Page 191 – AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

โรงเรียนรัฐบาล

3 ข้อดี โรงเรียนรัฐบาล vs โรงเรียนเอกชน ต่างกันอย่างไร?

ปฏิเสธไม่ได้ว่า โรงเรียนรัฐบาล นั้นเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่พ่อแม่หลายคนเลือกให้ลูกได้เรียน เพราะเป็นทางออกที่ช่วยให้พ่อแม่สบายใจต่อกระเป๋าเงินที่สุดในยุคที่เศรษฐกิจค่าครองชีพก็เริ่มเพิ่มขึ้น

ความแตกต่างของ โรงเรียนรัฐบาล vs โรงเรียนเอกชน

สำหรับประเทศไทยนั้นมีการแบ่งโรงเรียนออกเป็น 2 รูปแบบ คือ โรงเรียนรัฐและโรงเรียนเอกชน โดยโรงเรียนรัฐนั้นจะบริหารจัดการโดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานหรือหน่วยงานอื่น ๆ ที่ไม่ได้สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ เช่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นต้น ส่วนโรงเรียนเอกชนจะบริหารจัดการโดยกลุ่มบุคคลหรือมูลนิธิต่าง ๆ ที่มีใบอนุญาตจัดตั้ง (อ้างอิง th.wikipedia.org)

ข้อแตกต่างโรงเรียนเอกชนกับโรงเรียนรัฐบาล

โรงเรียนรัฐบาล นั้นนอกจากจัดเป็นโรงเรียนกระแสหลักที่ช่วยคุณพ่อคุณแม่ประหยัดค่าใช้จ่ายในแต่ละเทอมได้ค่อนข้างย่อมเยากว่าเมื่อเทียบกับโรงเรียนตัวเลือกอื่น ๆ ซึ่งอาจถูกมองว่าเป็นตัวเลือกธรรมดา แต่ปัจจุบันโรงเรียนรัฐฯ ก็มีการเรียนการสอนที่เข้มข้นไม่แพ้กับโรงเรียนในหลักสูตรอื่น ๆ โดยใช้หลักสูตรการเรียนการสอนแบบบูรณาการ เน้นที่เด็กเป็นศูนย์กลางการเรียน นำการสอนแบบต่าง ๆ มาประยุกต์ใช้เพื่อสนองต่อความต้องการของผู้เรียน เน้นให้นักเรียนดูแลและพึ่งพาตนเอง และอ่านเขียนได้ เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่วัยประถมศึกษา มีความชัดเจนในเรื่องของจำนวนนักเรียนต่อห้อง และเป็นโรงเรียนที่เปิดโอกาสให้มีการจัดการเรียนรวมสำหรับเด็กพิเศษได้สามารถมาเรียนร่วมในชั้นเรียนปกติได้

นอกจากนี้ยังมีโรงเรียนรัฐบาลหลายแห่งเปิดสอนหลักสูตรโปรแกรมภาษาอังกฤษ (English Program) และอาจมีให้นักเรียนต่างชาติเข้าเรียนได้ ซึ่งก็จะมีค่าธรรมเนียมที่แตกต่างจากโปรแกรมปกติ แต่ก็ยังมีค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่าโรงเรียนนานาชาติมาก

สำหรับครูผู้สอนที่จะเข้ามาสอนในโรงเรียนรัฐบาลได้นั้นก็ต้องผ่านการสอบเข้าบรรจุเป็นครู ซึ่งจะต้องใช้เวลา 5-6 ปี ดังนั้นครูที่สอนในโรงเรียนรัฐฯ จะมีประสบการณ์ ในส่วนของกฎระเบียบก็จะค่อนข้างเข้มงวด ตั้งแต่ทรงผมจนถึงเครื่องแบบ การแต่งกาย และกระเป๋า

3 ข้อดีที่พ่อแม่เลือกส่งลูกเรียนโรงเรียนรัฐบาลส่วนใหญ่ คือ

  • เลือกโรงเรียนเพราะค่าเทอมที่ไม่แพง
  • ความมีชื่อเสียงของโรงเรียนที่เปิดมานาน ศิษย์เก่าที่จบออกไปมีชื่อเสียง
  • ถ้ามีโรงเรียนรัฐเปิดใกล้บ้านก็จะสะดวกต่อการเดินทาง สามารถช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ลงได้ดีทีเดียวเชียว

โรงเรียนรัฐบาลจึงถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ครองใจผู้ปกครองมาโดยตลอด ทั้งนี้อาจมีแม่ ๆ สงสัยว่าจะให้ลูกเข้าโรงเรียนรัฐ เริ่มต้นตอนกี่ขวบดี ในเรื่องนี้ นพ.ธีระเกียรติ รมว.ศึกษาธิการ ได้สั่งเซ็ตซีโร่รับเด็กอนุบาลปี 2562 โดยย้ำเด็กอนุบาล 3 ขวบต้องให้ท้องถิ่นหรือโรงเรียนเอกชนดูแล ส่วนอนุบาลในสังกัดสพฐ. รับเด็กอนุบาล 4 ขวบ และได้สั่งการให้ สพฐ.ไปเปลี่ยนการเรียกชั้นอนุบาล เพราะสพฐ. รับอนุบาล 4 ขวบ ก็ควรจะเปลี่ยนเป็นอนุบาล 2 อนุบาล 3 

ดังนั้นเด็กที่อยู่ในวัย 3 ขวบทุกคน ก็ยังสามารถเริ่มต้นเข้าเรียนอนุบาล 1 ได้เหมือนเดิม เพียงแต่จะให้เข้าเรียนในโรงเรียนในสังกัดขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และสถานศึกษาเอกชน (สช.) เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนในการรับนักเรียน และเมื่ออายุครบ 4 และ 5 ขวบแล้ว ก็สามารถสมัครเข้าเรียนในโรงเรียนสังกัด สพฐ. (หรือโรงเรียนรัฐบาล) ในชั้นอนุบาล 2 และ 3 ได้นั่นเอง

ส่วนการนับอายุเด็กเพื่อเข้ารับการศึกษาระดับก่อนประถมศึกษา ตามประกาศ สพฐ.หลักเกณฑ์การนับอายุฯ ให้นับตั้งแต่วันที่เด็กเกิดไปจนถึง วันแรกของการเปิดภาคเรียนที่ 1 คือวันที่ 16 พฤษภาคม ตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยปีการศึกษา การเปิดและปิด สถานศึกษา พ.ศ. 2549 เด็กบางคนที่เกิดหลังเดือนพฤษภาคมก็อาจจะต้องรอเข้าโรงเรียนในภาคเรียนต่อไป

เอกชนกับรัฐบาล ต่างกันยังไง

โรงเรียนเอกชน หมายถึง สถานศึกษาเอกชนที่จัดการศึกษาไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนในระบบหรือโรงเรียนนอกระบบ ที่มิใช่เป็นสถาบันอุดมศึกษาของเอกชนตามกฎหมายว่าด้วยสถาบันอุดมศึกษาเอกชน (อ้างอิง sites.google.com)

สำหรับโรงเรียนเอกชนในประเทศไทยนั้น ถือได้ว่ามีบทบาทและความสำคัญต่อการพัฒนาการศึกษาไม่น้อยไปกว่าโรงเรียนของภาครัฐ ซึ่งโรงเรียนเอกชนที่อยู่ในระบบจะจัดการสอนตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ แต่จะมีสภาพแวดล้อม อุปกรณ์การเรียนการสอนหรือสื่อที่ใช้แตกต่างจากโรงเรียนรัฐบาล บางโรงเรียนมีการนำรูปแบบการสอน English Program (EP) เข้ามาในหลักสูตร และโรงเรียนนานาชาติก็รวมอยู่ในประเภทโรงเรียนเอกชนด้วยเช่นกัน

แม้ว่าโรงเรียนเอกชนส่วนใหญ่จะมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูงกว่าโรงเรียนรัฐฯ แต่ก็เป็นตัวเลือกที่ยอมรับและได้รับความนิยมจากคุณพ่อคุณแม่ เนื่องจากการเรียนการสอนที่ได้มาตรฐาน มีการดูแลและให้ความสำคัญกับเด็กอย่างทั่วถึง คุณพ่อคุณแม่สามารถเข้าถึงครูและคุยสอบถามเกี่ยวกับตัวลูกได้ง่าย และสภาพแวดล้อมในโรงเรียนที่มีสื่อการเรียนการสอนและอุปกรณ์ที่ทันสมัย จึงทำให้ภาพลักษณ์ของโรงเรียนเป็นโรงเรียนในฝันของเด็ก ๆ

โรงเรียนเอกชน

ด้านครูผู้สอนโรงเรียนเอกชนจะคัดเลือกและทำการสอบอาจารย์ที่จบหลักสูตรการเรียนการสอนมาตรงกับวิชาที่เข้าสอน ส่วนวิชาภาษาอังกฤษหรือหลักสูตร English Program จะมีครูชาวต่างชาติเป็นผู้สอน

3 ข้อดีที่พ่อแม่เลือกส่งลูกเรียนโรงเรียนเอกชน

  • มีหลักสูตรต่างประเทศได้เรียนทั้งไทยและอังกฤษ
  • การดูแลเอาใจใส่เด็กอย่างทั่วถึง
  • สภาพแวดล้อมในโรงเรียนและสื่ออุปกรณ์ที่ทันสมัย

ความต่างเหล่านี้เป็นเพียงพื้นฐานส่วนหนึ่งที่ถูกนำมาเป็นข้อมูลเพื่อให้คุณพ่อคุณแม่ได้เข้าใจเพิ่มเติมขึ้นเท่านั้น ปัจจุบันนี้ในประเทศไทยมีโรงเรียนมากมายทั้งแบบรัฐบาลและเอกชนที่มีชื่อเสียง และมีการเรียนการสอนที่ให้ความรู้อันเป็นสิ่งสำคัญต่อบุตรหลานในการศึกษา และประกอบอาชีพในอนาคต ดังนั้นการเลือกโรงเรียนให้เหมาะกับลูกนอกจากเป็นสิ่งสำคัญอันดันต้นแล้ว ยังต้องคำนึงถึงเรื่องอื่น ๆ เพิ่มเติมด้วย ทั้งนี้โรงเรียนรัฐบาลและเอกชน ต่างก็เป็นสถานศึกษาที่จะมอบความรู้ให้นักเรียนได้เท่าเทียมกันอย่างแน่นอนค่ะ

อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ :

ข้อดี vs ข้อเสีย ส่งลูกเข้า โรงเรียนเตรียมอนุบาล

อัพเดทล่าสุด! ค่าเทอมโรงเรียนอนุบาล 2563 ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

    MQ (Moral Quotient)

    6 เทคนิคดี ๆ สร้าง MQ (Moral Quotient) ให้รู้ผิดชอบชั่วดี โตมาให้เป็นเด็กดีในสังคม

    คงไม่ดีแน่ถ้าเราเอาแต่ส่งเสริมให้ลูกเก่ง ฉลาด แต่ขาดศีลธรรม ซึ่งเรื่องนี้เป็นสิ่งสำคัญที่คุณพ่อคุณแม่สามารถสร้าง MQ (Moral Quotient) ฝึกให้ติดตัวลูกน้อยได้ตั้งแต่ยังเล็ก

    MQ (Moral Oral Quotient) หมายถึง ความฉลาดทางจริยธรรมหรือศีลธรรม คือ เป็นคนที่รู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ไม่เห็นแก่ตัว คิดดี ทำดี พูดดี ความเมตตาปรานี และรู้จักให้อภัย คนที่มี MQ จะสามารถคิดยับยั้งชั่งใจรู้จักเลือกทางที่ถูกต้อง ไม่เบียดเบียนผู้อื่น รู้ผิดชอบชั่วดี ซึ่ง MQ นั้นไม่ได้เกิดขึ้นในระยะเวลาสั้น ๆ แต่จำเป็นต้องได้รับการปลูกฝังกันมาตั้งแต่เด็ก

    โดยเฉพาะในวัยเด็ก หากลูกได้รับการปลูกฝังด้านศีลธรรมและจริยธรรมอย่างต่อเนื่องก็จะเป็นพื้นฐานสำคัญในการปลูกฝังความดีลงไปในจิตสำนึก ซึ่งจะทำให้ตัวเด็กสามารถพัฒนา MQ ได้ในระดับที่สูงขึ้นต่อไปในอนาคต ดังนั้นตัวของคุณพ่อคุณแม่มีส่วนสำคัญในการปลูกฝัง MQ ให้กับลูกได้ ทีมแม่ ABK มีเทคนิคปลูกฝังความดีให้ลูกแต่เนิ่น ๆ มาฝากค่ะ

    6 เทคนิคดี ๆ สร้าง MQ (Moral Quotient) ให้ลูกรัก

    การ พัฒนา mq moral quotient

    1. ต้นแบบที่ดีได้จากพ่อแม่

    แน่นอนว่าคุณพ่อคุณแม่คือต้นแบบสำหรับลูกที่เป็นผ้าขาวจะซึมซับได้ง่าย อยู่ที่เราจะแต้มสีอะไรลงไป โดยเฉพาะเด็กในช่วงวัย 2-10 ปี มีพัฒนาการทางด้านจริยธรรมอยู่ในระดับก่อนกฎเกณฑ์สังคม (Pre-Conventional Level) ซึ่งเป็นวัยแห่งการเรียนรู้ เลียนแบบ ช่างสังเกตและจดจำ สิ่งแวดล้อมที่ใกล้ตัวที่สุดก็คือคนในครอบครัว ลูกจะเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ รวมไปถึงพฤติกรรมที่ “ดี” และ “ไม่ดี” จากพ่อและแม่ ดังนั้นเพื่อต้องการปลูกฝัง MQ ให้กับเจ้าตัวน้อยเริ่มต้นง่าย ๆ คือการ “ทำดี” เป็นตัวอย่างให้ลูกได้เห็น สร้างจิตสำนึกที่ดีให้แก่ลูก เช่น ความกตัญญูรู้คุณ การซื่อสัตย์ ความยุติธรรม ความมีเมตตา ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ความมีศีลธรรม ฯลฯ สิ่งเหล่านี้คุณพ่อคุณแม่สามารถทำเป็นตัวอย่างให้เห็นได้จากชีวิตประจำวัน เพื่อที่ลูกจะได้ซึมซับจดจำต้นแบบที่ดีเหล่านี้ไปประพฤติปฏิบัติจนติดเป็นนิสัย

     2. แนะนำสั่งสอนให้รู้จักถูกผิด

    เพราะเด็กกำลังเริ่มต้นสั่งสมประสบการณ์ เมื่อลูกทำผิดโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ คุณพ่อคุณแม่ก็ควรสั่งสอนและชี้แนะแนวทางที่ถูกต้องโดยไม่ปล่อย ไม่เข้าข้าง ไม่ปกป้อง ว่ากันตามเหตุผลที่ถูกต้อง เพื่อให้ลูกได้เรียนรู้ผลเสียของการทำผิด แต่ก็ควรพูดด้วยอารมณ์ที่ใจเย็น ไม่ใช้คำพูดที่รุนแรง หรืออารมณ์ที่โมโหในการลงโทษลูก และเมื่อลูกทำความดี ทำในสิ่งที่ถูกต้อง เช่น ลูกกลับมาเล่าว่าวันนี้แบ่งปันขนมให้เพื่อนที่โรงเรียน เก็บเงินได้แล้วนำไปให้คุณครู ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ฯลฯ ก็สามารถชื่นชมลูกได้ด้วยคำพูดที่ดี เพื่อเป็นกำลังใจ และให้ลูกได้รู้ว่าสิ่งที่ทำนั้นเป็นเรื่องที่ดี เป็นสิ่งที่ถูกต้อง เหล่านี้ลูกก็จะสามารถเข้าใจและแยกแยะในเรื่องที่ผิดถูกได้

    3.ให้ลูกได้ใกล้ชิดกับศาสนาประจำครอบครัว

    ในทุกศาสนานั้นสอนให้ทุกคนประพฤติดี คุณพ่อคุณแม่สามารถพาลูกไปยังศาสนสถานที่ครอบครัวนับถือเพื่อให้ได้ซึมซับกับคำสอนตามหลักศาสนาและนำมาสอนลูกเพิ่มเติมด้วยคำอธิบายง่าย ๆ  เช่น ศาสนาพุทธก็พากันเข้าวัดฟังเทศน์ ตื่นเช้าตักบาตร สวดมนต์ไหว้พระ ศาสนาคริสตร์ก็พากันไปโบสถ์ในทุกวันอาทิตย์ หรือศาสนาอิสลามก็พากันไปมัสยิด เป็นต้น การให้ลูกมีได้โอกาสเรียนรู้หลักคำสอนตามศาสนาตามที่พ่อแม่นับถือตั้งแต่ยังเล็ก ถือเป็นการปลูกฝังคุณธรรมสร้างรากฐาน MQ ได้เป็นอย่างดี

    กิจกรรม ส่งเสริม mq
    กิจกรรม ส่งเสริม mq

    4. เรียนรู้คุณธรรมจริยธรรมผ่านกิจกรรม

    หนังสือนิทานคุณธรรม การร้องเพลงที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับความดี ความกตัญญู ความซื่อสัตย์ การช่วยเหลือ การแบ่งปัน และความรักต่อเพื่อนมนุษย์และสัตว์ เป็นสื่อที่สามารถสอนเรื่องคุณธรรมและจริยธรรมให้เด็ก ๆ เรียนรู้และซึมซับด้วยความสนุก การอ่านนิทานหรือเนื้อเพลงประเภทนี้จะช่วยเสริมสร้างพื้นฐานนิสัยที่ดี อันจะนำไปสู่การพัฒนา MQ ทั้งทางด้านความคิด จิตใจ และปลูกฝังพฤติกรรมที่ดีของลูกตั้งแต่ยังเล็กได้ เมื่อทำกิจกรรมจบ คุณพ่อคุณแม่สามารถลองตั้งคำถามในเนื้อเรื่องเพื่อสำรวจความสนใจของลูก พร้อมสอดแทรกคำสอนเพื่อปลูกฝังสิ่งดี ๆ พูดกระตุ้นให้ลูกคิดตาม ตลอดจนเปิดโอกาสให้ลูกได้ถามในสิ่งที่สงสัยเพื่อเด็ก ๆ จะได้รู้จักความหมายของคุณธรรมได้มากยิ่งขึ้นด้วย

    บทความแนะนำ : โหลดฟรี! 12 นิทานคุณธรรมสำหรับเด็ก บ่มเพาะ “ความดี” ในใจลูก

    5. สอนให้ลูกมี 2 ข.

    โดยคุณพ่อคุณแม่ฝึกให้ลูกรู้จักพูด “ขอบคุณและขอโทษ” ให้ติดเป็นนิสัย เช่น ให้ลูกกล่าว “ขอบคุณ” ทุกครั้งเมื่อมีคนช่วยเหลือหรือทำอะไรให้ รู้จักขอบคุณกับสิ่งรอบตัวในแม้กระทั่งเรื่องเล็ก ๆ การฝึกให้รู้จักขอบคุณจะทำให้เด็กได้รู้จักคุณค่าของตนเองและผู้อื่น รวมถึงการกล่าวคำ “ขอโทษ” ทันทีเมื่อรู้ตัวว่าทำผิด ซึ่งจะทำให้เด็กรู้จักผิดชอบชั่วดี มีความอ่อนน้อมถ่อมตน เป็นการปลูกฝังคุณธรรมอย่างหนึ่งให้กับลูกน้อย และเป็นลักษณะที่พึงประสงค์ของสังคมด้วย

    การ พัฒนา mq

    6. พาลูกเป็นจิตอาสา สอนลูกให้รู้จักการให้ แบ่งปัน

    นอกจากการแนะนำบอกลูกรู้จักให้แบ่งปันขนม ของเล่น กับพี่น้องหรือเพื่อน ๆ ช่วยงานครูเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่โรงเรียน การพาลูกลองไปทำกิจกรรมอาสาก็จัดว่าเป็นประสบการณ์ที่ทำให้ลูกได้เรียนรู้จักกับการให้สิ่งดี ๆ เป็นการช่วยบำเพ็ญประโยชน์ต่อชุมชน และทำความดีต่อผู้อื่นและสังคมได้ โดยแพทย์หญิงถิรพร ตั้งจิตติพร จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กรมการแพทย์ ได้แนะนำว่า การทำงานจิตอาสาเป็นสิ่งที่ช่วยปลูกฝังให้เด็กมีทักษะชีวิตที่สำคัญ ได้แก่ การเสียสละ การมีน้ำใจ ความขยัน อดทน ความรับผิดชอบ การเข้าสังคม อ่อนน้อมถ่อมตน ลดความเห็นแก่ตัว มีเมตตาต่อกันทำให้สังคมน่าอยู่ยิ่งขึ้น ที่สำคัญคือการเห็นอกเห็นใจและเข้าใจผู้อื่น 

    สำหรับเด็ก ๆ ก็สามารถทำกิจกรรมอาสาให้เหมาะสมกับวัยได้ เช่น วัยอนุบาล: งานอาสาควรเป็นกิจกรรมที่ทำง่าย ๆ ไม่ต้องใช้ทักษะมากโดยทำร่วมกับพ่อแม่ เช่น แบ่งของเล่นหรือเสื้อผ้าให้ผู้อื่น ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้านก็เป็นจิตอาสารูปแบบหนึ่ง วัยประถม : ที่มีกล้ามเนื้อมัดเล็กมัดใหญ่แข็งแรงและมีพัฒนาครบทุกด้าน สามารถช่วยทำอะไรได้หลายอย่าง เช่น อาสาเก็บขยะ อาสาอ่านหนังสือให้ผู้พิการทางสายตา บริจาคสิ่งของที่ไม่จำเป็นต้องใช้ให้แก่ผู้ที่จำเป็น เป็นต้น กิจกรรมอาสาเหล่านี้ก็ถือเป็นรากฐานที่ดีต่อการสร้าง MQ ให้กับลูกได้

    ขอบคุณข้อมูลจาก : www.happyschoolbreak.com

    จะเห็นได้ว่า การเสริมสร้าง MQ ให้ลูกตั้งแต่เนิ่น ๆ ถือเป็น Q ด้านหนึ่งที่เชื่อมโยงจาก Q ต่าง ๆ เช่น IQ EQ เมื่อมีความฉลาดทางคุณธรรมติดตัวก็เสมือนเป็นเกราะคุ้มกันให้ลูกได้เติบโตเป็นคนดีในสังคมได้ในชีวิต.

    ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก :www.trueplookpanya.com

    อ่านต่อบทความที่น่าสนใจอื่นๆ :

    8 กิจกรรมเพิ่ม EQ (Emotional Quotient) ให้ลูกเป็นเด็กดี มีความสุข และมีความฉลาดทางอารมณ์

    7 เทคนิคสร้าง IQ (Intelligence Quotient) ความฉลาดของลูกที่เพิ่มพูนได้

    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

     

      เลเซอร์เข้าตา

      เลเซอร์เข้าตา ลูกน้อยเสี่ยงตาบอดจริงหรือ?

      เมื่อไม่นานมานี้ มีการแชร์โพสต์เตือนภัยจากคุณหมอท่านหนึ่ง ผ่านทางสื่อโซเชียลมีเดีย เกี่ยวกับอันตรายของเลเซอร์พอยเตอร์ ที่นำมาใช้ในการชี้สไลด์ ว่าให้ระมัดระวังการใช้งานให้ดี ห้ามนำมาส่องดวงตาเด็ดขาด หาก เลเซอร์เข้าตา หรือจ้องจุดไปตรงๆ จะทำให้เกิดผลต่อจอประสาทตาได้

      Continue reading “เลเซอร์เข้าตา ลูกน้อยเสี่ยงตาบอดจริงหรือ?”

        อันตรายจากของเล่นเด็ก

        8 วิธีป้องกันลูก! ไม่ให้ได้รับอันตรายจากของเล่นเด็ก

        พ่อแม่ระวังให้ดี ให้ลูกเล่นของเล่นที่มีลักษณะไม่ปลอดภัย ลูกอาจได้รับ อันตรายจากของเล่นเด็ก หากห้ามลูกเล่นไม่ได้ จะมีวิธีดูแลป้องกัน อันตรายจากของเล่น อย่างไร ตามมาดูกัน!

        อุทาหรณ์ อันตรายจากของเล่นเด็ก เกิดขึ้นได้เสมอ!

        เพราะอุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ โดยเฉพาะกับลูกน้อย!! และของใกล้ตัวอย่างของเล่นก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ลูกน้อยบาดเจ็บได้ ซึ่งคุณพ่อคุณแม่อาจคาดไม่ถึงว่าลูกน้อยสามารถได้รับบาดเจ็บจากการเล่นของเล่น ที่บางอันดูเหมือนจะไม่อันตราย แต่พอเผลอคาดสายตา ลูกน้อยก็เกิดเลือดตกยางออกขึ้นมาได้

        ซึ่งที่ผ่านมาก็มักจะมีข่าวออกมาให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง ถึง อันตรายจากของเล่นเด็ก เช่นเดียวกับเหตุการณ์นี้…ที่คุณเปิ้ล นาคร คุณพ่อของลูกๆทั้ง 4 ออ ได้ออกมาโพสต์อุทาหรณ์เตือนพ่อแม่ถึง อันตรายจากของเล่นเด็ก ที่ทำให้ “น้องออกู๊ด” ลูกชายคนที่ 3 ต้องถูกส่งตัวเข้าผ่าตัดมือที่โรงพยาบาล หลังได้รับบาดเจ็บจากการโดนเส้นลวดจากของเล่น แทงเข้าไปในเนื้อที่มือ ขณะเล่นเรือบังคับวิทยุ

        อันตรายจากของเล่นเด็ก

        โดยคุณเปิ้ลได้โพสต์คลิปพร้อมแคปชั่นว่า…

        เป็นอุทาหรณ์นะคับสำหรับทุกครอบครัว “ของเล่นบางอย่างมีสิ่งที่คาดไม่ถึงว่ามันจะเป็นอันตรายกับเด็กได้…….แล้วมันก็เกิดขึ้นกับลูกเราได้จริงๆ…….#ผ่าตัดออก#เดี๋ยวก็หายคับจู๊ด”

        ขอบคุณคลิป จาก IG @ple_nakorn

         

        อันตรายจากของเล่นเด็ก
        ขอบคุณข้อมูลคลิปและภาพ จาก IG @june_kasama

         

        และเนื่องจากเรือบังคับนั้นมีเสารับสัญญาณเป็นลวดยาวออกมา ตรงปลายถูกขมวดไว้ให้เป็นวงกลม ซึ่งคาดว่าน้องออกู๊ดน่าจะไปคลี่วงกลมนั้นออก จนกลายเป็นรูปตะขอเหมือนเบ็ดตกปลา

        จากนั้นก็ใช้มือจับไปที่ลวดรับสัญญาณแล้วเหวี่ยงเรือของเล่นไปมา จนกระทั่งปลายตะขอมาเกี่ยวที่มืออย่างรุนแรง และด้วยแรงเหวี่ยง ทำให้เนื้อย่นเข้าติดกัน คล้ายๆ กับลวดเย็บเนื้อเอาไว้ ทำให้พ่อเปิ้ล นาคร และแม่จูน กษมา ต้องรีบพาส่งโรงพยาบาล คุณหมอต้องให้ยาสลบ เพื่อทำการผ่าตัดด่วน

        Must read : รวม การปฐมพยาบาลเบื้องต้น ให้ลูกน้อยที่ถูกต้องที่พ่อแม่ควรรู้!

        Must read : ห้ามเลือดให้ลูก เมื่อถูกของมีคมบาด

        https://www.instagram.com/p/B8IQLVehdXL/

        ทั้งนี้ถือว่าโชคดีมาก ที่ลวดไม่ได้แทงไปโดนเส้นเอ็นที่มือ ไม่อย่างนั้นต้องเป็นเรื่องใหญ่อย่างแน่นอน ซึ่งตอนนี้น้องออกู๊ดก็ปลอดภัยดีแล้ว

        อันตรายจากของเล่นเด็กขอบคุณภาพ จาก IG @ple_nakorn

        อ่านต่อ >> “วิธีป้องกันอันตรายจากของเล่นเด็กชนิดต่างๆ” คลิกหน้า 2

         

        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

         

          การคลอดก่อนกำหนด

          7 วิธีดูแลตัวเองไม่ให้ “คลอดก่อนกำหนด” ในท้องสอง

          การคลอดก่อนกำหนด เกิดขึ้นได้กับคุณแม่ตั้งครรภ์ทุกคนค่ะ คุณแม่บางคนมีประสบการณ์การคลอดก่อนกำหนดทั้งท้อง แรก และท้องสอง หรือตั้งครรภ์แรกไม่มีปัญหาคลอดก่อนกำหนด แต่ท้องสองมีปัญหาคลอดก่อนกำหนด อยากรู้ไหมคะว่าสาเหตุมาจากอะไร และคุณแม่ท้องจะรับมือได้อย่างไร ทีมแม่ABK มีคำแนะนำให้ค่ะ

           

          การคลอดก่อนกำหนด (ในท้องสอง)  

          สำหรับ การคลอดก่อนกำหนด หรือภาวะคลอดก่อนกำหน คือ การคลอดลูกก่อนสัปดาห์ที่ 37 นั่นหมายความว่าถ้าคุณ แม่ปวดท้องคลอดลูกตอนอายุครรภ์ครบ 37 ไปจนถึง  40 สัปดาห์ ถือเป็นการคลอดที่ครบกำหนด แต่ถ้าอายุครรภ์ 40  สัปดาห์ไปแล้ว จะถือว่าเป็นการคลอดลูกเกิดกำหนดของอายุครรภ์ค่ะ

          ครั้งนี้ทีมแม่ABK จะขอพูดถึงการคลอดก่อนกำหนดในท้องสอง ที่มีคุณแม่หลายๆ คนกำลังกังวลกันอยู่ว่าจะเกิดขึ้นกับการ ตั้งครรภ์ที่ 2 ของตัวเอง เพราะคลอดก่อนกำหนดทางการแพทย์ถือเป็นการตั้งครรภ์ที่ยังไม่สมบูรณ์ อวัยวะสำคัญภายในต่างๆ ของลูกน้อย เช่น หัวใจ สมอง ปอดยังพัฒนาได้ไม่สมบูรณ์เต็มที่ ฯลฯ หากคลอดออกมาเสี่ยงที่จะพิการ หรือเสียชีวิต ได้ค่ะ

           

          อะไรที่เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ คลอดก่อนกำหนดในท้องสอง ?

          1. การตั้งครรภ์ภายใต้ร่างกายที่ไม่แข็งแรง มีโรคประจำตัว
          2. มีประวัติการคลอดก่อนกำหนดมาจากการตั้งครรภ์แรก
          3. มีภาวะแท้งคุกคาม
          4. มีเนื้องอกมดลูกขณะตั้งครรภ์
          5. การตั้งครรภ์ที่ 2 ตอนอายุมาก เช่น อายุ 35 ปีเป็นต้นไป
          6. มีกิจวัตรประจำวันที่โลดโผนเกินไป เช่น ทำงานหนัก , ต้องเดินทางตลอดเวลา (นั่งรถไฟ ขึ้นเครื่องบิน นั่งเรือ) , ขับรถ เป็นต้น
          7. ไม่ได้เตรียมพร้อมร่างกายให้แข็งแรงก่อนตั้งครรภ์ที่สอง เช่น ไม่ได้กินโฟเลต , ไม่ได้พักผ่อนเต็มที่ , ไม่ได้กินอาหารที่มีประโยชน์ , ไม่ได้ฉีดวัคซีน , ไม่ได้ออกกำลังกาย เป็นต้น

          นี่คือปัจจัยแวดล้อมคร่าวๆ ที่สุ่มเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนด ฉะนั้นเมื่อคุณแม่รู้แล้วก็ต้องรักษาดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งพร้อมก่อนมีการตั้งครรภ์ที่สอง การปรึกษาคุณหมอก่อนการตั้งครรภ์ ไม่ว่าจะท้องแรก หรือท้องสอง ก็ถือว่าเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องให้ความสำคัญไม่ต่างกันนะคะ  ทีมแม่ABK มีคำแนะนำง่ายๆ ในการป้องกันไม่ให้คลอดก่อนกำหนดในท้องสอง มาบอกให้ค่ะ

           

          อ่านต่อ 7 วิธีป้องกัน การคลอดก่อนกำหนดในท้องสอง คลิกหน้า 2

           

          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

           

            ตามใจหลาน

            ตายาย ตามใจหลาน จนกลายเป็นเด็กเอาแต่ใจ พ่อแม่ควรทำอย่างไร

            ตามใจหลาน ปัญหาหนักอกยอดฮิตสำหรับพ่อแม่ทุกยุคทุกสมัย จะแก้ปัญหานี้อย่างไรให้ดีกับทั้งครอบครัวดี? ตามไปดูคำแนะนำดีๆ จาก นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ กันค่ะ

             

            ตายาย “ตามใจหลาน” สุดๆ
            จนกลายเป็นเด็กเอาแต่ใจ!! พ่อแม่ควรทำอย่างไร

            Q: ลูกอายุ 5 ขวบ พอปิดเทอมจะไปอยู่บ้านคุณตาคุณยาย ซึ่งเลี้ยงแบบตามใจสุดๆ ระเบียบวินัยที่เราเคยสอนไว้ พอเปิดเทอมกลับมาอยู่บ้านก็ต้องเริ่มสอนกันใหม่หมด กลายเป็นเด็กเอาแต่ใจ กว่าเขาจะกลับมาเข้าที่ก็ใช้เวลานาน พอปิดเทอมก็เป็นอีก อยากรู้ว่าการสอนคนละแบบแบบนี้จะทำให้ลูกสับสนไหมคะ

            ไม่ครับ คุณแม่ทำถูกแล้ว!

            เด็กๆ จะค่อยๆ เรียนรู้ว่าควรทำตัวอย่างไรเมื่ออยู่กับตายาย และควรทำตัวอย่างไรเมื่ออยู่กับพ่อแม่ สำคัญที่คุณแม่เองต้องไม่ยอมแพ้

            พอเปิดเทอม ต้องมาเริ่มสอนกันใหม่หมด อันนี้ขอให้รู้ว่าเป็นเรื่องธรรมดาและคุณแม่มีหน้าที่นี้ตลอดชีวิต ไม่ต้องเบื่อ

            ตอนลูกเล็ก คุณแม่ต้องแสดงจุดยืน กฎ กติกา มารยาทของการอยู่ร่วมกันของคุณแม่เป็นเรื่องที่เขาต้องปฏิบัติ เขาอาจจะได้สิทธิพิเศษที่บ้านตายาย แต่กลับบ้านเขาต้องอยู่ใต้กติกาเดิม

            Must read : เลี้ยงลูกอย่างไรให้เป็นโรคฮ่องเต้ซินโดรม

            Must read : เลี้ยงลูกอย่างไร? ไม่ให้เอาแต่ใจตัวเอง

            shutterstock_147309197

            พอเขาโตขึ้น กติกาจะน้อยลง แต่เรายังคงยืนยันทัศนะของเรา ตอนเป็นเด็กโต กติกาน้อยลงไปอีกตอนเป็นวัยรุ่น เราอาจจะบังคับอะไรเขาไม่ได้อีกเลย แต่เรายืนยันทัศนะของเราต่อไปว่าแม่เห็นควรเป็นเช่นนี้ๆ

            Must read : 7 ข้อห้าม อย่าบังคับให้ลูกทำหากยังไม่พร้อม!

            พอเขาเป็นผู้ใหญ่ แต่งงานออกไป คุณยิ่งไม่ควรก้าวก่าย แต่ยังมีหน้าที่บอกสิ่งที่ถูกต้องอยู่ดี แม้เขาจะไม่ฟัง ดังนั้นตอนนี้ 5 ขวบ นี่เป็นเพียงเริ่มต้น อย่าเพิ่งยอมแพ้

             

            อ่านต่อ >> “ข้อแนะนำในการแก้ไม่ให้ลูกเป็นเด็กเอาแต่ใจ” คลิกหน้า 2

             

            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

             

              ชื่อเล่น

              858 ชื่อเล่น ลูกสาว-ลูกชาย สุดฮิตติดเทรนด์ ปี 2021

              รวมไอเดีย ชื่อเล่นทันสมัย กว่า 800+ ชื่อ สำหรับตั้งชื่อลูก ชื่อเล่น ชื่อเด็ก ผู้หญิง ชื่อเด็กผู้ชาย ในปี 2021 จะมี ชื่อเล่นยอดฮิต อะไรบ้าง มาดูกัน!

              รวม 800+ ชื่อเล่น ลูกสาว-ลูกชาย สุดฮิตติดเทรนด์ ปี 2021

              ชื่อเล่น เป็นอีกหนึ่งชื่อที่พ่อแม่ใช้ตั้งให้ลูกน้อยของเราเผื่อที่จะได้เรียกอย่างง่ายสะดวก เพราะชื่อจริงที่ตั้งส่วนมากจะยาวและเรียกอยาก ชื่อเล่นลูก ต้องเป็นอะไรที่สั้นๆ เรียกง่าย จำง่าย และยังสามารถเป็นชื่อที่สอดคล้องกันได้ทั้งครอบครัว ซึ่งหากคุณพ่อคุณแม่กำลังมองหา ชื่อเล่น สำหรับตั้งให้ลูกน้อย แม่ฮันน่าห์มี ชื่อเล่นเด็ก กว่า 800 ชื่อมาแนะนำ!! ลองดูไปเป็นไอเดีย หรือจะเอาไปตั้งชื่อลูกก็ได้นะคะ … ว่าแต่จะมี ชื่อเล่น ชื่อยอดฮิต ทันสมัย ในปี 2021 อะไรบ้าง ไปดูกันเลย

              โดยแม่ฮันน่าห์ได้แบ่ง ชื่อเล่น ให้ตามหมวด อักษร ก-ฮ แต่ไม่ได้แยกชายหญิง เพราะบางชื่อก็สามารถใช้ตั้งชื่อลูก ได้ทั้ง ชื่อเล่นลูกชาย และ ชื่อเล่นลูกสาว ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ก็สามารถดูและเลือกไปใช้กันได้ตามใจชอบเลยนะคะ

               

              ชื่อเล่น หมวด ก

              กองทัพ , แก้มใส , แก้วใจ , กำปั่น , กำไล , กำไร , กัสจัง , การ์ตูน , กาฟิลด์ , โกเบ , กอหญ้า , กอบัว ,
              แกรมม่า , กัปตัน , กรุงเทพ , กระถิน , กาโตว์ , กูเกิ้ล , กล้วยไม้ , กุญแจ , แก้มเต่ง , กวี , กวิน , แก่นแก้ว ,
              ก๋วยเตี๋ยว , ก๋วยเจ๋ง , กาสะลอง , กะทิ , ก่อญ่า , กันตา , กะรัต , กองพล , กองทุน , กราฟฟิค ,
              เกมส์เพลย์ , กีวี่ , กัสบี , กัสดาฟี่ , แกรมมี่ , กีฟฟี่

               

              ชื่อเล่น หมวด

              ขุนเขา , ไข่ตุ๋น , ข้าวสวย , ขนม , ของขวัญ , ขวัญข้าว , ไข่ปู , ข้าวจ้าว , ขนมผิง , ข้าวตัง , ข้าวหอม ,
              ไข่มุก , ข้าวตู , ขมิ้น , เขม , ข้าวผัด , ขนมจีน , ขิม , ข้าวแกง , ไข่ดาว , ขันหมาก , ขันเงิน , ไข่เป็ด ,
              เขตแดน , ขนมปัง , เขียนฟ้า , ข้าวฟ่าง

               

              ชื่อเล่น หมวด

              คอปเตอร์ , เควิน , คิมซิ่ง , คีตะ , คินคิน , คอนโด , คาร์ลิส , คอมม่า , คนิ้ง , คิมหันต์ , คีริน ,
              แคนนอล , คริสตัล , คูเปอร์ , โค้ช , คิวอาร์ , โคนัน , คณิต , โควทาโร่ , เคมี , คิวเท , คริต้า ,
              คริน่า , คริย่า , คำแพง

               

              ชื่อเล่น หมวด

              ฆ้องมอญ , ฆ้องเงิน

               

              ชื่อเล่น หมวด

              เงินปอนด์ , เงินล้าน

               

              ชื่อเล่น หมวด

              จอมเทพ , จูนี่ , จัสติน , เจด้า , จีน่า , จัสมิน , เจ้าขา , เจ้านาย , เจ้าขุน , เจ้าคุณ , จันจิ , จีเมล ,
              จินตะ , จาติม , จูเนียร์ , จูโน่  , เจ้าสัว , โจเซฟ , จ๊ะจ๋า , จีเนียส , จูนเนอร์ , จุนอู , เจได , เจว , เจลลี่ ,
              จอมทัพ , จอมพล , จั่นเจา , จอมยุทธ์ , จริงใจ , จิงเกิล , เจสซี่ , เจโช , แจ๊คพ็อต , จาวา , เจโน่ ,
              เจแปน , จาจ้า , จีน , จินดา , จีเนียส , จุ้นห่าว , จูเหนียน , จอมแก่น , จาจัง , จิ๊กซอว์ ,
              จีฮุน , จันทร์เจ้า , จีจ้า , จินนี่

               

              ชื่อเล่น

              ชื่อเล่นลูก หมวด ฉ

              ฉลาม

               

              ชื่อเล่น หมวด

              แชมเปญ , ช้องนาง , ชมพู , ชมพู่ , เชอร์เบล , เชลซี , ชวนฝัน , ชีต้า , ชบา , ช่อแก้ว , ชูใจ ,
              ชาแนล , ช็อปเปอร์ , ชื่นใจ ,  ชอร์ , โชกุน , ชาช่า , ชาเนส , ชูพรีม , ชินจัง , ชามา ,
              ชิชา , เชอรีน , โชเฮ

               

              ชื่อเล่นลูก หมวด ซ

              เซฟ , ซานต้า , เซิร์ช , ซานฟราน , ซูพรีม , โซเฟีย , ซีแกรม , เซย่า , ซันซัน , แซมมี่ , โซล่าร์ ,
              เซลฟี่ , ซัพพ์ , ซิม , ซ้องปีบ , ซันญ่า , ซีโร่ , โซดา , เซอไพรส์ , ซัลโล , ซีรีย์ , ซีรีน , ซันเป , แซนวิช ,
              ซัมเมอร์ , ซิกเซ้นส์ , เซิฟเวอร์ , ซีเนียร์ , ซอโซ่ , โซนี่  , ซูกัส , ชันเดย์ , เซนเตอร์

               

              ชื่อเล่น หมวด ฌ

              ฌาม , เฌอรีน , เฌอแตมป์ , เฌอเอม , เฌอปราง , ชอเฌอ , เฌอร์ลิน ,
              .ฌอห์ณ , เฌอเบลล์ , ฌาร์ล

               

              ชื่อเล่นลูก

              ญาดา , ญี่ปุ่น , ญาญ่า

               

              อ่านต่อ >> ชื่อเล่นลูกชาย ลูกสาว ฐ ถึง ฮ คลิกหน้า 2

               

              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

               

                ราคาอัลตร้าซาวด์4มิติ

                อัพเดทก่อนใคร ราคาอัลตร้าซาวด์4มิติ รพ.ดังทั่วกรุงเทพ ปี 2563

                ราคาอัลตร้าซาวด์4มิติ ของแต่ละโรงพยาบาลมีเท่าไรกันบ้าง คุณแม่ท้องที่กำลังตั้งตารอดูหน้าลูกน้อยแทบอดใจไม่ไหว ขอแอบดูหน้าลูกหน่อย ว่าสวยเหมือนแม่ หล่อเหมือนพ่อบ้างไหม Amarin Baby & Kids  รวมมาให้แล้ว อัพเดทล่าสุด ค่าอัลตร้าซาวด์ 4 มิติ จากโรงพยาบาลดังทั่วกรุงเทพฯ เช็กได้ที่นี่เลย

                แอบดูหน้าลูกก่อนคลอด เช็ก ราคาอัลตร้าซาวด์4มิติ ปี2563 ได้ที่นี่เลย

                ใครเป็นคุณแม่ต้องผ่านประสบการณ์ตรวจอัลตร้าซาวด์กันทุกคน นอกจากจะเป็นวิธีเช็กเพศของลูกน้อยในครรภ์ว่าเป็นผู้ชาย หรือผู้หญิงแล้ว อัลตร้าซาวด์ยังเป็นเครื่องมือของคุณหมอในการติดตามสุขภาพและพัฒนาการของทารกว่าเติบโตตามวัยได้ดีหรือไม่ หากเกิดปัญหาส่วนใดจะได้แก้ไขได้ทันท่วงที ประโยชน์ของอัลตร้าซาวด์ในแต่ละครั้งจึงมีความหมายมากกว่าที่คุณแม่คิด

                ราคาอัลตร้าซาวด์4มิติ

                อัลตร้าซาวด์ทารกในครรภ์ทำอย่างไร

                อัลตร้าซาวด์ คือ คลื่นเสียงความถี่สูง 3.5 – 7 เมกะเฮิร์ตที่ปล่อยออกมาจากหัวตรวจ (Transducer) เมื่อสัมผัสกับผนังหน้าท้องคุณแม่ไปตกกระทบที่เนื้อเยื่อของทารกแล้วสะท้อนกลับมา โดยเครื่องก็จะอ่านผลเป็นความเข้มหรือจางขึ้นอยู่กับความหนาแน่นของเนื้อเยื่อ และแสดงผลเป็นภาพหน้าจอ ในรูปแบบของจุดพิกเซล

                ถ้าเป็นเนื้อเยื่อที่มีความหนาแน่นมาก เช่น กระดูก ก็จะแสดงให้เห็นเป็นสีขาว ถ้าเป็นเนื้อเยื่อก็จะเป็นส่วนที่มืดมากขึ้น ถ้าเป็นของเหลวก็จะเป็นสีดำ จึงไม่สมชัดเหมือนภาพถ่ายทั่วไป การตรวจอัลตร้าซาวด์ลักษณะนี้ใช้คลื่นเสียง ซึ่งต่างจากการเอ็กซเรย์ตรงที่ใช้รังสี จึงปลอดภัยสำหรับแม่และเด็กมากกว่า

                อัลตร้าซาวด์มีกี่แบบ

                การตรวจอัลตร้าวซาวด์จะเป็นแบบ 2 มิติเป็นหลักในการวินิจฉัยความผิดปกติ และคุณพ่อคุณแม่มองเห็นภาพของลูกในแบบ “ความกว้าง ความยาว และภาพตัดขวาง”   ซึ่งเป็นภาพขาว-ดำดูเข้าใจยาก และดูเหมือนจะมีเฉพาะคุณหมอเท่านั้นที่แปลผลได้  ปัจจุบัน จึงมีรูปแบบการอัลตร้าซาวด์แบบอื่นๆ ให้เลือก ก่อนคุณแม่จะเช็ก ราคาอัลตร้าซาวด์4มิติ ควรทำความรู้จักกับการตรวจอัลตร้าซาวด์ที่แตกต่างกันในแต่ละแบบก่อน

                อัลตร้าซาวด์ 2 มิติ

                การอัลตร้าซาวด์พื้นฐาน แสดงผลเป็นภาพขาว-ดำ สามารถใช้ตรวจได้ตั้งแต่อายุครรภ์ 3 เดือนแรก ราคาไม่แพง สามารถเข้ารับบริการได้จากแผนกสูตินารีเวช ทุกโรงพยาบาล หรือคลินิคสูตินารีทั่วไป

                ราคาอัลตร้าซาวด์4มิติ

                อัลตราซาวด์ 3 มิติ

                เป็นการอัลตร้าซาวด์ที่สามารถประมวลผลได้ซับซ้อนมากขึ้น โดยจะเก็บภาพความกว้างและยาวแบบ 2 มิติ และจะนำภาพจากหัวตรวจมาสร้างเป็นภาพ 3 มิติ ทำให้เห็น “ความลึก” ภาพของลูกน้อยในครรภ์จึงมีความสมจริง มองเห็นหน้าตา และอวัยวะต่างๆได้ชัดเจนขึ้น โดยที่ค่าใช้จ่ายสูงกว่าการทำแบบ 2 มิติไม่มากนัก

                อัลตราซาวด์ 4 มิติ

                เทคโนโลยีทันสมัยช่วยพัฒนาการตรวจอัลตร้าซาวด์ให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ด้วยการนำภาพ 3 มิติมาแสดงผลเป็นภาพเคลื่อนไหว คล้ายกำลังดูไลฟ์สดของลูกน้อยในครรภ์ คุณพ่อคุณแม่จึงได้เห็นลูกขยับตัว ดูดนิ้ว หันหน้า หรือยกแขน รวมถึงมองเห็นอวัยวะภายนอกอย่างชัดเจน แต่ยังไม่สามารถดูความผิดปกติของอวัยวะภายในทั้งหมดได้

                ส่วน ราคาอัลตร้าซาวด์4มิติ จะสูงกว่าแบบอื่นๆ และไม่ได้มีบริการในทุกโรงพยาบาล หากคุณแม่ต้องการเห็นพัฒนาการของลูกน้อยอย่างใกล้ชิด ก็สามารถเข้ารับการตรวจอัลตร้าซาวด์จากโรงพยาบาลอื่น (ที่ไม่ได้ฝากครรภ์ไว้) ได้ โดยมีเงื่อนไขหลักๆ ที่ต้องทราบดังนี้

                1. อายุครรภ์ที่เหมาะสมกับการเข้าตรวจ อยู่ระหว่าง สัปดาห์ที่ 24 – 29 (ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของโรงพยาบาล)
                2. ต้องทำนัดหมายกับแผนกสูตินารีเวชล่วงหน้า เพราะการตรวจอัลตร้าซาวด์ 4 มิติ ต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะ ซึ่งส่วนใหญ่มีคิวตรวจที่ชัดเจน
                3. ค่าใช้จ่ายในการตรวจอัลตร้าซาวด์ และสิ่งที่ได้รับ โดยปกติคุณแม่จะได้รับผลการตรวจ ภาพถ่ายอัลตร้าซาวด์ของลูกน้อย แต่บางโรงพยาบาลอาจบันทึกภาพแสดงผลหน้าจอลงเป็น CD ให้กลับบ้านด้วย ทั้งนี้ควรพิจารณาว่าคุ้มราคาหรือไม่ เพราะอัลตร้าซาวด์แบบนี้ต่อครั้งราคาสูง

                อ่านต่อ ค่าตรวจอัลตร้าซาวด์ 4 มิติ โรงพยาบาลชื่อดัง ทั่วกรุงเทพฯ หน้า 2

                  ลดหย่อนภาษี

                  ลดหย่อนภาษี ปี 2563 สิทธิประโยชน์ที่พ่อแม่ต้องรู้

                  ใกล้เข้าสู่ช่วง ลดหย่อนภาษี ที่กรมสรรพากรขยายเวลาให้ตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงสิ้นเดือนมิถุนายนนี้ คุณพ่อ คุณแม่ หลายคนอาจยังงงๆ อยู่ว่าจะวางแผนลดหย่อนภาษีอย่างไรได้บ้าง ซึ่งการวางแผนลดหย่อนภาษี หรือคำนวณภาษี เป็นสิ่งจำเป็นที่คุณพ่อ คุณแม่ควรเตรียมพร้อม

                  Continue reading “ลดหย่อนภาษี ปี 2563 สิทธิประโยชน์ที่พ่อแม่ต้องรู้”

                    ป้องกันไวรัสโคโรนา

                    ป้องกันไวรัสโคโรนา พ่อแม่ต้องรู้! ลูกน้อยต้องรอด!

                    ข่าวการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาที่เริ่มต้นแพร่เชื้อมาจากเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน อาจสร้างความวิตกกังวลให้คุณพ่อ คุณแม่อยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะข่าวที่ออกมาว่ามีเด็กติดเชื้อจากไวรัสโคโรนาแล้ว ทีมแม่ ABK มีวิธี ป้องกันไวรัสโคโรนา มาฝากคุณพ่อ คุณแม่ เพื่อลูกน้อยกันค่ะ

                    Continue reading “ป้องกันไวรัสโคโรนา พ่อแม่ต้องรู้! ลูกน้อยต้องรอด!”

                      EQ (Emotional Quotient)

                      8 กิจกรรมเพิ่ม EQ (Emotional Quotient) ให้ลูกเป็นเด็กดี มีความสุข และมีความฉลาดทางอารมณ์

                      พ่อแม่ไม่ต้องการส่งเสริมให้ลูกเก่งและฉลาดแต่ทางด้านวิชาการอย่างเดียว สำหรับพัฒนาการด้าน EQ (Emotional Quotient) หรือความฉลาดทางอารมณ์นั้นก็มีความสำคัญไม่แพ้ด้านไอคิวเช่นกัน

                      EQ คือ ความฉลาดทางอารมณ์ ความสามารถในการจัดการกับอารมณ์และควบคุมความคิดของตนเองได้อย่างเหมาะสมตามวัย และสามารถปรับตัว เข้าใจอารมณ์ของคนอื่น โดยแสดงออกมาทางพฤติกรรม เช่น รู้จักมีความเห็นอกเห็นใจและเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น มีความคิดที่จะทำสิ่งดี ๆ สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข ความฉลาดทางอารมณ์จะทำให้เด็กเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความคิด อารมณ์ และพฤติกรรมที่เหมาะสม

                      ความฉลาดทางอารมณ์ในเด็ก จะพัฒนาขึ้นอย่างช้า ๆ ตั้งแต่อายุประมาณ 3 ขวบ หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่จะมีผลบวกต่ออีคิวนั้นก็คือ จินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ ที่ถูกกระตุ้นได้ผ่านสมองซีกขวา ซึ่งเป็นสมองส่วนสำคัญที่ควบคุมด้านจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ อารมณ์ ความรู้สึก และการปฎิสัมพันธ์กับผู้อื่น

                      การพัฒนาอีคิวสำหรับเจ้าตัวเล็กนั้น จึงเป็นหน้าที่ที่คุณพ่อคุณแม่จะช่วยติดอาวุธ เติมสีสัน ส่งเสริมจินตนาการเพื่อให้ลูกเป็นเด็กที่มีความสุขในการดำเนินชีวิตในสังคม และสามารถพัฒนาให้เป็นทักษะชีวิตของลูกต่อไปได้  ด้วยกิจกรรมที่ช่วยส่งเสริม EQ ให้เจ้าตัวเล็ก มีอะไรบ้าง ไปดูกันค่า

                      8 กิจกรรมเพิ่ม EQ (Emotional Quotient) ให้ลูกเป็นเด็กดี มีความสุข
                      และมีความฉลาดทางอารมณ์

                      EQ (Emotional Quotient)

                      1. เล่นตุ๊กตา/ หุ่นยนต์

                      ของเล่นที่ช่วยเสริมสร้างจินตนาการของลูกได้เป็นอย่างดี คุณพ่อคุณแม่สามารถฟังเรื่องราวจากการเล่นตุ๊กตาหรือหุ่นยนต์ของลูกที่สะท้อนออกมาผ่านของเล่นเหล่านี้ได้ เพื่อประเมินและรับรู้ความรู้สึกของลูก หรือการเอาตุ๊กตามาเป็นเล่นบทบาทสมมติ เล่าประกอบนิทาน สอนผ่านเรื่องราวดี ๆ ที่คุณแม่สร้างขึ้น ช่วยเสริมสร้างความสนุกสนาน สร้างรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะส่งผลให้เจ้าตัวเล็ก อารมณ์ดี แจ่มใส

                      กิจกรรมที่ส่งเสริม ความฉลาดทางอารมณ์
                      กิจกรรมที่ส่งเสริม ความฉลาดทางอารมณ์

                      2. วาดภาพระบายสี

                      การส่งเสริมจินตนาการที่เป็นไปตามวัย ด้วยกิจกรรมศิลปะไม่ว่าจะเป็นการวาดรูประบายสี การปั้น การพับ การแปะ การติด หรือศิลปะประดิษฐ์ การสร้างสรรค์ผลลงานศิลปะทุกชิ้น จะทำให้เด็ก ๆ รู้สึกสนุกคิด ดึงจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่ สร้างให้ความเพลิดเพลิน ทำให้เด็กรู้สึกสงบ มีสมาธิ มีความมั่นคง ที่สามารถช่วยส่งเสริมความฉลาดทางอารมณ์ให้เจ้าเล็กได้

                      กิจกรรมพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์
                      กิจกรรมพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์

                      3. เลี้ยงลูกด้วยดนตรี

                      มีรายงานวิจัยหลายประเทศระบุว่า การใช้ดนตรีเป็นสื่อจะทำให้เด็กพัฒนาสมองได้อย่างรวดเร็ว เซลล์สมองเจริญเติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ และแนะนอนว่าดนตรีมีส่วนช่วยพัฒนาอีคิวให้กับลูกด้วย เสียงดนตรีในแต่ละจังหวะจะช่วยพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์โดยตรง เสียงดนตรีจังหวะช้า จะช่วยกล่อมเกลาให้เด็กรู้สึกสงบ ลดอาการฉุนเฉียว ขี้โมโห และทำให้ลูกเป็นเด็กเข้าใจง่าย สอนง่าย ส่วนเสียงดนตรีที่มีจังหวะเร็วก็ส่งผลต่ออารมณ์ให้เด็กความรู้สึกเพลิดเพลิน สนุกสนาน รู้สึกตื่นตัว ร่าเริง แจ่มใส นอกจากนี้การเลี้ยงลูกด้วยดนตรี เรียนรู้การรับเสียง เสียงดนตรี เสียงเพลง จะช่วยส่งเสริมจินตนาการ ทำให้มีสมาธิ และมีอารมณ์ดีขึ้นด้วยค่ะ

                      บทความแนะนำ :เรียนดนตรีดียังไง หลายเหตุผลที่บอกว่า เลี้ยงลูกด้วยดนตรี มีโอกาสประสบความสำเร็จในชีวิต

                      4. อ่านนิทานให้ลูกฟัง

                      นิทานมีส่วนช่วยกระตุ้นจินตนาการให้ลูก ด้วยน้ำเสียงที่แม่เล่าเรื่องจะกระตุ้นให้เด็กสร้างจินตนาการเป็นภาพการเล่านิทานให้ลูกฟังบ่อย ๆ จึงเป็นการสร้างจินตนาการไปพร้อม ๆ กับการรับรู้เรื่องใหม่ ๆ ให้เจ้าตัวเล็กได้เพลิดเพลินไปกับสิ่งที่น่าสนใจในหนังสือ ที่มีการสอดแทรกความรู้ต่าง ๆ ที่จะช่วยเสริมพัฒนาการให้กับเด็ก ๆโดยมีคุณพ่อคุณแม่อยู่ใกล้ ๆ สร้างความสัมพันธ์อันดี ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาและปรับตัวของลูก เพื่อให้อยู่ในสังคมอย่างมีความสุข

                      บทความแนะนำ : เหตุผลที่ควรเล่านิทานและเทคนิคการเล่านิทานให้ลูกน้อยเพลิดเพลินและมีความสุข

                      กิจกรรมเพิ่ม eq
                      กิจกรรมเพิ่ม eq

                      5. เล่นดินน้ำมันหรือแป้งโดว์

                      ดินน้ำมันหรือแป้งโดว์จัดเป็นของเล่นที่ช่วยเสริมพัฒนาการด้าน EQ อีกหนึ่งที่อย่างที่ช่วยกระตุ้นสมองซักขวา ให้เด็ก ๆ ได้สร้างสรรค์ ใช้จินตนาการในการปั้นรูปทรงต่าง ๆ ได้อย่างไม่รู้จบ ในขณะที่เล่นก็จะทำให้เด็กสนุกสนาน เพลิดเพลิน มีสมาธิ อีกทั้งยังเป็นช่วยเสริมพัฒนาการกล้ามเนื้อมัดเล็กให้เจ้าตัวเล็กด้วย

                      พัฒนา eq ลูก

                      6. กิจกรรมเอ้าท์ดอร์

                      นอกจากการพาลูกออกไปเที่ยวนอกบ้านเพื่อเติมประสบการณ์ เสริมทักษะให้หลาย ๆ ด้าน กิจกรรมนอกบ้านยังรวมถึงการไม่ต้องเดินทางไกลไปต่างจังหวัดหรือเมืองนอก แต่เป็นการพาลูกออกมาทำกิจกรรมดี ๆ ร่วมกัน ด้วยการจัดสรรพื้นที่ทั้งภายในและภายนอกบ้านให้เด็ก ๆ ได้มีพื้นที่วิ่งเล่น หรือทำกิจกรรมกับสมาชิกในครอบครัว กับเพื่อน ๆ  เช่น นั่งเล่นของเล่น นั่งทำงานศิลปะ การรดน้ำต้นไม้ การตักบาตรในตอนเช้า การเดินเล่นที่สวนสาธารณะในหมู่บ้าน ฯลฯ ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้ก็สร้างความสุขและทำให้ลูกสนุกสนาน อารมณ์ดี รู้จักการเข้าสังคมจากสิ่งแวดล้อมใกล้ตัวได้

                      กิจกรรมพัฒนา eq
                      กิจกรรมพัฒนา eq

                      7. ออกกำลังกายสร้างความแข็งแรง

                      การให้เด็ก ๆ ได้ออกกำลังกายจะช่วยทำให้มีสุขภาพแข็งแรง ไม่เจ็บป่วยบ่อย ซึ่งก็จะส่งผลต่อสุขภาพจิตที่ดีได้มากกว่าเด็กที่ป่วยบ่อย ไม่แข็งแรง อีกทั้งในขณะที่เล่นกีฬาใด ๆ สมองจะทำงานด้วยการปล่อยสารเอ็นโดรฟิน ซึ่งเป็นสารเคมีที่ทำให้สมองเกิดความรู้สึกดี กระตุ้นการทำงานของระบบประสาท เมื่อทุกกระบวนการถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน จะช่วยให้ลูก ได้คิด วิเคราะห์ ฝึกการแก้ปัญหา แก้ไขสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า ส่งเสริมจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ และช่วยในการจดจำที่ดี ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรส่งเสริมให้ลูกได้ออกกำลังกายตามถนัดของร่างกายและความชอบของลูก ซึ่งจะทำให้ลูกมีความสุข ความเพลิดเพลินจากการออกกำลังกายอีกด้วย

                      ความฉลาดทางอารมณ์

                      8. ใช้เวลาเล่นกับลูก

                      กิจกรรมที่ช่วยส่งเสริม EQ จะได้ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นอีก เมือคุณพ่อคุณแม่ให้เวลากับลูก การใช้เวลาด้วยกันให้มากที่สุด จะส่งผลดีไปตลอดชีวิตลูก การใช้เวลาร่วมกับลูกในขณะที่ลูกเล่น จะทำให้ลูกเกิดความรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย ดีกว่าการนั่งลูกเล่นอยู่คนเดียว และมีความรู้สึกตัวเองเป็นที่รักที่จะทำให้เกิดความภาคภูมิใจในตนเอง ทำให้เห็นคุณค่าและความสำคัญของตัวเอง ส่งเสริมให้กล้าเรียนรู้ และลองทำสิ่งใหม่ๆ เมื่อโตขึ้น และนอกจากนี้การใช้เวลาด้วยกันมาก คุณพ่อคุณแม่จะได้เห็นข้อดีและจุดเด่นต่างๆ ของลูกชัดขึ้น และสามารถช่วยให้เข้าไปส่งเสริมได้ถูกจุด แนะนำและสอนประการณ์ที่ดีร่วมกัน ทำให้เกิดความรักความเข้าใจกัน อันเป็นพื้นฐานที่ดีต่ออารมณ์และความสุขของลูก

                      บทความแนะนำ : รู้หรือไม่? แท้จริงแล้ว เรามีเวลาอยู่กับลูก ได้แค่ 10 ปีแรกเท่านั้น!

                      กิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมอีคิวให้เจ้าตัวเล็กเหล่านี้นอกจากกระตุ้นให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ จินตนาการ และพัฒนาการของสมองซีกขวาที่จะได้ถูกดึงออกมาใช้มากพอกับสมองซีกซ้าย ที่มีส่วนช่วยทำให้ลูกรู้จักควบคุมอารมณ์ความรู้สึก ให้เป็นเด็กอารมณ์ดี มีน้ำใจ มีความสุข และเข้าสู่สังคมได้ไม่ยาก ซึ่งเทคนิคการสร้าง EQ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการเสริมสร้างพัฒนาการที่ดีให้กับลูกน้อยเท่านั้น แต่ควรสร้างให้เชื่อมโยงกับ Q อีกหลาย ๆ ด้าน เช่น IQ MQ PQ SQ  ที่สามารถพัฒนาให้ลูกฉลาดสมวัยได้ในทุกด้าน จากการดูแลเอาใจใส่ที่ดีจากคุณพ่อคุณแม่นั่นเองค่ะ.

                      ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : www.tanyarin.com

                      อ่านต่อบทความที่น่าสนใจอื่นๆ :

                      5Q วิธีเลี้ยงลูก ให้ฉลาดอย่างสมดุล

                      สารพัดความฉลาด 10 ด้าน 10Q คืออะไร ทำไมเด็กต้องมีให้ครบ!

                       

                      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                       

                        ลูกกินยายาก

                        แชร์วิธีรับมือ ลูกกินยายาก โดย พ่อเอก

                        เคยสงสัยมั้ยว่าทำไม ลูกกินยายาก ลูกป่วยที นอกจากจะกระเป๋าแห้งจากค่ารักษาในโรงพยาบาลเอกชนที่แพงหูฉี่ แล้วยังต้องมาปวดหัวเมื่อถึงเวลากินยาของลูกอีก ทั้งๆ ที่ยาของเด็กก็มีความพยายามปรุงแต่งให้มีรสหวาน สีสดใสเพื่อหลอกล่อชวนกินอยู่แล้ว

                        แต่เอ๊ะ หันไปเห็นลูกเพื่อนบางคน ทำไมกินยาง่ายจัง พอถามเข้าว่า ทำยังไงลูกถึงกินยาง่าย คำตอบที่ได้ก็ฟังดูไม่ได้ช่วยอะไรเราบ้างเลย

                        ‘ก็ไม่ได้ทำไรนะ เค้าก็ทานง่ายเอง’

                        เฮ้ออออ

                        แต่เดี๋ยวก่อน …. คำว่า ‘ก็ไม่ได้ทำอะไร’ นั่นแหละสำคัญ

                        ลูกกินยายาก เพราะอะไร?

                        เพราะตัวคุณพ่อคุณแม่หรือผู้ปกครองเองเคยสังเกตตัวเองมั้ยว่าเรานั่นแหละอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ ลูกกินยายาก เพราะพอจะทานยา เรามักมีอาการที่ไม่ปกติ หรือ มีคำพูดที่ไม่ปกติ เช่น

                        • เรียกกำลังเสริมมาเตรียมสแตนด์บายไว้ป้องกันการแข็งขืน ทั้งๆ ที่ปกติ ลูกตื่นสาย ไม่ยอมกินข้าว เจี๊ยวจ๊าวโวยวาย หรือ ไม่ยอมแปรงฟัน คุณก็จัดการได้อยู่หมัด
                        • เริ่มเล่าประวัติศาสตร์การแพทย์ว่ามีความสำคัญอย่างไรต่อชีวิตมนุษย์ ทั้งๆ ที่เวลาถามความรู้ง่ายๆ ว่า ทำไมวาฬ ไม่ใช่ปลา เราทำหน้าตกใจว่าถามยากจัง แล้วขอถาม Google ก่อน
                        • มีการสาธยายความน่ารับประทานเหลือเกินของยา ทั้งๆ ที่เวลาลูกจะขอกินขนมแต่ละที จะต้องมีข้อแลกเปลี่ยนสารพัดให้ลูกทำก่อน

                        อาการผิดปกติเหล่านี้นี่แหละที่ทำให้ลูกสร้างกำแพงป้องกันขึ้นมาว่า ไอ้เจ้าน้ำสีสวยๆ ดูท่าทางจะหวานๆ นั่น มันต้องไม่ใช่ของดีที่มนุษย์ลูกอย่างเขาควรลิ้มลองเป็นแน่แท้ ว่าแล้ว ท่วงท่าการป้องกันตัวทั้งดิ้น แข็งขืน อาละวาด ไปจนถึงเข้าปากแล้วอ้วกออกมาจึงถูกงัดมาใช้

                        แม่แชร์วิธีเด็ด! หัวหอมแก้หวัด แก้คัดจมูกให้ลูกได้จริง!

                        8 คำถามสำคัญ ที่ควรถามเภสัชกร! “เมื่อรับยา” ตอนลูกป่วย

                        เคล็ดลับรับมือ ลูกกินยายาก จริงๆ อยู่ที่…

                        ครั้งแรกเลยที่ลูกต้องกินยา ทำให้มันธรรมดาที่สุด

                        หาหมอเสร็จก็บอกลูกว่า จะมียาไปกิน เวลาไหน เล่าให้รู้ แค่นั้น ไม่ต้องบรรยายเกินงาม นึกถึงเวลาซื้อไอศกรีมให้ลูกกิน เราเคยสาธยายมั้ยว่าประกอบด้วยน้ำตาล นม ซึ่งจะให้พลังงานกี่แคลอรี่ ถ้าไม่เคย ยาก็เช่นกัน ยาก็คือยา เหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ ลูกถามก็บอกอ๋อไม่สบายก็กินยา เหมือนเวลาหิวเราก็อยากกินไอศกรีม … สั้นๆ จบ เราอาจจะงงงงว่าตัวอย่างที่ยกมา มันใช่มั้ย เชื่อสิลูกจะงงงงเช่นกัน แล้วไม่ถามต่อ (หรือไม่เราก็เปลี่ยนเรื่องซะ ก็มันเรื่องธรรมดาไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นนี่นา)

                        ถึงเวลากินยา ก็ชวนกันมากินยา จูงมือกันมาเทยา ชวนให้ลูกกินเอง อย่าพยายามถามว่า ต้องป้อนมั้ย ต้องเอาขนมล่อมั้ย อะไรก็ตามแต่ที่เราพยายามเติมเข้าไปมันจะทำให้รู้สึกว่า อ๋อ รสชาติมันต้องไม่ปกติเป็นแน่

                        สำหรับท่านที่ลูกยังจิ๋วๆ ยังไม่มีประสบการณ์หาหมอตอนที่รู้ความ เอาไปใช้ได้แน่นอน

                        สำหรับลูกที่โตหน่อยรู้ความมากแล้ว หาหมอมาหลายหน กลัวยาแล้ว อาจจะยากหน่อย …. ก็ต้องรอโตเลย

                         

                        ถ้าเคยอ่านเรื่องที่ผมเคยแชร์เรื่อง ใครทำลูกกลัวผี ผมว่าสาเหตุเดียวกัน คือ เด็กไม่เคยกลัวผี ไม่รู้จักผี จนกระทั่งผู้ใหญ่ไปบอก หรือ ไปหลอกว่ามีผี อย่างพี่ปูนปั้นอยู่ ป. 1 แล้วก็ยังขึ้น หรือ ลงไปเอาของที่บ้านคนเดียวได้ในตอนหัวค่ำ เวลาไปเที่ยวต่างจังหวัด ดึกๆ ปูนปั้นก็สามารถเดินออกไปมืดๆ ได้ ไม่มีปัญหา เพราะบ้านนี้ไม่เคยสอนให้กลัวผี เพื่อนคนไหนบอกมีพี่ ปูนปั้นจะถามว่าเคยเห็นหรอ ป๊าเราบอกว่ามันเป็นเรื่องเล่า ป๊าอายุขนาดนี้ยังไม่เคยเห็นเลย แล้วพี่ปูนปั้นก็จะเถียงว่าไม่มี และก็ไม่เคยกลับมากลัวว่า กลางคืนมีผีอย่างที่เพื่อนบอกมั้ย …. ที่อ้างอิงว่าเรื่องนี้เพราะผมว่า concept เดียวกัน … ยาไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวจนกระทั่งใครต่อใครไปทำให้เด็กรู้สึกว่า ยามันน่ากลัว

                         

                        ลองดูคลิปกินยาของปูนปั้นกับปั้นแป้งประกอบสิ มันง่ายจริงๆ นะ

                        เราบอกใครต่อใครอยู่เสมอว่าเด็กสอนได้เด็กพูดรู้เรื่องแม้จะยังจิ๋วๆก็เถอะ…..ใช่ยังไงเด็กก็ยังต้องมีงอแงยังมีพูดไม่รู้เรื่องยังมีร้องไห้โลกแตก…..แต่ถ้าเราคุยกับเขามากพอสื่อสารกับเขามากพอเราก็จะเข้าใจกันมากกว่าที่เราคิดว่าเด็กจะเข้าใจ…..มาดูปูนปั้นกินยากินน้ำผลไม้กินเสร็จก็เอากล่องไปทิ้งน่ารักมั้ยต้องให้พี่ป้าน้าอา … บอกกั๊บภูมิใจมั้ยหมี่มี๊ ปะป๊า ภูมิใจม้ากกกก

                        Posted by หมุนรอบลูก – พี่ปูนปั้น กับ น้องปั้นแป้ง on Sunday, November 16, 2014

                        ปูนปั้นกำลังเป็นหวัด มีน้ำมูกนอกจากการล้างจมูกก็ต้องกินยาด้วยครับหลอดแรกยาอร่อย ปรื้ดเดียวหมดหลอด 2 ยาสีม่วง มีทำท่ายึกยักเล็กน้อย เพราะรสชาติไม่โอเคแต่ก็ปรื้ดเดียว เช่นกันแม้จะหน้าเหยอิอิสิ่งที่เราสอน ปูนปั้นตั้งแต่เกิด (ตั้งแต่ยังไม่รู้เรื่องเลยก็ว่าได้)เราพยายามให้เค้า ไม่รู้สึกว่า การต้องทานยาเป็นสิ่งแปลกปลอม ที่จะเข้ามาในชีวิตคือ ไม่สบายก็ต้องทานยา แค่นั้นเองเมื่อทานแล้ว ก็ชมเชยเพื่อให้เค้า ไม่รู้สึกว่าการทานยา คือการลงโทษเหมือนกับเรื่องอื่นๆเวลาหกล้ม เราพ่อแม่ต้องคุมสติไม่โวยวาย ไม่พรวดพราดเข้าไปโอ๋ปล่อยลุกเอง หรือเราแค่ไปช่วยให้ลุกปูนปั้น ไม่เคยล้มแล้วร้องไห้นานหลายครั้ง พอล้มแล้วแงเราเดินไปบอกปูนปั้นว่าล้มเอง เล่นเอง เจ็บเอง ก็ลุกเองYou are my strong boyปูนปั้นก็หยุดร้องหลายครั้ง คนเดินมาถามว่า"เด็กคนนี้มีสวิทช์ปิดอยู่ตรงไหน"จากทานยาทำไมจบด้วยเรื่องนี้เพราะว่ามันเรื่องเดียวกันจ้า

                        Posted by หมุนรอบลูก – พี่ปูนปั้น กับ น้องปั้นแป้ง on Sunday, November 9, 2014

                        บทความน่าสนใจอื่นๆ

                        6 ข้อดีที่ผมได้เรียนรู้ จากประสบการณ์ พาลูกท่องเที่ยว

                        แนะนำ 4 “บอร์ดเกม” ฝึกลูกสมองไว ไหวพริบดี

                        “ลูกทำผิด” เทคนิคสอนลูก แบบไม่ต้อง “ทำโทษ”

                        โรงเรียนทางเลือก เรียนรู้ตามทางของลูก

                        “ลูกช่างถาม” รับมืออย่างไร ไม่ขัดพัฒนาการลูก

                         


                        >>แวะไปดู รอยยิ้มหวานฉ่ำ ที่มีแจกฟรีทุกวันได้ที่เฟซบุ๊ค

                        หมุนรอบลูก – พี่ปูนปั้น กับ น้องปั้นแป้ง นะครับ<<

                        ปูนปั้น ปั้นแป้ง พ่อเอก
                        ปูนปั้น ปั้นแป้ง พ่อเอก เพจหมุนรอบลูก

                         

                        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                          บอกลาใบไม้ผลิ ต้อนรับหน้าร้อน ด้วยคอลเลคชั่น “HA-RE” คอลเลคชั่นที่เต็มไปด้วยความยินดีและขอบคุณ จาก me ISSEY MIYAKE

                          บอกลาใบไม้ผลิ ต้อนรับหน้าร้อน ด้วยคอลเลคชั่น “HA-RE”
                          คอลเลคชั่นที่เต็มไปด้วยความยินดีและขอบคุณ จาก me ISSEY MIYAKE

                               ฤดูร้อนมาถึงแล้ว! สาวๆ คนไหนกำลังมองหาชุดสำหรับวันสบายๆ วันชิคๆ หรือแม้แต่วันที่อยากใส่อวดโลกโซเชี่ยล วันนี้เรารวบรวมไอเท็มสำหรับร้อนนี้ที่สายแฟอย่างคุณพลาดไม่ได้มาไว้ให้ถึงที่ กับคอลเลคชั่น ฮาเระ สปริง-ซัมเมอร์ จาก แบรนด์ me ISSEY MIYAKE

                          ซึ่งคอนเซ็ปต์คำว่า ฮาเระ ในภาษาญี่ปุ่น มีความหมายถึงวันพิเศษในงานเทศกาลหรืองานเฉลิมฉลอง ซึ่งเป็นวัฒนธรรมสำคัญที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนานของชาวญี่ปุ่น คอลเลคชั่นนี้จึงเต็มไปด้วยความรู้สึกของการยินดีและขอบคุณ

                          ทุกคนคงอดใจไม่ไหวแล้ว เราไปดูไอเท็มแรกกันดีกว่าค่ะ

                           


                          -SUNRISE A-POC PLEATS-

                          ไม่ได้มีแค่เสื้อ แต่เดรสซีรี่ย์ใหม่จาก A-POC PLEATS ก็ไม่น่าพลาดเหมือนกัน เดรสซีรี่ย์นี้เกิดจากแพทเทิร์นครึ่งวงกลมและสี่เหลี่ยมผืนผ้า แล้วจับจีบพลีตในแนวทแยง เพื่อให้ได้โครงร่างแบบอสมมาตร ที่ใครใส่แล้วก็ดูสวยได้สัดส่วน ใครที่ชอบความเพอร์เฟค ความสมดุลและมีกลิ่นอายความหรูหรา ชิ้นนี้คือขาดไม่เลย

                           

                           


                          – PUNCHING TRUNK PLEATS BAG-

                          กระเป๋าทรงแปลกตาที่เห็นนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากลำต้นของต้นไม้ เนื้อผ้าก็เป็นสไตล์ใหม่มาในลักษณะเจาะเป็นรู สีสันก็มีให้เลือกหลายโทนตั้งแต่ความสดใส ขี้เล่นอย่างสีเหลือง สีส้ม ไปจนถึงความสุขุมของสีเขียวหม่นและสีฟ้า ใครอยากได้แบบสะพายข้าง หรือขนาดเล็ก ขนาดใหญ่ เลือกตามแบบที่ชอบแล้วมิกซ์กับเสื้อผ้าเพื่อบอกความเป็นสายแฟในตัวคุณเองได้เลย

                           

                           

                           


                          – DARUMA-

                          ใครเห็นก็ต้องกรี๊ดกับเสื้อสีแดงแสบตาพิมพ์ลายดารุมะสีดำ ซึ่งเป็นเสื้อในซีรี่ส์ STRETCH PLEATS ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากคิ้วและหนวดของดารุมะ (DARUMA) ตุ๊กตาที่เป็นเครื่องรางและสัญลักษณ์แห่งความโชคดีและชัยชนะของชาวญี่ปุ่น ทรงของเสื้อจะขับเน้นรูปร่างให้สาวๆ ยิ่งมั่นใจขึ้นทันทีเวลาใส่ สีแดงที่ตัดกับดำยิ่งทำให้คุณดูเป็นผู้หญิงที่น่าค้นหามากขึ้น ต้องยกให้เป็นไอเท็มสุดกรี๊ดเลยทีเดียว

                           

                           

                           


                          – KONBU 1-

                          สาวๆ คนไหนชอบความพรีเมี่ยมและไม่เหมือนใครต้องรีบคว้ากระเป๋าซีรีส์นี้มาเป็นเจ้าของให้ได้ เพราะ การสร้างสรรค์ด้วยเทคนิคใหม่ มาพร้อมความพรีเมี่ยมด้วยการถักด้วยเส้นด้ายขนาดบางพิเศษโดยปราศจากตะเข็บ และถูกทำให้หดลงเหลือเพียงขนาดหนึ่งในสี่ของขนาดเดิม กระเป๋า KONBU จึงมีผิวสัมผัสที่เนียนนุ่มแต่ก็แข็งพอที่จะตั้งอยู่ได้เอง และสามารถที่จะจัดรูปทรงให้อยู่ในแบบหลากหลายได้เช่นกัน กระเป๋าซีรี่ส์นี้ ไม่มีไม่ได้

                           

                           

                           


                          -A-POC PLEATS-

                          เสื้อในซีรี่ส์นี้เป็นสไตล์ใหม่ที่รวมเอาความเป็นญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม ผสมความโมเดิร์นและความสมัยใหม่เข้าไป นั่นทำให้เสื้อผ้าที่ออกมาดูน่าลองและดูสนุกขึ้น เสื้อสีแดงสดที่มาพร้อมแขนแบบปีกค้างคาว

                          – ACCORDION PLEATS BOTTOM-

                          ความโมเดิร์นของทรงเสื้อและสีแดงสด ตัดกันดีกับซีรี่ส์ท่อนล่างที่บานออกและจับพลีต ซึ่งมีให้เลือกทั้งแบบประโปรงและกางเกง ใครอยากได้ความสวยแบบผู้หญิงหน่อยก็เลือกกระโปรง แต่ถ้าความคล่องตัวมาก่อนก็เลือกแบบกางเกงไปได้

                           

                           

                           


                          – HUMAN-

                          เสื้อสีส้มโดดเด่นที่ดูน่าเป็นเจ้าของนี้ อยู่ในซีรี่ส์ STRETCH PLEATS ซึ่งมาพร้อมลายพิมพ์ ‘Train’ แบบโคสอัพ พร้อมภาพประกอบตลกๆ ของผู้คนบนรถไฟ ซึ่งให้ความรู้สึกสนุกสนาน เป็นสาวขี้เล่น ตัวเสื้อแม้จะดูพอดีตัวแต่ก็ยืดหยุ่นเหมาะกับทุกกิจกรรมที่คุณอยากทำ

                          -STRETCH PLEATS-

                          กางเกงมาในสไตล์เบสิค ทำให้การแต่งตัวของคุณในฤดูร้อนดีน่าสนุกไปอีกเท่าตัว และดูเหมือนว่าถ้าจะให้เพอร์เฟ็คต้องมาพร้อมกับกระเป๋า – CRYSTAL ROCK PLEATS BAG

                           

                           


                          -CRYSTAL ROCK PLEATS BAG-

                          แม้รักความสวยความงาม แต่ผู้หญิงสมัยใหม่ก็ต้องการความคล่องแคล่วและคล่องตัว และเพื่อบวกคะแนนความเฉี่ยวของคุณ กระเป๋า CRYSTAL ROCK PLEATS จึงกลายเป็นสิ่งที่ต้องมีไว้ ตัวกระเป๋าจีบพลีตด้วยมือ มาในรูปทรงที่ได้รับแรงบันดาลใจจากคริสตัล พร้อมหูจับที่ทำจากหนังจะทำให้คุณดูเฉี่ยวขึ้นทันทีที่ถือ

                           

                          เรียกได้ว่า ไม่ว่าคุณจะชอบแบบไหน? ทั้งความโมเดิร์น ความแปลกใหม่ หรือหาเลือกที่ใส่สบายแต่ก็ดูนำเทรนด์ สำหรับคอลเลคชั่นนี้ของแบรนด์ me ISSEY MIYAKE ตอบโจทย์คุณได้ทุกแบบ เห็นแบบนี้แล้ว ต้องรีบไปจับจองเป็นเจ้าของกันได้แล้วที่ สยามดิสคัฟเวอรี่ ชั้น G

                          เว็บไซต์ : www.isseymiyake.com/me/en

                            Tags

                            วัคซีนสำหรับเด็ก

                            วัคซีนสำหรับเด็ก มีวัคซีนพื้นฐานอะไรบ้างที่ต้องฉีด ?

                            วัคซีนสำหรับเด็ก ที่เป็นวัคซีนพื้นฐาน คุณพ่อคุณแม่เช็กกันแล้วหรือยังคะว่าได้พาลูกๆ ไปรับการฉีควัคซีนครบตามช่วงอายุ พัฒนาการกันแล้วหรือยัง!! ทีมแม่ABK มีวัคซีนพื้นฐานสำหรับเด็กที่ลูกควรได้รับการฉีดวัคซีนตั้งแต่แรกเกิด ถึง 12 ปี มาบอกให้ได้ทราบกันอีกครั้งค่ะ

                            โรคภัยไข้เจ็บสมัยนี้ไม่ได้มาเล่นๆ นะคะ มาเร็วและกลายพันธุ์เร็วยิ่งกว่า 4G ฉะนั้นเพื่อสุขอนามัย และสุขภาพที่ดีของลูกน้อย รวมถึงทุกคนในครอบครัว อย่าลืมล้างมือให้สะอาด กินร้อน ช้อนกลาง ออกจากบ้านก็อย่าลืมใส่หน้ากากอนามัยกันด้วยนะคะ แต่ที่สำคัญเพื่อเป็นการสร้างเกราะภูมิคุ้มกันให้สุขภาพร่างกายลูกน้อย คุณพ่อคุณแมบ้านไหนที่ยังไม่ได้พาลูกไปรับการฉีควัคซีนพื้นฐานสำหรับเด็ก มาเช็กดูซิว่าวัคซีนเด็กอะไรที่ต้องฉีดให้ตรงกับช่วงอายุของลูก

                             

                            วัคซีนสำหรับเด็ก (วัคซีนพื้นฐานสำหรับเด็กตั้งแต่แรกเกิด – 12 ปี)

                            มาเริ่มฉีค วัคซีนสำหรับเด็ก เข็มแรกให้ลูกกันเลยค่ะ

                            1. วัคซีนวัณโรค (BCG)

                            วัคซีนเด็กเข็มนี้ถือเป็นวัคซีนบังคับที่จะต้องฉีดให้เด็กทุกคนตั้งแต่แรกเกิดเลยค่ะ โดยจะฉีดให้ก่อนพาลูกทารกน้อยกลับบ้านค่ะ

                            2. วัคซีนตับอักเสบบี (HBV)

                            มีทั้งหมด 3 เข็มที่ลูกต้องได้รับการฉีดเข้าสู่ร่างกายนะคะ เข็มเล็กนิดเดียวเจ็บเหมือนมดกัดนะลูกนะ ฉีดตอนอายุไหนบ้าง  เข็มแรกคุณหมอจะฉีดให้ลูกตั้งแต่เกิด เข็มที่ 2 จะฉีดให้ลูกตอนอายุครบ 1 เดือน เข็มที่ 3 ตามมาติดๆ ฉีดตอนลูกอายุครบ 6  เดือนค่ะ

                            3. วัคซีนคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน (DPT)

                            วัคซีนสำหรับเด็กเข็มนี้สำคัญไม่แพ้วัคซีนป้องกันโรคเข็มอื่นๆ เพราะปกป้องถึง 3 โรค ทั้งคอตีบ บาดทะทะยัก ไอกรน ซึ่ง  จะเริ่มฉีดชุดแรก 3 ครั้ง ตอนลูกอายุ 2 เดือน 4 เดือน และ 6 เดือน เมื่อฉีดครบในชุดแรกแล้ว จะมีการฉีดซ้ำเพื่อเป็นการตุ้น การทำงานของวัคซีนคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน ตอนที่ลูกอายุ 18 เดือน / ฉีดกระตุ้นครั้งที่ 2 ลูกอายุ 4-6 ปี / ฉีดกระตุ้นครั้งที่   3 ลูกอายุ 11-12 ปี

                            4. วัคซีนโปลิโอ

                            ลูกน้อยจะเริ่มได้รับวัคซีนโปลิโอครั้งแรก คือเมื่ออายุครบ 2 เดือน , อายุครบ 4 เดือน , อายุครบ 6 เดือน และจะเว้นไปจนลูก อายุได้ 18 เดือน(รับวัคซีนกระตุ้นครั้งที่ 1) จากนั้นพอลูกอายุได้ 4-6 ปี(รับวัคซีนกระตุ้นครั้งที่ 2)

                            5. วัคซีนหัด-หัดเยอรมัน-คางทูม(MMR)

                            ทั้ง 3 โรคนี้ไม่อยากให้ลูกน้อยป่วย ก็ต้องพามารับการฉีดวัคซีนให้ครบทั้ง 2 เข็มค่ะ เริ่มฉีดวัคซีนเข็มแรกตอนลูกอายุ 9-12  เดือน เข็มที่ 2 ฉีดตอนลูกอายุ 2 ปี 6 เดือน

                            6. วัคซีนไข้สมองอักเสบเจอี (JE)

                            ป่วยแล้วรักษาไม่ทันอันตรายถึงชีวิตเลยนะคุณพ่อคุณแม่ ฉะนั้นพาลูกมารับการฉีดวัคซีนไข้สมองอักเสบเจอี เริ่มเข็มแรกตอนลูกอายุได้ 9-12 เดือน ส่วนเข็มที่สองก็ตอนลูกอายุ 2 ปี 6 เดือนนะคะ

                            7. วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่

                            แต่ละปีไม่ใช่แค่เด็กๆ เท่านั้นที่ป่วย ผู้ใหญ่อย่างเราๆ วัยทำงาน วัยกลางคน วัยผู้สูงอายุก็ป่วยด้วยเช่นกัน แต่เด็กๆ จะหนักหน่อยเพราะภูมิคุ้มกันโรคยังน้อย ฉะนั้นพาลูกไปรับการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ปีละ 1 ครั้ง ตั้งแต่อายุ 6 เดือน ถึง 18 ปี โดยปีแรก ฉีด 2 เข็ม เว้นระยะห่างกัน 1 เดือน ผู้ใหญ่ก็ควรฉีควัคซีนไข้หวัดใหญ่ทุกปี เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันโรคไข้หวัดใหญ่ค่ะ

                            8. วัคซีนเอชพีวี (HPV)

                            บ้านมีลูกสาวควรต้องพาไปรับการฉีดวัคซีนค่ะ สำคัญมาก เพราะการติดเชื้อ HPV เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปากมดลูก จะเริ่มฉีควัคได้ตอนตอนลูกอายุ 11-12 ปี(ประมาณชั้นประถม 5) ฉีดทั้งหมด 2 เข็ม ซึ่งเมื่อฉีดวัคซีนเข็มแรกแล้ว ก็จะเว้นห่างกันประมาณ 6-12 เดือน ก็จะเริ่มฉีดเข็มที่ 2 ค่ะ (ตรงนี้เดี๋ยวคุณหมอเขาก็จะนัดวันมาฉีดอีกทีค่ะ

                            วัคซีนพื้นฐานสำหรับเด็กทั้ง 8 เข็มนี้ เป็นวัคซีนสำคัญที่ลูกต้องได้รับตั้งแต่แรกเกิด จนถึงอายุ 12 ปี ไม่ควรขาดตกบกพร่องเข็มใดเข็มหนึ่งไปนะคะ เพราะการได้รับวัคซีนก็เท่ากับเป็นการสร้างเกราะภูมิคุ้มกันโรคให้ร่างกายมีสุขภาพดี แข็งแรง ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยต่างๆ ด้วยโรคร้ายแรงนั่นเองค่ะ

                            ดูเหมือนแค่วัคซีนเด็ก 8 เข็มนี้ฉีดแล้วจะจบแค่นี้ ไม่ใช่นะคะ เพราะปัจจุบันนี้ยังมีกลุ่มวัคซีนเสริม สำหรับป้องกันโรคอุบัติใหม่ หรือโรคอุบัติเก่าที่อาจเกิดขึ้นซ้ำๆ ได้  ทีมแม่ABK รวมมาให้แล้วค่ะว่ามีวัคซีนเสริมอะไรบ้าง ที่ควรให้ลูกได้รับการฉีดเพิ่มเติมกันค่ะ

                             

                            อ่านต่อ วัคซีนเสริมสำหรับเด็ก ฉีดเพิ่มช่วยป้องกันโรคร้ายแรง คลิกหน้า

                             

                            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                              ลูกพูดไม่ชัด

                              ลูกพูดไม่ชัด แม่เช็กเองได้ด้วยวิธีนี้!

                              ปัญหา ลูกพูดไม่ชัด เกิดจากอะไร พูดไม่ชัดแบบไหนที่เรียกว่าผิดปกติ แล้วคุณพ่อคุณแม่จะสามารถช่วยเหลือ หรือตรวจเช็กเองก่อนไปหาหมอได้อย่างไร ตามมาดูคำแนะนำกันเลยค่า

                              ลูกพูดไม่ชัด แม่เช็กเองได้ด้วยวิธีนี้!

                              ลูกพูดไม่ชัด เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่คุณพ่อคุณแม่หลายคนมองข้าม เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยจึงไม่ได้ให้ความสำคัญ ขณะเดียวกันปัญหาดังกล่าวอาจเป็นเรื่องใหญ่ที่ส่งผลเสียต่อเด็กได้ในระยะยาวและการใช้ชีวิตในสังคม

                              พูดไม่ชัด เป็นอาการของเด็กที่พูดสื่อสารได้แล้ว แต่มีปัญหาพูดไม่ชัด เป็นความผิดปกติของของการเปล่งเสียงพูด ซึ่งเกิดขึ้นได้ทั้งในการออกเสียงพยัญชนะต้น พยัญชนะควบกล้ำ ตัวสะกด สระ และวรรณยุกต์ โดยมีการออกเสียงที่ไม่ถูกตามมาตรฐาน เช่น เด็กที่พูด คำว่า “แอ้” แทน “แม่” / “ป้อ” แทน “พ่อ” / “ฝนตด” แทน “ฝนตก”

                              สาเหตุ ลูกพูดไม่ชัด

                              1. มีความผิดปกติของโครงสร้างและการทำงานของอวัยวะที่ใช้ในการพูด ได้แก่ ปอด กล่องเสียง สายเสียง ช่องคอ เพดานอ่อน เพดานแข็ง ฟัน ปาก ลิ้นและโพรงจมูก ความผิดปกติที่พบเช่น

                                • ความผิดปกติของระบบประสาทควบคุมการพูด ที่เกิดจากเส้นเลือดสมองตีบ ตันหรือแตก หรืออุบัติเหตุที่กระทบกระเทือนสมองมีผลให้ไม่สามารถควบคุมการพูด
                                • ความผิดปกติทางการได้ยิน เด็กที่มีอาการหูตึงไม่สามารถพูดได้ชัดเจนเนื่องจากได้ยินเสียงของผู้อื่นไม่ชัด เสียงที่พูดออกมาจึงเพี้ยนไปตามเสียงที่ตัวเองได้ยิน
                                • ความผิดปกติของอวัยวะในช่องปาก ได้แก่ เอ็นยึดใต้ลิ้นสั้น ทดสอบโดยการให้แลบลิ้น ถ้าเอ็นยึดใต้ลิ้นสั้น จะแลบลิ้นไม่พ้นริมผีปากหรือ แลบลิ้นแตะมุมปากซ้าย-ขวาไม่ได้ ถ้าเอ็นยึดใต้ลิ้นสั้นมากจะไม่สามารถม้วนปลายลิ้นแตะริมฝีปากบนหรือล่างได้,และผู้ป่วยปากแหว่ง เพดานโหว่ ทำให้มีลมรั่วออกจมูก เสียงพูดอู้อี้ไม่ชัดเจน

                              Must readลูกพัฒนาการช้า โรคพ่อแม่ทำหรือ เวรกรรมของลูก

                              2. การเรียนรู้นิสัยการพูดไม่ถูก เกิดจากปัจจัยต่อไปนี้

                                • ขาดการส่งเสริมการพูดให้ถูก กรณีเด็กเล็กพูดไม่ชัดแล้วผู้ใหญ่ไม่แก้ไข กลับหัวเราะ แสดงความเอ็นดู ทำให้เด็กเข้าใจว่าการพูดไม่ชัดเป็นสิ่งที่น่ารัก น่าเอ็นดู เด็กจึงคงการพูดไว้จนติดเป็นนิสัย
                                • เด็กพูดไม่ชัดเนื่องมาจากเรียกร้องความสนใจจากพ่อแม่ กรณีครอบครัวมีลูกเล็กๆติดกัน จึงพยายามเลียนแบบการพูดไม่ชัดจากน้อง

                               

                              อ่านต่อ >> “8 วิธีเช็กลูกพูดไม่ชัดตั้งแต่วัย 2-7 ปี” คลิกหน้า 2

                               

                              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                               

                                ประจำเดือนผิดปกติ

                                ประจำเดือนผิดปกติ แบบไหนเสี่ยงเป็น “เนื้องอกมดลูก”

                                ประจำเดือนผิดปกติ รู้ไหมคะว่าเสี่ยงต่อการเกิดเนื้องอกมดลูกได้นะ ฉะนั้นเพื่อให้คุณแม่ และสาวๆ ได้รู้เท่าทันอาการผิดปกติที่มากับประจำเดือน ทีมแม่ABK จะพามาเช็กสัญญาณผิดปกติของประจำเดือนที่เสี่ยงต่อการเป็นเนื้องอกมดลูกให้ได้รู้กันค่ะ

                                 

                                ประจำเดือนผิดปกติ กับ ประจำเดือนปกติ จะรู้ได้ไง ?

                                คุณแม่และสาวๆ คนไหนที่ไม่อยากป่วยเนื้องอกมดลูก เรามาเช็กกันหน่อยค่ะว่า ประจำเดือนผิดปกติ กับ ประจำเดือนปกติ จะสังเกตและรู้ได้ยังไง ?

                                4 สัญญานบอกให้รู้ว่า “ประจำเดือนปกติ”

                                1. สี

                                สีของประจำเดือนที่ปกติจะมีสีแดงสด หรืออาจจะมีสีแดงออกคล้ำเล็กน้อย ใครที่สีของประจำเดือนออกมาสีลักษณะนี้ก็ สบายใจได้ไปเปราะหนึ่งค่ะ

                                2. ปริมาณ

                                ประจำเดือนควรมาแต่ละครั้งปริมาณเท่าไหร่ เพราะเคยได้ยินมาว่าออกน้อยดีกว่าออกมา หรือบางก็ว่าออกมามากดีกว่า ออกมาน้อย ปริมาณของประจำเดือนใน 1 รอบเดือนไม่ควรเกิน 80 CC. ใครที่ต้องเปลี่ยนผ้าอนามัยทุก 2-3 ชั่วโมงถือว่าเป็นเรื่องปกตินะคะ

                                3. อาการปวดท้อง

                                ผู้หญิงที่ไม่ปวดประเดือนถือว่าโชคดีมากๆ แต่ก็คงไม่ใช่กับทุกคน เพราะหนึ่งในนั้นก็คือทีมแม่ABK คนนี้หนึ่งคนที่มักจะมี อาการปวดประจำเดือนบ้างในช่วงวันแรกที่มา แต่ก็ไม่ถึงกับปวดทุกเดือน อาการบวดประจำเดือนก็จะเบาๆ ทนได้ ไม่ถึง ขั้นต้องนอนตัวงอเป็นกุ้ง หรือต้องกินยาแก้ปวด การปวดลักษณะนี้ถือว่าปกติ

                                4. รอบประจำเดือน  

                                ผู้หญิงควรมีประจำเดือนแค่ 1 ครั้งต่อเดือน และระยะการมีรอบเดือนควรอยู่ที่ 4-7 วันต่อครั้ง ไม่น้อยและไม่มากไปกว่านี้ ก็ถือว่าปกติค่ะ

                                 

                                4 สัญญานบอกให้รู้ว่า ประจำเดือนผิดปกติ

                                1. สี

                                สีประจำเดือนที่ผิดปกติจะออกมามีสีจางมาก หรือสีคล้ายๆ น้ำเหลือง มีกลิ่นแรง

                                2. ปริมาณ

                                โดยปกติประจำเดือนจะมีปริมาณ 80 CC ในการมาแต่ละรอบเดือน ฉะนั้นถ้าสังเกตว่าต้องเปลี่ยนผ้าอนามัยทุกๆ ชั่วโมง หรือประจำเดือนมากะปริดกะปรอย และเป็นลักษณะนี้รอบเดือนถัดๆ ไป ถือว่าเป็นสัญญาณเตือนให้ต้องรีบไปพบคุณหมอแล้วนะคะ ไม่ควรปล่อยไว้

                                3. อาการปวดท้อง

                                ประจำเดือนไม่ว่าจะรอบเดือนไหน ก็มีอาการปวดท้องมากจนตัวงอทนไม่ไหว ต้องกินยาแก้ปวดทุกครั้ง บางคนปวดจนเป็นลมเลยก็มี

                                4. รอบประจำเดือน

                                ประจำเดือนปกติไม่ควรมาเกินหนึ่งสัปดาห์นะคะ แต่ถ้าใครที่มาแต่ละครั้งปาเข้าไป 8-10 วัน หรือภายในหนึ่งเดือน ประจำเดือนมาเกิน 1 ครั้ง ให้รู้ไว้ว่าผิดปกตินะจ๊ะ

                                 

                                อ่านต่อ เช็กอาการ เนื้องอดมดลูก คลิกหน้า 2

                                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                 

                                  หน้ากากอนามัย

                                  5 เทคนิคสอนลูกใส่ หน้ากากอนามัย ป้องกันโรค ป้องกันฝุ่น ให้ได้ผล

                                  หน้ากากอนามัย กลายเป็นอาวุธสำคัญเพื่อปกป้องลูกจากเชื้อโรคร้ายอย่าง ไวรัสโคโรน่า และฝุ่นจิ๋ว PM2.5 ที่กำลังจู่โจมอย่างหนักอยู่ตอนนี้ แต่ไม่มีเด็กคนไหนชอบใส่หน้ากาก เพราะมันทั้งอึดอัด หายใจไม่สะดวก แถมเกะกะเวลาเล่น จึงไม่ยอมใส่หน้ากากง่าย ๆ แล้วแบบนี้ แม่จะทำยังไงดี !!

                                  หัดลูกใส่ หน้ากากอนามัย อย่างอ่อนโยน ไม่งอแง ไม่ดึงออก อยากใส่เอง

                                  จากสถานการณ์ของฝุ่น PM2.5 ที่พุ่งสูงขึ้นจนเกินค่ามาตรฐานในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ และยังคงสูงต่อเนื่องไปจนกว่าจะหมดหน้าหนาว การปล่อยให้ลูกน้อย ซึ่งอยู่ช่วงวัยที่ระบบทางเดินหายใจ ระบบภูมิคุ้มกันยังพัฒนาไม่เต็มที่ ทำให้ฝุ่นละอองหรือสิ่งแปลกปลอมเข้าไปถึงปอดส่วนลึกได้โดยตรง เร็ว และง่ายกว่าผู้ใหญ่ ซึ่งทำให้ร่างกายของเด็กๆเกิดอาการผิดปกติหลายอย่าง

                                  หน้ากากอนามัย
                                  เครดิตภาพ: www.middleeastmonitor.com

                                  แต่ฝุ่นพิษยังไม่ทันจาง ก็มีข่าวร้ายให้คุณพ่อคุณแม่ต้องกังวลเพิ่มอีก เมื่อเกิดการแพร่ระบาดของ ไวรัสโคโรน่า สายพันธุ์ใหม่ ในประเทศจีน ต้นเหตุของโรคปอดอักเสบ ซึ่งมีผู้ติดเชื้อนับพันคน เสียชีวิตแล้วหลักสิบคน และเริ่มแพร่ระบาดไปในหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงไทยด้วย ไวรัสชนิดนี้สามารถติดต่อได้ง่ายๆผ่านละอองจากการไอจาม ทุกคนในครอบครัวจึงจำเป็นต้องใส่ หน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันตัวจากภัยที่มองไม่เห็นนี้ เพราะคนที่ร่างกายแข็งแรงก็มีเสี่ยงติดเชื้อได้เท่ากับคนกลุ่มเสี่ยงอย่าง แม่ท้อง เด็ก และ ผู้สูงอายุ

                                  ฝุ่น PM2.5 ยิ่งหนา โคโรน่ายิ่งแข็งแรง

                                  คงไม่มีใครคิดว่า PM2.5 กับไวรัสโคโรน่าจะเกี่ยวข้องกัน แต่ความจริงอาจไม่ใช่อย่างที่คิด เมื่อเว็บไซต์ Thaipbs  ได้เผยแพร่ข้อมูล

                                  จากนายแพทย์ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เปิดเผยข้อมูลงานวิจัยทางการแพทย์ของจีนเกี่ยวกับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ว่า ฝุ่น PM2.5 กับไวรัสเป็นปัจจัยเกื้อหนุนกัน เพราะฝุ่น PM2.5 ทำให้เกิดอาการระคายเคือง เยื่อบุตา ปาก ทางเดินหายใจ

                                  หลังจากเกิดการอักเสบแล้ว ไวรัสก็เข้าสู่ร่างกายได้ง่าย การแพร่เชื้อผ่านเยื่อบุตาได้ คนจาม ไอ เข้าเยื่อบุตาได้ เอามือลูบหน้าถูกเยื่อบุตาได้ แต่ไวรัสโคโรนาตัวนี้ยังมีฤทธิ์ทำให้ร่างกายคนทั่วๆ ไป เกิดการอักเสบมากกว่าที่ควรจะเป็น แม้แต่ภูมิคุ้มกันที่ปกติจะต้องสร้างมารับมือ ก็ยังรับไม่ไหว

                                  โดยหลังจากสัมผัสโรคแล้วประมาณ 7 วัน จะมีไข้วันแรก พอวันที่ 8 เริ่ม หายใจเหนื่อย วันที่ 9 เริ่มหายใจไม่พอ หายใจลำบาก และวันที่ 10 ครึ่ง จะเข้าไอซียู ซึ่งเป็นลำดับพัฒนาการของโรค ผู้ป่วยโรคนี้ไม่ได้เสียชีวิตทุกคน แต่ข้อมูลจากจีน พบว่าถ้าไปโรงพยาบาลตอนออกอาการแล้ว มีโอกาสเสียชีวิตได้ถึง 14-15%

                                  หน้ากากอนามัย

                                   

                                   หน้ากากอนามัยแบบไหน ใช้อย่างไรบ้าง

                                  ในท้องตลาดมี หน้ากากอนามัยให้เลือกหลายแบบตามจุดประสงค์ในการใช้งาน และมีหลายขนาดให้เหมาะกับวัย ส่วนใหญ่จะแยกระหว่างหน้ากากสำหรับผู้ใหญ่ หน้ากากสำหรับเด็ก  หน้ากากอนามัยสามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภทหลัก ดังต่อไปนี้

                                  1. หน้ากากเยื่อกระดาษ 3 ชั้น

                                  หรือหน้ากากกระดาษสีเขียวที่ใส่ทั่วไปในสถานพยาบาลทั่วไป ชั้นนอกเป็นสีเขียวที่เคลือบด้วยสารกันน้ำ ชั้นกลางมีแผ่นกรองเชื้อโรค ชั้นในสุดเป็นใยอ่อนนุ่มสีขาว ซึมซับละอองจากไอจาม และน้ำมูก สามารถป้องกันเชื้อแบคทีเรีย เชื้อราได้ดี แต่ไม่สามารถป้องกันเชื้อไวรัสขนาดเล็กจิ๋วได้ ใส่แล้วต้องทิ้งในถังขยะมีฝาปิด ใช้ซ้ำไม่ได้

                                  1. หน้ากากผ้า

                                  เน้นใช้สำหรับป้องกันฝุ่นละออง และป้องกันการกระจายของน้ำมูก หรือน้ำลายจากการไอจาม แต่อาจไม่สามารถกรองเชื้อโรคขนาดเล็กมากได้ ซักด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อแล้วนำกลับมาใช้ซ้ำได้

                                  1. หน้ากาก N95

                                  หน้ากากชนิดนี้ป้องกันเชื้อโรคได้ดีที่สุด ป้องกันฝุ่นและเชื้อโรคเล็กสุดได้ถึง 0.3 ไมครอน สามารถป้องกันได้ทั้งฝุ่น PM2.5 และไวรัสโคโรน่าได้ ซึ่งต้องใส่ให้ถูกต้องและไม่มีรูรั่วใดๆ ให้อากาศภายนอกเข้าไป มีอายุใช้งาน 3 สัปดาห์ ราคาค่อนข้างสูง

                                  อ่านต่อ วิธีฝึกลูกให้ยอมใส่หน้ากากอนามัย หน้า 2

                                    โรงเรียนหลักสูตร EP

                                    10 โรงเรียนหลักสูตร EP (English Program) ยอดนิยม ในกรุงเทพฯ

                                    ปฏิเสธไม่ได้ว่า ภาษาอังกฤษ หรือภาษาจีน ในยุคปัจจุบันกลายเป็นภาษาที่มีความสำคัญที่พ่อแม่เล็งเห็นว่าควรจะให้ลูกได้ศึกษา และการให้ลูกได้เริ่มเรียนภาษาต่างประเทศนอกจากภาษาไทยตั้งแต่เด็ก เพื่อปูพื้นฐานที่ดีต่อความสำเร็จในอนาคต ซึ่งปัจจุบัน โรงเรียนหลักสูตร EP หรือที่คุณพ่อคุณแม่คุ้นหูว่าหลักสูตร English Program ถือว่าเป็นโรงเรียนที่ผู้ปกครองได้มองเป็นตัวเลือกหนึ่งสำหรับการศึกษาให้ลูกรัก ซึ่งในประเทศไทยก็มีโรงเรียนสองภาษาอยู่ไม่น้อย

                                    10 โรงเรียนหลักสูตร EP (English Program) ยอดนิยม

                                    1.โรงเรียนเลิศหล้า

                                    กลุ่มโรงเรียนเลิศหล้า เป็นโรงเรียนเอกชน ประเภทสามัญศึกษา สังกัดสำนักบริหารงานคณะกรรมการส่งเสริมศึกษาเอกชน (สช.) กระทรวงศึกษาธิการ มี 3 สาขา คือ โรงเรียนเลิศหล้า ถนนเพชรเกษม โรงเรียนเลิศหล้าถนนกาญจนาภิเษก และโรงเรียนเลิศหล้า ถนนเกษตร-นวมินทร์ เปิดสอนตั้งแต่ระดับเตรียมอนุบาลศึกษาถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยทำการสอนเป็น English Program และเป็นสถานศึกษาที่ได้รับรองมาตรฐานคุณภาพทางวิชาการจากกระทรวงศึกษาธิการประเทศแคนาดา นอกจากนี้ยังได้รับการคัดเลือกจากกระทรวงศึกษาธิการของไทย ให้เป็นโรงเรียนต้นแบบด้านศึกษาดูงานของกลุ่มโรงเรียนเอกชนที่เปิดสอนในหลักสูตร English Program หลักสูตรที่โรงเรียนใช้จึงเป็นหลักสูตรที่มีมาตรฐานสูงและเป็นที่ยอมรับ และมีการพัฒนาหลักสูตรร่วมกับสถาบันการศึกษาที่ให้การรับรองอย่างต่อเนื่อง

                                    โรงเรียนใช้เทคนิคการสอนที่เรียกว่า Immersion Methodology เพื่อให้นักเรียนได้ใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเรียน โดยใช้ครูผู้สอนที่เป็น Native English Speaker ทั้งนี้เพื่อให้นักเรียนได้เรียนรู้ภาษาอังกฤษโดยมีวิธีธรรมชาติ คุ้นเคยกับการใช้ภาษา และฝึกทักษะด้านการสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษกับคุณครูชาวต่างประเทศที่เป็นเจ้าของภาษาอย่างแท้จริง โดยจัดสัดส่วนการเรียนเป็นภาษาอังกฤษครึ่งหนึ่งของเวลาเรียนทั้งหมด ดังนี้

                                    โรงเรียนเลิศหล้า
                                    เครดิตภาพจาก www.lertlah.com
                                    • ระดับเตรียมอนุบาล – ระดับอนุบาลศึกษาปีที่ 3 เรียนเป็นภาษาอังกฤษกับครูชาวต่างประเทศครึ่งวัน ภาษาไทยกับครูไทยครึ่งวัน
                                    • ระดับประถมศึกษาปีที่ 1 – ระดับมัธยมศึกษาปีที่ 3 จัดหลักสูตรภาษาอังกฤษ (English Program) โดยนำหลักสูตรแกนกลางของกระทรวงศึกษาธิการมาใช้เป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอน มีคุณครูชาวต่างประเทศเป็นผู้ดำเนินการสอนใน 5 กลุ่มสาระ คือ กลุ่มสาระคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาต่างประเทศ สุขศึกษาและพลศึกษา การงานอาชีพและเทคโนโลยีสัดส่วนในการจัดเวลาเรียน ขึ้นอยู่กับสภาพความพร้อมทางด้านการเรียนรู้ของนักเรียนเป็นสำคัญ เพื่อให้ผู้เรียนทุกคน
                                      ได้รับการพัฒนาอย่างมีคุณภาพ

                                    มีรูปแบบการเรียนการสอนโดยเน้นวิชาการและเน้นการเรียนรู้ภาษาอังกฤษจากเจ้าของภาษา ภายใต้สังคมวัฒนธรรมและสภาพแวดล้อมที่เป็นไทย โดยนำวิถีไทย วิถีพุทธ ปรับเข้าไปในกระบวนการเรียนการสอน จัดการเรียนการสอนโดยเน้นและให้ความสำคัญด้านวิชาการผ่านกระบวนการที่หลากหลายให้นักเรียนได้ปฏิบัติจริง (Action Learning) และใช้ภาษาอังกฤษเป็นการสื่อสารอย่างถูกต้อง นำเทคโนโลยีอันทันสมัยมาปรับใช้กับการเรียนการสอน ประกอบกับการสอดแทรกคุณธรรมจริยธรรม ค่านิยมที่ดีงาม เพื่อให้นักเรียนเป็นคนดี คนเก่ง และมีความสุขในสังคมแห่งการเรียนรู้และใช้ปัญญา และทางโรงเรียนไม่มีการสอบเข้า โดยจะรับนักเรียนตามเกณฑ์อายุที่โรงเรียนกำหนด อาจจะทำการวัดความรู้ขั้นพื้นฐานด้านวิชาการเพื่อจัดกลุ่มนักเรียนในบางกรณี โรงเรียนมีนโยบายจำกัดจำนวนนักเรียนต่อห้อง

                                    โรงเรียนเลิศหล้าถนนกาญจนาภิเษก
                                    ที่ตั้งโรงเรียน : 248 ถนนกาญจนาภิเษก แขวงคลองบางพราน เขตบางบอน กรุงเทพฯ 10150
                                    โทร. 02 894 5400

                                    โรงเรียนเลิศหล้าเพชรเกษม
                                    ที่ตั้งโรงเรียน : 45 ซอยเพชรเกษม 77 แขวงหนองค้างพลู เขตหนองแขม กรุงเทพฯ 10160.
                                    โทร. 0 2809-9081-5

                                    โรงเรียนเลิศหล้าถนนเกษตร- นวมินทร์
                                    ที่ตั้งโรงเรียน : 9/29 ถนนเกษตร – นวมินทร์ แขวงนวมินทร์ เขตบึงกุ่ม กรุงเทพ 10230
                                    โทร. 2943-9436

                                    ข้อมูลเพิ่มเติม : www.lertlah.com

                                    2.โรงเรียนบีคอนเฮ้าส์ แย้มสอาด

                                    กลุ่มโรงเรียนบีคอนเฮาส์แย้มสอาด เป็นโรงเรียนสองภาษาและโรงเรียนนานาชาติชั้นนำสำหรับนักเรียนอายุระหว่าง 2-18 ปี มุ่งจัดการศึกษาในศตวรรษที่ 21 ให้กับนักเรียน เป็นหลักสูตรที่ผสมผสานองค์ความรู้วิชาการ ทักษะการใช้ชีวิต และความรู้ความเข้าใจด้าน ICT คุณครูจัดการเรียนการสอนแบบบูรณาการทักษะที่สำคัญในศตวรรษที่ 21 ได้แก่ ทักษะการคิดวิเคราะห์, การคิดเชิงสร้างสรรค์, การสื่อสาร และการร่วมมือกันทำงาน เข้าไปในหน่วยการเรียนรู้และกิจกรรมในห้องเรียน เพื่อเตรียมความพร้อมนักเรียนสู่สังคมโลกและสนับสนุนให้พวกเขาสามารถแข่งขันได้ในระดับนานาชาติ

                                    โรงเรียนบีคอนเฮ้าส์ แย้มสอาด
                                    เครดิตภาพจาก www.bys.ac.th

                                    โดยสำหรับหลักสูตร English Program มีการจัดการเรียนการสอนที่สาขา BYS Ladprao, BYS Rangsit, BYS และ Hua Hin ตั้งแต่ระดับเตรียมอนุบาลจนถึงมัธยม วิชาที่สอนภาษาอังกฤษจะสอนโดยเจ้าของภาษาและวิชาหลัก เช่น คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สอนโดยครูชาวต่างชาติ เพื่อช่วยสร้างแรงจูงใจและสิ่งแวดล้อมที่เอื้อให้นักเรียนสามารถใช้ภาษาครบทุกทักษะด้วยตนเองมากขึ้น รวมทั้งวิชาที่อยู่ในหลักสูตร อาทิ สังคมศึกษา ศีลธรรม สุขศึกษา เทคโนโลยีสารสนเทศ ดนตรี พลศึกษา ภาษาไทย

                                    โรงเรียนบีคอนเฮาส์แย้มสอาดรังสิต
                                    ที่ตั้งโรงเรียน : เลขที่ 2 ม.6 ถนนไสวประชาราษฎร์ ต.ลาดสวาย อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี 12150
                                    โทร. 0-2152-2391-3, 0-2152-2363-5 มือถือ 08-5149-3555, 08-7345-8221

                                    โรงเรียนบีคอนเฮาส์แย้มสอาดลาดพร้าว
                                    ที่ตั้งโรงเรียน : เลขที่ 90/335 ถนนวิภาวดีรังสิต ซอย 20 แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900
                                    โทร. 0-2277-5405, 0-2690-0295 มือถือ 087-496-0095

                                    โรงเรียนบีคอนเฮาส์แย้มสอาดหัวหิน
                                    ที่ตั้งโรงเรียน : 35/5 ซอยหมู่บ้านทางรถไฟฝั่งตะวันตก ตำบลหัวหิน อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 77110
                                    โทร. 032-652526 , 08-7694-6420-1

                                    ข้อมูลเพิ่มเติม : www.bys.ac.th

                                    3.โรงเรียนโชคชัย

                                    กลุ่มโรงเรียนโชคชัย ได้จัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ซึ่งเป็นหลักสูตรแกนกลางของประเทศ เป็นการเน้นพัฒนาการเรียนการสอนสู่ศตวรรษที่ 21 โดยจุดประสงค์ของหลักสูตรสถานศึกษาเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ อย่างมีประสิทธิภาพ สู่มาตรฐานสากลเพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนให้เป็น “คนเก่ง คนดี และมีความสุข” ดังนั้นเพื่อให้การจัดการเรียนการสอนของโรงเรียนโชคชัยเป็นไปตามนโยบายการจัดการศึกษาของชาติเป็นไปอย่างต่อเนื่อง จึงมีหลักสูตรในหลายรูปแบบเพื่อเป็นทางเลือกและตอบสนองความต้องการของผู้เรียน ทั้งหลักสูตร English Programme (EP) เพื่อตอบสนองการศึกษาภาคภาษาอังกฤษ หลักสูตร Intensive English Programme (IEP) ) เพื่อมุ่งเน้นความเข้มข้นทางด้านภาษาอังกฤษ และเพิ่มพูนทักษะทางภาษา  และหลักสูตรเสริม เพื่อตอบสนองและเน้นความสามารถเฉพาะทาง เช่น ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน และ Computer

                                    โรงเรียนโชคชัย
                                    โรงเรียนโชคชัย

                                    สำหรับหลักสูตร English Program โรงเรียนโชคชัยเปิดสอนหลักสูตร EP ระดับเตรียมอนุบาล อนุบาล และประถม มีการจัดการเรียนการสอนที่สาขาโรงเรียนโชคชัยลาดพร้าว โรงเรียนโชคชัยรังสิต โรงเรียนโชคชัยหทัยราษฏร์ โรงเรียนโชคชัยห้วยขวาง โชคชัยกระบี่  โดยหลักสูตร EP นักเรียนจะได้เรียนเป็นภาษาอังกฤษกับครูชาวต่างชาติเจ้าของภาษาโดยตรง ในวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคม ภาษาอังกฤษ สุขศึกษา พลศึกษา Phonics ศิลปะ computer และภาษาจีน ซึ่งมีการสอนภาษาอังกฤษมากกว่าร้อยละ 50 ของการเรียนทั้งหมด นักเรียนจะได้รับการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด มีวิธีการสอนที่หลากหลาย มีสื่อการสอนที่ทันสมัย พร้อมส่งเสริมศักยภาพของนักเรียนตามความถนัดและความสามารถ เพื่อเป็นพื้นฐานต่อไป นอกจากภาษาอังกฤษแล้ว ยังมีกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนอื่น ๆ อีกด้วย

                                    โรงเรียนโชคชัย
                                    เครดิตภาพจาก www.chokchai.ac.th

                                    โรงเรียนโชคชัยลาดพร้าว
                                    ที่ตั้งโรงเรียน เลขที่ 17/144 ถ.สุคนธสวัสดิ์ แขวงลาดพร้าว เขตลาดพร้าว กรุงเทพฯ 10230
                                    โทรศัพท์ 02-578-8282-4
                                    ข้อมูลเพิ่มเติม : www.chokchai.ac.th/ccl

                                    โรงเรียนโชคชัยรังสิต
                                    ที่ตั้งโรงเรียน : เลขที่ 9/9 หมู่ 1 ถ.รังสิต-นครนายก ต.บึงยี่โถ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี 12130.
                                    โทรศัพท์ :02-549-7201-4.
                                    ข้อมูลเพิ่มเติม : www.chokchai.ac.th/ccr

                                    โรงเรียนโชคชัยหทัยราษฏร์
                                    ที่ตั้งโรงเรียน : เลขที่ 268 ถ.หทัยราษฎร์ แขวงบางชัน เขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร 10510.
                                    โทรศัพท์ :02-117-0421 , 02-117-0422 , 02-117-2447 , 02-117-2448
                                    ข้อมูลเพิ่มเติม : www.chokchai.ac.th/cct

                                    โรงเรียนโชคชัยห้วยขวาง
                                    ที่ตั้งโรงเรียน : 535/53 ซอยประชาราษฎร์บำเพ็ญ 15 แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวางกรุงเทพมหานคร 10310
                                    โทรศัพท์ : 02-2756620
                                    ข้อมูลเพิ่มเติม : www.chokchai.ac.th/cch

                                    อ่านต่อ 10 โรงเรียนหลักสูตร EP ยอดนิยม ในกรุงเทพฯ คลิกหน้า 2

                                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่