Overfeeding ลูกกินนมมากเกินไป

Overfeeding ลูกกินนมมากเกินไป อันตรายหรือไม่?

Overfeeding ลูกกินนมมากเกินไป การป้อนนมลูกไม่ว่าจะเป็นจากอกแม่โดยตรง หรือให้ทานจากขวด ก็สามารถทำให้เกิดปัญหาตามมาได้ หากแม่ให้ลูกกินนมมากเกินไป เพราะอาจทำให้กระเพาะ ลำไส้ย่อยดูดซึมนมไม่ทัน จนทำลูกปวดท้อง อาเจียนได้ ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีเรื่องชวนให้ได้ตระหนักถึงอันตรายจาก Overfeeding ลูกกินนมมากเกินไป มาให้ทราบค่ะ

Continue reading “Overfeeding ลูกกินนมมากเกินไป อันตรายหรือไม่?”

    กระทรวงสาธารณสุข ชวนคนไทยมีลูกเพื่อชาติ

    เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข แถลงข่าวส่งเสริม โครงการสาวไทยแก้มแดง มีลูกเพื่อชาติ ด้วยวิตามินแสนวิเศษ เพื่อเพิ่มจำนวนการเกิด ทดแทนจำนวนประชากร โดยส่งเสริมให้เกิดในผู้หญิง 20-34 ปี ที่มีความพร้อม

    Continue reading “กระทรวงสาธารณสุข ชวนคนไทยมีลูกเพื่อชาติ”

      โรต้าไวรัส

      เสียหลานชายวัย 1 ขวบ เพราะ โรต้าไวรัส

      มีเรื่องเล่าประสบการณ์จากคุณน้าคนหนึ่ง ซึ่งมีหลานชายวัย 1 ขวบ 3 เดือน ซึ่งเป็นลูกชายของพี่สาวที่เป็นลูกพี่ลูกน้อง คุณน้ายังไม่เคยพบหน้าหลานชาย อยู่ๆ วันหนึ่งได้รับโทรศัพท์จากพี่สาว บอกว่า หลานชายเสียแล้ว คุณน้าถึงกับงง และช็อกมาก จึงหาสาเหตุ พบว่าเกิดจาก โรต้าไวรัส

      Continue reading “เสียหลานชายวัย 1 ขวบ เพราะ โรต้าไวรัส”

        เหตุผลดี 7 ข้อ ของการมีลูกดื้อ!

        ว่ากันว่าเด็กในช่วง 2-12 ปี จะซนและดื้อมากที่สุด พ่อแม่พูดอะไรก็ไม่เชื่อฟัง ไม่ยอมทำตาม ยิ่งถ้าบอกว่า “อย่า” เด็กก็จะยิ่งอยากทำสิ่งนั้นมากขึ้น ยิ่งบังคับมากเท่าใด เด็กก็จะต่อต้าน และอยากเอาชนะมากเท่านั้น

        เด็กดื้อ ในความหมายของคนทั่วไป น่าจะหมายถึงเด็กที่ต่อต้านไม่เชื่อฟังในเด็กเล็ก เด็กอาจอาละวาดเพื่อแสดงความเป็นตัวของตัวเอง ซึ่งอาจถือเป็นพัฒนาการปกติ และจะถือว่าผิดปกติเมื่ออาการเป็นมากและไม่อยู่ในกฎเกณฑ์ทั่วไปของสังคม

        ลูกดื้อควรทำอย่างไร

        ลูกดื้อควรทำอย่างไร

        ในเรื่องนี้ ผศ.นพ.ปราโมทย์ สุคนิชย์ จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น โรงพยาบาล มนารมย์ ให้ข้อมูลว่า การที่เด็กดื้อ หรือซนเกิดจากปัจจัยหลาย ๆ อย่าง เช่น ที่ตัวของเด็กเอง เพราะเด็กที่เกิดมาแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน ต่างมีพื้นฐานทางด้านอารมณ์ที่แตกต่างกันไปด้วย คือว่าตามลักษณะธรรมชาติของเด็กบางคนอาจจะมีจังหวะจะโคนของตัวเอง พื้นฐานโดยทั่วไปก็จะแตกต่างกัน แต่เด็กที่ดื้อจะมีลักษณะที่เลี้ยงยากสักหน่อย มักมีอารมณ์ที่หุนหันพลันแล่น ไวต่อสิ่งเร้า มีการกินการนอนที่ไม่เป็นเวลา ซึ่งตรงนี้แต่ละคนก็จะมีพื้นฐานทางด้านอารมณ์ของตัวเองอยู่

        Good to know นักวิจัยระบุว่า เด็กดื้อ มีพฤติกรรมก้าวร้าว ชอบสร้างปัญหา เพราะเกิดมาเป็นแบบนั้น หรือกล่าวในเชิงวิทยาศาสตร์ได้ว่า พฤติกรรมที่เป็นปัญหาฝังติดมากับดีเอ็นเอของเด็ก โดยนักวิจัยพบยีน monoamine oxidase A ที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมต่อต้านสังคม

        ยีนดังกล่าวมีผลอย่างมากกับพฤติกรรมของเด็ก กล่าวคือ หากยีนตัวนี้อ่อนแอ และเด็กถูกล่วงละเมิดหรือถูกปลูกฝังให้ต่อต้านสังคม มีความเป็นไปได้มากที่เด็กคนนั้นจะแสดงลักษณะนิสัยดังกล่าวออกมา แต่ถ้ายีนตัวนี้แข็งแรง เด็กจะมีแนวโน้มน้อยลงที่จะแสดงพฤติกรรมขวางโลก ไม่ว่าสภาพแวดล้อมจะเป็นอย่างไรก็ตาม

        อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ “เด็กดื้อ” จิตแพทย์ท่านนี้บอกว่า เป็นเรื่องของวัย เพราะโดยปกติแล้ว ในช่วง 1-3 ปี เด็กจะมีความเป็นตัวของตัวเองสูง เมื่อเขาสามารถก้าวเดินได้ เป็นธรรมดาที่จะต้องอยากทำนู้นทำนี่ สำรวจไปทั่ว เพราะเขายังไม่เข้าใจอย่างแท้จริงว่าสิ่งแวดล้อมที่เขาเห็นอยู่นั้นคืออะไร และเด็กๆในวัยนี้มักจะคิดว่าตัวเองสำคัญที่สุด ถ้าหากว่าพ่อแม่ผู้ปกครองจัดการไม่ถูกต้อง อาจจะส่งผลทำให้เด็กดื้อต่อเนื่องยาวนานถึงระดับอนุบาลหรือประถมศึกษาได้

        Must readใช้จิตวิทยาในการเลี้ยงเด็กดื้อ เอาใจตัวเอง
        Must readรับมือเจ้าหนูจำไมจอมดื้อ วัย 3-5 ขวบ
        Must readลูกดื้อเหลือเกิน ทำไงดี

        ทั้งนี้กุมารแพทย์ด้านพัฒนาการและพฤติกรรม ระบุว่า สาเหตุที่ทำให้เด็กดื้อและซนมีได้หลายสาเหตุ

        1. ช่วงตั้งครรภ์ พบว่า เด็กที่มารดาสูบบุหรี่และ/หรือดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงตั้งครรภ์ รวมทั้งเด็กเล็กที่สัมผัสหรืออยู่ใกล้ผู้ที่สูบบุหรี่ มีโอกาสแสดงปัญหาซน  ดื้อ สมาธิสั้นได้มากกว่าเด็กที่มารดาไม่สูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์ หรือไม่ได้อยู่ใกล้ผู้สูบบุหรี่
        2.  วัยเด็กเล็ก มีหลักฐานยืนยันว่าหากเด็กจ้องมองหรือดูทีวี หรือเล่นคอมพิวเตอร์ ตั้งแต่เล็กๆ (ก่อน 2 ขวบ)  หรือเล่นเกิน 1 ชั่วโมง (อายุ 2 – 5 ขวบ) หรือ 2 ชั่วโมง (อายุมากกว่า 5 ขวบ) มีโอกาสเกิดปัญหาซน ดื้อและสมาธิสั้นได้
        3. พัฒนาการตามวัย เด็กเล็กกระหายที่จะเรียนรู้ตามวัย ตามธรรมชาติ เช่น เด็กบางคนพอเริ่มคลานก็จะซนแล้ว จริงๆ คิดว่าเขาอยากจะฝึกทักษะทางร่างกายที่เขาได้พัฒนาขึ้นมา ถ้าเขาเริ่มยืน เดินได้ เขาก็จะเริ่มซนในเรื่องเดิน มันก็สนุกและท้าทายที่เขาเริ่มทำได้ แล้วก็อาจจะเริ่มไปค้น ไปคุ้ย ไปรื้อ เพราะเมื่อก่อนอาจจะได้แต่นั่งนิ่งๆ เพราะไม่รู้ว่าคืออะไร ไปเองก็ไม่ได้ จับก็ไม่ได้ จะให้คนอื่นพาไปก็ยังสื่อสารไม่รู้เรื่อง พอเดินได้ก็อยากไปดู แต่จริงๆ มันก็ตรงกับวัยที่เขาจะต้องสำรวจโลก แล้วก็ลงมือทำ โดยจะเริ่มในช่วง 1 ขวบกว่าๆ พอเริ่มเก่งขึ้นก็อาจจะเริ่มเล่นสมมุติ เป็นเรื่องเป็นราวมากขึ้น
        4. ปัญหากล้ามเนื้อ จากการอุ้มผิดท่า ท่านอนหรือนั่งที่ไม่เหมาะสม หรือเท้าแบนเกินไป ขาดการเคลื่อนไหวหรือออกแรงที่เหมาะสม ทำให้เด็กทรงท่าให้อยู่นิ่งไม่ได้ นั่ง หรือยืนนานๆ ไม่ได้ ต้องยุกยิกหรือขยับตัวตลอด แบบนี้เขาเรียกว่าซนแบบมีปัญหา ควบคุมร่างกายตัวเองให้นิ่งเพื่อที่จะทำกิจกรรมไม่ได้
        5. ปัญหาการเรียนรู้ผ่านระบบประสาทสัมผัส ส่งผลให้เด็กแสดงพฤติกรรมซน อยู่ไม่นิ่งหรือสมาธิสั้นได้ ซึ่งต้องได้รับการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญ
        6. ปัญหาการเลี้ยงดู ที่ขาดวินัย และความสม่ำเสมอ
        7. ปัญหาสุขภาพของเด็ก เช่น นอนกรน นอนน้อย เป็นโรคบางชนิด หรือกินยาบางชนิด
        8. เป็นโรคซน สมาธิสั้น

        อ่านต่อ >> “7 เหตุผลดีๆ ของการมีลูกดื้อ” คลิกหน้า 2

        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

         

          โรคเฮอร์แปงไจน่า

          โรคเฮอร์แปงไจน่า พ่อแม่ต้องระวังหากลูกชอบเอามือเข้าปาก

          โรคเฮอร์แปงไจน่า โรคระบาดที่ทุกคนควรรู้จัก แม้อาจเป็นชื่อที่ไม่ค่อยคุ้นหูสักเท่าไหร่นัก แต่หากติดทั้งอันตรายทั้งทรมาน ปัองกันไว้ดีกว่า สำหรับเฮอร์แปงไจน่ามักจะแทรกซ้อนขึ้นมาในช่วงที่มีโรค มือ เท้า ปาก ทีมงาน Amarin Baby & Kids จะพาไปให้รู้จักับ โรคเฮอร์แปงไจน่า ว่าแท้จริงแล้วโรคนี้มีอาการอย่างไร?

          โรคเฮอร์แปงไจน่า พ่อแม่ต้องระวังหากลูกชอบเอามือเข้าปาก!!

          โรคระบาดมีมากมายให้พ่อแม่ต้องคอยกังวล และห่วงลูกน้อย ว่าลูกจะติดเมื่อไหร่ มีความเสี่ยงไหม ติดแล้วต้องระวังอะไร ซึ่งก็นับว่าเป็นเรื่องจำเป็นจริง ๆ สำหรับคนเป็นพ่อเป็นแม่อย่างเราๆ  วันนี้จึงได้นำความรู้ เรื่องราวของ โรคเฮอร์แปงไจน่า อีกหนึ่งโรคระบาดที่อันตราย และต้องเฝ้าระวัง หากเป็นไปได้ป้องกันไม่ให้ลูกติดเชื้อจะดีที่สุด

          โรคเฮอร์แปงไจน่า สาเหตุของโรคมาจากอะไร?  

          เฮอร์แปงไจน่า (Herpangina) หรือโรคตุ่มแผลในปากเด็ก เป็นโรคในกลุ่มเดียวกับโรคมือ เท้า ปาก เป็นโรคติดต่อจากเชื้อไวรัสที่สามารถแพร่กระจายสู่อากาศได้ เป็นโรคติดต่อจากการคลุกคลีกับผู้ป่วย จากน้ำลาย ละอองน้ำมูก น้ำลายจากการไอ จาม จากอุจจาระ และจากมือ เข้าสู่ปาก ทั้งนี้ผู้ป่วยจะมีอาการหลังได้รับเชื้อประมาณ 4-14 วัน (ระยะฟักตัวของโรค) ซึ่งผู้ป่วยที่ติดเชื้อจะแพร่เชื้อได้ตั้งแต่วันแรกที่ติดเชื้อ ไปจนกว่าจะหายจากโรค คือ ประมาณ 1-2 สัปดาห์นับจากติดเชื้อ ดังนั้นหากเด็กที่เป็นโรคเฮอร์แปงไจน่า ไอ หรือจาม โดยไม่ปิดปาก เด็กๆ ที่อยู่รอบข้างก็อาจติดเชื้อได้ง่ายๆ เลยค่ะ

          Good to know…โรคเฮอร์แปงไจนา มักระบาดในช่วงฤดูร้อน และพบบ่อยในเด็กอายุ 3 ถึง 10 ปี เด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงพบเท่าๆ กัน

          โรคเฮอร์แปงไจน่า มีอาการของโรคอย่างไร?

          สำหรับอาการของเฮอแปงไจน่า จะคล้ายกับโรคมือ เท้า ปาก ซึ่งคุณแม่สามารถสังเกตอาการที่เกิดขึ้นกับลูกๆ ได้ดังนี้

          เด็กๆ ที่ป่วยด้วยโรคเฮอร์แปงไจน่า อาจจะมีไข้สูงเฉียบพลันได้ ที่อาการไข้อาจสูงถึง 41 องศาเซลเซียส มีอาการร่วม คือ เจ็บคอ คอแดง ปวดศีรษะ ปวดตามตัว อาจมีอาเจียน

          • อาการเด่น คือ จะมีอาการเจ็บบริเวณเพดานปากและคอนำมาก่อน ต่อมา (ภายใน 1 วัน) จะมีจุดแดงๆ บริเวณเพดานอ่อน ลิ้นไก่ และอาจมีตุ่มแดงที่ทอนซิล หรือบริเวณในลำคอด้วยก็ได้ ภายใน 24 ชั่วโมง จุดแดงๆ จะกลายเป็นตุ่มแดงขนาดเริ่มต้น 1-2 มิลลิเมตร แล้วกลาย เป็นตุ่มน้ำขนาด 2-4 มิลลิเมตร อาจเป็นแผลเล็กๆตรงกลางตุ่มน้ำนั้น หรืออาจมีการอักเสบรอบ ๆแผลได้ แผลอาจใหญ่ได้ถึง 10 มิลลิเมตร ส่วนใหญ่ตุ่มน้ำมีจำนวนไม่มาก มักไม่เกิน 6 ตุ่ม แต่ก็อาจพบมากกว่า 15 ตุ่มได้ ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บปวดที่ตุ่มและแผลพอประมาณ อย่างไรก็ตาม ไข้จะลดลงภายใน 2-4 วัน แต่แผลอาจคงอยู่ประมาณ 1 สัปดาห์ สำหรับโรคเฮอร์แปงไจน่าจะมีอาการที่เกิดขึ้นกับเฉพาะในช่องปากเท่านั้น
          เด็กวัยเข้าเรียน มือสัมผัสเชื้อนำเข้าร่างกายทางตา ปาก
          เด็กวัยเข้าเรียน มือสัมผัสเชื้อนำเข้าร่างกายทางตา ปาก

          Must Read >> สิ่งที่พ่อแม่ควรรู้ เพื่อรับมือกับ ‘โรคมือเท้าปาก’

           

          เมื่อลูกป่วยด้วยโรคเฮอร์แปงไจนา ควรดูแลรักษาอย่างไร?

          • ถึงจะเป็นโรคที่ไม่ได้รุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต แต่ก็ยังไม่มียาที่สามารถกำจัดไวรัสชนิดนี้ได้โดยตรง วิธีรักษาจึงเป็นการดูแลผู้ป่วยตามอาการ เช่น ให้ยาลดไข้ แก้ปวด หรือหยดยาชาภายปาก เพื่อช่วยลดอาการเจ็บแผลในปาก เป็นต้น ซึ่งโดยทั่วไปผู้ป่วยก็จะสามารถค่อยๆ ฟื้นตัวได้เอง
          • การให้ยาชากลั้วปาก อาจช่วยในเด็กโตบางคน แต่ส่วนใหญ่ในการดูแลผู้ป่วยเด็กเล็ก แนะนำให้กินน้ำเย็น นมแช่เย็น หรือไอศกรีม (ทำจากนมแม่แช่เย็นเองเพราะบางทีที่ซื้อไม่สะ อาด เด็กอาจเกิดท้องเสียได้) ผู้ป่วยมักกินได้ดี เนื่องจากความเย็นทำให้ชา ไม่เจ็บเวลากลืน และจะพบอาการ/ภาวะขาดน้ำ ขาดอาหารไม่มาก
          • ควรทานอาหารอ่อนๆ เคี้ยวง่าย ย่อยง่าย รสไม่จัด และดื่มน้ำสะอาดมากๆ เพื่อช่วยลดไข้ ลดอาการขาดน้ำ และย่อยอาหารได้ง่ายขึ้นค่ะ รวมทั้งควรหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำผลไม้ซึ่งมีฤทธิ์เป็นกรด จะทำให้มีอาการเจ็บแสบบริเวณแผลมากขึ้น
          • แต่หากลูกมีอาการรุนแรง คือ ไข้สูงลอย กินอาหารไม่ได้ มีอาการขาดน้ำ เช่น ปากแห้ง ตาโหล ปัสสาวะออกน้อยและมีสีเข้มผิดปกติ ควรรีบไปพบคุณหมอ เพื่อรับการตรวจรักษาแยกจากโรคอื่นๆ เช่น โรคมือเท้าปาก หรือการติดเชื้อแบคทีเรียในลำคอ

           

          herpangina-1

          อ่านต่อ>> สิ่งที่พ่อแม่ต้องระวัง และ 6 วิธีป้องกันโรคเฮอร์แปงไจน่า คลิกหน้า 2

           

          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

           

            เตือนพ่อแม่ ระวังลูกติดยาเสพติดคล้ายผงบ๊วย

            มีข่าวเมื่อหลายปีก่อนที่มีตำรวจรวบตัวคนร้ายที่ขนยาบ้านับหมื่นเม็ด ซึ่งตรวจพบว่าเป็นยาบ้ารุ่นใหม่ เพราะมีการเพิ่มสารแต่งกลิ่น และรสชาติเพื่อหลอกล่อลูกค้าใหม่ โดยคนร้ายมี ยาบ้ารสบ๊วย ซุกซ่อนเอาไว้ใต้เบาะคนขับ จำนวน 10,000 เม็ด และยังมีรสอื่นๆ เช่น วนิลา ช็อกโกแลต

            Continue reading “เตือนพ่อแม่ ระวังลูกติดยาเสพติดคล้ายผงบ๊วย”

              เล่นบันไดเลื่อน

              อุทาหรณ์ อย่าปล่อยลูกเล่นบันไดเลื่อนลำพัง

              คลิปวิดีโอจากกล้องวงจรปิดของห้างสรรพสินค้าในประเทศจีน ได้บันทึกภาพเหตุการณ์สะเทือนขวัญเอาไว้ได้ เมื่อเด็กชายวัย 2 ขวบ วิ่งเล่นตามเด็กชายอีกคนที่อายุมากกว่า เด็กชายคนโตลงบันไดเลื่อนไปชั้นล่าง เด็กชายอีกคนวิ่งตามมา เล่นบันไดเลื่อน ตามลำพัง จนเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น

              Continue reading “อุทาหรณ์ อย่าปล่อยลูกเล่นบันไดเลื่อนลำพัง”

                อานิสงส์การดูแลพ่อแม่ 12 ประการ ที่ลูกกตัญญูจะได้รับ!

                อานิสงส์การดูแลพ่อแม่ ก่อเกิดผลบุญมากมายมหาศาลเจริญก้าวหน้าตลอดชีวิต …พระพุทธองค์ตรัสว่า ถ้าบุตรจะพึงวางบิดามารดาไว้บนบ่าสองข้างของตน ประคับประคองท่านให้อยู่บนบ่านั้น ป้อนข้าวป้อนน้ำให้ท่าน ถ่ายอุจจาระปัสสาวะบนบ่านั้นเสร็จ แม้บุตรจะมีอายุถึง ๑๐๐ ปี และปรนนิบัติท่านเช่นนั้นตลอดชีวิต ก็ยังนับว่าตอบแทนบุญคุณท่านยังไม่หมด… Continue reading “อานิสงส์การดูแลพ่อแม่ 12 ประการ ที่ลูกกตัญญูจะได้รับ!”

                  อุทาหรณ์ ปล่อยลูกน้อยเล่นกันเองเกือบตาบอด

                  เรื่องราวนี้เป็นอุทาหรณ์เตือนใจให้คุณพ่อ คุณแม่ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะคุณพ่อ คุณแม่ที่มีลูกเล็ก เมื่อมีการรายงานอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในมณฑลกุ้ยโจว ประเทศจีน มีเด็กหญิงวัย 6 ขวบคนหนึ่ง ถูกพี่ชายวัย 7 ขวบ ปาลูกดอกปักเข้าไปที่หัวคิ้ว ระหว่างที่เล่นกันตามลำพัง เกือบตาบอด

                  Continue reading “อุทาหรณ์ ปล่อยลูกน้อยเล่นกันเองเกือบตาบอด”

                    เมื่อป่วยไทรอยด์เป็นพิษ…ตอนท้อง

                    ไทรอยด์เป็นพิษตอนท้อง เกิดจาก ระดับฮอร์โมนไทรอยด์สูงผิดปกติ ทําให้การทํางานของระบบเผาผลาญในร่างกายเสียสมดุล ส่งผลให้เกิดอาการต่างๆ เช่น มือสั่น ใจสั่น คอโตหรือคอพอก มีปัญหาน้ำหนักตัวผิดปกติ เหงื่อออกง่าย  และอาจมีกล้ามเนื้ออ่อนแรง

                    ไทรอยด์เป็นพิษตอนท้อง

                    ซึ่งแม้อาการทั้งหมดอาจฟังดูน่ากลัวแต่สูติแพทย์ผู้เชี่ยวชาญยืนยันว่าผู้หญิงที่ป่วยด้วยโรคไทรอยด์เป็นพิษ ก็สามารถตั้งครรภ์และแข็งแรงปลอดภัย ได้ทุกไตรมาส เพียงแค่ปรึกษาแพทย์และ ควบคุมโรคให้สงบก่อนที่จะเริ่มตั้งครรภ์ จากนั้นเฝ้าระวังทุกไตรมาสอย่างใกล้ชิด ทั้งคุณแม่และลูกน้อยก็แข็งแรงได้ไม่ยากค่ะ

                    แม่ท้อง ไทรอยด์เป็นพิษ ปรับยาให้พอดี ตั้งแต่ไตรมาสแรก

                    วิธีที่หมอใช้ควบคุมโรค ไทรอยด์เป็นพิษให้สงบในระหว่างตั้งครรภ์คือ การเลือกใช้ยาที่ปลอดภัยและปรับปริมาณยาให้เพียงพอต่อการควบคุมโรคของคุณแม่และไม่เป็นอันตรายต่อลูกในท้อง โดยยาที่หมอใช้รักษาไทรอยด์เป็นพิษตอนท้อง โดยหลักแล้วจะมีอยู่ 2 ตัว คือ พีทียูและเมทิมาโซลค่ะ

                    • พีทียู (PTU)

                    เป็นยาหลักที่หมอเลือกใช้กับแม่ท้อง เนื่องจากปริมาณที่ยาพีทียูจะผ่านรกได้มีน้อยกว่ายาเมทิมาโซล หมอก็คาดหวังว่าจะมีผลแทรกซ้อนต่อทารกน้อยตามไปด้วย แต่หากคุณแม่จําเป็นต้องใช้ขณะตั้งครรภ์

                    ปริมาณยาสูงเพื่อควบคุมโรคก็มีความเสี่ยงที่ยาจะผ่านรกไปกดไทรอยด์ของลูกและมีผลให้ตับของคุณแม่ทํางานผิดปกติได้ จึงต้องมีการติดตามอย่างใกล้ชิดจากการตรวจเลือดของคุณแม่เป็นระยะค่ะ”

                    • เมทิมาโซล (Methimazole)

                    จากการศึกษาพบว่า ยาตัวนี้มีความเสี่ยงต่อการเกิดความพิการแต่กําเนิดบางชนิดกับทารกในครรภ์ได้ เช่น หลอดอาหารผิดปกติ อาการผิดปกติทางผิวหนังบางอย่าง หมอจึงไม่นิยมใช้ยาตัวนี้กับแม่ตั้งครรภ์

                    ไทรอยด์เป็นพิษตอนท้อง

                    ฝากครรภ์ยิ่งเร็วยิ่งดี

                    คุณหมอแนะนําว่าคุณแม่ที่ป่วยไทรอยด์เป็นพิษควรฝากครรภ์เร็วกว่าแม่ตั้งครรภ์ทั่วไป เพราะสูตินรีแพทย์ต้องดูแลความปลอดภัยขณะตั้งครรภ์ ขณะที่คุณหมออายุรกรรมก็ต้องช่วยควบคุมโรคให้สงบตลอดทุกไตรมาส หมอจึงต้องคอย     ตรวจครรภ์ของคุณแม่อย่างสม่ำเสมอและเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้

                    จากความเปลี่ยนแปลงตัวโรค เพราะถึงแม้ว่าก่อนตั้งครรภ์คุณหมอจะยืนยันว่าโรคสงบลงแล้วแต่บางครั้งอาการก็แย่ลงได้ นอกจากนี้ในช่วงไตรมาสแรกผลของฮอร์โมนจากการตั้งครรภ์ร่วมกับภาวะไทรอยด์เป็นพิษอาจทําให้ไทรอยด์เป็นพิษ แสดงอาการมากขึ้นหรือมีอาการแพ้ท้องแบบรุนแรงได้ค่ะ

                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                     

                    แพ้ท้อง ต้องระวัง

                    อาการแพ้ท้องอย่างรุนแรงบางครั้งเป็นอีกสัญญาณเตือนไทรอยด์เป็นพิษแอบแฝงหรือชั่วคราวได้

                    เพราะคุณแม่ตั้งครรภ์ที่ป่วยด้วยไทรอยด์เป็นพิษมักจะมีอาการแพ้ท้องรุนแรงกว่าคุณแม่ทั่วไป ที่ต้องระวังคืออาการแพ้ท้องอย่างรุนแรงอาจเป็นสัญญาณเตือนของภาวะรกผิดปกติ ท้องลูกแฝด หรือเป็นมะเร็งเนื้อรกได้

                    ดังนั้นหากคิดว่าอาการแพ้ท้องรุนแรงกว่าปกติคุณแม่ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุค่ะ

                    ติดตามกันต่อ ไทรอยด์เป็นพิษในไตรมาสสอง คลิกหน้า 2

                      ถูกหลอกขึ้นรถ

                      3 เด็กน้อย ถูกหลอกขึ้นรถลักพาตัว-หวังข่มขืน

                      เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มีการรายงานข่าวว่า เมื่อเวลา 17.45 น. แถวจังหวัดปทุมธานี มีการรับแจ้งจากชาวบ้านว่า พบเด็ก 3 คนวิ่งมาขอความช่วยเหลือว่า ถูกหลอกขึ้นรถ ลักพาตัวมา บริเวณซอยรังสิต-นครนายก เป็นเด็กหญิง 10 ขวบ, 7 ขวบ และเด็กชาย 6 ขวบ ซึ่งตื่นตกใจกลัว

                      Continue reading “3 เด็กน้อย ถูกหลอกขึ้นรถลักพาตัว-หวังข่มขืน”

                        ตั้งครรภ์ 5-6 สัปดาห์ และพัฒนาการทารกในครรภ์

                        หลังจากสัปดาห์ก่อน พัฒนาการ การตั้งครรภ์ ตั้งแต่เกิดการปฎิสนธิจนถึง 4 สัปดาห์  คุณแม่หลายคนอาจยังอยู่ในภาวะยังไม่แน่ใจ หรือยังไม่รู้ตัวได้ว่ากำลังตั้งครรภ์อยู่ แต่ พัฒนาการ การตั้งครรภ์ 5-6 สัปดาห์ ช่วงนี้จะเริ่มมีสัญญาณบ่งบอกที่ชัดเจนขึ้น จนรู้สึกเอะใจว่าคราวนี้สงสัยจะท้องชัวร์แน่ๆ แต่จะมีสัญญาณอะไร และพัฒนาการทารกในครรภ์อย่างไรบ้าง มาสำรวจกันค่ะ

                        พัฒนาการ การตั้งครรภ์ 5-6 สัปดาห์

                        พัฒนาการ การตั้งครรภ์ 5-6 สัปดาห์

                        อาการคนท้อง 5-6 สัปดาห์

                        เหนื่อยล้า จู่ๆ ก็มีอาการเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ อ่อนเพลียหรือหมดแรงง่าย ง่วงนอนตลอดเวลา

                        คลื่นไส้ ส่วนมากมักจะมีอาการนี้เมื่อเข้าสู่สัปดาห์ที่ 6 ของการตั้งครรภ์ แต่ก็มีไม่น้อยทีเดียวที่มีอาการก่อน โชคร้ายหน่อยอาจคลื่นไส้ทั้งเช้า กลางวัน แต่บางคนก็โชคดีที่ไม่มีอาการนี้เลยจนคลอด

                        ปัสสาวะบ่อย เดี๋ยวก็ต้องลุกเข้าห้องน้ำอีกแล้ว ทั้งที่เพิ่งปัสสาวะไปเมื่อกี้นี้ หรือต้องลุกเข้าห้องน้ำทั้งคืนจนไม่ได้หลับได้นอน

                        วิงเวียน หน้ามืดง่าย อาจรู้สึกวิงเวียนศีรษะบ่อยๆ อย่างไม่มีสาเหตุ บางครั้งก็รู้สึกหน้ามืดร่วมด้วย

                        จมูกไว พักนี้รู้สึกเหมือนเป็นยอดมนุษย์ ได้กลิ่นอะไรต่อมิอะไรไวไปหมด แถมกลิ่นที่เคยชอบกลับชวนให้เวียนหัว เช่น น้ำหอม ดอกไม้ สบู่ แป้ง หรือแม้กระทั่งกลิ่นสามี

                        เจ็บหน้าอก รู้สึกเจ็บหน้าอกตลอดเวลา แถมอ่อนไหวง่าย โดนนิดหน่อยก็เจ็บแปลบทันที หน้าอกมีขนาดใหญ่และหนักขึ้น หรือหัวนมมีสีเข้มขึ้น

                        อยากอาหาร เริ่มอยากกินโน่นนี่ กินเท่าไรก็ไม่อิ่ม อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

                        อารมณ์แปรปรวน รู้สึกหงุดหงิดง่าย ใครทำอะไรก็ขวางหูขวางตา หรือเหวี่ยงวีนขึ้นมาจนบางทีตัวเองก็ตกใจ มีสาเหตุมาจากฮอร์โมนที่เพิ่มขึ้นและความรู้สึกที่สับสนปะกันกัน ระหว่างความสุข ความตื่นเต้นหรือกังวลต่างๆ คุณแม่จึงควรพยายามพักผ่อนให้มาก ไม่เครียด ทำจิตใจให้ผ่อนคลาย เพราะหากคุณแม่เครียดกังวลร่างกายเหนื่อยล้า จะทำให้เกิดอาการแพ้ท้องได้มากยิ่งขึ้น

                        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                         

                        อ่านต่อ การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของแม่ท้องสัปดาห์ที่ 3-4 คลิกหน้า 2

                          ตั้งครรภ์ 3-4 สัปดาห์ และพัฒนาการทารกในครรภ์

                          เข้าสู่สัปดาห์ที่ 3 แล้ว หากพัฒนาการการตั้งครรภ์ในสัปดาห์ก่อน ไข่และสเปิร์มมาเจอกัน และมีตัวอ่อนเป็นลูกน้อยเรียบร้อยแล้ว พัฒนาการ การตั้งครรภ์ 3-4 สัปดาห์ และพัฒนาการทารกในครรภ์ช่วงนี้ก็จะเริ่มเข้าสู่การฝังตัวในมดลูก และเตรียมตัวนับถอยหลังอีก 9 เดือน คุณแม่ก็จะเจอหน้าลูกน้อยแล้ว

                          พัฒนาการ การตั้งครรภ์ 3-4 สัปดาห์

                          พัฒนาการ การตั้งครรภ์ 3-4

                          สัญญาณแรกของการตั้งครรถ์

                          ในสัปดาห์นี้หากคุณแม่คนไหนยังไม่รู้ว่าตัวเองตั้งครรภ์ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกค่ะ เพราะในช่วงสัปดาห์ต้นๆ แบบนี้ สัญญาณที่บ่งบอกมีน้อยมากหรือแทบไม่มีเลย ยิ่งใครที่ประจำเดือนมาไม่ปกติอยู่แล้ว ก็ยิ่งเอะใจยากหน่อย แต่สำหรับคุณแม่ที่วางแผนไว้ อาจเตรียมซื้อที่ตรวจครรภ์ไว้ได้เลย โดยสิ่งที่ทำให้ผลตรวจครรภ์เป็น 2 ขีดก็คือ ฮอร์โมนเอชซีจี (hCG) หรือ Human Chorionic Gonadotropin ซึ่งถือเป็นสัญญาณแรกของการตั้งครรภ์

                          ฮอร์โมนเอชซีจีจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อไข่ที่ได้รับการผสมแล้วไปฝังตัวที่ผนังมดลูก โดยเซลล์ส่วนที่จะพัฒนาเป็นรกทำหน้าที่เป็นผู้ผลิต เพื่อบอกร่างกายของคุณแม่ให้หยุดผลิตไข่ เพราะได้มีสิ่งมีชีวิตถือกำเนิดแล้ว ฮอร์โมนนี้จะไปปรากฏอยู่ในเลือดและปัสสาวะ ดังนั้นเมื่อคุณแม่ทำการทดสอบการตั้งครรภ์ ผลจึงออกมาเป็นบวก หรือขึ้น 2 ขีดนั่นเอง

                          อีกสัญญาณการตั้งครรภ์หนึ่งที่คุณแม่บางคนอาจพบได้ แต่ก็น้อยมาก นั่นคือ เลือดล้างหน้าเด็ก (Implantation Spotting) ชื่อฟังดูน่ากลัว แต่ไม่ใช่เรื่องน่าวิตก เพราะเป็นเรื่องปกติของกลไกในร่างกาย เกิดจากตัวอ่อนไปฝังตัวในผนังมดลูกจึงทำให้มีเลือดออก ลักษณะของเลือดคือ มีสีแดงจางๆ สีน้ำตาล หรือมูกสีชมพูออกทางช่องคลอดเล็กน้อย เรียกว่าออกน้อยมาก จนบางคนต้องใช้ทิชชู่เช็ดจึงจะรู้ว่ามี บางคนออกมาแค่ครั้งเดียวก็หายไปเลย แต่บางคนอาจเป็นนานสองวัน แต่เลือดจะไม่ออกต่อเนื่องเหมือนประจำเดือน รวมทั้งไม่มีอาการปวดท้องร่วมด้วย

                          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                           

                          อ่านต่อ เรื่องการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายของแม่ท้อง คลิกหน้า 2

                            ประสบการณ์จริง! พ่อจน แนะเคล็ด (ไม่) ลับ สอนลูกเรียนเก่ง

                            พ่อจนสอนลูกเรียนเก่ง ได้ …สำหรับบ้านไหนที่มีลูกอยู่ในช่วงวัยเรียน คงมีพ่อแม่จำนวนมากที่กำลังคิดหรือมองหาวิธีว่า ทำอย่างไรให้ลูกเรียนเก่ง หรือหาวิธีสอนลูกให้เรียนเก่งขึ้น แต่เมื่อเห็นสถิติที่พ่อแม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในส่งลูกๆ ไปเรียนกวดวิชาอย่างต่ำก็เดือนละ 3,000 บาทต่อคน หรือสูงสุดถึง 80,000 บาทต่อปี ซึ่งเห็นจำนวนเงินแล้วก็น่าเหนื่อยแทน

                            แล้วหากครอบครัวที่มีรายได้น้อย แต่อยากให้ลูกเรียนเก่ง จะทำได้อย่างไร?พ่อจนสอนลูกเรียนเก่ง

                            ซึ่งการที่เด็กจะเรียนเก่งขึ้นได้นั้น พ่อแม่ควรเลือกและสร้างแนวทางการเรียนที่เหมาะสม ที่จะเป็นไปได้ทั้งในและนอกห้องเรียน โดยเริ่มฝึกแนวทางที่ดีให้กับลูก ตั้งแต่ระดับชั้นประถมต้น พอโตขึ้นให้เด็กยึดแนวทาง นำไปใช้ต่อไป เรื่อยๆในระดับที่สูงขึ้นไป ตั้งแต่ระดับประถมปลาย มัธยมต้น มัธยมปลาย ไปจนถึงระดับมหาวิทยาลัย

                            Amarin Baby & Kids จึงขอเสนอแนวทาง การสอนลูก จาก ฮันฮีซ็อก (Han Hee-Seok) คุณพ่อแดนกิมจิ เจ้าของหนังสือที่บรรจุเคล็ดลับดีๆ เรื่อง “พ่อจนสอนลูกเรียนเก่ง” ให้เรียนรู้วิธีการง่ายๆ ที่เริ่มจากตัวพ่อแม่มาฝากกัน

                            โดย ฮันฮีซ็อก ยอดคุณพ่อคนนี้ มีภรรยา 1 ลูก 3 เขาเป็นนักเขียนนิยายอิสระ มีรายได้ไม่แน่นอน บางครั้งก็ต้องรับเหมาก่อสร้างงานไม้ งานอิฐ แต่ก็ฮึดสู้ หาวิธีฝึกสอนลูกให้มุ่งมั่นในการเรียนอย่างมีระบบ แบบไม่ต้องพึ่งโรงเรียนกวดวิชา เพราะไม่มีเงิน

                            Must readเปิดใจพนักงานเก็บขยะ ปลื้ม!ลูกสวมครุยกราบเท้า

                            ซึ่งคุณพ่อฮันฮีซ็อก ก็สามารถทำได้จริงมาแล้วในตลอด 10 ปี กับการพยายามเป็น “โค้ชการเรียนของลูก” จนกระทรวงศึกษาธิการเกาหลีมอบรางวัล “ต้นแบบการฝึกสอนลูกให้เก่งโดยไม่ต้องเรียนกวดวิชา” ด้วยผลลัพธ์ที่ดีเหลือเชื่อ คือ จากลูกสาวที่เคย ได้อันดับการเรียน “เกือบที่โหล่” จนกลายเป็น “ที่ 1” ของโรงเรียนติดต่อกันตั้งแต่ ม.3-ม.6 และสอบเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำของรัฐติด แบบไม่เสียเงินกวดวิชาสักบาทเดียว

                            มาดูเคล็ดไม่ลับของสุดยอดโค้ชคุณพ่อฮันฮีซ็อก กันค่ะว่า จะมีวิธีการสอนลูกให้เรียนเก่งขึ้นได้อย่างไร โดยไม่ต้องพึ่งโรงเรียนกวดวิชาให้เสียเงิน

                            9 เคล็ดไม่ลับ ของสุดยอดโค้ช พ่อจนสอนลูกเรียนเก่ง

                            1. ทำตัวกลมกลืนกับลูกๆ พูดภาษาเดียวกัน กินเหมือนกัน ให้ลูกๆเชื่อใจว่าเป็นพวกเดียวกัน ฉะนั้นเมื่อเราสอนเราพูดอะไร ลูกๆจะเชื่อฟังเราอย่างดี อีกทั้งเรียนรู้รสนิยม พฤติกรรม การพูดจาของลูกและเพื่อน ๆ ไว้บ้างเพื่อไม่ให้เกิดช่องว่างในครอบครัว

                            2. พาลูกไปเปิดหูเปิดตา เข้าชมนิทรรศการหรือกิจกรรมฟรีๆ เช่น งานแสดงภาพวาด นิทรรศการศิลปะต่างๆ ละครเวที งานแสดงดนตรี ของนักศึกษามหาวิทยาลัยที่มักจะให้เข้าชมฟรี เป็นต้น สิ่งเหล่านี้จะช่วยสร้างประสบการณ์ทางศิลปะพัฒนาสมองและจิตใจลูกๆ ทำให้มีวิสัยทัศน์กว้างไกล และเข้าใจสิ่งต่างๆ มากขึ้น

                            Must read7 ที่เที่ยวเสริมพัฒนาการ ไม่เกิน 100 บาท! เพื่อลูกน้อย

                            3. ตัดบทความจากหนังสือพิมพ์ เลือกคอลัมน์ที่เหมาะสมกับลูก ผู้เขียนแสดงทัศนะคติชัดเจน เป็นบทความสั้น ๆ อ่านจบภายใน5 นาที วันละ 1 บทความ ให้ลูกอ่านเป็นประจำช่วยสร้างมุมมองความคิดใหม่ๆ เข้าใจเหตุการณ์บนโลกอย่างลึกซึ้ง และสร้างกระบวนการคิดอย่างเป็นระบบและมีเหตุมีผล

                            4. เมื่อเด็กอ่านบทความจากหนังสือพิมพ์บ่อย ๆ จะทำให้รู้เรื่องรอบตัวมากขึ้น คุณพ่อคุณแม่ควรหาเรื่องรอบๆตัวมาอภิปรายร่วมกับลูก เพื่อให้ทราบทัศนคติของลูก อีกทั้งช่วยสร้างเสริมให้ลูกรู้จักคิดและใช้เหตุผล

                            5. ให้ลูกๆ ดูโทรทัศน์ได้เมื่อถึงวัยที่เหมาะสม แต่ควรวางแผนอย่างเหมาะสม ควรเลือกให้ดูเฉพาะรายการที่มีประโยชน์ เช่น สารคดี เป็นการเปิดโลกทัศน์ให้กับลูกๆ

                            อ่านต่อ >> “9 เคล็ดไม่ลับ พ่อจนสอนลูกเรียนเก่งได้” คลิกหน้า 2

                            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                             

                              ตั้งครรภ์ 1-2 สัปดาห์ และพัฒนาการทารกในครรภ์

                              หลังจากที่เตรียมตัวตั้งครรภ์กันมานาน คราวนี้สมใจแล้ว ก็เริ่มมาดูกันสิว่า ในช่วงเริ่มแรกของ พัฒนาการ การตั้งครรภ์ 1-2 สัปดาห์ ภายในท้องของคุณแม่มีอะไรเกิดขึ้นกันบ้าง

                              พัฒนาการ การตั้งครรภ์ 1-2 สัปดาห์

                              พัฒนาการ การตั้งครรภ์ 1-2 สัปดาห์

                              ในช่วง ตั้งครรภ์ 1-2 สัปดาห์แรก เกิดขึ้นจากไข่ของคุณแม่ผสมเข้ากับเชื้ออสุจิของคุณพ่อ จากนั้นก็จะไปฝังตัวที่เยื่อบุโพรงมดลูก เจริญเติบโตกลายเป็นตัวอ่อน ซึ่งการตั้งครรภ์ในช่วง 1-2 สัปดาห์นี้ จะทำให้ประจำเดือนของคุณแม่ขาดหายไป เนื่องจากไม่มีการหลุดลอกของเยื่อบุโพรงมดลูก แต่เยื่อบุดังกล่าวจะเจริญเติบโตและทำหน้าที่เป็นผนังช่วยให้ไข่ที่ผสมแล้วมายึดเกาะและฝังตัว ไข่ที่ฝังตัวที่เยื่อบุโพรงมดลูกนี้ก็จะเติบโตเป็นตัวอ่อน ซึ่งก็คือลูกน้อยทารกในครรภ์ของคุณแม่ที่กำลังจะพร้อมออกมาดูโลกในอีก 9 เดือนต่อไปนั่นเอง

                              ลูกน้อยอยู่ในครรภ์ แต่คุณแม่อาจยังไม่รู้

                              คุณแม่ที่ตั้งครรภ์ 1-2 สัปดาห์  อาจจะยังไม่รู้เลยว่ากำลังตั้งครรภ์ เพราะยังไม่มีอาการแพ้ท้อง โดยจะมีอาการที่รู้สึกได้บ้าง เช่น  ประจำเดือนยังไม่มา ตกขาว ปัสสาวะบ่อย มีเลือดออก ฯลฯ ซึ่งคุณแม่อาจจะไม่ได้สังเกตแต่ความเป็นจริง ลูกน้อยของคุณแม่เริ่มเข้าสู่ขั้นตอน พัฒนาการ การฝังตัวและเริ่มมีการเจริญเติบโตแล้ว ซึ่งการเปลี่ยนแปลงภายในจะมีการสร้างรก และถุงน้ำคร่ำรวมถึงสายสะดืออีกด้วย

                              ในช่วงนี้อาการเริ่มแรกอาจจะยังไม่สามารถใช้ที่ตรวจครรภ์ตรวจพบเจอได้ เนื่องจากฮอร์โมนตั้งครรภ์ที่กำลังสร้างยังไม่สูงเพียงพอ การตรวจปัสสาวะเพื่อดูการตั้งครรภ์จึงยังไม่พบ รวมทั้งคุณแม่ส่วนใหญ่จะยังไม่รู้ตัวหรือสังเกตอาการในระยะแรกได้ค่ะ

                              แต่หากผ่านพ้นไปแล้วสัก 3-4 สัปดาห์ อาการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่แสดงว่ากำลังตั้งครรภ์จะมากขึ้น รวมถึงฮอร์โมนในร่างกายคุณแม่ก็จะมีสูงมากพอที่จะตรวจการตั้งครรภ์ทางปัสสาวะได้แล้ว  โดยแนะนำให้ตรวจในช่วงเช้า ก่อน 10.00 น.จะเป็นช่วงที่ระดับฮอร์โมนของการตั้งครรภ์สูงที่สุดของวันค่ะ

                              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                               

                              อ่านต่อ เรื่องการเปลี่ยนแปลงของแม่ท้อง คลิกหน้า 2

                                การปั๊มนม

                                เคล็ดไม่ลับ การปั๊มนม วิธีเพิ่มน้ำนม ฉบับคุณแม่มืออาชีพ

                                การปั๊มนม เป็นอีกวิธีที่ช่วยกระตุ้นน้ำนมออกจากเต้าได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะคุณแม่แรกคลอดที่ประสบปัญหาน้ำนมน้อยหรือน้ำนมไม่มา นอกจากให้ลูกเข้าเต้าบ่อย ๆ แล้ว การปั๊มนมเป็นวิธีเพิ่มน้ำนมได้อีกทางหนึ่ง แต่การปั๊มนมให้มีประสิทธิภาพก็ต้องอาศัยเทคนิคด้วยเช่นกัน มาดูเคล็ด (ไม่) ลับที่จะช่วยให้คุณแม่เพิ่มน้ำนมด้วยการปั๊มนมกันค่ะ

                                นมแม่ สุดยอดอาหารมหัศจรรย์สำหรับลูก

                                นมแม่ เป็นอาหารทารกที่วิเศษสุดสำหรับทารกวัยแรกเกิด ดังที่มีงานวิจัยออกมาหลายชิ้นว่า เด็กทารกที่ได้รับนมแม่จะเป็นเด็กที่มีสุขภาพกายและใจสมบูรณ์แข็งแรง มีภูมิคุ้มกันโรคสูง พัฒนาการทางสมองดี และผลวิจัยล่าสุดยังระบุเพิ่มเติมอีกว่า นมแม่ยังช่วยสร้างพัฒนาการทางด้านภาษาให้เด็กเรียนรู้การใช้ภาษาพูดได้เร็วยิ่งขึ้นอีกด้วย

                                ยิ่งนานวันเราก็ยิ่งเห็นประโยชน์จากนมแม่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก็ยังมีปัจจัยต่าง ๆ ที่ทำให้คุณแม่ไม่สามารถให้นมลูกได้เต็มที่ เช่น คุณแม่ต้องทำงาน ไม่สามารถเลี้ยงลูกได้ตลอดวัน จึงไม่สามารถให้นมได้ตลอดเวลาที่ลูกต้องการ หรือในบางครั้งเกิดจากตัวคุณแม่ยังไม่มีความรู้เพียงพอเกี่ยวกับการให้นมลูกหรือการปั๊มนมอย่างถูกวิธี จึงหันมาให้นมผงแทน ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว การให้นมหรือการปั๊มนมไม่ใช่เรื่องยาก เป็นวิธีการเรียนรู้ตามธรรมชาติที่คุณแม่ทุกคนสามารถทำได้ ในช่วงแรกอาจรู้สึกติดขัดและน้ำนมยังไม่เพียงพอสำหรับลูก แต่ขอให้ใจเย็น ๆ ค่อย ๆ เรียนรู้กระบวนการและเทคนิคต่าง ๆ ต่อไป

                                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                 

                                รู้เรื่องน้ำนม ก่อนปั๊มนม

                                กลไกการผลิตน้ำนมแม่

                                เครดิตภาพ : momjunction.com

                                ก่อนอื่นต้องมารู้จักกระบวนการผลิต “น้ำนม” จากเต้ากันก่อน ร่างกายจะเริ่มผลิตน้ำนมใน 3 ช่วง คือ ช่วงตั้งครรภ์ ช่วงคลอดใหม่ และช่วงให้นม ในช่วงตั้งครรภ์และช่วงคลอดใหม่ น้ำนมที่ถูกผลิตจะเป็น “หัวน้ำนม” ซึ่งเกิดจากฮอร์โมนตามธรรมชาติ แต่หลังจากเกิดการกระตุ้นจากการดูด บีบ หรือปั๊มนมอย่างสม่ำเสมอ น้ำนมก็จะถูกผลิตได้เองอย่างต่อเนื่อง ช่วงเวลาที่มีปริมาณน้ำนมมากที่สุด คือ ประมาณตี 5-7 โมงเช้า ซึ่งเป็นช่วงที่ดีในการให้นมและปั๊มนมเก็บไว้สำหรับคุณแม่ที่เป็น Working Mom

                                บทความแนะนำ กลไกการหลั่งน้ำนมที่แม่มือใหม่ควรรู้!

                                วิธีเพิ่มน้ำนมด้วย การปั๊มนม

                                1. ปั๊มนมหลังคลอดได้เลย

                                คุณแม่ส่วนใหญ่จะประสบปัญหาน้ำนมไม่มาหลังคลอด คุณหมอแนะนำให้เด็กดูดนมทันทีในช่วงเวลาครึ่ง ถึง 1 ชั่วโมงหลังจากคลอด เพื่อเป็นการกระตุ้นเด็กและกระตุ้นการเกิดน้ำนมด้วย ในช่วงแรกคุณแม่อย่าเพิ่งตกใจที่ยังไม่เห็นน้ำนม แต่หลังจากนั้นสัก 2-3 ชั่วโมงจะมีหัวน้ำนมไหลออกมา และหากมีเวลาว่าง คุณแม่ควรปั๊มนมเพื่อกระตุ้นกระบวนการผลิตไปด้วย โดยยังไม่ต้องพะวงว่าจะมีน้ำนมไหลออกมาหรือไม่ก็ตาม และในระหว่างการปั๊มนมควรผ่อนคลาย ไม่เครียด หรือเพ่งกับเครื่องปั๊มจนมากเกินไป เพราะอาจทำให้น้ำนมอายจนไม่ไหลออกมา

                                วิธีปั๊มนม, การปั๊มนม
                                เครดิตภาพ : http://mommystap.com
                                1. ใช้เครื่องปั๊มนมแบบ 2 ข้าง

                                เมื่อน้ำนมข้างหนึ่งถูกกระตุ้นและไหลออกมา น้ำนมอีกข้างก็จะไหลตามมาด้วย การใช้เครื่องปั๊มนมแบบ 2 ข้าง จะช่วยให้คุณแม่ประหยัดเวลาในการปั๊ม ไม่รบกวนเวลาทำงาน และได้น้ำนมเก็บเป็นสต๊อกอย่างเต็มที่ ทั้งนี้ จากประสบการณ์การดูแลคนไข้ของ พญ.สุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ ยังพบว่า คุณแม่ที่ใช้เครื่องปั๊มนมแบบ 2 ข้าง มักจะเลี้ยงลูกได้นานมากกว่าคุณแม่ที่ใช้เครื่องปั๊มนมแบบมืออีกด้วย เพราะเหนื่อยน้อยกว่า และได้ทำงานหรือทำกิจกรรมอย่างอื่นไปพร้อม ๆ กัน จึงรู้สึกเพลินขณะปั๊มนม

                                1. ขโมยปั๊มทุกชั่วโมง

                                ใน 1 วันเด็กจะดูดนม 8-10 ครั้ง ครั้งละ 10-15 นาทีต่อ 1 ข้าง ซึ่งถ้าเทียบกับการปั๊มนม คุณแม่ควรปั๊มนมให้ได้ 8-10 ครั้ง เท่ากับลูกดูด ถึงจะเพียงพอกับการให้นม 4-5 มื้อ ดังนั้น การขโมยปั๊มนมหลังจากลูกดูดไป 1 ชั่วโมง โดยใช้เวลาปั๊มแค่ครั้งละประมาณ 10 นาที จะเป็นการเพิ่มน้ำนมให้คุณแม่อย่างดีเยี่ยม สำหรับกรณีที่ลูกขอดูดนมตลอดเวลาแทบทุกชั่วโมง จนไม่มีโอกาสขโมยปั๊มนมได้เลย ให้คุณแม่ใช้วิธีปั๊มพร้อมกับที่ลูกดูดอีกข้าง โดยถือที่ปั๊มนมนาน 10 นาที แล้วเก็บน้ำนมนั้นเป็นสต๊อกต่อไป

                                การปั๊มนม
                                เครดิตภาพ : Jerry Bunkers on flickr
                                1. Working Mom ควรปั๊มนมทุก 2-3 ชั่วโมง

                                เพื่อเป็นการรักษาระดับการสร้างน้ำนมให้คงที่ ไม่ให้ลดลง Working Mom หรือคุณแม่ทำงานควรปั๊มนมทุก ๆ 2-3 ชั่วโมง โดยปั๊มที่โต๊ะทำงาน แล้วใช้ผ้าคลุมสวมทับ เพื่อให้สามารถทำงานได้ขณะปั๊มนม เรียกว่า ได้ทั้งน้ำนม ได้ทั้งงานไปพร้อม ๆ กันเลยทีเดียว

                                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                 

                                อ่านต่อ แม่ควรรู้ วิธีปั๊มนม มีกี่แบบ คลิกหน้า 2

                                  สมุนไพรเพิ่มน้ำนมแม่

                                  6 สุดยอด สมุนไพรเพิ่มน้ำนมแม่ (ไทย จีน ฝรั่ง) ครบสูตร

                                  สมุนไพรเพิ่มน้ำนมแม่ การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เป็นสิ่งที่ลูกวัยทารกควรได้รับตั้งแต่แรกเกิดไปจนกระทั่งอย่างน้อย 6 เดือนแรก แล้วจึงให้อาหารเสริมควบคู่ไปกับการให้นมแม่จนลูกอายุ 2 ปีหรือนานกว่านั้น ทีมงาน Amarin Baby & kids มี สุดยอด สมุนไพรเพิ่มน้ำนมแม่ ที่รวบเอาสมุนไพรทั้งไทย จีน ฝรั่ง ที่แม่ให้นมลูกทานแล้วช่วยบำรุงน้ำนมแม่ได้ดีมากมาฝากค่ะ

                                  Continue reading “6 สุดยอด สมุนไพรเพิ่มน้ำนมแม่ (ไทย จีน ฝรั่ง) ครบสูตร”

                                    เชื้อรา

                                    เชื้อราในช่องคลอด เป็นง่าย หายยาก เรื่องที่คุณผู้หญิงต้องระวัง!

                                    เชื้อราในช่องคลอด อาการ ไม่พึงประสงค์ ไม่ใช่โรคร้ายแรงเพียงแต่อาจทำให้มีอาการคัน เกิดความน่ารำคาญ และทำลายบุคลิกภาพ แต่ไม่มีความรุนแรงจนทำให้เกิดการอักเสบหรือเป็นอันตรายต่อรังไข่ โพรงมดลูก หรืออุ้งเชิงกรานได้ แต่ผู้หญิงต้องเข้าใจและรู้จักดูแล

                                    เพราะเพศหญิง มีอวัยวะเพศที่บอบบางและง่ายต่อการได้รับเชื้อรา หรือเชื้อแบคทีเรีย เนื่องจากไม่มีหนังหุ้มปิดมิดชิดเหมือนเพศชาย การรักษาสุขอนามัยส่วนตัวจึงต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ

                                    เชื้อราในช่องคลอด อาการ ไม่พึงประสงค์

                                    ที่คุณผู้หญิงต้องป้องกัน

                                    เชื้อราในช่องคลอด เป็นอาการที่พบได้บ่อยๆ โดยจะพบได้บ่อยในหญิงตั้งครรภ์ประมาณ 10-30% ส่วนผู้หญิงปกติพบได้ประมาณ 10% และยังพบว่าคนที่ไม่มีอาการใดๆ เมื่อตรวจภายในบางรายก็พบว่ามีเชื้อราในช่องคลอดแอบแฝงอยู่ มีทั้งเชื้อราที่ไม่แสดงอาการคือเมื่อตรวจจะพบว่าภายในช่องคลอดมีเชื้อราส่วนใหญ่ 80-90% เป็นสายพันธุ์ Candida Albicans และแบบที่แสดงอาการอย่างชัดเจน จนทำให้ต้องไปพบแพทย์ในที่สุด

                                    เชื้อราในช่องคลอด อาการ

                                    เชื้อรา …ปัญหาของตกขาวคัน

                                    เชื้อรา คือเชื้อโรคชนิดหนึ่ง มีชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า Candida albicans เชื้อโรคตัวนี้อยู่ตามที่ต่างๆ ทั่วไป แต่ชอบสภาพสิ่งแวดล้อมที่ร้อนชื้นเป็นพิเศษ ช่องคลอดของคนเราเป็นอวัยวะที่ชื้นอยู่แล้วเพราะมีตกขาวอย่างที่ว่า ส่วนเรื่องร้อนนั้นขึ้นกับหลายปัจจัยคือ

                                    • สภาพอากาศของบ้านเราที่ค่อนข้างร้อนจนถึงร้อนมาก
                                    • ใส่เสื้อผ้าที่อบมาก
                                    • สภาพร่างกายที่อ้วนมาก บางคนแค่ยืนเฉยๆ ขาก็มาชนกันแล้วทำให้ช่องคลอดถูกอบอยู่ตลอดเวลา

                                    สภาพเหล่านี้แหละที่เชื้อราชอบมาก เหตุนี้จึงทำให้ผู้หญิงไทยเรามีการติด เชื้อราในช่องคลอด กันง่ายมาก บางทีอยู่เฉยๆ ไม่ได้ทำอะไร ไม่ได้มีเพศสัมพันธ์ ก็ยังเป็นเชื้อราในช่องคลอดได้ ผิดกับผู้หญิงในเมืองหนาวที่มีการติดเชื้อราน้อยกว่าซึ่งส่วนใหญ่จะเกิดเฉพาะรายที่เป็นโรคเบาหวาน หรือเป็นโรคที่ต้องกินยากดภูมิต้านทานบางอย่าง เหล่านี้ทำให้เชื้อราชอบมากเช่นกัน

                                    อ่านต่อ >> “ลักษณะอาการติดเชื้อราในช่องคลอด” คลิกหน้า 2

                                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่