ฝึกลูกกินข้าวเอง

ฝึกลูกกินข้าวเอง ช่วยพัฒนาการอะไรบ้าง?

ความสุขของพ่อแม่คือการได้เห็นลูกมีพัฒนาการที่ดีสมวัย ยิ่งเมื่อลูกอายุได้ 9 เดือนเขาจะเริ่มหยิบ จับ ถือสิ่งของที่น้ำหนักไม่มากได้แล้ว เพราะกล้ามเนื้อมัดเล็กมีความแข็งแรงขึ้น  ดังนั้นหากจะ ฝึกลูกกินข้าวเอง ในช่วงนี้ก็จะดีต่อพัฒนาการของลูก ทีมงาน Amarin Baby & Kids จะพาไปหาคำตอบพร้อมกันว่า ฝึกลูกกินข้าวเอง แล้วจะได้พัฒนาการในเรื่องใดกันค่ะ

ฝึกลูกกินข้าวเอง พ่อแม่ต้องส่งเสริมให้ลูก

หลังจากที่ลูกได้กินนมแม่อาหารที่ดีที่สุดมาตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 6 เดือน หลังจากนี้ก็เป็นช่วงเวลาที่แม่จะต้องเตรียมอาหาร ป้อนเสริมให้ลูกเพิ่มจากการกินนมแม่เพียงอย่างเดียว อาหารเสริมที่ป้อนให้ลูกแม่ต้องเตรียมอย่างพิถีพิถัน และต้องให้ทีละอย่าง  เพื่อดูว่าลูกจะมีอาการแพ้อาหารที่ป้อนให้หรือไม่ ซึ่งส่วนมากแล้ว ถ้าแม่เริ่มป้อนข้าวบดไข่แดงก็ควรป้อนเสริมให้ลูกวันละมื้อ  โดยที่ลูกจะกินนมแม่เป็นอาหารหลักอยู่   จนกว่าลูกมีอายุครบ 1 ขวบ จะเปลี่ยนจากการกินนมแม่ เป็นอาหารเสริม   ส่วนอาหารเสริมจะเปลี่ยนมาเป็นอาหารมื้อหลัก 3 มื้อแทนค่ะ

การป้อนอาหารเสริม เพื่อดูว่าลูกจะแพ้อาหารที่ป้อนให้หรือไม่ ให้ทำแบบนี้ค่ะ คือ ข้าวบดไข่แดง ป้อนลูกประมาณ 1 สัปดาห์  ถ้าลูกกินแล้วไม่มีอาหารผื่นแดงขึ้น แสดงว่าให้กินได้ปกติ จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นข้าวบดกับเนื้อสัตว์ชนิดอื่น หรือบดกับผัก ต่างๆ แต่หากว่าลูกมีอาการผื่นแดงขึ้นที่หน้า ลำตัว และมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ถ่ายปนเลือด อาเจียน แสดงว่าลูกมี อาการแพ้อาหารที่ป้อน อาจเป็นเนื้อปลา เนื้อหมู แพ้ข้าวโพด แพ้นมวัว เป็นต้น ซึ่งแม่ควรหยุดให้อาหารที่ทำให้ลูกแพ้นั้นลง

 

Must Read >> พัฒนาการกล้ามเนื้อ เท้าและขา ตั้งแต่ลูกแรกเกิด จนกระโดดได้

 

ตอนลูกเริ่มกินอาหารเสริมได้ พ่อแม่จะสนุกกับการป้อนข้าวลูกมาก และยิ่งถ้าลูกกินข้าวที่ป้อนให้หมด ปลื้มใจสุดๆ กันเลยใช่ไหมคะ แต่พ่อแม่จะสนุกมากขึ้นเมื่อถึงเวลาที่ลูกเริ่มถือช้อนข้าวเอง หรือใช้มือหยิบอาหารเข้าปากได้เอง ซึ่งลูกจะเริ่มใช้มือถนัดมากขึ้นก็ตอนที่อายุได้ 9 เดือนขึ้นไป  ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริมให้ลูกมีพัฒนาการกล้ามเนื้อมัดเล็กที่แข็งแรงสมบูรณ์มากขึ้น พ่อแม่ต้องไม่ปิดกั้นพัฒนาการลูกกันนะคะ  ลูกใช้มือหยิบอาหาร หรือถือช้อนตักข้าวเข้าปากแล้วหกเลอะเทอะก็อย่าไปดุลูกค่ะ

อ่านต่อ >> ให้ลูกกินข้าวเองได้พัฒนาการอะไรบ้าง? หน้า 2

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

    เงินอุดหนุนบุตร 2563

    รวมข้อมูล เงินอุดหนุนบุตร 2563 ครบตั้งแต่วิธีสมัคร จนถึง การรับเงิน

    เงินอุดหนุนบุตร 2563 สมัครเมื่อไหร่ ใช้เอกสารอะไร เช็คสิทธิ์ยังไง ติดต่อเจ้าหน้าที่ได้ทางไหน และเงินจะเข้าบัญชีวันไหนบ้าง ABK รวมข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับ เงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด 2563 ไว้ให้แล้วที่นี่ที่เดียวครบ!

    รวมข้อมูล เงินอุดหนุนบุตร 2563 ครบทุกเรื่อง!!

    โครงการเงินอุดหนุนทารกแรกเกิด เป็นอีกหนึ่งมาตรการที่ช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายเด็กแรกเกิดของคุณพ่อคุณแม่ที่อยู่ในครอบครัวยากจน เพื่อให้เด็กได้รับการดูแลให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีพัฒนาการเหมาะสมตามวัย รวมทั้งเป็นหลักประกันให้เด็กได้รับสิทธิด้านการอยู่รอดและการพัฒนาตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ซึ่งรัฐได้สนับสนุนเงินช่วยเหลือค่าเลี้ยงดูบุตรโดยจะจ่ายให้ทุกเดือนตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 6 ขวบ คนละ 600 บาทต่อเดือน

    ใครสามารถได้สิทธิ์รับ เงินอุดหนุนบุตร 2563 บ้าง?

    • คุณแม่ท้อง คุณแม่ที่มีลูก ผู้ลงทะเบียนรายเก่าที่มีสิทธิ์รับเงินอุดหนุน (รายเดิม)
    • ผู้ที่มาให้ข้อมูลรับรองสถานะของครัวเรือน (ดร.02) เพิ่มเติม ภายหลังวันที่ 30 กันยายน 2561
    • และผู้ลงทะเบียนรายใหม่ที่ผ่านการพิจารณาแล้ว และมีการบันทึกข้อมูลสมบูรณ์อยู่ในระบบฐานข้อมูลของโครงการเงินอุดหนุนฯ ภายในวันที่กำหนด

    ลงทะเบียนอุดหนุนเด็กแรกเกิดปี 2563 ได้อย่างไร ?

    สำหรับคุณแม่ที่ต้องการ ลงทะเบียนเงินอุดหนุนบุตรปี 63 ทางกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้เปิดให้ลงทะเบียนขอรับสิทธิ์เงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดปีงบประมาณ 2563 (1 ตุลาคม 62 – 30กันยายน 63) แล้ว ซึ่งใครที่เคยลงทะเบียนไว้แล้วในปีก่อนหน้า ไม่ต้องมาลงทะเบียนใหม่ โดยจะได้รับโอนเงินต่อเนื่องจนบุตรมีอายุ 6 ขวบ แต่กรณีที่ยังไม่เคยลงทะเบียนมาก่อน หรือ เพิ่งคลอดลูกในช่วงปลายปี 2562 ก็สามารถมาลงทะเบียนได้เลยที่

    >> สำนักงานเขตในพื้นที่ที่พักอาศัยอยู่ (กรุงเทพฯ)
    >> เมืองพัทยาลงทะเบียนได้ที่ศาลาว่าการเมืองพัทยา
    >> ในส่วนภูมิภาค (ต่างจังหวัด) ไปลงทะเบียนได้ที่สำนักงานเทศบาล หรือ ที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบลตามภูมิลำเนา หรือ เทศบาลใกล้บ้าน

    ทั้งนี้สามารถดาวน์โหลดเอกสารประกอบการลงทะเบียน ได้ที่นี่ >> https://csg.dcy.go.th/th/support/how-to-register

    เอกสารประกอบการ ลงทะเบียนเงินอุดหนุนบุตรปี 63 ประกอบด้วย

    1. แบบคำร้องขอลงทะเบียน (ดร.01)
    2. แบบรับรองสถานะของครัวเรือน (ดร.02)

    >>> ข้อ 1 และ 2 ขอรับได้ที่ ที่ลงทะเบียน <<<

    1. บัตรประจำตัวประชาชนของผู้ปกครอง
    2. สูติบัตรเด็กแรกเกิด
    3. สมุดบัญชีเงินฝากของผู้ปกครอง (บัญชีออมทรัพย์ธนาคารกรุงไทย บัญชีเงินฝากเผื่อเรียกธนาคารออมสิน หรือบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) อย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น)
    4. สมุดบันทึกสุขภาพแม่และเด็ก เฉพาะหน้าที่ 1 ที่มีชื่อของหญิงตั้งครรภ์ (ในกรณีที่สมุดสูญหายให้ใช้เฉพาะสำเนาหน้าที่ 1 พร้อมให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขบันทึกข้อมูลและรับรองสำเนา)
    5. กรณีที่ผู้ยื่นคำร้องขอลงทะเบียนและสมาชิกในครัวเรือนของผู้ยื่นคำร้องขอลงทะเบียน เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ พนักงานรัฐวิสาหกิจ หรือพนักงานบริษัท ต้องมีเอกสาร ใบรับรองเงินเดือน หรือหนังสือรับรองรายได้ของทุกคนที่มีรายได้ประจำ (สลิปเงินเดือน หรือเอกสารหลักฐานที่นายจ้างลงนาม)
    6. สำเนาเอกสาร หรือบัตรข้าราชการ เจ้าหน้าที่ของรัฐ บัตรแสดงสถานะหรือตำแหน่ง หรือเอกสารอื่นใดที่แสดงตนของผู้รับรองคนที่ 1 และผู้รับรองคนที่ 2

    เงินอุดหนุนบุตร 2563

    ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อมูล

     

    อ่านต่อ “วิธีเช็คสิทธิผลการลงทะเบียนด้วยตัวเอง
    และตารางการจ่ายเงินอุดหนุนบุตร ปี 2563” คลิกหน้า 2

     

    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

      โรงเรียนสาธิต

      แชร์ 11 เคล็ด(ไม่)ลับ เตรียมลูกสอบเข้า โรงเรียนสาธิต ด้วยตนเอง!

      โรงเรียนสาธิต เป็นโรงเรียนอีกหนึ่งประเภทที่พ่อแม่ผู้ปกครองอยากให้ลูกเข้าเรียน สอบติด เพราะเชื่อว่าการศึกษาที่ดีจะส่งผลต่ออนาคต จึงมุ่งแสวงหาโรงเรียนที่มีคุณภาพที่ดีที่สุดให้กับลูก

      โรงเรียนสาธิตในประเทศไทย มีทั้งโรงเรียนรัฐบาลและเอกชน โดยอยู่ภายใต้การดูแลของคณะศึกษาศาสตร์หรือคณะครุศาสตร์ของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ มีครูที่มีคุณวุฒิรวมถึงนักศึกษาจากคณะดังกล่าวมาเป็นครูฝึกสอน จึงเป็น สถานฝึกปฏิบัติการทางการศึกษาเพื่อใช้เป็นสถานที่ศึกษาวิจัยงานต่างๆ ซึ่งเป็นเสมือนห้องทดลองทางการศึกษาของมหาวิทยาลัย ซึ่งอาจมีวิธีการเรียนการสอนใหม่ ๆ และวิธีคิดที่นอกกรอบ แต่ก็ยังคงไว้ในด้านโครงสร้างการเรียนการสอนและเนื้อหาวิชาการที่ได้มาตรฐานซึ่งได้รับการยอมรับ แบ่งเป็น

      • สังกัดมหาวิทยาลัยของรัฐ
      • สังกัดมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ
      • โรงเรียนสาธิตในสังกัดมหาวิทยาลัยราชภัฏ
      • โรงเรียนสาธิตในสังกัดมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล
      • โรงเรียนสาธิตในสังกัดมหาวิทยาลัยเอกชน

      คุณพ่อคุณแม่ที่ให้ลูกได้เข้าโรงเรียนสาธิตตั้งแต่อนุบาลสามารถเรียนต่อเนื่องได้จนถึงมัธยม นักเรียนจะได้รับการเตรียมพร้อมอย่างครบครันในการเข้ามหาวิทยาลัยภายใต้กำกับดูแล โรงเรียนประเภทนี้เหมาะสำหรับผู้ปกครองที่วางแผนด้านการศึกษาของลูกแบบระยะยาว ซึ่งโรงเรียนสาธิตได้มีการสอบเข้าเพื่อจำกัดการรับนักเรียนเข้าเรียน เนื่องจากจำนวนโรงเรียนที่มีคุณภาพโดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงเรียนสาธิตของมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง มีจำนวนเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้น แต่ละแห่งก็รับนักเรียนได้จำนวนจำกัด ดังนั้นวิธีการที่ใช้คัดเลือกนักเรียนก็คือ “การสอบแข่งขัน”

      แชร์ 11 เคล็ด(ไม่)ลับ เตรียมลูกสอบเข้า โรงเรียนสาธิต ด้วยตนเอง!

      ในสนามสอบเข้าโรงเรียนสาธิตนั้นถือเป็นการสนามสอบที่มีการแข่งขันสูง เด็กที่มีความรู้และเตรียมความพร้อมมาดีย่อมมีโอกาสสอบติด การสอบเข้าโรงเรียนสาธิตจึงไม่ใช่แค่การเตรียมตัวลูกให้พร้อมเท่านั้น แต่พ่อแม่จำเป็นต้องมีส่วนร่วมไปกับลูกด้วย เว็บไซต์ www.kidsmystic.com ได้แชร์ประสบการณ์ “กว่าจะเข้าสาธิต” ที่อยากให้คุณพ่อคุณแม่รุ่นต่อ ๆ ไปสามารถนำประสบการณ์เหล่านี้ไปใช้ในการเตรียมตัวให้ลูกสอบเข้าสาธิตกันค่ะ

      สอบเข้าโรงเรียนสาธิต

      1.ตั้งเป้าเข้าโรงเรียนสาธิต

      เมื่อคุณพ่อคุณแม่มีความมุ่งมั่นให้ลูกเข้าสาธิต ขอให้มีความเชื่อว่าลูกคุณสามารถเข้าสาธิตได้ อย่าให้สภาพแวดล้อมไม่ว่าจะคู่แข่งที่เก่งกว่าลูกเรา การที่ลูกอายุน้อยกลัวสู้คนอื่นไม่ได้ หรือแม้แต่คิดว่าลูกสอบไม่ได้คือแล้วแต่ดวง มาทำลายความฝันที่จะให้ลูกเข้าสาธิต แต่ขอให้คุณพ่อคุณแม่หนักแน่นมีความเชื่อว่าลูกจะต้องสอบเข้าสาธิตได้

      2.เตรียมตัวเพื่อไปให้ถึงสาธิต

      หลายบ้านที่ตั้งเป้าให้ลูกเข้าสาธิตแล้ว จำเป็นต้องมีการเตรียมตัวลูกก่อนสอบเพื่อให้พร้อมด้วยความรู้ความสามารถในด้านต่าง ๆ ที่จำเป็น ซึ่งพ่อแม่ก็มีส่วนสำคัญที่จะเป็นโค้ช เป็นที่ปรึกษา และคอยหาเทคนิคมาสนับสนุนลูกทุกด้านเพื่อให้เด็กได้รับองค์ประกอบ 100 % เช่น ให้ลูกลองทำเนื้อหาง่ายใน 1 วันควรทำประมาณ 10 – 15 หน้า  เนื้อหายากนิดหน่อยควรอยู่ 7 – 8 หน้า  เนื้อหายากที่สุด ควรอยู่ 3 – 5 หน้า เป็นต้น ตลอดระยะเวลา 1 ปีหรือมากกว่านั้นในระหว่างที่เตรียมเข้าสู่สาธิต ลูกจะต้องตั้งใจกับการอ่านหนังสือติวมากมาย เพื่อเตรียมสอบ ขอให้ทุกคนเป็นกำลังใจให้กันและกันมาก ๆ อย่าท้อแท้และค่อย ๆ ทำตามเป้าหมายที่วางไว้

      ติวลูกเข้าสาธิตเอง

      3.กำหนดไทม์ไลน์

      เด็กก็ยังเป็นเด็ก ในบางครั้งลูกชอบเล่นสนุกจนเพลิน คุณพ่อคุณแม่ควรจัดสรรเวลา อาจทำกำหนดตารางเวลาให้เหมาะสมกับลูก สำหรับการเล่น การพักผ่อน และการมุ่งอ่านตำราให้ไม่ตึงไม่หย่อนจนเกินไป เช่น ในช่วงเวลา 2 เดือนแรกควรจะติวให้ลูกวันละ 15 นาที หลังจาก 2 เดือนถัดไปควรเพิ่มเวลาอีก 15 นาทีเพื่อฝึกเด็กให้นั่งนิ่งมีสมาธิมากขึ้น ทุก 2 เดือนเพิ่มเวลา 15 นาที จนครบ1 ชั่วโมง วันธรรมดาเวลาเหมาะสม 16.00 – 17.00  หรือ 19.00 – 20.00 วันเสาร์อาทิตย์เวลาเหมาะสม 9.00 – 10.00 และ 19.00 – 20.00 หากคุณพ่อคุณแม่สามารถทำแบบนี้ได้ทุกวันขอแสดงความยินดีล่วงหน้าเลย

      อ่านต่อ เคล็ดลับติวลูกสอบเข้าสาธิตด้วยตนเอง คลิกหน้า 2

      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

       

        Gagging

        แม่ควรรู้! Gagging หนึ่งในอาการปกติของเด็กที่กินแบบ BLW

        Gagging คือ หนึ่งในอาการปกติของเด็กที่กินแบบ BLW และ Gagging & Choking ต่างกันอย่างไร แล้วหากลูกมีอาการ gag reflex จะอันตรายหรือไม่ พ่อแม่ควรทำอย่างไร ตามมาดูกัน

        แม่ควรรู้! Gagging หนึ่งในอาการปกติของเด็กที่กินแบบ BLW

        Baby Led Weaning คือ

        เรียกสั้นๆ ว่า BLW เป็นการให้ลูกน้อยหัดกินอาหารด้วยตัวเอง ใช้มือในการควบควมหยิบจับ เอาอาหารเข้าปากเอง ซึ่งอาหารที่กินมีลักษณะคล้ายของผู้ใหญ่ (ไม่ปรุงรสในขวบปีแรก) ไม่บด ไม่ปั่น ไม่ใช้ช้อน พ่อแม่ไม่ต้องป้อน ให้อิสระในการกินอาหารตั้งแต่ทารก (เริ่ม 6 เดือนขึ้นไป) เพื่อให้ลูกรู้จักสัมผัสของอาหารนั้นๆ เรียนรู้วิธีการจัดการอาหารที่เป็นของแข็ง การเคี้ยวอาหารก่อนกลืน ก่อนใช้ช้อนเป็น และได้กำหนดความต้องการการกินได้ด้วยตัวเอง

        ทั้งนี้การให้ลูกน้อยได้ฝึกหยิบอาหารกินเอง ก็มีประโยชน์หลายอย่าง ทั้งช่วยพัฒนาทักษะการเคลื่อนไหว การฝึกใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก ความสนุกกับการกิน และยังลดเสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วนได้อีกด้วย

        Must read : [แม่อุ้มแชร์ประสบการณ์] Baby-led Weaning หนูกินเองได้จ้ะ… แม่ไม่ต้องป้อน

        ลูกกินแบบ blw ติดคอ

        ทั้งนี้ การกินแบบ blw  อาจทำให้ลูกน้อยมีอาการขย้อน (gag reflex) ซึ่งเป็นกลไกป้องกันปกติของร่างกายเพื่อไม่ให้อะไรหลุดลงไปติดคออุดทางเดินหายใจ ถือเป็นเรื่องปกติ!! นั่นก็เพื่อให้ลูกได้เรียนรู้ที่จะจัดการกับอาหาร ว่าจะกัด เคี้ยว กลืนอย่างไรให้มีประสิทธิภาพ และสามารถกลืนลงไปได้อย่างปลอดภัย

        ซึ่งอาการของ gag reflex คือ ไอ อ้วก ขย้อน สำรอก หน้าจะออกแดงๆ น้ำตาอาจไหลได้ขณะมีอาการ เด็กสามารถเปล่งเสียงร้องออกมาได้ เพราะทางเดินหายใจไม่ได้มีอะไรมาขวาง

        คลิปตัวอย่างอาการ gag reflex ของเด็กที่กินแบบ BLW

        ขอบคุณคลิปน้องอิงฟ้าวัย 9 เดือน จากแม่อีฟ เพจ กินพาเพลิน อาหารเด็ก6เดือน+

        ซึ่งแตกต่างจาก choking หรือ  (ความเสี่ยงอาหารติดคอ) สามารถเกิดได้กับทุกวัย สามารถเกิดได้กับอาหารที่แม้จะกินมาก่อนแล้วและไม่เคยมีปัญหา และสามารถเกิดขึ้นได้แม้เราจะอยู่ตรงนั้นกับลูก ซึ่งหากมีอาหารติดคอจริงๆ ลูกจะมีอาการคือจะไม่สามารถเปล่งเสียงออกมาได้เลย และจะทำท่าเอามือกำรอบๆ คอ ดิ้นทุรนทุราย หน้าจะออกเขียวๆ ดังนั้นไม่ว่าจะให้ลูกกินอาหารแบบไหน แม้พ่อแม่จะป้อนให้เองเด็กก็สามารถอาหารติดคอได้ แต่ gagging ไม่ใช่อาการนำของ choking สิ่งสำคัญคือทั้งนี้คุณพ่อคุณแม่ต้องสังเกตอาการของลูกให้ดีเสมอ หากสีหน้าเปลี่ยนไปให้รีบช่วยเหลือทันที ทั้งนี้คุณหมอยังชี้แจงถึงเรื่องนี้ว่า ถ้าเรานั่งดูอยู่ตลอดและเลือกอาหารให้เหมาะสม นั่งตัวตรงบนเก้าอี้ จะเกิดอาการ Choke (อาหารติดคอ) หรือ สำลักอาหารได้น้อยมาก

        อ่านต่อ >> “วิธีปฏิบัติเมื่อลูกมีอาการ Gagging” คลิกหน้า 2

         

        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

         

          SQ (Social Quotient)

          สร้างลูกให้มี SQ (Social Quotient) ไม่ก้าวร้าว ไม่เอาเปรียบ ส่งผลต่อความสำเร็จในชีวิตอย่างมีความสุข

          ในยุคที่สังคมปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และทำให้พฤติกรรมหรือรูปแบบการใช้ชีวิตของเราก็เปลี่ยนตามไปด้วย พ่อแม่ส่วนใหญ่ต่างก็มุ่งเน้นการพัฒนา IQ และ EQ ให้ลูกน้อย เพื่อหวังให้อนาคตได้เติบโตเป็นคนเก่งและดีในสังคม แต่รู้หรือไหมคะ กุญแจขับเคลื่อนให้ลูกประสบผลสำเร็จในชีวิตอย่างมีความสุขอีกตัวคือ SQ (Social Quotient)

          สร้างลูกให้มี SQ (Social Quotient) ความฉลาดทางสังคม
          ส่งผลต่อความสำเร็จในชีวิตอย่างมีความสุข

          SQ หรือ Social Quotient คือ ความฉลาดทางสังคม เป็นความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของผู้คนและสังคมรอบข้างได้เป็นอย่างดี มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี สามารถใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นได้ ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น เข้าใจที่มาที่ไปของการเปลี่ยนแปลงรอบตัว ยอมรับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้ และสามารถปรับตัวใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางสิ่งเหล่านี้ได้อย่างมีความสุข ซึ่งจะรวมไปถึงกายภาพในการเข้าสังคม เช่น การวางตัวในสถานการณ์ต่างๆ การแต่งตัวมีกาลเทศะ มีบุคลิกภาพที่ดี พูดจาไพเราะ เหล่านี้ถือว่าเป็นคนมีความฉลาดทางสังคมสูง

          sq social quotient

          การส่งเสริมและพัฒนาให้เด็ก ๆ มี SQ จะช่วยให้ลูกปรับตัวต่อความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ของสังคมได้ เพื่อที่จะใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขในอนาคต และส่งให้ผลให้เป็นเด็กที่มีบุคลิกภาพดี ยิ้มแย้มแจ่มใส มีมารยาทดี มีความอ่อนน้อม ให้ความร่วมมือ และรู้รับผิดชอบ ซึ่งมีการวิจัยออกมาแล้วว่า คนที่มี SQ ดีนั้นจะสามารถเข้าใจและบรรลุเป้าหมายต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี เข้ากับคนอื่นได้ดี ทำให้ได้รับความไว้วางใจจากคนหมู่มากอีกด้วย ในทางตรงกันข้าม หากมี SQ น้อยก็จะปรับตัวได้น้อย ไม่รู้ควรทำอะไรเมื่อไหร่ กับใคร อย่างไร หรือรู้สึกว่าตัวเองใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นด้วยความยากลำบาก ก็จะทำให้ชีวิตไม่เกิดความสุขขึ้นได้

          มีข้อมูลของสถาบันเทคโนโลยีคาร์เนกี้ ในการติดตามสถิติของคนที่มีไอคิวดี ที่มีการฝึกอบรมทางด้านสมอง รวมทั้งมีทักษะความสามารถในการทำงานดี พบว่าคุณสมบัติดังกล่าวทำให้คนประสบความสำเร็จเพียง 15% เท่านั้น แต่อีก 85% มาจากปัจจัยด้านบุคลิกภาพ และการปฏิบัติต่อผู้อื่น หรือที่เรียกว่าการพัฒนาทักษะความฉลาดทางสังคมที่ดี SQ จึงจัดเป็นหนึ่งใน Q ที่ได้รับการยอมรับทั่วโลกว่า มีความสำคัญต่อการประสบความสำเร็จและใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ซึ่งถ้าคุณพ่อคุณแม่ส่งเสริมให้ลูกมีพัฒนาการทางไอคิวและอีคิวที่ดีแล้ว ก็ควรส่งเสริมให้ลูกมีเอสคิวที่ดีควบคู่กันไปด้วย

          ซึ่งการเสริมสร้างและพัฒนา SQ หรือทักษะความฉลาดทางสังคมนั้นสามารถพัฒนากันได้ตั้งแต่แรกเกิด โดยคุณพ่อคุณแม่สามารถสร้าง SQ ให้เหมาะสมตามวัย เช่น

          ความฉลาดทางสังคม

          • เด็กแรกเกิด-6 เดือน เด็กในวัยนี้หากลูกน้อยได้รับการตอบสนองความต้องการได้อย่างเหมาะสมและทันที ก็จะทำให้เด็กเกิดความไว้วางใจ
          • วัย 6-12 เดือน เด็กช่วงวัยนี้พยายามแสดงความเป็นตัวของตัวเอง ซึ่งคุณพ่อคุณแม่สามารถฝึกให้ลูกรู้จักการรอคอย เช่น อยากได้อะไร ก็ต้องอดทน รอคอยได้ ไม่ต้องตอบสนองทันที
          • วัย 1-3 ปี เด็กวัยนี้สามารถรู้จักการปรับตัว สร้างความคุ้นเคยกับคนที่ไม่คุ้นเคย การพาลูกออกไปเล่นกับเด็กคนอื่นเพื่อฝึกให้ลูกเรียนรู้ความต่างจากคนรอบข้าง รู้จักสิทธิ์ในการเล่นของเล่นที่อาจต้องใช้ร่วมกัน ทำให้เด็กรู้จักการแบ่งปัน
          • วัย 3-5 ปี หรือวัยก่อนวัยเรียน เด็กในช่วงวัยนี้เริ่มมีสังคม ทั้งสังคมในโรงเรียนและจากที่อื่น พร้อมที่เล่นร่วมกับเด็กคนอื่น และเริ่มพัฒนา SQ ได้อย่างเหมาะสม

          อ่านต่อ 4 เคล็ดลับเสริมสร้างทักษะความฉลาดทางสังคมให้แก่ลูกน้อย คลิกหน้า 2

          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

            พาลูกเที่ยวสมุทรปราการ

            เช็กอิน! 7 พิกัด พาลูกเที่ยวสมุทรปราการ แบบฟิน ๆ ทั้งวัน กิจกรรมแน่น ได้ประสบการณ์เพียบ!

            ถ้าคุณพ่อคุณแม่กำลังมองหาที่เที่ยวใกล้กรุงเทพชนิดที่ไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง ง่ายกว่าเข้าไปกลางใจเมือง พาลูกเที่ยวสมุทรปราการ ถือว่าตอบโจทย์กับการหาที่ให้เจ้าตัวเล็กไปทำกิจกรรมในวันหยุดนี่กันค่ะ ห่างจากกรุงเทพฯ ไปเพียงไม่กี่กิโลเมตร จังหวัดสมุทรปราการก็มีแหล่งท่องเที่ยวและเรียนรู้เพียบ มาดูที่เช็กอินกันค่ะว่ามีที่ไหนกันบ้าง

            เช็กอิน! 7 พิกัด พาลูกเที่ยวสมุทรปราการ กิจกรรมแน่น ได้ประสบการณ์เพียบ!

            1.พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ

            พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ
            ขอบคุณภาพจาก : https://www.muangboranmuseum.com

            พาเจ้าตัวเล็กไปดูช้างเอราวัณโลหะขนาดใหญ่ที่สุดในโลกที่ พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ กันค่ะ โดยรูปปั้นช้าง 3 เศียรเป็นประติมากรรมลอยตัวที่ถูกสร้างขึ้นโดยด้วยวิธีเคาะมือแห่งแรกที่เคาะตกแต่งลวดลายเรียงต่อกันหลายแสนชิ้นด้วยความประณีตสวยงามตระการตา ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวอันมีความสำคัญและศักดิ์สิทธิ์ ที่ไม่ควรพลาดของจังหวัดสมุทรปราการ ตัวช้างรวมทั้งอาคารรองรับมีความสูงเทียบเท่าตึก 14 ชั้น

            อาคารพิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ  จัดแบ่งพื้นที่หลักออกเป็นสามส่วน ชั้นล่างสุดเป็นใต้ดินหรือบาดาล เรียกชื่อชั้นนี้ว่า “ชั้นสุวรรณภูมิ” จัดแสดงนิทรรศการและโบราณวัตถุต่างๆ ชั้นที่สองเป็นส่วนอาคารที่รองรับตัวช้างคือ “ชั้นโลกมนุษย์” และชั้นสามคือส่วนในตัวช้างเป็นส่วนที่อยู่เหนือโลกมนุษย์ขึ้นไปตามคติในไตรภูมิส่วนนี้ เรียกชื่อชั้นว่า “ชั้นจักรวาล” ที่ภายในแสดงให้เห็นความสวยงามของวิจิตรศิลป์และปะติมากรรม จัดว่าที่นี่เป็นแหล่งเรียนรู้ที่จะทำเด็ก ๆ รู้จักความเป็นไทยได้อีกที่หนึ่งเลยล่ะค่ะ

            พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ

            พิกัด : 99/9 หมู่1 ตำบลบางเมืองใหม่ อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ 10270
            โทร.  02-371-3135-6
            วันเวลาทำการ : เปิดบริการทุกวัน
            เวลาเปิด – ปิด : 09.00 – 19.00 น.
            อัตราค่าเข้า : ผู้ใหญ่ 250 บาท / เด็ก 125 บาท  (พร้อมดอกไม้ ธูป สามารถเดินชมบริเวณสวนได้โดยรอบ)

            2.Get Growing Community Farm

            GET GROWING Community Farm

            GET GROWING Community Farm จัดเป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ที่คุ้งบางกะเจ้า สนามเด็กเล่นกลางแจ้งที่สร้างโดยใช้วัสดุจากธรรมชาติทั้งหมด เป็นห้องเรียนป่ากลางเมืองของเด็ก ๆ ที่จะมาเสริมสร้างประสบการณ์ชีวิตด้วยการเรียนรู้คู่กับธรรมชาติ ให้ได้เข้าใจและสัมผัสถึงคุณค่าธรรมชาติอย่างแท้จริง ช่วยกระตุ้นให้เด็กมีความกล้าคิดกล้าลงมือเล่นด้วยจินตนาการของตัวเองผ่านของเล่นที่สร้างออกมาเป็นรูปทรงต่าง ๆ มีเสน่ห์ที่ชวนดึงดูดใจเด็ก ๆ ไม่น้อย เช่น ม้าไม้ทรอยตัวโตที่ด้านในตัวม้าที่มีให้เด็ก ๆ ได้ปีนป่าย สไลด์เดอร์ตัวเงินตัวทอง (หรือสุดแท้แต่เด็กจะจินตนาการว่าเป็นตัวอะไร) ด้านในสามารถปีนป่ายจากปากไปถึงส่วนหาง มีทางเชือกให้ไต่ไปบ้านต้นไม้ ของเล่นสุดโปรดอย่าง Zip line ที่จะพาเด็ก ๆ โหนข้ามฝั่งเป็นระยะทางหลายเมตร

            GET GROWING Community Farm
            ขอบคุณภาพจาก www.facebook.com/getgrowingcommunityfarm

            อีกโซนที่เป็นไฮท์ไลท์คือ โซนเล่นน้ำที่มีทั้งเเพ ทางเดินเชือก ที่โหน ปีนป่าย โรยตัว รวมถึงสไลด์โคลนด้วย เรื่องเลอะ ๆ เปรอะๆ นี่คือเป็นประสบการณ์ชั้นยอดของลูกเลยก็ว่าได้ เป็นอีกโซนที่เด็ก ๆ จะได้เอ็กซ์ตรีม ปล่อยพลัง เล่นเเบบอิสระไร้ขีดจำกัด เรียกว่าเครื่องเล่นแต่ชนิดทำให้เด็ก ๆ ได้ปีนป่ายเสริมพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็กมัดใหญ่อย่างเต็มที่กันเลย

            กิจกรรมส่วนใหญ่เหมาะสำหรับน้อง ๆ วัย 5 ขวบขึ้นไป ในส่วนของน้องเล็กที่ยังไม่กล้าแอดเวนเจอร์เท่าพี่โต ยังมีโซนบ่อทรายที่มีอุปกรณ์เล่นทรายให้น้อง ๆ นั่งเล่น หรือจะเลือกทำกิจกรรมเก็บไข่ไก่ที่เพิ่งออกไข่สด ๆ ร้อน ๆ เเละกิจกรรมให้อาหารสัตว์ และขึ้นชื่อว่าเป็นฟาร์มที่มีนี่พื้นที่ปลูกผักให้เช่าด้วย ตารางเมตรละ 80 บาทต่อเดือน (ขั้นต่ำ 20 ตารางเมตร) ที่เด็ก ๆ จะสามารถเรียนรู้การเป็นฟาร์มเมอร์ได้จากไร่เล็ก ๆ ของตัวเอง ที่จะต้องมาปลูกเเละเก็บผลผลิตเอง เเต่ทางฟาร์มจะคอยดูเเละรดน้ำใส่ปุ๋ยให้ และยังมีโซน workshop ที่เน้นกิจกรรมครอบครัว ประดิษฐ์สิ่งของจากวัสดุเหลือใช้ ที่ชวนให้คุณพ่อคุณแม่และเจ้าตัวเล็กมา DIY สร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์ ใช้เวลาทองร่วมกันอย่างสนุกสนาน และนอกจากความสนุกแล้ว การได้พาลูกมาที่นี่ยังช่วยพัฒนาทักษะการเข้าสังคม การแก้ปัญหาด้วยตัวเองอีกด้วย ถือว่าเป็นแหล่งเรียนรู้ที่จะทำให้วันหยุดของเด็ก ๆ มีความสุขได้อีกหนึ่งวันเต็ม ๆ กันไปเลย

            Get Growing Community Farm

            พิกัด : ซ.วัดราษฎร์รังสรรค์ บางกะเจ้า อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ 10130
            โทร. 083 136 5004
            วันเวลาเปิดปิด : เปิดทุกวัน ยกเว้นวันอังคาร
            เวลา : 09.00-17.30 น.
            ค่าเข้า ( เฉพาะโซนเครื่องเล่น ) : วันธรรมดา เด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ 150 บาท เด็กสูงกว่า 5 ขวบ 350 บาท เด็ก 0-3 ขวบฟรี ผู้ใหญ่ 50 บาท/ วันหยุด เด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ 250 บาท เด็กสูงกว่า 5 ขวบ 450 บาท เด็ก 0-3 ขวบ ฟรี ผู้ใหญ่ 100 บาท

            3.สวนสาธารณะและสวนพฤกษชาติศรีนครเขื่อนขันธ์ บางกะเจ้า

            พาลูกไปเที่ยวบางกะเจ้า และเข้าไปเรียนรู้ธรรมชาติที่สวนสาธารณะสวนศรีนครเขื่อนขันธ์กันค่ะ บริเวณนี้เป็นพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่จนได้ชื่อว่าเป็นปอดกลางเมือที่ดีที่สุดในเอเชีย ภายนสวนศรีนครเขื่อนขันธ์ มีเนื้อที่กว่า 148 ไร่ สร้างขึ้นเพื่อให้เป็นแหล่งผลิตอากาศบริสุทธิ์ สวนสาธารณะสำหรับพักผ่อนหย่อนใจและออกกำลังกายของประชาชน และเป็นที่ศึกษาระบบนิเวศของพันธุ์พืชและพันธุ์สัตว์ในท้องถิ่นและพื้นที่ใกล้เคียง นอกจากนี้ภายในยังมีหอดูนกที่ได้รับความนิยมจากนักดูนกที่ไม่ต้องการออกไปต่างจังหวัดไกล ๆ อีกด้วย นอกจากการเดินชมธรรมชาติ วิ่งออกกำลังกาย กิจกรรมที่นิยมอีกอย่างคือการปั่นจักรยานตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติ พาลูกมาเที่ยวที่นี้จะทำให้เด็ก ๆ ได้สัมผัสกับสภาพธรรมชาติของสวนที่ร่มรื่นด้วยพรรณไม้ในสวนสาธารณะ พร้อมสูดอากาศดี ๆ กันให้เต็มปอดกันไปเลย

            สวนสาธารณะและสวนพฤกษชาติศรีนครเขื่อนขันธ์

            พิกัด : 73 ซ.วัดราษฎร์รังสรรค์ บางกระเจ้า พระประแดง จ.สมุทรปราการ 10130
            เวลาทำการ : เปิดทุกวัน
            เวลา : 05:00 – 19:00 น.
            โทร. 02 461 0972

            4.ตลาดน้ำโบราณบางพลี

            ตลาดน้ำโบราณบางพลี
            ขอบคุณภาพจากเพจ : FB ตลาดน้ำโบราณบางพลี

            พาเจ้าตัวเล็กเดินเที่ยวตลาดน้ำ แวะชิมของเด็ดซื้อขนมไปฝากคุณตาคุณยายที่ ตลาดน้ำโบราณบางพลี กันค่ะ ที่นี่เป็นตลาดริมน้ำเก่าแก่ตั้งอยู่ริมคลองสำโรง ที่อยู่คู่กับชาวบางพลีมานาน ตั้งแต่ พ.ศ. 2400 อายุอานามก็กว่า 100 ปีกันเลย ตลาดอยู่ใกล้กับวัดบางพลีใหญ่ใน สามารถเข้ามาจอดรถในวัดได้ บรรยากาศภายในตลอด เป็นบ้านไม้ริมน้ำที่เปิดเป็นร้านมีทั้งของหวาน ของคาว ของใช้ ของฝากให้เลือกซื้อมากมาย มาถึงช่วงกลางวันหิว ๆ ก็แวะมาฝากท้องหาของอร่อยกินที่นี่กันเลย นั่งชิลกันชมบรรยากาศริมน้ำ ให้อาหารปลา อากาศไม่ร้อน ที่นี่ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันดับต้น ๆ อีกแห่งของจังหวัดสมุทรปราการเลยก็ว่าได้

            ตลาดน้ำโบราณบางพลี

            พิกัด : บางพลีใหญ่ จ.สมุทรปราการ 10540
            เปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่ 06:00-16:30 น.

            อ่านต่อ 7 พิกัดที่เที่ยวสมุทรปราการ คลิกหน้า 2

            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

              ออกกำลังกาย

              3 เหตุผลที่พ่อแม่ควรหมั่น ออกกำลังกาย ดูแลสุขภาพ โดย พ่อเอก

              สมัยเรียนมัธยมและมหาวิทยาลัย ผมชอบ ออกกำลังกาย เล่นกีฬามากและฟุตบอลคือกีฬาโปรด การได้เหรียญทองตอน ม.5 ผมดีใจไม่น้อยกว่าการเอ็นทรานซ์ (สมัยนั้นเรียกเช่นนี้) เข้าวิศวะได้เลย และการที่ได้แชมป์ ของเฟรชชี่คณะ ก็ทำให้ผมไม่เศร้าเสียใจไปกับเกรดเห่ยๆ ในเทอมแรกของการเรียนได้

              จบมาทำงานใหม่ๆ แม้จะไม่ได้เล่นสม่ำเสมอแต่ก็ถือว่าบ่อย เรียกได้ว่าเล่นเกือบทุกสัปดาห์ แต่พอทำงานนานเข้ายิ่งมีครอบครัวและลูก ผมก็ห่างหายจากการ เล่นกีฬา และ ออกกำลังกาย ไปเลย

              ภรรยาผมก็เช่นกัน ก่อนแต่งงานเธอจะเล่นฟิตเนสสม่ำเสมอ พอแต่งงานปุ๊บ เธอตั้งครรภ์ในเดือนแรก (อันนี้ไม่ได้โม้ ไม่อยากจะบอกว่าแทบจะ อาทิตย์แรกเลยมั้งฮะ เพราะแต่งเสร็จเราไปฮันนีมูนที่หัวหิน แล้วก็นั่นแหละครับ) ดังนั้นเธอก็แทบจะห่างหายจากการออกกำลังกายไปเลยเช่นกัน

              3 เหตุผลที่พ่อแม่ควรหมั่น ออกกำลังกาย ดูแลสุขภาพ

              ตอนที่ปูนปั้นออกมาเป็นสมาชิกครอบครัวเรา การออกกำลังกาย ของเราก็คือการเลี้ยงลูกนั่นแหละ แต่พอเรามีปั้นแป้งเป็นคนที่ 2 ผมก็เริ่มคิดเรื่องสภาพร่างกายในตอนที่ลูกโตขึ้นมา เราจะอายุมากขึ้นไปอีก (ผมแต่งงานช้า แต่งในวัย 39 ปี) แม้ภรรยาจะอ่อนกว่าผมเกือบรอบ แต่เธอก็มีแนวคิดเหมือนกันว่า

              1. เราอยากเที่ยวกับลูกตอนที่เขาวัยรุ่นให้สนุก

              ช่วงปี​ 2017 ผมเริ่มนึกถึงการกลับมา ออกกำลังกาย อย่างสม่ำเสมออีกครั้ง เพราะหลังจากผ่าตัดเอ็นเข่าขวาขาดจากการเตะบอลเมื่อเกือบ 10 ปีก่อน ผมก็แทบไม่ได้ ออกกำลังกาย ต่อเนื่องเลย ตอนนั้นผมนึกถึงตอนอุ้มปูนปั้นในวัยขวบกว่าไปเที่ยวเป็น​ backpacker ที่รัสเซีย ตอนนั้นเหนื่อยเอาเรื่อง อืมมมม … แล้วกว่าปั้นแป้งจะโต ผมจะเที่ยวกับลูกไหวมั้ย หัวใจน่ะพร้อมเสมอ… ร่างกายน่ะสิ

              ผมจึงเริ่มออกมาวิ่ง..ที่สวนเบญจฯ ฝั่งตรงข้ามออฟฟิศ เริ่มจาก​ 3 กม. เป็น​ 4 กม. วิ่งช้าๆ ไปเรื่อยๆ วิ่งแบบมีคาถาท่องในใจว่า ‘ฉันไม่รีบๆๆๆๆๆ’ วิ่งช้าแบบโดนอาแปะท่านนึงน็อครอบก็ผ่านมาแล้ว แล้ววันหนึ่ง​ เพื่อนผมสมัยมัธยม ก็ชวนไปวิ่ง fun run 5 กม​ ที่โรงเรียนตอนต้นปี​ 2018 นั่นคงเป็นจุดเริ่มต้น… จากนั้นผมมาลงวิ่ง​ 5 กม.​ 2 งาน แล้วการวิ่งออกกำลังปกติก็เพิ่มระยะขึ้นเป็น 6.. 7.. 8.. 9 กม.ตามลำดับ

              แล้วภรรยาก็เห็นว่าผลสุขภาพและร่างกายผมดูแข็งแรงขึ้นมาก เธอก็เลยมาวิ่งด้วย เราก็เริ่มสนุกจากการวิ่งตามงานเพราะมันสร้างวินัยแล้วผมลง mini เธอลง fun run พอผมขยับเป็น half เธอก็เป็น mini ล่าสุดที่ Buriram Marathon 2020 ผมลง full marathon แรก เธอก็ขยับมาเป็น half marathon แรกเช่นกัน

              2. การที่เราลงวิ่ง ออกกำลังกาย เช่นนี้มันเป็นตัวอย่างให้ลูกมองมา

              และทั้งปูนปั้นและปั้นแป้งเองก็ผ่านการวิ่ง fun run ระยะขำขำ 3.5 กม. มาแล้ว 3 งานและเราก็จะให้เขาค่อยๆ เพิ่มเป็น 5 กม. ในไม่ช้านี้ มีเด็กตัวเล็กๆ ในวัยปูนปั้นวิ่งระดับ mini กับ half ให้เราพบเห็นเป็นประจำ ซึ่งก็อาจจะเป็นตัวอย่างจากคุณพ่อคุณแม่เช่นกัน

              3. การจะดูแลลูกต้องไม่ลืมดูแลสุขภาพตัวเอง

              และการไปวิ่งมันเป็นกิจกรรมที่ไปกันได้ทั้งครอบครัว เพราะงานวิ่งต่างจังหวัดอย่างที่เราพาลูกไปร่วมวิ่งที่กาญจนบุรี เราก็ไปถึงก่อนวันหนึ่งพาเขาเที่ยว เช้าวิ่งเสร็จเราก็พาเขาเที่ยวก่อนกลับบ้าน หรือ อย่างงานที่บุรีรัมย์เราก็พาเขาไปเที่ยวด้วย แม้ภรรยาและผมจะลงระยะวิ่งที่ลูกไม่ได้ร่วมด้วยแต่เราก็พาลูกเที่ยวก่อนวันวิ่ง 1 วันเราพาลูกไปเที่ยวทั้ง ปราสาทหินพิมาย ปราสาทหินเขาพนมรุ้ง และปราสาทเมืองต่ำ ซึ่งเขาก็สนุกมาก ตอนเราวิ่งเขาก็ตื่นออกมากับคุณยายมายืนหน้าโรงแรมหวังจะโบกมือให้ปะป๊าหม่ามี้ (แต่ลุกมาสายไป ป๊ากับมี้วิ่งผ่านไปแล้ว) และวันกลับเรายังแวะพาเขาขึ้นเขากระโดงเรียนรู้หินภูเขาไฟ ดูปล่องภูเขาไฟในอดีต แวะลำตะคองชมกังหันลมผลิตไฟและอ่างเก็บน้ำ ก่อนยิงยาวกลับบ้าน

              จะเลี้ยงลูกให้ดีก็ต้องดูแลตัวเองด้วย วางกิจกรรมการออกกำลังกายดีๆ คุณจะได้ทั้งดูแลลูกและดูแลตัวเองไปพร้อมๆ กัน

              บทความน่าสนใจอื่นๆ

              6 ข้อดีที่ผมได้เรียนรู้ จากประสบการณ์ พาลูกท่องเที่ยว

              แนะนำ 4 “บอร์ดเกม” ฝึกลูกสมองไว ไหวพริบดี

              “ลูกทำผิด” เทคนิคสอนลูก แบบไม่ต้อง “ทำโทษ”


              >>แวะไปดู รอยยิ้มหวานฉ่ำ ที่มีแจกฟรีทุกวันได้ที่เฟซบุ๊ค

              หมุนรอบลูก – พี่ปูนปั้น กับ น้องปั้นแป้ง นะครับ<<

              ปูนปั้น ปั้นแป้ง พ่อเอก
              ปูนปั้น ปั้นแป้ง พ่อเอก เพจหมุนรอบลูก

               

              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                โรคยอดฮิตในเด็กแรกเกิด

                โรคยอดฮิตในเด็กแรกเกิด ที่พ่อแม่ต้องระวัง

                ลูกน้อยเปรียบเสมือนแก้วตาดวงใจของพ่อแม่ เพื่อคุณแม่รู้ตัวเองว่ากำลังตั้งครรภ์ สิ่งที่คาดหวังของคนเป็นพ่อ เป็นแม่คืออยากให้ลูกน้อยมีร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง และไม่มีโรคภัยไข้เจ็บมารบกวน แม่น้องแล็กจึงมี โรคยอดฮิตในเด็กแรกเกิด ที่จะมาบอกให้คุณพ่อ คุณแม่ระมัดระวังกัน

                Continue reading “โรคยอดฮิตในเด็กแรกเกิด ที่พ่อแม่ต้องระวัง”

                  PTSD

                  PTSD ในเด็ก วิธีรับมือ-ดูแลลูก หลังเจอเหตุการณ์รุนแรงในชีวิต

                  หมอแนะ! วิธีรับมือดูแล หลังลูกประสบเหตุการณ์รุนแรงในชีวิต (จากเหตุ ยิงกราดโคราช) ทำให้เกิดภาวะความเครียดผิดปกติ หรือเป็น PTSD ส่งผลต่อจิตใจ ทำพัฒนาการลูกถดถอย

                  PTSD ในเด็ก วิธีรับมือและดูแล
                  หลังลูก
                  ประสบเหตุการณ์รุนแรงในชีวิต

                  เรียกได้ว่าผลกระทบจากเหตุ ยิงกราดโคราช ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 30 คน นอกจากนี้ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ยังมีอาการเสียขวัญตามมาไม่หาย ซึ่งในผู้ใหญ่อาจรักษาดูแลจิตใจของตัวเองได้ แต่สำหรับเด็กที่ประสบพบเจอกับเหตุการณ์รุงแรงในครั้งนี้ อาจเป็นการสร้างรอยแผลในใจ แน่นอนว่าเด็กไม่สามารถรับมือ หรือควบคุมจิตใจและร่างกายของตัวเองให้กลับมาเป็นปกติได้เหมือนผู้ใหญ่!

                  นั่นหมายถึง…แม้เหตุการณ์จะจบลงแล้ว และตัวเด็กเองอาจไม่ได้รับการบาดเจ็บอะไรที่ร่างกาย แต่จิตใจของลูกนั้นได้รับการบาดเจ็บอย่างรุนแรงแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นภาพ หรือเสียงปืน ซึ่งลูกจะจำและฝังใจไว้ >>> ดังนั้นหากลูกน้อยของคุณกำลังประสบภาวะนี้อยู่ หรือเคยเจอเหตุการณ์รุนแรงในชีวิต สิ่งสำคัญคือพ่อแม่ต้องรู้เท่าทัน หมั่นสังเกตอาการลูกน้อยให้ดี รับมือให้เป็น ที่สำคัญควรดูแลรักษาจิตใจที่บาดเจ็บของลูกน้อยอย่างใกล้ชิด … แต่จะต้องทำอย่างไรบ้าง ตามมาดูคำแนะนำดีๆ จาก แพทย์หญิงโสรยา ชัชวาลานนท์ จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า กันค่ะ

                  ซึ่งทางทีมแม่ ABK ก็ได้ต่อสายตรงถึงคุณหมอโสรยา เพื่อขอคำแนะนำและวิธีรับมือ ภาวะ PTSD ในเด็ก เนื่องจากเราได้ไปเจอเรื่องในทวิตเตอร์แอคเค้าท์หนึ่งซึ่งเล่าถึง

                  คุณแม่และลูกน้อยวัย 4 ขวบที่หลบอยู่ในห้องน้ำในเหตุการณ์ กราดยิงโคราช จนได้รับผลกระทบทางจิตใจอย่างรุนแรง เหตุดังกล่าวทำให้ น้องไม่สามารถควบคุมร่างกายของตัวเองได้ คือ จากที่โต 4 ขวบไม่ต้องใส่ผ้าอ้อมสำเร็จรูปแล้ว กลายเป็นตอนนี้น้องควบคุมการขับถ่ายไม่ได้ มีอาการผวา กรีดร้องตอนกลางคืน กลัวห้องน้ำ ซึ่งหลังจากเหตุการณ์นี้จบลง น้องมีอาการข้างต้น จนคุณแม่ต้องพาไปพบจิตแพทย์

                  PTSD

                  โดยเรื่องนี้คุณหมอโสรยา ก็ได้อธิบายกับทีมแม่ ABK ว่า…

                  เด็กมีภาวะ PTSD หรือ สภาวะป่วยทางจิตใจ หลังเผชิญกับเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจอย่างร้ายแรง ส่งผลให้เกิดความเครียดอย่างมาก

                  >> กรณีการกราดยิงที่โคราช ถือเป็นภยันตรายที่มีความรุนแรงสูงมากต่อร่างกายและจิตใจ ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ก็เกิดความเครียดสูงตามหลังเหตุการณ์ได้  อาการทางจิตใจตอบสนองต่อเหตุการณ์ดังกล่าว ในระยะแรก จัดเป็นปฎิกิริยาที่เรียกว่า Acute Stress Disorder ซึ่งจะแสดงอาการได้หลายอย่าง เช่น ฝันร้าย กลัว รู้สึกว่าตนเองกลับไปอยู่เหตุการณ์ดังกล่าว ตกใจง่าย ไม่กล้าออกนอกบ้าน เป็นต้น อาการที่เกิดในระยะแรก หากได้รับการประคับประคองที่ดี จะค่อยๆ หายไปได้ แต่ถ้าอาการยังคงอยู่หลังเกิดเหตุการณ์นานกว่า 1 เดือน ในทางจิตเวชจัดเป็นภาวะที่เรียกว่า  Posttraumatic stress disorder (PTSD)

                  กรณีที่เป็นเด็กซึ่งไม่สามารถสื่อสารความรู้สึกได้มากนัก มักจะแสดงออกโดยมีพฤติกรรมถดถอย อย่างในกรณีนี้เคยควบคุมการปัสสาวะได้แล้ว ก็กลับกลายไปเป็นเด็กเล็กอีกครั้ง โดยเด็กไม่ได้ตั้งใจทำ ในบางรายอาจแยกตัว หรือบางคนกลับมาเล่นได้ดีเป็นปกติ แต่แสดงการเล่นสมมติที่แฝงความรุนแรงของเหตุการณ์

                  Must read : ระวังภัยเกินไปทำให้ลูกกลัว

                  Must read : รับมือความกลัวของ เด็กก่อนวัยเรียน พ่อแม่ช่วยแก้ได้เมื่อหนู “ขี้กลัว”

                   

                  เด็กเล็กที่การสื่อสารไม่ดี จะแสดงออกทางพฤติกรรม!

                  ผลกระทบต่อจิตใจ พฤติกรรม และการดำเนินชีวิตประจำวันของเด็ก หลังประสบเหตุการณ์สะเทือนใจอย่างรุนแรง >> ซึ่งในประสบการณ์เด็กแต่ละคน ย่อมพบเรื่องสะเทือนใจ แต่กรณีที่พบเรื่องสะเทือนใจที่รุนแรงเช่นนี้ เป็นความเครียดที่คนทั่วไปไม่ได้พบเจอเป็นปกติ จะทำให้เกิดผลกระทบได้มาก ในแง่จิตใจ เด็กจะมีความวิตกกังวลสูง โดยเฉพาะกังวลเรื่องความปลอดภัยของตนเองและคนที่ตัวเองรัก รวมถึงบางคนยังเสียบุคคลที่รักในเหตุการณ์อีกด้วย

                  อย่างที่กล่าวไปแล้ว เด็กเล็กๆ ที่การสื่อสารไม่ดีนัก จะแสดงออกทางพฤติกรรม เช่น พฤติกรรมถดถอยไปเป็นเด็กเล็กอีกครั้ง บางรายแยกตัว เด็กอาจแสดงออกผ่านการเล่น เกี่ยวกับความกังวลและความรุนแรง  ตกใจง่าย แสดงอาการหวาดกลัวถ้าต้องเผชิญกับ ภาพ สิ่งของ สถานที่ ที่ทำให้นึกถึงเหตุการณ์ บางรายไม่กล้าออกจากบ้าน ไม่ยอมไปโรงเรียน เพราะไม่มั่นใจในความปลอดภัย ทำให้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันได้

                   

                  อ่านต่อ >> “วิธีสังเกต PTSD ในเด็ก และการดูแลเมื่อลูกมีจิตใจบอบช้ำ
                  จากการพบเจอเหตุร้ายแรงในชีวิต
                  ” คลิกหน้า 2

                   

                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                   

                    #EatPlayLove

                    UNICEF ชวนแม่ร่วมงาน #EatPlayLove มหัศจรรย์ พลังครอบครัว

                    UNICEF ชวนคุณแม่ร่วมงานเอ็กซ์โป #EatPlayLove มหัศจรรย์ พลังครอบครัว สร้างรากฐานการพัฒนาลูกน้อยด้วยการกิน การเล่น และความรัก ที่ลานโปรโมชัน ชั้น 1 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว ระหว่างวันที่ 12-19 กุมภาพันธ์ 2563 และจะเวียนไปจัด ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลมากกว่า 11 แห่งทั่วประเทศ

                    มุมกิจกรรมภายในงาน #EatPlayLove มหัศจรรย์ พลังครอบครัว 

                    โตขึ้นหนูอยากเป็น
                    โซนกิจกรรม โตขึ้นหนูอยากเป็น

                     

                    โซนความรู้เรื่องอาหารและโภชนาการ
                    โซนความรู้เรื่องอาหารและโภชนาการ

                     

                    การใช้เวลาร่วมกันอย่างมีคุณภาพ
                    โซนความรู้เรื่อง การใช้เวลาร่วมกันอย่างมีคุณภาพ

                     

                    มุมอ่านหนังสือ
                    มุมอ่านหนังสือสำหรับครอบครัว

                     

                    โซนสมองดีมี EF
                    โซนสมองดีมี EF

                     

                    มุมถ่ายภาพครอบครัวกับหนังสือเล่มยักษ์ เป็นสัญลักษณ์ของงาน
                    มุมถ่ายภาพครอบครัวกับหนังสือเล่มยักษ์ เป็นสัญลักษณ์ของงาน

                    โดยงานดังกล่าวเป็นการจับมือกันของ องค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย  และ กลุ่มเซ็นทรัล เพื่อสร้างสรรค์โครงการ Central-UNICEF Together for Every Child” อย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 ผ่านการจัดนิทรรศการภายใต้แนวคิด #EatPlayLove กินให้เป็น เล่นให้สุด ไม่หยุดรัก ตอน “มหัศจรรย์ พลังครอบครัว” เน้นย้ำความสำคัญของครอบครัวที่มีผลต่อพัฒนาการของลูกน้อย ทั้งในด้านของการเจริญเติบโตทางร่างกายและด้านจิตใจ พร้อมเชิญ พญ.จิราภรณ์ อรุณากูร กุมารแพทย์เวชศาสตร์วัยรุ่น คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี และเจ้าของเพจเลี้ยงลูกนอกบ้าน มาพูดคุยเรื่องการเข้าใจและเลี้ยงดูลูกน้อย ร่วมด้วยตัวแทนครอบครัวรุ่นใหม่อย่าง คุณแม่แฝดสอง นานา ไรบีนา และ พอลล่า เทย์เลอร์ บัทส์เทอรี่ ที่พาหนูน้อย ลูเอลล่า มาร่วมเผยการสร้างพลังแห่งครอบครัวท่ามกลางความท้าทายในยุคดิจิทัล พร้อมแชร์แนวทางการสร้างรากฐานการพัฒนาลูกน้อยด้วยการกิน การเล่น และความรัก ที่ลานโปรโมชัน ชั้น 1 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

                    ีeat play love
                    คุณพิชัย จิราธิวัฒน์ และนายโธมัส ดาวิน

                    คุณพิชัย จิราธิวัฒน์ กรรมการบริหาร กลุ่มเซ็นทรัล กล่าวว่า “4 ปีที่ผ่านมา กลุ่มเซ็นทรัลใส่ใจเรื่องการพัฒนาเด็กอย่างต่อเนื่อง จึงมุ่งมั่นสนับสนุนโครงการ ‘Central-UNICEF Together for Every Child’  ซึ่งสอดคล้องกับโครงการ ‘เซ็นทรัลทำ’ หรือกิจกรรมเพื่อสังคมของกลุ่มเซ็นทรัล ที่มุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีอย่างยั่งยืนให้แก่พนักงานและคนทุกเพศวัยในสังคม โดยเฉพาะเด็ก สตรี คนชรา และผู้พิการ ทางกลุ่มเซ็นทรัลภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมในโครงการที่ส่งเสริมความเข้าใจเรื่องการพัฒนาเด็กในช่วงปฐมวัยอย่างถูกวิธี เพื่อให้เด็กได้เติบโตขึ้นอย่างเต็มศักยภาพต่อไป”

                    ด้านนายโธมัส ดาวิน ผู้แทนองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย กล่าวว่า “ด้วยสภาพสังคมที่เร่งรีบในปัจจุบัน ครอบครัวยุคใหม่อาจจะไม่ได้ดูแลเอาใจใส่ลูกน้อยอย่างเต็มที่ บวกกับความรุดหน้าทางเทคโนโลยีและการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้ตลอดเวลา จนอาจทำให้การใช้เวลากับลูกน้อยลงกว่าเดิม และส่งกระทบต่อการสร้างเสริมพัฒนาการของเด็ก ผลสำรวจพบว่าเกือบ 1 ใน 5 ของเด็กไทยที่อายุน้อยกว่า 4 ปี ไม่ได้อาศัยอยู่กับพ่อแม่ทั้งที่เป็นวัยที่ต้องการดูแลอย่างใกล้ชิด ในขณะเดียวกัน พ่อแม่จำนวนมากอาจยังขาดความเข้าใจที่ถูกต้องในการเลี้ยงลูก โดยยังมีพ่อแม่และผู้ดูแลเด็กเกือบครึ่งที่เห็นว่าการลงโทษทางร่างกายถือเป็นการฝึกวินัยที่ดีให้กับเด็ก ดังนั้น หนึ่งในภารกิจหลักของยูนิเซฟ คือการรณรงค์ให้ความรู้พ่อแม่ผู้ดูแลเด็กถึงวิธีการเลี้ยงดูลูกที่ถูกต้องอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงปฐมวัย เพราะเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดเนื่องจากสมองพัฒนาอย่างรวดเร็ว และเป็นโอกาสที่พ่อแม่ผู้ปกครองจะสามารถวางรากฐานการเรียนรู้ให้กับเด็กไปตลอดชีวิตได้”

                    พญ.จิราภรณ์ อรุณากูร หมอโอ๋ เพจเลี้ยงลูกนอกบ้าน
                    พญ.จิราภรณ์ อรุณากูร หมอโอ๋ เพจเลี้ยงลูกนอกบ้าน

                    พญ.จิราภรณ์ อรุณากูร กุมารแพทย์เวชศาสตร์วัยรุ่น คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี และเจ้าของเพจเลี้ยงลูกนอกบ้าน กล่าวว่า “พ่อแม่ผู้ปกครองควรเข้าใจเรื่องการทำงานของสมองของเด็กและธรรมชาติของเด็กว่า สมองของเด็กจะมีการพัฒนาส่วนอารมณ์เร็วกว่าส่วนของเหตุผล  หน้าที่ของพ่อแม่ คือการช่วยให้เด็กใช้สมองส่วนเหตุผลมากขึ้น ช่วยให้เขารู้จักควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้นผ่านการเลี้ยงลูกเชิงบวก ซึ่งมีหลักการอยู่ 4 ข้อ ได้แก่
                    1) การเข้าใจธรรมชาติของเด็ก
                    2) การมีปฏิสัมพันธ์เชิงบวก เช่น ให้เวลาคุณภาพ กับเด็ก เล่น และทำกิจกรรมกับลูก รับฟังลูก
                    3) การสื่อสารเชิงบวก การคุยกับลูกอย่างใจเย็นให้ลูกรู้สึกตนเองเป็นที่รัก มีพ่อและแม่อยู่เคียงข้าง และ 
                    4) การฝึกวินัยเชิงบวกเพื่อให้ลูกรู้จักกติกาและรู้ว่าสิ่งใดควรทำหรือไม่ควรทำ แทนที่จะลงโทษด้วยวิธีรุนแรง เช่น ตี ดุด่า ขู่ให้กลัว หรือเปรียบเทียบกับคนอื่น ซึ่งวิธีการเชิงลบนี้ จะส่งผลเสียต่อการพัฒนาสมองและอาจส่งผลต่อพฤติกรรมในระยะยาว”

                    พอลล่า เทย์เลอร์ บัทส์เทอรี่ และลูกน้อยลูเอลล่า
                    พอลล่า เทย์เลอร์ บัทส์เทอรี่ และลูกน้อยลูเอลล่า

                    ในฐานะ Friend of UNICEF พอลล่า เทย์เลอร์ บัทส์เทอรี่ คุณแม่ลูกสาม  กล่าวว่า สิ่งสำคัญ 3 อย่างที่จะช่วยให้สมองของเด็กพัฒนาได้เต็มที่ คือ โภชนาการที่ดี การเล่น และความรักและความเอาใจใส่จากพ่อแม่และครอบครัว และคนสำคัญที่จะทำให้เด็กมี 3 สิ่งนี้ก็คือพ่อแม่ และพ่อแม่ก็ยังเป็นของเล่นที่ดีที่สุดของลูกอีกด้วย เวลาลูกๆ อยากเล่นอะไร พอลล่าจะลงไปเล่นกับพวกเขาด้วยกันเลย เรื่องนี้สำคัญมากและเป็นเรื่องที่ลูกๆ จะจดจำมากที่สุดตอนที่พ่อแม่มาเล่นกับเขา”

                    คุณพ่อคุณแม่ที่สนใจสามารถร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการรณรงค์ดูแลเด็กเล็กในช่วงปฐมวัยอย่างถูกวิธี ผ่านการติดตามข้อมูลได้ที่  www.centralgroup.com และ http://www.unicef.or.th/eatplaylove

                     

                    บทความที่น่าสนใจอื่นๆ

                    เดนมาร์กสอนวิชา “ความเห็นใจผู้อื่น” ในชั้นเรียน

                    สิ่งที่ควรสอนลูก 10+1 ข้อ พ่อแม่ห้ามพลาด! เพื่อลูกมีความสุขไปตลอดชีวิต

                     

                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                     

                      อ่านหนังสือให้ลูกฟัง

                      การอ่านหนังสือให้ลูกฟังสำคัญไฉน ??

                      การอ่านหนังสือหรือนิทานเป็นกิจกรรมที่สร้างความรู้และทักษะการอ่านของเด็กๆ ได้อย่างดีและมีประสิทธิภาพ แต่รู้ หรือไม่ว่าจากผลสำรวจที่เคยสอบถามครอบครัวต่างๆ กลับพบว่า มีพ่อแม่เพียง 39 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่อ่านหนังสือให้ลูกฟังได้ทุกวัน และมีพ่อแม่ถึง 16 เปอร์เซ็นต์ที่ไม่เคยอ่านหนังสือให้ลูกฟังเลย ฉะนั้นอย่าปล่อยให้โอกาสในการพัฒนาลูก สูญเสียไป  วันนี้เรามาเรียนรู้และทำความเข้าใจเกี่ยวกับการอ่านหนังสือให้ลูกฟังกันเถอะ!

                      อ่านหนังสือให้ลูกฟัง

                      โดยปกติคุณพ่อคุณแม่หลายท่านมักคิดว่าควรอ่านหนังสือให้ลูกฟังตอนที่ลูกอยู่ในวัยที่ฟังพ่อแม่รู้เรื่องแล้ว แต่ความเข้าใจเหล่านี้ถือว่า “ผิด” ด้านสมาคมแพทย์สหรัฐอเมริกาแนะนำว่าควรอ่านหนังสือให้ลูกฟังทุกวัน เริ่มได้ตั้งแต่ลูกอายุ 6 เดือน  ซึ่งเป็นวัยที่เขาเริ่มสนใจสิ่งรอบตัว และมักเพลิดเพลินเมื่อได้ดูหนังสือกับคุณพ่อคุณแม่ แต่จะเริ่มเร็วกว่านั้นก็ได้ เพราะยิ่งพูดคุยกับลูกโดยตรงเท่าไรก็ยิ่งส่งผลดีต่อการเติบโตและพัฒนาการมากขึ้นเท่านั้น และการอ่านยังเป็นการเปิดโอกาสให้เราได้ใกล้ชิดและมีปฏิสัมพันธ์กับลูกได้ง่ายที่สุดอีกด้วย

                      อ่านหนังสือให้ลูกฟัง

                      เทคนิคการอ่านหนังสือที่ดี คือคุณพ่อคุณแม่ควรอ่านหนังสือให้ลูกฟังตามเวลาที่เคยอ่านทุกวัน ซึ่งอาจมีวันละหลายรอบก็ได้ โดยตอนลูกน้อยยังอายุไม่กี่เดือน คุณพ่อคุณแม่จะอ่านอะไรให้ลูกฟังก็ได้ เพราะเขายังเล็กเกินที่จะเข้าใจเนื้อหา แต่สิ่งที่ลูกชื่นชอบมากเป็นพิเศษคือรูปภาพที่มีสีสันสดใส และสีที่ตัดกันของหนังสือ ซึ่งภาพลักษณะนี้มักพบในหนังสือนิทานและหนังสือภาพสำหรับเด็ก ซึ่งภาพประกอบไม่ควรซับซ้อนมากเกินไป เนื่องจากเด็กเล็กแยกไม่ได้ว่าภาพสองมิติขนาดเล็กที่เห็นในหนังสือกับของจริงที่มีสามมิติคือสิ่งเดียวกัน

                      อ่านหนังสือให้ลูกฟัง

                      นอกจากนี้ควรอ่านหนังสือให้ลูกฟังซ้ำ ๆ เพราะลูกรักต้องใช้เวลาในการเรียนรู้ ต้องฟังซ้ำหลาย ๆ ครั้งจึงจะเข้าใจ และเมื่อลูกรักโตขึ้นคุณพ่อคุณแม่ควรให้ลูกมีส่วนร่วมในการอ่าน โดยการอ่านตามสิ่งที่ลูกสนใจหรืออ่านตามการตั้งคำถามของลูก เพื่อช่วยให้ลูกมีส่วนร่วมในกระบวนการอ่าน ชี้ชวนดูภาพในหนังสือ พูดคุยเกี่ยวกับรูปภาพเรื่องราว และพูดทวนคำที่พบบ่อยๆ หรือเปลี่ยนเสียงตามตัวละครหรืออารมณ์ที่เกิดขึ้นในหนังสือ

                      อ่านหนังสือให้ลูกฟัง

                      อย่างไรก็ตามเรื่องของการอ่าน ไม่ควรทำให้เป็นเรื่องวิชาการ หรือทำบรรยากาศให้เครียด ไม่ควรเคี่ยวเข็ญสอนเรื่องตัวอักษร การสะกดคำในช่วงวัยเด็กเล็ก เพราะจะทำให้ลูกรู้สึกไม่มีความสุข ไม่สนุกกับการอ่าน จนอาจทำให้ลูกน้อยไม่ชอบการอ่านได้ ดังนั้นสิ่งสำคัญคือการสร้างบรรยากาศการอ่านให้มีความสุข สนุก และเน้นการสื่อสารพูดคุยกับลูกมากกว่า เพราะการฟังคุณพ่อคุณแม่อ่านและดูภาพในหนังสือตามจะช่วยให้ลูกค่อยๆ เชื่อมโยงการอ่านออกเสียงกับคำที่ปรากฏบนหน้ากระดาษได้เอง

                       

                      นอกจากนี้คุณพ่อคุณแม่ควรอ่านหนังสือนิทานให้ลูกฟังด้วยตนเอง เพราะเป็นการสร้างปฏิสัมพันธ์กับลูก ซึ่งดีกว่าการฟังนิทานจากซีดี ดูทีวี หรือมือถือ เพราะสื่อเหล่านี้ล้วนเป็นการสื่อสารทางเดียว  ลูกรักไม่ได้ฝึกทักษะรอบด้าน แถมยังทำให้เสียสายตา และส่งผลเสียต่อพัฒนาการลูกอีกด้วย

                      อ่านหนังสือให้ลูกฟัง

                      หากคุณพ่อคุณแม่ท่านไหนสนใจเกี่ยวกับเคล็ดลับในการอ่าน และเรื่องราวดีๆ จากการอ่านสามารถติดตามได้ที่แฟนเพจเฟซบุ๊ก thehappyread หรือ www.thehappyread.com ซึ่งจัดกิจกรรมส่งความรู้ สร้างความสุขปี 2 อยู่ โดยเป็นโครงการระหว่างบริษัทอมรินทร์ พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) และบริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ที่มีทั้งกิจกรรมแจกหนังสือให้แก่เด็กๆ มากกว่า 57 โรงเรียนทั่วประเทศ รวมทั้งมีกิจกรรม Book Talk แบ่งปันประสบการณ์จุดประกายรักการอ่านจากนักร้องนักแสดงชื่อดัง ให้น้องๆ เห็นความสำคัญของการอ่าน คุณพ่อคุณแม่อาจลองฟังเทคนิคดีๆ และนำมาปรับใช้กับลูกน้อย หรือท่านใดสนใจอยากส่งต่อความรู้ให้น้องๆ สามารถบริจาคหนังสือได้โดยติดต่อเว็บไซต์ด้านบนเลยค่ะ มาร่วมกันเป็นกำลังสำคัญส่งเสริมเด็กไทยรักการอ่าน เพื่ออนาคตที่ดีของชาติกันค่ะ

                      อ่านหนังสือให้ลูกฟัง

                        แพคเกจคลอดลูก 2563

                        รวม แพคเกจคลอดลูก 2563 กว่า 40 รพ.เอกชน ทั่วกทม.

                        รวม แพคเกจคลอดลูก 2563 ค่าคลอด ทั้งแบบ ผ่าคลอด และ คลองเองแบบธรรมชาติ ค่าคลอดเหมาจ่าย แพคเกจคลอด ปี 2563 กว่า 40 รพ. ทั่วกทม. จะมีที่ไหนราคาเท่าไหร่บ้างไปดูกัน

                        รวม แพคเกจคลอดลูก 2563
                        ค่าคลอดเหมาจ่าย กว่า 40 รพ. ทั่วกทม.

                        สำหรับคุณแม่ท้องใกล้คลอดที่มีกำนดคลอดลูกน้อยในปี 2020 นี้ แม่ฮันน่าห์ได้รวบรวม ค่าคลอดลูก ราคาแพ็คเกจคลอดลูก 2563 ค่าคลอดเหมาจ่าย มาฝากค่ะ กับโรงพยาบาลเอกชน กว่า 40 แห่ง ทั่วกทม. สำหรับครอบครัวไหนที่มีแพลนจะมีลูก และตั้งใจจะฝากครรภ์กับโรงพยาบาลในกทม. หากอยากทราบราคาค่าคลอดลูกด้วย ก็สามารถศึกษาดูข้อมูลที่นำมาให้ทราบนี้กันก่อนได้นะคะ

                        ทั้งนี้ แพคเกจคลอดลูก 2020 จากตารางด้านล่าง เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่ดูหาชื่อโรงพยาบาลได้ง่าย แม่ฮันน่าห์จึงได้ทำการเรียงรายชื่อโรงพยาบาล ตามตัวอักษร ก-ฮ ไว้ให้นะคะ สามารถเช็กดูกันได้เลยค่ะ

                        หมายเหตุข้อควรรู้ทำความเข้าใจเรื่องราคาค่าคลอดลูก : ทุกโรงพยาบาล จะมีหมายเหตุคือขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงราคาแพคเกจคลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ซึ่งข้อมูล แพคเกจคลอดลูก 2563 ที่ทีมแม่ ABK ได้รวบรวมของแต่ละโรงพยาบาลมานี้ จึงอาจมีการเปลี่ยนแปลงคลาดเคลื่อนในภายหลังได้ ตามความเหมาะสมหรือเพิ่มเติมแล้วแต่กรณี (ตั้งครรภ์ไม่ปกติ) … ดังนั้น ก่อนที่คุณแม่ๆ จะเข้ารับบริการ ควรตรวจสอบ หรือ โทรถามรายละเอียดเพิ่มเติมของ แพคเกจคลอด ปี 2563 ของแต่ละโรงพยาบาลที่ต้องการใช้บริการกันอีกครั้งด้วยนะคะ ตามข้อมูลที่ระบุไว้ด้านล่างนะคะ

                        (หากต้องการขยายดูภาพขนาดใหญ่เต็มตาคลิกที่ภาพได้เลยค่ะ)

                        แพคเกจคลอดลูก 2563

                        แพคเกจคลอดลูก 2563

                         

                        ดูต่อ ราคาแพคเกจคลอดลูก 2563 คลิกหน้า 2

                        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                         

                          วิธีทำแอลกอฮอล์เจลล้างมือ

                          วิธีทำแอลกอฮอล์เจลล้างมือ ฆ่าเชื้อโรค ไว้ใช้เองที่บ้าน

                          วิธีทำแอลกอฮอล์เจลล้างมือ มีคุณพ่อคุณแม่ขอกันเข้ามาเยอะเลยค่ะ เนื่องจากช่วงนี้เจลล้างมืออนามัยขาดตลาด ค่อนข้างหาซื้อได้ยาก ซึ่งวันนี้ทีมแม่ABK จะมาแนะนำสูตรวิธีทำแอลกอฮอล์เจลล้างมือ จากกระทรวงสาธารณสุข ขอบอกว่าทำไว้ใช้ที่บ้านได้ง่ายๆ  แถมประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อโรคก็ดีมากๆ ด้วยค่ะ

                          ก่อนอื่นขอเท้าความไปว่าทำไมตอนนี้สินค้าจำพวกสุขอนามัยที่มีคุณสมบัติป้องกัน และ ฆ่าเชื้อโรค antibacterial ไม่ว่าจะเป็นหน้ากากอนามัย ทิชชูเปียก สบู่ ครีมอาบน้ำ(สูตรแอนตี้แบคทีเรีย) และเจลล้างมืออนามัย ถึงได้เป็นที่ต้องการของทุกคน จริงๆ ก็มีความต้องการใช้กันทั่วโลกแล้วล่ะตอนนนี้ ยิ่งความต้องการมาก ผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้ก็ผลิตออกมาไม่ทันต่อความต้องการใช้ของทุกคน ใช่ไหมคะ

                           

                          วิธีทำแอลกอฮอล์เจลล้างมือ ฆ่าเชื้อโรค ป้องกันไวรัสโคโรนา

                          ไวรัสโคโรนา ที่มาของความต้องการดูแล ป้องกัน รักษาความสะอาด ไวรัสโคโรนา (Novel Coronavirus 2019) เป็นไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ที่สามารถแพร่เชื้อจากคนสู่คนได้ ผ่านระบบทางเดินหายใจ ไม่ว่าเป็นการหายใจรดใส่กัน การสัมผัสกับละอองน้ำลายของผู้ที่มีเชื้อไวรัสโคโรนา ตรงนี้ขอบอกว่าน่ากังวลมาก เพราะการใช้ชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะออกไปทำงาน ไปซื้อของที่ตลาด ไปท่องเที่ยว หรือเดินทางโดยสารทุกรูปแบบ (เรือ รถไฟ เครื่องบิน ฯลฯ) เราอาจอยู่ใกล้ หรืออยู่ท่ามกลางคนที่กำลังป่วยด้วยเชื้อไวรัสโคโรนา เพราะคนที่ป่วยจากเชื้อไวรัสฯ นี้ จะยังไม่แสดงอาการให้รู้ตัวว่าป่วย เนื่องจากไวรัสฯ จะใช้ระยะฟักตัวอยู่ในร่างกายประมาณ 14 วัน ก่อนที่จะแสดงอาการป่วยออกมาค่ะ

                           

                          แล้วจะรู้ได้ยังไงว่ามีอาการติดเชื้อไวรัสโคโรนา ?

                          ทีมแม่ABK มีข้อมูลจากกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้อธิบายอาการไว้อย่างชัดเจน ให้เราสามารถสังเกตตัวเราเอง คนในครอบครัว หรือคนรอบข้างใกล้กับเรา ดังนี้ค่ะ

                          • มีไข้
                          • ไอเจ็บคอ
                          • มีน้ำมูก
                          • หายใจเหนื่อยหอบ

                          ฉะนั้นหากพบว่ามีอาการแสดง 1 ในนี้ ควรรีบไปพบแพทย์ทันทีค่ะ สำหรับไวรัสโคโรนา ถ้าได้รับการดูแลรักษาอย่างทันท่วงที และถูกวิธีตามแนวทางการรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ก็สามารถหายป่วยกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติค่ะ แต่ก็ได้ข่าวมาว่า คนที่เคยป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนา ก็มีโอกาสกลับมาป่วยได้อีก หากมีการได้รับเชื้อเข้ามาอีกครั้ง ทีมแม่ABK คิดว่าเราทุกคนกังวลได้ แต่ต้องตั้งสติแล้วมารับมือกับเจ้าไวรัสร้ายตัวนี้กันดีกว่าค่ะ ซึ่งวิธีง่ายๆ คือการดูแลรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง และรักษาความสะอาดของร่างกาย ที่ทำได้ง่ายและบ่อยๆ ตลอดวันก็คือ “การล้างมือ”

                           

                          อ่านต่อ วิธีทำแอลกอฮอล์เจลล้างมือ ฆ่าเชื้อโรค ป้องกันไวรัสโคโรนา หน้า 2

                           

                          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                           

                            หนังสือเด็ก

                            เด็กวัยไหน…อ่านอะไรดี ?

                            ระยะเวลาตั้งแต่เกิดจนถึง 5 ปีแรกของชีวิต เป็นช่วงเวลาแห่งการเจริญเติบโตและเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้มากมาย ดังนั้นการอ่านหนังสือให้ลูกฟังจะทำให้เขาฉลาดและรอบรู้มากยิ่งขึ้น ที่สำคัญกว่านั้นคือบรรยากาศที่สนุกและมีความสุข จะสร้างความทรงจำที่ดีเกี่ยวกับการอ่าน แต่จะดีขึ้นอีกหากคุณพ่อคุณแม่รู้ว่าวัยไหนเหมาะกับกิจกรรมการอ่านแบบไหน เพื่อช่วยกระตุ้นพัฒนาการของลูกได้ดียิ่งขึ้น

                            หนังสือเด็ก

                            • การอ่านกับลูกน้อยแรกเกิด

                            ตามธรรมชาติของเด็กวัยไม่ถึง 1 ขวบ มักชอบเรื่องราวที่มีจังหวะ คำคล้องจอง และคำซ้ำๆ ซึ่งการใช้คำเหล่านี้จะช่วยให้ลูก เรียนรู้ภาษาได้ดีมาก สำหรับหนังสือที่เหมาะกับวัยนี้ควรมีลักษณะนุ่ม ไม่ใหญ่เกินไป ไม่บาดมือ ไม่มีขอบคม สามารถกัดหรือเอาเข้าปากได้ ภาพประกอบควรมีสีสันสดใสดึงดูดความสนใจ ลายเส้นไม่ซับซ้อน หนังสือที่มีลูกเล่น เช่น มีเสียง หรือหนังสือที่ มีใบหน้าคนหรือสัตว์เด็กจะชอบมากเป็นพิเศษ

                            หนังสือเด็ก

                            • การอ่านกับลูกน้อยวัย 1-3 ขวบ

                            เด็กวัย 1-3 ขวบ ยังคงชอบหนังสือที่มีจังหวะ คำซ้ำๆ และคำคล้องจองเช่นเดียวกัน แต่วัยนี้จะเริ่มพูดโต้ตอบ มีส่วนร่วมและเข้าใจคำต่างๆ มากยิ่งขึ้น หนังสือที่เหมาะกับเด็กวัยนี้ควรเป็นหนังสือที่มีขนาดเหมาะมือ ขอบมน ไม่คม ภาพประกอบรายละเอียดไม่มาก ตัวหนังสือน้อย มีลูกเล่น เช่น ป๊อปอัพ เป็นต้น เนื้อหาเกี่ยวกับอาหาร พาหนะ สัตว์ นางฟ้า เจ้าหญิง หรือหนังสือที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับกิจกรรมที่เขาเคยทำ ส่วนการเล่าพ่อแม่ควรมีอารมณ์ร่วมไปกับตัวละครจะทำให้เด็ก ๆ สนุกมากยิ่งขึ้น

                            หนังสือเด็ก

                            • การอ่านกับลูกน้อยวัย 3-5 ขวบ

                            เด็กวัย 3-5 ขวบ จะเริ่มแสดงออกว่าอยากให้พ่อแม่สนใจ ชอบฟังคำชม ในช่วงนี้เป็นช่วงที่เด็กๆ หลายคนเริ่มไปโรงเรียนทำให้มีเวลาอยู่กับคุณพ่อคุณแม่น้อยลง ช่วงเวลาอ่านนิทานนี่แหละคือช่วงเวลาทองระหว่างคุณกับลูก ซึ่งหนังสือที่เหมาะสำหรับวัยนี้ ได้แก่ หนังสือที่มีเนื้อหาหลากหลายมากขึ้น เช่น หนังสือตัวอักษร คือ การนับจำนวน ความแตกต่างของรูปทรงต่าง ๆ หนังสือเกี่ยวกับเพื่อน ครอบครัว หรือการไปโรงเรียน หนังสือนิทานที่มีเรื่องราวไม่ซับซ้อน คือ เน้นเป็นคำกลอนคล้องจอง เป็นต้น

                            จากที่กล่าวไปข้างต้นจะเห็นได้ว่าเด็กแต่ละวัยต้องการหนังสือที่เหมาะสมกับพัฒนาการแตกต่างกันไป ฉะนั้นคุณพ่อคุณแม่ อย่าลืมนำเทคนิคการเลือกหนังสือเหล่านี้ไปปรับใช้กับลูกน้อย เพราะพัฒนาการที่เหมาะสมตามวัยจะส่งเสริมให้เขาฉลาด ยิ่งขึ้น

                            หนังสือเด็ก

                            รู้หรือไม่ ? : เด็กที่ช่างถามจะมีกระบวนการคิดมากกว่า ซับซ้อนกว่า และมีความอยากรู้อยากเห็น เพราะในหนังสือมีเรื่องน่ารู้ เยอะแยะ หนังสือคือการเปิดโลกกว้างให้เด็กได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ และหากมีการต่อยอด เขาจะไม่ได้ค้นคว้าแค่ในหนังสือ แต่เขาจะค้นคว้าในชีวิตจริงเพื่อให้รู้ว่าโลกนี้มีอะไรบ้าง

                            หนังสือเด็ก

                            หากคุณเป็นคนหนึ่งที่สนใจกิจกรรมเกี่ยวกับการอ่าน หรืออยากทราบเคล็ดลับการอ่านดี ๆ สามารถติดตามโครงการส่งความรู้ สร้างความสุข โครงการดี ๆ เกี่ยวกับหนังสือและการอ่านที่ได้รับความร่วมมือระหว่างบริษัทอมรินทร์ พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) กับบริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) สามารถรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการได้ที่ FB : thehappyread หรือ www.thehappyread.com หรือคุณพ่อคุณแม่ท่านใดมีลูกน้อยที่เรียนอยู่ในโรงเรียนที่ร่วมโครงการ อย่าลืมชวนลูกน้อยเข้าชมรมรักการอ่าน เพื่อสร้างนิสัยรักกันอ่านกันเถอะ

                            หนังสือเด็ก

                              อ่านนิทาน

                              ปู่ย่าตายาย “อ่านนิทาน” ให้หลานได้อะไรมากกว่าที่คิด

                              “นิทาน” เป็นเครื่องมือส่งเสริมพัฒนาการเด็กที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าได้ผลดี อย่างไรก็ตามสังคมปัจจุบันเป็นสังคมที่ต้องใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบ ทำให้คุณพ่อคุณแม่มักไม่มีเวลาอ่านนิทานให้ลูกฟังอย่างสม่ำเสมอ และหากไม่มีเวลาอ่านอย่างสม่ำเสมอ ลูกก็ไม่ได้ประโยชน์หรือได้ประโยชน์ไม่เต็มที่

                              ขณะเดียวกันในบางครอบครัวคุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยายคือคนที่มีเวลาได้อยู่ใกล้ชิดกับหลานมากที่สุด และหากให้ปู่ย่าตายายอ่านหนังสือนิทานคำคล้องจองให้หลานฟังอย่างต่อเนื่องเพียงวันละ 1 เรื่อง สัปดาห์ละ 5 วัน ติดต่อกัน 12 สัปดาห์ (3 เดือน รวม 60 ครั้ง) ผลลัพธ์ที่ได้คือ หลาน ๆ จะพูดคล่อง รู้คำศัพท์หลากหลายขึ้น  อีกทั้งปู่ย่าตายายก็ได้ประโยชน์ไปด้วย เพราะการอ่านนิทานให้หลานฟังอย่างสม่ำเสมอจะช่วยชะลอความเสื่อมของความจำระยะสั้นในผู้สูงอายุ เรียกได้ว่าได้ประโยชน์คูณสองเลยทีเดียว

                              อ่านนิทาน

                              สำหรับนิทานคำคล้องจองควรเน้นเป็นคำไทย คำสั้นๆ มีโทนสูงต่ำฟังง่ายคล้ายเสียงดนตรี เช่น เรื่อง “อีเล้งเค้งโค้ง” ซึ่งจะช่วยให้เด็กจดจำได้ง่ายขึ้น ส่วนผู้สูงอายุก็มักจะคุ้นเคยกับคำคล้องจองและตัวอักษรขนาดใหญ่อยู่แล้ว ทั้งนี้จะเป็นนิทานอื่นก็ได้ ขอเพียงให้มีคำสั้น ๆ ง่าย ๆ เหมาะกับวัยของเด็ก ส่วนการอ่านไม่จำกัดสไตล์ สามารถสร้างสรรค์วิธีการอ่านให้มีสีสันเพื่อเพิ่มความสนุกในการอ่านให้กับเหล่าหลานๆ ตัวน้อยได้

                              นอกจากนี้การอ่านนิทานยังผูกผันคนสองวัยเข้าด้วยกัน เนื่องจากทั้งสองฝ่ายต่างมีปฏิสัมพันธ์กัน ซึ่งความสัมพันธ์อันดีนี้จะทำให้เด็กรู้สึกดีกับปู่ย่าตายาย เขาจะไม่รู้สึกว่าหรือมองว่าปู่ย่าตายายเป็นเพียงคนแก่ที่น่าเบื่อหรือน่ารำคาญ เมื่อเด็กรับรู้ถึงความรู้สึกหรือความสำคัญที่ดี สิ่งนี้จะอยู่ในตัวเข้าไปจนโต ส่งผลให้ช่องว่างระหว่างวัยในช่วงวัยรุ่นจะลดลงไปด้วย

                              อ่านนิทาน

                              วิธีที่จะช่วยพัฒนาสติปัญญาและความฉลาดของลูกน้อยได้ คือ การพูดคุยและเล่านิทานให้ฟังเป็นประจำ ซึ่งจะเสริมสร้างให้เขาเป็นคนช่างคิด ช่างถาม และพร้อมที่จะเรียนรู้ในทุกๆ เรื่อง

                              อ่านนิทาน

                              อยากรู้ข้อมูลดีๆ เกี่ยวกับหนังสือสำหรับลูกน้อย พร้อมเคล็ด (ไม่) ลับสร้างแรงบันดาลใจในการอ่าน เสริมความรู้และพัฒนาการ เพียงชวนลูกน้อยอ่านวันละ 15 นาทีกับโครงการส่งความรู้ สร้างความสุขปี 2  ที่ได้รับความร่วมมือระหว่าง 2 บริษัทชั้นนำ ได้แก่ บริษัทอมรินทร์ พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) และบริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ไปจัดกิจกรรม SCHOOL ROADSHOW กับโรงเรียนต่าง ๆ มากกว่า 57 โรงเรียนทั่วประเทศ ซึ่งมีกิจกรรมดี ๆ อาทิ แบ่งกันเล่า คือ การสลับกันเล่าระหว่างแขกรับเชิญและเด็ก ๆ คุณพ่อคุณแม่หรือปู่ย่าตายายทั้งหลายอย่าลืมนำกิจกรรมนี้ไปลองเล่านิทานกับลูกหลาน เพื่อแบ่งปันความสุขสร้างจินตนาการ ได้ทั้งความรู้และสายใยรักในครอบครัวอีกด้วย

                              สามารถติดตามกิจกรรมการอ่านอื่นๆ ได้ที่แฟนเพจเฟซบุ๊ก thehappyread หรือ www.thehappyread.com

                               

                              อ่านนิทาน

                                การอ่านสร้างลูกฉลาด

                                ประโยชน์ดีๆ จาก “การอ่านสร้างลูกฉลาด” มากกว่าที่คิด

                                การอ่านไม่ว่าจะเป็นอ่านหนังสือนิทาน การอ่านข่าว อ่านป้าย หรือแม้แต่การที่คุณพ่อคุณแม่นำเรื่องราวจากการอ่านมาบอกเล่าให้ลูกฟัง ล้วนมีประโยชน์ทั้งสิ้น ซึ่งการอ่านให้ลูกฟังทุกวันจะช่วยให้ลูกฉลาดและเสริมสร้างทักษะด้านต่างๆ ที่สามารถนำไปใช้ได้ในอนาคต โดยมีงานวิจัยจำนวนมากชี้ให้เห็นว่า การอ่านช่วยพัฒนาสมองเด็กได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะ 3 เรื่องดังต่อไปนี้

                                การอ่านสร้างลูกฉลาด

                                1. การอ่านช่วยพัฒนาการสื่อสารและภาษาในเด็กเล็ก

                                ช่วงที่พ่อแม่อ่านหนังสือให้ลูกฟัง หูลูกจะได้ยินเสียง ส่วนตาก็ได้เห็นรูปภาพที่ประกอบ พร้อมกับตัวหนังสือ สิ่งนี้เองที่เชื่อมโยงให้เกิดการเรียนรู้ทางภาษาโดยที่เด็กๆ อาจไม่รู้ตัว เพราะเขาจะได้เรียนรู้จักคำ รู้จักเสียง เมื่อพัฒนาการด้านภาษาดี ก็จะส่งผลให้การเรียนรู้ในอนาคตดีขึ้นเช่นเดียวกัน โดยการเรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัวของลูกจะเร็วขึ้นได้ ก็เพราะการได้เคยฟัง เคยเห็น เคยจำ จากการอ่าน ส่งผลทำให้มีพื้นฐานภาษาที่ดี ลูกจะสามารถเข้าถึงข้อมูลที่เขาสนใจได้ด้วยตัวเอง และเริ่มพูดสื่อสารกับผู้อื่นได้เก่งขึ้น รู้จักใช้คำต่างๆ ได้มากขึ้น  ดังนั้นการอ่านจึงเป็นการเก็บเกี่ยวคำศัพท์สะสมเป็นคลังคำในสมอง ช่วยให้เด็กจดจำคำได้มากขึ้น เมื่อเขาอยากสื่อสารก็สามารถนำคำต่าง ๆ ที่สะสมไว้มาใช้ได้นั่นเอง

                                2. การอ่านสร้างความเข้าใจเหตุการณ์ต่าง ที่เกิดขึ้นจากเรื่องราวในหนังสือ

                                คุณพ่อคุณแม่รู้หรือไม่ว่า เมื่อลูกได้ฟังเรื่องราว หรือได้ฟังนิทานจากหนังสือ ลูกจะสามารถเชื่อมโยง และเข้าใจในเรื่องราว เหล่านั้นได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอารมณ์หรือสถานการณ์ต่าง ๆ ยิ่งหากพ่อแม่ได้เล่า พร้อมเสริมความรู้ สอดแทรกคติสอนลูก หรือถามคำถามให้ลูกได้ฝึกคิด วิเคราะห์ ผลจากการอ่านและฟังนั้น จะทำให้ลูกเกิดความเข้าใจ จนนำไปสู่ทักษะสำคัญ ได้แก่

                                • ทักษะการตัดสินใจและแก้ปัญหา

                                เด็กกลุ่มที่อ่านหนังสือจะมีทักษะการตัดสินใจและแก้ไขปัญหาที่ดี เพราะเขาสามารถเข้าใจสถานการณ์ต่างๆ

                                ได้ดีกว่า ซึ่งเป็นผลมาจากการอ่านนิทานหรือหนังสือเด็ก ที่มักจะมีเรื่องราวของเหตุการณ์ การแก้ปัญหา และการคลี่คลาย สถานการณ์ เด็กจึงได้เรียนรู้ว่าควรตัดสินใจและแก้ปัญหาอย่างไร

                                • ทักษะการสื่อสารและปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น

                                หนังสือนิทานมักจะมีเรื่องราวต่างๆ ผ่านตัวละครน่ารัก ที่มีข้อคิด คติธรรม หรือคุณธรรมแฝงอยู่เสมอ ทั้งเรื่อง

                                ความเมตตา ความเอื้อเฟื้อ การนึกถึงคนรอบข้าง ผลของทำดีและการทำสิ่งต่างๆ ที่สอนใจให้เด็กคิดดี ทำดี  ซึ่งข้อคิดและ เรื่องราวเหล่านี้จะทำให้เด็กเรียนรู้และซึมซับสิ่งดีๆ เช่นนี้โดยไม่รู้ตัว ทำให้ลูกรู้ว่าควรปฏิบัติตัวอย่างไรกับเพื่อนหรือผู้อื่น

                                การอ่านสร้างลูกฉลาด

                                3. การอ่านทำให้เกิดกระบวนการคิดวิเคราะห์

                                หนังสือหรือนิทานสำหรับเด็ก มักจะมีการลำดับเรื่องราวเป็นขั้นตอน และไม่ซับซ้อนมากเหมือนของผู้ใหญ่ ในขณะเดียวกันก็มีบทเรียน ผลของการกระทำในแต่ละตัวละครให้ลูกได้เรียนรู้ ซึ่งสิ่งนี้จะช่วยให้เด็กได้พัฒนาระบบความคิดเชิงวิเคราะห์ ว่าควรทำแบบไหน และแบบไหนคือดีและไม่ดี ซึ่งหากคุณพ่อคุณแม่อ่านหนังสือให้ลูกฟังสม่ำเสมอ และให้ลูกได้ฝึกอ่าน จะทำให้ลูกน้อยที่โตขึ้น สามารถอ่านหนังสือและเล่าเรื่องหรืออธิบายสิ่งต่างๆ ได้ดี รวมถึงการสื่อเรื่องราวผ่านการลงมือทำต่างๆ ได้ดีด้วย เช่น การวาดภาพ ซึ่งเด็กกลุ่มที่ได้อ่านนิทาน ได้เห็นนิทานที่พ่อแม่อ่านให้ฟัง จะวาดภาพที่มีรายละเอียด มีคำอธิบาย มีที่มาที่ไป ลำดับเรื่องได้ดีกว่าเด็กกลุ่มที่ไม่ค่อยได้อ่านหนังสือ

                                     

                                การอ่านสร้างลูกฉลาด

                                จากที่กล่าวไปในข้างต้นจะเห็นได้ว่า การอ่านหนังสือสร้างประโยชน์ให้ลูกน้อยอย่างมหาศาล ดังนั้นเรามาชวนลูกรักให้อ่านหนังสืออย่างน้อยวันละ 15 นาทีกันเถอะ ซึ่งตอนนี้ บริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ บริษัทอมรินทร์ พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน)  ได้ร่วมทำโครงการส่งความรู้ สร้างความสุข ปี 2 ที่มีกิจกรรมดีๆ อาทิ บริจาคหนังสือสู่โรงเรียน  หรือกิจกรรมบันทึกรักการอ่าน ที่ให้เด็กๆ ได้เขียนบันทึกสิ่งที่ได้อ่านและความประทับใจ ซึ่งคุณพ่อคุณแม่สามารถนำวิธีเหล่านี้มาประยุกต์ใช้กับลูกน้อยเพื่อกระตุ้นการอ่านและพัฒนาทักษะด้านภาษาให้กับลูกน้อยได้

                                การอ่านสร้างลูกฉลาด

                                หากสนใจอยากติดตามกิจกรรมการอ่านอื่นๆ สามารถติดตามได้ที่ FB : www.thehappyread.com รับรองว่าไม่ผิดหวัง ได้สาระการอ่านดีๆ ไปฝากลูกน้อยแน่นอนค่ะ

                                 

                                การอ่านสร้างลูกฉลาด

                                  แจงคราบดำบนจุกน้ำเกลือ Klean&Kare ที่เรียกเก็บ เป็นเพียงคราบฝุ่น ยันไม่พบการปนเปื้อน

                                  จากการที่ได้มีการเผยแพร่ทางสื่อออนไลน์ ถึงหนังสือจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เลขที่ สธ 1009.5/1955 ที่มีแจ้งไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เกี่ยวกับการเรียกเก็บยาคืนจากท้องตลาดโดยสมัครใจของผลิตภัณฑ์ Klean&Kare – Normal Saline 100 ml ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนต่อสาธารณชน

                                  บริษัท เอ.เอ็น.บี.ลาบอราตอรี่ (อำนวยเภสัช) จำกัด ได้ชี้แจงถึงกรณีดังกล่าว โดยมีรายละเอียดดังนี้

                                  1. กรณีดังกล่าวเป็นการที่บริษัทฯ เรียกเก็บยา Klean&Kare – Normal Saline 100 ml เลขทะเบียน 1A 512/56 Lot no. 061607 (ขวดปลายแหลม) คืนจากท้องตลาดโดยสมัครใจ เนื่องจากบริษัทฯ ได้รับทราบว่า มีการพบคราบดำที่ด้านนอกของจุกขวด Klean&Kare – Normal Saline 100 ml ล็อตดังกล่าวจำนวน 1 ขวด จึงได้สมัครใจเรียกเก็บยาคืนจากท้องตลาด โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้บริโภคเป็นสำคัญ

                                  1. บริษัทฯ ได้นำ Klean&Kare – Normal Saline 100 ml ขวดดังกล่าว มาตรวจสอบ และพบว่า คราบดำที่พบบนด้านนอกของจุกขวดนั้นเป็นคราบฝุ่นผงเกาะอยู่ด้านนอกของจุกเท่านั้น ไม่ได้เป็นการปนเปื้อนในน้ำเกลือแต่อย่างใด และจากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า คราบดำนั้นไม่ได้เกิดจากเชื้อราหรือเชื้อแบคทีเรีย ฝาจุกยังคงปิดสนิท ทำให้น้ำเกลือในขวดยังคงความปราศจากเชื้อและปลอดภัยเหมือนเดิมทุกประการ
                                  2. บริษัทฯ ได้ตรวจสอบผลิตภัณฑ์ที่ได้เรียกคืนกลับมาจากท้องตลาด ไม่พบคราบฝุ่นผงใดๆ บนฝาหรือจุกขวด

                                  อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ได้ดำเนินการสืบหาสาเหตุในทันทีที่ทราบปัญหา และได้ดำเนินการแก้ไขปรับปรุงสิ่งที่อาจเป็นสาเหตุของปัญหาแล้ว รวมถึงได้เตรียมแผน เพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหาขึ้นอีกในอนาคต

                                    สอนลูกให้เข้มแข็ง

                                    สอนลูกให้เข้มแข็ง พร้อมสู้ปัญหาและอุปสรรค

                                    ในสังคมยุคโซเชียล เด็กๆ ยุคใหม่ที่เติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยี และสังคมผ่านทางสื่อออนไลน์ หลายครั้งที่เกิดการแสดงความคิดเห็นบนโลกออนไลน์จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง และในประโยคบางประโยคที่อาจทำร้ายจิตใจ คุณพ่อ คุณแม่ สอนลูกให้เข้มแข็ง ได้อย่างไรในสังคมที่มีแต่การบูลลี่

                                    Continue reading “สอนลูกให้เข้มแข็ง พร้อมสู้ปัญหาและอุปสรรค”