สปอยล์ลูก มากไป ระวังลูกนิสัยเสีย!

event

สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่รักลูกมากๆ ก็จะเปรียบลูกเป็นเสมือนแก้วตาดวงใจ ไม่ว่าสิ่งที่ดีสุดสำหรับลูก คุณพ่อคุณแม่ก็พร้อมที่จะตามใจและสรรหามาให้ด้วยความรักและความห่วงใยที่มีทั้งหมด โดยที่ไม่คาดคิดเลยว่า การตามใจมากจนเกินพอดีนั้น จะส่งผลร้ายแก่ลูกมากมาย

 

การปล่อยให้เด็กๆ ได้สิ่งที่ต้องการโดยไม่บอกถึงเหตุและผลให้พวกเขาได้เข้าใจ หรือเรียกว่า การ”สปอยล์” ลูก  อาจก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ  ทำให้ลูกเกิดนิสัยเสียขึ้นมาได้ ซึ่งปัจจุบันมีพ่อแม่จำพวกนี้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนน่าตกใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพ่อแม่ครอบครัวชนชั้นกลาง หรือครอบครัวที่มีฐานะดีขึ้นมาหน่อย  ครอบครัวที่ว่านี้มีโอกาสสร้างลูกให้เป็นเด็กสปอยล์เป็นอย่างมาก

ทำไมพ่อแม่ถึง สปอยล์ลูก มากไป

สาเหตุหลัก ๆ ก็มาจากพ่อแม่ยุคนี้มีค่านิยมที่ต้องการมีลูกคนเดียว หรืออย่างมากก็มีลูกไม่เกินสองคน ยิ่งแนวโน้มหนุ่มสาวแต่งงานกันเมื่ออายุมากขึ้นเพิ่มจำนวนมากเท่าไร โอกาสที่จะมีลูกยากก็เพิ่มมากขึ้นไปด้วย ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นกลุ่มพ่อแม่ที่พร้อมจะสปอยล์ลูกทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ เพราะมีเป้าหมายจะดูแลลูกให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ยิ่งมีลูกยากก็จะยิ่งกลายเป็นลูกหัวแก้วหัวแหวนของพ่อแม่ไปโดยปริยาย

ซึ่งพ่อแม่ในกลุ่มนี้มักจะตอบสนองลูกในทุกเรื่อง ตั้งแต่แรกเกิดก็จะประคบประหงม ไม่ยอมให้ลูกร้องไห้ ไม่ยอมให้หิว บางทีลูกยังไม่ทันได้รู้สึกหิวด้วยซ้ำ บางคนหนักถึงขั้นลูกเกิดมาไม่เคยรู้สึกหิวเลยก็มี เพราะจะเตรียมให้ลูกไม่ได้ขาด ลูกอยากได้สิ่งใดก็ตามใจลูก ไม่อยากให้ลูกเสียใจหรือร้องไห้ อยากได้อะไรก็มักจะได้ เรียกว่ายุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม ไม่ยอมให้ลูกเจ็บตัวเด็ดขาด

สปอยล์ลูก

เมื่อเด็กเรียนรู้ว่าทุกคนรักเขา และให้ความสำคัญกับเขา เขาก็เรียนรู้วิธีต่างๆ ได้มากมายกว่าที่ผู้ใหญ่อย่างเราๆ คิด บางครั้งเขาเรียนรู้ว่าถ้าลงไปนอนดิ้นกับพื้นเมื่อไร พ่อแม่จะต้องตอบสนองสิ่งที่เขาต้องการได้ หรือพ่อแม่บางคนจะทนไม่ได้เมื่อเห็นลูกร้องไห้ กลัวลูกไม่รัก หรือต้องการตัดความรำคาญก็ตอบสนองความต้องการของลูกทันที เด็กก็ยิ่งจดจำวิธีการเหล่านั้น เพราะลูกฉลาดพอที่จะรู้ว่าจะต้องทำอะไรอย่างไรกับใครถึงจะได้สิ่งที่ตนเองต้องการนั่นเอง

ยิ่งถ้าพ่อแม่ต้องทำงานนอกบ้านทั้งสองคน ส่วนมากมักจะรู้สึกผิด ก็เลยไม่ค่อยปฏิเสธลูก ลูกอยากได้อะไรก็ยอม ซึ่งบ่อยครั้งการตอบสนองจะออกมาในรูปของวัตถุมากกว่า โดยหารู้ไม่ว่า ได้กลายเป็นการสะสมบ่มเพาะนิสัยที่ไม่ดีหลายๆ อย่างให้เกิดขึ้นในตัวลูก

แต่หากคุณพ่อคุณแม่ยังไม่ยอมรับ หรือไม่รู้ตัวว่าคุณสปอยล์ลูก มากเกินไป Amarin Baby & Kids มีสัญญาณเตือนของเด็กนิสัยเสีย อันเนื่องมาจากการถูกพ่อแม่สปอยล์มากเกินไป มาให้ดูกัน ดังนี้ค่ะ

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

สัญญาณเตือนลูกเริ่ม ‘นิสัยเสีย’ เพราะพ่อแม่สปอยล์มากเกินไป

1. มีอารมณ์ร้อนเกรี้ยวกราดบ่อยครั้ง

หากหนูน้อยเริ่มมีอาการหงุดหงิดบ่อยๆ กรีดร้อง เกรี้ยวกราด ชักสีหน้าแสดงอาการให้รู้ว่าไม่พอใจ นับเป็นหนึ่งอาการที่เป็นสัญญาณเตือนแล้วว่า ลูกเริ่มถูกสปอยล์มากไปแล้วค่ะ

2. เถียงคำไม่ตกฟาก

คำนี้เราๆ คงได้ยินมาแต่โบราณรุ่น ปู่ ย่า ตา ยาย หากมีเด็กพูดเถียง ไม่ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองทำผิด หรือผู้ใหญ่พูดเตือนอะไรแล้วเถียงกลับทันที แบบนี้ที่เขาเรียกว่าเถียงคำไม่ตกฟาก เป็นการแสดงอาการของเด็กที่ไม่น่ารัก แต่ถ้าลูกน้อยไม่ได้ทำผิดแล้วพยายามอธิบาย นับว่าเป็นคนละสาเหตุกันนะคะ

3. จอมบงการ

หากพ่อแม่ที่มัวแต่ตามใจลูกจนทำให้ทุกอย่าง หรือจ้างพี่เลี้ยงส่วนตัวดูแลทุกฝีก้าว จนลูกไม่สามารถทำอะไรได้เองเลยนั้น เมื่อถึงเวลาที่คุณอยากให้ลูกลองทำสิ่งใหม่ๆ ดูบ้าง ลูกจะไม่ยอมที่จะทำเผลอๆ จะสั่งกลับให้คุณทำให้แทนเสียด้วยซ้ำ

4. ทำพ่อแม่ขายหน้าเมื่ออยู่ในที่สาธารณะ

เมื่อคุณสปอยล์ลูกมากเกินไป อาการเหล่านี้จะตามมาแน่นอน เช่น หากลูกกรีดร้องอยากได้สิ่งของที่ชอบ หรือขนมที่ถูกอกถูกใจ แต่เมื่อไม่ได้จะแสดงอาการร้องไห้ กรีดร้อง ลงไปนอนดิ้นกับพื้น เพื่อเรียกร้องความสนใจทันที แล้วถ้าคุณให้สิ่งของกับลูกทันทีเพื่อตัดปัญหานั้นๆ  จะยิ่งทำให้ลูกเคยชินเข้าไปอีกว่า ถ้าแสดงอาการแบบนี้พ่อแม่จะรีบให้สิ่งที่ตนอยากได้ทันที  อาการนี้เรียกว่าถูกสปอยล์มากไปแล้วค่ะ

อ่านต่อ >> “สัญญาณเตือนลูกเริ่ม ‘นิสัยเสีย’ เพราะพ่อแม่สปอยล์มากเกินไป”
คลิกหน้า 2

ลูกไตโตผิดปกติ

ดูแลอย่างไร? เมื่อลูกมีไตโตผิดปกติแต่กำเนิด

Alternative Textaccount_circle
event
ลูกไตโตผิดปกติ
ลูกไตโตผิดปกติ

เมื่อคุณพ่อ คุณแม่พบว่า ลูกไตโตผิดปกติ อยู่หนึ่งข้าง แต่ลูกยังแข็งแรง เติบโต ขับถ่ายได้ปกติดี ไม่มีปัญหา และพบคุณหมอเพื่ออัลตราซาวด์อยู่เป็นระยะ แต่ก็ยังมีความกังวล และไม่แน่ใจว่าจะต้องระมัดระวังเรื่องการดื่มน้ำ ดื่มนมอย่างไรบ้าง เพื่อให้ลูกน้อยปลอดภัย

(more…)

ลูกตกบันได

ลูกน้อยวัยซนตกบันได เพราะพ่อ แม่ ละสายตา

Alternative Textaccount_circle
event
ลูกตกบันได
ลูกตกบันได

คลิปที่จะให้คุณพ่อ คุณแม่ดูต่อไปนี้ จะเป็นอุทาหรณ์ให้กับคุณพ่อ คุณแม่ ให้ระมัดระวังลูกน้อยวัยซน ที่กำลังอยู่ในวัยหัดเดิน ด้วยความซุกซนของเด็กวัยนี้ มักจะทำอะไรที่คุณพ่อ คุณแม่ไม่คาดคิด โดยเฉพาะตอนเผลอ หรือไม่อยู่ในสายตา ทำให้พลาดพลั้งได้ เมื่อ ลูกตกบันได เช่นนี้

(more…)

คนท้อง ทาครีมได้ไหม

คนท้อง ทาครีมได้ไหม ?

Alternative Textaccount_circle
event
คนท้อง ทาครีมได้ไหม
คนท้อง ทาครีมได้ไหม

“คนท้อง ทาครีมได้ไหม ?”…ไก่งามพระขน คนงามเพราะแต่งจริงๆ ค่ะ  ฉะนั้นผู้หญิงท้องอย่าหยุดสวย มีคุณแม่ที่กำลังตั้งท้องกันอยู่มักจะมีคำถามข้อสงสัย บวกความกังวลใจเล็กๆ ว่า “คนท้อง ทาครีม หรือใช้เครื่องสำอางได้บ้างไหม ?”  จริงๆ แล้วได้นะคะ แต่ต้องดูที่ส่วนผสมด้วยว่าปลอดภัยมากน้อยแค่ไหน และเหมาะที่จะใช้ในช่วงตั้งครรภ์ด้วยหรือเปล่า  ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับการใช้ครีมบำรุงผิวของแม่ท้องให้ปลอดภัย มาฝากกันค่ะ

 

คนท้อง ทาครีมได้ไหม

ในช่วงที่ท้องอ่อนๆ 3 เดือนของการตั้งครรภ์ แม่ท้องมักมีปัญหาสิวขึ้นที่ใบหน้า  คนท้องหลายคนหมดความมั่นใจเพราะสิวที่ขึ้นมานี่แหละค่ะ ทำให้ไม่ค่อยอยากออกบ้านไปไหน เพราะก่อนหน้าที่ยังไม่ท้องสิวเจ้าปัญหาก็ไม่เคยแวะมาทักทาย แต่พอท้องแวะมาทักทายกันจัง มาไหมคะ ^_^

การที่คนท้องสิวขึ้นเป็นเรื่องปกติค่ะ เนื่องจากฮอร์โมนตั้งครรภ์ อย่าง ฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนที่เปลี่ยนแปลงและไม่สมดุลขณะตั้งครรภ์  มักจะส่งผลให้คนท้องเป็นสิว มีใบหน้าหมองคล้ำขึ้นได้   แต่พอหลังจากคลอดลูก ปัญหาสิว ใบหน้าหมองคล้ำก็จะหายไปได้เองค่ะ  แต่อย่างว่าขอสวยสักหน่อย ถึงจะกำลังท้องอยู่ก็เถอะ  ขอใช้ครีมบำรุงผิวหน้าบ้างนะ  คุณแม่ท้องอยากใช้ครีมบำรุงทาผิว รักษาสิว ก็ได้อยู่ค่ะ แต่ขอให้ใช้ยา หรือครีมที่อยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ หรือเภสัชกรที่เชี่ยวชาญเรื่องยาด้วยนะคะ ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยของคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์ด้วยค่ะ

 

Good to know… “กรดวิตามินเอที่ใช้ในการรักษาสิว ทั้งชนิดทาน และชนิดทา  ไม่แนะนำให้ใช้กับคนท้อง เพราะมีผลต่อการตั้งครรภ์โดยตรง นั่นคือจะผลกระทบต่อการสร้างอวัยวะของตัวอ่อนในครรภ์ โดยเฉพาะในช่วงอายุครรภ์ 1-3 เดือนแรก ที่มีผลต่อระบบหัวใจ ระบบประสาท และกระจกตา”

 

คนท้องทาครีม หรือแต่งหน้าได้ไหม ?

คนท้องทาครีม และแต่งหน้าได้ซิค่ะ ทำไมจะไม่ได้ เพียงแต่ก่อนใช้ครีมบำรุงผิว หรือหยิบเอาเครื่องสำอางมาแต่งหน้าสวย ก็มาต้องดูกันที่ส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ด้วยค่ะว่าปลอดภัยหรือเปล่า ยิ่งถ้ามีส่วนผสมที่มาจากธรรมชาติ 100%  จะดีมากๆ กับแม่ท้อง แต่ถ้าส่วนผสมไม่ได้มาจากธรรมชาติทั้งหมด เราไปดูกันสักนิดว่าควรเลือกใช้ครีม หรือผลิตภัณฑ์ประทินโฉม แบบไหนถึงจะปลอดภัยไร้กังวลกันค่ะ

 

อ่านต่อ >> “คยท้อง ทาครีมในกลุ่มรักษาสิวเป็นอันตรายหรือไม่ ?” คลิกหน้า 2 

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

คนท้อง ปวดหัวไมเกรน

คนท้อง ปวดหัวไมเกรน รับมืออย่างไร ?

Alternative Textaccount_circle
event
คนท้อง ปวดหัวไมเกรน
คนท้อง ปวดหัวไมเกรน

“คนท้อง ปวดหัวไมเกรน”…อาการปวดหัวเกิดได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งหนึ่งในนั้นมาจากปวดหัวไมเกรน ในคนปกติทั่วไปเวลารู้สึกปวดหัว ก็จะหายามาทานเพื่อบรรเทาอาการ แต่ถ้าในคนท้องล่ะ หากมีอาการปวดหัวไมเกรน จะทานยาเพื่อบรรเทาอาการปวดหัว หรือควรใช้วิธีใดได้บ้าง ? ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีวิธีจากธรรมชาติบำบัด ที่จะช่วยให้ คนท้อง ไมเกรน เล่นงานขึ้นมาสามารถที่จะรับมือกันได้ค่ะ

 

Good to know… “เมื่อเกิดอาการปวดไมเกรนคนท้องไม่ควรซื้อยามารับประทานเองเด็ดขาด การบรรเทาอาการปวดศีรษะไมเกรนด้วยตัวเองเบื้องต้น ให้ใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กๆ ชุบน้ำเย็นจัด แล้วมาวางโปะที่หน้าผาก นั่งพัก ให้รู้สึกผ่อนคลาย หรืออาจจะนอนหลับในห้องนอนที่แสงไม่จ้ามากสัก 1-2 ชั่วโมง เพื่อให้อาการปวดไมเกรนทุเลาลง

 

คนท้อง ปวดหัวไมเกรน

อาการปวดหัวไมเกรน เป็นการเจ็บป่วยทางสุขภาพที่ใครหลายคนไม่อยากให้เกิดขึ้น ดังนั้นเพื่อให้ทุกคนได้เข้าใจกันมากขึ้นว่าแท้จริงแล้วการปวดหัวไมเกรนนั้นมีลักษณะการปวดแบบใด  เพื่อจะได้สังเกตอาการกันถูกต้อง ยิ่งเฉพาะ คนท้อง ปวดหัวไมเกรน ถือเป็นอาการแทรกซ้อนทางสุขภาพอย่างหนึ่งที่ได้สร้างความทรมานให้กับสุขภาพร่างกายระหว่างตั้งครรภ์อย่างมาก…

นพ. ไพศาล วชาติมานนท์  แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบประสาท ได้อธิบายลักษณะการปวดศีรษะแบบไมเกรนไว้ว่า “อาการปวดศีรษะแบบไมเกรนนั้น มีลักษณะค่อนข้างชัดเจน คือ มักจะปวดบริเวณขมับโดยอาจจะปวดข้างเดียว หรือทั้งสองข้าง  บางกรณีอาจมีการปวดวนกันไป และมักจะปวดข้างเดิมอยู่ซ้ำๆ ส่วนอีกบริเวณหนึ่งที่พบมาก ได้แก่ บริเวณเบ้าตา ลักษณะของการปวด ก็มักจะปวดตุ้บๆ ตามจังหวะของชีพจร ในผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย”1

ปัจจัยที่กระตุ้นให้ปวดหัวไมเกรน2

  • ความเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ช่วงมีประจำเดือน ระหว่างตั้งครรภ์ ช่วงหมดประจำเดือน หรือการรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิด
  • อาหารบางชนิด เช่น ชีส ไวน์แดง ช็อกโกแล็ต น้ำตาลเทียม ผงชูรส ชา และกาแฟ
  • การกระตุ้นทางประสาทสัมผัส เช่น แสงจ้า เสียงดัง กลิ่นฉุน กลิ่นบุหรี่
  • รูปแบบการนอนที่เปลี่ยนไป เช่น นอนดึก นอนไม่พอ หรือนอนมากเกินไป
  • สิ่งแวดล้อม เช่น อากาศร้อน ฝุ่นควัน

 

Good to know… “การประคบเย็นบริเวณต้นคอ พร้อมกับนวดบริเวณที่ปวดก็จะช่วยบรรเทาอาการปวดหัวไมเกรนได้

 

คนท้อง ปวดหัวไมเกรน เกิดจากสาเหตุใด

เพื่อไม่ให้แม่ท้อง หรือคนที่กำลังเตรียมตัวตั้งท้อง เกิดความกังวลใจกันมากเกินไป กับอาการทางสุขภาพอย่างการปวดหัวไมเกรน ว่าจะเกิดขึ้นกับตัวเองขณะตั้งครรภ์แล้วไม่สามารถบรรเทาอาการด้วยการทานยา ซึ่งๆ แล้วการปวดที่เกิดจากไมเกรนไม่ได้เกิดขึ้นกับคนท้องขณะตั้งครรภ์เสมอไป โดยส่วนมากแล้วการปวดหัวไมเกรนมักเกิดกับคนท้องที่เป็นมาก่อนตั้งครรภ์อยู่ก่อนแล้ว แต่ทั้งนี้อาการปวดศีรษะแบบไมเกรนก็สามารถเกิดขึ้นได้แต่จะเกิดกับคนท้องบ้างคนเท่านั้น โดยสาเหตุหนึ่งเกิดจากฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงขณะตั้งครรภ์

อ่านต่อ >> “คนท้อง ปวดหัวไมเกรน อันตรายกับลูกหรือไม่ ?” คลิกหน้า 2

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

วิธีเพิ่มพัฒนาการทางสมองให้ลูกในท้อง ช่วงไตรมาสที่ 2

event

กำลังจะได้เป็นคุณแม่ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าแล้ว สำหรับนางเอกสาว  วิกกี้ สุนิสา ท้อง 4 เดือนเศษ แล้ว และว่าที่คุณพ่อป้ายแดงอย่าง “ชาย ชาตโยดม” หลังจากที่ทำให้แฟนๆ ได้ตื่นเต้นที่ทั้งคู่ประกาศออกสื่อว่าตัวเองได้ตั้งครรภ์เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา 

ซึ่งล่าสุด ว่าที่คุณแม่วิกกี้ ก็ได้โพสต์ภาพแรกของท้อง กับอายุครรภ์น้อยๆ ราวๆ 4 เดือนเศษ (19 Weeks 1 Day เมื่อวันที่ 9 พ.ย. 59) โดยมีว่าที่คุณพ่อชาย ได้บรรจงจูบครรภ์อย่างทะนุถนอม จนกลายเป็นภาพครอบครัวที่น่าเอ็นดู และเป็นการส่งต่อสายสัมพันธ์แห่งรักจากพ่อถึงลูกในท้องแม่ได้อย่างอบอุ่นมากๆ ทั้งนี้ก็ได้เวลานับถอยหลังอีกไม่กี่เดือน…ที่จะได้ยลโฉมทายาทคนแรกของคู่นี้แล้ว ซึ่งคาดว่าน่าจะมีกำหนดคลอดราวๆ เดือนมีนาคม 2560 ต่อไป

วิกกี้ สุนิสา ท้อง 4 เดือนเศษ

เรียกได้ว่าเป็นโมเมนต์แห่งสายสัมพันธ์ ส่งต่อความรักจากคุณพ่อถึงลูกน้อยในท้องคุณแม่ ที่ใครเห็นเป็นต้องยิ้มตามเลยล่ะค่ะ ^^

ทั้งนี้ในคุณแม่ที่มีอายุครรภ์ได้ 4 เดือนกว่า แบบนี้ คือการเริ่มก้าวเข้าสู่ ไตรมาสที่ 2 ซึ่งพลังวิเศษที่คุณแม่และคุณพ่อสามารถเพิ่มพัฒนาการทางสมองให้ลูกในท้อง ทำได้โดยง่ายดาย คือการพูดคุย เล่านิทาน ร้องเพลงหรือเปิดเพลงสบายๆ ให้ลูกฟัง เพื่อกระตุ้นพัฒนาการ การได้ยิน และเมื่อเข้าช่วงเดือนที่ 6 หูของทารกจะเริ่มทำงานได้เต็มที่ การพูดคุยกับลูกตั้งแต่ในครรภ์ นอกจากจะก่อให้เกิดความรัก ความผูกพัน และส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ลูกได้ผลดีมากแล้ว ยังเป็นการเสริมพัฒนาการด้านการได้ยิน ภาษาและอารมณ์ของลูกด้วย

อ่านต่อ >> “เรื่องที่แม่ท้องมือใหม่ในไตรมาสที่ 2 ควรรู้” คลิกหน้า 2

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

สีน้ำมูก

สีของน้ำมูก สามารถบอกสุขภาพของลูกได้

event
สีน้ำมูก
สีน้ำมูก

อากาศเริ่มเปลี่ยนแปลงแล้ว มีทั้งลมหนาว แดดออก และฝนเล็กๆน้อยๆ จึงทำให้เด็กเล็กที่มีภูมิต้านทานน้อย อาจเป็นหวัดมีน้ำมูกได้ แต่ถ้าไม่ได้เป็นหวัดแล้วมีน้ำมูก สีของน้ำมูก ก็สามารถ บอกได้เช่นกันว่าลูกของเรากำลังป่วยเป็นอะไร

สีของน้ำมูก บอกโรคได้

 

น้ำมูก ทำหน้าที่จับกับสิ่งต่างๆ ที่ปนมากับลมหายใจ เช่น สารก่อภูมิแพ้ และเชื้อโรค นอกจากนี้ในน้ำมูกยังมีสารต่อต้านเชื้อโรคอีกด้วย ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้ให้ความสนใจกับน้ำมูกหรือเสมหะ ทั้งของตัวเองและของลูกมากนัก แค่ขอให้สั่ง หรือเช็ดออกไปได้ ยิ่งเร็วเท่าไรก็ยิ่งดี … แต่เชื่อหรือไม่ ว่าสีของน้ำมูก หรือเสมหะนี้ สามารถบ่งบอกถึงโรค หรือภาวะสุขภาพของลูกน้อยได้

น้ำมูกมาจากไหน

ทางเดินหายใจและทางเดินอาหารของมนุษย์เรามีเยื่อบุทางเดินหายใจและทางเดินอาหาร ซึ่งมีต่อมสร้างน้ำมูก เมือก หรือเสมหะ ไม่ว่าจะเป็นจมูก ไซนัส โพรงหลังจมูก ช่องปาก ช่องคอ กล่องเสียง หลอดลม ซึ่งน้ำมูก เมือก หรือเสมหะ ทำหน้าที่ป้องกันอวัยวะภายใต้เยื่อบุจากสารพิษหรือสารระคายเคืองต่างๆ ทำให้อวัยวะดังกล่าวชื้นตลอดเวลา ถ้าเยื่อบุที่คลุมอวัยวะดังกล่าวแห้งจะทำให้อัตราเสี่ยงต่อการติดเชื้อสูงขึ้น

น้ำมูกหรือเมือกในทางเดินหายใจจะทำหน้าที่จับกับสิ่งต่างๆ ที่ปนมากับลมหายใจ เช่น สารก่อภูมิแพ้ (ไรฝุ่น ละอองเกสร) ควัน ฝุ่นบ้าน เชื้อโรค นอกจากนี้

ในน้ำมูกหรือเมือกยังมีสารต่อต้านเชื้อโรคด้วย เช่น แอนติบอดี เอนไซม์ เป็นต้น ทราบหรือไม่ว่าร่างกายมนุษย์เราสามารถผลิตน้ำมูกหรือเมือกได้มากถึง 2 ลิตรต่อวัน

สีของน้ำมูก

สีของน้ำมูก แบบไหน แปลว่าไม่สบาย

ในขณะที่ร่างกายแข็งแรงปกติ ก็อาจมีน้ำมูกได้ โดยเฉพาะในช่วงเช้า ๆ อาจจะมีน้ำมูกที่ค้างอยู่ในจมูกช่วงกลางคืน แต่เมื่อสั่งออกก็หมดไป แสดงว่าไม่ได้ป่วย แต่ถ้าน้ำมูกมีตลอดทั้งวัน สีข้นกว่าปกติ แสดงว่ามีอาการหวัด ถ้าเป็นหวัดธรรมดา (ไม่มีไข้) ประมาณ 2-3 วัน น้ำมูกก็จะหายไปเองตามธรรมชาติ (ไม่ต้องใช้ยา แต่ต้องดูแลให้ถูกหลักด้วย เช่น ไม่ดื่มน้ำเย็น พักผ่อนมาก ๆ ทำร่างกายให้อบอุ่น) แต่ถ้าเป็นมากกว่า 10 วัน ต้องระวังเรื่องภูมิแพ้ หรือไซนัสอักเสบ และไม่ควรปล่อยทิ้งไว้นาน ต้องรีบพาลูกไปหาหมอ เพราะอาจเรื้อรังเป็นโรคอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจได้อีก
เพื่อให้รู้ทันโรคที่มาจากน้ำมูก คุณพ่อคุณแม่ก็ควรสังเกตสีน้ำมูกหรือเสมหะ ของลูกน้อย ว่ามีสีอะไร ซึ่งสีนั้นก็อาจบ่งบอกถึงปัญหาเกี่ยวกับจมูกของลูกน้อยได้ และใช้วิธีนี้สังเกตดูกับคุณพ่อคุณแม่ได้เช่นกัน

1.สีใส

สีของน้ำมูก

น้ำมูกหรือเสมหะที่ใส มักประกอบด้วยน้ำ, แอนติบอดีที่ต่อต้านเชื้อโรค, เกลือ และโปรตีน  ส่วนใหญ่มักจะไหลลงคอ และเรามักจะกลืนลงไปในกระเพาะ ซึ่งสาเหตุเกิดจาก หวัด (เยื่อบุจมูกอักเสบ) หรือการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ หรืออาจเกิดจากโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้  ไวรัสมากระตุ้นทำให้เกิดการอักเสบของเยื่อบุจมูก ทำให้มีน้ำมูกใสๆ ไหลออกมา หรือไหลลงคอได้  สารก่อภูมิแพ้ก็เช่นเดียวกัน สามารถกระตุ้นเยื่อบุจมูกของผู้ป่วยที่เป็นโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ ทำให้มีการหลั่งของฮิสทามีน (histamine) ออกมา ซึ่งฮิสทามีนสามารถกระตุ้นต่อมสร้างน้ำมูกในเยื่อบุจมูกให้ผลิตน้ำมูกใสๆออกมาได้  การให้ยาต้านฮิสทามีน และการล้างจมูกด้วยน้ำเกลือสามารถบรรเทาอาการน้ำมูกที่ไหลออกมา หรือไหลลงคอได้

2.สีขาว

การที่น้ำมูกไหลออกมามีลักษณะหนา เหนียว และขาวขุ่น อาจเนื่องมาจาก การที่น้ำมูกถูกขังอยู่ในโพรงจมูกเป็นระยะเวลานาน จากเยื่อบุจมูกที่บวม นอกจากนั้นการที่เรารับประทานผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับนมมากเกินไป อาจทำให้น้ำมูกที่ออกมา หรือไหลลงคอ มีสีขาวขุ่นได้ เนื่องจากไขมันในผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับนม สามารถทำให้น้ำมูกสูญเสียความชุ่มชื้น ทำให้น้ำมูก หรือเสมหะมีลักษณะหนาและเหนียว และมีสีขาวขุ่นตามมาได้

อ่านต่อ >> สีของน้ำมูก แบบไหนบอกถึงโรคอะไร” คลิกหน้า 2

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

ช่วยชีวิต CPR

รู้ไว้ช่วยลูกรอด! คลิปสาธิตวิธี ช่วยชีวิต CPR เมื่อลูกหยุดหายใจ

Alternative Textaccount_circle
event
ช่วยชีวิต CPR
ช่วยชีวิต CPR

หากลูกน้อยประสบอุบัติเหตุ เป็นลมหมดสติ หรือหยุดหายใจ ในวินาทีชีวิตเช่นนี้ หากคุณพ่อคุณแม่ ไม่มีความรู้ วิธีช่วยชีวิต CPR ขั้นพื้นฐาน อาจทำได้เพียงโทรเรียกรถพยาบาล และนั่งรอ ซึ่งกว่าความช่วยเหลือจะมาถึง อาจสายเกินไป ไม่สามารถช่วยลูกน้อยได้ทัน เพราะหากลูกขาดออกซิเจนเพียง 5 นาที สมองก็เริ่มมีการสูญเสียแล้ว

 

ดังนั้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ต้องรู้ วิธีการทำ CPR เพื่อช่วยชีวิต เมื่อลูกน้อยหยุดหายใจอย่างถูกต้อง ซึ่งไม่ยากเลย เพียงทำตามคำแนะนำที่คุณหมอสอนไว้ในคลิปค่ะ

สำหรับการช่วยชีวิตเมื่อลูกหยุดหายใจนั้น มีวิธีการที่แตกต่างกันตามวัยของเด็ก โดยแบ่งเป็น เด็กทารก และเด็กโต

ช่วยชีวิต cpr ทารก

วิธี ช่วยชีวิต CPR เด็กทารก

ก่อนอื่นให้คุณแม่เช็คการตอบสนองของลูก โดยเรียกลูก หากไม่มีการตอบสนอง ให้เอียงหน้าเข้าไปใกล้ๆ เพื่อตรวจดูว่า มีการหายใจหรือไม่ หน้าอกมีการเคลื่อนเข้าเคลื่อนออกหรือเปล่า หากพบว่า ปากลูกสีคล้ำดำซีด เรียกไม่รู้สึกตัว ให้รีบทำการเป่าปากช่วยหายใจ และ ปั๊มหัวใจ ทันที โดยทำตามขั้นตอน ดังนี้

  1. เชยคางขึ้นเล็กน้อย เพื่อเปิดท่อหายใจ
  2. เอาปากคุณแม่ครอบทั้งปากทั้งจมูกของลูก
  3. เป่าลมเข้าไปในปอด 5 ครั้ง เพื่อให้ลมเข้าไปในปอด
  4. ปั๊มหัวใจ โดยเอานิ้วสองนิ้ว ลากจากรักแร้ไปกลางหน้าอก แล้วใช้สองนิ้วกด ลึก 1 ส่วน 3 กดทั้งหมด 30 ครั้ง (กด 2 ครั้งใน 1 วินาที)
  5. ให้ออกซิเจนลูกอีกครั้ง โดยเชยคางให้ลูกอ้าปาก เอาปากครอบทั้งปากทั้งจมูกอีกครั้ง เป่าลมเข้าปอด 2 ครั้ง
  6. ปั๊มหัวใจอีก 30 ครั้ง และเป่าปากอีก 2 ครั้ง วนไปเรื่อยๆ จนกว่า จะได้รับความช่วยเหลือ

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

ข้อแนะนำ หากคุณแม่อยู่คนเดียว ให้ช่วยเหลือลูกโดยทำข้อ 1-5 ก่อน แล้วค่อยโทรเรียกรถพยาบาล แล้วค่อยกลับมาทำข้อ 6 ต่อ

ในกรณีที่มีผู้อื่นอยู่ด้วย ให้คนหนึ่งช่วยเหลือลูก ส่วนอีกคนหนึ่งให้โทรเรียกรถพยาบาล หรือเตรียมรถเพื่อพาลูกไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด

ทั้งนี้ คุณแม่สามารถโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือทางการแพทย์จากรถพยาบาลกู้ชีพได้ โดยหากอยู่ในกรุงเทพมหานครให้ติดต่อเบอร์โทรศัพท์ 1646 หากเป็นจังหวัดอื่นๆ ให้ใช้เบอร์ 1669

ชมคลิปคุณหมอสอนวิธี ช่วยชีวิต CPR เด็กทารก แบบเต็มๆ ด้านล่างนี้ได้เลยค่ะ

สำหรับคุณแม่ที่มีลูกโตขึ้นมาหน่อย ชมคลิป วิธีช่วยชีวิต CPR เด็กโต คลิกหน้าถัดไป

เจ็บท้องหลอก

เจ็บท้องหลอก เจ็บท้องจริง แม่ท้องใกล้คลอดจะรู้ได้อย่างไร ?

Alternative Textaccount_circle
event
เจ็บท้องหลอก
เจ็บท้องหลอก

“เจ็บท้องหลอก เจ็บท้องจริง”…คนท้องที่อยู่ในช่วงอายุครรภ์เข้าไตรมาส 3 ของการตั้งครรภ์ มักจะกังวลเกี่ยวกับการคลอด และส่วนใหญ่ก็จะมีความสงสัยเกี่ยวกับการสัญญาณการคลอดว่า  เจ็บท้องหลอก เจ็บท้องจริง มีลักษณะสัญญาณอาการบ่งบอกแตกต่างกันอย่างไร  ทีมงาน Amarin Baby and Kids มีข้อมูลในเรื่องนี้มาฝากค่ะ

 

เจ็บท้องหลอก เจ็บท้องจริง

คนท้องส่วนใหญ่มีความกังวลปนความสงสัยว่า เมื่อถึงเวลาที่ครบกำหนดคลอดลูก ร่างกายจะมีการส่งสัญญาณให้รู้ได้อย่างไร จริงๆ แล้วเมื่ออายุครรภ์เข้าสู่ช่วงไตรมาส 3 ซึ่งเป็นสามเดือนสุดท้ายของการตั้งครรภ์ แม่ท้องจะรับรู้ถึงการเตือนจากร่างกายอย่างหนึ่งคือ “มีการเจ็บขึ้นมาที่ท้อง” ซึ่งการเจ็บท้องเป็นสัญญาณหนึ่งที่เตือนให้ทราบว่าการคลอดกำลังจะมาถึงในไม่ช้านี้แล้ว  ซึ่งการคลอด (Childbirth) เป็นกลไกทางธรรมชาติของร่างกายผู้หญิง ที่มดลูกจะบีบตัวในระยะเวลาที่เหมาะสม ก็เพื่อให้ทารกน้อยในครรภ์ ได้ออกมาจากครรภ์ของแม่ ตามทางการแพทย์แล้ว คนท้องจะต้องมีการคลอดที่เป็นปกติ ก็เมื่ออายุครรภ์ครบกำหนดคลอด

 

Good to know… “เจ็บท้องหลอกเกิดจากการที่มดลูกหดรัดตัว จนทำให้ปวดบริเวณท้องเท่านั้น  อาการปวดจะไม่สม่ำเสมอ คือ เป็นๆ หายๆ  ความถี่หรือความเจ็บปวดจะไม่รุนแรงมากขึ้น  ปวดแต่ละครั้งน้อยกว่า 50 – 80 วินาที”

 

อายุครรภ์ที่เหมาะสมจะคลอด

ตามหลักทางการแพทย์ อายุครรภ์ที่ปลอดภัยต่อการคลอด ที่ไม่มีอันตราย หรือภาวะแทรกซ้อนใดๆ ต่อแม่ท้อง และทารก ควรเป็นอายุครรภ์ที่ครบกำหนดอยู่ระหว่าง 37-41 สัปดาห์1

แม่ท้องที่ให้กำเนิดลูกก่อนกำหนด เด็กจะมีปัญหาปอดยังพัฒนาไม่สมบูรณ์เต็มที่ ยังขาดสารที่เคลือบถุงลม ทำให้เกิดถุงลมในปอดขยายได้ไม่เต็มที่ ส่งผลกระทบให้มีปัญหาเรื่องการหายใจ

คนท้องบางคนถามว่าแล้วถ้าไม่ได้คลอดก่อนหนด แต่คลอดเกินกำหนดจะมีปัญหาด้วยไหม ขอตอบเลยว่ามีอย่างแน่นอน ซึ่งการคลอดลูกในอายุครรภ์ของแม่ที่เกิดกำหนดคลอด ส่งผลให้รกมีโอกาสเสื่อม ไม่สามารถทำให้เลือดที่ส่งไปยังลูกลดลง ทารกจะเกิดปัญหาขาดออกซิเจนเรื้อรัง กระทบต่อพัฒนาการการเจริญเติบโตช้าในครรภ์ของแม่ได้ค่ะ

 อ่านต่อ >> “เจ็บท้องหลอก เจ็บท้องจริง จะรู้ได้อย่างไร ?” คลิกหน้า 2

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

บำรุงผิว ลูกน้อย

10 เคล็ดลับ บำรุงผิว ลูกน้อย ให้สวยใส สุขภาพดี มีออรา

Alternative Textaccount_circle
event
บำรุงผิว ลูกน้อย
บำรุงผิว ลูกน้อย

 “บำรุงผิว ลูกน้อย”…แน่นอนว่าสีผิวทุกสีย่อมมีความสวยงามในแบบฉบับของตัวเอง แต่สำหรับคุณแม่บางคนที่ให้ความสำคัญกับเรื่องผิวมากเป็นพิเศษ อยากปูพื้นฐานให้ลูกน้อยมีผิวเนียนนุ่มขาวผ่องเป็นยองใยตั้งแต่วัยเบบี๋ ทีมงาน Amarin Baby and Kids ได้รวบรวมเคล็ดลับ บำรุงผิว ลูกน้อย ให้สวยใส สุขภาพดี มีออรา มาไว้ให้คุณแม่ที่นี่แล้ว ลองอ่านและนำไปใช้กันดูนะคะ

 

บำรุงผิว ลูกน้อย ให้สวยใส สุขภาพดี มีออรา

สุดยอดเคล็ดลับ บำรุงผิว ลูกน้อย ตั้งแต่เบบี๋  เป็นเรื่องไม่ยากค่ะ เพราะนอกจากโภชนาการที่ดีมีประโยชน์ต่อสุขภาพทั้งภายใน ภายนอกของลูกน้อยแล้ว คุณแม่ก็สามารถที่จะเพิ่มการดูแลสุขภาพผิวภายนอกของลูกน้อยให้แข็งแรงมีสุขภาพดี ได้ด้วยเคล็ดลับความขาวนวลเนียนตามธรรมชาติที่ทำง่าย ช่วยให้ลูกน้อยมีผิวเนียนกระจ่างใส และเปล่งประกายออรามากยิ่งขึ้นค่ะ  … 10 เคล็ดลับบำรุงผิว ลูกน้อย มีดังนี้ค่ะ

บำรุงผิว ลูกน้อยเครดิตภาพ : google

1. มาส์กแป้งกรัม

–  ทำมาส์กบำรุงผิวให้ลูกเองด้วยสูตรนมสด+ขมิ้น+แป้งกรัม (แป้งกรัม เรียกอีกชื่อว่า แป้งถั่วลูกไก่ หรือแป้งเบซาน เป็นแป้งทำอาหารของชาวอินเดีย บังกลาเทศ)

–  พอกมาส์กลงบนผิวลูกเบาๆ ปล่อยทิ้งไว้ 10 นาที พอมาส์กเริ่มแห้ง ให้ใช้สำลีหรือผ้านุ่มๆ ชุบน้ำหมาดๆ เช็ดเนื้อมาส์กออก

ถ้าใช้เบบี้ออยล์อย่างเดียวในการดูแลผิว อาจทำให้ผิวลูกน้อยมันเกินไปจนเกิดผดผื่นขึ้นได้เมื่อเจออากาศร้อน ดังนั้น ใช้มาส์กผิวโฮมเมดสูตรที่แนะนำจะให้ผลดีกว่าค่ะ

2. ดื่มน้ำผลไม้

–  เมื่อลูกอายุมากกว่า 6 เดือนขึ้นไปแล้ว คุณแม่สามารถให้ลูกดื่มน้ำองุ่น ซึ่งเป็นวิธีบำรุงผิวแบบง่ายๆ ที่เน้นบำรุงจากภายใน

–  สารสกัดจากผลไม้ธรรมชาติจะช่วยทำความสะอาดเซลล์ผิวหนังชั้นนอก ทำใหผิวลูกดูสดใส และนุ่มขึ้นค่ะ

–  ผลไม้อื่น ๆ เช่น แอปเปิล ส้ม ก็ช่วยเพิ่มความสดใสให้ผิวได้เช่นกัน

หมายเหตุ : วิธีนี้ใช้ได้กับเด็กที่อายุเกิน 6 เดือนขึ้นไปแล้วเท่านั้น ห้ามป้อนน้ำผลไม้ให้เด็กอ่อนวัยแรกเกิดเด็ดขาด เพราะทารกแรกเกิดควรทานเพียงนมแม่อย่างเดียวเท่านั้นเพื่อเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงนะคะ

บำรุงผิว ลูกน้อย นวดน้ำมันอโรมาเครดิตภาพ : google

3. นวดน้ำมันอโรม่าอุ่นๆ

–  การนวดกระตุ้นด้วยน้ำมันอุ่นๆ เป็นเคล็ดลับบำรุงผิวแบบโบราณที่ทำให้ผิวกระจ่างใส เนียนนุ่ม และชุ่มชื้น

–  วิธีนี้เป็นการเคลือบเพิ่มชั้นความชุ่มชื้นให้แก่ผิวที่บอบบางของลูกน้อย และยังช่วยปรับสมดุลของน้ำมันในเซลล์ผิวอีกด้วย

–  หากนวดน้ำมันอุ่นๆ เป็นประจำ ผิวลูกน้อยจะเปล่งประกายสดใส ผิวขาวอมชมพู

–  น้ำมันที่เหมาะสำหรับนวดผิวลูกน้อย ได้แก่ น้ำมันอัลมอนด์ และน้ำมันมะกอก เป็นต้น

 

4. ครีมบำรุงผิวสูตรอ่อนโยน

–  เด็กแรกเกิดมีผิวที่บอบบางกว่าผิวผู้ใหญ่ถึง 10 เท่า แต่คุณแม่สามารถบำรุงผิวลูกให้เนียนนุ่มและขาวใสได้ด้วยครีมบำรุงผิวสูตรอ่อนโยนเป็นพิเศษ อย่างครีมบำรุงผิวที่เป็นสูตรออแกนิค

–  เตรียมส่วนผสมดังนี้ : ขมิ้น ไม้จันทน์ หญ้าฝรั่น และนมสด  ผสมทั้งหมดเข้าด้วยกันแล้วทาบางๆ ลงบนผิวลูก ปล่อยให้แห้งสัก 10-15 นาที แล้วใช้สำลีชุบน้ำเช็ดออกช้าๆ  ครีมบำรุงผิวสูตรนี้จะช่วยให้ผิวลูกน้อยเนียนใส และป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย

5. อย่าใช้สบู่

–  สบู่ที่มีฤทธิ์แรงเกินไปอาจทำให้ผิวลูกแห้งหรือลอกได้

–  คุณแม่สามารถทำครีมอาบน้ำให้ลูกได้เองโดยใช้นมสดผสมน้ำดอกกุหลาบ ลูบไล้ทำความสะอาดผิวลูกเบาๆ แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น

–  หรือจะใช้สบู่สำหรับเด็กทารกก็ได้ ผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กโดยเฉพาะจะมีส่วนผสมของโซเดียมน้อยกว่าของผู้ใหญ่ จึงไม่ทำร้ายผิวของเด็ก

อ่านต่อ >> “บำรุงผิว ลูกน้อย ให้สวยใส สุขภาพดี มีออรา” คลิกหน้า 2

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

รวม 18 ภาพสรีระ “หลังคลอด” ร่องรอยความผูกพันเพื่อลูก…แม่ยอมได้!

event

หนึ่งชีวิตที่เกิดมา คงไม่มีใครอดทนและเสียสละได้เท่ากับคนเป็นแม่อีกแล้ว เพราะนอกจากจะต้องอุ้มท้องลูกน้อยที่รักนาน 9 เดือนแล้ว เมื่อคลอดออกมา ความสวยของแม่ก็หายไป ที่เห็นได้ชัดคงเป็น หน้าท้องหลังคลอด กับร่องรอยที่เกิดขึ้น หากผ่าคลอดก็เป็นแค่รอยแผล แต่ถ้าคลอดเองนี่ซิ หน้าท้องที่แตกลายและเหี่ยวย่น อาจจะไม่กลับคืนมาเนียบเรียบเหมือนตอนก่อนตั้งครรภ์   แต่ก็ทิ้งไว้ให้เห็นถึงสิ่งที่แม่ยอม เพื่อลูกน้อยอันเป็นที่รัก

ซึ่งสำหรับรูปร่างและผิวพรรณของคุณแม่หลังคลอดนั้นหากใครโชคดี และดูแลดี ก็ไม่มีอะไรให้กังวล   แต่หากคุณแม่คนไหนโชคร้าย แม้ดูแลเป็นอย่างดีแล้ว หรือบางคนไม่มีเวลาดูแล  ผลที่เห็นก็คือภาพร่องรอยความผูกพันที่ลูกน้อยทิ้งไว้กับแม่หลังคลอดนั่นเอง

หน้าท้องหลังคลอด

และโดยส่วนใหญ่แล้วเรามักเห็นภาพถ่ายของ “ผู้หญิง” ที่ปรากฏตามสื่อทั่วไปเกือบทั้งหมด มักเน้นหุ่นของผู้หญิงที่มีรูปร่างดี มีส่วนเว้าส่วนโค้ง อาจจะเป็นหุ่นจริง หรือมีการตัดต่อ ตกแต่งผ่านเทคโนโลยีมากมาย  นั่นคือสิ่งที่สังคมส่วนใหญ่บอกว่าสวย และยอมรับ

แต่ Jade Beall ช่างภาพคนหนึ่งมีความคิดที่ต่างออกไป และอยากเปิดเผยให้ทุกคนได้เห็นสิ่งที่หลายคนคงไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก นั่นคือสรีระของคนเป็นแม่ในช่วงเวลา “หลังคลอด”  ที่อยากบอกให้ใครต่อหลายคนได้รู้ว่าหน้าท้องหลังคลอด หรือร่างกายหลังคลอดของคนเป็นแม่จริงๆ แล้ว ก็งดงามไม่แพ้ใครเลยทีเดียว

ซึ่งภาพถ่ายของเขานั้น แสดงให้เห็นความงามที่หลากหลายมากๆ ทั้งคุณแม่หลังคลอดที่ผอม อ้วน มีริ้วรอยเหี่ยวย่น  หน้าท้องลาย หย่อนคล้อย   เพื่อความตั้งใจว่า อยากเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้หญิงในโลก ความจริงที่สนใจความงามรูปแบบเดียวเกินไป และทำให้ผู้หญิงส่วนมาก ขาดความมั่นใจในความงามในแบบของตน และนั่นคือสิ่งสำคัญที่ Jade ต้องการผลักดัน ก็คือ การภูมิใจในความงามในแบบของตัวเอง นั่นเอง

เรามาดูภาพถ่ายอันงดงามของคุณแม่
“ หน้าท้องหลังคลอด ” เหล่านั้นกันเลยดีกว่า

หน้าท้องหลังคลอดหน้าท้องหลังคลอด หน้าท้องหลังคลอด

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

หน้าท้อง หลังคลอดหน้าท้อง หลังคลอด หน้าท้อง หลังคลอด

ชมต่อ >> ภาพถ่าย “หลังคลอด” ร่องรอยความผูกพันเพื่อลูก คลิกหน้า 2

อ่านต่อบทความน่าสนใจ คลิก!

15 ภาพคลอดลูก ที่บรรยายความงดงามของการให้กำเนิดได้ดีที่สุด
6 เคล็ดลับช่วยคุณแม่หลังคลอด ฟื้นตัวเร็ว
สุดมหัศจรรย์! คลิปทารกแรกเกิดกระดึ๊บออกจากท้องแม่เอง
วิตามิน

13 วิตามินที่ร่างกายของลูกน้อยขาดไม่ได้

Alternative Textaccount_circle
event
วิตามิน
วิตามิน

การได้รับ “วิตามิน” อย่างครบถ้วน คือการรับประทานอาหารที่หลากหลาย ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป เพราะวิตามินทุกชนิด มีความสำคัญที่ร่างกายขาดไม่ได้ แต่การได้รับวิตามินที่มากเกินพอดีก็จะส่งผลร้ายให้ร่างกายได้เช่นกัน มาดูข้อดี ข้อเสีย 13 วิตามินที่ร่างกายขาดไม่ได้ กันค่ะ

(more…)

คนท้อง นอนไม่พอ

แม่ท้องนอนไม่พอ กระทบลูกในท้องอย่างไร?

Alternative Textaccount_circle
event
คนท้อง นอนไม่พอ
คนท้อง นอนไม่พอ

การเปลี่ยนแปลงร่างกายของคุณแม่ท้อง เช่น อาการแพ้ท้อง ปวดปัสสาวะบ่อย ฝันร้าย ปวดเมื่อยไม่สบายตัว อึดอัด หายใจไม่สะดวก อาจทำให้เกิดปัญหา คนท้อง นอนไม่หลับ และอ่อนเพลีย จากการพักผ่อนไม่เพียงพอ ซึ่งการที่ คนท้อง นอนไม่พอ นั้นมีงานวิจัยชี้ว่า เป็นอันตรายต่อลูกในท้อง (more…)

เอาแต่ใจตัวเอง

เลี้ยงลูกอย่างไร? ไม่ให้เอาแต่ใจตัวเอง

Alternative Textaccount_circle
event
เอาแต่ใจตัวเอง
เอาแต่ใจตัวเอง

คุณเคยสังเกตบ้างไหมว่า คุณพ่อ คุณแม่ที่เลี้ยงลูกแบบตามใจ มักจะชอบทำอะไรให้ลูกน้อยทุกอย่างที่ลูกร้องขอ ทำให้ลูกขาดทักษะ และความเข้าใจโลกภายนอกที่แท้จริง การเอาใจลูกมากจนเกินไป และไม่คาดหวังให้ลูกพยายาม จนทำให้ลูกเกิดอาการที่เรียกว่า เอาแต่ใจตัวเอง ขึ้นได้

(more…)

เลี้ยงลูกให้เป็นคนดี ด้วย 12 วิธีกับบทแม่ใจร้าย

event

แม่ทุกคนต่างก็รักลูกตัวเองกันทั้งนั้น และต้องการ เลี้ยงลูกให้เป็นคนดี ซึ่งแต่ละคนก็มีวิธีการเลี้ยงที่แตกต่างกันออกไป บางคนเลือกวิธีแบบพูดดี ประนีประนอม บางคนอาจใช้ไม้แข็ง มีลงไม้ลงมือบ้างเพื่อให้ลูกจำ … แต่ก็ไม่มีแม่คนไหนที่อยากจะเห็นลูกของตัวเองเจ็บ เพราะเห็นลูกเจ็บทีไรคนเป็นแม่ก็ปวดใจยิ่งกว่าทุกที แต่บางครั้งถ้าคุณเห็นว่าลูกของคุณทำผิด คุณก็ต้องอดทนกลั้นใจลงโทษกันหน่อยนะคะ ถ้าอยากให้ลูกเติบโตเป็นคนดี และอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข

 

พ่อแม่ทุกคนนั้นก็หวังจะให้ลูกเป็นเด็กดี เชื่อฟังคำสั่งสอน เพื่อที่ในอนาคตเขาจะได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีในวันข้างหน้า ทว่าการเลี้ยงลูกที่ดีนั้นไม่ใช่แค่จะตามใจพวกเด็ก ๆ ไปเสียหมด พ่อแม่ต้องหัดดุหรือใจร้ายกับพวกเขาเสียบ้าง เพื่อสร้างนิสัยที่ดีให้กับลูกตั้งแต่ยังเล็ก Amarin Baby & Kids จึงขอแนะนำ 12 วิธี การเลี้ยงลูก ในแบบฉบับที่คุณแม่ต้องสวมบทบาทเป็นคุณแม่ใจร้ายกันบ้าง และถึงแม้การเลี้ยงลูกแบบนี้คุณแม่อาจจะต้องเห็นลูกร้องไห้งอแง แต่ก็ต้องอดทนนะคะ เพื่อฝึกให้เด็ก ๆ ได้รู้จักความอดทน และมีระเบียบวินัย สามารถเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีในอนาคตได้ค่ะ

12 วิธี เลี้ยงลูกให้เป็นคนดี และเป็นเด็กเก่ง ด้วยบทคุณแม่ใจร้าย

1. ส่งลูกเข้านอนตรงเวลา

การให้ลูกได้นอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มที่ และตรงเวลาที่เหมาะสม จะช่วยพัฒนาทั้งร่างกายและสมองได้อย่างมีศักยภาพ เพราะการนอนถือเป็นช่วงเวลาที่ลูกน้อยจะเจริญเติบโตได้เป็นอย่างดี เพราะโกรทฮอร์โมนจะหลั่งในเวลากลางคืน คุณแม่ไม่ควรให้เด็ก ๆ เข้านอนดึก เพราะนอกจากร่างกายไม่ได้หลั่งโกรทฮอร์โมนอย่างเต็มที่ แต่ยังจะสร้างนิสัยนอนดึกจนเคยตัวและไม่อยากตื่นนอนในเวลาเช้า ลามไปถึงไม่อยากตื่นไปโรงเรียนด้วยล่ะค่ะ

เลี้ยงลูกให้เป็นคนดี

2. ไม่ควรให้ลูกทานขนมหวานทุกวัน

แน่นอนว่าเด็ก ๆ ต้องชอบขนมของหวานกันเกือบทุกคน แต่คุณแม่ควรจะให้พวกเขาได้ทานเฉพาะตอนที่มีโอกาสพิเศษเท่านั้น เพราะนอกจากปัญหาเรื่องฟันผุแล้ว เด็ก ๆ อาจจะกินเยอะจนเคยตัว ส่งผลร้ายต่อสุขภาพของลูกได้ หรือจนอาจเป็นโรคเบาหวานไปในที่สุด

3. สอนให้ลูกเก็บเงินซื้อของด้วยตัวเอง

เวลาไปห้างสรรพสินค้ากับเจ้าตัวน้อยแล้วเดินผ่านมุมของเล่น แน่นอนว่าเด็ก ๆ จะต้องงอแงร้องอยากได้ตุ๊กตา รถบังคับ หรืออะไรก็ตามแต่ ซึ่งคุณแม่จะต้องสวมบทเป็นคุณแม่ใจร้ายไว้ทันที ห้ามใจอ่อนซื้อให้โดยเด็ดขาด และบอกลูกว่าถ้าอยากได้ของเล่นชิ้นนั้น ก็ต้องเก็บเงินค่าขนมวันละเล็กวันละน้อย ไว้ซื้อเอง เพื่อให้พวกเขารู้คุณค่าของเงิน และเกิดความภาคภูมิใจใจตัวเอง

เลี้ยงลูกให้เป็นคนดี

4. หัดให้ลูกช่วยเหลือตนเอง

เมื่อลูกเริ่มโตพอที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ คุณแม่ควรให้เขาหัดช่วยเหลือตัวเองในการทำกิจวัตรประจำวัน อย่างเช่น อาบน้ำ แต่งตัว ทานข้าว หรือแปรงฟัน เพราะเป็นการฝึกความคิด การตัดสินใจ อีกทั้งเด็กยังจะรู้สึกภาคภูมิใจเมื่อพวกเขาทำสำเร็จด้วยค่ะ

อ่านต่อ “เทคนิคการเลี้ยงลูกให้เป็นคนดีและเก่ง ด้วยบทคุณแม่ใจร้าย” คลิกหน้า 2

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

พ่อที่ดีของลูก คุณเองก็เป็นได้ ง่ายๆตามหลัก 5 ข้อ!

event

การเลี้ยงดูลูกของพ่อส่งผลต่อการพัฒนาของลูกอย่างมาก แต่พ่อมักถูกวางบทบาทให้เป็นผู้นำหาเลี้ยงครอบครัว ส่วนแม่คือคนที่เลี้ยงดูลูก ซึ่งจริงๆ แล้วการจะเป็น พ่อที่ดีของลูก เพียงทำกิจกรรมของพ่อร่วมกันกับลูกตั้งแต่เล็ก จะช่วยให้เด็กเติบโตอย่างสมวัยทั้งร่างกายและจิตใจ สามารถผ่านพ้นและแก้ปัญหาแต่ละช่วงวัยได้เหมาะสม

พ่อที่ดีของลูก ควรเป็นอย่างไร?

เนื่องจากลูกอายุ 1 – 3 ขวบ ถือเป็นช่วงที่มีความสำคัญในด้านความรัก ความอบอุ่น ขณะที่ช่วง 3 – 5 ขวบ เป็นช่วงแห่งการเรียนรู้ พ่อจึงเป็นแบบอย่างสำหรับลูกในการพัฒนาเติบโตสู่ช่วงวัยรุ่น การเป็นแบบอย่างที่ดีของพ่อ ที่เป็นได้ทั้งพ่อและเพื่อนให้กับลูก ย่อมทำให้ลูกเกิดความไว้วางใจ เมื่อมีปัญหาก็จะมาปรึกษา ความรัก ความผูกพันในครอบครัวจึงเป็นรากฐานสำคัญของความรู้สึกมั่นคงปลอดภัยและความรู้สึกมีคุณค่า  เด็กทุกคนไม่ว่าหญิงหรือชาย มักจะเป็นที่ยอมรับกันว่า พ่อ คือ ต้นแบบในการแสดงความเป็นเพศชายในลูกชาย และเป็นต้นแบบให้ลูกสาวเรียนรู้จากพ่อในการปรับตัวเข้ากับเพศตรงข้ามได้ดี

การเป็นพ่อที่ดีต้องมีหลักสังคมวิทยา และจิตวิทยาในการเข้าใจลูก ที่สำคัญควรทำตั้งแต่ลูกยังเล็ก โดยเฉพาะช่วง 1-3 ขวบ เพราะช่วงนี้มีความสำคัญมากในด้านความรัก ความอบอุ่น จริงอยู่ การเป็นพ่อที่ดีไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ทั้งนี้ในคัมภีร์ไบเบิลมีคำแนะนำที่ช่วยได้ ซึ่งมีคุณพ่อหลายคนพบว่าเขากับครอบครัวได้ประโยชน์เมื่อทำตามคำแนะนำเหล่านั้น แล้วคำแนะนำจากคัมภีร์ไบเบิลซึ่งช่วยให้คุณเป็นพ่อที่ดีได้ได้อย่างไร ไปดูกันค่ะ

1. ให้เวลากับครอบครัว

ในฐานะพ่อ คุณจะแสดงให้ลูกเห็นได้อย่างไรว่าพวกเขามีความสำคัญต่อคุณ? แน่นอนว่ามีหลายสิ่งที่คุณจะทำเพื่อลูกได้ รวมถึงการทำงานหนักเพื่อจัดหาอาหารและที่อยู่อาศัยให้พวกเขา. คุณคงไม่ทำอย่างนั้น ถ้าลูกๆไม่มีความหมายต่อคุณ. แต่ถ้าคุณไม่ให้เวลากับลูกมากพอ พวกเขาอาจคิดว่าคุณสนใจสิ่งอื่นมากกว่าตัวเขา ไม่ว่าจะเป็นงานอาชีพ เพื่อนฝูง หรืองานอดิเรก

พ่อควรเริ่มให้เวลากับลูกตั้งแต่เมื่อไร? ผู้เป็นแม่เริ่มสร้างสายสัมพันธ์กับลูกตั้งแต่ตอนที่ลูกอยู่ในท้อง. ประมาณ 16 สัปดาห์หลังจากปฏิสนธิ ทารกในครรภ์จะเริ่มได้ยินเสียง. พ่อสามารถสร้างความผูกพันกับลูกน้อยได้ตั้งแต่ตอนนี้. พ่ออาจฟังเสียงเต้นของหัวใจ สัมผัสแรงเตะ พูดคุย และร้องเพลงให้ลูกฟัง

คำแนะนำในคัมภีร์ไบเบิล: ในสมัยคัมภีร์ไบเบิล ผู้ชายมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงในการสอนลูก. ข้อคัมภีร์หลายข้อในคัมภีร์ไบเบิลสนับสนุนให้พ่อใช้เวลากับลูกเป็นประจำ เช่น พระบัญญัติ 6:6, 7 กล่าวว่า “ถ้อยคำเหล่านี้, ซึ่งเราสั่งไว้แก่เจ้าทั้งหลายในวันนี้, ก็ให้ตั้งอยู่ในใจของเจ้าทั้งหลาย และจงอุตส่าห์สั่งสอนบุตรทั้งหลายของเจ้าด้วยถ้อยคำเหล่านี้, และเมื่อเจ้าทั้งหลายจะนั่งอยู่ในเรือน หรือเดินในหนทาง, หรือนอนลง, และตื่นขึ้น”

ข้อคัมภีร์ที่อ้างถึง เฉลยธรรมบัญญัติ 6:6, 7
ให้สิ่งที่ผมสั่งคุณในวันนี้อยู่ในหัวใจของคุณ
ให้พร่ำสอนลูก ๆ ด้วยคำสอนนี้เมื่อคุณนั่งอยู่ในบ้าน เดินบนถนน นอนลงและลุกขึ้น

 

2. พ่อที่ดีต้องเป็นผู้ฟังที่ดี

ฟังลูกพูดอย่างใจเย็นโดยไม่ด่วนสรุป เพื่อจะสื่อสารกับลูกได้ดี คุณต้องตั้งใจฟัง. คุณต้องฝึกที่จะฟังโดยไม่แสดงปฏิกิริยามากเกินไป

ถ้าลูกคิดว่าคุณเป็นคนที่อารมณ์เสียง่ายและชอบตัดสินก่อนจะฟังเรื่องราวทั้งหมด เขาคงไม่อยากเปิดเผยความในใจกับคุณ. แต่ถ้าคุณฟังเขาอย่างใจเย็น คุณจะแสดงให้ลูกเห็นว่าคุณสนใจเขาจริงๆ จากที่ไม่อยากเล่าอะไรให้คุณฟังก็จะเปลี่ยนเป็นอยากพูดอยากบอกให้คุณรู้ว่าเขาคิดหรือรู้สึกเช่นไร  ซึ่งเป็นข้อมูลที่มีค่ายิ่งสำหรับคุณ

คำแนะนำในคัมภีร์ไบเบิล: คำแนะนำที่สุขุมในคัมภีร์ไบเบิลได้รับการพิสูจน์แล้วว่านำมาใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน. ตัวอย่างเช่น คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า “ทุกคนต้องไวในการฟัง ช้าในการพูด ช้าในการโกรธ” (ยาโกโบ 1:19) พ่อที่ทำตามคำแนะนำในคัมภีร์ไบเบิลจะสื่อสารกับลูกได้ดีกว่า

ข้อคัมภีร์ที่อ้างถึง ยากอบ 1:19
19 พี่น้องที่รัก จำไว้ว่า ทุกคนต้องไวในการฟัง ช้าในการพูด ช้าในการโกรธ

 

3. อบรมสั่งสอนด้วยความรักและการชมเชย

แม้แต่เมื่อคุณรู้สึกหงุดหงิดหรือโกรธ คุณควรสอนลูกด้วยความรักและให้เขารู้ว่าที่คุณทำเช่นนั้นก็เพื่อประโยชน์ของเขาเองในวันข้างหน้า  การอบรมสั่งสอนรวมถึงการให้คำแนะนำ ตักเตือนว่ากล่าว ให้ความรู้ และลงโทษเมื่อจำเป็น

นอกจากนั้น การอบรมสั่งสอนจะได้ผลดีกว่าถ้าพ่อชมเชยลูกเป็นประจำ  สุภาษิตโบราณกล่าวว่า “คำพูดที่เหมาะกับกาลเทศะเปรียบเหมือนผลแอปเปิลทำด้วยทองคำใส่ไว้ในกระเช้าเงิน” (สุภาษิต 25:11) การชมเชยช่วยให้เด็กมีกำลังใจที่จะพัฒนาคุณลักษณะที่ดีงามต่างๆ  เด็กจะมีความมั่นใจมากขึ้นเมื่อรู้ว่าพ่อแม่มองเห็นสิ่งดีๆในตัวเขาและถือว่าเขามีค่า  พ่อที่หาโอกาสชมเชยลูกเสมอจะช่วยสร้างความมั่นใจให้แก่ลูกและกระตุ้นเขาให้พยายามทำสิ่งที่ถูกต้องต่อๆไป

คำแนะนำในคัมภีร์ไบเบิล: “บิดาทั้งหลาย อย่ายั่วบุตรให้ขุ่นเคือง พวกเขาจะได้ไม่ท้อใจ”—โกโลซาย 3:21

ข้อคัมภีร์ที่อ้างถึง สุภาษิต 25:11
11 คำพูดที่เหมาะกับกาลเทศะเป็นเหมือนแอปเปิลทองคำในชามเงินแกะสลัก

ข้อคัมภีร์ที่อ้างถึง โคโลสี 3:21
21 คนที่เป็นพ่อ อย่ายั่วลูกให้โกรธ ลูกจะได้ไม่ท้อใจ

 

4. รักและให้เกียรติภรรยาของคุณ

วิธีที่พ่อทำหน้าที่ประมุขครอบครัวย่อมส่งผลต่อลูก  ผู้เชี่ยวชาญกลุ่มหนึ่งที่ศึกษาเรื่องพัฒนาการของเด็กอธิบายว่า “สิ่งดีที่สุดอย่างหนึ่งที่พ่อสามารถทำเพื่อลูกได้คือ ให้ความนับถือต่อผู้ที่เป็นแม่ของลูก. . . . ถ้าพ่อแม่มีความนับถือต่อกันและแสดงให้ลูกเห็น ลูกก็จะเติบโตเป็นเด็กที่มีความสุขและมั่นใจในความรักของพ่อแม่”—บทบาทของพ่อต่อพัฒนาการที่ดีของลูก

คำแนะนำในคัมภีร์ไบเบิล: “สามีทั้งหลาย จงรักภรรยาเสมอ . . . ให้พวกท่านแต่ละคนรักภรรยาเหมือนรักตัวเอง.”—เอเฟโซส์ 5:25, 33

ข้อคัมภีร์ที่อ้างถึง เอเฟซัส 5:25
25 ส่วนสามี ก็ให้รักภรรยาเสมอเหมือนที่พระคริสต์รักประชาคมและสละชีวิตเพื่อพวกเขา

 

5. ทำตามคำแนะนำที่สุขุมของพระเจ้า

พ่อที่รักพระเจ้าอย่างจริงใจสามารถให้มรดกอันล้ำค่าที่สุดอย่างหนึ่งแก่ลูก นั่นคือสายสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพระบิดาในสวรรค์

อันโตนโย พยานพระยะโฮวาที่พยายามเลี้ยงลูกจนเติบใหญ่ถึงหกคนได้รับจดหมายสั้นๆจากลูกสาวคนหนึ่งซึ่งเขียนว่า “พ่อคะ หนูอยากขอบคุณที่พ่อสอนให้หนูรักพระยะโฮวาพระเจ้า รักเพื่อนบ้าน และรักตัวเอง. สิ่งที่พ่อสอนทำให้หนูเติบโตขึ้นเป็นคนดี. พ่อทำให้หนูเห็นว่าพ่อรักพระยะโฮวาและรักหนูจริงๆ. ขอบคุณมากนะคะที่พ่อให้พระยะโฮวามาเป็นอันดับแรกในชีวิตของพ่อและปฏิบัติต่อลูกทุกคนเหมือนเป็นของขวัญจากพระเจ้า!”

คำแนะนำในคัมภีร์ไบเบิล: “เจ้าจงรักพระยะโฮวาพระเจ้าของเจ้าด้วยสุดใจ, สุดจิตต์ของเจ้า, และด้วยสิ้นสุดกำลังของเจ้า และถ้อยคำเหล่านี้, ซึ่งเราสั่งไว้แก่เจ้าทั้งหลายในวันนี้, ก็ให้ตั้งอยู่ในใจของเจ้าทั้งหลาย.”—พระบัญญัติ 6:5, 6

นอกจากห้าข้อที่กล่าวมาแล้ว การเป็นพ่อที่ดียังเกี่ยวข้องกับปัจจัยอื่นๆอีกหลายอย่างและต้องยอมรับความจริงว่า แม้คุณจะพยายามอย่างดีที่สุดแล้ว คุณก็ไม่อาจเป็นพ่อที่สมบูรณ์แบบได้. แต่ถ้าคุณแสดงความรักต่อลูกและพยายามดูแลเขาให้ดีที่สุด คุณจะเป็นพ่อที่ดีได้ อย่างแน่นอน.

ข้อคัมภีร์ที่อ้างถึงเฉลย ธรรมบัญญัติ 6:5, 6
5ให้รักพระยะโฮวาพระเจ้าของคุณสุดหัวใจ สุดชีวิต และสุดกำลัง 6  ให้สิ่งที่ผมสั่งคุณในวันนี้อยู่ในหัวใจของคุณ

อ่านต่อ >> “หน้าที่ของพ่อที่ควรปฏิบัติ เพื่อครอบครัว” คลิกหน้า 2

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

น้ำคร่ำน้อย อันตรายไหม

น้ำคร่ำน้อย อันตรายไหม

Alternative Textaccount_circle
event
น้ำคร่ำน้อย อันตรายไหม
น้ำคร่ำน้อย อันตรายไหม

น้ำคร่ำน้อย อันตรายไหม”… เชื่อว่าคนท้องทุกคนต่างก็อยากให้การตั้งครรภ์ตลอด 9 เดือนเป็นการตั้งครรภ์คุณภาพ แต่บางครั้งระหว่างการตั้งครรภ์ก็ไม่สามารถรู้ล่วงหน้าได้ว่าจะมีอาการแทรกซ้อนทางสุขภาพอะไรเกิดขึ้นบ้าง ทีมงาน Amarin Baby and Kids มีภาวะแทรกซ้อนทางสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นได้ระหว่างการตั้งครรภ์ นั่นคือภาวะน้ำคร่ำน้อย !!  อยากรู้ไหมว่า น้ำคร่ำน้อย อันตรายไหม  มีคำตอบที่นี่ค่ะ

 

น้ำคร่ำน้อย อันตรายไหม 

รู้ไหมว่า…น้ำคร่ำคืออะไร ? น้ำคร่ำ (Amniotic fluid) ที่ทางการแพทย์เรียกว่า น้ำทูนหัวทารก  น้ำคร่ำ เป็นของเหลวที่อยู่ในถุงน้ำคร่ำ ซึ่งทารกจะอาศัยอยู่ในถุงน้ำคร่ำที่เป็นเสมือนบ้านหลังแสนอบอุ่นของลูก ทารกน้อยจะลอยตัวอยู่ในถุงน้ำคร่ำ ที่เป็นเกราะป้องกันอันตรายต่างๆ ที่จะมากระทบกระเทือนต่อทารกให้รับบาดเจ็บ ยิ่งในอายุครรภ์อ่อนๆ เสี่ยงต่อการแท้งได้ง่าย

Good to know… “ภาวะน้ำคร่ำน้อย จะมีผลต่ออัตราการเสียชีวิตของทารกในครรภ์ โดยเฉพาะถ้าเกิดตั้งแต่อายุครรภ์น้อยๆ อัตราเสียชีวิตมากถึงร้อยละ 90”

 

น้ำคร่ำมีประโยชน์อย่างไรกับทารกน้อยในครรภ์ ?

  1. เป็นเกราะป้องกันอันตรายให้กับทารกในครรภ์

2. ป้องกันแรงกระแทกที่อาจได้รับจากภายนอกครรภ์

3. ช่วยรักษาอุณหภูมิคงที่ให้ทารกน้อยในครรภ์

4. ช่วยลดการกดทับสายสะดือจากตัวทารก

5. ช่วยให้ทารกเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ

 คุณแม่จะรู้ได้อย่างไรว่าน้ำคร่ำน้อย ?

ส่วนมากแล้วคุณแม่ท้องจะไม่รู้ว่าตัวเองมีน้ำคร่ำน้อยผิดปกติ การสังเกตว่าน้ำคร่ำน้อยหรือไม่นั้น ให้สังเกตดูที่ลักษณะการเติบโตของครรภ์ หากขนาดครรภ์ไม่โตขึ้นตามอายุครรภ์

อ่านต่อ >> “น้ำคร่ำน้อย เกิดจากอะไร ?” คลิกหน้า 2

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

โรคหน้าหนาว

โรคหน้าหนาว ที่ทุกคนในครอบครัวต้องระวัง

Alternative Textaccount_circle
event
โรคหน้าหนาว
โรคหน้าหนาว

หน้าหนาวมาเยือนทีไร ลูกน้อยไม่สบายทุกที  คุณพ่อ คุณแม่เป็นแบบนี้บ้างหรือเปล่า? เมื่ออากาศมีการเปลี่ยนแปลงจากฤดูฝน เป็นฤดูหนาว สภาพร่างกายของบางคนที่ยังปรับตัวไม่ทัน ประกอบกับความเย็นที่เป็นตัวเพาะเชื้อชั้นดี ในการกระจายไวรัส  จึงทำให้เกิด โรคหน้าหนาว ขึ้นมา

(more…)

keyboard_arrow_up