ดวงปี 2560 หมอช้าง จัดอันดับราศีดีสุด-แย่สุด!

event

ถึงเวลาผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนไปสู่ปีพุทธศักราช 2560 ซึ่งสำหรับปีนี้ก็จัดเป็นปีที่มีการเปลี่ยนแปลงของดวงดาวใหญ่ ๆ หลายดวงเช่นกัน และ ดวงปี 2560 หมอช้าง – ทศพร ศรีตุลา นักพยากรณ์ดวงชะตาผู้โด่งดัง ได้จัดอันดับราศีตั้งแต่ดวงดีไปถึงดวงแย่ พร้อมแนะเคล็ดลับในการทำบุญเสริมดวงชะตาราศีมาอีกด้วย

 

ดวงปี 2560 หมอช้าง จัดอันดับ 12 ราศี  ที่แย่ที่สุด >> ดีที่สุด ได้แก่…

⊗ อันดับที่ 12

ดวงปี 2560 หมอช้าง พยากรณ์ว่า ราศีพิจิก (17 พ.ย. – 15 ธ.ค.) ชีวิตเหนื่อยกว่าปี 2559 ผิดหวัง สูญเสีย แต่ในปี 2561 ชีวิตจะดีขึ้น

ดวงปี 2560 หมอช้าง

มีการที่เปลี่ยนและแย่ลงเยอะกว่าในปีที่ผ่านมา โดยปี 2560 ครึ่งปีหลัง พอเซๆ มาก็มีคนถีบซ้ำ สิ่งที่กังวลและทำให้ชีวิตเหนื่อยขึ้นคือ เรื่องสุขภาพ โรคประจำตัวและการเจ็บป่วยของราศีนี้  จะเป็นโรคที่ใช้เวลาในการรักษาพอสมควร และมีความเจ็บป่วยที่มาจากคนรอบตัวด้วย  ต้องดูแลและแบ่งเวลาให้ครอบครัวมาก แนะออกกำลังทั้งกาย ออกกำลังทั้งใจ คุณเป็นราศีที่ทำงานหนักมาก ข่าวดีก็คือพระเสาร์จะอยู่ในปี 60 เป็นปีสุดท้ายแล้วจะกลับมาอีกทีคืออีก 30 ปีข้างหน้า ช่วงที่ดวงดีแถวๆ สงกรานต์ สองสามเดือนนั้น

คำพยากรณ์ภาพรวมของ “ราศีพิจิก
ผู้ที่เกิดระหว่างวันที่ 16
พฤศจิกายน – 15 ธันวาคม

ราศีพิจิก จัดว่าเป็นราศีที่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงของดวงไปในทิศทางที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ปีนี้เป็นปีที่ราศีพิจิกยังได้รับผลจากดาวเสาร์ บางคนอาจจะสงสัยว่าทำไมดาวเสาร์อยู่กับเรานานเหลือเกิน นั่นเป็นเพราะโดยหลักแล้วดาวดวงนี้จะอยู่กับราศีคุณเป็นเวลาประมาณสองปีครึ่ง โดยช่วงที่ครบกำหนดย้ายออกจากดวงคือช่วงปลายปี 2560 นี้เองดังนั้นปีนี้จึงเป็นปีที่ความวุ่นวาย ความทุกข์โศกเสียใจทั้งหลายกำลังจะหมดไป ทั้งนี้ทั้งนั้น แม้ดาวเสาร์จะย้ายออกช่วงปลายปี แต่ในระหว่างปีนี้ก็มีดาวที่ดีดวงอื่นเข้ามาเสริม ส่งผลให้ภาพรวมของปีนี้ออกมาดูดีกว่าช่วงปี 2559 อย่างแน่นอน

หากจะมองกันรวม ๆ ในช่วงจังหวะต้นปีคือประมาณมีนาคมไปแล้ว จะเป็นช่วงที่ชาวราศีพิจิกมีโอกาสหรือมีความสำเร็จหลายอย่างเกิดขึ้น ทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวแต่ต้องย้ำเตือนว่าช่วงปลายปีที่ดาวเสาร์กำลังจะย้ายออกหรือภาษาดวงเรียกว่า “ถีบออกจากดวง” นั้น เป็นจุดที่ต้องระมัดระวัง และต้องใช้ชีวิตด้วยความมีสติ ไม่ประมาทเพราะการที่ดาวเสาร์ถีบ บางครั้งอาจจะแรงพอสมควร

ดังนั้นอยากฝากให้ชาวราศีพิจิกเตรียมตัวเรื่องการทำบุญครั้งใหญ่ในช่วงปลายปี เพื่อส่งดาวเสาร์ออกจากดวงของเรา  ซึ่งน่าจะช่วยทำให้ปีนี้เป็นปีที่มีความสำเร็จ และมีการเปลี่ยนแปลงที่ดีเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน ♠ การทำบุญ ถวายปัจจัย ยารักษาโรค ทำบุญกับโรงพยาบาล สงเคราะห์คนที่เจ็บป่วย

 ลักษณะทั่วไปของชาวราศีพิจิก

♣♣♣♣♣♣♣♣♣♣♣♣♣♣♣♣♣♣♣♣♣♣♣♣

Θ อันดับที่ 11

ดวงปี 2560 หมอช้าง พยากรณ์ว่า ราศีกรกฎ (17 ก.ค. – 16 ส.ค.) งานดี รวยเร็ว แต่ก็หมดเร็ว ระวังเรื่องความรัก มีโอกาสถูกหลอก

ดูดวงปี 2560

ปี 59 นั้นก็เป็นปีที่สบายๆ พอถึง 2560 พระราหูเข้า แต่ราศีนี้เป็นคนธาตุน้ำ อาจเซ้นซิทีฟนิดนึง พระราหูเป็นดวงดาวแห่งนักเลง กล้าได้กล้าเสีย คนที่พระราหูเข้ากล้าเสี่ยงมากขึ้น เหมือนชีวิตปิดไฟเดินเลี้ยวผิดเลี้ยวถูก พระราหูไม่ได้เข้าต้นปี มาก็คือกลาง มี เรื่องความรักทำให้คนตาบอดมืดมน และได้ได้คู่ชีวิตที่แก่กว่าพอมีพระราหูเข้ามามันทำให้ความแตกต่างเยอะขึ้น บางทีอาจจะไม่ถูกใจคนรอบข้างต้องดูญาติพี่น้องพาไปเจอญาติผู้ใหญ่ ต้องเปิดเผยอาจมีโอกาสผิดหวัง อาชีพที่อยู่กับเงา บันเทิง การค้าขายในโลกออนไลน์ จะดีมาก หรือจะต้องเดินทางเยอะๆ ควรระวังบางทีมาไวไปไว รวยเร็วจนเร็ว ไม่ได้อะไรมาฟรีๆ ต้องมีข้อได้เปรียบ

คำพยากรณ์ภาพรวม ของ “ราศีกรกฏ”
ผู้ที่เกิดระหว่างวันที่ 16
กรกฎาคม – 16 สิงหาคม

ราศีกรกฎถือเป็นราศีที่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้นในปีนี้ หลังจากปีที่ผ่านมามีความวุ่นวายหลายอย่างเกิดขึ้น ทั้งเรื่องงาน บริวาร รวมไปถึงการเงิน เชื่อว่าเหตุการณ์ต่าง ๆ นั้นจะคลี่คลายและปรับเปลี่ยนไปในทิศทางที่เป็นบวกมากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอนโอกาสแห่งความก้าวหน้า ความสำเร็จ ก็จะเกิดขึ้นกับชาวราศีกรกฎได้เช่นเดียวกัน เพียงแต่ในปีนี้อาจจะต้องมีวิธีการหรือเทคนิคพิเศษเรื่องการเสริมดวงให้ถูกต้องเหมาะสม เพื่อทำให้ชาวราศีกรกฎสามารถไปสู่จุดหมายที่ตั้งใจและฝันเอาไว้ ดังนั้น การเตรียมตัว การวางแผนชีวิต หรือแม้กระทั่งการอ่านคำพยากรณ์หรือดวงชะตาน่าจะเป็นตัวช่วย เป็นคู่มือ เป็นแผนที่ที่ดี ซึ่งจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่เป็นบวก

ด้วยความที่ปีนี้ราศีกรกฎจัดว่าเป็นราศีที่ดวงแรงดังนั้นถ้าเราดูแลตัวเองหรือวางแผนดี ๆ ความแรงที่เป็นบวกจะทำให้คุณก้าวหน้าแบบก้าวกระโดดมากกว่าช่วงปีที่ผ่านมาอย่างแน่นอน แต่ในทางกลับกัน ถ้าคุณไม่ได้ดูแลหรือวางแผนอะไร โอกาสที่จะเป็นผลในเชิงลบก็มีสิทธิ์จะเกิดขึ้นได้  ♠ การทำบุญ ให้ไปบริจาคและทำบุญ ทำเกี่ยวกับแสงสว่าง

ลักษณะทั่วไปของชาวราศีกรกฏ

การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่

เคล็ดลับ! เลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างไรให้สำเร็จ

Alternative Textaccount_circle
event
การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่

คุณแม่หลายคนที่กำลังตั้งครรภ์ หรือกำลังมีลูกน้อยวัยแรกไปจนถึง 2 ขวบ อาจมีความกังวลกับปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับ การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ บางคนอาจมีปัญหาน้ำนมน้อย มีอาการเจ็บที่หัวนม หรืออยากทราบเคล็ดลับในการปั๊มนมเพื่อเก็บสต็อกให้มีน้ำนมเพียงพอให้ลูกน้อย

(more…)

8 เทคนิคป้อนยาลูก เมื่อลูกกินยายาก

event

เทคนิคป้อนยาลูก …เมื่อลูกรักไม่สบาย คุณพ่อคุณแม่ย่อมมีความกังวลใจ แต่การทำให้ลูกน้อยกินยาดูจะเป็นปัญหาระดับชาติของหลายครอบครัว  เพราะเด็กบางคนก็กินยายากแสนยาก  บางคนเคยกินได้  จู่ๆก็ไม่ยอมกิน  บางคนบ้วนทิ้ง  บางคนกัดฟันปิดปากแน่น  บ้างก็ดิ้นวิ่งหนี ฯลฯ

เทคนิคป้อนยาลูก เมื่อลูกกินยายาก

ปัญหาการกินยายากเป็นเรื่องปกติสำหรับเด็กทุกคน บางครอบครัวจึงใช้วิธีการบีบจมูกเพื่อให้เด็กกลืนยา ซึ่งอาจจะทำให้ลูกกลืนยาได้ง่ายขึ้น แต่เป็นการกระทำที่อันตรายมากเพราะเสี่ยงต่อการที่เด็กจะสำลัก คุณพ่อคุณแม่จึงไม่ควรใช้วิธีการดังกล่าวและหันมาใช้วิธีที่ถูกต้องแทน คือ การใช้หลอดดูดยาค่อยๆ ฉีดยาเข้าข้างกระพุ้งแก้มเด็ก แต่ถ้าหากเด็กปฏิเสธและต่อต้านมาก อาจต้องขอให้สมาชิกคนอื่นในบ้านช่วยกันจับมือและเท้าของเด็กไว้ไม่ให้ดิ้น แล้วจึงค่อยๆ ฉีดยาเข้าข้างกระพุ้งแก้มก็จะสามารถป้อนยาได้สำเร็จ และหากระหว่างการป้อนยามียาหก (ซึ่งอาจจะทำให้เด็กได้ยาไม่ครบ) ก็ไม่ต้องให้ยาซ้ำ เนื่องจากเราไม่ทราบว่ายาที่หกไปมีปริมาณเท่าใดกันแน่

เทคนิคป้อนยาลูก

สาเหตุที่เจ้าตัวเล็กไม่ชอบกินยา

  • ลูกอาจจะยังไม่เข้าใจว่า ยาทำให้หายป่วยได้และทำไมตัวเองต้องกินยา (เช่น เมื่อเห็นคนอื่นๆ ในบ้านไม่ต้องกินยาแบบเขา)
  • เด็กบางคนรู้สึกกดดันเมื่อต้องกินยา และต่อต้านพ่อแม่เพื่อเอาชนะ
  • ไม่ชอบรสชาติหรือสัมผัสของยา (เพราะกลิ่นของมันไม่หอมอร่อยเหมือนขนมนี่นา)

สิ่งสำคัญคือ คุณพ่อคุณแม่ควรพูดถึง “อาการป่วย” ของลูกมากกว่าจะไปย้ำถึง “การต้องกินยา” อธิบายง่ายๆ ว่า ยาจะช่วยให้เราหายป่วยได้อย่างไร เช่น “กินยาแล้วจะทำให้เราแข็งแรง ลูกจะได้เล่นกับเพื่อนได้นานๆ ไงล่ะ” หากอาศัยความร่วมมือจากหมอช่วยอธิบายแบบง่ายๆ ด้วยก็จะยิ่งได้ผลมากขึ้น

และต้องเข้าใจ เห็นใจลูก รับฟังสิ่งที่ลูกรู้สึกกังวลหรือไม่ชอบเกี่ยวกับยา เมื่อคุณเข้าใจแล้วก็จะหาวิธีได้ง่ายขึ้น ด้วยการคุยอย่างนุ่มนวล แต่จริงจัง แล้วให้ทางเลือกกับลูก แทนที่จะบอกว่า “ถึงเวลากินยาแล้วนะ” ลองเปลี่ยนมาบอกเขาว่า “ลูกจะกินยากับน้ำส้มหรือน้ำเปล่าดีล่ะ” วิธีนี้ทำให้ลูกรู้ว่าการกินยาเป็นสิ่งที่เขาต้องทำ แต่เขาก็ยังมีอำนาจที่จะเลือกได้เอง ที่สำคัญอย่าลืมชื่นชมและให้รางวัล เช่น สติ๊กเกอร์ตัวการ์ตูนตัวโปรดของลูก เพื่อเป็นกำลังใจให้เขากินยาในครั้งต่อไป

อุปกรณ์ป้อนยาเด็ก

หากเด็กเล็กกว่า 1 ขวบหรือในเด็กที่กินยายาก การใช้หลอดดูดยา (syringe) แทนช้อนจะทำให้การป้อนยาทำได้สะดวกขึ้น โดยที่หลอดดูดยาจะมีตัวเลขบอกปริมาตรเป็นซีซีแสดงอยู่ ซึ่งหากว่าเด็กต้องกินยา 1 ช้อนชา ก็จะเท่ากับ 5 ซีซี และขอย้ำว่า “ช้อนชา” ในที่นี้ไม่ใช่ช้อนที่ใช้ในการชงชาตามบ้าน  แต่เป็นช้อนที่แถมมาพร้อมกับขวดยา สำหรับในเด็กโตอาจต้องใช้ “ช้อนโต๊ะ” ซึ่งก็ไม่ใช่ช้อนที่ใช้บนโต๊ะอาหารตามบ้านเช่นกัน แต่ 1 ช้อนโต๊ะจะเท่ากับ 3 ช้อนชา ดังนั้นหากบนฉลากเขียนไว้ว่า ป้อนยาครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะ ก็ควรใช้ช้อนโต๊ะที่แถมมาพร้อมกับขวดยาเท่านั้น หรือใช้ช้อนชาป้อน 3 ช้อนก็ได้

อ่านต่อ >> วิธีการป้อนยาแก่เด็กที่กินยายาก” คลิกหน้า 2

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

เต้านมเล็ก น้ำนมน้อย

เต้านมเล็ก ทำให้น้ำนมน้อย จริงหรือ?

Alternative Textaccount_circle
event
เต้านมเล็ก น้ำนมน้อย
เต้านมเล็ก น้ำนมน้อย

คุณแม่มือใหม่ที่มีเต้านมเล็กอาจมีความกังวลว่า ขนาดของเต้านมจะส่งผลต่อปริมาณน้ำนม จนไม่สามารถเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้นานตามที่ตั้งใจไว้ เรื่องนี้จะเป็นจริงหรือไม่ วันนี้เราจะมาไขข้อข้องใจให้กระจ่างกันค่ะว่า เต้านมเล็ก น้ำนมน้อย จริงหรือ? (more…)

แม่ท้องนอนท่าไหนดี

ท่านอนที่ดีที่สุดสำหรับแม่ท้อง และเคล็ดลับที่จะช่วยให้แม่ท้องหลับสบายตลอดคืน

event
แม่ท้องนอนท่าไหนดี
แม่ท้องนอนท่าไหนดี

แม่ท้องนอนท่าไหนดี ...มีคุณแม่ตั้งครรภ์หลายคนกังวลเรื่องท่านอน เพราะว่าการนอนเป็นอีกสิ่งที่ต้องใช้ความระมัดระวังสูง และมักจะสร้างความลำบากให้กับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์อยู่ไม่ใช่น้อย หากเป็นคุณแม่มือใหม่ก็อาจจะต้องให้เวลาในการปรับเปลี่ยนท่านอน หาท่าที่เหมาะสมและทำความคุ้นเคยกันก่อน โดยจะต้องหาท่านอนที่สุขสบายที่สุดโดยเร็วก่อนที่ท้องจะขยายใหญ่ขึ้นจนเกิดปัญหากับท่านอน

โดยปกติท่านอนจะมีอยู่ 3 ท่า คือ ท่านอนหงาย นอนคว่ำ และ นอนตะแคง แต่เมื่ออยู่ในช่วงตั้งครรภ์ การนอนคว่ำจะทำให้เกิดการกดทับมดลูก และกระจายน้ำหนักไม่ดี ทำให้รู้สึกเหมือนกำลังนอนอยู่บนลูกแตงโม ถ้านอนหงายจะรู้สึกสบายกว่า แต่น้ำหนักตัวของลูกจะไปเบียดกระเพาะอาหารและลำไส้ทำให้ปวดหลัง อาหารไม่ย่อย และอาจจะรบกวนระบบหายใจและการไหลเวียนของเลือดได้ ทำให้เกิดภาวะความดันเลือดต่ำ

แม่ท้องนอนท่าไหนดี

เพราะท่าทางการนอนนั้น มีผลต่อการให้กำเนิดของลูกในครรภ์อย่างมากเลยทีเดียว มีการศึกษาจากผู้หญิงมากกว่า 450 คน รวมไปถึงผู้หญิงอีก 155 คนที่ต้องสูญเสียลูกจากการคลอด พบว่า การนอนตะแคงขวา หรือนอนหลังตรงนั้น จะมีโอกาสที่จะเกิดความเสี่ยงลูกเสียชีวิตในครรภ์อย่างมาก เลยทีเดียวแถมความเสี่ยงจะมีมากเป็นเท่าตัว ในช่วงสามเดือนสุดท้ายของการตั้งครรภ์ เมื่อเทียบกับการนอนด้วยท่าตะแคงซ้ายอีกด้วย

แม่ท้องนอนท่าไหนดี

นอกจากนี้ผลสำรวจยังพบอีกว่า ผู้หญิงตั้งครรภ์ที่ตื่นขึ้นมาเข้าห้องน้ำปัสสาวะน้อยครั้ง จะมีความเสี่ยงภาวะลูกตายในครรภ์มากกว่าผู้หญิงตั้งครรภ์ ที่ตื่นเข้ามาเข้าห้องน้ำบ่อยครั้ง เพราะตามปกติแล้ว การที่ต้องตื่นขึ้นมาเข้าห้องน้ำบ่อย ๆ ในช่วงใกล้คลอดนั้นถือเป็นเรื่องปกติ เพราะเด็กจะมีการเคลื่อนตัวเองมากขึ้น เลยทำให้เกิดอาการปวดปัสสาวะมากตามไปด้วย

Must readวิธีสังเกต! น้ำคร่ำแตก หรือ กลั้นปัสสาวะไม่อยู่?

ด้านนักสำรวจจากมหาวิทยาลัยโอ๊กแลนด์ ประเทศนิวซีแลนด์ ได้อธิบายถึงผลการศึกษาดังกล่าวว่า ท่านอนด้วยท่าตะแคงขวา จะทำให้การทำงานของระบบหัวใจของผู้หญิงที่กำลังคลอด ต้องสูบฉีดเลือดมากขึ้น และจะทำให้ร่างกายให้ออกซิเจนแก่ลูกในครรภ์ได้อย่างจำกัด อีกทั้งปัจจัยในด้านต่าง ๆ ทั้งเรื่องอายุ พฤติกรรมการสูบบุหรี่ ค่าดัชนีมวลกาย ซึ่งทั้งหมดที่ว่ามานี้ ล้วนแล้วแต่มีโอกาสที่จะเกิดความเสี่ยงได้สูงพอ ๆ กัน

อย่างไรก็ดี ดร. ลูซี่ แชปเปลล์ ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพของผู้หญิงจากมหาวิทยาลัยคิง คอลเลจ ได้ให้ความเห็นว่า ถึงเรื่องนี้ว่า กว่า 3 ใน 4 ของผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ จะนอนตะแคงซ้ายมากกว่าผู้หญิงที่ไม่ได้ตั้งครรภ์ ซึ่งถือว่าเป็นผลดีต่อลูกในท้องอย่างมาก ทั้งนี้ท่าทางในการนอนจะเปลี่ยนไปอยู่เสมอ เพราะเด็กจะเตะท้องของแม่อยู่บ่อยครั้งในช่วงก่อนกำหนดคลอด

ทั้งนี้จากผลการศึกษาดังกล่าว ถือว่ามีความสอดคล้องกับสถิติที่เกิดขึ้นในประเทศอังกฤษที่ว่า ในแต่ละปีจะมีเด็กที่ต้องเสียชีวิตในขณะที่อยู่ในครรภ์ประมาณ 4,000 คน รวมไปถึงเด็กที่เสียชีวิตจากการคลอดก่อนกำหนดอีก 1,200 คนอีกด้วย

อ่านต่อ >> แม่ท้องนอนท่าไหนดีที่สุด” คลิกหน้า 2

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

7 พฤติกรรมแม่ท้อง กระตุ้นลูกในครรภ์ฉลาด

Alternative Textaccount_circle
event

พฤติกรรมแม่ท้อง กระตุ้นลูกในครรภ์ฉลาด  พ่อแม่ทุกคนอยากให้ลูกเกิดมาเป็นเด็กร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ครบ 32 แต่ก็จะดีไม่น้อยหากลูกเกิดมาพร้อมกับสติปัญญาที่เฉลียวฉลาดด้วย  การที่ลูกจะเป็นเด็กฉลาดคิด ฉลาดเรียนรู้ได้นั้นต้องอาศัยปัจจัยช่วยหลายอย่าง ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีวิธีที่จะช่วยกระตุ้นลูกให้ฉลาดได้ตั้งแต่ตอนที่อยู่ในครรภ์ของแม่ มาให้ทราบกันค่ะ

พฤติกรรมแม่ท้อง กระตุ้นลูกในครรภ์ฉลาด  – จะสร้างลูกให้สติปัญญาดีต้องเริ่มจากอะไร?


การที่พ่อแม่จะสร้างลูกคนนึงให้เป็นคนที่มีประสิทธิภาพ และศักยภาพในเรื่องการเรียน การทำงาน ชีวิตครอบครัว ฯลฯ ต้องอาศัยความเฉลียวฉลาดในการนำทางไปสู่ความสำเร็จ แต่การที่ให้ลูกได้มีสติปัญญาดีต้องมีปัจจัยแวดล้อมที่ได้จากพ่อแม่ นั่นคือในเรื่องของกรรมพันธุ์ที่ส่วนหนึ่งได้รับมาจากพ่อกับแม่  และยังมีในเรื่องของอาหารการกินส่วนหนึ่งเริ่มมาจากตอนที่แม่ตั้งครรภ์ว่าแม่กินอะไร กินอาหารที่ดีมีประโยชน์ต่อลูกในท้องมากน้อยแค่ไหน รวมทั้งเมื่อลูกคลอดออกมาแม่ได้ส่งเสริมให้ได้รับอาหารที่ดีและมีประโยชน์ต่อสมองของลูกอย่างต่อเนื่องด้วยหรือเปล่า

Good to Know… “ในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ ระบบประสาทและสมองทารกจะพัฒนาอย่างรวดเร็ว  และก็จะค่อยๆ พัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเรื่อยๆ ไปจนถึงอายุได้ 3 ขวบ ระบบประสาทจะพัฒนาได้ถึง 70% ของผู้ใหญ่ ซึ่งการที่สมองของลูกจะพัฒนาได้ดีขนาดดี ส่วนหนึ่งนั้นมาจากการได้รับอาหาร และการได้ถูกกระตุ้นด้วยกิจกรรมที่มีประโยชน์ต่อสมองมาตั้งแต่ตอนที่อยู่ในท้องของแม่”
พฤติกรรมแม่ท้อง กระตุ้นลูกในครรภ์ฉลาด
Credit Photo : shutterstock

7 พฤติกรรมแม่ท้อง กระตุ้นลูกในครรภ์ฉลาด

อย่างที่บอกไปข้างต้นค่ะว่าการจะสร้างลูกให้มีพัฒนาการสมองดี นอกจากกรรมพันธุ์ที่ได้รับมาจากพ่อแม่ส่วนหนึ่งแล้ว ก็ยังต้องได้รับการกระตุ้นมาตั้งแต่ตอนที่อยู่ในท้องของแม่  ผู้เขียนมีเทคนิคการกระตุ้นสมองลูกให้พัฒนาการดีตั้งแต่ตอนที่อยู่ในครรภ์ของแม่มาให้นำไปลองทำกันดูค่ะ ซึ่งทั้ง 7 เทคนิคนี้มาจาก รศ.นพ.วิทยา ถิฐาพันธ์ ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล1

1. การปรับอารมณ์ให้ดีอยู่เสมอ

จากการศึกษาทางการแพทย์พบว่าคุณแม่ที่อารมณ์ดีอยู่เสมอจะทำให้ร่างกายมีการหลั่งสารแห่งความสุขที่เรียกว่า เอนดอร์ฟิน (endorphin) ออกมาผ่านไปทางสายสะดือไปยังลูกทำให้ลูกมีพัฒนาการที่ดีทั้งสมอง (IQ) และอารมณ์ (EQ)

2. ฟังเพลง

ระบบประสาทการรับฟังของลูกน้อยในครรภ์จะเริ่มทำงานตั้งแต่อายุครรภ์ประมาณ 5 เดือน การใช้เสียงกระตุ้นจะทำให้เครือข่ายใยประสาทที่ทำงานเกี่ยวกับการได้ยินของลูกมีพัฒนาการดีขึ้น  เสียงที่ดีที่ควรใช้ในการกระตุ้นก็คือ เสียงเพลง  โดยเฉพาะเพลงที่มีความไพเราะและคุณแม่ชอบฟัง ไม่จำเป็นต้องเป็นเพลงคลาสสิค เวลาคุณแม่ฟังเพลง ควรจะเปิดเสียงเพลงให้อยู่ห่างจากหน้าท้องประมาณ 1 ฟุต และเปิดเสียงดังพอประมาณเพื่อลูกในครรภ์จะได้ฟังเสียงเพลงไปด้วย การที่ลูกในครรภ์ได้รับฟังเสียงเพลงคลื่นเสียงจะไปกระตุ้นให้ระบบประสาทที่เกี่ยวข้องกับการได้ยินมีการพัฒนาระบบการทำงานได้เร็วขึ้น ทำให้เมื่อลูกคลอดออกมา มีความสามารถในการจัดลำดับความคิดในสมอง รู้สึกผ่อนคลาย และจดจำสิ่งต่างๆได้ดี

3. พูดคุยกับลูก

การพูดคุยกับลูกในครรภ์บ่อยๆ จะช่วยให้ระบบประสาทและสมองที่ควบคุมการได้ยินมีพัฒนาการที่ดีและเตรียมพร้อมสำหรับการได้ยินหลังคลอด คุณแม่ควรพูดกับลูกบ่อยๆ ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ประโยคซ้ำๆ เพื่อให้ลูก

 

อ่านต่อ >> “7 พฤติกรรมแม่ท้อง กระตุ้นลูกในท้องฉลาด” หน้า 2

 

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

เลี้ยงลูกให้ฉลาด

วิทยาศาสตร์พิสูจน์แล้ว …พ่อแม่ที่มีลูกเก่งและฉลาด ต้องมีสิ่งเหล่านี้!

event
เลี้ยงลูกให้ฉลาด
เลี้ยงลูกให้ฉลาด

เลี้ยงลูกให้เก่งและฉลาด …เชื่อว่าใคร ๆ ก็อยากมีลูกฉลาด อยากมีลูกเก่ง ๆ กันทั้งนั้น แต่วิธีการเลี้ยงในสมัยนี้กับสมัยก่อนย่อมไม่เหมือนกัน แล้วแบบไหนกันแน่ที่จะเลี้ยงเจ้าตัวน้อยให้เติบโตเป็นคนดี และประสบความสำเร็จ เป็นคนเก่งของโลกได้ ซึ่งวิทยาศาสตร์พิสูจน์มาแล้วว่า เด็กที่เก่งและฉลาดต้องเกิดจากการที่พ่อแม่มีสิ่งเหล่านี้… จะเป็นอะไรบ้างนั้น ไปดูกันค่ะ

วิธี เลี้ยงลูกให้เก่งและฉลาด

เลี้ยงลูกให้เก่งและฉลาด

เด็กแต่ละคนมีความเป็นอัจฉริยะที่แตกต่างกัน ดังนั้น การปล่อยให้เด็กคิดและตัดสินใจทำในสิ่งที่ชอบ พร้อมทั้งคอยสนับสนุน ด้วยรอยยิ้มและเสียงปรบมือจะเป็นการสร้างความมั่นใจ ความภูมิใจให้กับเขา พ่อแม่ควรหลีกเลี่ยงอารมณ์โกรธ หรืออารมณ์ร้อนเมื่อเขาทำไม่ได้อย่างที่เราตั้งใจ หรือเมินเฉยเขา รวมทั้งควรเพิ่มโอกาสในการสร้างแรงบันดาลใจให้กับเด็ก เช่นการพาไปท่องเที่ยว เพื่อเสริมสร้างจินตนาการ การให้ความเอาใจใส่เขา พร้อมทั้งแสดงออกทางกาย เช่น กอด หอม เขาเป็นประจำเพื่อสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัว หากพบว่าเขาฉลาดหรือเก่งในเรื่องใด ควรสนับสนุนในเรื่องนั้น

Must readเลี้ยงลูกให้ “อัจฉริยะ” ด้วยความรักจากพ่อแม่

จากสถิติของสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นพบว่า เด็กจะฉลาดนั้นขึ้นอยู่กับกรรมพันธุ์ 48% และขึ้นอยู่กับการพัฒนาจากสิ่งแวดล้อมอีก 52% ซึ่งสมองเป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้น ถึงแม้ว่ากรรมพันธุ์จะไม่ฉลาด แต่พ่อแม่ก็สามารถพัฒนาเด็กให้กลายเป็นอัจฉริยะได้ เพียงแต่ต้องดูแลเรื่องโภชนาการ สภาพแวดล้อม การเลี้ยงดู และการส่งเสริมในสิ่งที่เด็กถนัดเป็นสำคัญ

เพราะวัยเรียน เป็นช่วงที่เด็กจะเป็นตัวของตัวเอง พ่อแม่ควรเข้าไปพูดคุยและคอยอยู่เป็นเพื่อนให้กำลังใจลูก ควรเปิดโอกาสให้ลูกคิดและทำในสิ่งที่ต้องการ มากกว่าจะคอยบงการชี้แนะให้เป็นไปอย่างที่ตนเองหวังหรือตั้งใจเอาไว้ สอนให้ลูกรู้จักการเอาตัวรอดและเข้าใจในกิจกรรม หรือวิธีที่ลูกกำลังคิดหรือแสดงออก พร้อมคอยชี้แนะให้เขาเดินอยู่ในกรอบที่ถูกต้องและถูกทาง ไม่ใช่เป็นการบังคับ เพราะไม่มีใครชอบให้พ่อแม่หรือบุคคลอื่นมาบังคับ ซึ่งเด็กที่จะเก่งได้นั้นต้องเกิดจากพ่อแม่ที่มีสิ่งเหล่านี้เหมือนกัน โดยวิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์มาแล้ว จะมีอะไรบ้าง ไปดูกันเลยค่ะ

อ่านต่อ >> 6 สิ่งที่พ่อแม่ต้องทำเพื่อให้ลูกเก่งและฉลาด” คลิกหน้า 2

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

กรุ๊ปเลือด

กรุ๊ปเลือด พ่อแม่ต่างกัน ลูกจะได้กรุ๊ปเลือดใคร?

Alternative Textaccount_circle
event
กรุ๊ปเลือด
กรุ๊ปเลือด

ระบบหมู่เลือด (blood group) ที่สำคัญ ได้แก่ หมู่เลือด ABO และหมู่เลือด Rh ซึ่งการที่ลูกจะมี กรุ๊ปเลือด ใดนั้น ขึ้นอยู่กับกรุ๊ปเลือดของพ่อแม่ หากบางกรณีที่ลูกมีกรุ๊ปเลือดเดียวกับพ่อ ซึ่งไม่เข้ากับเลือดของแม่ ทำให้ร่างกายแม่สร้างแอนติบอดีขึ้นมาทำลายเม็ดเลือดแดงของลูก อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตลูกได้ (more…)

digital-dementia

Digital Dementia โรคความจำเสื่อมเพราะเด็กเล่นเทคโนโลยี

Alternative Textaccount_circle
event
digital-dementia
digital-dementia

โรคความจำเสื่อม ที่คนเข้าใจว่ามักพบในกลุ่มผู้สูงนั้น ปัจจุบันพบว่า เด็กและวัยรุ่นมีปัญหาความจำเสื่อมก่อนวัยเพิ่มขึ้นเพราะเล่นเทคโนโลยี ซึ่งเรียกภาวะนี้ว่า digital dementia หรือความจำเสื่อมจากการเสพติดดิจิทัล พ่อแม่จึงควรรู้ทันและป้องกันก่อนสายเกินไป (more…)

ลูกไม่ยอมกินข้าว

ลูกไม่ยอมกินข้าว แก้ไขได้อย่างไร?

Alternative Textaccount_circle
event
ลูกไม่ยอมกินข้าว
ลูกไม่ยอมกินข้าว

ลูกไม่ยอมกินข้าว เมื่อลูกได้ 6 เดือนเป็นวัยเริ่มทานอาหารเสริม ลูกจะทานอาหารทุกอย่างที่แม่ป้อน  แต่เมื่อลูกครบหนึ่งขวบขึ้นไป เริ่มที่จะรู้ว่านี่คือผัก นี่คือเนื้อหมู นี่คือไข่เจียว ฯลฯ แล้วก็เริ่มที่จะปฏิเสธการทานอาหารในเมนูที่ไม่ชอบ ซึ่งนี่คือปัญหาที่แม่ๆ กังวลใจกันมาก  ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีวิธีที่จะแก้ไข ลูกไม่ยอมกินข้าว ให้กลับมากินข้าวกันค่ะ

 

ลูกไม่ยอมกินข้าว เพราะอะไร?

หลายเหตุผลที่ ลูกไม่ยอมกินข้าว อาจด้วยวัยที่รับรู้รสชาติของอาหารได้มากขึ้น รู้ว่าเมนูอาหารที่แม่ทำนั้นมีผักอะไรที่ชอบ และไม่ชอบ มีเนื้อสัตว์ที่อยากกินด้วยหรือเปล่า เป็นต้น แต่บางครั้งการที่ลูกไม่กินข้าว  อาจมาจากตัวของพ่อแม่เอง ที่ไม่เข้าใจถึงปริมาณความยากและความต้องการอาหารของลูกในแต่ละวัน  ผศ.นพ.ชาตรี วิฑูรชาติ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล1 ได้อธิบายถึงสาเหตุของที่ เด็กไม่ยอมกินข้าว ไว้ดังนี้

1. เข้าใจผิดว่าเด็กอ้วนเป็นเด็กแข็งแรง พ่อแม่จำนวนมากมีค่านิยมที่ผิด มองว่าเด็กอ้วน (จนเกินเกณฑ์น้ำหนักปกติ) เป็นเด็กแข็งแรง และน่ารัก ทำให้มองเด็กที่น้ำหนักปกติว่าเป็นเด็กผอมเกินไปและพยายามยัดเยียดเรื่องกินมากขึ้น2

2. เข้าใจผิดว่าลูกน้ำหนักน้อยเกินไป ทั้งๆ ที่น้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ปกติ เพราะไปเปรียบเทียบกับเด็กคนอื่นในชั้นเดียวกันที่มีน้ำหนักเกิน ซึ่งในปัจจุบันมีเด็กอ้วนในบ้านเราอยู่ถึงร้อยละ 15 – 203

3. ไม่รู้ว่าเด็กหลังอายุ 1 ขวบ จะสนใจการกินน้อยลง ธรรมชาติเด็กอายุขวบปีแรกจะกินเก่งเพราะเป็นช่วงที่เติบโตเร็ว เด็กจะมีน้ำหนักเพิ่มถึง 3 เท่าตัว คือ น้ำหนักแรกเกิดประมาณ 3 กิโลกรัม จะเพิ่มเป็น 9 กิโลกรัม เมื่ออายุ 1 ขวบ จึงมีความต้องการสารอาหารมากตามธรรมชาติและหิวบ่อย กินเก่ง แต่เมื่ออายุ 1 ปี จนถึง 10 ปี จะมีน้ำหนักขึ้นเฉลี่ยปีละ 2 กิโลกรัมเท่านั้น  ร่างกายต้องการสารอาหารน้อยลงเมื่อเทียบกับปีแรกเด็กจึงมีความกระตือรือร้นเรื่องกินลดลง4

4. ไม่รู้ว่าลูกควรกินอาหารปริมาณเท่าใดในแต่ละวัน ปริมาณอาหารที่พ่อแม่คาดหวังว่าลูกควรจะกินมักจะมากเกินความจริง จากการศึกษาวิจัยพบว่าพ่อแม่ส่วนใหญ่ในปัจจุบัน จะตักอาหารให้ลูกปริมาณมากกว่าที่ร่างกายของลูกต้องการจริงๆ เมื่อเด็กกินไม่หมด ทำให้พ่อแม่กังวลและพยายามยัดเยียด5

5. ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องปกติที่เด็กอาจกินน้อยเป็นบางมื้อหรือบางวัน เด็กคนเดียวกันความต้องการอาหารแต่ละวันไม่เหมือนกัน บางวันเด็กอาจกินมาก บางวันอาจกินน้อย ขึ้นกับหลายปัจจัย เช่น กิจกรรมที่ใช้พลังงานในวันนั้น สภาพทางอารมณ์จิตใจ แม้แต่สภาพอากาศก็มีผลต่อการเจริญอาหารของเด็กในแต่ละวัน เช่นเดียวกับผู้ใหญ่ที่อาจมีบางมื้อที่รู้สึกไม่หิว ไม่อยากกินอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเด็กเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ เช่นไข้หวัด ก็อาจทำให้เบื่ออาหารไปชั่วคราว6

6. ไม่รู้ว่าความต้องการปริมาณอาหารของเด็กแต่ละคนไม่เท่ากัน แม้ว่าจะน้ำหนักเท่ากันแต่เด็กแต่ละคนอาจกินอาหารมากน้อยต่างกันได้มาก ซึ่งขึ้นกับอัตราการใช้พลังงาน การย่อย การดูดซึม อัตราการเผาผลาญของร่างกาย ฯลฯ ของเด็กแต่ละคน7

 

คุณพ่อคุณแม่พอจะทราบถึงสาเหตุที่มาของการที่ ลูกไม่กินข้าว กันบ้างแล้วใช่ไหมคะ ซึ่งความจริงแล้วหากเราในฐานะพ่อแม่ได้ทำความเข้าใจกับลูก เพื่อสังเกตว่า ลูกไม่ยอมกินข้าว เพราะสาเหตุใดก็จะช่วยให้สามารถแก้ปัญหาได้ตรงจุด และก็จะทำให้ลูกมีความสุขกับการกินอาหารที่อยู่ตรงหน้ามากขึ้นได้ค่ะ

 

อ่านต่อ >> “วิธีแก้ไขปัญหาลูกไม่ยอมกินข้าว” หน้า 2

 

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

เซ็กส์หลังคลอด เริ่มเมื่อไหร่?

Alternative Textaccount_circle
event

เซ็กส์หลังคลอด เริ่มเมื่อไหร่ น่าจะเป็นคำถามยอดฮิตของแม่หลังคลอดทุกคน ซึ่งหากจะพูดกันตรงๆ  เซ็กส์หลังคลอดไม่ใช่เรื่องน่าเขินอาย หรือเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ของแม่หลังคลอดแต่อย่างใด อยู่ที่ว่าสภาพร่างกายหลังคลอดนั้นฟื้นฟูแข็งแรงดีขึ้นแล้วหรือยังต่างหาก ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีคำตอบของคำถามที่ว่า “เซ็กส์หลัง คลอด เริ่มเมื่อไหร่” มาให้ได้ทราบกันค่ะ  

 

เซ็กส์หลังคลอด เริ่มเมื่อไหร่ –สุขภาพร่างกายของแม่หลังคลอด มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง?

หากจะถามว่าร่างกายของผู้หญิงหลังคลอดลูกจะกลับมาฟิตแข็งแรง 100% ตั้งแต่วันแรกเลยหรือไม่ คำตอบคือ ร่างกายของคนหลังคลอดลูกจะยังไม่กลับมาแข็งแรงในทันที แต่จะต้องใช้เวลาเพื่อฟื้นฟูร่างกายอยู่สักพักใหญ่ๆ อาจจะ 3 เดือน หรือ 6 เดือนขึ้นไป ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละคนว่าดูแลเตรียมพร้อมมาอย่างไรในช่วงก่อนตั้งครรภ์  และสิ่งเหล่านี้ที่จะเกิดขึ้นกับร่างกายแม่หลังคลอด

  • น้ำคาวปลา

หลังคลอดตั้งแต่วันแรก จะมีน้ำคาวปลาออกมาจากช่องคลอด ซึ่งน้ำคาวปลาก็คือ เลือด น้ำเหลือง น้ำคร่ำ เยื่อบุโพรงมดลูกที่หลุดลอกออกมาหลังจากที่คลอดลูก ที่โดยปกติน้ำคาวปลาจะไม่มีกลิ่น และสีจากสีแดงเข้มก็จะค่อยจางลงตามระยะเวลาของการมีน้ำคาวปลา ที่ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 3-4 สัปดาห์โดยประมาณ

  • แผลฝีเย็บ และผ่าคลอด

คุณแม่ที่คลอดลูกด้วยวิธีเบ่งคลอดธรรมชาติ หลังคลอดเสร็จคุณหมอจะเย็บช่องคลอดให้ ซึ่งแผลฝีเย็บจะมีขนาดยาวประมาณ 1-2 นิ้ว ที่ใน 1-3 วันแรกคุณแม่จะรู้สึกเจ็บระบม และจากนั้นอาการเจ็บระบมจะดีขึ้นและหายไปภายใน 1 สัปดาห์ การเย็บช่องคลอดจะเย็บด้วยไหมละลาย ที่จะสลายตัวภายใน 2-3 สัปดาห์ คุณแม่อาจรู้สึกตึงๆ ตรงบริเวณช่องได้

ส่วนคุณแม่ที่คลอดลูกด้วยการผ่าคลอด อาจจะมีความปวดแผลมากกว่าการคลอดธรรมชาติ ที่ต้องใช้เวลาในการดูแลแผลไปประมาณ 1 เดือน แต่ความเจ็บปวดแผลจะดีขึ้นภายหลัง 1 สัปดาห์หลังคลอด

  • เจ็บคัดเต้านม

หลังจากคลอดลูกตั้งแต่วันแรก คุณแม่จะรู้สึกเจ็บคัดตึงเต้านมมาก นั่นเพราะกระบวนการผลิตน้ำนมแม่ได้เริ่มขึ้นแล้ว และพร้อมที่จะให้ลูกได้กินในทันที แนะนำว่าเพื่ออลดการคัดตึงเต้านม ควรให้ลูกดูดนมแม่ทุก 1-2 ชั่วโมง และจำเป็นจะต้องให้ลูกได้กินนมแม่เป็นเวลาอย่างน้อย 6 เดือน หรือควรให้มากกว่าหกเดือนไปจนถึงลูกขวบปีแรกก็จะยิ่งดีต่อสุขภาพร่างกายของลูก

 

ซึ่งตามความเป็นนจริงแล้วอาการของแม่หลังคลอดยังมีอีกหลายอย่าง ที่สามารถทำให้แม่หลังคลอดหมดอารมณ์ที่จะกุ๊กกิ๊กกับสมี เพราะเวลาส่วนเกือบจะ 24 ชั่วโมงต้องหมดไปกับการดูแลลูก บวกกับร่างกายที่เหนื่อยเพลียนอนน้อย เพราะต้องดูแลลูก  แล้วแบบนี้เมื่อไหร่ถึงจะพร้อมกับการมีเซ็กส์ที่สุขสมอีกครั้งละ?

 

อ่านต่อ >> “เซ็กส์หลังคลอด เริ่มได้ช่วงไหนถึงปลอดภัย” หน้า 2

 

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

ส่งเสริมให้ลูกเล่น ขวบปีแรก พัฒนาการสมองดี

Alternative Textaccount_circle
event

ส่งเสริมให้ลูกเล่น ขวบปีแรก พัฒนาการสมองดี การปูพื้นฐานให้ลูกเป็นเด็กเก่ง ฉลาดที่จะเรียนรู้ ต้องเริ่มมาจากพ่อแม่ที่เป็นครูคนแรกของลูก ที่เริ่มจากการส่งเสริมให้ลูกได้เล่นของเล่นที่เหมาะสมกับช่วงวัย  ทีม Amarin Baby & Kids จะมาช่วยให้ทุกครอบครัวส่งเสริมให้ลูกในขวบปีแรกได้มีพัฒนาการสมองดีที่เริ่มมาจากการเล่นกันค่ะ

 

 ส่งเสริมให้ลูกเล่น ขวบปีแรก พัฒนาการสมองดี – พัฒนาการสมองของลูก

สมองของเด็กถูกพัฒนามาตั้งแต่ตอนที่อยู่ในครรภ์ของแม่ สมองของลูกจะเจริญเติบโตได้ดีส่วนหนึ่งต้องมาจากอาหารที่แม่ทานตั้งแต่ตอนท้อง อาหารที่มีส่วนช่วยบำรุงสมอง เช่น อาหารประเภทปลา ไก่  นม ไข่ ถั่ว ผักใบเขียว ฯลฯ และนอกจากนี้จะต้องได้รับการกระตุ้นจากแม่ด้วย ซึ่งกิจกรรมที่จะช่วยกระตุ้นพัฒนาการสมมองของลูกได้ตั้งแต่ในครรภ์ คือ

1. ฟังเพลง

ระบบประสาทการรับฟังของทารกจะเริ่มทำงานตั้งแต่อายุครรภ์ประมาณ 5 เดือน การใช้เสียงกระตุ้นจะทำให้เครือข่ายใยประสาทที่ทำงานเกี่ยวกับการได้ยินของลูกมีพัฒนาการดีขึ้น คลื่นเสียงจากเพลงจะไปกระตุ้นให้ระบบประสาทการได้ยินมีการพัฒนาระบบการทำงานได้เร็วขึ้น ทำให้หลังจากที่ลูกคลอดออกมาจะมีความสามารถในการจัดลำดับความคิดในสมอง และจดจำสิ่งต่างๆ ได้ดี1

2. พูดคุยกับลูก

การพูดคุยกับลูกในครรภ์จะช่วยให้ระบบประสาทและสมองที่ควบคุมการได้ยินมีพัฒนาการที่ดีและเตรียมพร้อมสำหรับการได้ยินหลังคลอด2

3. ส่องไฟที่หน้าท้อง

เมื่อแม่อายุครรภ์ 7 เดือน กิจกรรมหนึ่งที่ควรทำคือการส่องไฟที่หน้าท้อง เพราะลูกสามารถกะพริบตาเพื่อตอบสนองต่อแสงไฟที่กระตุ้นได้แล้ว การส่องไฟที่หน้าท้องจะทำ ให้เซลล์สมองและเส้นประสาท ส่วนรับภาพและการมองเห็นมีพัฒนาดีขึ้น3

ส่งเสริมให้ลูกเล่น ขวบปีแรก พัฒนาการสมองดี
Credit Photo : shutterstock

และหลังจากที่ลูกคลอดออกมาแล้ว การเตรียมพร้อมให้สมองลูกเรียนรู้ได้อย่างฉลาดยังไม่จบลง เพราะการจะสร้างลูกให้เป็นเด็กที่มีพัฒนาการสมองดี พ่อแม่จะต้องช่วยกระตุ้นส่งเสริมให้ลูกอย่างต่อเนื่อง  ซึ่งขวบปีแรกถือเป็นช่วงเวลาที่สำคัญอย่างมาก  พ่อแม่จะต้องศึกษาหาข้อมูลในการเตรียมพร้อมทั้งด้านร่างกาย และสมองให้ลูก  สำหรับพัฒนาการทั้งสองด้านนี้มีความต้องการอย่างมากก็คืออาหาร และการได้รับการกระตุ้นทักษะอย่างถูกวิธี โดยเฉพาะสมองของลูก ที่สามารถเรียนรู้และจดจำเรื่องราวต่างๆ ได้ดี  ดังนั้นเพื่อให้ลูกเป็นเด็กมีพัฒนาการสมองดี หัวไว ในการเรียนรู้เรื่องราวต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เราในฐานะพ่อแม่ มาเริ่มต้นส่งเสริมลูกให้เขาได้เล่นกันอย่างสมวัย  เพราะการเล่นคือหนึ่งในอาวุธสำคัญที่จะช่วยให้ลูกมีสมองดีได้ค่ะ

ส่งเสริมให้ลูกเล่น ขวบปีแรก พัฒนาการสมองดี

ในช่วงขวบปีแรกหน้าที่หลักของลูกยังคงเป็นการนอน กิน และเล่น ซึ่งการเล่นคือหน้าที่ของลูกวัยนี้เลยก็ว่าได้  การที่ลูกได้เล่นอย่างเหมะสมตามช่วงวัย จะยิ่งช่วยส่งเสริมให้ลูกมีพัฒนาการสมองที่ดีมากขึ้น  ผู้เขียนในฐานะแม่คนนึงจึงอยากแนะนำให้พ่อแม่มือใหม่ได้ส่งเสริมให้ลูกเล่นตามช่วงวัยของเขา เพราะการเล่นที่เหมาะสมกับพัฒนาการลูก จะยิ่งช่วยส่งเสริมให้พัฒนาการสมอง รวมทั้งพัฒนาการทุกด้านของลูกมีประสิทธิภาพ แข็งแรงสมบูรณ์ด้วยเหมือนกันค่ะ

อายุ 1-3 เดือน

พัฒนาการ เคลื่อนไหวร่างกาย แขน ขา ได้ 2 ข้างเท่ากัน สำรวจสิ่งต่างๆ รอบตัว จ้องมองและเคลื่อนสายตาตามวัตถุที่เคลื่อนที่ใช้มือคว้า เอื้อมหยิบสิ่งของ อาจจะจับถูกบ้างผิดบ้าง เนื่องจากการประสานงานระหว่างกล้ามเนื้อตาและมือยังไม่สมบูรณ์
การเล่น การอุ้มสัมผัสพูดคุย เด็กจะยิ้มและตอบสนองต่อเสียงรอบข้าง ของเล่นกระตุ้นสายตา โมบายสีสดใสกรุ๋งกริ๋งเขย่ามีเสียงดัง ฟังเพลงบรรเลงเบาๆ

4-5 เดือน

พัฒนาการ เด็กเริ่มจำวัตถุและบุคคลใกล้ชิดได้ คอแข็ง พลิกคว่ำได้ ใช้แขนได้ดีขึ้น หมุนตัวหรือคืบไปข้างหน้าได้ พยายามไขว่คว้าสิ่งของที่ต้องการด้วยตัวเอง ชอบถือของเล่นฟาดไปมา จับของเล่นเข้าปาก จับให้นั่งได้แต่ยังนั่งเองไม่ได้
การเล่น ของเล่นที่ใช้มือจับ เขย่ามีเสียง  ควรเป็นของเล่นที่ปลอดภัย ไม่มีความคม และเอาเข้าปากได้โดยไม่เป็นอันตราย เมื่อเล่นยอกล้ออารมณ์ดีจะหัวเราะเสียงดัง

5-6 เดือน

พัฒนาการ เคลื่อนไหวได้คล่องขึ้น สนใจสิ่งต่างๆรอบตัว  อยากรู้อยากเห็น อยากหยิบจับของทุกอย่างที่มองเห็น บางคนสามารถนั่งได้เอง เมื่อจับยืนเท้าสองข้างจะวางแนบกับพื้น เด็กบางคนจะร้องเมื่อเห็นคนแปลกหน้า
การเล่น ของเล่นที่จับแกว่งแล้วมีสียงดัง ยางกัดนิ่มๆ กล่องดนตรี เล่นกับเงาตัวในกระจก

6-7 เดือน

พัฒนาการ นั่งพิงเก้าอี้ได้ นั่งตามลำพังได้ มองของเล่นและพิจารณารายละเอียด
ของเล่น ของเล่นประเภทที่มีเสียง เล่นรุนแรงขึ้น เล่นตุ๊กตาล้มลุก ตุ๊กตาไขลาน ชอบเพลงที่มีจังหวะ

 

อ่านต่อ >> “เทคนิคส่งเสริมให้ลูกเล่นตามวัยในขวบปีแรก” หน้า 2

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

ขนมเปี๊ยะ

พ่อแม่ระวัง! ลูกน้อยกินขนมเปี๊ยะมีสารกันบูด

Alternative Textaccount_circle
event
ขนมเปี๊ยะ
ขนมเปี๊ยะ

ขนมเปี๊ยะ เป็นขนมที่นิยมใช้ในเทศกาลไหว้พระจันทร์ของชาวจีน มีความหมายแห่งความเป็นศิริมงคล สื่อถึงความปรารถนาดีของผู้ให้ที่มีต่อผู้รับ แสดงถึงความสามัคคี ขนมเปี๊ยะมีหลากหลายรสชาติ แต่เป็นขนมที่เน่าเสียง่าย คุณพ่อ คุณแม่จะแน่ใจได้อย่างไรว่าขนมเปี๊ยะปลอดภัยกับลูก

(more…)

การเร่งคลอด

การเร่งคลอด คืออะไร ทำไมถึงต้องเร่งคลอด?

Alternative Textaccount_circle
event
การเร่งคลอด
การเร่งคลอด

การเร่งคลอด ปกติการตั้งครรภ์จะสิ้นสุดลงเมื่อครบ 40 สัปดาห์ แต่ก็ไม่ใช่กับคนท้องทุกคนที่จะคลอดลูกเมื่อครบกำหนดการคลอด เพราะแม่ท้องจำนวนไม่น้อยที่ไม่มีสัญญาณเตือนให้รู้สึกเจ็บท้องคลอดลูก  ทีมงาน Amarin Baby & Kids มี วิธีเร่งคลอด ที่ปลอดภัยกับคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์ มาให้ทราบค่ะ

 

การเร่งคลอด คืออะไร?

โดยธรรมชาติร่างกายของผู้หญิงจะถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้สามารถตั้งครรภ์ ที่เมื่อถึงเวลาร่างกายจะมีการส่งสัญญาณเตือนว่าพร้อมสำหรับการคลอดลูก ซึ่งการตั้งครรภ์จะอยู่ที่ 9 เดือน หรือประมาณ 40 สัปดาห์ ที่เมื่อครบกำหนดคลอดคุณแม่ท้องจะต้องคลอดลูกออกมาที่สามารถทำได้ด้วยวิธีการคลอดธรรมชาติ หรือใช้วิธีการผ่าคลอด

 

ในกรณีที่ผ่าคลอดคุณหมอสามารถนัดวันผ่าคลอดลูกที่แน่นอนให้ได้และสามารถทำได้ทันที่ที่อายุครรภ์พร้อมสมบูรณ์  แต่ในกรณีที่เบ่งคลอดธรรมชาติ ถึงแม้คุณหมอจะนับวันครบกำหนดคลอดที่ชัดเจนให้คุณแม่ได้กำหนดของการคลอด  แต่พอถึงเวลาคลอดจริง คุณแม่อาจไม่การเจ็บท้องเตือนว่าจะคลอดลูก  ซึ่งหากเป็นเช่นนี้คุณหมอจะพิจจารณาถึงวิธีการเร่งคลอดให้คุณแม่ท้อง

 

Good to know… “อาการเจ็บครรภ์ คือการที่คุณแม่ท้องรู้สึกเจ็บหน่วงลงไปถึงช่องคลอด เจ็บสม่ำเสมอเป็นระยะๆ 10 นาที/ครั้ง แล้วหายไป  แต่ถ้ารู้สึกเจ็บ 4-5 ครั้งติดต่อกันในหนึ่งชั่วโมง แล้วอาการเจ็บไม่ได้หายไป นั่นคือการเจ็บครรภ์จริง  ไม่ใช่เจ็บเตือนหรือเจ็บหลอก

 

อ่านต่อ >> “วิธีเร่งคลอดที่อยู่ในการดูแลของคุณหมอ” หน้า 2 

 

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

หายใจผิดปกติ

วิธีสังเกตอาการ หายใจผิดปกติ ที่เป็นอันตรายต่อเด็ก

Alternative Textaccount_circle
event
หายใจผิดปกติ
หายใจผิดปกติ

จากสถิติสาเหตุการเสียชีวิตของโรคติดเชื้อทางเดินหายใจในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี โรคปอดบวมมาเป็นอันดับ 1 ซึ่งโรคนี้ทำให้เด็กมีภาวะหายใจเร็วกว่าปกติ หากปล่อยไว้อาจรุนแรงจนเสียชีวิตได้ ดังนั้นมารู้จักอาการของโรคปอดบวมและรู้วิธีสังเกตอาการ หายใจผิดปกติ กันดีกว่า

โรคปอดบวมในเด็ก

เริ่มต้นเด็กจะมีไข้ อาจมีหนาวสั่น ไอมีเสมหะ หายใจเร็วกว่าปกติ หรือแสดงอาการหอบเหนื่อย ถ้ามีอาการรุนแรงขึ้นจะมีอาการหายใจลำบาก หน้าอกบุ๋ม ปีกจมูกบานถ้ามีภาวะหายใจลำบากรุนแรงขึ้นและไม่ได้รับการรักษา อาจทำให้ถึงแก่ชีวิต

การหายใจเร็ว หรือศัพท์ที่เรียกทางการแพทย์ว่า Tachypnea เป็นสัญญาณอันตรายที่บ่งชี้ถึงภาวะความผิดปกติของระบบทางเดินหายใจ เด็กจะมีภาวะหายใจลำบากซึ่งอาจเริ่มจากเป็นเพียงเล็กน้อยและมากขึ้นจนนำไปสู่อาการที่รุนแรงได้ดังนั้นการเรียนรู้วิธีประเมินการหายใจ ร่วมกับการสังเกตลักษณะการเคลื่อนไหวของทรวงอกขณะหายใจในเด็ก จึงสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยชีวิตเด็กในเบื้องต้นได้

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

วิธีประเมินและสังเกตการหายใจในเด็ก

1. อัตราการหายใจ 

โดยปกติในทารกและเด็กจะมีอัตราการหายใจเร็ว และจะค่อยๆ ช้าลงจนกระทั่งถึงวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ ถ้าอุณหภูมิร่างกายสูงขึ้น อัตราการหายใจจะเพิ่มตามด้วย เพื่อที่จะช่วยระบายความร้อนออกจากร่างกาย และให้ได้รับออกซิเจนเพียงพอใจการเผาผลาญสารอาหาร

การนับอัตราการหายใจจะช่วยให้ทราบว่าเด็กมีการหายใจเพียงพอหรือไม่ หากว่าการหายใจไม่เพียงพอร่างกายเราจะหายใจเร็วขึ้นและแรงขึ้น

วิธีการวัดอัตราการหายใจ การนับอัตราการหายใจต้องนับให้ครบ 1 นาที ขณะที่เด็กสงบหรือพัก ถ้านับอัตราการหายใจขณะเด็กร้องไห้ จะได้ค่าที่คลาดเคลื่อนไม่ตรงกับความเป็นจริง

  • สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี จะสังเกตการเคลื่อนไหวของท้องขึ้นลง นับเป็น 1 ครั้งใน 1 นาที
  • สำหรับเด็กอายุมากกว่า 7 ปี จะสังเกตจาการเคลื่อนไหวของทรวงอกขึ้นลงนับเป็น 1 ครั้งใน 1 นาที
วิธีสังเกต

-ใช้การสังเกตการเคลื่อนไหวของผนังหน้าท้องขึ้นลง นับเป็น 1 ครั้ง

-จับเวลาให้ครบ 60 วินาที

-หรือการใช้มือสัมผัสหน้าท้องเบาๆ ขณะนับการเคลื่อนไหวของหน้าท้อง

อัตราการหายใจสามารถบอกถึงภาวะผิดปกติทางระบบทางเดินหายใจได้ โดยพิจารณาจากอายุและอัตราการหายใจเป็นเกณฑ์ดังนี้

  • ทารกแรกเกิด – 2 เดือน ใช้อัตราการหายใจเร็วตั้งแต่ 60 ครั้งต่อนาทีขึ้นไป
  • อายุ 2 เดือน -11 ปี ใช้อัตราการหายใจเร็วตั้งแต่ 50 ครั้งต่อนาทีขึ้นไป
  • อายุ 1 -5 ปี ใช้อัตราการหายใจเร็วตั้งแต่ 40 ครั้งต่อนาทีขึ้นไป

 หายใจอกบุ๋ม

2. สังเกตการเคลื่อนไหวของทรวงอกขณะหายใจ

หายใจอกบุ๋ม (Retraction) คือการดึงรั้งของกล้ามเนื้อบริเวณทรวงอกขณะหายใจสังเกตง่ายๆ คือเด็กจะหายใจแรงจนชายโครงบุ๋มขณะหายใจเข้าแสดงถึงภาวะที่เด็กต้องใช้กล้ามเนื้อช่วยในการหายใจเพื่อนำเอาอากาศเข้าปอดมากขึ้นซึ่งอาจเกิดจากการอุดกั้นทางเดินหายใจ จึงทำให้หายใจลำบากนั่นเอง

วิธีสังเกต

  • โดยปกติในเด็กเล็กเมื่อหายใจเข้า ท้องและอกของเด็กจะป่องออก เมื่อหายใจออก ท้องและอกของเด็กจะหุบเข้า
  • แต่ถ้ามีอาการหายใจลำบาก จะมีอาการอกบุ๋มเมื่อหายใจเข้า โดยบริเวณใต้ชายโครงของเด็กจะบุ๋มในขณะที่ท้องและอกจะป่องออก
  • อาการอกบุ๋มพบได้ในหลายบริเวณได้แก่เหนือกระดูกไหปลาร้า บริเวณช่องว่างระหว่างซี่โครง บริเวณใต้ชายโครง และบริเวณใต้กระดูกกลางหน้าอก

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

ปีกจมูกบาน

3. ปีกจมูกบาน (Nasal Flaring)

เป็นอีกหนึ่งสัญญาณของการหายใจลำบาก

4. หายใจมีเสียงดัง

วิธีสังเกต

  • ขณะที่เด็กสงบ ฟังเสียงหายใจ โดยแนบหูใกล้ปากของเด็ก
  • ในขณะที่เด็กหายใจเข้า จะได้ยินเสียง ฮืด หรือขณะหายใจออก อาจได้ยินเสียงหวีด

ถ้าคุณพ่อคุณแม่ผู้ดูแลพบอาการ หายใจผิดปกติ เหล่านี้ อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความผิดปกติของระบบทางเดินหายใจของลูกน้อยได้ ควรรีบพามาโรงพยาบาลโดยด่วน

ชมคลิปตัวอย่างการหายใจอกบุ๋ม

การที่คุณพ่อคุณแม่สังเกตและรู้ว่าการหายใจผิดปกติในเด็กเป็นอย่างไร จึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยชีวิตของลูก ยิ่งสังเกตและรู้เร็วมากขึ้นเท่าไรก็ยิ่งช่วยให้ลูกน้อยปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น


บทความโดย : อาจารย์สุภาวดี ทับกล่ำ อาจารย์ประจำกลุ่มวิชาการพยาบาลเด็กและวัยรุ่น คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นิตยสาร Amarin Baby & Kids

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

ลูกนอนกรน หายใจเสียงดัง เสี่ยงภาวะหยุดหายใจขณะหลับ

สุดยอด!แม่สังเกตจนรู้ ลูกไม่ได้เป็น ตากุ้งยิง แท้จริงคือชีสต์

วิธีเก็บเงิน ให้ล้นกระเป๋าสตางค์แบบฉบับคนญี่ปุ่น!!

อยากให้ลูกรู้ว่ารัก พ่อแม่ต้องทำยังไง?

event

วิธีบอกรักลูก…แน่นอนว่าไม่มีพ่อแม่คนไหนที่ไม่รักลูก แต่ก็ไม่ใช่ลูกทุกคน ที่จะรับรู้ได้ว่าพ่อแม่รักเขาทั้ง ๆ ที่พ่อแม่รัก และเป็นห่วงลูกสุดหัวใจ แต่ทำไมความรักและความหวังดีนั้น กลับส่งไปไม่ถึงลูก?? บางครั้งเจตนาจะสอนลูก แต่ลูกกลับต่อต้าน หาว่าพ่อแม่ไม่เข้าใจ บางคราหวังดีกับลูก แต่ลูกกลับไม่ชอบใจ หาว่าเราจุ้นจ้านเกินไปหรือบางทีเป็นห่วงลูก แต่ลูกกลับรำคาญใจ หาว่าเราจู้จี้จุกจิกซะนี่

 

ที่เป็นเช่นนั้น ก็เพราะว่าการสื่อสารของเรากับลูกส่วนใหญ่ เน้นการจัดการลูกเรื่องกิจวัตรประจำวัน มากกว่าเน้นการสร้างความสัมพันธ์กับลูก

4 วิธีบอกรักลูก ให้ลูกรับรู้ได้

หากตั้งแต่ตื่นเช้าจนถึงเข้านอนตอนกลางคืน เราให้ความสำคัญลูกแต่เรื่อง กินอิ่ม นอนหลับ ตัวสะอาด การบ้านเสร็จ เล่นปลอดภัยแล้ว ก็เท่ากับว่าเวลาส่วนใหญ่ จะหมดไปกับการสั่ง จัดการ ตรวจตรา ดูแลความเรียบร้อยของลูก ส่วนเวลาในการพูดคุยกันในเรื่องอื่นๆ รวมทั้งการรับฟังความรู้สึก และความต้องการของลูก ก็จะถูกบั่นทอนลดน้อยลงไป จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ ว่าทำไมลูกถึงต่อต้าน รำคาญ เครียด และไม่อยากให้ความร่วมมือ

ที่สำคัญ หากการสื่อสารของเรา เต็มไปด้วยคำสั่ง คำบ่น คำขู่ คำต่อว่า หรือว่าการลงโทษด้วยแล้ว ไม่ว่าเราจะรัก หวังดี และห่วงใยลูกขนาดไหน ก็ยากที่ลูกจะเข้าใจถึงความรัก ความหวังดีของคุณพ่อคุณแม่

Amarin Baby & Kids กับบทความ สวย เลิศ เชิด ดี ด้วยวินัยเชิงบวก จึงขอนำเสนอวิธีการสื่อสารที่สามารถสื่อความรัก ความหวังดี ไปให้ถึงลูกได้ดังนี้ค่ะ

1. เช็คอินด้วยการกอด

วิธีบอกรักลูก

การให้ความสำคัญลูกด้วยการกอดลูกในแต่ละวันให้ได้มากที่สุด ให้การกอดเข้าไปอยู่ในชีวิตประจำวัน เช่น เช้าเมื่อตื่นนอนสิ่งแรกที่ทำคือกอด ก่อนออกจากบ้านก็กอด เมื่อกลับมาเจอกันก็กอด ก่อนเข้านอนก็กอด หรือนั่งอยู่ด้วยกันสักพักก็เดินเข้าไปกอดได้อีกค่ะ

เหมือนกับว่าเวลาเราไปที่ไหนแล้วเรากดเช็คอินคนอื่นก็จะรับรู้ว่าเราอยู่ที่ไหนเมื่ออยู่กับลูกก็เช่นกันเดินไปเช็คอินกับลูกด้วยการกอดบ้างลูกก็จะรับรู้ว่าทั้งตัวและหัวใจของคุณพ่อคุณแม่กำลังอยู่กับเขา

ทุกครั้งที่กอดลูก นอกจากลูกจะรู้สึกได้ถึงความรักความสำคัญที่คุณพ่อคุณแม่มีให้แล้วความรู้สึกดีๆ นี้ยังถูกสะสมเป็นแรงใจให้ลูกสามารถจัดการความเครียดความคับข้องใจภายในตัวเองได้สามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนๆ และคุณครูได้ป้องกันพฤติกรรมการเรียกร้องความสนใจที่ไม่เหมาะสมได้กล้าที่จะเรียนรู้ลองผิดลองถูก และกล้าออกเผชิญโลกกว้างได้อย่างมั่นใจอีกด้วย

Must readแค่ “กอด” สุขภาพใจ+กาย ก็แข็งแรง
Must readอย่าสร้างช่องว่าง กว้างกว่าอ้อมกอด

อ่านต่อ >> “วิธีบอกรักเพื่อให้ลูกรับรู้ได้” คลิกหน้า 2

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

ชีวิตลูก… ต้อง (ฝึกให้) ลูกรับผิดชอบเองได้

event

ฝึกความรับผิดชอบ ให้ลูก รับผิดชอบเองได้ …เพราะเด็กวัย 6-11 ขวบ เริ่มมีความขี้เกียจแฝงอยู่ในตัว เรียกได้ว่าเป็นปัญหาที่สร้างความท้อใจและกังวลใจให้กับคุณพ่อคุณแม่เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อพ่อแม่บอกให้ทำอะไร แต่กลับไม่ได้รับการตอบสนองจากลูก ลูกขาดความสนใจในงานที่ต้องทำ และต้องกระตุ้นย้ำหลายครั้ง 

“ทำไมแม่ไม่ปลุกผม ดูซิสายแล้วเนี่ย”

“แม่อ่ะ หนูจะนอน มาปลุกหนูทำไมเนี่ยยยย”

“โอ๊ย แม่ขา แม่ไม่ได้แต่งชุดเนตรนารีให้หนูนี่นา”

“นี่ใครมาหยิบกล่องดินสอหนูไป หนูวางอยู่ตรงนี้นี่”

“หา…นี่แม่ไม่ได้เอาหนังสือสังคมใส่กระเป๋ามาให้ผมเหรอ”

 

ประโยคข้างต้นเป็นเพียงเหตุการณ์สมมติ ที่หมอเชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกเริ่มโต น่าจะเคยได้ยินลูกพูดมาบ้าง ฟังดูเผิน ๆ ก็เหมือนไม่มีอะไร เด็ก ๆ ก็พูดไพเราะดี แต่ถ้าอ่านดี ๆ ในทุกประโยคนั้นดูเหมือนจะแฝงไปด้วยการโทษคนอื่น ซึ่งในที่นี้ก็คือพ่อแม่ค่ะ คุณพ่อคุณแม่หลาย ๆ ท่านอาจไม่ถือโทษโกรธลูก เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่หมอกลับคิดว่าความจริงแล้วนี่เป็นเรื่องที่สำคัญนะคะ เพราะอาจกลายเป็นว่าเรากำลังปล่อยให้ลูกใช้วิธีโทษคนอื่น ทั้งที่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น ส่วนใหญ่เป็นเรื่องส่วนตัวที่ควรจะอยู่ในความรับผิดชอบของเขาเอง

การ ฝึกความรับผิดชอบ ให้ลูก

ฝึกความรับผิดชอบ ให้ลูก

การฝึกลูกให้เป็นคนมีความรับผิดชอบอาจทำได้ โดยมอบหมายหน้าที่ที่เหมาะสมกับวัยให้ลูกทำ เช่น ให้รับผิดชอบหน้าที่กวาดบ้าน ถูบ้าน ล้างห้องน้ำ ล้างจาน ช่วยงานแม่ในครัว หรือช่วยงานพ่อในสนาม เช่น ช่วยตัดหญ้า รดน้ำต้นไม้ ปลูกต้นไม้ ดูแลความสะอาดบริเวณบ้าน นอกจากรับผิดชอบงานส่วนรวมของบ้านแล้ว งานส่วนตัวก็ต้องสอนให้รับผิดชอบ ไม่ให้เป็นภาระแก่คนอื่น เช่นการดูแลเรื่องเสื้อผ้าของตนเอง เป็นต้น พ่อแม่ต้องฝึกลูกให้เป็นคนตรงต่อเวลา ให้เป็นคนมีระเบียบวินัย ในการกิน การเล่น ดูหนังสือ และนอนให้เป็นเวลา เพื่อลูกจะได้รู้จักบริหารเวลาเป็น ทำงานเป็น นิสัยตรงต่อเวลาจะได้เกิดขึ้นกับลูก

Must readโรคไม่รู้จักลำบาก โรคใหม่ของเด็กไทยในยุคปัจจุบัน
Must readเลี้ยงลูกไม่ให้สบายเกินไปป้องกันโรคไม่รู้จักลำบาก

เมื่อมอบหมายหน้าที่ให้ลูกรับผิดชอบแล้ว พ่อแม่ต้องคอยสอดส่องดูแล สอนลูกให้ตระหนักในหน้าที่ของตัวเอง ถ้าลูกปล่อยปละละเลยก็ต้องตักเตือน หรือบางครั้งอาจต้องลงโทษ แต่ถ้าลูกรับผิดชอบในหน้าที่การงานได้ไม่บกพร่องเลย พ่อแม่ก็ควรชมเชยหรือให้รางวัลด้วย เพื่อเป็นกำลังใจในการทำความดีให้ยิ่งๆ ขึ้นไป

Must readเด็กทำความผิด ใครมีหน้าที่รับผิดชอบ?

นอกจากนั้นยังต้องฝึกลูกให้เป็นคนมีน้ำใจ เอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่น ไม่นิ่งดูดาย แม้ว่างานนั้นจะไม่ใช่หน้าที่ของตน เมื่อลูกว่างหรือทำงานในหน้าที่เสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่คนอื่นยังทำไม่เสร็จหรือลูกเห็นพ่อแม่ยังทำงานอยู่ ต้องฝึกลูกให้มีน้ำใจเข้าไปช่วยเหลือ ต้องสอนลูกเสมอว่า การมีน้ำใจต่อผู้อื่นเป็นสิ่งที่ดี ควรทำ เพราะเมื่อเรามีใจต่อผู้อื่น เราก็จะได้น้ำใจเป็นเครื่องตอบแทน เมื่อเราช่วยเหลือผู้อื่น ถึงคราวผู้อื่นก็จะช่วยเหลือเราแน่นอน จะช้าหรือเร็วเท่านั้น ต้องฝึกลูกให้มีน้ำใจต่อส่วนรวม โดยสนับสนุนลูกให้เข้าร่วมกิจกรรมกับเพื่อนกับหมู่คณะ เพราะคนเรานั้น ถึงจะเก่งแสนเก่งเพียงไร แต่ถ้าขาดคนรอบข้างสนับสนุน ก็ยากที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต

Must readวิธีเลี้ยงลูกให้เป็นเด็กมีน้ำใจ รู้จักให้ และเสียสละ

อ่านต่อ >> “เทคนิคจากหมอ 3 วิธีฝึกให้ลูกรับผิดชอบเองได้” คลิกหน้า 2

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

โรคทางเดินอาหาร ทารก

5 โรคทางเดินอาหารยอดฮิตพบบ่อยในช่วงวัยขวบปีแรก

Alternative Textaccount_circle
event
โรคทางเดินอาหาร ทารก
โรคทางเดินอาหาร ทารก

รศ.นพ.พรเทพ ตั่นเผ่าพงษ์ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคทางเดินอาหาร คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี จะมาแนะนำให้รู้จัก 5 โรคทางเดินอาหารในทารก ที่พบบ่อยในช่วงวัยขวบปีแรก พร้อมการดูแลอย่างถูกวิธีค่ะ

5 โรคทางเดินอาหารในทารก ที่พบบ่อยที่สุด

1) กรดไหลย้อน

กรดไหลย้อน ทารก

สาเหตุ กรดไหลย้อนในทารก

กรดไหลย้อนอาจเกิดขึ้นได้ 30-40% ในเด็กทารกในช่วงอายุ 3-4 เดือนแรกหลังเกิด เชื่อว่าเกิดจากรอยต่อหรือหูรูดระหว่างหลอดอาหารและกระเพาะอาหารของทารกยังทำงานไม่แข็งแรง อาจพบการคลายตัวเป็นระยะๆ ทำให้เมื่อทารกกลืนนมลงไป ซึ่งโดยปกตินมจากหลอดอาหารจะลงสู่กระเพาะอาหารและไปยังลำไส้เล็ก แต่หากนมที่กินยังไม่ทันลงไปสู่ลำไส้เล็กเต็มที่ แต่นมกับน้ำย่อยกลับไหลย้อนขึ้นมาที่หลอดอาหารแทน จนทำให้ลูกมีอาการกรดไหลย้อน และแหวะนมหรืออาเจียนออกมา

อาการ กรดไหลย้อนในทารก

ลูกอาจมีอาการแหวะนมโดยอาจแหวะเพียงวันละ 2-3 ครั้ง หรือบางคนแหวะเกือบทุกมื้อ ปริมาณมากน้อยแตกต่างกัน  ซึ่งหากสามารถกินนมได้ตามปกติ น้ำหนักขึ้นดี และไม่มีอาการผิดปกติอื่นแบบนี้อาจถือว่าเป็นภาวะกรดไหลย้อนที่ไม่อันตราย สามารถเกิดขึ้นได้บ่อยโดยยังไม่จำเป็นต้องทำการรักษาหรือตกใจจนรีบพามาพบแพทย์ทันที  เว้นแต่ในกรณีลูกแหวะนมบ่อยมาก อาเจียนบ่อยหลังกินนม อาเจียนพุ่ง อาเจียนเป็นเลือดหรือเป็นน้ำดี งอแง ร้องไห้กวนรุนแรง น้ำหนักไม่เพิ่มขึ้นหรือน้ำหนักลด ซึ่งเป็นอาการที่รุนแรงมากขึ้น ควรพิจารณาพาทารกมาพบแพทย์

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

การดูแล เมื่อลูกเป็นกรดไหลย้อน

วิธีการช่วยเหลือและแก้ไขเมื่อลูกแหวะนม คือการทำให้เรอเพื่อไล่ลมที่อยู่ในกระเพาะอาหาร เพื่อให้ในกระเพาะอาหารเหลือเพียงนมให้ย่อย จะช่วยดูแลอาการกรดไหลย้อนเบื้องต้นได้ ส่วนอีกวิธีการที่ช่วยป้องกันกรดไหลย้อนในทารกคือ การอุ้มให้หัวสูงสัก 20-30 องศา ประมาณสัก 20-30 นาทีหลังจากกินนมเสร็จ ไม่ควรให้ลูกนอนราบทันที  โดยเชื่อว่าการอุ้มลักษณะนี้อาจช่วยให้นมไหลย้อนกลับขึ้นหลอดอาหารลดลงได้

กรดไหลย้อนในทารกนี้ มักดีขึ้นตามอายุและพัฒนาการของทารกทำให้ทารกประมาณ 90-95% จะหายหรือดีขึ้นจากกรดไหลย้อนได้ภายใน 1 ปี

 บทความแนะนำ สำลักนมคร่าชีวิตลูกน้อย อันตรายที่คาดไม่ถึง

อ่านต่อ>> โรคทางเดินอาหารยอดฮิตในทารก คลิกหน้า 2

keyboard_arrow_up