Page 357 – AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

เผยคลิปวิดีโอ ชายทำอนาจาร 2 ด.ญ.วัยประถม ทำทีเป็นพูดคุย ก่อนฉวยโอกาสกอด-จูบ เด็กไหวตัวทัน วิ่งหนีออกมาได้

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อชายคนหนึ่ง ได้ยืนช่วยตัวเองข้างรถกระบะ ก่อนที่จะมีเด็กนักเรียนหญิงประถม 2 รายเดินผ่านมา โดยชายคนดังกล่าวได้ทำทีพูดคุย ก่อนจะฉวยโอกาส ทำอนาจารเด็ก กอดและจูบเด็กหญิงทั้งสอง และคล้ายกับพยายามล่อลวงให้ขึ้นรถด้วย

เผยคลิปวิดีโอ ชาย ทำอนาจารเด็ก ทำทีเป็นพูดคุย ก่อนฉวยโอกาสกอด-จูบ

ซึ่งทางผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ Ken Kae ได้ออกมาแชร์คลิปซึ่งเป็นอุทาหรณ์สำหรับผู้ปกครองที่ปล่อยให้ลูกวัยอนุบาลไปไหนมาไหนเพียงลำพัง เมื่อกล้องวงจรปิดภายในตลาดนัดขวัญเรียม แขวงมีนบุรี เขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร ได้บันทึกภาพชายใส่เสื้อสีน้ำเงิน ได้นำรถยนต์กระบะสีขาว มาจอดภายในตลาด ก่อนจะเดินออกมาแอบข้างรถ แล้วควักเอาอวัยวะเพศออกมาสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเอง โดยไม่อายผู้ที่เดินผ่านไปมา

ทำอนาจารเด็ก

และโชคร้ายเด็กนักเรียนหญิง 2 คนกำลังเดินผ่านมาพอดี ทำให้ชายคนดังกล่าวได้เรียกเข้าไปทำท่าทีชวนคุย ก่อนทำอนาจารโดยการกอดและหอมแก้มเด็กคนหนึ่ง และยังได้สำเร็จความใคร่โชว์เด็กอีกด้วย ก่อนที่เพื่อนอีกคนทำทีท่าว่าจะเดินไปบอกคุณครู ทำให้ชายคนดังกล่าวเดินไปขึ้นรถ และขับรถออกไป ด้านคุณครูเมื่อทราบเรื่องจากเด็กหญิงทั้ง 2 จึงได้มาเปิดดูภาพจากกล้องวงจรปิดและได้เห็นภาพวิดีโอดังกล่าว ทั้งนี้ผู้โพสต์คลิประบุว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในท้องที่ สน.มีนบุรี

♥ แนะนำบทความควรอ่าน!สอนลูก หวงร่างกาย อย่ารอจนสายเกินไป!
♥ แนะนำบทความควรอ่าน!สอนลูกให้รู้จัก “พื้นที่ส่วนตัว” ป้องกันถูกละเมิดทางเพศ

ชมคลิป >> “เหตุการณ์จริง ชายหื่นทำอนาจาร 2 ด.ญ.วัยประถม” คลิกหน้า 2

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

Amarin Baby & Kids

 

    แม่ผู้เสียสละ

    นี่แหละที่เรียกว่า มีจิตวิญญาณของคนเป็นแม่อย่างแท้จริง! แม้ตัวเจ็บ แต่ก็ยังฝืนให้ลูกดื่มนมจากอก เพื่อปลอบประโลม

    แม่ผู้เสียสละ …เรื่องราวนี้เป็นเหตุการณ์อุบัติเหตุที่เกิดขึ้น เนื่องจากคุณแม่ลูกอ่อนวัย 21 ประสบเหตุ จยย.พลิกคว่ำเอง โดยมีลูกน้อยวัยขวบเศษมีบาดแผลถลอก และเกิดร้องงอแงไม่หยุดผู้เป็นแม่จึงรีบฝืนร่างกายในสภาพเลือดโชกเต็มใบหน้า แล้วจึงถลกเสื้อขึ้นเพื่อให้ลูกน้อยดื่มกินนมจากเต้า หวังเพื่อปลอบประโลม

    แม่ผู้เสียสละ ทนเจ็บได้เพื่อลูก

    เจ้าหน้าที่จากเฟซบุ๊ก แฟนเพจ ชื่อ สมาคมกู้ภัยข่าวภาพ สุโขทัยทีม ได้รับแจ้งว่ามีเหตุ รถจักรยานยนต์พลิกคว่ำ บนถนนท่าข้าวโค้งตานก ต.บ้านสวน อ.เมือง จ.สุโขทัย  ซึ่งที่เกิดเหตุพบผู้บาดเจ็บ 3 ราย เป็นครอบครัวเดียวกัน โดยประสบเหตุจากการขับขี่รถจักรยานยนต์เสียหลักพลิกคว่ำเอง
    แม่ผู้เสียสละ

    แม่ ผู้เสียสละ

    และเมื่อกู้ภัยพร้อมชาวบ้านไปถึงก็ต้องพบภาพสะเทือนใจจนน้ำตาซึม เนื่องจากพบว่าผู้บาดเจ็บผู้เป็นแม่ ที่อยู่ในสภาพศีรษะแตกเลือดท่วมใบหน้า กำลังถลกเสื้อให้ลูกสาววัยทารกดื่มกินนมจากเต้า แม้ว่าบาดแผลจะสาหัสแค่ไหนก็ตาม แต่เพื่อให้ลูกคลายความเจ็บปวดและหิวนม ผู้เป็นแม่ก็ยอม ก่อนที่กู้ภัยจะเข้าไปปฐมพยาบาล

    อ่านต่อ >> นมแม่ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของลูกได้จริงหรือ” คลิกหน้า 2

    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

      อัญชัน ทาคิ้ว ทารก

      เคล็ดลับธรรมชาติ อัญชัน ทาคิ้ว ทารก ช่วยให้คิ้วสวยดกดำ

      อัญชัน ทาคิ้ว ทารก  ตอนที่ผู้เขียนเป็นเด็กเล็กๆ แม่เล่าว่าหลังเกิดมาได้หนึ่งเดือน คุณยายก็เก็บดอกอัญชันปลูกไว้ริมรั้วบ้านมาฝนเป็นน้ำ แล้วก็เอามาป้ายวาดลงบนขนคิ้วทั้งสองข้าง แล้วก็ที่หนังศีรษะ เพราะอยากให้หลานมีคิ้ว และผมดกดำ ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีเทคนิคการใช้ดอกอัญชันทาให้ลูกมีขนคิ้ว และผมสวยดกดำ ตามสูตรโบราณมาฝากกันค่ะ

       

      อัญชัน ทาคิ้ว ทารก – อัญชัน ดอกไม้สีสวย

      อัญชัน (Butterfly pea หรือ Blue pea) ดอกไม้สีสวยชนิดนี้สามารถพบเห็นอยู่ตามริมรั้วบ้าน หากเป็นสมัยก่อนเกือบทุกบ้านจะมีไม้ล้มลุกอย่างต้นอัญชันเลื้อยพันอยู่รอบรั้วบ้าน อัญชันจะมีดอกสีน้ำเงินอมม่วง และมีสีขาวตรงกลางกลีบ ซึ่งภายใต้สีดอกที่สวยงามนี้ของอัญชัน ยังเต็มไปด้วยคุณประโยชน์หลากหลาย  ไม่ว่าจะนำมาทำอาหาร ทำขนม ทำเครื่องดื่มสมุนไพรดับกระหาย หรือดื่มเป็นชาดอกอัญชัน และยังใช้ในการบำรุงเส้นผมให้มีสุขภาพดี เป็นต้น

       

      นอกจากนี้ “อัญชัน” ยังมีสรรพคุณทางยาที่ดีมาก เพราะตามยาพื้นบ้านอีสาน จะใช้ ราก ฝนกับรากสะอึกและน้ำซาวข้าว กินหรือทา แก้โรคงูสวัด

      ส่วนในตำรายาไทย จะใช้ ราก ในการช่วยขับปัสสาวะ เป็นยาระบาย หรือฝนหยอดตาแก้ตาเจ็บ ตาฟาง ทำให้ตาสว่าง หรือทำยาสีฟันโดยใช้รากถูฟัน ทำให้ฟันทน แก้ปวดฟัน[1]

       

      นี่แค่น้ำจิ้มนะคะ เพราะอัญชันยังมีดีตรงส่วนของ “ดอก” ที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ 108 จนคุณแม่ๆ ต้องอ้าปากค้าง เอาเป็นว่าเราไปดูสรรพคุณคร่าวๆ ที่ใช้ประโยชน์จากส่วนดอกกันก่อนค่ะ

       

      อ่านต่อ >> “สรรพคุณมหัศจรรย์จาก อัญชัญ” หน้า 2

       

       

      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

        “พรีไบโอติก” สารอาหารสำคัญ ป้องกันลูกท้องผูก

        ในนมแม่จะมี พรีไบโอติก ซึ่งเมื่อเข้าสู่ร่างกายทารก จะเป็นอาหารของแบคทีเรียชนิดที่ดี ช่วยทำให้แบคทีเรียที่ดีเพิ่มจำนวนขึ้น เป็นการสร้างสมดุลในลำไส้ ทำให้ระบบการย่อยอาหารดีขึ้น สร้างภูมิต้านทานในลำไส้ และ ลดปัญหาการแพ้อาหาร 

        พรีไบโอติก (Prebiotic) เป็นใยอาหารที่ร่างกายไม่สามารถย่อย และไม่ถูกดูดซึมในระบบทางเดินอาหาร ทั้งในส่วนของกระเพาะอาหาร และลำไส้เล็ก แต่พรีไบโอติกนี้จะถูกย่อยด้วยแบคทีเรียภายในลำไส้ใหญ่ โดยจะกระตุ้นการทำงาน และส่งเสริมการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ทำให้จุลินทรีย์สุขภาพเจริญเติบโตเพิ่มจำนวนเพิ่มมากขึ้น การหมักย่อยพรีไบโอติกของจุลินทรีย์สุขภาพจะทำให้เกิดกรดไขมันสายสั้น ซึ่งมีฤทธิ์ต้านจุลินทรีย์ก่อโรค ทำให้จุลินทรีย์ก่อโรคลดน้อยลงหรือตายไป มีผลทำให้การติดเชื้อในลำไส้ลดน้อยลง ลดการเกิดท้องเสียและท้องผูก ทำให้สุขภาพลำไส้ดี กรดไขมันสายสั้นที่เกิดขึ้นนี้ยังทำให้เซลล์บุผิวลำไส้แข็งแรงขึ้นอีกด้วย

        ความสำคัญของสาร พรีไบโอติก

        พรีไบโอติก ชนิด Oligosaccharide เช่น Inulin และ Oligofructose มีประโยชน์ต่อร่างกายมาก โดยจะกระตุ้นการทำงาน และส่งเสริมการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์สุขภาพ อย่างเช่น แล็กโทบาซิลลัส (LACTOBACILLUS) และไบฟิโด แบคทีเรีย (BIFIDOBACTERIA) จึงช่วยปรับสมดุลของระบบทางเดินอาหาร ลดการอักเสบบริเวณลำไส้ ทำให้ระบบทางเดินอาหารทำงานได้อย่างเป็นปกติ ที่สำคัญช่วยเพิ่มการดูดซึมแร่ธาตุต่าง ๆ และช่วยเสริมสร้างการพัฒนาระบบภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายของเด็กได้เป็นอย่างดี

        พรีไบโอติก

        ชนิดของพรีไบโอติกในนมแม่ คือ โอลิโกแซคคาไรด์ (Oligosaccharide) ที่เป็นส่วนประกอบของน้ำนมที่มีปริมาณสูงเป็นอันดับ 3 รองจากน้ำตาลแลคโตส และไขมัน เพราะเหตุนี้ลูกน้อยจึงควรได้รับนมแม่อย่างน้อยที่สุด 6 เดือน และในนมแพะเอง ก็มีพรีไบโอติก ชนิด Oligosaccharide เช่น Inulin และ Oligofructose อยู่ประมาณ 250 – 300 มิลลิกรัมต่อลิตร ซึ่งมากกว่านมวัว 4-5 เท่า และเป็นแบบเดียวกับนมแม่จึงช่วยป้องกันการติดเชื้อ การอักเสบในทางเดินอาหาร รวมถึงช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย และลดปัญหาท้องผูกได้อีกด้วย

        พรีไบโอติกส์ (Prebiotics) สำคัญต่อลูกน้อยอย่างไร

        พรีไบโอติกส์มีประโยชน์ต่อการเสริมสร้างภูมิต้านทานลูกน้อย โดยมีผลพิสูจน์ทางการแพทย์ที่แสดงให้เห็นถึงประโยชน์ด้านภูมิต้านทานที่หนักแน่นคือ

        • เพิ่มจำนวนจุลินทรีย์สุขภาพในลำไส้
        • ลดการเจริญเติบโตของแบคทีเรียก่อโรคในลำไส้
        • ส่งเสริมเยื่อบุเมือกของลำไส้ให้แข็งแรงขึ้น
        • ลดอุบัติการณ์ของการติดเชื้อ

        ซึ่งนอกจากจะมีอยู่ในนมแม่แล้ว พรีไบโอติกส์ (Prebiotics) ยังมีอยู่ในพืชผักด้วย เช่น หัวหอม กระเทียม หน่อไม้ฝรั่ง (Asparagus) หัวชิคอรี่ (Chicory) อาร์ติโชค (Artichoke) กล้วย มะเขือเทศ ข้าวสาลี ฯลฯ อีกด้วย

        จึงสรุปได้ว่า “พรีไบโอติกส์” เป็นสารอาหารที่เมื่อเข้าสู่ร่างกายของลูกน้อยแล้ว จะเป็นอาหารของแบคทีเรียชนิดดี จึงช่วยทำให้แบคทีเรียที่ดีเพิ่มจำนวนขึ้น ช่วยในการสร้างสมดุลในลำไส้ ทำให้ระบบการย่อยอาหารดีขึ้น ลดอาการท้องผูก สร้างภูมิต้านทานในลำไส้ ที่จะช่วยป้องการการติดเชื้อในทางเดินอาหาร และลดปัญหาการแพ้อาหาร ทำให้ลูกน้อยมีพัฒนาการที่ดี ไม่ค่อยงอแง คุณพ่อคุณแม่จึงเลี้ยงลูกน้อยได้อย่างง่าย ๆ สบาย ๆ มากขึ้น

        และแม้ว่าคุณแม่มีความตั้งใจและพยายามอย่างมาก ที่จะเลี้ยงลูกน้อยด้วยนมแม่ แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะทำได้ เพราะคุณแม่บางคนเกิดปัญหาในเรื่องของน้ำนมไม่เพียงพอ การมองหานมที่มีสารอาหารใกล้เคียงนมแม่มากที่สุด จึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับที่ควรวางแผนเตรียมไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ

        พรีไบโอติก

        “นมแพะ” จึงเป็นอีกทางเลือกที่คุณแม่ไว้วางใจได้ นั่นเพราะในนมแพะมีระบบการสร้างน้ำนมแบบเดียวกับนมแม่ นั่นคือ “ระบบอะโพรไคน์” ทำให้มีสารอารที่ดีมีประโยชน์มากมาย ซึ่งนอกจากนมแพะจะมีคุณค่าพรีไบโอติกส์สูงแล้ว ทั้งยังอุดมไปด้วย CPP (Casein Phosphopeptides) CPP คือ โปรตีนนุ่มในนมแพะมีลักษณะที่นุ่ม ย่อยง่าย ช่วยในการดูดซึมเกลือแร่ต่าง ๆ ที่สำคัญต่อร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น แคลเซียม เหล็ก สังกะสี แมกนีเซียม และโปรตีนในนมแพะยังเป็นโปรตีนคุณภาพดี ที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย มีแอลฟาเอสวันต่ำ มีเบต้าเคซีนสูง ทำให้นมแพะถูกย่อยและดูดซึมง่าย และเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน มีสารอาหารครบทั้ง 5 หมู่ ทั้งในนมแพะยังช่วยลดความเสี่ยงการแพ้ในเด็กเล็กที่ดื่มนมแพะอีกด้วย เนื่องจากนมแพะย่อยและดูดซึมสารอาหารได้ง่ายและรวดเร็วกว่านมวัว ทั้งยังมีนิวคลีโอไทด์ตามธรรมชาติ 5 ชนิดที่คล้ายกับนมแม่ ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้ครบถ้วน

          ประโยชน์ของนมแพะ ที่คุณแม่ควรรู้

          เพื่อให้ลูกได้รับสิ่งที่ดีที่สุด การเลือกนมให้ลูกจึงเป็นสิ่งที่สำคัญและละเอียดอ่อนมาก เพราะการเลือกผลิตภัณฑ์ที่ดีนั้น เป็นหนึ่งสิ่งที่สำคัญในการสร้างพัฒนาการที่ดีสำหรับลูก ทำให้คุณแม่ที่กำลังจะเลือกให้ลูกน้อยมาดื่มนมผสมหรือนมชงนั้น เกิดข้อสงสัยว่าจะเลือกนมประเภทไหนดี แล้วนมแพะที่คุณแม่หลายๆ คนให้ความสนใจนั้นดีอย่างไร มีประโยชน์กับลูกมากแค่ไหน เรามาทำความรู้จักกับ ประโยชน์ของนมแพะ สำหรับลูกน้อยกันค่ะ

           “นมแพะ” เป็นนมที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายทั่วโลกแต่กลับยังไม่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคในไทยมากนัก เนื่องด้วยคนส่วนใหญ่ชินกับการบริโภคนมวัวมากกว่า รวมไปถึงผู้บริโภคส่วนใหญ่อาจกังวลเรื่องรสชาติ กลิ่น คุณประโยชน์ และราคาที่ค่อนข้างสูงกว่านมชนิดอื่นๆ แต่ปัจจุบันได้มีการเผยแพร่ข้อมูลการวิจัยเกี่ยวกับคุณประโยชน์ของนมแพะออกมามากมาย อาจกล่าวได้ว่า นมแพะเป็นนมที่ดีที่สุดอีกชนิดหนึ่งที่ควรค่าแก่การบริโภค

          ประโยชน์ของนมแพะ

          ทั้งนี้การสร้างพัฒนาการที่ดีให้ลูกน้อย สิ่งหนึ่งที่คุณแม่ควรให้ความสำคัญคือ เรื่องของโภชนาการ เพราะปัจจัยที่จะทำให้ลูกฉลาด เจริญเติบโตสมวัย ตามธรรมชาตินั้น อาหารที่ดีจะช่วยเสริมให้ลูกน้อยมีสุขภาพที่แข็งแรง ซึ่ง นมแพะ เป็นทางเลือกหนึ่งที่คุณแม่หลาย ๆ ท่านให้ความสนใจกันไม่น้อยเลยทีเดียว

          นมแพะ มีกระบวนการผลิตน้ำนมคล้ายกับนมของคนคือ Apocrine Secretion Process จึงทำให้มีสารอาหารตามธรรมชาติในปริมาณที่สูงออกมาพร้อมกับน้ำน

          และเนื่องจาก นมแพะ มีคุณค่าทางโภชนาการสูงร่างกายสามารถย่อย และดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้เร็วกว่านมวัว เพราะนมแพะมีสัดส่วนของโปรตีนที่เหมาะสมและย่อยได้ง่าย มีไขมันขนาดเล็กกว่า อีกทั้งนมแพะยังมีปริมาณแคลเซียมจากธรรมชาติสูง จึงช่วยเสริมให้กระดูกและฟันแข็งแรง ซึ่งสำคัญมากกับเด็กเล็ก คุณสมบัติดังกล่าวนี้ล้วนเป็นที่ยอมรับของแพทย์และนักโภชนาการ

          ประโยชน์ของนมแพะ ทางเลือกดีๆ เพื่อลูกน้อย

          ประโยชน์ของนมแพะ

          1. ประโยชน์ของนมแพะเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้แพ้นมวัว นมแพะมีโปรตีนจำเพาะซึ่งทำให้เกิดอาการแพ้ได้น้อยกว่านมวัวถึง 3 เท่า และยังมีแลคโตส (น้ำตาลในนม) น้อยกว่านมวัว จึงอาจเป็นทางเลือกที่เหมาะกว่าสำหรับเด็กที่แพ้แลคโตส แต่คุณแม่ต้องทำความเข้าใจก่อน ว่านมแพะไม่ใช้ยาหรือนมที่ใช้รักษาอาการแพ้นมวัว

          2. ประโยชน์ของนมแพะทำให้ท้องอืด ท้องเฟ้อน้อยกว่านมชงชนิดอื่น เพราะมีปริมาณ ‘เบต้าเคซีน’ ซึ่งเป็นโปรตีนที่ช่วยในการย่อยและมีโปรตีนชนิดที่ย่อยยากน้อยกว่านมวัวถึง 8 เท่า (เป็นสัดส่วนเคซีนที่ใกล้เคียงกับนมแม่) ดังนั้นเมื่อดื่มนมแพะเข้าไปร่างกายจะย่อยและดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้รวดเร็วกว่าและลดอาการท้องอืด ท้องฟ้องได้ดีด้วย

          3. ประโยชน์ของนมแพะช่วยพัฒนาสมองและสายตาได้ดี ในนมมีสารอาหารหลายหลายชนิดที่ส่งผลโดยตรงต่อการพัฒนาสมองและบำรุงสายตา โดยมี ARA ซึ่งเป็นสารประกอบสำคัญต่อระบบส่วนกลาง มีโอเมก้า 3 และ 6 ที่ช่วยพัฒนาเซลล์สมองได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้นยังมีวิตามินเอ, วิตามินบี 12, ทอรีนและโคลีนที่ช่วยในการเรียนรู้และจดจำ นอกจากนั้นยังช่วยบำรุงสายตาและสามารถมองเห็นในที่มืดได้ดี

          4. ประโยชน์ของนมแพะ ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้ครบถ้วน โดย มีวิตามิน บี 6 ช่วยเซลล์เม็ดเลือดขาวสร้างสารกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ทั้งยังมีวิตามินดีในนมแพะ ซึ่งสูงกว่านมโค ทำให้ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันได้ดี และกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทานต่อการเกิดภูมิแพ้ในร่างกายได้เป็นอย่างดี

          5. ประโยชน์ของนมแพะช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอในร่างกาย เนื่องจากในนมแพะมีปริมาณโปรตีนสูงและเป็นโปรตีนที่ย่อยง่าย เมื่อดื่มเข้าไปร่างกายสามารถย่อยสลายและนำไปใช้ได้ทันที เมื่อเกิดความเสียหายกับอวัยวะภายในหรือเซลล์ โปรตีนจากนมแพะจะทำหน้าที่ซ่อมแซมให้อวัยวะนั้นๆกลับมาใช้งานได้ดีดังเดิม

          หลังจากรู้ถึงประโยชน์ของนมแพะที่มีมากมายอย่างนี้แล้ว…คุณแม่ควรใส่ใจในการเลือกซื้อนมแพะ เป็นพิเศษด้วยนะคะเพราะหาก นมแพะ ไม่ได้ผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อที่ได้มาตรฐานก็จะทำให้มีเชื้อแบคทีเรียได้ ควรดูที่มีมาตรฐาน มีการผลิตที่สะอาด และได้รับเครื่องหมาย อย.ที่ถูกต้องจากกระทรวงสาธารณสุขเท่านี้ เพื่อที่เราจะได้ดื่มนมแพะแบบได้ประโยชน์และมีความปลอดภัย ในส่วนสำหรับทารกแรกเกิดปัจจุบันก็มีนมแพะแบบผงขายตามท้องตลาดทั่วไปแล้วค่ะ

          …แต่อย่างไรก็ดี นมแต่ละชนิดก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน แต่ล้วนมีประโยชน์ต่อร่างกายเหมือนกัน เพียงแต่คุณแม่ต้องเลือกให้เหมาะกับสภาพร่างกายของลูกน้อย เพื่อประโยชน์สูงสุดที่ลูกจะได้รับ

            คลอดก่อนกำหนด

            ประสบการณ์จริงจากแม่ : คลอดก่อนกำหนด เพราะลูกเหนื่อย จนเกือบเสียชีวิตในท้อง

            คลอดก่อนกำหนด เชื่อว่าคุณแม่ท้องทุกคนคงไม่อยากให้เกิดขึ้นกับตัวเอง เพราะถ้าเลือกได้คงอยากจะคลอดให้ตรงตามกำหนด ทีมงาน Amarin Baby & Kids ได้รับอนุญาตจากคุณแม่ท่านหนึ่งที่เธออยากจะแชร์ประสบการณ์เหตุที่ต้องคลอดก่อนกำหนด โดยที่ยังเหลืออีกหลายสัปดาห์กว่าจะถึงกำหนดคลอด ซึ่งสาเหตุการคลอดครั้งนี้เกือบทำให้เธอต้องสูญเสียลูกไปตลอดกาล

             

            คลอดก่อนกำหนด เพราะลูกหายใจเหนื่อย จนเกือบเสียชีวิต!

            เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจริงจากคุณแม่แฟนเพจท่านหนึ่ง ที่เธอเพิ่งคลอดลูกไปเมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งเรื่องราวที่คุณแม่อยากจะแชร์ถึงสาเหตุที่ต้องคลอดก่อนกำหนด ก็เพื่อเป็นอุทาหรณ์เตือนใจให้คุณแม่ท้องทุกคนได้ตระหนักถึงการดูแลตัวเองขณะตั้งครรภ์ ทางผู้เขียนขอสงวนชื่อ นามสกุล ตามความต้องการของคุณแม่ต้นเรื่องท่านนี้ และนี่คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงของคุณแม่ค่ะ

             

            “มีเรื่องราวดีๆ มาเตือนแม่ๆ ที่กำลังทำงานหนักเพื่อคุณลูกอยู่นะคะ คือแม่บ้านนี้ท้องน้องตอนอายุยังน้อยเลยพยายามตั้งใจเก็บเงินตั้งแต่รู้ว่าท้องโดยทำงานกลางคืน(เสิร์ฟ) คือ 4โมงเช้าถึงเที่ยงคืน จนถึง 5 เดือนท้องเริ่มโตขึ้นลูกค้าเริ่มสังเกตเห็น เถ่าแก่เห็นใจเลยเปลี่ยนให้มานั่งเคาน์เตอร์แทน แต่ก็ยังเข้างานในเวลาเท่าเดิม ทุกๆ วันที่ทำงานเดินทางด้วยรถมอเตอร์ไซค์ ซึ่งห่างจากที่พัก 7-8 กิโล เพื่อนๆ ญาติๆ ก็บอกให้พักบ้าง ในใจเหนื่อยมากๆ เลยค่ะ แต่ต้องอดทนเพราะไม่อยากใช้เงินคนอื่นในการเลี้ยงลูก น้ำหนักก่อนท้อง 40 โล ขึ้นมาเป็น 60โล ก็ดีใจนะคิดว่าลูกต้องแข็งแรงแน่ๆ เลยขนาดทำงานหนัก

            #พอถึงวันที่หมอนัดตรวจท้องตามปกติ เราก็ไปโดยไม่ได้คิดอะไร หวังว่าตรวจท้องเสร็จก็จะกลับไปทำงานเหมือนทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา พอหมอเริ่มตรวจท้องก็เริ่มสังเกตเห็นสีหน้าพยาบาลไม่ดี เปลี่ยนกันตรวจหลายๆ คนจนต้องไปเรียกคุณหมอมาดู สุดท้ายคือคุณหมอให้แอดมิดรอคลอดทั้งที่ยังไม่ถึงกำหนด (แต่ก็ใกล้คลอดแล้วค่ะ) ที่สงสัยคือเพราะเหลืออีกตั้งประมาณ 3-4 สัปดาห์ถึงจะครบกำหนดคลอด เราก็เริ่มถามหมอว่าเพราะอะไรทำไมต้องคลอดตอนนี้

            เรา : ทำไมให้คลอดเร็วจังคะ ยังไม่ใกล้ถึงกำหนดเลย

            หมอ : คือเด็กในท้องเริ่มหายใจรวยรินแล้ว บางครั้งก็หยุดหายใจ หมอจำเป็นต้องเร่งคลอดให้เร็วที่สุดเพื่อรักษาชีวิตเด็กไว้

            เรา : (เท่านั้นแหละน้ำตาไหลเลย) แล้วมันเกิดจากอะไรคะ ทำไมเป็นแบบนี้ ⁉

            หมอ : เกิดจากภาวะที่คุณแม่พักผ่อนไม่เพียงพอ กินอาหารไม่ตรงเวลา ทำงานหนักจนเกินไป จึงทำให้เด็กเหนื่อย

            # เท่านั้นแหละเราเดินออกจากห้องตรวจร้องไห้ฟูมฟายไม่อายใครเลยค่ะ แฟนเห็นก็ตกใจ เลยเล่าให้ฟัง จากนั้นก็เริ่มโทรบอกญาติว่าจะคลอดแล้ว หมอให้คลอดโดยการผ่า เพราะฉีดย่าเร่งคลอดแล้วไม่ตอบสนอง จนสุดท้ายรักษาน้องไว้ได้สำเร็จ น้องเป็นผู้ชาย น้ำหนักแรกคลอด 3,240  เราดีใจมากเลยน้ำหนักน้องถึงเกณฑ์ เราอยู่ โรงพยาบาล 4 วัน พอวันที่ 5 กำลังจะกลับบ้านแต่หมอบอกว่า ลูกเรายังไม่ได้กลับบ้านด้วย เพราะน้องยังไม่แข็งแรงพอ หมอก็เอาน้องไปอยู่ในการดูแลของเขา ส่วนเราก็อยู่โรงพยาบาลรอ ตลอดเวลาเฝ้าคิดถึงลูกมากทั้งห่วงทั้งกังวล ร้องไห้ทุกครั้งที่น้ำนมไหล จนจะเข้าวันที่ 7 ของการอยู่ โรงพยาบาลหมอเอาน้องมาคืน แล้วให้กลับบ้านได้ เราดีใจมากที่สุด แต่คุณหมอก็บอกว่าน้องอาจจะไม่แข็งแรงเท่าเด็กคืนอื่น  แต่ก็สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ

            #เราโชคดีมากที่ไปหาหมอวันนี้พอดี

            #เราอยากเตือนแม่ๆ ที่ทำงานหนักนะคะ อาจจะไม่โชคดีเหมือนเราก็ได้ อย่าเสี่ยงกับชีวิตลูก เพราะเมื่อไม่มีเขาเราจะเสียใจที่สุด

            ตอนนี้น้องได้ 2 เดือนแล้ว กินเก่งมากเลย นมแม่ก็ไม่พอเลยต้องเสริมด้วยนมผง

            # แม่พึ่งว่างเลยมารายงานตัวช้าหน่อยครับ

            ผมเกิดวันที่ 21/12/59 เวลา 17:34 น. แม่ผ่าคลอดครับ”

             

            ผู้เขียนในฐานะที่เคยผ่านการอุ้มท้องมาแล้ว พอได้อ่านเรื่องของคุณแม่ท่านนี้จบ ต้องขอบคุณในความโชคดีของคุณแม่ ที่ไม่ต้องสูญเสียลูกไป ซึ่งหากคุณแม่ไม่ได้ไปตรวจครรภ์ตามที่คุณหมอนัด ก็อาจทำให้ต้องเสียใจไปตลอดชีวิตเป็นแน่  และอย่างที่คุณแม่ต้นเรื่องให้ทิ้งท้ายไว้ว่า คนท้องควรดูแลตัวเองให้มากตอนท้อง เพราะการพักผ่อนน้อย การทำงานหนัก การที่ทานอาหารไม่ตรงเวลา ปัจจัยเหตุเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อลูกในท้องอย่าง 100% จริงๆ ค่ะ

             

            อ่านต่อ >> “ความสำคัญของการดูแลสุขภาพร่างกายตอนท้อง” หน้า 2

             

             

            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

              ภาวะฮอร์โมนเพศชายต่ำ เรื่องที่ผู้ชายต้องรู้ ก่อนคิดมีลูก !

              โก๊ะตี๋ มีลูกไม่ได้ …เปิดใจเคลียร์ หลังมีข่าวออกมาว่าจะลูกไม่ได้ เพราะภาวะฮอร์โมนเพศชายต่ำ และยอมเสียเงินเป็นล้านๆ แต่ก็ไม่ได้ผล!!
              Continue reading “ภาวะฮอร์โมนเพศชายต่ำ เรื่องที่ผู้ชายต้องรู้ ก่อนคิดมีลูก !”

                เบาหวานก่อนตั้งครรภ์ VS เบาหวานขณะตั้งครรภ์

                เบาหวานก่อนตั้งครรภ์ VS เบาหวานขณะตั้งครรภ์ โรคเบาหวานในประเทศไทยปัจจุบันพบมากขึ้น อาจเป็นเพราะมีการถ่ายทอดทางพันธุกรรมร่วมกับสิ่งแวดล้อมที่เอื้ออำนวย อย่างเช่น การกินดีอยู่ดี อาหารรสชาติหวาน น้ำหนักตัวมาก เป็นต้น ซึ่งโรคเบาหวานสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์มี 2 แบบ ดังนี้ค่ะ

                เบาหวานก่อนตั้งครรภ์ VS เบาหวานขณะตั้งครรภ์


                เบาหวานขณะตั้งครรภ์

                เบาหวานก่อนตั้งครรภ์ (Pregestational diabetes)

                • ผลกระทบต่อลูกน้อย

                มีมากมาย ได้แก่ ทารกแท้ง ทารกพิการ ทารกคลอดก่อนกำหนด คลอดยากเพราะตัวโต ปอดไม่พัฒนา ทารกเสียชีวิตในครรภ์ ทารกเกิดภาวะแทรกซ้อนหลังคลอด

                ทารกตัวโตเกินไปไม่ดี

                ทารกตัวโตกว่าปกตินั้นอาจจะน่ารักน่าเอ็นดู แต่ตามมาด้วยภาวะคลอดยาก ขณะคลอด ทารกอาจจะเกิดการขาดออกซิเจน บาดเจ็บ หรือเสียชีวิต นอกจากนั้นยังอาจเกิดการติดไหล่ เนื่องจากสัดส่วนของรอบไหล่เมื่อเทียบกับรอบศีรษะใหญ่กว่าเด็กทั่วไป ทำให้กระดูกไหปลาร้าหัก แขนและมือพิการจากการฉีกขาดของเส้นประสาทที่ไหล่ได้

                • ผลกระทบต่อคุณแม่

                เกิดภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน ครรภ์เป็นพิษ แฝดน้ำ มารดาเกิดการบาดเจ็บจากการคลอด

                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                 

                คุณแม่ตั้งครรภ์ที่เป็นโรคเบาหวาน ต้องผ่าตัดคลอดทุกรายไหม ?

                อันที่จริงการผ่าตัดคลอดพิจารณาการผ่าตัดเหมือนคุณแม่ที่ไม่ได้เป็นโรคเบาหวาน แต่ที่แตกต่างคือ หากคะเนน้ำหนักลูกในครรภ์เกิน 4 กิโลกรัม แพทย์อาจพิจารณาผ่าตัดคลอดได้

                เป็นโรคเบาหวาน แต่ต้องการมีลูก ควรทำอย่างไร ?

                1. ควรพบสูติแพทย์ เพื่อเตรียมตัวก่อนการตั้งครรภ์
                2. เมื่อตั้งครรภ์ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจและฝากครรภ์ทันที
                3. ควรดูแลค่าน้ำตาลให้ปกติ หรือใกล้เคียงปกติที่สุด ก่อนการตั้งครรภ์อย่างน้อย 3 เดือน
                4. ออกกำลังกายสม่ำเสมอก่อนการตั้งครรภ์ และควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ หรือใกล้เคียงที่สุด
                5. รับประทานกรดโฟลิค สารโฟเลต หรือวิตามินบี 9 ตามคำแนะนำของแพทย์ก่อนตั้งครรภ์ 1 เดือน เพื่อลดการเกิดความผิดปกติระบบประสาทสมองของทารกในครรภ์

                ไม่ควรตั้งครรภ์ หากมีภาวะต่อไปนี้

                1. ค่าฮีโมโกลบินอิ่มน้ำตาลมากกว่า ร้อยละ 10
                2. เบาหวานขึ้นตาหรือลงไต และเส้นเลือดหัวใจตีบหรือหัวใจขาดเลือด อาจเสียชีวิตได้หากตั้งครรภ์
                3. คุณแม่ที่เป็นโรคเบาหวานอายุมากกว่า 35 ปี
                4. มีโรคแทรกซ้อนอื่นๆ อย่างโรคไธรอยด์เป็นพิษ

                 ติดตามเบาหวานก่อนตั้งครรภ์ VS เบาหวานระหว่างตั้งครรภ์ต่อหน้า 2 

                  ตั้งครรภ์ 19-20 สัปดาห์ และพัฒนาการทารกในครรภ์

                  พัฒนาการ การตั้งครรภ์ 19-20 สัปดาห์ เป็นช่วงเวลาครึ่งทางของการตั้งครรภ์แล้วค่ะ จากนี้ไปคุณแม่จะสามารถสื่อสารกับลูกน้อยในครรภ์ได้มากขึ้น ท้องคุณแม่ใหญ่ขึ้น ลูกน้อยก็เก่งและเติบโตขึ้นทุกวัน แถมคุณแม่ยังสามารถตรวจครรภ์และเห็นหน้าลูกน้อยได้อีกด้วย

                  พัฒนาการ การตั้งครรภ์ 19-20 สัปดาห์

                  พัฒนาการ การตั้งครรภ์ 19-20 สัปดาห์

                  อาการคนท้อง 19-20 สัปดาห์

                  • ขี้ร้อน และหายใจลำบาก คุณแม่จะขี้ร้อนและเหงื่อออกง่าย เพราะต่อมไทรอยด์ต้องทำงานมากขึ้นรวมถึงขนาดของมดลูกที่ใหญ่ขึ้นเริ่มไปเบียดปอด ทำให้หายใจลำบาก หรือรู้สึกหายใจหอบได้
                  • ผิวแตก เป็นขุย มีรอยดำ ฝ้าขึ้น มือและฝ่ามือแดงขึ้นกว่าปกติ เนื่องจากเลือดที่มาเลี้ยงร่างกายคุณแม่ที่เพิ่มขึ้นขณะตั้งครรภ์ ร่วมกับฮอร์โมนที่เพิ่มขึ้น ส่งผลทำให้ผิวพรรณแห้ง แพ้ มีอาการอักเสบหรือระคายเคืองได้ง่าย คุณแม่จึงควรหมั่นดูแลบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นอยู่เสมอ รวมถึงทาครีมกันแดดที่มีส่วนผสมอ่อนโยนทุกวันสม่ำเสมอ เพื่อปกป้องผิวจากแสงแดด และความแห้งกร้าน
                  • ท้องลาย คุณแม่อาจเริ่มมีริ้วรอยบริเวณหน้าท้องได้ จากการขยายตัวของผิวหนังบริเวณหน้าท้องในขณะตั้งครรภ์  ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดริ้วรอยชัดเจนขึ้น และดูแลผิวที่ขยายใหญ่ให้ชุ่มชื้นไม่แห้งตึง คุณแม่ควรทาครีม หรือโลชั่นบำรุงผิวที่มีมอยซ์เจอร์ไรเซอร์ให้ความชุ่มชื่น เลือกที่ไม่มีสารเคมีรุนแรง อ่อนโยนปลอดภัย ปราศจากน้ำหอม เพื่อบำรุงป้องกันผิวคุณแม่ไม่ให้แตกลายมากขึ้น และบำรุงให้ผิวชุ่มชื้นเสมอ
                  • ปวดแปลบบริเวณหน้าท้องช่วงล่างด้านใดด้านหนึ่งหรือทั้งสองข้าง เมื่อเปลี่ยนอิริยาบถ เนื่องจากการเปลี่ยนท่าทางเร็วๆ อาจทำให้คุณแม่รู้สึกเจ็บ อึดอัด เพราะเมื่อคุณแม่เคลื่อนไหว จะส่งผลทำให้ลูกน้อย น้ำคร่ำ และอวัยวะต่างๆ เคลื่อนตามไปด้วย จึงอาจมีอาการจุกเสียด เจ็บแปลบได้บ้าง คุณแม่จึงควร
                  • เส้นเลือดขอด เมื่ออายุครรภ์ที่มากขึ้น ทำให้มดลูกขยายใหญ่ จนไปกดทับหลอดเลือดดำในช่องท้อง ความดันในหลอดเลือดจึงสูงขึ้น และทำให้หลอดเลือดเล็กๆ บริเวณโคนขา และน่องของคุณแม่ โป่งพองขึ้นจนเกิดเป็นเส้นเลือดขอด

                  ป้องกันเส้นเลือดขอด คุณแม่สามารถป้องกันการเกิดเส้นเลือดขอด ด้วยการไม่นั่งหรือยืนห้อยขานานๆ เวลานอนควรหนุนเท้าให้สูงขึ้นเล็กน้อย เพื่อให้เลือดไหลเวียนกลับมาที่หัวใจได้ดีขึ้นค่ะ

                  เตือนคุณแม่ !

                  งดแช่น้ำร้อนและซาวน่าเพราะเป็นการเพิ่มอุณหภูมิให้ร่างกายจนเป็นอันตราย ควรดื่มน้ำให้บ่อยและเพียงพอ โดยเฉพาะขณะออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมกลางแจ้ง

                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                   

                  ติดตาม แม่ท้องตรวจอะไรได้บ้างในช่วงนี้ คลิกต่อหน้า 2

                    ตั้งครรภ์ 17-18 สัปดาห์ และพัฒนาการทารกในครรภ์

                    พัฒนาการ การตั้งครรภ์ 17-18 สัปดาห์ เป็นช่วงที่คุณแม่จะมีความรู้สึกที่ดีที่สุดค่ะ เพราะลูกน้อยจะเติบโตดิ้นแรงจนคุณแม่รู้สึกได้แล้ว

                    พัฒนาการ การตั้งครรภ์ 17-18 สัปดาห์

                    พัฒนาการ การตั้งครรภ์ 17-18 สัปดาห์

                    อาการคนท้อง 17-18 สัปดาห์

                    รู้สึกว่าลูกดิ้น

                    ช่วงนี้คุณแม่จะรู้สึกตื่นเต้นมีความสุขมากๆ ค่ะ เพราะสามารถรับรู้ได้แล้วว่าลูกดิ้นเป็นครั้งแรก เหมือนกับมีปลามาตอดตุบๆ อยู่ในท้องทีเดียวค่ะ ซึ่งหากคุณแม่กำลังท้องแรกอาจจะรู้สึกว่าลูกดิ้นได้ช้ากว่าท้องที่สองนะคะ

                    บ้านหมุน สาเหตุเกิดจาก

                    • ยืนเร็วเกินไป การลุกขึ้นยืนกะทันหัน หรือแม้แต่ยืนหรือนั่งนานเกินไป เลือดจะไปรวมกันอยู่ที่เท้าและขาส่วนล่าง จึงทำให้เลือดไหลกลับไปที่หัวใจไม่ทัน ประกอบกับมีความดันเลือดต่ำลง
                    • นอนหงาย มดลูกที่ขยายใหญ่ขึ้นจะไปกดทับหลอดเลือดเส้นใหญ่ ทำให้เลือดไหลเวียนช้าลง

                    ดื่มน้ำน้อยและกินอาหารไม่เพียงพอ

                    • การกินน้อยเกิน ทำให้น้ำตาลในเลือดต่ำเกินไป ทำให้เวียนหัว การขาดน้ำก็เช่นกัน
                    • ร้อนเกินไป การแช่น้ำร้อนในอ่าง อาบน้ำร้อน อยู่ให้ห้องร้อนๆ อยู่ท่ามกลางผู้คนแออัด ทำให้หลอดเลือดขยายและความดันเลือดต่ำ

                    ออกกำลังกายหนักเกินไป

                    การออกกำลังกายหนักเกินไปทำให้หายใจไม่ทัน หายใจสั้น จึงเวียนหัวได้ อาการวิงเวียนศีรษะที่เกิดขึ้นนี้สามารถเกิดขึ้นได้ แต่ไม่ควรปล่อยให้เกิดขึ้นบ่อยๆ เพราะอาจมีอันตรายจากอุบัติเหตุ หรือหากมีอาการอื่นร่วม เช่น ตาพร่ามัว ปวดหัวรุนแรง ปวดหน้าอก หายใจสั้น เลือดออก เป็นต้น ควรรีบพบแพทย์โดยด่วน เพราะอาจเป็นสัญญาณผิดปกติที่เป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ได้

                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                     

                    ติดตาม การเปลี่ยนแปลงของแม่ท้อง 17-18 สัปดาห์ คลิกหน้า 2

                      อุทาหรณ์! แม่ฝากเตือน ระวังเด็กเล่นกัน ลูกถูกฝักคูนแทงเข้าตา รักษาไม่ได้ หมอต้องผ่าดวงตาทิ้ง

                      ฝักคูน แทงตา เด็ก 7 ขวบ เพราะเล่นกันไม่ระวัง …พูดถึงการเล่น กับเด็ก ถือเป็นของคู่กันก็จริง จะห้ามไม่ให้เล่นก็อาจผิดวิสัยของธรรมชาติ แต่บ่อยครั้งที่เราอาจเคยได้ยินข่าวเกี่ยวกับอันตรายจากการที่เด็กๆ เล่นด้วยกัน เพียงเพราะไม่มีผู้ใหญ่คอยดูแล เช่นเดียวกับเหตุการณ์นี้…

                      เด็ก 7 ขวบ ถูกเด็ก 10 ขวบ ใช้ฝักคูน แทงเข้าเบ้าตา รักษาไม่ได้ต้องควักดวงตาทิ้ง

                      โดยเรื่องนี้เกิดขึ้น เมื่อเดือนต.ค. 2559 ซึ่งเด็กชายผู้เคราะห์ร้าย ชื่อน้องอิกคิว อายุ 7 ปี ได้ถูก ด.ช. คนหนึ่งซึ่งอายุ 10 ปี มาเล่นที่บ้านด้วยกัน และได้ใช้ฝักคูณแทงเข้าไปที่ดวงตาข้างซ้ายของ ด.ช.อิกคิว จนทำให้ดวงตาแตกยุบเข้าไปในเบ้าตา ทำให้แพทย์ต้องควักดวงตาทิ้ง ซึ่งขณะนี้ ล่าสุด ด.ช.อิกคิว ยังคงใช้ผ้าปิดตาเอาไว้ เนื่องจากว่าแผลยังไม่หายสนิท โดยพ่อและแม่ต้องคอยดูแลอย่างใกล้ชิด

                      โดยผู้เป็นแม่ของน้องอิกคิว เล่าว่า เหตุที่ทำให้น้องอิกคิวพิการตาบอดตลอดชีวิตเกิดขึ้น น้องอิกคิวกำลังเล่นอยู่หน้าบ้าน ปรากฏว่าได้มี ด.ช. อายุ 10 ขวบ ซึ่งติดตามพ่อแม่มาร่วมงานวันเกิดของเพื่อนบ้านคนหนึ่งได้มาขอเล่นด้วย และต่อมาก็ได้ยินเสียงน้องอิกคิวร้องไห้เสียงดังลั่น ตนจึงได้รีบวิ่งออกมาดู พบว่าน้องอิกคิวมีเลือดไหลทะลักออกมาจากดวงตาข้างซ้ายตนจึงได้ถามว่าใครทำแบบนี้น้องอิกคิวได้ชี้ไปที่ ด.ช.วัย 10 ขวบคนนั้น

                      ขอบคุณภาพข่าวจาก : www.tvpoolonline.com
                      ขอบคุณภาพข่าวจาก : www.manager.co.th

                      ซึ่งน้องอิกคิวบอกว่า ด.ช. นั้นได้ใช้ฝักคูณที่น้องอิกคิวเก็บมาเพื่อที่จะเล่นขายของ โดยได้หักฝักคูณเป็น 2 ท่อน จากนั้นได้ใช้ฝักคูณแทงมาที่น้องอิกคิว โดยครั้งแรกน้องอิกคิวหลบทัน แต่พอ ด.ช.อายุ 10 ขวบ ใช้ฝักคูณแทงมาครั้งที่ 2 น้องอิกคิวหลบไม่ทันทำให้โดนฝักคูณทางเข้าที่ดวงตาข้างซ้ายจนทำให้ดวงตายุบเข้าไปในเบ้าตาเลือดไหลทะลักออกมาจำนวนมาก ผู้เป็นแม่จึงได้รีบนำตัวน้องอิกคิวส่งไปที่ รพ.

                      ฝักคูน แทงตา
                      ขอบคุณภาพข่าวจาก : www.tvpoolonline.com

                      แพทย์ได้ทำการตรวจบาดแผล แล้วแจ้งว่าจะต้องควักดวงตาข้างซ้ายของน้องอิกคิวทิ้ง เนื่องจากว่าดวงตากระจกแก้วตาแตกกระจายไม่สามารถที่จะรักษาได้หากไม่ควักตาทิ้งอาจจะทำให้ลุกลามติดเชื้อไปยังดวงตาอีกข้างหนึ่งและจะทำให้ตาบอดทั้ง 2 ข้าง ผู้เป็นแม่จึงได้อนุญาตให้แพทย์ทำการรักษาพยาบาลโดยการควักเอาดวงตาข้างซ้ายของน้องอิกคิวทิ้งไป

                      อ่านต่อ >> “เด็ก 7 ขวบ ถูกเด็ก 10 ขวบ ใช้ฝักคูนแทงเข้าเบ้าตาจนต้องควักลูกตาทิ้ง” คลิกหน้า 2

                      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                       

                        แผลผ่าคลอดอักเสบ

                        แผลผ่าคลอดอักเสบ ปวด คัน เป็นหนอง ต้องทำอย่างไร?

                        แผลผ่าคลอดอักเสบ ปวด คัน เป็นหนอง อาจเกิดขึ้นได้กับคุณแม่ผ่าคลอดทุกคน แต่จะรู้ได้อย่างไรว่า แผลที่ผ่านั้นจะได้รับผลกระทบหรือความเสี่ยงจากอาการดังกล่าวหรือไม่ หากเป็นแล้วต้องทำอย่างไร หรือมีวิธีที่จะป้องกันและดูแลตัวเองหลังผ่าคลอดแบบไหนบ้าง วันนี้เราจัดข้อมูลแบบเจาะลึกมานำเสนอกันค่ะ

                        ทำไมต้องผ่าคลอด

                        ปัจจุบันคุณแม่นิยมหันมาผ่าคลอดมากขึ้น ด้วยเหตุผลต่าง ๆ กัน เช่น การผ่าคลอดไม่ต้องเผชิญกับความเจ็บและน่ากลัวขณะคลอดเหมือนการคลอดเองตามธรรมชาติ เพราะคุณหมอจะให้ดมยาสลบหรือบล็อกหลัง ซึ่งต่างกับการคลอดเองที่คุณแม่จะต้องอดทนรอเจ็บท้อง ซึ่งไม่รู้ระยะเวลาว่านานแค่ไหนกว่าลูกจะคลอดออกมาสู่โลกภายนอก แต่เหตุผลการผ่าคลอดที่เป็นที่นิยมมากที่สุดในตอนนี้คงจะเป็นการเลือกฤกษ์วันคลอดที่เป็นมงคลสำหรับลูก จึงทำให้คุณแม่ตัดสินใจผ่าคลอดเพิ่มมากขึ้น

                        ในอดีตการผ่าคลอดดูจะเป็นเรื่องอันตรายกับชีวิตของทั้งคุณแม่และคุณลูก คุณหมอจะเลือกผ่าคลอดให้กับครรภ์ที่ผิดปกติ และไม่สามารถคลอดเองตามธรรมชาติได้เท่านั้น เช่น กระดูกเชิงกรานแคบเกินกว่าจะคลอดเองได้ เด็กไม่กลับหัว ครรภ์เป็นพิษ รกเกาะต่ำ คุณแม่มีโรคประจำตัว เป็นต้น แต่ในปัจจุบันวิวัฒนาการทางการแพทย์ก้าวหน้ามาก ทั้งอุปกรณ์เครื่องมือที่ทันสมัย วิธีลดความเจ็บปวดระหว่างคลอด การให้คำแนะนำก่อนคลอด ระหว่างคลอด และหลังคลอด ซึ่งทำให้คุณแม่มั่นใจมากยิ่งขึ้น ถึงแม้จะรู้ว่าการผ่าคลอดมีความเสี่ยงมากกว่าการคลอดเองตามธรรมชาติก็ตาม

                        บทความแนะนำ ผ่าคลอด หรือ คลอดธรรมชาติ แบบไหนดีกว่ากัน?

                        อันตรายและความเสี่ยงที่เกิดจากการผ่าคลอดมีหลายอย่าง เช่น ความเสี่ยงจากการบล็อกหลังหรือดมยาสลบ  ความเสี่ยงจากการเลือกวันคลอดซึ่งอาจทำให้ทารกเกิดความผิดปกติ ความเสี่ยงจากการเสียเลือดระหว่างผ่าคลอด และความเสี่ยงจากการติดเชื้อที่แผลผ่าคลอด ซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณแม่โดยตรง

                        บทความแนะนำ ผ่าคลอด ดมยาสลบหรือบล็อกหลังดี?

                        อ่านต่อ>> สัญญาณเตือน เมื่อแผลผ่าคลอดอักเสบ คลิกหน้า 2

                        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                         

                          คุณเลือกสิ่งที่ดีที่สุด เพื่อลูกรักแล้วหรือยัง

                          Video Player
                            พังผืดใต้ลิ้น ทารก

                            พังผืดใต้ลิ้น ทารก สาเหตุทำลูกดูดนมแม่ยาก

                            พังผืดใต้ลิ้น ทารก การเฝ้าติดตามเด็กแรกคลอดในเรื่องสุขภาพ เสียงร้อง การดูดนมแม่ ฯลฯ เป็นสิ่งที่กุมารแพทย์ ให้ความสำคัญมากจนกว่าจะแน่ใจว่าทารกปกติทุกอย่างถึงให้กลับบ้าน แต่ปัญหาหนึ่งที่เกิดขึ้นได้กับเด็กแรกเกิดนั่นคือ “พังผืดใต้ลิ้น” ที่เป็นอุปสรรคต่อการดูดนมแม่ ทีมงาน Amarin Baby  & Kids มีข้อมูลพร้อมคำแนะนำในการรักษา พังผืดใต้ลิ้น ทารก มาให้ทราบค่ะ

                             

                            พังผืดใต้ลิ้น ทารก คืออะไร?

                            สำหรับพังผืดใต้ลิ้นจะมีอยู่บริเวณโคนลิ้นของทั้งเด็ก และผู้ใหญ่เป็นปกติ แต่ในเด็กทารกแรกคลอดบางรายอาจมีพังผืดใต้ลิ้นที่มากเกินไป จนเป็นอุปสรรคต่อการดูดนมแม่ เมื่อเด็กอ้าปากดูดนมแม่ให้ครอบเต็มบริเวณลานนมไม่ได้ เด็กจะใช้เหงือกในการงับหัวนมแม่ ซึ่งจะทำให้แม่รู้จึกเจ็บ และส่งผลให้หัวนมแตกได้

                             

                            พังผืดใต้ลิ้น(Ankyloglossia หรือ Tongue-tie) เป็นลักษณะของเยื่อบางๆ เล็กๆ อยู่ตรงบริเวณโคนลิ้นที่มีในเด็กทารกแรกเกิดเป็นปกติ แต่บางครั้งการมีพังผืดใต้ลิ้นที่มากเกินไปในทารกแรกเกิดหลายๆ ราย ก็ถือว่าเป็นปัญหาอยู่มากเหมือนกันค่ะ นั่นเพราะพังผืดที่ติดมากจนถึงบริเวณปลายลิ้น จะส่งผลกระทบต่อทารกในการดูดนมแม่ เพราะทารกจะไม่สามารถขยับปลายลิ้นได้ถนัดเพื่อดูดนมแม่ และแม่ก็จะเจ็บเพราะลูกจะเปลี่ยนจากการใช้ลิ้นในการดันรีดนมแม่ เปลี่ยนเป็นใช้เหงือกในการงับหัวแม่เพื่อจะได้ดูดนมแม่ได้ ซึ่งผลที่ตามมาคือ แม่เจ็บหัวนม หัวนมแดงช้ำ และแตกในที่สุดค่ะ

                             

                            ว่าที่คุณแม่คุณพ่อมือใหม่ในหลายๆ ครอบครัว ที่กำลังจะคลอดลูกในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้ เพื่อให้สามารถสังเกตเห็นถึงความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นกับลูกน้อย ผู้เขียนมีลักษณะอาการของพังผืดใต้ลิ้น มาให้ทราบกันค่ะ

                             

                            อ่านต่อ >> “อาการของพังผืดใต้ลิ้น” หน้า 2

                             

                             

                            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                              เตือนภัยพ่อแม่! “3 เชื้อโรค” จากมือถือ ภัยร้ายใกล้ตัว หากจะคิดเอาให้ลูกเล่น

                              อย่าปล่อยให้ ลูกเล่นโทรศัพท์ …ระวัง! เชื้อโรคสุดสกปรก เทียบเท่ากับเชื้อโรคในห้องน้ำ เพิ่มความเสี่ยงในการเจ็บป่วยด้วยโรคภัยต่าง ๆ ให้กับลูกน้อยและคุณพ่อคุณแม่ได้อย่างไม่คาดคิด

                              ลูกเล่นโทรศัพท์ …ระวัง! เชื้อโรค เสี่ยงทำลายสุขภาพ

                               

                              มีการทดสอบโดยนิตยสารวิช? (Which?) ซึ่งพบว่า อัตราเฉลี่ยแล้วโทรศัพท์มือถือที่คุณพ่อคุณแม่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้มีเชื้อโรคอันตรายซ่อนอยู่มากกว่าที่กดชักโครกในห้องน้ำชายถึง 18 เท่า และไม่ใช่แค่นั้น …มีการวิเคราะห์พบว่าโทรศัพท์มือถือเกือบ 1 ใน 4 สกปรกขนาดที่มีปริมาณแบคทีเรียที่ยังมีชีวิตเกินระดับที่รับได้ถึง 10 เท่าเลยทีเดียว

                              ซึ่งการทดสอบนี้ มาจากตัวอย่างโทรศัพท์มือถือ 30 เครื่องบ่งชี้ว่า มือถือ 14.7 ล้านเครื่องจากทั้งหมด 63 ล้านเครื่องในสหราชอาณาจักร อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพผู้ใช้

                              ลูกเล่นโทรศัพท์

                              ด้านผู้เชี่ยวชาญด้านสุขอนามัยจิม ฟรานซิส ได้เป็นผู้ทำการทดสอบเรื่องนี้ เสริมว่า โทรศัพท์เครื่องหนึ่งมีจำนวนแบคทีเรียมากจนต้องนำไปฆ่าเชื้อ และโทรศัพท์ที่สกปรกที่สุดมีปริมาณแบคทีเรียที่ยังมีชีวิตอยู่เกินระดับที่รับได้มากกว่า 10 เท่า โดยโทรศัพท์ที่เข้าข่ายนี้มีอยู่ 7 เครื่อง (จาก 30)

                              ซึ่งโทรศัพท์เครื่องที่ผิดหลักสุขอนามัยที่สุดยังมีเอนเทอโรแบคทีเรีย หรือกลุ่มแบคทีเรียที่อยู่ในลำไส้ส่วนล่างของคนและสัตว์ ซึ่งรวมถึงเชื้อโรคหลักๆ ที่ทำให้เกิดโรคที่เป็นผลเสียต่อสุขภาพได้ง่ายๆ อย่าง

                              • เชื้อซาลโมเนลลา อยู่ถึง 39 เท่าของระดับที่ปลอดภัย และมีเฟคัลโคลิฟอร์มที่เชื่อมโยงกับของเสียของคนในจำนวนมากกว่าระดับที่รับได้ 170 เท่า

                              ลูกเล่นโทรศัพท์

                              ซึ่งเจ้าเชื้อ ซาลโมเนลลา (salmonella) นี้เป็นชื่อสกุลของแบคทีเรียในวงศ์ Enterobacteriaceae ซึ่งก่อให้เกิดโรค ซึ่งมีอาหารเป็นสื่อกลาง ซาลโมเนลลามีรูปร่างเป็นท่อน ย้อมติดสีแกรมลบ จัดอยู่ในกลุ่ม facultative anaerobe คือเจริญได้ทั้งในสภาวะที่มีอากาศและไม่มีอากาศ แต่ในสภาวะที่มีอากาศเจริญได้ดีกว่า และไม่สร้างสปอร์ ทำให้เกิดโรคซาลโมเนลโลซิส (Salmonellosis) ซึ่งเป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อ (infection) ในระบบทางเดินอาหาร ทำให้เกิดอาการลำไส้อักเสบ1

                              อ่านต่อ >>  เชื้อโรคที่อยู่บนหน้าจอโทรศัพท์มือถือที่เป็นภัยต่อลูกน้อย” คลิกหน้า 2

                              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                7 วิธีสอนลูกให้เป็นคนดีมีคุณค่า

                                วิธีสอนลูกให้เป็นคนดี มีคุณค่า ในสังคม …ดังสุภาษิตโบราณที่กล่าวว่า คุณค่าของคน อยู่ที่ผลของงาน แต่ถ้าผลของงานเป็นสิ่งทำลายสังคม และมนุษยชาติ เช่น คนที่เบียดเบียนผู้อื่น ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน หรือคนที่ไม่ประกอบสัมมาอาชีวะ บุคคลนั้นจะเรียกได้ว่ามีคุณค่าจริงหรือ?

                                คุณค่าของคนอยู่ที่ตรงไหน?

                                พระพุทธเจ้าตรัสสอนภิกษุว่า ให้บำเพ็ญประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น คุณค่าของคน จึงอยู่ที่การสร้างประโยชน์และความสุข แก่ตนเอง บุพการี และเพื่อนมนุษย์ร่วมโลก โดยเป็นประโยชน์ ซึ่งมาจากวิธีที่ชอบธรรม ถ้าทำให้พ่อแม่ ญาติมิตร หรือเพื่อนร่วมโลก มีกินมีใช้ ก็ยิ่งทำให้เป็นบุคคลที่มีคุณค่ามากยิ่งขึ้นไปตามลำดับ

                                ความดีเป็นสิ่งที่มีคุณค่าอยู่ในตัวเองเมื่อใดที่เราลงมือ “กระทำ” ความดีงามนั้นก็จะเกิดขึ้นกับตัวเราโดยไม่มีใครห้ามได้แต่เมื่อใดก็ตามที่เราเผลอตัวเข้าไปยึดถือในความดีของตน เราก็สร้างทุกข์ให้ตัวเองยิ่งยึดมากก็กลายเป็นถือตัวว่าดีกว่าคนอื่นเอาความดีเป็นเครื่องอวดอ้างเพราะมุ่งหวังคำสรรเสริญเยินยอ

                                วิธีสอนลูกให้เป็นคนดี มีคุณค่า ต่อพ่อแม่และสังคม

                                วิธีสอนลูกให้เป็นคนดี

                                ซึ่งบางคนอาจบอกว่าคนที่มีคุณค่านั้นคือ คนที่เก่ง คนที่มีความสามารถ บางคนอาจจะบอกว่าคนที่มีคุณค่าหมายถึงคนดีที่มีคุณธรรมประจำใจ ซึ่งสังคมไทยเราก็สามารถมองหาคนเก่งและมีความสามารถได้ไม่ยาก แต่กลายเป็นการหาคนดีที่มีคุณธรรมนั้นได้ยากยิ่งเหลือเกิน เพราะใครๆต่างก็เห็นแก่ตนเองและทำทุกอย่างเพื่อตนเอง มากกว่าจะประกอบคุณประโยชน์ให้แก่สังคม ส่วนรวมและประเทศชาติ

                                การจะเป็นคนดีของสังคม เราต้องรู้จักคุณสมบัติของคนดีในสังคมเสียก่อน ซึ่งเส้นทางสู่การเป็นคนดีสามารถกระทำได้คือ คนดีต้องมีคุณสมบัติการกระทำ 3 ข้อ ดังนี้

                                1. การกระทำด้วยกายเรียกว่า กายกรรม

                                กล่าวคือ การกระทำในสิ่งที่ดี ไม่เบียดเบียนผู้อื่นให้เกิดความเดือดเนื้อร้อนใจ ประพฤติปฏิบัติตนให้อยู่ในกรอบของศีลธรรมและ จริยธรรมอันดีงาม กระทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่สังคม

                                ♥ แนะนำเรื่องควรอ่าน! : Happy Family สอนลูกให้รู้จักทำดีกับพ่อแม่แล้วชีวิตจะเป็นสุข
                                ♥ แนะนำเรื่องควรอ่าน! : ให้ลูกทำดี ไม่ต้องมีสินบน

                                2. การกระทำด้วยวาจาเรียกว่า วจีกรรม

                                กล่าวคือ การพูดจาดี มีความ อ่อนหวาน ซื่อตรง พูดในสิ่งที่สร้างสรรค์ ไม่พูดปดหรือพูดหลอกลวงผู้อื่นให้หลงเชื่อเพื่อให้ได้มาซึ่ง ผลประโยชน์แก่ตน

                                ♥ แนะนำเรื่องควรอ่าน! : เติมอาหารสมองให้ลูกในตอนเช้า สร้างจิตสำนึกที่ดีให้ลูก

                                3. การกระทำด้วยใจ เรียกว่า มโนกรรม

                                กล่าวคือ การเป็นผู้มีความคิดด้วย จิตอันบริสุทธิ์ คิดในสิ่งที่ดีมีประโยชน์ คิดในทางที่สร้างสรรค์ ไม่คิดร้ายแก่ผู้อื่นเพียงเพราะผลประโยชน์

                                ♥ แนะนำเรื่องควรอ่าน! : 12ข้อคิด กับวิธีเลี้ยงลูกให้เป็นผู้มีปัญญา

                                และการที่พ่อแม่จะอบรมเลี้ยงดูให้ลูกเป็นคนจิตใจดี มีความประพฤติดีนั้นเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ต้องใช้เวลาและความอดทน โดยการเลี้ยงดูให้ลูกเป็นคนดีนั้นสามารถเริ่มได้ตั้งแต่ลูกยังอยู่ในท้องแม่ด้วยซ้ำไป เพราะเด็กสามารถได้ยินเสียงตั้งแต่อายุ 5 เดือนที่ยังอยู่ในท้องของแม่ ดังนั้นพ่อแม่ควรพูดแต่สิ่งดี ๆ และเรื่องดี ๆให้ลูกฟังตั้งแต่เขาอยู่ในท้อง เพื่อเป็นการปลูกฝังให้ลูกได้ซึมซับคุณธรรมให้เป็นส่วนหนึ่งของจิตใจ ซึ่งจะมีคุณธรรมหรือความดีอะไรบ้างที่พ่อแม่ควรปลูกฝังให้กับลูก ตามไปดูกันค่ะ

                                อ่านต่อ >> “7 ข้อที่พ่อแม่ควรสอนลูก เพื่อให้ลูกมีคุณค่าในความดี” คลิกหน้า 2

                                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                 

                                  เรื่องที่ พ่อแม่ต้องเจอ เมื่อมีลูกชาย

                                  10 เรื่องที่ พ่อแม่ต้องเจอ เมื่อมีลูกชาย

                                  เรื่องที่ พ่อแม่ต้องเจอ เมื่อมีลูกชาย ใครเคยมีประสบการณ์ในการเลี้ยงลูกชายบ้างไหมคะ ผู้เขียนเองก็มีลูกชาย  อยากรู้จังว่าทุกครอบครัวที่มีลูกชาย มีเรื่องอะไรที่ต้องเจอและรับมือกับลูกชายกันบ้าง ทีมงาน Amarin Baby & Kids ขอแชร์ประสบการณ์การมีลูกชาย พร้อมเรื่องที่เชื่อว่าพ่อแม่ทุกคนต้องเจอ เมื่อมีลูกชาย

                                   

                                  เรื่องที่ พ่อแม่ต้องเจอ เมื่อมีลูกชาย

                                  ใครเคยมีอารมณ์ประมาณว่า “สิ่งที่คิด” กับ “สิ่งที่เห็น” คล้ายๆ กับ before & after  ผู้เขียนเป็นบ่อยกับลูกชายจอมซน เพราะเราคงนึกไม่ออกว่าจะทำยังไงให้เด็กผู้ชายนั่งนิ่งๆ สัก 5-10 นาที ต่อให้มีอะไรมาหลอกล่อ เผลอแป๊บเดียววิ่งไปตรงหน้าประตูบ้านซะแล้ว คือมีลูกชายยิ่งกว่าจับปูใส่กระด้งเสียอีกค่ะ ^_^  แต่ที่พูดมานี้ไม่ใช่จะบอกว่ามีลูกชายแล้วไม่ดีไม่ใช่นะคะ

                                   

                                  เด็กผู้ชายจะลักษณะที่ต่างจากเด็กผู้หญิง ก็ตรงที่ไม่ค่อยขี้อ้อนแม่เหมือนลูกสาว แต่จะไปลุยๆ เหมือนกับพ่อ อันนี้ไม่แน่ใจลูกชายบ้านอื่นเป็นเหมือนกันไหมนะ

                                  เด็กผู้ชายจะเล่นแรงๆ และชอบเล่นอะไรแบบเลอะเทอะเต็มบ้าน ไม่ค่อยเป็นระเบียบสักเท่าไหร่

                                  เด็กผู้ชายจะไม่ค่อยชอบให้แม่พูด หรือบ่นมาก แล้วก็จะชอบต่อรอง ถ้าแม่ให้กินข้าวอีกคำ จะขอกินแต่หมูไม่เอาผัก อันนี้ที่บ้านเจอบ่อยมากค่ะ ^_^

                                  เด็กผู้ชายชอบชุดเสื้อผ้าแบบแมนๆ ยิ่งถ้าเป็นเสื้อผ้าที่มีลายการ์ตูน ลายซูเปอร์ฮีโร่ที่ชอบนี่ขอให้พ่อกับแม่ซื้อให้เลย

                                  เด็กผู้ชายอยากเป็นซูเปอร์แมน เพราะบินได้ แต่ความจริงเราต้องบอกเขานะคะ ชีวิตจริงลูกไม่สามารถบินได้ อันนั้นเป็นในหนัง ในการ์ตูนเท่านั้นที่ทำได้

                                   

                                  นี่แค่พอหอมปาก หอมคอ ที่เจอกับลูกชายที่บ้าน ซึ่งต่อไปที่เป็นไปตามวัยของเขา คุณพ่อคุณแม่ยังจะต้องเจอ และต้องรับมือกับเด็กผู้ชายอีกเยอะค่ะ เอาเป็นว่าเราลองไปดูเรื่องเหล่านี้ที่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นกับเด็กผู้ชาย ที่เราในฐานะพ่อแม่ควรจะรู้และเตรียมใจไว้ให้พร้อมกันค่ะ

                                   

                                  อ่านต่อ >> “10 เรื่องที่ พ่อแม่ต้องเจอ เมื่อมีลูกชาย” หน้า 2

                                   

                                   

                                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                    แม่ต้องระวัง! นอนคลุมโปง เสี่ยงสมองลูกสื่อม

                                    นอนคลุมโปง ไม่ดี ต่อสุขภาพ… เพราะเวลาที่หายใจออกเราจะเอาคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาด้วย ดังนั้นการคลุมโปงจึงเป็นการกักคาร์บอนไดออกไซด์เอาไว้หายใจ สมองจึงขาดออกซิเจนที่เพียงพอนั่นเอง

                                    นอนคลุมโปง ไม่ดี เสี่ยงลูกสมองเสื่อม

                                    ถ้าหากคุณพ่อคุณแม่มีเจ้าตัวเล็ก ที่มีอาการชอบนอนคลุมโปงบ่อย ๆ คงเป็นเรื่องไม่ดีแน่ เพราะการนอนคลุมโปงจะทำให้อากาศที่ใช้หายใจมีจำกัดและไม่ถ่ายเท ส่งผลให้มีคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้น ซึ่งลูกก็จะหายใจเอาก๊าซที่ว่าเข้าไปด้วยซึ่งก็จะทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานของสมองลดลง ส่งผลต่อการทำงานของสมองเสื่อมเร็วขึ้น

                                    นอนคลุมโปง ไม่ดี

                                    อาการเสื่อมถอยของสมองไม่ใช่แค่การหลงลืม  แต่รวมถึงอาการขาดสมาธิ ภาวะความตื่นตัวของสมอง ความสามารถในการเรียนรู้จดจำสิ่งใหม่ รวมถึงความสามารถในการวิเคราะห์ด้วย

                                    ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ควรให้ลูกเข้านอนแต่หัวค่ำ และนอนในท่าที่ถูกต้องด้วย เพราะภายในร่างกายคนเรามีนาฬิกาชีวภาพอยู่ หากเราเข้านอนในเวลาที่ร่างกายหลั่งสารเมลาโทนิน ก็จะทำให้ร่างกายและสมองได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่ พร้อมเรียนรู้อย่างเต็มกำลัง

                                    Must read : 7 วิธี เสริมความฉลาด สร้างเซลล์สมอง ลูกน้อย
                                    Must read : 11 วายร้าย!! ทำลายสมองลูก

                                    ซึ่งด้าน นพ.ยุทธชัย ลิขิตเจริญ อาจารย์ประจำหน่วยประสาทวิทยา ฝ่ายอายุรศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย กล่าวว่า ภาวะสมองเสื่อม แบ่งกลุ่มอาการออกเป็น 2 ประเภท คือ

                                    1. กลุ่มอาการที่เซลล์สมองเสื่อมไม่สามารถรักษาและหยุดการดำเนินของโรคได้ เช่น อัลไซเมอร์ จะพบมากที่สุดในกลุ่มนี้
                                    2. เซลล์สมองเสื่อมที่สามารถรักษาและหยุดการดำเนินโรคได้เช่น เซลล์สมองเสื่อมที่เกิดจากปัญหาหลอดเลือดสมอง อาการทางจิต โรคซึมเศร้า หรือขาดวิตามินบางตัว คือ วิตามินบี 12 และโฟเลต ซึ่งการขาดวิตามินพบได้น้อย มักพบในกลุ่มผู้ป่วยโรคพิษสุราเรื้อรัง

                                    ดังนั้น การรักษาอาการเซลล์สมองเสื่อม จึงต้องคัดกรองหาสาเหตุเพื่อรักษาให้ตรงกับการเจ็บป่วย โดยเฉพาะกลุ่มที่สามารถรักษาได้ จะมีโอกาสกลับมาได้เกือบเหมือนเดิม

                                    นอกจากการนอนคลุมโปง จะเป็นการทำลายสมองของลูกน้อย ยังมีเรื่องที่สามารถทำลายประสิทธิภาพการทำงานของสมอง ของลูกน้อยให้ลดลงอีกด้วย ดังนี้

                                    อ่านต่อ >> “พฤติกรรมที่ก่อให้เกิดการทำลายสมองของลูกน้อย” คลิกหน้า 2

                                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่