Page 211 – AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

วิธีระงับความโกรธ

7 วิธีระงับความโกรธ ก่อนเผลอตีลูกด้วยอารมณ์

เคยรู้สึกผิดไหม? ที่เผลอตีลูกหรือทำโทษลูกด้วยอารมณ์โกรธ แล้วก็มารู้สึกผิดหรือรู้สึกแย่ทีหลัง สำหรับแม่ ๆ ที่อยากจะหยุดพฤติกรรมแบบนี้ เรามี 10 วิธีระงับความโกรธ มาฝากค่ะ

7 วิธีระงับความโกรธ ก่อนเผลอตีลูกด้วยอารมณ์

สำหรับแม่ ๆ ที่มีลูกวัย 2 ขวบขึ้นไป ความท้าทายในการเลี้ยงลูกจะแตกต่างจากช่วงที่ลูกยังเป็นทารก เพราะเด็กในวัยนี้จะเริ่มมีความคิดและความต้องการเป็นของตัวเอง แต่ยังไม่สามารถเข้าใจกฏเกณฑ์ และยังไม่สามารถจัดการกับอารมณ์ของตนเองไม่ได้ ทำให้ลูกมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เช่น  ใจร้อน ไม่ยอมรอ ร้องไห้ เอาแต่ใจ ขี้เบื่อ ไม่อดทน โวยวายตลอดเวลา ดื้อ ก้าวร้าว เมื่อลูกมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม คนเป็นพ่อแม่ก็มีหน้าที่ที่จะต้องสอนลูกให้มีพฤติกรรมที่ดีขึ้น แต่เหมือนว่าเมื่อคุณพ่อคุณแม่ยิ่งสอน ลูกก็ยิ่งดื้อหรือต่อต้าน จนตัวคุณพ่อคุณแม่เองก็เริ่มจะมีอารมณ์โกรธและทำโทษลูกหรือตีลูก… เมื่อยิ่งตีลูก… ลูกก็ยิ่งดื้อ…. จนต้องทำโทษแรงขึ้น…. ลูกก็ยิ่งดื้อขึ้นไปเรื่อยๆ

หลักฐานทางการแพทย์กล่าวว่า พันธุกรรมมีผลต่อพฤติกรรมของลูก 50% ที่เหลืออีก 50% มาจากการเลี้ยงดูหรือสภาพแวดล้อม ฉะนั้นพ่อแม่ที่ใจร้อนย่อมมีโอกาส 50% ที่ลูกจะมีนิสัยใจร้อนตามไปด้วย เชื่อได้ว่าพ่อแม่ทุกคนอยากจะหยุดวงจรนี้ แต่จะทำอย่างไรให้สามารถระงับความโกรธของตัวเองได้ และจะทำอย่างไรให้ลูกดื้อน้อยลง

7 วิธีระงับความโกรธ หยุดตีลูก ทำร้ายลูกด้วยอารมณ์!

1. ทำความเข้าใจลูก

ให้ลองคิดว่าตัวคุณพ่อคุณแม่เป็นเด็กตัวเล็ก ๆ อายุเท่าลูก แล้วเจอกับเหตุการณ์แบบเดียวกับลูก ตัวเราเองจะจัดการกับปัญหาที่อยู่ตรงหน้าและอารมณ์ของตนเองได้อย่างไร แน่นอนว่าเมื่ออยู่ในช่วงอายุเพียงเท่านั้น ตัวเราเองก็ยังไม่สามารถจัดการกับอารมณ์ของตนเองได้ดีเหมือนตอนนี้ ลูกของเราเองก็เช่นกัน เค้าก็ไม่ได้อยากจะทำพฤติกรรมเหล่านี้หรอกค่ะ เค้าอยากจะทำตัวให้ดีเพื่อให้พ่อแม่ชมอยู่แล้ว ในช่วงที่คุณพ่อคุณแม่ทบททวนและทำความเข้าใจในจุดที่ลูกอยู่ ก็จะทำให้อารมณ์เย็นลง มีเหตุผลมากขึ้น และเมื่อเข้าใจลูกแล้ว เราก็จะรู้วิธีพูดและสอนให้ลูกปรับพฤติกรรมให้ดีขึ้น เช่น เมื่อลูกตีแม่เมื่อโมโห หากคุณแม่ตีลูกกลับ ลูกก็จะตีคุณแม่กลับเหมือนกัน เพราะลูกก็โกรธอยู่เช่นเดียวกับคุณแม่ แต่หากคุณแม่ลองทำความเข้าใจว่าทำไมลูกถึงตี ลูกต้องการตอบสนองให้แม่รู้ว่าลูกกำลังไม่พอใจ จึงเลือกใช้วิธีการตีแม่ให้แม่รู้ คุณแม่จึงควรหยุดทำพฤติกรรมนี้เหมือนลูก ลองกอดลูกไม่ให้ลูกตีเราได้อีก แล้วถามว่าลูกว่าโกรธเพราะอะไร ทำไมถึงต้องตี ถ้าเปลี่ยนจากตีเป็นเล่าให้แม่ฟังจะดีกว่าไหม

2. รับฟังเหตุผลจากลูก

แม้เหตุผลของเด็กอาจจะดูฟังไม่ขึ้นสำหรับผู้ใหญ่ แต่เหตุผลเหล่านั้น เป็นเรื่องใหญ่สำหรับลูก บางครั้งลูกอาจจะมีเหตุผลที่เราคิดไม่ถึงก็ได้ อย่างเช่นที่แม่พริมาเจอมาด้วยตัวเอง ตอนที่กำลังเลือกว่าจะไปเที่ยวที่ไหนกันดี แม่พริมาก็คุยอยู่แต่กับพี่สาวคนโต จนลูกคนเล็กวิ่งเข้ามาตีพี่สาว แม่พริมาก็ดุลูกว่าตีพี่ทำไม กำลังจะทำโทษลูก แต่ก็ระงับอารมณ์ถามอีกทีว่าตีพี่ทำไม จนในที่สุดลูกก็ร้องไห้ออกมาแล้วพูดว่าทำไมแม่ฟังแต่พี่ ทำไมไม่ถามน้องบ้างเลยว่าอยากไปที่ไหน เด็กอายุเพียงแค่ 4 ขวบยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรให้หายโกรธจากการที่แม่ไม่ฟัง จึงเลือกที่จะตีพี่สาวตัวเอง เหตุการณ์นี้เปลี่ยนให้แม่พริมาหันมาหาน้องเล็กทุกครั้งที่ต้องการถามความเห็นของลูก ๆ

ลูกดื้อ
ลูกดื้อ

 

3. อาจเป็นเพราะสุขภาพลูก

ช่วงที่ลูกงอแงมาก ๆ อาจจะเป็นเพราะลูกกำลังไม่สบายตัวอยู่ก็ได้ เพียงแต่ลูกไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ว่ากำลังปวดหรือรู้สึกอย่างไร ลูกอาจจะกำลังปวดเหงือกเพราะฟันที่กำลังจะขึ้น ลูกอาจจะท้องอืด อยู่ก็ได้ จึงทำให้ลูกงอแงและร้องไห้ได้

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

อ่านต่อ 7 วิธีระงับความโกรธ ก่อนเผลอตีลูกด้วยอารมณ์

    www.changchuibangkok.com

    ต้องรู้! วัคซีน 4 ขวบ มีอะไรบ้างที่ควรพาลูกไปฉีดให้ครบ

    การฉีดวัคซีนเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ทารกแรกเกิดไปจนถึงอยู่ 12 ปี สำหรับ สำหรับเด็กในวัย 4 ปีขึ้นไป แม้ลูกจะมีสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์ แต่ก็ยังคงมีวัคซีนจำเป็นที่ลูกควรจะได้รับต่อเนื่อง หรือวัคซีนเสริมอื่น ๆ วัคซีน 4 ขวบ มีอะไรบ้าง มาดูกันค่ะ

    วัคซีน 4 ขวบ ที่ควรพาลูกไปฉีดให้ครบ

    ในวัคซีนแต่ละชนิดสร้างมาจากไวรัสหรือแบคทีเรียที่ถูกทำให้สิ้นฤทธิ์ด้วยกรรมวิธีทางการแพทย์จนไม่สามารถก่อให้เกิดโรค การฉีดวัคซีนช่วยกระตุ้นให้ร่างกายเกิดการสร้างภูมิคุ้มกัน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคร้ายๆ ได้ในอนาคต

    วัคซีน 4 ขวบ
    วัคซีน 4 ขวบ

    วัคซีน 4 ขวบ – 6 ปี ลูกควรจะได้รับวัคซีนจำเป็น

    • วัคซีนรวมป้องกันโรคคอตีบ บาดทะยัก และไอกรนชนิดทั้งเซลล์ ครั้งที่ 5 (DTP5) วัคซีนชนิดทั้งเซลล์ ผลิตจากเชื้อและพิษของเชื้อที่ผ่านขั้นตอนการทำให้หมดฤทธิ์ในการก่อโรคเช่นเดียวกับวัคซีนชนิดอื่น ๆ มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคสูงหากได้รับวัคซีนครบตามกำหนด แต่อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้บ้าง เด็กที่ฉีดวัคซีนคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน ครบ 5 ครั้งแล้ว ควรฉีดวัคซีนบาดทะยัก-คอตีบ เมื่อมีอายุ 12-16 ปี จากนั้นให้ฉีดวัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกันซ้ำทุก 10 ปี*
    • วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอชนิดหยอด ครั้งที่ 5 ( OPV5) วัคซีนชนิดนี้มาจากเชื้อโปลิโอที่มีชีวิตซึ่งผ่านกระบวนการทำให้เชื้อมีฤทธิ์อ่อนลงและไม่ก่อให้เกิดอาการกับผู้ที่รับวัคซีนชนิดนี้ โดยใช้เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกายโดยการเลียนแบบการติดเชื้อแบบธรรมชาติ ทำให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันมากขึ้น วัคซีนชนิดกินจะทำให้ผู้รับวัคซีนมีภูมิคุ้มกันทั้งในลำไส้และในเลือด อย่างไรก็ตามในปัจจุบันมีการพบว่าวัคซีนชนิดนี้อาจก่อให้เกิดการกลายพันธุ์และทำให้เกิดโรคได้ บางประเทศจึงหันมาใช้วัคซีนชนิดฉีดแทนเพื่อความปลอดภัย** (การให้วัคซีนป้องกันโปลิโอเกินกว่าที่กำหนดไม่มีข้อเสีย สามารถนำลูกมารับวัคซีน OPV เพิ่มในช่วงที่มีการรณรงค์หยอดวัคซีนเพื่อกวาดล้างโปลิโอได้)
    • วัคซีนป้องกันโรคหัด-คางทูม-หัดเยอรมัน ครั้งที่ 2 (MMR2) ลูกควรได้รับวัคซีนครั้งแรกเมื่ออายุ 9-12 เดือน และครั้งที่ 2 อายุ 4-6 ปี กรณีที่มีการระบาดหรือสัมผัสโรคอาจฉีดเข็มที่ 2 เร็วขึ้นก่อนอายุ 4 ปีก็ได้ โดยต้องห่างจากเข็มแรกอย่างน้อย 3 เดือน

     

    วัคซีน 4 ขวบ อื่น ๆ ที่อาจให้เสริมหรือทดแทน

    • วัคซีนป้องกันโรคคอตีบและบาดทะยักชนิดไร้เซลล์ (DTap หรือ Tdap) สามารถเริ่มฉีดเมื่อมีอายุ 2 เดือน 4 เดือน 6 เดือน 5 ปี และ 4-6 ปี โดยวัคซีนชนิดนี้ผลิตจากพิษของเชื้อคอตีบและบาดทะยักที่ผ่านขั้นตอนการทำให้หมดฤทธิ์ในการก่อโรคผสมกับเชื้อไอกรนที่ผ่านการแยกบริสุทธิ์ ทำให้มีผลข้างเคียงจากการฉีดน้อย รวมทั้งมีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพป้องกันสูงหากได้รับวัคซีนครบตามกำหนด แต่ประสิทธิภาพในการป้องกันโรคของวัคซีนคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรนชนิดไร้เซลล์จะลดลงหลังจากผ่านไปแล้ว 5-10 ปี จึงควรฉีดวัคซีนคอตีบ-บาดทะยักสำหรับผู้ใหญ่เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันซ้ำอีกครั้งเมื่อมีอายุประมาน 10-18 ปี*
    • วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอชนิดฉีด (IPV) เป็นวัคซีนที่ลูกควรได้รับให้ครบ 5 ครั้ง ตั้งแต่อายุ 2, 4, 6,18 เดือน และกระตุ้นอีกครั้งตอนอายุ 4-6 ปี วัคซีนชนิดนี้ที่ทำมาจากเชื้อโปลิโอที่ตายแล้ว จึงมีความปลอดภัยสูงกว่าชนิดกิน และทำให้มีภูมิคุ้มกันโรคนี้ในเลือดสูงขึ้น โดยปัจจุบันวัคซีนโปลิโอจะถูกรวมไว้ในวัคซีนรวมที่จะต้องฉีดให้กับเด็กแรกเกิดเป็นหลัก และในหลาย ๆ ประเทศก็มีการใช้วัคซีนชนิดนี้เป็นหลักแทนชนิดกิน เนื่องจากมีความปลอดภัยสูง แต่ข้อเสียคือมีราคาแพงกว่า**
    • วัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบเอ (HAV) เริ่มให้ในอายุมากกว่า 1 ปีขึ้นไป การฉีดวัคซีนจะฉีด 2 ครั้ง ห่างกัน 6 เดือน
    • วัคซีนอีสุกอีใส (VZV) ฉีดได้ตั้งแต่อายุ 1 ปีขึ้นไป แพทย์จะแนะนำให้เริ่มฉีดเข็มแรกเมื่ออายุ 12-18 เดือน และ วัคซีน 4 ขวบ ฉีดเข็มที่สองได้ หรือระหว่างอายุ 4-6 ปี ในกรณีที่มีการระบาดของโรคสามารถฉีดเข็มที่ 2 ก่อนอายุ 4 ปีได้ แต่ต้องทิ้งระยะห่างจากเข็มแรกอย่างน้อย 3 เดือน หรือสามารถใช้วัคซีนรวมป้องกันโรคหัด คางทูม หัดเยอรมัน และอิสุกอิใส (MMRV) โดยใช้ฉีดแทนวัคซีนอีสุกอีใสแบบเดี่ยวได้ เริ่มฉีดในเด็กอายุตั้งแต่ 1-12 ปี
    • วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ สามารถฉีดวัคซีนป้องกันได้ในเด็กอายุ 6 เดือนขึ้นไปถึง 18 ปี และควรฉีดซ้ำทุกปี เนื่องจากภูมิคุ้มกันของร่างกายที่มีต่อเชื้อไข้หวัดใหญ่มักอยู่ไม่นาน และเชื้อไข้หวัดใหญ่มักกลายพันธุ์ได้ในช่วงระยะเวลาไม่นานด้วย ทำให้สายพันธุ์ที่ระบาดในแต่ละปีไม่เหมือนกัน จึงควรที่จะให้ลูกได้รับการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ในทุกปี เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันที่ปรับให้เหมาะสมกับเชื้อใหม่และป้องกันไข้หวัดได้อย่างต่อเนื่อง

    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

     

      โรงเรียนเสริมทักษะ Julia Gabriel Centre

      เลือกโรงเรียนแรกของลูกน้อยตั้งแต่วัยก่อนขวบปี กับ โรงเรียนเสริมทักษะ Julia Gabriel Centre

      ไม่มีคำว่าเร็วเกินไปสำหรับการเรียนรู้ของลูกน้อย !!  เพราะเด็กทุกคนมีสัญชาตญาณนักสำรวจตั้งแต่วันแรกที่เขาเกิด เพียงแค่เปิดโอกาสให้พวกเขาได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม สนุกสนาน เต็มไปด้วยอารมณ์เชิงบวก ก็ช่วยกระตุ้นให้ลูกน้อยพร้อมเรียนรู้โลกใบใหม่ได้มหาศาล มาเปิดโอกาสให้ลูกค้นพบศักยภาพน่าอัศจรรย์ที่ซ่อนอยู่ในตัว กับ โรงเรียนเสริมทักษะ Julia Gabriel Centre

      โรงเรียนเสริมทักษะ Julia Gabriel Centre

      เมื่อพัฒนาการของลูกน้อยเปลี่ยนแปลงไปทุกวัน โดยเฉพาะในช่วง 1,000 วันแรกของชีวิตตั้งแต่ในครรภ์จนถึงอายุ 2 ขวบที่ร่างกาย สมอง สติปัญญา และอารมณ์จะพัฒนาอย่างเต็มที่ และเป็นรากฐานสำคัญต่อยอดทักษะชีวิตเมื่อโตขึ้น  การมองหาโรงเรียนแรกของลูกจึงสามารถเริ่มต้นตั้งแต่วัยก่อนขวบ ซึ่งถือว่าไม่เร็วเกินไป

      โรงเรียนเสริมทักษะ Julia Gabriel Centre โรงเรียนแรกของลูก

      จูเลียเกเบรียล เซ็นเตอร์ เป็นโรงเรียนเสริมทักษะเด็กอันดับหนึ่งจากประเทศสิงคโปร์ มีหลักสูตรคิดค้นขึ้นเพื่อการเรียนรู้สำหรับเด็กยาวนานมากว่า 30 ปี และมีหลักสูตร Early Learning สำหรับเด็กเล็กอย่างเข้าใจโดยเฉพาะ เพื่อเปิดโอกาสให้พวกเขาได้พัฒนาทักษะรอบด้าน ทั้งพัฒนาการด้านภาษา กล้ามเนื้อมัดเล็ก กล้ามเนื้อมัดใหญ่ ประสาทสัมผัส ช่วยเหลือตัวเอง มารยาทบนโต๊ะอาหาร และเข้าสังคมตามวัย ซึ่งสามารถเริ่มฝึกได้ตั้งแต่วัยก่อนขวบปี ภายใต้สิ่งแวดล้อมเชิงบวก เต็มไปด้วยเสียงเพลง เสียงหัวเราะ ความสนุกสนาน และการสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษ จึงช่วยให้เรียนรู้ได้อย่างอิสระ และเป็นไปตามธรรมชาติของเด็กอย่างแท้จริง

       

      โรงเรียนเสริมทักษะ Julia Gabriel Centre

      EduDrama รู้จักโลกผ่านดราม่า

      “เรียนผ่านเล่น” เป็นหัวใจหลักที่กระตุ้นให้ลูกน้อยเรียนรู้สิ่งใหม่ได้ดี โรงเรียนเสริมทักษะ Julia Gabriel Centre เลือกใช้ “EduDrama” มาเป็นหลักในการสอนเด็กๆ EduDrama ไม่ใช่การเรียนการแสดง แต่เป็นนำการแสดงละครมาดึงดูดความสนใจของเด็ก โดยคุณครูจะแสดงบทบาทสมมุติเป็นตัวละครต่างๆ ทั้งอาชีพหรือสัตว์ ประกอบท่าทางและน้ำเสียงสมจริง ทำให้พวกเขารู้สึกสนุกและเข้าเรื่องที่เรียนได้ง่าย อีกทั้งยังเหมาะกับเด็กเล็กที่อยู่ในวัยเรียนรู้ผ่านสีหน้า ท่าทาง และพฤติกรรม

      EduDrama จะสอดแทรกอยู่ในทุกกิจกรรมที่ โรงเรียนเสริมทักษะ Julia Gabriel Centre ตัวอย่างเช่น การเล่นหุ่นมือที่คุณครูจะใส่หุ่นมือสัตว์ แล้วชวนพูดคุยพร้อมกับสอดแทรกคำศัพท์ และความรู้เกี่ยวกับสัตว์นั้นๆ การเล่นดนตรี ชวนเด็กมาร้องเพลงพร้อมแสดงท่าทางประกอบเพลง คลอกับไปเสียงดนตรีที่เล่นกันสดๆ ชวนให้เด็กสนใจและรู้สึกเพลิดเพลิน แม้ลูกน้อยจะยังพูดไม่ได้ แต่พวกเขาจะจดจำเสียงเพลง ทำนอง และคำศัพท์ไว้ เมื่อถึงช่วงเวลาที่เริ่มพูด พวกเขามีพัฒนาการทางภาษาที่ดี พูดเร็ว กล้าพูดอย่างมั่นใจ  หรือ ละครโรงเล็กที่คุณครูจะแสดงเป็นครอบครัวหมี หรือเป็นคาแรคเตอร์ต่างๆ ชวนเด็กเข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็น ช่วยกันแก้ไขปัญหา หรือเลือกคำตอบด้วยตัวเอง

      ตลอดชั่วโมงการเรียน คุณครู Native English Speaker จะใช้ภาษาอังกฤษคอยพูดคุย รับฟังและกระตุ้นพัฒนาการไปพร้อมกับผู้ปกครองที่จะได้เรียนรู้วิธีการและสามารถนำไปต่อยอดส่งเสริมพัฒนาการของลูกน้อยเองที่บ้าน เช่น เพลงที่ร้องในคลาส กิจกรรมเล่นสี หรือคำศัพท์ต่าง ๆ

      โรงเรียนเสริมทักษะ Julia Gabriel Centre

      กิจกรรมชวนสนุกแบบ EduDrama

      เด็ก ๆ จะได้พบกับกิจกรรมสนุกได้ตั้งแต่ก้าวแรกที่มาถึง โรงเรียนเสริมทักษะ Julia Gabriel Centre ตลอดเวลา ถึง 1 ชั่วโมงครึ่ง – 2 ชั่วโมง เวลาที่ดูเหมือนนานแต่ถ้าสนุกแล้วเด็กกลับไม่รู้สึกเบื่อเลย แต่ละกิจกรรมผ่านการคิดค้นและวางแผนให้สอดคล้องกันตามธีมที่ใช้ในแต่ละเทอม หลักสูตรที่นี่จะวางแผนการสอนเป็นเทอม (ราว 3 เดือน) เพื่อให้เรียนรู้อย่างต่อเนื่อง และช่วยให้ปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่ และคุ้นเคยกับตารางกิจวัตรประจำวันของตัวเอง เริ่มต้นจาก

      • Free Play ให้เวลาลูกน้อยเลือกหยิบของเล่นวางเตรียมไว้หลายสิบชิ้นด้วยตัวเอง เพราะการ “เลือกของเล่น” เป็นจุดเริ่มต้นที่ช่วยสร้าง self-esteem หรือความมั่นใจให้เกิดขึ้น
      • Circle Time การนั่งล้อมวงของเด็กๆ ผู้ปกครอง และคุณครูเพื่อทำความรู้จักกัน เพื่อให้ลูกน้อยคุ้นเคยกับเพื่อนใหม่ เกิดเป็นความสัมพันธ์ที่ดี

      โรงเรียนเสริมทักษะ Julia Gabriel Centre

      • Animated Puppet Time การเล่นตุ๊กตาหุ่นมือสัตว์เสมือนจริง เพื่อให้เด็กเรียนรู้คำศัพท์เกี่ยวกับหุ่นตัวนั้นๆ และสร้างบรรยากาศผ่อนคลายพร้อมกับการทำกิจกรรมต่อไป
      • Drama Time ช่วงเวลาเปิดประตูสู่โลกจินตนาการเข้าสู่ Drama Town ไปกับตัวละครและกับสถานการณ์แตกต่างกัน ชวนเด็กมาร่วมแสดงและหาคำตอบเพื่อคลี่คลายปัญหาในแบบฉบับของตัวเอง นอกจากจะได้ฝึกพูดคุยภาษาอังกฤษแล้ว ยังฝึกทักษะเหตุผลและแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่ดีด้วย

       

      โรงเรียนเสริมทักษะ Julia Gabriel Centre

      • Sensory / Arts and Crafts Activities การฝึกประสาทสัมผัสผ่านศิลปะแสนสนุกที่จะปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมตามวัย เด็กจะได้ลองหยิบพู่กัน จับสี ทาลงบนกระดาษ จับน้ำ ดิน หรือเม็ดสาคูเพื่อเรียนรู้ความแตกต่างของวัสดุแต่ละชนิด ทำงานประดิษฐ์ที่เหมาะกับช่วงอายุ อันเป็นพื้นฐานของ Hand Skill ที่จำเป็นในวัยต่อไป
      • Dramatic Story Telling การเล่านิทานแบบไม่ธรรมดา ที่ไม่ปล่อยให้เด็กเป็นแค่ผู้ฟัง แต่คุณครูจะแสดงท่าทาง น้ำเสียง สีหน้าประกอบสนุกๆ ด้วย ให้เด็กเล็กที่ยังไม่รู้ความหมายของคำเข้าใจได้ง่าย ๆ
      • Snack Time เปิดโอกาสให้ลูกน้อยได้เลือกอาหารว่างที่อยากกินด้วยตัวเอง และร่วมวงกินอาหารกับเพื่อนต่างวัย ช่วยพัฒนาการเรื่องการกิน และการเข้าสังคมได้ดี

      โรงเรียนเสริมทักษะ Julia Gabriel Centre

      • Playground Time สนามเด็กเล่นที่ได้มาตรฐาน ปลอดภัยสำหรับเด็ก ๆ เปิดโอกาสให้เด็กพัฒนาการกล้ามเนื้อมัดใหญ่ และฝึกการทรงตัว โดยที่มีคุณครูสอนสังเกตพัฒนาการและช่วยกระตุ้นอยู่ใกล้ตลอดเวลา
      • Live Music Time เป็นช่วงเวลาโปรดที่สุดของเด็กทุกคน จะได้ร้อง เต้น กับวงดนตรีแสนสนุก และเพลงที่ช่วยเพิ่มคลังคำศัพท์ภาษาอังกฤษให้มากขึ้น

      PlayNest, โรงเรียนเสริมทักษะ Julia Gabriel Centre

      Playnest เด็ก 6 เดือนก็พร้อมแล้ว

      6 เดือนไม่เร็วไปที่จะพาไปโรงเรียนหรือ!! จริงๆแล้ว พัฒนาการของเด็กวัย 6 เดือน ที่สามารถนั่งเองและหยิบจับของได้ถนัดมือ มีศักยภาพจะเรียนรู้ได้มากมาย ด้วยหลักสูตรของ โรงเรียนเสริมทักษะ Julia Gabriel Centre ที่เน้นการปลูกฝังทักษะชีวิตสมวัยสำหรับเด็กเล็กวัย 6-18 เดือน ไม่ใช่การสอนแบบวิชาการ จะช่วยให้พวกเขาค้นพบศักยภาพของตัวเองตั้งแต่เล็ก

      โรงเรียนเสริมทักษะ Julia Gabriel

       

      PlayClub คลับเตรียมพร้อมก่อนเข้าอนุบาล

      คอร์สสำหรับเด็กวัย 1.5 -3.5 ขวบเพื่อเตรียมความพร้อมให้เด็กก่อนไปโรงเรียนอนุบาล เด็กในวัยนี้ต้องการอิสระและการยอมรับจากผู้ใหญ่มากขึ้น จึงเน้นการเรียน Early learning ที่ดึงเอาความมั่นใจของเด็กออกมา โดยมีคุณครูคอยรับฟังและตอบสนองการกระทำเขาอยู่เสมอ ผ่านกิจกรรมต่างๆ โดยเฉพาะ Drama Time ที่พวกเขาได้แสดงตัวตนของตัวเองได้อย่างเต็มที่

      เมื่อถึงวันที่เด็กต้องไปโรงเรียนอนุบาล การที่พวกเขาสามารถทำทุกอย่างได้อย่างมั่นใจตั้งแต่วันแรก จะทำให้เขากลายเป็นคนกล้าคิด กล้าทำ กล้าตัดสินใจ และกล้าแสดงความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์ต่อไป

      นอกจากหลักสูตรที่มีเอกลักษณ์แล้ว โรงเรียนจูเลียเกเบรียลยังใส่ใจรายละเอียดอย่างดี ทั้งของเล่นไม้ อุปกรณ์ศิลปะไร้สารพิษ และความปลอดภัยของพื้นที่ล้วนเหมาะสมกับเด็กทุกวัยที่มาเรียน พร้อมกับการจัดบรรยากาศของห้องเรียนที่น่ามอง และชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย เหมาะกับการส่งเสริมพัฒนาการของเด็กๆ คุณครูทุกท่านผ่านการอบรมเข้มข้นอย่างมืออาชีพ

      สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม และลองพาลูกน้อยมาทดลองเรียนกันได้ที่ โรงเรียนเสริมทักษะ Julia Gabriel Centre ชั้น 2 Bambini Villa คอมมูนิตี้มอลล์ในซอยสุขุมวิท 26  เช็ครายละเอียดของคอร์สและสำรองที่นั่งได้ที่ 063-924-6542 หรือ Line @JuliaGabrielBkk

        ลูกแพ้อาหาร

        วิธีรับมือสำหรับแม่ให้นม เมื่อลูกกลายเป็น เด็กแพ้อาหาร

        เมื่อลูกกลายเป็น เด็กแพ้อาหาร สาเหตุเกิดจากอะไร และหากเด็กแพ้อาหาร แต่ยังกินนมแม่อยู่ แม่ให้นมจะต้องรับมืออย่างไรบ้าง ตามมาดูเล้ย

        วิธีรับมือสำหรับแม่ให้นม เมื่อลูกเป็น เด็กแพ้อาหาร

        การที่ เด็กแพ้อาหาร (Food allergy) เป็นปฏิกิริยาตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายที่เกิดขึ้นหลังจากที่กินอาหารบางชนิดเข้าไป และมันมองอาหารบางชนิดว่าเป็นอันตราย โดยอาจทำให้เกิดอาการที่มีความผิดปกติเกี่ยวกับทางเดินอาหาร ทางเดินหายใจ ผิวหนัง หรือระบบหลอดเลือดและหัวใจ

        Must read : เตือนจากแม่ถึงแม่!! ลูกแพ้อาหาร เพราะแม่ท้องโด๊ปอาหารกลุ่มเสี่ยงมากเกินไป

        โดยในงานวิจัยบางชิ้น พบว่ามีเด็กร้อยละ 4-6 และผู้ใหญ่ประมาณร้อยละ 6 ที่ได้รับผลกระทบจากการแพ้อาหาร ซึ่งในเด็กและทารกนั้นภาวะนี้ มักเกิดขึ้นได้มากกว่า

        เช่นเดียวกับ “น้องปราง” ลูกสาวคนเล็กวัย 5 เดือน (ช่วงมีนาคม 62) ของคุณแม่เบนซ์ พรชิตา และพ่อมิค บรมวุฒิ ที่ได้ออกมาเผยถึงสาเหตุที่ไม่ค่อยลงรูปน้องเลย นั่นเป็นเพราะน้องมีอาการแพ้นมวัวและไข่ จนทำให้เกิดผื่นสะเก็ดขึ้นทั้งตัวเป็น อีกทั้งยังน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ด้วย ทำเอาคุณพ่อคุณแม่เครียดกันสุด ๆ

        เด็กแพ้นมวัว
        น้องปราง วัย 5 เดือน กับรอยผื่นบนหน้า หนึ่งในอาการของ เด็กแพ้อาหาร

        ขอบคุณภาพจาก IG @pornchita

        โดย คุณแม่เบนซ์ เผยว่า “เขากินน้อย ก่อนหน้านี้เขาไม่ค่อยสบายตัว เพราะเขาแพ้ เขาจะคันผื่นจะขึ้นทั้งตัว ซึ่งเราก็พยายามไปหาหมอผิวหนัง ว่าลูกเราแพ้อะไรหรือเปล่า”

        ด้านพ่อมิค ก็ได้เผยอีกว่า “ช่วงแรก ๆ คนจะถามว่าทำไมไม่ลงรูปน้องปรางเลย คือเราอยากลง แต่ว่าน้องปรางผื่นขึ้นเต็มหน้า ไม่ใช่แค่ผื่น มันเหมือนเป็นสะเก็ดเลย คือน่าสงสารมาก จนวันหนึ่งเพื่อนเบนซ์ที่เป็นหมอเขาแนะนำมา กล้าเปิดใจไปหาหมอคนอื่นไหม เขาก็เลยแนะนำไปที่สมิติเวชธนบุรี ซึ่งเป็นศูนย์ที่เกี่ยวกับโรคภูมิแพ้โดยตรง ปรากฏ 3 วันหายเลย โดยเอาน้องไปแช่อยู่ในน้ำเกลือ พอลอย เสร็จก็ทายาทาครีม แล้วก็พันเป็นมัมมี่ ตอนนี้ผิวก็กลับมาเป็นปกติทั้งตัวแล้ว พอเอาเลือดไปตรวจค่อยรู้ว่าแพ้นมวัวกับไข่ ดังนั้นคนที่ต้องอดกินก็คือเบนซ์”

        เด็กแพ้นมวัว
        ขอบคุณภาพจาก IG @mickbaromvudh
        เด็กแพ้นมวัว
        ขอบคุณภาพจาก IG @pornchita

        สาเหตุที่ “น้องปราง” กลายเป็น เด็กแพ้อาหาร

        พ่อมิคกล่าวว่า “คุณหมอบอก ถ้าเด็กแพ้นมง่ายคือแม่จะอัดนมเยอะมากช่วงที่ท้อง แต่เบนซ์ก็ไม่ได้กินเยอะใช้ชีวิตปกติ ฉะนั้นหวยออกที่เขา อยู่ดีๆก็แพ้ โชคดีที่หมอเรียกว่าไม่เป็นไร มีวิธีรักษา ไม่ต้องเครียดว่าอนาคตจะไปโรงเรียน ถึงขึ้นโทรไปที่โรงเรียนห้ามให้ลูกผมกินนม กินไข่ เดี๋ยวก็หาย ตรวจเลือดใหม่ทุก 6 เดือน เดี๋ยวจะมีวิธีให้แม่เริ่มกินใหม่โดยโดสน้อยๆ”

         

        อ่านต่อ >> วิธีรับมือสำหรับคุณแม่ให้นมเมื่อลูกกลายเป็นเด็กแพ้อาหาร” คลิกหน้า 2

         

        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

         

          safeinternetforkid.com

          SafeInternetForKid.com ช่วยลูก “รู้ทันความเสี่ยง” บนโลกออนไลน์

          แม่รู้ไหม? ในขณะที่ลูกๆ ของเราใช้อินเทอร์เน็ต พวกเขามีความเสี่ยงจากภัยออนไลน์หลากหลายรูปแบบ ทั้งความไม่ปลอดภัยในเรื่องข้อมูลส่วนบุคคล การเลียนแบบพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ความเสี่ยงเรื่องเพศ การกลั่นแกล้งทางออนไลน์ (Cyberbullying) การหลงเชื่อข่าวปลอม รวมไปถึงการนัดพบกับเพื่อนทางออนไลน์ เราจะสามารถป้องกันลูกของเราให้ใช้เทคโนโลยีดจิทัลอย่างปลอดภัย สามารถแยกแยะความเสี่ยงบนโลกออนไลน์ และหลีกเลี่ยงความเสี่ยงเหล่านั้นได้อย่างไร? เว็บไซต์ SafeInternetForKid.com จะเป็นเครื่องมือช่วยคุณพ่อคุณแม่ในเรื่องนี้ได้ค่ะ

          มารู้จักเว็บไซต์ SafeInternetForKid.com กันก่อน

          เว็บไซต์SafeInternetForKid.comถูกพัฒนาเริ่มแรกโดยองค์กร Parent Zone ในประเทศอังกฤษ และได้รับการเผยแพร่ไปกว่า 13 ประเทศทั่วโลกโดยเทเลนอร์ กรุ๊ป และสำหรับในประเทศไทยดีแทคได้จับมือกับสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) และบริษัท อินสครู จำกัด เพื่อพัฒนาเว็บไซต์ดังกล่าวเป็นแหล่งเรียนรู้ (Digital Resilience) สำหรับครอบครัวและโรงเรียน เพื่อสร้างทักษะให้เด็กและเยาวชนอายุตั้งแต่ 5-16 ปีสามารถรู้เท่าทันและมีภูมิคุ้มกันบนโลกออนไลน์ โดยมีวัตถุประสงค์หลัก 4 ข้อ

          • เด็กสามารถแยกแยะความเสี่ยงบนออนไลน์ได้
          • เด็กรู้วิธีการขอความช่วยเหลืออย่างเหมาะสม
          • เด็กสามารถใช้ประโยชน์และสร้างโอกาสจากการใช้อินเทอร์เน็ตได้
          • เด็กสามารถแก้ไขสถานการณ์ได้อย่างเหมาะสม หากตกอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นเหยื่อในโลกออนไลน์

           

          เมื่อเราหลีกเลี่ยงการใช้อินเทอร์เน็ตไม่ได้ เราต้องสอนลูกให้ท่องโลกอินเทอร์เน็ตอย่างปลอดภัย

          คุณพ่อคุณแม่ลองชวนน้องเล่นเกมส์ในเว็บไซต์SafeInternetForKid.comที่ออกแบบมาสำหรับน้องอายุตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป โดยสามารถเลือกระดับความยากง่ายตามอายุได้ น้องจะพบกับสถานการณ์ต่างๆ ที่ต้องคิดและตัดสินใจ เมื่อน้องแก้ปัญหาได้หมด นอกจากจะช่วยให้คุณพ่อคุณแม่มั่นใจว่าน้องสามารถท่องโลกอินเทอร์เน็ตอย่างปลอดภัยแล้ว น้องยังจะได้รับประกาศนียบัตรจากดีแทคเป็นรางวัลอีกด้วย

          เกมส์ safe internet for kid

          เลือกอายุ

          ประกาศนียบัตร safe internet for kid

           

          สำหรับคุณครูสามารถดาวน์โหลดแบบฝึกหัดไปใช้สอนนักเรียนได้ทันที โดยแบบทดสอบถูกแบ่งออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่ การแยกแยะ การทำความเข้าใจ และการประเมินผล ซึ่งเปิดโอกาสให้เด็กได้พัฒนาการเรียนรู้ไปทีละขั้น ครอบคลุมเนื้อหาหลัก ได้แก่ ความมีน้ำใจบนโลกออนไลน์, การอยู่บนโลกออนไลน์อย่างปลอดภัย และ การกอบกู้สถานการณ์เมื่อเกิดความผิดพลาดขึ้น

          ดาวน์โหลดแบบฝึกหัด safe internet for kid

          ดาวน์โหลดแบบฝึกหัด safe internet for kid
          ตัวอย่างแบบฝึกหัด safe internet for kid สำหรับคุณครู

           

          และหากน้องๆ เจอคำศัพท์ใหม่ๆ ที่ไม่เข้าใจ ก็สามารถคลิกไปที่ “ห้องสมุด” เพื่อหาข้อมูลในเรื่องนั้นๆ เพิ่มเติมได้ทันที

          ห้องสมูด safe internet for kid

          ห้องสมุด

           

          หากคุณพ่อคุณแม่สนใจ อยากสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อป้องกันภัยออนไลน์ในรูปแบบต่างๆ ให้กับน้อง หรืออยากทดสอบว่าน้องมีความสามารถในการแยกแยะความเสี่ยงบนโลกออนไลน์ได้ขนาดไหน  สามารถเข้าไปทดลองใช้กันได้เลยที่SafeInternetForKid.com

          บทความน่าสนใจอื่นๆ

          CyberBullying ป้องกันลูกวัยรุ่นแชร์สนั่นลั่นโลก

          หรือ….ลูกกำลังถูกคุกคามทางอินเทอร์เน็ต

          นักจิตวิทยาเด็กแนะเทคนิค! เลี้ยงลูกให้ห่างไกล ภัยจากโซเชียลมีเดีย

           

          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

           

            นมแม่เป็นโภชนาการที่ดีที่สุดสำหรับเด็กแรกเกิด ที่มีส่วนสำคัญในการพัฒนาสมอง

            MFGM คือ “สารอาหารในนมแม่” เพื่อพัฒนาสมอง !!

            MFGM คือ สารอาหารในนมแม่ แต่เชื่อว่ายังมีคนอีกส่วนหนึ่งเลยที่ไม่คุ้นเคยกับชื่อสารอาหารนี้ในนมแม่ค่ะ การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ตั้งแต่แรกเกิดไปจนถึงอย่างน้อย 6 เดือนแรก เป็นเรื่องที่องค์การอนามัยโลกสนับสนุนเพื่อลูกน้อยจะได้รับสารอาหารในนมแม่ที่หลากหลายและครบถ้วนไปด้วยคุณค่าที่มีส่วนสำคัญในการพัฒนาสมอง และเป็นประโยชน์ต่อพัฒนาการการเจริญเติบโตที่แข็งแรงสมบูรณ์สมวัยด้วยค่ะ

            MFGM คือ สารอาหารในนมแม่ ที่มีส่วนสำคัญในการช่วยการทำงานของสมอง

            MFGM คือ สารอาหารอะไรในนมแม่ ?

            ว่าที่คุณพ่อคุณแม่มือใหม่อยากรู้กันแล้วใช่ไหมคะว่าสารอาหารที่อยู่ในนมแม่อย่าง MFGM คืออะไร ทำไมถึงสำคัญพัฒนาการสมองของลูก สำหรับสารอาหารที่เรียกว่า MFGM หรือชื่อเต็มก็คือ  Milk Fat Globule Membrane ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ รศ.ดร.นพ. ดิฐกานต์ บริบูรณ์หิรัญสาร ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ให้ข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับนมแม่ และ MFGM สารอาหารในนมแม่

            “นมแม่เป็นโภชนาการที่มีสารอาหารจำเป็นต่อการเจริญเติบโตสำหรับลูกน้อยอย่างครบถ้วน ประกอบด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์กว่า 200 ชนิด เป็นแหล่งของสารอาหารสำคัญอย่างโปรตีนและไขมัน ที่ช่วยในการสร้างกล้ามเนื้อเพื่อการเจริญเติบโตของร่างกาย ล่าสุดมีการค้นพบ MFGMคือ  Milk Fat Globule Membrane ซึ่งได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในวงการแพทย์ว่า เป็นแหล่งของสารอาหารในนมแม่ที่สำคัญจำนวนมาก โดยมีส่วนช่วยในการพัฒนาระบบประสาทและสมอง ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เสริมสร้างความฉลาดทางสติปัญญา(IQ) ความฉลาดทางอารมณ์(EQ) ช่วยในการเจริญเติบโตทางร่างกาย เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรง

            สารอาหารสำคัญที่มีอยู่ในนมแม่ เช่น MFGM, DHA

            MFGMคือ เยื่อหุ้มอนุภาคไขมันที่พบได้ในนมแม่ ผลิตจากต่อมน้ำนม ทำหน้าที่ช่วยห่อหุ้มอนุภาคไขมันในนมให้คงรูปอยู่ได้ MFGM อุดมไปด้วยไขมันและโปรตีนชีวภาพมากกว่า 150 ชนิด เช่น สฟิงโกไมอีลิน ฟอสโฟลิปิด และแกงกลิโอไซด์ ซึ่งมีส่วนช่วยในการสร้างปลอกหุ้มเส้นใยประสาท (Myelin Sheath) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการรับส่งสัญญาณของประสาท และช่วยในการเชื่อมต่อระหว่างเซลล์สมอง สมองก็จะทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ส่งผลต่อการพัฒนาสมองและสติปัญญา”

            การให้สารอาหารที่ดีที่สุดกับลูกนั่นก็คือ นมแม่ที่มี MFGM (Milk Fat Globule Membrane) เยื่อหุ้มอนุภาคไขมันในนม มีการศึกษาพบว่าช่วยให้เด็กมีพัฒนาการทางสมองที่ฉลาด และก็ยังส่งผลต่ออารมณ์และพฤติกรรมของเด็กด้วยค่ะ

            ดังนั้นแนะนำว่าหลังคลอดลูกตั้งแต่วันแรก น้ำนมแม่ ดีที่สุดสำหรับร่างกายลูกน้อยค่ะ เด็กที่กินนมแม่จะได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อพัฒนาการการเติบโตของร่างกาย และพัฒนาการสมองเร็วขึ้นค่ะ ที่สำคัญให้ลูกได้รับคุณค่าสารอาหารในนมแม่ที่เต็มไปด้วยประโยชน์แล้ว ก็ต้องควบคู่ไปกับการกระตุ้นพัฒนาการรอบด้านให้ลูกน้อยด้วยนะคะ เพื่อเขาจะได้เติบโตขึ้นตามวัยที่เต็มเปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพ และศักยภาพอย่างสมบูรณ์ค่ะ

            คุณแม่สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับสารอาหารในแม่อย่าง MFGM เพียงแค่ค้นหาคำว่า “MFGM” หรือคลิกที่นี่ค่ะ

              5 นิทานคุณธรรม ปลูกฝังให้ลูกทำดีได้ตั้งแต่เล็ก!

              การปลูกฝังคุณธรรม สามารถทำได้ผ่าน นิทานคุณธรรม เพื่อเป็นพื้นฐานทางจิตใจ อันนำไปสู่การกระทำที่ดีและถูกต้อง และเพื่อให้ลูกพร้อมที่จะเผชิญโลกได้อย่างมั่นคงและมีความสุข

              5 นิทานคุณธรรม ปลูกฝังให้ลูกทำดีได้ตั้งแต่เล็ก!

              การปลูกฝัง “คุณธรรม จริยธรรม” ให้ลูก มีความสำคัญอย่างไร?

              คุณธรรมเป็นพื้นฐานทางจิตใจและเจตคติ อันนำไปสู่การกระทำที่ดีและถูกต้อง คุณธรรมและเจตคติจะเป็นปัจจัยให้เด็กพร้อมที่จะเผชิญโลกได้อย่างมั่นคงและมีความสุข การปลูกฝังคุณธรรมและเจตคติให้แก่เด็กตั้งแต่วัยเยาว์จะช่วยให้เด็กพัฒนาคุณธรรมและเจตคติขึ้นในตัวเอง เด็กที่ได้รับการปลูกฝังลักษณะนิสัยในเรื่องคุณธรรมและเจตคติ สิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวหล่อหลอมเด็กให้เป็นคนดีของครอบครัว สังคม และประเทศชาติ และสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุข

              การปลูกฝัง คุณธรรม จริยธรรม ให้ลูกตั้งแต่เล็กเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะการปลูกฝังสิ่งเหล่านี้ สามารถเชื่อมโยงโดยตรงไปสู่จิตใจและสมอง คุณพ่อคุณแม่ควรสอน และทำเป็นตัวอย่างให้ลูกเห็นตั้งแต่เล็ก ๆ โดยเฉพาะในช่วงอายุ 10 ปีแรกของชีวิต จริงอยู่ที่เรื่องเหล่านี้ยากเกินไปที่เด็กเล็ก ๆ จะเข้าใจ หากคุณพ่อคุณแม่พูดหรือสอนเกี่ยวกับคุณธรรมเป็นหลักการ แน่นอนว่าลูกจะไม่ฟังเพราะรู้สึกว่ามันยากเกินไปที่จะเข้าใจได้ ทีมงาน Amarin Baby & Kids จึงมี นิทานคุณธรรม ดี ๆ ที่นำมาเล่าเพื่อความสนุกในเวลาก่อนนอนได้ และยังแอบปลูกฝัง คุณธรรม ผ่าน นิทานคุณธรรม เหล่านี้ เพื่อไปสอนลูกได้อย่างเนียน ๆ อีกด้วย ดังนี้

              อ่านนิทานให้ลูกฟัง
              อ่านนิทานให้ลูกฟัง

              5 นิทานคุณธรรม ปลูกฝังให้ลูกทำดีได้ตั้งแต่เล็ก!

              นิทานเรื่อง “เด็กตีรังผึ้ง”

              มีเด็กคนหนึ่ง พอเห็นผึ้งก็อยากได้ แต่ไม่รู้วิธี จึงเอาไม้ตีรังผึ้งและเอาก้อนหินขว้างจนรังผึ้งตกลงมา ฝูงผึ้งแตกรัง บินมารุมต่อยเด็กคนนั้นจนบวมไปหมดทั้งตัว เจ็บปวดแสนสาหัส โชคดีที่แม่มาพบเข้ารีบพาไปโรงพยาบาลให้หมอรักษาได้ทัน ถ้าไม่มีใครไปพบก็จะต้องตายเพราะทนพิษของผึ้งไม่ไหว… โดยหลังจากเล่านิทานนี้เสร็จ ให้คุณพ่อคุณแม่อธิบายโทษของการผิดศีลข้อ 1 คือ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ทรมานสัตว์ ไม่รังแกหรือไม่ทำร้ายผู้อื่น หากผิดศีลข้อนี้ก็อาจะเป็นเหมือนเด็กคนนี้ที่ไปตีรังผึ้งก็เป็นได้

              นิทานเรื่อง “นายพรานกับพระ”

              พระรูปหนึ่งเดินทางไปในป่า เห็นกวางติดแร้วอยู่ก็สงสาร จึงช่วยให้พ้นทุกข์ทรมานโดยปล่อยสัตว์ให้หนีไป เมื่อนายพรานมาเห็นเข้าก็โกรธมาก สั่งให้หมาไล่เนื้อของตนกัดพระ พระวิ่งหนีไม่ทันถูกฝูงหมากัดขาและจีวรฉีกขาด จนต้องหนีขึ้นไปบนต้นไม้ ฝูงหมาก็ตามไปตะกาย อยู่ที่โคนต้นไม้ และกระโดดจะกัดให้ถึง พระกอดกิ่งไม้ไว้จะโหนตัวไต่ขึ้นกิ่งที่อยู่สูงขึ้นไป บังเอิญ ลมพัดจีวรปลิวตกลงมาคลุมตัวนายพรานซึ่งยืนยุให้หมากัดพระ ฝูงหมาไล่เนื้อนึกว่าพระกระโดดลงมา จึงรุมกัดจนนายพรานตาย…นิทานเรื่องนี้ตรงกับหลักเบญจศีลในข้อที่ 1 คือ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ทรมานสัตว์ ไม่รังแกหรือไม่ทำร้ายผู้อื่น เพราะหากทำร้ายหรือรังแกผู้อื่น สิ่งเหล่านี้ก็อาจจะย้อนกลับมาทำร้ายตัวเราเองได้ ดังเช่นนายพรานคนนี้เป็นต้น

               

              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

              5 นิทานคุณธรรม ปลูกฝังให้ลูกทำดีได้ตั้งแต่เล็ก!

                ตัดผมวันไหนดี

                ตัดผมวันไหนดี? ตัดอย่างไรให้มีโชคลาภ งาน-เงินปัง!

                เพราะการตัดผมเป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างหนึ่ง ดังนั้นการเลือกว่าว่าควรจะ ตัดผมวันไหนดี ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายที่เราจะทำตาม

                ตัดผมวันไหนดี? ตัดอย่างไรให้มีโชคลาภ งาน-เงินปัง!

                ไหน ๆ ก็จะต้องตัดผมอยู่แล้ว ทำไมไม่เลือกวันที่เชื่อกันว่าเป็นวันดี ตัดแล้วจะเสริมดวง เสริมโชค เสริมลาภให้กับตัวเองล่ะ ตามความเชื่อโบราณ การเลือกวันตัดผมที่เป็นวันดี จะสามารถเสริมความเป็นสิริมงคลแก่ตัวเองได้ เพราะผมถือเป็นสิ่งปกคลุมหัวถือได้ว่าเป็นส่วนสูงสุดของคนเรา

                ตัดผมวันไหนดี? ตัดอย่างไรให้มีโชคลาภ งาน-เงินปัง!

                วันอาทิตย์
                ตัดผมวันอาทิตย์ ท่านว่าดีนักแล จะมีอายุยืนยาว ร่างกายแข็งแรง ไม่เจ็บป่วยเป็นไข้ออด ๆ แอด ๆ

                วันจันทร์
                ตัดผมวันจันทร์ ท่านว่าจะมีแต่โชคลาภ ได้ของมีค่า การค้าขายคล่องตัว ไม่อด ไม่จน

                วันอังคาร
                ตัดผมวันอังคาร ท่านว่าไม่ดี มีแต่โทษ มีแต่คนปองร้าย ศัตรูจะทำให้ได้เจ็บ เลี่ยงได้จงเลี่ยงการตัดผมวันอังคาร

                วันพุธ
                ตัดผมวันพุธ ท่านว่าวันพุธเป็นวันของเจ้าของนายท่าน เราไม่ควรตีตนเสมอ การงานจะมีแต่ตกต่ำ มีแต่เรื่องทะเลาะวิวาทขัดแย้ง ทั้งกับผู้อื่นและคนในครอบครัว คนโบราณท่านไม่แนะนำให้ตัดผมวันนี้

                ตัดผมทรงอะไรดี
                ตัดผมทรงอะไรดี

                วันพฤหัสบดี
                ตัดผมวันพฤหัสบดี ท่านว่าเป็นวันครู เป็นวันมงคลยิ่งนัก เหล่าเทวดาจะมาปกปักรักษาให้แคล้วคลาดจากอันตรายทั้งหลายทั้งปวง เป็นวันสิริมงคลยิ่ง ถ้าไม่ติดธุระสำคัญหนักหนา ให้ตัดผมวันพฤหัสบดีนี้

                วันศุกร์
                ตัดผมวันศุกร์ ท่านว่าเป็นวันธงชัย ทำอะไรเจริญรุ่งเรือง ตัดผมวันนี้จะมีแต่โชคลาภ การค้าการขายดี มีเงินทองใช้ไม่ขาดมือ ใครทำค้าขายโบราณท่านว่า ตัดผมวันศุกร์จะดีที่สุด

                วันเสาร์
                ตัดผมวันเสาร์ ท่านว่าเป็นวันมงคลนัก ตัดผมแล้วจะได้ดังสิ่งที่หวัง ประสงค์สิ่งใดไว้ก็จะได้สิ่งนั้น

                นอกจากฤกษ์ตัดผมแล้วว่าควร ตัดผมวันไหนดี การตัดผมในทรงที่เข้ากับรูปหน้าของตัวเองก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะต่อให้ไปตัดผมในฤกษ์ที่ดีแล้ว แต่เมื่อตัดออกมาแล้วเจ้าของผมไม่ชอบหรือทรงผมไม่เข้ากับหน้าของตนเอง ก็จะทำให้หมดความมั่นใจ ไม่กล้าทำสิ่งใด ๆ ได้ ส่งผลให้การงานออกมาไม่ดีเท่าที่ควร มาดู เทคนิคการเลือกแบบทรงผมให้เหมาะกับรูปหน้าของตัวเองกันค่ะ

                 

                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                  ยาพาราเซตามอล

                  แม่เช็กเลย 25 ตำรับ ยาพาราเซตามอล ถูกระงับทันที ป้องกันแพ้ยา พิษต่อตับ รับยาเกินขนาด

                  แม่ต้องรู้!!  ประกาศถอดถอน 25 ตำรับยา ที่มี ยาพาราเซตามอล เป็นส่วนผสม หลังพบผู้ใช้เกิดอาการแพ้ยา เป็นพิษต่อตับ และได้รับยาเกินขนาด โดยเฉพาะบางคนที่กินยาร่วมกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อาจเสี่ยงอันตรายต่อชีวิต

                  ด่วน! ประกาศระงับ ยาพาราเซตามอล 25 ตำรับ หลังพบเสี่ยงอันตรายต่อสุขภาพ

                  เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ประกาศ คำสั่งกระทรวงสาธารณสุช ที่ 780/2562 เรื่องเพิกถอนทะเบียนตำรับยา  โดยระบุว่าด้วยสถานการณ์ปัจจุบัน ปรากฏพบปัญหาจากการใช้ ยาพาราเซตามอล มากขึ้น โดยพบทั้งอาการไม่พึงประสงค์ในลักษณะการแพ้ยา และอาการผลข้างเคียง เช่น การเกิดพิษต่อตับ จากการใช้ยา ไม่เหมาะสม การได้รับยาซ้ำซ้อน การใช้ยาเกินขนาดโดยไม่ตั้งใจ หรือการใช้ยาร่วมกับการดื่มเครื่องดื่ม ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นความเสี่ยงให้เกิดอัน ตรายต่อผู้บริโภค เพื่อคุ้มครองความปลอดภัย ของผู้ใช้ยา

                  ยาพาราเซตามอล

                  ภายหลังจากได้มีคำสั่งกระทรวงสาธารณสุข ให้ผู้รับอนุญาตผลิตยา หรือผู้รับอนุญาตนําหรือสั่งยาเข้ามาในราชอาณาจักร ซึ่งมี ยาพาราเซตามอล เป็นส่วนประกอบชนิดรับประทาน (ทั้งชนิดเม็ดและน้ำ) ไปแก้ไขฉลาก และเอกสาร กํากับยาตามกำหนด แต่ปรากฏว่าผู้รับอนุญาตไม่ดําเนินการแก้ไขทะเบียนตํารับยาดังกล่าวให้เป็นไปตามคําสั่งข้างต้นจํานวน 25 ตํารับ จึงอาจเกิดความไม่ปลอดภัยต่อผู้ใช้ยาได้

                  อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 86 แห่งพระราชบัญญัติยา พ.ศ.2510 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม โดยพระราชบัญญัติยา (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2530 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขโดยคําแนะนํา ของคณะกรรม การยาในการประชุมครั้งที่ 389-3/2562 เมื่อวันที่ 23 พ.ค.2562จึงมีคําสั่งเพิกถอนทะเบียนตํารับยาที่มีพาราเซตามอลเป็นส่วนประกอบ ชนิดรับประทาน จํานวน 25 ตํารับ ตามบัญชีแนบท้ายคําสั่งนี้

                  ยาพาราเซตามอล

                  ก่อนกรณีที่หน้านี้ทาง องค์การอาหารและยา สหรัฐอเมริกา (USFDA) มีคำสั่งยกเลิกทะเบียน ยาพาราเซตามอล เฉพาะสูตรผสมตามใบสั่งยา (Precription combination durg products) ซึ่งมีปริมาณของพาราเซดามอนเกินกว่า 325 มิลลิกัม เพราะเป็นอันตรายร้ายแรงต่อตับ  ทางคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ของไทยเองได้เฝ้าระวังพิจารณาตำรับยาต่างๆอย่างใกล้ชิด

                  ยาพาราเซตามอล

                  โดยเป็นการศึกษาขนาดยา วิธีใช้ สูตรคำรับยาเดี่ยวและสูตรตำรับยาผสม ร่วมพิจารณากับข้อมูลการพิจารณายกเลิกทะเบียนยาสูตรผสมของ USFDA ด้วย เพื่อปรับขนาดยาให้เหมาะสมกับคนไทย และลดปัญหาอันตรายจากการใช้ยา

                  ดร.นพ.ปฐม สวรรค์ปัญญาเลิศ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา ระบุว่า อย.มีกำหนดให้ผลิตภัณฑ์ยาทุกตำรับที่มีส่วนผสมของพาราเซตามอล ต้องแสดงข้อความคำเตือนเกี่ยวกับพิษต่อตับให้ผู้บริโภครับทราบ พร้อมกับข้อแนะนำไม่ให้กินยาติดต่อกันเกิน 5 วัน เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการกินยานานเกินไป และเกินขนาด

                   อ่านข้อควรระวังเมื่อกินพายาราเซตามอล หน้า 2

                   

                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                   

                    ของเล่น เด็ก 3 ขวบ

                    12 ของเล่น เด็ก 3 ขวบ เสริมพัฒนาการลูกฉลาด เลือกอย่างไรดี

                    การเล่นในช่วงอายุ 2-3 ปีที่ถือว่ามีส่วนสำคัญต่อพัฒนาการของลูก ของเล่น เด็ก 3 ขวบ มีอะไรบ้างที่มีส่วนช่วยเสริมพัฒนาการให้ลูกฉลาด มาเลือกกัน

                    12 ของเล่น เด็ก 3 ขวบ เสริมพัฒนาการลูกฉลาด เลือกอย่างไรดี??

                    “งานของเด็กคือการเล่น” นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ นักจิตแพย์และผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวช พัฒนาการวัยเด็กและวัยรุ่นกล่าวไว้เป็นประโยคทองที่มองเห็นภาพได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะการเล่นในช่วงอายุ 2-3 ปีที่ถือว่ามีส่วนสำคัญต่อพัฒนาการของลูก ของเล่น เด็ก 3 ขวบ มีอะไรบ้างที่มีส่วนช่วยเสริมพัฒนาการลูก ถ้าอยากรู้ตามมาเลย แถมวิธีเลือกของเล่นลูก ถูกใจ ได้ประโยชน์ด้วยนะ

                    เวลาของการเล่นเป็นส่วนสำคัญต่อพัฒนาการของวัยเด็ก หน้าที่ของเจ้าตัวเล็กคือการได้ตื่นขึ้นมาเพื่อเล่นอย่างจริงจัง เพราะสิ่งที่ลูกจะได้รับจากการเล่นก็คือพัฒนาการในส่วนต่าง ๆ เช่น พัฒนากล้ามเนื้อมัดใหญ่จากการขยับแขน ขา เคลื่อนไหวเดิน วิ่ง ปีนป่าย กระโดดไปมา ฯลฯ พัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็กจากการใช้นิ้วจับของเล่น การทำงานประสานระหว่างมือ สายตา ได้อย่างแม่นยำ พัฒนาการด้านสมองและนำไปสู่พัฒนาการด้าน Executive Function หรือ EF ได้ ร่วมถึงพัฒนาการด้านอารมณ์และจิตใจของลูกด้วย

                    การเลือก ของเล่นเสริม พัฒนาการ 3 ขวบ ที่เหมาะสมกับวัยก็เป็นตัวช่วยส่งเสริมพัฒนาการลูก และมีบทบาทสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับครอบครัว ของเล่นที่มีดีไม่ใช่เล่น ๆ มีอะไรบ้างนะ??

                    ของเล่นเด็ก 3 ขวบ แบบไหนที่มีดีไม่ใช่เล่น ๆ ??

                    ของเล่น เด็ก 3 ขวบ
                    www.pexels.com

                    1.เลโก้หรือบล็อกตัวต่อ เหมาะสำหรับลูกวัย 3 ขวบขึ้นไป มีประโยชน์ต่อพัฒนาการทางด้านสติปัญญาให้เด็กได้ใช้ความคิด จินตนาการในการสร้างสรรค์ผลงาน ต่อเป็นอาคาร ปราสาท ด้วยการต่อบล็อกซ้อนกันขึ้น ช่วยเชื่อมต่อการทำงานประสานมือและสายตา และยังช่วยฝึกสมาธิได้ดีด้วย

                    2.จิ๊กซอว์ จิ๊กซอว์สำหรับเด็กวัยก่อนเข้าเรียนควรเป็นชิ้นใหญ่และเริ่มต้นเพียงแค่ 4 ชิ้น 6 ชิ้น 8 ชิ้น หรือ 12 ชิ้น เพิ่มความยากขึ้นไปตามลำดับ การต่อจิ๊กซอว์จะช่วยพัฒนาทักษะการจับคู่และการเรียงลำดับ เสริมทักษะในการแก้ปัญหาให้ลูกได้ฝึกคิด มีสมาธิ ต่อภาพจิ๊กซอว์ตามโจทย์ และเมื่อทดลองทำด้วยตัวเองสำเร็จก็จะทำให้ลูกมีความมั่นใจในตัวเองด้วย

                    3.บอร์ดเกมหรือเกมส์กระดานสำหรับเด็ก 3 ขวบ เช่น บิงโกหรือโดมิโน จะช่วยเสริมทักษะทางด้านสติปัญญา ความแม่นยำ แยกแยะตัวเลข และสีต่าง ๆ ได้

                    4.แฟลชการ์ดหรือบัตรคำ ไม่ว่าจำเป็นการ์ดคำศัพท์ต่าง ๆ รูปภาพจับคู่สัตว์ สิ่งของ เหล่านี้จะช่วยเพิ่มชุดคำศัพท์และฝึกความแม่นยำ สอนให้ลูกรู้จักการแยกหมวดหมู่ได้

                    5.เครื่องดนตรี ของเล่นเกี่ยวกับเครื่องดนตรี เช่น กลอง กีตาร์ คีย์บอร์ด เมโลเดี้ยน ฯลฯ จะเป็นตัวช่วยในการสนับสนุนความถนัดทางด้านดนตรี ร้องเพลง ให้กับเจ้าตัวเล็กได้ฉายแววเป็นศิลปินได้ อีกทั้งจังหวะทำนองที่น่าสนใจจะช่วยให้ลูกอารมณ์ดี และการเล่นดนตรีก็มีส่วนช่วยพัฒนาการด้านสมองฝึกเรื่องความจำได้ดี

                    6.ชุดอาชีพต่างๆ เด็กวัยนี้เริ่มชอบเล่นบทบาทสมมุติกันแล้ว มีหลายอาชีพที่เด็ก ๆ มักถูกใจ ไม่ว่าจะเป็นคุณหมอ พยาบาล เชฟทำอาหาร ช่างซ่อม ชุดแฟนซี ฯลฯ ของเล่นในชุดอาชีพจะช่วยกระตุ้นพัฒนาการด้านคำพูดและภาษา ฝึกพัฒนาการด้านสังคมและอารมณ์ที่สามารถเล่นกับคนอื่นได้ ต่อยอดความคิดและจิตนาการในบทบาทสมมติที่ตัวเองสร้างขึ้น

                    7.ชุดงานฝีมือ DIY ใช้อุปกรณ์ง่าย ๆ เช่น ดินสอสี, สติกเกอร์, กระดาษ, กาว ทำการ์ดหรือภาพตัดปะ งานศิลปะประดิษฐ์เป็นการสร้างจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์

                    8.สมุดภาพระบายสี การจับดินสอระบายสีเป็นการฝึกสมาธิและประสาทสัมผัส ช่วยเน้นพัฒนาการกล้ามเนื้อมือเล็กฝึกการควบคุมให้อยู่ในกรอบ การเลือกใช้สีแต่ละสีช่วยกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการของลูก

                    หนังสือนิทาน ของเล่น เด็ก 3 ขวบ
                    หนังสือนิทาน ของเล่น เด็ก 3 ขวบ

                    9.หนังสือนิทาน การอ่านหนังสือเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ต่อลูกน้อยเป็นอย่างมาก การอ่านหนังสือให้ลูกและชวนเจ้าตัวน้อยเริ่มอ่านหนังสือตั้งแต่เล็ก จะทำให้ลูกเป็นเด็กรักการอ่าน ช่วยเสริมพัฒนาการด้านสมองและภาษาได้เป็นอย่างดี

                    10.ตุ๊กตา หุ่นยนต์ รถของเล่น ไดโนเสาร์ ของเล่นเหล่านี้มีส่วนช่วยส่งเสริมทักษะการพูดให้กับลูกได้ตั้งแต่เล็ก ๆ ทำให้มีสมาธิที่ดีขึ้น ช่วยฝึกจินตนาการ ฝึกการเข้าสังคมเมื่อเล่นรวมกันเป็นกลุ่ม

                    11.แป้งโดว์ การใช้มือน้อย ๆ หยิบจับ ขยำปั้นแป้งโดว์จะเป็นการช่วยกระตุ้นกล้ามเนื้อมือยังช่วยเสริมสร้างจินตนาการของเจ้าตัวน้อยได้ให้คิดและพยายามปั้นออกมาเป็นรูปต่าง ๆ ด้วยตัวเอง และเป็นของเล่นที่ช่วยให้การประสานมือและตาทำงานดีขึ้นด้วย

                    12.Balance Bike จักรยานขาไถหรือบาลานซ์ไบค์ เหมาะตั้งแต่อายุ 18 เดือนถึง 5 ปี ของเล่นชิ้นนี้มีช่วยเสริมพัฒนาการกล้ามเนื้อมัดใหญ่ ให้ได้ขยับแขนขาเคลื่อนไหวได้อย่างสนุกสนาน มีการประสานงานระหว่างมือกับเท้าเพื่อให้ลูกรู้จักทรงตัว และเกิดความเชื่อมั่นในตนเองได้

                     

                    อ่านต่อ>> ของเล่นเสริมพัฒนาการ 3 ขวบ เลือกอย่างไรให้ปลอดภัย คลิกหน้า 2

                     

                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                      อ่านหนังสือให้ลูกฟัง

                      5 เทคนิค อ่านหนังสือให้ลูกฟัง เริ่มตอนไหน? อ่านยังไง? โดย พ่อเอก

                      ‘เราเริ่ม อ่านหนังสือให้ลูกฟัง ตอนอายุเท่าไหร่’ ถ้าจำไม่ผิดคงจะเริ่มตอนอายุประมาณ 3 เดือน แต่เป็น 3 เดือนอายุครรภ์นะฮะ ฮ่าฮ่าฮ่า คือ อ่านให้ฟังตั้งแต่อยู่ในครรภ์หม่ามี๊เลย ซึ่งจริงๆ แล้วอาจจะเร็วไปนิด เพราะตอนนั้น อวัยวะส่วนการฟังของเจ้าปูนปั้นกับปั้นแป้ง อาจจะยังไม่พัฒนาพอ แต่เราเชื่อว่าลูกแฮปปี้เพราะเขารับรู้ความแฮปปี้ผ่านทางอารมณ์หม่ามี้ได้ และ ดังนั้นมีกิจกรรมอะไรที่ทำให้หม่ามี้แฮปปี้ ปะป๊าก็จะพยายามทำให้ เราเล่านิทาน ร้องเพลง กล่อมนอนให้เขาฟังตั้งแต่ตอนนั้น แต่จริงๆ เด็กจะเริ่มได้ยินหลังอายุครรภ์เกิน 3 เดือนไปไม่นานนัก

                      แล้ว อ่านหนังสือให้ลูกฟัง มันมีประโยชน์ตรงไหน เพราะเขาก็ฟังไม่รู้เรื่องอยู่ดี? มีสิครับ เพราะเขาจำเสียงเราได้ ตอนเขาลืมตาออกมาดูโลก เขาคุ้นเสียงใครมากกว่า คนนั้นกุมความได้เปรียบ อย่าทำเป็นเล่นไป และในตอนที่ยังอยู่ในพุงหม่ามี้ เราก็เชื่อว่า เขารอเวลาที่จะออกมาคุยกับเราเช่นกัน

                      ‘เทคนิคเล็กๆ น้อยๆ ในการ อ่านหนังสือให้ลูกฟัง’

                      1. เคยเจอปัญหาว่า ลูกไม่ยอมฟังเราเล่านิทานมั้ย

                      เรื่องนี้ผมว่าปัญหาอยู่ที่ตัวเรา คือ คุณพ่อคุณแม่ ไม่ใช่อยู่ที่ลูก สังเกตตัวเราว่า เวลาเราอ่านนิทานให้ลูกฟัง เราสนุกไปด้วยมั้ย  เพราะถ้าเราสนุกไปด้วย เสียงเราจะไม่โมโนโทน แต่น้ำเสียงในการเล่าจะไปตามอารมณ์เรื่อง เราได้ใส่อารมณ์และท่าทางเข้าไปด้วยมั้ย ถ้าลูกยังไม่สนุก เล่าไปแสดงตามเนื้อเรื่องไปด้วยก็ช่วยได้ แน่นอนบ้านเรา หม่ามี้กับปะป๊าเคยแสดงนิทานหลายเรื่องให้ปูนปั้นกับปั้นแป้งดู

                      1. เจอปัญหาว่าลูกจะเอาแต่เปิดข้ามๆ ไปเรื่อยๆ มั้ย

                      ปัญหานี้ครอบครัวเราต้องขอบพระคุณคุณหมอพัฒนาการเด็กท่านหนึ่งที่ปะป๊าเคยขึ้นเวทีร่วมกับท่าน และท่านได้แนะนำในเรื่องนี้ว่า ‘เราต้องเป็นคนคุมเกมส์’ เราต้องเป็นผู้จับหนังสือ เป็นผู้เปลี่ยนหน้าเอง ไม่ใช่ลูก เท่านั้นเอง กลับมาถึงบ้านเด็กๆ ก็มาอยู่ในเกมส์การอ่านของเรา 555

                      เทคนิคอ่านหนังสือกับลูก

                      1. อ่านหนังสือให้ลูกฟัง เราควรนั่งอ่านหนังสือในลักษณะแบบไหนดี

                      มีบางท่านแนะนำว่า นั่งตรงข้าม เพื่อที่เราจะได้เห็นสายตาลูก จะได้รู้ว่าท่อนไหน ที่เขาสนใจ ไม่สนใจ เขาสนุกตรงไหน เราจะได้ขยี้ๆๆๆๆ จุดนั้น อย่าให้หลุด เอาให้สุด แต่เราครอบครัวเราเอง ชอบนั่งข้างๆ กัน เพราะปูนปั้นเอง ก็มีส่วนร่วมกับการเล่าเรื่องไปด้วยตลอดทั้งเล่มและปูนปั้นก็ชอบให้นั่งข้างๆ มากกว่าตรงข้าม

                      1. เล่าไปถามไป

                      การเล่าเฉยๆ ไม่สนุกเท่ากับ เล่าไปถามไป จะได้รู้ว่าลูกสนใจมั้ย และเป็นการดึงความสนใจ อีกทั้งเพิ่มความสนุกเข้าไปด้วย แต่ถ้าลูกตอบผิด อย่าได้ใส่ใจ อย่าทำเป็นเรื่องใหญ่ … ให้นึกว่า ‘ปล่อยเจ้าตอบเจ้าเล่าไป ตามใจเจ้าฝัน’

                      1. แล้วหนังสือแบบไหนที่น่าอ่าน

                      สั้นๆง่ายๆ ‘หนังสือที่ลูกเลือกสิครับ’

                       

                      ทำได้ขนาดนี้ รับรองลูกจะสนุกกับการอ่านหนังสือแน่นอน เหมือนเจ้าปูนปั้นกับปั้นแป้งที่จะต้องมี คืนละ 3 เล่มเป็นอย่างน้อย และถือเป็นเรื่องสำคัญก่อนนอนทีเดียว

                      และแม้ว่าจริงๆ แล้วตอนนี้ปั้นแป้งจะยังอ่านหนังสือไม่ออก แต่ปั้นแป้งสามารถเล่านิทานสนุกๆๆๆๆ จากในเล่ม ที่ไม่เหมือนเนื้อหาในเล่ม ให้เราฟังได้นะเออ เป็นนิทานที่ยังไม่มีใครเคยอ่าน และเป็นนิทานที่จะถูกเล่าครั้งเดียว เท่านั้น

                      ส่วนพี่ปูนปั้นตอนนี้ทุกคืนสามารถอ่านหนังสือนิทานภาษาอังกฤษสำหรับเด็กที่มีภาพประกอบได้คืนละเล่ม เล่มนึงก็มีเนื้อหาประมาณ 30 หน้า ซึ่งเขาอ่านได้ชิลๆ

                      เห็นมั้ยครับ ถ้าไม่ให้เขารักการอ่านแต่เด็กจะให้ไปเริ่มตอนไหน และเมื่อเขารักการอ่าน คุณจะรู้ว่านอกจากลูกจะได้ประโยชน์แล้ว เวลาต้องเตรียมสอบ เราผู้เป็นพ่อแม่จะสบายมากขึ้นหลายเท่า


                      >>แวะไปดู รอยยิ้มหวานฉ่ำ ที่มีแจกฟรีทุกวันได้ที่เฟซบุ๊ค

                      หมุนรอบลูก – พี่ปูนปั้น กับ น้องปั้นแป้ง นะครับ<<

                      ปูนปั้น ปั้นแป้ง พ่อเอก
                      ปูนปั้น ปั้นแป้ง พ่อเอก เพจหมุนรอบลูก

                      บทความน่าสนใจอื่นๆ

                      แชร์เทคนิค”สอนลูกให้รู้จักรับผิดชอบ”ตั้งแต่เด็ก

                      “ลูกทำผิด” เทคนิคสอนลูก แบบไม่ต้อง “ทำโทษ”

                      แนะนำ 4 “บอร์ดเกม” ฝึกลูกสมองไว ไหวพริบดี

                       

                      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                        วิธีดูแลเสื้อผ้า

                        เคล็ด(ไม่)ลับ “วิธีดูแลเสื้อผ้า” ลูกน้อยให้สะอาด หอม ไม่มีกลิ่นอับชื้นตลอดวัน

                        วิธีดูแลเสื้อผ้า “เด็ก” …คุณพ่อคุณแม่ที่พากันไปเลือกซื้อของใช้ให้ลูกน้อย และหนึ่งในนั้นก็ต้องมีเสื้อผ้าเด็ก  รวมถึงผ้าขนหนู ถุงเท้า เป็นต้น แนะนำว่าชุดเสื้อผ้าเด็ก ของใช้ผ้าต่างๆ ที่ซื้อมาใหม่ ต้องนำมาซักทำความสะอาด ก่อนนะคะ เพราะถึงแม้จะเป็นเสื้อผ้าเด็กชุดใหม่ ก็อาจทำให้ผิวลูกน้อยเกิดการระคายเคืองจากเนื้อผ้าได้ค่ะ

                         

                        วิธีดูแลเสื้อผ้า

                        วิธีดูแลเสื้อผ้า ให้สะอาด ลูกน้อยสวมใส่สบายตัว สบายผิว

                        การซักทำความสะอาดเสื้อผ้าลูกวัยที่เริ่มทำกิจกรรมนอกบ้านมากขึ้น เป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญอย่างมาก นอกจากชุดเสื้อผ้าใหม่ที่ต้องซักทำความ สะอาดก่อนสวมใส่ให้ลูกแล้ว ก็ยังมีชุดเสื้อผ้าที่สวมใส่ใช้แล้วในทุกวัน ที่มีทั้งคราบเหงื่อ คราบสกปรกต่างๆ ทั้งปัสสาวะ อุจจาระ คราบดินโคลน คราบอาหาร คราบเลือด ฯลฯ ก็ต้องซักทำความสะอาดเอาคราบสกปรกออกไปให้หมดด้วยเช่นกันค่ะ

                        และด้วยความที่ผิวของลูกน้อยยังบอบบาง คุณแม่ไม่ควรซักทำความสะอาดเสื้อผ้าเด็กด้วยผลิตภัณฑ์ซักทำความสะอาดทั่วไป เพราะสารเคมีอาจทำให้ผิวลูกน้อยแพ้ระคายเคืองขึ้นได้ค่ะ ดังนั้นเพื่อให้ชุดเสื้อผ้าของลูกน้อยสะอาด หอม ไม่มีกลิ่นอับชื้น สวมใส่แล้วสบายตัว ไม่ระคายเคืองผิวบอบบาง อ่อนโยน เรามีวิธีดูแลเสื้อผ้าลูกแบบง่ายๆ มาแนะนำกันค่ะ

                        1. แยกซักทำความสะอาด

                        เสื้อผ้าลูกไม่ควรซักรวมกับเสื้อผ้าของผู้ใหญ่ เพราะไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผ้าร่วมกัน ควรใช้เป็นผลิตภัณฑ์ซักทำความสะอาดสำหรับเด็กโดยเฉพาะเท่านั้น

                        2. แยกซักระหว่างผ้าขาว และผ้าสี

                        ควรแยกเสื้อผ้าเด็ก รวมถึงของใช้ต่างๆ เช่น ผ้าอ้อม ถุงเท้า ผ้าห่ม ปลอกหมอน ฯลฯ ต้องแยกเนื้อผ้าสีขาวต่างหาก ไม่ควรซักรวมกับเนื้อผ้าสี เพื่อป้องกันสีผ้าตกใส่

                        วิธีดูแลเสื้อผ้า

                        3. แยกซักผ้าที่มีคราบสกปรก

                        เสื้อผ้า หรือผ้าอ้อม ผ้าปูที่นอนลูก หากเลอะคราบปัสสาวะ หรืออุจจาระ ให้แยกออกมาแช่ทิ้งไว้ด้วยน้ำเปล่าก่อน เพื่อให้คราบสกปรกหลุดออก จากนั้นค่อยซักขจัดคราบด้วย ผลิตภัณฑ์ซักผ้าสำหรับเด็กโดยเฉพาะ

                        4. ใช้ผลิตภัณฑ์ซักทำความสะอาดที่อ่อนโยนต่อเนื้อผ้า

                        สำหรับเสื้อผ้าเด็ก แนะนำให้ใช้เป็นผลิตภัณฑ์ซักผ้าและปรับถนอมเนื้อผ้าสำหรับเด็กเท่านั้น เนื่องจากมีส่วนผสมจากสารสกัดธรรมชาติ ไม่มีสารเคมีอันตราย และอ่อนโยนต่อเนื้อผ้า เมื่อลูกสวมใส่ชุดเสื้อผ้าก็จะไม่เกิดการระคายเคืองต่อผิว ทำให้สบายตัวตลอดวันค่ะ

                        5. ตากเสื้อผ้าให้แห้ง

                        เสื้อผ้าเด็กโดยมากจะเป็นเนื้อผ้าฝ้าย เบาๆ นิ่มๆ หลังจากซักทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว ให้ตากพึ่งแดด ผึ่งลมให้แห้งสนิท ก่อน เพราะถ้าเนื้อผ้าไม่แห้ง อาจเกิดความอับชื้น และเหม็นอับ ซึ่งเมื่อลูกสวมใส่ก็จะไม่สบายผิว มีอาการคันผิวขึ้นได้ค่ะ

                        วิธีดูแลเสื้อผ้าลูกที่นอกจากความสะอาดแล้ว การที่เสื้อผ้ามีกลิ่นหอมอ่อนๆ จากธรรมชาติ ก็ช่วยให้ลูกน้อยอารมณ์ สดชื่น ตลอดวันได้ค่ะ ซึ่งเคล็ดลับอยู่ที่ผลิตภัณฑ์ซักผ้าเด็กค่ะ

                        วิธีดูแลเสื้อผ้า

                        ผลิตภัณฑ์ซักผ้าเด็กดีนี่ เป็นน้ำยาซักผ้าเด็กที่คุณแม่มั่นใจเลือกใช้กันค่ะ การันตีด้วยยอดขายอันดับ 1 และมีให้เลือกใช้ถึง 4 สูตร นั่นคือ

                        • สูตรสำหรับเครื่องซักผ้าฝาหน้าโดยเฉพาะ มีฟองพอเหมาะ ซักล้างออกง่าย (สีชมพู)
                        • สูตรสำหรับซักผ้าขาว ช่วยให้เสื้อผ้าสีขาวสดใส ไม่หมอง (สีขาว)
                        • สูตรลดกลิ่นเหงื่อเด็ก ช่วยให้เนื้อผ้าหอมตลอดวัน แม้ลูกเล่นสนุกจนเหงื่อออก (สีแดง)
                        • สูตรแอนตี้แบคทีเรีย ยับยั้งแบคทีเรีย 99.99% ช่วยให้เสื้อผ้าไม่เหม็นอับ (สีฟ้า)

                        วิธีดูแลเสื้อผ้า

                        ผลิตภัณฑ์ซักผ้าเด็กดีนี่ ที่ถูกใจคุณแม่ที่มีลูกวัยซน มีคุณสมบัติเด่น คือ…

                        1. เหมาะสำหรับซักเสื้อผ้าเด็ก อายุตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไป
                        2. ไม่ระคายเคืองผิว และไม่กัดมือขณะซักผ้า
                        3. ล้างฟองออกง่าย ไม่ทิ้งสารตกค้าง
                        4. เทคโนโลยี เฟรชล็อค ช่วยลดกลิ่นอับชื้น
                        5. ช่วยขจัดคราบสกปรกออกง่าย และป้องกันคราบไหลย้อนกลับ ทั้งคราบอาหาร คราบอุจจาระ คราบน้ำลาย คราบเลือด ฯลฯ
                        6. มีกลิ่นหอมจากธรรมชาติ ที่ทำให้รู้สึกสดชื่นเมื่อสวมใส่เสื้อผ้า

                         หวังว่าคุณพ่อคุณแม่คงจะถูกใจกับเคล็ดลับวิธีดูแลเสื้อผ้าลูกน้อย ให้สะอาด หอม ไม่มีกลิ่นอับชื้น สวมใส่สบายตัว ที่นำมาฝากกันนี้นะคะ และอย่าลืมเลือกผลิตภัณฑ์ซักผ้าเด็กที่ดีต่อเสื้อผ้าของลูกๆด้วยนะคะ

                        วิธีดูแลเสื้อผ้า

                         

                        แสดงแบบ : คุณแม่ชนิกานต์ เกียรติมณีศรี และ น้องไนร่า ทาดานี

                          Kidzooona

                          ชวนลูกเรียนผ่านการเล่นเป็นภาษาอังกฤษ ที่ Kidzooona

                          วันหยุดทั้งที่จะให้เด็กวัยซนอยู่บ้านเฉยๆ คงไม่ได้ ถ้าคุณพ่อคุณแม่กำลังมองหาสถานที่สนุก ๆ ให้ลูกได้ปลดปล่อยพลังความคิดสร้างสรรค์ และกำลังร่างกายออกมาอย่างเต็มที่ Kidzooona เป็นอีกหนึ่งสถานที่ไม่ควรพลาด นอกจากจะมีของเล่นและกิจกรรมมากมายแล้ว ยังมีมุมสงบสำหรับผู้ใหญ่ ให้ทุกคนในครอบครัวได้อยู่ร่วมกันตลอดทั้งวันด้วย

                          Kidzooona แหล่งรวมความสนุก ให้เด็กได้ Play & Learn แบบเพลินๆ เสริมพัฒนาการ

                          การพาลูกออกไปเล่นนอกบ้านช่วงวันหยุด หรือวันว่างของคุณพ่อคุณแม่ นอกจากเป็นช่วงเวลาที่ทุกคนได้ทำกิจกรรมร่วมกันแล้ว ของเล่นและกิจกรรมต่างๆยังมีส่วนสำคัญในการเสริมสร้างทักษะชีวิตรอบด้านซึ่งจำเป็นสำหรับเด็กวัยซน ไม่ว่าจะเป็นของเล่นฝึกทักษะกล้ามเนื้อ อย่าง กระดานลื่น เทมโพลีน  ลู่วิ่งเป่าลม รวมถึงของเล่นช่วยให้เด็ก ๆ ค้นพบตัวเอง

                          หนึ่งในกิจกรรมที่เด็ก ๆ มา Kidzooona ทุกคนต้องการเล่น คือ โซนร้านค้า ที่ย่อส่วนเอาร้านค้า ร้านอาหาร มาให้เด็กๆได้ลองแปลงร่างเป็นพ่อค้าขายพิซซ่า หรือสัตวแพทย์ๆ โดยมีอุปกรณ์ ของใช้ที่เกี่ยวข้องกับอาอชีพนั้นๆ ให้ลงมือทำกันจริงๆด้วย สิ่งนี้จะช่วยเปิดโอกาสให้เด็กได้ลองทำอาชีพที่ตัวเองช่ืนชอบ พร้อมกับเรียนรู้ว่าในสังคมมีอาชีพอะไรกันบ้าง ไม่แน่ว่า ลูกน้อยอาจค้นพบอาชีพในฝันที่อยากทำในอนาคตด้วย

                          รายการ Kidtalks ช่วง DaddyTalks ใน EP. นี้ อ.คริสชวนสองหนุ่ม วินสตัน และวิลเบิร์ตมาระเบิดความสนุก 1 วันเต็มๆ กันที่ Kidzooona ให้เด็กได้มา เรียนผ่านเล่น Play and Learn แบบเพลินๆ เป็นภาษาอังกฤษด้วยกัน ซึ่งมีทั้งประโยคและคำศัพท์ให้คุณพ่อคุณแม่นำไปสอนลูกๆ ที่บ้านได้ด้วย จะมีคำศัพท์อะไรบ้าง มาดูกันเลยค่ะ

                          ทบทวนคำศัพท์สนุกจาก Kidzooona

                          day off     วันหยุด

                          holiday     วันหยุดสุดสัปดาห์ /นักขัตฤกษ์

                          come across  เจอเข้าโดยบังเอิญ

                          admission fee   ค่าเข้า

                          height         ความสูง (ระยะจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง)

                          tall              ส่วนสูง  (ความสูงของคน)

                          silde           ลื่น/กระดานลื่น

                          never give up    อย่ายอมแพ้

                          pairs          ใช้กับของที่เป็นคู่ เช่น รองเท้า ถุงเท้า กางเกง

                          stand straight  ยืนตรง

                          ่jump       กระโดด

                          jog           วิ่งเหยาะๆ

                          sprint     วิ่งเร็ว

                          friendly   เป็นมิตร

                          outgoing   อัธยาศัยดี

                          ทบทวนประโยคภาษาอังกฤษเด็ดๆ จาก Kidzooona

                          What would you like to do today?     วันนี้ลูกอยากทำอะไร

                          How can you goin , if we haven’t paid the fee yet?   ถ้ายังไม่จ่ายเงิน เราจะเข้าไปได้อย่างไร

                          We have to meature how tall you are?   เราไปวัดดูว่าลูกลสูงเท่าไรแล้ว

                          I’m 115 centimeters tall  ผมสูง 115 เซนติเมตร

                          Would you like to join us?  อยากไปเล่นด้วยกันไหม

                          คุณพ่อคุณแม่สามารถดูเนื้อหาอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ที่ รายการ Kids Talk ได้ทาง Facebook  Amarin baby & Kids  หรือทาง Youtube  Amarin Baby & Kids นะคะ

                           

                           

                            พาลูกเที่ยว ใกล้กรุงเทพ

                            5 จุดหมาย พาลูกเที่ยว ใกล้กรุงเทพ กิจกรรมเพียบ ถูกใจเด็กๆ

                            ปัจจุบันนี้มีแหล่งท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ เสริมพัฒนาการ สร้างจินตนาการให้เด็ก ๆ เยอะเลยค่ะ ขับรถไม่ไกลจากกรุงเทพฯ ก็มีที่เที่ยวที่ถูกใจเด็ก ๆ แล้ว พาลูกเที่ยว ใกล้กรุงเทพ กับแหล่งเรียนรู้ใหม่ ๆ มีกิจกรรมเพียบ ที่จะพาเจ้าตัวเล็กไปเปิดประสบการณ์และเต็มเปี่ยมไปด้วยความสนุกกันค่ะ ลองมาดูว่ามีที่ไหนบ้างแล้วเตรียมตัววางแผนไปกันเลยค่า…

                            5 จุดหมาย พาลูกเที่ยว ใกล้กรุงเทพ กิจกรรมเพียบ ถูกใจเด็กๆ

                            #1 Pumpkin Art Town จ.ปทุมธานี

                            พาลูกเที่ยว ใกล้กรุงเทพ Pumpkin Art Town
                            Pumpkin Art Town

                            จัดว่าเป็นอีกนิวแลนด์มาร์กใกล้กรุง ที่ตอบสนองโจทย์ไลฟ์สไตล์วันหยุดให้คุณพ่อคุณแม่ได้ พาลูกเที่ยว ใกล้กรุงเทพ แบบสบาย ๆ และใช้วันหยุดทำกิจกรรมดี ๆ ร่วมกัน ที่เมืองฟักทอง Pumpkin Art Town แหล่งเรียนรู้ศิลปะและคาเฟ่สุดชิค รวมถึงที่พักสำหรับครอบครัว ใน อ.สามโคก จ.ปทุมธานี

                            ในเมืองฟักทองแห่งนี้แบ่งออกเป็น 4 โซนด้วยกัน เริ่มต้นกันที่ Playground  ซึ่งพอมุดประตูทางเข้าเล็ก ๆ เข้ามาก็จะต้องร้องว้าวกับพื้นที่กว้าง ๆ ร่มรื่น ที่มีสนามเด็กเล่นให้เด็ก ๆ ได้วิ่งเข้าใส่ในทันทีที่ได้เห็น  มีทั้งสไลเดอร์ ตาข่าย ที่ปีนป่าย ขึ้นลงไปมา บนสนามหญ้า พร้อมมุมกระบะทราย ครบองค์สำหรับเครื่องเล่นเสริมพัฒนาการแบบ Outdoor ให้เด็ก ๆ ได้สัมผัสกับธรรมชาติอย่างใกล้ชิดเต็มที่ ใกล้ ๆ กันก็จะมีลานที่มีทั้งจักรยานสกู๊ตเตอร์ สามล้อ ขาไถ จัดมาบริการเด็ก ๆ กันโดยเฉพาะ

                            โซนบ้านศิลปะ บ้านสามหลังเล็ก ๆ สีเหลือง ฟ้า เขียว เป็นโซน workshop โดยเฉพาะ มีกิจกรรมให้เลือกหลากหลายมากหมุนเวียนเปลี่ยนไปในแต่ละสัปดาห์ อย่างมัดย้อม เพ้นท์ถุงผ้า งานปั้นดิน งานปักผ้า ฯลฯ ให้ทั้งเด็ก ๆ และผู้ใหญ่ได้สนุกกับการลองงานคราฟต์และได้ชิ้นงานในแบบของตัวเองกลับบ้านไปเลย

                            ร้านอาหารและคาเฟ่ มาถึงโซนที่คุณพ่อคุณแม่ปล่อยให้ลูกไปเล่นไปทำกิจกรรมแล้วพาตัวเองมาชิลเอ้าท์นั่งรอกับคาเฟ่ริมน้ำ ที่มองเห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยาสวย ๆ จิบเครื่องดื่มเย็น ๆ รอลูกเล่นวนไปค่ะ หรือถ้าหิวที่นี่ก็ยังมีทั้งของคาว หวาน ของกินเล่นให้บริการอีกด้วย

                            โซนสุดท้ายที่เพิ่งเปิดบริการบ้านพักสุดน่ารักเอาไว้สำหรับครอบครัวมานอนพักผ่อนหย่อนใจ ใช้เวลาดี ๆ ร่วมกันในวันหยุดกันค่ะ

                            พาลูกเที่ยว ใกล้กรุงเทพ พิกัด : Pumpkin Art Town
                            อ.สามโคก จ. ปทุมธานี
                            🕰 10.00-20.00 น.
                            📞 065-536-6691

                            #2 ยายนากะตาหวิน จ.สุพรรณบุรี

                            ยายนากะตาหวิน จ.สุพรรณบุรี
                            ยายนากะตาหวิน จ.สุพรรณบุรี

                            ยายนากะตาหวินออแกนิคฟาร์ม ฟาร์มสเตย์ที่ชวนให้ไปเป็นคนบ้านนอกใกล้กรุงซักวัน เพราะอยู่แค่ อ.บางปลาม้า จ. สุพรรณนี่เองค่ะ ภายในฟาร์มมีบ้านพักหลังขนาดกำลังดีที่จุคนทั้งแฟมิลี่ ไม่ว่าจะมากับครอบครัวเล็ก ๆ แค่ 3 คน ไปจนถึง 6-7-8 คน และมีแค่สองห้องเท่านั้นนะจ๊ะ บ้านหลังใหญ่เป็นสองชั้น ด้านบนเป็นห้องพักที่มีเตียงนอนแบบสองชั้น แบบที่เป็นความฝันของเด็ก ๆ เลย ส่วนด้านล่างเป็นห้องครัวที่คุณแม่สามารถเข้าครัวลงมือทำอาหารเองเลยก็ได้ และไฮไลท์ของบ้านนี้อยู่ตรงสไลด์เดอร์หน้าห้องนี่แหละ สไลด์ลงมาปุ๊บก็มีสนามหญ้ารองรับ มีบ่อทรายให้เล่น มีที่ให้วิ่ง มีชิงช้าให้แกว่งไกว มีลมเย็น ๆ มีวิวธรรมชาติ

                            นอกจากมาพักแล้วที่ฟาร์มยังมีกิจกรรมให้เด็ก ๆ เรียนรู้เพียบ!!! แบบใกล้ชิดธรรมชาติสุด ๆ ทั้งพายเรือ ให้อาหารปลา รดน้ำผัก กิจกรรมเพ้นท์กระถางก็มี ได้ทำบัวลอยไข่เป็ด ชิมรสเค็ม ๆ จากฝีมือตัวเองด้วย ตื่นเช้ามาก็ไปเข้าฟาร์มไปเก็บไข่เป็ด มีมื้อเย็นกับมื้อเช้าให้ทานกันเต็มอิ่ม สุดสัปดาห์ก็สามารถมาใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์ชิล ๆ ที่นี่ได้เลย หรือจะร่วมกิจกรรมแบบ 1 วันก็ได้ (น้องตั้งแต่เบบี้ถึง 6 ขวบฟรีค่ะ)

                            พาลูกเที่ยว ใกล้กรุงเทพ พิกัด : Yaina&Tawin OrganicFarm
                            อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
                            📞 081-9039771

                            # 3 ศูนย์เรียนรู้วิถีชีวิตและจิตวิญญาณชาวนาไทยนาเฮียใช้ จ.สุพรรณบุรี

                            ต้องบอกเลยว่าที่สุพรรณบุรีที่มีแหล่งท่องเที่ยวที่เหมาะสำหรับเด็ก ๆ และครอบครัวเยอะจริง ๆ เลยค่ะ ขับรถออกจากกรุงเทพนิดเดียวก็เจอทุ่งนาสีเขียวแล้ว อีกหนึ่งที่ พาลูกเที่ยว ใกล้กรุงเทพ คือ ศูนย์เรียนรู้วิถีชีวิตและจิตวิญญาณชาวนาไทยนาเฮียใช้ อ.เมือง จ. สุพรรณบุรี แหล่งเรียนรู้เชิงเกษตรที่เหมาะสำหรับเด็กและเป็นเหมาะเป็นที่ดูงานด้านการเกษตรสำหรับผู้ใหญ่อีกด้วย

                            พื้นที่เกษตรน่าเรียนรู้ขนาดใหญ่ ในเนื้อที่ 86 ไร่ ที่โดดเด่นไปด้วยแปลงนาสาธิต พื้นที่ปลูกข้าว เพาะเมล็ด เพาะเห็ด ตลอดจนพืชพรรณ  สัตว์เกษตรกรรมทั้งหลาย ทั้งไก่ เป็ด ปลา วัว ควาย ฯลฯ ให้เดินดูชิล ๆ หมดคงไม่ไหว ดังนั้นที่นี้เลยมีรถรางนำเที่ยวชมและมีจักรยานให้ปั่นเช่าเข้าไปชมอะไรดี ๆ อีกมากมายภายในพื้นที่การเกษตรที่มีหลายสเตชั่นเหลือเกิน ไฮไลท์ของที่นี่มีแทบทุกจุดไม่เฉพาะที่แปลงนาสาธิต แต่ยังเป็นบ้านทรงไทย ที่สร้างตามแบบยุคสมัยโบราณ ร้านโชว์ห่วยย้อนยุคชวนให้คิดถึงวัยเด็ก หอเตือนภัยชาวนาที่ชวนให้ขึ้นไปชมวิวถ่ายรูปมุมสูงสวย ๆ และยังมีจุดทำกิจกรรมอย่างสไลด์เดอร์นา โหนชิงช้าบนหอคอย หรือทำขนมไทย ที่ชวนให้เด็ก ๆ เรียนรู้ไปพร้อมกับความสนุกได้ไม่น้อยเชียวละ (ในส่วนกิจกรรมสำหรับเด็กสามารถติดต่อขอทราบรายละเอียดที่เพจนาเฮียใช้เพิ่มเติม)

                            พิกัด ศูนย์เรียนรู้วิถีชีวิตและจิตวิญญาณชาวนาไทย-นาเฮียใช้ จ. สุพรรณบุรี
                            🕰 08.00 – 17.00 น.
                            📞 09 2626 1515

                            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                            อ่านต่อ 5 จุดหมายใกล้กรุงเทพ พาลูกเที่ยว กิจกรรมเพียบ! คลิกหน้า 2

                              อาหารบำรุงน้ำนม

                              13 อาหารบำรุงน้ำนม เพิ่มน้ำนม ปลอดภัยจากธรรมชาติ

                              อาหารบำรุงน้ำนม มีความสำคัญกับแม่หลังคลอดเป็นอย่างมาก เพราะจะทำให้แม่ ๆ มั่นใจได้ว่าอาหารที่ทานเข้าไปนั้นจะช่วยให้มีน้ำนมให้ลูกทานอย่างเพียงพอ และมีสารอาหารที่ครบถ้วน

                              13 อาหารบำรุงน้ำนม เพิ่มน้ำนม  ปลอดภัยจากธรรมชาติ

                              13 อาหารบำรุงน้ำนม

                              1. ใบกะเพรา

                              ในใบกระเพรา มีธาตุเหล็ก แคลเซียม ฟอสฟอรัส เส้นใยอาหารสูง ความร้อนจากใบกะเพรา จะช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ช่วยให้มีน้ำนมมากขึ้น แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ หวัด คลื่นไส้ อาเจียน ช่วยทำให้อารมณ์ดีขึ้น ยิ่งถ้าเด็กได้รับจากนมแม่ ก็จะช่วยลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อในเด็กด้วย

                              เมนูแนะนำ แกงเลียง (ใส่ใบกะเพรา) ผัดกะเพรา แกงป่าหรือผัดเผ็ดต่าง ๆ นอกจากได้สรรพคุณทางยาแล้ว ในใบกะเพรายังมีกลิ่นหอมช่วยดับกลิ่นและรสคาวของเนื้อสัตว์ได้ดี

                              2. กุยช่าย

                              กุยช่ายอุดมไปด้วย แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก คาร์โบไฮเดรต บีตาแคโรทีน วิตามินซี มีฤทธิ์ช่วยขับน้ำนม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับลม

                              เมนูแนะนำ นำส่วนดอกมาผัดกับเนื้อสัตว์ หรือนำใบมากินสดแกล้มกับอาหารอื่น ๆ แต่ที่นิยมคือ ใส่ผัดไทย

                              3. กานพลู

                              น้ำมันที่อยู่ในดอกกานพลู มีส่วนประกอบสำคัญคือยูจีนอล ซึ่งสามารถช่วยขับน้ำนมได้ดี และยังมีฤทธิ์ช่วยขับน้ำดีเพื่อนำไปย่อยอาหาร ลดอาการบีบตัวของลำไส้บรรเทาอาการแน่น จุกเสียด ได้อีกด้วย

                              เมนูแนะนำ นำดอกตูมแห้งมา 5-8 ดอก ชงในน้ำเดือด แล้วดื่มแต่น้ำ

                              อาหารเพิ่มน้ำนม
                              อาหารเพิ่มน้ำนม

                              4. ขิง

                              อาหารฤทธิ์ร้อน ที่มีประโยชน์สำหรับแม่ที่ให้นมบุตรและเหมาะที่จะเป็น อาหารบำรุงน้ำนม เป็นอย่างมาก เนื่องจาก ขิงมีโปรตีน ไขมัน แคลเซียม วิตามินเอ บีหนึ่ง บีสอง คาร์โบไฮเดรต ซึ่งขิงช่วยในการขับลม แก้อาเจียน ช่วยย่อยไขมันได้ดี ลดการบีบตัวของลำไส้ บรรเทาอาการปวดท้องเกร็ง ขับเหงื่อ เพิ่มการไหลเวียนเลือด ทำให้น้ำนมไหลได้ดี ลดอาการอาเจียน และเชื่อว่าเมื่อคุณแม่กินเข้าไป สรรพคุณที่ดีของขิงจะผ่านทางน้ำนมไปสู่ลูก ทำให้ลูกไม่ปวดท้อง

                              เมนูแนะนำ ยำขิง ยำปลาทูใส่ขิง ไก่ผัดขิง มันหรือถั่วเขียวต้มน้ำขิง ไข่หวานน้ำขิงต้มอุ่น ๆ โจ๊กใส่ขิง

                              5. ใบแมงลัก

                              ในใบแมงลัก มีธาตุเหล็ก แคลเซียม วิตามินบี และวิตามินซีสูง เนื่องจากใบแมงลักมีฤทธิ์ร้อนและรสหอม จึงทำให้น้ำนมไหลได้ดี ขับลม ขับเหงื่อ เมื่อได้ทานเข้าไป

                              เมนูแนะนำ ใส่แกงเลียง กินสดแกล้มกับขนมจีน หรือใส่แกงป่าต่าง ๆ

                               

                              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                              อ่านต่อ 13 อาหารบำรุงน้ำนม เพิ่มน้ำนม เพิ่มคุณภาพ ปลอดภัยจากธรรมชาติ

                                พัฒนาการ เด็ก 6 ขวบ

                                ลูกไม่ได้เป็นเบบี๋อีกต่อไป พัฒนาการ เด็ก 6 ขวบ ที่พ่อแม่ต้องรู้

                                พัฒนาการ เด็ก 6 ขวบ ตอนนี้ ลูกเติบโตมากกว่าที่ผ่าน ๆ มา ถือว่าเป็นช่วงเวลาของการเรียนรู้สุด ๆ ทั้งร่างกาย ความคิด ที่พร้อมสำหรับเผชิญโลกใบกว้าง หากคุณพ่อคุณแม่เข้าใจธรรมชาติของลูกวัย 6 ขวบได้ดี และส่งเสริมพัฒนาการอย่างถูกทาง ลูกก็จะเติบโตได้อย่างมั่นคงสำหรับอนาคตข้างหน้า

                                มาดูกันดีกว่าว่า พัฒนาการ เด็ก 6 ขวบ วัยนี้ก้าวหน้าไปถึงไหนแล้ว

                                พัฒนาการเด็ก 6 ขวบ ทางด้านร่างกาย

                                พัฒนาการ เด็ก 6 ขวบ
                                www.pexels.com

                                ดูเหมือนว่าพอเข้าสู่อายุ 6 ขวบลูกของเราไม่ใช่เบบี๋อีกต่อไป จากเด็กวัยหัดเดินในสายตาของพ่อแม่ก็เปลี่ยนไปเป็นเด็กวัยประถมที่มีฟันขึ้นครบทุกซี่แล้ว แขน ขา เริ่มยาว สูงขึ้น และค่อย ๆ เติบโตขึ้นทุกวัน พัฒนาการของร่างกายในช่วงนี้เด็กสามารถเติบโตเฉลี่ย 2 ถึง 2.5 นิ้วต่อปี และน้ำหนักเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 1.8-3 กิโลกรัมต่อปี

                                เด็ก ๆ ในวัย 6 ขวบเริ่มมีทักษะทางกายภาพที่หลากหลาย เริ่มมีพละกำลังที่แข็งแรง เด็กบางคนแสดงศักยภาพทางด้านกีฬาให้คุณพ่อคุณแม่ได้เห็นเด่นชัด เช่น เตะฟุตบอล ไอซ์สเก็ต ว่ายน้ำ เทควันโด ฯลฯ แต่เนื่องจากเด็กในวัยนี้ใช้เวลาส่วนใหญ่ในห้องเรียน การสนับสนุนให้ลูกได้ออกกำลังกายหรือการให้ลูกได้ทำกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อพัฒนาการด้านร่างกายของวัยนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญ

                                กล้ามเนื้อมัดเล็กของลูกวัยนี้พร้อมบังคับให้จับดินสอได้แล้ว ลูกจะมีความชำนาญในการเขียนการวาดรูปมากขึ้น และรูปภาพที่วาดก็ดูเป็นเรื่องราว เข้าใจ และมีตัวหนังสือที่อ่านง่ายขึ้น

                                ทักษะการประสานของร่างกายในส่วนต่าง ๆ ก็สามารถทำงานได้ดีขึ้น เช่น ใช้กรรไกรตัดกระดาษเป็นรูปทรง การผูกเชือกรองเท้าได้เอง การเดินทรงตัวที่แม่นยำขึ้น

                                พัฒนาการเด็ก 6 ขวบ ทางด้านภาษาและสติปัญญา

                                พัฒนาการ เด็ก 6 ขวบ
                                www.pexels.com

                                ช่วงวัย 6 ขวบถือว่าเป็นช่วงเวลาสำคัญสำหรับพัฒนาการด้านภาษาการฟัง พูด อ่าน เขียน มีพัฒนาการได้ดีขึ้นหรือไม่สังเกตได้จากในช่วงวัยนี้

                                พวกเขารู้เรื่องพอที่จะพูดให้พ่อแม่หรือคนอื่นเข้าใจเรื่องราวต่าง ๆ ด้วยประโยคที่เรียบง่ายแต่สมบูรณ์ด้วยคำ 5-7 คำ และเข้าใจในสิ่งที่พ่อแม่พูด ดังนั้นการใช้คำพูดกับลูกจึงควรเป็นคำที่สุภาพ ไม่ใช้คำพูดหยาบคาย เพราะเด็กกำลังมีพฤติกรรมเลียนแบบ พูด เขียน ตามคนใกล้ชิด ซึ่งก็อาจทำให้ติดคำพูดของพ่อแม่ไปใช้กับเพื่อนที่โรงเรียนหรือกับคนอื่นได้ และด้วยทักษะการใช้ภาษาที่เพิ่มขึ้นทำให้เด็ก ๆ สามารถอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นได้ดีไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกหรือสิ่งที่พวกเขาคิด การพูดโกหก การโกง และการขโมย อาจจะเกิดขึ้นในวัยนี้ได้เช่นกัน

                                สำหรับ พัฒนาการ เด็ก 6 ขวบ ด้านทักษะการอ่าน ลูกพอจะอ่านหนังสือเองได้ ซึ่งทำให้ลูกเริ่มหยิบหนังสืออ่านอย่างอิสระ สนุกกับการอ่านนิทานที่ใช้คำง่าย ๆ  และสามารถเล่าโครงเรื่องของนิทานและตัวละครได้ ลูกจะเริ่มสนุกกับการเขียนเรื่องราวโดยเฉพาะเกี่ยวกับตัวเอง คุณพ่อคุณแม่ควรมีสมุดซักเล่มให้ลูกได้ลองเขียนบันทึกอย่างอิสระเพื่อส่งเสริมพัฒนาการความคิดความอ่านของลูกเพิ่มเติม และควรหาเวลาอ่านหนังสือให้ลูกฟัง เพื่อเพิ่มเติมคลังคำศัพท์ และพวกเขาจะสามารถสะกดคำได้มากขึ้น เริ่มเห็นว่าบางคำมีความหมายมากกว่าหนึ่ง  การอ่านออกเขียนได้ในวัยนี้จะนำไปสู่พัฒนาการทางด้านภาษาของลูกที่ดีขึ้นได้

                                ลูกในวัย 6 ขวบสามารถทำตามคำสั่งสามชุดต่อเนื่องกันได้และรับรู้ความหมายเกี่ยวกับสิ่งที่ถูกและผิด และอาจบอกต่อกับเพื่อนหรือคนอื่นที่คิดว่าไม่ได้ทำสิ่งที่ถูกต้อง เริ่มรู้ลำดับเวลา เช่น เช้า กลางวัน เย็น กลางคืน สามารถบอกเวลาได้ บอกทิศทางได้ เริ่มรู้จักตัวเลขและวิธีคิดมากขึ้น มีความสามารถในการคิดที่ซับซ้อนเริ่ม มีความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับโลกรอบตัวและจะเพิ่มความทวีคูณขึ้นเรื่อย ๆ

                                พัฒนาการ เด็ก 6 ขวบ ทางด้านสังคมและอารณ์

                                พัฒนาการ เด็ก 6 ขวบ
                                www.pexels.com

                                เด็ก 6 ขวบก็คือเด็กที่เพิ่งพ้นวัยอนุบาลก้าวเข้าสู่ชั้นประถม เป็นช่วงวัยที่กำลังปรับตัวเพื่อก้าวไปสู่สังคมขนาดใหญ่ที่มีพี่ประถมชั้นอื่น ๆ และต้องเจอกับคนที่มีอายุมากกว่าเป็นส่วนใหญ่ ลูกจะรู้สึกตื่นตัวกับสังคมที่แปลกใหม่ทั้งของตัวเองและผู้อื่น

                                ความสัมพันธ์ในทางสังคมกับเพื่อนและผู้ใหญ่จะมีความซับซ้อนและมีความหมายมากขึ้น เช่น รู้ว่าเด็กผู้ชายมักจะเล่นกับเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงเล่นกับเด็กผู้หญิง ไม่ทำร้ายความรู้สึกของใครบาง รู้จักปลอบโยนเพื่อน มีการเล่าเรื่องและแสดงออกด้วยอารมณ์ขัน เป็นต้น เพื่อให้เกิดการยอมรับจากคนรอบข้าง สิ่งที่แสดงออกในตอนนี้คือเด็ก ๆ กำลังเรียนรู้ที่จะปรับตัว

                                ดังนั้นในช่วงวัยนี้คุณพ่อคุณแม่สามารถฝึกลูกให้เรียนรู้วิธีการเข้าสังคม เช่น การพาลูกไปทำกิจกรรมนอกบ้าน เล่นกีฬา และแสดงการเป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกได้เห็น เช่น การยืนรอคิว การเล่นกับเพื่อน การมีน้ำใจ ฯลฯ เพื่อให้ลูกเป็นเด็กที่น่ารักในสายตาคนอื่นและเกิดความภาคภูมิใจในตัวเองตามมาด้วย

                                อ่านต่อ วิธีส่งเสริมพัฒนาการลูก 6 ขวบที่พ่อแม่ต้องรู้  คลิกหน้า 2

                                 

                                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                 

                                  อาหารเด็ก 7 เดือน

                                  15 สูตรอร่อย อาหารเด็ก 7 เดือน เน้นพัฒนาสมองโดยเฉพาะ!

                                  อาหารเด็ก 7 เดือน .. ลูก 7 เดือน กินอะไรได้บ้าง Amarin Baby & Kids ได้รวบรวมสูตรอร่อยอาหารเสริม เมนูเด็ก 7 เดือน โดยเฉพาะ! ทั้งทำง่าย แถมลูกได้รับแต่สารอาหารที่พัฒนาสมองแน่นอน

                                  แจกเมนู 15 สูตรอร่อย อาหารเด็ก 7 เดือน เน้นพัฒนาสมอง!

                                  หากคุณแม่ต้องการ ทำอาหารทารก 7 เดือน ควรเน้นเป็นเมนูที่ย่อยง่ายก่อนเหมือนกับลูกวัย 6 เดือน อย่างอาหารบด/ปั่นละเอียด เช่น ข้าวบด ข้าวตุ๋น หรือ ซุป แต่ค่อยๆ ปรับให้ข้นขึ้น และให้รับประทานวันละ 1 มื้อก็เพียงพอ ทั้งนี้ประมาณต่อมื้อให้ป้อนมื้อละ 5-7 ช้อนโต๊ะ

                                  Must read : อาหารเสริมลูกน้อย เริ่มเมื่อไหร่ถึงจะเหมาะสม?

                                  ทั้งนี้ อาหารเด็ก 7 เดือน ที่สามารถป้อนได้ให้เริ่มจากเนื้อสัตว์ เช่น หมู ไก่ ตับไก่ ตับหมู ส่วนปลาต้องเป็นปลาน้ำจืด ก่อน เช่น ปลาสวาย ปลาช่อนนา ปลานิล และสำหรับการเริ่มกินไข่ ลูกวัยนี้ต้องให้กินได้แต่เพียงไข่แดงอย่างเดียวเท่านั้น!! (ไข่ขาว กินได้หลัง 1 ขวบ)

                                  **แต่อย่างไรก็ดี อาหารเด็ก 7 เดือน พวกเนื้อสัตว์ ปลาน้ำจืด และไข่แดง ควรทำการเทสกับลูกน้อยก่อนด้วยว่าแพ้หรือไม่แพ้ โดยทดสอบ 5-7 วัน ไม่ต้องรีบ ควรให้ลองกินทีละน้อยๆ ก่อน และเริ่มป้อนทีละอย่าง ถ้าลูกไม่แพ้ก็ให้ป้อนซ้ำไปอีก 5-7 วัน เพื่อให้มั่นใจว่าลูกไม่แพ้อาหารชนิดนี้จริงๆ

                                  ส่วนพวกธัญพืชที่ลูกวัย 7 เดือน สามารถกินได้ คือ ถั่วแดง,ถั่วดำ,งาดำ,งาขาว,ลูกเดือย และผักที่เริ่มกินได้ก็เช่นผักกาดขาว,ตำลึง,แครอท,ฟักทอง,มันหวาน(มันเทศ),บล็อกโคลี,กวางตุ้ง,ผักบุ้ง,คะน้า … สำหรับผลไม้ เช่น แอปเปิ้ล,ลูกพีช,ลูกแพร์,สาลี่,มะละกอ,อะโวคาโด,มะม่วงสุก,แก้วมังกร (ช่วงนี้ยังไม่เน้นให้ลูกกินผลไม้มาก เพราะอาจจะติดหวานได้ แนะนำให้เน้นกินพวกผักเป็นหลักก่อน)

                                  Must read : อาหาร 6 อย่างนี้ “ห้ามให้ลูกน้อยต่ำกว่า 6 เดือน” กินเด็ดขาด!

                                  นอกจากนั้นการทำ อาหารเด็ก 7 เดือน คุณแม่สามารถเริ่มใส่น้ำมันมะกอก extra virgin ลงในอาหารก่อนป้อนให้ลูกน้อยกินได้ ประมาณครั้งละ ½ ช้อนชา เพื่อช่วยเพิ่มน้ำหนัก

                                  รวมไปถึงอาหารที่เราทำให้ลูกช่วง 7 เดือนนี้ ยังคงใส่นมแม่ลงไปด้วยได้ โดยจะเอานมแม่มาราดลงในอาหารก่อนกิน และห้ามนำนมแม่ไปปรุงอาหารโดยผ่านความร้อน หรือนำไปปั่นเด็ดขาด เพราะจะทำให้เซลล์เม็ดเลือดขาวแตกตัว และทำให้คุณค่าสารอาหารในนมแม่ลดลงด้วย

                                  ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : www.thaibabyfoodblender.com

                                  อาหารเด็ก 7 เดือน

                                  สุดท้ายเมื่อคุณแม่รู้ถึงการเตรียมทำอาหารให้ลูกวัย 7 เดือน แล้วว่ากินอะไรได้บ้าง แต่ก็ยังนึกไม่ออกว่าจะทำเมนูอะไรให้ลูกกินดี Amarin Baby & Kids จึงมีสูตรอาหารสำหรับเด็กอายุ 7 เดือน มาฝาก ซึ่งส่วนผสมแต่ละเมนูก็คัดสรรมาแบบที่บำรุงสมองให้ลูกวัยนี้โดยเฉพาะ จะมีเมนูใดบ้าง ตามไปดูกันเลยค่า…

                                   

                                  อาหารเด็ก 7 เดือน เมนูข้าวต้มไข่แดง

                                  อาหารเด็ก 7 เดือน

                                  ส่วนผสม

                                  • ข้าวต้ม ½ ถ้วย
                                  • ไข่แดงต้มสุก ½ ฟอง
                                  • แครอทสับละเอียด ½ ช้อนโต๊ะ
                                  • ใบตำลึงสับละเอียด ½ ช้อนโต๊ะ
                                  • น้ำซุปกระดูกหมูหรือโครงไก่ 1 ถ้วย

                                  วิธีทำ

                                  1. ผสมข้าวต้มกับน้ำซุป แล้วเคี่ยวด้วยไฟอ่อน
                                  2. ใส่ไข่แดงลงไป คนจนเป็นเนื้อเดียวกัน
                                  3. ใส่แครอทกับใบตำลึงลงไปเคี่ยวจนเปื่อยนุ่ม แล้วยกลง ตักใส่ถ้วยพร้อมเสริมให้ลูกน้อยหม่ำ

                                   

                                   

                                  อาหารเด็ก 7 เดือน เมนูข้าวตุ๋นตำลึงเต้าหู้ไข่

                                  อาหารเด็ก 7 เดือน

                                  ส่วนผสม

                                  • ข้าวตุ๋น ½ ถ้วย
                                  • ปลาเนื้ออ่อนต้มสุก (เฉพาะเนื้อ) 1 ช้อนโต๊ะ
                                  • เต้าหู้ไข่ กดเป็นรูปต่างๆ ½ หลอด (หนาประมาณข้าวต้ม ½ เซนติเมตร)
                                  • ตำลึงสับละเอียด 2 ช้อนโต๊ะ
                                  • น้ำซุป 1 ถ้วย

                                  Must read : วิธีทำ เต้าหู้ไข่ออแกนิกส์ ไร้สารกันบูดแน่นอน!

                                  วิธีทำ

                                  1. ผสมข้าวตุ๋นกับน้ำซุปเข้าด้วยกันในหม้อ จากนั้นยกขึ้นตั้งไฟให้เดือด
                                  2. ใส่เนื้อปลาลงไป แล้วเคี่ยวด้วยไฟอ่อน จนนุ่ม
                                  3. ใส่เต้าหู้ไข่และตำลึงลงไป คนเบาๆ ให้เข้ากัน จากนั้นตักใส่ถ้วย พักพออุ่นแล้วจึงป้อนให้ลูกน้อย

                                   

                                  อาหารเด็ก 7 เดือน เมนูโจ๊กข้าวโอ๊ตผักกวางตุ้ง

                                  อาหารเด็ก 7 เดือน

                                  ส่วนผสม

                                  • ข้าวสวย 1 ถ้วย
                                  • ข้าวโอ๊ต 2 ช้อนโต๊ะ
                                  • ตับหมูต้ม บดละเอียด 2 ช้อนโต๊ะ
                                  • ผักกวางตุ้ง สับหยาบ 3 ช้อนโต๊ะ
                                  • น้ำซุป 1-2 ถ้วย

                                  วิธีทำ

                                  1. ต้มข้าวสวยกับนำซุปจนนุ่ม เติมข้าวโอ๊ตลงไปแล้วคนให้เข้ากัน
                                  2. ใส่ตับหมูและผักกวางตุ้งลงไปคนพอเดือด ตักใส่ถ้วย พักให้อุ่นก่อนป้อน

                                   

                                   

                                  อาหารเด็ก 7 เดือน เมนูข้าวต้มใบเตยหมูบด

                                  อาหารเด็ก 7 เดือน

                                  ส่วนผสม

                                  • ข้าวสารหอมมะลิ ¼ ถ้วย
                                  • น้ำเปล่า 2 ถ้วย
                                  • ใบเตย หั่นเป็นท่อนยาว 2 นิ้ว 3-4 ท่อน
                                  • เนื้อหมูบด ¼ ถ้วย
                                  • ปวยเล้ง ต้มสุกสับหยาบ 2 ช้อนโต๊ะ
                                  • เกลือป่น ¼ ช้อนชา

                                  วิธีทำ

                                  1. ต้มข้าวสารหอมมะลิกับน้ำและใบเตยจนสุกนุ่ม
                                  2. ตักใบเตยออก ใส่เนื้อหมูลงไป แล้วปรุงรสด้วยเกลือ
                                  3. ใส่ปวยเล้งลงไป คนพอเข้ากัน ตักใส่ถ้วยแล้วพักให้อุ่นก่อนป้อน

                                   

                                  ดูต่อ >> สูตรอาหารสำหรับเด็ก 7 เดือน” คลิกหน้า 2

                                   

                                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                   

                                    นักร้องยุค 90

                                    15 นักร้องยุค 90 (ผู้ชาย) มีลูกแล้ว!

                                    ยังจำพวกเขาเหล่านี้ได้ไหม? นักร้องยุค 90 ในยุคที่พวกเขาโด่งดัง  ปัจจุบัน นักร้องชาย ยุค90 เหล่านี้ มีครอบครัว มีลูกกันหมดแล้ว จะเป็นใครบ้าง ตามมาดูกันเลย

                                    รวม นักร้องยุค 90 (ขวัญใจสาวๆ) ปัจจุบันมีลูกกันหมดแล้ว!

                                    เชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่สมัยนี้น่าจะทันกับการเป็นวัยรุ่นยุค 90 ซึ่งในยุค 90 นั้นก็ได้ชื่อว่าเป็นยุคคลาสสิกที่สุดก็ว่าได้สำหรับวงการเพลงในเมืองไทย และโดยเฉพาะนักร้องชายก็มีหลายคนที่ทำให้สาวๆ สมัยนั้นตามกรี๊ด กับใบหน้าที่หล่อใส รวมไปถึงน้ำเสียงและทำนองเพลงที่ทำให้ฮิตติดหูโด่งดังและเป็นตำนานจนมาถึงยุคนี้

                                    และปัจจุบัน นักร้องยุค 90 ไอดอลรุ่นสมัยที่คุณแม่ตามกรี๊ดก็ไม่ได้หายไปไหน บางคนก็ทำงานเบื้องหลัง บ้างก็ไปเป็นพิธีกร ดีเจ หรือทำธุรกิจส่วนตัว และก็มี นักร้องชาย ยุค 90 หลายคนที่แต่งงานมีลูกไปก็เยอะแล้ว … ซึ่งหลังมีข่าวว่า นักร้องชายยุค 90 เหล่านั้นแต่งงานมีครอบครัวแล้ว ก็ทำเอาสาวๆหลายคนน้ำตาตกไปตามๆ กัน ว่าแต่จะมี นักร้องยุค 90 ผู้ชายเจ้าของเพลงฮิต เพลงดังคนไหนบ้าง ที่เคยเป็นขวัญใจสาวๆ แต่ปัจจุบัน มีลูกไว้เชยชมกันแล้วบ้าง ทางทีมงาน Amarin Baby & Kids ได้รวบรวมมาให้ดูตรงนี้กับ 15 นักร้องยุค 90 ตามมาดูกันเลยค่า…

                                    15 นักร้องยุค 90 (ผู้ชาย) ปัจจุบัน มีลูกแล้ว

                                    มากันที่คนแรก นักร้องยุค 90 กับเจ้าพ่อเพลงแดนซ์ “อ๊ะๆๆ อ๊าว อะ อาว อะ อะ อะ อาว อะ อ๊าว!” คุณเจ เจตริน ที่สาวๆ ต่างพากันกรี๊ดและสมัครเป็นสะใภ้มะโนมากมาย เพราะพ่อเจ มีลูกชายสุดหล่อหน้าดี ที่ได้ DNA มาจากตัวเองและภรรยาสาว แม่ปิ่น เก็จมณี แบบเต็มๆ ถึง 3 คนด้วยกัน คือ “น้องเจ้านาย เจ้าขุน และเจ้าสมุทร”

                                    นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งสาว ก็คือ “น้องเจด้า” ซึ่งเป็นลูกสาวคนโตคนเดียวของคุณพ่อเจ และอดีตนางงาม จีด้า จิดาภา ณ ลำเลียง และถึงแม้ทั้งคู่จะเลิกรากันไปแล้ว แต่ก็ไปมาหาสู่กันบ้าง โดยเฉพาะช่วงที่น้องเจด้าปิดเทอม ก็จะเดินทางจากประเทศสหรัฐอเมริกามาเยี่ยมคุณพ่อและน้อง ๆ ที่เมืองไทย พร้อมทำกิจกรรมร่วมกันมากมาย กลายเป็นครอบครัวใหญ่อันแสนอบอุ่นสุด ๆ

                                    นักร้องยุค 90

                                    ขอบคุณภาพจาก :  www.tvpoolonline.com

                                    นักร้องยุค 90
                                    คุณเจ เจตริน และ ลูกทั้ง 4 คน

                                    ขอบคุณภาพจาก : IG @jjetrin , @jjayda

                                     

                                     

                                    นักร้องชายคนที่ 2 ก็ถือเป็นอีกหนึ่งศิลปินที่กร้าวใจสาวๆ ยุค 90 แบบสุดๆ เลยก็ว่าได้ นั่นคือ คุณตุ้ย ธีรภัทร์ กับเพลง “ใจบอกว่าใช่เธอ…เพียงได้เจอก็เพ้อก็หวั่นไหว” ซึ่งก็ได้แต่งงานกับนางแบบสาว นาตาชา และให้กำเนิดลูกชายหัวแก้วหัวแหวนชื่อ “น้องไตตั้น” ออกมาเติมเต็มความสมบูรณ์แบบให้ชีวิตครอบครัว

                                    นักร้องยุค 90

                                    ขอบคุณภาพจาก :  @boutique10s

                                    นักร้องยุค 90

                                    ขอบคุณภาพจาก : IG @tuipptitan

                                     

                                    ถัดมาเป็น คู่แฝดขวัญใจวัยรุ่นที่ดังที่สุดจนเป็นหนึ่งในไอดอล นักร้องยุค 90 กับเพลงฮิตสุดกวน “หัวก็ยังไม่ล้าน ก็ยังไม่โล้น ก็ยังไม่เหน่ง” นั่นคือ คุณใหญ่-ฝันดี และคุณเล็ก-ฝันเด่น จรรยาธนากร นั่นเอง โดยทั้งคู่เปิดตัวด้วยการเป็นนักร้อง ในลุคเจแปนนิสคิวท์บอย ใสๆ ตี๋ๆ ดูกวนหน่อยๆ ซึ่งในปัจจุบันทั้งคู่ก็แต่งงานมีครอบครัวแล้ว

                                    นักร้องยุค 90

                                    ขอบคุณภาพจาก : teen.mthai.com

                                     

                                    โดยคุณใหญ่-ฝันดี ได้แต่งงานกับคุณสา ธนวรรณ และมีลูกด้วยกัน 2 คน คือ “น้องจินนี่” จุฑาภัค วัย 20 ปี และ “น้องเจแปน” อภิชา วัย 17 ปี ลูกสาวและลูกชายของ ที่บอกเลยว่าโตไวมากแถมงานดีทั้งคู่ ลูกสาวก็สวย ร้องเพลงเสียงดีเป็นลูกไม้หล่นใต้ต้น ด้านลูกชายก็หล่อไม่แพ้พ่อ เพราะคุณแม่สา ธนวรรณ ก็เป็นถึงอดีตนางงาม

                                    นักร้องยุค 90

                                    นักร้องยุค 90

                                    ขอบคุณภาพจาก : IG @ fundee.j

                                     

                                    ด้านคุณเล็ก-ฝันเด่น ก็ได้แต่งงานกับนักร้องสาว โบ สุนิตา และมีลูกสาวเป็นโซ่ทองคล้องใจ คือ “น้องฮานิ” สาวน้อยแก้มป่อง น่ารัก ตาโตได้คุณแม่มาเต็มๆ เรียกว่ายิ่งโตก็ยิ่งสวย ทำเอาแฟนคลับของคุณพ่อคุณแม่แอบปันใจไปเป็นแฟนคลับของลูกสาวกันหลายคนเลยทีเดียว

                                    นักร้องยุค 90

                                    ขอบคุณภาพจาก : IG @beau_sunita

                                     

                                    มากันที่ นักร้องยุค 90 ผู้ชายคนที่ 5 ซึ่งก็คือ คุณฟลุค เกริกพล คุณพ่อสุดหล่อของ “น้องอชิ” กับแม่โบ ชญาดา อดีตภรรยาสาวสวย ซึ่งถ้าย้อนวันเวลากลับไปในยุค 90 วัยรุ่นยุคนั้น ไม่มีใครไม่รู้จักฟลุคในฐานะนักแสดงที่แจ้งเกิดเปรี้ยงปร้างจากละครทอฝันกับมาวิน (ปี 2539) แถมยังร้องเพลงประกอบละครเองจนฮิตติดทุกชาร์ต อย่างเพลงรักเธอเหลือเกิน นอกจากหน้าตาจะหล่อแนวหน้า การแสดงชั้นเยี่ยม เสียงยังเลิศอีกต่างหาก

                                    นักร้องยุค 90

                                    นักร้องยุค 90

                                    ขอบคุณภาพจาก : IG @ fluke777

                                     

                                     

                                    ถัดมากับนักร้องชายยุค 90 ที่ได้เป็นเบอร์ 1 ตลอดกาลในช่วงนั้น นั่นคือ คุณเต๋า สมชาย ที่มีเพลงขึ้นหิ้งหลายเพลง เช่น โลกทั้งใบให้นายคนเดียว, บอดี้การ์ด สมชายฯ (สมชายจดปลายเท้า) ซึ่งเส้นทางรักสำหรับหนุ่มเต๋าก็เคยแต่งงานกับสาวนัท มีเรีย ดารานักร้องสาวดาวค้างฟ้าและได้หย่ากันเรียบร้อย และปัจจุบันหนุ่มเต๋าก็ได้แต่งงานใหม่กับสาวคนเก่งในแวดวงหนังสือ คุณยุ้ย อัฐมาศ พร้อมมีโซ่ทองคล้องใจ 2 คน คือ “น้องสมใจ” และ “น้องสุขใจ” โดยคุณแม่ยุ้ย มักมีภาพครอบครัวน่ารัก ๆ มาให้แฟนคลับได้ตามชมในอินสตาแกรมอยู่เรื่อย ๆ

                                    นักร้องยุค 90

                                    ขอบคุณภาพจาก : www.instazu.com @love_dara_90_and_ps

                                    นักร้องยุค 90

                                    ขอบคุณภาพจาก : IG @yui_athamard

                                     

                                     

                                    ดูต่อนักร้องชายยุค 90 ที่ปัจจุบันมีลูกแล้ว” คลิกหน้า 2

                                     

                                     

                                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่