Page 210 – AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

พาลูกเที่ยว ปิดเทอม

8 สถานที่ พาลูกเที่ยว ปิดเทอม สนุกได้ประโยชน์

บ้านไหนมีโปรเจค พาลูกเที่ยว ปิดเทอม หรือไปทำกิจกรรมที่ไหนกันบ้าง ถ้าคุณพ่อคุณแม่กำลังมองหาสถานที่สำหรับพาเด็ก ๆ ไปทำกิจกรรมหรือหาประสบการณ์ใหม่ ๆ มากกว่าการนั่งอยู่หน้าจอหรืออยู่บ้านเฉย ๆ ในช่วงปิดเทอม Amarin Baby & Kids ขอแนะนำ …

8 สถานที่ พาลูกเที่ยว ปิดเทอม สนุกได้ประโยชน์

#1 สวนสัตว์เปิดเขาเขียว

สวนสัตว์เปิดเขาเขียว Khao Kheow Open Zoo
ขอบคุณภาพจากเพจ สวนสัตว์เปิดเขาเขียว Khao Kheow Open Zoo

สวนสัตว์เปิดเขาเขียว แหล่งเรียนรู้ธรรมชาติที่เปิดโลกอีกใบให้กับเด็ก ๆ ที่จะตื่นตาตื่นใจไปกับสัตว์หลากสายพันธุ์ทั้งตัวเล็กตัวใหญ่ ได้มองเห็นชีวิตสัตว์อย่างใกล้ชิด และบางโซนก็ปล่อยให้สัตว์บางชนิดเดินหากินใช้ชีวิตตามธรรมชาติแบบไม่มีซี่กรงมากัน อย่างเจ้ากวางน้อยหลายตัวตรงลานหญ้าที่รอเด็ก ๆ เดินเข้าไปป้อนหญ้า ครอบครัวเป็ดที่เดินหากินอยู่ริมน้ำ เป็นต้น

สวนสัตว์เปิดเขาเขียว Khao Kheow Open Zoo
สวนสัตว์เปิดเขาเขียว Khao Kheow Open Zoo

ในสวนสัตว์เขาเขียว เราสามารถขับรถวนรอบสวนสัตว์ไปตามเส้นทางที่ไม่ยากนัก อยากดูโซนไหนก็หาที่จอดรถแล้วเดินเข้าไปดู แต่ละจุดก็จะมีการแสดงโชว์เป็นรอบ ๆ ในเวลาที่แตกต่างกัน เช่น การแสดงโชว์จากสัตว์ในโซนต่าง ๆ อย่าง โชว์ว่ายน้ำจากช้างพังแสงดาว ร้องว้าว ๆ ไปกับการแสดงในโซนเสือ โชว์เจ้าเพนกวินเดินพาเหรดน่ารักๆ  พร้อมกับไปทักทายแม่มะลิ และสัตว์ตัวอื่น ๆ ที่ย้ายมาจากสวนสัตว์ดุสิต ที่นี้จัดว่าเป็นสวนสัตว์ใกล้กรุงเทพที่ไม่ควรพลาดพาเด็ก ๆ มาเที่ยวกันเลย ได้ทั้งความสนุกและเกร็ดความรู้เกี่ยวกับชีวิตสัตว์เติมประสบการณ์ช่วงปิดเทอมได้วิเศษสุดทีเดียวค่ะ

สวนสัตว์เปิดเขาเขียว Khao Kheow Open Zoo
ขอบคุณภาพจาก : www.facebook.com/kkopenzoo

พาลูกเที่ยว ปิดเทอม สวนสัตว์เปิดเขาเขียว
ที่ตั้ง : 235 ม.7 ต.บางพระ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี 20110
เวลาเปิด-ปิด : เปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8:00 – 18:00 น.

หรือหากบ้านไหนเป็นสายเที่ยวรักธรรมชาติแล้วละก็ เราขอแนะนำสถานที่เพิ่มพิเศษให้อีกหนึ่งที่ สถานที่ที่เพิ่งเปิดใหม่กันสด ๆ ร้อน ๆ แต่เป็นขวัญใจเด็ก ๆ มาเนิ่นนานสมัยรุ่นพ่อแม่เสียด้วย “สวนสัตว์ใหม่ปทุมธานี เขาดินคลอง 6 หรือ Mini Zoo ธัญบุรี”

Mini Zoo ธัญบุรี คลอง 6

13 มีนาคม 2665 องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้มีโครงการ Mini Zoo สวนสัตว์เขาดิน คลองหก ธัญบุรี แห่งใหม่ขึ้น เปิดให้เข้าชมเป็นแรก ในวันที่ 13 มีนาคม 2565 นี้ ที่ย่านคลองหก ตำบลรังสิต อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี

โดยมีการจัดพื้นที่เป็น 5 โซนการแสดงของสัตว์ ประกอบด้วย

  1. ทุ่งกระเรียนไทย
  2. ส่วนแสดงสัตว์เลื้อยคลาน (เต่าซูลคาต้า, เต่าบึง)
  3. ส่วนแสดงแรคคูน
  4. สัตว์ตระกูลลิง (ลิงลีเมอร์,ลิงกระรอก)
  5. หนูยักษ์คาปิบารา

    Mini Zoo ธัญบุรี
    Mini Zoo ธัญบุรี

โดยหากน้อง ๆ หนู ๆ ได้ไปเยี่ยมชมในช่วงเวลานี้ ฝากไปทักทายลูกนกกระเรียนไทยตัวแรก ที่เพิ่งลืมตาดูโลก อวดโฉมให้เด็ก ๆ มาชื่นชมกัน คุณอาคม มณีกุล ผอ.สำนักพัฒนากายภาพและจัดการสิ่งแวดล้อม (ผู้จัดการโครงการก่อสร้างสวนสัตว์แห่งใหม่) พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ส่วนจัดแสดงที่ดูแลสัตว์นกกระเรียน ในสวนสัตว์ขนาดเล็ก Mini Zoo ธัญบุรี แจ้งว่า ได้เกิดสมาชิกใหม่เป็นลูกนกกระเรียนพันธุ์ไทย ยังไม่ทราบเพศ ซึ่งเกิดจากพ่อพันธุ์แม่พันธุ์นกกระเรียนที่มีเพียง 1 คู่ที่ทุ่งรังสิต  เป็นลูกนกกระเรียนตัวแรกของทุ่งรังสิต หลังจากที่นกพันธุ์นี้หายสาบสูญจากทุ่งรังสิตไปนานกว่า 100 ปี โดยทางสวนสัตว์พร้อมที่จะโชว์ความน่ารักน่าชังให้กับประชาชน ที่เดินทางมาท่องเที่ยวภายในสวนสัตว์ Mini Zoo ธัญบุรี ฟรีไม่เสียค่าผ่านประตู

พาลูกเที่ยว ปิดเทอม ธัญบุรี Mini Zoo

พิกัด สถานที่ : พื้นที่คลองหก ตำบลรังสิต อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี บนที่ดินพระราชทานจำนวน 300 ไร่ โทร. 02 577 5222

เวลาเปิด-ปิด : สอบถามเพิ่มเติมตามวันและเวลาราชการ

#2 ตลาดโอ๊ะป่อย

ตลาดโอ๊ะป่อย แหล่งท่องเที่ยว ตักบาตร ถ่ายรูปสวย อร่อยกับอาหาร กิจกรรม DIY ใต้ร่มไม้ ริมลำธาร เป็นแหล่งวัฒนธรรม และวิถีชีวิตของชุมชนชาวสวนผึ้ง ราชบุรี หากคุณพ่อคุณแม่พาลูกมาเที่ยว ปิดเทอม ที่นี่จะได้สัมผัสชีวิตความเป็นอยู่จริงของชาวกะเหรี่ยง ที่มีชีวิตความเป็นอยู่ที่เรียบง่าย และเต็มไปด้วยเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร ไฮไลท์ของที่นี่ คือ บรรยากาศเช้าใส่บาตรพระล่องแพ เป็นการตักบาตรบนแพไม้ จะมีพระสงฆ์บิณฑบาตมาทางน้ำ โดยการถ่อแพไม้ไผ่มา ให้ชาวบ้านได้รอใส่บาตรกันตรงริมน้ำเลย เรียกได้ว่าได้บรรยากาศชิล ๆ ที่หาที่ไหนไม่ได้ แถมยังให้ลูกได้เรียนรู้วัฒนธรรมของไทย ที่นับวัน จะเลือนหายไป นอกจากนั้นยังสามารถเดินชม ช็อปของอร่อย สะอาด ราคามิตรภาพ ในบรรยากาศใต้ร่มไม้ใหญ่ติดแม่น้ำลำภาชีที่ร่มรื่นให้เพลิดเพลินได้อีกด้วย ได้กลิ่นอายอบอุ่น แบบไทย ๆ แบบนี้ลองหาเวลาพาครอบครัวไปสัมผัส ปิดเทอมนี้กันเลยดีไหม

ขอขอบคุณภาพจาก ตลาดโอ๋ะป๋อย
ขอขอบคุณภาพจาก ตลาดโอ๊ะป๋อย

พาลูกเที่ยว ปิดเทอม ตลาดโอ๊ะป่อย
ที่ตั้ง : 
ตรงข้ามวัดป่าท่ามะขาม ต.ตะนาวศรี อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี
เบอร์โทรศัพท์ : 064 985 7533
เวลาให้บริการ เสาร์-อาทิตย์ 7.00-14.00น.

#3 มิวเซียมสยาม

พิพิธภัณฑ์ถือเป็นอีกหนึ่งแหล่งเรียนรู้และสถานที่ท่องเที่ยวเหมาะสำหรับเด็ก ๆ ในวัยอยากรู้ อยากเห็น ได้มาสัมผัสกับเรื่องราวต่าง ๆ จากนิทรรศการที่จัดแสดง มิวเซียมสยาม ถือเป็นพิพิธภัณฑ์แนวใหม่ที่เปิดประสบการณ์และมุมมองในการชมพิพิธภัณฑ์แบบไม่น่าเบื่ออีกต่อไป โดยมีแนวคิด “Play + Learn = เพลิน” ผ่านสื่อการเรียนรู้ในด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่และกิจกรรมสร้างสรรค์ นำเสนอความรู้ต่างๆ ที่กระตุ้นให้เด็ก ๆ เกิดความสงสัย กระหายใคร่รู้มาก เข้าถึงและเข้าใจเรื่องราวต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น ทำให้ได้ทั้งความรู้และความสนุกแบบเพลิดเพลินไปเรื่อย ๆ ในแต่ละห้องที่จัดแสดง ซึ่งภายในพิพิธภัณฑ์ประกอบไปด้วยนิทรรศการถาวร นิทรรศการหมุนเวียน และกิจกรรมการเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ เพื่อให้การเรียนรู้ประวัติศาสตร์และเรื่องราวต่าง ๆ เป็นไปอย่างสนุกสนาน โดยเฉพาะเด็กไทยได้รู้จักรากเหง้าตนเอง รู้จักเพื่อนบ้าน และรู้จักโลก ทำให้สามารถมาเรียนรู้เรื่องราวใหม่ ๆ ได้ตลอด ซึ่งตอนนี้การเดินทางไปมิวเซียมสยามนั้นก็แสนจะง่าย เพียงแค่ใช้บริการรถไฟฟ้า MRT ไปลงที่สถานีสนามไชยก็ถึงจุดหมายปลายทางแล้วคะ

พาลูกเที่ยว ปิดเทอม Museum siam
ขอบคุณภาพจาก www.facebook.com/museumsiamfan

พาลูกเที่ยว ปิดเทอม มิวเซียม สยาม
ที่ตั้ง : 4 ถนนสนามไชย แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพฯ
เบอร์โทรศัพท์ : 02 225 2777
เวลาให้บริการ : วันอังคาร – อาทิตย์ 10.00 – 18.00 น. (หยุดทุกวันจันทร์)

อ่านต่อ>> ที่เที่ยวปิดเทอม 8 สถานที่น่าพาลูกไปมาก คลิกหน้า 2

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

    โปรตีน

    “ โปรตีน” สารอาหารสำคัญช่วยให้ลูกสมองดี

    “โปรตีน” หนึ่งในอาหารหลัก 5 หมู่ ที่คุณแม่คงคุ้นเคยกันดีว่ามีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตของร่างกายและเป็นสารอาหารที่เติมเต็มพลังงานในแต่ละวัน แต่คุณแม่หลายๆ ท่านอาจจะยังไม่ทราบว่า โปรตีน นั้นยังจำเป็นและสำคัญต่อพัฒนาการและการทำงานของระบบประสาทและสมองของเด็กๆ อีกด้วย โดยเฉพาะเด็กในวัย 5-12 ปี ซึ่งเป็นช่วงวัยกำลังเจริญเติบโตและอยู่ในวัยเรียน ร่างกายมีพัฒนาการทั้งทางร่างกายและสมอง  ดังนั้นจึงจำเป็นต้องได้รับสารอาหารที่เพียงพอโดยเฉพาะโปรตีน ซึ่งจัดเป็นสารอาหารหลักที่ร่างกายจำเป็นต้องได้รับในทุก ๆ วัน

     

    ปัญหาที่คุณแม่พบได้บ่อยและเป็นกังวลของเด็กที่อยู่ในวัย 5-12 ปี คือการที่ลูกได้รับสารอาหารไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย รับประทานอาหารไม่ครบ  5 หมู่ ซึ่งสาเหตุหลัก ๆ มาจากพฤติกรรมการเลือกรับประทานอาหาร หรือเบื่ออาหาร เพราะเด็กในช่วงวัยนี้จะเป็นวัยที่เขาสามารถคิด และเลือกได้เองแล้วว่าชอบอะไร ไม่ชอบอะไร ซึ่งแน่นอนว่าพฤติกรรมการบริโภคเช่นนี้ ส่งผลให้ร่างกายเสี่ยงต่อการได้รับสารอาหารที่ไม่เพียงพอต่อพัฒนาการและการเจริญเติบโตของร่างกายและสมองเป็นอย่างมาก

    โดยเฉพาะโปรตีนซึ่งเป็นสารอาหารที่ร่างกายไม่สามารถเก็บสะสมในร่างกายได้เหมือนอย่างคาร์โบไฮเดรตและไขมัน  ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ลูกของคุณจะต้องได้รับโปรตีนในปริมาณที่เพียงพอในแต่ละวันเพื่อให้เค้าได้มีพื้นฐานทางร่างกายที่ดี ตลอดจนพัฒนาการทั้งทางร่างกายและสมองที่สมวัย

    โปรตีน

    แล้วในแต่ละวันเด็กต้องการโปรตีนเท่าไหร่ถึงเพียงพอ?

    อีกหนึ่งเรื่องเกี่ยวกับ โปรตีน ที่คุณแม่อาจยังไม่ทราบคือ เด็กนั้นต้องการโปรตีนในปริมาณที่มากกว่าผู้ใหญ่หากเทียบกับน้ำหนักตัวที่เท่ากันต่อ 1 กิโลกรัม เด็กต้องการโปรตีนโดยเฉลี่ยในปริมาณ 1.1-1.2 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ในขณะที่ผู้ใหญ่นั้นต้องการโปรตีนเพียง 0.8 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม

    นั่นก็เพราะว่าทั้งสมองและร่างกายของเด็กกำลังมีการเจริญเติบโตอย่ารวดเร็ว

    ทราบอย่างนี้แล้ว คุณแม่อย่าลืมคำนวนปริมาณโปรตีนต่อน้ำหนักตัวของลูกน้อย เพื่อให้แน่ใจว่าเขาได้รับในปริมาณที่เพียงพอในแต่วันกันนะคะ

    โปรตีน

    จะเกิดอะไรขึ้น หากลูกได้รับโปรตีนไม่เพียงพอต่อการเจริญเติบโต

    คุณแม่คงทราบกันดีว่าโปรตีนนั้นมีอยู่ในแหล่งอาหารประเภทเนื้อสัตว์ นม ไข่ ถั่ว ฯลฯ และเป็นสารอาหารที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตของสมอง และร่างกาย ซึ่งแน่นอนว่า ถ้าหากได้รับโปรตีนไม่เพียงพอ จะส่งผลกระทบต่อพัฒนาการทั้งทางร่างกาย และสมอง ตลอดจนการเรียนรู้ของลูกอย่างแน่นอน

    เด็กที่มีภาวะขาดโปรตีนจะส่งผลให้ ร่างกายเจริญเติบโตไม่เป็นไปตามพัฒนาการตามช่วงวัย ในส่วนของการทำงานของระบบประสาท การขาด โปรตีน อาจส่งผลทำให้เซลล์สมองมีขนาดเล็กลง  และทำให้ประสิทธิภาพของสารสื่อประสาทภายในสมองทำงานได้น้อยลง  ทำให้เด็กๆ ขาดสมาธิในการเรียนรู้ และส่งผลกระทบต่อสมาธิและความจำของเด็กๆ ได้เช่นกัน

    โปรตีนเป็นสารอาหารสำคัญที่ไม่ได้แค่ช่วยทำให้ร่างกายของลูกเจริญเติบโตสมวัยเท่านั้น แต่ยังมีส่วนสำคัญต่อระบบภายในร่างกายอื่นๆ อีกด้วย นั่นคือ…

    • ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างให้กลับมาสมบูรณ์ และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    • ช่วยในการสร้างระบบภูมิต้านทานโรคให้กับร่างกาย ดังนั้นหากขาดโปรตีน อาจทำให้เด็กเจ็บป่วยได้ง่าย
    • มีหน้าที่สร้างมวลกล้ามเนื้อ สังเคราะห์ฮอร์โมน เอนไซน์ให้กับร่างกาย
    • มีหน้าที่สร้างสารสื่อประสาทในสมองให้มีประสิทธิภาพ ส่งเสริมศักยภาพด้านความจำและการเรียนรู้

    เด็กๆ ต้องกินอย่างไร ร่างกายถึงจะไม่ขาดสารอาหาร

    ครอบครัวไหนที่ลูกๆ กำลังอยู่ในช่วงวัยกำลังโต การดูแลให้เด็กๆ ได้รับโภชนาการที่ดี ได้รับสารอาหารครบถ้วนจากอาหาร 5 หมู่ เป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญมาเป็นอันดับแรก โดยเฉพาะอาหารในกลุ่ม ‘โปรตีน’ ซึ่งเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อทั้งร่างกาย และสมองของเด็กๆ อย่างมาก

    โปรตีนที่รับประทานเข้าสู่ร่างกาย เมื่อถูกย่อยจะกลายเป็นกรดอะมิโน(Amino Acid) ซึ่งกรดอะมิโนจะย่อยสลายเป็นหน่วยที่เล็กที่สุดของโปรตีนจะช่วยกระตุ้นให้สมองทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์  มีความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้  ดังนั้นคุณแม่จึงควรให้ลูกได้รับประทานโปรตีนที่หลากหลายต่อมื้ออาหารในแต่ละวัน เพื่อให้พัฒนาการด้านร่างกาย รวมถึงระบบประสาทและสมองของลูกเจริญเติบโต แข็งแรง สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพค่ะ

    สำหรับโปรตีนที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมีอยู่ 2 ชนิด คือ…

    • โปรตีนจากพืช ส่วนใหญ่ได้จากถั่วเหลือง มีสารไอโซฟลาโวนช่วยบำรุงกระดูกให้แข็งแรง พบมาก ในถั่วเหลือง ซึ่งเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระช่วยปกป้องเซลล์สมองไม่ให้ถูกทำลาย
    • โปรตีนจากสัตว์ ได้จาก เนื้อสัตว์ ไข่ นม มีจุดเด่นตรงที่มีกรดอะมิโนที่จำเป็นครบถ้วน ทั้ง 9 ชนิด   ร่างกายจึงดูดซึม และนำไปใช้ได้ดี เหมาะสำหรับเด็กที่กำลังเจริญเติบโต โปรตีนจากสัตว์จึงเป็นสารอาหารสำคัญที่ร่างกายขาดไม่ได้

    เด็กๆ ที่อยู่ในวัยกำลังโต ไม่ใช่แค่กินอิ่มแล้วนอนหลับเท่านั้น แต่ยังต้องเรียนหนังสือ มีกิจกรรมระหว่างวัน เช่น การออกกำลัง เล่นกีฬา เรียนดนตรี เรียนพิเศษ เป็นต้น จึงจำเป็นมากๆ ที่จะต้องได้รับสารอาหารครบถ้วนในปริมาณที่สมดุลกัน

    โปรตีน

    สำหรับคุณแม่ที่กังวลว่าลูกจะได้รับโปรตีนไม่เพียงพอ แนะนำว่าในเด็กวัยกำลังโตแบบนี้ ลองมองหาวิธีเสริมโปรตีนให้ลูกน้อยด้วยทางเลือกดีดีอย่างเครื่องดื่มโปรตีนชนิดผงก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะเสริมโปรตีนให้ลูกรักในทุกๆ วันได้ง่ายๆ อย่าง ‘PROTTIE’ (พรอตตี้) เครื่องดื่มโปรตีนรสช็อกโกแลตที่มีส่วนประกอบของโปรตีนคุณภาพจากนมและถั่วเหลืองถึง 5,000 มก. มาพร้อมวิตามิน บี12 สูง และ แคลเซียมสูง ถึง 60% ของปริมาณที่แนะนำให้รับประทานต่อวัน (Thai RDI) และยังมีวิตามินและแร่ธาตุรวม 15 ชนิด  ที่ล้วนแต่เป็นสารอาหารที่จำเป็นและมีประโยชน์ต่อร่างกาย   ที่สำคัญมีรสชาติอร่อย ดื่มง่ายที่จะช่วยทำให้เด็กๆ ชอบรับประทาน ด้วยรสชาติที่หอมอร่อยจากช็อกโกแลตเข้มข้น ผสมผสานกับนมผงแท้ ทำให้มีรสชาติอร่อยกลมกล่อมยิ่งขึ้น พร้อมคุณประโยชน์มากมาย ที่รับรองว่าถูกใจกันทั้งคุณแม่และเด็กๆอย่างแน่นอนค่ะ

    หากคุณพ่อคุณแม่สนใจจะเสริมโปรตีนคุณภาพด้วยเครื่องดื่มรสชาติอร่อยถูกใจลูกๆ ก็สามารถสั่งซื้อ PROTTIE (พรอตตี้) ได้แล้วที่ Lazada และ Shopee

    Lazada:  http://bit.ly/37JsJB4

    Shopee: https://bit.ly/2O5g8zu

    และอย่าลืมเสริมสิ่งดีดีให้ลูกในทุกๆวันนะคะ

    หรือสามารถติดตามประโยชน์ดีๆเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/ProttieThailand/

      โปรตีนสารอาหารสร้างพลังสมอง

      ในวันที่รีบเร่ง คุณลืมสารอาหารสำคัญสำหรับสมองของลูกหรือเปล่า

      โปรตีนสารอาหารมหัศจรรย์สำหรับสมอง ช่วยพัฒนาระบบสื่อประสาทและความจำของลูกสมองของลูกมีเซลล์ประสาทหลายร้อยชนิดที่ทำงานร่วมกัน เซลล์ประสาทในสมองจะพัฒนาและมีการสื่อสาร ภายในเซลล์อยู่ตลอดเวลา  ทำหน้าที่ ช่วยพัฒนา IQ หรือเชาวน์ปัญญา ควบคุมอารมณ์ ระบบการทำงานของเซลล์ประสาท จะต้องอาศัยโปรตีนทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการรับส่งข้อมูล ทำให้สมองมีประสิทธิภาพ สามารถรับรู้ข้อมูลได้ดี ทำให้การส่งข้อมูลถึงกันระหว่างเซลล์ประสาทภายในสมอง ทำงานด้วยกันอย่างมีความแม่นยำ และ รวดเร็ว  ซึ่งการเชื่อมต่อข้อมูลถึงกันระหว่างเซลล์ประสาทภายในสมองนี้จะมีความคมชัด และมีประสิทธิภาพดีเพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับคุณภาพของโปรตีนจากอาหารที่ลูกรับประทานในแต่ละวัน

       

      โปรตีนสารอาหารสร้างพลังสมอง

      โปรตีนเป็นสารอาหารที่สร้างจากโมเลกุลของกรดอะมิโน หลังจากร่างกายได้รับอาหารที่เป็นแหล่งของโปรตีนคุณภาพดี เช่น หมู ไก่ ไข่ ปลา ถั่วเหลือง และเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของโปรตีน ฯลฯ โปรตีนในอาหารจะถูกย่อยและดูดซึมกลายเป็นกรดอะมิโน  กระบวนการทำงานของร่างกายจะนำกรดอะมิโน ซึ่งเป็นหน่วยที่เล็กที่สุดของโปรตีนมาสร้างเป็นส่วนประกอบสำคัญของเซลล์ในอวัยวะต่างๆ เช่น กล้ามเนื้อ หัวใจ สมอง เส้นผม เล็บ  เม็ดเลือด นอกจากนี้ยังเป็นส่วนประกอบของเอนไซม์และฮอร์โมน ทำหน้าที่ควบคุมระบบการทำงาน ต่างๆ ของร่างกาย  ช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อ สร้างมวลกล้ามเนื้อ ช่วยป้องกันโรค เสริมสร้างสุขภาพที่ดี ทำให้ร่างกายของลูกแข็งแรง เตรียมพร้อมสำหรับพัฒนาการก้าวต่อไปในทุกช่วงวัย

      โปรตีนสารอาหารสร้างพลังสมอง

      มั่นใจได้อย่างไรว่าลูกของคุณได้รับโปรตีนเพียงพอ

      ถึงแม้จะเห็นลูกกินอาหารได้ดี แต่ถ้าพลังงานส่วนใหญ่มาจากขนมขบเคี้ยว หรือของหวานที่มีสารอาหารต่ำ อาจทำให้ร่างกายของลูกได้รับพลังงานส่วนเกิน แต่ขาดสารอาหารที่จำเป็นอื่นๆ โดยเฉพาะโปรตีนซึ่งเป็นสารอาหารที่สำคัญต่อทั้งสมองและร่างกายของเด็ก หากร่างกายได้รับโปรตีนไม่เพียงพอ จะทำให้ลูกเหนื่อยง่าย  ไม่ร่าเริง ขาดสมาธิ ซึ่งภาวะขาดโปรตีนจะส่งผลโดยตรงต่อทั้งร่างกาย และ สมอง  ทำให้ร่างกายเจริญเติบโตได้ไม่เต็มที่ ส่งผลเสียต่อการทำงานของร่างกายทั้งระบบ ทำให้เซลล์สมองมีขนาดเล็กลง ส่งผลทำให้ประสิทธิภาพของสารสื่อประสาทภายในสมองทำงานได้น้อยลง  ทำให้ขาดสมาธิในการเรียนรู้ และอาจมีพัฒนาการที่ช้ากว่าปรกติ

       

      โปรตีนสารอาหารเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และความสมดุลของอารมณ์

      ถ้าลูกได้รับโปรตีนไม่เพียงพอ นอกจากจะทำให้มวลกล้ามเนื้อลดน้อยลงแล้ว การขาดโปรตีนยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบภูมิต้านทานโรค  เพราะการสร้างภูมิคุ้มกันโรคต้องอาศัยโปรตีน มาช่วยซ่อมแซมและสร้างเซลล์ภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ถ้าภูมิต้านทานโรคลดลงจะทำให้ลูกเจ็บป่วยได้ง่ายกว่าปรกติ เช่นเป็นหวัดบ่อย  รู้สึกอ่อนเพลียง่าย นอกจากนี้ยังทำให้ความสามารถในการควบคุมอารมณ์ลดน้อยลง ส่งผลให้รู้สึกฉุนเฉียวและหงุดหงิดง่าย  ซึ่งอาจกระทบต่อระดับสติปัญญา รวมถึงสุขภาพทางกายและใจของเด็กได้

       

      โปรตีนสารอาหารสร้างพลังสมอง

      โปรตีนสร้างและย่อยสลายทุกวัน ร่างกายจึงต้องเติมเต็มโปรตีนให้เพียงพอต่อวัน

      เพราะร่างกายมีกระบวนการสร้างกล้ามเนื้อและสลายมวลกล้ามเนื้อทุกวัน รวมทั้งไม่สามารถเก็บสะสมโปรตีนไว้ใช้ได้เหมือนอย่างคาร์โบไฮเดรตและไขมัน ดังนั้นปัญหาที่พบส่วนใหญ่คือ การได้รับอาหารประเภทโปรตีนไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย ทำให้มวลกล้ามเนื้อต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน  ประกอบกับ โปรตีนในกล้ามเนื้อจะ มีการสลายและสร้างใหม่ตลอดเวลา การรับประทานอาหารให้ถูกวิธี มีปริมาณโปรตีนเพียงพอจึงเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างกล้ามเนื้อทดแทนที่สลายไปในทุกวัน  แต่หากรับประทานโปรตีนน้อย จะส่งผลทำให้มวลกล้ามเนื้อลดน้อยลง การผลิตเซลล์ภูมิคุ้มกันลดลง เจ็บป่วยง่าย เป็นแผลหายช้า

       

      เด็ก กับ ผู้ใหญ่ใครควรได้รับโปรตีนมากกว่ากัน?                                                             

      ช่วงวัยที่แตกต่างกันร่างกายก็ต้องการโปรตีนในปริมาณที่ต่างกันด้วย วัยทารก และวัยเด็ก เป็นวัยที่ร่างกายต้องการโปรตีนปริมาณมากกว่าวัยผู้ใหญ่ เหตุผลคือวัยเด็กเป็นวัยที่อวัยวะต่างๆภายในร่างกายกำลังเจริญเติบโต มีการสร้างเซลล์กล้ามเนื้อจำนวนมาก ซึ่งร่างกายจะเจริญเติบโตอย่างสมบูรณ์ได้ เด็กต้องได้รับสารอาหารต่างๆ ตลอดจนปริมาณโปรตีนที่เหมาะสม และเพียงพอกับความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน เพราะร่างกายของเรามีกระบวนการสร้างกล้ามเนื้อและสลายมวลกล้ามเนื้อออกไปทุกวัน

      โปรตีนสารอาหารสร้างพลังสมอง

      ความต้องการโปรตีนในแต่ละช่วงอายุแตกต่างกัน ดังต่อไปนี้ ทารกต้องการโปรตีนวันละ 2-3 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 ก.ก  เด็กวัย 5-12ปี ต้องการโปรตีนเฉลี่ยวันละ 1.1-1.2 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม จากนั้นความต้องการโปรตีนจะลดลงเหลือ 0.8 กรัมต่อน้ำหนักต่อ 1 กิโลกรัม เมื่อเข้าสู่วัยรุ่นหรือเมื่อมีอายุ 19 ปี ขึ้นไป

      โดยในวัยเด็กเป็นวัยที่ร่างกายต้องได้รับโปรตีนคุณภาพดี ในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อนำมาเสริมสร้างการเจริญเติบโต  ซ่อมแซมเซลล์ ทำให้เซลล์สมองทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งเสริมพัฒนาการด้านการเรียนรู้ และช่วยทำให้มีความจำที่ดี  ป้องกันภาวะขาดโปรตีน ซึ่งจะมีผลโดยตรงต่อการเจริญเติบโต และระดับสติปัญญา

      สำหรับเด็กในช่วงวัย 5-12 ปี  ซึ่งเป็นวัยที่เริ่มเข้าโรงเรียนและทำกิจกรรมมากมาย จึงควรได้รับโปรตีนอย่างเพียงพอ คุณแม่สามารถคำนวณปริมาณโปรตีนที่ลูกควรได้รับใน 1 วันง่ายๆด้วยการนำปริมาณโปรตีนที่เด็กต้องการ (1.1-1.2 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม) มาคูณกับน้ำหนักตัว เช่น หากเด็กหนัก 20 กิโลกรัม ปริมาณโปรตีนที่เขาควรได้รับต่อวันจะเท่ากับ 20 x 1.1 = 22 กรัม

      ทั้งนี้โดยเฉลี่ยแล้ว เด็กช่วงอายุ 5-8 ปีควรได้รับโปรตีนคุณภาพดี วันละ 25-30 กรัม  และสำหรับเด็กช่วงอายุ 9-12ปี ควรได้รับโปรตีนคุณภาพดีวันละ 30-40 กรัม ซึ่งโปรตีนคุณภาพดีควรได้มาจากเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ไข่ ปลา และเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของโปรตีน

       

      ปริมาณอาหารกับคุณค่าโภชนาการที่สมดุล

      การรับประทานอาหารปริมาณมาก ไม่ได้หมายความว่าร่างกายจะได้รับสารอาหารเพียงพอ เด็กวัย 5-12 ปี เป็นวัยช่างเลือก  และจะลอกเลียนการรับประทานอาหารของผู้ใหญ่ในครอบครัว คุณพ่อคุณแม่ควรเป็นแบบอย่างในการสร้างพฤติกรรมการบริโภคที่ดี  ทุกมื้อควรรับประทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ และมีปริมาณที่เหมาะสม เพื่อให้ร่างกายได้รับพลังงาน โปรตีนและสารอาหารอย่างเพียงพอต่อพัฒนาการสมอง และการเจริญเติบโตตามวัยของลูก  การดูปริมาณอาหารที่รับประทานเพียงอย่างเดียวอาจทำให้ลูกได้รับโปรตีนไม่เพียงพอ   ดังนั้นคุณแม่จึงควรหมั่นสังเกตการบริโภคอาหารของลูกด้วย ให้เขารับประทานเนื้อสัตว์ที่ไม่ติดหนังและมัน อย่างน้อยมื้อละ 2 ช้อนโต๊ะ(30กรัม)  ซึ่งจะมีโปรตีนประมาณ 7 กรัม  นอกจากนี้ควรถามลูกเสมอเรื่องปริมาณการรับประทานอาหารกลางวันที่โรงเรียน  เพื่อประเมินว่าลูกได้รับสารอาหารเพียงพอหรือไม่  ถ้ารับประทานได้น้อย หรือไม่ได้สัดส่วนที่เหมาะสมระหว่าง คาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีน คุณแม่ควรจัดอาหารทดแทนทันที ไม่ต้องรอให้ถึงมื้อต่อไป อาจเป็นอาหารว่างที่มีโปรตีนและสารอาหารที่ดีต่อสมอง เช่นเครื่องดื่มที่ดื่มง่าย และมีรสชาติอร่อย  เพราะถ้าลูกได้รับโปรตีนไม่เพียงพอ หรือได้รับโปรตีนด้อยคุณภาพ ในระยะยาวอาจเกิดภาวะขาดโปรตีนซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อพัฒนาการของร่างกายและสมอง ดังนั้นเพื่อพัฒนาการและการเจริญเติบโตที่ดี เด็กควรรับประทานอาหารหลักวันละ 3 มื้อ  และมีอาหารว่างวันละ 1-2 มื้อ

      ตัวอย่างเมนูอาหาร 1 วัน สำหรับเด็กในช่วงอายุ  5-12 ปี

      มื้อ

      ชนิดอาหาร

      ปริมาณ

      เช้า

      ข้าวต้มกุ้ง

      น้ำส้มคั้นสด

      กุ้ง3-5 ตัวขนาดกลาง

      150 มิลลิลิตร

      อาหารว่าง

      เครื่องดื่มเพิ่มโปรตีน

      1 แก้ว

      กลางวัน

      ข้าวสวย

      ไข่เจียว

      แกงจืดตำลึงหมูสับ

      แตงโม

      1-2 ทัพพี

      1 ฟอง

      หมูสับ1-2 ช้อนโต๊ะ

      3-4 ชิ้นพอคำ

      อาหารว่าง

      เครื่องดื่มเพิ่มโปรตีน

      1 แก้ว

      เย็นข้าวสวย

      ปลากะพงนึ่งซีอิ๊ว

      แกงจืดผักกาดขาวไก่ฉีก

      มะละกอสุก

      1-2ทัพพี

      30-60 กรัม

      ไก่ 15 กรัม

      3-4 ชิ้นพอคำ

       

      Meal Plan กลยุทธ์เสริมสร้างพัฒนาการสมองของลูกรัก

      การวางแผนรับประทานอาหารให้ลูกล่วงหน้าทุกมื้อ จะช่วยให้คุณแม่มั่นใจได้ว่า ลูกจะได้รับพลังงานและสารอาหารที่จำเป็นอย่างครบถ้วนในทุกๆวัน  เพราะสมองและพัฒนาการของเด็กทำงานตลอดเวลา ไม่มีวันหยุด คุณแม่ควรเน้นความสำคัญของอาหารเช้า ซึ่งเป็นมื้อแรกของวัน ร่างกายควรเริ่มต้นวันใหม่ด้วยอาหารที่ดี มีโปรตีน และแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกายและสมอง  เพื่อให้ลูกพร้อมสำหรับการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ในทุกวัน  และอย่าลืมจัดอาหารระหว่างมื้อ โดยเลือกอาหารที่มีประโยชน์แทนขนมกรุบกรอบด้วยนะคะ

      โปรตีนสารอาหารสร้างพลังสมอง

      แต่หากคุณแม่ไม่มั่นใจว่าลูกจะได้รับสารอาหารที่เพียงพอโดยเฉพาะโปรตีนในแต่ละมื้อ คุณแม่สามารถเสริมโปรตีน และสารอาหารที่จำเป็นอื่นๆให้กับลูกน้อยได้ง่ายๆ ด้วย “พรอตตี้”  เครื่องดื่มโปรตีนชนิดผงรสช็อกโกแลต ที่มีปริมาณโปรตีนถึง 5,000 มิลลิกรัม  จาก 2 แหล่งโปรตีนคุณภาพดีที่ผสานความลงตัวจากทั้งนมและถั่วเหลืองไว้ด้วยกัน นอกจากนี้ยังมีแคลเซียมสูง ที่นอกจากช่วยทำให้กระดูกและฟันแข็งแรงแล้ว  ยังมีส่วนช่วยทำให้ลูกมีส่วนสูงที่สมวัย โดยใน Prottie (พรอตตี้) 1 ซอง  มีปริมาณของแคลเซียมถึง 500 มิลลิกรัม ซึ่งเทียบเท่ากับปริมาณแคลเซียมที่ได้จากการดื่มนมถึง 2 แก้ว  และมีวิตามินบี 12  ซึ่งเป็นวิตามินผู้พิทักษ์สมองไม่ให้ถูกทำลาย ช่วยเสริมสร้างความจำ  โดยใน Prottie (พรอตตี้) 1 ซอง มี ปริมาณวิตามิน บี12 ต่อหนึ่งหน่วยบริโภคสูงถึง 60 % ของร้อยละปริมาณที่แนะนำให้รับประทานต่อวัน นอกจากนี้ยังมีแร่ธาตุอื่นๆ รวม 15 ชนิด ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายและสมองของลูก จึงจัดเป็นเครื่องดื่มทางเลือกใหม่ที่ช่วยเสริมโปรตีนและสารอาหารที่จำเป็นต่อลูกน้อยเพื่อพัฒนาการที่ดีของเขา

      PROTTIE

      คุณพ่อคุณแม่ท่านใด สนใจอยากเสริมโปรตีนคุณภาพและเติมเต็มสารอาหารอื่นๆให้ลูกในทุกวัน อย่าลืมเสริมด้วย PROTTIE (พรอตตี้) นะคะ สามารถสั่งซื้อออนไลน์ได้แล้วที่

      Lazada: http://bit.ly/35I2PMf 

      Shopee: https://bit.ly/2O5g8zu

      หรือสามารถติดตามประโยชน์ดีๆเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/ProttieThailand/

       

       

       

       

        ผลวิจัยล่าสุดจากผู้เชี่ยวชาญด้านสมองระดับโลกชี้ สฟิงโกไมอีลิน ในนมแม่ มีส่วนช่วยสร้างให้ลูกสมองดี เรียนรู้ไว

        คุณพ่อคุณแม่ คงได้ยิน ชื่อของ สฟิงโกไมอีลินมากันบ้างแล้ว แต่อาจจะมีคุณพ่อคุณแม่บางคนสงสัยว่า สฟิงโกไมอีลิน คืออะไร มีความสำคัญกับลูกน้อยอย่างไรกันบ้าง ซึ่งเราได้มีโอกาสไปคุยกับศาสตราจารย์ ฌอน ดีโอนี จาก Brown University ที่บินตรงจากประเทศสหรัฐอเมริกา ที่จะมาช่วยไขความลับว่าทำไมคุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่จึงไม่ควรมองข้ามสารอาหารชนิดนี้

        ความเป็นมาเป็นไปของ สารอาหารที่ชื่อว่า สฟิงโกไมอีลิน

        ศาสตราจารย์ฌอน ดีโอนี ศาสตราจารย์ จาก Brown University ประเทศสหรัฐอเมริกา พร้อมกันนี้ท่านยังเป็นผู้อำนวยการแผนกวิจัยเครื่องสร้างภาพสนามแม่เหล็ก (MRI) สำหรับผู้หญิงและเด็ก โรงพยาบาล โรดส์ ไอแลนด์ อีกทั้งยังมีผลงานตีพิมพ์เอกสารทางวิชาการมากกว่า 69 ผลงาน และมีหนังสือที่ร่วมเขียนกว่า 10 เล่ม โดยเป็นการศึกษาเกี่ยวกับสมองเฉพาะของเด็ก รวมไปถึงยังได้รับทุนการวิจัยจากสถาบันวิจัยสุขภาพแห่งชาติของประเทศสหรัฐอเมริกา หรือ National Institutes of Health  (NIH) กว่าอีก 20 ล้านเหรียญสหรัฐด้วย

        ซึ่งการศึกษาวิจัยที่ทางศาสตราจารย์ฌอนเน้นหนัก คือ ทารกจะโตขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ และสุขภาพดีได้อย่างไร ซึ่งการศึกษาของท่านก็จะมีการศึกษาความสัมพันธ์ของยีน โภชนาการที่เด็กๆและคุณแม่ได้รับ รวมไปถึงปฏิสัมพันธ์ระหว่างคุณพ่อคุณแม่และเด็ก โดยเป็นการศึกษาแบบองค์รวมว่ามีปัจจัยอะไรบ้างที่ส่งผลต่อการพัฒนาของเด็ก และทำอย่างไรจึงจะดีขึ้น การที่ท่านให้ความสำคัญกับเด็ก โดยเฉพาะทารก เพราะทารกในวันนี้ คือผู้ใหญ่ในวันหน้า ท่านจึงเริ่มศึกษาจากสมองที่ทำงานผิดปกติก่อน ว่ามีปัจจัยอะไรบ้างที่สามารถพัฒนาได้มากขึ้น

        โดยเปรียบเทียบง่ายๆเหมือนกับการสร้างบ้าน ถ้าโครงสร้างบ้านยังไม่เสร็จ หากเราต้องการย้ายสวิตช์  ย้ายเฟอนิเจอร์ต่างๆเราสามารถทำได้เลย ดังนั้นการเรียนรู้และการพัฒนาตั้งแต่แรกเริ่มตอนเป็นทารก จึงสามารถทำได้สมบูรณ์มากขึ้น ดีกว่าเราจะมาโฟกัสในช่วงที่การพัฒนาสมองเสร็จสิ้นไปแล้ว  จุดเริ่มต้นการวิจัยของศาสตราจารย์ฌอน จึงมี 2 หัวข้อหลักๆ เรื่องแรกคือ เรื่องของความสัมพันธ์ หรือปัจจัยแวดล้อมต่างๆที่ช่วยให้ทารกพัฒนาขึ้นได้ในช่วงแรก ศึกษาในเรื่องของความสัมพันธ์ และสภาพแวดล้อม ทั้งคุณภาพอากาศ ระยะเวลาการนอน รวมไปถึงโภชนาการ 

         ซึ่งการศึกษานี้เป็นการศึกษาแรกโดยดูในเรื่องของภาพรวมการวิจัยของผมจะทำการติดตามเด็ก 1,500 คน ซึ่งเด็ก 500 คน มีการเก็บข้อมูลตั้งแต่เด็กอยู่ในครรภ์จนกระทั่งเด็กคลอดและติดตามต่อมา ส่วนเด็กอีก 1,000 คนเข้าร่วมการศึกษาตั้งแต่อายุน้อยกว่า 6 เดือนและติดตามผลอย่างต่อเนื่อง ส่วนอีกการศึกษาเป็นการศึกษาเฉพาะโฟกัสเรื่องของโภชนาการที่มีผลต่อการพัฒนาสมอง จึงศึกษาลงลึกต่อไปอีกว่า ในนมแม่ มีโภชนาการอะไรบ้าง ที่มีส่งผลดังกล่าว โดยเป็นการศึกษากลับไปยังคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกอยู่ในกลุ่มวัยรุ่น ว่าช่วงที่พวกเขาเป็นทารกมีการให้นมแม่มากน้อยแค่ไหน จากการศึกษาที่ค้นพบจากข้อมูลทั้งหมดพบว่า ทารกที่ได้รับนมแม่อย่างเดียวในช่วงแรกของชีวิต มีอัตรา การสร้างไมอีลินสูงกว่าเด็กที่ไม่ได้รับนมแม่ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญยิ่งในการพัฒนาสมอง เพราะช่วยเพิ่มการสื่อสารและเชื่อมโยงของสมอง (Brain Connection) ซึ่งเป็นพื้นฐานของการเรียนรู้ รวมทั้งสติปัญญาที่เพิ่มขึ้นอย่างถาวร

        ทั้งนี้โดยตัวของสมองเองจะมีการสร้างไมอีลินจากโภชนาการต่างๆ โดยเฉพาะ นมแม่ เป็นตัวช่วยในการสร้างปลอกไมอีลินให้มากขึ้น และเร็วขึ้น ซึ่งไมอีลินช่วยให้การทำงานของสมองแต่ละส่วนสัมพันธ์กัน เซลล์ในสมองประสานงานและทำงานกันได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามในสมัยก่อน เชื่อกันว่า สมองแต่ละส่วน แต่ละด้านทำงานแยกกัน แต่ในความเป็นจริง สมองทุกส่วนทำงานเชื่อมกันหมด ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการมอง การขยับตัว  การฝึกเดิน ทุกอย่างต้องสัมพันธ์กัน ซึ่งเด็กจะทำได้เร็วหรือช้านั้น ขึ้นอยู่กับว่า มีไมอีลินที่เยอะ และทำงานได้ดีมากน้อยแค่ไหน

        ซึ่งศาสตราจารย์ฌอนได้มีผลวิจัยด้วยการสแกนสมองผ่านคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือ MRI นั้น ทำให้ทราบว่า สฟิงโกไมอีลิน ที่อยู่ในนมแม่นั้นสำคัญต่อการพัฒนาสมองของเด็ก โดยผลวิจัยพบว่า สฟิงโกไมอีลิน หนึ่งในสารอาหารสำคัญในการสร้างไมอีลิน ซึ่งพบมากในนมแม่นั้น เป็นโครงสร้างพิเศษที่ทำให้สมองทำงานได้เร็วขึ้น และส่งผลต่อศักยภาพการเรียนรู้และสติปัญญาของเด็ก สมองเด็กที่มีไมอีลินมากกว่าจะเรียนรู้ได้ไวกว่า โดยเฉพาะเด็กที่ได้รับนมแม่จะมีการสร้างไมอีลินที่มากกว่า ส่งผลให้สติปัญญา สูงกว่าเด็กที่ไม่ได้รับนมแม่

        สฟิงโกไมอีลิน หนึ่งในสารอาหารสำคัญเพื่อพัฒนาการสมองลูกที่สร้างได้ตั้งแต่ในครรภ์
        ช่วง 6-9 เดือน ดังนั้น 1,000 วันแรกของชีวิต (เริ่มปฏิสนธิ 2 ปี)จึงเป็นช่วงเวลาที่สำคัญมาก ในช่วงนี้สมองของลูกน้อยจะพัฒนาได้สูง และเร็วที่สุด  สมองของเขาจะพัฒนา และสร้างเซลล์ต่างๆขึ้นมาใกล้เคียงกับสมองของผู้ใหญ่ ซึ่งไมอีลิน ถือเป็นพื้นฐานในการทำงานของสมองในแต่ละส่วน โดยมีการสร้างอย่างมากใน 1,000 วันแรกของชีวิต ช่วยส่งผลต่อพัฒนาการทางความคิด การเรียนรู้ของเด็ก ทำให้ทักษะการเรียนรู้ดีขึ้น และเร็วขึ้นได้ในอนาคต คุณแม่มือใหม่จึงควรใส่ใจโภชนาการ (โดยเฉพาะกินอาหารที่มีสฟิงโกไมอีลินเยอะๆ) เน้นหนักไปนมแม่ หรือ ไข่ ครีม ชีส และการเลี้ยงดูทารกในช่วงเวลานี้เป็นอย่างมาก

        ข้อมูลของสมอง และสฟิงโกไมอีลิน
        รู้มั้ยว่า สมองประกอบด้วย ไขมันถึง 60% (ในกรณีที่ตัดน้ำออก) ไขมัน เป็นส่วนประกอบของไมอีลินในสมอง เส้นใยประสาทที่มีไมอีลิน จะมีการส่งสัญญาณประสาทเร็วกว่าที่ไม่มีไมอีลินถึง60 เท่า สฟิงโกไมอีลิน เป็นหนึ่งในสารอาหารสำคัญในการสร้างไมอีลินสฟิงโกไมอีลินพบมากในนมแม่

          ทำฟันฟรี 2562

          เปิดรายชื่อสถานที่ “ทำฟันฟรี 2562” วันทันตสาธารณสุขแห่งชาติ

          ในวันที่ 21 ตุลาคม 2562 ซึ่งตรงกับวันทันตสาธารณสุขแห่งชาติ สถานพยาบาลต่าง ๆ จึงมีโครงการ ทำฟันฟรี 2562 ขึ้นมาเพื่อให้บริการกับประชาชน โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

          เปิดรายชื่อสถานที่ “ทำฟันฟรี 2562” วันทันตสาธารณสุขแห่งชาติ

          วันทันตสาธารณสุขแห่งชาติ ตรงกับวันที่ 21 ตุลาคม ของทุกปี ตามสถานพยาบาลต่าง ๆ จะจัดโครงการ ทำฟันฟรี 2562 ขึ้นมา เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี หรือสมเด็จย่า ซึ่งในแต่ละสถานพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการนี้ ก็ได้จัดให้มีการตรวจรักษาฟัน อุดฟัน ถอนฟัน ขูดหินปูน ผ่าฟันคุด ขัดฟัน เคลือบฟลูออไรด์ ฯลฯ ได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น จะมีสถานพยาบาลไหนบ้าง และมีเงื่อนไขอะไรกันบ้าง ทีมงาน Amarin Baby & Kids ได้รวบรวมข้อมูลมาไว้ที่นี่แล้วค่ะ

          1. คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

          ขอเชิญเข้ารับบริการทางทันตกรรมฟรี เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และวันทันตสาธารณสุขแห่งชาติ (1 คน ต่อ 1 การรักษา)

          ในวันที่ 21 ตุลาคม 2562 ณ โรงพยาบาลทันตกรรม คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล (พญาไท) และ โรงพยาบาลทันตกรรมมหาจักรีสิรินธร คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล (ศาลายา)

          สถานที่ : ณ โรงพยาบาลทันตกรรม คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล อาคารเฉลิมพระเกียรติ 50 พรรษา (พญาไท)

          รับผู้ใหญ่ 1500 ราย
          เริ่มแจกบัตรคิว เวลา 06.30 น. – จนกว่าบัตรคิวจะหมด
          เริ่มรับการรักษา เวลา 08.00 – 15.00 น.

          รับเด็ก 200 ราย
          เริ่มแจกบัตรคิว เวลา 07.00 น. – จนกว่าบัตรคิวจะหมด
          เริ่มรับการรักษา เวลา 08.00 – 15.00 น.

          สถานที่ : ณ โรงพยาบาลทันตกรรมมหาจักรีสิรินธร คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล (ศาลายา)

          รับผู้ใหญ่ 350 ราย
          เริ่มแจกบัตรคิว เวลา 06.45 น. – จนกว่าบัตรคิวจะหมด
          เริ่มรับการรักษา เวลา 08.00 – 12.00 น.

          รับเด็ก 50 ราย
          เริ่มแจกบัตรคิว เวลา 06.45 น. – จนกว่าบัตรคิวจะหมด
          เริ่มรับการรักษา เวลา 08.00 – 12.00 น.

          ทำฟันฟรี มหิดล
          ทำฟันฟรี มหิดล

          2. คณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

          เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล แด่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนี เนื่องในวันทันตสาธารณสุขแห่งชาติ คณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาฯ จัดโครงการ “ทำฟันฟรี 2562” ในวันจันทร์ที่ 21 ตุลาคม 2562 ตั้งแต่เวลา 8.00 น.

          ณ คณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถ.อังรีดูนังต์ เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร

          หมายเหตุ เปิดรับบัตรคิวตั้งแต่เวลา 6.30 น. เป็นต้นไป

          สำหรับผู้ที่อายุต่ำว่า 20 ปี ที่ต้องการถอนผ่าฟันคุด/ถอนฟัน ท่านสามารถดาวน์โหลดแบบฟอร์มยินยอมการผ่าฟันคุดได้ที่ link ด้านล่าง

          Download | แบบฟอร์มยินยอมการผ่าฟันคุด |

          ทำฟันฟรี จุฬา
          ทำฟันฟรี จุฬา

           

          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

          อ่านต่อ เปิดรายชื่อสถานที่ “ทำฟันฟรี 2562” วันทันตสาธารณสุขแห่งชาติ

            รู้ได้อย่างไรว่าลูกน้อยเป็น “ภูมิแพ้อากาศ” ?

            ภูมิแพ้อากาศ มักเป็นตอนอากาศเปลี่ยนใช่ไหม ใช่ค่ะทุกครั้งที่อุณหภูมิและความชื้นในอากาศมีการเปลี่ยนแปลงอาการภูมิแพ้มักมาทักทายร่างกายได้บ่อยๆ ค่ะ ยิ่งโดยเฉพาะกับเด็กๆ ที่ภูมิคุ้มกันในร่างกายยังไม่แข็งแรงเท่าผู้ใหญ่ ก็มักจะป่วยแพ้อากาศกันค่ะ แต่ภูมิแพ้อากาศก็ไม่ได้มีสาเหตุมาจากอากาศเท่านั้นนะคะ

            ภูมิแพ้อากาศ เกิดจากอะไร ?  

            อย่างที่บอกไปค่ะว่า ภูมิแพ้อากาศ หรือที่เรียกว่าโรคภูมิแพ้จมูก (ALLERGIC RHINITIS) สาเหตุหนึ่งมาจากอุณหภูมิและความชื้นในอากาศที่ไปกระตุ้นก่อแพ้ให้กับร่างกาย นอกจากนี้ยังเกิดขึ้นได้จาก…

            1. กรรมพันธุ์

            โรคภูมิแพ้เด็กๆ มีโอกาสเจ็บป่วยได้สูงถึง 50% ที่ได้รับต่อมาจากคุณพ่อหรือคุณแม่ที่มีประวัติเป็นภูมิแพ้ค่ะ

            2. สิ่งแวดล้อม

            อากาศเป็นพิษชีวิตจะแย่ สิ่งแวดล้อมทั้งในบ้าน และนอกบ้าน คุณแม่รู้ไหมคะว่าเต็มไปด้วยสารก่อภูมิแพ้ ไม่ว่าจะเป็น ฝุ่น ควันรถยนต์ ควันบุหรี่ ละอองเกสรดอกไม้ ขนสัตว์ ไรฝุ่น เชื้อราในอากาศ แมลงสาบ ฯลฯ ซึ่งหากเด็กๆ ไปจับสัมผัส กาหายใจเข้าไป ก็มีโอกาสที่จะป่วยเป็นภูมิแพ้อากาศได้ค่ะ

            ภูมิแพ้อากาศ

            โรคภูมิแพ้จมูกในเด็ก (Allergic Rhinitis) มีอาการอย่างไร ?

            คุณพ่อคุณแม่ส่วนใหญ่เข้าใจว่าลูกๆ เป็นหวัด คัดจมูกเดี๋ยวก็หาย แต่ความจริงแล้วอาการของโรคภูมิแพ้จมูก หรือภูมิแพ้อากาศ มีจุดสังเกตที่แตกต่างไปจากโรคหวัดธรรมดาค่ะ นั่นก็คือ…

            • มีรอยย่นสีคล้ำใต้ตา
            • คัดจมูก น้ำมูกไหล จามบ่อยๆ
            • คันตา เคืองตา ตาบวม น้ำตาไหล
            • หายใจทางปากมากกว่าทางจมูก

            โดยอาการเหล่านี้จะเป็นอยู่เกือบตลอดทั้งปี เป็นครั้งนึงก็นานประมาณ 10 วันอาการถึงจะทุเลาลง แล้วก็กลับเป็นขึ้นมาอีกถ้าร่างกายได้รับกระตุ้นจากสารก่อแพ้ค่ะ และที่สังเกตได้ง่ายๆ เลยคือมักจะมีอาการในช่วงเช้าหรือตอนกลางคืน เพราะ 2 ช่วงเวลานี้อากาศจะค่อนข้างเย็นและชื้นนั่นเองค่ะ

            ภูมิแพ้อากาศ

            โรคภูมิแพ้อากาศจะเห็นว่าไม่ว่าจะผู้ใหญ่ หรือเด็กเล็กๆ ก็ป่วยกันใช่ไหมคะ แต่จริงๆ แล้วเราไม่ควรปล่อยให้ร่างกาย อ่อนแอแล้วเป็นภูมิแพ้กันนะคะ ควรจะรีบรักษา หรือป้องกันไม่ให้เจ็บป่วยจะดีกว่านะคะ โดยเฉพาะกับลูกน้อยหากป่วยเป็นภูมิแพ้อากาศอยู่ตลอดเวลา ก็จะส่งผลกระทบต่อพัฒนาการการเรียนรู้ ที่อาจทำได้ไม่เต็มที่เท่ากับเด็กๆ คนอื่นที่ร่างกาย   แข็งแรงกว่า ดังนั้นเพื่อให้ลูกน้อยมีพัฒนาการการเรียนรู้ที่สมวัย คุณพ่อคุณแม่ต้องช่วยกันปกป้องลูกจากโรคภูมิแพ้อากาศ ค่ะ นั่นก็คือ…

            1. ให้โภชนาการสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายลูก เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกายให้แข็งแรง
            2. ให้ออกกำลังกายทุกวัน หรือ 3 วันต่อสัปดาห์ เด็กๆ ควรได้ วิ่งเล่นกลางแจ้ง ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน ฯลฯ
            3. ให้การนอนพักผ่อนที่เต็มอิ่มทุกวัน เด็กๆ ควรได้นอนหลับอย่างสนิท 8-10 ชั่วโมง
            4. ให้ความสะอาด คุณแม่ต้องดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมในบ้านต้องสะอาดปราศจากสารก่อแพ้ต่างๆ
            5. ให้อากาศบริสุทธิ์ เด็กๆ ควรได้รับอากาศที่บริสุทธิ์เข้าสู่ร่างกาย เพื่อให้ออกซิเจนไหลเวียนในกระแสเลือดไปเลี้ยงร่างกายได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ แนะนำว่าควรพาลูกๆ ไปสูดรับอากาศสะอาดที่ภูเขา เกาะทะเล น้ำตก ถ้าใกล้ๆ ก็แนะนำที่เขาใหญ่ค่ะ

            แต่ที่ทำได้ในทุกๆ วัน เพื่อช่วยให้อากาศภายในทุกห้อง ทุกมุมของบ้านมีอากาศที่สดชื่น สะอาด ลูกน้อยและทุกคนในครอบครัวหายใจได้อย่างโล่งสบาย นั่นก็คือการฉีดน้ำมันยูคาลิปตัสสเปรย์ ตราจิงโจ้ ซึ่งเป็นมาจากน้ำมันยูคาลิปตัสสกัดจากธรรมชาติ 100% จะช่วยบรรเทาอาการคัดจมูกจากภูมิแพ้ ช่วยให้ลูกน้อยจมูกโล่ง หายใจสบาย นอนหลับได้สนิทตลอดคืนด้วยค่ะ

             

             

             

            ภูมิแพ้อากาศ

             

            อ้างอิงข้อมูล : รพ.เวชธานี

             

              อาหารเด็ก

              3 สูตร อาหารเด็ก “ข้าวต้ม ข้าวตุ๋น น้ำสต๊อก” เพื่อลูกวัย 6-9 เดือน

              อาหารเด็ก มื้อแรกของลูก ลูกกินอะไรได้บ้าง หรือหากต้องเตรียมอาหารทารก 6 เดือนขึ้นไป จะเริ่มอย่างไร และมีเรื่องใดบ้างเกี่ยวกับ อาหารเด็ก ที่คุณแม่มือใหม่ต้องรู้ มาดูกันเลย

              3 สูตร อาหารเด็ก “ข้าวต้ม ข้าวตุ๋น น้ำสต๊อก”
              เพื่อลูกวัย
              6-9 เดือน โดยเฉพาะ!!

              อาหารเด็ก อาหารทารกตามวัย ถือเป็นอีกหนึ่งจุดเริ่มของชีวิตลูกน้อย ในการรับประสบการณ์ใหม่ๆ ที่จะได้เรียนรู้เรื่องการกิน ซึ่งหลังจากที่ลูกได้กินนมแม่อย่างเดียวใน 6 เดือนแรกแล้ว ก็ควรจะได้รับอาหารเสริมตามวัยที่เหมาะสมควบคู่กับนมแม่ด้วย ทั้งนี้ไม่ใช่ว่า “นมแม่” หมดคุณค่า!! หรือ ไม่มีประโยชน์แล้ว!!

              แต่เป็นเพราะเด็กทารกวัย 6 เดือนขึ้นไป ต้องการพลังงานมากขึ้น และระบบการย่อยอาหารของร่างกายลูกน้อยก็เริ่มพัฒนาได้แล้ว ซึ่งสัญญาณที่บ่งบอกชัดเจน คือลูกเริ่มมีฟันน้ำนมงอกขึ้นมา เพื่อใช้ในการบดเคี้ยวอาหารอื่นนั่นเอง

              Must read : ทำความสะอาดช่องปาก และฟันน้ำนมลูกน้อย

              แต่อย่างไรก็ตาม หากคุณหมอประจำตัวของลูก ซึ่งเป็นผู้คอยดูแลลูกเป็นระยะมาตลอด พบว่าในช่วง 4-6 เดือน ที่ลูกกินนมแม่อย่างเดียว มีปัญหาน้ำหนักขึ้นน้อยลง และไม่ดีขึ้นแม้ว่าจะมีความช่วยเหลือด้านการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเต็มที่แล้ว คุณหมออาจจะพิจารณาให้ลูกเริ่มกิน อาหารเด็ก อาหารเสริมก่อนอายุ 6 เดือน แต่ไม่ก่อน 4 เดือน โดยควบคู่กับการกินนมแม่ไปด้วย

              Must read : นมแม่ป้องกันโรค ช่วยลูกสุขภาพดีตั้งแต่แรกเกิด

              ซึ่งที่ต้องบอกประเด็นนี้ เนื่องจากมีคุณแม่ส่วนหนึ่งเข้าใจผิดคิดว่า ทารกก่อน 6 เดือน จะต้องได้แต่นมเท่านั้น ยังไม่สามารถกินข้าวได้ เมื่อมีปัญหานมแม่น้อยลงและไม่ดีขึ้นแม้ว่าจะได้รับการช่วยเหลือจากคลินิกนมแม่แล้ว ก็หันไปเสริมเป็นนมผง แทนที่จะให้กินเพิ่มเป็นอาหารตามวัย ซึ่งเป็นความเสี่ยงต่อการแพ้นมวัวและโรคภัยต่างๆที่เกิดจากการกินนมผงได้นั่นเอง

              Must read : อาหาร 6 อย่างนี้ “ห้ามให้ลูกน้อยต่ำกว่า 6 เดือน” กินเด็ดขาด!

              อาหารเด็ก มื้อแรก ทำอะไรให้ลูกดี

              ทั้งนี้ อาหารเด็ก ควรให้ลูกได้ทั้งปริมาณและคุณภาพ ที่เหมาะสม โดยทั่วไปแนะนำให้เริ่มอาหารตามวัย ด้วยอาหารที่บดละเอียด หนืดพอควร แบบเกาะช้อนพอประมาณ ไม่เหลวแต่ก็ไม่หนืดหนึบติดช้อน ซึ่งอาหารเด็ก สำหรับลูกน้อยในวัยตั้งแต่ 6 – 9 เดือน จะเน้นข้าวจำพวก ข้าวต้ม ข้าวตุ๋น หรือซุปต่างๆ

              ซึ่งสำหรับคุณแม่มือใหม่ที่ไม่เคยทำอาหารเลยและไม่รู้จะเริ่มอย่างไร ทีมแม่ ABK จึงมีสูตรอาหารเด็กพื้นฐานที่คุณแม่ควรทำให้เป็น ทำให้ได้ก่อน จากนั้นจะได้นำมาปรุงรวมกับวัตถุดิบอื่นๆที่มีสานอาหารที่เป็นประโยชน์กับลูกน้อย ซึ่งสูตร อาหารเด็ก พื้นฐานที่จะแนะนำ คือ วิธีการทำ ข้าวต้ม ข้าวตุ๋น และน้ำซุป จะต้องใช้วัตถุดิบอะไรบ้าง หรือมีขั้นตอนการทำอย่างไร ตามมาดูกันเลย

              อาหารเด็ก

              สูตรพื้นฐาน การทำ “ข้าวต้ม”

              ส่วนผสม

              • ข้าวสาร 1 ถ้วย
              • น้ำเปล่า 3 ถ้วย
              • ใบเตยหั่นท่อน 2 ใบ

              วิธีทำ : ซาวข้าวในน้ำสะอาด 1-2 ครั้ง แล้วเทข้าวลงในหม้อ ตามด้วยน้ำและใบเตย จากนั้นยกขึ้นตั้งไฟ หมั่นคนบ่อยๆ จนข้าวสุกนุ่ม แล้วจึงตักใบเตยออก

              Tip : คุณแม่สามารถใช้ข้าวกล้องหรือข้าวซ้อมมือแทนได้

               

              Must read : 4 ประโยชน์ของ ข้าวต้ม ที่มีดีมากกว่าการให้ลูกกิน

              ข้าวต้มผสมนมแม่ (6 เดือน+)

              ข้าวต้มผักโขมแครอทแสนรัก ( 6 เดือน+)

              แจกสูตรอร่อย ข้าวต้มผักกาดขาวไก่สับ เมนูลูกรัก 9 เดือน

              ข้าวต้มทรงเครื่อง (10 เดือน++)

              คลิปเมนูข้าวต้มปลาทู อาหารบำรุงสมองลูก เสริมความจำดีเยี่ยม!

              “ข้าวต้มหลากสี” อาหารต้านหวัดให้ลูก สูตรดี แสนอร่อย…ช่วยเพิ่มพลัง!

               

              อ่านต่อ >> สูตรพื้นฐาน การทำ “ข้าวตุ๋นและน้ำซุป หรือน้ำสต๊อกไก่” คลิกหน้า 2

                โรงเรียนนานาชาติเวอร์โซ

                บมจ. ยู ซิตี้ ในเครือบีทีเอสกรุ๊ป ทุ่มงบ 5 พันล้าน เปิดตัว “โรงเรียนนานาชาติเวอร์โซ”

                โรงเรียนนานาชาติเวอร์โซ พร้อมเปิดประสบการณ์การศึกษาแบบล้ำอนาคต ที่เน้นความถนัดและความต้องการของนักเรียนเป็นหัวใจสำคัญ โดดเด่นด้วยสระว่ายน้ำในร่มมาตรฐานโอลิมปิกที่ควบคุมอุณหภูมิได้ตลอดทั้งปีแห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทย

                บริษัท ยู ซิตี้ จำกัด (มหาชน) ในเครือของ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) และพันธมิตร บริษัท ฟอร์จูน แฮนด์ เวนเจอร์ ลิมิเต็ด จากฮ่องกง ประกาศร่วมลงทุน 5 พันล้านบาทเพื่อก่อตั้ง “โรงเรียนนานาชาติเวอร์โซ”

                โรงเรียนนานาชาติเวอร์โซเป็นโรงเรียนนานาชาติแห่งใหม่ล่าสุดในกรุงเทพมหานคร ที่โดดเด่นด้วยอาคารสถานที่ที่ทันสมัยและการเน้นปูรากฐานให้นักเรียนมีทักษะและทัศนคติที่พร้อมรับต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในอนาคต ด้วยการคิดค้นรูปแบบการเรียนการสอนและอาคารเรียนบนพื้นฐานของแนวคิดใหม่ทั้งหมดตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อมุ่งจุดประกายให้นักเรียนพัฒนาศักยภาพของตนได้อย่างสูงสุดโดยปราศจากข้อจำกัดของโรงเรียนแบบเดิมๆ

                โรงเรียนนานาชาติเวอร์โซ

                โรงเรียนนานาชาติเวอร์โซ ตั้งอยู่บนพื้นที่ 168 ไร่ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเมื่อเทียบกับโรงเรียนนานาชาติแห่งอื่นๆ ในเขตกรุงเทพมหานคร ติดกับโครงการธนาซิตี้ ย่านบางนา สามารถรองรับจำนวนนักเรียนได้ถึง 1,800 คน ตั้งแต่ชั้นเตรียมอนุบาลจนถึงเกรด 12 และจะเริ่มเปิดสอนตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2563 เป็นต้นไป

                “เป้าหมายของเราคือต้องการสร้างสิ่งที่เป็นประโยชน์ให้กับคนรุ่นใหม่ ไม่ใช่แค่เพิ่มมูลค่าให้กับธุรกิจ”  กล่าว “ก่อนหน้านี้ บีทีเอสกรุ๊ป และ ยู ซิตี้ มีความมุ่งมุ่นตั้งใจที่จะลงทุนเพื่อพัฒนาทรัพยากรมนุษย์มาโดยตลอด และในที่สุดก็ได้มีโอกาสทำวิสัยทัศน์ให้เป็นจริงเมื่อได้ร่วมมือกับพันธมิตรที่เหมาะสมอย่าง ฟอร์จูน แฮนด์ เวนเจอร์ ในการพัฒนาโรงเรียนนานาชาติที่ให้ประสบการณ์เรียนรู้ที่ทันสมัย ก้าวล้ำทันโลกมากที่สุดในกรุงเทพมหานคร”

                “การร่วมมือในการลงทุนครั้งนี้จะนำไปสู่การสร้างโรงเรียนนานาชาติที่นำเสนอการเรียนรู้แบบใหม่ พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและสื่อการเรียนการสอนที่ครบวงจร เพื่อช่วยให้นักเรียนประสบความสำเร็จในการพัฒนาศักยภาพของตนและเติบโตเป็นคนที่มีวิสัยทัศน์พร้อมรับกับอนาคตที่จะมาถึง ขณะเดียวกัน การลงทุนในครั้งนี้ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งในยุทธศาสตร์ของ ยู ซิตี้ ที่จะพัฒนาที่ดินในบริเวณใกล้กับโครงการธนาซิตี้ให้กลายเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าอย่างยั่งยืนในอนาคต ทั้งนี้ โรงเรียนนานาชาติเวอร์โซมีพื้นที่รวมทั้งหมด 168 ไร่ หรือ 66 เอเคอร์ จึงถือเป็นโรงเรียนนานาชาติที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเขตกรุงเทพฯ ตลอดจนมีพื้นที่สีเขียวรวมมากถึงประมาณ 60% ของพื้นที่ทั้งหมด เพื่อให้นักเรียนได้รับทั้งความผ่อนคลาย ใกล้ชิดกับธรรมชาติ และช่วยส่งเสริมสติปัญญาและแรงบันดาลใจด้านศิลปะ”

                การร่วมลงทุนของบริษัท ฟอร์จูน แฮนด์ เวนเจอร์ จำกัด ใน โรงเรียนนานาชาติเวอร์โซ ถือเป็นการลงทุนจากต่างประเทศที่มีมูลค่าสูงสุดในภาคการศึกษาระบบโรงเรียนนานาชาติในประเทศไทย โดยเงินลงทุนดังกล่าวจะถูกนำไปใช้ในการพัฒนาทั้งในด้านการก่อสร้างอาคารเรียนและสถานที่ ตลอดจนการคิดค้นรูปแบบการเรียนการสอนแบบใหม่ที่เป็นเอกลักษณ์และมีประสิทธิภาพ

                ด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในด้านการศึกษาที่สั่งสมมาอย่างยาวนานกว่าครึ่งศตวรรษ ฟอร์จูน แฮนด์ เวนเจอร์ มีคุณสมบัติพร้อมอย่างยิ่งที่จะเข้ามาบริหารโรงเรียนนานาชาติเวอร์โซ โดยมีมิสเตอร์คาเมรอน ฟ็อกซ์ เป็นหัวหน้าผู้บริหารโรงเรียนนานาชาติเวอร์โซ

                โรงเรียนนานาชาติเวอร์โซ

                มิสเตอร์คาเมรอน ฟ็อกซ์ หัวหน้าผู้บริหารโรงเรียนนานาชาติเวอร์โซ เผยว่าโรงเรียนนานาชาติเวอร์โซได้จับมือกับไอดีโอ (IDEO) บริษัทออกแบบและนวัตกรรมระดับโลก ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา เพื่อร่วมกันคิดค้นรูปแบบการเรียนการสอนและอาคารเรียนที่เหมาะกับ “โรงเรียนแห่งอนาคต”

                “เวอร์โซเป็นโรงเรียนนานาชาติแห่งแรกในโลกที่ร่วมมือกับไอดีโอในการคิดค้นคอนเซ็ปต์และการออกแบบทางกายภาพขอโรงเรียนใหม่ทั้งหมดแต่ต้น โดยไม่ยึดติดกับรูปแบบเดิมๆ” คาเมรอนกล่าว “ทีมงานผู้เชี่ยวชาญของไอดีโอใช้แนวทางการออกแบบที่มีนักเรียนเป็นศูนย์กลางเพื่อพัฒนาโรงเรียนนานาชาติเวอร์โซให้สอดคล้องกับบริบทของอนาคต เวอร์โซมีความยินดีและภูมิใจที่ได้มีโอกาสออกแบบและสร้างโรงเรียนที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ซึ่งเราคาดหวังว่าจะก่อให้เกิดประโยชน์และสร้างอิทธิพลเชิงบวกต่อการศึกษาในระบบโรงเรียนนานาชาติทั่วโลกสืบไป”

                คาเมรอนกล่าวเสริมว่า “โรงเรียนนานาชาติเวอร์โซได้นำเอามาตรฐานการศึกษาแบบอเมริกันมาบูรณาการเพื่อสร้างเป็น ‘หลักสูตรเตรียมพร้อมรับมือกับอนาคต (Future-ready Curriculum)’ ของเวอร์โซ การเรียนการสอนของเวอร์โซจะเป็นแบบสหวิทยาการ เน้นการทำโครงงานและการฝึกทักษะ เพื่อให้นักเรียนได้พาตนเองเข้าไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่กระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกัน นักเรียนจะได้รับมอบหมายให้ทำงานกลุ่มกับเพื่อนๆ ที่คละวัยกัน โดยมีทีมอาจารย์ผู้มีความเชี่ยวชาญคอยช่วยแนะนำและสนับสนุนอย่างใกล้ชิด เพื่อค้นหาสิ่งที่ตนเองสนใจและถนัด ตลอดจนได้มีโอกาสแสดงความสามารถ และบ่มเพาะทักษะที่ตอบโจทย์ความท้าทายในอนาคต”

                การก่อตั้งโรงเรียนนานาชาติเวอร์โซมีปัจจัยส่งเสริมทางเศรษฐกิจและสังคม ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มจะโยกย้ายมายังทวีปเอเชียมากขึ้น รวมถึงความพยายามอย่างต่อเนื่องของประเทศไทยในการแปลงระบบเศรษฐกิจให้เป็นดิจิทัล และการที่องค์กรและบริษัทชั้นนำทั่วโลกกำลังมองหาผู้นำและนวัตกรรุ่นใหม่ที่มีทักษะและทัศนคติที่จำเป็นต่อการปรับตัวภายในโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว พร้อมกับสามารถสร้างประโยชน์ให้กับสังคมรอบตัวได้อย่างควบคู่กัน

                นอกจากนี้ ยังมีการคาดการณ์ว่าโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจตะวันออกของประเทศไทย หรือ อีอีซี จะสามารถดึงดูดชาวต่างชาติเข้ามาได้ปีละประมาณ 100,000 คน ซึ่งเป็นปัจจัยที่นำไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจในภูมิภาคและความต้องการโรงเรียนนานาชาติในพื้นที่ภาคตะวันออกของกรุงเทพฯ ที่เพิ่มมากขึ้น

                ทั้งนี้ ข้อมูลจากสมาคมโรงเรียนนานาชาติในประเทศไทยยังระบุอีกด้วยว่า ประเทศไทยเป็นตลาดโรงเรียนนานาชาติที่มีการเติบโตมากที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมีอัตราการเติบโตเป็นตัวเลขสองหลักตลอดระยะ 8 ปีที่ผ่านมา

                โรงเรียนนานาชาติเวอร์โซ

                นางปิยพร พรรณเชษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยู ซิตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ด้วยทำเลใกล้กับธนาซิตี้ที่มีปัจจัยภายนอกส่งเสริมรอบด้าน ประกอบกับประสิทธิภาพและความน่าสนใจของรูปแบบการเรียนการสอนของเราที่คำนึงถึงนักเรียนเป็นศูนย์กลาง บริษัทฯ เชื่อว่าโรงเรียนนานาชาติเวอร์โซจะเป็นแบบอย่างที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับแวดวงการศึกษาในอนาคต และผลักดันประเทศไทยไปสู่การเป็นประเทศแนวหน้าในด้านการศึกษา”

                โรงเรียนนานาชาติเวอร์โซสะท้อนถึงเป้าหมายของ ยู ซิตี้ ที่มุ่งเน้นการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในบริเวณใกล้เคียงกับเครือข่ายขนส่งมวลชน โดยนางปิยพรกล่าวว่า “โรงเรียนนานาชาติเวอร์โซตั้งอยู่ห่างจากสนามบินสุวรรณภูมิเพียง 4 กิโลเมตร หรือใช้เวลาขับรถเพียง 5 นาที มีทางเชื่อมต่อไปยังถนนสายสำคัญมากมาย และในอนาคตจะมีระบบขนส่งมวลชนรางเบาเส้นทางบางนา-สุวรรณภูมิตัดผ่านในบริเวณใกล้เคียง ด้วยทำเลที่อยู่ใกล้สนามบินนานาชาติขนาดใหญ่นี้เองทำให้ที่ตั้งของโรงเรียนนานาชาติเวอร์โซเอื้อต่อการรองรับนักเรียนจากนานาประเทศและเป็นตัวเลือกโรงเรียนนานาชาติอันดับต้นๆ ของบรรดานักเรียนและครอบครัวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามายังประเทศไทย”

                โครงการธนาซิตี้และพื้นที่โดยรอบมีศักยภาพพร้อมที่จะพัฒนาเป็นชุมชนที่มีความทันสมัย เนื่องจากล้อมรอบไปสิ่งอำนวยความสะดวกและสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมาย ได้แก่ โครงการที่อยู่อาศัย รวมทั้งแหล่งช็อปปิ้งและแหล่งไลฟ์สไตล์ในละแวกใกล้เคียง อาทิ เมกาบางนา เซ็นทรัล วิลเลจ สนามกอล์ฟและคลับเฮ้าส์ระดับโลกของธ​​นาซิตี้ คันทรี คลับ ร้านอาหาร และโรงแรมอีสติน ธนาซิตี้ รีสอร์ท ที่เพิ่งเปิดทำการใหม่ล่าสุด

                สถาปัตยกรรมอันล้ำสมัยของโรงเรียนนานาชาติเวอร์โซเป็นผลมาจาการศึกษาวิจัยเพื่อคิดค้นวิธีการออกแบบสภาพแวดล้อมทางกายภาพที่ช่วยเสริมสร้างให้เกิดผลสัมฤทธิ์ พฤติกรรม และความเป็นอยู่ที่ดีของนักเรียน โดยพื้นที่การเรียนรู้ของเวอร์โซนั้นเน้นที่ความคล่องตัว ยืดหยุ่น และการใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

                อาคารทรงกลมที่เป็นสัญลักษณ์ของเวอร์โซ ให้ความรู้สึกของการเรียนรู้ที่เป็นอิสระ แตกต่างจากรูปแบบของอาคารเรียนแบบดั้งเดิม ทั้งนี้ โรงเรียนนานาชาติเวอร์โซ มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่เป็นไฮไลต์ อาทิ สระว่ายน้ำในร่มขนาด 50 เมตรมาตรฐานโอลิมปิกที่สามารถควบคุมอุณหภูมิได้แห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทยพร้อมด้วยระบบเกลือคลอรีนและ 10 เลนการแข่งขัน สนามฝึกซ้อมอเนกประสงค์ที่ใช้งานได้ทุกฤดูกาล สตูดิโอเพื่อการผลิตงานมัลติมีเดียและสตูดิโอบันทึกเสียง สนามกีฬาที่สามารถจุผู้ชมได้ 1,000 ที่นั่ง ห้องเวิร์คช็อปและสตูดิโองานประดิษฐ์ อาคารยิมเนเซียมขนาดใหญ่และศูนย์ออกกำลังกาย สนามฟุตบอลขนาดมาตรฐาน และโคเวิร์คกิ้งสเปซสำหรับคณาจารย์ เป็นต้น

                โรงเรียนนานาชาติเวอร์โซ จะก่อสร้างแล้วเสร็จในช่วงต้นปี 2563 และเปิดภาคการศึกษาแรกในเดือนสิงหาคม 2563 สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโรงเรียนนานาชาติเวอร์โซ สามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ www.verso.school หรือติดต่อสำนักงานรับสมัครของโรงเรียน ซึ่งจะเปิดตั้งแต่เดือนกันยายน 2562 เป็นต้นไป

                โรงเรียนนานาชาติเวอร์โซ

                  ของใช้เด็กแรกเกิด

                  เช็กลิสต์ ของใช้เด็กแรกเกิด ที่คุณแม่ต้องเตรียม!

                  ของใช้เด็กแรกเกิด ที่แม่ท้องสามารถเตรียมไว้ก่อนคลอด จะมีอะไรที่ต้องซื้อบ้าง ตาม Super Nanny ไปเช็กลิสต์หมวดหมู่ของใช้ทารกแรกเกิดที่ต้องจำเป็นกันเลย

                  เช็กลิสต์ ของใช้เด็กแรกเกิด ที่คุณแม่ต้องเตรียม!

                  Super Nanny เชื่อว่า…ต้องมีว่าที่คุณพ่อคุณแม่หลายคนสงสัยว่า ถ้าคุณแม่ท้องใกล้คลอดแล้ว…จะต้องเตรียมของใช้ทารกที่จำเป็นอะไรบ้างซื้อเตรียมรอไว้ เพื่อไม่ให้คุณพ่อคุณแม่ฉุกละหุกหาซื้อของใช้ลูกกันตอนหลังคลอด

                  Must read :จัดกระเป๋าเตรียมคลอด และเตรียมของใช้เด็กแรกเกิด

                  Must read : ของใช้ทารกแรกเกิด 11 อย่างที่ไม่จำเป็นต้องซื้อ

                  บอมเบย์จึงจะช่วยเช็กลิสต์ แนะนำอุปกรณ์ของใช้เด็กที่จำเป็นต้องซื้อจริงๆ พอลูก  คลอดมาก็จะได้มีพร้อมใช้ โดยแบ่งออกเป็น 3 หมวดหลักๆ สำหรับของใช้เด็กแรกเกิด  ที่ว่าคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ควรซื้อเตรียมไว้พร้อมใช้ค่ะ  คือ

                  1. หมวดเป็นเครื่องแต่งกาย
                  2. หมวดทำความสะอาด
                  3. หมวดเครื่องนอนเด็ก

                  และแถมด้วยหมวดเบ็ดเตล็ด ทั้งนี้ทั้งนั้นจำนวน ของใช้เด็กแรกเกิด ทั้งหมดที่ต้องซื้อเตรียมไว้ก่อนคลอดเบื้องต้น คุณพ่อคุณสามารถซื้อเพิ่มได้ในภายหลังอีก รวมทั้งอุปกรณ์ของใช้จำเป็นอื่นๆ ก็หาซื้อได้ตามวัยพัฒนาการของลูกน้อยค่ะ

                  Must read : ชี้เป้า! รวมลิงก์ ลงทะเบียนรับของฟรี คนท้อง และแม่ลูกเล็ก โดยเฉพาะ

                  ติดตามคลิปวีดีโอดีๆ กับ Super Nanny จาก Youtube channel : Amarin Baby & Kids

                  อ่านต่อบทความน่าสนใจของ Super Nanny :

                   

                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                   

                    ท้องนอกมดลูก

                    แม่แชร์ประสบการณ์! “ท้องนอกมดลูก” วิธีสังเกต รักษา อย่างละเอียด

                    ประสบการณ์ ท้องนอกมดลูก ไม่ใช่เรื่องไกลตัว สามารถเกิดขึ้นได้กับแม่ท้องอ่อนทุกคน และหากปล่อยไว้ไม่รักษา อาจอันตรายถึงชีวิต

                    แม่แชร์ประสบการณ์! “ท้องนอกมดลูก” วิธีสังเกต รักษา อย่างละเอียด

                    ทีมงานขอนำประสบการณ์ ท้องนอกมดลูก ของคุณแม่ท่านหนึ่งในเว็บไซต์ Pantip.com ที่ได้เล่าเรื่องราวที่ตนเองได้พบเจอมา พร้อมทั้งวิธีสังเกตอาการท้องนอกมดลูก และวิธีรักษาอย่างละเอียด เพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้แม่ ๆ หมั่นสังเกตตัวเองว่าหากมีเลือดออกระหว่างตั้งครรภ์ แม้จะเป็นเลือดไม่กี่หยด เลือดนั้นอาจจะไม่ใช่เลือดล้างหน้าเด็ก แต่อาจเป็นเพราะ ท้องนอกมดลูก ได้ อีกทั้งการตั้งครรภ์นอกมดลูกนั้น มีความอันตรายต่อชีวิตของแม่ท้องเป็นอย่างมากหากไม่ได้รับการรักษา ดังนี้

                    สวัสดีค่ะทุกคนอยากแชร์ประสบการณ์ที่เจอมาค่ะ เริ่มเลยนะคะ เรามีการวางแผนจะมีลูกลองปล่อยมาเป็นเวลา 9 เดือนซึ่งยังไม่ติดทำทุกวิธีทาง เช่น วัดอุณภูมิไข่ตกทุก ๆ เช้า นับวันไข่ตก ซื้อยาบำรุงโฟลิก ทำทุกท่าทางยังไม่ติด

                    ปล. เราเป็นคนที่ประจำเดือนมาตรงทุกเดือนค่ะ ทุก ๆ วันที่ 1-5 มีเคลื่อนบ้าง 1-2 วันแต่ไม่เกินอาทิตย์แรกของเดือนค่ะ ระยะเวลาเป็นประมาณ 5 วัน ต่อค่ะแอบคิดมากว่าเป็นที่อะไร ล่าสุดเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2562 ที่ผ่านมาเลยชวนแฟนไปตรวจน้ำเชื้อดูซิว่าน้ำเชื้ออ่อนไหม ที่สงสัยเนื่องจากแฟนทำงานดึกนอนวันหนึ่งแค่ 4-5 ชม. เองกลัวว่าอาจจะเป็นที่เขาก็เลยพาไปตรวจน้ำเชื้อ ไปตรวจที่สำโรงการแพยท์ ค่าตรวจ 450 บาท รอผล 1 ชม. สรุปผลน้ำเชื้อแฟนแข็งแรงดีค่ะเราบอกแฟนว่างั้นเดี๋ยวเราจะไปตรวจปากมดลูก ให้คุณหมอตรวจความพร้อมของการมีบุตร ตรวจเลือด ตรวจปากมดลูก วันนั้นไม่ได้ตรวจค่ะ ว่าจะมาตรวจอาทิตย์ถัดไป เพราะวันนั้นมีเลือดนึกว่าประจำเดือนน่าจะมามันตรวจไม่ได้ เหตุการณ์เริ่มมาจากวันนี้แหละค่ะในวันเดียวกันคือ วันที่ 2 สิงหาคม มันมีเลือดออกก็เลยคิดว่าประจำเดือนมา แต่มีความผิดปกติค่ะ สีเลือดออกแดงสดส้ม ๆ ปริมาณน้อย ระยะเวลานานถึง 7 วันก็แอบคิดนิดหนึ่งว่าเป็นอะไรหรือเปล่าหรือประจำเดือนมาไม่ปกติ ก็ไม่ได้คิดอะไรก็ปล่อยค่ะ จนมาถึงวันที่ 19 สิงหามีเลือดออกมานิดหนึ่งคือแอบดีใจคิดว่าต้องเป็นเลือดล้างหน้าเด็กแน่ ๆ เลย ไปซื้อที่ตรวจครรภ์มาค่ะ (อ่านต่อ รีวิวที่ตรวจครรภ์ ที่ตรวจครรภ์แบบไหนดี ตรวจแม่นสุด!)

                    ตรวจตอนเช้าวันที่ 20 สิงหาคม จะบอกว่าขึ้นสองขีดคือดีใจมาก แบบคนอยากมีลูกค่ะอารมณ์มันตื่นเต้นมาก แต่ยังมีเลือดออกกระปริกกระปรอยออกมาอยู่ยังคิดว่าเลือดล้างหน้าเด็กมั้ง ตอนเที่ยงไปตรวจเลือดที่โรงพยาบาลอีกรอบรอผล สรุปว่าผลชัวค่ะอายุครรภ์ 1 เดือน

                    วันที่ 20 สิงหาเลือดออกวันที่ 2 ออกมาแค่นิดเดียวยังนึกว่าเลือดล้างน่าเด็กอยู่ไม่คิดอะไรเยอะ แต่เอ๋สงสัยไหมค่ะว่าทำไหมหมอเขาบอกว่า อายุครรภ์ 1 เดือนทั้ง ๆ ที่เมื่อวันที่ 2 สิงหายังมีเลือดออกคล้ายประจำเดือนมาต้อง 7 วันอยู่เลย เราถามคุณหมอกับไปว่าใช่เหรอคะ ต้นเดือนประจำเดือนยังมาอยู่เลย คุณบอกว่า ค่า HCG สูงถึง 4349 อายุครรภ์น่าจะได้เดือนหนึ่งแล้วค่ะ เก็บความสงสัยพร้อมเดินออกจากโรงบาลไปแต่ตอนนั้นยังไม่คิดมากค่ะ ดีใจมากกว่า

                    ตั้งครรภ์นอกมดลูก
                    ตั้งครรภ์นอกมดลูก

                    วันที่ 21 วันที่วันที่ 3 ยังมีเลือดออกอีก วันนี้เยอะกว่าวันที่ 2 ครั้งนี้รู้สึกไม่สบายใจแหละกลัวลูกเป็นอะไรเราไปยกหรือไปทำอะไรกระแทกแรงหรือเปล่าเลิกงานมาไปตรวจที่โรงบาลค่ะ

                    คุณหมอค่ะเมื่อวานมาตรวจเลือดพบว่าตั้งครรภ์แต่ หนูมีเลือดออกร่วมมา 2 วันแล้วค่ะ คุณหมอส่งไปอัลตร้าซาวด์มดลูก ตอนนั้นใจไม่ดีเลยกลัวลูกจะเป็นอะไร เข้าไปตรวจสรุปข่าวที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อคุณหมอ อัลตร้าซาวด์แล้วไม่เจอถุงการตั้งครรภ์ในมดลูกเลย ว่างเปล่าคุณหมอพูดไปพร้อมกับอัลตร้าซาวด์ไปด้วยชี้ให้คนไข้ดู คนไข้คะ หมอสงสัยว่าคนไข้จะท้องนอกมดลูกนะคะ เราได้ยินเช่นนั้นตัวสั่นใจเต้นแรงคือกลัวไปหมดเลย กลัวน้องจะไม่อยู่กับเรา เลื่อนไปเลือนมาก็ไปเจอถุงดำ ๆ ที่ปีกมดลูกข้างขวาค่ะ คุณหมอบอกเจอแล้วน่าจะใช่แน่เลย แกเลื่อน ๆ ดูรอบเลื่อนไปด้านซ้ายก็ไปเจอก้อนกลม ๆ น้อย ๆ อีก คุณหมอบอกอีกว่าอันนี้น่าจะซีสต์แน่เลยแต่ไม่อันตรายนะ ตรวจเสร็จคุณหมอคุยกับเราเลยค่ะว่ามีสิทธิ์ประกันสังคมที่นี่ไหม ถ้าไม่มีสิทธิ์ค่าผ่าตัดมันแพงมากเลยค่ะ แสนขึ้น โรงพยาบาลเอกชน คุณหมอแนะนำให้ไปรักษาตามสิทธิ์นะคะจะได้ไม่เสียเงินเยอะ หมอแนะนำให้ไปวันนี้เลยนะคะอย่าปล่อยไว้นาน เราไปวันนั้นเลยค่ะคุณหมอเขียนอธิบายผลอัลตร้าซาวด์+ใบตรวจเลือดที่เราตรวจมาใส่ซองในโรงบาลที่เราจะไปใช้สิทธิ์เราไปโรงบาลเปาโลสมุทรปราการค่ะไปวันนั้นเลย เวลาประมาณ 19.30 น. ไปถึงยื่นซองให้คุณพยาบาล คุณพยายาบาลจัดการให้ไปเจอคุณหมอ คุณหมอให้อัลตร้าซาวด์อีกรอบค่ะ เพื่อความชัวร์เพราะคุณหมออีกโรงบาลเขาเขียนว่า สงสัยจะท้องนอกมดลูกเรายังภาวนาให้มันไม่จริงให้เขาตรวจผิดอะไรก็ได้ที่ลูกเราจะไม่เป็นอะไร สรุปความโชคดีมันไม่เข้าข้างค่ะ ข่าวร้ายคือใช่ค่ะท้องนอกมดลูก 100% แล้วให้แอดมิทคืนนั้นเลยค่ะ คุณหมออธิบายว่าคุณไข้ท้องนอกมดลูกค้าต้องผ่าตัดออกมันมีความเสี่ยงกับคุณแม่ถ้าเก็บไว้มันอาจจะแตกและตกเลือดช๊อคได้ นอนตามสิทธิ์ประกันสังคมค่ะ ให้อดข้าวอดน้ำต้องแต่คืนนั้นเลย คืนนั้นนอนร้องให้ทั้งคืน เจาะเลือดตรวจ 3 รอบ ใส่สายน้ำเกลือโดนเจาะเกือบจะ 8 เข็มเพราะว่าเส้นเลือดไม่ขึ้นเจาะไปแล้วเส้นมันหดต้องเปลี่ยนที่เจาะใหม่

                     

                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                    อ่านต่อ แม่แชร์ประสบการณ์! “ท้องนอกมดลูก” วิธีสังเกต รักษา อย่างละเอียด

                      สฟิงโกไมอีลิน

                      เผยผลวิจัย “สฟิงโกไมอีลิน” หนึ่งในสารอาหารสำคัญ ช่วยพัฒนาสมองลูก

                      ผลวิจัยผู้เชี่ยวชาญด้านสมองระดับโลกชี้ “สฟิงโกไมอีลิน” หนึ่งในสารอาหารสำคัญในการสร้างไมอีลิน และมีความสัมพันธ์ให้ลูกสมองดี เรียนรู้ไว”

                      ศาสตราจารย์ฌอน ดิโอนี ผู้เชี่ยวชาญด้านสมองเผยผลการวิจัย เรื่อง สฟิงโกไมอีลิน หนึ่งในสารอาหารสำคัญที่มีส่วนช่วยพัฒนาสมองลูกโดยเฉพาะช่วง 1000 วันแรกของชีวิต อยากให้ลูกสมองดี เรียนรู้ไว ต้องอ่าน

                      ศาสตราจารย์ฌอน ดิโอนี ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเครื่องสร้างภาพด้วยสนามแม่เหล็ก (MRI) ในผู้หญิงและทารกของโรงพยาบาล Rhode Island   และศาสตราจารย์ประจำภาควิชากุมารเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัย Brown University และมีวารสารทางวิชาการตีพิมพ์ถึง 69 ฉบับ และท่านยังได้รับทุนจากสถาบัน National institutes of Health (NIH) แห่งสหรัฐอเมริกา เพื่อการศึกษาวิจัยด้านการพัฒนาสมองของมนุษย์เพื่อให้เกิดศักยภาพสูงสุด

                      ในโอกาสที่ศาสตราจารย์ฌอน ดิโอนี ได้มาร่วมประชุมสัมมนาวิชาการ Meet the expert in nutrition for Brain connection- the evidence support from the past to present จัดโดยชมรมเวชศาสตร์ทารกแรกเกิดแห่งประเทศไทย เราจึงได้นำบทสัมภาษณ์มาให้คุณแม่ได้ลองอ่านกัน โดยเฉพาะคุณแม่ที่มีลูกวัยทารกค่ะ

                      พิธีกร: ตอนนี้ท่านศาสตรจารย์ฌอนกำลังให้ความสำคัญในการศึกษาค้นคว้าเรื่องใดครับ

                      ศาสตราจารย์ฌอน: มีงานวิจัยที่ได้รับทุนจากองค์กรสุขภาพแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (NIH) สิ่งที่ผมกำลังศึกษาค้นคว้าอยู่ก็คือ “เราจะทำอย่างไรให้ทารกเติบโตอย่างสมบูรณ์แข็งแรง และมีสมองที่ชาญฉลาด”  โดยผมจะทำการทดลองเพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของปัจจัยในด้านต่างๆ เช่น กรรมพันธุ์ สิ่งแวดล้อม โภชนาการที่เด็กได้รับ รวมไปถึงการเลี้ยงดูจากพ่อแม่ กับการพัฒนาการ ความฉลาดของเด็ก ส่วนอีกศึกษาหนึ่งที่สำคัญคือ ศึกษาถึงสารอาหารที่มีผลต่อการพัฒนาการของสมองและความฉลาดของเด็กโดยเฉพาะสารอาหารที่มีในนมแม่

                      พิธีกร: ศาสตรจารย์ฌอนมีแรงบันดาลใจจากเรื่องใด ที่ทำให้ท่านเริ่มศึกษาในเรื่องของการพัฒนาการสมอง โดยเฉพาะในวัยทารกครับ?

                      ศาสตรจารย์ฌอน: ผมเชื่อว่า เด็กในวันนี้ จะเป็นอนาคตของสังคมต่อไปในวันข้างหน้า ผมจึงมีความตั้งใจจริงที่อยากจะศึกษาค้นคว้าว่า มีปัจจัยใดบ้างที่จะช่วยเสริมสร้างพัฒนาการของพวกเขาให้ดีขึ้นตั้งแต่วันแรกของชีวิต เปรียบเสมือนการสร้างบ้าน บ้านที่เริ่มสร้างนั้น เราสามารถออกแบบและย้ายสวิตซ์ หรือสายไฟต่างๆ ง่ายกว่าบ้านที่สร้างเสร็จไปแล้ว ซึ่งก็เหมือนสมองเด็ก ผมเชื่อว่าเราสามารถช่วยเสริมสร้างสมองของทารกได้สมบูรณ์กว่าเด็กที่พ้นช่วงทารกไปแล้ว ดังนั้นผมจึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาสมองเด็กตั้งแต่ช่วงที่เขายังเป็นวัยทารกและเด็กเล็กอยู่ครับ

                      พิธีกร: รบกวนท่านศาสตราจารย์เล่าถึงผลการวิจัยที่ท่านค้นพบ และปัจจัยใดบ้างที่มีส่วนช่วยพัฒนาสมองของทารกครับ

                      ศาสตราจารย์ฌอน: การวิจัยของผมจะทำการติดตามเด็ก 1,500 คน ซึ่งเด็ก 500 คน มีการเก็บข้อมูลตั้งแต่เด็กอยู่ในครรภ์จนกระทั่งเด็กคลอดและติดตามต่อมา ส่วนเด็กอีก 1,000 คนเข้าร่วมการศึกษาตั้งแต่อายุน้อยกว่า 6 เดือนและติดตามผลอย่างต่อเนื่อง และเก็บข้อมูลในเรื่องต่างๆ เช่น กรรมพันธุ์ คุณภาพอากาศ เวลาการนอน โภชนาการ  รวมถึงการสแกนสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) ทำให้เรารู้ว่า โภชนาการที่ดี คือปัจจัยหลักที่ทำให้เด็กฉลาด โดยเฉพาะนมแม่ เพราะในนมแม่มีสารอาหารที่สำคัญต่อการพัฒนาสมองเด็กครับ

                      พิธีกร: สารอาหารใดบ้างในนมแม่ที่มีผลต่อการพัฒนาสมองเด็กครับ

                      ศาสตราจารย์ฌอน: การสร้างไมอีลินในสมองเป็นปัจจัยสำคัญมากๆ เพื่อให้มีการเชื่อมต่อของสมองที่ดีและรวดเร็วขึ้น  ซึ่งนมแม่มีสารอาหารมากมาย เช่น สฟิงโกไมอีลิน DHA โคลีน และสารอาหารอื่นๆ ซึ่ง“สฟิงโกไมอีลิน” ซึ่งเป็นหนึ่งในสารอาหารที่ช่วยสร้างไมอีลินในสมอง  ถ้าสมองมีไมอิลีนสมบูรณ์ ทารกก็จะฉลาด มีพัฒนาการดี และเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วครับ

                       พิธีกร: สฟิงโกไมอีลิน ช่วยพัฒนาสมองของทารกได้อย่างไรครับ

                      ศาสตราจารย์ฌอน: สมองทุกส่วนของมนุษย์จะต้องทำงานเชื่อมต่อถึงกันทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการมองเห็น การขยับตัว การจะฝึกเดินตั้งแต่เด็ก  ซึ่งการเชื่อมต่อกันนั้นจะทำได้เร็วมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับไมอิลีนในสมอง  ในนมแม่มีสารอาหารหลายชนิด และมีสฟิงโกไมอิลีนที่ช่วยสร้างและพัฒนาไมอีลินในสมองทารกให้ดีขึ้น  การเชื่อมโยงของสมองก็รวดเร็วขึ้น  ดังนั้นเด็กที่กินนมแม่จึงมีการเรียนรู้ที่มีศักยภาพกว่าเด็กที่ไม่ได้กินนมแม่นั่นเองครับ

                      พิธีกร: มีผลการวิจัยใดบ้างที่สามารถยืนยันได้ว่า สฟิงโกไมอีลินช่วยให้ทารกสามารถเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วครับ

                      ศาสตราจารย์ฌอน: ผมทำการศึกษาในนมแม่พบว่า DHA โคลีน และสฟิงโกไมอีลิน เป็นหนึ่งในสารอาหารสำคัญการสร้างไมอีลิน ไมอีลินมีโครงสร้างพิเศษที่ทำให้สมองทำงานได้เร็วขึ้นและส่งผลต่อศักยภาพการเรียนรู้และสติปัญญาของเด็ก สมองของเด็กที่มีไมอีลินมากกว่าจะเรียนรู้ได้ไวกว่า โดยเฉพาะเด็กที่กินนมแม่ จะมีการสร้างไมอีลินที่มากกว่า  ส่งผลให้สติปัญญา สูงกว่าเด็กที่ไม่ได้รับนมแม่

                      พิธีกร: ทำไม 1,000 วันแรกของชีวิต จึงเป็นช่วงเวลาที่สำคัญมากครับ

                      ศาสตราจารย์ฌอน: 1,000 วันแรกของชีวิต เราจะนับตั้งแต่ทารกอยู่ในครรภ์ 40 สัปดาห์ และหลังคลอดอีก 2 ปี โดยช่วงเวลานี้สมองของเราจะพัฒนาใกล้เคียงกับสมองของผู้ใหญ่  หรือพูดอีกนัยนึงว่า 1,000 วันแรกจะเป็นช่วงเวลาที่สมองมีพัฒนาการมากที่สุดก็ว่าได้  ดังนั้นช่วงเวลานี้จึงเป็นโอกาสทองในการพัฒนาสมองของลูก  และเป็นรากฐานสำคัญที่จะทำให้การเรียนรู้ต่าง ๆ ในอนาคตนั้นของลูกนั้นดีขึ้นและรวดเร็วขึ้น

                      พิธีกร: คุณพ่อคุณแม่จะมีส่วนช่วยเสริมสร้าง พัฒนาการสมองของลูกได้อย่างไรบ้างครับ ?

                      ศาสตราจารย์ฌอน: คุณพ่อคุณแม่ควรใส่ใจโภชนาการและการเลี้ยงดูลูกครับ หมั่นกระตุ้นฝึกฝนทักษะต่างๆ ให้ความรักความผูกพันกับลูกตั้งแต่ยังเป็นทารก รวมไปถึงการดูแลโภชนาการที่ดีครับ  ในกรณีที่คุณแม่ไม่สามารถให้นมได้ ควรปรึกษาแพทย์เนื่องจากพัฒนาการด้านสมองและสติปัญญาของเด็กต้องมีโภชนาการที่เหมาะสมตั้งแต่ช่วงแรกของชีวิต

                       หากเราสามารถสร้างสมดุลทั้งสองเรื่องนี้ได้ ผมเชื่อว่าลูกน้อยของคุณแม่ก็จะมีพัฒนาการที่ดีอย่างแน่นอนครับ

                      #สฟิงโกไมอีลิน #สารอาหารเพื่อพัฒนาการทางสมอง #ไมอีลิน #สมองดีเรียนรู้ไว

                        เงินอุดหนุนบุตรเดือนกันยายน 2562

                        เช็คด่วนเลยแม่! เงินอุดหนุนบุตรเดือนกันยายน 2562 ไม่เข้า ต้องติดต่อที่ไหน?

                        จากประกาศกรมกิจการเด็กและเยาวชน แจ้งว่า เงินอุดหนุนบุตรเดือนกันยายน 2562 ไม่สามารถเบิกจ่ายเงินอุดหนุนให้กับผู้มีสิทธิฯ ได้ ทำให้แม่ ๆ เกิดคำถามว่า เงินอุดหนุนบุตร 2562 เข้าวันไหน? หาคำตอบได้ที่นี่ค่ะ

                        เช็คด่วนเลยแม่! เงินอุดหนุนบุตรเดือนกันยายน 2562 ไม่เข้า ต้องติดต่อที่ไหน?

                        ตามที่ กรมกิจการเด็กและเยาวชน แจ้งให้ทราบว่า เนื่องจากจำนวนผู้ลงทะเบียนและได้รับสิทธิ์เงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดเกินกว่าเป้าหมาย ประกอบกับจะมีผู้ลงทะเบียนเพิ่มตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2562 ส่งผลให้งบประมาณที่ได้รับการจัดสรรไม่เพียงพอต่อการดำเนินงานโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด จำเป็นต้องขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่าย งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นในการจ่ายเงินเฉพาะกิจโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดเพิ่มเติม เพื่อดำเนินการจ่ายให้แก่ผู้มีสิทธิ์ที่ได้รับเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด นั้น

                        กรมกิจการเด็กและเยาวชน ขอแจ้งให้ทราบว่า เงินอุดหนุนบุตรเดือนกันยายน 2562 ไม่สามารถเบิกจ่ายเงินอุดหนุนให้กับผู้มมีสิทธิ์ได้รับเงินอุดหนุนฯ ได้ ขณะนี้อยู่ระหว่างการขอรับการสนับสนุนงบประมาณ (งบอุดหนุน) เพิ่มเติม และกรมกิจการเด็กและเยาวชนจะเบิกจ่ายเงินอุดหนุนให้กับผู้มีสิทธิ์ได้รับเงินอุดหนุนฯ เมื่อได้รับการจัดสรรงบประมาณจากสำนักงบประมาณแล้ว ทั้งนี้ กรมกิจการเด็กและเยาวชนขอความร่วมมือแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวของและกลุ่มเป้าหมายทราบด้วย

                        เงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด
                        เงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด

                         

                        นอกจากนี้ทางเพจ โครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด ได้อธิบายเพิ่มเติมไว้ว่า เงินอุดหนุนเด็กเป็นเงินคนละส่วนกับเงินที่ช่วยเหลือด้านอื่น ๆ  เงินจะโอนมาให้ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณโดยเป็นการคาดคะเนจากการเกิดของเด็ก แต่เนื่องด้วยมีการขยายกลุ่มเป้าหมาย เป็นฐาน 100,000 บาท ต่อคน ต่อปี และ มีคนมาลงทะเบียนเกินเป้าหมายที่คาดคะเนไว้ทำให้ไม่เพียงพอต่อการจ่าย ทางโครงการฯ จึงขออภัยในความไม่สะดวกคุณแม่ทุกท่านด้วยค่ะ

                        จากประกาศนี้ จะเห็นได้ว่าในเดือนกันยายน 2562 นี้ ครอบครัวที่มีสิทธิ์ในการได้รับเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด จะยังไม่ได้รับเงินอุดหนุนนี้ และยังไม่มีกำหนดที่แน่นอนว่าจะได้รับเงินอุดหนุนฯ อีกครั้งเมื่อไหร่ สำหรับคุณแม่ที่ต้องการติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดว่า เงินอุดหนุนบุตร 2562 เข้าวันไหน เมื่อไหร่? เรามีเบอร์ติดต่อเจ้าหน้าที่แต่ละจังหวัดมาฝากค่ะ

                         

                        อ่านต่อ เช็คด่วนเลยแม่! เงินอุดหนุนบุตรเดือนกันยายน 2562 ไม่เข้า ต้องติดต่อที่ไหน? เบอร์ติดต่อพมจ. แต่ละจังหวัด

                        บทความที่แนะนำ

                        เงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด กับ เงินสงเคราะห์บุตร ต่างกันอย่างไร?

                        เฮได้! พ่อแม่ที่อยู่ในระบบประกันสังคม ลูกมีสิทธิได้เงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด

                        แม่เตรียมเฮ! ผู้ถือ บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ได้เงินอุดหนุนบุตรเพิ่ม 300!

                         

                        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                          ฝึกลูกกินอาหารเอง

                          รู้จัก BLW ฝึกลูกกินอาหารเอง หยิบเอง แม่ไม่ต้องป้อนตั้งแต่มื้อแรก

                          เมื่อลูกถึงวัยเริ่มกินอาหารเสริม แม่หลายบ้านสาระวนอยู่กับการคิดเมนู หาวัตถุดิบ ต้มบดขูดหวังให้ลูกได้กินอาหารดีมีประโยชน์ แต่เจ้าตัวน้อยกลับไม่ยอมกินง่าย ๆ ป้อนทิ้งบ้าง ร้องโวยลั่นบ้าน จนกลายเป็นสงครามประจำบ้าน แม่รู้สึกเครียด ลูกไม่แฮปปี้ ถ้า ฝึกลูกกินอาหารเอง  เลือกเองว่าจะกินอะไรตั้งแต่เริ่มกินมื้อแรก จะช่วยแก้ปัญหาได้หรือไม่

                          ฝึกลูกกินอาหารเอง ด้วยวิธี Baby Led Weaning ไม่ต้องบด ไม่ต้องป้อน

                          เป็นเรื่องปกติของลูกน้อยที่กินแต่นมแม่อย่างเดียวมาตลอด 6 เดือนจะต้องปรับตัวครั้งใหญ่กับการกินอาหารครั้งแรกในชีวิต การเปิดโอกาสให้ลูกน้อยได้ทำความรู้จักกับสิ่งที่เขาต้องเอาเข้าปากผ่านการหยิบ ดม ชิม ไปจนถึงการ ฝึกลูกกินอาหารเอง น่าจะช่วยให้คุ้นเคยกับการกินได้ง่ายขึ้น การกินอาหารด้วยวิธี Baby Led Weaning  หรือ BLW จึงเป็นอีกทางเลือกที่พ่อแม่รุ่นใหม่กำลังให้ความสนใจ

                          ฝึกลูกกินอาหารเอง BLW

                          BLW คืออะไร

                          เป็นทางเลือกการกินอาหารเสริมของเด็กวัย 6 เดือนขึ้นไป โดยเน้นให้เด็กกินอาหารเองได้ 100 % โดยไม่ต้องป้อน และไม่ใช่การกินอาหารที่ผ่านการบด ครูด หรือปั่นอย่างที่คุ้นเคย แต่เด็ก ๆ จะกินอาหารเหมือนผู้ใหญ่ เพียงแต่ไม่ปรุงรส และหั่นเป็นชิ้นที่เหมาะสมให้หยิบเข้าปากเอง นั่งกินร่วมบนโต๊ะอาหารเดียวกัน

                          เชื่อว่าคำถามหนึ่งที่เกิดในใจคุณแม่คือ “ลูกจะกินเองได้หรอ” ตามพัฒนาการของเด็กวัย 6 เดือนสามารถนั่งตัวตรงหยิบ จับ ใช้ลิ้นดุด เริ่มเลีย กัด เคี้ยว และกลืนอาหารได้เองตามธรรมชาติ การกินแบบ BLW เป็นอีกหนึ่งวิธีที่เปิดโอกาสให้เด็กได้พัฒนาทักษะการกินได้อย่างเต็มที่ โดยให้เด็กเป็นคนนำแทนการป้อนที่พ่อแม่เป็นคนควบคุม

                          หลักการจำง่าย ทำตามได้ของ BLW

                          ไม่เริ่มหัดก่อนลูกอายุ 6 เดือน

                          ไม่ปรุงอาหาร เค็ม หวาน ให้กินรสธรรมชาติ

                          ไม่ป้อน ไม่บด ไม่หลอกล่อ ไม่กดดัน

                          หั่นอาหารให้ถูกต้อง ไม่เสี่ยงติดคอ

                          กินครบ  5 หมู่และหลากหลาย

                          กินข้าวพร้อมกันทั้งบ้าน

                          BLW ดีกับลูกได้อย่างไร

                          การ ฝึกลูกกินอาหารเอง แบบ BLW อาจเป็นเรื่องใหม่สำหรับพ่อแม่คนไทย ในประเทศสหรัฐอเมริกามีการศึกษาพบว่า เด็กที่กิน BLW มีแนวโน้มแพ้อาหารน้อยลงและป้องกันภาวะน้ำหนักเกินได้ จึงมีการสนับสนุนมากขึ้น การที่เด็กกินอาหารมีประโยชน์ทั้งกับลูกน้อย และคุณพ่อคุณแม่ จะมีอะไรบ้างตามมาดูกันเลย

                          ฝึกลูกกินอาหารเอง

                          ประโยชน์กับลูกน้อย

                          * ป้องกันอาหารติดคอ เพราะเด็กได้เรียนรู้วิธีเอาอาหารเข้าปาก และสำรอกอาหารออกมา ซึ่งเป็นทักษะสำคัญหากเด็กเผลอกินอะไรที่ไม่เหมาะสมหรือติดคอ ลูกจะต้องหยิบอาหารมากัดเป็นชิ้นที่พอดีกับปาก และควบคุมให้อยู่ในปากเพื่อเคี้ยวเป็นชิ้นก่อนกลืน

                          หลายคนอาจสงสัยว่า เด็กอายุ 6 เดือนยังไม่มีฟันจะกัดอาหารได้อย่างไร ความจริงแล้วเหงือกของลูกน้อยแข็งแรงมาก (เทียบกับแรงที่ดึงทึ้งเวลาดูดนม) ลูกจึงสามารถใช้เหงือกกัดอาหารให้ขาดเป็นชิ้นพอดีคำได้ ไม่ว่าจะเป็น แอปเปิ้ลทั้งลูก น่องไก่ เป็นต้น

                          *ฝึกการใช้งานมือและตาให้สัมพันธ์กัน (Hand-Eye Coordination) ซึ่งเป็นทักษะพื้นฐานประมวลผลจากการเห็นและสัมผัส รวมถึงการเคลื่อนไหวร่างกายที่คล่องแคล่วเมื่อโตขึ้น เพราะทุกครั้งที่ลูกหยิบอาหารเข้าปาก เขาต้องใช้ตามองอาหารและกะระยะให้ตรงกับปากพอดี

                          *ฝึกประสาทสัมผัสทั้งห้า ผ่านการมองเห็น สัมผัส ดมกลิ่น รับรสอาหารด้วยตัวเองทุกคำ เช่นรู้ว่าบรอกโคลีต่างจากข้าวโพดอ่อนอย่างไร สิ่งนี้ช่วยส่งเสริมให้ลูกน้อยเรียนรู้สิ่งรอบตัวได้รวดเร็ว

                          *สร้างความมั่นใจ และกล้าตัดสินใจ (Self-esteem) เพราะสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ เลือกเองว่าจะกินอะไรเป็นอย่างแรก และกินเท่าไร เพราะเขารู้ว่าอาหารตรงหน้าคืออะไร มีรสชาติแบบไหน ชอบหรือไม่ชอบ

                          *กล้าลองกินอาหารใหม่ ๆ เพราะรู้จักรสชาติของอาหารแต่ละชนิด จึงเลือกว่าจะกินหรือไม่กินด้วยตัวเอง โดยไม่ถูกบังคับ ทำให้เด็กกินอาหารได้หลากหลาย หมดปัญหาเรื่องการกินซ้ำ กินแค่บางอย่าง หรือขาดสารอาหาร

                          *ควบคุมความอยากกินของตัวเองได้ เมื่อ ฝึกลูกกินอาหารเอง พอรู้สึกอิ่มก็จะหยุดกิน แต่ถ้ามื้อไหนหิวก็จะกินต่อจนอิ่ม ไม่กินจนเกินพอดี ไม่เสี่ยงต่อการกินมากจนเกินไป ซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคร้ายต่าง ๆ

                          *พูดเร็วขึ้น เวลาเด็กเคี้ยวอาหารที่เนื้อสัมผัสต่างกัน เช่น อ่อนนิ่ม หนา บาง แข็ง กรอบ จะได้ฝึกขยับปากและลิ้นในหลายรูปแบบ เมื่อถึงวัยหัดพูด ลูกจะพูดได้เร็ว และพูดชัด

                          ฝึกลูกกินอาหารเอง

                          ประโยชน์กับพ่อแม่และครอบครัว

                          *ทุกคนในบ้านจึงกินอาหารได้อย่างมีความสุข เมื่อลูกกินอาหารเองทำให้เขากินอาหารอย่างมีความสุข และกินในเวลาเดียวกับคนอื่นในครอบครัวโดยไม่ต้องบังคับ ทำให้พ่อแม่กินข้าวไปพร้อมกันได้ โดยไม่ต้องคอยกังวลกับการป้อนอาหาร

                          *พ่อแม่เครียดน้อยลง เพราะไม่ต้องคอยคาดหวังว่าลูกจะกินมากหรือน้อย ต้องมาคิดหาเมนูที่ลูกจะกิน ทำให้ครอบครัวมีความสุขมากขึ้น *ไม่เสียเวลาหลอกล่อ BLW ช่วยฝึกให้ลูกกินเป็นเวลา เมื่อถึงเวลาอาหาร ลูกพร้อมจะกินทันทีโดยไม่ต้องคะยั้นคะยอ

                          *ประหยัดค่าใช้จ่าย เพราะ BLW ใช้เพียงถาดวางอาหาร กับผ้ากันเปื้อนไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องบดปั่นอาหาร หรือจานชามสวยไว้หลอกล่อ ที่สำคัญลูกยังกินอาหารเหมือนพ่อแม่ จึงไม่ต้องแยกซื้ออาหารด้วย

                          *กินข้าวนอกบ้านแสนสบาย เพราะเด็กสามารถนั่งกินอาหารที่สั่งมาได้เหมือนผู้ใหญ่ เพียงแต่เลือกเมนูที่ไม่ปรุง เช่น น่องไก่ทอด ข้าวสวย และแครอทต้ม ไม่ต้องเสียเวลาป้อนหรือเตรียมอาหารแยกไปต่างหาก

                          อ่านต่อ รู้ได้อย่างไรว่าลูกพร้อมกินแบบ BLW หรือยัง หน้า 2 

                           

                          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                           

                            อาการโรคคาวาซากิ

                            แม่แชร์ อาการโรคคาวาซากิ และวิธีรักษา เมื่อลูกป่วยเป็นโรคคาวาซากิ

                            สังเกตลูกให้ดี!!! อาการโรคคาวาซากิ แท้จริงหาสาเหตุไม่ได้ แต่หากลูกมีไข้สูงหลายวัน ตาแดง ริมฝีปากแดงแห้งแตก ลิ้นคล้ายผลสตรอว์เบอร์รี ต้องรีบหาหมอ รักษาช้ามีผลต่อหัวใจ

                            แม่แชร์ อาการโรคคาวาซากิ และวิธีรักษา
                            เมื่อลูกป่วยเป็นโรคคาวาซากิ

                            โรคคาวาซากิ (Kawasaki Disease) ถือเป็นอีกหนึ่งโรคร้าย ซึ่งเชื่อคุณพ่อคุณแม่หรือคนส่วนใหญ่อาจจะไม่เคยได้ยิน และคิดไปว่ามันคือโรคอะไรกันแน่ เพราะชื่อนั้นเหมือนรถจักรยานยนต์ยี่ห้อหนึ่ง สัญชาติญี่ปุ่นเลย ซึ่งแท้จริงแล้วที่มาของ “โรคคาวาซากิ” นั้น มีรายงานครั้งแรกตั้งแต่ปี 1967 โดยแพทย์ชาวญี่ปุ่นชื่อ Tomisaku Kawasaki ตรวจพบในเด็กชายชาวญี่ปุ่นอายุ 4 ปี ที่ป่วยเป็นไข้ร่วมกับอาการอื่นๆ ซึ่งไม่เคยตรวจพบมาก่อน หลังจากนั้นจึงตรวจพบผู้ป่วยอาการแบบเดียวกันมาเรื่อยๆ และมีอุบัติการณ์ของโรคนี้กระจายไปทั่วโลกรวมทั้งในประเทศไทย

                            สำหรับ อาการโรคคาวาซากิ นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ ได้เคยเปิดเผยว่า โรคนี้เป็นโรคที่มีการอักเสบของหลอดเลือดแดงทั่วร่างกาย  มักพบในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี และพบบ่อยในช่วงอายุ 1-2 ปี  ผู้ชายเป็นมากกว่าผู้หญิง และพบว่าในเด็กที่อายุน้อยๆ และเพศชาย จะมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนสูงกว่าเด็กโตๆ หรือผู้หญิง

                            ทั้งนี้ภาวะแทรกซ้อนอาจรุนแรงตั้งแต่วันแรกๆ ของโรค อาจมีอาการช็อกและเสียชีวิตได้ แต่พบน้อย ซึ่งภาวะแทรกซ้อนส่วนใหญ่จะไม่มีอาการ ต้องตรวจโดยผู้เชี่ยวชาญ ด้วยเครื่องตรวจ Echocardiogram ว่า มีหลอดเลือดหัวใจผิดปกติหรือไม่ เพราะถ้าผิดปกติจะมีโอกาสเกิดการขาดเลือดของกล้ามเนื้อหัวใจ เสียชีวิตเฉียบพลันได้ตั้งแต่อายุน้อยๆ

                            อาการโรคคาวาซากิ

                            เช่นเดียวกับน้องทิวสน หนูน้อยวัย 2 ขวบ ที่ป่วยมี อาการโรคคาวาซากิ โดยคุณแม่ของน้องทิวสนก็ได้ออกมาโพสต์เฟซบุ๊กชื่อ Nattida Nettip เพื่อเตือนใจคุณพ่อคุณแม่ให้สังเกตลูกน้อยให้ดีเกี่ยวกับโรคนี้ โดยคุณแม่เล่าว่า…

                            คาวาซากิ!!!!! ได้ยินชื่อนี้ครั้งแรก คืออะไร ไม่เข้าใจ โรคอะไรทำไมเราไม่เคยได้ยินชื่อนี้เลย มันอันตรายมากไหม แล้วลูกเราจะหายไหม ทุกอย่างมันวิ่งวนอยู่ในความคิดเต็มไปหมด

                            วันนี้แม่จะมาเล่าประสบการณ์ที่ลูกชาย น้องทิวสน อายุ 2 ขวบ ป่วยเป็นโรคคาวาซากิ !!!!

                            วันที่ 1 ช่วงเช้าน้องเริ่มมีอาการตัวร้อนแต่ร้อนไม่มาก แม่ได้ให้น้องทานยาลดไข้แล้วให้น้องไปโรงเรียนตามปกติ พอตกช่วงเย็นแม่ไปรับน้องแล้วจับตัวน้องเริ่มรู้สึกว่าน้องตัวร้อนมาก จึงได้พาน้องไปหาหมอที่คลินิก เมื่อไปถึงคลินิกหมอได้ทำการตรวจให้น้องแต่ด้วยความที่น้องยังเด็กเมื่อน้องเห็นหมอน้องก็จะร้องไห้แบบเยอะมาก เพราะน้องกลัวเนื่องจากน้องเค้าจำได้ว่าเคยโดนฉีดวัคซีนที่นี้เมื่อน้องร้องไห้เยอะจึงทำให้เหงื่อออก เวลาวัดไข้จึงไม่มีไข้หมอจึงไม่ได้ให้ยาแล้วให้กลับบ้าน

                            … วันที่ 2 หลังจากหาหมอเสร็จคืนนั้นน้องก็ตัวร้อน วัดไข้ได้ประมาณ 38 กว่าๆ เช้าจึงพาน้องไปหาหมออีกรอบแต่ครั้งนี้น้องเริ่มมีน้ำมูก หมอจึงให้ยาลดไข้และยาฆ่าเชื้อมาให้น้องทาน แต่กลางวันน้องไม่มีไข้ เล่นได้ตามปกติ

                            วันที่ 3 กลางคืนน้องก็มีไข้ขึ้นสูง เหมือนเคย สังเกตว่าทั้ง 3 คืนน้องจะมีไข้ขึ้นสูงเวลาเดียวกันเลยคือประมาณ 24.00 -2.00 น. ก็ให้น้องทานยาลดไข้ น้องก็อาการดีขึ้นแต่พอหมดฤทธิ์ยา ไข้ก็จะกลับมา วนเวียนไปแบบนี้

                            วันที่ 4 ตอนเช้าตื่นมา น้องเริ่มมีผื่นแดงๆขึ้นตามตัว ขึ้นเป็นจุดๆแดง ไม่นูนแต่สังเกตได้ชัดว่ามีผื่นขึ้น น้องก็เริ่มมีไข้ จึงพาไปหาหมอที่คลินิกแห่งเดิมอีกครั้ง หมอแจ้งว่าน้องเป็นผื่นลมพิษคิดว่าเป็นผลข้างเคียงจากการเป็นไข้ หมอจึงให้ยาลดภูมิแพ้กับมา แต่พอตกกลางคืนน้องก็มีไข้ขึ้นสูงวัดไข้ 38.6 จึงตัดสินพาน้องไปโรงพยาบาล

                            แม่ขอเกริ่นก่อนนะคะ ก่อนหน้านี้แม่ได้ทำประกันสุขภาพให้น้อง จึงปรึกษากันว่าเอาน้องเข้าโรงพยาบาลเอกชนดีกว่า จึงตัดสินใจเอาน้องเข้าหาหมอที่โรงพยาบาลกรุงเทพฯ เวลา 00.30 น.

                            เมื่อไปถึงน้องก็เข้าห้องฉุกเฉินหมอได้ทำการวัดไข้ไข้น้องขึ้นสูง พยาบาลและหมอจึงช่วยกันทำทุกวิธีเพื่อให้น้องไข้ลดลงโดยการจับอาบน้ำ เช็ดตัว เมื่อไข้น้องลดลง ก็ได้ทำการเจาะเลือด นำน้ำมูกและฉี่ไปตรวจเพื่อหาสาเหตุว่าน้องป่วยเป็นโรคอะไรกันแน่เพราะน้องมีไข้ขึ้นสูงเป็นเวลา 4 วันติดต่อกัน

                             

                            อ่านต่อ >> อาการโรคคาวาซากิและวิธีรักษา” คลิกหน้า 2

                             

                              ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ a 2019

                              ฉีดวัคซีนแล้วก็ยังป่วย! ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ a 2019 ระบาดอีกครั้ง

                              ขณะนี้สถานการณ์ ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ a 2019 กลับมาระบาดหนักอีกระลอก โดยผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้วก็ยังจะป่วยจากโรคนี้ได้อีก นั่นเป็นเพราะ…

                              ฉีดวัคซีนแล้วก็ยังป่วย! ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ a 2019 ระบาดอีกครั้ง

                              รายงานการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์ไข้หวัดใหญ่ระหว่าง ม.ค.- ก.ค. 2562

                              โดย ศูนย์ไข้หวัดใหญ่แห่งชาติ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ วันที่ 30 สิงหาคม 2562

                              โครงการ “การศึกษาสายพันธุ์ไข้หวัดใหญ่เพื่อการเตรียมความพร้อมรับมือไข้หวัดใหญ่ระบาดใหญ่ (Study of Influenza strains for supporting of Pandemic Influenza Preparedness Planning)” ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากสถาบันวิจัยวัคซีนแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ได้สุ่มตัวอย่างจากผู้ป่วยที่มีอาการคล้าย ไข้หวัดใหญ่ (ILI) ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง ปอดบวม ปอดอักเสบ (SARI) จากระบบเฝ้าระวังโรคไข้หวัดใหญ่และ ไข้หวัดนก โดยกระทรวงสาธารณสุข ระหว่างเดือนมกราคม – กรกฎาคม 2562 พบว่าในปีนี้ประเทศไทยมีการ ระบาดของไข้หวัดใหญ่ชนิด B สูงผิดปกติและต่อเนื่องมาจนถึงฤดูร้อน ซึ่งโดยปกติจะระบาดในช่วงฤดูหนาว เท่านั้น นอกจากนี้ในภาพรวมของเชื้อไข้หวัดใหญ่ชนิดอื่น ๆ ยังมีอัตราผลบวกสูงกว่าทุก ๆ ปีเมื่อเทียบกับ ช่วงเวลาเดียวกัน และผลจากการศึกษาการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์ ด้วยวิธี Gene sequencing พบว่าตัวแทน ของเชื้อไข้หวัดใหญ่ที่แยกได้ เมื่อเปรียบเทียบกับสายพันธุ์วัคซีนมีสัดส่วนดังนี้

                              ไข้หวัดใหญ่
                              ไข้หวัดใหญ่

                              โดยสายพันธุ์วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่แบบ Trivalent ที่กระทรวงสาธารณสุขกำลังรณรงค์ฉีดให้ กลุ่มเป้าหมายในเดือนมิถุนายน 2562 เป็นวัคซีนที่ใช้สำหรับประเทศทางซีกโลกใต้ประกอบด้วยเชื้อ 3 สาย พันธุ์คือ

                              • an A/Michigan/45/2015 (H1N1)pdm09-like virus;
                              • an A/Switzerland/8060/2017 (H3N2)-like virus;
                              • and -a B/Colorado/06/2017-like virus (B/Victoria/2/87 lineage)

                              จากรายงานสถานการณ์ข้างต้น สรุปได้ว่าในปีนี้ที่พบการระบาดหนักและต่อเนื่อง เนื่องจากสายพันธุ์ที่ระบาดหนัก ซึ่งผู้ป่วยประมาณ 80% เป็นสายพันธุ์ A/Singapore/INFIMH-16-0019/2016 (H3N2) ในขณะที่ วัคซีนที่เราฉีดตอนนี้คือ A/Switzerland/8060/2017 (H3N2) นั่นเอง นี่เป็นเหตุผลที่แม้แต่เด็กที่ฉีดวัคซีนแล้ว ก็ยังมีความเสี่ยงที่จะเป็น ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ a 2019 ได้อีก

                               

                              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                              อ่านต่อ ทำไม ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ a 2019 ถึงระบาด และฉีดวัคซีนไปแล้วทำไมยังป่วยได้

                                ลูก3 ขวบ เอาแต่ใจ

                                ลูก 3 ขวบ เอาแต่ใจ ดื้อรั้น ก้าวร้าว เจ้าอารมณ์ แม่ต้องรับมือยังไง?

                                ผ่านวัยทอง 2 ขวบมาแล้ว คุณแม่ยังหนีไม่พ้นกับอารมณ์วายร้าย 3 ขวบหรือ Terrible Threes พฤติกรรมดื้อในวัยต่อต้านที่ ลูก 3 ขวบ เอาแต่ใจ เพราะอะไรลูกถึงมีอารมณ์แบบนี้ หาวิธีรับมือกับเจ้าตัวเล็กในเรื่องนี้กันคะ

                                ลูก 3 ขวบ เอาแต่ใจ วีน เหวี่ยง ก้าวร้าว แม่ต้องรับมือยังไง?

                                เมื่อลูกเข้าสู่วัยเตาะแตะ หนทางการเลี้ยงลูกยังไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เจ้าตัวเล็กอยากจะทำอะไรก็ทำ พอถูกขัดใจก็เริ่มก้าวร้าว ชอบต่อต้านมากขึ้น แม้ว่าพฤติกรรมแบบนี้อาจไม่ได้เกิดทุกช่วงเวลา แต่อารมณ์แบบนี้ก็จะทำให้คุณพ่อคุณแม่กังวลและปวดหัวกันไม่น้อย นี่คือ 6 ลักษณะพฤติกรรมของลูกวัย 3 ขวบ และวิธีรับมือ

                                พฤติกรรม ลูก 3 ขวบ
                                www.pexels.com

                                #1 แสดงความโกรธอย่างรุนแรง

                                ลูกจะแสดงอาการโกรธอย่างรุนแรงทันทีเมื่อถูกขัดใจ ด้วยการแสดงออกทางอาการ เช่น กระทืบเท้า ลงไปนั่ง/นอนกับพื้น ร้องตะโกนเสียงดัง ฯลฯ

                                วิธีรับมือ : เด็กวัยแค่ 3 ขวบ ส่วนใหญ่มักเก็บอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ ยังไม่มีวุฒิภาวะในการควบคุมตัวเองได้ เมื่อถูกขัดใจก็จะแสดงพฤติกรรมที่ไม่น่ารัก คุณแม่ลองเข้าไปสอบถามความรู้สึกของลูกและพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แสดงอาการรับรู้และเข้าใจถึงความไม่พอใจ เมื่อลูกได้ยินเสียงน้ำเสียงที่อ่อนโยนอารมณ์ที่ปะทุโกรธก็จะเบาบางลง และอธิบายเหตุผลที่ถูกต้องตามมาเพื่อให้ลูกเข้าใจ

                                #2 ดื้อดึง ท้าทาย เพราะอยากรู้ว่าทำไม

                                ลูกวัยนี้มีความสนใจที่อยากรู้ อยากลองไปหมด และจะอารมณ์เสียทุกครั้งเมื่อถูกห้ามหรือได้ยินแม่พูดคำว่า “ไม่” พร้อมกับความคิดที่ว่า “ทำไมหนูถึงเล่นแบบนี้ไม่ได้”/ “ทำไมหนูถึงกินสิ่งนี้ไม่ได้” เป็นต้น ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ ในขณะที่คำว่าไม่ของแม่ไม่ได้บอกเหตุผล ก็อาจจะยิ่งทำให้ลูกท้าทายมากขึ้น

                                วิธีรับมือ : หลีกเลี่ยงพูดคำว่า “ไม่/ ห้าม/ อย่า” กับลูก เพราะลูกวัยนี้ยังไม่เข้าใจถึงอันตรายและเหตุผลที่แม่คอยห้าม แต่คุณแม่สามารถสอนลูกและอธิบายเหตุผลว่าเพราะอะไรลูกถึงไม่ควรทำสิ่งนี้ เช่น “เราไม่สามารถออกไปเล่นนอกบ้านในตอนนี้ได้เพราะฝนตกและจะทำให้ลูกเป็นหวัดนะ” การบอกเหตุผลจะทำให้ลูกเข้าใจในสิ่งที่ถูกต้องและลดความท้าทายลง

                                 

                                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                 

                                อ่านต่อ 6 ลักษณะพฤติกรรมของลูก 3 ขวบ และวิธีรับมือ คลิกหน้า 2

                                  พาลูกเที่ยว เดือนกันยายน

                                  พาลูกเที่ยว เดือนกันยายน กับหลากกิจกรรมสุดว้าวของเด็กทุกวัย

                                  ช่วงวันหยุดเป็นเวลาแสนวิเศษ ที่เด็กจะได้ทำกิจกรรมที่ชอบ และผ่อนคลายจากการเรียนมาตลอดทั้งสัปดาห์ หากคุณพ่อคุณแม่อยากพาลูกไปเที่ยว แต่ยังไม่รู้จะเริ่มที่ไหนดี Amarin Baby & Kids เตรียมกิจกรรมดี ๆ กับสำหรับ พาลูกเที่ยว เดือนกันยายน มาฝากกัน จะมีอะไรบ้างตามมาดูกัน

                                  พาลูกเที่ยว เดือนกันยายน สนุกสุดๆ กับกิจกรรมทั้งในห้างและOutdoor

                                   

                                  เพราะเรารู้ว่าการเรียนรู้นอกบ้าน ช่วยเสริมทักษะให้เด็กๆได้รอบด้าน กิจกรรม พาลูกเที่ยว เดือนกันยายน ที่คัดสรรมาจึงมีให้หลายระดับ ตามวัยที่แตกต่างกัน มีทัั้งที่อยู่ในห้างสรรพสินค้า พิพิธภัณฑ์ และกิจกรรมนอกสถานที่ ไปสัมผัสบรรยากาศธรรมชาติ เรียนรู้สิ่งมีชีวิตต่างๆด้วยตัวเอง แถมยังมีกิจกรรมจิตอาสาที่เกิดโอกาสให้ลูกได้เสียสละ และทำประโยชน์เพื่อคนอื่นด้วย  จะมีกิจกรรมอะไรบ้างมาดูกันเลย

                                   

                                  Kids Art and Cooking Class @SHOW DC

                                  พาลูกเที่ยว เดือนกันยายน

                                   

                                   

                                  ชวนลูกออกไปใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ แถมค้นพบความถนัดไปในตัวกับ กิจกรรม Kids Art and Cooking Class by สลัดศิลป์ วาดไป ปรุงไปแบบสนุกกันทั้งครอบครัว ใครสนใจ

                                  ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ลิงค์นี้เลย  https://www.facebook.com/showdc.co.th/photos/a.255587534560023/2393825274069561/?type=3&theater

                                   

                                  ธรรมชาติของน้ำ @เขื่อนขุนด่านตระการชล จังหวัดนครนายก

                                  พาลูกเที่ยว เดือนกันยายน

                                   

                                  พาลูกไปผจญภัยท่ามกลางสายน้ำ รู้จักต้นกำเนิดของน้ำตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ให้เด็กๆ เห็นความสำคัญและรู้วิถีอนุรักษ์น้ำ กิจกรรมนี้เหมาะกับเด็กโตสักหน่อย เพราะต้องล่องเรือไปเป็นกลุ่มๆ

                                  ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/events/464488760765144/

                                   

                                  นั่งรถไฟ OTOP TRAIN  ไปปลูกป่า  @น้ำตกไทรโยคน้อย จังหวัดกาญจนบุรี

                                  พาลูกเที่ยว เดือนกันยายน

                                   

                                  ทริปสุดพิเศษสำหรับเด็กๆ ที่จะได้ทำกิจกรรมดีๆ 2 อย่างในทริปเดียว ทั้งการนั่งรถไฟ OTOP TRAIN สุดคลาาสสิค เหมือนย้อนเวลากลับไปน่ังรถไฟโบราณ เดินทางไปบนเส้นทางรถไฟสายมรณะ  แวะยิงลูกไม้ไปในป่า เพื่อให้เกิดต้นไม้ใหญ่ต่อไป แถมยังได้สัมผัสบรรยากาศน้ำตกไทยโยคน้อยสวยๆ ด้วย

                                  ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/joongmuelukteaw/posts/2086637204972687

                                  นิทรรศการกองทัพทหารดินเผาจิ๋นซีฮ่องเต้ @พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติพระนคร

                                  พาลูกเที่ยว เดือนกันยายน

                                   

                                  ครั้งแรกของเมืองไทย กับนิทรรศการกองทัพทหารดินเผาแห่งกษัตริย์จิ๋นซี หนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ที่มีมากว่า 2,000 ปี โดยหุ่นเหล่านี้ถูกสร้างและฝังอยู่ใต้ดินในสุสานของจิ๋นซีฮ่องเต้ ซึ่งมีพื้นที่กว้างใหญ่ พบว่ามีจำนวนทหารดินเผานับแสนตัว ใครอยากสัมผัสหุ่นโบราณเหล่านี้อย่างใกล้ชิดต้องไม่พลาด

                                  สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่  https://www.facebook.com/eduNMB/

                                   

                                  จิตอาสาอนุรักษ์ป่าชายเลน @จังหวัดสมุทรสงคราม

                                  พาลูกเที่ยว เดือนกันยายน

                                   

                                  กิจกรรมจิตอาสา ชวนเด็กๆไปเล่นเลอะ เยอะประสบการณ์พร้อมเรียนรู้การทำกิจกรรมกลุ่มเพื่อดูแลผืนป่าชายเลน แหล่งเพาะพันธุ์และอนุบาลสัตว์น้ำทั้งหลาย ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/joongmuelukteaw/posts/2090830017886739

                                   

                                  Fantastic Fables @วิชชาลัยในสวน บางมด 

                                  พาลูกเที่ยว เดือนกันยายน
                                  ค่ายเสริมทักษะจังหวะและดนตรีด้วยเทคนิคการเล่านิทานในสวน ชวนเด็กๆมาเพลิดเพลินกับการเล่านิทานกลางสวน มีพื้นที่กว้างให้เด็กได้ทำสิ่งต่างๆ อย่างอิสระ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/taitonmaicamp/photos/a.1508766106062999/2394030277536573/?type=1&theater

                                  The Mall Young Warrior @ สวนน้ำเดอะมอลล์ บางแค

                                  พาลูกเที่ยว เดือนกันยายน
                                  ภารกิจของนักสู้ตัวจริง กับกิจกรรมท้าทายความสามารถด้วยการเล่นผ่านด่านต่างๆ ทั้งลุ้นระทึกและสนุกพร้อม ๆ กัน ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที
                                  https://www.facebook.com/fantasialagoon/photos/a.494231363944883/2614607491907249

                                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                   

                                    กิจกรรมวันหยุด

                                    3 กิจกรรมสนุกเพิ่มทักษะในวันหยุด ช่วยลูกมีพัฒนาการดีรอบด้าน

                                    กิจกรรมวันหยุด สำหรับเด็กๆ คุณพ่อคุณแม่สามารถสร้างเสริมพัฒนาการการเรียนรู้ของลูกๆ ได้นะคะ ที่นอกเหนือจากในห้องเรียน หรือถ้าลูกยังไม่เข้าโรงเรียน ก็ปูพื้นฐานทักษะความรู้ให้พร้อมไว้ก่อนได้ค่ะ ไม่ว่าจะเป็นการพาออกไปเที่ยวเล่นนอกบ้านตามสถานที่การเรียนรู้สำหรับเด็ก หรือแม้แต่การอยู่บ้านก็ส่งเสริมเพิ่มทักษะ ช่วยลูกมีพัฒนาการดีรอบด้านได้ค่ะ

                                     

                                    กิจกรรมวันหยุด พาลูกเล่น พาลูกเที่ยวกันเถอะ !

                                    ครอบครัวไหนที่ยังนึกไม่ออกว่า กิจกรรมวันหยุด สำหรับลูกรักในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์จะพาลูกเล่น หรือพาลูกเที่ยวที่ไหนดี เรามีไอเดียมาแนะนำให้ค่ะ

                                    1. ฉีก ตัด แปะ กิจกรรมศิลปะส่งเสริมพัฒนาการ ความคิดสร้างสรรค์

                                    สำหรับกิจกรรมศิลปะเหมาะกับเด็กๆ ตั้งแต่วัย 5-10 ขวบเลยค่ะ กิจกรรมนี้จะช่วยให้ลูกมีพัฒนาการในเรื่องการใช้กล้ามเนื้อ มัดเล็ก (มือ นิ้ว ข้อมือ แขน) ได้ถนัดและแข็งแรงมากขึ้น และยังได้ในเรื่องความคิดสร้างสรรค์ด้วยค่ะ

                                    อุปกรณ์ที่ต้องเตรียม : กระดาษสี , กระดาษ A4 , ดินสอ , กาว , กรรไกร

                                    คุณพ่อคุณแม่สามารถทำกิจกรรมวันหยุดที่เป็นงานศิลปะชิ้นนี้ร่วมกันกับลูกได้เลยนะคะ เรามีกระดาษ A4 มีดินสอ ลองให้ ลูกวาดภาพลงไปค่ะ จะเป็นบ้าน ทะเล ภูเขา ดอกไม้ ต้นไม้ สัตว์น่ารักต่างๆ ตามแต่จินตนาการของลูก หรือจะหา Print  Pattern ภาพวาดสำหรับเด็กจากในอินเทอเน็ตก็สะดวกดีนะคะ จากนั้นก็ให้ฉีก หรือตัดกระดาษสี (ดูแลการใช้กรรไกรของ ลูกอย่างใกล้ชิด หรือตัดกระดาษเตรียมไว้ให้ลูก) เป็นขนาดชิ้นเล็กๆ สำหรับแปะลงไปบนภาพวาดค่ะ

                                    กิจกรรมวันหยุด

                                    2. ฝึกลูกเก่งทักษะอังกฤษ จากแบบฝึกหัดหาคำตอบจากภาพ

                                    ฝึกลูกเก่งอังกฤษทำได้ที่บ้านไม่ยากเลยค่ะ อยากให้ลูกเก่งอังกฤษต้องเริ่มสอนทักษะให้ตั้งแต่เล็กๆ กิจกรรมวันหยุดนี้มาพัฒนาการการเรียนรู้เรื่องภาษาให้ลูกกันดีกว่า ซึ่งคุณพ่อคุณแม่สามารถหา Print แบบฝึกหัดภาษาอังกฤษที่มีตั้งแต่ระดับเตรียมอุบาล ไปจนถึงระดับประถมต้นขึ้นไปก็มีค่ะ อย่างแบบฝึกหัดภาษาอังกฤษนี้เป็นการให้เด็กๆ หัดสังเกตภาพแล้วเอาคำตอบมาเขียนใส่ประโยคให้สมบูรณ์ อย่าลืมสอนลูกอ่านออกเสียงจากประโยคภาษาอังกฤษที่ทำเสร็จถูกต้องด้วยนะคะ

                                    3. เรียนรู้เที่ยวนอกบ้าน

                                    หลังจากพาลูกเล่นสนุกที่บ้านด้วยกิจกรรมเพิ่มทักษะความรู้ที่สนุกสนานไม่น่าเบื่อกันไปแล้ว ลองแบ่งเวลาสักวันช่วงสุด สัปดาห์พาลูกเที่ยวนอกบ้าน เปิดโลกทัศน์ใหม่ๆ เพิ่มพูนความรู้นอกห้องเรียน เพื่อให้ลูกนำกลับเอาไปต่อยอดการเรียนที่ โรงเรียนได้ด้วย สถานที่เที่ยวเชิงสร้างสรรค์ได้ความรู้สำหรับเด็ก เช่น TK Park สำนักงานอุทยานการเรียนรู้ , ท้องฟ้า จำลอง , พิพิธภัณฑ์เด็ก ฯลฯ ถ้าได้สถานที่ที่อยากให้คุณพ่อคุณแม่พาไปได้แล้วในช่วงวันหยุด ลองให้ลูกหาภาพสถานที่นั้นๆ และข้อมูลการเดินทาง Print ใส่กระดาษ A4 เพื่อใช้เป็นคู่มือในการเดินทาง ซึ่งจะทำให้เด็กๆ สนุกกับการออกไปเที่ยว เล่น เรียนรู้นอกบ้านอย่างไม่น่าเบื่อค่ะ

                                    เพื่อเป็นการตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของครอบครัวสมัยใหม่ ช่วยให้ทุกกิจกรรมของลูก คุณพ่อคุณแม่สามารถจัดเตรียมให้ลูกได้ง่ายๆ เพียงแค่มีเครื่องปริ๊นท์เตอร์ HP DeskJet Ink Advantage เครื่องพิมพ์ไร้สาย ก็ช่วยให้ทุกการเรียนรู้ผ่านกิจกรรมเป็นเรื่องสนุกสำหรับลูกได้ทุกวันค่ะ การใช้ก็งานง่าย สะดวก รวดเร็ว เพียงแค่สั่งงานพิมพ์ผ่านสมาร์ทโฟน หรือแล็บเล็ต ผ่าน WiFi ของ HP DeskJet Ink Advantage  ค่ะ บ้านไหนลูกๆ ชอบทำกิจกรรม หรือมีใบงานเป็นการบ้านมาจากโรงเรียนทุกวัน แบบนี้ต้องมีเครื่องปริ๊นท์เตอร์ HP DeskJet Ink Advantage ไว้ที่บ้านกันแล้วนะคะ

                                     

                                    กิจกรรมวันหยุด

                                    แสดงแบบ : คุณแม่พิมพ์พินันท์ และ น้องตังค์ตังค์