นอนแยกห้อง แบบฝรั่ง VS นอนรวมกับพ่อแม่แบบไทย อย่างไหนดีกับลูกมากกว่ากัน!

แยกห้องนอนกับลูก ดีไหม …หนึ่งในคำถามสุดฮิตเมื่อมีลูกครั้งแรก ก็คือ จะให้ลูกนอนหลับที่ไหนดี จะเป็นในห้องบนเตียงเดียวกับพ่อแม่ หรือนอนแยกเตียงแต่อยู่ในห้องเดียวกัน หรือ นอนแยกห้อง ไปเลยดี

เชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ต้องมีคำถามนี้ในใจไม่มากก็น้อย เพราะการให้ลูกของเรานอนหลับในแต่ละสถานที่ต่างก็มีข้อดีและข้อพึงระวัง ด้วยกันกันทั้งนั้น แต่อย่างไรก็ตามการจะให้ลูกนอนที่ไหนก็ขึ้นอยู่กับความสะดวกของแต่ละครอบครัวด้วยเป็นหลัก

แยกห้องนอนกับลูก แบบฝรั่ง VS นอนรวมกับพ่อแม่แบบไทย อย่างไหนดีกว่ากัน!

แยกห้องนอนกับลูก

เมื่อพูดถึงการ นอนแยกห้อง หรือ แยกห้องนอนกับลูก พ่อแม่คนไทยส่วนใหญ่ไม่ค่อยนิยมแยกห้องกันเท่าไร เพราะการนอนด้วยกันพ่อแม่ลูก ก็ทำให้อุ่นใจ แต่สำหรับพ่อแม่บางท่านแล้ว การแยกห้องนอนกับลูก ถือเป็นเรื่องที่ต้องฝึกให้ลูกคุ้นชินตั้งแต่ยังเล็ก ๆ เนื่องจากหากถึงช่วงวัยที่ลูกควรนอนคนเดียวได้แล้ว แต่อาจทำให้ลูกกลับไม่ยอมแยกนอนก็ได้นะคะ

ลูกทารกสามารถนอนบนเตียงเดียวกับพ่อแม่ได้หรือไม่?

สำหรับพ่อแม่ที่ต้องการให้ลูกทารกตัวน้อยนอนหลับอยู่บนเตียงเดียวกันนั้น สามารถทำได้ค่ะ และหลายบ้านก็นิยมให้ลูกน้อยนอนบนเตียงด้วยกันมากขึ้น ทั้งนี้อาจเป็นเพราะคุณพ่อคุณแม่ยังหาที่นอนที่เหมาะให้กับลูกไม่ได้ แต่การให้ลูกน้อยนอนร่วมเตียงเดียวกับคุณพ่อคุณแม่ก็มีข้อดีอยู่ด้วยนะคะ อ่านต่อ >> 10 ข้อดีของการให้ลูกนอนร่วมเตียงเดียวกับพ่อแม่

♦ ข้อควรระวัง ขณะ นอนเตียงเดียวกับลูกน้อย

อย่างไรก็ตาม แม้การให้ลูกน้อยนอนรวมเตียงเดียวกับพ่อแม่ ก็ต้องระวังเรื่องความปลอดภัยในการนอนหลับของลูกให้มากเป็นพิเศษด้วยนะคะ โดยมีเรื่องที่ต้องระวัง ดังนี้

  • สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่นอนหลับลึกโดยเฉพาะ หรือพ่อแม่ที่ทานยาก่อนนอนที่ทำให้เกิดความง่วง อาจทำให้นอนหลับแล้วเผลอทับหรือมีอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งไปปิดจมูกของลูกโดยไม่รู้ตัว ก็เป็นได้นะคะ
  • หากคุณพ่อหรือคุณแม่สูบบุหรี่ หรือเพิ่งทานเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไม่ควรนอนใกล้ลูก เพราะลูกอาจต้องสูดดมกลิ่นบุหรี่และแอลกอฮอล์ ก็จะส่งผลต่อระบบหายใจของลูกน้อยได้
  • อาจจะมีปัญหาได้ หากคุณพ่อคุณแม่จะมีกิจกรรมทางเพศ ในห้องที่มีลูกนอนอยู่ด้วย
♥ อ่านต่อบทความแนะนำที่เกี่ยวข้อง : รวมพฤติกรรมยอดแย่ที่พ่อแม่ไม่ควรทำต่อหน้าลูก
  • การให้ลูกนอนในห้องด้วยกัน อาจต้องใช้เวลานานในการฝึกลูกให้นอนหลับในห้องของเขาเองภายหลังเมื่อโตขึ้น
  • หากลูกเป็นคนตื่นง่าย หรือรู้สึกตัวง่าย อาจจะเป็นการรบกวนการนอนของพ่อแม่ ทั้งที่จริงๆ แล้ว ลูกจะสามารถนอนต่อเองได้ทันทีหลังจากตื่น นอกเสียจากว่า ลูกจะหิว หรือมีความเปียกชื้นทำให้ไม่สบายตัว

อ่านต่อ >> ข้อดีของการนอนแยกห้อง ให้ลูกนอนหลับในห้องของลูกเอง คลิกหน้า 2

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

    ยาเพิ่มน้ำนม ตัวช่วยสำหรับคุณแม่น้ำนมน้อย ควรเลือกกินแบบไหน อย่างไรดี?

    ยาเพิ่มน้ำนม …น้ำนมน้อย อีกหนึ่งปัญหาที่พบได้บ่อยในคุณแม่หลังคลอด เพราะแม่ทุกคนก็อยากให้ลูกได้รับสิ่งที่ดีที่สุดอย่างนมแม่ แต่ร่างกายคุณแม่บางคนก็ไม่เอื้ออำนวย

    สำหรับคุณแม่ที่ต้องการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ แต่ในช่วงแรกน้ำนมยังมาไม่มาก ทำให้คุณแม่หลายท่านอาจถอดใจ ยิ่งหันไปเห็นแม่คนนั้น คนนี้ มีน้ำนมเยอะแยะ ใจเลยท้อแท้หนัก ยอมยกธงขาวโบกมือลา แล้วหันไปหานมผงก็มี ทั้งที่จริงๆ แล้ว น้ำนมของแม่นั้นมีเพียงพอสำหรับลูกเสมอ ฉะนั้นอย่าเครียด อย่าถอดใจ แล้วหันมาทำความเข้าใจในกระบวนการของมันและหาวิธีเพิ่มน้ำนมให้ลูกมีพอกินไปจนโตกันดีกว่าค่ะ

    ทำความเข้าใจ กับการให้นมแม่ช่วง 2-3 วันหลังคลอด

    ระยะนี้แม่อาจยังมี น้ำนมน้อย แต่คุณแม่ควรให้ลูกน้อยได้ดูดเพื่อกระตุ้นการสร้างน้ำนม และจะช่วยลดปัญหาเต้านมคัดได้ โดยลูกควรนอนอยู่ห้องเดียวกันกับแม่ ซึ่งจะช่วยให้ลูกได้ดูดนมบ่อยเท่าที่ต้องการ นั้นก็จะเป็นการช่วยกระตุ้นน้ำนมของคุณแม่ได้อีกทางหนึ่ง

    ยาเพิ่มน้ำนม

    √ เทคนิคง่ายๆ กระตุ้นน้ำนมแม่

    หากคุณแม่ต้องการให้น้ำนมแม่มีมาก และเพียงพอต่อความต้องการของลูกน้อย พร้อมกับสามารถให้นมแม่แก่ลูกน้อยได้ยาวนานคุณแม่ต้องใช้เทคนิคสำคัญเหล่านี้อยู่เสมอ นั่นคือ

    • คุณแม่ต้องมั่นใจว่าเราสามารถให้นมลูกได้ ด้วยการทำจิตใจให้ผ่อนคลาย ไม่เครียดไม่กังวลใจ และพักผ่อนให้เพียงพอ
    • ขยันและหมั่นให้ลูกน้อยดูดกระตุ้นนมแม่ให้บ่อยๆ และนานๆ หรือบีบและปั๊มนมทุก ๆ 3 ชั่วโมง และให้ลูกดูดอย่างถูกวิธี
    • พยายามนวดและคลึงเต้านม โดยใช้ผ้าอุ่นประคบเต้านม 3-5 นาที เพื่อกระตุ้นน้ำนมก่อนให้นมลูก
    • ทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการให้ครบถ้วนทั้ง 5 หมู่
    • หลีกเลี่ยงการให้น้ำ นมผสม หรืออาหารเสริมอื่นก่อนลูกอายุ 6 เดือน เพราะนอกจากจะทำให้ลูกอิ่มน้ำจนไม่กินนมแม่แล้ว จะทำให้ลูกไม่ยอมกินนมจากเต้าคุณแม่ จนไม่สามารถให้นมแม่แก่ลูกได้อีกเลยค่ะ

    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

     

    แต่หากคุณแม่ต้องการตัวช่วยอย่าง ยาเพิ่มน้ำนม ก็สามารถใช้ได้ แล้วจะมียาอะไรที่ช่วยเพิ่มน้ำนมได้บ้าง ทางทีมงาน Amarin Baby & Kids จึงได้รวมยาเพิ่มน้ำนมทั้งแผนโบราณ(สมุนไพร) และแผนปัจจุบัน มาให้คุณแม่ได้เลือกพิจารณาดูกันก่อนที่จะไปหาซื้อมารับประทานค่ะ

    แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็อยากจะแนะนำว่าควรแก้ปัญหาด้วยวิธีที่ไม่ใช้ยาก่อนจะดีกว่าค่ะ โดยการให้ลูกดูดให้ถูกวิธีดูดบ่อยๆ แล้วน้ำนมก็จะเยอะเอง ซึ่งนั้นก็ดูเหมือนว่ามีคุณแม่ส่วนใหญ่ก็ยังคงขาดความมั่นใจอยู่ และยังอยากได้ตัวช่วยที่จะทำให้เห็นผลเร็วๆอยู่นั่นเอง ดังนั้นแล้ว ข้อมูลต่อไปนี้เป็นยาและอาหารเสริมที่สามารถช่วยเพิ่มปริมาณน้ำนมได้ดี จะมีอะไรบ้างไปดูกันเลยค่ะ

    อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิก!

    อ่านต่อ >> รีวิวยาเพิ่มน้ำนม ตัวช่วยสำหรับคุณแม่น้ำนมน้อย เลือกตัวไหนดี คลิกหน้า 2

    ยาเพิ่มน้ำนม

      แผลฝีเย็บอักเสบ

      แผลฝีเย็บอักเสบ ต้องทำอย่างไร

      แผลฝีเย็บอักเสบ อาการสุดทรมานของคุณแม่หลังคลอดเองตามธรรมชาติที่คงไม่มีใครอยากเจอ แต่อาการนี้ก็ใช่ว่าจะเป็นความเสี่ยงที่เกิดขึ้นได้ง่าย หากมีการเตรียมตัวก่อนคลอด และดูแลตัวเองหลังคลอดให้ดี วันนี้เราจึงขอนำคุณแม่มารู้จักสาเหตุ สัญญาณเตือนบอกอาการ รวมทั้งวิธีป้องกัน เพื่อให้ปลอดภัยจาก แผลฝีเย็บอักเสบ กันค่ะ

      มาทำความรู้จักกับ “แผลฝีเย็บ” กันก่อน

      หลายคนคงสงสัยว่า ทำไมการคลอดธรรมชาติยังต้องมีการผ่าตัดและเย็บแผลด้วย.. อธิบายง่าย ๆ ให้เห็นภาพชัด ๆ ก็คือ แผลฝีเย็บ เกิดจากการตัดหรือกรีดผิวหนังส่วนที่เรียกว่า “ฝีเย็บ” ซึ่งอยู่ระหว่างช่องคลอดถึงทวาร เพื่อเปิดทางให้ทารกออกมาได้สะดวก และไม่ทำให้แผลฉีกขาดเองซึ่งอาจจะควบคุมไม่ได้ คุณหมอจึงจำเป็นต้องตัดเนื้อส่วนนั้นเพิ่ม และเย็บกลับหลังจากคลอดเสร็จ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะต้องตัดฝีเย็บเพื่อคลอด

      มีการเปิดเผยผลการศึกษาทางการแพทย์ว่า การคลอดเองโดยไม่ต้องตัดฝีเย็บ เป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับคุณแม่ แต่คุณหมอก็ต้องประเมินความเสี่ยงต่าง ๆ อย่างรอบด้านก่อนตัดสินใจ เช่น หากหัวหรือไหล่ทารกใหญ่กว่าช่องคลอด หรือเด็กมีภาวะผิดปกติ ก็จำเป็นต้องตัดฝีเย็บเพื่อให้สามารถเปิดทางให้กว้างและคลอดได้สะดวกที่สุด แต่หากปากช่องคลอดเปิดและทารกสามารถผ่านออกได้สะดวกก็ไม่จำเป็นต้องตัดฝีเย็บ

       

      สัญญาณเตือน แผลฝีเย็บอักเสบ …ควรพบคุณหมอ

      หลังคลอดเองตามธรรมชาติ คุณแม่จะเริ่มมีอาการปวดตึงที่แผลฝีเย็บอยู่บ้าง แต่อาการเหล่านี้จะค่อย ๆ ดีขึ้น ในช่วง 1 สัปดาห์ แต่หากแผลมีการติดเชื้อ สัญญาณเตือนที่คุณแม่จะสังเกตได้คือ มีไข้ขึ้นสูง ปวดหัว ปวดตัว เห็นความผิดปกติจากอาการปวดบวมบริเวณแผลฝีเย็บ ปากช่องคลอด และก้น หรืออาจจะมีก้อนหนองหรือฝีบริเวณปากช่องคลอด และมีอาการปัสสาวะแสบขัดร่วมด้วย

      การติดเชื้อบริเวณฝีเย็บเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก หากมีอาการรุนแรงจะมีขั้นตอนของอาการอักเสบแสดงให้เห็น เริ่มต้นจากอาการบวมแดง พบเนื้อตายรอบแผล และมีน้ำเหลืองปนเลือดหรือหนองไหลออกมาจากแผล จากนั้นแผลก็จะปริและแยกจากอาการบวม ในอดีตก็จะปล่อยให้แผลหายเองใน 3-4 เดือน ถ้าไม่หายจึงจะรักษาด้วยการซ่อมแซมบาดแผล แต่ในปัจจุบันสามารถรักษาได้อย่างรวดเร็ว โดยคุณหมอจะวินิจฉัย และให้ยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือดดำ จากนั้นจึงเริ่มซ่อมแซมแผลด้วยการเย็บใหม่  และดูแลแผลทำความสะอาด ตัดเนื้อที่ตายรอบแผลออก หรือตกแต่งซ่อมแผลเพื่อให้หายเร็วขึ้น

      การดูแลและรักษาอาการอักเสบจากแผลฝีเย็บเป็นสิ่งจำเป็น หากไม่แน่ใจว่ามีอาการแผลติดเชื้ออยู่หรือไม่ ควรปรึกษาคุณหมอเพื่อขอคำแนะนำในการรักษา เพราะการรับประทานยาปฏิชีวนะหรือยาแก้ปวดบางชนิดของคุณแม่เพิ่งคลอดจะมีผลข้างเคียงต่อการให้นมกับลูกได้

      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

       

      ดูแลแผลฝีเย็บหลังคลอด

      การดูแลตนเองเบื้องต้นเมื่อปวดฝีเย็บ

      การดูแลแผลอักเสบและแผลฝีเย็บหลังคลอด มีข้อปฏิบัติที่ไม่ซับซ้อน เพียงแต่คุณแม่อาจจะต้องใส่ใจเป็นพิเศษ ถึงแม้จะเป็นแผลเล็ก แต่ถ้าเกิดภาวะติดเชื้อขึ้น ก็จะทำให้เกิดความยุ่งยากและเสียเวลาในการรักษาเพิ่มอีกเท่าตัว

      1. ประคบเย็นที่แผลในช่วงหลังคลอด เพื่อบรรเทาอาการปวดและลดบวม แต่ถ้าต้องการอาบน้ำขอแนะนำให้เป็นน้ำอุ่นจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด แต่ควรทำหลังคลอดมาแล้วมากกว่า 24 ชั่วโมง
      2. แช่แผลฝีเย็บในน้ำอุ่นวันละ 2 ครั้ง ครั้งละ 10-15 นาที เพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดี แผลหายเร็วขึ้น
      3. รักษาความสะอาดบริเวณแผลอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดการติดเชื้อ
      4. ทานยาตามคำแนะนำของคุณหมอเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นยาปฏิชีวนะแก้ปวด หรือทาครีมแก้ปวดเฉพาะที่
      5. พยายามอย่าให้แผลรับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง เช่น การเบ่งอุจจาระ การใช้สายฉีดชำระแรงเกินไป หรือการเช็ดทำความสะอาดแบบรุนแรง
      6. ควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะผักผลไม้ที่มีเส้นใยสูง และดื่มน้ำเยอะ ๆ เพื่อช่วยให้ระบบขับถ่ายได้ดี ทำให้คุณแม่ไม่ต้องเบ่งถ่ายอุจจาระ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้แผลฝีเย็บแตกได้
      7. สังเกตอาการอย่างต่อเนื่อง หากมีความผิดปกติ รีบพบคุณหมอก่อนวันนัดหมาย

      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

       

      ป้องกัน-แผลฝีเย็บ

      เตรียมตัวก่อนคลอดให้ดี ไม่ต้องมี “แผลฝีเย็บ”

      การตัดฝีเย็บอาจจะไม่จำเป็นสำหรับคุณแม่ทุกคน ถ้าได้ลองปฏิบัติตัวเพื่อเตรียมความพร้อมได้อย่างเหมาะสมในช่วงใกล้คลอด เช่น การออกกำลังกายกล้ามเนื้อเชิงกรานให้แข็งแรง จะช่วยให้คลอดง่ายขึ้นและลดปัญหาช่องคลอดฉีกขาด การนวดฝีเย็บด้วยน้ำมันมะกอกหรือน้ำมันจากธรรมชาติ ในช่วง 3-4 สัปดาห์ก่อนคลอดทุกวัน วันละ 3-4 นาที จะทำให้กล้ามเนื้อยืดหยุ่นและผ่อนคลาย การใช้น้ำมันนวดหรือช่วยหล่อลื่นปากช่องคลอดในช่วงก่อนคลอดจะช่วยให้ปากช่องคลอดไม่ฉีกขาดได้ง่าย และที่สำคัญอย่าลืมฝึกการเบ่งคลอด เพื่อช่วยให้คุณแม่มีแรงตลอดการคลอดอีกด้วย

      การติดเชื้อ และ แผลฝีเย็บอักเสบ ที่เกิดจากการคลอดเองตามธรรมชาติไม่ใช่เรื่องน่ากลัว และมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมาก หากคุณแม่ดูแล ใส่ใจ และเตรียมความพร้อมทั้งก่อนคลอดและหลังคลอดเป็นอย่างดี เชื่อว่าการคลอดตามธรรมชาติจะเป็นวิธีที่คุณแม่ประทับใจและมีความสุขครั้งหนึ่งในชีวิตเลยทีเดียว


      แหล่งข้อมูลอ้างอิง

      นพ.บรรพจน์ สุวรรณชาติ.ยาต้านการอักเสบเพื่อลดการปวดฝีเย็บหลังคลอดบุตร.

      รศ.พญ.ประนอม บุพศิริ.ภาวะติดเชื้อหลังคลอด (Postpartum infection).

      รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์.การติดเชื้อของอวัยวะสืบพันธุ์และอุ้งเชิงกราน.

      สูติกรรมพิเศษ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า.อาการที่พบในระยะหลังคลอด และการปฏิบัติตัวเพื่อสุขภาพที่ดี.

      อ่านต่อบทความน่าสนใจอื่นๆ คลิก

      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

       

        ลืมลูก ในรถ

        ลืมลูก ในรถ ทำเด็กเสียชีวิตจาก ฮีทสโตรกในรถยนต์

        มีข่าวให้เห็นอยู่บ่อยว่าพ่อแม่ หรือคนที่มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลเด็กมักจะลืม หรือไม่ก็ตั้งใจทิ้งเด็กไว้ในรถ เพียงเพราะคิดว่าไม่เป็นไรแค่ไปซื้อน้ำในร้านสะดวกซื้อแป๊บเดียวเอง รู้ไหมคะ ที่คุณแค่คิดว่าไม่เป็นไร นั่นเท่ากับหยิบยื่นความตายให้เด็กไปครึ่งหนึ่งแล้ว ทีมงาน Amarin Baby & Kids จะพาไปดูผลจากการที่ ลืมลูก ในรถ มาให้เป็นอุทาหรณ์เตือนสติกันค่ะ

         

        ลืมลูก ในรถ เกิดอะไรขึ้นบ้าง?

        ความโหดร้ายของอากาศยิ่งโดยเฉพาะในช่วงหน้าร้อน สามารถทำให้แม้แต่คนที่แข็งแรงยังต้องยอมแพ้กับความร้อนแรง ของอุณหภูมิที่ร้อนอบอ้าว หรือชอบพูดกันว่า ร้อนตับแตก นั่นหมายถึงร้อนจนทนไม่ได้กันเลยใช่ไหมคะ

        อยากให้ลองนึกภาพกลับมาที่เด็กตัวน้อย เวลาที่เขาร้อนเหนียวเหนอะหนะตัวกับอากาศช่วงสายๆ ของวัน ที่ทำได้คือ ร้องไห้งอแง สื่อสารให้แม่รู้ว่า หนูร้อนจนไม่สบายตัวแล้วนะแม่ ฉะนั้น พ่อแม่จึงไม่ควรปล่อยลูกให้ตากแดด หรือแม้แต่อยู่ในที่ร่มก็ไม่ได้หมายความว่า จะหลีกเลี่ยงความร้อนอึดอัดไม่สบายตัวไปได้เลยค่ะ เพราะถ้าในร่มไม่ว่าจะเป็นใต้ต้นไม้ ในรถยนต์ หรือห้องนั่งเล่ยภายในบ้าน เป็นต้น ร่มจริงแต่อากาศไม่ถ่ายเทความร้อน ก็ทำให้เหงื่อไหลไคลย้อย หายใจไม่สะดวก จนจะทำให้เป็นลมได้เหมือนกันค่ะ

         

        Must Read >> โรคลมแดด วายร้ายหน้าร้อนของเด็กเล็ก

         

        ความร้อนจากอากาศที่ร้อนอบอ้าวมาก มักทำให้เป็นลมแดด หรือที่เรียกว่า ฮีทสโตรก (heat stroke) ซึ่งเป็นปัญหาสุขภาพที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทั้งผู้ใหญ่ เด็กเล็ก หรือแม้แต่ในสัตว์เลี้ยงค่ะ

        ความร้ายที่ซ่อนอยู่คือ เมื่อคุณไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิสูงมาก จนทำให้ร่างกายได้รับความร้อนมากเกินกว่าปกติ ผลกระทบที่เกิดขึ้นตามมานั่นคือ จะทำให้มีการทำงานที่ปกติของระบบสมองในส่วนการควบคุมอุณหภูมิของร่างกายทำให้อุณหภูมิในร่างกายสูงเกิน 40 องศาเซลเซียส นั่นยิ่งแย่ลงไปเพราะอุณหภูมิร่างกายที่สูงมากจะทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตและระบบสมอง ทำงานแย่ลง จนร่างกายรวนจนช็อก และอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้ค่ะ

        อ่านต่อ >> สัญญาณเตือนฮีทสโตรก เมื่อลูกอยู่ในรถ หน้า 2

         

        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

          ใช้ขวดลอยตัวในน้ำ ช่วยลูกจากการจมน้ำ

          ใช้ขวดลอยตัวในน้ำ ช่วยลูกจากการจมน้ำ เทคนิคที่พ่อแม่ต้องรู้

          รู้ไหมคะว่าการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของเด็กมาจากการจมน้ำ ในเด็กเล็กๆ สามารถจมน้ำเสียชีวิตได้ในปริมาณน้ำเพียงแค่ 1-2 นิ้ว ที่อาจเป็นเพราะความประมาทของพ่อแม่ไม่ถึงเสี้ยวนาที สำหรับเด็กโตยิ่งมีโอกาสประสบอุบัติเหตุจากการจมในได้มากเช่นกัน ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีความรู้ที่น่าสนใจจากการ ใช้ขวดลอยตัวในน้ำ ช่วยลูกจากการจมน้ำ มาให้ทราบกันค่ะ

           

          ใช้ขวดลอยตัวในน้ำ ช่วยลูกจากการจมน้ำ

          ไม่มีพ่อแม่คนไหนที่อยากให้การสูญเสียเกิดขึ้น โดยเฉพาะการเสียชีวิตของลูกจากสาเหตุการจมน้ำ เพราะผู้ปกครองมักมาคิดได้ทีหลังว่า ถ้าเราไม่เดินไปรับโทรศัพท์ ถ้าเราไม่เดินไปหลังบ้าน ฯลฯ ลูกคงไม่ตายหรอก!

          ในเด็กเล็กๆ ที่ยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้หากพ่อแม่ปล่อยให้ลูกเล่นน้ำในอ่างอาบน้ำตามลำพัง เสี่ยงมากที่ลูกจะเสียชีวิต รวมถึงเด็กโตที่อยู่ในช่วงปฐมวัย ทักษะการเอาตัวรอดจากการจมน้ำยังมีไม่มากเหมือนผู้ใหญ่ หรือเด็กบางคนว่ายน้ำไม่เป็น หากพาดพลั้งลงเล่นน้ำ อาจเกิดอันตรายจนเสียชีวิตจากการจมน้ำได้มาก

           

          Must Read >> วิธีดูแลลูกเมื่อไปสระว่ายน้ำ อย่างไรให้ปลอดภัย?

           

          ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการสูญเสียขึ้น เราลองมาดูว่าจะมีวิธีหรือแนวทางในการป้องกันเด็กๆ จากการจมน้ำกันค่ะ

          4 มาตรการป้องกันการจมน้ำในเด็ก

          1. การจำกัดต้นเหตุของภัยอันตราย

          ทำได้คือการกำจัดแหล่งน้ำที่ไม่จำเป็นในบ้าน หรือละแวกบ้าน เช่น

          • เทน้ำออกจากถัง หรือกะละมังภายหลังการใช้งาน
          • กลบหลุมที่มีอยู่ในบริเวณบ้าน

          2. การสร้างเครื่องป้องกันหรือสิ่งกีดขวาง

          มีวิธีการดังนี้ คือ

          • แยกพื้นที่เล่นของเด็กให้อยู่ห่างไกลแหล่งน้ำ หรือกำหนดให้มีพื้นที่เล่นที่ปลอดภัยสำหรับเด็ก
          • มีรั้วกั้นแหล่งน้ำในชุมชน ให้มีการใช้ตะแกรงเหล็กปิดฝาด้านบนของบ่อน้ำใช้
          • ปิดฝาถังน้ำ หรือตุ่มน้ำให้มิดชิด
          • ปิดป้ายคำเตือนบริเวณแหล่งน้ำ และมีอุปกรณ์ช่วยคนตกน้ำที่หาได้ง่าย อยู่บริเวณรอบแหล่งน้ำ เช่น ถังแกลอนเปล่า ขวดน้ำดื่มพลาสติกเปล่า หรือไม้ และเชือก

           

          อ่านต่อ >> 4 แนวทางการป้องกันลูกจากการจมน้ำ หน้า 2

           

          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

            ไมโลคิวบ์ Milo Cube กับ 12 ข้อน่ารู้ ที่แม่ๆ ฮิตสั่งซื้อกัน!!

            ไมโลคิวบ์ Milo Cube ซึ่งกำลังเป็นกระแส และเป็นที่นิยมซึ่งมีคุณแม่หลายบ้านหาซื้อ มาให้ลูกทานและทานเอง รวมไปถึงบางคนก็รับพรีออเดอร์ Milo Cube นี้กันเป็นลังๆ เลยทีเดียว โดยกระแส Milo Cube เข้ามาเมื่อช่วงวันสงกรานต์ที่ผ่านมา

             

            โดยชาวโซเชียลเห็นมีคนแชร์ภาพเจ้าไมโลก้อนเล็กๆ รูปร่างน่ารัก ดูแปลกตา เป็นทรงสี่เหลี่ยม ในห่อสีเขียวในสไตล์ไมโล ซึ่งเมื่อได้เห็นแล้ว ก็คงอยากจะลองลิ้มชิมรสเหลือเกิน Amarin Baby & Kids จึงหาข้อมูลมานำเสนอคุณแม่ๆ ทั้งหลายเกี่ยวกับ ที่มาของเจ้า ไมโลก้อนนี้ ว่าแท้จริงแล้ว เป็นมาอย่างไรกันแน่ ถึงทำให้ใครๆ ก็อยากลอง

            Milo Cube คืออะไร

            Milo Cube มีชื่อเต็มว่า Milo Enenergy Cube (ไมโล เอนเนอร์จี้ คิวบ์) เป็นขนมช็อคโกแลต รสชาติในแบบฉบับของไมโล แต่พิเศษตรงการนำเอาผงไมโลนั้นมาอัดเข้าด้วยกันจนกลายเป็นก้อนเพื่อให้ทานได้สะดวก วางขายในประเทศ อังกฤษ มาเลเซีย และ ดูไบ ซึ่งเจ้า ไมโลคิวบ์ Milo Cube นำเข้าจำหน่ายแบบสั่งออนไลน์ในประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์เมื่อปลายปี 2016 แต่ยังไม่ได้มีวางจำหน่ายในประเทศไทย ใครที่อยู่จังหวัดทางภาคใต้จึงค่อนข้างได้เปรียบ เพราะอยู่ใกล้กับมาเลเซีย เช่น ตลาดกิมหยง ในหาดใหญ่ ดังนั้น สาวกคนอยากลิ้มลองของใหม่ต่างก็ต้องพากันพยายามเสาะแสวงหาให้ได้มาทุกวิถีทาง จนจึงเกิดการดราม่าเกาะกระแสของบรรดาพ่อค้า-แม่ค้าออนไลน์ กับการสั่งพรีออเดอร์จากมาเลเซียและมาโก่งราคาสูงลิ่ว 2-3 เท่าตัว ดังนั้น เพื่อไม่ให้ตกเป็นทาสของเจ้า ไมโลคิวบ์ Milo Cube นี้ ทาง เพจ ผู้บริโภค ได้รวบรวมสรุปรายละเอียดเกี่ยวกับ Milo Cube มาให้คุณพ่อคุณแม่ที่ต้องการซื้อมาทานเองหรือให้ลูกน้อยทาน ได้รับรู้ถึงข้อมูลกัน ดังนี้

            ไมโลคิวบ์ Milo Cube กับ 12 ข้อน่ารู้

            ไมโลคิวบ์ Milo Cube
            1. Milo Cube ผลิตที่ ประเทศไนจีเรีย


            ไมโลคิวบ์ Milo Cube
            2. Milo Cube ใน 1 ห่อ มี 100 ก้อน ขนาด/ลูกบาศก์ 0.8cmx0.8cmx0.8cm หรือมีขนาดเทียบเท่าเหรียญ 5 บาท


            ไมโลคิวบ์ Milo Cube3. Milo Cube น้ำหนัก/ก้อน = 2.75 g. น้ำหนัก/แพ็ค = 3 kg.

            อ่านต่อ >> “ข้อน่ารู้ก่อนซื้อ เกี่ยวกับ ไมโลคิวบ์ Milo Cube” คลิกหน้า 2

            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

             

              คาถาบูชาเทวดาประจำตัว

              คาถาบูชาเทวดาประจำตัว ลูกน้อย พร้อมวิธีทำบุญ-กรวดน้ำ-ขอขมา เพื่อเป็นสิริมงคล

              คาถาบูชาเทวดาประจำตัว …โดยปกติแล้วมนุษย์ส่วนใหญ่ที่เกิดมาจะมี เทวดาประจำตัว คอยคุ้มครอง ซึ่งท่านก็คือ ดวงวิญญาณของผู้ที่เคยเกี่ยวข้องกับลูกของเรา หรือตัวคุณพ่อคุณแม่เอง ซึ่งเทวดาประจำตัว นั้นท่านได้ช่วยเหลือ เกื้อกูลกันมาในอดีตชาติ แต่ในชาตินี้ เมื่อ เรามาเกิดเป็นคน ท่านเป็นเทวดา ท่านก็เลยเมตตามาดูแลคุ้มครองลูกน้อยหรือตัวคุณพ่อคุณแม่เองด้วย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเทวดาประจำตัว นั้นจะอยู่คุ้มครองอย่างถาวร ตลอดชีวิต ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับบุญบารมีที่ลูกน้อย และตัวคุณพ่อคุณแม่เองทำในปัจจุบันด้วย (ต้องหมั่นอุทิศส่วนบุญกุศลให้ท่านด้วย)

              คาถาบูชาเทวดาประจำตัว ลูกน้อย เพื่อเป็นสิริมงคล แคล้วคลาดปลอดภัย

              คาถาบูชาเทวดาประจำตัว

              การบูชาเทวดาก็เหมือนกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ ที่ต้องทำการ “ปฏิบัติบูชา” ด้วยการสร้างคุณงามความดีให้มากๆ ภายหลังการทำบุญใดๆ แล้วก็ต้องทำการเชื่อมบุญไปให้ท่านโดยเมื่อขณะที่กรวดน้ำให้ตั้งจิตอธิษฐานอุทิศบุญให้ท่านด้วยประโยคอุทิศบุญที่ว่า

              “อิทัง สัพพะเทวานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ เทวา” …ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่เทวดาทั้งหลายทั้งปวง ขอให้เทวดาทั้งหลายทั้งปวงจงมีความสุข

              เมื่อทำการเชื่อมบุญให้เทวดาได้รับบุญนั้นไปแล้ว เทวดาก็จะมีความรู้จักกับผู้ที่ทำบุญอุทิศไปให้ เวลาที่ลูกน้อยของเราเกิดเรื่องราวเดือดร้อนในทางใดก็ตามท่านก็จะมาช่วยได้อย่างแน่นอน และถ้าอยากจะพิสูจน์ว่าจะพบกับประสบการณ์ของการอวยพรให้คุณของเทวดาเหล่านั้น พ่อแม่ต้องทำเหตุให้ถูกตรงกับผลด้วย

              ซึ่งหมายถึง การพัฒนาจิตให้มีคุณธรรมเช่นเดียวกับเทวดา เช่น สอนให้ลูกมีศีลธรรม มีความประพฤติละอายชั่วกลัวบาป (หิริโอตตัปปะ) มีกายวาจาใจเป็นอุโบสถศีลอยู่เป็นปกติทุกขณะ มีสภาวะของจิตที่ดีใสสะอาด ผู้ที่ได้ประพฤติได้ถูกตรงตามนี้แล้ว การพบเห็นเทวดาประจำตัวหรือเทวดาในที่อื่นใด ย่อมเกิดขึ้นได้และเทวดาท่านก็จะอำนวยพรให้ประสบความสุขความสำเร็จได้เช่นกัน

              คาถาบูชาเทวดาประจำตัว

              รวมไปถึงการหมั่นบูชาเทวดาประจำวันเกิด เพราะในแต่ละคนก็จะมีเทวดาคอยคุ้มครองอยู่ ซึ่งเทวดาเหล่านี้จะคอยช่วยปกปักรักษาและดูแลดวงชะตาของลูกน้อยหรือตัวคุณพ่อคุณแม่เองให้อยู่อย่างเป็นปกติสุข โดย เทวดาประจำวันเกิดจะมีชื่อเรียกต่างกัน ตามวันเกิดของคน ได้แก่

              เทวดาประจำวันเกิดสำหรับคนเกิดวันอาทิตย์ มีนามว่า ระวิเทพ (พระอาทิตย์)
              เทวดาประจำวันเกิดสำหรับคนเกิดวันจันทร์ มีนามว่า จันทะเทพ (พระจันทร์)
              เทวดาประจำวันเกิดสำหรับคนเกิดวันอังคาร มีนามว่า ภุมมเทพ (พระอังคาร)
              เทวดาประจำวันเกิดสำหรับคนเกิดวันพุธ (กลางวัน) มีนามว่า วุธะเทพ (พระพุธ)
              เทวดาประจำวันเกิดสำหรับคนเกิดวันพุธ (กลางคืน) มีนามว่า อะสุรินทะราหูเทพ (พระราหู)
              เทวดาประจำวันเกิดสำหรับคนเกิดวันพฤหัส มีนามว่า คะรุเทพ (พระ พฤหัส ,พระครุ)
              เทวดาประจำวันเกิดสำหรับคนเกิดวันศุกร์ มีนามว่า สุกกะเทพ (พระศุกร์)
              เทวดาประจำวันเกิดสำหรับคนเกิดวันเสาร์ มีนามว่า สุระเทพ (พระเสาร์)

              ทั้งนี้หากใครยังไม่เคยกราบไหว้เทวดาประจำวันเกิด ก็ขอให้น้อมจิตตั้งมั่น ระลึกถึง พระคุณของเทวดาผู้เป็นผู้คุ้มครองชีวิต ขอให้เชื่อในสิ่งที่ทำว่าเป็นการกระทำที่ดีแล้ว เอาจิตใจที่เป็นกุศลบริสุทธิ์เป็นที่ตั้ง และกล่าวสวดมนต์บูชาเทวดา โดยว่าดังนี้….

              อ่านต่อ >> “บทสวดมนต์บูชาเทวดาให้ลูกน้อย” คลิกหน้า 2

              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

               

                NANNY เอาใจคุณแม่ที่มีลูกเบบี๋ เชิญ คุณหมอสุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ ให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่อง ‘นมแม่’

                NANNY เอาใจคุณแม่ที่มีลูกเบบี๋

                เชิญคุณหมอสุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ สุดยอดคุณหมอผู้เชี่ยวชาญนมแม่ มาให้ความรู้คุณแม่ชาวขอนแก่นกันเต็มอิ่มในหัวข้อ “นมแม่ดีที่สุด”

                NANNY

                ในงาน Amarin Baby&Kids Fair @Central Plaza ขอนแก่น เมื่อวันเสาร์ที่ 25 มีนาคมที่ผ่านมา โดยคุณแม่ต่างก็อุ้มลูกน้อย จูงมือคุณพ่อมารับฟังความรู้เกี่ยวกับการให้นมแม่ การปั๊มนม การเก็บนมแม่กันอย่างล้นหลามNANNYNANNY

                แถมยังพร้อมใจกันจะนำกลยุทธ์ดีๆ เพื่อการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ให้ยาวนานที่สุดไปใช้กันอีกด้วย …งานนี้ ผลิตภัณฑ์แนนนี่ ร่วมสนับสนุน กิจกรรมดีๆ และขอเป็นกำลังใจให้คุณแม่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ให้สำเร็จ นะคะNANNYNANNY

                 

                  ลำไส้อุดตัน เพราะป้อนกล้วย

                  อุทาหรณ์! ลูกไม่โต เพราะ กล้วยอุดตันลำไส้ จนเน่า

                  คุณแม่น้องณกฤษ โพสต์เตือนใจ เพื่อเป็นอุทาหรณ์จากการป้อนกล้วยก่อนเวลาอันควร ทำให้ กล้วยอุดตันลำไส้ จนเน่า เกือบต้องผ่าท้อง

                  อุทาหรณ์! ลูกไม่โต เพราะ กล้วยอุดตันลำไส้ จนเน่า

                  โดยคุณแม่เล่าว่า “น้องณกฤษ 9 เดือนกว่าแล้วครับ มีแต่คนตกใจพอรู้ว่า 9 เดือน ใครเห็นก็ว่า 3-4 เดือน บ้างก็ถามว่าทำไมตัวเล็กจัง?? #ก็กล้วยไงคะต้นเหตุ คุณแม่จะเล่าประสบการณ์ให้ฟัง

                  กล้วยอุดตันลำไส้

                  เราแบบธรรมชาติน้ำหนักแรกเกิด 3040 กรัม คลอดได้ประมาณเดือนกว่า เราอยู่บ้านแฟน เราวัยรุ่น แฟนวัยรุ่นต่างเลี้ยงไม่ค่อยเป็น แต่ศึกษาตามเพจแม่และเด็กบ้าง โปรแกรมต่างๆ บ้าง ก็พอรู้ว่าไม่ควรให้ทานอะไรนอกจากนมจน 6 เดือน แต่เรื่องของเรื่อง

                  เราเลี้ยงคนเดียวตลอด 24 ชม. แม่แฟนจะคอยดูห่างๆ เพราะอยากให้เราหัดไว้ เราจะห่างกับลูกตอน #เข้าห้องน้ำ #กินข้าว 2 อย่าง ใช้เวลาพอสมควร ทำแบบนี้จนลูก 2 เดือน ลูกเริ่มผิดปกติ คือ
                  – ร้องตลอดเวลา มหาหิงค์ไม่ช่วยอะไรเลย เบบี้ดอลไม่ช่วยเลย
                  – กินนมก็อ้วกออกหมด จนน้ำหนักลดมาก
                  – ไม่ถ่ายเลย ใช้สวนตลอด

                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                   

                  ไปหาหมอเอ็กซเรย์ดูลำไส้ปกติดี จนปล่อยมา 4 เดือนก็เหมือนเดิน ตัวร้อนทุกวันเลยค่ะ สวนให้ถ่ายทุก 3-4 วัน จนพ่อแฟนทนไม่ไหวพาไปหมอเด็กราชบุรีกะทันหัน

                  นอนโรงพยาบาลไม่ให้นอนห้องพิเศษเลย เพราะหมอบอกหาต้นเหตุด่วน เด็กอาการแย่มาก คือตัวเล็กมากค่ะ 2 วันจากการนอนโรงพยาบาลถึงรู้ เพราะหมอสวนกล้องเข้าไปจะดูว่าลำไส้ผิดปกติไหมแต่เจอ #กล้วยที่ตันจนเน่าค่ะ

                  กล้วยอุดตันลำไส้จนเน่า

                  แม่และหมอตกใจมากๆๆๆๆ ที่มันตันมานานเกือบ 5 เดือน ถามว่าเรารู้ไหม?? ไม่รู้ค่ะ รีบโทรถามแม่สามีถึงรู้ว่า เวลาเราเข้าห้องน้ำ รึอาบน้ำ เวลานั้นเขาจะแอบป้อนกล้วยลูกเรา แอบให้กินตั้งแต่เดือนกว่าๆ #กล้วยที่ตันเกือบโดนผ่าออกแล้วไหมล่ะ และทำให้ร่างกายทำงานผิดปกติ คือ
                  1. ลำไส้อักเสบมากเกือบเน่า ให้ยาฆ่าเชื้อเป็นเดือนๆ
                  2. ตันจนไปกดทับกระเพราะปัสสาวะ ทำให้ติดเชื้ออวัยวะเพศตัน ต้องใช่มีดกรีดปลาย
                  #ตอนนี้กินน้ำมันตับปลาบำรุงค่ะ หมอเขียนใบนัดว่าผู้ป่วยพิการ เรานี้ตกใจเลย
                  ตอนนี้หายดีแล้วค่ะ”

                  ทีมงาน Amarin Baby & Kids ขอขอบคุณคุณแม่น้องณกฤษมากๆ ค่ะที่แบ่งปันประสบการณ์ เพื่อเป็นอุทาหรณ์เตือนใจแก่คุณแม่ท่านอื่นๆ ในครั้งนี้

                  หลายคนอาจคิดว่า การป้อนกล้วยเด็กทารกอายุก่อน 6 เดือน เป็นเรื่องปกติที่ทำกันมาแต่โบราณไม่เห็นเป็นไร ไม่เห็นมีใครตาย แต่จริงๆ แล้วอาจมีการเสียชีวิตแต่ในสมัยก่อนไม่ได้มีการเก็บสถิติบันทึกข้อมูลไว้เหมือนในปัจจุบัน และด้วยความรวดเร็วของโลกโซเชียลจึงทำให้เราเห็นกรณีตัวอย่างจากการป้อนกล้วยทารกอยู่บ่อยครั้ง มีหลายเคสที่ต้องผ่าตัดเพราะ กล้วยอุดตันลำไส้ และบางเคสก็เป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตเลยทีเดียวค่ะ

                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                   

                  อ่านต่อ แพทย์เตือน ป้อนกล้วยบดทารกแรกเกิด เสี่ยงปัญหาลำไส้อุดตัน คลิกหน้า 2

                    ฟลูออไรด์สาหรับเด็ก กับการใช้ยาสีฟันที่ถูกต้องในเด็ก โดยสมาคมทันตแพทย์ ปี 2560

                    ฟลูออไรด์ป้องกันฟันผุ …ฟันของเหล่าลูกน้อย จะแข็งแรงได้นั้น “ฟลูออไรด์” ต้องเพียงพอ เพราะ ฟลูออไรด์ เป็นสารช่วยป้องกัน และลดการผุของฟันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลต่อฟัน คือ เมื่อฟันขึ้นแล้ว สารฟลูออไรด์จะช่วยลดการสร้างกรดจากจุลินทร์ทรีย์ และยังสามารถช่วยทำให้การผุชะลอตัว ไม่ผุเพิ่มขึ้นในฟันที่ผุเริ่มแรกได้

                    ฟลูออไรด์คืออะไร

                    ฟลูออไรด์เป็นแร่ธาตุชนิดหนึ่งที่ใช้ป้องกันโรคฟันผุ สามารถใช้ได้ 2 วิธี คือ

                    1. ฟลูออไรด์ที่ใช้ในระบบทั่วร่างกาย คือ การเติมฟลูออไรด์ลงในน้ำหรืออาหารเพื่อให้เด็กรับประทาน เพื่อมุ่งหวังผลให้ฟลูออไรด์เข้าไปอยู่ในฟันในขณะที่ฟันกำลังมีการเจริญเติบโต ซึ่งสามารถทำได้โดยการเติมฟลูออไรด์ลงในน้ำดื่ม ในนม เสริมในรูปของยาฟลูออไรด์ ในอาหาร เช่น ใบชา อาหารทะเล (ปลาแห้ง กุ้งแห้ง) เนื้อสัตว์ ผัก ในน้ำบาดาล ในอากาศ เป็นต้น
                    2. ฟลูออไรด์เฉพาะที่ คือ การใช้ฟลูออไรด์สัมผัสกับฟันโดยตรง ซึ่งสามารถทำได้โดยการแปรงฟันด้วยยาสีฟันฟลูออไรด์ การใช้ยาบ้วนปากฟลูออไรด์ การเคลือบฟลูออไรด์โดยทันตแพทย์ การขัดฟันด้วยสารฟลูออไรด์ การที่ยาฟลูออไรด์สัมผัสกับฟันก่อน

                    แนวทางการใช้ ฟลูออไรด์ป้องกันฟันผุ สำหรับเด็ก 2560

                    ฟลูออไรด์ป้องกันฟันผุ

                    การใช้ ฟลูออไรด์ป้องกันฟันผุ เป็นวิธีที่ยอมรับกันทั่วไปว่าสามารถป้องกันฟันผุได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งในการป้องกันฟันผุของฟลูออไรด์ เป็นผลเฉพาะที่บนผิวฟันและบริเวณรอบ ๆ ตัวฟัน มากกว่าผลจากทางระบบกลไกหลักที่สำคัญของฟลูออไรด์ในการป้องกันฟันผุคือ การส่งเสริมการสะสมของแร่ธาตุผิวฟัน และทาให้เกิดการยับยั้งการละลายตัวของแร่ธาตุที่ผิวฟัน เมื่อมีฟลูออไรด์ความเข้มข้นสูงกว่า 100 ส่วนในล้านส่วน จะสร้างแคลเซียมฟลูออไรด์ สะสมอยู่ในคราบจุลินทรีย์ และรูพรุนของผิวเคลือบฟัน ซึ่งเป็นแหล่งสะสมของฟลูออไรด์ แคลเซียมฟลูออไรด์สามารถแตกตัวเกิดเป็นฟลูออไรด์อิสระ กระตุ้นให้เกิดการสะสมของแร่ธาตุและยับยั้งการละลายตัวของแร่ธาตุที่ผิวฟัน

                    การใช้ฟลูออไรด์มีหลายรูปแบบแบ่งเป็น 3 กลุ่มดังนี้

                    1. ฟลูออไรด์สาหรับใช้ที่บ้าน (Home-use fluoride) แบ่งเป็น

                    – ฟลูออไรด์ชนิดที่ซื้อใช้ได้เอง ได้แก่ ยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ (Fluoride toothpaste) ยาอมบ้วนปากผสมฟลูออไรด์ (Fluoride mouthrinse)
                    – ฟลูออไรด์ชนิดที่ทันตแพทย์สั่งจ่ายให้ ได้แก่ ฟลูออไรด์เจลสาหรับใช้ที่บ้าน (Home fluoride gel) ฟลูออไรด์เสริมชนิดรับประทาน (Fluoride supplement)

                    1. ฟลูออไรด์ที่ใช้โดยทันตแพทย์หรือทันตบุคลากร (Professional applied fluoride) ได้แก่ ฟลูออไรด์เจล (Professional fluoride gel) ฟลูออไรด์วาร์นิช (Fluoride varnish) ซิลเวอร์ไดอะมีนฟลูออไรด์ (Silver diamine fluoride)
                    2. ฟลูออไรด์สาหรับใช้ในชุมชน (Community-use fluoride) ได้แก่ น้าดื่มผสมฟลูออไรด์ (Fluoridated water) นมผสมฟลูออไรด์ (Fluoridated milk)

                    ข้อควรระวัง หรืออันตรายจากการใช้ฟลูออไรด์ 

                    ฟลูออไรด์ มีคุณสมบัติคล้ายสารอาหารอื่นๆ ถ้าได้รับในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการ ของร่างกายก็จะเป็นประโยชน์ แต่ถ้าได้รับมากเกินไป ก็จะเกิดโทษต่อร่างกาย โทษของฟลูออไรด์ต่อร่างกาย พบได้ 2 ลักษณะคือ

                    1. การเป็นพิษแบบเฉียบพลันเกิดจากการได้รับฟลูออไรด์ในปริมาณสูงมาก ในครั้งเดียว มีอาการตั้งแต่คลื่นไส้อาเจียน ปวดท้อง ท้องเสียหากได้รับปริมาณสูงมากๆ จะมีผลต่อระบบหัวใจ หรือเสียชีวิตได้
                    2. การเป็นพิษแบบเรื้อรังเกิดจากการได้รับฟลูออไรด์ในขนาดที่สูงกว่า ระดับที่เหมาะสม คือ 2-10 มิลลิกรัมต่อวัน อย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี จะเกิดผลข้างเคียงต่อฟัน คือ ฟันมีสีขาวขุ่น จนถึงขั้นฟันตกกระ และมีผลต่อกระดูกด้วย แต่สำหรับนมฟลูออไรด์ จะมีขนาดฟลูออไรด์ที่เหมาะสม มีการควบคุมคุณภาพ และปริมาณฟลูออไรด์ จึงมีความปลอดภัยเพียงพอ ที่จะใช้ดื่มเป็นประจำ เพื่อป้องกันฟันผุ อย่างมีประสิทธิภาพ

                    โดยในที่นี้ Amarin Baby & Kids จะขอหยิบยก นำเรื่อง ฟลูออไรด์สาหรับใช้ที่บ้าน ซึ่งเป็นเรื่องใกล้ตัว เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่ดูแลเรื่องฟันของลูกน้อยได้อย่างใกล้ชิด >> อ่าน แนวทางการใช้ ฟลูออไรด์สำหรับเด็ก 2560 แบบเต็มๆ ไฟล์ PDF คลิกที่นี่!!

                    อ่านต่อ >> “ฟลูออไรด์สำหรับใช้ที่บ้านเพื่อลูกน้อยโดยเฉพาะ” คลิกหน้า 2

                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                     

                      Tags

                      ทำความรู้จัก โปรตีน CPP มีดีอย่างไร?

                      โปรตีน เป็นสารอาหารที่มีความสำคัญต่อร่างกาย เพราะโปรตีนช่วยให้อวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย ทำหน้าที่ได้อย่างปกติ เด็กทารกต้องการโปรตีนมาก เพื่อใช้สร้างเนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกายที่เจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว โปรตีนที่เด็กทารกต้องการได้มาจากน้ำนมแม่ โดยเฉพาะในช่วงอายุ 1 ปี เด็กทารกจะมีน้ำหนักตัวเป็น 3 เท่าของน้ำหนักแรกคลอด ทั้งนี้โปรตีน เป็นสารอาหารที่พบได้ในสิ่งมีชีวิตทุกชนิด โดยจะพบมากในเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อปลา เนื้อหมู ไข่ นม เป็นต้น ส่วนในพืชจะพบมากในเมล็ดพืชตระกูลถั่ว เช่น ถั่วลิสง ถั่วเหลือง  เป็นต้น

                      โปรตีน มีประโยชน์ต่อร่างกายลูกน้อยอย่างไร?

                      1. ช่วยทำให้ร่างกายเจริญเติบโตได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะกับเด็กๆ และผู้ที่อยู่ในวัยเจริญเติบโต
                      2. ช่วยเสริมสร้างเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆ ในร่างกาย และ ช่วยซ่อมแซมพร้อมฟื้นฟูส่วนที่สึกหรอ
                      3. ช่วยทำให้ร่างกายได้รับกรดอะมิโนที่จำเป็นอย่างครบถ้วน
                      4. ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย
                      5. เป็นแหล่งพลังงานสำรองในตอนที่ร่างกายขาดคาร์โบไฮเดรตและไขมัน
                      6. ช่วยให้ระบบการทำงานของร่างกายและการเคลื่อนไหวเป็นปกติ
                      7. ช่วยพัฒนาทางด้านร่างกาย จิตใจ และสติปัญญา

                      โปรตีน จากนมแม่ดีต่อลูกน้อยอย่างไร

                      นมแม่ เป็นนมที่เหมาะสมที่สุดสำหรับทารก ในนมแม่มีโปรตีนที่มีคุณภาพย่อยง่าย ช่วยทำให้ร่างกายของลูกน้อยเจริญเติบโตได้อย่างเต็มที่ และช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานเชื้อโรคต่างๆ ทั้งโรคติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร และโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ ให้กับลูกน้อยได้เป็นอย่างดี

                      โปรตีน

                      เพื่อให้ลูกน้อยได้รับสิ่งที่ดีที่สุด การดูแลลูกน้อยให้ได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน ก็เป็นหนึ่งสิ่งที่สำคัญในการสร้างพัฒนาการที่ดีให้กับลูกน้อย โดยเฉพาะการเลือกสารอาหารสำคัญอย่างโปรตีน CPP หรือ Casein Phosphopeptides ก็จะเป็นกำลังสำคัญ ในการกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับลูกได้ตั้งแต่เล็กไปจนโตเลยทีเดียว

                      โปรตีน

                      ทั้งนี้เด็กเล็ก ในช่วงขวบปีแรก ระบบการย่อยและการดูดซึมยังไม่สมบูรณ์เต็มที่ กระบวนการย่อยและการดูดซึมโปรตีนในนมเมื่ออยู่ในสภาพเป็นกรดในกระเพาะอาหารจะอยู่ในรูปก้อนโปรตีนหรือ Curd ซึ่งเป็นการจับตัวกันหลายๆ โมเลกุลของเคซีน ซึ่งเมื่อถูกย่อยโดยเอนไซม์ในกระเพาะอาหารจะแตกตัวออกเป็นโมเลกุลย่อยๆ คือ Casein phosphopeptides (CPP) ซึ่งจะถูกย่อยต่อไปในลำไส้เล็กและถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายในรูปกรดอะมิโนเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในร่างกายต่อไป

                      หากเด็กได้ดื่มนมที่มีโปรตีนโมเลกุลอัดกันแน่น ย่อยยากจะส่งผลทำให้เด็กไม่สบายท้องร้องกวนโยเย ท้องอืดจากนมที่ย่อยและดูดซึมยาก จะส่งผลกระทบต่อพัฒนาการและการเรียนรู้ การดื่มนมที่มีโปรตีน CPP จึงช่วยลดปัญหาอาการไม่สบายท้อง ท้องอืด ท้องผูกได้เป็นอย่างดี

                      ในนมแพะเองก็มีโปรตีน CPP ซึ่งเป็นโปรตีนย่อยง่าย ร่างกายดูดซึมนำไปใช้ได้อย่างเต็มที่ และช่วยในการดูดซึมธาตุต่างๆ ที่สำคัญต่อร่างกาย เช่น แคลเซียม เหล็ก สังกะสี และแมกนีเซียม เข้าสู่ร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งนมแพะยังมีระบบการสร้างน้ำนมแบบอะโพไครน์ แบบเดียวกับนมแม่ ซึ่งช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโต และเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย และพัฒนาสมองของลูกน้อยได้เป็นอย่างดี

                      อย่างไรก็ตามโปรตีนในนมแม่ถือเป็นสารอาหารที่ดีที่สุด ดังนั้นการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่จึงเป็นเรื่องที่ดีและคุณแม่ควรให้นมลูกนานที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่เมื่อมีความจำเป็นต้องให้นมเสริมกับลูก ควรพิจารณาเลือกนมที่มีโปรตีน CPP โปรตีนย่อยง่าย เพื่อเสริมพัฒนาการรอบด้านที่ดีให้กับลูกรักของคุณ

                      โดยเฉพาะการเลือกสารอาหารสำคัญอย่างโปรตีน CPP หรือ Casein Phosphopeptides ก็จะเป็นกำลังสำคัญ ในการกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับลูกได้ตั้งแต่เล็กไปจนโตเลยทีเดียว

                        เทคนิคดี๊ ดี เสริมภูมิคุ้มกันปกป้องร่างกายลูกให้แข็งแรง

                        การเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูก ตั้งแต่ 3 ขวบปีแรก ถือเป็นช่วงวัยที่สำคัญที่สุดต่อการพัฒนาระบบภูมิคุ้มกัน โดยในน้ำนมแม่มีองค์ประกอบที่ช่วย เสริมภูมิคุ้มกัน ให้กับลูกน้อย โดยเฉพาะน้ำนมในระยะแรก ที่เรียกว่า “หัวน้ำนม” หรือ น้ำนมเหลือง (โคลอสตรัม) เป็นน้ำนมที่มีประโยชน์ที่สุด มีภูมิต้านทานเชื้อโรคต่างๆ ทั้งโรคติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร อย่างท้องร่วง และโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ เช่น หอบหืด ขณะเดียวกันนมแม่ก็จะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันของตัวเองขึ้นด้วย

                        เสริมภูมิคุ้มกัน

                        ดังนั้น “นมแม่” ในช่วงขวบปีแรกจึงมีประโยชน์กับลูกน้อยมากๆ ที่จะเป็นแหล่งเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับลูก ก่อนที่ลูกจะเติบโตขึ้น และสามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้เอง ซึ่งนอกจากนมแม่แล้ว คุณแม่สามารถเสริมสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อต้านทานและปกป้องร่างกายลูกให้แข็งแรง ได้อย่างไรบ้าง ไปดูกันค่ะ

                        เสริมภูมิคุ้มกัน ปกป้องร่างกายลูกให้แข็งแรง

                        1. วัคซีนเสริมภูมิคุ้มกัน

                        การให้วัคซีน เป็นการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันที่ช่วยดูแลลูกให้ปลอดภัยจากโรคต่างๆ การให้วัคซีนกับลูกจำเป็นต้องให้ตามเวลา และลูกควรได้รับวัคซีนจำเป็นอย่างครบถ้วน ซึ่งคุณแม่อย่าลืมพาลูกๆ ไปรับวัคซีนตามกำหนดด้วย

                        2. อาหารเสริมภูมิคุ้มกัน

                        เมื่อลูกน้อย 6 เดือนขึ้นไป คุณแม่สามารถให้อาหารเสริมกับลูกควบคู่ไปด้วยได้แล้ว ควรเลือกอาหารที่มีประโยชน์ ซึ่งอาหารก็สามารถเป็นแหล่งที่เสริมภูมิคุ้มกันให้กับลูกได้ โดยเฉพาะอาหารที่อุดมด้วยวิตามินเอ วิตามินบีรวม วิตามินซี และวิตามินอี อาหารที่แร่ธาตุสูง เช่น ผัก ผลไม้ ถั่วเปลือกแข็ง เมล็ดพืช ปลาที่มีไขมันสูง เป็นต้น

                        3. ความสะอาดในบ้าน

                        บ้านที่สะอาดและอากาศที่บริสุทธิ์จะช่วยลดปัจจัยเสี่ยงในการสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ต่างๆ ได้ รวมไปถึงการหลีกเลี่ยงแหล่งชุมชนแออัดเพราะลูกน้อยวัยทารก มีภูมิคุ้มกันที่ยังพัฒนาไม่สมบูรณ์ ทำให้ติดเชื้อโรคต่างๆ และเจ็บป่วยไม่สบายได้ง่าย ซึ่งการพาลูกน้อยไปในสถานที่แออัดหรือชุมชน จะทำให้ลูกเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคร้ายต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะเชื้อโรคที่ติดต่อได้ง่ายผ่านการไอ จาม เสมหะและอื่นๆ ซึ่งหากเลี่ยงได้ควรเลี่ยง

                        4. เลือกนมที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน

                        อย่างนมแพะที่มีระบบการให้น้ำนมแบบเดียวกับนมแม่ ที่เรียกว่า ระบบอะโพรไคน์ ทำให้มีสารอาหารจากธรรมชาติในปริมาณสูง เรียกว่า Bioactive component ประกอบด้วย ทอรีน ช่วยให้การทำงานของจอประสาทตาดีขึ้น นิวคลีโอไทด์จากธรรมชาติ 5 ชนิด ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน มีโพลีเอมีนส์ (Polyamines) ช่วยลดปฏิกิริยาของการแพ้อาหาร มีโกรทแฟคเตอร์ (Growth factor) ชนิดไอจีเอฟวัน (IGF-1) และทีจีเอฟ เบต้า (TGF- β) ช่วยให้เกิดการพัฒนาของระบบลำไส้ และการย่อยสมบูรณ์ พร้อมทั้งเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้ครบถ้วน

                        นอกจากนี้ ในนมแพะยังมีพรีไบโอติก ชนิด Oligosaccharide เช่น Inulin และ Oligofructose โดยจะกระตุ้นการทำงาน และส่งเสริมการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์สุขภาพ อย่างเช่น แล็กโทบาซิลลัส (LACTOBACILLUS) และไบฟิโด แบคทีเรีย (BIFIDOBACTERIA) จึงช่วยปรับสมดุลของระบบทางเดินอาหาร ทำให้ระบบทางเดินอาหารทำงานได้อย่างเป็นปกติ ที่สำคัญช่วยเสริมสร้างการพัฒนาของระบบภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายของเด็กได้เป็นอย่างดี

                        เสริมภูมิคุ้มกัน

                        5. การพักผ่อนที่เพียงพอและออกกำลังเป็นประจำ

                        การที่ลูกน้อยนอนหลับและพักผ่อนอย่างเพียงพอเต็มที่แล้ว จะช่วยให้ร่างกายไม่ต้องทำงานหนัก เด็กๆ จึงควรได้รับการพักผ่อนอย่างน้อย 8-10 ชม.ต่อวัน รวมไปถึงคุณแม่ควรให้ลูกได้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอด้วย ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และนำออกซิเจนไปสู่อวัยวะต่างๆ ของร่างกาย โดยหากิจกรรมที่ช่วยให้ลูกได้ใช้ออกแรงเล่น หรือได้ทำกิจกรรมกลางแจ้งที่มีแสงแดดอ่อนๆ ก็ช่วยได้

                        อย่างไรก็ตาม การเสริมสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีให้กับลูกน้อยล้วนมาจากความรักที่พ่อแม่มีให้ ไม่ว่าจะเป็นการดูแลทั้งด้านจิตใจและร่างกาย ซึ่งการมอบความรักและความอบอุ่นของพ่อแม่ให้กับลูกน้อย ถือเป็นภูมิคุ้มกันสุขภาพอย่างดีเลยทีเดียว เพราะมีงานวิจัยจำนวนมากพบว่า การที่เด็กๆ หัวเราะ มองโลกในแง่ดี และการพูดคุยเรื่องขำขันสามารถเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันได้

                        ในส่วนของร่างกายจำเป็นอย่างยิ่งที่ลูกน้อยต้องได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วนเพื่อช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีให้กับลูกน้อย และแม้จะมีผลิตภัณฑ์นมให้เลือกซื้อจำนวนมากในท้องตลาด แต่นมแม่ ก็ยังถือว่าเป็นนมที่ดีที่สุดของลูกน้อยดังที่กล่าวมาข้างต้น  แต่ในกรณีที่คุณแม่มีความจำเป็นจริงๆ ที่ต้องให้นมอื่นทดแทน ก็ควรเลือกอย่างละเอียดและต้องใส่ใจกับสารอาหารที่ลูกจะได้รับ ว่าเป็นสารอาหารจากธรรมชาติ หรือสารสังเคราะห์ เนื่องจากเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาสมองและร่างกายของลูกน้อยให้เติบโตอย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง

                          เทคนิคช่วยลูกขี้อาย ให้กล้าแสดงออก

                          7 เทคนิคช่วยลูกขี้อาย ให้กล้าแสดงออก

                          ครอบครัวไหนเคยเจอปัญหาลูกขี้อายบ้างคะ อย่างเวลาอยู่บ้านพูดคุย เล่นสนุกได้กับทุกคน แต่พอออกนอกบ้านไปโรงเรียน คุณครูให้ทำกิจกรรมหน้าชั้นเรียน หรือหน้าเสาธงตอนเช้า ลูกมักจะก้มหน้าเขินอาย  ซึ่งบางทีอาการขี้อายของลูกก็ทำพ่อแม่กังวลใจได้ไม่น้อยเลยใช่ไหมคะ ทีมงาน Amarin Baby & Kids มี เทคนิคช่วยลูกขี้อาย ให้กล้าแสดงออก มาฝากกันค่ะ

                           

                          เทคนิคช่วยลูกขี้อาย ให้กล้าแสดงออก

                          คุณแม่คะ วันนี้ที่โรงเรียนมีคัดเลือกเด็กๆ เพื่อซ้อมการแสดงงานโรงเรียน น้องก้อยได้รับเลือกให้รำอวยพรพร้อมกับเพื่อนอีกสองคน แต่น้องเขินอายมาก รำไม่ได้เลย ยิ่งเวลามีเพื่อนดูตอนซ้อมรำ ยิ่งทำให้อายม้วนแล้ววิ่งไปหลังห้องเลยค่ะ เหตุการณ์นี้มาจากเพื่อนผู้เขียนที่มักเล่าให้ฟังว่าลูกสาววัย 7 ขวบ เป็นเด็กขี้อาย ไม่กล้าแสดงออกมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ไม่รู้จะแก้ไขอย่างไรดี เพราะกลัวว่าเมื่อลูกโตขึ้นแล้วจะไม่กล้าแสดงความคิด ไม่กล้าทำกิจกรรมต่างๆ เหมือนกับคนอื่นทั่วไป แล้วจะเสียสิทธิ์ เสียโอกาสดีๆ ที่มีเข้ามาในชีวิต

                           

                          Must Read >> ช่วยลูกขี้อายมั่นใจขึ้น (ทีละนิด)

                           

                          ฟังแล้วก็เห็นใจทั้งเพื่อน และลูกสาวเพื่อนเลยค่ะ เพราะจริงๆ น้องก้อยเป็นเด็กน่ารักมากค่ะ ถ้าสาวน้อยคุยกับคนรอบข้างแล้วก็จะคุยเล่นสนุก แต่ติดนิดเดียวที่ขี้อายมากไปหน่อย คือไม่ใช่แต่กับที่โรงเรียนเวลาให้ทำกิจกรรมต่อหน้าคนเยอะๆ แล้วเขินอาย คือเวลาอยู่ที่บ้านจัดปาร์ตี้สนุกๆ มีให้ร้องเพลง ให้เต้น น้องก้อยก็ไม่ยอมหัวชนฝาเลยละค่ะ

                          จริงๆ อาการขี้อายของเด็กก็เป็นได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็น
                          1. ถูกห้ามจากพ่อแม่ หรือคนรอบข้างในครอบครัวมาตั้งกะเด็กบ่อยๆ ว่าอย่าทำแบบนั้นนะ ทำแบบนี้ไม่ดีนะเดี๋ยวทุกคนไม่รัก ฯลฯ คือไปปิดกั้นจินตนาการ ความสมารถของลูกมาตั้งแต่เป็นเด็กน้อย นี่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ลูกไม่กล้าแสดงออกทั้งการกระทำ และความคิดเห็นได้เช่นกันค่ะ
                          2. เด็กไม่เคยได้รับความสนใจจากพ่อแม่ หรือคนรอบข้าง ไม่ว่าลูกจะชอบ จะทำอะไรที่ดีที่งาม หากพ่อแม่ รวมทั้งคนในครอบครัวเมินเฉยกับสิ่งที่ลูกทำ แน่นอนว่านี่ก็เป็นอีกเหตุผลที่ลูกไม่กล้าแสดงออก และอายที่จะทำ เพราะเด็กไม่มั่นใจว่าสิ่งที่จะทำนั้นดีหรือไม่ดี
                          3. อาการขี้อายเกิดจากตัวเด็กเอง ต้องบอกว่าในเด็กบางคนอาจไม่ได้มีสิ่งกระตุ้นเร้าให้ไม่กล้าแสดงออก แต่ความเขินอายเกิดขึ้นมาจากตัวของเด็กเองที่ไม่กล้าแสดงออก

                          อย่างไรก็ตามไม่ว่าความขี้อายของเด็กจะมาจากสาเหตุใด ก็ควรจะได้รับการแก้ไขตั้งแต่ที่ลูกยังเป็นเด็กเล็กๆ เพราะถ้าแก้ ถ้าปรับพฤติกรรมได้เร็ว ก็จะช่วยให้ลูกสนุกเรียนรู้ สนุกทำกิจกรรมสร้างสรรค์ร่วมกับเพื่อนๆ วัยเดียวกันได้อย่างเต็มประสิทธิภาพค่ะ

                          อ่านต่อ >> วิธีปรับแก้ไขพฤติกกรมขี้อายลูก ให้กล้าแสดงออก หน้า 2

                           

                          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                            เลี้ยงลูกวินัยเชิงลบ

                            เลี้ยงลูกวินัยเชิงลบ ส่งผลต่อพัฒนาการสมอง

                            ปัจจุบันการเลี้ยงลูกของพ่อแม่สมัยใหม่ ที่แยกบ้านออกมาเลี้ยงดูลูกกันเองตามลำพัง โดยที่ไม่มีญาติผู้ใหญ่มาช่วยเลี้ยงดูแล ลูกหลานอยู่ด้วย ที่บางครั้งวิธีการเลี้ยงลูกแบบสมัยใหม่อาจเป็นการ เลี้ยงลูกวินัยเชิงลบ จากความไม่เข้าใจของพ่อแม่ที่ ส่งผลเสียไปกระทบต่อตัวเด็กได้โดยตรง ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีข้อมูลที่น่าสนใจในเรื่องนี้มาให้ทราบกันค่ะ

                             

                            เลี้ยงลูกวินัยเชิงลบ คืออะไร?

                            เชื่อว่าพ่อแม่ที่มีประสบการณ์ในการมีลูก และเลี้ยงดูลูกมาก่อนหน้านี้ จะได้ยินวิธีการเลี้ยงลูกแบบวินัยเชิงบวก ที่พ่อแม่ เลี้ยงลูกแบบมีเหตุผล ไม่ใช้ความรุนแรงกับลูก ซึ่งอธิบายง่ายๆ คือ เมื่อลูกดื้อ ลูกเอาแต่ใจตัวเองขึ้นมาในบางครั้ง แทนที่พ่อ แม่จะใช้ความรุนแรงในการทำโทษลูก ก็เปลี่ยนวิธีการลงโทษให้นุ่มนวล ลดความเจ็บปวดจากการตีลง เช่น การให้ลูกเข้า มุมสงบอารมณ์ ด้วยวิธี Time out ที่อาจกำหนดเวลาตามอายุของเด็ก เช่น 5 นาที 10 นาที จากนั้นพ่อแม่ค่อยกลับมาคุยกับลูก ด้วยเหตุและผลที่ทำไมต้องลงโทษ การคุยกับเด็กที่อารมณ์สงบลงแล้วทั้งจากตัวพ่อแม่ และตัวของเด็ก จะทำให้เด็กเชื่อฟัง  และสำนึกคิดได้ว่าทำไมเขาถึงถูกลงโทษ เด็กคิดได้จากการกระทำของตัวเอง รู้สึกสำนึกผิด และเขาก็จะไม่ดื้อในสิ่งที่พ่อแม่ไม่อยากให้ทำอีกในคราวต่อไป

                             

                            Must Read >> ต้นแบบอันทรงคุณค่า วิธีการเลี้ยงลูกของสมเด็จย่า ที่ควรนำมาเป็นแบบอย่าง

                             

                            นั่นคือการเลี้ยงลูกแบบวินัยเชิงบวก ที่ผลของการเลี้ยงลูกด้วยวิธีนี้ จะส่งผลดีต่อตัวเด็กทั้งในระยะสั้น และระยาว ที่นี้เรามาว่ากันด้วยเรื่องที่พ่อแม่ส่วนหนึ่งในปัจจุบันนี้ที่มีการ “เลี้ยงลูกวินัยเชิงลบ” ซึ่งทราบกันไหมว่าจริงๆ แล้วเราก็สัมผัสกับวินัยเชิงลบของตัวเรากันเองในการดำเนินชีวิตแต่ละวัน แต่ทุกคนอาจไม่รู้ตัวกัน “วินัยเชิงลบ” คือการกระทำที่รุนแรงทั้ง การใช้คำพูด และการกระทำ  ที่หากคุณคือคนหนึ่งที่มีพื้นฐานเป็นคนที่มีวินัยเชิงลบอยู่ในตัว เมื่อวันหนึ่งได้มาเป็นพ่อแม่ คุณอาจเลี้ยงลูกด้วยวินัยเชิงลบแบบไม่รู้ตัวก็ได้

                            และเพื่อให้พ่อแม่ทุกคนได้ทราบถึงผลเสียที่เกิดขึ้น ต่อการเลี้ยงลูกแบบวินัยเชิงลบ มาให้เข้าใจกันมากขึ้น เพื่อที่จะได้กลับไปปรับรูปแบบการเลี้ยงลูกจากวันัยเชิงลบ เปลี่ยนมาเลี้ยงลูกแบบวินัยเชิงบวกกันค่ะ

                            อ่านต่อ >> เลี้ยงลูกแบบวินัยเชิงลบ ส่งผลเสียต่อสมองมากนะ! หน้า 2

                             

                            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                              มะเร็ง

                              โรคมะเร็งในเด็ก ภัยร้ายที่ไม่ควรมองข้าม

                              ถ้าพูดถึงคำว่า มะเร็ง เราจะคิดถึงมะเร็งปอด ในคนที่สูบบุหรี่มากๆ หรือมะเร็งตับในคนที่ดื่มสุราเป็นระยะเวลานานๆ การเกิดโรคน่าจะต้องมีสาเหตุที่ชัดเจน เกิดเฉพาะในผู้ใหญ่หรือคนแก่ คงไม่เกิดกับเด็กตัวเล็กๆ ผู้ใสบริสุทธิ์…..แท้ที่จริงแล้วไม่เลยค่ะ…กับเด็กเล็ก เด็กโต ก็เกิดได้หมด โรคมะเร็งในเด็ก ไม่ได้เลือกชนชั้นวรรณะ และเลือกเศรษฐานะในการเกิด จริงๆ แล้วโรคมะเร็งถ้าเทียบกับโรคอื่นๆ ที่พบได้ในเด็ก เช่น ปอดอักเสบ ท้องร่วงนั้น โรคมะเร็งในเด็ก พบได้น้อยกว่ามาก แต่ก็เป็นโรคที่พบได้บ่อยเช่นกัน

                              โรคมะเร็งในเด็ก ภัยร้ายที่ไม่ควรมองข้าม

                              ทำไมเราไม่ค่อยเห็นผู้ป่วยเด็กโรคมะเร็งบ่อยเหมือนโรคทั่วๆ ไป…. ก็เพราะค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคมะเร็งในเด็กที่ค่อนข้างสูง และต้องใช้เครื่องมือพิเศษและเฉพาะเจาะจง จึงทำให้ผู้ป่วยมักจะกระจุกใน รร แพทย์เป็นส่วนมาก จึงทำให้คนทั่วๆไปมองข้ามไป คิดว่าจะไม่ได้เกิดกับบุคคลใกล้ชิด เกิดขึ้นมาแล้วก็ไม่รู้จะทำอย่างไร

                              บทความแนะนำ ข่าวดีเพื่อทุกครอบครัว! 10 โรคมะเร็งรักษาฟรี ประกันสังคมจ่ายให้

                              โรคมะเร็งในเด็ก แบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ

                              1. มะเร็งทางระบบเม็ดเลือดและต่อมน้ำเหลือง (hematologic malignancies) ที่ประกอบไปด้วย มะเร็งเม็ดเลือดขาว (leukemia) และมะเร็งต่อมน้ำเหลือง (lymphoma)
                              2. มะเร็งก้อน (solid tumors) ที่แบ่งย่อยเป็นมะเร็งในสมองและระบบประสาท (brain and spinal tumors) และมะเร็งนอกสมองตามอวัยวะต่างๆ (extracranial solid tumors) เช่น มะเร็งต่อมหมวกไต หรือ นิวโรบลาสโตมา (neuroblastoma) มะเร็งไต (Wilms tumor) มะเร็งกล้ามเนื้อลาย (rhabdomyosarcoma) มะเร็งตับ (hepatoblastoma) และ มะเร็งจอประสาทตา (retinoblastoma) เป็นต้น

                              ทุกคนอาจจะสงสัยว่าเด็กเป็นมะเร็งได้ยังไง….จริงๆ แล้วทุกวันนี้สาเหตุโดยทั่วไปก็ยังไม่มีใครรู้ว่าเกิดจากอะไรแน่ บางส่วนเกิดจากการกลายพันธุ์ของยีนส์ (gene) ที่เกิดขึ้นเอง บางส่วนเกิดจากพันธุกรรม (genetic) และบางส่วนเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน (multifactorial) ตามทฤษฎีมีแค่เพียงสาเหตุจากพันธุกรรมเท่านั้นที่จะสามารถป้องกันได้ แต่คนที่มีพันธุกรรมที่ผิดปกติก็ไม่ได้มีอาการทุกครั้ง ดังนั้นก็ยากที่จะบอกว่าใครจะมีพันธุกรรมที่ผิดปกติ และจะทำให้เกิดโรคมะเร็งได้บ้าง บางโรคมีการคัดกรองและตรวจป้องกันได้ชัดเจน แต่บางโรคไม่มี ดังนั้นสิ่งที่ดีที่สุดก็คือ “Early detection”หรือการรู้แต่เนิ่นๆ…ยิ่งรู้เร็ว ยิ่งรักษาเร็ว ผลการรักษาก็ยิ่งดี!!!

                              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                               

                              อ่านต่อ 11 อาการส่อสัญญาณ ลูกอาจเป็นมะเร็ง คลิกหน้า 2

                                อยู่ไฟหลังคลอด

                                อยู่ไฟหลังคลอด เข้ากระโจม ทับหม้อเกลือ วิธีโบราณ ช่วยดูแลสุขภาพคุณแม่หลังคลอดให้ดีขึ้น

                                อยู่ไฟหลังคลอด …การ อยู่ไฟ เป็นวิธีโบราณของไทยแต่เดิมมา ที่คนเฒ่าคนแก่ได้สอนให้แม่ลูกอ่อนที่เพิ่งคลอดลูกทุกคนได้ทำการอยู่ไฟ โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้ มดลูกเข้าอู่ ได้เร็ว สุขภาพดี มีน้ำนมมาก

                                จากกระแสดังที่ไม่มีใครเกินในวินาทีนี้…จนทำให้คนไทยหลายคนย้อนรำลึกไปถึงสมัยโบราณ กับ ละครเรื่อง “บุพเพสันนิวาส” ละครแนวย้อนยุคสมัยอยุธยา ที่ถูกนำมาจากนวนิยายชื่อดัง และก็มีหนึ่งในฉากสุดประทับที่ แม่หญิงการะเกด ต้องมา อยู่ไฟ  หลังจาก คลอดลูก คนแรก ซึ่งเป็นวิธีการอยู่ไฟแบบสมัยโบราณ จึงอาจเรียกได้ว่าวิธีนี้เป็นการช่วยฟื้นฟูร่างกายของคุณแม่หลังคลอดได้เป็นอย่างดี และมีมาช้านานแล้วจริงๆ

                                อยู่ไฟหลังคลอด วิธีโบราณ ช่วยดูแลสุขภาพคุณแม่หลังคลอดให้ดีขึ้น

                                อยู่ไฟหลังคลอด ถือเป็นภูมิปัญญาไทยโบราณ  โดยมีหลักการคือ การใช้ความร้อนและสมุนไพร จากความเชื่อที่ว่าความร้อนนั้นดีต่อร่างกายมากกว่าความเย็น เพราะความร้อนจะทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ช่วยให้แผลหายเร็ว ซึ่งขั้นตอนการอยู่ไฟแบบดั้งเดิมสมัยก่อนจะใช้เวลาทั้งวัน

                                อีกทั้งยังมีการให้เข้ากระโจม เพื่อนวดตัวด้วยลูกประคบ นาบด้วยหม้อเกลือ ซึ่งคุณแม่ที่คลอดลูกเองแบบธรรมชาติสามารถ อยู่ไฟหลังคลอดได้ทันที ส่วนคุณแม่ที่ผ่าคลอดควรรอให้แผลผ่าตัดแห้งติดสนิทเรียบร้อยดีก่อนจึงอยู่ไฟได้

                                โดยการ อยู่ไฟ สมัยก่อนจะให้ คุณแม่หลังคลอด นอนบนกระดานแผ่นเดียวหรือบางพื้นที่ใช้แคร่ไม้ไผ่ มีไฟก่อไว้ข้างล่างพอร้อน เป็นระยะเวลา 7-14 วัน บางรายอาจจะอยู่เพียง 3 วัน หรือนานถึง 1 เดือน หรือนานถึง 44 วัน

                                อยู่ไฟหลังคลอด

                                ประโยชน์ของการ อยู่ไฟหลังคลอด

                                • การอยู่ไฟช่วยให้หญิงหลังคลอดได้พักผ่อน และได้รับความอบอุ่น เพราะความร้อนช่วยกระตุ้นการหดรัดตัวของมดลูก
                                • ทำให้น้ำคาวปลาถูกขับออกมา
                                • ช่วยให้มดลูกเข้าอู่เร็วขึ้น
                                • ช่วยให้แผลฝีเย็บ รวมทั้งแผลภายในมดลูกแห้งเร็วขึ้น
                                • ทำให้สิ่งตกค้างต่าง ๆ ภายในโพรงมดลูกถูกขับออกได้ดีขึ้น

                                นอกจากนั้น การอยู่ไฟจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนทำให้ลดอาการปวดเมื่อยร่วมด้วย สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะส่งผลให้มารดามีสุขภาพแข็งแรง

                                Good you know : การอยู่ไฟอาจทำให้เกิดภาวะขาดน้ำได้ เช่นเดียวกับคนที่อบเซาน่าหรือแช่น้ำแร่ร้อนเกิน 15 นาที ซึ่งจะมีเหงื่อออกมากจนทำให้ร่างกายเกิดภาวะขาดน้ำ ทำให้น้ำนมน้อยลง คุณแม่จึงควรดื่มน้ำให้มาก ๆ ระหว่างที่อยู่ไฟด้วยนะคะ

                                การอยู่ไฟหลังคลอดในปัจจุบัน

                                ซึ่งในปัจจุบันการอยู่ไฟได้มีการปรับเปลี่ยนกระบวนการเพื่อให้เข้ากับวิถีชีวิตสมัยใหม่ ด้วยการใช้ความร้อนคู่กับสมุนไพรไทยมาเป็นเครื่องมือหลัก ๆ มีการประยุกต์โดยไม่จำเป็นต้องอยู่ในกระโจมร้อน ๆ แบบสมัยก่อน เพียงแค่อบไอร้อนในตู้อบสมุนไพรให้โผล่ออกมาแต่คอ หรือการอบเซาน่าโดยใช้สมุนไพรที่ใช้อบตัวซึ่งหาซื้อได้ง่ายขึ้นตามร้านค้า จะช่วยประหยัดเวลาและสะดวกสบายขึ้นมากกว่าแต่ก่อน

                                โดยมีระยะเวลาในการอยู่ไฟตั้งแต่ 7 วันขึ้นไปเป็นอย่างน้อย ซึ่งก็สามารถเลือกบริการจากแพทย์แผนไทยหรือเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญได้ ตามโรงพยาบาล คลินิกแพทย์แผนไทย ไปจนถึงบริการอยู่ไฟถึงที่บ้านแบบเดลิเวอรี่ก็ได้

                                อันดับแรก ก่อนที่คุณแม่หลังคลอดต้องการอยู่ไฟ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญตรวจซักถามข้อมูลสุขภาพของคุณแม่ เพื่อนำไปวิเคราะห์และเลือกขั้นตอนต่าง ๆ ให้เหมาะสมและตรงกับความต้องการของแต่ละบุคคล รวมไปถึงสอบถามอาการ โรคประจำตัวของคุณแม่แต่ละคนด้วย โดยวิธีการอยู่ไฟในสมัยใหม่จะมีขั้นตอน ดังต่อไปนี้…

                                  สารพัน คำถามเกี่ยวกับ นมแม่ ที่แม่มือใหม่ต้องรู้

                                  สารพัน คำถามเกี่ยวกับ นมแม่ มีหลายเรื่องที่แม่มือใหม่ต้องรู้ เราเชื่อว่าคุณแม่มือใหม่มีคำถามมากมายเกี่ยวกับการให้นมแม่ ทั้งเรื่องกินนมแม่แล้ว ทำไมลูกยังท้องผูก และ ทำไมอยู่ดีๆ ลูกก็หันมาดื่มน้ำบ่อยขึ้น

                                  สารพัน คำถามเกี่ยวกับ นมแม่ ที่แม่มือใหม่ต้องรู้

                                  สารพัน คำถามเกี่ยวกับ นมแม่ มีหลายเรื่องที่แม่มือใหม่ต้องรู้

                                  กินนมแม่…แต่ทำไมยังท้องผูก??

                                  ช่วงหลังคลอด 1-2 เดือนแรก ในนมแม่จะมีสารที่ช่วยให้ลำไส้เคลื่อนตัวได้เร็ว เพื่อเร่งการขับถ่ายสารสีเหลืองบิลิรูบินออกจากร่างกายทำให้ลูกน้อยอุจจาระบ่อยวันละหลายครั้ง แต่เมื่อปัญหาตัวเหลืองหมดไปสารตัวนี้จะลดลงไปด้วย ทำให้เด็กไม่อุจจาระบ่อยเหมือนเดิม อาจเหลือเพียงวันละครั้ง หรือหลายวันจึงจะถ่าย

                                  ทั้งนี้สถิติสูงสุดที่เคยมีคือ 21 วันจึงจะถ่าย เพราะสารอาหารในนมแม่ดูดซึมไปใช้ได้เกือบหมด เหลือของเสียที่ต้องเร่งกำจัดออกจากร่างกายไม่มาก จึงสามารถเก็บไว้ได้หลายวัน โดยไม่ทำให้อุจจาระแข็ง เมื่ออึออกมาก็นิ่มดี ภาวะนี้ไม่เรียกว่าท้องผูก จึงไม่ต้องแก้ไขหรือรักษาแต่อย่างใด

                                  แต่ถ้าลูกน้อยไม่ถ่ายหลายวันแล้วมีอาการอึดอัดแน่นท้อง คุณแม่อาจช่วยได้ โดยตัวคุณแม่เองหมั่นกินผักผลไม้ที่ช่วยระบาย เช่น ส้ม พรุน มะละกอ มะขาม แก้วมังกร หรือ เน้นให้ลูกน้อยกินนมส่วนต้นของนมแม่ ซึ่งมีแล็กโทสช่วยให้ขับถ่ายง่ายขึ้น หรือไม่ก็ทำการนวดท้อง (Baby Massage) ก็ช่วยให้ลูกถ่ายออกมาได้เร็วขึ้นค่ะ

                                  บทความแนะนำ ตารางเปรียบเทียบสารอาหารใน ลูกพรุนและน้ำลูกพรุน แก้อาการท้องผูก

                                   

                                  คำเตือน!!

                                  คุณแม่ไม่ควรสวนหรือเหน็บให้ลูกอุจจาระ เพราะจะทำให้ลูกเคยตัวไม่ยอมอึด้วยตัวเอง แต่ถ้าลูกน้อยบางคนทำท่าเบ่งหน้าดำหน้าแดง กรีดร้องไห้เสียงดังมากเวลาที่ต้องการถ่ายอุจจาระ เมื่ออุจจาระออกมาแล้วก็นิ่มดีลูกทำสีหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเหมือนเมื่อสักครู่ เหล่านี้ ไม่ใช่อาการของท้องผูก แต่เกิดจากกล้ามเนื้อหูรูดที่ทวารหนัก ยังทำงานไม่ประสาน กับการขับเคลื่อนของอุจจาระ ลงมาตามลำไส้ใหญ่ คือ แทนที่กล้ามเนื้อจะเปิดเพื่อปล่อยอุจจาระออกมากลับขมิบเอาไว้ จึงต้องเบ่งกันนานทีเดียว ภาวะนี้จะดีขึ้นเมื่อทารกโตขึ้น ไม่จำเป็นต้องสวนอุจจาระเช่นกันค่ะ

                                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                   

                                  ติดตาม สารพัน คำถามเกี่ยวกับนมแม่ ที่แม่มือใหม่ต้องรู้ คลิกต่อหน้า 2

                                    พาลูกออกนอกบ้าน เสี่ยงติดเชื้อ

                                    แม่แชร์ประสบการณ์เตือน! ลูกวัยไม่ถึงเดือนติดเชื้อ เพราะพาออกนอกบ้าน

                                    พาลูกออกนอกบ้าน เสี่ยงติดเชื้อ …พ่อแม่มือใหม่หลายๆ บ้าน มักมีคำถามว่าสามารถ พาลูกออกนอกบ้านตอนกี่เดือน เพราะตามปกติ ไม่ควรพาเด็กอ่อนอายุต่ำกว่าหนึ่งเดือน ออกไปในที่ที่มีคนมาก เพื่อป้องกันการติดโรค เนื่องจากภูมิต้านทานของเด็กทารกแรกเกิดยังมีน้อย หากออกไปเจอเชื้อโรคนอกบ้าน หรือไปในที่ชุมชนแออัด หรือที่ที่มีคนป่วย อาจเสี่ยงทำให้ลูกน้อยติดเชื้อโรคเหล่านั้น และมีอาการเจ็บป่วยตามมาได้

                                    แต่ก็ใช่ว่าคุณพ่อคุณแม่จะต้องกลัวเรื่องการติดโรค จนถึงกับไม่พาเด็กออกจากบ้านเลย เมื่อลูกอายุเกิน 4 อาทิตย์แล้ว คุณควรให้ถูกอากาศข้างนอกบ้าง โดยการพาออกเดินเล่นนอกบ้านวันละ 2 ครั้ง ครั้งละประมาณ 15 นาที ห้องเด็กควรเปิดหน้าต่างให้ลมเข้าออกสะดวก แต่ก็ยังไม่ควรให้ทารกอายุเท่านี้ถูกแดดโดยตรง เพราะผิวหนังของทารกยังไม่สามารถทนต่อแสง UV ได้เหมือนกับผู้ใหญ่

                                    แม่แชร์ประสบการณ์เตือน! ลูกวัยไม่ถึงเดือน พาลูกออกนอกบ้าน เสี่ยงติดเชื้อ

                                    ทั้งนี้สำหรับลูกน้อยที่เพิ่งเกิดยังอายุไม่ถึงหนึ่งเดือนนั้น เด็กจะไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่าการนอนหลับและกินนม แต่ในสมัยนี้ก็อาจพบเห็นการพาลูกน้อยวัยแบะเบาะออกมาเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ แม้จะมีความเชื่อและความเห็นที่ว่ายังไม่ควรพาลูกออกจากนอกบ้านเร็วเกินไปในวัยที่ไม่เหมาะสม นั่นก็เพราะทารกแรกเกิดที่ต้องใช้ความละเอียดอ่อนสูง เนื่องจากช่วงแรกเกิดของทารกเป็นช่วงที่ร่างกาย อวัยวะของลูกยังมีพัฒนาการที่ไม่สมบูรณ์ ทำให้อาจเกิดความผิดปกติต่าง ๆ ได้ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพาลูกออกจากบ้านในวัยที่อายุต่ำกว่าหนึ่งเดือน ไปในสถานที่ที่มีคนมาก จะมีโอกาสทำให้เด็กอ่อนติดเชื้อได้ง่าย

                                    เช่นเดียวกับคุณแม่ มาริษา ดาว ที่ได้ออกมาโพสต์เฟซบุ๊ก แชร์ประสบการณ์ของลูกสาวที่ต้องป่วย เพราะพาลูกออกไปเที่ยวนอกบ้าน

                                    พาลูกออกนอกบ้าน เสี่ยงติดเชื้อ

                                    โดยคุณแม่เล่าว่า…

                                    ขอแชร์ประสบการณ์ของลูกสาวหน่อยค่ะ

                                    [ตอนนี้น้องหายแล้วนะคะแข็งแรงขี้เล่นมากค่ะ โพสต์นี้เป็นประสบการณ์ตอนน้อง 1 เดือน ค่ะ]
                                    อยากฝากเตือนแม่ๆ ทั้งหลายที่พึ่งคลอดลูกได้ยังไม่ถึงเดือนแล้วอยากพาลูกออกไปข้างนอกนะคะ
                                    เรายังโทษตัวเองอยู่ทุกวันนี้เลยค่ะ ว่าเป็นความผิดเราเอง คือเรื่องมีอยู่ว่า เราเครียดจากการอยู่แต่ในห้องเลี้ยงลูกค่ะ เลยขอแฟนว่าอยากออกไปข้างนอกโดยพาลูกไปด้วยตอนนั้นน้องอายุได้เพียง 20 วันค่ะ เราพาไปห้างเลย แต่พอกลับจากห้างวันนั้นก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นค่ะจนวันที่น้องอายุครบ 1 เดือน คือเลยมา 10 วัน น้องมีไข้ขึ้นสูงประมาน 38 องศาค่ะ เช็ดตัวทั้งวันแล้วยังไงก็ไม่ลงเลยตัดสินใจพาน้องไปหาหมอค่ะ

                                    ⇒ บทความแนะนำควรอ่าน : ไวรัส RSV วายร้ายต่อสุขภาพของเด็กเล็ก!!
                                    ⇒ บทความแนะนำควรอ่าน : ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A โรคระบาดที่พ่อแม่ควรรู้

                                    อ่านต่อ >> แม่แชร์ประสบการณ์เตือน! พาลูกวัยไม่ถึงเดือนออกนอกบ้านเสี่ยงติดเชื้อ” คลิกหน้า 2

                                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่