟนคลับคอยติดตามเป็นจำนวนไม่น้อยและกำลังอยู่ในวัยน่ารักเลยทีเดียว สำหรับ “น้องมีก้า-น้องมีญ่า” ลูกแฝดชายหญิงของคุณพ่อป๊อกและคุณแม่มาร์กี้ ซึ่งล่าสุดทั้งครอบครัวได้พากันออกงานแบบพร้อมหน้าพร้อมตาทั้ง 4 คน พร้อมให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน อัปเดตเรื่องราวต่างๆ

                                ป๊อก มาร์กี้
                                ขอบคุณภาพจาก ไอจี @margie_rasri

                                เปิดตัว ป๊อก-มาร์กี้-น้องมีก้า-น้องมีญ่า “พรีเซ็นเตอร์ D-nee” ปี 2020

                                โดยทั้งคู่ได้เผยว่า พาลูกแฝดออกงานครั้งนี้ค่าตัวลูกก็เก็บไว้เป็นทุนการศึกษา ซึ่งก็มีงานติดต่อเข้ามาบ้าง แต่ก็ต้องดูที่มันเหมาะสม อยากให้เขาทำงานแบบที่ไม่ได้รู้สึกว่าโดนบังคับ จะมีข้อยกเว้นนิดหนึ่ง เอาที่เขาสะดวก และสุดท้ายแล้วเวลาออกงานก็ต้องมีคุณพ่อคุณแม่ไปอยู่ดี เพราะเขายังเด็กเกินไปที่จะทำงานเอง เวลาออกอีเว้นท์ก็จะมีงอแงบ้าง แต่ก็สบายๆ สำหรับครอบครัวเรา แต่ถ้าวันไหนเขาไม่งอแงก็แอบโชคดีอยู่เหมือนกัน

                                ♣ ชีวิตหลังมีลูกเปลี่ยนไปยังไง?

                                ป๊อก : ชีวิตเปลี่ยนไปเยอะมากเลยครับ จากแต่ก่อนด้วยอาชีพผมจะใช้เวลาค่อนข้างแปลกกว่าคนอื่น แต่พอมีลูกเวลานอนก็จะเปลี่ยนไป ลูกๆ ด้วยเวลาตื่นของเค้าจะทุกสองสามชั่วโมง หรือตอนนี้คือแทบไม่ได้นอนกันเลยทีเดียว แต่ความเหนื่อยตรงนั้น มันมาแทนกับความสุข ผมก็รู้สึกว่าพอมีสองคนนี้มันเหมือนชีวิตเราเติมเต็ม แล้วก็เหมือนมีแต่พลังบวก เห็นหน้าเค้าเราก็ไม่อยากจะเหนื่อย มีแต่ความสุขตลอดเวลา พบแต่สิ่งดีๆ ก็ขอบคุณน้องๆ ทั้งสองคนที่มาเติมเต็มชีวิตคู่ของเราด้วย

                                มาร์กี้ : คือบางคนก็จะถามว่าเวลาลูกตื่นตอนกลางคืน ไหวได้ยังไง อย่างมีก้าก็จะตื่นสี่รอบทุกสองชั่วโมง แต่ว่าเวลาเค้าตื่นขึ้นมาเค้ามองหน้า แล้วเค้ายิ้ม ยิ้มหวานเหมือนที่เห็นในโฆษณา เราก็ไม่เหนื่อยแล้ว มันก็กลายเป็นว่าเราได้พลังบวกจากเค้ามาเราก็หายเหนื่อย

                                ป๊อก มาร์กี้
                                ขอบคุณภาพจาก ไอจี @margie_rasri

                                คาแรคเตอร์ของลูกแฝดทั้งสอง

                                มาร์กี้ : ถึงแม้ว่าเค้าจะเป็นแฝดกัน แต่เค้าก็มีนิสัยที่เป็นของเค้าเองตั้งแต่เกิด ที่ไม่ใช่เป็นอะไรที่เราสอนได้ อย่างน้องมีญ่าจะมีความเป็นตัวของตัวเองสูง เค้าสามารถเล่นคนเดียวได้ ตั้งแต่เด็ก 2-3 เดือน เค้าสามารถที่จะตื่นขึ้นมาแล้วหยิบตุ๊กตาขึ้นมาเล่นของเค้าคนเดียวเองได้ นิ่ง ไม่ร้อง ไม่เรียกหาคน

                                ป๊อก : ส่วนน้องมีก้าจะเป็นผู้ชายขี้เหงา อยากจะอยู่ใกล้กับคุณพ่อคุณแม่ ญาติๆ หรือพี่เลี้ยงตลอดเวลา อยู่คนเดียวไม่ได้

                                มาร์กี้ : ซึ่งน้องผู้ชายก็จะเหมือนพ่อ คุณพ่อเป็นคนขี้เหงา ไม่ชอบอยู่คนเดียว ไม่ชอบกินข้าวคนเดียว ไม่ชอบดูหนังคนเดียว ไม่ชอบอะไรที่เป็นคนเดียว แต่ของกี้ก็คือทำได้ คือกินข้าวคนเดียวได้ ให้ไปดูหนังคนเดียวได้ ก็น่าจะเหมือนลูกสาวนี่แหละค่ะ

                                พัฒนาการตอนนี้เป็นยังไง (น้อง 9 เดือน แล้ว)

                                ป๊อก : พัฒนาการก็จะแตกต่างชัดเจน อย่างมีญ่าเองเค้าจะนิ่งและจะมีโฟกัสที่ค่อนข้างมากกว่ามีก้า สมมุติถ้าให้ฟังนิทาน เราอ่านนิทานเค้าก็จะตั้งใจฟังไปด้วยกัน มีพัฒนาการที่เร็วกว่าอย่างเช่นการหยิบจับ เค้าก้จะใช้คล่อง

                                มาร์กี้ : เค้าจะใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก อย่างเช่น มือหยิบจับของ ถ้าสมมุติว่ามีของอยู่อย่างหนึ่ง มีญ่าจะสามารถหยิบและดึงออกจากมือมีก้าได้อย่างง่ายๆ เหมือนกล้ามเนื้อนิ้ว กล้ามเนื้อมัดเล็กเค้าแข็งแรง แต่ถ้าเป็นกล้ามเนื้อมัดใหญ่อย่างเช่นขา ก็จะเป็นมีก้า ซึ่งถ้าให้เดินชนน้องนี่เก่งมาก เค้าจะออกแนวแข้งแรงแบบถึกๆ

                                ป๊อก : มีพัฒนาการบางอย่างจริงๆ เยอะเหมือนกัน ที่มีญ่าจะทำก่อนมีก้าประมาณสองอาทิตย์ พอมีญ่าทำแล้วสักสองอาทิตย์มีก้าก็ทำตาม

                                มาร์กี้ : ใช่แทบจะเกือบทุกอย่างเลยนะคะ เหมือนมีญ่ากินเป็นก่อนสองอาทิตย์ มีก้าก็จะกินตาม หรือว่ามีอะไรแปลกๆ คือกินแล้วก็อาเจียนทุกครั้งเลยมีญ่าก็จะเป็นก่อนให้เราตกใจเล่น แล้วมีก้าก็จะเป็นตามให้เรารู้ว่ามันเป็นตามปกติ

                                ป๊อก มาร์กี้
                                ขอบคุณภาพจาก ไอจี @pokmcindset

                                มีเรื่องอะไรที่กังวลเป็นพิเศษไหม

                                มาร์กี้ : ก็จะเป็นเรื่องแพ้ ไม่สบาย ต้องไปหาหมอ กี้เชื่อว่าแม่ๆทุกคนก้คงเป็นห่วงเรื่องนี้ ไม่อยากให้เค้ารู้สึกไม่สบายตัว ระคายเคือง หรือว่าทำให้เกิดแบบต้องไปโรงพยาบาล เพราะสงสารเค้า เวลาเค้าทรมาน เราก็เลยจะเป็นห่วงเรื่องนั้น เพราะนั้นเรื่องความสะอาดก็มาเป็นอันดับหนึ่งเหมือนกัน เพราะเค้าเคยเป็น เคยไม่สบายครั้งหนึ่ง หายใจไม่ออก หรือว่าอย่างมีญ่าเค้าจะเป็นคนที่แพ้ง่าย เค้าแพ้น้ำลายตัวเอง บางทีจะเห็นเหมือนเป็นแดงๆ รอบปาก เค้าก็จะเป็นคนที่ค่อนข้างแบบแพ้ง่าย เราก็ต้องดูแลเรื่องนี้ เพราะว่าสงสารเค้า เวลาเค้าคันแล้วเค้าทรมาน

                                ขอบคุณข้อมูลจาก Dnee Thailand

                                 

                                อ่านต่อ >> “ป๊อก-มาร์กี้ เผยวิธีรับมือเมื่อมีคนมาขอจับลูก” คลิกหน้า 2

                                 

                                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                 

                                  ยาหมดอายุ

                                  ยาหมดอายุ ดูอย่างไร? หลังเปิดใช้ เก็บไว้ได้นานแค่ไหน?

                                  ตอบสงสัยแม่ ๆ ว่าเมื่อเปิดยาให้ลูกทาน แล้วยาเหลือ จะสามารถเก็บยาไว้ให้ลูกทานหากป่วยครั้งต่อไปได้หรือไม่? ยาหมดอายุ ดูอย่างไร?

                                  ยาหมดอายุ ดูอย่างไร? หลังเปิดใช้ เก็บไว้ได้นานแค่ไหน?

                                  หลังจากพาลูกไปพบคุณหมอแล้ว คุณพ่อคุณแม่มักจะได้รับยาน้ำมาหลากหลายชนิด เช่น ยาบรรเทาอาการคัดจมูก ยาบรรเทาอาการไอ ยาปฏิชีวนะต่าง ๆ เป็นต้น และเมื่อเปิดใช้แล้ว ลูกอาจจะทานยาไม่หมดขวด เพราะหายป่วยเสียก่อน คุณพ่อคุณแม่หลายคนสงสัยว่าจะสามารถเก็บยาไว้ให้ลูกทานหากป่วยครั้งต่อไปได้หรือไม่? และควรเก็บรักษายาอย่างไรไม่ให้เสีย ทีมแม่ ABK จึงรวบรวมมาให้คุณพ่อคุณแม่ได้อ่านกันค่ะ

                                  ระยะเวลาในการเก็บยาน้ำหลังเปิดใช้

                                  • ในกรณีของยาปฏิชีวนะที่ต้องผสมน้ำนั้น เมื่อผสมผงยากับน้ำไปแล้วสามารถเก็บไว้ได้ประมาณ 7 วัน ที่อุณหภูมิห้อง แต่ถ้าเก็บไว้ในตู้เย็นจะสามารถเก็บไว้ได้ประมาณ 14 วัน หากเก็บนานกว่านี้อาจจะทำให้ประสิทธิภาพลดลงจนรักษาไม่ได้ผล นอกจากนี้ควรทานยาปฎิชีวนะจนหมดขวด ไม่ควรหยุดยาเมื่ออาการดีขึ้นแล้ว เพราะจะทำให้เสี่ยงต่อการดื้อยาได้
                                  อายุยาหลังเปิดใช้
                                  อายุยาหลังเปิดใช้
                                  • ในกรณีของยาน้ำโดยทั่วไป เช่น ยาบรรเทาอาการคัดจมูก ยาแก้แพ้ ยาบรรเทาอาการไอ ไม่ควรเก็บไว้นานเกิน 6 เดือน หรือ ไม่เกิน 25% ของเวลาก่อนที่ยาจะถึงวันหมดอายุที่ระบุไว้ในฉลากผลิตภัณฑ์ (อันใดอันหนึ่งโดยเลือกวันที่มาถึงก่อน) เช่น เปิดใช้ยาวันที่ 31 มีนาคม 2563 ฉลากบ่งบอกว่ายาหมดอายุ 30 พฤศจิกายน 2563 (เหลือเวลาประมาณ 8 เดือน) ดังนั้นเมื่อเปิดใช้ยาไปแล้ว 2 เดือน ควรทิ้งยานั้นไปเลย)

                                  อย่างไรก็ดี ทุกครั้งก่อนใช้ยาควรสังเกตลักษณะของผลิตภันฑ์ เช่น เขย่าแรง ๆ แล้วยังไม่เป็นเนื้อเดียวกันหรือไม่กระจายตัว รวมถึงสังเกต สี กลิ่น ตะกอน ความขุ่น-ใส ว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมหรือไม่ด้วย หากมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นควรทิ้งยาเหล่านั้นไป และหากไม่แน่ใจก็ควรทิ้งยานั้นไปด้วยเช่นกัน จะทำให้เกิดความปลอดภัยมากกว่า

                                  ข้อควรปฏิบัติในการเก็บรักษายา

                                  • อ่านฉลากยาให้ครบถ้วน รวมทั้งคำแนะนำการเก็บรักษายา เนื่องจากวิธีการเก็บรักษาของยาแต่ละชนิดไม่เหมือนกัน
                                  • กรณียาทั่วไป ที่ไม่ระบุการเก็บรักษาเป็นพิเศษ ให้เก็บยาที่อุณหภูมิห้องบริเวณที่ไม่ร้อน และ ไม่มีแสงแดดส่อง ห้ามทิ้งยา ไว้ในรถยนต์ เพราะ เมื่อจอดกลางแดด แม้เพียงไม่นานอุณหภูมิในรถจะร้อนมาก ทำให้ยาเสื่อมได้ง่าย แต่หากฉลากยาระบุให้เก็บรักษาในอุณหภูมิไม่เกิน 25-30 องศา ก็ควรเก็บไว้ในตู้เย็น เพราะ อากาศบ้านเราค่อนข้างร้อน
                                  • กรณียาที่ระบุว่าให้ เก็บยาไว้ในตู้เย็น ห้ามแช่แข็ง หมายถึงให้เก็บในตู้เย็นช่องปกติ ไม่ควรเก็บที่ชั้นใกล้ช่องแช่แข็ง เพราะ มีความเย็นจัดจนทำให้เป็นน้ำแข็งและเกิดการตกตะกอนได้ นอกจากนี้ไม่ควรเก็บยาที่ประตูตู้เย็น เพราะอุณหภูมิอาจไม่เย็นพอ จากการที่มีการเปิด – ปิด ประตูตู้เย็นบ่อย ๆ
                                  • ยาที่บรรจุ ในขวดสีชา หมายถึงยาที่ต้องป้องกันไม่ให้ถูกแสง ไม่ควรเปลี่ยนภาชนะบรรจุยา ไปเป็นแบบใสหรือขาว เพราะจะทำให้ยาเสื่อมได้
                                  • ยาที่ต้องระมัดระวังเรื่องความชื้นควรใส่สารกันชื้น (มักเห็นเป็นซองเล็กๆ ภายในมีเม็ดกันชื้นอยู่สอดอยู่ในขวดยา) ไว้ตลอดเวลา และ ปิดภาชนะบรรจุให้แน่น
                                  • ควรเก็บยาไว้ในภาชนะบรรจุเดิมซึ่งมีสลากระบุชื่อยาและ วันที่ได้รับยานั้น จะทำให้สามารถพิจารณาระยะเวลาที่ควรเก็บยาที่เหลือนั้นได้
                                  • ควรเก็บยาให้พ้นมือเด็ก เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ยา

                                   

                                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                  อ่านต่อ ยาหมดอายุ ดูอย่างไร? หลังเปิดใช้ เก็บไว้ได้นานแค่ไหน?

                                    ยาสำหรับเดินทาง

                                    เช็คลิสต์! ยาสำหรับเดินทาง พาลูกเที่ยว พกยาอะไรบ้าง?

                                    ยาสำหรับเดินทาง เป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นสำหรับการพาลูกไปเที่ยว เพราะเราไม่สามารถคาดเดาสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้น ดังนั้นการจัดเตรียมยาให้พร้อม จะช่วยให้คุณแม่อุ่นใจเมื่อต้องเดินทางไกล

                                    เช็คลิสต์! ยาสำหรับเดินทาง พาลูกเที่ยว พกยาอะไรบ้าง?

                                    เมื่อแม่ต้องจัดกระเป๋าเพื่อพาลูกเที่ยว สิ่งสำคัญที่คุณแม่ห้ามลืมคือ ยาสำหรับเดินทาง โดยเฉพาะเมื่อต้องไปในสถานที่ที่หาซื้อยาได้ลำบาก หรือ เมื่อลูกมีโรคประจำตัวที่ไม่สามารถหาซื้อยาได้จากร้านขายยาทั่วไป เพราะคุณพ่อคุณแม่ไม่สามารถคาดเดาถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นระหว่างเดินทางได้ ไม่ว่าจะเป็นอาการป่วยหรืออุบัติเหตุต่าง ๆ ดังนั้น หากคุณพ่อคุณแม่จัดเตรียมยาให้พร้อม และหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น คุณพ่อคุณแม่ก็จะมียาเพื่อบรรเทาอาการเบื้องต้นได้ สิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวช่วยให้คุณพ่อคุณแม่อุ่นใจได้มากขึ้นเมื่อต้องเดินทางไกล

                                    ยาสำหรับเดินทาง ที่จำเป็นสำหรับเด็กมีอะไรบ้าง?

                                    1. ยาแก้ปวด ลดไข้

                                    แนะนำเป็นยาน้ำพาราเซตามอล (paracetamol) ยานี้จัดว่าเป็นยาสามัญประจำบ้าน มีความปลอดภัยค่อนข้างสูงหากใช้ตามปริมาณที่กำหนด คุณพ่อคุณแม่สามารถหาซื้อได้จากร้านขายยาทั่วไป ตามร้านสะดวกซื้อใกล้บ้าน แต่ข้อควรระวังในการใช้ยาพาราเซตามอลคือปริมาณยาจะต้องเหมาะสมกับน้ำหนักตัวของลูก โดยปริมาณหรือขนาดยาที่จะให้แต่ละครั้งก็คือ ตัวยาพาราเซตามอลปริมาณ 10-15 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัวเด็ก 1 กิโลกรัม ไม่ว่าเด็กจะมีอายุเท่าใดก็ควรทานยาตามน้ำหนักตัวเท่านั้น และควรทานทุก ๆ 4-6 ชั่วโมงหรือเมื่อมีอาการ (อ่านต่อ วิธีการคำนวณปริมาณยาให้เหมาะสมกับน้ำหนักตัวในเด็ก)

                                    2. ยาแก้แพ้ ลดน้ำมูก

                                    การที่จะต้องไปอยู่ต่างถิ่น ทั้งอากาศ และอาหารการกินมักจะไม่เหมือนที่อยู่ที่บ้าน ลูกน้อยจึงมีโอกาสเกิดอาการแพ้ได้ ไม่ว่าจะเป็นอาการจาม น้ำมูกไหล อาการคัน ผดผื่น ลมพิษขึ้น ยาแก้แพ้จึงเป็นยาที่สำคัญอันดับต้น ๆ ที่ควรพกเมื่อเดินทางด้วย

                                    เดินทางกับลูก
                                    เดินทางกับลูก

                                    3. ยาแก้ไอ บรรเทาอาการไอ

                                    เช่นเดียวกับการเตรียมยาแก้แพ้ คือเมื่อมีอาการแพ้ อาจจะทำให้ลูกน้อยไอได้ ทั้งไอแบบมีเสมหะและไอแบบไม่มีเสมหะ โดยยาน้ำแก้ไอ ละลายเสมหะสำหรับเด็กที่เหมาะสม คือมีตัวยาคาร์โบซิสเตอีน เช่น Amicof, Carbomed, Carsemex, Elflem, Flemex, Rhinathiol, Siflex (อ่านต่อ ยาแก้ไอ เด็ก ใช้อย่างไรให้ปลอดภัย)

                                    4. ยาลดกรด ขับลม แก้ท้องอืด

                                    ได้แก่ simethicone เป็นยาที่ปลอดภัยในเด็ก ช่วยลดการเกิดฟอง ใช้บรรเทาอาการท้องอืด เนื่องจาก มีแก๊สมากในกระเพาะอาหารและลำไส้  ปริมาณยา simethicone ที่เหมาะสมกับอายุได้แก่

                                    • อายุต่ำกว่า 2 ปี : 20 มก./ครั้ง วันละ 4 ครั้ง หรือ เมื่อมีอาการ
                                    • อายุ 2-12 ปี : 40 มก./ครั้ง วันละ 4 ครั้ง หรือ เมื่อมีอาการ

                                    อ่านต่อ แก้ปัญหาลูกน้อย ท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นท้อง เลือกยาตัวไหนให้ลูกดี?

                                     

                                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                    อ่านต่อ เช็คลิสต์! ยาสำหรับเดินทาง พาลูกเที่ยว พกยาอะไรบ้าง?