รวมวิธีดูแลตัวเองง่ายๆ เมื่อ แม่ท้อง ไม่สบาย

ยาม แม่ท้อง ไม่สบาย หรือเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ ควรดูแลตัวเองเบื้องต้นอย่างถูกต้อง เพื่อป้องกันจากป่วยเล็กๆ ไม่ให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ ฉบับนี้จึงขอรวบรวมอาการต่างๆ ที่คุณแม่ตั้งครรภ์มักพบเจอ พร้อมวิธีดูแลรักษาเบื้องต้นแบบง่ายๆ แต่ถูกต้องมาฝากกันค่ะ

แม่ท้อง ไม่สบาย ดูแลตัวเองแบบนี้สิ!  

  

แม่ท้อง ไม่สบาย

  1. แม่ท้อง เป็นไข้

เมื่อตั้งครรภ์ ภูมิต้านทานในร่างกายของคุณแม่จะลดลงเป็นปกติอยู่แล้ว ทำให้มีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย เมื่อติดแล้วก็มักจะหายช้ากว่าปกติ ยารักษาต่างๆ ก็ต้องใช้ยาที่อ่อนลงเพราะอาจกระทบกับลูกในครรภ์ได้ นอกจากนี้ การเป็นไข้สูงนานๆ หัวใจของลูกจะเต้นเร็วมากขึ้น ส่งผลให้ลูกน้อยเจริญเติบโตช้าได้ด้วย

หาสาเหตุ เป็นไข้จากอะไร

โดยปกติอาการไข้มักเกิดจาก 3 สาเหตุด้วยกัน ได้แก่

1. ไข้หวัด ซึ่งพบได้บ่อย มักมีอาการร่วมคือ เจ็บคอ ไอ มีน้ำมูก

2. ไข้จากการติดเชื้อบริเวณทางเดินปัสสาวะ อาการร่วมคือ ปัสสาวะขัดหรือผิดปกติ มีอาการหนาวสั่น

3. ไข้จากระบบทางเดินอาหาร อาการร่วมที่เจอบ่อยๆ คือท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียน

ดังนั้น ในเบื้องต้นต้องรู้ว่าเราเป็นไข้จากสาเหตุอะไร จึงจะรักษาตามอาการได้ถูกต้อง

ลดไข้ด้วยวิธีง่ายๆ  หลักการของการลดไข้คือ การระบายความร้อนออกไปให้ได้มากที่สุด ดังนั้นวิธีไม่มีอะไรมาก ง่ายๆ ก็คือการเช็ดตัว เพราะการเช็ดตัวที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพจะช่วยบรรเทาอาการได้อย่างดี

วิธีเช็ดตัวที่ถูกต้อง เช็ดตัวด้วยน้ำเปล่าอุณหภูมิปกติเท่านั้น เวลาเช็ดให้เช็ดย้อนรูขุมขน และเช็ดเข้าหากลางลำตัวเป็นหลัก นอกจากนี้ควรใช้ผ้าซับบริเวณจุดระบายอุณหภูมิต่างๆ ได้แก่ ซอกคอ รักแร้ ขาหนีบ หรือข้อพับต่างๆ และควรเช็ดตัวบ่อยๆ จนอุณหภูมิลดลง  นอกจากเช็ดตัวแล้ว ควรดื่มน้ำมากๆ วันละ 6-8 แก้ว เพราะการดื่มน้ำมาก ปัสสาวะก็จะมากตามไปด้วย ซึ่งจะช่วยระบายความร้อนออกได้ดียิ่งขึ้น

รักษาตามอาการ

หากเจ็บคอ ดื่มน้ำผึ้งและน้ำมะนาวผสมน้ำอุ่นได้ หากคัดจมูก ควรล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ จะช่วยลดการอักเสบหรือบวมบริเวณเยื่อบุโพรงจมูกได้ นอกจากนี้พยายามรับประทานผลไม้ที่มีวิตามินซีมากขึ้นอย่างส้ม ก็จะช่วยได้ค่ะ

ยาลดไข้ที่ปลอดภัยสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์คือ พาราเซตามอล รับประทานได้ 1-2 เม็ด ทุก 4-6 ชั่วโมง ส่วนยาแก้คัดจมูกกลุ่มคลอร์เฟนิรามีน (Chlorpheniramine) ก็รับประทานได้เช่นกัน

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

Q&A

Q: หากแม่ท้องจำเป็นต้องดูแลคนเป็นไข้ ทำอย่างไรดี

A: คุณแม่ควรสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือทุกครั้งที่สัมผัสผู้ป่วย ไม่ควรดื่มน้ำแก้วเดียวกัน ควรใช้ช้อนกลางเวลารับประทานอาหาร และอาหารต้องร้อนและปรุงสุกเสมอ

Q: ไอมากๆ มดลูกบีบตัวได้ไหม

A: ได้ เพราะการไอมากๆ จะไปเพิ่มแรงดันในช่องท้องทำให้มดลูกบีบตัวได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอายุครรภ์น้อยๆ ในช่วง 12 สัปดาห์แรก อาจแท้งได้ หรืออายุครรภ์มาก 32 สัปดาห์ขึ้นไป ก็ทำให้คลอดก่อนกำหนดได้เช่นกัน ดังนั้น หากมีอาการไอหนักมากๆ ควรไปพบแพทย์ เพราะจะมียาช่วยลดอาการไอได้ แต่หากต้องซื้อยาทานเอง ควรหลีกเลี่ยงยาที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์

ติดตาม คนท้อง ไม่สบาย ควรทำอย่างไร คลิกต่อหน้า 2

    ตั้งครรภ์ 31-32 สัปดาห์ และพัฒนาการทารกในครรภ์

    พัฒนาการ การตั้งครรภ์ 31-32 สัปดาห์ นี้ถือว่าเข้าสู่ช่วงไตรมาสสาม เป็นช่วงที่คุณแม่ใกล้สู่ ประตูห้องคลอดเข้าไปทุกที  ด้วยความที่ครรภ์มีขนาดใหญ่จึงทำให้คุณแม่มีอาการต่างๆ มากขึ้น รวมทั้งปัญหาการนอนไม่หลับ เราจึงนำเคล็ดลับแก้ไขปัญหานี้มาฝากค่ะ

    พัฒนาการ การตั้งครรภ์ 31-32 สัปดาห์

     

    พัฒนาการ การตั้งครรภ์ 31-32 สัปดาห์

     

    อาการคนท้อง 31-32 สัปดาห์

     เพราะครรภ์ที่ขยายใหญ่และใกล้คลอด ทำให้คุณแม่รู้สึกอึดอัด เกิดภาวะต่างๆ ได้ง่ายๆ ดังนี้

    • มดลูกที่ขยายใหญ่ขึ้นไปเบียดกระเพาะปัสสาวะจึงทำให้ปวดปัสสาวะบ่อยมาก
    • อาจเกิดอาการวิงเวียน เมื่อคุณแม่นอนหงาย และจะหายไปเมื่อเปลี่ยนท่านอน หรือลุกนั่งเร็วเกินไปก็ทำให้เกิดอาการวิงเวียนได้เช่นกัน
    • ผิวแห้ง หรือแตกลาย จึงควรบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นเสมอด้วยโลชั่นหรือครีมที่มีมอยซ์เจอไรเซอร์
    • อารมณ์แปรปรวน อ่อนไหว อ่อนล้า นอนไม่ค่อยหลับ
    • ปวดหลัง ปวดขา หรืออุ้งเชิงกราน ดังนั้นจึงควรฝึกการเดิน การนั่ง การนอนให้ถูกต้องเพื่อลดอาการปวดที่เกิดขึ้นอยู่แล้ว ไม่ให้ปวดมากกว่าเดิม
    • รู้สึกหิวตลอดเวลาทั้งๆ ที่เพิ่งกินข้าวไป นั่นเพราะลูกนำสารอาหารจากคุณแม่ไปใช้ คุณแม่ต้องพยายามต่อสู้กับอารมณ์หิวนี้ให้ได้ ไม่อย่างนั้นอาจจะกินมากไป และมีน้ำหนักเกินได้
    • น้ำหนักตัวมากขึ้นทำให้รู้สึกอึดอัดและงุ่มง่ามมากขึ้น และยังส่งผลต่ออาการปวดบริเวณหลังช่วงล่างมากขึ้น
    • อาจเกิดอาการกรดไหลย้อน ปัสสาวะบ่อย ขาเป็นตะคริว ท้องอืด ท้องผูก ผายลมบ่อยและอั้นไม่ได้เป็นริดสีดวง ขาและเท้าบวม ฝันประหลาด เหล่านี้ล้วนทำให้คุณแม่ตื่นกลางดึก นอนไม่หลับ และอ่อนเพลีย
    • บางคนเกิดอาการขาอยู่ไม่สุข (Restless Legs Syndrome) คือรู้สึกปวดแสบ กล้ามเนื้อกระตุกหรือเหมือนมีอะไรไต่ที่ขา ต้องขยับขาตลอดเวลา ซึ่งอาจเกิดจากการขาดธาตุเหล็กและโฟเลต และจะหายไปเมื่อคลอด

    ติดตาม 5 วิธีง่ายๆ แก้ปัญหาแม่ท้องนอนไม่หลับ คลิกต่อหน้า 2

      ตั้งครรภ์ 29-30 สัปดาห์ และพัฒนาการทารกในครรภ์

      ในช่วงสัปดาห์นี้ พัฒนาการ การตั้งครรภ์ 29-30 สัปดาห์ ลูกสาวและลูกชายของคุณแม่จะเริ่มหล่อและสวยขึ้นค่ะ ลูกรักจะมีผมที่ดกดำขึ้น แถมยังมีไขมันใต้ผิวหนังมากขึ้น ทำให้รอยเหี่ยวย่นบนผิวลูกน้อยเริ่มหายไปอีกด้วยค่ะ

      พัฒนาการ การตั้งครรภ์ 29-30 สัปดาห์

      พัฒนาการ การตั้งครรภ์ 29-30 สัปดาห์

      อาการคนท้อง 29-30 สัปดาห์

      อาการปวดต่างๆ ของคุณแม่ตั้งครรภ์ช่วงนี้อาจจะมีเพิ่มขึ้นอีกนิดหน่อยตามขนาดครรภ์ของคุณแม่ที่เพิ่มขึ้นค่ะ แต่ไม่ต้องกังวลไปนะคะ เพราะทุกอย่างมีทางแก้ และสามารถหายไปได้เองแน่นอนค่ะ ว่าแต่จะมีอาการอะไรบ้าง ไปดูกันค่ะ

      • ปวดร้าวลงขา

      โดยส่วนใหญ่ในสัปดาห์นี้ลูกน้อยมักจะอยู่ในท่าก้ม ทำให้ส่วนศีรษะของลูกไปกดทับเส้นประสาทเซียติก (Sciatic Nerve) ที่คอยหล่อเลี้ยงกล้ามเนื้อร่างกายช่วงล่างของคุณแม่ จึงทำให้เกิดอาการปวดร้าวเป็นระยะๆ ตั้งแต่สะโพกไล่ลงไปด้านหลังขา คุณแม่จะรู้สึกดีขึ้นเมื่อลูกเปลี่ยนไปอยู่ท่าอื่น ซึ่งช่วงนี้คงต้องให้คุณแม่อดทนไปก่อน

      • ปวดหลังช่วงล่างและข้อต่างๆ

      เมื่อขนาดท้องมีขนาดใหญ่ขึ้น หลังของคุณแม่จึงต้องแบกรับน้ำหนักและมีการแอ่นตัวมากขึ้นเพื่อรักษาสมดุลของร่างกาย บวกกับฮอร์โมนรีแล็กซินที่ทำให้กล้ามเนื้อหรือเส้นเอ็นยืดกว่าปกติ จึงทำให้เกิดอาการปวดหลังขึ้นได้ นอกจากนี้ อาจยังปวดตามข้อต่างๆ ทั่วร่างกายด้วย เช่น ข้อนิ้ว ข้อมือ ข้อเท้า เข่า ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงการอยู่ในอิริยาบถเดิมๆ ซ้ำๆ นานๆ ระมัดระวังการนั่ง การยืน การเดินให้ดี และงดยกของหนัก

      • เจ็บท้องหลอก

      พอเข้าสู่ไตรมาสที่ 3 อาการเจ็บท้องเหมือนจะคลอดอาจเกิดขึ้นได้เป็นครั้งคราว แต่ไม่ใช่การเจ็บคลอดจริง เป็นเพียงการซ้อมหดรัดตัวของมดลูกเพื่อให้ร่างกายเตรียมพร้อมเท่านั้น โดยมักรู้สึกเจ็บบริเวณช่องท้องนาน 15-30 วินาที บางครั้งนานถึง 2 นาที แต่เมื่อเปลี่ยนท่าทางหรือทำกิจกรรมอื่น อาการก็จะหายไป ซึ่งบางคนอาจมีอาการเช่นนี้มาตั้งแต่อายุครรภ์สัปดาห์ที่ 20 แล้ว

      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

       

      ติดตาม อาการคนท้องอื่นๆ ที่มักพบในช่วงนี้  คลิกต่อหน้า 2

        วิบากกรรมเรื่องชีวิตคู่ และวิธีแก้กรรมเพื่อให้ครอบครัวมีสุข

        วิธีแก้กรรมชีวิตคู่ …เมื่อคนสองคนตัดสินใจใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ล้วนมีความฝันถึงอนาคตอันสวยหรูของชีวิตคู่แทบทั้งนั้น และเพื่อความสุขของครอบครัว ต่างพยายามบากบั่นทะนุถนอม ดูแลสายใยของความรักความผูกพันให้มั่นคงตลอดไป

        แต่ในชีวิตจริงแล้ว สิ่งที่ไม่อยากให้เกิดก็มักจะเกิดขึ้นโดยไม่คาดฝันเสมอ โดยเฉพาะเรื่องชีวิตคู่ เพราะปัจจุบันนี้แทบจะหาคู่ที่อยู่กันโดยไม่มีปัญหายากเต็มที อยู่ที่ว่าคู่ไหนจะมีปัญหามากน้อยเท่าไหร่  และจะฟันฝ่าปัญหาให้หมดไปได้อย่างไร

        ซึ่งถ้าหากคู่รัก คู่สมรส หรือคุณพ่อคุณแม่อยากรู้ว่ากำลังเจอปัญหาชีวิตคู่แบบไหนอยู่ หรือมีดวงความรักเป็นอย่างไร แล้วต้องแก้ไขปัญหาอย่างไร Amarin Baby & Kids มีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องของบุญกรรมกับชีวิตและเนื้อคู่ มาฝากค่ะ

        วิบากกรรมเรื่องชีวิตคู่ และวิธีแก้กรรมเพื่อให้ครอบครัวมีสุข

        ซึ่งหากครอบครัวของคุณกำลังประสบปัญหาชีวิตคู่ แล้วสงสัยว่าเป็นเพราะอะไร หรือจะแก้ได้อย่างไร เพื่อให้ครอบครัวอยู่ดีมีสุขได้ ตามไปดูวิบากกรรมต่างๆ ที่คุณต้องพบเจอ และวิธีแก้กรรมเรื่องเนื้อคู่ กันค่ะ

        ต้องแจ้งให้ทราบก่อนว่า ดวงคนเราทุกคนนั้นตามหลักความจริงมีเนื้อคู่แท้กันทุกคน แต่ใครจะได้เกิดมาอยู่ร่วมกับเนื้อคู่แท้ของตนเท่านั้นเองได้หรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับบุญทำกรรมแต่งของแต่ละบุคคล เพราะคนเราทำบุญมาไม่เหมือนกัน

        Must readเช็กด่วน! เพื่อทุกคนในครอบครัว ดวงปี 2560 ราศีดีสุด-แย่สุด โดยหมอช้าง

        บางคนทำกรรมกับคนอื่นที่ไม่ใช่คู่ของตนมามากมาหลายภพชาติก็จะทำให้เกิดมาในชีวิตนี้จะไม่ได้เจอและอยู่ร่วมกับเนื้อคู่ของตนและจะได้ใช้กรรมกับคู่กรรม คู่ครอง คู่อื่น ๆ ที่ไม่ใช่เนื้อคู่แท้ทำให้ต้องทนทุกข์ทรมานดั่งเช่นทุกวันนี้

        วิบากกรรมเรื่องชีวิตคู่

        6 กฎหลักๆ ของวิธีแก้กรรมเรื่องเนื้อคู่

        1. ความซื่อสัตย์ต่อคนรัก
        2. ความมั่นคงในความรัก
        3. การไม่คิดและนอกใจต่อคนรัก
        4. การไม่ผิดคู่ ลูก สามี หรือภรรยาใคร
        5. ไม่พูด ไม่ทำให้คนที่รักกันต้องแตกแยกจากกัน (รักกันด้วยความถูกต้องด้วยความดี)
        6. และสุดท้ายที่ห้ามทำอย่างเด็ดขาดคือการเป็นพ่อสื่อ แม่สื่อให้กับใคร เพราะจะเป็นกรรม ทำให้เราเกิดมาต้องพลัดจากคู่ครอง คู่แท้ คู่รักของตน

        ซึ่งหากใครที่เกิดมาในชีวิตนี้ แล้วไม่เจอเนื้อคู่ ไม่ได้ครองรักกับเนื้อคู่แท้ เพราะคุณต้องผิดในข้อใดข้อหนึ่งในเรื่องการแก้กรรม 6 ข้อนี้เอง แต่ถ้าในชีวิตนี้คุณมีพร้อมทั้ง 6 ข้อ แล้วยังโดนคนรักไม่ซื่อสัตย์ต่อคุณ ก็ขอให้คุณจงยินดีกับการที่ได้รับเช่นนั้น เพราะนั้นแปลว่าคุณได้ใช้กรรมในอดีตที่เคยทำมา ไม่ว่ากรรมจะมาจากอดีตชาติใดก็ตาม เพราะกรรมเก่านั้นย่อมส่งผลตามมาทุกชาติ ถ้าเราได้ใช้กรรมมากเท่าใด จะเป็นผลดีกับตัวเราเอง ดีกว่าไปใช้กรรมในชาติต่อ ๆ ไปซึ่งจะเป็นทุกข์ไม่สิ้นสุด รีบใช้กรรมให้หมด และอย่าสร้างกรรมในชีวิตปัจจุบันนี้ให้มากละ เพราะมันจะส่งผลต่อ ๆ กันไปทำให้กรรมมากยิ่งขึ้น

        ดังนั้นควรทำกรรมในชีวิตปัจจุบันด้วยความดีความถูกต้อง แล้วลูกศรดวงของคุณจะชี้ไปในทางทีดี เกิดในชาติ ภพใดก็จะมีแต่ความสุขความเจริญมีคู่รักที่ดีอยู่เสมอ และการแก้กรรมข้างต้นนั้น ถ้าคุณจะแก้กรรมเรื่องความรักได้ถูกต้องอย่างแท้จริง นี้คือหลักกรรม ที่ต้องแก้ด้วยกรรม คือ การกระทำของตัวคุณเอง เคยทำอย่างไรต้องได้อย่างนั้น และกรรมไม่มีใครแก้ให้เราได้ นอกจากตัวเราเอง

        ♥แนะนำบทความน่าอ่าน!พ่อแม่ลูกผูกพัน ด้วยกฎแห่งกรรม

        อ่านต่อ >> วิบากกรรมเรื่องชีวิตคู่และวิธีแก้กรรมเพื่อให้ครอบครัวมีสุข” คลิกหน้า 2

        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

         

          คลอดก่อนกำหนด อันตราย กว่าที่คิด!!!

          คลอดก่อนกำหนด อันตราย กว่าที่คิด ในช่วงวันที่ 17 พฤศจิกายนของทุกปี องค์การอนามัยโลกกำหนดให้เป็นวันเด็กคลอดก่อนกำหนดโลก เนื่องจากปัญหาการคลอดก่อนกำหนดเป็นปัญหาหลักของทั่วโลก ที่ทำให้เด็กเสียชีวิตหรือมีปัญหาสุขภาพในระยะยาว

          คลอดก่อนกำหนด อันตราย กว่าที่คิด!!!

           

          คลอดก่อนกำหนด อันตราย กว่าที่คิด

           

          “ประเทศไทยมีอัตราการคลอดก่อนกำหนดเฉลี่ยประมาณร้อยละ 12 ของการคลอดทั้งหมด ในปีที่แล้วไทยมีการคลอดประมาณ 7-8 แสนราย และมีถึง 9 หมื่นรายที่คลอดก่อนกำหนด ถือว่าเป็นตัวเลขที่เยอะมาก มากกว่าโรคอื่นๆ หากมาดูภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์ เช่น ดาวน์ซินโดรม โอกาสเด็กเป็นแค่ 1 ใน 350 ไม่ถึงร้อยละ 1 เด็กพิการประมาณร้อยละ 3 ครรภ์เป็นพิษร้อยละ 4-5 โรคเบาหวานร้อยละ 6-8 แต่คลอดก่อนกำหนดมากถึงร้อยละ 12 เลยทีเดียว” นพ.บุญศรี จันทร์รัชชกูล หัวหน้าหน่วยเวชศาสตร์มารดาและทารกในครรภ์ โรงพยาบาลสมิตเวช สุขุมวิท กล่าวด้วยความเป็นห่วง เพราะมีการรณรงค์ระดับโลก แต่ในไทยยังไม่ค่อยพูดถึงกันมากนัก ทั้งๆ ที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพของแม่และเด็ก

          คลอดตอนไหนจึงเรียกว่า คลอดก่อนกำหนด

          โดยปกติ คุณแม่ตั้งครรภ์จะต้องมีอายุครรภ์ 37-41 สัปดาห์จึงจะเรียกว่า การคลอดแบบครบกำหนด หรือประมาณ 9 เดือนโดยเฉลี่ย แต่หากมีการคลอดก่อนอายุครรภ์ครบ 37 สัปดาห์จะเรียกว่า คลอดก่อนกำหนด ซึ่งการคลอดก่อนกำหนดนั้นมักเป็นสาเหตุที่ทำให้ทารกเสียชีวิต พิการ หรือมีโรคประจำตัวได้ และยังส่งผลต่อฐานะเศรษฐกิจครอบครัว เพราะต้องมีค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพของเด็กในระยะยาว

          สาเหตุของการคลอดก่อนกำหนด

          ปัจจัยที่ทำให้คลอดก่อนกำหนดนั้นมีหลายอย่าง เช่น คุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีอายุต่ำกว่า 17 ปี หรือมากกว่า 35 ปี ครรภ์เป็นพิษ โรคประจำตัว การติดเชื้อของทารกในครรภ์ การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ การตั้งครรภ์แฝด มีภาวะเครียด มีความผิดปกติของมดลูกและปากมดลูก คุณแม่สูบบุหรี่หรือใกล้ชิดคนที่สูบ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เคยมีประวัติคลอดก่อนกำหนดมาก่อน เป็นต้น

          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

           

          ติดตาม คลอดก่อนกำหนด ป้องกันได้จริงหรือ คลิกหน้า 2

            โรคลมแดด

            โรคลมแดด วายร้ายหน้าร้อนของเด็กเล็ก

            โรคลมแดด ยินดีต้อนรับเข้าสู่ช่วงฤดูร้อนที่ต้องเผชิญกับอากาศร้อนอบอ้าวของเดือนมีนาคมเรื่อยไปจนถึงกลางเดือนพฤษภาคม ที่บางช่วงของเดือนก็ร้อนปรอทแตก เพราะอุณหภูมิสูงถึง 40-45 องศา และอากาศร้อนๆ แบบนี้ไม่ควรพาเด็กๆไปทำกิจกรรมกลางแจ้งมาก เพราะเดี๋ยวจะเป็นลมแดดกัน ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีข้อแนะนำเกี่ยวกับ โรคลมแดด ในเด็กเล็กมาฝากค่ะ

             

            โรคลมแดด สาเหตุเกิดจากอะไร?

            เคยสงสัยกันไหมว่าเป็นลมธรรมดานี่ใช่เป็นลมแดดหรือเปล่า จริงๆ แล้วภาวะอาการเป็นลมที่เกิดขึ้นบ่อยๆ และสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนมักมาจากการที่ร่างกายของเรานั้น เหนื่อย เพลีย นอนน้อย หรือหิวมากไม่ได้ทานข้าวมาทั้งวันจนทำให้ร่างกายน้ำตาลตกก็เป็นลมได้ หรืออยู่บนรถโดยสารที่มีคนหนาแน่นจนทำให้มีอากาศหายใจไม่เพียงพอก็เป็นลมได้นะ ฯลฯ และอีกสารพัดสาเหตุที่นำไปสู่การเป็นลม

             

            โรคลมแแด
            Credit Photo : shutterstock

             

            แต่สำหรับ “โรคลมแดด” หรือที่เรียกว่า “ฮีทสโตรก”(Heat Stroke)  เป็นภาวะที่ร่างกายไม่สามารถระบายความร้อนที่เกิดจากการใช้พลังงานของร่างกายได้ตามปกติ คือร่างกายไม่สามารถปรับตัวกับความร้อนที่เกิดขึ้นได้ ซึ่งโดยปกตินั้นร่างกายของคนเราจะสามารถจัดการ และรับมือกับความร้อนที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี แต่หากปัจจัยแวดล้อมที่รายล้อมอยู่รอบตัวเรานั้น ทำให้อุณหภูมิสูงเกินกว่าที่ร่างกายจะรับไหว และไม่สามารถปรับสมดุลได้ทัน ก็จะทำให้เกิดภาวะลมแดดขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าการเป็นลมแดด มักจะมาจากการที่ออกไปเล่น ไปทำกิจกรรมกลางแจ้งที่มีแดดจัดๆ ยิ่งถ้าเป็นช่วงตั้งแต่ 9 โมงเรื่อยไปจนถึงช่วงเวลา 3 โมงเย็น แสงแดดระหว่างช่วงเวลานี้ของวันจะจัดจ้ามากกว่าปกติในช่วงฤดูร้อน

             

            โรคลมแดด เป็นภาวะที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะกับเด็ก หรือผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะมีอาการรุนแรง หรือไม่รุนแรง ก็ควรต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที เพราะอาจทำให้เสียชีวิตจากภาวะลมแดดได้

             

            อ่านต่อ >> “ลมแดด ที่ต้องระวังในเด็ก ผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์” หน้า 2

             

             

            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

              คนท้องน้ำตาลต่ำ

              Checklist วัคซีน สำหรับคนท้อง

              Checklist วัคซีน สำหรับคนท้อง มาลองเช็คดูสิว่า คุณแม่ท้องฉีดวัคซีนเหล่านี้ครบแล้วหรือยัง ซึ่งนี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ว่าที่คุณแม่มือใหม่ลืมไม่ได้เลยหากวางแผนจะมีเจ้าตัวน้อย นั่นก็คือ “การฉีดวัคซีน” เพราะวัคซีนจะช่วยป้องกันโรคร้ายแรงต่างๆ ที่มีผลต่อสุขภาพแม่และลูกได้ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องจำเป็นมากๆ ที่แม่ท้องทุกคนต้องได้รับวัคซีนที่สำคัญและครบถ้วน มาลองดูกันว่า ถ้าวางแผนจะมีลูกน้อยกลอยใจสักคน ว่าที่คุณแม่จะต้องฉีดวัคซีนกี่ตัว ฉีดตัวไหน และฉีดเมื่อไรกันบ้าง

              Checklist วัคซีน สำหรับคนท้อง

               

              วัคซีน สำหรับคนท้อง

               

              วัคซีน ก่อนตั้งครรภ์ 2 เดือน

              วัคซีนอีสุกอีใส

              • จำนวนเข็ม 2 เข็ม
              • การฉีด ฉีดเข็มที่ 2 ห่างจากเข็มแรก 1 เดือน

              หากเคยได้รับวัคซีนอีสุกอีใสครบแล้ว หรือเคยเป็นโรคอีสุกอีใสหรืองูสวัดมาก่อน แสดงว่ามีภูมิต้านทานต่อโรคแล้ว อาจไม่จำเป็นต้องฉีด หรือสามารถเจาะเลือดเพื่อตรวจหาภูมิต้านทาน และควรปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้ง

              การติดเชื้ออีสุกอีใสในขณะตั้งครรภ์ โดยเฉพาะก่อนอายุครรภ์ 20 สัปดาห์ มีโอกาสเกิดความพิการของทารก เช่น สมองเล็ก แขนขาไม่งอก ผิวหนังหนาผิดปกติ หูหนวก เป็นต้น

               

              วัคซีน ก่อนตั้งครรภ์ 1 เดือน

              วัคซีนหัด-หัดเยอรมัน-คางทูม

              • จำนวนเข็ม 1 เข็ม
              • การฉีด เมื่อใดก็ได้ แต่ควรฉีดก่อนตั้งครรภ์อย่างน้อย 1 เดือน

              วัคซีนนี้เป็นวัคซีนที่รวม 3 โรคไว้ในเข็มเดียวกัน เป็นวัคซีนที่ต้องฉีดอย่างยิ่ง แต่ไม่ควรฉีดขณะตั้งครรภ์เนื่องจากมีอันตราย

              อันตรายจากการติดเชื้อหัด หัดเยอรมัน และคางทูม

              โรคหัด หากเป็นตอนตั้งครรภ์ จะเพิ่มอัตราการแท้งและการคลอดก่อนกำหนด

              โรคหัดเยอรมัน จะเพิ่มอัตราการแท้งและการคลอดก่อนกำหนดเช่นเดียวกัน รวมไปถึง ทารกตายในครรภ์ และเกิดความพิการแต่กำเนิด เช่น หูหนวก ตาบอด หัวใจและระบบประสาทผิดปกติ หากติดเชื้อก่อนตั้งครรภ์ 20 สัปดาห์ และในช่วงตั้งครรภ์ไตรมาสแรก โอกาสที่ทารกจะพิการจะยิ่งสูงมากขึ้น

              โรคคางทูม หากติดเชื้อตอนตั้งครรภ์อาจทำให้ทารกตายในครรภ์ หรือมีความพิการทางหัวใจได้

              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

               

              ติดตาม Checklist วัคซีน สำหรับแม่ท้อง คลิกต่อหน้า 2

                3 โรคยอดฮิต ของแม่ท้อง

                3 โรคยอดฮิต ของแม่ท้อง อันดับโรคยอดฮิตที่มักเกิดขึ้นระหว่างตั้งครรภ์ ที่แม่ท้อง ไม่ควรตามเทรนด์ การตั้งครรภ์ปกติ ไม่มีภาวะแทรกซ้อนใดๆ ถือเป็นเรื่องน่ายินดี แต่ปัจจุบันผู้หญิงไทยแต่งงานช้า ตั้งครรภ์เมื่ออายุมาก พฤติกรรมการบริโภคไม่ถูกต้อง หรือปัจจัยอื่น จึงทำให้เกิดโรคและมีภาวะแทรกซ้อนมากขึ้น ที่ไม่เพียงแต่ทำให้ตัวเองป่วย แต่ยังส่งผลถึงลูกในครรภ์ด้วย มาดูกันดีกว่าว่า อันดับโรคยอดฮิตที่มักเกิดกับแม่ท้องมีอะไรบ้าง

                3 โรคยอดฮิต ของแม่ท้อง

                 

                3 โรคยอดฮิต ของแม่ท้อง

                 

                อันดับ 3 โรคโลหิตจาง

                โรคโลหิตจางเกิดได้จากหลายสาเหตุ แต่สาเหตุหนึ่งที่พบบ่อยในคุณแม่ตั้งครรภ์คือ การขาดธาตุเหล็ก ซึ่งคุณแม่ท้องนั้นต้องการธาตุเหล็กมากกว่าคนทั่วไป เพราะร่างกายของแม่ต้องนำมาสร้างรก ทารก และสร้างเลือดให้แม่ใช้ ดังนั้น จึงอาจเกิดโรคโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กได้ในขณะที่ตั้งครรภ์

                ทำไมจึงเสี่ยง

                โรคโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กหมายถึง ภาวะที่มีเม็ดเลือดแดงน้อยจากการขาดธาตุเหล็ก ซึ่งจะมีผลต่อการตั้งครรภ์หลายอย่าง ได้แก่ เสี่ยงแท้ง คลอดก่อนกำหนด ลูกในครรภ์น้ำหนักน้อย ลูกในครรภ์เป็นโลหิตจาง แต่หากโลหิตจางมากๆ อาจทำให้น้ำคร่ำน้อยจนทำให้ลูกในครรภ์เสียชีวิต หรืออาจตกเลือดจนแม่เสียชีวิตระหว่างคลอดได้


                เกิดขึ้นได้อย่างไร

                โดยปกติคุณแม่ท้องต้องการธาตุเหล็กตลอดการตั้งครรภ์จำนวน 1,000 มิลลิกรัม โดย 300 มิลลิกรัมนำไปสร้างรกและทารก 500 มิลลิกรัมไปเพิ่มโลหิตให้แม่ และที่เหลืออีก 200 มิลลิกรัมจะถูกขับออกทางอุจจาระ ปัสสาวะ และเหงื่อ นอกจากนี้ ระหว่างตั้งครรภ์ คุณแม่อาจสูญเสียธาตุเหล็กจากสาเหตุอื่นได้อีก ได้แก่

                1. เสียเลือด จากการบาดเจ็บ ริดสีดวงทวาร แผลในทางเดินอาหาร เป็นต้น
                2. การดูดซึมยาเสริมธาตุเหล็กไม่ดีพอ เนื่องจากอาหารที่รับประทานคู่กัน เช่น ชา กาแฟ ผัก ผลไม้ นม โปรตีน ยาลดกรด เป็นต้น ซึ่งธาตุเหล็กจะดูดซึมได้ดีก็ต่อเมื่อรับประทานคู่กับอาหารที่เป็นกรด ดังนั้นจึงมักแนะนำให้รับประทานธาตุเหล็กกับน้ำส้มคั้น หรือวิตามินซี 250 มิลลิกรัม
                3. การคลื่นไส้อาเจียน ก็ทำให้สูญเสียธาตุเหล็กได้เช่นกัน


                ทำอย่างไรไม่ให้เป็นโลหิตจาง

                เมื่อตั้งครรภ์การได้รับธาตุเหล็กจากการรับประทานอาหารปกติเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ ดังนั้นคุณแม่ท้องจึงต้องได้รับธาตุเหล็กเสริม  โดยกินธาตุเหล็กวันละ 150-200 มิลลิกรัมของธาตุเหล็กที่สามารถดูดซึมได้ ตามคำแนะนำของแพทย์

                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                 

                ติดตาม 3 โรคยอดฮิตของแม่ท้อง คลิกต่อหน้า 2

                  ต้นไม้มีพิษ

                  ระวังต้นไม้มีพิษ ลูกเสี่ยงเสียชีวิตภายใน 1 นาที

                  จากบทความของคุณหมอ สุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ ที่แม่น้องเล็กได้เข้าไปอ่าน และเตือนให้ระวัง ต้นไม้มีพิษ เพราะมีคุณแม่ชาวต่างชาติโพสต์เล่าเรื่องราวของลูกน้อยวัย 5 ขวบ ว่ามีอาการปวดท้อง หายใจลำบาก และเมื่อพาไปส่งที่โรงพยาบาล เพียง 30 นาทีต่อมาก็เสียชีวิต ซึ่งเกิดจากการกินใบสาวน้อยประแป้ง

                  Continue reading “ระวังต้นไม้มีพิษ ลูกเสี่ยงเสียชีวิตภายใน 1 นาที”

                    พ่อแม่ระวัง! ปล่อยลูกเล่นอาจโดนน้ำลายจากสุนัขและแมว อันตรายถึงขั้นเสียชีวิตหากติดเชื้อ

                    โรคติดเชื้อจากน้ำลายสุนัขและแมว …เชื่อว่าใครหลายๆบ้าน หลายๆ ครอบครัว มักเลี้ยงน้องหมา น้องแมว ไว้เป็นเพื่อนเล่นให้กับเด็กๆ อยู่ในบ้าน … แต่เมื่อได้เลี้ยงเจ้าพวกนี้ไว้ในบ้านแล้ว สิ่งต้องห้าม คือ อย่าปล่อยให้สุนัขหรือแมวเลียปาก เลียหน้าเลียตา เพราะถ้าได้รู้จักโรคติดเชื้อจากน้ำลายสุนัขและแมว ทุกคนจะต้องสยองกับมันแน่นอน!!

                    โรคติดเชื้อจากน้ำลายสุนัขและแมว มีสาเหตุมาจากอะไร?

                    โรคติดเชื้อจากสุนัขและแมวเป็นอาการติดเชื้อจากแบคทีเรีย Pastsrera ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ซึ่งโรคนี้จะทำให้เกิดหนองเลือด เป็นพิษตามผิวหนัง มือ หรือเยื่อไขกระดูกอักเสบ หากเป็นกรณีที่ร้ายแรงมาก อาจเสียชีวิตได้

                    โรคติดเชื้อจากน้ำลายสุนัขและแมว

                    สามารถพบได้จากภายในปากของสุนัข 75% และแมวมากถึง 97%  เจ้าของอาจใช้ชีวิตคลุกคลีอยู่กับสัตว์เลี้ยงมากเกินไปจนทำให้ได้รับเชื้อแบคทีเรียเข้าสู่ร่างกายผ่านน้ำลายของสัตว์เลี้ยง หรือการสูดดมเอาแบคทีเรียเข้าไปผ่านจมูก เช่น การจูบ หรือหอมสัตว์เลี้ยงประจำ

                    อาการของโรคติดเชื้อจากน้ำลายสุนัขและแมว

                    โรคติดเชื้อจากน้ำลายสุนัขและแมว
                    ภาพจริงจาก ชายคนหนึ่งซึ่งมีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ และเขาถูกเชื้อ canimorsus capnocytophaga หลังจากที่สุนัขของเขาเลียแผลที่เปิดบางส่วนในมือของเขา ขอบคุณภาพ และเรื่องจาก : http://creativeusefulideas.com/after-watching-this-you-will-never-let-your-dog-lick-your-face-again/
                    โรคติดเชื้อจากน้ำลายสุนัขและแมว
                    ภาพจริงจาก ชายคนหนึ่งซึ่งมีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ และเขาถูกเชื้อ canimorsus capnocytophaga หลังจากที่สุนัขของเขาเลียแผลที่เปิดบางส่วนในมือของเขา ขอบคุณภาพ และเรื่องจาก : http://creativeusefulideas.com/after-watching-this-you-will-never-let-your-dog-lick-your-face-again/

                    หากติดเชื้อผ่านการสูดหายใจเอาแบคทีเรียเข้าสู่ร่างกายผ่านจมูก อาจทำให้มีอาการคัดจมูกคล้ายเป็นหวัด แต่จริงๆ แล้วเป็นอาการของโพรงจมูกอักเสบ เป็นหนอง นอกจากนี้ยังอาจมีไข้สูง ไอค่อนข้างหนัก จนถึงขั้นไอเป็นเลือดเมื่อปอดติดเชื้อและหากเชื้อแบคทีเรียเข้าสู่ดวงตา ก็อาจทำให้มีอาการตาแดง และมีเลือดคั่งในตา

                    โรคติดเชื้อจากน้ำลายสุนัขและแมว อันตรายมากหรือไม่?

                    จริงๆ แล้วหากเป็นคนที่มีภูมิต้านทานโรคดี ร่างกายปกติแข็งแรงอยู่แล้ว ร่างกายอาจต่อต้านแบคทีเรียจนหายเป็นปกติได้เอง แต่หากยังคงได้รับเชื้อแบคทีเรียจากสัตว์เลี้ยงอย่างต่อเนื่อง บวกกับร่างกายเริ่มไม่แข็งแรง พักผ่อนน้อย ทานอาหารที่ไม่ค่อยมีประโยชน์ และไม่ได้ออกกำลังกายเป็นประจำ อาจทำให้เชื้อแบคทีเรียทำร้ายร่างกายหนักขึ้นเรื่อยๆ จนอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้เช่นกัน ความรุนแรงของโรคจึงขึ้นอยู่กับภูมิต้านทานโรค และสุขภาพของแต่ละคนด้วย

                    ♥ บทความแนะนำน่าอ่าน : วัยเตาะแตะมีสัตว์เลี้ยงได้ไหมนะ
                    ♥ บทความแนะนำน่าอ่าน : ปฐมพยาบาลสัตว์เลี้ยงข่วนกัดคุณหนู easy baby & kids

                    อ่านต่อ >> “วิธีสังเกตว่าสุนัขและแมว มีเชื้อแบคทีเรียที่เป็นอันตราย” คลิกหน้า 2

                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                     

                      Update! ตารางวัคซีน ประจำปี 2560 สำหรับเด็กไทย

                      ตารางวัคซีน 2560 …สำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ ที่เพิ่งมีลูกในวัยทารกแรกเกิด เด็กเล็ก และเด็กโต อาจสงสัยว่า ลูกต้องรับวัคซีนอะไรบ้าง หรืออายุเท่าไหร่ควรฉีดตัวไหน …ซึ่งทางสมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย จึงได้ออกตารางการให้วัคซีนในเด็กไทยปกติ ซึ่งมีอายุตั้งแต่แรกเกิด – 12 ปี มาให้คุณพ่อคุณแม่ได้ดูกันค่ะ

                      ตารางวัคซีน 2560 สำหรับลูกน้อย

                      วัคซีน ไม่ใช่ยารักษาโรค แต่การให้วัคซีนแก่เด็ก ถือเป็นการป้องกันโรคติดต่อในเด็ก ที่สามารถทำอันตรายให้พิการหรือเสียชีวิตได้ หน้าที่ของวัคซีนจะกระตุ้นให้เกิดภูมิคุ้มกันโรค โดยสร้างขึ้นมาจากไวรัสหรือแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคชนิดนั้นๆ ทำหน้าที่กระตุ้นให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

                      โดยหลังจากที่คุณแม่คลอดน้องแล้ว คุณหมอจะทำการนัดเข้ามาอีกครั้งเพื่อตรวจสุขภาพลูกน้อยอีกครั้งหลัง 1 เดือน พร้อมกับตรวจร่างกายว่ามีความผิดปกติใดหรือไม่ โดยทางโรงพยาบาลจะมอบสมุดประจำตัวบันทึกสุขภาพ ซึ่งจะบันทึกวัคซีนต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อลูกน้อยซึ่งวัคซีนจำเป็นที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดตามวัยไว้ให้มีดังนี้

                      ตารางวัคซีน 2560

                      อ่านต่อ >> “รายละเอียดการให้วัคซีนเด็ก โดยทางสมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย  ประจำปี 2560” คลิกหน้า 2

                      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                       

                        ตั้งครรภ์ 27-28 สัปดาห์ และพัฒนาการทารกในครรภ์

                        ช่วงนี้คุณแม่ท้องกำลังจะเริ่มเข้าสู่ไตรมาสที่สาม โดย พัฒนาการ การตั้งครรภ์ 27-28 สัปดาห์ นี้ คุณแม่จะเริ่มมีอาการเหมือนคนใกล้คลอด มีหน้าท้องที่ใหญ่และลูกน้อยก็ทั้งดิ้นเก่งและตัวใหญ่ขึ้นจนเกือบคับท้องคุณแม่แล้วค่ะ

                        พัฒนาการ การตั้งครรภ์ 27-28 สัปดาห์

                         

                        พัฒนาการ การตั้งครรภ์ 27-28 สัปดาห์

                        อาการคนท้อง 27-28 สัปดาห์

                        • นอนไม่หลับ

                        คุณแม่อาจเกิดปัญหานอนไม่หลับ ตื่นบ่อย เนื่องจากท้องที่ใหญ่ขึ้น ทำให้รู้สึกเริ่มอุ้ยอ้าย และนอนไม่สบายตัว  ทำให้เพลียง่าย วิธีแก้ไขคือ คุณแม่ควรนอนในท่าที่ไม่อึดอัด เช่น ควรนอนตะแคงท่ากอดหมอนข้างโดยให้ขาข้างหนึ่งงอเข่าไว้ ส่วนขาอีกข้างเหยียดออก รวมถึงหาหมอนใบเล็กๆ มารองขาข้างที่งอ ก็จะทำให้รู้สึกสบายขึ้น

                        • ปวดหลังมากขึ้น

                        เพราะน้ำหนักครรภ์ที่มากขึ้น ทำให้ร่างกายและหลังคุณแม่ต้องรับน้ำหนักและปรับสมดุลในการนั่ง ยืน เดิน  นอกจากนี้ส่วนที่รับน้ำหนักด้านล่างคือกระดูกเชิงกรานก็ขยายตัวเตรียมพร้อมเพื่อจะคลอด หลังของคุณแม่จึงต้องรับน้ำหนักมากขึ้น ดังนั้นคุณแม่จึงควรปรับท่าทางการยืน เดิน ให้เหมาะสม ไม่ก้ม ยกของหนัก เดินยืนตัว  สวมรองเท้าส้นเตี้ยๆ ที่เดินได้สบาย ไม่นั่งเก้าอี้หรือนอนบนเตียงที่นุ่มหรือยุบลงไป ก็จะป้องกันและบรรเทาอาการปวดหลังได้ค่ะ

                        • ถ่ายปัสสาวะบ่อยขึ้น

                        คุณแม่จะมีอาการปวดปัสสาวะบ่อยมากขึ้น เพราะขนาดของมดลูกที่ไปกดทับกระเพาะปัสสาวะ รวมถึงน้ำหนักตัวและการดิ้นของลูกที่กดลงกระเพาะปัสสาวะอีกด้วย

                        • ร้อนง่าย

                        คุณแม่ท้องส่วนใหญ่มักจะมีอาการขี้ร้อน เหงื่อออกง่าย เพราะระบบสันดาป ฮอร์โมน และปริมาณเลือดในร่างกายที่เปลี่ยนไป ดังนั้นหากคุณแม่มีอาการร้อนง่าย เหงื่อออกง่าย จนรู้สึกหงุดหงิด ควรพยายามใส่เสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี อยู่ในอากาศที่โปร่งโล่งและเย็นสบาย เพื่อป้องกันไม่ให้รู้สึกร้อนมากจนหน้ามืด เป็นลม  แต่หากร้อนมากอาจพักคลายร้อนแล้วอาบน้ำให้สดชื่นได้บ้าง แต่ไม่ควรอาบน้ำเย็นนานเกินไป

                        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                         

                        ติดตาม อาการที่ไม่ควรเกิดขึ้นระหว่างท้องก่อน 37 สัปดาห์ คลิกต่อหน้า 2

                          ตั้งครรภ์ 25-26 สัปดาห์ และพัฒนาการทารกในครรภ์

                          มาถึงสัปดาห์นี้ พัฒนาการ การตั้งครรภ์ 25-26 สัปดาห์ คุณแม่จะแสดงอาการต่างๆ ที่บ่งบอกว่าลูกน้อยเติบโตมากขึ้น คุณแม่รับน้ำหนักมากขึ้น ซึ่งการเติบโตของลูกน้อยในแต่ละวันจะพัฒนาไปพร้อมกับสมอง ความจำ และความเก่งในหลายๆ ด้านมากขึ้นด้วยค่ะ

                          พัฒนาการ การตั้งครรภ์ 25-26 สัปดาห์

                          พัฒนาการ การตั้งครรภ์ 25-26 สัปดาห์

                          อาการคนท้อง 25-26 สัปดาห์

                          • ตะคริว

                          คุณแม่จะมีอาการปวดเกร็งกล้ามเนื้อบริเวณน่อง ต้นขา หรือปลายเท้า ที่เกิดจากการหดเกร็งของกล้ามเนื้อได้ โดยมักจะเป็นบ่อยๆ ในตอนกลางคืน สาเหตุมาจากการที่ร่างกายคุณแม่ได้รับแคลเซียมไม่เพียงพอ วิธีบรรเทาอาการคือเมื่อเป็นตะคริว คุณแม่ควรค่อยๆ กระดกปลายเท้าขึ้น เพื่อให้กล้ามเนื้อที่จับตัวเหยียดตึงอยู่นั้นได้คลายออก นอกจากนี้ควรป้องกันการเกิดตะคริวด้วยการดื่มนม ทานอาหารที่มีแคลเซียมสูงอย่างสม่ำเสมอค่ะ

                          • น้ำหนักเพิ่มขึ้น

                          ในช่วงนี้น้ำหนักของคุณแม่จะเพิ่มขึ้นประมาณสัปดาห์ละ ½ กิโลกรัม ซึ่งเป็นเรื่องปกติ โดยคุณแม่สามารถรับประทานอาหารที่มีคุณค่าได้ในปริมาณที่เคยทาน ไม่ต้องกังวลว่าจะอ้วนไปหากน้ำหนักขึ้นอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน นอกจากนี้ขนาดของท้องคุณแม่ในแต่ละคนจะแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับโครงสร้างและรูปร่างของคุณแม่ ปริมาณน้ำคร่ำและการเติบโตของลูกน้อยในครรภ์อีกด้วย ดังนั้นแม้ว่าคุณแม่ท้องท่านอื่นจะมีอายุครรภ์เท่าๆ กัน แต่ขนาดท้องเล็กหรือท้องใหญ่จะแตกต่างกันแน่นอนค่ะ

                          • ปวดชายโครง เสียดท้องน้อย

                          เพราะขนาดของลูกน้อยและครรภ์ที่ใหญ่ขึ้นของคุณแม่จะยกสูงและเข้าไปใกล้กับชายโครง และในขณะที่ลูกน้อยในท้องดิ้น อาจทำให้มดลูกไปกดทับกระเพาะอาหาร จนทำให้เกิดอาการแสบร้อนกลางอกและรู้สึกเสียดชายโครงด้านใดด้านหนึ่งได้

                          • ผิวพรรณคล้ำ มีรอยดำง่าย

                          ผิวพรรณของคุณแม่ในช่วงนี้จะสีสีคลำขึ้น อาจมีฝ้าขึ้นที่ใบหน้า มีรอยดำตามข้อพับ รักแร้ และมีเส้นดำกลางหน้าท้อง โดยเฉพาะใต้สะดือลงไปชัดเจนขึ้น

                          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                           

                          ติดตาม โภชนาการสำคัญ แม่ท้องไตรมาส 2 คลิกต่อหน้า 2

                            ทารก

                            7 สิ่งสุดว้าว! ทารกทำได้ในครรภ์แม่

                            ทารกในครรภ์ ทำอะไรบ้าง แม้ลูกน้อยในครรภ์เป็นทารกตัวนิดเดียวแต่ ทารกทำอะไรในท้อง ได้มากมาย ทั้งเรียนรู้ จดจำ และคิดอะไรมากกว่าที่เราเคยคิดไว้เยอะเลย เพราะสมอง ความจำ พัฒนาการต่างๆ กำลังทำงานแล้ว ฉะนั้นหากคุณแม่ต้องการจะพัฒนาสมองลูกน้อยให้ฉลาดเมื่อโตขึ้นล่ะก็ ควรเริ่มได้ตั้งแต่ในครรภ์ค่ะ และนี่คือ 7 สิ่งสุดว้าวที่ ทารกทำได้ในครรภ์แม่

                            ทารกทำได้ในครรภ์แม่

                            7 สิ่งสุดว้าว ทารกทำได้ในครรภ์แม่

                            “ลูกน้อยในท้อง เรียนรู้ จดจำ และคิดอะไรมากกว่าที่เราเคยคิดไว้เยอะ”

                            ใครจะไปคิดว่าเด็กตัวเล็กๆ ในท้องที่กำลังก่อร่างสร้างตัว จะสามารถเรียนรู้และจดจำสิ่งต่างๆได้มากมาย ในสมัยก่อนบรรดาหมอๆ ต่างคิดว่า เด็กเกิดมาโดยไม่รู้จักโลกภายนอกเลย แต่งานวิจัยล่าสุดได้พบเบาะแสสำคัญที่บ่งชี้ว่า ลูกในท้องรู้อะไรมากกว่าที่เราเคยคิด และเริ่มเข้าใจแล้วว่า ลูกน้อยเริ่มพัฒนาประสาทสัมผัสต่างๆ และสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับโลกภายนอกครรภ์ได้ตั้งแต่ไตรมาสที่สาม หรือบางทีอาจจะก่อนหน้านั้นด้วยซ้ำไป มาดูกันว่าสิ่งที่ ทารกทำได้ในครรภ์แม่ มีอะไรบ้าง

                            1. หนูรู้ว่า …เสียงอะไรนะ

                            ในมดลูกของคุณแม่นั้น จริงๆ แล้วไม่ได้เงียบสนิทอย่างที่คิด ลูกน้อยจะได้ยินเสียงต่างๆ ในร่างกายของคุณแม่ อย่างเสียงท้องร้อง เสียงหัวใจเต้น เสียงเรอหรือสะอึก และยังได้ยินเสียงที่อยู่ไกลออกไปได้อีกด้วย เช่น เสียงเอฟเฟ็กต์ในโรงหนัง หรือเสียงก่อสร้างต่างๆ โดยลูกน้อยก็จะมีปฏิกิริยาโต้ตอบเสียงดังนั้นด้วยการเตะ ถอง

                            แต่…ไม่ใช่ทุกเสียงที่จะเป็นเช่นนี้ มีอยู่เสียงหนึ่งที่มีความสำคัญต่อลูกน้อยอย่างมาก นั่นก็คือ เสียงของแม่ เมื่ออายุครรภ์ราวๆ เจ็ดหรือแปดเดือน เมื่อไรก็ตามที่แม่พูด อัตราการเต้นของหัวใจของลูกจะเต้นช้าลงเล็กน้อย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเสียงของแม่มีผลทำให้ลูกสงบลงได้

                            นอกจากนี้ยังพบว่า เมื่อคลอดแล้ว ลูกน้อยสามารถจดจำเสียงของแม่ของตัวเองได้ อย่างไรก็ตาม ไม่มีข้อมูลบ่งชี้ว่า ลูกน้อยมีความพึงใจในเสียงของพ่อ พี่ หรือเสียงอื่นๆ ที่ได้ยินบ่อยๆ ขณะอยู่ในครรภ์เหมือนเสียงของแม่ อาจเป็นเพราะเสียงของคุณแม่แตกต่างจากเสียงอื่นๆ คือคุณแม่ใช้เสียงสื่อสารกับลูกได้ 2 วิธีคือ เสียงข้างนอกที่ทะลุผ่านหน้าท้อง และเสียงภายในที่เกิดจากการสั่นของเส้นเสียง อีกทั้งลูกน้อยยังชอบเสียงของคุณแม่ที่ใกล้เคียงกับเสียงที่เขาเคยได้ยินในท้องมากกว่าด้วย (เสียงอู้อี้และต่ำ)

                            2. หนูรู้..ภาษาแม่

                            จากการวิจัยพบว่า ทารกสามารถเรียนรู้ภาษาแม่ (Native Language) ได้ขณะอยู่ในครรภ์ และชอบจังหวะและเสียงสูงต่ำของประโยคมากกว่าเป็นคำเดี่ยวๆ แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าคุณแม่ต้องพูดคุยกับลูกตรงๆ เพื่อให้ลูกได้เรียนภาษา เพราะลูกน้อยสามารถเรียนรู้ได้เพียงแค่ฟังคุณแม่คุยอยู่กับคนอื่นๆ อีกทั้งยังสามารถเลือกจดจำบางอย่างจากหนังสือที่แม่อ่านให้ฟังได้ด้วย

                            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                             

                            ติดตาม ทารกทำอะไรได้บ้างตอนอยู่ในท้อง คลิกต่อหน้า 2

                              พฤติกรรมพ่อแม่ ทำร้ายจิตใจลูก

                              10 การกระทำพ่อแม่ ทำร้ายจิตใจลูก แบบไม่รู้ตัว!!!

                              การกระทำพ่อแม่ ทำร้ายจิตใจลูก หากพ่อแม่อยากให้ลูกเติบโตขึ้นอย่างคนที่ “เก่ง ดี มีสุข” คนสำคัญที่จะสามารถสร้างให้ลูกได้ ก็คือพ่อแม่ แต่บางครั้งพ่อแม่อาจมองข้ามการกระทำของตัวเองที่ส่งไปให้ลูก ทีมงาน Amarin Baby & Kids มี 10 การกระทำของพ่อแม่ที่อาจทำร้ายจิตใจลูก โดยไม่รู้ตัว มาให้ทราบกันค่ะ

                               

                              10 การกระทำพ่อแม่ ทำร้ายจิตใจลูก  แบบไม่รู้ตัว!!!

                              ด้วยความรักของพ่อแม่ที่อยากให้ลูกได้ดีมีอนาคตสดใส บางครั้งอาจจะเพลี่ยงพล้ำใส่อารมณ์กับลูก จนหลุดคำพูด หรือการกระทำที่ไม่ดีจนไปกระทบกับจิตใจของลูก ซึ่งพ่อแม่รู้กันหรือไม่ว่าคำพูด หรือการกระทำที่ไม่ดี สามารถสร้างปมในใจลูกไปจนโตได้ และต่อให้ลูกทำสิ่งต่างๆ ได้ดีแค่ไหน เขาก็จะมีคำพูดร้ายๆ จากพ่อแม่ที่คอยหลอกหลอนเขาอยู่ตลอดเวลา คำพูดที่ไม่ดี การกระทำที่แย่ๆ จากพ่อแม่ คือตัวขัดขวาง เป็นเสมือนอุปสรรคให้ลูกไปไม่ถึงฝั่งฝัน และไม่ประสบความสำเร็จกับทุกเรื่องในชีวิต

                              กำลังใจที่ดีและสำคัญที่สุดในชีวิตลูก ก็คือพ่อกับแม่ แล้วถ้าหากคุณกำลังทำหน้าที่พ่อแม่ให้กับหนึ่งชีวิตน้อยๆ ที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจ คุณจะไม่อยากเห็นลูกที่รักเติบโตขึ้นอย่างเด็กที่มีคุณภาพกันหรือคะ   และนี่คือเรื่องที่พ่อแม่ส่วนใหญ่อาจทำร้ายจิตใจลูกไปโดยไม่รู้ตัว และหากคุณมีมากกว่า 5 ใน 10 ข้อ คุณควรต้องรีบแก้ไข ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้ค่ะ

                              1. ไม่เคยรับฟังความคิดเห็นของลูก

                              เวลาทานข้าวนอกบ้านคุณเคยถามลูกไหมว่าเขาอยากทานอะไรเป็นพิเศษ เมนูโปรดของลูกคืออะไร?

                              ไปเที่ยวช่วงปิดเทอม คุณเคยถามลูกไหมว่าอยากไปทะเล น้ำตก หรือภูเขา?

                              อยากให้ลูกเรียนกิจกรรมเสริม คุณเคยถามลูกไหมว่าเขาอยากเรียนหรือเปล่า? ลูกสนใจศิลปะ  เต้นบัลเล่  หรือดนตรี?

                              และอีกสารพัดเรื่องเกี่ยวกับลูก พ่อแม่ลองถามตัวเองกันก่อนว่า แท้จริงแล้วคุณรู้อะไรที่เป็นตัวตนของลูกจริงๆ แค่ไหน หรือไม่เคยรู้เลย เพราะไม่เคยถามลูก ทุกอย่างที่ลูกทำนั้นคือสิ่งที่พ่อแม่ยัดเยียดให้ โดยที่ไม่รู้ว่าลูกอยากทำ อยากเป็น อยากได้จริงๆ ไหม

                              หากพ่อแม่ไม่เคยเปิดโอกาสให้ลูกได้แสดงความคิดเห็นบ้างเลย เมื่อถูกสะสมมากๆ เข้า ลูกจะเติบโตขึ้นอย่างเด็กที่คิดไม่เป็น และไม่มีความสุข เพราะทุกอย่างต้องเป็นไปตามที่พ่อแม่กำหนดให้เท่านั้น การปิดกั้นความคิดของลูก ก็เท่ากับเป็นการปิดกั้นไม่ให้เด็กคนหนึ่งมีอนาคตตามแบบฉบับที่แท้จริงของเขาเอง

                              2. มีถ้อยคำรุนแรงให้ลูกตลอดเวลา

                              ก่อนอื่นพ่อแม่ต้องเข้าใจก่อนว่าเด็กแต่ละคนถึงแม้จะอยู่ในช่วงวัยเดียวกัน ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะมีพฤติกรรม คำพูด การกระทำ หรือมีพัฒนาการทักษะทุกด้านเก่งเหมือนกัน เพราะเด็กแต่ละคนเขาก็จะมีความสามารถ ความถนัดเฉพาะเรื่อง เฉพาะทางของเขา  หรือบางครั้งลูกอาจจะทำผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ โดยที่ลูกเองก็ไม่ได้ตั้งใจที่อยากจะทำให้ความผิดพลาดเกิดขึ้น เช่น ทำแก้วแตก เล่นแล้วลืมเก็บของเล่น  ทานข้าวไม่หมดจานเพราะแม่ตักให้ข้าวมากไป ฯลฯ

                              ทุกการกระทำของลูกไม่ว่าจะเรื่องเล็กน้อย หรือเรื่อใหญ่แค่ไหน สิ่งที่พ่อแม่ควรทำกับลูกคือการตั้งตั้งสติ แล้วค่อยๆ บอก ค่อยๆ สอนชี้แนะลูกว่าที่เขาทำนั้นอะไรดีไม่ดี  แต่ไม่ใช่การด่าทอว่าลูกด้วยถ้อยคำพูดที่รุนแรงทุกครั้ง เช่น ไอเด็กบ้าทำอย่างนี้ได้ไง ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าทำ หรือไอลูกบ้า เด็กเปรต ไอลูกนอกคอก หรือด่าชนิดที่สัตว์เลื้อยคลานเต็มบ้าน ฯลฯ ขอร้องว่าพ่อแม่อย่าพูดกับลูกแบบนี้เด็ดขาด เพราะการใช้ถ้อยคำด่าว่ารุนแรง นอกจากจะไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น คำพูดเหล่านี้ยังจะไปกระทบกับใจลูกให้ยิ่งแย่เข้าไปอีก แล้วเด็กจะมีปมนี้ติดตัวไปจนโต แถมดีไม่ดีลูกก็จะเลียนแบบเอาพฤติกรรมแบบอย่างที่เห็นจากพ่อแม่ ติดตัวไปใช้กับคนอื่นได้นะคะ

                               

                              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                               

                              3. ไม่เคยชื่นชม แถมยังทำลายความมั่นใจลูก

                              “ระบายสีส่งประกวดไม่ได้รางวัลที่หนึ่ง แต่ก็ได้รางวัลที่สามนะลูกไม่เป็นไร หนูดีที่สุดแล้วคนเก่งของแม่”

                              หรือ

                              “โง่ ทำอะไรก็ไม่เห็นเหมือนเพื่อน ดูซิเพื่อนเล่นกีฬาก็เก่ง เรียนหนึ่งสือก็เก่ง นี่อะไรเราไม่ได้เรื่องสักอย่าง ไม่เก่งเหมือนพ่อกับแม่เลยสักนิด น่าขายขี้หน้าคนอื่นจริงๆ เลย เด็กคนนี้”

                              ไม่ว่าลูกจะเรียนเก่ง หรือเล่นกีฬาเด่นหรือไม่ก็ตาม พ่อแม่มีหน้าให้กำลังใจ ชื่นชม และต้องเป็นครู เป็นโค้ชที่ดีคอยสอนชี้แนะแนวทางแก้ไขให้กับลูก แต่ไม่ใช่ไปซ้ำเติมตรงจุดอ่อนของลูก เพราะยิ่งจะทำให้เขาเสียขวัญ หมดกำลังใจ และขาดความมั่นใจกับทุกเรื่องที่ทำ ไม่ว่าจะเรียนหนังสือ เล่นกีฬา เล่นดนตรี ร้องเพลง ฯลฯ เติบโตขึ้นไปก็ไม่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน

                              4. ลงโทษลูกทุกครั้ง เวลาที่ทำผิด

                              พ่อแม่คนไหนยังลงโทษลูกด้วยการตีอยู่บ้างคะ เข้าใจว่ารักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องทำโทษลูกด้วยการตีทุกครั้งนะคะ เพราะสมัยนี้มีการลงโทษหลายวิธีที่ดีกว่าการตีให้ลูกเจ็บ  อย่างการลงโทษลูกด้วยวิธี  Time in หรือ Time out คือให้ลูกนั่งเข้ามุมสัก 5-10 นาที หรือให้อยู่ในห้องนอนห้ามเล่นเกม เล่นของเล่น สัก 20-30 นาที โดยที่พ่อแม่ไม่ต้องเข้าไปยุ่งกับลูก จากนั้นเมื่อครบเวลาทำโทษแล้ว ก็มานั่งคุยกันกับลูกว่าที่พ่อแม่ทำโทษลูกเพราะอะไร เขาทำผิดแบบนี้แล้วมันจะไม่ดีกับตัวเขาและคนรอบข้างยังไง พูดชี้ให้เขาเห็นถึงข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น เพื่อให้เด็กเกิดการคิดตาม และสำนึกในความผิดของตัวเอง เพื่อที่ครั้งหน้าก่อนที่เขาจะทำแบบนี้อีก เขาจะได้เกิดการยับยั้งชั่งใจไม่ทำผิดซ้ำขึ้นอีก

                              การลงโทษด้วยการตี อาจทำให้เด็กเกิดความกลัว และไม่กล้าบอกพ่อแม่ทุกเรื่อง ไม่กล้ามาปรึกษา เพราะกลัวว่าถ้าพูด ถ้าถามพ่อแม่ จะต้องถูกลงโทษด้วยการตีแน่ๆ  ที่สำคัญการลงโทษด้วยการตีให้เจ็บ ยังจะเป็นการส่งต่อความรุนแรงให้ติดตัวเด็กไปจนโตได้ค่ะ

                              5. ใช้ความรุนแรงกับลูก

                              หากจะถามว่าในยุคสมัยนี้ยังมีพ่อแม่ที่ชอบสาดความรุนแรงใส่ลูก ยังมีอยู่บ้างหรือเปล่า ? คำตอบคือยังมีอยู่  ไม่ว่าจะเป็น

                              • ดึงกระชากแขนลูก เวลาที่โมโห เพราะลูกไม่ได้ดั่งใจ
                              • ตีลูกด้วยไม้แขวนเสื้อ เพราะลูกทำการบ้านไม่ได้
                              • เอานิ้วจิ้มลงไปที่หน้าผากลูกจนลูกล้มหน้าหงาย เวลาที่ลูกพูดไม่รู้เรื่องว่าจะเอาอะไร

                              จริงๆ ยังมีความรุนแรงอีกหลายรูปแบบที่พ่อแม่อาจเผลอทำไปกับลูก ซึ่งบางครั้งมาจากตัวของพ่อแม่เอง ที่หงุดหงิดทะเลาะกันแล้วสุดท้ายก็มาลงกับลูก  เด็กที่ต้องอยู่กับความรุนแรงตลอดเวลา จะกลายเป็นเด็กที่เก็บกด ไม่รู้สึกรักพ่อแม่ และบางครั้งก็ไม่รักตัวเองหันไปคบเพื่อที่ไม่ดี ติดเกม และหลงเดินทางผิด  ติดยา ติดเหล้า ไม่ชอบเรียนหนังสือ เชื่อเพื่อนมากกว่าพ่อแม่

                              อ่านต่อ >> “10 การกระพ่อแม่ ทำร้ายจิตใจลูก” หน้า 2

                               

                              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                ตั้งครรภ์ 23-24 สัปดาห์ และพัฒนาการทารกในครรภ์

                                พัฒนาการ การตั้งครรภ์ 23-24 สัปดาห์ ของคุณแม่ จะมีการเปลี่ยนแปลงของร่างกายหลายอย่างที่น่าสนใจ ทั้งสายตา เส้นผม และผิวพรรณ รวมทั้งเรายังมาไขข้อสงสัยเกี่ยวกับการกินวิตามินและทำสีผมมาฝากกันด้วยค่ะ

                                พัฒนาการ การตั้งครรภ์ 23-24 สัปดาห์

                                พัฒนาการ การตั้งครรภ์ 23-24 สัปดาห์

                                อาการคนท้อง 23-24 สัปดาห์

                                สำหรับคุณแม่ท้องสัปดาห์นี้ จะมีอาการ และการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง เรามีคำตอบมาให้ค่ะ

                                • สายตาเปลี่ยน

                                เริ่มสังเกตกันไหมว่า ทำไมเดี๋ยวนี้มองเห็นอะไรไม่ค่อยชัด เบลอๆ มัวๆ ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนมองไปที่ระยะนี้ก็สามารถมองเห็นได้ชัดแจ๋ว เหตุเพราะฮอร์โมนแม่ท้องและการบวมน้ำส่งผลต่อดวงตาของเรา ทำให้กระจกตาของคุณแม่หนาขึ้น เช่นเดียวกับอาการบวมน้ำในจุดอื่นๆของร่างกาย คุณแม่จึงมองเห็นได้ไม่ชัดนัก แต่ก็ไม่ถึงกับต้องไปหาจักษุแพทย์ ยกเว้นในรายที่มีปัญหาหนักมากจริงๆ เพราะอาการนี้จะหายไปเมื่อคลอดเจ้าตัวน้อยออกมาแล้ว นอกจากการมองไม่ชัดแล้ว ยังมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วยได้ เช่น ตาแห้งหรือระคายเคืองมากขึ้น ซึ่งวิธีแก้อาการตาแห้งก็ง่าย แค่ซื้อน้ำตาเทียมมาหยอดเท่านี้ก็ช่วยได้แล้ว

                                • เส้นผมหนา ขนดกขึ้น

                                นอกจากสายตาแล้ว อีกสิ่งที่เกิดการเปลี่ยนแปลงจนสังเกตได้คือ เส้นผมที่หนาและเงางามมากกว่าปกติ นั่นเพราะร่างกายผลิตฮอร์โมนเพศที่ชื่อว่า แอนโดรเจน เพิ่มมากขึ้น ซึ่งถือเป็นโอกาสที่ดีที่คุณแม่จะได้ลองเปลี่ยนทรงผมให้เก๋ๆ ทำให้ดูสดใสไม่น้อย แถมกลายเป็นคุณแม่คนใหม่ที่ไฉไลกว่าเดิม

                                ในขณะที่บางคนท้องแล้วผมกลับไม่หนา แต่ดันมีขนขึ้นตรงอื่นแทน เช่น ตามใบหน้า หน้าอก หน้าท้อง ขน ขา และหลัง ก็ไม่ต้องตกใจไป ขนเหล่านี้จะหายไปหลังคุณแม่คลอด 3-6 สัปดาห์ค่ะ แต่ใครทนไม่ไหว จะโกน ถอน หรือแว๊กซ์ก็ได้ ส่วนการใช้ครีมกำจัดนั้นอาจไม่แนะนำ เพราะไม่รู้ว่ามีส่วนผสมที่ปลอดภัยหรือไม่ค่ะ

                                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                 

                                ติดตาม พัฒนาการ การเปลี่ยนแปลงของแม่ท้อง คลิกต่อหน้า 2

                                  ลำไส้อักเสบในเด็ก! กับวิธีสังเกตและดูแลรักษาเมื่อลูกน้อยเป็นลำไส้อักเสบ

                                  น้องเป่าเปา ป่วย  …อีกหนึ่งโมเม้นท์ที่เพิ่งเคยได้เห็น  สำหรับเด็กน้อยร่าเริงอย่าง น้องเป่าเปา ลูกสาวแม่กุ๊บกิ๊บกับพ่อบี้ ที่เกิดป่วยจนมีอาการซึม กินอะไรไม่ได้ แม้กระทั่งกินยายังอาเจียนออกมา

                                  เป็นภาพที่ทำให้แฟนคลับต่างพากันสงสาร และให้กำลังใจขอให้น้องหายไวๆ เมื่อ “น้องเป่าเปา” ลูกสาวสุดน่ารักของคุณแม่กุ๊บกิ๊บ สุมณทิพย์ กับคุณพ่อบี้ kpn ซึ่งคุณแม่กุ๊บกิ๊บต้องพาตัว น้องเป่าเปา ไปหาหมอด่วนเนื่องจากไข้ขึ้นสูง 38 องศาเซลเซียส หลังจากกลับมาจากต่างประเทศ

                                  น้องเป่าเปา ป่วย ไข้ขึ้น-ท้องอืด หมอตรวจพบเชื้อไวรัสในลำไส้ 

                                  น้องเป่าเปา ป่วย

                                  น้องเป่าเปา ป่วย

                                  และคุณหมอยังตรวจพบว่ามีเชื้อไวรัสที่ลำไส้ โดยคุณแม่กุ๊บกิ๊บคาดว่าอาการป่วยของน้องเป่าเปาน่าจะมาจากการที่น้องชอบอมรองเท้าตัวเอง เลยทำให้ท้องอืดและมีไข้ ซึ่งหากน้องถ่ายเอาเชื้อโรคออกมาได้หมดไข้ก็จะหาย

                                  ซึ่งคุณแม่กุ๊บกิ๊บ ได้โพสต์คลิปพร้อมแคปชั่นว่า

                                  “*poor baby หมาหงอย!!!!555555555555555555555 ป้ารี่คุยด้วยก็ไม่คุย @icherry9 ..ปล. มีเชื้อไวรัสที่ลำไส้ คาดว่าน่าจะมาจากการอมตรีนตัวเองเมื่อวานแล้วมันมีเชื้อโรค5555555555555 (รองเท้านางคงไปเหยียบโดนเชื้อโรคมา) เลยทำให้ท้องอืดและมีไข้ต้องรอจนกว่านางจะถ่ายเชื้อโรคออกมาหมดไข้ก็จะหายค่ะ ตอนนี้ชึมๆแต่ไข้ลดละขี้อ้อนหนักมากกกก รอดูว่าคืนนี้ไข้จะขึ้นอีกไหม”

                                  ชมคลิป >> “น้องเป่าเปา ซึมหนักไข้ขึ้น พร้อมวิธีสังเกตและรักษาเมื่อลูกเป็นลำไส้อักเสบ” คลิกหน้า 2

                                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                   

                                    ภาพถ่ายนาทีแรกคลอด

                                    12 สุดยอด ภาพถ่ายนาทีแรกคลอด ชนะการประกวดภาพถ่ายประจำปี 2017

                                    ภาพถ่ายนาทีแรกคลอด ที่จะทำให้ทุกครอบครัวได้ประทับใจไปกับนาทีของการกำเนิดชีวิตใหม่ที่สุดแสนเจ็บปวด แต่ก็น่าประทับใจยิ่งนัก ภาพถ่ายชุดนี้ได้ชนะการประกวดภาพประจำปี 2017 จัดขึ้นโดยองค์กรนานาชาติของช่างภาพมืออาชีพ ทีมงาน Amarin Baby and Kids จะพาไปชม ภาพถ่ายนาทีแรกคลอด ภาพนาทีชีวิตที่ถูกบันทึกไว้ได้อย่างงดงาม

                                     

                                    ภาพถ่ายนาทีแรกคลอด

                                    Image source: Natasha Hance – Birth Unscripted

                                    1. ของขวัญล้ำค่าจากสรวงสวรรค์

                                     

                                    ภาพถ่ายนาทีแรกคลอด

                                    Image source: Kourtnie Scholz

                                    2. เธอคือทุกเรื่องราวที่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตฉัน

                                     

                                    ภาพถ่ายนาทีแรกคลอด

                                    Image source: Vanessa Mendez Birth Photography

                                    3. สิ้นสุดการรอคอยที่คุ้มค่า นี่คือน้ำตาแห่งความปิติยินดีที่มอบให้กับชีวิตน้อยๆ แก้วตา ดวงใจของแม่

                                     

                                    ภาพถ่ายนาทีแรกคลอด

                                    Image source: KEDocumentary

                                    4. พวกเราตกหลุมรักกันและกันอีกครั้ง

                                    อ่านต่อ >> “ภาพถ่ายนาทีแรกคลอด” หน้า 2

                                     

                                     

                                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่