วิธีนับอายุครรภ์ ที่ถูกต้องแม่นยำ ที่แม่ท้องควรรู้!

event

คุณผู้หญิงส่วนใหญ่รู้ว่าตัวเองท้องเมื่อมีเพศสัมพันธ์และประจำเดือนไม่มา มีอาการคลื่นไส้ คัดหน้าอก หรืออ่อนเพลียล้วนเป็นอาการปกติที่เกิดขึ้นในช่วงเริ่มต้นของการท้อง การตรวจการตั้งครรภ์หรืออัลตร้าซาวด์ เป็นวิธีที่จะรู้ได้โดยทันทีว่าเราท้องหรือไม่ รวมทั้ง วิธีนับอายุครรภ์ ก็จะทำให้คุณแม่ท้อง ได้ทราบถึงอายุครรภ์และกำหนดคลอดที่แม่นยำขึ้น

อายุครรภ์สำคัญไฉน ?

อายุครรภ์ นับเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมากในการดูแลทารกในครรภ์ การรู้ว่าตอนนี้ ลูกน้อยมีอายุครรภ์เท่าไหร่แล้วนั้น เป็นข้อมูลสำคัญที่ช่วยให้คุณแม่ท้องสามารถดูแลลูกน้อยที่อยู่ในครรภ์ของเราได้สมบูรณ์ คือ รู้ว่าช่วงอายุครรภ์เท่านี้ ลูกกำลังพัฒนาร่างกายในส่วนไหน ต้องกินอะไรบำรุง หรือช่วงอายุครรภ์เท่าไหร่ ที่ลูกเริ่มได้ยินเสียงแล้ว เรียกได้ว่า การดูแลครรภ์ทุกอย่าง แตกต่างกันไป ตามช่วงอายุครรภ์ ถ้าเราไม่สามารถคำนวณอายุครรภ์ที่แน่นอนได้ ก็อาจจะทำให้ดูแลได้ไม่เต็มที่เท่าใดนัก

แต่ทันทีที่รู้ตัวว่าท้อง คุณแม่มือใหม่ส่วนใหญ่จะไม่รู้ตัวว่า ได้ตั้งท้องตั้งแต่เมื่อไหร่ และสับสนว่า มีประจำเดือนครั้งสุดท้าย วันที่เท่าไหร่ ทำให้ไม่ทราบ อายุครรภ์ ที่แน่นอน แม้ว่า การแพทย์ของเรา ในปัจจุบัน จะทันสมัยก็ตาม แต่การจะตรวจให้รู้ว่า ทารกในครรภ์ นั้นมีอายุเท่าไหร่แล้วนั้น เป็นเรื่องที่ทำได้ยากมาก

สำหรับคุณแม่ ที่ตั้งใจ วางแผนว่าจะมีลูกอยู่แล้ว คงไม่มีปัญหาในเรื่องของการ นับอายุครรภ์ เพราะต้องจดเอาไว้อยู่แล้วว่า ประจำเดือนครั้งสุดท้าย มาวันที่เท่าไหร่ และหมดไปเมื่อวันที่เท่าไหร่ ถ้าข้อมูลครบถ้วนแบบนี้ คุณหมอ หรือตัวคุณแม่เอง ก็สามารถที่จะคำนวณวันคลอดที่แน่นอนออกมาได้เลย และมักจะใกล้เคียงเป๊ะๆ เลยเสียด้วย ดังนั้นถ้าคุณตั้งใจจะปล่อยให้มีลูก หรือไม่ได้กินยาคุม แนะนำว่าให้จดบันทึกเอาไว้ตลอดว่า ประจำเดือนมาวันไหนเป็นวันแรก และหมดไปเมื่อไหร่

วิธีนับอายุครรภ์

 โดย วิธีการนับอายุครรภ์ จะมี 2 วิธี คือ

  • นับอายุครรภ์จากประจำเดือนโดยนับจากวันแรกของประจำเดือนครั้งสุดท้าย เป็นวิธีสำหรับคุณแม่ท้องที่ประจำเดือนมาปกติ
  • นับอายุครรภ์ด้วยเครื่อง Ultrasoundโดยคำนวณจากขนาดความยาวของลูกน้อยสำหรับคุณแม่ท้องที่ประจำเดือนมาไม่ปกติหรือมีรอบเดือนนานกว่า 28 วัน

เมื่อรู้วันครบกำหนดคลอดแล้ว คุณหมอจะบอกอายุครรภ์ในขณะนั้นว่าแม่อยู่ในสัปดาห์ที่เท่าไหร่ ซึ่งอายุของครรภ์จะถูกนับรวมทั้งหมด 40 สัปดาห์พอดีเรียกว่า Full Term

>> ดูตารางวิธีนับอายุครรภ์ และกำหนดวันคลอด คลิกหน้า 2

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

กระหม่อมทารก

กระหม่อมทารก ปิด-เปิด-โป่ง-ยุบ เรื่องสำคัญ แม่ต้องสังเกต

Alternative Textaccount_circle
event
กระหม่อมทารก
กระหม่อมทารก

เนื่องจากกะโหลกศีรษะของลูกน้อยแรกเกิดยังปิดไม่สนิท เราจึงสังเกตเห็น กระหม่อมทารก เป็นแอ่งนุ่มๆ ดูบอบบาง คุณแม่ทราบไหมคะว่า กระหม่อมทารกมีความสำคัญอย่างไร? กระหม่อมทารกปิดกี่เดือน? กระหม่อมปิดช้า กระหม่อมปิดเร็วบอกอะไร? กระหม่อมบุ๋ม กระหม่อมโป่งตึง ผิดปกติหรือไม่?  และจะมีวิธีดูแลกระหม่อมลูกน้อยอย่างไร? พบคำตอบที่นี่ค่ะ (more…)

วัณโรคกระดูก

วัณโรคกระดูก โรคติดต่อพ่อแม่ไม่ควรมองข้าม

Alternative Textaccount_circle
event
วัณโรคกระดูก
วัณโรคกระดูก

วัณโรคกระดูก เป็นชื่อที่ฟังแล้ว คุณพ่อ คุณแม่อาจจะยังไม่คุ้นหู เพราะเคยได้ยินแต่วัณโรคปอด แต่จริงๆ แล้วโรคนี้พบได้บ่อยในคนไทย ถึงเวลาที่คุณพ่อ คุณแม่จะต้องเรียนรู้ และทำความรู้จักกับโรคติดต่อชนิดนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกน้อยต้องเจ็บป่วย กับโรคอันตรายร้ายแรงนี้กันค่ะ

(more…)

ตกขาวแบบไหนอันตราย

ตกขาวแบบไหนอันตราย

Alternative Textaccount_circle
event
ตกขาวแบบไหนอันตราย
ตกขาวแบบไหนอันตราย

ตกขาวแบบไหนอันตราย”…ผู้หญิงทุกคนจะมีตกขาวมากในช่วงกลางของรอบประจำเดือน หรือขณะตั้งครรภ์ การมีตกขาวจำเป็นอย่างมากที่จะต้องให้ความสำคัญกับการดูแลสุขอนามัยบริเวณจุดซ่อนเร้นให้ดี ทีมงาน Amarin Baby and Kids จะมาชวนผู้หญิงทุกคนมาสังเกตลักษณะของตกขาวว่า ตกขาวแบบไหนอันตราย !!

 

ตกขาวแบบไหนอันตราย : ตกขาว คืออะไร ?

สงสัยเหมือนกันไหมคะว่า ตกขาวที่มาทักทายผู้หญิงเราในทุกวันคืออะไร ตกขาว (Leucorrhea หรือ Leukorrhea) คือ สิ่งคัดหลั่งจากอวัยวะในอุ้งเชิงกรานไม่ว่าจะเป็นจากช่องคลอด ปากมดลูก และมดลูก ลักษณะของตกขาวปกติแล้วจะมีลักษณะเปลี่ยนแปลงไปตามรอบประจำเดือน โดยขึ้นอยู่กับปริมาณของฮอร์โมนเพศหญิง คือฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) และโปรเจสเตอโรน (Progesterone) ลักษณะของตกขาวที่ปกติจะเป็นสีใส หรือสีขาว ตกขาวที่ปกติจะต้องไม่มีกลิ่น และมาในปริมาณที่ไม่มาก ที่สำคัญจะต้องไม่ก่อให้เกิดอาการคันตรงบริเวณจุดซ้อนเร้น

 

Good to know.. “บริเวณช่องคลอดและปากมดลูกของผู้หญิงจะมีการสร้างสารคัดหลั่งเพื่อหล่อเลี้ยง เพื่อหล่อลื่นช่องคลอดอยู่ตลอดเวลา ซึ่งสารคัดหลั่งนั้นก็คือ “ตกขาว” การมีตกขาวที่ปกติจะต้องมีลักษณะเป็นมูกใส หรือขาวขุ่นคล้ายแป้งเปียก”
 ตกขาวแบบไหนอันตราย

เครดิตภาพ : google

จะรู้ได้อย่างไรว่าตกขาวมีลักษณะผิดปกติ ?

  1. มีปริมาณมากจนทำให้ต้องใช้ผ้าอนามัย
  2. มีอาการคันตรงอวัยวะเพศ
  3. ลักษณะของสีที่ผิดปกติไปจากเดิม เช่น มีสีเหลือง สีเขียว หรือเป็นลักษณะข้นจับตัวเป็นก้อน หรือมีลักษณะเป็นฟอง มีมูกเลือด
  4. มีกลิ่นที่เปลี่ยนไปจากเดิม(หากเป็นตกขาวปกติจะต้องไม่มีกลิ่น) ตกขาวที่ผิดปกติจะมีกลิ่นเหม็นเน่า หรือมีกลิ่นคาวมาก

 

Good to know… “ในช่วงกึ่งกลางรอบประจำเดือนหรือระยะใกล้เคียงกับการตกไข่ ร่างกายมีฮอร์โมนเอสโตรเจนสูง ทำให้ในช่วงเวลานี้จะมีตกขาวลักษณะค่อนข้างเหลวใส และมีปริมาณตกขาวมากกว่าระยะเวลาอื่น 

อ่านต่อ >> “ตกขาวแบบไหนอันตราย สีของตกขาว” คลิกหน้า 2  

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

น้ำคาวปลา หลังคลอดลูก

น้ำคาวปลา หลังคลอดลูก คืออะไร ?

Alternative Textaccount_circle
event
น้ำคาวปลา หลังคลอดลูก
น้ำคาวปลา หลังคลอดลูก

น้ำคาวปลา หลังคลอดลูก”…ผู้หญิงหลังคลอดลูก คุณพยาบาลจะแนะนำให้ใส่ผ้าอนามัยไว้ด้วย เพราะหลังคลอดลูกตั้งแต่วันแรก คุณแม่จะพบว่าร่างกายมีของเหลวไหลออกมาจากช่องคลอด ซึ่งนั่นก็คือ “น้ำคาวปลา” นั่นเองค่ะ ทีมงาน Amarin Baby and Kids จะมาคลายข้อสงสัยของแม่หลังคลอดลูก ที่ว่าน้ำคาวปลามากี่วันถึงหมด แล้วน้ำคาวปลา หลังคลอด แบบไหนที่ผิดปกติ !!

 

น้ำคาวปลา หลังคลอดลูก คืออะไร ?

เชื่อว่าผู้หญิงหลังคลอดลูกทุกคน มีความสงสัยที่ว่า น้ำคาวปลาที่ไหลออกมาหลังคลอดลูกตั้งแต่วันแรกนั้นมาจากอะไร…น้ำคาวปลา (Lochia) คือของเหลวที่มาจากเลือด น้ำเหลือง น้ำคร่ำ เยื่อบุโพรงมดลูกที่หลุดลอกออกมาภายหลังจากที่คลอดทารกและรก การคลอดลูกจะทำให้มีแผลเกิดขึ้นตรงผนังมดลูกและโพรงมดลูก ซึ่งเป็นบริเวณที่เกาะของรก ที่พอหลังคลอดลูกแล้วจะทำให้เกิดน้ำคาวปลา หลังคลอดลูก ขึ้นมานั่นเองค่ะ

 

Good to know… “ปริมาณน้ำคาวปลาจะค่อยๆ ลดลงและหายไป เมื่อแผลในโพรงมดลูกซ่อมแซมปิดสนิท ปริมาณน้ำคาวปลาทั้งหมดตลอดระยะเวลาที่มี จะประมาณ 200-500 มิลลิลิตร”

 

น้ำคาวปลา หลังคลอดลูก มีกี่วันถึงจะหมด ?

“น้ำคาวปลา” ตามทางการแพทย์จะแบ่งออกเป็น 3 ระยะ1 คือ

1. น้ำคาวปลาแดง (lochia rubra) ออกมาตั้งแต่วันแรกหลังคลอดจนถึงประมาณ 3-5 วัน มีสีแดงช้ำๆ คล้ำๆ เพราะประกอบด้วยเลือด เมือก และเศษรก

2. น้ำคาวปลาเหลืองใส (lochia serosa) ออกต่อจากน้ำคาวปลาแดงไปจนถึงประมาณวันที่ 10 หลังคลอด โดยจะจางลงและสีจะเริ่มเปลี่ยนเป็นน้ำตาลหรือชมพูแล้วก็ค่อยๆ กลายเป็นเหลืองใส ในน้ำคาวปลาช่วงนี้จะประกอบด้วยน้ำเหลือง เยื่อเมือก เม็ดเลือดแดง และเม็ดเลือดขาว

3. น้ำคาวปลาขาว (lochia alba) มีสีเหลืองขุ่นจนออกไปทางขาว ออกต่อจากน้ำคาวปลาเหลืองใสไปจนถึง 6 สัปดาห์หลังคลอด ในน้ำคาวปลาจะมีเม็ดเลือดแดงน้อยลง แต่มีเม็ดเลือดขาว ไขมัน เมือก และเซลล์บุผนังช่องคลอดมากขึ้น ปริมาณน้ำคาวปลาจะค่อยๆ ลดลงจนแห้งสนิท

อ่านต่อ >> “น้ำคาวปลา หลังคลอดลูก แบบไหนผิดปกติ” คลิกหน้า 2

 

 

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

พาลูกขึ้นเครื่องบิน ครั้งแรก ต้องเตรียมพร้อมอะไรบ้าง ?

Alternative Textaccount_circle
event

พาลูกขึ้นเครื่องบิน  คุณพ่อคุณแม่ครอบครัวไหนที่กำลังวางแผนจะพาลูกน้อยเดินทางไปเที่ยวด้วยเครื่องบิน แต่ไม่รู้ว่าพาลูกขึ้นเครื่องบิน ต้องเตรียมพร้อมในเรื่องใดบ้าง เรื่องนี้หมดกังวลไปได้เลยค่ะ เพราะทีมงาน Amarin Baby & Kids มีข้อแนะนำในการเตรียมพร้อม พาลูกขึ้นเครื่องบินแบบเจ้าตัวเล็กไม่งอแง พร้อมทั้งเอกสารต่างๆ ที่ต้องเตรียมมาฝากกันค่ะ

 

พาลูกขึ้นเครื่องบิน ครั้งแรก !!

มีหลายครอบครัวที่วางแผนพาลูกน้อยไปเที่ยวในวันหยุด บ้างก็เดินทางโดยรถส่วนตัว ขึ้นรถไฟ หรือทั้งเครื่องบิน ทั้งนี้สำหรับการพาลูกน้อยเดินทางโดยรถส่วนตัวอาจไม่ต้องกังวลเรื่องอะไรเท่าไหร่ แต่หากต้องพาลูกเดินทางโดยยานพาหนะที่เป็นสาธรณะ ต้องเดินทางร่วมกับผู้คนมากมาย การเตรียมตัวเพื่อพาลูกน้อยเดินทางครั้งแรกด้วยรถไฟ หรือเครื่องบินจึงเป็นเรื่องที่คุณพ่อคุณแม่ต้องใส่ใจ

#การเตรียมตัวสำคัญที่สุด

สำหรับการพาลูกเดินทางด้วยเครื่องบินครั้งแรก การตัวเตรียมตัวเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด คุณพ่อคุณแม่ควรตรวจสอบกฏของทางสายการบินเกี่ยวกับการนำทารกขึ้นเครื่องให้ดีค่ะ อายุขั้นต่ำของทารกที่สามารถพาขึ้นเครื่องได้คืออายุเท่าไหร่ โดยทั่วไปเด็กอายุไม่เกิน 2 ขวบสามารถนั่งบนตักพ่อแม่ได้ โดยทางสายการบินจะจัดการเรื่องเข็มขัดนิรภัยเสริมให้ค่ะ บางสายการบินคุณพ่อคุณแม่อาจจะต้องจ่ายค่าตั๋วเพิ่มอีกเล็กน้อย เพื่อให้ลูกนั่งบนเบาะพิเศษสำหรับเด็กที่ทางสายการบินจะจัดไว้ข้างๆ ที่นั่งคุณพ่อคุณแม่ค่ะ

นอกจากนี้สายการบินบางแห่งอาจมีเปลสำหรับเด็กไว้บริการ ในกรณีที่เป็นการเดินทางนานหลายชั่วโมง เพื่อให้ทารกได้นอนหลับพักผ่อนค่ะ หากจำเป็นต้องใช้ คุณพ่อคุณแม่อย่าลืมโทร.ไปจองกับทางสายการบินไว้ล่วงหน้านะคะ เพราะอาจมีไว้บริการในจำนวนที่จำกัด

#มีสติในการจัดกระเป๋า

คุณพ่อคุณแม่มือใหม่มักจะขนของไปมากเกินความจำเป็น การจัดของสำหรับการไปเที่ยวพร้อมเบบี๋นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย คุณพ่อคุณแม่ต้องเตรียมของให้ครบ แต่ขณะเดียวกันก็ห้ามขนของเยอะเกินไปด้วย

บางสายการบินอนุญาตให้ถือกระเป๋าใส่ของใช้ทารกขึ้นเครื่องได้เพิ่มอีกใบหนึ่ง ขณะที่บางสายการบินไม่อนุญาต ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรต้องตรวจสอบให้เรียบร้อยก่อนจัดของค่ะ ที่สำคัญคือผ้าอ้อมและกระดาษทิชชู่เปียก สองสิ่งนี้จะต้องอยู่ใกล้มือ จึงควรจัดให้หยิบได้ง่าย

นอกจากนี้อย่าลืมตรวจสอบปริมาณของเหลวที่สามารถนำขึ้นเครื่องได้ด้วยค่ะ ปกติแล้วจะสามารถนำขึ้นเครื่องได้ไม่เกินคนละ 100 มิลลิลิตร โดยต้องบรรจุอยู่ในถุงที่มีลักษณะใส สามารถมองเห็นของเหลวภายในได้ชัดเจน ของเหลวที่จะใส่ถุงไปก็ได้แก่ ครีมทาผื่นผ้าอ้อม โลชั่นสำหรับเด็ก ครีมกันแดดสำหรับเด็ก ฯลฯ

สำหรับนมและอาหารของเบบี๋คุณพ่อคุณแม่สามารถนำขึ้นเครื่องได้เลยค่ะ คุณพ่อคุณแม่อย่าลืมนำน้ำต้มสุกใส่ขวดนมเอาไว้ให้เรียบร้อยนะคะ ปกติแล้วเมื่ออยู่บนเครื่องเบบี๋จะดื่มน้ำในปริมาณที่เยอะขึ้น เพราะความชื้นในอากาศมีน้อยและเบบี๋อาจต้องการดูดขวดนมเพื่อผ่อนคลายความเครียดค่ะ

 

อ่านต่อ >> “ขั้นตอนการพาลูกขึ้นเครื่องบินคลิกหน้า 2 

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

แม่ท้องต้องตรวจอะไรบ้าง? ตั้งแต่ตั้งครรภ์ถึงการคลอดลูก

event

เมื่อรู้ตัวว่าท้อง การฝากครรภ์ เป็นสิ่งแรกที่คุณแม่ต้องนึกถึงและถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก แล้ว แม่ท้องต้องตรวจอะไรบ้าง คงเป็นเรื่องที่หลายคนอยากรู้  ทั้งนี้การพบแพทย์ในระหว่างการตั้งครรภ์ตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยลดความเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับคุณแม่และลูกน้อยได้ เพื่อให้ลูกที่คลอดออกมามีสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์

 

และหากคุณพ่อไปพบแพทย์ที่ฝากครรภ์พร้อมกับคุณแม่ด้วย ก็จะช่วยให้การดูแลกันระหว่างการตั้งครรภ์มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพราะคุณพ่อจะได้มีส่วนร่วมรับรู้วิธีการดูแลครรภ์และการตัดสินใจในเรื่องอื่น ๆ เช่น การเลือกวิธีคลอด โดยทั่วไปแล้วแพทย์จะแนะนำขั้นตอนต่าง ๆ อย่างวิตามินที่ต้องรับประทาน การงดบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การตรวจสุขภาพเป็นประจำ ฯลฯ อีกทั้งคำแนะนำของแพทย์ยังช่วยคลายปัญหาให้คุณแม่ได้อย่างเหมาะสม  เพราะฉะนั้นการฝากครรภ์จึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

แม่ท้องต้องตรวจอะไรบ้าง ในขณะตั้งครรภ์จนคลอด

ตลอดการตั้งครรภ์ คุณแม่ท้องจะได้รับโอกาสให้ตรวจคัดกรอง และตรวจวินิจฉัยภาวะผิดปกติของทารกในครรภ์อยู่หลายอย่าง แม้ว่าคุณแม่บางคนอาจจะไม่ต้องตรวจทุกอย่าง แต่สำหรับคุณแม่หลายคน จะได้รับการแนะนำให้ตรวจทารกในครรภ์ ซึ่งอาจจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น อายุ พื้นที่ที่อาศัยอยู่ และความเสี่ยงต่าง ๆ ที่ทำให้คุณแม่มีแนวโน้มว่าจะมีลูกที่ความผิดปกติ ซึ่งการตรวจชนิดต่างๆ ระหว่างการตั้งครรภ์มีไว้เพื่อช่วยทำให้แน่ใจว่าทุกอย่างปกติทั้งแม่และลูกในท้อง ซึ่งหากมีสิ่งผิดปกติใดๆ เกิดขึ้น จะได้ตรวจพบโดยเร็ว และรักษาได้ทันท่วงที ทั้งนี้การตรวจบางอย่าง อาจฟังดูค่อนข้างซับซ้อน แต่นั่นเป็นการตรวจตามมาตรฐานสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ทุกคน โดยมีการตรวจหลักๆ ดังนี้

1. การตรวจน้ำคร่ำ

แม่ท้องต้องตรวจอะไรบ้าง

การตรวจน้ำคร่ำจะทำในช่วงสัปดาห์ที่ 15-18 ของการตั้งครรภ์ เป็นการตรวจเพื่อดูว่าลูกของคุณมีกลุ่มอาการดาวน์หรือความผิดปกติทางโครโมโซมอื่นๆ หรือไม่ โดยการเจาะน้ำคร่ำจะใช้เวลาประมาณ 25 นาที และคาดว่าจะทราบผลภายใน 2 สัปดาห์ ซึ่งคุณแม่ควรจะต้องตรวจน้ำคร่ำโดยเฉพาะหากมีอายุเกินกว่า 35 ปีแล้ว เคยคลอดลูกที่มีความผิดปกติบางอย่าง หรือเครือญาติของคุณหรือสามีมีประวัติของความผิดปกติทางพันธุกรรม

นอกจากนี้ คุณแม่อาจต้องรับการตรวจน้ำคร่ำหากผลการตรวจเลือดหรือการตรวจอัลตร้าซาวนด์เพื่อวัดความหนาของน้ำที่สะสมบริเวณต้นคอทารกชี้ว่ามีโอกาสเสี่ยงสูง

โดยปกติ การเจาะน้ำคร่ำเป็นวิธีการตรวจที่ค่อนข้างปลอดภัย มีประโยชน์มากกว่าอันตรายที่อาจเกิดจากผลแทรกซ้อน แต่ก็มีความเสี่ยงอยู่บ้างพบว่า 1 ใน 200 ราย จะมีผลแทรกซ้อนหลังจากเจาะน้ำคร่ำซึ่งอาจส่งผลให้แท้งบุตรได้ ดังนั้น ควรพูดคุยกับสูติแพทย์ของคุณให้เกิดความเข้าใจอย่างชัดเจนเสียก่อน ก่อนที่จะลงชื่อในหนังสือแสดงความยินยอม

อ่านต่อ >> “สิ่งที่แม่ท้องต้องตรวจในขณะตั้งครรภ์จนคลอด” คลิกหน้า 2

แคลเซียมสำหรับแม่ท้อง

แคลเซียมจำเป็น – โซเดียมต้องห้ามที่แม่ต้องรู้

Alternative Textaccount_circle
event
แคลเซียมสำหรับแม่ท้อง
แคลเซียมสำหรับแม่ท้อง

เมื่อคุณแม่รู้ตัวว่ากำลังจะมีลูกน้อยอยู่ในท้อง สิ่งที่คุณแม่ส่วนใหญ่ให้ความสำคัญคือการรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ ทั้งเพื่อตนเอง และลูกน้อยในครรภ์ เพราะเมื่อคุณแม่รับประทานอะไรเข้าไป ลูกน้อยก็จะได้รับสารอาหารเหล่านั้นด้วย เรามาดู แคลเซียมสำหรับแม่ท้อง และโซเดียมต้องห้าม ที่คุณแม่ควรรู้กันค่ะ

(more…)

4 เทคนิค สอนลูกป้องกันโรคใหม่ทำลายเด็กไทย คิดว่า “ตัวกูใหญ่”

event

จาก พฤติกรรมรุนแรง ของวัยรุ่นที่เราเห็นในสังคมขณะนี้ สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือผู้กระทำนั้นคิดว่า ตัวกูใหญ่  ซึ่งพฤติกรรมนี้ อาจพูดได้ว่าเป็น ปัญหาก้าวร้าวที่เกิดตั้งแต่เด็ก ซึ่งหากคุณพ่อคุณแม่สังเกตเห็นลูกมีพฤติกรรมเช่นนี้ก็ไม่ควรปล่อยให้ผ่านไป

ปัจจุบันนี้เราอาจเห็นได้ว่าเด็กยุคใหม่กำลังโตมาพร้อมกับโรคร้ายที่มีชื่อว่า “โรคตัวกูใหญ่” คือการอยากได้ก่อน อยากได้สิ่งที่ดีดีกว่า รวมถึงการดูถูกคนอื่น ไม่เห็นใจผู้อื่น และมีความคิดโกง หรือชอบเอาเปรียบ ซึ่งอาจเรียกโรคนี้ได้อีกชื่อหนึ่งว่า โรคบุคลิกภาพผิดปกติแบบต่อต้านสังคม ซึ่งพบได้บ่อยและเกิดขึ้นทั่วไปแม้แต่ในครอบครัว หรือเกิดขึ้นกับเพื่อนบางคนของเราจนทำให้เราเดือดร้อน

กราบรถกู

ซึ่งความจริงแล้วโรคนี้ส่วนใหญ่เกิดจากปัญหาในวัยเด็ก และการเลี้ยงดูไม่เหมาะสมมาตั้งแต่เล็ก ซึ่งพ่อแม่สามารถป้องกันได้ตั้งแต่ลูกยังเล็ก แต่แล้วปัญหาก็เป็นโรคที่ถูกมองข้ามละเลย ไม่ค่อยมีใครพูดถึงกัน  เนื่องจากเมื่อเกิดขึ้นแล้วรักษายากมาก  และไม่ค่อยได้ผล

อาการโรคร้าย คิดว่า “ตัวกูใหญ่” 

  1. ละเมิดสิทธิของผู้อื่น
  2. ไม่มีความรู้สึกผิด
  3. ก้าวร้าว ทำร้ายคนอื่น รังแกสัตว์
  4. ทำลายข้าวของสาธารณะ
  5. ทำผิดกฎเกณฑ์ กติกาของหมู่คณะหรือกฎหมาย

โรคนี้มักเป็นตั้งแต่เด็ก หากสะสมนานๆ จะกลายเป็นสันดานที่แก้ยาก ซึ่งอาการจะมากขึ้นเรื่อยๆ เริ่มจาก ซน อยู่ไม่นิ่ง  พูดเก่ง  คุยเก่ง  ไม่ค่อยตั้งใจเรียน  ชอบพูดคำหยาบ  ใจร้อน  ขี้โมโห  เวลาโกรธจะยั้งตัวเองไม่ค่อยได้  ทำให้มีเรื่องกันบ่อยๆ  บางทีถึงชกต่อยกันที่โรงเรียน  พฤติกรรมมักจะเลียนแบบพ่อ หรือคนในครอบครัวที่เกเร และพ่อแม่ไม่มีเวลาแก้ไขพฤติกรรมลูก  ครอบครัวมักไม่อบอุ่น พ่อแม่มีปัญหาครอบครัว มีโรคทางจิตเวช  หรือการใช้สารเสพติดในครอบครัว ความก้าวร้าวเกเรของจะมากขึ้นเรื่อยๆ  ผลการเรียนแย่ลง  เพราะไม่ค่อยเข้าเรียน  ชอบโดดเรียนไปเล่นเที่ยว เพื่อนมักจะเป็นเด็กโตกว่า และนิสัยเกเรเช่นกัน ความก้าวร้าวในกลุ่มทำให้ไปมีเรื่องกับโรงเรียนอื่น

อ่านต่อ >> 4 วิธีป้องกันลูก ก่อนกลายโรคร้าย คิดว่า “ตัวกูใหญ่” คลิกหน้า 2

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

เผยผู้ช่วยคนเก่งประจำบ้าน พิชิตการบ้านให้ลูกฉลาดขึ้น!

event

ขึ้นชื่อว่า การบ้าน แล้วไม่ว่าจะเป็นคุณพ่อคุณแม่หรือลูกน้อยเอง ต่างก็มีความรู้สึกกลัว รวมทั้งเบื่อ และไม่อยากทำแน่นอน ก่อนอื่นเลย ต้องพยายามลบคำว่า การบ้านออกจากสมองน้อยๆ ให้ได้ เพราะลูกจะตัดสินไปแล้วว่าการบ้านเป็นเรื่องจริงจังและน่าเบื่อหน่าย อาจลองใช้คำอื่นแทน อย่าง ‘ช่วงเวลาเรียนรู้’ ซึ่งจะทำให้ลูกรู้สึกผ่อนคลาย ไม่หนักหนาจนเกินไป และหลังจากตัดคำอันตรายออกไปแล้ว ต่อไปคุณพ่อคุณแม่ต้องวางแผนให้ดี เพื่อสร้าง “ช่วงเวลาเรียนรู้” ของลูกให้ลูกรู้สึกสนุกและมีความสุขไปกับการบ้าน

ผู้ช่วยคนเก่งประจำบ้าน พิชิต การบ้าน ให้ลูกรัก

พ่อแม่ เป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยส่งเสริมและร่วมพัฒนาเด็ก โดยการมีส่วนร่วมในการทำงานหรือกิจกรรมที่ได้รับมอบหมายจากครูร่วมกับลูกๆ หรือให้การสนับสนุนช่วยเหลือลูก ดังนั้นแล้วคุณพ่อคุณแม่จะมีส่วนร่วมหรือสนับสนุน ช่วงเวลาเรียนรู้ เพื่อให้ลูกทำการบ้านได้อย่างสำเร็จราบรื่นได้อย่างไรบ้าง ไปดูกันเลยค่ะ

  • พ่อแม่ควรให้คำอธิบายและชี้แจงเกี่ยวกับการบ้านให้ลูกฟัง และให้คำปรึกษากับลูกเกี่ยวกับการบ้านเมื่อเด็กไม่เข้าใจ พร้อมให้กำลังใจลูกในการทำการบ้าน โดยการให้คำชมเชยเมื่อเด็กทำการบ้านได้สำเร็จ
  • ให้ความสนใจในการบ้านของลูกในแต่ละวัน ร่วมงานที่ครูมอบหมายให้ลูกไปทำที่บ้าน เช่น ถ้าครูมอบหมายให้เด็กช่วยนำวัสดุหรือสื่อที่ใช้ประกอบการเรียนมาเรียนในวันต่อไป พ่อแม่ควรสนใจและจัดหาให้กับเด็ก เพื่อให้เด็กได้รู้สึกภาคภูมิใจและมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนการสอน
  • ควรจัดหาอุปกรณ์ในการทำการบ้านร่วมกับเด็ก ในบางครั้งการบ้านที่ครูมอบหมายให้ อาจเป็นการช่วยจัดหาหรือเตรียมวัสดุ อุปกรณ์ พ่อแม่จึงควรช่วยจัด หาวัสดุ อุปกรณ์ ซึ่งเป็นการบ้านของเด็กตามที่ได้รับมอบหมาย

ทั้งนี้คุณพ่อคุณแม่สามารถดัดแปลงพร้อมสอดแทรกเทคนิคการเรียนรู้ต่างๆ ให้กับลูกอย่างง่ายๆ เพื่อช่วยให้การเรียนรู้ง่ายขึ้นและแปรเปลี่ยนการบ้านของลูกน้อยที่ทำให้ปวดหัวมาเป็นงานที่สบาย ไร้อุปสรรค

1. จัดชั่วโมงเรียนรู้

แทนที่จะปล่อยให้ลูกคิดเอาเองว่าจะการบ้านตอนไหน มาช่วยกันจัดตาราง ‘ชั่วโมงเรียนรู้’ ซึ่งควรเป็นช่วงเวลาที่คุณกับลูกคิดว่าเหมาะสม เช่น หลังกลับจากโรงเรียน เมื่อกินของว่างแล้ว หรือหลังอาหารเย็น และทำตามตารางนั้นทุกวัน อย่างตรงต่อเวลา พร้อมจัดสรรเวลา เมื่อถึงชั่วโมงเรียนรู้ประจำวัน เริ่มวางแผนกับลูกว่า วิชาไหนยากง่ายกว่ากัน จะทำการบ้านวิชาไหนก่อน-หลัง

1

2. การเขียน

เพราะการเขียนนั้น ช่วยเพิ่มทักษะและการจดจำที่ดีมากกว่าการอ่านได้ถึง 7 เท่า ดังนั้นเมื่อลูกกำลังท่องจำงานที่ครูมอบหมาย พ่อแม่จำเป็นต้องให้ลูกลงมือเขียนด้วยเพื่อช่วยให้พวกเขาเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น

2

3. พิมพ์บัตรคำเพื่อเพิ่มความจำ

สำหรับลูกในช่วงปฐมวัย จะใช้วิธีการเรียนรู้ได้จากสิ่งที่มองเห็น แฟลชการ์ด หรือ บัตรคำ คือ อีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยพัฒนาทักษะเรื่องความจำที่มองเห็นได้ชัดเจน ให้คุณพ่อคุณแม่ลองพิมพ์จัดทำบัตรคำของคุณขึ้นมาเอง เพื่อช่วยให้ลูกๆ เรียนตารางสูตรคูณที่ใหญ่ขึ้น หรือภาพ กับคำแปลกที่มีอยู่และเกิดขึ้นจริงในชีวิตประจำวันของเรา

4. การใช้แบบอักษรที่ง่าย

คุณพ่อคุณแม่รู้หรือไม่ว่า แบบอักษร Times New Roman (ภาษาอังกฤษ) หรือ Arial (ภาษาไทย) นั้นเป็นแบบอักษรที่อ่านได้ง่ายที่สุดและเร็วที่สุด ดังนั้นเมื่อลูกของคุณกำลังท่องหนังสือสอบ เพื่อช่วยในการจดจำที่ดี ควรใช้การติวโดยพิมพ์เนื้อหาและใช้แบบอักษรนี้ แล้วปริ้นออกมาเพื่อให้ลูกอ่าน

3

5. การวาดรูประบายสี

เป็นอีกกิจกรรมหนึ่งซึ่งช่วยในการทำ งานประสานกันระหว่างมือและตา เด็กจะรู้จัก สี เส้น รูปทรง พื้นผิว ขนาดที่จะต้องพบในชีวิตประจำวันของเขา เป็นการพัฒนาและฝึกทักษะหลายๆ อย่าง ในเวลาเดียวกันได้เป็นอย่างดี การวาดลายเส้นนอกจากจะช่วยสร้างจินตนาการแล้วยังช่วยสร้างทักษะในการใช้ ดินสอ หรือปากกาด้วย ส่งผลให้ลูกน้อยเข้าใจรูปต่างๆ ที่จะมาประกอบกันเป็นรูปภาพ จะช่วย ให้เด็กมีการพัฒนาที่ดีทางด้านทักษะที่จะนำไปสู่การเขียนหนังสือและการวาดภาพ

6. มอบรางวัล

ถ้าวันไหนลูกทำการบ้านเสร็จเร็ว ก็ให้เขาใช้เวลาที่เหลือทำกิจกรรมที่ชอบจนกว่าจะหมดชั่วโมงเรียนรู้ ถ้านึกไม่ออก ก็ชวนลูกอ่านหนังสือหรือเล่นเกมต่างๆ ด้วยกันก็ได้ หรือไม่ก็ตบรางวัลการทำการบ้านเสร็จเร็วด้วยคูปองเล่นเกม เพราะมีรายงานการศึกษาพบว่า เด็กที่ใช้เวลาอยู่กับเล่นจะใช้เวลาทำการบ้านน้อยลง แก้นิสัยการผัดวันประกันพรุ่งได้โดยเสนอให้ “คูปองเล่นเกม” กับเด็กๆ เพื่อแลกกับเวลาที่พวกเขาจะได้เล่นเกมหากทำการบ้านเสร็จแล้ว

ทั้งการมีตัวช่วยที่ดีอยู่ในบ้าน ก็สามารถช่วยให้ลูกของคุณทำการบ้านได้อย่างราบรื่น ทั้งยังช่วยฝึกฝนและเสริมสร้างทักษะการเรียนรู้ด้านอื่นๆ ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย เครื่องพิมพ์ HP Desk Jet Ink Advantage 3635 ถือเป็นผู้ช่วยคนเก่งประจำบ้าน ที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรพลาด เพราะสำหรับครอบครัวที่มีลูกอยู่ในช่วงวัยกำลังเรียนรู้ในยุคปัจจุบันนี้ มีแบบฝึกหัดรวมทั้งการบ้านมากมายที่เข้ามามีบทบาทในการเรียนของลูก เพื่อให้ลูกมีทักษะที่ดีพร้อมที่จะเรียนรู้อีกมากมาย

HP Desk Jet Ink Advantage 3635

ซึ่ง เครื่องพิมพ์ HP Desk Jet Ink Advantage 3635 รุ่นนี้มีขนาดกะทัดรัด น้ำหนักเบาคุณพ่อคุณแม่สารถเคลื่อนย้ายไปมาตามมุมต่างของบ้านได้อย่างสะดวก ทั้งยังเป็นเครื่องพิมพ์แบบ  All in One ซึ่งมีครบทั้งฟังก์ชั่นพิมพ์ สแกน และถ่ายเอกสาร

การที่เครื่องพิมพ์ได้เข้าไปมีส่วนช่วยในด้านต่างๆ ของเด็ก ไม่ว่าจะเป็น การพิมพ์การบ้านส่งครู การพิมพ์แบบฝึกหัดเพื่อเพื่ออ่านเขียน หรือการพิมพ์รูปภาพระบายสี ก็สามารถช่วยตอบสนองความต้องการของลูกได้ทันที อีกทั้งยังสามารถสแกนภาพ หรือสำเนาเอกสาร เพื่อใช้ในการทำธุระต่างๆ จึงตอบสนองความต้องของคุณพ่อคุณแม่ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

HP Desk Jet Ink Advantage 3635

HP Desk Jet Ink Advantage 3635

ความโดดเด่นของ HP Desk Jet Ink Advantage 3635

เครื่องพิมพ์ HP Desk Jet Ink Advantage 3635 พัฒนาขึ้นมาเพื่อตอบสนองการทำงานของผู้ใช้โดยเฉพาะกลุ่มครอบครัว พ่อแม่และลูกในวัยเรียน นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติเด่นอีกมากมาย

HP Desk Jet Ink Advantage 3635

  • มีฟีเจอร์ Mobile Printing ที่สามารถสั่งพิมพ์แบบไร้ส่ายผ่านสมาร์ตโฟนและแท็บเล็ต เพียงแค่เปิดการทำงานของ WiFi บนเครื่องด้วยการกดปุ่มให้ไฟสถานะของ WiFi ทำงาน จากนั้นตั้งค่าการเชื่อมต่อ ให้คุณพ่อคุณแม่ติดตั้งแอพพลิเคชั่นของ HP แล้วก่อนพิมพ์ก็ทำการสแกนให้ตรวจพบพรินเตอร์ HP และเชื่อมต่อกัน เพียงเท่านี้ก็สามารถใช้งานได้แล้ว

HP Desk Jet Ink Advantage 3635

  • ติดตั้งง่ายสั่งพิมพ์ได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องโหลดไดรเวอร์ติดตั้งให้ยุ่งยาก สำหรับคุณแม่ที่ไม่ค่อยมีความรู้เรื่องการใช้เครื่องมือเทคโนโลยีแบบนี้ ก็สามารถสั่งพิมพ์จากเครื่องคอมพิวเตอร์ได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่เสียบสาย USB เชื่อมต่อกันเท่านั้น

HP Desk Jet Ink Advantage 3635

  • มีหน้าจอขนาดเล็กอยู่ด้านบน แสดงสถานะในการทำงานเป็นตัวเลขดิจิตอลแบบ LED บรรทัดเดียว เน้นการใช้งานที่ง่ายด้วยปุ่มกดและไฟแสดงการทำงาน ไม่มีการทำงานที่ซับซ้อน กดเมื่อต้องการใช้ฟังก์ชั่น ไม่ว่าจะเป็น การฟีดกระดาษ สแกนหรือตั้ง Wireless ตรงจุดนี้อาจต้องทำความเข้าใจกับสัญลักษณ์เล็กน้อย เพื่อให้ใช้งานได้ง่ายมากขึ้น

อีกทั้งยังมีการพิมพ์ที่เงียบ ไร้เสียงรบกวน มีฟังก์ชั่นพิมพ์ไร้ขอบ สามารถพิมพ์หมึกดำได้แม้หมึกสีจะหมด และประหยัดเงินเพราะราคาตลับหมึกที่ถูก เรียกได้ว่า HP Desk Jet Ink Advantage 3635 เป็นพรินเตอร์แบบ All-in-One ซึ่งมีฟังก์ชั่นที่อำนวยความสะดวกครบในชีวิตประจำวันได้ดีทีเดียว

HP Desk Jet Ink Advantage 3635

จึงกล่าวได้เลยว่าอุปกรณ์และเทคโนโลยีที่ดีพร้อม มีส่วนช่วยในการเรียนรู้และฝึกทักษะพัฒนาสมองของเด็กๆ ได้เป็นอย่างมาก ซึ่งก็ไม่ต่างจากประโยชน์ของการมีเครื่องพิมพ์ HP Desk Jet Ink Advantage 3635 ไว้เคียงคู่กับครอบครัวยุคใหม่ เพราะ การบ้านเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเด็ก แต่ไม่ว่าเด็กที่มีการบ้านกับเด็กที่ไม่มีการบ้าน ก็ต่างประสบความสำเร็จในชีวิตเท่าเทียมกัน ดังนั้นการให้ลูกมีความสุข เรียนอย่างสนุกเป็นคำตอบที่ดีกว่า ทั้งตัวคุณพ่อคุณแม่เองและลูกๆ ด้วยเช่นกัน

ครรภ์เป็นพิษ ภัยใกล้ตัว! อันตรายต่อคุณแม่และลูกในท้อง

event

ครรภ์เป็นพิษ คือการที่คุณแม่ตั้งครรภ์มีความดันโลหิตสูง มีไข่ขาวหรือโปรตีนออกมาในปัสสาวะและมักมีอาการบวมที่มือ หน้า ขา และเท้า บางคนอาจมีอาการมึนปวดศีรษะ ซึ่งภาวะครรภ์เป็นพิษ เป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตของคุณแม่ท้องในลำดับต้นๆ อีกทั้งยังก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงส่งผลกระทบต่อสุขภาพของคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์ได้ด้วย

และเมื่อช่วงต้นเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา ก็ทำเอาหลายคนรู้สึกตกใจและเป็นห่วงอย่างมาก หลังทราบข่าวว่าคุณแม่ฝ้าย อริญรดา ภรรยาของนักแสดงและผู้กำกับคนเก่ง หนุ่ม อรรถพร เกิดภาวะครรภ์เป็นพิษในขณะที่กำลังตั้งครรภ์ 33 สัปดาห์ จนต้องแอดมิทนอนโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน ทั้งนี้คุณพ่อหนุ่ม อรรถพร ต้องรีบพักกองถ่ายละครเพื่อมาดูแลภรรยาและลูกน้อยอย่างเต็มที่

ครรภ์เป็นพิษ ครรภ์เป็นพิษ

แต่หลังจากที่เครียดหนักกันมา ในวันที่ 2 พ.ย. คุณแม่ฝ้าย-อริญรดา ก็ได้ให้กำเนิดทายาทคนที่สองอย่างปลอดภัยแล้ว โดยคุณพ่อหนุ่ม-อรรถพร ได้โพสต์อาการดีใจ ผ่านไอจี ซึ่งเป็นภาพ ภรรยาสาวให้กำเนิดทายาทคนที่สองแล้ว เป็นลูกชายอีกคน พร้อมข้อความว่า

“Hi Adam welcome to Tmk. Family .. หน้ามามี้ชัดๆ” โดยมีทั้งเพื่อนในวงการบันเทิง และแฟนคลับเข้ามาแสดงความยินดีจำนวนมาก

ครรภ์เป็นพิษ

ทั้งนี้ คุณพ่อ‘หนุ่ม’ อรรถพร พร้อมภรรยา คุณแม่ฝ้าย-อริญรดา ธีมากร ได้ออกมาเปิดใจหลังคลอดลูกชายคนที่ 2 โดยมีชื่อว่า “น้องอดัม-ธนพิสิฐ” หลังจากมีอาการเสี่ยงครรภ์เป็นพิษ

โดย คุณแม่ฝ้าย เผยว่า “คลอดเมื่อวันที่ 2 พ.ย. ที่ผ่านมาค่ะ ตอนนี้ถือว่าอาการดีขึ้นจากที่เคยได้แอดมิดบ่อยๆ ตอนนี้ก็ดีขึ้นเยอะ ถ้าถามว่าแอบกลัวไหม กลัวตั้งแต่วันที่โดนแอดมิดค่ะ อยู่ดีๆ ความดันก็ขึ้นโดยที่เราไม่รู้ตัวว่ามันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ที่ผ่านมาเราก็ทำทุกอย่างปกติเพียงแค่ตัวบวมขึ้น แต่มันก็คือเรื่องปกติของคนท้องอยู่แล้ว เลยไม่ได้คิดว่ามันจะเป็นเรื่องที่อันตรายหรืออะไร แต่พอเดินทางมาถึงโรงพยาบาลคุณหมอก็สั่งให้แอดมิดเลย ยอมรับค่ะว่าตอนนั้นตกใจมาก เพราะตั้งใจแค่มาหาคุณหมอปกติ แต่คุณหมอกลับบอกว่าไม่ให้กลับบ้านแล้ว เนื่องจากว่าสถานการณ์ตอนนั้นอันตรายมากลูกอาจจะไม่ได้อยู่กับเราอีกและแม่ก็อาจจะเสียชีวิตเลยก็ได้ เพราะอาการที่เกิดขึ้นตอนนั้นมันอาจทำให้เส้นสมองแตกได้ด้วย”

“ตอนแรกที่คุณหมอสันนิษฐานก็คาดว่าน่าจะเป็นอาการของครรภ์เป็นพิษ เพราะตอนท้องอันดา (ลูกชายคนแรก) ก็เป็นมาแล้ว และพอมาท้องนี้มันก็เลยเกิดขึ้นซ้ำ เพียงแต่มีความดันเพิ่มขึ้น แต่ก็โชคดีค่ะที่เราอยู่ในความดูแลของคุณหมอมาตั้งแต่แรก จนมาถึงช่วง 8 เดือน ความดันขึ้นสูงมาก แต่มันไม่มีอาการมึนหัวหรืออาการใดๆ เลยนะคะ แค่คุณหมอบอกว่ามันอันตรายอาจทำให้ช็อกได้เลยต้องให้แอดมิดก่อน”

ครรภ์เป็นพิษ ครรภ์เป็นพิษ

ทั้งนี้เมื่อถามถึงสุขภาพร่างกายของน้องอดัม ที่เพิ่งคลอด แม่ฝ้าย ก็กล่าวว่า “น้องสุขภาพแข็งแรงดีค่ะ คุณพยาบาลบอกว่าก่อนหน้านี้น้องสำลักเลือดในครรภ์เยอะ ภาวะตอนที่ตั้งครรภ์ฝ้ายทานยา เบบี้ แอสไพลินเยอะ เพราะฝ้ายต้องกินเพื่อขยายหลอดเลือด เพื่อให้เลือดไหลเลี้ยงลงไปสู่ตัวเด็กแล้วทำให้เด็กเติบโต”

ด้านคุณพ่อหนุ่ม กล่าวเสริมว่า “อันตรายของตัวยานี้มันคอยสลายลิ่มเลือด เมื่อได้กินเข้าไปแล้ว แล้วเรามีแผลหรือปล่อยให้เลือดไหล เลือดมันก็จะไหลไม่หยุด ถ้าหากใครคิดจะกินต้องระวังนะครับ แต่ถ้าถามถึงอนาคตมันก็จะไม่ได้ส่งผลอะไรถึงตัวน้อง เพราะเท่าที่คุยกับคุณหมอมันจะมีแค่จังหวะช่วงแรกที่เขาต้องปรับตัว แต่ก็ถือว่าตอนนี้มันผ่านไปได้ด้วยดีแล้วครับ”

อย่างไรก็ตามทางทีมงาน Amarin Baby & Kids ก็ขอให้น้องอดัม มีร่างกายแข็งแรงและขอให้คุณแม่ฝ้ายหายป่วยโดยเร็ววัน สุขภาพแข็งแรงนะคะ

ครรภ์เป็นพิษ

ครรภ์เป็นพิษ คืออะไร?

ภาวะ ครรภ์เป็นพิษ (Pre-eclampsia) หมายถึง ภาวะความดันโลหิตสูงมากกว่าหรือเท่ากับ 140/90 มิลลิเมตร (มม.) ปรอท ร่วมกับมีภาวะโปรตีน หรือไข่ขาวในปัสสาวะในสตรีตั้งครรภ์ที่อายุครรภ์มากกว่า 20 สัปดาห์ ไปจนกระทั่งหลังคลอด 1 สัปดาห์ และภายหลังคลอดภาวะครรภ์เป็นพิษจะค่อย ๆ หายไปเอง แต่ในรายที่มีอาการรุนแรงอาจเกิดจากความบกพร่องของรกทำให้เป็นอุปสรรคต่อการลำเลียงเลือดและสารอาหารไปยังลูกในครรภ์ซึ่งส่งผลกระทบต่อการเติบโตของลูกในครรภ์ได้

สาเหตุของ ครรภ์เป็นพิษ คืออะไร?

สาเหตุของการเกิดครรภ์เป็นพิษ ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด อาจเกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันหรือฮอร์โมนต่อมไร้ท่อบางตัว หรือจากกรรมพันธุ์ สันนิษฐานว่าเกิดจากความไม่สมดุลกันระหว่างโปรตีนบางตัวที่สร้างขึ้นระหว่างการตั้งครรภ์ ทำให้เกิดความผิดปกติของหลอดเลือดในคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ ทำให้ร่างกายไม่สามารถสร้างหลอดเลือดไปเลี้ยงรกได้เพียงพอ บางส่วนของรกจึงขาดเลือด เกิดการตายของเนื้อรกบางส่วน มีการปล่อยสารที่ส่งผลให้หลอดเลือดทั่วร่างกายของคุณแม่ตั้งครรภ์หดตัว

คุณแม่ตั้งครรภ์ที่เสี่ยงต่อการเกิดครรภ์เป็นพิษคือใคร?

  1. คุณแม่ตั้งครรภ์แรกหรือตั้งครรภ์แรกกับคู่สมรสใหม่
  2. คุณแม่ตั้งครรภ์ที่อายุน้อยกว่า 18 ปี หรือมากกว่า 35 ปี
  3. ระยะห่างของการตั้งครรภ์ ห่างจากครรภ์ก่อนมากกว่า 10 ปี
  4. คุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีประวัติครรภ์เป็นพิษในครรภ์ครั้งก่อน
  5. คุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีญาติพี่น้องสายตรง (มารดา และ/หรือ พี่ น้อง ท้องเดียวกัน) มีภาวะครรภ์เป็นพิษ
  6. คุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีโรคประจำตัวก่อนตั้งครรภ์ เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูงโรคไต / โรคไตเรื้อรัง / โรคลูปัส / โรคเอสแอลอี
  7. ครรภ์แฝด

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

ลักษณะอาการของครรภ์เป็นพิษมีอะไรบ้าง?

1. มีความดันโลหิตสูงมากกว่าหรือเท่ากับ 140/90 มิลลิเมตรปรอท

2. ตรวจพบโปรตีนไข่ขาวในปัสสาวะ

3. น้ำหนักเพิ่มมากอย่างรวดเร็ว

4. มีอาการบวมตามใบหน้า มือ ข้อเท้าและเท้า

5. ปวดศีรษะโดยเฉพาะบริเวณท้ายทอย หน้าผาก โดยรับประทานยาแก้ปวดแล้วไม่ดีขึ้น

6. มีตาพร่ามัว อาจตาบอดชั่วขณะได้

7. จุกแน่นหน้าอก หรือบริเวณลิ้นปี่

8. หากอาการรุนแรงอาจมีอาการชักกระตุกทั้งตัว เกิดเลือดออกในสมองได้

ครรภ์เป็นพิษ

ภาวะแทรกซ้อนของ ครรภ์เป็นพิษ  ภาวะแทรกซ้อน/ผลข้างเคียงที่อาจเกิดได้จากครรภ์เป็นพิษ คือ

ภาวะแทรกซ้อนต่อมารดา

  • เสียชีวิต มักเกิดจากมีเลือดออกในสมองจากหลอดเลือดในสมองแตก
  • เกิดอาการชัก
  • ตาบอด อาจเป็นชั่วคราว หรือถาวร
  • มีภาวะน้ำท่วมปอด
  • มีเลือดออกในอวัยวะต่าง ๆ จากภาวะเกล็ดเลือดต่ำ

ภาวะแทรกซ้อนต่อทารกในครรภ์

  • มีภาวะทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์
  • มีภาวะน้ำคร่ำน้อย ส่งผลให้ทารกถูกกดเบียดทับจากน้ำหนักมารดา ส่งผลให้มีการเจริญเติบโตผิดปกติได้
  • มีการคลอดก่อนกำหนด
  • มีภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนด
  • ทารกเสียชีวิตในครรภ์
  • หัวใจทารกเต้นช้า จากการขาดออกซิเจน

ครรภ์เป็นพิษ

สัญญาณอันตรายของ ครรภ์เป็นพิษ ที่ควรรีบพบแพทย์

คุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีภาวะครรภ์เป็นพิษมักไม่ค่อยรู้ตัว แต่เมื่อโรครุนแรงขึ้นจะปรากฏอาการให้ทราบว่ามหันตภัยร้ายอยู่ใกล้ตัวเสียแล้ว ดังอาการต่อไปนี้

  • ปวดศีรษะ ตาพร่ามัว คลื่นไส้อาเจียน เพราะว่าสมองบวม เลือดออกในสมอง ความดันในกะโหลกศีรษะเพิ่มขึ้น
  • จุกแน่นที่ลิ้นปี่หรือชายโครงขวา เพราะว่ามีเลือดออกในตับ
  • หายใจเหนื่อยหอบ นอนราบไม่ได้ เพราะว่ามีน้ำท่วมปอด
  • มีอาการบวมที่ แขน ขา ใบหน้า และเปลือกตา น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ปัสสาวะออกน้อย มีการรั่วของโปรตีนในปัสสาวะ เพราะว่าไตทำงานผิดปกติ- มีอาการบวมที่ แขน ขา ใบหน้า และเปลือกตา น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ปัสสาวะออกน้อย มีการรั่วของโปรตีนในปัสสาวะ เพราะว่าไตทำงานผิดปกติ

ครรภ์เป็นพิษ รักษาอย่างไร?

การรักษาของแพทย์จะขึ้นกับระดับความรุนแรง คุณแม่ควรสังเกตการดิ้นของลูกน้อยในครรภ์ วัดความดันโลหิตสม่ำเสมอและแนะนำการสังเกต สัญญาณอันตรายที่ต้องรีบพบแพทย์ เช่นอาการปวดศีรษะ ตาพร่ามัวและจุกแน่นลิ้นปี่ เฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อน ถ้าไม่มีภาวะแทรกซ้อน ก็สามารถรอจนครบกำหนดคลอด และสามารถคลอดได้ทางช่องคลอดในกรณีที่มีอาการรุนแรง แพทย์จะให้นอนพักที่โรงพยาบาล ให้ยาลดความดันโลหิต อาจให้ยาป้องกันชัก ตรวจอัลตราซาวด์เป็นระยะ ถ้ารุนแรงมากและมีข้อบ่งชี้อาจจำเป็นต้องให้คลอดในขณะที่อายุครรภ์ยังไม่ครบกำหนด เพื่อรักษาชีวิตของมารดาไว้ ซึ่งอาจกระตุ้นให้คลอดทางช่องคลอดหรือการผ่าตัดคลอด

วิธีดูแลคุณแม่ที่ป่วยครรภ์เป็นพิษหลังคลอด

ในรายที่มี eclampsia คือ ภาวะครรภ์เป็นพิษชนิดรุนแรง มีความจำเป็นต้องได้รับยาป้องกันการชักต่อจนครบ 24 ชั่วโมงหลังคลอด หากมีความดันโลหิตสูงเกิน 160/110  มิลลิเมตรปรอท อาจจำเป็นต้องได้ รับยาลดความดันโลหิต และอาจจำเป็นต้องวัดความดันโลหิตเป็นระยะ ๆ ทุก 1-2 วัน อย่างน้อยประมาณ 2 สัปดาห์ ต่อจากนั้นอาจวัดความดันโลหิตทุกสัปดาห์ จนอย่างน้อยประมาณ 6-12 สัปดาห์หลังคลอด หรือจนกว่าจะหยุดยาลดความดันโลหิต หรือตามแพทย์ที่รักษาดูแลแนะนำ

คุณแม่สามารถให้นมทารกได้ปกติ โดยยาป้องกันการชัก ไม่มีผลต่อทารกที่ได้รับนมมารดา แต่ทั้งนี้ขึ้นกับคำแนะนำของแพทย์ผู้ให้การดูแลรักษา

โดยทั่วไปอาการต่าง ๆ จะดีขึ้นหลังคลอด โดยหากเกิน 12 สัปดาห์หลังคลอดแล้วยังคงมีความดันโลหิตสูง อาจเป็นโรคความดันโลหิตสูงชนิดเรื้อรัง ควรพบแพทย์อย่างต่อเนื่องตามแพทย์นัด เพื่อทำการรักษาต่อไป

ทั้งนี้ควรเฝ้าระวังภาวะครรภ์เป็นพิษในครรภ์ต่อไป โดยควรฝากครรภ์แต่เนิ่น ๆ ตั้งแต่รู่ว่าตั้งครรภ์ และพบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง

ข้อห้ามสำหรับสตรีตั้งครรภ์ที่ ครรภ์เป็นพิษ มีดังนี้

1. งดทำงานหนัก งดเดินชอปปิ้ง ให้พักผ่อนมาก ๆ

2. หลีกเลี่ยงอาหารรสเค็ม

3. งดมีเพศสัมพันธ์อย่างเด็ดขาด เนื่องจากการมีเพศสัมพันธ์มีผลทำให้อัตราการเต้นของหัวใจสูงขึ้น เลือดสูบฉีดจากหัวใจมากขึ้น ส่งผลให้ความดันโลหิตสูงขึ้น

จากที่กล่าวมาข้างต้นกับภาวะ ครรภ์เป็นพิษ เป็นเรื่องที่คุณแม่ตั้งครรภ์ต้องดูแลตนเองเป็นพิเศษ ต้องคอยสังเกตตนเอง แต่จะได้ผลดียิ่งขึ้นถ้าได้ความร่วมมือจากคุณพ่อ ในการอำนวยความสะดวกต่างๆ รวมทั้งเป็นกำลังใจสำคัญสำหรับคุณแม่ เพื่อสร้าง “ครอบครัวที่อบอุ่นมีลูกน้อยที่น่ารักแข็งแรง” นะคะ


ข้อมูลอ้างอิงจาก : haamor.com , siamhealth.net , 2jfk.com

ขอบคุณข้อมูลข่าวจาก: https://www.khaosod.co.th/entertainment/news_84491

ขอบคุณภาพจาก : อินสตาแกรม @fai_arinrada_, @noom_attaporn

พ่อล้มทับลูกจนเสียชีวิต

อย่าประมาท! พ่อล้มทับลูกจนลูกน้อยเสียชีวิต

Alternative Textaccount_circle
event
พ่อล้มทับลูกจนเสียชีวิต
พ่อล้มทับลูกจนเสียชีวิต

เหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์ที่มีการเผยแพร่กันในโลกออนไลน์ เป็นภาพจากกล้องวงจรปิดที่บันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในซุปเปอร์มาร์เก็ตแห่งหนึ่งในประเทศจีน เมื่อคุณพ่อเดินจูงลูกน้อยมาทางด้านหลังด้วย 2 มือ แต่กลับเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝันขึ้นเมื่อ พ่อล้มทับลูกจนเสียชีวิต

(more…)

คนท้องกิน บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป

คนท้องกิน บะหมี่กึ่งสําเร็จรูป ปลอดภัยไหม?

Alternative Textaccount_circle
event
คนท้องกิน บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป
คนท้องกิน บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป

“คนท้องกิน บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป” ไม่มีอะไรกินก็กินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป กินมาม่านี่ละ ง่ายสุด เร็วสุดแล้ว อิ่มอร่อยได้ในราคาเบาๆ แต่ เอ… แล้วคนท้องกิน บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป กินมาม่าได้ไหม เป็นคำถามที่ผุดขึ้นมาในใจของแม่ท้องหลายๆ คน คนท้องต้องดูแลเรื่องอาหารการกินเป็นพิเศษ คนท้อง กินมาม่าแล้วจะมีประโยชน์หรือโทษอย่างไรบ้างนะ มาดูกันค่ะ

 

มาทำความรู้จักบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกันค่ะ !!

บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป หรือที่คนไทยเรียกกันติดปากว่า “มาม่า” มีต้นกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น เป็นอาหารที่ทำง่ายและอร่อย แม้ใครๆ จะมองว่ามาม่าไม่ดีต่อสุขภาพ แต่จริงๆ แล้วมาม่าก็มีสารอาหารที่มีประโยชน์หลายอย่าง ยิ่งถ้าใส่ผัก ไข่ หรือเนื้อสัตว์เข้าไปด้วย จะยิ่งเพิ่มคุณค่าทางอาหารและรสชาติความอร่อยมากขึ้น

 

คนท้องกิน บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ปลอดภัยหรือไม่?

คนท้อง กินมาม่าได้ แต่ระวังอย่ากินมากเกินไป เพราะในมาม่ามีเกลือ ไขมัน และวัตถุกันเสียเพียบ หากแม่ท้องทานทุกวันอาจส่งผลกระทบต่อลูกน้อยในท้องได้ เพราะฉะนั้น ต้องจำกัดปริมาณการกินนิดนึง ถ้าคุณแม่ไม่แน่ใจควรปรึกษาคุณหมอก่อนค่ะ เพราะรู้ว่าช่วงท้อง แม่ท้องมักมีอาการโหย อยากที่จะกินมาม่า อันนี้ไม่ว่ากันแต่ขอให้เพิ่มผัก เนื้อสัตว์ลงไปด้วยค่ะ และขอว่าไม่ทานทุกวันนะจ๊ะ เพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพคุณแม่และทารกน้อยในครรภ์ค่ะ

คนท้อง กินมาม่าเครดิตภาพ : shutterstock

คนท้องกิน บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป มีประโยชน์หรือไม่ ?

จะว่าไปแล้วอาหารทุกอย่างบนโลกใบนี้มีทั้งประโยชน์และโทษต่อร่างกายค่ะ อยู่ที่ว่าเรามีพฤติกรรมการกินแบบไหน ถ้าอาหารชนิดนั้นๆ ซ้ำบ่อยๆ อันนี้ก็คงจะให้โทษมากกว่าจะให้ประโยชน์กับสุขภาพ โทษที่ว่าคืออาการเจ็บป่วย เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน คอเลสเตอรอลในเลือดสูง โรคอ้วน โรคหัวใจ โรคมะเร็ง ฯลฯ มาเข้าเรื่องเรากันต่อค่ะ คนท้อง กินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป นอกจากจะทำง่ายแล้ว บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก็ยังพอมีคุณค่าทางอาหารอยู่บ้างเหมือนกัน และนี่คือประโยชน์ของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปค่ะ

1. ให้โปรตีน

ร่างกายคนท้องต้องการโปรตีนปริมาณมากเพื่อใช้สร้างเนื้อเยื่อ ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ และบำรุงลูกในท้องให้เติบโต มีพัฒนาการดี มีสุขภาพแข็งแรง มาม่ามีโปรตีนจากข้าวสาลี มาม่า 1 ซอง ให้โปรตีน 5 กรัม โปรตีนจะทำให้รู้สึกอิ่มเร็ว แค่ได้กินมาม่านิดหน่อยก็หายหิวไปเยอะเลย

2. ป้องกันเลือดจาง

มาม่ามีปริมาณธาตุเหล็กพอสมควร มาม่า 1 ซอง ให้ธาตุเหล็กราว 8% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ต้องการธาตุเหล็กเพื่อช่วยลำเลียงออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ต่างๆ ในร่างกายและบำรุงลูกน้อยในครรภ์ การกินมาม่าจึงช่วยให้แม่ท้องมีระดับฮีโมโกลบินในเลือดสูงขึ้น ป้องกันความเสี่ยงต่อภาวะเลือดจางได้

3. ช่วยระบบย่อย

ในเส้นมาม่าก็มีใยอาหารอยู่ด้วย บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปครึ่งซองให้ใยอาหาร 1 กรัม ใยอาหารจะช่วยให้ระบบย่อยของแม่ท้องทำงานดี ป้องกันปัญหาท้องผูก และยังช่วยควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในเลือดได้อีกด้วย

4. ให้พลังงาน

บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมีคาร์โบไฮเดรตสูง จึงให้พลังงานสูง ร่างกายแม่ท้องต้องการพลังงานเพิ่มขึ้นจากปกติ คาร์โบไฮเดรตในบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจะช่วยเติมเต็มความต้องการส่วนนี้ได้

 

อ่านต่อ >> “คนท้องกิน บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป มีผลเสียหรือไม่ ?” คลิกหน้า 2 

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

เขย่าทารก อันตราย

อันตราย !! จากการ อุ้ม เขย่าทารก “Shaken baby syndrome”

event
เขย่าทารก อันตราย
เขย่าทารก อันตราย

เขย่าทารก …  รู้ไหมคะว่า พ่อแม่หรือคนรอบข้างที่เลี้ยงดูลูก ก็สามารถที่จะหยิบยื่นอันตรายร้ายแรงเสี่ยงถึงชีวิตให้กับลูกน้อยได้ ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ จากการอุ้มแล้วเขย่า ซึ่งการเขย่าทารก แล้วเกิดอันตรายขึ้นกับตัวเด็ก อาการนี้เรียกว่า Shaken Baby Syndrome (SBS) (more…)

มีเพศสัมพันธ์หลังคลอด

ไขข้อสงสัย! หลังคลอดแบบไหน..มีเพศสัมพันธ์ได้เมื่อไหร่?

event
มีเพศสัมพันธ์หลังคลอด
มีเพศสัมพันธ์หลังคลอด

มีคุณแม่ๆ หลายคน เกิดมีปัญหาคาใจเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ว่า … หลังคลอด มีเพศสัมพันธ์ ได้เมื่อไหร่ ไม่ว่าจะเป็นทั้งแบบคลอดเองและแบบผ่าคลอด เพราะต่างก็กลัวเรื่องปัญหาทั้งอันตรายกับตัวคุณแม่เอง หรืออาจทำให้ตั้งท้องได้ง่ายหรือไม่นั่นเอง ด้วยเหตุนี้ Amarin Baby & Kids จึงมีข้อมูลจากคุณหมอ มาไขข้อข้องใจคุณแม่ และคุณพ่อ เรื่อง หลังคลอดมีเพศสัมพันธ์ ได้หรือไม่อย่างไรกันค่ะ

หลังคลอด มีเพศสัมพันธ์ ได้หรือไม่ อย่างไร?

หลังคลอด มีเพศสัมพันธ์

เรื่องการมีเพศสัมพันธ์หลังคลอดนั้น เป็นเรื่องที่ต้องรู้ด้วยกันทั้งสองคน คือทั้งคุณแม่และคุณพ่อด้วย เพื่อความเข้าใจอันดีของทั้งสองฝ่าย โดย ผศ. นพ. พันธ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์ สูตินรีแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านฮอร์โมนต่อมไร้ท่อและการเจริญพันธ์  ได้ให้ข้อมูลและคำแนะนำเกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์หลังคลอด ไว้ดังนี้

สิ่งสำคัญในเรื่องการมีเพศสัมพันธ์หลังคลอดลูกนั้น ต้องดูก่อนว่า คุณแม่คลอดเองตามปกติ (คลอดแบบธรรมชาติ) หรือ ผ่าท้องคลอด ซึ่งหากคุณแม่คลอดเองตามปกติ เมื่อหายเจ็บแผล (แผลฝีเย็บ) และ น้ำคาวปลาน้อยลง (ไม่มีเลือดออกแล้ว) ก็สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ตามปกติ

ซึ่งแพทย์ผู้ทำคลอดทั้งแบบคลอดแบบปกติและผ่าท้องคลอด อนุญาตให้มีเพศสัมพันธ์ได้หลังคลอด 6 สัปดาห์ เพราะหลัง 6 สัปดาห์ไปแล้ว ตัวมดลูกจะเข้าอู่และช่องคลอดจะกระชับเข้าที่เรียบร้อย รวมทั้งน้ำคาวปลาก็หมดไปแล้ว แต่ในกรณีที่ต้องการมีเพศสัมพันธ์เร็วก็สามารถมีได้เช่นกัน ถ้าคลอดแบบปกติและหายเจ็บแผล น้ำคาวปลาใกล้หมดหรือมีน้อยลง โดยให้ฝ่ายชายสวมถุงยางอนามัย หรือหากผ่าท้องคลอดก็ต้องรอให้ตัวคุณแม่เองหายเจ็บแผลก่อน

หลังคลอด มีเพศสัมพันธ์

การมีเพศสัมพันธ์หลังคลอดจะเจ็บไหม?

หลังคลอดปากช่องคลอดคุณแม่อาจแห้งและไวต่อความรู้สึกโดยเฉพาะถ้าคุณให้ลูกกินนมแม่ ซึ่งถ้าปัญหาเกิดจากปากช่องคลอดแห้ง ในระหว่างการมีเพศสัมพันธ์คุณแม่อาจต้องใช้สารช่วยหล่อลื่นบริเวณปากช่องคลอดไปด้วย นอกจากนี้บริเวณแผลฝีเย็บจะมีความไวต่อความรู้สึกช่วงมีเพศสัมพันธ์ ดังนั้นก็ควรทำแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่หากยังเจ็บแผลอยู่ก็ควรรีบปรึกษาแพทย์

ข้อควรระวัง! หากเริ่มมีเพศสัมพันธ์อีกครั้ง และรู้สึกเจ็บ อย่าฝืน คุณแม่ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับปัญหาดังกล่าว โดยเฉพาะหากคุณแม่คลอดแบบธรรมชาติแผลฝีเย็บอาจเป็นสาเหตุของความเจ็บนั้น การได้ผ่าตัดอีกครั้งจะช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวได้ นอกจากนี้หลังจากมีเพศสัมพันธ์หากคุณมีของเหลวกลิ่นไม่พึงประสงค์ออกมาจากช่องคลอด นั่นอาจเป็นสัญญาณว่าคุณมีการติดเชื้อ ควรรีบพบแพทย์ทันที รวมทั้งหากยังคงมีเลือดออกจากช่องคลอดนานเกิน 4 สัปดาห์หลังคลอด หรือจู่ๆ ก็มีเลือดออกมาปริมาณมาก ควรรีบพบแพทย์เช่นกัน

อ่านต่อ >> “การป้องกันมีลูกหัวปีท้ายปี” คลิกหน้า 2

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

9 ขั้นตอนฝึกขับถ่ายลูก

9 วิธีง่ายๆ ฝึกขับถ่ายลูก ให้เป็นนิสัย

Alternative Textaccount_circle
event
9 ขั้นตอนฝึกขับถ่ายลูก
9 ขั้นตอนฝึกขับถ่ายลูก

การฝึกขับถ่ายลูก เชื่อว่าต้องมีพ่อแม่มือใหม่หลายครอบครัวที่กังวลกับเรื่องนี้ เพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มต้น การฝึกขับถ่ายลูก อย่างไรดี การฝึกลูก อึ ฉี่ ให้ถูกสุขอนามัยนอกจากการขับถ่ายใส่ผ้าอ้อมแล้ว ควรฝึกให้ลูกรู้จักการขับถ่ายด้วยการนั่ง กระโถนสำหรับเด็ก แล้วค่อยต่อด้วยการฝึกให้ลูกขับถ่ายในห้องน้ำบนฝาโถชักโครกสำหรับเด็ก การฝึกขับถ่ายลูก จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป หากคุณพ่อคุณแม่ทำตามคำแนะนำที่ทีมงาน Amarin Baby and Kids นำมาฝากค่ะ

 

Good to know… “การฝึกขับถ่ายลูก ควรใช้คำพูดง่ายๆ และเป็นสากล เช่น อึ ฉี่  เพราะเมื่อถึงเวลาที่ลูกต้องไปโรงเรียนอาจจะเกิดความสับสนขึ้นมาได้”

 

การฝึกขับถ่ายลูก ควรเริ่มฝึกเมื่อไหร่ ?

การฝึกขับถ่ายลูก โดยส่วนใหญ่เมื่อเด็กอายุได้ 1.5 ขวบ หรือ 2 ขวบ ก็สามารถเริ่มฝึกให้รู้จักกับการขับถ่ายที่นอกเหนือจากการขับถ่ายใส่ผ้าอ้อม  ทั้งนี้คุณพ่อคุณแม่ควรต้องดูที่ความพร้อมของลูกด้วย ซึ่งเด็กแต่ละคนจะมีความพร้อมไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับพัฒนาการด้านร่างกายและจิตใจของเด็กเป็นสำคัญ

การเตรียมให้ลูกได้รู้จักกับกระโถน และชักโครกในห้องน้ำ ซึ่งสองอย่างมีเอาไว้ทำอะไร การพาลูกไปดูห้องน้ำเวลาที่คุณใช้ห้องน้ำ ควรอธิบายว่าทำไมแม่ หรือพ่อต้องนั่งตรงนี้ หลังเสร็จแล้วทำไมต้องทำความสะอาด ทำไมต้องกดน้ำชักโครกทิ้ง ทำไมต้องล้างมือก่อนออกจากห้องน้ำ เรื่องเหล่านี้ล้วนมีความสำคัญกับสุขอนามัยของลูกทั้งนั้น  สิ่งสำคัญที่จะไม่ทำให้ลูกกลัวการใช้กระโถนในสเต็ปเริ่มต้น ก่อนที่จะต่อยอดพัฒนานั่งชักโครกในห้องน้ำ คุณพ่อคุณแม่ต้องดูความพร้อมของลูกเป็นสำคัญ ไม่ควรบังคับ ทุกอย่างต้องค่อยเป็นค่อยไป การที่ลูกได้เรียนรู้และซึมซับไปทีละนิด เมื่อถึงเวลาที่เขาพร้อมก็จะสามารถขับถ่ายได้อย่างราบรื่นค่ะ

ฝึกขับถ่ายลูก

 

Good to know… “ส่วนใหญ่แล้วเด็กวัยขวบกว่าหรือใกล้สองขวบ อาจยังไม่พร้อมในการถูกฝึกขับถ่าย ไม่ว่าจะเป็นการใช้กระโถน หรือห้องน้ำ เพราะเด็กยังแยกไม่ออกว่าเมื่อไหร่จะถ่าย เมื่อไหร่ต้องกลั้น ทำไมอึ ฉี่ ใส่ผ้าอ้อมเหมือนเดิมไม่ได้ แต่เด็กบางคนก็สามารถฝึกขับถ่ายในช่วงวัยนี้ได้อย่างไม่มีปัญหาอะไร”

การฝึกขับถ่ายลูกไม่ว่าจะเริ่มต้นที่ 1 หรือ 2 ขวบ และอาจจะเริ่มฝึกช้าไปกว่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องช้าแต่อย่างใด เพราะหากต้องการ ฝึกขับถ่ายถ่าย ควรเริ่มตอนที่ลูกมีพัฒนาการด้านร่างกายและจิตใจ ที่พร้อมจะเรียนรู้และฟังคำสั่ง คำอธิบาย เข้าใจความหมายในสิ่งที่พ่อแม่สอนแล้วสามารถปฏิบัติตามได้อย่างถูกต้อง นั่นน่าจะเป็นสิ่งที่ดีต่อการฝึกขับถ่ายให้ลูกค่ะ

 

การฝึกขับถ่ายลูก กับสัญญาณที่บอกว่าลูกพร้อม

  1. ความพร้อมด้านทักษะทั่วไป

ด้านภาษา :  มีความเข้าใจ และทำตามคำสั่ง สามารถสื่อสารด้วยการพูดคุยได้

ด้านความคิด :  เลียนแบบกิจวัตรของพ่อแม่ได้

ด้านกล้ามเนื้อ : ลุกเดินได้คล่อง นั่งได้มั่นคงโดยไม่ต้องมีคนรอบข้างช่วย

  1. ความพร้อมด้านร่างกาย (การขับถ่าย)

การควบคุมกระเพาะปัสสาวะ : กลั้นปัสสาวะได้เป็นชั่วโมง, แสดงให้รู้ว่าไม่ชอบอะไรเลอะเทอะในกางเกงหรือผ้าอ้อมที่ใส่อยู่, รู้สึกต้องการถ่ายเวลาปวดอึ ฉี่

ด้านกล้ามเนื้อ : ช่วยเหลือตัวเองในการถอดและใส่กางเกงได้, สามารถควบคุมกล้ามเนื้อหูรูดทวารหนัก

ด้านการสื่อสาร : เข้าใจคำว่า “อึ” “ฉี่” หมายถึงอะไร เวลาปวด ฉี่ หรือ อึ สามารถสื่อออกมาทางคำพูด สีหน้า หรือท่าทางได้ว่าต้องการที่จะเข้าห้องน้ำ หรือนั่งกระโถน

อ่านต่อ >> ” 9 ขั้นตอนการฝึกขับถ่ายลูก” คลิกหน้า 2

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

ยาน้ำลดไข้ ของเด็ก แต่ละยี่ห้อแตกต่างกันอย่างไร พ่อแม่ควรรู้!

event

เมื่อเข้าสู่ช่วงปลายฝนต้นหนาวอากาศจะเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน อุณหภูมิลดต่ำลงมากๆ หรือแม้แต่ช่วงเดือนมีนาคม ต้นฤดูร้อนที่มีฝนตกลงมาอย่างหนักจนร่างกายปรับตัวไม่ทัน อาจเป็นเหตุให้เด็กๆ หลายคนมีอาการเป็นไข้ตัวร้อนได้ง่ายขึ้น เป็นเหตุให้คุณพ่อคุณแม่หรือผู้ปกครอง ต้องรีบมาซื้อ ยาน้ำลดไข้ ของเด็ก เพื่อลดอาการตัวร้อน มาติดบ้านไว้ ด้วยความเป็นกังวลในอาการไม่สบายของเด็ก

ข้อควรรู้ก่อนเลือกซื้อ ยาน้ำลดไข้ ของเด็ก

เมื่อคุณพ่อคุณแม่ต้องการซื้อยาลดไข้ให้ลูก ก็มักจะสอบถามกับเภสัชกร ว่า เลือกใช้ยาตัวไหนดี…ยาน้ำลดไข้สำหรับเด็กที่มีในท้องตลาดและสามารถหาซื้อได้ทั่วไป คือ ยาน้ำพาราเซตามอล (paracetamol) ยานี้จัดว่าเป็นยาสามัญประจำบ้าน มีความปลอดภัยค่อนข้างสูงหากใช้ตามปริมาณที่กำหนด คุณพ่อคุณแม่จึงสามารถหาซื้อได้จากร้านขายยาแผนปัจจุบันทั่วไป ตามร้านสะดวกซื้อใกล้บ้าน หรือแม้กระทั่งร้านขายของชำในหมู่บ้านหรือละแวกบ้าน

ขนาดของยาที่ควรใช้

การเลือกใช้ยาแต่ละประเภทและการป้อนยาให้เด็กในปริมาณเท่าไรในแต่ละครั้ง คุณพ่อคุณแม่ควรพิจารณาปริมาณการให้ยาลูกโดยดูจากคำแนะนำข้างกล่อง หรือจากฉลากของยา ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วมักจะบอกโดยคร่าวๆ เช่น เด็กอายุต่ำกว่า 2  ปี ควรกินครั้งละ… ช้อนชา เด็กอายุประมาณ…ปีควรกินครั้งละ…ช้อนชา แต่จากคำแนะนำดังกล่าว เป็นเพียงปริมาณการให้ยาโดยเฉลี่ยกับเด็กส่วนใหญ่ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว เด็กแต่ละคนย่อมมีน้ำหนักที่แตกต่างกันไป แม้ว่าจะอยู่ในวัยไล่เลี่ยกันก็ตาม

ดังนั้นเวลาไปซื้อยา เภสัชกรจึงมักสอบถามถึงน้ำหนักตัวลูกๆ ของคุณพ่อคุณแม่เป็นหลักก่อน เพื่อสามารถคำนวณปริมาณของตัวยาที่จะให้ได้อย่างถูกต้องเหมาะสม โดยปริมาณหรือขนาดยาที่จะให้แต่ละครั้งก็คือ ตัวยาพาราเซตามอลปริมาณ 10-15 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัวเด็ก 1 กิโลกรัม ดังนั้นไม่ว่าเด็กจะมีอายุเท่าใด หากน้ำหนักตัวเท่าๆ กัน คือ ประมาณ 16 กิโลกรัม ก็ควรจะกินยาเท่ากันคือ ประมาณ 160-250 มิลลิกรัมต่อครั้ง

ทั้งนี้ยาน้ำลดไข้ ก็มีอยู่หลายรูปแบบทั้ง น้ำใส น้ำข้น และแบบหยด ซึ่งปัจจุบันยาน้ำลดไข้แก้ตัวร้อนสำหรับเด็ก ที่มีตัวยาหลักคือ พาราเซตามอลนั้น มีให้เลือกมากมายหลายแบบ ตั้งแต่ยาน้ำเชื่อมใสที่ใช้หยอดใส่ปากเด็ก ยาน้ำเชื่อมใสที่กินเป็นช้อนชา และยาน้ำเชื่อมชนิดข้นที่เภสัชกรเรียกว่ายาน้ำแขวนตะกอน ยาเหล่านี้ยังมีความแรงหรือความเข้มข้นของตัวยาพาราเซตามอลแตกต่างกันออกไป … แต่ที่สำคัญคือ ในการเลือกใช้ ก็ให้เลือกใช้ตามขนาดน้ำหนักตัวของเด็ก และเลือกรสชาติตามความชอบของเด็กแต่ละคน ซึ่งตรงนี้คุณพ่อคุณแม่คงต้องเป็นคนบอกเภสัชกรที่ร้านยาให้ทราบ จะได้หยิบยาได้ถูกใจ

ส่วนผสมยาน้ำลดไข้

ยาน้ำเชื่อมทั่วไปรวมทั้งยาน้ำเชื่อมแบบหยดจะเป็นยาที่มีน้ำตาลเป็นส่วนผสมในปริมาณสูง เพื่อช่วยในการกลบรสขมของยา จึงอาจมีผลทำให้เด็กฟันผุได้ง่ายและไม่เหมาะกับเด็กที่มีน้ำหนักตัวมาก และยาลดไข้ที่ปลอดภัยสำหรับเด็ก ไม่ควรมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ คุณแม่สามารถขอแนะนำจากเภสัชกรให้เลือกใช้ยาน้ำสูตรไร้แอลกอฮอล์ Free Alcohol

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

เวลาการให้ยา ให้อย่างไร ?

การให้ยาที่ถูกต้องคือทุกๆ 4-6 ชั่วโมง เมื่อหายไข้ให้หยุดยาได้ ตัวพาราเซตามอลเองจะออกฤทธิ์ได้ค่อนข้างช้า ไข้จะลดลงภายหลังรับประทานยาประมาณครึ่งชั่วโมง ระหว่างรอให้ยาออกฤทธิ์ ควรระมัดระวังไม่ให้ไข้ขึ้นสูงเกินขนาด ด้วยการหมั่นเช็ดตัวบ่อยๆ หากให้ยาและเช็ดตัวให้แล้วอาการไข้ของลูกยังไม่ลดลง ไม่ควรให้ยาเกิน 5 ครั้งต่อ 1 วัน หรือทำซ้ำอยู่เช่นนั้นเพื่อหวังให้ไข้ลดลง เพราะอาจเป็นอันตรายต่อตับ และไตจนทำให้เด็กเสียชีวิตได้ ในกรณีเช่นนี้คุณพ่อคุณแม่ควรพาลูกไปพบแพทย์โดยด่วน

นอกจากการใช้ยาเพื่อช่วยลดไข้ แก้ตัวร้อนให้แก่เด็กแล้ว ขอแนะนำเพิ่มเติมในการดูแลเด็ก ควรให้เด็กได้พักผ่อนมากๆ ดื่มน้ำบ่อยๆ และมากๆ และกินอาหารที่มีประโยชน์ และในกรณีที่มีไข้สูง (มากกว่า 39 องศาเซลเซียส) ควรเช็ดตัวให้เด็กอย่างสม่ำเสมอ ในกรณีที่เด็กเคยมีประวัติของโรคลมชักเมื่อไข้สูง ควรได้รับยากันชักตลอดเวลาที่เด็กมีไข้ และในกรณีที่เด็กเคยมีประวัติของโรคหืดหอบ เมื่อเป็นไข้โดยเฉพาะไข้หวัด อาจชักนำให้เด็กมีอาการจับหอบได้ จึงควรระวังในสองกรณีดังกล่าวนี้ด้วย ถ้าเด็กเป็นไข้ติดต่อกันเกินมา 3-5 วัน แล้วอาการไม่ดีขึ้น ควรแนะนำให้พาเด็กไปพบแพทย์

ทั้งนี้ Amarin Baby & Kids จึงแนะนำ ยาน้ำลดไข้ ของเด็ก แต่ละยี่ห้อ ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่ได้เลือกพิจารณาให้ลูกทานกันค่ะ

อ่านต่อ >> “เปรียบเทียบยาน้ำลดไข้สำหรับเด็ก ที่คุณแม่หาซื้อได้” คลิกหน้า 2

ยาน้ำลดไข้ ของเด็ก

วิธีดูแลฟันน้ำนม

7 STEP…หนูน้อยฟันสวยด้วยมือคุณแม่ (มีคลิป)

Alternative Textaccount_circle
event
วิธีดูแลฟันน้ำนม
วิธีดูแลฟันน้ำนม

ฟันน้ำนมของลูกรักเป็นฟันชุดแรกที่เกิดขึ้นมาก่อนที่ฟันแท้จะขึ้น การดูแลฟันน้ำนม เป็นสิ่งสำคัญเพราะจะช่วยส่งเสริมพัฒนาการของลูก เช่น การพูด การออกเสียงให้ชัดเจน หรือการทานอาหาร คุณแม่จึงจำเป็นต้องใส่ใจฟันของลูกรักตั้งแต่ซี่แรก วันนี้เราจึงมี 7 Step ง่ายๆ ที่คุณแม่จะช่วย ดูแลฟันน้ำนม ของลูกน้อยให้มีสุขภาพดี มาแนะนำกันค่ะ

ดูแลฟันน้ำนม 7 ขั้น ลูกน้อยฟันสวย ด้วยมือคุณแม่

Step 1 ตั้งแต่ฟันของลูกน้อยยังไม่ขึ้น สิ่งที่คุณแม่สามารถทำได้เลย คือการใช้ผ้าสะอาด หรือผ้ากอซที่ชุบน้ำต้มสุกเปียกหมาดๆ เช็ดเบาๆ บริเวณ เหงือก กระพุ้งแก้ม และลิ้น เพื่อขจัดคราบนมที่สะสมอยู่ในช่องปากของลูกน้อยและหมั่นทำเป็นประจำทุกวัน

Step 2 เมื่อลูกรักเริ่มมีฟันน้ำนมขึ้นตั้งแต่ซี่แรก(ประมาณ 6 เดือนขึ้นไป)  คุณแม่ควรพาลูกไปพบทันตแพทย์เพื่อขอคำแนะนำวิธีการดูแลฟันสำหรับเด็ก ตรวจสุขภาพฟันและช่องปากของลูกน้อย จะช่วยลดการเกิดปัญหาในช่องปากของลูกได้ตั้งแต่เนิ่นๆ และเพื่อส่งเสริมสุขภาพฟันที่ดีของลูกรัก คุณพ่อคุณแม่ควรหมั่นพาลูกไปพบทันตแพทย์เพื่อตรวจสภาพฟันทุก 6 เดือน

Step 3 หากลูกหย่านมแม่แล้วคุณแม่ควรฝึกให้ลูกดื่มนมจากแก้วน้ำดูดหลอด หรือถ้วยหัดดื่ม แทนการกินนมจากขวดนมที่เป็นจุกนมเพราะการดื่มนมหรือน้ำจากแก้ว จะทำให้ฟันสัมผัสโดนของเหลวน้อยกว่าการใช้ขวดนม โดยคุณแม่ควรชมเชยลูกน้อยหลังจากที่เขาสามารถดื่มนมหรือน้ำจากแก้วน้ำเองได้ ฟันของลูกรักก็จะไม่เสี่ยงผุได้ง่ายนั่นเอง

Step 4 งดการให้นมลูกในตอนกลางคืน(ประมาณ 6 เดือนขึ้นไป)  และหลีกเลี่ยงการปล่อยให้ลูกหลับคาขวดนม เพราะน้ำตาลจากนมจะทำให้ลูกฟันผุได้ง่าย วิธีการคือ หากลูกรักตื่นขึ้นมากลางดึกหรือร้องไห้เพราะเคยชินกับการกินนม คุณแม่ควรเบี่ยงเบนความสนใจลูกด้วยการตบก้น กอด หรือลูบหัว และเห่กล่อมจนลูกน้อยหลับได้เอง

ดูแลฟันน้ำนม

Step 5 เมื่อลูกมีฟันขึ้นหลายซี่แล้ว(4-5ซี่) คุณแม่ก็สามารถหัดให้ลูกรู้จักการแปรงฟันได้แล้ว เริ่มจากการใช้ปลอกใส่นิ้วแปรงฟันให้ลูก หรือเลือกซื้อแปรงสีฟันที่เหมาะสมกับวัยของลูกโดยการดูที่ฉลากของแปรงสีฟันว่าเหมาะสมกับเด็กวัยใด แปรงสีฟันสำหรับเด็กที่ดี ต้องมีความพอเหมาะกับช่องปากของเด็กหัวแปรงแคบเพื่อจะทำความสะอาดฟันซี่ในสุดได้ และขนแปรงต้องนิ่มไม่ระคายเคืองช่องปาก และมีด้านจับที่เหมาะกับเด็ก

Step 6 ในเด็กเล็กยังมีพัฒนาการด้านกล้ามเนื้อมือที่ไม่ดีพอ คุณแม่จึงควรช่วยลูกน้อยที่ยังแปรงฟันเองไม่ได้ด้วยการจับลูกนอนบนตักคุณแม่เพื่อที่จะมองเห็นฟันของลูกได้ชัดเจนที่สุด และใช้แปรงสีฟันสำหรับเด็กจุ่มน้ำสะอาด แล้วแปรงขึ้นลงเบาๆ ด้านในฟันแต่ละซี่ และแปรงฟันทุกซี่ทุกซอกและทุกด้านของฟันควรแปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง คือเช้า-เย็นหรือเช้าและก่อนนอนหลังจากแปรงฟันก่อนนอนไม่ควรให้ลูกทานอะไรแล้วค่ะ

Step 7 การใช้ยาสีฟันให้ลูกน้อย ควรเลือกยาสีฟันที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์เพื่อป้องกันฟันผุ และบีบยาสีฟันในปริมาณเพียงเล็กน้อยหรือเท่าเมล็ดถั่วเขียวก่อน เพราะจะทำให้ลูกไม่กลืนยาสีฟันลงไปในปริมาณมากค่ะ

ชมคลิป วิธีทำความสะอาดช่องปาก และฟันน้ำนมลูกน้อย คลิกหน้า 2

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

keyboard_arrow_up