Page 198 – AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

สบู่เหลวเด็ก ยี่ห้อไหนดี

สบู่เหลวเด็ก ยี่ห้อไหนดี คุณแม่เลือก เบบี้มายด์ เป็นแบรนด์อันดับหนึ่งในดวงใจ

สบู่เหลวเด็ก ยี่ห้อไหนดี สินค้าชิ้นสำคัญที่ขาดไม่ได้สำหรับการดูแลความสะอาดของลูกน้อย แม้ร่างกายของวัยแบเบาะจะไม่มีสิ่งสกปรกมากเท่าผู้ใหญ่ แต่จะเลือกสบู่เหลวอย่างไรให้เหมาะกับผิวลูกน้อย ไม่เสี่ยงระคายเคือง คุณแม่ทั่วประเทศ ให้ เบบี้มายด์ (Babi Mild) เป็นแบรนด์สบู่เหลวอันดับหนึ่งในดวงใจ และรับรางวัล Amarin Baby & Kids Awards 2019 สาขา Mommy’s Choice

สบู่เหลวเด็ก ยี่ห้อไหนดี แม่ทั่วประเทศเลือกแล้ว ใช้ยี่ห้อนี้เป็นแบรนด์ในดวงใจ

Amarin Baby & Kids “เครือข่ายแม่ลูกใหญ่ที่สุด” ผู้นำด้านคอนเทนต์คุณภาพ เข้าใจครอบครัวไทย และตอบสนองความต้องการของคุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ ไทย ทั้งรูปแบบ Online ผ่านเว็บไซต์ www.AmarinBabyAndKids.com และเฟซบุ๊คแฟนเพจที่มีเนื้อหาตรงใจ ทันสถานการณ์ โดยมียอดผู้ติดตามมากกว่า 1,000,000 Followers และรูปแบบ On print ผ่าน Bookazine ราย 2 เดือน รวมถึง รูปแบบ On ground งานแฟร์แม่ลูก Amarin Baby & Kids Fair ที่จัดมาแล้วถึง 15 ครั้ง

เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านเครือข่ายแม่ลูกอันดับ 1 ของประเทศที่เข้าใจคุณแม่ไทยมากที่สุด เว็บไซต์ Amarin Baby & Kids จึงได้จัด “Amarin Baby & Kids Awards 2019” ครั้งแรกในเมืองไทย เพื่อเฟ้นหาสุดยอดแบรนด์สินค้าแม่และเด็กในดวงใจ  จากคะแนนโหวตของคุณแม่ทั่วประเทศกว่า 10,000 คน ผ่าน www.AmarinBabyAndKids.com เว็บไซต์สื่อกลางข้อมูลคุณภาพจากแม่สู่แม่ Mom to Mom Sharing เพื่อเป็นประโยชน์แก่คุณแม่มือใหม่ที่กำลังมองหา “สินค้าใช้ดี ที่ได้รับการยืนยันจากคุณแม่ตัวจริงทั่วประเทศ”

และเพื่อให้สมกับรางวัลที่มาจากความคิดเห็นของแม่อย่างแท้จริง สำหรับแบรนด์สินค้าในสาขา Mommy’s Choice จึงเปิดโอกาสให้แม่ได้ร่วมโหวต  2  รอบ ได้แก่ “รอบเสนอชื่อแบรนด์ที่ชื่นชอบ” จากนั้นทีมงานได้ทำการเลือกแบรนด์ที่ถูกเสนอชื่อมากที่สุด มาจัด“รอบโหวตแบรนด์ในดวงใจ” อีกครั้งหนึ่ง

ทำไมแม่โหวตให้ เบบี้มายด์ เป็นแบรนด์สบู่เหลวในดวงใจ

ใก็เคยตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเลือก สบู่เหลวเด็ก ยี่ห้อไหนดี แต่พอใช้ครั้งแรกประทับใจเลยค่ะ อาบน้ำผิวลูกสะอาด ฟองไม่เยอะ ล้างออกง่ายมากๆเลยค่ะ”

“ลูกตัวหอมมากค่ะ แต่เป็นกลิ่นหอมอ่อนๆติดผิวเลย ลูกเป็นคนผิวแพ้ง่าย แต่ใช้ขวดนี้แล้ว ไม่ต้องกลัวว่าจะระคายเคือง”

“ชอบตรงที่มีหลายสูตรให้เลือกใช้กับลูกวัยต่างกัน ที่บ้านมีลูกชายสองคนก็ใช้คนละสูตรได้เลย หาซื้อง่าย ราคาไม่แพงด้วย”

ผลิตภัณฑ์แบรนด์ เบบี้มายด์เป็นหนึ่งในแบรนด์สินค้าดูแลผิวสำหรับเด็กในหลายกลุ่มได้แก่ สบู่เหลว แชมพู โลชั่น  แป้งเด็ก น้ำยาซักผ้าและปรับผ้านุ่มเด็ก และน้ำยาล้างขวดนม เป็นต้น โดยเน้นส่วนผสมที่บริสุทธิ์และอ่อนโยนจากธรรมชาติซึ่งผ่านมาตรฐานทดสอบว่าไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองผิว จนเป็นที่ไว้วางใจของคุณแม่คนไทยมายาวนานกว่า 21 ปี

อ่านบทความ Amarin Baby & Kids Awards 2019 

ประกาศผลรางวัล Amarin Baby & Kids Awards 2019 สุดยอดแบรนด์สินค้าแม่และเด็กในดวงใจ

ชมภาพบรรยากาศ งานมอบรางวัล Amarin Baby & Kids Awards 2019

แชมพูเด็ก ยี่ห้อไหนดี คุณแม่เลือก เบบี้มายด์ เป็นแบรนด์อันดับหนึ่งในดวงใจ

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

    ลูกทำชามแตก

    ลูกทำชามแตก แต่อย่าให้ลูกใจ “แหลก” ด้วยคำพูดพ่อแม่ โดย พ่อเอก

    ลูกทำชามแตก เป็นเหตุการณ์ที่น่าจะเจอกันทุกบ้าน แล้วแต่ละบ้านรับมือกับเหตุการณ์นี้อย่างไร? ผมขอแชร์ประสบการณ์ของบ้านผมให้ฟังฮะ

    ช่วงเย็นวันอาทิตย์สัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากเสร็จจากการออกไปปั่นจักรยานกับปะป๊าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ปะป๊าไม่ค่อยสบายเป็นหวัดนิดๆ พอเข้าบ้าน พี่ปูนปั้นพูดถามขึ้นว่า

    “อยากทานข้าวกับไข่คนได้มั้ยครับ”

    ปะป๊าตอบไปว่า ได้สิ ปูนปั้นพูดต่อว่า “เดี๋ยวปูนปั้นทำเอง” แล้วก็วิ่งเข้าครัวไปคนเดียว

    (ถ้าเคยอ่านเรื่องราวของปูนปั้นกับปั้นแป้งผ่านตามาบ้างจะคุ้นว่า เราให้ลูกทั้ง 2 คนช่วยทำกับข้าวเสมอ แต่สำหรับพี่ปูนปั้นซึ่งอยู่ ป.1 แล้วก็จะทำกับข้าวง่ายๆทานเองได้)

    บทความแนะนำ ชวนลูกทำอาหาร “สร้างความมั่นใจ” ติดตัวไปจนโต

    ส่วนปะป๊าก็ขึ้นไปอาบน้ำ ล้างตัว สบายอารมณ์

    “เพล้ง” เสียงดังฟังชัด

    ป๊าเงี่ยหูฟังทันทีว่ามีเสียงร้องไห้มั้ย เพราะหลังเสียงเพล้งสิ่งที่ลุ้นที่สุดคือลูกเจ็บมั้ย

    เมื่อไม่มีเสียงร้อง ป๊ารีบ แต่งตัวลงมาดู

    โถแก้วใส่ข้าวกล้องใบโตแตกกระจาย

     

    เมื่อลงมาถึงและเห็นหน้าปูนปั้นผมถามว่า

    “หนูไม่โดนบาดใช่มั้ย เจ็บหรือป่าวลูก”

    เมื่อลูกตอบว่าไม่โดนอะไร แล้วอธิบายว่ามันหนักแล้วลื่นหลุดมือ เราก็เพียงตอบว่า

    “ไม่เป็นไรลูก อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ ไม่เจ็บดีแล้ว ถอยมาก่อน เดี๋ยวเหยียบโดนเศษแก้วบาด”

    แล้วลูกก็พยายามเข้ามาช่วยทำความสะอาด เราก็ให้เขาช่วยห่างๆ

    แล้วเหตุการณ์ก็ผ่านไปด้วยดี ลูกก็ทานข้าวกับไข่คนที่ตัวเอง ทำเอง กินเอง อร่อยเอง

    ในครั้งต่อไป ปูนปั้นจะยังคงอยากทำกับข้าวเอง ความมั่นใจจะไม่ลดลง และเขาได้เรียนรู้ว่าหากไม่ระวังจะเกิดอุบัติเหตุได้ ส่วนปั้นแป้งที่อยู่ในเหตุการณ์ก็ได้เรียนรู้ไปด้วยกัน ไม่ตกอกตกใจและคงพร้อมที่จะช่วยทำกับข้าวไปเรื่อยๆ จนโตพอก็จะทำเองเหมือนพี่ปูนปั้น

     

    แต่หากเหตุการณ์กลับกัน ผมดุใส่ทันที่ที่ ลูกทำชามแตก

    “ทำไมทำอะไร ไม่ระวังหละลูก ของแตกเสียหายหมด … สอนให้ระวังทำไมไม่จำ”

    ลูกคงเสียใจ ในครั้งหน้าเขาอาจจะไม่อยากทำกับข้าวเอง ถ้าโชคดีเขาอาจจะแค่ถอยไปเล็กน้อย แค่ต้องให้เราอยู่ใกล้ๆ สร้างความมั่นใจขึ้นมาใหม่ หากโชคร้ายเขาไม่ต้องการทำมันอีกแล้วเพราะไม่เห็นมีแรงจูงใจในการทำ เพราะไม่ทำกับข้าวเองก็มีคนทำให้ แต่ถ้าทำเองแล้วผิดพลาดอาจจะโดนดุ

     

    ในทุกการกระทำที่ผิดพลาดของลูก เรามีทางเลือกเสมอในการสร้างประสบการณ์ชีวิตให้เขา ดุเพื่อให้รู้ว่าทำไมหนูแย่ หรือ อธิบายอย่างเข้าใจว่าเราสามารถเรียนรู้ไปด้วยกัน

    ผมไม่ได้กำลังบอกว่า เราดุลูกไม่ได้ เราทำโทษลูกไม่ได้ แต่ถ้าความผิดพลาดเกิดจากการตั้งใจที่ดี ผมว่าเรามีทางเลือกที่ดีกว่า แต่หากการกระทำนั้นเป็นสิ่งไม่ดีหรืออาจจะเกิดอันตรายหรือทำความเดือดร้อนให้คนอื่น การดุการทำโทษก็อาจจะเป็นเรื่องที่จำเป็น

     

    อ้อ ไม่ว่าคุณจะเลือกวิธีไหน อย่าลืมกอดลูกและบอกรักลูก … เรามักกอดและบอกรักลูกตอนที่เขายังอยู่ในวัยทารก แต่พอเขาโตขึ้น ผมเห็นหลายๆ ครอบครัว หลงลืมมันไป สำหรับครอบครัวเรา ผมยังบอกรักลูกทุกวัน กอดลูกทุกวัน และนั่นยังเป็นสายใยที่สำคัญที่จะผูกโยงเราให้ใกล้ชิดกันเสมอ

     


    >>แวะไปดู รอยยิ้มหวานฉ่ำ ที่มีแจกฟรีทุกวันได้ที่เฟซบุ๊ค

    หมุนรอบลูก – พี่ปูนปั้น กับ น้องปั้นแป้ง นะครับ<<

    ปูนปั้น ปั้นแป้ง พ่อเอก
    ปูนปั้น ปั้นแป้ง พ่อเอก เพจหมุนรอบลูก

    บทความน่าสนใจอื่นๆ

    6 ข้อดีที่ผมได้เรียนรู้ จากประสบการณ์ พาลูกท่องเที่ยว

    แชร์เทคนิค”สอนลูกให้รู้จักรับผิดชอบ”ตั้งแต่เด็ก

    “ลูกทำผิด” เทคนิคสอนลูก แบบไม่ต้อง “ทำโทษ”

     

    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

      อาการหวัด ไอ จาม

      อาการหวัด ไอ เจ็บคอ 3 วิธีป้องกันอาการที่มักเข้าใจกันผิด

      อาการหวัด ไอ เจ็บคอ ลูกน้อยมักป่วยกันมากในช่วงหน้าหนาว ซึ่งในเด็กบางคนที่ภูมิคุ้มกันร่างกายต่ำมากก็อาจมีไข้ตัวร้อน  นอนซมจนต้องแอดมิทเข้าโรงพยาบาล ดังนั้นเพื่อให้คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ได้เข้าใจวิธีการดูแลและป้องกันลูกน้อยจาก ไข้หวัดมากขึ้น เราจะพามาดู 3 ความเข้าใจผิดที่คุณพ่อคุณแม่อาจจะมี เกี่ยวกับการป้องกันไข้หวัดของลูกน้อยกันค่ะ

       

      อาการหวัด ไอ เจ็บคอ การดูแลบรรเทาอาการที่เข้าใจกันผิด

      1. วิตามินซีช่วยป้องกันหวัดได้

      มีการทำการวิจัยหลายครั้งถึงประสิทธิภาพของวิตามินซีในการป้องกันหวัด แต่ผลวิจัยส่วนใหญ่ไม่สม่ำเสมอนัก ทำให้ในทางวิชาการยังถือว่าไม่มีหลักฐานอะไรว่าวิตามินซีสามารถป้องกันโรคหวัดได้ อย่างไรก็ตามมีการวิจัยที่เชื่อถือได้หลายแหล่ง พบว่าการทานวิตามินซีในปริมาณเพียง 2 มิลลิกรัมต่อวันทุกวัน สามารถลดระยะเวลาการเป็นหวัดได้ หมายความว่าเมื่อลูกน้อยทานวิตามินซีเป็นประจำอาจจะไม่ได้มีโอกาสเป็นไข้หวัดลดลง แต่จะสามารถลดระยะเวลาที่ป่วยให้สั้นลงได้นั่นเองค่ะ

      แต่ยังมีสารอีกตัวที่อาจจะมีชื่อที่ไม่คุ้นหูคุณแม่นักคือ Flavonoid ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีการวิจัยรองรับว่าสามารถ ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อในปอด ลำคอ และจมูก ได้ถึง 33% ซึ่งตัว Flavonoid นี้เป็นสารที่พบได้ในผักและผลไม้ อย่างเช่นผลไม้อย่าง เอลเดอร์เบอร์รี่ค่ะ เพราะฉะนั้นถ้าอยากป้องกันอาการหวัดของลูกต้องไม่ลืมเรื่องของการกินอาหารให้ครบ 5  หมู่เลยค่ะ

      https://www.healthline.com/nutrition/does-vitamin-c-help-with-colds#section3

      2. วัคซีนสเปรย์ฉีดจมูกทดแทนการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ได้

      วัคซีนสเปรย์ฉีดจมูกอาจจะเป็นตัวเลือกของคุณพ่อคุณแม่บางท่านที่ลูกกลัวเข็ม และเห็นว่าเป็นตัวเลือกที่ทำใจได้ง่ายกว่า สำหรับลูกน้อย แต่ความเสี่ยงที่ตามมาคือประสิทธิภาพที่ค่อนข้างน้อยกว่ามาก จนในปีล่าสุดคำแนะนำการให้วัคซีน (ACIP) ของศูนย์ควบคุมโรคอเมริกัน ( CDC ) ได้แนะนำว่าให้การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่เป็นตัวเลือกแรกในการป้องกันไข้หวัด ใหญ่ และแนะนำให้ใช้วัคซีนสเปรย์ฉีดจมูกเฉพาะในผู้ป่วยที่แพ้วัคซีนแบบฉีดเท่านั้น เพราะฉะนั้นเพื่อความชัวร์แนะนำให้คุณพ่อคุณแม่พาลูกไปฉีดวัคซีนแบบปกติจะดีกว่าค่ะ

      https://www.cdc.gov/media/releases/2016/s0622-laiv-flu.html

      3. การกินยา Antibiotic โดยไม่จำเป็น

      ยา Antibiotic หรือเรียกว่า ยาปฎิชีวนะ เป็นยาที่ต้องใช้ตรงกับชนิดของโรค ซึ่งคุณพ่อคุณแม่อาจเข้าใจกันว่าเวลาที่ลูกป่วยเป็นหวัด เจ็บคอ ก็สามารถหาซื้อเป็นยาปฎิชีวนะให้ลูกกินก็ได้ ซึ่งตรงนี้เป็นเรื่องที่เข้าใจผิดและเป็นการใช้ยาที่ไม่เหมาะกับโรค เสี่ยงต่อการเกิดอันตรายขึ้นได้ แนะนำว่าการใช้ยากลุ่ม Antibiotic ควรอยู่ในคำแนะนำของแพทย์เท่านั้นค่ะ หากเด็กๆมีอาการหวัด เจ็บคอ ไม่ควรใช้ยาปฎิชีวนะ เพราะเชื้อหวัดเป็นไวรัสไม่ใช่แบคทีเรียค่ะ

      http://www.thaipediatrics.org/Media/media-20191010135541.pdf
      https://www.pharmacy.mahidol.ac.th/th/knowledge/article/405/ยาปฏิชีวนะอย่าใช้พร่ำเพรื่อ/

       

      อาการหวัด ไอ จาม

      สำหรับวิธีการดูแลรักษาสุขภาพลูกน้อยในช่วงหน้าหนาวที่ถูกต้องนั้น ต้องดูว่าลูกน้อยของเรามีอาการหวัดประเภทไหนค่ะ ซึ่งแบ่งได้ 2 ประเภทได้แก่ อาการหวัดธรรมดา (Common cold) เกิดจากเชื้อไวรัสทางเดินหายใจ ซึ่งอาการจะไม่รุนแรงมาก จะมีไข้ต่ำๆ มีอาการไอ จาม และ มีเสมหะ มีน้ำมูก คัดจมูก ซึ่งสามารถบรรเทาอาการด้วยการให้รับประทานยาลดไข้สำหรับเด็ก รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ นอนพักผ่อน อาการหวัดก็จะค่อยๆ ดีขึ้นหายเป็นปกติภายในประมาณ 2-3 วันค่ะ ส่วนอาการไข้หวัดใหญ่ (Flu) เกิดจากเชื้อไวรัส INFLUENZA ที่พบว่าเด็กๆ ป่วยกันมากจะมาจากสายพันธุ์ A และ B ซึ่งอาการแสดงคือเด็กๆ จะมีไข้สูง หนาวสั่น ปวดศีรษะ มีอาการไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ไม่อยากอาหาร และคลื่นไส้ อาเจียน แนะนำให้พาลูกไปโรงพยาบาลทันที เพราะหากปล่อยไว้ลูกอาจชักจากไข้ขึ้นสูงได้ค่ะ

      และอีกสาเหตุหนึ่งที่อาจทำให้ลูกอาจมีอาการคล้ายอาการหวัด พร้อมอาการไอ จาม อาจเกิดจากการที่ในปัจจุบันในอากาศมีทั้งฝุ่น ควัน ฝุ่นละอองPM 2.5 เป็นต้น ปัจจัยแวดล้อมต่างๆ นี้ ทำให้สุขภาพลูกน้อยแย่ และเจ็บป่วยเป็นภูมิแพ้ได้เช่นเดียวกันค่ะ ซึ่งคุณพ่อคุณแม่สามารถที่จะดูแลบรรเทารักษาอาการได้ในเบื้องต้น ด้วยการเช็ดตัวให้ลูกน้อยเพื่อลดไข้ ล้างจมูกเพื่อไล่น้ำมูกและเสมหะ หรือให้ลูกน้อยทานยาแก้ไอ และหวัดสำหรับเด็กที่ปลอดภัย ไม่มีผลข้างเคียง อย่าง…

      อาการหวัด ไอ จาม

      ยาแก้ไอเด็ก ตรามิสเตอร์เฮิร์บ ส่วนผสมจากสมุนไพร 100%

      คุณพ่อคุณแม่ที่มีความกังวลในการที่จะให้ลูกรับประทานยาน้ำแก้ไอสำหรับเด็ก “ยาแก้ไอเด็ก ตรามิสเตอร์เฮิร์บ” เป็นสูตรยาน้ำที่ได้พัฒนาขึ้นมาสำหรับเด็กโดยเฉพาะ ปราศจากสารเคมี แอลกอฮอล์ และ กลิ่นสังเคราะห์

      ส่วนประกอบหลักของยาคือ มะขามป้อม (Phyllanthus emblica Linn.)

      ผลมะขามป้อมสดใช้รับประทานเป็นผลไม้ แก้กระหายน้ำได้เป็นอย่างดี
      นอกจากนั้นยังเป็นยาบำรุงแก้หวัด แก้ไอ ละลายเสมหะ

      เป็นยาแก้ไอที่ปลอดภัย ไม่มีผลข้างเคียง เหมาะกับการให้เด็กตั้งแต่ 2 ขวบขึ้นไปทานค่ะ

      คุณพ่อคุณแม่สามารถอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ได้ที่ลิ้งค์นี้เลยค่ะ http://bit.ly/2rEMD0d

      อาการหวัด ไอ จาม

      ยาน้ำบรรเทาอาการเนื่องจากหวัดสำหรับเด็ก ตรามิสเตอร์เฮิร์บ รสเอลเดอร์เบอร์รี่ ส่วนผสมจากสมุนไพร 100%

      สูตรยาที่ได้พัฒนาขึ้นมาสำหรับเด็กโดยเฉพาะ เป็นสูตรที่ปราศจากสารเคมี แอลกอฮอล์ และสีสังเคราะห์ ปลอดภัยไม่ทิ้งสารตกค้าง มีส่วนประกอบสำคัญหลักของยาคือ เอลเดอร์เบอร์รี่ที่มีสารอย่าง Flavonoid อยู่มาก จึงช่วยยับยั้งการเจริญของเชื้อไวรัสไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่และลดอาการของหวัดได้ หวงฉี ซึ่งมีฤทธิ์กระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน เจี๋ยเกิง มีฤทธิ์ระงับการไอ กันเฉ่า มีฤทธิ์ระงับไอ บรรเทาอาการระคายเคือง และขับเสมหะ กุ้ยจือ มีฤทธิ์ลดไข้และระบายความร้อนอย่างอ่อนๆ สำหรับยาบรรเทาอาการหวัดตัวนี้ ทานได้ตั้งแต่เด็กอายุ 2 ปีขึ้นไปเช่นกันค่ะ

      คุณพ่อคุณแม่สามารถอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ได้ที่ลิ้งค์นี้เลยค่ะ http://bit.ly/36CfocC

      อยากให้ลูกน้อยมีพัฒนาการที่สมบูรณ์สมวัย คุณพ่อคุณแม่ต้องดูแลใส่ใจสุขภาพร่างกายลูกน้อยให้มีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงอยู่ตลอดเวลา เพื่อที่ลูกจะได้ไม่เจ็บป่วยบ่อย หรือไม่เจ็บป่วยเลยดีที่สุดค่ะ

        เกรซ มหาดํารงค์กุล

        เกรซ มหาดํารงค์กุล กับสไตล์การเลี้ยงลูกแบบง่ายๆ เน้นเรื่องมารยาท

        เกรซ มหาดํารงค์กุล เซเลบริตี้คุณแม่ลูกสอง ผู้มีความสามารถเกินตัว แถมความสวยที่ไม่เป็นสองรองใคร เผยวิธีการเลี้ยงลูกแบบง่ายๆ แต่เน้น “มารยาท” เรื่องที่เด็กยุคนี้ต้องมี!

        เผยสไตล์การเลี้ยงลูกแบบง่ายๆ
        ของ คุณแม่สายลุย
        “เกรซ มหาดํารงค์กุล”

        เกรซ มหาดํารงค์กุล คุณแม่ลูกสอง สาวสวยทรงเสน่ห์ ซึ่งเคยได้รับบทเป็น พระสุพรรณกัลยา ในภาพยนตร์เรื่องสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และยังเป็นผู้หญิงต้นแบบ เป็นไอดอลในใจใครหลายๆ คน เป็นเวิร์กกิ้งวูแมน ที่มีความสามารถทางการงานที่แน่นมากๆ

        เกรซ มหาดํารงค์กุล
        ขอบคุณภาพจาก sanook.com

         

        โดยคุณ เกรซ มหาดํารงค์กุล ได้แต่งงานกับ คุณโน้ต จงเจต วัชรานันท์ ไปเมื่อปี พ.ศ. 2555 หลังพบรักกันที่กองถ่ายภาพยนตร์ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

        ซึ่งหลังจากที่คุณเกรซและคุณโน้ตแต่งงานกัน ก็ใช้เวลาเกือบ 3 ปี กว่าจะมีลูก โดยมีลูกสาวคนแรก คือ น้องจาติม ปัจจุบันอายุ 5 ขวบ อยู่ในวัยที่กำลังน่ารักสดใส และถัดมาอีก 4 ปี ก็มีลูกชายตัวน้อยอีกหนึ่งคน คือ น้องจินต ซึ่งตอนนี้ก็อยู่ในวัยกำลังซนชอบเรียนรู้ ก็ถือได้ว่าเป็นคุณแม่สายตรองที่ยังสวยและเก่งด้วย เพราะถึงแม้จะแต่งงานช้าและมีลูกช้า แต่คุณเกรซก็ยังสามารถเลี้ยงลูกไปพร้อมกับทำงานได้อย่างไม่แพ้ใคร และด้วยความเก่ง สวย มีเสน่ห์น่าสนใจของคุณแม่เกรซ ทางทีมแม่ ABK จึงได้แอบไปสัมภาษณ์ล้วงเอาเทคนิคการเลี้ยงลูกดีๆ มาฝากคุณพ่อคุณแม่กันค่ะ

        เกรซ มหาดํารงค์กุล
        ขอบคุณภาพจาก : IG @gracemahadumrongkul

        พัฒนาการของน้องจินตเป็นยังไงบ้าง : น้องจินตตอนนี้อายุ 1 ขวบ 8 เดือน พัฒนาการก็ตามวัยตามเกณฑ์ปกติทั่วไป แต่เด็กผู้ชายจะพูดช้ากว่าผู้หญิง เพราะตอนจาติมขวบนึงก็เริ่มเป็นคำออกมาแล้ว ส่วนน้องจินตพูดเป็นคำเหมือนกันแต่ว่ายังได้ไม่เยอะ แต่เค้าฟังรู้เรื่องทุกอย่าง แล้วเค้าก็จะเป็นเด็กร่าเริง ชอบเที่ยว ชอบออกนอกบ้านมาก แล้วก็จะชอบใส่รองเท้าพี่ พี่เค้าจะมีรองเท้าบูทคู่หนึ่งสีชมพูวางไว้ เค้าก็จะใส่เพราะรู้สึกว่าใส่แล้วมันสนุกมันสวมเข้าไปเลยแล้วมันก็สูง พอใส่แล้วเค้าก็จะทำหน้าทำตายิ้มมีความสุข

        และที่บ้านก็เลี้ยงสุนัขตัวหนึ่งเป็นพันธุ์ลาบาดอร์ชื่อชาลี เค้าก็จะเล่นกับชาลีทุกวัน เค้าจะตัวเท่ากันแต่เค้าก็ไม่กลัวชาลี ก็ไปหาของกินมาให้ เค้าก็จะเรียกชื่อได้เรียกมาเอาของกินแล้วก็เดินตามกัน

        นอกจากนี้แม่เกรซยังบอกอีกว่า : แต่น้องจินตเค้าจะชอบมีพัฒนาการแปลกๆ ด้วย เช่น ตอนที่เค้าคลานได้ปุ๊บ เค้าก็เดินเลย เค้าไม่มีฝึกตั้งไข่ก่อน หรือตอนที่น้องจินตกินนมแม่ ซึ่งปกติเด็กทั่วไปกินนมแม่เค้าก็ต้องใช้จุกนมหรือกินนมขวด แต่น้องจินตเค้าจากนมแม่เสร็จก็กินหลอดได้เลย

        เกรซ มหาดํารงค์กุล
        ขอบคุณภาพจาก : IG @gracemahadumrongkul

        น้องจาติมกับน้องจินต ใครเหมือนพ่อหรือแม่ มากกว่ากัน : น้องจินตจะเหมือนพ่อ ส่วนจาติมเหมือนเกรซ จาติมจะออกลุยๆ หน่อย คือเค้าจะไม่ใช่เป็นเด็กพูดเยอะแล้วใจเค้ากล้าไม่ใช่เด็กผู้หญิงมุ้งมิ้ง เค้าจะเป็นเด็กแบบใจกล้า เช่น พาเค้าไปปีนเขาแบบ Block Climbing เค้าก็จะไปกับพี่ๆ ที่อายุ 11 12 ขวบ เค้าไปแล้วเค้าปีนถึงยอดเลยค่ะ คือมันจะมียอดให้แตะ ถ้ามองลงมาจะหน้ากลัว เพราะว่าตอนลงมันต้องรูดตัวลงมา เค้าก็ทำได้ ซึ่งตอนแรกที่ไปกับพี่ๆ คนที่นั่นเค้าก็บอกว่ายังเด็กอยู่ยังไม่ให้ขึ้นแล้วทางเราก็บอกว่าเค้าขึ้นได้ พอเค้าขึ้นไปทุกคนก็ยืนตบมือให้ แล้วบอกว่าเด็กคนนี้กล้าและเป็นผู้หญิงด้วย ซึ่งจาติมเค้าก็จะเป็นเด็กที่ไม่พูดมากเค้าลุยเลย เค้าก็ไม่ได้เป็นเด็กห้าวแต่จะชอบลุย ลุยได้เหมือนแม่ ส่วนจินตจะเหมือนพ่อชอบอะไรกุ๊กกิ๊กเค้าจะเป็นผู้ชายอ่อนโยน แต่ถ้าชอบปีนป่ายอะไรตั้งแต่เด็กน้องจาติมก็จะเหมือนเกรซเลย

        เกรซ มหาดํารงค์กุล

        ลูกสองคน นิสัยเหมือนหรือต่างกันยังไง : ไม่เหมือนกันเลย จินตจะเป็นเด็กผู้ชายที่อ่อนโยนชอบตุ๊กตา ส่วนจาติมจะไม่เล่นตุ๊กตาเลย ซึ่งจะมีตุ๊กตาคุณยายตัวนึงคือคุณแม่เกรซเค้าซื้อให้จาติม แต่จาติมไม่สนใจเลย ปรากฏว่ากลายมาเป็นเพื่อนของจินต จินตเอานอนด้วยทุกคืน เค้าก็จะมีตัวโปรดแล้วก็จะเอาไปกอดเอาไปจูบ แต่จาติมเค้าก็จะมองๆ จับๆ เฉยๆ เค้าก็ไม่ค่อยสน ซึ่งจาติมเค้าจะเป็นเด็กที่ชอบต่อจิ๊กซอว์มาก แล้วก็ชอบประดิษฐ์อะไรขึ้นมา ด้วยความที่เค้าโตกว่า แต่ถ้าเทียบของเล่นจาติมจะชอบอะไรที่ปั้นๆต่อๆ แต่จินตเค้าจะเป็นต่อๆ เหมือนกันแต่จะมุ้งมิ้งหน่อย

         

        กิจกรรมอะไรที่ทั้ง 4 คนพ่อแม่ลูกชอบทำด้วยกันมากที่สุด : จริงๆ เราก็ชอบเล่นน้ำกัน แต่น้องจินตเค้าจะแพ้น้ำ คือเล่นทีไรเป็นเรื่องทุกที คือแบบอากาศในกรุงเทพอาจจะไม่ค่อยบริสุทธิ์เค้าก็เลยจะกลายเป็นเด็กที่มีโรคภูมิแพ้อยู่หน่อย พอลงน้ำที่ไรก็จะมาแล้วทั้งน้ำมูกเอยหวัดเอย แต่เราก็จะหากิจกรรมอะไรทำด้วยกันแต่ไม่ค่อยจะอยู่บ้าน เพราะถ้าอยู่บ้านลูกก็จะรบเร้าขอดูทีวี ขอเล่นเกมบ้าง ซึ่งถ้าว่างๆ เสาร์อาทิตย์ก็จะพาไปคล้ายทัศนศึกษา คือพาไปเห็นไปเรียนรู้ของจริงที่จับต้องได้พร้อมอธิบายให้เค้าฟัง แต่ถ้ามีเวลาไม่เยอะก็จะพาไปสวนสาธารณะ ไปเดิน ไปวิ่ง เค้าก็จะเห็นกิจกรรมต่างๆ ของพี่ๆ คุณตาคุณยาย แต่ถ้าสัปดาห์ไหนมีเวลามากหน่อยเราก็จะไปต่างจังหวัดกัน เพราะว่าต่างจังหวัดจะทำให้เห็นอะไรมากขึ้น เช่นร้านค้าเล็กๆ ที่สมัยนี้หายากแล้ว อาหารเครื่องดื่มที่ไม่ค่อยมีหรือขนมโบราณบางอย่างที่เค้าไม่เคยเห็น เราก็จะอธิบายเค้าว่าที่มาเป็นยังไง หรือพาไปสวนสัตว์ ให้ทำความรู้จักกับสัตว์ต่างๆ เค้าก็จะได้มีจิตใจที่อ่อนโยน คือแบบนี้เด็กๆ ชอบ

        ซึ่งวัยนี้เค้าก็จะชอบอะไรง่ายๆ แบบนี้ ไม่ต้องไปไกลๆ ไปไหนที่แปลกใหม่สำหรับเค้าแล้วมีคนอธิบาย หรือบางทีก็พาไปมิวเซียมอาร์ทไปวาดรูปด้วยกัน ดูภาพด้วยกัน แล้วเราก็อธิบายให้เค้าฟัง เพียงแค่รูปภาพระบายสามสีธรรมดาอาจดูไม่น่าสนใจ แต่ถ้าเราอธิบายความหมายของแต่ละสี แล้วพอเอามารวมกันจะมีความหมายว่าอะไร แบบนี้มันก็จะเกิดความน่าสนใจมากขึ้น คือจะไปไหนที่ไหนก็แล้วแต่จริงๆ ไม่ต้องพาไปไกลมากไปสิ่งที่เราไปได้ใกล้ตัวเรา เพียงแต่คุณพ่อคุณแม่ต้องใส่ใจในการอธิบายไปด้วย ซึ่งบางจุดอาจจะดูว่าเค้าไม่สนใจ แต่เด็กเค้าฟังตลอด แค่เค้าจะไม่พูด ให้คุณพ่อคุณแม่ลองสังเกตลูกตัวเอง แล้วพอกลับบ้านไปลองไปทบทวนกับเค้า เค้าก็จะบอกได้ เราต้องค่อยๆ เติมความรู้ให้เค้าไปเรื่อยๆ

        เกรซ มหาดํารงค์กุล
        ขอบคุณภาพจาก : IG @jongjet_note

         

        สไตล์การเลี้ยงลูกของคุณเกรซ : สไตล์การเลี้ยงลูกของเกรซจริงๆ แล้วง่ายๆ นะคะ ไม่มีพิธีอะไรมากเลี้ยงตามความเข้าใจของตัวเอง น้อยมากที่เกรซจะไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เพราะเกรซมีความรู้สึกว่าเด็กแต่ละคนเค้ามีลักษณะเฉพาะตัว เรารู้ดีที่สุดว่าลูกเราเป็นยังไง เพราะฉะนั้นการเลี้ยงลูกไม่ใช้แพทเทิร์น ว่าถ้าแพทเทิร์นมาแบบนี้แล้วเราต้องทำตามแบบนี้ ซึ่งบางทีลูกเราเรารู้จักเค้าก็จะเอามาประยุกต์ใช้กับลูกเราดีกว่า การเลี้ยงลูกของเกรซสไตล์ของเกรซก็คือง่ายๆ ดูจากตัวลูกว่านิสัยใจคอเป็นยังไงแล้วก็ค่อยๆ ปรับไปกับตัวของลูกเรา

         

        เรื่องที่เน้นสอนลูกทั้งสองคนมากที่สุด : เกรซจะคอยสอนมากเรื่องมารยาท เพราะเกรซมีความรู้สึกว่ามันเป็นเครื่องหมายบวกเลยสำหรับตัวเค้าเอง สำหรับเด็กที่น่ารักแล้วมีมารยาทเวลาผู้ใหญ่คนอื่นเห็นเค้าก็จะเอ็นดูในตัวเด็ก คือเราอาจจะไม่ได้อยู่ด้วย แต่ถ้าเค้ามีมารยาทกับผู้ใหญ่คนอื่นๆ เค้าก็จะให้ความเอ็นดูเด็กได้โดยที่เป็นตัวเค้าเอง ก็เลยเรื่องนี้ค่อนข้างจะซีเรียสหน่อย อยากให้เค้าเป็นเด็กที่มีมารยาทมีกาลเทศะ แล้วน้องจาติมเค้าก็ไม่ได้เรียนแบบโรงเรียนเด็กไทยเค้าเรียนอินเตอร์ก็เลยต้องพร่ำสอนเรื่องนี้เยอะหน่อย

         

        วิธีการเลี้ยงลูกให้ดีที่สุด ในแบบของคุณเกรซ คืออะไร : เกรซก็ไม่รู้ว่าอะไรคือดีที่สุดนะคะ ของเกรซก็อาจจะผิดก็ได้ อาจจะไม่ได้ถูกต้องก็ได้ แต่ว่าเราจะพยายามดูจากตัวเค้า ดูจากนิสัยใจคอของน้องเอง ดูจากลักษณะเด็ก ดูจากวิธีการ เช่นเด็กบางคนเวลาถูกทำโทษต้องจับเข้ามุมแล้วเค้าก็จะกลัว แต่จาติมเค้าไม่กลัว คือตั้งแต่เค้าขวบกว่าเกรซเคยจับเค้าเข้ามุมหลายทีเค้าก็ไม่กลัว มันก็เลยไม่ได้ตามแพทเทิร์นว่า ถ้าเด็กทำผิดแล้วเราต้องสอนแบบนี้ ซึ่งตัวเกรซเองจะไม่มีกฎตายตัว แต่เราต้องดูว่าลักษณะเค้าคือยังไงแค่นั้น

         

        มีวิธีสอนให้พี่รักน้องยังไงบ้าง : อันนี้ก็ถือว่ายากนะคะ เพราะว่าด้วยอายุที่เค้าห่างกันเค้ายังเล่นด้วยกันได้ไม่ค่อยเต็มที่ในวัยนี้ เพราะคนพี่นี่ 5 ขวบแล้วอีกคนหนึ่งก็ขวบกว่าเอง เพราะฉะนั้นเวลาที่คน 5 ขวบ กำลังเล่นตัวต่อสร้างเป็นปราสาทขึ้นมา คนขวบกว่ามาถึงทำลายเลย เอามือปัดรวดเดียว คนพี่ก็ร้องขึ้นมาก็โมโห ก็ในวัยนี้ยังยากอยู่ แต่แม่ก็พยายามสอนว่าน้องไม่รู้ แต่คนพี่เค้าก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ เพราะยังเด็กทั้งคู่ แม่ก็ได้แค่พยายามบอก เช่นเวลาที่น้องเด็กเล็กเค้าเห็นว่าพี่มีอะไรหรือได้อะไรไป เค้าก็จะมาอยากรู้ ซึ่งความอยากรู้อยากเห็นของน้องบางทีมาแย่งออกจากมือพี่ พี่ก็โกรธ แล้วจะเอาคืน ซึ่งถ้าดึงคืนทันทีน้องร้องแน่นอน แม่ก็จะบอกว่าลูกไปเอาอย่างอื่นมาแลกกับน้องแล้วกัน แล้วก็อธิบายให้เค้าฟังว่า น้องไม่ได้อยากได้ของของพี่จริงๆ แต่น้องแค่อยากจะรู้ว่ามันคืออะไร แต่แค่พี่เอาอะไรมาแลกและน้องเค้าเปลี่ยนไปอยากรู้สิ่งใหม่แล้ว แต่วิธีนี้ก็เวิร์กบ้างไม่เวิร์กบ้าง แต่ก็ยังดีกว่าที่ไม่ได้บอกอะไร

        นอกจากนี้เพื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องแม่เกรซยังได้บอกว่า มักจะให้คนพี่และคนน้องทำกิจวัตรประจำวันไปพร้อมๆ กัน มาร่วมกันโดยให้พี่นำน้อง ทำให้น้องเห็นสอนน้องให้พี่ทำเป็นตัวอย่างไปด้วยกัน

         

        ฝากถึงคุณแม่ที่อยากมีลูก แต่มีลูกยาก ทำยังไงก็ไม่สำเร็จ! : สำหรับคุณผู้หญิงทุกคนสมัยนี้ซึ่งก็อยู่ในวัยทำงานแล้วและมีครอบครัวกันช้า แต่งงานช้า เพราะฉะนั้นการแต่งงานช้าก็หมายถึงการเริ่มมีลูกที่ช้าไปด้วย แต่ก็ไม่ต้องกลัวที่จะมีลูกได้หรือเปล่า สิ่งสำคัญก็คือ เราควรทำร่างกายตัวเองให้แข็งแรงไว้ แล้วก็ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จย่อมอยู่ที่นั่น ก็คืออย่ายอมแพ้หรือท้อถอย คือคนที่ยังไม่แต่งงานก็ยังไม่ต้องรีบก็ให้เป็นไปตามธรรมชาติ ส่วนคนที่แต่งงานแล้ว และอยากมีลูกหรือพยายามอยู่ ก็อย่าย่อท้อให้พยายามต่อไปตามขั้นตอน ซึ่งหากทำเองแล้วถ้าไม่ได้ก็เข้าไปปรึกษาคุณหมอ ก็คืออยากให้กำลังใจตรงที่ว่าไม่ต้องท้อ คือความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น เราอย่าไปคิดมาก ต้องปล่อยวาง ซึ่งถ้าเรากังวลมากๆ ร่างกายจะหลั่งสารบางอย่างออกมา แล้วมันจะทำให้เรามีลูกยาก คือต้องดูแลร่างกายตัวเองให้ดีๆ รอไว้ด้วยก็จะดีที่สุด

        ชมคลิปความน่ารักของสองแม่ลูก “แม่เกรซ-น้องจาติม”
        ในรายการ ABK Mom’s Journey Ep.2 ตอนแม่เกรซ น้องจาติม พาเที่ยวพิพิธบางลำพู

        อย่างไรก็ดีนะคะ จากแนวการใช้ชีวิตการเลี้ยงลูกของคุณ เกรซ มหาดํารงค์กุล ก็ถือเป็นอีกหนึ่งแนวทางที่ดีที่ทางทีมแม่ ABK แนะนำ ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ก็สามารถนำไปประยุกต์ให้กับครอบครัวกับลูกน้อยของตัวเองได้นะคะ แล้วครั้งหน้าทีมแม่ ABK จะเสนอแนวทาง วิธีเลี้ยงลูกของดารา หรือ สไตล์การเลี้ยงลูกของดารา คนดัง คนไหนอีก ติดตามกันได้ที่เว็บไซต์ www.amarinbabyandkids.com กันได้นะคะ

         

        อ่านต่อบทความดีๆ น่าสนใจ คลิก : 


        ขอบคุณภาพจาก : IG @gracemahadumrongkul , @jongjet_note

         

        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

         

          เรียนศิลปะที่ไหนดี

          เรียนศิลปะที่ไหนดี 9 โรงเรียนศิลปะที่มีคอร์สเด็กเล็ก ฝึกสมาธิ เสริม EF ให้ลูกน้อย

          การส่งเสริมทางด้านศิลปะให้กับเจ้าตัวน้อย จะช่วยกระตุ้นให้เกิดพัฒนาการดี ๆ ขึ้นรอบด้าน แต่จะให้ลูก เรียนศิลปะที่ไหนดี ทีมแม่ ABK เลยรวบรวมโรงเรียนสอนศิลปะที่มีคอร์สเริ่มต้นสอนสำหรับเด็กเล็กที่จะช่วยฝึกสมาธิ เสริมทักษะสมอง  EF ให้ลูกน้อย มาฝากแม่ ๆ ค่า

          เรียนศิลปะที่ไหนดี 9 โรงเรียนศิลปะที่มีคอร์สสอนเด็กเล็ก

          #1 Art House School

          อาร์ตเฮ้าส์ เป็นสถาบันสอนศิลปะและการออกแบบที่เปิดมาแล้ว 21 ปี โดยมีคอร์สศิลปะที่หลากหลายเพื่อออกแบบให้เหมาะสมกับความต้องการของเด็ก ๆ สำหรับคอร์สศิลปะเด็ก เปิดสอนอายุ 4-15 ปี เนื่องจากเด็กแต่ละคน แต่ละช่วงวัย มีทักษะ ความชอบ ความสนใจที่แตกต่างกัน จึงมีการแบ่งคอร์สสอนตามช่วงอายุ ศิลปะเด็ก อายุ 4-8 ขวบ ครูผู้สอนจะสังเกตความชอบและความถนัดของเด็กแต่ละคน และต่อยอดให้นักเรียนได้ทดลองอะไรใหม่ ๆ เช่น การสังเกต การวาดคนสัตว์ ต้นไม้ โดยเป็นรูปแบบงานศิลปะ 3 มิติ งานประดิษฐ์ เป็นต้น เพื่อเพิ่มทักษะเสริมสร้าง จินตนาการ ศิลปะเด็ก อายุ 9-12 ขวบ ฝึกการใช้จินตนาการ และ การจัดลำดับเรื่องราว พร้อมวาดและฝึกการออกแบบผลงานให้มีเอกลักษณ์ลักษณะที่ตัวเองต้องการหรือสนใจตามจินตนาการ เปิดโอกาสให้เด็กได้ร่วมแสดงความคิดเห็น เล่าถึงเรื่องราวการสร้างสรรค์ผลงานของตัวเอง และฝึกรับฟังความคิดของผู้อื่น ศิลปะเด็ก อายุ 12-15 ขวบ หลักสูตรในการเรียนจะเข้มข้นมากขึ้นสำหรับเด็กที่มีพื้นฐานมานานพอสมควรจะเรียนรู้การวาดภาพจากหุ่นนิ่ง พื้นฐานการวาดเส้นให้ถูกสัดส่วน และทฤษฎีระบายสีแบบไล่น้ำหนักสี ที่มีแสงเงาถูกต้อง โดยแต่ละคอร์สจะเน้นเนื้อหาที่เข้าใจง่ายสำหรับเด็ก ๆ และเรียนเป็นกลุ่มในห้องเรียนเพื่อเปิดโอกาสให้เด็กได้ร่วมกันแสดงความคิดเห็นและฝึกการรับฟังความคิดของเพื่อน ๆ ได้เรียนรู้การทำงานร่วมกัน

          Art House School
          เครดิตภาพจาก facebook.com/arthouse.artschool

          Art House School

          ที่อยู่ : 69/7 ถ.พญาไท กรุงเทพฯ 10400

          เวลา เปิด – ปิด  : ทุกวัน เวลา 10.00 – 20.00 น.

          โทร : 02-251-1000

          สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม : www.arthouseschool.com

          #2 Art Player 

          Art Player เป็นสตูดิโอสอนศิลปะสำหรับเด็ก ๆ ตั้งแต่อายุ 3-12 ปี โดยครูผึ้ง ซึ่งมีประสบการณ์การสอนศิลปะเด็กมายาวนานเกือบ 20 ปี ครูผึ้งได้ทำการคิดค้นหลักสูตรศิลปะที่แตกต่าง มุ่งเน้นพัฒนาทักษะทุกด้านผ่านศิลปะเพื่อปลูกฝังให้เด็ก ๆ คิดเป็น ทำเป็น เรียนรู้เป็น แก้ปัญหาเป็น อยู่กับคนอื่นเป็น และมีความสุขเป็น เพื่อรับมือกับโลกแห่งเทคโนโลยีในอนาคต โดยแบ่งหลักสูตรเป็น 2 ช่วงวัย คือ ศิลปะเพื่อพัฒนาทักษะ EF (3 – 6 ขวบ) ฝึกทักษะการคิด ทักษะชีวิต พัฒนาสมองส่วนหน้า พัฒนากล้มเนื้อมือมัดเล็ก ผ่านกิจกรรมศิลปะ และ Creative Art : CBL Course ศิลปะเพื่อพัฒนาทักษะความคิดสร้างสรรค์ (7 – 12 ขวบ) มุ่งเน้นพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ เพื่อตอบโจทย์ทักษะการเรียนรู้ใน ศตวรรษที่ 21 (Future Skill) นอกจากคอร์สศิลปะแล้วยังรวมคอร์สศิลปะทำอาหารที่เด็ก ๆ จะได้สนุกกับหลากเมนู พัฒนาสมอง EF เรียนรู้ผ่านการชั่ง ตวง วัดช่วยพัฒนากล้ามเนื้อมือ ไปพร้อมกับความสนุกสนาน และผสมสานงานศิลปะลงไปด้วยการวาดรูปสูตรเมนูอาหารด้วย สมกับคอนเซ็ปต์ “เล่น Learn เพลิน Art” ของที่นี่จริง ๆ ค่ะ

          Art Player
          เครดิตภาพจาก facebook.com/ART.PLAYER.TEACHER.PEUNG

          Art Player

          ที่อยู่ : 52/068 ม.เมืองเอก เทศบาลเมืองปทุมธานี 12000

          เวลา เปิด – ปิด  : จันทร์ – อาทิตย์ เวลา 10.00 – 18.00 น.

          โทร : 085-495-6996

          สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม : www.facebook.com/ART.PLAYER.TEACHER.PEUNG/

          #3 Artino School of Creative art

          อาร์ตติโน่ โรงเรียนศิลปะสร้างสรรค์ เปิดคอร์สศิลปะเด็กสร้างสรรค์ ตั้งแต่อายุ 2-12 ปี เด็ก ๆ จะได้สนุกกับการเรียนศิลปะ ในแนว Creative Art for Children ซึ่งเน้นพัฒนาความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ สอนให้เด็กได้เรียนรู้จากการปฏิบัติจริง รู้จักเทคนิคและวิธีการ รูปแบบแปลกใหม่ในการสร้างสรรค์งานศิลปะด้วยตัวเองอย่างสนุกสนาน และมีความสุข ทำให้มองโลกในแง่ดีและมีสมาธิที่ดีขึ้น มีความภาคภูมิใจ และเชื่อมั่นในตัวเอง ทั้งยังเป็นการฝึกใช้เวลา ว่างให้เป็นประโยชน์ รวมไปถึงการเรียนรู้ที่จะปรับตัวในการทำงานร่วมกับผู้อื่น เด็กๆ จะได้เรียนการวาด (Drawing) ในหัวข้อที่เด็ก ๆ สนใจ การระบายสี (Painting) ใช้สีชอล์คสีน้ำ สีโปสเตอร์ สีไม้ สีเมจิก ฯลฯ การปั้น (Sculpture) ปั้นดินน้ำมันนูนต่ำ ลอยตัว ปั้นเทคนิคผสม ฯลฯ การพิมพ์ภาพ (Printmaking) พิมพ์พลาสติก ฟองน้ำ ใบไม้ นิ้วมือ ฯลฯ การประดิษฐ์สร้างสรรค์ (Creative Crafts) และกิจกรรมเทคนิคพิเศษอื่น ๆ อีกมากมาย โดยในหลักสูตรเด็ก ๆ จะได้เรียนแต่ละหัวข้อสลับกันไป แยกเรียนตามระดับอายุ กลุ่มละ 6 -8 คนต่อคุณครู 1 ท่าน ประเมินผลเป็นรายบุคคลตามอายุและความสามารถเฉพาะตัวของเด็กแต่ละคน เพื่อสามารถพัฒนางานศิลปะที่เด็ก ๆ ชอบได้อย่างตรงใจค่ะ

          Artino School of Creative art
          เครดิตภาพจาก facebook.com/Artino.Art.School

          Artino School of Creative art

          ที่อยู่ : OFFICE :128/187 ชั้น 17 H อาคารพญาไทพลาซ่า ถนนเพชรบุรี แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทีวี กรุงเทพฯ 10400

          โทร : 02-610-9727 (สาขาสนามพารากอน)

          สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม : www.artinothai.com

          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

           

          อ่านต่อ 9 โรงเรียนศิลปะที่มีคอร์สเด็กเล็ก คลิกหน้า 2

            โรงเรียนทางเลือก

            โรงเรียนทางเลือก เลือกแบบไหนให้เหมาะกับเจ้าตัวน้อย

            เรื่องการศึกษาเป็นอีกเรื่องที่คุณพ่อคุณแม่ให้ความสำคัญกับลูกตั้งแต่เริ่มต้น การหาโรงเรียนให้ลูกสมัยนี้ก็ช่างแตกต่างจากสมัยก่อนที่เคยมีหลักสูตรแนวการสอนแบบคล้ายกันหมด แต่ในปัจจุบันนี้มีหลักสูตรการเรียนการสอนที่เยอะขึ้น จนทำให้คุณพ่อคุณแม่มีตัวเลือกหลายทางที่ต้องศึกษาหาข้อมูลก่อนตัดสินใจเพื่อการเรียนของลูกน้อย สำหรับ โรงเรียนทางเลือก ก็เป็นอีกตัวเลือกของหลักสูตรทางด้านการศึกษาในยุคปัจจุบันที่ผู้ปกครองได้ให้ความสนใจไม่น้อย สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่เล็ง ๆ หลักสูตรนี้ให้เจ้าตัวน้อยอยู่ ลองดูข้อมูลเพื่อเป็นแนวทางในการตัดสินใจกันนะคะ

            โรงเรียนทางเลือก เลือกแบบไหนให้เหมาะกับเจ้าตัวน้อย

            “โรงเรียนทางเลือก” คือ โรงเรียนที่มีหลักสูตรแนวการสอนที่แตกต่างไปจากโรงเรียนกระแสหลัก โดยออกแบบหลักสูตรเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพื่อมุ่งเน้นให้เหมาะสมกับกลุ่มผู้เรียน มีหลายแนวคิดส่วนใหญ่มุ่งเน้นให้เข้าถึงธรรมชาติของผู้เรียน  ระบบการศึกษาจะมีความยืดหยุ่น ไม่เน้นการสอนแบบท่องจำ แต่เปิดโอกาสให้นักเรียนได้เรียนรู้นอกห้องเรียน เน้นตอบสนองต่อความสนใจของผู้เรียนเป็นหลัก ให้นักเรียนเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้ ผ่านการลงมือทำจริง รู้จักกล้าคิด กล้าตั้งคำถาม สิ่งที่เด็กสนใจก็จะนำไปสู่การเรียนรู้ด้วยตนเอง และเปิดโอกาสให้ผู้ปกครองได้มีส่วนร่วมในการศึกษาของลูกไปพร้อม ๆ กันด้วย แต่หลักทางวิชาการของโรงเรียนก็ยังคงเป็นไปตามที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กำหนดอยู่เช่นกัน

            โรงเรียนทางเลือกอนุบาล
            เครดิตภาพจาก www.roong-aroon.ac.th

            5 รูปแบบโรงเรียนทางเลือก

            ถึงแม้แนวการสอนของโรงเรียนทางเลือกจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แต่ยังคงตั้งอยู่บนหลักสูตรแกนกลางที่กำหนดโดยกระทรวงศึกษาธิการ และมีการจัดตั้งขึ้นอย่างถูกกฎหมาย ซึ่งทางกระทรวงศึกษาธิการได้มีการกำหนดรูปแบบของโรงเรียนทางเลือกไว้ 5 รูปแบบคือ

            1. โรงเรียนในความกำกับของรัฐ แต่เน้นความเป็นอิสระและคล่องตัว มีระเบียบกฎเกณฑ์ในการปฏิบัติเฉพาะของตัวเอง
            2. โรงเรียนวิถีพุทธ ที่เน้นนำหลักธรรมของพระพุทธศาสนามาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาผู้เรียน
            3. โรงเรียนสำหรับผู้มีความสามารถพิเศษ เปิดโอกาสให้ผู้เรียนทุกคนได้เข้ารับการประเมินความสามารถพิเศษว่าตนเองมีในด้านใดบ้าง
            4. โรงเรียนสองภาษา เป็นโรงเรียนที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นสื่อหลักในการเรียนการสอน
            5. โรงเรียนต้นแบบการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เป็นโรงเรียนที่ใช้สื่ออิเลคทรอนิคส์และเครือข่ายคอมพิวเตอร์เป็นหลัก ผู้เรียนจะอยู่ที่ไหนก็สามารถเรียนได้

            แนวการสอนของโรงเรียนทางเลือกมีแบบไหนบ้าง?

            แต่ละโรงเรียนแนวการสอนจะมีความแตกต่างกันไปในแต่ละโรงเรียน โดยมุ่งเน้นให้เข้ากับปรัชญาและเป้าหมายของทางโรงเรียน อาทิเช่น

            โรงเรียนสมบุญวิทย์
            เครดิตภาพจาก sombunwit.ac.th
            • แนวการสอนแบบมอนเตสเซอรี่ (Montessori) เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ทดลองกับอุปกรณ์จริงหรือสถานการณ์จริง มีการเรียนรู้ผ่านการเล่น โดยผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 มีการใช้สื่ออุปกรณ์ในรูปแบบเฉพาะ ที่ช่วยให้เด็กเข้าใจง่าย โรงเรียนแนวมอนเตสเซอรี่ เช่น โรงเรียนสมบุญวิทย์ โรงเรียนอนุบาลกรแก้ว
            โรงเรียนวรรณสว่างจิต
            เครดิตภาพจาก www.wsc.ac.th
            • แนวการสอนในรูปแบบโครงการ (Project Approach) เน้นให้ผู้เรียนได้ศึกษาสิ่งรอบตัวที่สนใจ โดยให้เด็กได้เลือกทำโครงการตามหัวข้อที่สนใจ ต้องการรู้ หรือสงสัย มีการรวบรวมข้อมูลและศึกษาจากสิ่งแวดล้อมจริง รวมถึงค้นคว้าจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ นำเสนออย่างเป็นขั้นตอนจนถึงสรุปบทเรียน ก่อให้เกิดการเรียนรู้ด้วยตนเองและกับผู้อื่นอย่างมีความสุข และครูจะมีส่วนช่วยบูรณาการกิจกรรม ภาษาไทย อังกฤษ คณิต วิทย์ สังคม ผนวกเข้ากับกระบวนการเรียนรู้ โรงเรียนแนว Project Approach เช่น โรงเรียนวรรณสว่างจิต
            โรงเรียนปัญโญทัย
            เครดิตภาพจาก www.panyotai.com
            โรงเรียนเพลินพัฒนา
            เครดิตภาพจาก www.plearnpattana.ac.th
            • แนวการสอนแบบระบบวอลดอร์ฟ (Waldorf) คือ การให้การศึกษาแก่เด็กแบบองค์รวม ทั้ง Head Heart และ Hands เน้นให้ความสำคัญกับจินตนาการของผู้เรียนและการกลมกลืนกับธรรมชาติเชื่อมโยงกัน การจัดแผนการเรียนการสอน เป็นการพัฒนาไปตามช่วงอายุ ผ่านทางกาย อารมณ์ ความคิด และสร้างสมดุลระหว่างวิชาการ ดนตรี ศิลปะ และการฝึกฝนทักษะชีวิตประจำวัน ในระดับอนุบาลวิชาการจะยังไม่ถูกสอนในช่วงปีแรก ๆของการเรียน โรงเรียนที่สอนแบบวอลดอร์ฟ เช่น โรงเรียนปัญโญทัย โรงเรียนไตรพัฒน์ โรงเรียนเพลินพัฒนา
            • แนวการสอนแบบนีโอ-ฮิวแมนนิสต์ (Neo-Humanist Education) เป็นการสอนตามแนวคิดที่เชื่อว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีพัฒนาการสูงสุด มีความต้องการจากภายในที่จะพัฒนาตนเองไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด การเรียนการสอนแนวนี้จึงเน้นการพัฒนาศักยภาพแฝงเร้นที่มีอยู่ในตัว ช่วยให้เด็กๆ เกิดความภาคภูมิใจในตัวเอง (Self -Esteem) มีแนวทางในการช่วยทำให้เด็กฉลาด เก่ง ดี แข็งแรง ส่งเสริมให้เด็กเพิ่มพลังบวกในตนเอง  มีน้ำใจ และมีความสุข เช่น โรงเรียนอมาตยกุล
            โรงเรียนรุ่งอรุณ
            เครดิตภาพจาก www.roong-aroon.ac.th
            • แนวการสอนแบบวิธีพุทธ เป็นโรงเรียนที่มีปรัชญาการสอนให้มองมนุษย์เป็นชีวิต มีลักษณะบูรณาการพุทธธรรมในการเรียนรู้ มีกระบวนการเรียนรู้ด้วยตนเองแบบองค์รวม ให้เข้าใจความจริงของชีวิต และดำเนินชีวิตได้อย่างเหมาะสม ซึ่งต้องมีการพัฒนาด้านศีล สมาธิ และปัญญา รู้จักวิธีปฏิบัติเพื่อพัฒนาจิตใจของตนเอง รวมถึงการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมได้อย่างเป็นกัลยาณมิตรตามหลักทางสายกลาง โรงเรียนที่มีการสสอนแบบวิธีพุทธ เช่น โรงเรียนรุ่งอรุณ โรงเรียนทอสี โรงเรียนสยามสามไตร
            โรงเรียนอนุบาลมณีรัตน์
            เครดิตภาพจาก www.maneerut.com
            • นอกจากนี้ยังมีแนวการสอนของโรงเรียนทางเลือกอื่น ๆ อีกมาก เช่น โรงเรียนอนุบาลมณีรัตน์ ใช้แนวการสอนแบบเรกจิโอ เอมิเลีย (Reggio Emilia) ให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางเรียนรู้จากปฏิสัมพันธ์รอบตัว โรงเรียนดรุณสิกขาลัย ใช้แนวทางการสอนแบบ Constructionism ของ Seymour Papert ที่เชื่อว่า “ความรู้เป็นของบุคคล ถ่ายทอดให้คนอื่นไม่ได้” เป็นการนำทฤษฎีการเรียนรู้เพื่อสร้างสรรค์ด้วยปัญญามาใช้อย่างเต็มรูปแบบ ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากการปฏิบัติจริงในเรื่องที่ตนเองสนใจผ่านโครงงาน บูรณาการคุณธรรม จริยธรรม เทคโนโลยี วิชาการต่าง ๆ รวมไปถึงศิลปวัฒนธรรม เป็นต้น

            จะเห็นได้ว่าแนวการสอนของโรงเรียนทางเลือกก็มีหลากหลายมาให้คุณพ่อคุณแม่ได้พิจารณาเลือกโรงเรียนให้กับเจ้าตัวน้อย แต่ทั้งนี้นอกจากศึกษาข้อมูลดูแนวทางของโรงเรียนเพื่อเน้นพัฒนาศักยภาพในตัวลูกแล้ว ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ต้องคำนึงถึงด้วยนะคะ ไม่ว่าจะเป็นการเดินทาง ค่าใช้จ่าย สภาพแวดล้อมของโรงเรียน บุคลากรในโรงเรียน และความพร้อมของเจ้าตัวน้อยเป็นสำคัญนะคะ

            ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : story.motherhood.co.thwww.posttoday.com

            อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ :

            ทำความรู้จัก 7 หลักสูตรอนุบาล เลือกยังไงให้เหมาะกับลูก

            แม่เครียด ลูกไปโรงเรียน ป่วยบ่อย ป้องกันยังไงดี?

            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

             

              เครื่องปั๊มนม

              คุณแม่มือใหม่เลือก เครื่องปั๊มนม แบบไหนดี ใช้งานคล่องตัว ปั๊มได้ไม่สะดุด

              สำหรับคุณแม่ที่วางแผนเลี้ยงลูกด้วยนมแม่นานอย่างน้อย 6 เดือนขึ้นไป เพราะนมแม่เป็นอาหารดีที่สุดของลูกน้อย สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือ เครื่องปั๊มนม คู่ใจซึ่งช่วยให้คุณแม่สามารถสต๊อกนมได้มากพอ และเป็นวิธีกระตุ้นให้มีน้ำนมมากขึ้นด้วย เครื่องปั๊มนมแบบไหนที่เหมาะกับคุณแม่ยุคใหม่ ที่ต้องกลับไปทำงาน หรือใช้ชีวิตนอกบ้านได้สะดวกสบายขึ้น มาอ่านข้อมูลดี ๆ ไปพร้อมกันค่ะ

              เครื่องปั๊มนม

              ปกติร่างกายของคุณแม่จะเริ่มผลิตน้ำนมได้ตั้งแต่ช่วงตั้งครรภ์ เริ่มมากขึ้นในช่วงหลังคลอด และมากที่สุดในช่วงให้นม เพราะหลังจากการกระตุ้นจากการดูด บีบ หรือปั๊มนมอย่างสม่ำเสมอ น้ำนมจะผลิตออกมาอย่างต่อเนื่อง ช่วงที่มีปริมาณน้ำนมมากที่สุดคือ ระหว่างตี 5 – 7 โมงเช้า นับเป็นช่วงดีที่สุดสำหรับปั๊มนม ช่วง 3 เดือนแรกระหว่างให้ลูกดูดนม คุณแม่สามารถปั๊มนมจากเต้าอีกข้าง หรือปั๊มนมที่ค้างเต้าออกตามเวลาที่ลูกกินนมราว 2-3 ชั่วโมง แล้วนำไปแช่แข็งไว้เป็นนมสต๊อกไว้ และปั๊มอย่างสม่ำเสมอตามเวลาที่ลูกดูดนมเมื่อกลับไปทำงาน

              แต่คุณแม่หลายคนอาจเจอปัญหาว่า ที่ทำงานไม่มีมุมให้ปั๊มนม หรืองานยุ่งจนไม่สามารถปั๊มนมตามเวลาได้ ซึ่งอาจมีผลให้น้ำนมปริมาณลดลง และต้องเปลี่ยนไปใช้นมผง การเลือกใช้เครื่องปั๊มนมประสิทธิภาพดีและเหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคุณแม่จึงเป็นสิ่งสำคัญ

              วิธีเลือก เครื่องปั๊มนม สำหรับคุณแม่มือใหม่

              • ใช้เครื่องปั๊มนม แบบสองเต้าเพื่อเก็บน้ำนมจากสองเต้าไปพร้อมกัน โดยปกติเมื่อน้ำนมข้างหนึ่งถูกระตุ้นอีกข้างก็จะไหลตามมา เครื่องปั๊มแบบนี้จะช่วยประหยัดเวลา และได้น้ำนมปริมาณมากพอ จากสถิติพบว่าคุณแม่ที่ใช้ เครื่องปั๊มนม แบบ 2 ข้างมักเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้นานกว่าการใช้เครื่องปั๊มข้างเดียวหรือแบบมือด้วย เพราะเหนื่อยน้อยกว่า และทำกิจกรรมอื่นๆไปพร้อมกันได้
              • เลือกแบบมีจังหวะปั๊มเลียนแบบการดูดของทารก ซึ่งมีแรงดูดอย่างน้อย 200 mmHg และความถี่อย่างน้อย 40-60 รอบต่อนาที หากคุณแม่คิดว่าจะปั๊มนมนานกว่า 4 เดือนแน่นอน ควรเลือก เครื่องปั๊มนมที่รอบดูดมากกว่า 100 ครั้งต่อนาทีขึ้นไปจะใช้งานได้ดีกว่า
              • ขนาดไม่ใหญ่เกินไป น้ำหนักเบา เสียงไม่ดัง พกพาสะดวก หลายครั้งคุณแม่ต้องปั๊มนมนอกสถานที่ มีผู้คนพลุกพล่าน เช่น โต๊ะทำงาน ห้างสรรพสินค้า รถยนต์ หรือขนส่งสาธารณะ เป็นต้น
              • เลือกลักษณะการชาร์ตไฟตามสะดวก หากต้องเดินทางบ่อย ควรเลือกแบบใช้ถ่านแบตเตอรี่ ไม่ต้องเสียบปลั๊ก ขอแนะนำให้ใช้ถ่านที่สามารถชาร์ตซ้ำได้ในตัว เพื่อความสะดวก
              • มีอุปกรณ์เสริม และฟังก์ชั่นช่วยให้การปั๊มง่ายขึ้น เช่น ระบบเลือกระดับความแรงปั๊มได้ บนเครื่องมีหน้าปัดแสดงผลชัดเจน เข้าใจง่าย กรวยปั๊มอ่อนโยน ไม่ทำให้เต้านมช้ำ และควรพกพาไปปั๊มสะดวกในทุกที่ ทุกสถานการณ์

              เครื่องปั๊มนม

              Amarin Baby & Kids Awards 2019 ยกให้ Freena Youha Plus เป็น เครี่องปั๊มนม ที่ได้รับรางวัล Editor’s Choice Best Breast Pump

              เครื่องปั๊มนม Freena Youha Plus เป็นนวัตกรรมเครื่องปั๊มนมใหม่ถูกออกแบบให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคุณแม่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเข้าใจจริง ทั้งประสิทธิภาพในการปั๊มน้ำนม ซึ่งสอดคล้องกับกระบวนการสร้างน้ำนมตามธรรมชาติ ด้วย 3 โหมดให้เลือกใช้ ได้แก่ โหมดกระตุ้นจี๊ด ช่วยเร่งการหลั่งน้ำนม กระตุ้นการสร้างน้ำนม โหมดดูดทั่วไป สำหรับดูดน้ำนมจนเกลี้ยงเต้า และโหมดดูดท่อน้ำนมอุดตัน จะปั๊มแรงและลึกขึ้นเพื่อดูดน้ำนมที่ค้างเต้าหลายชั่วโมงให้นิ่ม เกลี้ยงเต้า โดยมีรอบปั๊มสูงสุดถึง 120 ครั้งต่อนาที และความแรงปรับได้สูงสุดมากถึง 350 mmHg

              เครื่องปั๊มมีขนาดเล็ก กะทัดรัด  น้ำหนักเบา หน้าจอแสดงการใช้งานที่เปลี่ยนสีไปตามโหมดการทำงาน และตัวเลขบอกระยะเวลาการปั๊มให้เห็นชัดเจน  พร้อมมีปุ่มกดเลือกโหมดทำงาน และมีปุ่มเพิ่ม-ลดความแรงให้คุณแม่สามารถปรับให้เหมาะกับตัวเองได้อย่างอิสระ เสียงเงียบ ไม่รบกวนลูกน้อยยามหลับ

              อุปกรณ์และฟังก์ชั่นต่างๆ ที่เสริมเข้ามาก็ช่วยปลดล็อกทุกข้อจำกัดของการปั๊มนมออกไป ทั้งกรวยปั๊มทำจากซิลิโคน Food Grade BPA Free จึงนิ่มกว่าพลาสติกและแนบได้สนิท ไม่เจ็บเวลาใช้งาน แถมมีความทนทานสูง ทนความร้อนได้ดี สามารถล้างและลวกน้ำร้อนทำความสะอาดก่อนใช้ได้ มีระบบป้องกันการไหลย้อนกลับ จึงหมดปัญหาน้ำนมไหลย้อนกลับไปค้างในสายยาง ซึ่งเป็นส่วนที่ทำความสะอาดยากและเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคได้

              เชื่อว่าคุณแม่ทำงานหรือแม่ฟูลไทม์ต้องชอบสิ่งนี้ กรวยปั๊มแบบติดเต้าที่สามารถสอดไว้กับเสื้อชั้นใน เมื่อปั๊มแล้วน้ำนมจะไหลไปเก็บไว้ในถ้วยพลาสติกที่มีความจุมากถึงข้างละ 8 ออนซ์โดยไม่ต้องต่อกับขวดนม คุณแม่จึงสามารถปั๊มนมได้ทุกที่ ทุกเวลา โดยไม่ต้องกลัวโป๊ จะอยู่ในอิริยาบทไหนก็ปั๊มนมได้สะดวก แม้แต่ในท่านอน ไม่ต้องตื่นกลางดึกมานั่งปั๊มนมอีกต่อไป  แถมยังมีเข็มขัดปั๊มนมติดตั้ง เครื่องปั๊มนม ไม่ต้องถือ เหมาะกับคุณแม่ที่ต้องเดินหรือยืนทำงานเป็นเวลานาน ๆ

              ทาง Amarin Baby & Kids “เครือข่ายแม่ลูกใหญ่ที่สุด” ผู้นำด้านคอนเทนต์คุณภาพ เข้าใจครอบครัวไทย และตอบสนองความต้องการของคุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ จึงคัดเลือกให้ เครื่องปั๊มนม  Freena Youha Plus  ได้รับ รางวัล Editor’s Choice  Best Breast Pump จาก “Amarin Baby & Kids Awards 2019” ซึ่งมอบให้กับสินค้าแม่ลูก “สินค้าใช้ดี และมีประโยชน์จริง”

              คุณแม่สามารถศึกษาข้อมูลผลิตภ้ณฑ์เพิ่มเติมได้ที่ บริษัท วีรินทร์ จำกัด YOUHA ( Thailnd) โทร. 085-497-6656 Line : @jpenshop

               

              อ่านบทความ Amarin Baby & Kids Awards 2019 

              ประกาศผลรางวัล Amarin Baby & Kids Awards 2019 สุดยอดแบรนด์สินค้าแม่และเด็กในดวงใจ

               

              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

               

                จัดกระเป๋าไปคลอด

                จัดกระเป๋าไปคลอด กระเป๋าแม่ กระเป๋าลูก ต้องเตรียมอะไรไปบ้าง ?

                จัดกระเป๋าไปคลอด ว่าที่คุณแม่มือใหม่ใกล้คลอด จะต้องจัดเตรียมอะไรไว้ให้พร้อมบ้าง เพื่อที่จะได้ไม่ฉุกละหุกในวัน คลอด วันนี้เรามี Check List คุณแม่ต้องเตรียมจัดกระเป๋าเตรียมคลอดมาฝากกัน มีอะไรมาดูเลย

                 

                จัดกระเป๋าไปคลอด ต้องมีอะไรบ้าง ?  

                การไปคลอดลูกที่โรงพยาบาลปกติแล้วคุณแม่จะใช้เวลาอยู่ที่โรงพยาบาลประมาณ 3 วัน 2 คืน หรือ 4 วัน 3 คืน เท่านั้น หาก ไม่ได้มีอาการแทรกซ้อนหลังคลอด หรืออันตรายต่อสุขภาพร่างกายทั้งของคุณแม่และลูกน้อย ฉะนั้นการจัดกระเป๋าเตรียมคลอด ให้เตรียมเฉพาะของใช้ที่จำเป็นสำหรับคุณแม่ และลูกน้อยเท่านั้นค่ะ

                จัดกระเป๋าเตรียมคลอด (คุณแม่)

                1. เอกสารต่าง ๆ เช่น ใบนัดแพทย์ บันทึกการตั้งครรภ์ เอกสารประกันสุขภาพ บัตรประจำตัวประชาชนหรือบัตรประจำตัวของโรงพยาบาล บันทึกการฝากครรภ์ สำเนาบัตรประชาชนคุณพ่อและคุณแม่ สำเนาทะเบียนบ้าน รวมถึงชื่อลูกเพื่อใช้สำหรับแจ้งเกิด
                2. เสื้อชั้นในสำหรับให้นมลูก แผ่นซับน้ำนม กางเกงชั้นใน และผ้าอนามัย
                3. ของใช้ส่วนตัวประจำวัน เช่น สบู่ แชมพู แปรงสีฟัน ยาสีฟัน โฟมล้างหน้า หวี ครีมบำรุงผิว เป็นต้น
                4. ชุดใส่กลับบ้าน และ รองเท้าที่สวมใส่สบายๆ
                5. โทรศัพท์มือถือ และสายชาร์จ สำหรับติดต่อครอบครัว และญาติ

                จัดกระเป๋าไปคลอด (ลูกน้อย)

                จัดกระเป๋าคุณแม่เสร็จแล้ว ทีนี่เรามาจัดกระเป๋าเตรียมคลอดที่มีอุปกรณ์ของใช้จำเป็นสำหรับลูกน้อยกันบ้าง อย่างที่บอกไปค่ะว่าให้เตรียมส่วนที่จะนำไปใช้ที่โรงพยาบาลประมาณ 3-4 วัน ส่วนที่เหลือก็เตรียมไว้ให้มีพร้อมใช้ในวันที่พาลูกน้อยกลับมาบ้านค่ะ

                1. สมุดบันทึกพัฒนาการลูกน้อย
                2. Infant car seat เบาะนิรภัยสำหรับทารก ซื้อเตรียมติดไว้ในรถยนต์ให้พร้อมเลยค่ะ
                3. ผ้าอ้อมสำเร็จรูป Newborn Size และ ผ้าอ้อมผ้าสาลู
                4. ผ้าขนหนู หมวก ถุงเท้า
                5. ชุดหมี หรือผ้าห่อตัว สำหรับใส่กลับบ้าน
                6. อุปกรณ์ของใช้เด็กอ่อน เช่น เบบี้ไวพ์ , สบู่อาบน้ำและสระผม , เบบี้ออยล์ , สำลี , เบบี้โลชั่น , แป้งเด็ก เป็นต้น แนะนำคุณแม่ว่าควรเลือกที่เป็นออร์แกนิค เป็นสารสกัดธรรมชาติ ไร้สารเคมี อ่อนโยน เหมาะกับลูกน้อยแรกเกิดที่บอบบางมาก ดังนั้นผลิตภัณฑ์เหล่านี้ต้องปลอดภัยกับลูกน้อยมากที่สุด

                เราลองมาดูผลิตภัณฑ์ของใช้เด็กแรกเกิด ที่เป็นออร์แกนิค อย่าง ดีนี่ ออร์แกนิค ที่มีผลิตภัณฑ์สำหรับใช้ได้ตั้งแต่เด็กแรกเกิดค่ะ และผ่านการรับรอง Hypoallergenic Tested ไม่ก่อให้เกิดการแพ้

                • สบู่เหลวอาบและสระ (Baby Head & Body Wash)

                – สูตรออร์แกนิค อ่อนโยนด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ 7 ชนิด ช่วยให้ผิวชุ่มชื่นไม่แห้งตึง

                – ปราศจากพาราเบน และมี pH Balance ช่วยรักษาสมดุลผิว และล้างออกง่าย

                • เบบี้โลชั่น (Baby Lotion)

                – ซึมซาบเร็ว ไม่เหนียวเหนอะหนะ มีกลิ่นหอมละมุนอ่อนๆ

                – ปราศจากพาราเบน

                – ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นให้กับผิวด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ

                • เบบี้ออยล์ (Baby Oil)

                – เนื้อออยล์ใส ซึมซาบไว ไม่เหนียวเหนอะหนะ

                – ปราศจากสีและสารพาราเบน

                – ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นให้กับผิวด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ

                – สามารถใช้ผสมอาบน้ำ หรือนวดผิวลูกน้อยหลังอาบน้ำเสร็จ ทำให้ลูกน้อยรู้สึกผ่อนคลาย ทำให้ผิวไม่แห้ง ไม่ ลอกเป็นขุย

                • แป้งเด็กเนื้อโลชั่น (Baby Powder Lotion)

                – แป้งเนื้อโลชั่น ช่วยลดการฟุ้งกระจาย ทาแป้งแล้วได้บำรุงผิวไปด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ

                – ปราศจากสี และสารพาราเบน

                – กลิ่นหอมละมุนอ่อนๆ เนื้อแป้งบางเบาซึมซาบเร็ว

                • เบบี้ไวพ์ (Baby Wipe)

                – เนื้อผ้าหนานุ่ม อ่อนโยนต่อผิวเด็กแรกเกิด

                – ผ้าเปียกมีส่วนผสมของน้ำบริสุทธิ์ 99% และมี pH 5.5

                – สูตรออร์แกนิค มีสารสกัดจากธรรมชาติช่วยให้ผิวชุ่มชื้น

                – ปราศจากสารพาราเบน แอลกอฮอล์ น้ำหอมและสี

                • สำลี (Baby Cotton)

                – สำลีบริสุทธิ์จากฝ้ายแท้ 100% นุ่มพิเศษ ไม่เป็นขุยติดผิว ปราศจากกาว และสารเคมี 100%

                – ซึมซับได้ดี ไร้สารตกค้าง ปราศจากสารเรืองแสงตามมาตรฐานสากล

                สำหรับผลิตภัณฑ์ ดีนี่ ออร์แกนิค ของใช้เด็กแรกเกิด ที่คุณแม่สามารถจัดเตรียมไว้ในกระเป๋าคลอด เพื่อใช้ที่โรงพยาบาล ก็ยังใช้ได้ต่อเนื่องหลังพาลูกน้อยกลับบ้าน นอกจากนี้ยังมีในกลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กที่เป็นผลิตภัณฑ์ล้างขวดนมเด็ก(Baby Bottle & Nipple Cleaner) น้ำยาซักผ้าเด็ก และน้ำยาปรับนุ่มด้วยค่ะ

                ว่าที่คุณพ่อคุณแม่รู้กันแล้วนะคะว่าต้องจัดกระเป๋าเตรียมคลอดมีอะไรบ้าง ทุกอย่างที่จำเป็นสำหรับคุณแม่ คุณลูก จัดเตรียมใส่กระเป๋าไว้ให้พร้อม พอวันคลอดจริงมาถึงก็ไปโรงพยาบาลคลอดลูกอย่างสบายใจเลยค่ะ  

                 

                  จุดกางเต็นท์

                  5 จุดกางเต็นท์ แคมปิ้งฉบับครอบครัว ชวนลูกนอนกลางดิน กินอยู่ง่าย ใกล้ชิดธรรมชาติ

                  จุดกางเต็นท์ ใกล้กรุง เดินทางง่าย เหมาะมากสำหรับแคมปิ้งฉบับครอบครัว และมือใหม่หัดแคมปิ้ง ที่ไม่ยุ่งยาก มาลองเปลี่ยนบรรยากาศการไปเที่ยว นอนในห้องพักสี่เหลี่ยมในโรงแรม มาเป็นพาเจ้าตัวเล็กมานอนกางเต็นท์ใกล้ชิดกันธรรมชาติมากขึ้นกันค่า

                  5 จุดกางเต็นท์ แคมปิ้งฉบับครอบครัว พาลูกลุยธรรมชาติ ปลูกประสบการณ์

                  1.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี

                  เริ่มจาก “แก่งกระจาน” ที่เหมาะสำหรับมือใหม่หรือครอบครัวที่อยากจะลองมากางเต็นท์เปลี่ยนบรรยากาศการเที่ยวแบบเดิม ๆ  เพราะเดินทางไม่ไกล อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ 180 กิโลเมตรก็เข้าสู่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน พร้อมกางเต็นท์นอน ใกล้ชิดกับธรรมชาติ ชมวิวพระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตก ที่สวยจับใจ และชมวิวสวย ๆ ตามเส้นทางท่องเที่ยวธรรมชาติ เช่น ทะเลสาบ น้ำตก ถ้ำ หน้าผาที่สวยงาม สะพานแขวน ฯลฯ สำหรับบริเวณสำหรับกางเต็นท์ก็มีอยู่หลายจุด ทั้งบริเวณอ่างเก็บน้ำริมเขื่อนแก่งกระจาน ลานกางเต็นท์บ้านกร่าง และลานน้ำตกป่าละอู หรือกางเต็นท์ที่บริเวณที่ทำการอุทยานฯ ซึ่งมีให้เลือกถึง 4 โซน แต่ละโซนก็มีวิวสวยที่แตกต่างกันไปค่ะ สำหรับบ้านไหนที่อยากเริ่มต้นกางเต็นท์แคมปิ้งชิล ๆ ยังไม่รู้จะไปไหน ลานกางเต็นท์ที่แก่งกระจานก็เป็นตัวเลือกที่น่าเที่ยวอีกที่นะคะ

                  แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี
                  เครดิตภาพจาก www.facebook.com/Kaengkrachannationalparkofficial

                  พิกัด : อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ต.แก่งกระจาน อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี
                  โทร. 091-0504 461,032-772311 (ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว) 032-772312 (ที่ทำการอุทยานฯ)
                  ค่าเข้าอุทยานฯ: ผู้ใหญ่ 100 บาท เด็ก 40 บาท, ค่ากางเต็นท์ คนละ 30 บาท/คืน
                  ร้านค้าสวัสดิการ (ร้านอาหาร) เบิดบริการ อาทิตย์ -ศุกร์ เวลา 08.00 น. – 18.00 น. เสาร์ เวลา 08.00 น. – 19.00 น.
                  ราคาเช่าอุปกรณ์แคมป์ปิ้ง : เต็นท์ 3 คน ราคา 225 บาท,หมอน 10 บาท, ถุงนอน 30 บาท, แผ่นรองนอน 20 บาท

                  2.ศูนย์ศึกษาธรรมชาติ เจ็ดคต-โป่งก้อนเส้า จ.สระบุรี

                  ที่นี่เป็นอีกที่หนึ่งที่สำหรับครอบครัวที่รักการท่องเที่ยวแบบธรรมชาติ และมานอนกางเต็นท์ชิล ๆ เพื่อการพักผ่อนอย่างแท้จริง จากกรุงเทพมา ศูนย์ศึกษาธรรมชาติเจ็ดคด -โป่งก้อนเส้า ใช้เวลาไม่ถึง 2 ชม. ก็ได้พาเด็ก ๆ มากางเต็นท์นอนและวิ่งเล่นกับลานธรรมชาติกว้าง ๆ ชมวิวสวยของแอ่งน้ำ มีอากาศสดชื่น เย็นสบาย มีกิจกรรมที่น่าสนใจ อาทิเช่น เดินเล่นรอบแอ่งน้ำ มีเส้นทางศึกษาธรรมชาติให้เดิน เข้าไปชมน้ำตกที่มีให้เลือกถึง 6 แห่ง ตามระยะใกล้-ไกล (ถ้าเดินป่าลึกควรแจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อนำทาง) ระหว่างทางเดินก็จะได้สัมผัสกับธรรมชาติสวย ๆ เช่น นกชนิดต่าง ๆ โปงผีเสื้อนับร้อยตัว หรือเห็ดแชมเปญสีสวยที่จะออกดอกให้ชมในช่วงฤดูฝน ตั้งแต่เดือน ส.ค-ต.ค อีกด้วย ภายในไม่มีร้านค้า ร้านอาหารนะคะ สามารถเตรียมอาหารมาทำกันเองได้เลย มีบริเวณล้างจานให้ มีห้องน้ำเพียงพอ มีเตาไฟให้บริการ แต่ห้ามก่อกองไฟนะคะ เรียกว่าสะดวกสบายสำหรับแม่ และชวนให้เด็ก ๆ สนุกและเรียนรู้กับประสบการณ์แคมปิ้งได้อย่างดีทีเดียวเชียวล่ะ

                  ศูนย์ศึกษาธรรมชาติเจ็ดคด -โป่งก้อนเส้า
                  เครดิตภาพจาก www.facebook.com/CudKangTenTh

                  พิกัด : ศูนย์ศึกษาธรรมชาติและท่องเที่ยวเชิงนิเวศเจ็ดคต-โบ่งก้อนเส้า อ.แก่งคอย จ.สระบุรี
                  เวลาในการเข้าออกสถานที่ ด่านเปิด 06.00-20.00 น.
                  ติดต่อสอบถามหรือจองบ้านพัก : โทร.089-2378659, 085-9683520, 080-0192762 (ในเวลาราชการ 08.30-12.00 น. และ 13.00-16.30 น.)
                  ค่าบริการกางเต็นท์ :ไม่มี แล้วแต่จะบริจาค

                  3.โครงการชั่งหัวมัน จ.เพชรบุรี

                  นอกจากบริเวณ “โครงการชั่วหัวมัน” ตามพระราชดำริแล้ว จะเป็นแหล่งเรียนรู้วิถีเศรษฐกิจพอเพียงแล้ว หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติที่สามารถนำเต็นท์มานอนกางได้ มีจุดกางเต็นท์เป็นสนามหญ้าริมแอ่งน้ำที่มีบรรยากาศสวยมาก ยิ่งในช่วงธันวาคม-มกราคม หน้าหนาวอากาศเย็นสบาย ๆ เป็นใจสำหรับมานอนรับลมธรรมชาติซักคืนค่ะ แถมยังสามารถนำอาหารเข้ามาทำกิน ดินเนอร์กันหน้าเต็นท์ได้อีกด้วย มีห้องน้ำบริการสะดวกสบาย นอกจากจากจะวางแผนมากางเต็นท์นอนที่นี่แล้ว ก็ต้องพาเจ้าตัวเล็กเข้าชมกิจกรรมในโครงการชั่งหัวมันด้วย ไม่ว่าจะเป็นการนั่งรถรางชมพื้นที่บริเวณรอบ ๆ หรือจะปั่นจักรยานที่นี่ก็มีให้บริการฟรีด้วยนะ แค่นำบัตรประชาชนมาแลก ก็ปั่นได้ทั้งวันไม่จำกัดชั่วโมงเลยจ้า

                  โครงการชั่งหัวมัน
                  เครดิตภาพจาก www.facebook.com/srirachacamp

                  พิกัด : โครงการชั่วหัวมัน บ้านหนองคอไก่หมู่ที่ 5 ตำบลเขากระปุก อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี
                  ค่าเข้าโครงการ : ผู้ใหญ่ 20 บาท เด็ก 10 บาท
                  ติดต่อสอบถาม :  โทร.0-3247-2700-1
                  ค่าบริการกางเต็นท์ : นำเต็นท์มาเอง หลังละ 100 บาท/ เช่าเต็นท์ หลังละ 300 บาท
                  ราคาเช่าอุปกรณ์แคมป์ปิ้ง: มีบริการเช่าเตาประกอบอาหาร

                   

                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                   

                  อ่านต่อ ที่กางเต็นท์ใกล้กรุง พาลูกไปนอนกลางดินใกล้ชิดธรรมชาติ คลิกหน้า 2

                    บำรุงน้ำนม ยี่ห้อไหนดี

                    น้ำนมน้อย เลือกผลิตภัณฑ์ บำรุงน้ำนม ยี่ห้อไหนดี คุณแม่เลือก ฟีนูแคปพลัส เป็นแบรนด์อันดับหนึ่งในดวงใจ

                    น้ำนมน้อย  น้ำนมไม่ไหล นมไม่พอให้ลูกกิน สารพัดปัญหากวนใจคุณแม่หลังคลอดที่อยากเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ แก้ไขได้ด้วยการกระตุ้นน้ำนมอย่างถูกวิธี และใช้ผลิตภัณฑ์ บำรุงน้ำนม ยี่ห้อไหนดี ถึงจะดีจริง คุณแม่ทั่วประเทศได้โหวต ให้ ฟีนูแคปพลัส เป็นแบรนด์อันดับหนึ่งในดวงใจ และรับรางวัล Amarin Baby & Kids Awards 2019 สาขา Mommy’s Choice

                    ผลิตภัณฑ์ บำรุงน้ำนม ยี่ห้อไหนดี แม่ทั่วประเทศเลือกแล้ว ใช้ยี่ห้อนี้เป็นแบรนด์ในดวงใจ

                    Amarin Baby & Kids “เครือข่ายแม่ลูกใหญ่ที่สุด” ผู้นำด้านคอนเทนต์คุณภาพ เข้าใจครอบครัวไทย และตอบสนองความต้องการของคุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ ไทย ทั้งรูปแบบ Online ผ่านเว็บไซต์ www.AmarinBabyAndKids.com และเฟซบุ๊คแฟนเพจที่มีเนื้อหาตรงใจ ทันสถานการณ์ โดยมียอดผู้ติดตามมากกว่า 1,000,000 Followers และรูปแบบ On print ผ่าน Bookazine ราย 2 เดือน รวมถึง รูปแบบ On ground งานแฟร์แม่ลูก Amarin Baby & Kids Fair ที่จัดมาแล้วถึง 15 ครั้ง

                    เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านเครือข่ายแม่ลูกอันดับ 1 ของประเทศที่เข้าใจคุณแม่ไทยมากที่สุด เว็บไซต์ Amarin Baby & Kids จึงได้จัด “Amarin Baby & Kids Awards 2019” ครั้งแรกในเมืองไทย เพื่อเฟ้นหาสุดยอดแบรนด์สินค้าแม่และเด็กในดวงใจ  จากคะแนนโหวตของคุณแม่ทั่วประเทศกว่า 10,000 คน ผ่าน www.AmarinBabyAndKids.com เว็บไซต์สื่อกลางข้อมูลคุณภาพจากแม่สู่แม่ Mom to Mom Sharing เพื่อเป็นประโยชน์แก่คุณแม่มือใหม่ที่กำลังมองหา “สินค้าใช้ดี ที่ได้รับการยืนยันจากคุณแม่ตัวจริงทั่วประเทศ”

                    และเพื่อให้สมกับรางวัลที่มาจากความคิดเห็นของแม่อย่างแท้จริง สำหรับแบรนด์สินค้าในสาขา Mommy’s Choice จึงเปิดโอกาสให้แม่ได้ร่วมโหวต  2  รอบ ได้แก่ “รอบเสนอชื่อแบรนด์ที่ชื่นชอบ” จากนั้นทีมงานได้ทำการเลือกแบรนด์ที่ถูกเสนอชื่อมากที่สุด มาจัด“รอบโหวตแบรนด์ในดวงใจ” อีกครั้งหนึ่ง

                    ทำไมแม่โหวตให้ ฟีนูแคปพลัส เป็นแบรนด์ผลิตภัณฑ์บำรุงน้ำนมในดวงใจ

                    “น้ำนมน้อยมาก ปั๊มเท่าไหร่ก็ไม่เพิ่มเลย ก่อนตัดสินใจซื้อก็ดูหลายยี่ห้อ พออ่านดูส่วนผสมเห็นว่าเป็นสารสกัดจากธรรมชาติ และมีงานวิจัยทางการแพทย์รองรับ เลยทำให้มั่นใจและกล้าใช้”

                    “ใช้แล้วได้ผลดีค่ะ น้ำนมเพิ่มขึ้นและไหลดี ยังช่วยปรับสมดุลร่างกายของแม่หลังคลอดให้แข็งแรงขึ้นด้วย”

                    “สะดวกกว่ากินสมุนไพรต้ม กินง่าย ราคาไม่แพงและหาซื้อสะดวก เลยตัดสินใจเลือกยี่ห้อนี้ค่ะ”

                    ฟีนูแคปพลัส เป็นนวัตกรรมเพิ่มน้ำนม ผลิตจากลูกซัด สมุนไพรพื้นบ้านของไทย ซึ่งมีสรรพคุณในการกระตุ้นการผลิตน้ำนมของแม่หลังคลอด จึงได้รับการจดสิทธิบัตร มีงานวิจัยทางการแพทย์รับรอง  และผ่านการขึ้นทะเบียน อย. สามารถศึกษาข้อมูลผลิตภัณฑ์ได้ที่ http://www.fenucap.com/ครั้งเเรกของไทย-ม-มหิดล/

                     

                    อ่านบทความ Amarin Baby & Kids Awards 2019 

                    ประกาศผลรางวัล Amarin Baby & Kids Awards 2019 สุดยอดแบรนด์สินค้าแม่และเด็กในดวงใจ

                    ชมภาพบรรยากาศ งานมอบรางวัล Amarin Baby & Kids Awards 2019

                     

                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                     

                      รถเข็นเด็ก ยี่ห้อไหนดี

                      คาร์ซีท รถเข็นเด็ก ยี่ห้อไหนดี คุณแม่เลือก Combi เป็นแบรนด์อันดับหนึ่งในดวงใจ

                      คาร์ซีทกับ รถเข็นเด็ก ยี่ห้อไหนดี เป็นหนึ่งคำถามที่คุณแม่มือใหม่ต้องการคำตอบมากที่สุด เพราะความปลอดภัยของลูกน้อยเมื่อออกมาจากบ้านเป็นสิ่งสำคัญ แต่จะเลือกคาร์ซีทกับรถเข็นเด็กแบบไหนให้เหมาะกับลูก มั่นใจว่าปลอดภัยชัวร์ และคุณภาพสมราคา

                      คุณแม่ทั่วประเทศได้โหวต ให้ คอมบิ (Combi) เป็นแบรนด์ คาร์ซีทและรถเข็นเด็ก อันดับหนึ่งในดวงใจ และรับรางวัล Amarin Baby & Kids Awards 2019 สาขา Mommy’s Choice

                      คาร์ซีทกับ รถเข็นเด็ก ยี่ห้อไหนดี แม่ทั่วประเทศเลือกแล้ว ใช้ยี่ห้อนี้เป็นแบรนด์ในดวงใจ

                      Amarin Baby & Kids “เครือข่ายแม่ลูกใหญ่ที่สุด” ผู้นำด้านคอนเทนต์คุณภาพ เข้าใจครอบครัวไทย และตอบสนองความต้องการของคุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ ไทย ทั้งรูปแบบ Online ผ่านเว็บไซต์ www.AmarinBabyAndKids.com และเฟซบุ๊คแฟนเพจที่มีเนื้อหาตรงใจ ทันสถานการณ์ โดยมียอดผู้ติดตามมากกว่า 1,000,000 Followers และรูปแบบ On print ผ่าน Bookazine ราย 2 เดือน รวมถึง รูปแบบ On ground งานแฟร์แม่ลูก Amarin Baby & Kids Fair ที่จัดมาแล้วถึง 15 ครั้ง

                      เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านเครือข่ายแม่ลูกอันดับ 1 ของประเทศที่เข้าใจคุณแม่ไทยมากที่สุด เว็บไซต์ Amarin Baby & Kids จึงได้จัด “Amarin Baby & Kids Awards 2019” ครั้งแรกในเมืองไทย เพื่อเฟ้นหาสุดยอดแบรนด์สินค้าแม่และเด็กในดวงใจ  จากคะแนนโหวตของคุณแม่ทั่วประเทศกว่า 10,000 คน ผ่าน www.AmarinBabyAndKids.com เว็บไซต์สื่อกลางข้อมูลคุณภาพจากแม่สู่แม่ Mom to Mom Sharing เพื่อเป็นประโยชน์แก่คุณแม่มือใหม่ที่กำลังมองหา “สินค้าใช้ดี ที่ได้รับการยืนยันจากคุณแม่ตัวจริงทั่วประเทศ”

                      และเพื่อให้สมกับรางวัลที่มาจากความคิดเห็นของแม่อย่างแท้จริง สำหรับแบรนด์สินค้าในสาขา Mommy’s Choice จึงเปิดโอกาสให้แม่ได้ร่วมโหวต  2  รอบ ได้แก่ “รอบเสนอชื่อแบรนด์ที่ชื่นชอบ” จากนั้นทีมงานได้ทำการเลือกแบรนด์ที่ถูกเสนอชื่อมากที่สุด มาจัด“รอบโหวตแบรนด์ในดวงใจ” อีกครั้งหนึ่ง

                      ทำไมแม่โหวตให้ Combi  เป็นแบรนด์คาร์ซีทและรถเข็นเด็กในดวงใจ

                      เป็นอุปกรณ์สองอย่างแรกที่อยากซื้อ เพราะพ่อกับแม่ชอบท่องเที่ยว เลยอยากพาลูกไปด้วยตั้งแต่เล็ก อุปกรณ์เรื่องความปลอดภัยเป็นเรื่องสำคัญ พี่ที่ทำงานหลายคนแนะนำให้ลองใช้คอมบิ ลองแล้วไม่ผิดหวังค่ะ สินค้าได้มาตรฐานแข็งแรง ทนทาน ใช้งานสะดวกมาก”

                      “คุณภาพดีมากเลยค่ะ ใช้ตั้งแต่ลูกคนแรก ตอนนี้มีลูกสาวอีกคนก็ใช้ต่อได้สบาย วัสดุแข็งรง ทนทาน ชอบดีไซน์รถเข็นได้สวยงาม น้ำหนักเบา”

                      “ราคาไม่แพงอย่างที่คิด ชอบฟังก์ชั่นที่ช่วยให้พับเก็บ และกางออกได้สะดวกด้วยมือข้างเดียว ยุ่งแค่ไหนก็จัดการได้ ที่สำคัญพับได้เยอะจึงไม่เปลืองพื้นที่จัดเก็บ”

                      คอมบิ (Combi) ผลิตภัณฑ์แม่และเด็กสัญชาติญี่ปุ่น ก่อตั้งเมื่อปีค.ศ. 1957 มีที่มาจากคำว่า “ผสมผสาน” (Combination) ในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์เพื่อเชื่อมโยงความเป็นแม่และลูกเข้าด้วยกัน เพื่อทำให้พ่อแม่ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและสนุกมากขึ้น  มีสินค้าในหลายกลุ่ม รวมถึงรถเข็นเด็กและคาร์ซีทที่มีให้เลือกหลายรุ่น หลายราคา คุณพ่อคุณแม่สามารถเลือกช้อปให้เหมาะกับวัยของลูกน้อย ได้ตามช้อปในห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วไป

                       

                      อ่านบทความ Amarin Baby & Kids Awards 2019 

                      ประกาศผลรางวัล Amarin Baby & Kids Awards 2019 สุดยอดแบรนด์สินค้าแม่และเด็กในดวงใจ

                      ชมภาพบรรยากาศ งานมอบรางวัล Amarin Baby & Kids Awards 2019

                       

                      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                       

                        อาหารเด็กทารก

                        อาหารเด็กทารก ป้อนอย่างไรไม่ให้ลูกเสี่ยงแพ้อาหาร?

                        การป้อน อาหารเด็กทารก หากป้อนไม่ถูกวิธีอาจทำให้ลูกเสี่ยงแพ้อาหาร ซึ่งอาการแพ้อาหาร สามารถทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิตของลูกน้อยได้

                        อาหารเด็กทารก ป้อนอย่างไรไม่ให้ลูกเสี่ยงแพ้อาหาร?

                        การแพ้อาหารคืออะไร?

                        การแพ้อาหาร (Food allergy) เป็นปฏิกิริยาตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายที่เกิดขึ้นหลังจากที่ผู้ป่วยได้รับประทานอาหารบางชนิดเข้าไป อาการแพ้อาหารสามารถพบได้มากถึง 2-10% ในปัจจุบัน  โดยอาการแพ้อาหารที่เกิดขึ้นอาจมีได้ตั้งแต่น้อย ปานกลาง จนถึงรุนแรง อาการที่รุนแรงที่สุด คือ เกิดปฏิกริยาเฉียบพลันต่อระบบของอวัยวะในร่างกายที่สำคัญตั้งแต่ 2 ระบบขึ้นไป ซึ่งมีผลต่อชีวิตได้ อาการที่เกิดจากปฏิกริยาการแพ้อาหาร มีดังนี้

                        • ผิวหนัง มีอาการคัน ผื่นแดง ผื่นลมพิษ ผิวหนังบวม
                        • ตา มีอาการคัน น้ำตาไหล ตาแดง อาการบวมรอบตา
                        • ทางเดินหายใจส่วนบน มีอาการคัน แน่นจมูก น้ำมูกไหล จาม เสียงแหบ กล่องเสียงบวม
                        • ทางเดินหายใจส่วนล่าง มีอาการไอ เสียงหวีดในลำคอ หายใจไม่ออก แน่นหรือเจ็บหน้าอก
                        • ทางเดินอาหาร มีอาการคันในช่องปาก อาการบวมของริมฝีปาก ลิ้น หรือ เพดานปาก คันหรือแน่นในคอ ปวดท้องเรื้อรัง คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ถ่ายเป็นมูกเลือด
                        • หัวใจและหลอดเลือด หัวใจเต้นเร็ว มึนงง สลบหรือเป็นลม ความดันโลหิตต่ำ

                        สัญญาณที่บ่งบอกว่าลูกอาจแพ้อาหาร

                        โดยปกติแล้ว อาการแพ้อาหารแบบเฉียบพลันมักจะเกิดขึ้นหลังจากทานอาหารชนิดนั้น ๆ ไปแล้วไม่กี่นาทีถึงหลายชั่วโมง อาการเริ่มต้นที่สังเกตได้ง่ายที่สุดคือ เกิดลมพิษขึ้นบริเวณผิวหนัง มีผื่นขึ้นบริเวณรอบ ๆ ปาก มีอาการท้องเสีย อ้วก ลูกจะงอแง เพราะรู้สึกอึดอัด ไม่สบายท้อง โดยหากเกิดอาการเพียงเล็กน้อย ควรหยุดป้อนอาหารที่ต้องสงสัยนั้นทันที โดยอาการแพ้จะสามารถหายได้เอง แต่ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเพื่อให้จ่ายยาเพื่อบรรเทาอาการเบื้องต้น

                        แต่หากลูกมีอาการหายใจลำบาก มีเสียงหวีดในลำคอ ลิ้น ริมฝีปาก และหน้าบวม ให้สงสัยว่าลูกอาจมีอาการแพ้อาหารอย่างรุนแรง ควรรีบพาไปพบแพทย์โดยด่วน

                        ลูกแพ้อาหาร
                        ลูกแพ้อาหาร

                        ข้อควรระวังก่อนป้อน อาหารเด็กทารก มื้อแรกให้ลูก

                        ก่อนเริ่มให้ลูกทาน อาหารเด็กทารก คุณพ่อคุณแม่ควรตรวจสอบว่าลูกอาจมีความเสี่ยงที่จะแพ้อาหารหรือไม่ โดยเด็กที่แพ้อาหาร มักจะมีปัจจัยเสี่ยง ดังต่อไปนี้

                        • กรรมพันธุ์ พบว่าหากในครอบครัวมีสมาชิกที่เป็นโรคภูมิแพ้ 1 คน ความเสี่ยงในการเกิดการแพ้อาหารจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 40 หากมีสมาชิกในครอบครัวสายตรงเป็นโรคภูมิแพ้ 2 คน ความเสี่ยงในการเกิดการแพ้อาหารจะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 80
                        • คนเอเชีย และเด็กผู้ชาย มีความเสี่ยงสูงในการเกิดการแพ้อาหาร
                        • การขาดวิตามินดี มีผลทำให้เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดการแพ้อาหาร
                        • ลูกเคยมีหรือมีอาการของโรคผิวหนังอักเสบ หรือมีผื่นภูมิแพ้ผิวหนังมาก่อน

                        กลุ่มอาหารที่ทำให้เกิดการแพ้ได้บ่อย

                        อาหารที่พบมีรายงานว่าทำให้เกิดอาการแพ้ได้บ่อย คือ ไข่ ขนม ถั่วลิสง ถั่ว (Tree nuts) ถั่วเหลือง ข้าวสาลี ส่วนอาหารอื่นๆได้แก่ งา เมล็ดพืช อาหารทะเล เนื้อสัตว์ และผลไม้ (อ่านต่อ อาหารก่อภูมิแพ้ 8 ชนิดที่พ่อแม่ควรระวัง)

                        ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่จึงควรหลีกเลี่ยงการทานอาหารในกลุ่มอาหารที่อาจจะทำให้เกิดการแพ้ โดยอาหารแต่ละชนิดควรเริ่มทานในช่วงวัยที่แตกต่างกัน อย่างเช่น กลุ่มข้าวและผัก สามารถเริ่มทานได้ตั้งแต่อายุ 6 เดือนขึ้นไป กลุ่มเนื้อสัตว์ ควรเริ่มทานตั้งแต่ 7 เดือนขึ้นไป สำหรับอาหารทะเล ไข่ขาว ถั่ว ควรเริ่มทานได้ตั้งแต่ 1 – 1.5 ขวบขึ้นไป เป็นต้น สำหรับอาหารที่อาจจะก่อให้เกิดอาการแพ้ ทีมแม่ ABK ขอนำตารางอาหารที่เป็นสาเหตุของการแพ้ เริ่มแพ้เมื่อไหร่ และจะหายแพ้เมื่อไหร่ โดยอ่านได้ที่หน้า 2 ค่ะ

                         

                        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                        อ่านต่อ เด็กแพ้อาหารจะเริ่มเกิดในช่วงอายุใด? และจะหายแพ้เมื่อไหร่?

                          อาหารเสริมทารก

                          อาหารเสริมทารก เริ่มด้วยอาหารแบบไหน? ทานอย่างไร?

                          เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกสำลักอาหาร ลูกท้องอืดจากอาหารไม่ย่อย ลูกคายอาหารหรือไม่ชอบทานอาหาร ทีมแม่ ABK จึงมีเคล็ดลับในการป้อน อาหารเสริมทารก มื้อแรกมาฝากแม่ ๆ ค่ะ

                          อาหารเสริมทารก เริ่มด้วยอาหารแบบไหน? ทานอย่างไร?

                          การให้ลูกทาน อาหารเสริมทารก มื้อแรกนอกจากจะเป็นช่วงเวลาที่คุณพ่อคุณแม่รอคอยแล้ว ยังเป็นช่วงเวลาที่คุณพ่อคุณแม่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะต้องคอยสังเกตอาการต่าง ๆ หลังจากเริ่มทาน อาหารเสริมทารก เข้าไป เพราะแม้ว่าลูกจะมีวัยที่พร้อมทาน อาหารเสริมทารก แล้ว และลูกมีสัญญาณว่าลูกพร้อมทานแล้วก็ตาม แต่คุณพ่อคุณแม่ไม่สามารถรู้ว่าภายในร่างกายของลูก โดยเฉพาะระบบย่อยอาหาร ของลูกนั้นพร้อมหรือยัง และนอกจากความพร้อมแล้ว ยังต้องคอยระวังเรื่องการแพ้อาหารอีกด้วย

                          อาหารเสริมทารก มื้อแรก ควรเป็นอาหารแบบไหน?

                          ควรเริ่มป้อน อาหารเสริมทารก ด้วยข้าวกล้อง (บางคนแพ้ข้าวกล้อง กินแล้วมีผื่นขึ้น หรือ ท้องผูก ก็ให้เปลี่ยนเป็นข้าวขัดขาว) แล้วค่อย ๆ ใส่ผักทีละอย่าง ใช้ซ้ำหนึ่งเมนู นาน 4-5 วัน เพื่อการตรวจสอบว่าไม่มีปัญหาแพ้ โดยผักที่ใช้มีดังนี้ แครอท ไชเท้า มันเทศ มันฝรั่ง มันม่วง มันญี่ปุ่น ถั่วลันเตา ถั่วแขก ถั่วฟักยาว ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วแดง ถั่วดำ ถั่วแดง ถั่วขาว ถั่วชิกพี ถั่วสปลิท ลูกเดือย ลูกบัว ผักกาดขาว ผักกาดเขียว ผักกาดหอม ผักกาดแก้ว กะหล่ำปลี ตำลึง ผักบุ้ง กวางตุ้ง คะน้า ผักโขม ปวยเล้ง บ็อคชอย มะรุม ยอดมะระ ผักหวาน ข้าวโพดอ่อน เห็ด หัวหอมใหญ่ บล็อกโครี่ กะหล่ำดอก ฟักขาว แตงกวา แตงร้าน ฟักทอง ฟักเขียว อโวคาโด เมล็ดพืช (เช่น เมล็ดฟักทอง เมล็ดดอกทานตะวัน เมล็ดงา เมล็ดแฟล็กซ์ซึ่งมีโอเมก้า 3 ซึ่งเป็นสารตั้งต้นของดีเอชเอ ช่วยบำรุงสมองและสายตา)

                          การที่ต้องให้ลูกทานอาหารซ้ำ ๆ กัน 4-5 วันต่อ 1 เมนู นั่นเป็นเพราะลูกอาจมีอาการแพ้อาหารสะสมได้ คือยังไม่มีอาการแพ้อาหารทันทีหลังจากทานข้าว แต่จะค่อย ๆ มีอาการแพ้อาหารในวันถัด ๆ ไป โดยอาการแพ้อาหารมีดังนี้

                          ลูกแพ้อาหาร
                          ลูกแพ้อาหาร

                          ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องกลัวว่าลูกจะเบื่อรสชาติของอาหารชนิดนั้น ๆ นะคะ เพราะแค่ทาน อาหารเสริมทารก ก็เป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับลูกน้อยแล้วค่ะ

                           

                          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                          อ่านต่อ วิธีทำอาหารเสริมทารก และ 7 เคล็ดลับ ป้อนอาหารเสริมมื้อแรกให้สำเร็จ

                            ชวนลูกอ่านแค่วันละ 15 นาที

                            ชวนลูกอ่านแค่วันละ 15 นาที เพิ่มสุดยอดทักษะดีๆ ได้มากกว่าที่คิด

                            ช่วงขวบปีแรก ถือเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดของชีวิต และยังมีความสำคัญต่อการพัฒนาสมองมากที่สุดด้วย แต่เด็กจำนวนไม่น้อยกลับพลาดกิจกรรมในการเสริมสร้างทักษะการอ่านและการพูดไป เพียงเพราะพ่อแม่คิดว่าเด็กยังเล็กเกินไปที่จะเข้าใจเนื้อหาในหนังสือ ทั้งนี้ในความเป็นจริงเราสามารถเริ่มต้นการอ่านให้กับลูกได้ตั้งแต่ช่วงแรกเกิด เป็นต้นไปได้เลยค่ะ ทั้งนี้จากงานวิจัยของ American Academy of Pediatrics พบว่า การให้เด็กอ่านหนังสือตั้งแต่ยังเล็ก ช่วยเพิ่มคำศัพท์ เพิ่มทักษะการอ่านก่อนที่จะเข้าโรงเรียน และการเสริมสร้างลักษะนิสัยด้วย

                            และเมื่อไหร่ที่เขาโตขึ้น การอ่านออกเสียงจะดึงให้เด็กเข้ามามีส่วนร่วม พร้อมๆกับมีการชี้ไปที่ภาพ และการอ่านทวนคำซ้ำๆ ดังนั้น พ่อแม่ต้องใช้โอกาสนี้ในการพูดคุยเรื่องราวที่มีมากกว่าแค่ในหนังสือตรงหน้า โดยพยายามตั้งคำถามเยอะๆ เพื่อให้ลูกน้อยได้นึกถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นและสิ่งรอบตัวที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน

                             

                            ชวนลูกอ่านแค่วันละ 15 นาที

                             

                            ชวนลูกอ่านแค่วันละ 15 นาที

                            ทั้งนี้การอ่านหนังสือให้ลูกฟังไม่ต้องใช้เวลานานก็ได้ และไม่ต้องอ่านหลายเล่ม ขอแค่ได้อ่านเป็นประจำสม่ำเสมอก็พอ มีเวลาน้อย ก็อ่านน้อย มีเวลามากก็อ่านมาก แต่หลักๆ ใช้เวลาเพียง 10-15 นาทีต่อวันเท่านั้น จะอ่านทุกคืนก่อนนอน อ่านตอนเช้า อ่านตอนเย็น อ่านบนรถตอนรถติด อ่านตอนรอคิวที่ร้านอาหาร หรืออ่านตอนออกไปเที่ยวนอกบ้านก็ได้  ฉะนั้นไม่ว่าจะไปที่ไหน แนะนำให้ถือหนังสือหรือนิทานติดกระเป๋าไว้ มีโอกาสตอนไหนก็หยิบมาอ่านให้ลูกฟังได้ทุกที่ ทุกเวลา

                            ชวนลูกอ่านแค่วันละ 15 นาที

                            Did You Know เทคนิคอ่านนิทานให้ลูกวัยทารกฟัง

                            – เด็กทารกส่วนมากยังไม่แสดงท่าทีว่าสนใจจะฟังนิทานจนกว่าจะอายุครบ 6 เดือนไปแล้ว ดังนั้น ถึงแม้ว่าลูกจะยังไม่มีท่าทางกระตือรือร้นฟังคุณแม่อ่าน แต่ลูกได้ยินทุกคำที่คุณอ่านให้ฟัง
                            – สร้างสภาพแวดล้อมในการอ่านหนังสือให้ลูกรู้สึกอบอุ่น และประทับใจ ด้วยการสร้างสภาพแวดล้อมในการอ่านระหว่างแม่ลูก มีการกอดลูก อุ้มลูกนั่งตัก หรือนอนอ่านหนังสือด้วยกันบนเตียง เหล่านี้จะติดตรึงในความทรงจำของลูกตลอดไป
                            – ขณะอ่านหนังสือให้ลูกน้อยฟัง พยายามอ่านออกเสียงให้ลูกฟังดังๆ และชัดเจน เพื่อลูกจะได้รู้ว่าคำนี้อ่านออกเสียงว่าอย่างไร เช่นคำว่า สามารถ (สา-มาด), มกราคม (มะ-กะ-รา-คม) และโดยเฉพาะคำที่มีตัว ร, ล และคำควบกล้ำ
                            – ลองเลือกหนังสือที่มีแต่รูปภาพ และไม่มีคำศัพท์ดูบ้าง เพราะช่วยให้ลูกเล่าเรื่องเองจากภาพที่เห็น

                            อยากรู้ข้อมูลดีๆ เกี่ยวกับนิทานสำหรับลูกน้อย และหนังสือสำหรับเด็ก พร้อมเคล็ดลับดีๆ เกี่ยวกับการอ่าน เข้าไปดูได้ที่ทาง FB Fanpage :  thehappyread และ www.thehappyread.com  มีโครงการดีๆ เชิญชวนคุณพ่อคุณแม่และลูกน้อยมาเป็นครอบครัวนักอ่าน และร่วมบริจาคหนังสืออีกด้วย

                             

                            ส่งต่อความรู้มอบหนังสือให้เด็กๆ กับโครงการ ส่งความรู้ สร้างความสุข ปี 2 อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม ติดตามข่าวความเคลื่อนไหวและร่วมสนับสนุนโครงการฯได้ทาง FB Fanpage :  thehappyread และ www.thehappyread.com 

                            ชวนลูกอ่านแค่วันละ 15 นาที

                              อาหารเสริมเด็ก

                              7 สัญญาณ ลูกพร้อมกิน “อาหารเสริมเด็ก-ทารก”

                              นอกจากอายุที่เป็นตัววัดว่าลูกควรเริ่มทาน อาหารเสริมเด็ก-ทารก แล้ว คุณพ่อคุณแม่ควรดูสัญญาณจากร่างกายของลูกด้วยว่าพร้อมสำหรับการทานอาหารเสริมแล้วหรือยัง?

                              7 สัญญาณ ลูกพร้อมกิน “อาหารเสริมเด็ก-ทารก”

                              อาหารเสริมเด็กทารก ควรเริ่มเมื่อไหร่?

                              เรารู้กันดีว่า “นมแม่” เป็นอาหารที่ดีสำหรับลูกน้อย เนื่องจากมีสารอาหารต่าง ๆ ที่มากมาย และมีปริมาณที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโต อีกทั้งในน้ำนมแม่ยังมีภูมิต้านทานต่าง ๆ ที่ช่วยปกป้องลูกไม่ให้ลูกเจ็บป่วยง่าย ดังนั้นจึงควรเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ตั้งแต่แรกคลอด และสามารถให้นมแม่ได้จนลูกอายุหนึ่งขวบครึ่งถึงสองปี

                              แต่เมื่อลูกมีอายุมากขึ้น ความต้องการสารอาหารต่าง ๆ ก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย เช่น โปรตีน เหล็ก แคลเซียม สังกะสี ไอโอดีน วิตามินเอ เป็นต้น การได้รับนมแม่ (ซึ่งมีสารอาหารครบถ้วนอยู่แล้ว) อาจยังไม่เพียงพอต่อร่างกายของลูก ดังนั้นลูกจึงควรได้รับสารอาหารจากอาหารชนิดอื่น ๆ เพื่อช่วยให้ร่างกายและสมองของลูกมีพัฒนาการอย่างเต็มที่ ซึ่งโดยทั่วไป เด็กทารกควรได้รับอาหารเสริมเมื่ออายุ 6 เดือนขึ้นไป แต่หากพบว่า ในช่วง 4-6 เดือน ที่ลูกกินนมแม่อย่างเดียว แต่มีปัญหาน้ำหนักขึ้นน้อยลง และไม่ดีขึ้นแม้ว่าจะมีความช่วยเหลือด้านการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเต็มที่แล้ว แพทย์อาจจะพิจารณาให้กินอาหารตามวัย ก่อนอายุ 6 เดือน แต่ไม่ก่อน 4 เดือน โดยควบคู่กับการกินนมแม่

                              ทารกส่วนใหญ่จะมีความพร้อมทั้งด้านพัฒนาการและร่างกายในการกินอาหารเสริมที่อายุประมาณ 6-9 เดือน โดยคุณพ่อคุณแม่สามารถสังเกตได้ว่าร่างกายของลูกพร้อมกินอาหารเสริม โดยดูได้จากสัญญาณต่อไปนี้

                              7 สัญญาณ ลูกพร้อมกิน “อาหารเสริมเด็ก-ทารก”

                              1. ลูกคอแข็งแล้ว

                              เด็กที่จะสามารถกลืนอาหารที่มีเนื้อข้นกว่าน้ำนมแม่ได้ จะต้องสามารถควบคุมกล้ามเนื้อคอของตนเองได้เป็นอย่างดี โดยลูกจะต้องสามารถตั้งหัวได้ตรงไม่เอียงหรือส่ายไปมา หากลูกสามารถบังคับกล้ามเนื้อในส่วนนี้ได้ดี จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดการสำลักอาหารได้

                              2. นั่งเองได้

                              หากลูกสามารถนั่งได้เอง หรือนั่งโดยที่มีการประคองจากแม่ หรือนั่งในเก้าอี้ทานข้าวสำหรับเด็กได้ดี จะทำให้ลูกอยู่ในท่าที่พร้อมที่จะกลืนอาหารได้โดยไม่สำลักอาหาร

                              3. ลูกไม่เอาลิ้นดันอาหารออกมา

                              ตามธรรมชาติแล้ว ทารกจะเอาลิ้นดันหรือคายอาหารอื่น ๆ นอกเหนือจากนมแม่ออกมา เพราะเป็นปฏิกิริยาที่จะป้องกันไม่ให้ลูกน้อยสำลัก และยังเป็นสัญญาณว่าลูกยังไม่พร้อมสำหรับอาหารชนิดอื่น ๆ อีกด้วย แต่เมื่อปาก ลิ้น และ ระบบการย่อยอาหารของลูกพร้อมสำหรับ อาหารเสริมเด็ก แล้ว ลูกจะสามารถเคลื่อนอาหารเสริมเข้าไปที่ด้านหลังของปากและกลืนมันเข้าไปได้ แทนที่จะเอาลิ้นดันหรือคายอาหารออกมา

                              อาหารเสริมทารก
                              อาหารเสริมทารก

                              4. น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น

                              เมื่อร่างกายของลูกพร้อมสำหรับ อาหารเสริมเด็ก แล้ว ลูกควรจะมีน้ำหนักเป็น 2 เท่าของน้ำหนักแรกเกิด และ ควรมีน้ำหนักอย่างน้อย 5.89 กิโลกรัม และไม่ควรมีอายุน้อยกว่า 4-6 เดือน

                               

                              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                              อ่านต่อ 7 สัญญาณ ลูกพร้อมกิน “อาหารเสริมเด็กทารก” และข้อดีของการเริ่มอาหารเสริมหลัง 6 เดือน

                                รถเข็นเด็ก

                                พาลูกนอกบ้าน เลือก รถเข็นเด็ก คาร์ซีทแบบไหน มั่นใจปลอดภัยชัวร์

                                เพราะความปลอดภัยของลูกเป็นเรื่องสำคัญ นอกจากการดูแลสุขภาพร่างกายแล้ว เวลาพาลูกเดินทาง หรือออกไปเที่ยวนอกบ้าน คุณแม่ต้องไม่ลืมอุปกรณ์เซฟตี้ รถเข็นเด็ก และคาร์ซีท เพื่อเป็นเกราะปกป้องลูกจากกอุบัติเหตุไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แต่จะรู้ได้อย่างไรว่ารถเข็นเด็กกับคาร์ซีทแบบไหนเหมาะกับลูก เรามีวิธีเลือกมาแนะนำกัน

                                เริ่มต้นที่ รถเข็นเด็ก ตัวช่วยที่ขาดไม่ได้ โดยเฉพาะเวลาไปช้อปปิ้ง หรือต้องเดินเที่ยวไกลๆ รถเข็นจึงเป็นเหมือนพื้นที่ปลอดภัยสำหรับเด็กๆ รถเข็นเด็กมีหลายขนาด หลายฟังก์ชั่น สามารถแบ่งได้ 4 ประเภทหลักๆ ได้แก่ แบบ Carriage สามารถปรับนานราบได้ 180 องศา เหมาะกับเด็กแรกเกิด – 3 ขวบ  แบบ Stroller ใช้ทั้งนอนและนั่งได้ ปรับเอนได้ไม่เกิน 150 องศา นิยมใช้กันมากที่สุด แบบ Jogging Stroller ชื่อก็บอกว่าจ็อกกิ้งเพราะเข็นได้เร็วเทียบเท่ากับการวิ่ง เหมาะกับพ่อแม่สายเฮลธ์ตี้ตัวจริง และอย่างสุดท้ายคือ รถเข็นเด็ก แบบCar Seat คือรถเข็นที่สามารถแปลงร่างให้เป็นคาร์ซีทติดรถยนต์ได้

                                รถเข็นเด็ก

                                วิธีการเลือก รถเข็นเด็ก อย่างไรให้ถูกใจแม่ ลูกใช้แล้วสบายตัว

                                • เลือกขนาดพอดีกับตัวลูก และไม่มีรอยต่อในจุดสำคัญ เพราะมีผลต่อความแข็งแรงและการใช้งาน ส่วนใหญ่รถเข็นที่พับเก็บได้เหมือนขนาดเล็กมาก จะมีรอยต่อเยอะ ซึ่งอาจใช้ไม่ได้เมื่อลูกตัวโตขึ้นฃ
                                • เลือกเบาะรองนานที่ปรับได้ 170 องศาขึ้นไปสำหรับลูกวัยเบบี๋ เพราะลูกยังนอนกินนม รถเข็นแบบนี้จะช่วยลดอาการกรดไหลย้อนได้
                                • มีหมอนรองคอและสะโพก เพื่อช่วยประคองศีรษะและกระดูกสันหลัง ช่วยให้ลูกหายใจได้สะดวก ไม่อึดอัด
                                • รองรับแรงสั่นสะเทือนได้ดี ช่วยให้ลูกนอนหลับสบาย ไม่รู้สึกว่าถูกเขย่าหรือสั่นตลอดเวลา มีเข็มขัดนิรภัยยึดหัว ไหล่ และเอว เพื่อความปลอดภัย แต่ลูกยังสามารถขยับแขนขาได้ ไม่อึดอัด
                                • เบาะรองนอน สูงจากพื้นมากกว่า 50 เซนติเมตร ระบายอากาศได้ดี ช่วยลดความอับชื้น หลังลูกไม่เปียกแม้นอนนาน
                                • ไม่มีขอบแหลมคมที่บาดผิวลูก เวลาลูกยกแขน ยกขา
                                • ล้อรถเข็นหมุนได้ 360 องศาทั้ง 4 ล้อ แต่ควรเลือกให้หมุนพร้อมกันครั้งละ 2 ล้อเท่านั้น มีระบบเบรคที่ดีด้วย เพื่อความปลอดภัย

                                ส่วนคาร์ซีทติดตั้งบนรถยนต์เป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ที่ขาดไม่ได้ ทุกครั้งที่พาลูกเดินทางไปที่ไหน คุณแม่ควรให้ลูกนั่งคาร์ซีททุกครั้งโดยสามารถให้นั่งได้ตั้งแต่วันแรกหลังคลอดที่กลับจากโรงพยาบาล เมื่อลูกคุ้นเคยแล้วการนั่งคาร์ซีทก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

                                นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการให้เด็กอุ้มหรือนั่งตักผู้ใหญ่ แม้จะดูเหมือนว่าจะปลอดภัย แต่จากงานวิจัยกลับพบว่าพฤติกรรมเช่นนี้อาจทำให้ทั้งแม่และลูกได้รับบาดเจ็บหนัก ขณะที่คาร์ซีทจะช่วยปกป้องให้ลูกน้อยปลอดภัยได้มากกว่า

                                รถเข็นเด็ก

                                วิธีเลือกคาร์ซีทให้มั่นใจได้ว่าลูกน้อยจะปลอดภัย

                                • เลือกให้เหมาะกับวัยและขนาดตัวลูก ซึ่งดูจากอายุของลูกน้อย โดยทั่วไปคาร์ซีทดจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทได้แก่ แบบติดตั้งถาวร ซึ่งแน่นหนา ไม่สามารถถอดเข้าออกได้ ใช้งานได้ระยะยาวเหมาะกับเด็กตั้งแต่แรกเกิด  – 4 ขวบ แบบ Travel System เน้นความสะดวก ถอดออกไปติดตั้งกับ รถเข็นเด็ก ได้โดยไม่ต้องอุ้มลูกน้อยออกมา เหมาะกับเด็กแรกเกิด – 1 ขวบครึ่งเท่านั้น เมื่อลูกโตขึ้นต้องซื้อใหม่
                                • ผ่านมาตราฐานจากแหล่งน่าเชื่อถือ
                                • หากเป็นไปได้ควรเลือกเข็มขัดนิรภัยแบบ 5 จุด ซึ่งจะปลอดภัยกว่าแบบ 3 จุด
                                • หากใช้คาร์ซีทมือสอง ควรเช็กให้ดีกว่าไม่มีชิ้นส่วนใดขายหาย อุปกรณ์ทุกจุดไม่แตกร้าว เพราะอาจส่งผลต่อการทำงาน
                                • อาจเลือกคาร์ซีทที่มีฟังก์ชั่นเสริม เพื่อให้สะดวกกับการใช้งาน เช่น แบบหมุนได้ ช่วยให้คุณแม่อุ้มลูกขึ้นลงรถได้ง่ายขึ้น หรือแบบปรับเอนให้ลูกนอนสบาย ไม่อึดอัด เหมาะกับการเดินทางไกลๆ
                                • เลือกระดับราคาที่เหมาะกับประสิทธิภาพ เพราะคาร์ซีทที่ราคาสูงอาจไม่ใช่เครื่องการันตีคุณภาพเสมอไป

                                รถเข็นเด็ก

                                Amarin Baby & Kids Awards 2019 ยกให้  FICO เป็นแบรนด์ รถเข็นเด็ก และคาร์ซีท ที่ได้รับรางวัล Editor’s Choice Best Stroller and Car Seat

                                FICO เป็นหนึ่งในแบรนด์สินค้าดูแลทารกและเด็ก ที่คนไทยรู้จักกันดี โดยเฉพาะรถเข็นเด็ก และคาร์ซีทที่มีให้เลือกหลายรุ่น หลายแบบ ซึ่งคุณแม่สามารถเลือกใหม่เหมาะกับลูกน้อยได้อย่างไม่จำกัด เริ่มต้นจาก รถเข็นเด็ก รุ่นที่อยากแนะนำ คือ  รถเข็นเด็ก Fico รุ่น Small World มีฟังก์ขั่นที่เหมาะกับลูกเบบี๋แรกเกิด ทั้งพนักพิงปรับเอนหลังได้ถึง 170 องศา ลูกนอนสบายๆเหมือนเปลที่บ้าน วิธีการปรับเอนก็ไม่ยุ่งยาก คุณแม่สามารถทำได้ด้วยมือข้างเดียว

                                เบาะรองระบายอากาศได้ดีทั้งด้านในและด้านหลัง ลดความอับชื้นแม้ในวันอากาศร้อนได้ดี มีหลังคาบังแดดขนาดใหญ่ ป้องกันความร้อนได้มากขึ้น แต่ก็มีช่องด้านบนขนาดใหญ่ ให้คุณแม่มองเห็นลูกน้อยได้สะดวก ส่วนระบบความปลอดภัยก็หายห่วง เพราะมีทั้งระบบเบรคสองล้อพร้อมกันได้ หมุนได้รอบตัว 360 องศา สายรัดกันกระแทกถึง 5 จุด ปรับสั้นยาวได้ มีบาร์กันกระแทก  ถอดซักได้  พับเก็บสะดวกด้วยมือข้างเดียว มีขนาดเล็ก ที่สำคัญสามารถติดตั้งคาร์ซีทได้ด้วย

                                ส่วนคาร์ซีท  FICO มีให้เลือหลายรุ่นเช่นกัน ส่วนใหญ่สามารถใช้งานได้ตั้งแต่วัย 0 ขวบ ซึ่งเหมาะกับความต้องการของคุณแม่ยุคใหม่ ทุกรุ่นผ่านมาตราฐาน ECE R44/04 ใช้กับรถยนต์ได้ทุกรุ่นที่มีเข็มขัดนิรภัย พนักพิงปรับได้ 5 ระดับ มีเบาะนุ่มโอบรับตัวลูกได้ดีทีเดียว

                                ส่วนระบบความปลอดภัยแน่นหนา ด้วยสายรัดถึง 5 จุด และระบบล็อกพิเศษที่แข็งแรง ช่วยให้มั่นใจได้ว่าจะปกป้องลูกน้อยให้ปลอดภัย แม้เผชิญอุบัติเหตุไม่คาดฝัน สายเข็มขัดที่สัมผัสตัวลูกจะมีเบาะหุ้ม หมดกังวลเรื่องสายคาดบาดตัว คาร์ซีทสามารถติดตั้งได้ทั้งแบบหันหน้าเข้าเบาะ เหมาะกับลูกวัยน้ำหนักไม่เกิน 9 กิโลกรัม และหันหลังจากเบาะสำหรับลูกน้ำหนักตัว 9-18 กิโลกรัม เป็นต้น

                                ราคาของรถเข็นเด็ก และคาร์ซีทของ FICO เหมาะกับทุกครอบครัว ไม่แพงจนเกินไป ที่สำคัญหาซื้อได้สะดวกทั้งในห้างสรรพสินค้า ออนไลน์ และศูนย์จำหน่ายสินค้าของ FICO ทั่วประเทศ หากเกิดความเสียหายก็สามารถส่งซ่อมหรือขอคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ตามศูนย์ต่างๆ ได้ทันที

                                สามารถศึกษาข้อมูลและชมสินค้าแบรนด์ FICO เพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/Ficobabythailand/

                                 

                                อ่านบทความ Amarin Baby & Kids Awards 2019 

                                ประกาศผลรางวัล Amarin Baby & Kids Awards 2019 สุดยอดแบรนด์สินค้าแม่และเด็กในดวงใจ

                                 

                                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                 

                                  มีเกณฑ์ท้อง

                                  เปิดไพ่เช็กดวง ราศีไหน มีเกณฑ์ท้อง ปี 2563 ดูเลย!!

                                  ราศีใดมีเกณฑ์ ตั้งครรภ์ 2563 แม่หมอเปิดไพ่ให้แล้ว!! ปี 2563 ราศีไหนจะมีลูก ราศีไหน มีเกณฑ์ท้อง ได้เป็นแม่คนแน่ๆ ตามไปเช็กกันเลย

                                  เปิดไพ่เช็คดวงว่าที่คุณแม่! ราศี มีเกณฑ์ท้อง
                                  ราศีไหนจะท้อง
                                  ในปี 2563 ไปดูกัน!!

                                  ปีหน้านี้ฉัน มีเกณฑ์ท้อง หรือไม่??? หากคุณผู้หญิงที่แต่งานแล้ววางแผนจะท้องหรืออยากมีลูกปีหน้า 2020 แม้คุณจะพยายามทำตามขั้นตอนการมีลูกทุกวิถีทางแล้ว แต่กังวลและสงสัยว่าลูกจะติดหรือไม่ จะได้ตั้งครรภ์ เป็นแม่คนหรือเปล่า ลองดูดวง ราศี มีเกณฑ์ท้อง ราศีไหนจะท้อง ปี 2563 นี้ไว้กันได้นะคะ เพื่อเป็นอีกหนึ่งเรื่องช่วยเพิ่มพลังจิตใจให้คุรแม่ฟิตร่างกายพร้อมมีลูกน้อยได้อย่างสบายใจ

                                  ซึ่งทางทีมแม่ ABK ได้คำแนะนำจาก อาจารย์ดาริณ ปักธง จากแอป a ดวง  www.aduang.co นักโหราศาสตร์ อาจารย์เจ้าของสถาบันบ้านเด็กปลื้ม และสุดยอดคุณแม่ลูกสอง ที่มาเปิดไพ่เช็กดวง ราศีที่ มีเกณฑ์ท้อง ในปี 2020 ราศีใดจะได้มีลูก ซึ่งเป็นดวงที่อาจารย์ดาริณ ทำนายไว้สามารถดูได้ทั้งคุณผู้ชายและคุณผู้หญิง …. ว่าแต่จะมี ราศีไหนมีเกณฑ์ตั้งครรภ์ 2563 บ้าง ไปดูกันเลย

                                  ตารางเช็กราศีของตัวเอง

                                  ราศี

                                  เกิดระหว่างวันที่

                                  ราศีเมษ
                                  สำหรับคนเกิดระหว่างวันที่
                                  22
                                  มีนาคม – 21 เมษายน
                                  ราศีพฤษภ
                                  สำหรับคนเกิดระหว่างวันที่
                                  22
                                  เมษายน – 21 พฤษภาคม
                                  ราศีเมถุน
                                  สำหรับคนเกิดระหว่างวันที่
                                  22
                                  พฤษภาคม – 21 มิถุนายน
                                  ราศีกรกฏ
                                  สำหรับคนเกิดระหว่างวันที่
                                  22
                                  มิถุนายน – 21 กรกฎาคม
                                  ราศีสิงห์
                                  สำหรับคนเกิดระหว่างวันที่
                                  22
                                  กรกฎาคม – 21 สิงหาคม
                                  ราศีกันย์
                                  สำหรับคนเกิดระหว่างวันที่
                                  22
                                  สิงหาคม – 21 กันยายน
                                  ราศีตุล 
                                  สำหรับคนเกิดระหว่างวันที่
                                  22
                                  กันยายน – 21 ตุลาคม
                                  ราศีพิจิก
                                  สำหรับคนเกิดระหว่างวันที่
                                  22
                                  ตุลาคม – 21 พฤศจิกายน
                                  ราศีธนู
                                  สำหรับคนเกิดระหว่างวันที่
                                  22
                                  พฤศจิกายน – 21 ธันวาคม
                                  ราศีมังกร
                                  สำหรับคนที่เกิดระหว่างวันที่
                                  22
                                  ธันวาคม – 20 มกราคม
                                  ราศีกุมภ์
                                  สำหรับคนที่เกิดระหว่างวันที่
                                  21
                                  มกราคม – 20 กุมภาพันธ์
                                  ราศีมีน
                                  สำหรับคนเกิดระหว่างวันที่
                                  21
                                  กุมภาพันธ์ – 21 มีนาคม

                                   

                                  ราศีเมษ

                                  เรียกได้ว่า จังหวะเหมาะมาก ในการวางแผนการตั้งครรภ์ และมีแนวโน้มสูงมาก หรือเรียกได้ว่า มีเกณฑ์ท้อง ปี 2563 ถึง 65% และลูกคนแรกจะเป็นผู้หญิง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ได้อยู่ที่คุณสุภาพสตรีนะจ๊ะ อยู่ที่ท่านชายล้วนๆ เลยค่ะ ที่จะต้องฟิตร่างกายและพร้อมในวันที่คุณภรรยาใข่ตก

                                  Must read : วิธีทำลูกสาว ไม่ใช่เรื่องยาก ต้องลองสูตรนี้!!!

                                  ราศีพฤษภ

                                  สำหรับ ราศีพฤษภ เกณฑ์การตั้งครรภ์อาจจะยังไม่มา แต่แนะนำว่า หากฝากไข่หรือสเปิร์มได้ แนะนำให้ฝากในช่วง พ.ค – ก.ย เป็นช่วงไข่หรือสเปิร์มสมบูรณ์ที่สุด ซึ่งตัวคุณผู้หญิงเองต้องระวังเรื่องมดลูกต่ำ หรืออาจจะเจอภาวะผิดปรกติ หรือคลอดยาก ประมาณ 10-15% ดังนั้นควรเตรียมตัวเรื่องสุขภาพ โดยการออกกำลังกาย เพื่อลดความเสี่ยงดังกล่าวด้วยนะคะ

                                   

                                  ราศีเมถุน

                                  ต้องระวังหน่อยนะคะ ถึงแม้จะ มีเกณฑ์ท้อง สามารถตั้งครรภ์ได้ แต่สุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไร โดยเฉพาะแคลเซียม หากตั้งครรภ์ อาจส่งผลต่อกระดูกและโครงสร้างร่างกาย ทำให้เด็กและตัวคุณแม่ไม่แข็งแรง วิธีที่ดีที่สุด ควรวางแผนการมีบุตรล่วงหน้า 6 เดือน – 1 ปี และระหว่างนี้ควรกินอาหารที่มีโปรตีน โฟเลตและแคลเซียม เช่น อะโวคาโด นมวัว และพืชตระกลูถั่ว เพื่อบำรุงร่างกาย เตรียมพร้อมในการตั้งครรภ์ค่ะ

                                  Must read : อาหารที่มีแคลเซียม สําหรับคนท้อง เมื่อแม่แพ้-ไม่ชอบดื่มนมวัว

                                  Must read : 15 อาหารที่มีโฟเลตสูง ที่แม่ท้องและลูกในท้องควรทาน

                                  ราศีกรกฎ

                                  คุณผู้หญิงราศีกรกฎอย่าท้อถอดใจ ที่พยายามเท่าไรก็ไม่ติดสักที! เพราะคุณอาจ มีเกณฑ์ตั้งรรภ์ อีกทีคือช่วงปลายปี หรือในบางท่านก็ตั้งครรภ์ง่ายมาก จนอยากจะทำหมัน และสำหรับชาวราศีกรกฎโดยเฉพาะคุณผู้ชาย ควรฟิตร่างกาย พักผ่อนให้เพียงพอ เพราะในส่วนของคุณผู้หญิงนั้น พร้อมตลอดเวลาอยู่แล้ว

                                   

                                  อ่านต่อ >> เช็กดวง ราศีใดมีเกณฑ์ ตั้งครรภ์ 2563” คลิกหน้า 2

                                   

                                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                   

                                    สเปรย์ปรับอากาศ ยี่ห้อไหนดี

                                    สเปรย์ปรับอากาศ ยี่ห้อไหนดี เพื่อลูกน้อยคุณแม่เลือก สเปรย์จิงโจ้ เป็นแบรนด์อันดับหนึ่งในดวงใจ

                                    สเปรย์ปรับอากาศ ยี่ห้อไหนดี  ช่วยปรับอากาศในบ้านให้หอมสดชื่น และสะอาดพอสำหรับลูกน้อย เพื่อลดความเสี่ยงจากโรคภัยที่มากับอากาศ คุณแม่ทั่วประเทศได้โหวต ให้ สเปรย์จิงโจ้ (Kangaroo) เป็นแบรนด์ “สเปรย์ปรับอากาศ” อันดับหนึ่งในดวงใจ และรับรางวัล Amarin Baby & Kids Awards 2019 สาขา Mommy’s Choice

                                    สเปรย์ปรับอากาศ ยี่ห้อไหนดี แม่ทั่วประเทศเลือกแล้ว ใช้ยี่ห้อนี้เป็นแบรนด์ในดวงใจ

                                    Amarin Baby & Kids “เครือข่ายแม่ลูกใหญ่ที่สุด” ผู้นำด้านคอนเทนต์คุณภาพ เข้าใจครอบครัวไทย และตอบสนองความต้องการของคุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ ไทย ทั้งรูปแบบ Online ผ่านเว็บไซต์ www.AmarinBabyAndKids.com และเฟซบุ๊คแฟนเพจที่มีเนื้อหาตรงใจ ทันสถานการณ์ โดยมียอดผู้ติดตามมากกว่า 1,000,000 Followers และรูปแบบ On print ผ่าน Bookazine ราย 2 เดือน รวมถึง รูปแบบ On ground งานแฟร์แม่ลูก Amarin Baby & Kids Fair ที่จัดมาแล้วถึง 15 ครั้ง

                                    เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านเครือข่ายแม่ลูกอันดับ 1 ของประเทศที่เข้าใจคุณแม่ไทยมากที่สุด เว็บไซต์ Amarin Baby & Kids จึงได้จัด “Amarin Baby & Kids Awards 2019” ครั้งแรกในเมืองไทย เพื่อเฟ้นหาสุดยอดแบรนด์สินค้าแม่และเด็กในดวงใจ  จากคะแนนโหวตของคุณแม่ทั่วประเทศกว่า 10,000 คน ผ่าน www.AmarinBabyAndKids.com เว็บไซต์สื่อกลางข้อมูลคุณภาพจากแม่สู่แม่ Mom to Mom Sharing เพื่อเป็นประโยชน์แก่คุณแม่มือใหม่ที่กำลังมองหา “สินค้าใช้ดี ที่ได้รับการยืนยันจากคุณแม่ตัวจริงทั่วประเทศ”

                                    และเพื่อให้สมกับรางวัลที่มาจากความคิดเห็นของแม่อย่างแท้จริง สำหรับแบรนด์สินค้าในสาขา Mommy’s Choice จึงเปิดโอกาสให้แม่ได้ร่วมโหวต  2  รอบ ได้แก่ “รอบเสนอชื่อแบรนด์ที่ชื่นชอบ” จากนั้นทีมงานได้ทำการเลือกแบรนด์ที่ถูกเสนอชื่อมากที่สุด มาจัด“รอบโหวตแบรนด์ในดวงใจ” อีกครั้งหนึ่ง

                                    ทำไมแม่โหวตให้ สเปรย์จิงโจ้ เป็นแบรนด์น้ำยาซักผ้าเด็กในดวงใจ

                                    รู้จักแบรนด์นี้มานานแล้วค่ะ ชอบที่กลิ่นหอมดี ฉีดไว้ก่อนนอน ช่วยให้หลับสบายทั้งพ่อแม่ลูกเลยค่ะ”

                                    “หาซื้อสะดวกดีค่ะ ราคาไม่แพงมาก ใช้ได้ทั้งบ้านเลย ยิ่งวันที่อากาศเย็น ลูกมันคัดจมูก หายใจไม่ออก พอพ่นสเปรย์แล้ว หายใจสะดวกขึ้น คุ้มค่านะคะ”

                                    “ตัวแม่เองชอบกลิ่นยูคาลิปตัสอยู่แล้วค่ะ เพราะช่วยให้หลับสบาย พอมีลูกก็ฉีดก่อนนอนให้มีกลิ่นอ่อนๆ ลูกชอบมากเลย”

                                    สเปรย์จิ้งโจ้ หรือ  Kangaroo  brand เป็นสเปรย์ยูคาลิปตัส 100 %   ซึ่งมีคุณสมบัติตามธรรมชาติช่วยปรับอากาศให้หอมสดชื่น ช่วยบรรเทาอาการหวัด คัดจมูก ลดอาการภูมิแพ้อากาศ ช่วยให้หายใจโล่งสบาย ห่างไกลภูมิแพ้ ด้วยกลิ่นหอมอ่อนๆ นอกจากสเปรย์ปรับอากาศแล้วยังมีน้ำมันยูคาลิปตัส ที่มีตัวยา Eucalyptol (Cineole) 80 – 85% ผลิตจากใบยูคาลิปตัส ผ่านการกลั่นกรอง 2 ครั้ง ใช้สูดดมเพื่อบรรเทาอาการหวัดคัดจมูก ใช้ทาถูนวด บรรเทาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ให้กลิ่นหอม สดชื่น เหมาะกับคนทุกวัย

                                    อ่านบทความ Amarin Baby & Kids Awards 2019 

                                    ประกาศผลรางวัล Amarin Baby & Kids Awards 2019 สุดยอดแบรนด์สินค้าแม่และเด็กในดวงใจ

                                    ชมภาพบรรยากาศ งานมอบรางวัล Amarin Baby & Kids Awards 2019

                                     

                                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่