ฟันผุขณะตั้งครรภ์

ฟันผุขณะตั้งครรภ์ กระทบสุขภาพลูกในท้อง!!

สุขภาพช่องปากและฟันเป็นเรื่องสำคัญอันดับต้นๆ ในผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ การเคลียร์ช่องปากก่อนท้องว่าสำคัญแล้ว แต่ระหว่างที่อุ้มท้องอยู่นั้นการรักษาความสะอาดช่องปากยิ่งต้องให้ความใส่ใจมากขึ้นอีกเท่าตัว เพราะแม่ท้องเกิดฟันผุได้ง่ายมาก ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีผลกระทบต่อสุขภาพของลูกในท้องจากปัญหา ฟันผุขณะตั้งครรภ์ มาให้ทราบกันค่ะ

 

ฟันผุขณะตั้งครรภ์ กระทบสุขภาพลูกในท้อง!!

ขณะตั้งอาจมีปัญหาแทรกซ้อนขึ้นมาที่ทำให้แม่ท้องรู้ไม่สบายตัว ยิ่งโดยเฉพาะกับเรื่องสุขภาพช่องปากและฟัน ที่สามารถเกิดขึ้นได้ ยิ่งเมื่อล่าสุดมีเพื่อนที่ท้องเกิดเป็นร้อนในปากขึ้นมา ทำให้ทานอะไรไม่ค่อยได้ ไปหาคุณหมอก็ได้รับยาทาที่ปลอดภัย และทางแก้ที่ดีที่สุดคือ ต้องดื่มน้ำให้มาก และนอนให้พอ เห็นไหมคะว่า สุขภาพเล็กๆ น้อยๆ บางครั้งก็เป็นขึ้นมาได้แบบไม่ทันตั้งตัว

เมื่อพูดถึงปัญหาสุขภาพช่องปาก มีแม่ท้องที่ประสบกับปัญหาปวดฟัน ฟันผุ จนทำให้ให้ชีวิตประจำวันได้ไม่ค่อยคล่องตัวมาก ซึ่งปัญหาฟันผุ แม่ๆ อาจสงสัยว่าก็ก่อนท้องได้ขูดหินปูน ได้ดูแลช่องปากและฟันไปแล้ว แต่ทำไมตอนท้องถึงเกิดฟันผุขึ้นมาได้  ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจกันก่อนค่ะ เพราะฟันผุ มักเกิดจากการดูแลรักษาความสะอาดเหงือกและฟันได้ไม่ดีพอ ทำให้เศษอาหารที่แปรงออกมาไม่หมดติดอยู่ตามซอกฟัน หรือจากการที่แม่ทานหวาน ขนม นม เนย น้ำหวาน น้ำอัดลม แล้วไม่แปรงฟันให้สะอาด เหล่าล้วนเป็นเหตุให้เกิดปัญหาฟันผุ ฟันเป็นแมงขึ้นมาได้ค่ะ

ทันตแพทย์สุธา เจียรมณีโชติชัย รองอธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า ปัญหาโรคเหงือกอักเสบพบได้บ่อยในหญิงตั้งครรภ์ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนส่งผลให้เหงือกและเนื้อเยื่ออ่อนต่างๆ ที่รองรับฟันอ่อนแอ อาการแพ้ท้อง อาเจียนบ่อย และการดูแลอนามัยช่องปากที่ไม่ดี ทำให้หญิงตั้งครรภ์เกิดโรคฟันผุได้ เพื่อลดปัญหาด้านสุขภาพช่องปากและสุขภาพทั่วไปต่อตัวมารดาและลูกที่จะเกิดมา

หญิงตั้งครรภ์ที่มารับบริการฝากครรภ์ที่สถานบริการสาธารณสุขควรได้รับการตรวจฟันเพื่อทราบสภาวะช่องปากของตนเอง และรับความรู้เรื่องการดูแลสุขภาพช่องปากของตนเองและลูกฝึกทักษะการแปรงฟัน การใช้ไหมขัดฟันที่ถูกวิธี และหากพบว่ามีปัญหาโรคในช่องปากก็ควรได้รับการรักษาตามความจำเป็นในช่วงตั้งครรภ์เดือนที่ 4-6 หรือได้รับการส่งต่อเพื่อรับการรักษาที่เหมาะสมต่อไป และที่สำคัญต้องปรับทัศนคติของแม่ให้เห็นความจำเป็นของการดูแลสุขภาพช่องปาก ลดการถ่ายทอดเชื้อโรคที่เป็นต้นเหตุฟันผุจากแม่สู่ลูกเพื่อสุขภาพช่องปากที่ดีของลูก[1]

อ่านต่อ >> ปัญหาฟันผุ เรื่องใหญ่ของแม่ท้องกระทบถึงลูก หน้า 2

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

    เจ้าหญิงเคทเผย! ความเปลี่ยนแปลงหลังจากเป็นคุณแม่ กับการเลี้ยงลูกแบบไม่มีกฎเกณฑ์

    การเลี้ยงลูกของเจ้าหญิงเคท …การเป็นแม่ของลูกสักหนึ่งคนอาจดูเป็นเรื่องง่ายสำหรับคนที่ยังไม่เคยมีลูก หรือไม่คิดจะมีลูก แต่เมื่อใดก็ตามที่คุณถูกเรียกว่าแม่นั้น อาจหมายถึงการสละเวลา 27,250 ชั่วโมงในชีวิตไปกับการเตรียมอาหาร ทำงานบ้าน และดูแลทุกข์สุขของสมาชิกในครอบครัว

    จากนั้นก็สละเวลาอีก 2,442 ชั่วโมงในชีวิตของแม่ ไปกับการซักล้างทำความสะอาดให้กับลูก ๆ และสละเวลา 1,135 วันในชีวิตไปกับการเลี้ยงดูลูกน้อยให้เติบใหญ่มากพอที่ลูกจะจัดการกิจวัตรประจำวันในชีวิตตัวเองได้ แต่นี้ยังไม่นับรวมถึงการเลี้ยงดูให้เขาเติบใหญ่พอสำหรับจัดการเรื่องยากๆ ในชีวิต

    จากข้อมูลเบื้องต้นเป็นการสำรวจพฤติกรรมของคนเป็นแม่ โดยบริการช้อปปิ้งสินค้าออนไลน์ Milk&more ซึ่งระบุว่า ทุกคนทราบดีว่า แม่เปรียบเสมือนแกนหลักของสถาบันครอบครัว แต่การสำรวจชิ้นนี้ได้เจาะลึกให้เห็นว่า แม่สละเวลาในชีวิตของแม่ให้กับครอบครัวมากแค่ไหน เพื่อให้ครอบครัวของแม่ได้อยู่อย่างมีความสุข มีระเบียบเรียบร้อย และอบอุ่น โดยแบบสอบถามนี้เผยให้เห็นว่า ตลอดชีวิตของแม่มีหน้าที่ต่าง ๆ ที่มาดึงเวลาส่วนตัวของแม่ไปมากมาย

    และจากภาระหน้าที่ที่คนเป็นแม่ต้องเจอนี้ จึงไม่น่าแปลกใจ ที่มีคุณแม่ราว 75 เปอร์เซ็นต์ บอกว่า อยากให้เวลาใน 1 วันมีมากกว่านี้สัก 2 – 3 ชั่วโมง เพื่อที่จะได้มีเวลาดูแลสิ่งต่าง ๆ ให้เรียบร้อยกว่าที่เป็นอยู่

    การเลี้ยงลูกของเจ้าหญิงเคท กับความเปลี่ยนแปลงหลังจากเป็นคุณแม่

    การเลี้ยงลูกของเจ้าหญิงเคท
    ขอบคุณรูปภาพจากเว็บไซต์ gettyimages.com

    ด้วยเหตุนี้เอง เพราะการเป็นแม่นั้นต้องเสียสละมากกว่าที่คิด เพื่อให้การเลี้ยงลูกเป็นไปอย่างดีที่สุด เจ้าหญิงเคทจึงได้ทรงตั้งพระทัยแน่วแน่ไว้แต่แรกแล้วว่า ทรงต้องการเห็น เจ้าชายจอร์จ พระโอรส ทรงเติบโตขึ้นมาท่ามกลางสภาพแวดล้อม เหมือนเด็กธรรมดาทั่วไปเท่าที่สามารถจะทำได้ ดังนั้น เจ้าหญิงเคทและเจ้าชายวิลเลี่ยมแห่งอังกฤษ จึงตกลงพระทัยร่วมกันที่จะทำให้พระตำหนักที่ประทับ เป็น เขตปลอดแม่นม เพื่อจะทรงเลี้ยงพระโอรสด้วยพระองค์เองตามประสาพ่อแม่ลูก เหมือนครอบครัวทั่วไป

    โดยเจ้าหญิงเคท เผยว่า ไม่ต้องการให้ เจ้าชายจอร์จทรงคุ้นตา คุ้นเคยกับการได้รับความช่วยเหลือจากคนอื่น มากกว่าจากพ่อแม่ของพระองค์ “เจ้าชายจอร์จได้ให้ความหมายใหม่แก่ชีวิตเจ้าหญิงเคท” …แหล่งข่าวในครอบครัวมิดเดิลตัน บอกกับนิตยสารดังของสหรัฐอเมริกา ซึ่งยังบอกว่าวิธีเลี้ยงพระโอรสของดัชเชส ออฟ เคมบริดจ์ แบบนี้ น่าจะเป็นวิธีที่สร้างความตกตะลึงแก่ควีนวิกตอเรีย พระราชินี ผู้ทรงยิ่งใหญ่ในสมัยศตวรรษที่ 19 ที่ทรงมีโอกาสเห็นพระโอรส พระธิดาของพระองค์ ก็เมื่อทรงลงไปกำกับ ดูแล พี่เลี้ยงเมื่อถวายการอาบน้ำแก่พระโอรส พระธิดาเท่านั้น

    หรือแม้แต่ เจ้าหญิงไดอาน่า พระมารดาเจ้าชายวิลเลี่ยม ซึ่งเคยตั้งพระทัยพยายามจะเลี้ยงดูเจ้าชายวิลเลี่ยม และเจ้าชายแฮร์รี่ อย่างใกล้ชิดที่สุด แต่แล้ว เจ้าหญิงไดอาน่าก็ยังเคยทรงพลาดโอกาส ไม่ได้อยู่ฉลองวันคล้ายวันประสูติขวบปีแรกของเจ้าชายวิลเลี่ยม เนื่องจากทรงมีพระกรณียกิจต้องตามเสด็จเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ พระสวามีเสด็จเยือนประเทศแคนาดา กระทั่งพลาดโอกาสสำคัญนั้น  ทั้งนี้เพื่อให้ได้อยู่ทำหน้าที่พระมารดา และใกล้ชิดพระโอรสมากที่สุด ดัชเชส ออฟ เคมบริดจ์ จึงมีกฎของพระองค์ระหว่างนี้ว่า พระองค์จะไม่เสด็จทรงพระกรณียกิจ ที่มีระยะทางไกลกว่ากรุงลอนดอน และจะไม่ทรงค้างคืนที่ไหน

    อ่านต่อ >> “การเลี้ยงลูกของเจ้าหญิงเคท กับความเปลี่ยนแปลงหลังจากเป็นคุณแม่” คลิกหน้า 2

    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

     

      10 สิ่งที่กุมารแพทย์

      10 สิ่งที่กุมารแพทย์อยากบอกกับคุณแม่ของผู้ป่วยเด็กน้อย

      ลูกไม่สบาย หรือเมื่อลูกมีอาการงอแงผิดปกติ ย่อมทำให้พ่อแม่เกิดความกังวลใจ แต่อย่างไรก็ตามการหาสาเหตุจากอาการร้องงอแง ไม่สบายตัวของลูกน้อย เป็นสิ่งที่สำคัญ

      ซึ่งสาเหตุของอาการที่เกิดขึ้นมีได้หลายสาเหตุ เช่น อาการไม่สบายตัว อาการป่วย อาการหิว พ่อแม่ควรหาสาเหตุของอาการที่เป็นไปได้และแก้ไขเบื้องต้น เช่น การเปลี่ยนผ้าอ้อมถ้าคิดว่าสาเหตุเกิดจากความเปียกชื้นของผ้าอ้อม การให้รับประทานนมถ้าคิดว่าเกิดจากความหิว แต่ในกรณีที่ลูกยังมีอาการไม่ดีขึ้น ควรคิดถึงสาเหตุจากความเจ็บป่วย

      10 สิ่งที่กุมารแพทย์อยากบอกกับคุณแม่ เมื่อลูกไม่สบาย

      ในกรณีที่เกิดจากความเจ็บป่วย พ่อแม่ต้องเฝ้าสังเกตอาการที่ผิดปกติของลูกน้อยซึ่งบางครั้งต้องอาศัยการสังเกตอย่างมาก รวมทั้งประสบการณ์ของผู้เลี้ยงดูด้วย โดยเฉพาะในเด็กเล็กที่ยังพูดหรือบอกอาการไม่ได้ พ่อแม่ควรรู้จักวิธีการดูแลรักษาเบื้องต้นซึ่งเป็นการดูแลรักษาตามอาการที่เกิดขึ้น ดังนั้นแล้ว หากคุณพ่อคุณแม่สังเกตเห็นว่าลูกไม่สบาย ลองไปดูสิ่งที่กุมารแพทย์อยากบอกกับคุณพ่อคุณแม่ เกี่ยวกับอาการเจ็บป่วย หรือมีไข้ของลูกน้อย ซึ่งคุณพ่อคุณแม่จำเป็นต้องรู้ เพื่อที่จะได้รับมือ และรักษาอาการเจ็บป่วยของลูกน้อยในเบื้องต้นได้ทันท่วงทีและตรงกับอาการนั้นๆ

      ลูกไม่สบาย

      ซึ่งเรื่องราวนี้เป็นบทความจากสมาชิกเว็บไซต์พันทิป ชื่อคุณ Jagger moving ซึ่งได้มาโพสต์กระทู้ไว้ (คลิกอ่านกระทู้) ให้คุณพ่อคุณแม่ได้อ่าน และทราบถึงสิ่งที่กุมารแพทย์อยากจะบอกเกี่ยวกับอาการเจ็บไข้ได้ป่วยของเด็กน้อย เพื่อให้ได้เรียนรู้และลดความวิตกกังวลเกี่ยวกับลูกๆ ลงบ้าง

      10 สิ่งที่กุมารแพทย์อยากบอกกับคุณพ่อคุณแม่ของคนไข้เด็กน้อย

      1. ลูกคอแดง

      ไม่ได้หมายความว่าต้องได้ยาแก้อักเสบ (อาการคอแดงอาจเกิดได้จากการติดเชื้อไวรัสก็ได้ยิ่งในเด็กเล็กด้วยแล้วเป็นเปอร์เซ็นต์ที่มากกว่าเสียอีก)

      โดยอาการคอแดง ที่ไม่ต้องทานยาแก้อักเสบ เป็นอาการแบบไม่มีพยาธิสภาพหรือการติดเชื้อ ในที่นี้หมายถึง เยื่อบุในผนังคอที่แดงจากภาวะไข้ทั่วไปโดยที่ไม่ได้จำเป็นต้องมีคออักเสบ เช่น เวลาไข้สูง ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ก็คงคิดเหมือนกันว่าแดงไปหมดทั้งตัว ซึ่งนั้นก็เป็นความจริง แต่ในบางครั้งระยะเริ่มแรกการติดเชื้อเราอาจแยกได้ไม่ชัดเจน และโดยส่วนใหญ่โดยเฉพาะในเด็กมักเป็นการติดเชื้อไวรัสเสียส่วนใหญ่ ทำให้อาจแยกออกได้ยาก หรือบางครั้งกินอาหารที่มีสี ๆ ก็อาจทำให้แดงได้เหมือนกัน แต่คุณหมอจะดูออก ซึ่งอาการกลุ่มนี้มักไม่จำเป็นต้องได้รับยาปฏิชีวนะ1

      2. ลูกมีไข้สูงเกิน 39 องศาเซลเซียส

      ไม่ได้หมายความว่าต้องได้ยาลดไข้สูง (ยาลดไข้สูงที่เรียกกันนั้นแท้จริงคือยากลุ่มเอ็นเสด (NSAIDs) ซึ่งในอาการไข้บางโรค การได้ยาลดไข้ไปบางครั้งอาจทำให้ตัวโรคแย่ลง เช่น ไข้เลือดออก เพราะจะทำให้เกร็ดเลือดทำงานได้ไม่ดี) ดังนั้น ยาลดไข้ พาราเซลตามอล จึงเหมาะกับเด็กมากที่สุดแล้ว

      เอ็นเสด (NSAID) เป็นตัวย่อของ กลุ่มยาแก้ปวด ยาลดไข้ และยาต้านการอักเสบที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ คือ Non-steroidal anti -inflammatory drug หรือ Non-steroidal anti -inflammatory drugs นอกจากนั้นยังมีคุณสมบัติต้านการทำงานของเกล็ดเลือด ดังนั้นจึงส่งผลให้เลือดแข็งตัวได้ช้า ลดโอกาสการเกิดลิ่มเลือด ดังนั้น นอกจากทางการแพทย์จะใช้ยาในกลุ่มนี้ รักษาอาการปวด ลดไข้ และรักษาการอักเสบของเนื้อเยื่อที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ (เช่น ในโรคข้อต่างๆ) แพทย์ยังใช้ยากลุ่มนี้เพื่อต้านการแข็งตัวของเลือดในการป้องกันและรักษา โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง เป็นต้น

      โดยทั่วไป ยาเอ็นเสด มักใช้รักษา โรคข้ออักเสบต่างๆ โรคข้อรูมาตอยด์ โรคเกาต์ ปวดศีรษะไมเกรน และ อาการปวดกระดูกจากโรคมะเร็งแพร่กระจายเข้ากระดูก เป็นต้น อีกทั้ง ยาเอ็นเสด เป็นยาอันตราย ไม่ควรซื้อกินเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ และ/หรือ เภสัชกรก่อน2

      ⇒ บทความแนะนำควรอ่าน : ยาน้ำลดไข้ ของเด็ก แต่ละยี่ห้อแตกต่างกันอย่างไร พ่อแม่ควรรู้!
      ⇒ บทความแนะนำควรอ่าน : วิธีการเช็ดตัวลดไข้ ด้วยน้ำอุ่นผสมมะนาว

       

      อ่านต่อ >> “สิ่งที่กุมารแพทย์อยากบอกกับคุณพ่อคุณแม่ของคนไข้เด็กน้อย” คลิกหน้า 2

      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

       

        พฤติกรรมพ่อแม่ ทำลูกเครียดร้องไห้

        5 พฤติกรรมพ่อแม่ ทำลูกเครียดร้องไห้

        เด็กคือผ้าขาวบริสุทธิ์ทั้งกายและใจ แต่ทราบกันหรือไม่ว่า ลูกน้อยที่เป็นเสมือนแก้วตาดวงใจนั้น  อาจมีเรื่องเศร้าสะเทือนใจจากบางการกระทำ พฤติกรรมพ่อแม่ ทำลูกเครียดร้องไห้ ฝังลึกอยู่ในใจไปจนโต ทีมงาน Amarin Baby & Kids ขอเป็นหนึ่งเสียงที่อยากให้พ่อแม่เลี้ยงลูกด้วยความรัก ความเข้าใจ เพื่อลดผลกระทบร้ายแรงที่ส่งผลต่อสภาพจิตใจของเด็กๆ กันค่ะ

         

        พฤติกรรมพ่อแม่ ทำลูกเครียดร้องไห้

        พฤติกรรมการกระทำของพ่อแม่ บางครั้งเกิดจากความตั้งใจ หรืออาจจะไม่ได้ตั้งใจ แต่เมื่อทำลงไปแล้วล้วนเกิดผลกระทบ ต่อตัวลูกอย่างแน่นอน ผู้เขียนมีเพื่อนสนิทกันมาก เธอผู้นี้เป็นคนที่ชอบเด็กผู้ชายมาก เมื่อมีลูกคนแรกเป็นผู้ชายจึงถูกใจ ทั้งเธอและสามีทำทุกอย่าง ให้ทุกอย่างกับลูกชาย พอตั้งท้องลูกคนที่สองคลอดออกมาเป็นผู้หญิง ถามว่าคนเป็นแม่รักลูกไหม แน่นอนว่ารัก แต่อาจจะรักได้ไม่เท่าที่รักลูกคนโต ซึ่งเพื่อนผู้เขียนไม่เคยรู้ตัวเลยว่าการให้ของขวัญ หรือทำกับข้าวที่ลูกชอบ ส่วนมากแล้วจะนึกถึงลูกชายมากกว่า เพราะคิดว่าลูกสาวยังเล็กไม่น่าจะคิดน้อยใจอะไรได้

        เรื่องเศร้ามีอยู่ว่าเมื่อลูกสาวอยู่ประถม 1 คุณครูให้เด็กวาดรูปอะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับพ่อแม่ลูก รูปที่สาวน้อยวาดออกมาคือ พ่อแม่พี่ชายยืนจับมือกัน โดยมีสาวน้อยนั่งอยู่ด้านหลังเศร้าๆ ภาพนี้สะเทือนความรู้สึกนึกคิดของเด็กตัวเล็กๆ ได้มากมาย จนสุดท้ายคุณครูต้องเรียกพ่อแม่มาคุย โชคดีที่คุณครูจบจิตวิทยาเด็กมาด้วย งานนี้เลยได้ทำความเข้าใจกับเพื่อนสาวผู้เขียนมากมายหลายอย่าง
        วันนี้สาวน้อยผู้น่ารักอายุ 9 ขวบแล้ว ดีใจที่ได้เห็นรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะ แต่ที่ยินดีคือ เพื่อนสาวของผู้เขียนได้ให้ความสำคัญกับลูกเท่ากัน และไม่ปล่อยให้ลูกสาวต้องนั่งเศร้าซึมอีกแล้ว ที่โชคดีคือพี่ชายก็รักน้องสาวมากด้วย

        นี่เป็นแค่ตัวอย่างที่เกิดขึ้นจริง และได้รับการแก้ไขได้ทันเวลา เพราะหากพ่อแม่ไม่รู้ตัว และยังขืนทำให้ลูกเสียใจต่อไปเรื่อยๆ เมื่อถึงวันที่เขาเติบโตขึ้นก็จะกลายเป็นคนที่ไม่มีความสุข รู้สึกไม่สนุก เพราะคิดว่าทุกคนในครอบครัวไม่รัก ไม่ใส่ใจ การที่เด็กมีเรื่องฝังอยู่ในใจ ย่อมเกิดผลเสียมากกว่าผลดีอยู่แล้วใช่ไหมคะ

        เอาเป็นว่าเราลองไปดูเพิ่มเติมกันอีกว่ามีพฤติกรรม หรือการกระทำจากพ่อแม่อะไรอีกบ้างที่ทำให้ลูกเครียด จนเก็บไปคิดเสียใจร้องไห้ ได้อีกบ้าง…

         

        5 พฤติกรรมพ่อแม่ ทำลูกเครียดร้องไห้

        1. ภาพข่าวน่าหดหู่ ทำลูกสะเทือนใจ

        อย่างที่ทราบกันดีว่าการจัดเรทรายการทีวีต่างๆ ทั้งละคร เกมโชว์ สารคดี การ์ตูน ฯลฯ ที่ทำขึ้นมาส่วนหนึ่งก็เพื่อให้เด็กๆ ได้ดูรายการที่เหมาะสม หรือหากบางข่าว บางรายการที่ล่อแหลม ควรต้องมีพ่อแม่ ผู้ดูแลเด็กคอยให้คำแนะนำที่ถูกต้องอย่างเหมาะสมกับเด็กๆ ด้วย

        แต่ถ้าพ่อแม่คิดว่าไม่เป็นไรหรอก ให้ลูกดูไปเถอะ ก็แค่ข่าว ก็แค่ละคร ดูไปเดี๋ยวเด็กก็ลืม ไม่นะคะ พ่อแม่ห้ามคิดแบบนี้ เพราะไม่ว่าจะเป็นข่าว หรือละครที่มีเนื้อหา มีภาพรุนแรง ยิ่งเป็นผู้หญิงผู้ชายตบตีกัน หรือใช้คำพูดด่าทอกันรุนแรง ฯลฯ เด็กดูแล้วจำเก็บไปคิดนะคะ ไม่อย่างนั้นจะมีเด็กอยากเป็นซูเปอร์แมนแล้วกระโดดลงมาจากหน้าต่าง เพราะคิดว่ากระโดดลงมาไม่เจ็บ เดี๋ยวก็ลุกขึ้นได้อย่างในหนัง ในละคร ในการ์ตูนบางเรื่องที่ปีนตึก ปีนโต๊ะ ตกลงมาไม่เจ็บ หัวไม่แตก เด็กก็เชื่อตามนั้นนะคะ ที่สำคัญเด็กบางคนที่เซนซิทีฟ (sensitive) คือเร็วต่อความรู้สึก หรือการกระทำ ก็เก็บเอาไปคิดมาก กลัวฝังใจ สะเทือนอารมณ์ร้องไห้เลยก็มี

        ฉะนั้นอะไรที่ไม่เหมาะสมกับเด็ก พ่อแม่ต้องสอน ต้องให้ความรู้ลูกอย่างถูกต้อง ที่สำคัญควรป้อนแต่สิ่งที่สร้างสรรค์ช่วยพัฒนาการสติปัญญา ส่งเสริมจินตนาการที่ดีให้กับลูกจะดีมากกว่าค่ะ

        พฤติกรรมพ่อแม่ ทำลูกเครียดร้องไห้
        Credit Photo : Shutterstock

        2. ทะเลาะกันต่อหน้าลูกบ่อยๆ

        ขอร้องเลยว่าพ่อแม่อย่าทะเลาะกันต่อหน้าลูก หรือลับหลังลูกแล้วมีคนมาเล่า มาถามลูกว่าพ่อแม่เธอทะเลาะ ตีกันด้วยเรื่องอะไร? คำถาม หรือภาพที่ลูกเห็นเองกับตา รู้ไหมว่าลูกเสียใจแค่ไหน เขาจะคิดอยู่ตลอดเวลาว่าทำไมพ่อแม่ไม่รักกันเหมือนพ่อแม่ของเพื่อน ทำไมพ่อแม่ด่ากันด้วยคำหยาบคาย ทำไมพ่อต้องตีแม่ ทำไมแม่ต้องด่าพ่อ ภาพเหล่านี้ไม่ได้สร้างสรรค์จรรโลงใจลูกให้มีความสุขเลยค่ะ

        ทะเลาะกันต่อหน้าลูกเป็นพฤติกรรมที่เลวร้ายสุดแย่ ที่พ่อแม่หยิบยื่นให้ลูก ส่งไปทำร้ายใจลูกให้อ่อนแอลงทุกวัน คุณลองคิดดูซิว่า ถ้าลูกต้องตื่นไปโรงเรียนตอนเช้าแล้วเห็นพ่อแม่ด่ากันข้ามหัวลูกไปมาตอนกินข้าว แล้วแบบนี้ลูกจะเรียนรู้เรื่องได้อย่างไร ผลการเรียนก็ย่ำแย่อย่างไม่ต้องเดาเลยค่ะ

        พลังเครียดที่ลูกรับรู้ได้จากสภาพแวดล้อมภายในบ้าน นอกจากจะไปตอกย้ำให้ลูกเครียดตามไปด้วยแล้ว รู้ไหมคะว่าสมองที่เครียด ใจที่อึดอัด ลูกทำได้อย่างเดียวร้องไห้ระบายออกมา แต่การร้องไห้ตอนที่สมองเครียด เป็นผลเสียต่อการเรียนรู้ของลูกได้มากนะคะ รู้แบบนี้แล้ว คุณจะไม่คิดถึงใจลูก และหยุดทะเลาะหันหน้ากลับมาคุยกันดีๆ หรอกหรือคะ?

        อ่านต่อ >> 5 พฤติกรรมที่พ่อแม่มักทำให้ลูกเสียใจ หน้า 2

         

        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

          โรคเอ๋อ

          โรคเอ๋อ ในเด็ก สาเหตุ อาการ การป้องกัน

          ตอนท้องส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญกับการทานโฟลิก ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว แต่ระหว่างการอุ้มท้องแม่ๆ อาจลืมให้ความสำคัญกับอาหารการกินโดยเฉพาะอาหารที่มีไอโอดีน รู้ไหมหากขาดไอโอดีนตั้งแต่ตอนท้อง สามารถส่งผลให้ลูกเกิดมาเป็น โรคเอ๋อ ได้นะ! ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีข้อมูลที่น่าสนใจถึงอาการเอ๋อที่อาจเกิดกับเด็กๆ มาให้ทราบค่ะ

           

          โรคเอ๋อ สาเหตุเกิดจากอะไร?

          พอพูดถึงอาการเอ๋อ พ่อแม่หลายๆ ครอบครัวอาจคิดว่าไม่น่าจะเกิดขึ้นได้กับลูกๆ ของตัวเอง เพราะเชื่อกันว่าการป่วยเป็นเอ๋อได้หายไปนานแล้ว แต่ความจริงคือ เด็กทุกคนสามารถเป็นเอ๋อได้ หากแม่ไม่ใส่ใจดูแลสุขภาพมาตั้งแต่ตอนที่ตั้งครรภ์

          อาการเอ๋อ สาเหตุมาจากการขาดไทรอยด์ฮอร์โมน สำหรับไทรอยด์ฮอร์โมนจะถูกสร้างมาจากต่อมไทรอยด์ ซึ่งสมองจำเป็นต้องใช้ไทรอยด์ฮอร์โมนในการทำงาน ทั้งระบบประสาทอัตโนมัติ การควบคุมอุณหภูมิภายในร่างกาย รวมถึงระบบอื่นๆ ภายในร่างกาย แน่นอนหากสมองขาดไทรอยด์ฮอร์โมนนี้ไป ระบบการทำงานของสมองก็จะผิดปกติทันที

          แพทย์หญิงสินดี จำเริญนุสิต กุมารเวชศาสตร์พัฒนาการและพฤติกรรมเด็ก โรงพยาบาลเวชธานี[1] ได้ให้ความรู้ในกลุ่มอาการเอ๋อที่เกิดขึ้นกับเด็ก ว่ามีสาเหตุมาจากการขาดไทรอยด์ฮอร์โมน ที่แยกออกมาเป็น 2 สาเหตุ คือ

          1. เกิดจากตัวเด็กเองไม่มีต่อมไทรอยด์มาตั้งแต่กำเนิด หรือต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติ ไม่สามารถสร้างไทรอยด์ฮอร์โมนเองได้
          2. เกิดจากการขาดสารไอโอดีนในขณะที่แม่ตั้งครรภ์ หรือแม่เป็นโรคที่ขาดสารไทรอยด์ฮอร์โมน

          เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่ได้เข้าใจกันมากขึ้นถึงอาการเอ๋อ คุณหมอจึงได้อธิบายอาการไว้ดังนี้ “ตอนเด็กอยู่ในท้อง แม่จะเป็นคนให้ไทรอยด์ฮอร์โมนแก่ลูก เพราะฉะนั้นในท้องจะไม่มีปัญหา พอคลอดออกมาช่วงแรกเด็กจะออกมาเป็นปกติ เพราะยังได้รับไทรอยด์ฮอร์โมนจากแม่อยู่ จะมีอาการตอนที่ไทรอยด์จากแม่เริ่มมีระดับต่ำลง และอาการจะชัดเจนขึ้นช่วงเด็กอายุประมาณ 2-3 เดือนขึ้นไป หากปล่อยเวลาล่วงเลยเกิน 3 เดือนขึ้นไป หากไม่ได้รับการรักษาจะส่งผลให้สมองพิการถาวร มีปัญหาเรื่องระบบประสาทกล้ามเนื้ออ่อนแรง แขนขาเกร็ง ตัวเล็ก ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ในที่สุด[1]

          อ่านต่อ >> อาการและการรักษาอาการเอ๋อ หน้า 2

           

          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

            นี่คือ “อาหารกลางวัน ของโรงเรียนในประเทศญี่ปุ่น” ที่ได้ชื่อว่า มีคุณภาพดีเป็นอันดับ 1 ของโลก!

            อาหารกลางวันสำหรับเด็ก …การรับประทานอาหารสำหรับวัยเด็กนั้นถือเป็นเรื่องที่สำคัญต่ออนาคตของพวกเขามากๆ โดยเฉพาะมื้อกลางวันที่จะช่วยให้พวกเขาสามารถมีพลังงานที่จะเรียนรู้และเล่นซนได้ตลอดทั้งวัน

            อาหารกลางวันสำหรับเด็ก ของโรงเรียนในประเทศญี่ปุ่น ที่ได้ชื่อว่า มีคุณภาพดีเป็นอันดับ 1 ของโลก!

            เด็กวัยเรียน เป็นวัยที่ร่างกายมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วอาหารเป็นปัจจัย สำคัญต่อโครงสร้างร่างกายสติปัญญาและสุขภาพของเด็กควรกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ แต่ละหมู่ให้มีความหลากหลายและเพียงพอเพื่อให้เด็กวัยเรียน สมองดีฉลาดเรียนรู้เร็ว สถานการณ์ภาวะโภชนาการวัยเรียน 2 แนวทางการอาหารกลางวันเด็กวัยเรียน เมนูอาหารจานเดียวทางเลือกมีพัฒนาการได้อย่างเหมาะสมตามวัย มีการสร้างภูมิต้านทานโรคไม่เจ็บป่วยบ่อย ร่างกายเจริญเติบโตสมส่วน และระบบต่างๆ ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

            อาหารกลางวันสำหรับเด็ก

            สารอาหารที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตของเด็กวัยเรียน

            1. พลังงาน มีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตและการทำงานของเซลล์ในระบบต่างๆ เช่น ระบบหายใจ ระบบประสาท การไหลเวียนของโลหิตการรักษาอุณหภูมิของร่างกายและการทำกิจกรรมต่างๆ สารอาหารหลักที่ให้พลังงาน ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต ไขมัน

            • คาร์โบไฮเดรต เป็นแหล่งพลังงานของสมอง ตับ และกล้ามเนื้อ แหล่งอาหารที่ให้คาร์โบไฮเดรต ได้แก่อาหารประเภทข้าว-แป้ง เช่น ข้าวเจ้า ข้าวเหนียว ก๋วยเตี๋ยว ขนมปัง ขนมจีน เผือกมัน น้ำตาล หากกินมากเกินมีโอกาสเป็นโรคอ้วนได้
            • ไขมัน เป็นแหล่งพลังงาน สร้างความอบอุ่นให้แก่ร่างกาย ช่วยการดูดซึมวิตามินที่ละลายในไขมัน ได้แก่ วิตามินเอ วิตามินอี วิตามินดี และวิตามินเค แหล่งอาหารไขมัน ได้แก่ น้ำมัน กะทิเนย ไขมันสัตว์และนม ถ้าบริโภคมากเกินไปจะทำให้มีไขมันสะสมอยู่ในร่างกาย น้ำหนักเพิ่มและมีโอกาสเป็นโรคอ้วน ถ้าบริโภคไขมันน้อยเกินไป เด็กจะมีการเจริญเติบโตบกพร่อง และลดการดูดซึมวิตามินที่ละลายในไขมัน

            2. โปรตีน มีความสำคัญต่อการสร้างกระดูก กล้ามเนื้อ และอวัยวะต่างๆ ในร่างกายทำให้มีการเจริญเติบโต ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ สร้างภูมิคุ้มกันโรคฮอร์โมน และใช้เป็นแหล่งพลังงานของร่างกายเมื่อร่างกายได้รับสารอาหาร คาร์โบไฮเดรตและไขมันไม่เพียงพอ การขาดโปรตีนทำให้เตี้ย แคระแกร็น กล้ามเนื้อลีบ ภูมิต้านทานต่ำ สติปัญญาต่ำ และเรียนรู้ช้า ซึ่งไม่สามารถแก้ไขให้กลับคืนมาเป็นปกติได้แม้ว่าจะได้รับการแก้ไขแล้วก็ตาม

            • แหล่งอาหารของโปรตีน ได้แก่ เนื้อสัตว์ต่างๆ ไข่ นม ถั่วเมล็ดแห้ง อย่างไรก็ตาม หากได้รับพลังงานไม่เพียงพอ ร่างกายจะใช้โปรตีนให้เกิดพลังงาน แทนการนำไปใช้สร้างกล้ามเนื้อ กระดูก และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย เป็นผลให้การเจริญเติบโตไม่เต็มที่แนวทางการอาหารกลางวันเด็กวัยเรียน เมนูอาหารจานเดียวทางเลือก 5

            3. แคลเซียม มีความสำคัญต่อการสร้างกระดูกและฟัน เป็นผลให้มีการเจริญเติบโตและกระดูกแข็งแรง หากขาดแคลเซียมทำให้มีอาการชารอบปากปลายมือ ปลายเท้า และเป็นตะคริว การเจริญเติบโตชะงัก ความหนาแน่นของกระดูกต่ำเป็นผลให้ของกระดูกไม่แข็งแรง ถ้าขาดแคลเซียมเรื้อรังมีโอกาสเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน

            • แหล่งแคลเซียมได้แก่ นมและผลิตภัณฑ์นม ปลาและสัตว์ตัวเล็กที่กินได้ทั้งกระดูก ถั่วเหลืองและเต้าหู้แข็ง ผักใบเขียวบางชนิด เช่น ผักคะน้า ผักกวางตุ้ง

            4. ธาตุเหล็ก มีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตทั้งทางร่างกายและสมอง การสร้างเม็ดเลือดแดง และมีผลต่อความสามารถในการเรียนรู้ของเด็กการเจริญเติบโตของเด็กวัยเรียนเป็นระยะที่มีการเจริญเติบโตด้วยอัตราเร่ง (growth spurt) ในระยะนี้ร่างกายจะมีการสร้างเม็ดเลือดอย่างรวดเร็ว เพื่อให้ปริมาณของเลือดเพียงพอกับการขยายตัวของพลาสม่าเพื่อรักษาระดับความเข้มข้นของฮีโมโกลบินไว้ในเด็กที่ขาดธาตุเหล็กจะมีภาวะโลหิตจาง ส่งผลเสียต่อศักยภาพการเรียนรู้ทำให้เด็กไม่สามารถเรียนรู้ได้เท่ากับเด็กปกติ

            • แหล่งอาหารของธาตุเหล็กได้แก่ตับ เนื้อสัตว์ต่างๆ โดยเฉพาะเนื้อแดง เลือดสัตว์ต่างๆ เช่น เลือดหมูเลือดไก่

            5. ไอโอดีน มีความสำคัญต่อการสร้างฮอร์โมนของต่อมธัยรอยด์ ช่วยกระตุ้นระบบประสาทและสมองให้เจริญเติบโต มีผลต่อสติปัญญาและการเรียนรู้หากขาดไอโอดีนทำให้สติปัญญาบกพร่อง การเรียนรู้ช้า การเจริญเติบโตชะงัก

            • ไอโอดีน พบมากในอาหารทะเลทั้งพืชและสัตว์ เช่น สาหร่ายทะเล ปลาสีกุนปลาทู ปลาสำลีกุ้งแห้ง และปัจจุบันมีการเสริมไอโอดีนในเครื่องปรุง เช่น เกลือ น้ำปลา ซอสปรุงรส และอื่นๆ โดยสามารถสังเกตจากข้อความบนสินค้า

            อ่านต่อ >> อาหารกลางวันสำหรับเด็ก ของโรงเรียนในประเทศญี่ปุ่น ที่ได้ชื่อว่า มีคุณภาพดีเป็นอันดับ 1 ของโลก” คลิกหน้า 2

            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

             

              อาการผิดปกติของทารก

              อาการผิดปกติของทารก ที่ต้องพบแพทย์

              ลูกคือแก้วตาดวงใจของพ่อแม่ และหากขอพรได้ข้อหนึ่ง เชื่อว่าพ่อแม่ในทุกครอบครัวต่างก็ปราถนาที่จะให้ลูกๆ ของตัวเอง มีความพร้อมสมบูรณ์แข็งแรงกันตั้งแต่แรกคลอดใช่ไหมคะ ทีมงาน Amarin Baby & Kids มี อาการผิดปกติของทารก ที่พ่อแม่ควรต้องพาลูกไปพบแพทย์ในทันที มาให้ได้ทราบกันค่ะ

               

              อาการผิดปกติของทารก

              มีแม่ๆ หลายคนเขียนอีเมลเข้ามาเล่าให้ทีมงานฟังว่า ในช่วงระหว่างที่ลูกอยู่ในวัยทารก  มีปัญหาของสุขภาพแทรกซ้อนขึ้นมาหลายอย่างจนเกือบจะต้องเสียลูกไป แต่สุดท้ายก็ผ่านมาได้ด้วยกำลังใจ ความเข้มแข็งที่จะเอาชนะอุปสรรคที่มีเข้ามา และการเชื่อฟังอยู่ในความดูแลของคุณหมออย่างใกล้ชิด ทำให้สามารถผ่านช่วงเวลาเลวร้ายเหล่านั้นมาได้ แต่ถึงจะปลอดภัยก็ต้องมารอลุ้นในช่วงวันคลอดลูกกันอีกครั้งว่าจะมีปัญหาแทรกซ้อนอะไรเกิดขึ้นกับลูกอีกหรือไม่

              และเรื่องที่คุณพ่อคุณแม่กังวลกันมากคือ ในวันที่ลูกคลอดมาแล้ว หรือหลังจากที่พาลูกแรกคลอดกลับมาบ้าน จะมีอาการอะไรบ้างที่ควรต้องเป็นกังวลหากเกิดขึ้นกับลูก เอาเป็นว่าก่อนไปดูกันสักนิดว่าตั้งแต่วินาทีแรกที่ลูกคลอดออกมา เสียงร้องของลูกสามารถบอกสุขภาพอะไรให้พ่อแม่ได้รู้กันบ้าง

              1. หากลูกแรกคลอดร้องเสียงร้องแหบห้าวหรือแหลมสูง อาจจะมีปัญหาเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจแต่กำเนิด
              2. หากลูกแรกคลอดร้องเสียงร้องฮืดๆ อาจเกิดจากความผิดปกติของหน้าและลำคอ หรือการอุดตันของทางเดินหายใจส่วนบน
              3. หากลูกแรกคลอดร้องเสียงแหบห้าว เสียงร้องเบา หรือไม่ร้อง อาจเป็นผลจากมีพยาธิสภาพในระบบประสาทส่วนกลาง ร้องเบาหรือไม่ร้องอาจเป็นเพราะเด็กไม่หายใจ[1]
              สำหรับอาการผิดปกติจากเสียงร้อง เมื่อแพทย์และพยาบาลเช็กดูแล้วตั้งแต่ตอนที่อยู่ในห้องคลอด หากพบว่ามีปัญหาเกิดขึ้นกับทารก ก็จะได้รับการดูแลรักษาทันทีอย่างใกล้ชิดค่ะ

              อ่านต่อ >> อาการผิดปกติของลูกวัยทารก ควรไปพบหมอ หน้า 2 

               

              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                เด็กหญิงในสงคราม

                “ดัชนีของความสุข” ไม่ได้วัดกันที่เงินตรา แต่วัดกันที่รอยยิ้ม

                ลูกรัก…
                หากลูกกำลังคิดว่า ตัวเองโชคไม่ดีที่พ่อแม่ไม่ร่ำรวย

                โชคไม่ดีที่ไม่มีรถคันใหญ่ โชคไม่ดีที่ไม่มีไอแพดรุ่นใหม่ไว้นั่งเล่น

                โชคไม่ดีที่ไม่มีชุดสวยแบรนด์ดัง โชคไม่ดีที่ไม่ได้กินไอศกรีม หรืออาหารอร่อยๆ ในโรงแรม แล้วละก็ …

                จงเงยหน้าน้อยๆ เศร้าๆ ของหนู แล้วโปรดฟังแม่!!
                แม่อยากบอกหนูเหลือเกินว่า ยังมีเด็กอีกหลายคนบนโลกใบนี้ที่โชคร้ายกว่าหนูมาก

                เด็กที่กินอาหารที่เลือกเมนูไม่ได้ กินเพื่อประทังชีวิตไปได้แต่ละมื้อ

                เด็กที่ใส่เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง เสื้อผ้าเก่าตัดปะ

                เด็กที่ไม่มีบ้าน ไม่มีหลังคาคุ้มแดด ฝน

                เด็กที่มีแต่พ่อไม่มีแม่ มีแต่แม่ขาดพ่อ หรือไม่มีทั้งพ่อแม่ ไว้คอยกอด คอยรัก หรือปลอบประโลมยามทุกข์ท้อ

                หนูคิดดูสิลูก หากหิว เด็กๆ เหล่านั้นจะไปหาอาหารจากไหน

                ฝนตกตัวคงเปียกหนาวสั่น เพราะไม่มีบ้านเป็นที่หลบฝน

                กลางคืนหนาวจะนอนอย่างไรหากขาดผ้าห่ม หรือแม้กระทั่งอ้อมกอดของพ่อแม่

                หากนอนฝันร้าย นอนละเมอเด็กเหล่านั้นจะมองหาอ้อมกอดจากใคร?


                ใช่แล้วลูก… หนูโชคดีมากๆ ที่มีวันนี้

                หนูโชคดีมากที่เกิดท่ามกลางความรักของพ่อแม่และคนรอบข้าง

                หนูโชคดีมากที่มีเสื้อผ้าของพี่สาว หรือรองเท้าของพี่ชาย

                หนูโชคดีมากที่มีผัก มีหมู มีไข่เจียวแสนอร่อยให้หม่ำ

                หนูโชคดีมากที่มีบ้านไว้คอยคุ้มครองป้องกันอาศัย หลบแดดหลบฝน

                หนูโชคดีเหลือเกินที่มีอ้อมแขนพ่อ อ้อมกอดแม่ กอดหนูแน่นเสมอ ไม่ว่าหนูจะต้องเจอกับอะไรบนโลกใบใหญ่ใบนี้

                หนูโชคดีเหลือเกินที่มีแม่และพ่อเป็นรอยยิ้มของหนู หนูโชคดีเหลือเกินที่ได้เป็นรอยยิ้มของพ่อและแม่

                อย่าได้คิดอีกนะลูก… ว่าเราไม่มีอย่างใครเขาแล้วเราจะโชคร้าย

                จงจำไว้ ดัชนีของความสุข ไม่ได้วัดที่เงินตรา แต่วัดกันที่รอยยิ้ม  ^_^

                #แม่บัวเพจอมรินทร์เบบี้แอนด์คิดส์

                  Tags

                  Terrible two

                  Terrible two วัย 2 ขวบ มารู้จักกับลูกวัยนี้กัน

                  คุณพ่อคุณแม่บ้านไหนลูกกำลังอยู่ในวัย 2 ขวบบ้างคะ อยากรู้จริงว่าเด็กๆ เขามี พัฒนาการด้านอารมณ์เป็นยังไงกันแล้วบ้าง ไม่รู้ว่าพ่อแม่ได้เจอลูกวีนปรี๊ดแตกใส่บ้างหรือเปล่า เพราะส่วนใหญ่แล้วเด็กที่เข้าสู่วัย 2 ขวบ มักมีการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ที่เรียกว่า Terrible two อยากรู้ไหมว่าคืออะไร ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีคำตอบมาให้ทราบกันค่ะ

                   

                  Terrible two วัย 2 ขวบ มารู้จักกับลูกวัยนี้กัน

                  เด็กๆ วัย 2 ขวบที่มักจะมีภาวะอารมณ์สองขั้วเกิดขึ้นได้ในเวลาเดียวกัน เช่น มีอารมณ์เปลี่ยนแปลงขึ้นๆ ลงๆ เดี๋ยวอารมณ์ดี อารมณ์ร้าย  อยากจะดื้องอแงก็เป็นขึ้นมาได้เฉยเลย เริ่มมีอาการเอาแต่ใจตัวเอง ร้องกรี๊ดๆ จนกว่าจะได้ของที่อยากได้  เริ่มมีความดื้อ ชอบอิสระ อยากทำ อยากได้อะไรก็ต้องขอให้ได้ทำเดี๋ยวนั้นเลย เป็นต้น ซึ่งภาวะอารมณ์ของลูกที่เป็นเช่นนี้เรียกว่า Terrible two ต้องบอกว่าเป็นช่วงวายร้าย 2 ขวบของเด็กๆ เลยก็ว่าได้  แต่คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องกังวลใจกันไปค่ะ เพราะเมื่อลูกเลยช่วงวัยนี้ไปก็จะกลับมาเป็นปกติ ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดูจากพ่อแม่ด้วย เพราะหากช่วงนี้ปรับตัวลูกได้ ก็จะไม่เป็น Terrible two ที่หนักมากไปค่ะ

                  การส่งเสริมให้ลูกได้เล่น ได้ทำกิจกรรมที่เหมาะสมกับช่วงวัยสามารถช่วยลดภาวะอารมณ์แบบ Terrible two ลงได้ ไปดูพร้อมกันค่ะว่าเด็กวัย 2 ขวบควรมีการเล่นที่เหมาะกับวัยอย่างไรได้บ้าง

                  1. ของเล่นมีไม่เล่น จะเล่นอย่างอื่น

                  ที่เป็นแบบนี้ : เพราะเขายังอยู่ในวัยที่ต้องการรู้จักสิ่งแวดล้อม เขามีผลกับสิ่งต่างๆ อย่างไร ยังเป็นช่วงทดลองอย่างต่อเนื่องจากวัยทารก เขาจึงชอบลากหรือเข็นรถเข็นไปนั่นมานี่ ทำอะไรซ้ำๆ ดึงลิ้นชักเข้า-ออก หรือผลักเก้าอี้ เปิดตู้เย็น เดินไปมาส่งของให้คนนั้นคนนี้ ทิ้งช้อนส้อมหรืออาหารลงพื้น และจะถูกใจมากถ้าพ่อแม่เก็บขึ้นมาและเขาก็ทิ้งลงไปอีก เราอาจจะดูว่าตลกทำไมต้องทำซ้ำๆ และชอบเล่นของทุกอย่างที่คุณไม่อยากให้เล่น ของเล่นมีกลับไม่เล่น

                  แม่ควรรับมืออย่างไร : พ่อแม่ต้องเข้าใจว่าลูกกำลังเรียนรู้สิ่งแวดล้อมหรือพยายามเลียนแบบคุณอยู่ และยิ่งถ้าถูกห้ามจะยิ่งท้าทาย น่าจะเป็นของสำคัญ น่าเล่นจังเลย มันต้องสนุกแน่ๆ และเป็นวัยเลียนแบบเห็นพ่อแม่ตัวยง เช่น เห็นแม่กวาดบ้าน ก็จะหยิบไม้กวาดมากวาดบ้าง หรือเห็นพ่อแม่คุยโทรศัพท์ก็อยากทำตาม ดังนั้นก็ไม่จำเป็นต้องรีบห้าม เพียงให้เขาได้ทดลองเพียงหอมปากหอมคอ แล้วเบี่ยงเบนความสนใจและหากิจกรรมอย่างอื่นให้ลูกทำจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด

                  2. อะไรอันตราย ชอบเล่นจัง

                  ที่เป็นแบบนี้ : หนูอยากสำรวจโลก อยากรู้ว่าถ้าทำอย่างนี้แล้วจะเป็นยังไงนะ

                  แม่ควรรับมืออย่างไร : ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว สำหรับเด็กๆวัย 1- 3 ปีแล้ว ถือว่าเป็นการเล่นหมด ทั้งอันตรายและไม่อันตราย เป็นการเล่นเพื่อสำรวจ เรียนรู้ เพียงแต่เขายังไม่เข้าใจว่าสิ่งนี้เป็นมีโทษต่อตัวเอง เช่น ปลั๊กไฟ หรือพัดลม เจ้าตัวเล็กก็อยากจะทดลองทั้งนั้น เอานิ้วแหย่เข้าไปแล้วจะเป็นอย่างไงนะ วิธีรับมือก็คือ คุณต้องคุยกับลูกสั้นๆ แต่น้ำเสียงหน้าตาจริงจัง เช่น “ไม่เอานิ้วแหย่ปลั๊กไฟลูก ไฟจะดูด หนูจะเจ็บตัวได้” ซึ่งเจ้าตัวเล็กก็จะเข้าใจ สำคัญที่สุดคือเราต้องบอกให้เขารู้ว่าตอนนี้เขายังทำเองไม่ได้เพราะอะไร ถ้าเรามัวแต่ห้ามเด็กก็จะไม่รู้ว่าเพราะห้ามทำไม

                  อ่านต่อ >> วัย 2 ขวบเล่นอะไรเหมาะกับภาวะอารมณ์ Terrible two หน้า 2

                   

                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                    วัคซีนสำหรับเด็กแรกเกิดจนถึงอายุ 15 ปี

                    วัคซีนสำหรับเด็กแรกเกิดจนถึงอายุ 15 ปี ที่พ่อแม่ต้องรู้

                    คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ที่เพิ่งมีลูกคนแรก เกิดความสงสัยปนไม่แน่ใจว่าจะต้องพาลูกไปฉีดวัคซีนอะไรบ้าง วัคซีนตัวไหนจำเป็น หรือไม่จำเป็นกับลูก ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีคำตอบจากคุณหมอเด็ก ที่ได้ให้ความรู้เกี่ยวกับ วัคซีนสำหรับเด็กแรกเกิดจนถึงอาย 15 ปี ที่พ่อแม่ควรรู้ เพื่อจะได้พาลูกไปรับวัคซีนกันได้อย่างถูกต้อง และครบถ้วนมาให้ทราบกันค่ะ

                     

                    วัคซีนสำหรับเด็กแรกเกิดจนถึงอายุ 15 ปี 

                    ข้อมูลรายการวัคซีนเด็กที่จะต้องเริ่มให้ลูกได้รับตั้งแต่ช่วงแรกเกิดจนถึงลูกอายุ 15 ปี ทางคุณหมอกัลย์สุดา อริยะวัตรกุล กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และเจ้าของเพจ Hormone for Kids by Dr.OrN  ได้มาสรุปแชร์ข้อมูลที่ดีมากๆ นี้ไว้ในพันทิป ซึ่งคุณหมอได้แบ่ง วัคซีนสำหรับเด็กแรกเกิดจนถึงอายุ 15 ปี ออกเป็นแต่ละช่วงอายุ และแบ่งวัคซีนออกเป็น 2 ประเภท คือ

                    1) วัคซีนจำเป็น หรือวัคซีนพื้นฐาน คือ วัคซีนที่เด็กทุกคนจะได้รับตามโปรแกรมที่กำหนด โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย (หากรับบริการที่รพ.รัฐบาล)

                    2) วัคซีนทางเลือก หรือวัคซีนเสริม คือ วัคซีนที่มีประโยชน์สำหรับเด็กไทย และสามารถให้เพิ่มเติมได้เพื่อป้องกันโรค แต่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเอง เพราะเนื่องจากวัคซีนยังมีราคาสูง

                    อ่านต่อ >> วัคซีนที่ลูกต้องได้รับตั้งแต่แรกเกิดถึง 15 ปี หน้า 2 

                     

                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                      เครื่องวัดอุณหภูมืการอาบน้ำ-แคร์

                      แคร์ บาร์ทเทอร์โมมิเตอร์ หรือ เครื่องวัดอุณหภูมิการอาบน้ำ

                      เด็กทารกมีผิวที่บอบบางกว่าผิวผู้ใหญ่ มีความไวต่อปัจจัยการระคายเคืองต่างๆ ได้ง่ายกว่า อุณหภูมิของน้ำที่ใช้อาบเด็กแรกเกิดเป็นอีกหนึ่งปัจจัยหลัก ที่อาจทำให้ผิวเด็กทารกเกิดการระคายเคืองได้ ถ้าร้อนเกินไปอาจทำให้ผิวแสบ แดง แห้ง ระคายเคือง หนาวเกินไปก้ออาจทำให้ ไม่สบายตัว เมื่อเกินอาการเหล่านี้อาจทำให้เด็กทารกกลัวการอาบน้ำ และอาจเกิดอาการ งอแง พยายามหลีกเลี่ยงที่จะอาบน้ำในอนาคต ซึ่งจะทำให้คุณแม่อาบน้ำลูกน้อยได้ยากมากขึ้น

                      เครื่องวัดอุณหภูมิการอาบน้ำ แคร์ บาร์ทเทอร์โมมิเตอร์ ตัวช่วยคุณแม่มือใหม่

                      ซึ่งคุณแม่ทุกคน ต้องการความมั่นใจว่า ลูกน้อยได้รับการดูและปกป้อง เพื่อให้ลูกน้อยมีความสุขตลอดเวลา รวมถึงช่วงเวลาอาบน้ำ ดังนั้น เวลาอาบน้ำคุณแม่ จะพยายามทดสอบอุณหภูมิด้วยการเอามือจุ่มลงไปในอ่างอาบน้ำ ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับคุณแม่ โดนเฉพาะคุณแม่มือใหม่ที่จะทราบว่าอุณหภูมิที่พอดี คือเมื่อไหร่ และอุณหภูมิที่มือผู้ใหญ่สามารถรับได้สูงกว่าเด็กทารก อุณหูมิที่เหมาะกับเด็กทารก จะอยู่ที่ประมาณ 36C ในขณะที่ผู้ใหญ่จะอยู่ที่ 40C (ข้อมูลจาก the World Health Organization) ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่มีเด็กทารกจำนวนมากรอบโลกที่ต้องเข้า รพ เพราะผิวที่ระคายเคือง จากการอาบน้ำที่ร้อนเกินไป

                      ผลิตภัณฑ์ครีมอาบน้ำ แคร์ ในฐานะผลิตภัณฑ์ที่ดูแล ปกป้องผิวของเด็กทารกอย่างอ่อนโยน เพื่อให้ลูกน้อยมีความสุข เพราะความสุขของลูกน้อยคือของขวัญที่ดีที่สุด ของคุณแม่ทุกคน จึงขอแนะนำ “แคร์ บาร์ทเทอร์โมมิเตอร์ หรือ เครื่องวัดอุณหภูมิการอาบน้ำ เพื่อให้คุณแม่ใช้วัดอุณหภูมิของน้ำที่อาบให้กับลูกน้อยว่าอยู่ในอุณหภูมิ ที่เหมาะสมที่ 36c อย่างแม่นยำ

                      ซึ่งเครื่องวัดอุณหภูมินี้จะติดอยู่บนขวดครีมอาบน้ำ แคร์ เพียงแค่จุ่มขวดครีมอาบน้ำ แคร์ เครื่องวัดอุณหภูมิจะวัดอุณหภูมิน้ำ เมื่อน้ำร้อนพอดีที่ 36c  แถบสีเขียวจะขึ้น หากน้ำร้อนเกินไปจะขึ้นสีแดง ถ้าเย็นไปจะขึ้นสีฟ้า

                      ด้วย เครื่องวัดอุณหภูมิการอาบน้ำ จากแคร์ จะช่วยให้คุณแม่สามารถมั่นใจได้ว่าคุณแม่ปกป้องและได้มอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกน้อยขณะอาบน้ำ และทำให้คุณแม่กับลูกน้อยมีช่วงเวลาอาบน้ำที่มีความสุข เพลิดเพลิน ซึ่งเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขที่คุณแม่ทุกคนอยากมีกับลูกน้อย

                      โดยทางผลิตภัณฑ์แคร์ จะแจก เครื่องวัดอุณหภูมิการอาบน้ำ ฟรี เมื่อซื้อผลิตภัณฑ์ครีมอาบน้ำแคร์ขนาด 500 มล โดยจะเริ่มวางขายในอีกไม่นานนี้

                      เครื่องวัดอุณหภูมิการอาบน้ำ

                        แมลงสาบ ภัยเงียบ ทำลูกป่วยภูมิแพ้

                        แมลงสาบ ภัยเงียบ ทำลูกป่วยภูมิแพ้

                        รู้หรือไหมว่า บ้านเรือนที่อยู่อาศัยก็สามารถเป็นสถานที่ก่อโรคให้กับเด็กๆ รวมถึงทุกคนในครอบครัวได้เหมือนกัน ยิ่งถ้าบ้านไหนมีขยะเต็มถังไม่ยอมทิ้ง ทานข้าวอิ่มแล้วไม่ล้าง แช่จานทิ้งไว้ในอ่าง ฯลฯ ขอบอกว่าเป็นอาหารชั้นดีของแมลงสาบ ทีมงาน Amarin Baby & Kids จะพาไปให้รู้ว่า แมลงสาบ ภัยเงียบ ทำลูกป่วยภูมิแพ้ ได้อย่างไรกันนะ!!

                         

                        แมลงสาบ ภัยเงียบ ทำลูกป่วยภูมิแพ้  คืออะไร?

                        โรคภูมิแพ้  เกิดจากปฏิกิริยาตอบสนองทางระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแบบไวเกินต่อสารก่อภูมิแพ้ (allergen) ซึ่งในคนปกติไม่เกิดอาการใดๆ แต่ในคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ เมื่อได้รับสารนั้นจะกระตุ้นให้ร่างกายมีการสร้าง immunoglobulin E (IgE) มากเกินไป มีผลทำให้เซลล์ต่างๆ ทำงานมากขึ้น เกิดการอักเสบและมีการหลั่งสารเคมีชนิดต่างๆ ที่รู้จักกันดีคือสาร histamine  ทำให้เกิดอาการแพ้และมีอาการแสดงต่างๆ แล้วแต่ว่าจะเกิดกับอวัยวะใด  ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ทุกระบบและทุกวัย[1]

                        อ่านต่อ >> แมลงสาบทำลูกป่วยภูมิแพ้ หน้า 2

                         

                        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                          เคล็ดลับ ฝึกลูกนอนเป็นเวลา ช่วยพัฒนาการดี

                          การนอนหลับที่มีคุณภาพช่วยให้สุขภาพดีทั้งต่อระยะสั้น และระยะยาว โดยเฉพาะกับลูกที่พ่อแม่ควรส่งเสริมให้นอนหลับอย่างเต็มอิ่ม และหลับอย่างมีคุณภาพกันตั้งแต่ที่พวกเขายังเป็นเด็กเล็ก ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีเคล็ดลับ ฝึกลูกนอนเป็นเวลา ช่วยพัฒนาการดี มาบอกให้ทุกครอบครัวที่มีลูกได้ทราบ และลองนำไปฝึกกับลูกๆ ที่บ้านกันค่ะ

                           

                          ฝึกลูกนอนเป็นเวลา ช่วยพัฒนาการดีได้อย่างไร?

                          อาหารคือหนึ่งในปัจจัยสี่ที่ช่วยให้เด็กๆ สามารถเจริญเติบโตขึ้นได้อย่างสมวัย แต่ก็ไม่ใช่เพียงแค่อาหารอย่างเดียวเท่านั้นที่ สำคัญกับเด็ก เพราะยังมีปัจจัยอื่นๆ ช่วยส่งเสริมให้พวกเขามีพัฒนาการสมวัยรอบด้าน นั่นก็คือการได้พักผ่อนนอนหลับสนิทอย่างเต็มที่

                          พ่อแม่รู้ไหมว่าลูกแรกเกิดวัยทารกจะใช้เวลาส่วนใหญ่กับการนอนมากถึง 16-18 ชั่วโมงต่อวัน โดยที่ลูกจะนอนสั้นๆ 1-2 ชั่วโมง แต่นอนหลายรอบ ซึ่งเด็กทารกจะยังไม่สามารถแยกได้ว่านี่คือกลางวัน หรือกลางคืน ดังนั้นจะเห็นว่าทารกทุกคนส่วนใหญ่จะนอนกลางวัน แต่ไปตื่นช่วงกลางคืนบ่อย  แต่เมื่อลูกอายุได้ 6 เดือนขึ้นไป ธรรมชาติการนอนจะเปลี่ยนไป คือ ลูกนอนกลางวันน้อยลง และไปนอนช่วงกลางคืนนานขึ้น

                           

                          Must Read >> อาการนอนผวาในทารก สาเหตุ และวิธีแก้ไข

                           

                          การนอนหลับของลูกในช่วงกลางคืนที่มีประสิทธิภาพจะส่งผลให้ฮอร์โมนแห่งการเจริญเติบโต(Growth Hormone) หลั่งออกมาได้ดี ซึ่งโกรทฮอร์โมนนี้มีผลต่อพัฒนาการด้านร่างกายของลูก ที่จะเจริญเติบโตได้อย่างสมวัย นอกจากนี้การนอนหลับที่มีประสิทธิภาพยังสามารถช่วยซ่อมแซมร่างกายส่วนที่สึกหรอไปให้ฟื้นฟูกลับมาแข็งแรง ที่สำคัญมากอีกอย่างก็คือช่วยให้เด็กๆ มีสมองในการเรียนรู้ และจดจำได้อย่างแม่นยำมากขึ้น

                           

                          เคล็ดลับ ฝึกลูกนอนเป็นเวลา

                          อย่างที่บอกไปค่ะว่าเมื่อลูกอายุได้ 6 เดือนขึ้นไป เขาจะนอนหลับกลางวันลดชั่วโมงลงมา และจะมีชั่วโมงการนอนหลับช่วงกลางคืนมากขึ้น ซึ่งโดยปกติเด็กจะสามารถนอนหลับยาวช่วงกลางคืนนานถึง 9 ชั่วโมง แต่การนอนหลับสนิทตลอดคืนอาจไม่ได้เป็นกับเด็กทุกคนเสมอไป เพราะกับเด็กบางคนอาจนอนหลับได้ไม่ดีเท่าไหร่ในช่วงกลางคืน อาจมีตื่นขึ้นมากลางดึกบ่อยๆ  การที่ลูกนอนหลับไม่สนิทย่อมส่งผลต่อพัฒนาการในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น พัฒนาการด้านร่างกาย พัฒนาการด้านการเรียนรู้ พัฒนาการด้านอารมณ์ เป็นต้น  ดังนั้นเพื่อให้การนอนหลับของลูกมีคุณภาพ และมีประสิทธิภาพ พ่อแม่สามารถช่วยฝึกลูกนอนเป็นเวลาได้ค่ะ

                          1. 10-30 นาทีก่อนนอน ช่วงเวลาคุณภาพ

                          การอ่านนิทานให้ลูกฟังก่อนนอน หรือจะเปิดเป็นเพลงกล่อมเด็กจังหวะเบาๆ ประมาณ 10-30 นาที พ่อแม่รู้ไหมว่าดีต่อคลื่นสมองของลูกมาก นั่นเพราะจะช่วยให้ลูกผ่อนคลาย และเคลิ้มหลับได้ง่ายขึ้น

                          2. ลูกวัย 1-3 เดือน ต้องการความอุ่นใจ

                          ตอนที่ลูกยังอยู่ในช่วงหลังคลอดมาได้ 1-3 เดือน ลูกต้องปรับตัวอย่างมากกับความเปลี่ยนแปลงที่ต่างไปจากโลกภายในครรภ์ของคุณแม่ โดยเฉพาะเรื่องเวลาการนอนที่ลูกจะไม่รู้ว่านี่คือกลางวัน หรือนี่คือกลางคืน บางครั้งก็จะร้องไห้งอแงไม่ยอมนอน ซึ่งสิ่งที่ดีที่สุดคือควรทำให้ลูกรู้สึกอบอุ่น และปลอดภัยอยู่ตลอดเวลา พ่อแม่สามารถทำให้ลูกได้ก็คือ การโอบกอด การลูบหลัง หรือตบก้นลูกเบาๆ เพื่อให้ลูกรู้สึกว่ามีสัมผัสรักที่คุ้นเคยจากพ่อแม่ช่วยปลอบประโลมอยู่ใกล้ๆ ตลอดเวลา ก็จะทำให้ลูกผ่อนคลาย และหลับได้เร็วขึ้น

                          3. ฝึกนอนได้ตั้งแต่เวลากลางวัน

                          ในช่วงที่ลูกยังแบเบาะอยู่ เขาจะนอนทั้งวันเป็นปกติอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นอาจจะเริ่มฝึกให้เขานอนเป็นเวลาในช่วงกลางวันก่อน อาจยังหลอกล่อด้วยจุกนมหลอกๆ ได้ แต่ถ้าหลังลูกน้อยอายุ 6 เดือนไปแล้วไม่แนะนำให้ใช้จุกหลอกนี้ในเวลานอนตอนกลางคืน เพราะหากเขาผวาตื่นขึ้นมาแล้วจุกหลอกไม่อยู่กับเขา เขาจะร้องไห้และทำให้หลับยากขึ้น แนะนำให้ก่อนนอนวางตุ๊กตาผ้า หรือผ้าห่มอุ่นๆ แนบตัวเขาแทนจะดีกว่า เพราะถ้าเขาตื่นมาเมื่อไหร่แต่มองไปยังเห็นตุ๊กตาหรือยังอยู่ใต้ผ้าห่มอุ่นๆ เขาก็จะไม่ผวาจนตกใจและอาจจะหลับต่อเองได้[1]

                          4. ไม่ควรให้ลูกกินอิ่มมากไปก่อนนอน

                          พ่อแม่หลายคนเชื่อว่าหากลูกกินอิ่มจะช่วยให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น แต่ในความเป็นจริง การให้ลูกกินนม หรืออาหารเสริมอื่นอิ่มมากไปก่อนเข้านอน จะทำให้ลูกหลับได้ยากขึ้น เพราะรู้สึกอึดอัดท้องไม่สบายตัว

                          การลดปริมาณนมให้น้อยลงต่อคืน ในลูกที่อายุ 6 เดือนขึ้นไป จะเป็นผลดีต่อคุณภาพการนอนช่วงกลางคืนของลูก เนื่องจากไม่ต้องตื่นขึ้นมาร้องงอแงกลางดึกเพราะผ้าอ้อมเปียกเต็มไปด้วยปัสสาวะ

                          อ่านต่อ >> เคล็ดลับช่วยลูกนอนเป็นเวลา หน้า 2 

                           

                          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                            10 เมนูคลายร้อน จากผักผลไม้ เพื่อลูกน้อยโดยเฉพาะ

                            เมนูคลายร้อน จากผักผลไม้ เพื่อลูกน้อย …อากาศร้อนแบบนี้ ไม่ว่าผู้ใหญ่หรือเด็กก็คงไม่มีใครทนไหว โดยเฉพาะเด็กเล็กๆ จะรู้สึกร้อนง่ายกว่า ดังนั้นแล้วเพื่อเป็นการคลายร้อน ซึ่งนอกจากการนอนตากแอร์ เป่าพัดลม หรือเล่นน้ำแล้ว อาหารก็เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่สามารถช่วยคลายร้อนได้ โดยเฉพาะของหวานเย็น ๆ

                            รวม เมนูคลายร้อน จากผักผลไม้ เพื่อลูกน้อยโดยเฉพาะ

                            เมนูคลายร้อน

                            เนื่องจากบ้านเราอากาศร้อน การดื่มน้ำเย็นหรือรับประทานอาหารเย็นๆ จะช่วยทำให้ดับกระหาย คลายความร้อนได้เป็นอย่างดี ซึ่งลูกน้อยสามารถเริ่มดื่มน้ำเย็นตอนไหนก็ได้ (6 เดือนแรกควรเป็นนมแม่อย่างเดียว) แต่เพื่อความสะดวกและปลอดภัยน่าจะให้ดื่มเมื่ออายุเกิน 1 ปีขึ้นไป เพราะช่วงเวลานั้นลูกสามารถดื่มน้ำแบบเดียวกับผู้ใหญ่ได้แล้ว

                            สำหรับ ผลไม้แช่แข็ง เป็นตัวเลือกที่ดีของวัยคันเหงือกที่ฟันกำลังขึ้น ผลไม้อ่อนนุ่มหั่นเป็นแท่งแช่แข็ง เช่น ส้ม แตงโม มะละกอ ฝรั่ง ผลไม้เย็นๆ จะช่วยลดอาการบวมของเหงือกและทำให้รู้สึกชา ให้อมๆ กัดๆ เคี้ยวเล่น โดยเลือกชิ้นเล็กๆ เพื่อให้กัดง่าย และที่สำคัญคุณแม่ต้องดูแลอย่างใกล้ชิดขณะที่ให้ผลไม้แช่เย็นด้วยค่ะ เพราะการกินหรือดื่มอะไรที่เย็นจัด จะทำให้ให้ขีดความสามารถในการทำงานของสมองลดลง

                            ส่วนไอศกรีมหวานๆ เย็นๆ ยังไม่แนะนำเอามาป้อนให้ลูกน้อยในขวบปีแรก เพราะนอกจากความเย็นจัดแล้วยังมีน้ำตาลมาก ซึ่งอาจทำให้เด็กติดรสชาติหวาน หรืออาจมีส่วนผสมที่ทำให้ลูกแพ้อาหารได้ เช่น ส่วนผสมที่ทำจากถั่ว สีผสมอาหารหรือสารแต่งกลิ่น รสชาติเทียม

                            ♥ บทความแนะนำอ่านคลายร้อน ^^ : Milk food เมนูอาหารเสริมที่ทำจากนมแม่
                            ♥ บทความแนะนำอ่านคลายร้อน ^^ : รีวิว โยเกิร์ต ยี่ห้อไหนดี เพื่อลูกน้อยและทุกคนในครอบครัว
                            ♥ บทความแนะนำอ่านคลายร้อน ^^ : 10 ขนมเด็ก สุขภาพดีก็มีในโลก

                            ซึ่งผลไม้แช่แข็ง ไอศกรีมและของหวานเย็นๆ ถือเป็นของว่างที่คุณแม่สามารถนำมาให้ลูกน้อยกินได้ แต่ควรอยู่ในเกณฑ์การกินตามที่คุณหมอแนะนำ (อ่านต่อ : “มื้อแรกของลูก” อาหารเสริมตามวัย เริ่มอย่างไรจึงจะดี?)

                            ดังนั้น Amarin Baby & Kids จึงขอชวนคุณแม่มาทำ เมนูคลายร้อน จากผักผลไม้ให้ลูกน้อยกินกันดีกว่าค่ะ ซึ่งทั้งง่ายและลูกน้อยได้ประโยชน์อย่างเต็มเปี่ยมจากผักผลไม้ได้อีกด้วย ซึ่งทั้ง 10 เมนูคลายร้อน อะไรให้คุณแม่ได้ลองทำให้ลูก ๆ กินบ้างไปดูกันเลยค่ะ

                            อ่านต่อ >> รวม 10 เมนูคลายร้อนจากผักผลไม้ เพื่อลูกน้อยตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป คลิกหน้า 2

                            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                             

                              ลูกกินน้ำผึ้ง เสียชีวิต

                              เด็กชายญี่ปุ่นวัย 6 เดือน เสียชีวิตด้วยโรคโบทูลิซึมในทารก เพราะน้ำผึ้งเป็นเหตุ!

                              ลูกกินน้ำผึ้ง เสียชีวิต  เตือนแม่! “น้ำผึ้งดี…มีประโยชน์” แต่อาจทำให้ลูกน้อยเสียชีวิตได้ ด้วยโรคโบทูลิซึมในทารก เพราะมีเชื้อ Clostridium botulinum ผสมอยู่

                              “น้ำผึ้งดี…มีประโยชน์” แต่ ลูกกินน้ำผึ้ง เสียชีวิต ได้
                              เพราะเชื้อ Clostridium botulinum

                              ลูกกินน้ำผึ้ง เสียชีวิต

                              มีงานวิจัยที่บอกว่า การกินน้ำผึ้ง เป็นประจำจะช่วยเรื่องความจำ ทำให้ผิวสวย แก้หวัดร้อนใน ตลอดจนช่วยเรื่องรักษาแผลในกระเพาะอาหาร แต่สำหรับลูกน้อย หากให้เริ่มกินน้ำผึ้งเร็วเกินไป ก็อาจส่งผลร้ายกับลูกน้อยได้

                              โดย เว็บไซต์ anngle ระบุว่า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับเด็กชายญี่ปุ่นวัย 6 เดือน เสียชีวิต เนื่องจากดื่มน้ำผลไม้ผสมน้ำผึ้งที่มีเชื้อ Clostridium botulinum อยู่ ซึ่งเพราะต้องการให้ลูกดื่มเพื่อหย่านม ซึ่งเรื่องราวนี้เกิดขึ้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เด็กชายวัย 6 เดือน ได้เริ่มมีอาการไอ และต่อมา วันที่ 20 กุมภาพันธ์ ได้มีอาการแย่ลง และพบว่ามีอาการชัก ระบบหายใจล้มเหลว พ่อแม่จึงนำตัวส่งโรงพยาบาลเพื่อตรวจรักษา และเด็กชายก็เสียชีวิตลงในวันที่ 30 มีนาคมที่ผ่านมา

                              ซึ่งจากการตรวจสอบ พบว่าตั้งแต่เมื่อกลางเดือนมกราคม คนในครอบครัวของเด็กชายได้ซื้อน้ำผึ้งมาผสมกับน้ำผลไม้ให้เด็กชายดื่มทุกวัน วันละประมาณ 2 ครั้ง โดยหวังเพื่อจะให้เด็กหย่านมแม่ และเพราะคิดว่าน้ำผึ้งนั้นดีต่อสุขภาพ  ซึ่งเมื่อทำการตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการแล้ว ก็พบเชื้อ Clostridium botulinum จากอุจจาระของเด็กชาย ซึ่งน้ำผึ้งที่เก็บไว้ก็อยู่ภายในบ้านของเด็กชายดังกล่าว

                              ลูกกินน้ำผึ้ง เสียชีวิต

                              และเมื่อวันที่ 7 เมษายน จากการเสียชีวิตของเด็กชายวัย 6 เดือน ก็ได้ถูกวินิจฉัยสาเหตุ ว่าเกิดจาก “โรคโบทูลิซึมในทารก (Infant botulism)” ซึ่งโรคนี้เกิดจากการเจริญของเชื้อ Clostridium botulinum และสร้างสารพิษโบทูลิซึมในทางเดินอาหารของทารก ซึ่งทางเดินอาหารของทารกมีปัจจัยสำคัญ ที่เหมาะสมในการเจริญของเชื้อ เพราะการพัฒนาการเคลื่อนไหวยังไม่ดีและความเป็นกรดต่ำ

                              ซึ่งทางการแพทย์ ได้แนะนำว่าไม่ให้เด็กอายุต่ำกว่า 1 ขวบ กินน้ำผึ้งโดยเฉพาะที่อายุน้อยกว่า 6 เดือน พัฒนาการของระบบย่อยอาหารยังไม่สมบูรณ์เต็มที่ แบคทีเรียซึ่งเข้าสู่ทางเดินอาหารได้แล้ว จึงสามารถแบ่งตัวสร้างสปอร์ และปล่อยพิษออกมาได้ เพราะในลำไส้ของคนเราอยู่ในสภาวะที่ไม่มีออกซิเจน โดยส่วนใหญ่แล้ว อาหารที่เป็นสาเหตุให้เกิดการติดเชื้อแบบนี้มาจากน้ำผึ้ง  ดังนั้นจึงมีข้อแนะนำว่าไม่ควรให้เด็กที่อายุน้อยกว่า 1 ขวบ กินน้ำผึ้งสดๆ เว้นแต่จะนำไปปรุงและผ่านความร้อนก่อน

                              และนอกจากนี้การเริ่มอาหารที่มีรสชาติหวานจากน้ำตาลชนิดต่างๆ ในเด็กเล็กจะทำให้มีปัญหาติดรสชาติหวาน ฟันผุ เบื่อข้าว เบื่อผัก หรืออาหารที่มีประโยชน์ ถ้ากินหวานมากจะเป็นโรคอ้วน โรคเบาหวานได้อีกด้วย

                              อ่านต่อ >> อาการของเด็กที่ได้รับเชื้อ Clostridium botulinum จากน้ำผึ้ง” คลิกหน้า 2

                              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                               

                                แม่กุ๊บกิ๊บเผย! อุ้มลูกเข้าเอว ขาโก่ง ความเชื่อโบราณผิดๆ

                                อุ้มลูกเข้าเอว ขาโก่ง …กลายเป็นเรื่องดราม่าไปเลย เมื่อคุณแม่กุ๊บกิ๊บ ออกมาบอกว่าไม่เชื่อเรื่องการอุ้มลูกแล้วจะทำให้ลูกขาโก่ง จนถูกชาวเน็ตต่อว่ากลับมา!

                                แม่กุ๊บกิ๊บเผย! อุ้มลูกเข้าเอว ขาโก่ง ความเชื่อโบราณผิดๆ

                                เรียกว่าเกิดดราม่าขึ้นมาเบาๆเลยทีเดียวจ้าเมื่อคุณแม่กุ๊บกิ๊บ สุมณทิพย์ สุดแซ่บ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้เจอกระแสที่ชาวเน็ตได้คอมเมนต์เรื่อง ขาโก่ง ของน้องเป่าเปาจนมีคำถามสงสัยกันไปต่างๆนานาๆว่าไปดัดขาลูกสาวบ้าง โตขึ้นไม่สวยบ้าง ล่าสุดคุณแม่กุ๊บกิ๊บก็ออกมาโพสต์ภาพพร้อมแคปชั่นที่เผยความจริงให้ทุกคนได้ลูกว่า แท้จริงลูกขาโก่งเพราะอะไร ซึ่งเป็นภาพขณะที่น้องเปาเปากำลังยืนขาตรงเป๊ะ พร้อมทั้งเขียนแคปชั่นว่า

                                *อุ้มเข้าเอวจะทำให้ขาโก่ง!!!!! #อีก1ความเชื่อโบราณที่ผิดๆ #ไม่เห็นจะโก่งเลอะ #เด็กเล็กห้ามดัดขาอันตรายมาก #คุณแม่มือใหม่จำไว้ความรู้ใหม่ที่ใครๆ หลายๆ คนไม่รู้ค่ะอย่าเชื่อคำใครเค้าว่ากันว่าค่ะ 😊🙏 ปล. บางครั้งเด็กที่ขาโก่งมาจากพันธุกรรม,กรรมพันธุ์ หรือเป็นโรคเกี่ยวกับกระดูกค่ะ!!! อ้างอิงจากแพทย์ทั่วโลก!!!!! 😊❤️👌

                                https://www.instagram.com/p/BSlseUhj1CG/?taken-by=gggubgib36

                                แต่งานนี้ก็ยังมีชาวเน็ตเข้ามาคอมเมนต์ตอบกลับคุณแม่กุ๊บกิ๊บ เกี่ยวกับเรื่องการแย้งความเชื่อโบราณของคุณแม่กุ๊บกิ๊บว่า…

                                อุ้มลูกเข้าเอว ขาโก่ง

                                (ขอบคุณภาพจาก : gggubgib36)

                                แต่คุณแม่กุ๊บกิ๊บก็ไม่ได้ออกมาไม่ตอบโต้แต่อย่างใด เพราะได้บอกไปในแคปชั่นแล้วว่า ความเชื่อเกี่ยวกับ การอุ้มเด็กเข้าเอวที่คุณแม่หลายๆคนถนัดกันนั้นไม่ได้ทำให้เด็กน้อยขาโก่งแต่อย่างใด  และการดัดขาของลูกน้อยนั้น ก็เป็นเรื่องไม่จำเป็น เพราะปัญหาการขาโก่งนั้น มาจากกรรมพันธุ์ เป็นส่วนใหญ่นั่นเอง

                                ♥ บทความแนะนำควรอ่าน : อุทาหรณ์! หมอเตือนดัดขาลูกจนขาหัก

                                อุ้มลูกเข้าเอว ขาโก่ง

                                อ่านต่อ >> คำชี้แจงจากหมอ เรื่อง “ขาโก่ง” ในลูกน้อย คลิกหน้า 2

                                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                 

                                  เด็กผู้ชาย ฮอร์โมนผิดปกติ เพราะกินถั่วเหลือง

                                  เด็กผู้ชาย ฮอร์โมนผิดปกติ เพราะกินถั่วเหลือง จริงหรือไม่?

                                  เด็กผู้ชาย กับเด็กผู้หญิง มีความต่างกันตรงรูปสรีระรูปร่าง อย่างที่เห็นเด่นชัดคือ เด็กชายจะไม่มีเต้านมใหญ่ยื่นออกมาเหมือนกับเด็กหญิง แต่การกินอาหารบางอย่างก็อาจทำให้เด็กผู้ชายมีเต้านมแบบไม่ถาวรขึ้นมาได้  ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีคำตอบที่ว่า เด็กผู้ชาย ฮอร์โมนผิดปกติ เพราะกินถั่วเหลือง จริงเท็จแค่ไหน มีคำตอบมาให้ค่ะ

                                   

                                  เด็กผู้ชาย ฮอร์โมนผิดปกติ เพราะกินถั่วเหลือง

                                  ฮอร์โมนผิดปกติในที่นี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากการเจ็บป่วยแต่อย่างใดค่ะ แต่ฮอร์โมนผิดปกติมาจากการทานอาหารบางประเภทมากไป เช่น อกไก่ หรือนมถั่วเหลือง โดยเฉพาะในเด็กผู้ชายที่คุณแม่ให้ดื่มนมถั่วเหลืองเป็นประจำ อาจทำให้มีเต้านมโตขึ้นมาได้บ้าง แต่อาจไม่ได้เกิดกับเด็กทุกคนเสมอไปนะคะ เพราะต้องขึ้นอยู่กับปริมาณและระยะเวลาที่ทานด้วย

                                  คุณพ่อคุณแม่อาจสงสัยว่าแล้วเพราะอะไรกินถั่วเหลืองถึงทำให้ฮอร์โมนของลูกชายผิดปกติขึ้นได้  ต้องทำความเข้าใจกันสักนิดค่ะ เกี่ยวกับการกินถั่วเหลือง ที่ในความเป็นจริงแล้วไม่ได้เป็นผลเสียอะไรร้ายแรงต่อฮอร์โมนของเด็กๆ นะคะ

                                  อ่านต่อ >> ฮอร์โมนผิดปกติเพราะกินถั่วเหลือง จริงหรือไม่? หน้า 2

                                   

                                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                    โคลอสตรุ้ม จากวัว

                                    โคลอสตรุ้ม จากวัว ไม่มีประโยชน์

                                    เป็นที่รู้กันว่าน้ำนมแม่ดีมีประโยชน์กับลูกตั้งแต่แรกเกิดมากกว่าอาหารทดแทนอื่นใด แต่ด้วยปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์อาหารเด็กอ่อนที่อาจโฆษณาคุณค่าสารอาหารเกินจริง โดยเฉพาะสารอาหารจากนมวัว ทีมงาน Amarin Baby & Kids ขอเป็นอีกหนึ่งเสียงที่ขอช่วยยำเตือนว่า โคลอสตรุ้ม จากวัว ไม่มีประโยชน์ หากอยากให้ลูกได้กินนมเหลืองต้องให้กินนมแม่เท่านั้น

                                     

                                    โคลอสตรุ้ม จากวัว ไม่มีประโยชน์

                                    เป็นกระแสดังมาสักพักที่มีการโฆษณาชวนเชื่อให้ซื้อโคลอสตรุ้ม จากวัว ให้ลูกกิน เพราะกินแล้วจะช่วยให้ลูกตัวสูง และช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ซึ่งโคลอสตรุ้มที่สกัดมาจากนมวัว ค่อนข้างมีราคาสูง แต่เพื่อลูกพ่อแม่เห็นอะไรที่เขาลูกกินแล้วดี ราคาแพงไม่สนยอมจ่ายเงินเพื่อได้มาให้ลูกกิน

                                    โคลอสตรุ้ม จากวัว
                                    Credit Photo : กระทรวงสาธารณสุข

                                    จ่ายเงินแพงแล้วได้ของดี ไม่เสียหายค่ะ แต่ถ้าจ่ายเงินแพงแล้วได้ของที่ไม่ได้มีคุณค่าสารอาหาร และคุณประโยชน์ตามที่โฆษณาให้หลงเชื่อ อันนี้เสียเงินและน่าเสียดายมากค่ะ โดยเฉพาะโคลอสตรุ้ม จากวัว ที่เขาว่าดี แต่กระทรวงสาธารณสุขออกมาเตือนแล้วว่า พ่อแม่อย่าหลงเชื่อ โคลอสตรุ้มจากวัวไม่มีประโยชน์ต่อร่างกายลูกอย่างที่โฆษณา  คือ

                                    X ไม่เพิ่มความสูง

                                    X ไม่เพิ่มความจำ

                                    X ไม่เพิ่มภูมิต้านทาน

                                    ที่สำคัญใครเป็นตัวแทนจำหน่าย หรือขายตรงโฆษณาโคลอสตรุ้มวัวเกินจริงอยู่ละก็ ระวังมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 30,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แบบนี้ไม่คุ้มที่จะเสี่ยงขายกันนะจ๊ะ!!

                                    อ่านต่อ >> โคลอสตรุ้ม คืออะไร หน้า 2

                                     

                                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่