อ้อม พิยดา

เผยสไตล์การเลี้ยงลูกของ อ้อม พิยดา เลี้ยงลูกแบบธรรมชาติ ให้ทำในสิ่งที่ชอบ!

event
อ้อม พิยดา
อ้อม พิยดา

เผยอีกหนึ่งมุมของคุณแม่ดาราสาวสุดเก่ง อ้อม พิยดา กับแนวทางการเลี้ยงลูกแบบธรรมชาติ ใช้ชีวิตแบบคนธรรมดา ที่หรูก็อยู่ได้ หรือที่เป็นไม้ๆ ก็อยู่ดี ทำในสิ่งที่ชอบและมีความสุขกับทุกวัน

เผยสไตล์การเลี้ยงลูกของ อ้อม พิยดา
เลี้ยงลูกแบบธรรมชาติ ให้ทำในสิ่งที่ชอบ!

เรียกได้ว่าดาราสาวสวยคนนี้ ต้องยกให้เป็นซุปเปอร์มัมเลยก็ว่าได้สำหรับคุณ อ้อม-พิยดา จุฑารัตนกุล ที่มีหน้าที่เป็นทั้งนักแสดง พิธีกร และผู้จัดละคร แต่ก็ยังทำหน้าที่คุณแม่ซึ่งเลี้ยงลูกสาวสุดที่รัก “น้องนาวา” ได้อย่างยอดเยี่ยม

ทั้งนี้การเลี้ยงลูกของดาราหรือคนทั่วไปมักจะแตกต่างกันอยู่แล้ว ซึ่งสำหรับบ้านของ คุณอ้อม พิยดา จะเป็นอย่างไร ทีมแม่ ABK ได้แอบสัมภาษณ์ล้วงเคล็ดลับประสบการณ์การเลี้ยงลูกให้เป็นเด็กน่ารักแบบ น้องนาวา มาฝากค่ะ … เพื่อให้เป็นอีกหนึ่งแนวทางและให้คุณพ่อคุณแม่คนธรรมดาทั่วไปได้เรียนรู้ถึงการเลี้ยงลูกของดาราครอบครัวคนดัง ที่ในปัจจุบันค่อนข้างเป็นที่สนใจจากสังคม ไปดูกันค่ะว่าคุณแม่ อ้อม พิยดา ของ น้องนาวา จะมีเเนวคิดการเลี้ยงลูกอย่างไร

 

“น้องนาวา” ตอนนี้ 7 ขวบแล้ว ดูเป็นเด็กสดใสร่าเริง ชอบเต้น? คาแรกเตอร์เหมือนใคร!

ไม่รู้ว่าได้เหมือนใคร (หัวเราะ 555) เพราะพ่อก็ไม่ได้ชอบเต้นแน่ๆ ส่วนอ้อมเองก็เป็นอย่างที่ใครๆ เห็นกัน … ซึ่งน้องเค้าก็สดใสร่าเริงตามวัย แต่ชอบเต้นเพราะเค้าชอบของเค้าเอง ด้วยสังคมสมัยนี้พอได้ดูได้เห็นก็ชอบก็เลยเต้น

 

“น้องนาวา” กลัวใครมากกว่า ระหว่างพ่อกับแม่

กลัวแม่มากกว่าอยู่แล้ว บางครั้งถ้าพ่อดุเค้าก็กลัว แต่ปกติพ่อไม่ค่อยดุ อ้อมจะเป็นคนดุมากกว่า

 

โมเม้นต์ที่ประทับใจที่สุดของครอบครัว

มีทุกวัน โดยเราก็จะทำทุกวันให้เป็นปกติและมีความสุขเวลาอยู่ด้วยกันอยู่แล้ว เวลาคิดถึงก็ส่งรูปให้กัน ไปทำงานกลับมาก็ได้อยู่ด้วยกันก็มีความสุขแล้ว โดยเฉพาะช่วงก่อนนอน ก็จะมีคุยกัน หัวเราะ แล้วก็มีอ่านหนังสือ และหลับไปพร้อมกัน ก็มีความสุขแล้ว

อ้อม พิยดา

เรื่องตลกของ “น้องนาวา”

เค้าจะชอบทำหน้าทำตาทะเล้นและกวนอ้อมทุกวัน เช่นบางทีที่อ้อมดุอะไรเค้ามากๆ เช่น “นาวาแบบนี้มันไม่ได้เลยนะคะลูก” เค้าก็จะบอกว่า “ได้ครับ ได้ครับพี่อ้อมครับ” คือจะมีสกิลการเอาตัวรอดสูง โดยการพูดเล่นตลก

 

อยากให้ “น้องนาวา” เข้าวงการไหม

ถ้าเลือกได้ คือ ไม่อยากให้น้องเข้าวงการ เพราะเราอยู่ในวงการเรารู้ว่ามันเป็นยังไง เหนื่อยแค่ไหน และสมัยนี้ก็ยากที่จะเข้า และเค้าไม่ใช่เด็กที่จะแสดงอะไรได้แบบนั้น หรืออาจจะชอบอยากทำเบื้องหลัง ซึ่งเราก็ยังไม่รู้ เพราะเค้าเพิ่ง 7 ขวบ แต่ก็ชอบเต้น ชอบร้อง ซึ่งตอนนี้เค้าก็บอกว่าเค้าอยากเป็นหมอ แต่จะเป็นหมอที่รักษาเฉพาะในครอบครัวเรา แล้วก็คนแก่ และคนที่ไม่มีค่ารักษา เพราะค่ารักษาพยาบาลมันแพง มีตั้งปณิธานเอาไว้อย่างดี อ้อมก็บอกว่าโอเค แล้วถามต่อว่า แล้วลูกจะเอาเงินที่ไหนมากินข้าวซื้อของใช้ เค้าก็บอกว่า เราก็ใช้อย่างประหยัดสิแม่ แล้วนาวาก็จะไปเป็นนักร้อง คือจะเอาเงินจากนักร้องมาเลี้ยงตัวเอง แล้วก็เป็นหมอรักษาฟรี แต่ก่อนหน้านี้ก็บอกอยากเป็นนักท่องเที่ยว เพราะไม่อยากทำงาน อยากเที่ยวอย่างเดียว แล้วก็บอกว่าหาเงินจากการถ่ายไงแม่ ถ่ายยูทูป อ้อมก็บอกว่ามันไม่ใช่ที่เราจะได้สินค้าทุกอย่างแล้วมันจะซับพอร์ตยูทูปนาวาได้ทั้งหมดนะ ก็จะคอยบอกสอนเค้าด้วย เพราะเดี๋ยวจนกว่าจะโต ก็จะเปลี่ยนไปเป็นล้านๆอย่าง

อ้อม พิยดา

“เลี้ยงลูกให้ดีที่สุด” ในแบบ “ อ้อม พิยดา ” เป็นแบบไหน

ก็คือ เลี้ยงในแบบที่ตัวเองว่าดี โดยอ้อมจะคุยกับพี่อาร์ท เลี้ยงแบบธรรมชาติ ให้เค้ารู้จักธรรมชาติ ธรรมชาติในที่นี้ก็คือความเป็นอยู่แบบธรรมชาติด้วยนะ ให้รู้จักถึงสภาพแวดล้อม อยู่อย่างธรรมะ แบบธรรมดา เป็นปกติที่สุด

คือให้รู้จักหมดทุกอย่างว่า การเป็นอยู่แบบปกติเป็นยังไง เพราะมีแม่เป็นดาราแบบนี้ก็จะไม่ปกติอยู่แล้ว อ้อมจึงพยายามทำให้เค้าเป็นปกติที่สุด เพื่อที่เค้าจะได้อยู่อย่างมีความสุขในทุกสถานที่ ทุกสถานการณ์ ทุกสภาพแวดล้อม

เช่นสมมุติว่าที่เคยพาไปดำน้ำ ไปเรือเราก็อยู่แบบบ้านๆ ก็อยู่ได้ แล้วพอไปเรือไปอยู่ที่ที่มีความสะดวกสบายที่สุด เค้าก็จะบอกว่า โอโห้แม่ทำไมที่นี้มันดูดีจังเลย เจ๋งจังเลย ต้องแพงมากเลย เราก็จะสอนเสมอว่า นาวา เราต้องอยู่ได้ทุกที่ เค้าก็จะพูดขึ้นมาว่า “นาวารู้นาวาก็อยู่แบบไม้ๆได้” ไปนอนที่พักที่เป็นไม้ๆ ลุยๆ ได้ “แต่อยู่ที่นี่เราก็เอ็นจอยสิแม่” ซึ่งเค้าก็เอ็นจอยกับทุกที่ ก็ถือว่าวันที่ได้ยินเค้าพูดแบบนี้ ก็เรียกว่าได้ผลในสิ่งที่เราอยากปลูกฝังให้เค้า คือไม่หรูก็ได้หรือหรูก็อยู่ได้ อยู่ได้หมดทุกที่ กินได้หมดทุกอย่าง คือทำยังไงก็ได้คือเราตั้งใจให้ลูกอยู่อย่างมีความสุข เพราะฉะนั้นความสุขก็ไม่ได้หมายถึงว่าเราต้องรวยมาก หรือความสุขคือการที่เราต้องอยู่แบบธรรมชาติที่สุด ซึ่งมันก็แล้วแต่คน แต่บ้านเราจะเดินทางสายกลางได้หมดทุกรูปแบบ

 

“ประสบการณ์การเลี้ยงลูก” ที่คุณอ้อม พิยดา บอกกับตัวเองว่าจะไม่ทำแบบนี้อีก!

ไม่ค่อยมีนะ แต่พอทำแล้วก็จะไปขอโทษเค้า เช่นพอสมมุติว่าเราตี ฟาดลูกไป ก็คือจะบอกก่อนแล้วว่าถึงเวลาถ้าทำผิดเกิน 4 ครั้งก็จะตี ซึ่งถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ก็ยังจะตีอยู่ดี เพราะเราตกลงกันแล้ว และอ้อมเป็นคนที่แบบเลี้ยงแล้วตี แต่ไม่ได้ตีเลอะเทอะ โดยใช้ไม้บรรทัดตีมือ ซึ่งก็จะมีเหตุผล และเดี๋ยวนี้พอเค้าเริ่มโตก็จะมีอาการกระฟัดกระเฟียด อ้อมก็จะเริ่มอารัมภบทบอกเหตุผลว่าที่แม่ต้องทำแบบนี้เพราะอะไร และจะเลือกเอายังไง เค้าก็จะร้องไห้เมื่อโดนตี แต่ก็จะรู้ตัวว่าตัวเองโดนตีเพราะขี้เกียจ แล้วอ้อมก็จะพูดเล่าให้ฟังว่า ที่แม่ตีไปนะนาวาคิดดูแม่ต้องตีเนื้อตัวเอง ตีคนที่ออกมาจากแม่ แม่ต้องเสียใจขนาดไหน และที่แม่ต้องทำก็เพราะว่าถ้าลูกไม่ขยันก็จะเป็นแบบนี้แบบนั้น

อ้อม พิยดา

วางแผนอนาคตของน้องไว้อย่างไร?

ก็ยังให้น้องเรียนที่โรงเรียนมาแตร์ไปก่อน ค่อยๆ เรียนไปเรื่อยๆ ที่ละสเต็ป เรียนในสิ่งที่ชอบ อาจจะย้ายหรือไม่ย้ายก็ค่อยมาดูกัน ก็ให้เค้ามีความสุขกับทุกวัน เรียนก็เรียน ไปเที่ยวก็ไปใช้ชีวิตแบบเด็กให้แฮปปี้ และเน้นทำให้จบมากกว่าทำให้เสร็จในทุกๆอย่างที่เริ่ม ไม่ใช่อยากเรียน เรียนๆ แล้วก็เลิก ต้องเอาให้แน่นอน ซึ่งถ้าจะทำก็จะสนับสนุน แต่ต้องทำอย่างตั้งใจ ไปให้สุด คือทำอะไรเริ่มไว้ก็ต้องทำให้เสร็จ อย่าทิ้งกลางคัน ก็เป็นสิ่งที่พยายามสอน

 

เรียกได้ว่าเป็นสไตล์การเลี้ยงแบบธรรมชาติจริงๆ เลยนะคะ ไม่ว่าจะเป็นการสอนให้น้องนาวาอยู่ได้กับทุกๆสภาพแวดล้อม ทุกๆสถานที่ พร้อมบุกน้ำลุยไฟไปกับคุณแม่และคุณพ่อ หรือการให้ลูกทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ ซึ่งก็ต้องทำให้จบสำเร็จด้วยในทุกๆเรื่องนั่นก็เพื่ออนาคตที่ดีของน้องนาวาเอง ซึ่งคุณแม่อ้อม พิยดา ก็พร้อมสนับสนุนเต็มที่ … หากคุณพาอคุณแม่บ้านไหนสนใจสไตล์การเลี้ยงลูกแบบนี้ก็สามารถลองนำไปประยุกต์ใช้ดู อาจเป็นประโยชน์สำหรับลูกน้อยที่บ้านมากขึ้นก็ได้นะคะ

ชมคลิปแม่อ้อม พิยดา กับน้องนาวา หาของขวัญวันพ่อ เก๋ไก๋ไม่ซ้ำใคร!!

อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิก :


ขอบคุณภาพจาก IG : @aomphiyada

เรื่องที่คนอ่านมากสุด

keyboard_arrow_up