ตั้งครรภ์เมื่ออายุมาก

ข้อดี vs ข้อเสีย ของการ มีลูกเมื่ออายุมาก

Alternative Textaccount_circle
event
ตั้งครรภ์เมื่ออายุมาก
ตั้งครรภ์เมื่ออายุมาก

ในปัจจุบันผู้หญิง 1 ใน 5 เลื่อนการตั้งครรภ์ออกไปที่อายุ 35 ปีขึ้นไป จำนวนคุณแม่ที่มีลูกในวัย 40 เพิ่มขึ้นเท่าตัวจากเมื่อ 20 ปีที่แล้ว การเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้หญิงที่มีลูกช้าเช่นนี้ ทำให้เกิดคำถามว่า อายุเท่าไหร่ เรียกว่า แก่เกินไปที่จะมีลูก? และข้อดี ข้อเสียของการ มีลูกเมื่ออายุมาก เป็นอย่างไร?  Amarin Baby & Kids มีคำตอบให้คุณ ที่นี่ (more…)

9-น้ำผัก-น้ำผลไม้-เพื่อสุขภาพ-คนท้อง

9 น้ำผัก น้ำผลไม้ เพื่อสุขภาพ คนท้อง

Alternative Textaccount_circle
event
9-น้ำผัก-น้ำผลไม้-เพื่อสุขภาพ-คนท้อง
9-น้ำผัก-น้ำผลไม้-เพื่อสุขภาพ-คนท้อง

“น้ำผัก น้ำผลไม้ เพื่อสุขภาพ คนท้อง”…อยากสุขภาพดีไม่มีขาย ยิ่งถ้าเป็นแม่ท้องด้วยแล้ว อย่าให้ร่างกายเจ็บป่วยขึ้นมาระหว่างตั้งครรภ์เป็นดีที่สุด ทีมงาน Amarin Baby & Kids มี 9 น้ำผัก น้ำผลไม้ สุดยอดซูเปอร์ฟรุ้ต ที่รับรองว่าคนท้องดื่มแล้วดีต่อสุขภาพร่างกายของตัวเอง และลูกในท้องด้วยค่ะ

 

น้ำผัก น้ำผลไม้ เพื่อสุขภาพ คนท้อง

ในระหว่างตั้งครรภ์คนท้องมีความต้องการสารอาหาร รวมทั้งวิตามินและแร่ธาตุอย่างหลากหลาย ที่จำเป็นต่อสุขภาพร่างกายของแม่ท้องเอง และลูกน้อยในครรภ์  ซึ่งนอกจากอาหารหลัก 5 หมู่แล้ว ตลอดการตั้งครรภ์คุณแม่สามารถบำรุงร่างกายให้สดชื่น สุขภาพดีได้ด้วย น้ำผัก น้ำผลไม้ ที่อุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย  ไปดูกันค่ะว่า น้ำผัก น้ำผลไม้ เพื่อสุขภาพ คนท้อง อะไรบ้างที่ควรดื่ม…

 

น้ำผัก น้ำผลไม้ เพื่อสุขภาพ คนท้อง กับ 9 เครื่องดื่มซูเปอร์ฟรุ้ต ที่ดีกับสุขภาพของแม่และลูกน้อยในครรภ์ ดังนี้…

 

น้ำส้มคั้นเครดิตภาพ : momjunction / shutterstock

1.น้ำส้มคั้น

มื้อเช้าเพื่อเพิ่มความสดชื่นให้ร่างกาย แม่ท้องควรดื่มน้ำส้มคั้นสด ที่อุดมไปด้วยวิตามินซี และโพสแทสเซียม ที่ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย เป็นเหมือนเกราะป้องกันการเจ็บป่วยจากโรคหวัดได้อย่างดีเลยค่ะ  ยิ่งแม่ท้องคนไหนที่ยังมีอาการแพ้ท้องอยู่ แนะนำให้จิบน้ำส้มคั้นสดหลังตื่นนอน จะช่วยให้รู้สึกดีขึ้นจากอาการคลื่นไส้ อาเจียน

 

น้ำแครอทเครดิตภาพ : momjunction / shutterstock

2.น้ำแครอท

โอ๊ะ เอาแครอทมาฝาก อยากให้แม่ท้องได้กิน แครอทนั้นมีวิตามินเอ และวิตามินอี คุณแม่ท้องอยากให้ลูกในท้องมีสุขภาพสายตาที่ดี มีสุขภาพผิวสวยสดใสเปล่งปลั่ง ควรดื่มน้ำแครอทค่ะ ที่สำคัญน้ำแครอท ยังช่วยย่อยอาหาร และช่วยบรรเทาอาการท้องผูกระหว่างตั้งครรภ์ได้ดีอีกด้วย

 

น้ำบรีทรูทเครดิตภาพ : momjunction / shutterstock

3.น้ำบีทรูท

บีทรูทหัวแดงๆ ลองเอามาคั้นสด หรือปั่นเป็นสมูทตี้ดื่มบำรุงสุขภาพกันดูค่ะ น้ำบีทรูท อุดมไปด้วยธาตุเหล็ก ซึ่งขณะตั้งครรภ์ร่างกายของแม่ท้องมีความต้องการธาตุเหล็กอย่างมาก เพื่อป้องกันการเกิดภาวะโลหิตจาง  นอกจากนี้บีทรูทยังเต็มไปด้วยกากใยที่ดีต่อระบบการย่อยอาหารของคนท้องอีกด้วย

 

น้ำแอปเปิ้ลเครดิตภาพ : momjunction / shutterstock

4.น้ำแอปเปิ้ล

แอปเปิ้ลแดง หรือแอปเปิ้ลเขียว ถ้าเบื่อทานเป็นสลัด หรือผลไม้ของว่างระหว่างวัน ลองเอามาคั้นสด หรือทำเป็นสมูทตี้แอปโยเกิร์ตก็ได้ค่ะ น้ำแอปเปิ้ล อุดมไปด้วย วิตามินบี 1-6  แม่ท้องดื่มแล้วดีต่อสุขภาพ และช่วยในเรื่องของการเจริญเติบโตและพัฒนาการทางด้านสมองของทารกในครรภ์ล นอกจากนี้น้ำแอปเปิ้ล ยังมีธาตุเหล็ก ช่วยป้องกันการเกิดโรคโลหิตจางขณะตั้งครรภ์ มีแคลเซียม วิตามินซี ไฟเบอร์ กรดโฟลิก ที่ช่วยบำรุงร่างกายแม่ท้องให้มีสุขภาพดีตลอดการตั้งครรภ์

น้ำพีชเครดิตภาพ : momjunction / shutterstock

5.น้ำพีช

ผู้เขียนชอบดื่มน้ำพีชมาก อร่อยแถมมีประโยชน์ต่อร่างกาย ตอนท้องดื่มเกือบทุกวัน น้ำพีชอุดมไปด้วยธาตุเหล็ก โพแทสเซียม ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดภาวะโลหิตจางในคนท้อง และมีสรรพคุณช่วยล้างสารพิษในร่างกาย และช่วยทำให้กระเพาะปัสสาวะ และไตสะอาด ที่สำคัญช่วยลดอาการท้องผูกระหว่างตั้งครรภ์ได้ด้วยค่ะ

อ่านต่อ >> “น้ำผัก น้ำผลไม้ เพื่อสุขภาพ คนท้อง” คลิกหน้า 2

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

ของใช้ทารกแรกเกิด

ของใช้ทารกแรกเกิด 11 อย่างที่ไม่จำเป็นต้องซื้อ

Alternative Textaccount_circle
event
ของใช้ทารกแรกเกิด
ของใช้ทารกแรกเกิด

“ของใช้ทารกแรกเกิด”…เชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกเล็กวัยแรกเกิด คงเตรียมข้าวของเครื่องใช้กันไว้แล้วบ้าง แต่จะดีมากแค่ไหนหากก่อนซื้อเราได้คิดคำนวณให้รอบคอบว่าของใช้ทารกแรกเกิดอะไรบ้างที่ไม่จำเป็นซื้อมาใช้ ทีมงาน Amarin Baby & Kids มี ของใช้ทารกแรกเกิด 11 อย่างที่ไม่จำเป็นต้องซื้อ ช่วยให้พ่อแม่ลูกอ่อนมือใหม่ได้ประหยัดเงินในกระเป๋า และพื้นที่วางของในบ้าน มาฝากกันค่ะ

 

ของใช้ทารกแรกเกิด

เวลาเดินดูของที่แผนกเด็กอ่อน อะไรที่เป็นของน่ารักเป็นต้องอยากซื้อกลับมาทุกครั้งไป ซึ่งบางที่ข้าวของเครื่องใช้บางอย่างที่ซื้อมาก็ไม่ได้ใช้กับเจ้าตัวเล็กให้เกิดประโยชน์เลย มาค่ะ มาดูสักนิดว่า ของใช้ทารกแรกเกิด ที่ไม่จำเป็นเหล่านี้มีที่บ้านใครบ้าง…

 

เทอร์โมมิเตอร์วัดอุณหภูมิอ่างอาบน้ำเด็กอ่อนเครดิตภาพ : shutterstock

1. เทอร์โมมิเตอร์วัดอุณหภูมิอ่างอาบน้ำเด็กอ่อน 

คุณแม่บางคนอยากวัดอุณหภูมิน้ำอาบของลูกให้ตรงเป๊ะ แต่ความจริงแล้วเครื่องมือชิ้นนี้อาจไม่จำเป็นเท่าไรนัก ในเมื่อคุณแม่แค่เอามือ หรือหลังข้อศอกแตะน้ำที่เตรียมสำหรับอาบให้ลูกก็น่าจะรู้แล้วว่าน้ำร้อนหรือเย็นเกินไปสำหรับลูกหรือเปล่า เห็นไหมค่ะว่า เทอร์โมมิเตอวัดอุณหภูมิอ่างอาบน้ำเด็กอ่อนไม่จำเป็นเลยค่ะ

 

รองเท้าเด็กทารกเครดิตภาพ : shutterstock

2. รองเท้าเด็กทารก

เชื่อว่าเวลาที่ไปซื้อของใช้เตรียมไว้ให้ลูก นอกจากเสื้อผ้าที่จำเป็นแล้ว บางทีก็มีรองเท้าเด็กด้วยใช่ไหมคะ จริงๆ แล้วรองเท้าเด็กยังไม่ต้องรีบซื้อมาตั้งแต่แรก เพราะว่าเราจะให้ลูกเริ่มหัดเดินก็ตอนอายุ 1 ขวบครึ่งขึ้นไปแล้ว รอไว้ซื้อตอนลูกเริ่มหัดเดินน่าจะเกิดประโยชน์มากกว่าค่ะ

 

เก้าอี้เด็กทรงสูงเครดิตภาพ : shutterstock

3. เก้าอี้เด็กทรงสูง

เก้าอี้ทรงสูงสำหรับเด็กส่วนใหญ่เราจะเห็นตามร้านอาหาร แต่ถ้าที่บ้านไม่จำเป็นต้องซื้อมาค่ะ เพราะถ้าจะให้ลูกนั่งจริงๆ ก็แค่ประเดี๋ยวประด๋าวแล้วก็นึกอยากจะกระโดดลงจากเก้าอี้ ที่สำคัญเก้าอี้ทรงสูงไม่ได้มีความจำเป็นสำหรับลูกวัยทารกเลยค่ะ

 

4. ที่อุ่นขวดนม

ตามที่ใช้กันมาตั้งแต่รุ่นคุณแม่ เวลาที่จะอุ่นนมที่แช่เก็บไว้ให้ลูกกิน ก็จะแช่ขวดนมในน้ำร้อน แล้วนมก็จะอุ่นๆ ขึ้น เวลาดูดก็จะให้ความรู้สึกเหมือนดูดนมอุ่นๆ จากอกของแม่ค่ะ

 

5. กล่องเก็บผ้าอ้อม

เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย คุณแม่มักหาซื้อกล่องเก็บผ้าอ้อมมาใช้กัน เวลาหยิบผ้าอ้อมมาใช้ทีก็หยิบยากซะเหลือเกิน ถ้าจะให้หยิบใช้ผ้าอ้อมให้สะดวกและรวดเร็ว มาเก็บผ้าอ้อมในกระเป๋า หรือตะกร้าปกติ ก็จะสะดวกกว่ามากค่ะ

 

อ่านต่อ >> “ของใช้ทารกแรกเกิด ที่ไม่จำเป็นต้องซื้อ” คลิกหน้า 2

 

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

ประกันสังคม

สิทธิประกันสังคม กรณีคลอดบุตร ทั้งหมดที่แม่ท้องควรรู้!

event
ประกันสังคม
ประกันสังคม

สำหรับคุณพ่อหรือคุณแม่ที่มี สิทธิประกันสังคม กรณีคลอดบุตร ควรตรวจสอบสิทธิประโยชน์ที่คุณจะได้รับ ให้เรียบร้อยและครบถ้วน ว่าคุณมีสิทธิ์ที่จะได้หรือไม่ได้รับเงินส่วนไหนอย่างไรบ้างในแต่ละกรณีเมื่อคุณแม่ได้ตั้งครรภ์แล้ว

สิทธิประกันสังคม กรณีคลอดบุตร ที่แม่ท้องควรรู้

ในเรื่องของ สิทธิประกันสังคม กรณีคลอดบุตร ทางประกันสังคมได้ตั้งหลักเกณฑ์และเงื่อนไขเบื้อต้นไว้ ดังนี้

  1. เมื่อผู้ประกันตน (คุณพ่อหรือคุณแม่) จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 เดือน ภายใน 15 เดือนก่อนเดือนคลอดบุตร มีสิทธิเบิกค่าคลอดบุตรได้
  2. คลอดบุตรที่ใดก็ได้ ให้วินิจฉัยจ่ายค่าบริการทางการแพทย์เหมาจ่ายกรณีคลอดบุตรให้แก่ผู้ประกันตนในอัตรา 13,000 บาทต่อการคลอดบุตรหนึ่งครั้ง
  3. สำหรับผู้ประกันตนฝ่ายตัวคุณแม่เองมีสิทธิรับเงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตรเหมาจ่ายในอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้างเฉลี่ยเป็นระยะเวลา 90 วัน (ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเป็นการรับผิดชอบของบริษัทที่ตนทำงานอยู่)
  4. สำหรับการใช้สิทธิบุตรคนที่ 3 จะไม่ได้รับสิทธิเงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตรเหมาจ่ายในอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้างเฉลี่ยเป็นระยะเวลา 90 วัน

หมายเหตุ : กรณีสามีและภรรยาเป็นผู้ประกันตนทั้งคู่ให้ใช้สิทธิในการเบิกค่าคลอดบุตรรวมกัน ไม่จำกัดจำนวนบุตร/ครั้ง โดยบุตรที่นำมาใช้สิทธิเบิกค่าคลอดบุตรแล้วไม่สามารถนำมาขอรับค่าคลอดบุตรได้อีก

นอกจากนี้ยังมีกรณีที่ คลอดบุตรแล้วบุตรเสียชีวิต หรือแท้งบุตร หรือการขอเบิกเกี่ยวกับกรณีคลอดบุตรต่างๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่แม่ท้องหลายคนสงสัยว่าประกันสังคมจ่ายให้ด้วยหรือไม่ หรือจะคุ้มครองเราอย่างไร  รวมถึงเงินสงเคราะห์บุตรต่างๆที่คุณแม่ควรได้รับจะเป็นอย่างไร  Amarin Baby & Kids มีคำตอบมาให้ค่ะ

1.ในกรณีที่ผู้เป็นแม่คลอดบุตรออกมาแล้ว แต่บุตรเสียชีวิตในเวลาต่อมาทันที หรือหากคุณแม่ผู้ประกันตนตั้งครรภ์แล้วมีอายุครรภ์ 28 สัปดาห์ แต่ต่อมาแท้งบุตร สามารถเบิกค่าคลอดได้หรือไม่ และถ้าเป็นกรณีที่แม่ของเด็กไม่ได้ทำประกันสังคม (และไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน) แล้วพ่อมีสิทธิประกันสังคม จะสามารถใช้สิทธิ ได้หรือไม่อย่างไร

คำตอบ : การเบิกสิทธิการคลอด ผู้ประกันตน (ไม่ว่าพ่อหรือแม่) จะต้องอยู่ในสถานะความเป็นผู้ประกันตนขณะที่อยู่ระหว่างการตั้งครรภ์ และมีการนำส่งเงินสมทบตามเงื่อนไขในการเบิกสิทธิ ซึ่งหากบุตรเกิดมาแล้วเสียชีวิต ก็สามารถใช้สิทธิการเบิกได้ (การจดทะเบียนสมรสนั้น ไม่จำเป็นสำหรับฝ่ายหญิง แต่ถ้าเบิกส่วนของฝ่ายชายจะต้องจดทะเบียนหรือรับรองบุตร)

สรุปคือ ผู้ประกันตนมีสิทธิเบิกค่าคลอดบุตรเหมาจ่ายและเงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตรได้  เนื่องจากการตั้งครรภ์ไม่น้อยกว่า 28 สัปดาห์หรือ 7 เดือนขึ้นไป ไม่ว่าทารกจะมีชีวิตรอดหรือไม่ถือเป็นกรณีคลอดบุตร หากแต่ผู้ประกันตนจะยื่นเรื่องเบิกต้องมีใบมรณะบัตรของบุตรที่เสียชีวิตแนบมาด้วย ทั้งนี้หากผู้ประกันตนมีข้อสงสัยสามารถติดต่อสอบถามได้ที่สายด่วน 1506 หรือสำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่/จังหวัด ที่ใดก็ได้ที่สะดวก

อ่านต่อ >> “สิทธิประกันสังคม กรณีคลอดบุตร ที่แม่ท้องควรรู้” คลิกหน้า 2

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

บรรเทาความเจ็บปวดระหว่างคลอด

10 เทคนิคดี๊ดี ช่วยคุณแม่บรรเทาอาการเจ็บครรภ์คลอด

Alternative Textaccount_circle
event
บรรเทาความเจ็บปวดระหว่างคลอด
บรรเทาความเจ็บปวดระหว่างคลอด

คุณแม่อาจเคยได้ยินได้ฟังมาว่า การคลอดลูกนั้นเจ็บปวดที่สุดในชีวิต ทำเอาคุณแม่หลายท่านกลัวการคลอดลูก และอยากจะเลือกการผ่าคลอดแทน แต่อย่างที่ทราบดีว่า ข้อเสียของการผ่าคลอดนั้นก็มีไม่น้อย และการคลอดธรรมชาติ แม้จะเจ็บปวด แต่มีข้อดีต่อทั้งคุณแม่และลูกน้อยมากกว่าการผ่าคลอด ดังนั้น การเตรียมความพร้อมเรียนรู้ เทคนิคบรรเทาความเจ็บปวดระหว่างคลอด จะช่วยคุณแม่บรรเทาอาการเจ็บครรภ์คลอดได้ ซึ่ง Amarin Baby & Kids ได้รวบรวม วิธีบรรเทาความเจ็บปวดระหว่างคลอด มาไว้ให้คุณแม่ลองนำไปใช้กันค่ะ

อยากคลอดง่าย แม่ท้องต้องผ่อนคลาย

เหมือนจะพูดง่ายแต่ทำยากใช่ไหมคะ ชั่วโมงนี้เจ็บเจียนตาย จะผ่อนคลายได้อย่างไรกัน?…เรามาเพิ่มระดับความผ่อนคลาย รับมือกับอาการเจ็บท้องคลอด ด้วยเทคนิคต่อไปนี้

วิธีบรรเทาความเจ็บปวดระหว่างคลอด

นวดผ่อนคลาย บรรเทาเจ็บครรภ์คลอด

1. นวดผ่อนคลาย

คุณแม่อาจเตรียมอุปกรณ์เหล่านี้ใส่ไว้ในกระเป๋าเตรียมไปคลอด ได้แก่ น้ำมันนวด กระเป๋าน้ำร้อน ลูกกลิ้งนวดหลัง แป้งฝุ่น ฯลฯ โดยอาจให้คุณพ่อหรือญาติสนิทนวดบริเวณกระดูกสันหลัง ด้วยมือหรือลูกกลิ้งนวดหลัง เพื่อช่วยบรรเทาความเจ็บปวดในช่วงแรกของการเจ็บท้องคลอด ควรทาน้ำมันนวดหรือแป้งฝุ่นที่ผิวหนังของคุณแม่และมือผู้นวด เพื่อช่วยลดความแห้งกระด้างของผิว และวางกระเป๋าน้ำร้อนประคบไว้ที่บริเวณก้นกบ จะช่วยบรรเทาอาการปวดหลังของคุณแม่ได้

2. เติมความสดชื่น

บางช่วงระหว่างการเจ็บท้องคลอด คุณแม่อาจไม่อยากดื่มน้ำอะไรทั้งนั้น เพียงแค่อยากอมอะไรที่ช่วยให้พอชุ่มคอ เช่น น้ำแข็งก้อนละเอียดที่เตรียมไว้ในกระติก ถ้าคุณแม่อมน้ำแข็งไว้ในปากจะรู้สึกเย็นสบายและผ่อนคลายมากขึ้น หรือคุณแม่อาจใช้สเปรย์น้ำแร่ สำหรับใช้ฉีดหน้าหรือตามแขนขาเพื่อให้รู้สึกสดชื่นขึ้นในขณะเจ็บท้องคลอด

3. อ่านหนังสือ ฟังเพลง หรือเล่นเกม

หนังสือ นิตยสาร สมาร์ทโฟน หรือแท็บเล็ต ไว้ฟังเพลงสบายๆ หรือเอาไว้เล่นเกมต่าง ๆ เนื่องจากในระยะแรกของการเจ็บท้องคลอดมักใช้เวลานาน และอาจเป็นการรอคอยที่ทำให้คุณแม่เบื่อได้ หากมีอะไรทำเพลินๆ เพื่อช่วยเบี่ยงเบนความสนใจไปจากความเจ็บปวด ก็จะช่วยให้คุณแม่ลืมความเจ็บปวดไปได้บ้าง

วิธีลดอาการเจ็บท้องคลอด

4. นึกถึงสิ่งที่ทำให้มีความสุข

นอกจากโฟกัสที่ลมหายใจแล้ว คุณแม่อาจโฟกัสสิ่งที่ทำให้คุณมีความสุข เช่น ใบหน้าของสามีสุดที่รัก หรือนึกถึงภาพที่ชอบหรือทำให้มีกำลังใจ หรือจินตนาการว่าคุณแม่กำลังอยู่ในสถานที่ผ่อนคลาย เป็นต้น วิธีนี้จะช่วยเบี่ยงเบียนความสนใจคุณแม่ไปจากความเจ็บปวดได้เช่นกัน

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

อ่านต่อ ฝึกหายใจอย่างถูกวิธี ลดเจ็บปวดระหว่างคลอด คลิกหน้า 2

คลอดแล้ว “น้องออเกรซ” พ่อเปิ้ล พาพี่ 3 ออ มาให้กำลังใจพร้อมหน้า

event

น้องออเกรซ คลอดแล้ว “… ในที่สุดครอบครัว ‘ตัว อ.’ ของ เปิ้ล – นาคร ศิลาชัย และ แม่จูน กษมา ก็ได้ให้กำเนิดลูกสาว คนที่ 4 ตระกูลออ อย่างน้อง ออเกรซ หรือ ด.ญ. ศิริกร ศิลาชัย ด้วยวิธีผ่าคลอดที่โรงพยาบาลพระราม 9 (ในวันที่ 14 พ.ย. 59) ตามฤกษ์เวลา 9.09 น. ออกมาปลอดภัยทั้งแม่และลูก ซึ่งงานนี้คุณพ่อเปิ้ลได้โชว์ Live สด กลางห้องคลอดอย่างลุ้นระทึกพร้อมกับพี่ๆตะกูลออ ออกัส ออก้า ออกู๊ด ที่ใส่ชุดไทยให้เข้ากับเทศกาลลอยกระทง รอต้อนรับน้องคนเล็ก ออเกรซ อย่างใกล้ชิด

น้องออเกรซ คลอดแล้ว %e0%b8%9f%e0%b8%ab%e0%b8%81%e0%b8%9f%e0%b8%ab

ไปชมภาพบรรยากาศแห่งความปิติของครอบครัวศิลาชัยกันค่ะ

สดๆ ออเกรซคลอด 9.09

โพสต์โดย Ple Nakorn บน 13 พฤศจิกายน 2016

15036739_1220165501391385_4308200327752604039_nทางทีมงาน Amarin Baby & Kids ก็ขอแสดงความยินดีกับพ่อเปิ้ล แม่จูน และครอบครัวศิลาชัยด้วยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

และจากเคสของครอบครัวนี้ที่ลูกทั้ง 4 คน ก็อาจสร้างความสงสัยให้กับว่าที่คุณแม่มือใหม่ และมือเก่า (แม่ลูกหนึ่ง) หลายคน ว่า จริงๆแล้วการผ่าคลอดลูกนั้น จะสามารถผ่าได้กี่ครั้งกันแน่ แล้วมีลูกห่างกันเท่าไหร่ หรือการมีลูกติดๆ กันหลายคนจะมีปัญหาอะไรหรือไม่? วันนี้ Amarin Baby & Kids จึงมีคำแนะนำเกี่ยวกับความถี่ของการมีลูกและการผ่าคลอดลูกว่าจะผ่าได้กี่ครั้ง มาฝากคุณแม่ๆ กันค่ะ

ความถี่การมีลูก

ปัจจุบันคนทั่วไปต่างก็เข้าใจกันอย่างสุดซึ้งดีว่า การมีลูกมากๆ เกินกว่าฐานะครอบครัวตัวเองนั้น จะทำให้คนเป็นพ่อแม่ลำบากในการหาเงินหาทองมาเลี้ยงลูกของตนให้เจริญเติบโตอย่างสมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจ ซึ่งจะเห็นได้ว่ามุ่งไปที่ปัญหาด้านการเงินเศรษฐกิจภายในครอบครัวเป็นหลักใหญ่ โดยมิได้คำนึงถึงปัญหาด้านสุขภาพเลย ซึ่งความจริงแล้วการวางแผนครอบครัวหรือการคุมกำเนิดนี้ ไม่ใช่จะให้ประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจภายในครอบครัวเพียงอย่างเดียว แต่ยังเกี่ยวพันไปถึงปัญหาทางด้านสุขภาพของทั้งพ่อแม่ และเด็กในท้องอีกด้วย

ยิ่งในสมัยเศรษฐกิจฝืดเคืองนี้ คู่สามีภรรยาควรจะมีลูกเพียง 2 คน หรืออย่างมากไม่ควรเกิน 4 คน โดยให้มีเพศชายหรือหญิงได้ตามต้องการ เมื่อก่อนนี้ปัญหาการเลือกเพศตามที่ต้องการเป็นเรื่องยากลำบาก แต่ในยุคนี้ความเจริญทางด้านการแพทย์ช่วยเหลือได้ โดยคิดค้นวิธีการที่จะสามารถกำหนดการตั้งท้องให้คลอดออกมาเป็นลูกชายหรือหญิงได้ตามต้องการ ปัญหาการมีลูกตามดวงจึงหมดไป

ทั้งนี้เรื่องความถี่ในการมีลูกคุณหมอแนะนำว่า ควรเว้นช่วงห่างอย่างน้อย 2 ปี ก่อนมีลูกคนถัดไป เพราะการมีลูกถี่เกินไป เพิ่มความเสี่ยงต่อสุขภาพของแม่และลูก ซึ่งหากมีลูกติดกันน้อยกว่า 2 ปีต่อคน อาจส่งผลตามมามากมาย

อ่านต่อ >> เหตุที่ควรมีลูกห่างกันคนละ 2 ปี” คลิกหน้า 2

แม่ท้องกินยาแก้ปวด ลูกเสี่ยงพฤติกรรมผิดปกติ

Alternative Textaccount_circle
event

คุณพ่อ คุณแม่คงทราบว่า ยาแก้ปวด ลดไข้ เช่น แอสไพริน (Aspirin) และไอบูโปรเฟน (Ibuprofen) เป็นยาที่แม่ท้องห้ามรับประทาน คุณแม่หลายคนจึงหันมารับประทานยาที่ปลอดภัยแทน คือ พาราเซตามอล แต่ถ้ารับประทานมากเกินไป อาจมี ผลข้างเคียงจากยาแก้ปวด ได้เช่นกัน

(more…)

เพิ่มน้ำหนักลูกในท้อง

เพิ่มน้ำหนักให้ลูกในท้อง แม่ทำได้ด้วย 5 วิธี

event
เพิ่มน้ำหนักลูกในท้อง
เพิ่มน้ำหนักลูกในท้อง

มีคุณแม่ที่ท้องส่วนใหญ่หลายคนมักจะกังวลเรื่อง น้ำหนักของลูกในครรภ์ เพราะกลัวว่าเมื่อคลอดออกมาลูกจะตัวเล็ก หรือน้ำหนักน้อยกว่าเกณฑ์ จึงสรรหาวิธีทางที่จะ เพิ่มน้ำหนักให้ลูกในท้อง โดยการทานอาหารเพื่อเข้าไปเพิ่มน้ำหนักให้ลูกเพื่อคลอดออกมาจะได้มีน้ำหนักตามเกณฑ์

การ เพิ่มน้ำหนักให้ลูกในท้อง

 

โดยปกติเด็กทารกช่วงแรกเกิด มีค่าเฉลี่ยน้ำหนักตัวอยู่ที่ 2.8-3.2 กิโลกรัม  สำหรับคุณแม่ที่คลอดตามกำหนด แต่ก็มีคุณแม่บางคนที่คลอดลูกตามกำหนดแต่น้ำหนักตัวทารกแรกเกิดน้อยกว่า 2.5 กิโลกรัม ซึ่งถือว่าอยู่ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน แต่ทารกในครรภ์บางคนถึงแม้จะมีขนาดเล็กก็จริง แต่ร่างกายกลับสมบูรณ์แข็งแรง เนื่องด้วยสุขภาพของคุณแม่ และการเลือกกินอาหาร ในความเป็นจริง ขนาดของทารกในครรภ์ ไม่จำเป็นต้องตัวใหญ่มากนัก เพราะจะลำบากในตอนคลอด แต่ควรดูเรื่องสุขภาพของคุณแม่ และการเต้นของหัวใจลูกเป็นสำคัญ เด็กทารกที่มีน้ำหนักตามเกณฑ์เมื่อครบกำหนดคลอดคือ 2500-3500 กรัม ค่ะ

ซึ่งถ้าลูกตัวเล็กแต่แข็งแรงก็ดีไป แต่ก็มีคุณแม่หลายคนที่อยากเห็นลูกน้อยแรกเกิดของตัวเองทั้งแข็งแรงและจ้ำม่ำ อุดมสมบูรณ์ไปพร้อมๆ กัน ทั้งนี้การเพิ่มน้ำหนักลูกในท้อง นั้นเริ่มต้นที่เพิ่มตัวคุณแม่ก่อนนะคะ ควรทานอาหารให้ครบห้าหมู่ตามหลักโภชนาการและเน้นอาหาร ที่มีโปรตีน และดื่มนม เสริมด้วย

เพิ่มน้ำหนักให้ลูกในท้องเหตุที่ทารกในครรภ์น้ำหนักน้อย

หากน้ำหนักตัวของทารกในครรภ์ประมาณ 2 กิโลกรัมกว่า ซึ่งอาจดูจะน้อยกว่าปกติ ทั้งนี้สาเหตุของการเจริญเติบโตช้าของทารกอาจเกิดจากสาเหตุทางพันธุกรรม เช่น

  • คุณพ่อคุณแม่ตัวเล็ก ทารกก็จะตัวเล็กด้วย
  • ทารกมีความผิดปกติทางโครโมโซม
  • มีการติดเชื้อตั้งแต่อยู่ในครรภ์
  • คุณแม่มีการติดเชื้อขณะตั้งครรภ์ เช่น หัดเยอรมัน เป็นต้น
  • คุณแม่มีโรคหรือความผิดปกติในขณะตั้งครรภ์ เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคธัยรอยด์หรือเบาหวานที่ควบคุมไม่ได้ โรคที่พบจะส่งผลต่อความผิดปกติของเนื้อรก ทำให้เนื้อรกมีตะกอนแคลเซียมมาเกาะจำนวนมาก ส่งผลให้การไหลเวียนเลือดที่บริเวณเนื้อรกผิดปกติ จนเป็นสาเหตุที่ทำให้ทารกมีขนาดเล็กกว่าปกติได้
  • แม่มีอายุน้อย หรือยังเป็นวัยรุ่นอยู่ก็จะทำให้ลูกมีน้ำหนักตัวน้อยได้
  • แม่สูบบุหรี่ กินเหล้า ใช้สารเสพติด
  • ท้องลูกแฝด (เพราะอยู่กันเบียดๆ ไม่ใช่เพราะแย่งอาหารกัน)

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

จะรู้ได้อย่างไรว่า ทารกในครรภ์น้ำหนักเท่าไหร่

การที่คุณแม่ท้องจะสามารถทราบขนาดและน้ำหนักของลูกน้อยในท้องได้นั้น จะวัดขนาดจากการอัลตร้าซาวด์แล้วคุณหมอสามารถประเมินขนาดทารกได้จากสิ่งเหล่านี้ค่ะ

  • ขนาดของหน้าท้องที่นูน หรือ ยื่นออกไปด้านหน้าหรือด้านข้าง
  • น้ำหนักตัวของคุณแม่ที่เพิ่มขึ้น
  • น้ำคร่ำมากหรือน้อย
  • ตั้งครรภ์แฝดหรือไม่
  • ทารกลอยต่ำหรือสูง

คุณแม่บางคนที่มีหน้าท้องใหญ่อาจเกิดจากปัญหาสุขภาพ เช่น เบาหวาน และถ้าคุณหมอประเมินจากวิธีต่าง ๆ แล้ว และพบว่าทารกมีขนาดน้อยกว่าเกณฑ์ คุณหมอจะแนะนำเรื่องโภชนาการให้คุณแม่เลือกนำไปปฏิบัติเพื่อให้น้ำหนักของลูกมีน้ำหนักที่พอดี ไม่มากและไม่น้อยเกินไป ซึ่งถ้าหาก ทารกในครรภ์มีน้ำหนักน้อย จะเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนดมากค่ะ

อ่านต่อ >> วิธีเพิ่มน้ำหนักให้ลูกในท้อง” คลิกหน้า 2

ระบบการศึกษาจากฟินแลนด์

ระบบการศึกษาใหม่ที่ดีที่สุดในโลกจากฟินแลนด์

Alternative Textaccount_circle
event
ระบบการศึกษาจากฟินแลนด์
ระบบการศึกษาจากฟินแลนด์

ในประเทศฟินแลนด์ซึ่งเป็นประเทศที่ได้ชื่อว่ามีระบบการศึกษาอันดับ 1 ของโลก ให้ความสำคัญเรื่องความเสมอภาคทางการศึกษา โดยไม่มีการเก็บค่าเล่าเรียนสำหรับนักเรียน ล่าสุด ระบบการศึกษาจากฟินแลนด์ ได้มีการปรับปรุงใหม่ โดยมีการยกเลิกการเรียนการสอนแบบเดิมๆ

(more…)

สี ปัสสาวะ บอก โรค

สี ปัสสาวะ บอก โรค ได้อย่างไร?

Alternative Textaccount_circle
event
สี ปัสสาวะ บอก โรค
สี ปัสสาวะ บอก โรค

“สี ปัสสาวะ บอก โรค”…คุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกเล็ก อย่าได้เมินเฉยกับสุขภาพของลูก เพราะต่อให้เราดูแลทะนุถนอมเขาดีมากแค่ไหน บางครั้งการเจ็บป่วยก็เกิดขึ้นได้จากเรื่องใกล้ตัว อย่างเรื่องของปัสสาวะ  !! ทีมงาน Amarin baby and  kids จะพาคุณพ่อคุณแม่มาสังเกตดูสีของฉี่ลูกน้อยกันค่ะ อย่าเพิ่งทำหน้างง ว่า สี ปัสสาวะ บอก โรค ได้อย่างไรกัน ที่นี่มีคำตอบให้ค่ะ

 

สี ปัสสาวะ บอก โรค

ของเหลวที่ถูกขับถ่ายออกจากร่างกายทุกวัน นั่นก็คือ ปัสสาวะ หรือ Urine คือ ของเหลวจากร่างกายที่ผ่านการกรองจากไต เพื่อกำจัดออกจากร่างกาย โดยการขับถ่ายผ่านระบบทางเดินปัสสาวะ จากไตสู่ท่อไต สู่กระเพาะปัสสาวะ ท่อปัสสาวะ และขับออกนอกร่างกายเราในทุกวัน1

 

สี ปัสสาวะ บอก โรค : ปัสสาวะที่ปกติมีลักษณะอย่างไร ?

ปัสสาวะที่ปกติจะต้องปลอดเชื้อ การขับถ่ายปัสสาวะในแต่ละวันอยู่ที่ประมาณ 1-2 ลิตร ซึ่งจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น การดื่มน้ำ อาหาร สภาพอากาศ การออกกำลังกาย และสุขภาพ เป็นต้น  สีของปัสสาวะที่ปกติ จะมีสีเหลืองอ่อน ทั้งนี้หากในแต่ละวันดื่มน้ำมาก สีของปัสสาวะจะจางลงออกไปทางไม่มีสี หรือหากดื่มน้ำน้อย สีปัสสาวะจะออกมาสีเหลืองเข้ม  ส่วนกลิ่นของปัสสาวะปกติจะไม่มีกลิ่นค่ะ

 

Good to know… “ในหนึ่งคนจำนวนปัสสาวะที่ถ่ายออกมาจะอยู่ที่ประมาณ  3-5 ครั้งต่อวัน ซึ่งถือเป็นการขับถ่ายปัสสาวะที่ปกติ ” 

 

เด็กๆ กับการขับถ่ายปัสสาวะ

– เด็กทารกแรกเกิด 0-1 เดือน ทารกจะถ่ายปัสสาวะบ่อยเนื่องจากทานนมแม่ เด็กบางคนจะปัสสาวะวันละ 5-6 ครั้ง หรือบางคนอาจจะวันละ 10 ครั้ง
– เด็กอายุ 1-6 ขวบ จะถ่ายปัสสาวะวันหนึ่งไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามส่วนของหนึ่งลิตร (ประมาณ 1 แก้วครึ่ง) และไม่ควรมากกว่าหนึ่งลิตร2
– เด็กอายุ 6 ถึง 12 ขวบ ควรถ่ายปัสสาวะวันหนึ่งไม่น้อยกว่าครึ่งลิตรและไม่ควรเกินสองลิตร
– สำหรับผู้ใหญ่ จะถ่ายปัสสาวะวันละเกือบลิตร แต่ไม่ควรเกินสองลิตรต่อวัน

อ่านต่อ >> “สี ปัสสาวะ บอก โรค ได้อย่างไร ?” คลิกหน้า 2 

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

10 เคส เลี้ยงลูกดี แต่กลับทำให้เป็นเด็กมีปัญหา

Alternative Textaccount_circle
event

ประสบการณ์จากเด็กพิเศษ ..  น้องเชาว์ ซึ่งเป็นเด็กพิเศษแอสเพอร์เกอร์ (กลุ่มออทิสติก) มีอาชีพเป็นคุณครูสอนพิเศษให้กับเด็กๆ เขาจึงมีประสบการณ์ในการพบปะเด็กๆ หลายรูปแบบ และเขาเองก็พบกับปัญหาในตัวเด็กๆ เหล่านั้น ที่พ่อแม่ เลี้ยงลูกดีเกินไป จนกลายเป็นเด็กมีปัญหา

(more…)

ลำไส้อักเสบ

ลำไส้อักเสบ เพราะกินอาหารเสริมก่อนวัยอันควร

Alternative Textaccount_circle
event
ลำไส้อักเสบ
ลำไส้อักเสบ

จากประสบการณ์ของคุณแม่ ที่ออกมาเล่าประสบการณ์ เมื่อลูกน้อยวัย 3 เดือนกว่า ต้องนอนโรงพยาบาลตั้งแต่ยังเล็ก คนเป็นแม่แทบใจสลาย เมื่อเห็นลูกร้องไห้ อาเจียน ท้องแข็ง เพราะคุณแม่บังคับให้ลูกรับประทานอาหารเสริม ตั้งแต่ 3 เดือน ป้อนมาเป็นเดือน จนลูกน้อย ลำไส้อักเสบ

(more…)

สี อุจจาระ ทารก

สี อุจจาระ ทารก บอกอะไรได้บ้าง ?

Alternative Textaccount_circle
event
สี อุจจาระ ทารก
สี อุจจาระ ทารก

“สี อุจจาระ ทารก”…รู้ไหมคะว่า การสังเกตสุขภาพของทารกวัยแรกเกิด คุณพ่อคุณแม่สามารถสังเกตได้จาก สีของอุจจาระ ! ใช่ค่ะได้ยินไม่ผิดหรอกที่บอกว่า สี อุจจาระ ทารก สามารถบอกได้ถึงสุขภาพของลูก…ทีมงาน Amarin Baby & Kids จะมาชวนพ่อแม่มือใหม่หัดสังเกต สี อุจจาระ ทารก ว่าแต่ละสีบอกให้ทราบถึงสุขภาพลูกได้อย่างไรบ้าง

 

สี อุจจาระ ทารก

ในช่วง 2-3 วันแรกหลังคลอด ทารกน้อยจะถ่ายขี้เทาสีดำอมเขียวออกมา  เนื้ออุจจาระจะเนียนละเอียดและเหนียว หลังจากนั้นอุจจาระจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลและเหลือง ทารกจะถ่ายอุจจาระทันทีหลังจากกินนมแม่อิ่ม  ทารกที่กินนมแม่จะถ่ายอุจจาระวันละหลายครั้ง ทารกแรกเกิดในช่วง 2-3 สัปดาห์ อุจจาระที่ถ่ายออกมาอาจมีสีเหลืองทอง เป็นน้ำ คล้ายแป้งเปียกหรือซุปฟักทอง

 

Good to know…“ขี้เทา คือ อุจจาระที่ค้างอยู่ในลำไส้ของทารกแรกเกิด ขี้เทาเกิดจากสิ่งต่างๆ ที่ทารกกลืนเข้าไปในช่วงที่อยู่ในครรภ์ของแม่ ขี้เทา ประกอบด้วย เซลล์ผนังลำไส้ที่ตายแล้ว เมือกต่างๆ เศษผมและขนของทารก น้ำคร่ำ น้ำดี น้ำ”1

 สี อุุจจาระ ทารก
เครดิตภาพ : shutterstock

สี อุจจาระ ทารก ที่กินนมแม่มีลักษณะอย่างไร ?

ถ้าคุณแม่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ สีอุจจาระจะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย ซึ่งคุณแม่สามารถสังเกตได้ตามนี้ค่ะ …

:: 0-2 วัน อุจจาระแรกจะมีลักษณะหนา มีสีดำออกเขียว
:: 3-4 วัน อุจจาระมีความเหนียวน้อยลง  และเหลวมากขึ้น มีสีน้ำตาลอมเหลือง
:: 4-6 วัน อุจจาระมีลักษณะนิ่มมาก และเหลว  มีสีเหลือง
:: 7-28 วัน อุจจาระมีลักษณะนิ่ม และเหลว มีสีเหลือง

เด็กที่ทานนมแม่สีอุจจาระก็จะประมาณนี้ค่ะ ถือว่าปกติ ไม่มีอะไรน่ากังวล  จริงๆ แล้วในช่วงตั้งแต่แรกเกิดการที่ให้ลูกได้ทานนมแม่ ลูกจะได้ประโยชน์จากน้ำนมเหลืองที่เป็นน้ำนมระยะหัวนม (colostrums) ซึ่งมีฤทธิ์เป็นยาระบาย อ่อนๆ ทำให้ขี้เทาถูกขับถ่ายออกมาสะดวก ช่วยลดปัญหาตัวเหลืองของทารกแรกเกิดด้วยค่ะ

 

Good to know… “ทารกที่ทานนมผงสีอุจจาระจะเป็นสีเหลืองและสีเขียวเหมือนเด็กที่ทานนมแม่ แต่สีจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอ่อนเร็วขึ้นเมื่อเทียบกับอุจจาระจากนมแม่ ลักษณะอุจจาระจะแข็งตัวมากกว่าและจะติดอยู่บนผิวผ้าอ้อม กลิ่นอุจจาระไม่แรงมาก”

 อ่านต่อ >> “สี อุจจาระ ทารก บอกสุขภาพ” คลิกหน้า 2 

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

ยาแก้ไอ เด็ก ใช้อย่างไรให้ปลอดภัย

ยาแก้ไอ เด็ก ใช้อย่างไรให้ปลอดภัย

Alternative Textaccount_circle
event
ยาแก้ไอ เด็ก ใช้อย่างไรให้ปลอดภัย
ยาแก้ไอ เด็ก ใช้อย่างไรให้ปลอดภัย

“ยาแก้ไอ เด็ก”…อากาศช่วงอากาศเปลี่ยน  เริ่มเข้าหน้าหนาวแบบนี้ ทำให้เด็กๆ เจ็บป่วย เป็นหวัด ไอเจ็บคอกันมาก เวลาลูกมีอาการไอ แต่ไม่มีไข้ พ่อแม่สามารถซื้อยาแก้ไอ เด็ก ตามร้านขายยาให้กินได้เลย หรือต้องตามที่คุณหมอสั่งเท่านั้น !! ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการใช้ ยาแก้ไอ เด็ก อย่างไรให้ปลอดภัย มาฝากกันค่ะ

 

ยาแก้ไอ เด็ก

เวลาลูกๆ มีอาการไอแห้งๆ หรือไอแบบมีเสมหะ เห็นแล้วน่าสงสารมาก ยิ่งตอนนอนช่วงกลางคืนนี่แทบไม่ได้นอนกันเลย  เอาเป็นว่าก่อนที่จะเข้าเรื่องการใช้ ยาแก้ไอ เด็ก เราไปทำความรู้จักกับอาการไอ กันสักนิดค่ะ … “อาการไอเป็นกลไกการตอบสนองของร่างกายอย่างหนึ่งต่อสิ่งผิดปกติในทางเดินหายใจ และเป็นกลไกป้องกันที่สำคัญของร่างกายในการกำจัดเชื้อโรค เสมหะหรือสิ่งแปลกปลอมในทางเดินหายใจ รวมทั้งเป็นอาการที่นำผู้ป่วยมาพบแพทย์ได้บ่อยที่สุด นอกจากนี้อาการไอยังเป็นทางที่สำคัญในการแพร่กระจายของการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ”1

 

Good to Know… รู้ไหมว่า อาการไอแบ่งเป็น 2 ชนิด คือ ไอฉับพลัน คือ มีระยะเวลาของอาการไอน้อยกว่า 3 สัปดาห์ และ ไอเรื้อรัง คือ มีระยะเวลาของอาการไอมากกว่า 3 สัปดาห์ ถึง 8 สัปดาห์”2

 ยาแก้ไอ เด็ก
เครดิตภาพ : shutterstock

ยาแก้ไอ เด็ก :  อาการไอที่เกิดจากการเป็นหวัด…

พอเป็นหวัดที่ไร ร่างกายก็จะได้ของแถมมาด้วยนั่นคือ อาการไอ ซึ่งมักเกิดขึ้นพร้อมกันตอนเป็นหวัด หรือไม่ก็อาจมีอาการไอหลังจากอาการหวัดเริ่มหาย อาการไอ ที่แหละที่สร้างความรำคาญให้อย่างมาก ยิ่งถ้าเป็นกับเด็กๆ พ่อแม่นี่อยากจะไอแทนลูกเลยค่ะ เพราะเวลาเด็กๆ ไอน่าสงสารมาก บางทีไอจนน้ำหูน้ำไหลเลยก็มี  การสังเกคอาการไอส่วนใหญ่จะพบว่าเป็นการไอแบบแห้งๆ กับการไอแบบมีเสมหะ
การไอแห้งๆ เป็นอาการไอที่เกิดจากหลอมลมมีการอักเสบหรือระคายเคือง จึงกระตุ้นให้เกิดอาการไอโดยที่ไม่มีเสมหะ3
– การไอแบบมีเสมหะ
เป็นกลไกของร่างกายที่พยายามกำจัดของเสียหรือสิ่งแปลกปลอมที่สร้างความระคายเคือง ซึ่งก็คือเสมหะ ให้ออกไปจากหลอดลม4

 

คุณพ่อคุณแม่พอจะทราบกันคร่าวๆ แล้วว่าอาการไอนั้นเกิดจากอะไร ที่นี้พอมีอาการไอ ยาที่ทุกคนมองหาเพื่อรักษาและบรรเทาอาการไอ ก็คงหนี้ไม่พ้น ยาแก้ไอ ซึ่งครั้งนี้เราจะมาพูดถึง ยาแก้ไอ เด็ก กันค่ะ เพราะยังมีการใช้ยาที่ไม่ถูกต้องกันอยู่มากพอสมควร จากที่เห็นกันอยู่บ่อยๆ คือ พอลูก หรือคนในครอบครัวไอ ก็เดินไปซื้อยาแก้ไอ จากร้านขายหน้าปากซอยมากินกัน ซึ่งจริงๆ แล้วก็ไม่ผิดหรอกค่ะ ที่จะซื้อยาแก้ไอมาทานกันเอง เพราะยาแก้ไอในปัจจุบันก็คือว่าเป็นยาสามัญประจำบ้านไปแล้ว แต่ข้อควรระวังในการใช้ยาแก้ไอ นั่นมีอยู่ด้วยค่ะ  เพราะถ้าใช้ยาแก้ไอไม่ถูกต้อง ก็อาจกลายเป็นยาเสพติด หรือการใช้ยาแก้ไอ เกินขนาด ส่งผลกระทบเป็นอันตรายต่อชีวิตได้เหมือนกันค่ะ

อ่านต่อ >>  “ยาแก้ไอ เด็ก ใช้อย่างไรให้ปลอดภัย” คลิกหน้า 2

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

เล่นนอกบ้าน

“เล่นนอกบ้าน” สร้างลูกน้อยสมองดี-อารมณ์ดี ในวัยขวบปีแรก

Alternative Textaccount_circle
event
เล่นนอกบ้าน
เล่นนอกบ้าน

ในช่วงขวบปีแรกของลูกน้อย  เราพาเขาออกมา เล่นนอกบ้าน กันนะคะ เพราะนอกจากเบบี๋จะได้เรียนรู้โลกกว้างอย่างสนุกสนานแล้ว เขายังได้พัฒนาทักษะสำคัญต่างๆ อีกด้วย กิจกรรมการเล่นนอกบ้านต่อไปนี้สามารถนำไปใช้กับเบบี๋วัย 0-12 เดือน ได้เลยค่ะ (more…)

สอนเด็กทำกระทง แสนง่าย จากวัสดุธรรมชาติ 3 สไตล์

event

ประเพณี วันลอยกระทง มีทุกปีซึ่งตรงกับวันเพ็ญ เดือน 12 หากคุณพ่อคุณแม่ต้องการพาลูกไปลอยกระทง เรามีวิธี สอนเด็กทำกระทง แบบง่ายๆ มาแนะนำค่ะ

(more…)

แม่ให้นมลูก ดื่มน้ำร้อน น้ำเย็น

แม่ให้นมลูก ดื่มน้ำร้อน น้ำเย็น ได้ไหม ?

Alternative Textaccount_circle
event
แม่ให้นมลูก ดื่มน้ำร้อน น้ำเย็น
แม่ให้นมลูก ดื่มน้ำร้อน น้ำเย็น

“แม่ให้นมลูก ดื่มน้ำร้อน น้ำเย็น”…เชื่อว่าคุณแม่ที่กำลังเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ จะต้องเจอกับคำเตือน กึ่งความเชื่อเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกกันมาบ้างพอสมควร อย่างแม่ให้นมลูก มักจะถูกห้ามไม่ให้ดื่มน้ำเย็นเพราะน้ำนมแม่จะไม่ไหล แต่ให้ดื่มน้ำร้อน น้ำอุ่น เพราะจะช่วยให้น้ำนมแม่ไหลดี  …จึงเกิดคำถามขึ้นในใจว่า การดื่มน้ำร้อน น้ำเย็น มีผลกับน้ำนมแม่ด้วยจริงหรือ ??   ทีมงาน Amarin Baby and Kids มีคำตอบที่น่าสนใจในเรื่องนี้มาฝากค่ะ

 

แม่ให้นมลูก ดื่มน้ำร้อน น้ำเย็น

หากจะว่าไปแล้ว การดูแลโภชนาการอาหารการกินในช่วงเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เป็นเรื่องสำคัญกับแม่ให้นมลูกอย่างมากค่ะ  เพราะร่างกายของแม่ต้องการสารอาหารที่มีประโยชน์ไปใช้ซ่อมแซมฟื้นฟูบำรุงร่างกายที่สึกหรอไปจากช่วงที่ตั้งครรภ์ แล้วสารอาหารที่ได้นั้นยังถูกเก็บสะสมไว้เพื่อให้ร่างกายของแม่ใช้ในการผลิตน้ำนมออกมามีคุณภาพ และมีปริมาณมากเพียงพอสำหรับการเลี้ยงลูกอีกด้วย

แล้วถ้าจะพูดถึงแหล่งอาหารที่มีส่วนช่วยในการบำรุงร่างกายของแม่ให้นมลูก สามารถผลิตน้ำนมออกมาอย่างเพียงพอ ที่นอกเหนือจากการทานอาหารกลุ่ม 5 หมู่เป็นหลักแล้ว คุณแม่ก็ยังมีอาหารสมุนไพร อย่าง ขิง ใบกะเพราะ กุยช่าย  ใบแมงลัก หัวปลี พริกไทย มะรุม ฟักทอง ใบตำลึง และก็มีผลไม้ อย่าง แก้วมังกร ส้มโอ มะละกอ พุทรา อินทผลัม ฯลฯ  ซึ่งอาหารสมุนไพรกลุ่มนี้เหมาะกับผู้หญิงที่กำลังอยู่ในช่วงให้นมลูกมากค่ะ  นอกจากนี้ช่วงให้นมลูกแม่ยังต้องดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวันด้วย สำหรับแม่ให้นมลูก ควรเพิ่มการดื่มน้ำสะอาดเป็นวันละ 2-3 ลิตร เพราะถ้าหากร่างกายขาดน้ำ จะส่งผลให้น้ำนมแม่ลดลงได้ค่ะ

ร่างกายแม่ผลิตน้ำนมได้อย่างไร ?…

ถ้าจะอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ เลยก็คือ ร่างกายผลิตน้ำนมขึ้นมาตามกลไกธรรมชาติที่สร้างให้ร่างกายผู้หญิงเหมาะกับการอุ้มท้อง และมีน้ำนมให้ลูกกิน  ร่างกายของผู้หญิงผลิตน้ำนมได้ เพราะการถูกกระตุ้น จากการให้ลูกดูดนม การปั๊มนมทั้งจากมือ และการใช้อุปกรณ์ในการปั๊ม การกระตุ้นอย่างสม่ำเสมอจะช่วยเพิ่มฮอร์โมนสร้างน้ำนมโปรแลคติน (prolactin) ทำให้น้ำนมแม่เพิ่มขึ้นได้  แต่หากแม่ขี้เกียจ และขาดวินัยในการกระตุ้น น้ำนมที่ผลิตในต่อมน้ำนมก็จะลดน้อยลง จนกลายเป็นน้ำนมแห้ง ไม่มีน้ำนมให้ลูกกิน

 

อ่านต่อ >> “แม่ให้นมลูก ดื่มน้ำร้อน  น้ำเย็น ได้ไหม ?” คลิกหน้า 2

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

สปอยล์ลูก มากไป ระวังลูกนิสัยเสีย!

event

สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่รักลูกมากๆ ก็จะเปรียบลูกเป็นเสมือนแก้วตาดวงใจ ไม่ว่าสิ่งที่ดีสุดสำหรับลูก คุณพ่อคุณแม่ก็พร้อมที่จะตามใจและสรรหามาให้ด้วยความรักและความห่วงใยที่มีทั้งหมด โดยที่ไม่คาดคิดเลยว่า การตามใจมากจนเกินพอดีนั้น จะส่งผลร้ายแก่ลูกมากมาย

 

การปล่อยให้เด็กๆ ได้สิ่งที่ต้องการโดยไม่บอกถึงเหตุและผลให้พวกเขาได้เข้าใจ หรือเรียกว่า การ”สปอยล์” ลูก  อาจก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ  ทำให้ลูกเกิดนิสัยเสียขึ้นมาได้ ซึ่งปัจจุบันมีพ่อแม่จำพวกนี้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนน่าตกใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพ่อแม่ครอบครัวชนชั้นกลาง หรือครอบครัวที่มีฐานะดีขึ้นมาหน่อย  ครอบครัวที่ว่านี้มีโอกาสสร้างลูกให้เป็นเด็กสปอยล์เป็นอย่างมาก

ทำไมพ่อแม่ถึง สปอยล์ลูก มากไป

สาเหตุหลัก ๆ ก็มาจากพ่อแม่ยุคนี้มีค่านิยมที่ต้องการมีลูกคนเดียว หรืออย่างมากก็มีลูกไม่เกินสองคน ยิ่งแนวโน้มหนุ่มสาวแต่งงานกันเมื่ออายุมากขึ้นเพิ่มจำนวนมากเท่าไร โอกาสที่จะมีลูกยากก็เพิ่มมากขึ้นไปด้วย ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นกลุ่มพ่อแม่ที่พร้อมจะสปอยล์ลูกทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ เพราะมีเป้าหมายจะดูแลลูกให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ยิ่งมีลูกยากก็จะยิ่งกลายเป็นลูกหัวแก้วหัวแหวนของพ่อแม่ไปโดยปริยาย

ซึ่งพ่อแม่ในกลุ่มนี้มักจะตอบสนองลูกในทุกเรื่อง ตั้งแต่แรกเกิดก็จะประคบประหงม ไม่ยอมให้ลูกร้องไห้ ไม่ยอมให้หิว บางทีลูกยังไม่ทันได้รู้สึกหิวด้วยซ้ำ บางคนหนักถึงขั้นลูกเกิดมาไม่เคยรู้สึกหิวเลยก็มี เพราะจะเตรียมให้ลูกไม่ได้ขาด ลูกอยากได้สิ่งใดก็ตามใจลูก ไม่อยากให้ลูกเสียใจหรือร้องไห้ อยากได้อะไรก็มักจะได้ เรียกว่ายุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม ไม่ยอมให้ลูกเจ็บตัวเด็ดขาด

สปอยล์ลูก

เมื่อเด็กเรียนรู้ว่าทุกคนรักเขา และให้ความสำคัญกับเขา เขาก็เรียนรู้วิธีต่างๆ ได้มากมายกว่าที่ผู้ใหญ่อย่างเราๆ คิด บางครั้งเขาเรียนรู้ว่าถ้าลงไปนอนดิ้นกับพื้นเมื่อไร พ่อแม่จะต้องตอบสนองสิ่งที่เขาต้องการได้ หรือพ่อแม่บางคนจะทนไม่ได้เมื่อเห็นลูกร้องไห้ กลัวลูกไม่รัก หรือต้องการตัดความรำคาญก็ตอบสนองความต้องการของลูกทันที เด็กก็ยิ่งจดจำวิธีการเหล่านั้น เพราะลูกฉลาดพอที่จะรู้ว่าจะต้องทำอะไรอย่างไรกับใครถึงจะได้สิ่งที่ตนเองต้องการนั่นเอง

ยิ่งถ้าพ่อแม่ต้องทำงานนอกบ้านทั้งสองคน ส่วนมากมักจะรู้สึกผิด ก็เลยไม่ค่อยปฏิเสธลูก ลูกอยากได้อะไรก็ยอม ซึ่งบ่อยครั้งการตอบสนองจะออกมาในรูปของวัตถุมากกว่า โดยหารู้ไม่ว่า ได้กลายเป็นการสะสมบ่มเพาะนิสัยที่ไม่ดีหลายๆ อย่างให้เกิดขึ้นในตัวลูก

แต่หากคุณพ่อคุณแม่ยังไม่ยอมรับ หรือไม่รู้ตัวว่าคุณสปอยล์ลูก มากเกินไป Amarin Baby & Kids มีสัญญาณเตือนของเด็กนิสัยเสีย อันเนื่องมาจากการถูกพ่อแม่สปอยล์มากเกินไป มาให้ดูกัน ดังนี้ค่ะ

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

สัญญาณเตือนลูกเริ่ม ‘นิสัยเสีย’ เพราะพ่อแม่สปอยล์มากเกินไป

1. มีอารมณ์ร้อนเกรี้ยวกราดบ่อยครั้ง

หากหนูน้อยเริ่มมีอาการหงุดหงิดบ่อยๆ กรีดร้อง เกรี้ยวกราด ชักสีหน้าแสดงอาการให้รู้ว่าไม่พอใจ นับเป็นหนึ่งอาการที่เป็นสัญญาณเตือนแล้วว่า ลูกเริ่มถูกสปอยล์มากไปแล้วค่ะ

2. เถียงคำไม่ตกฟาก

คำนี้เราๆ คงได้ยินมาแต่โบราณรุ่น ปู่ ย่า ตา ยาย หากมีเด็กพูดเถียง ไม่ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองทำผิด หรือผู้ใหญ่พูดเตือนอะไรแล้วเถียงกลับทันที แบบนี้ที่เขาเรียกว่าเถียงคำไม่ตกฟาก เป็นการแสดงอาการของเด็กที่ไม่น่ารัก แต่ถ้าลูกน้อยไม่ได้ทำผิดแล้วพยายามอธิบาย นับว่าเป็นคนละสาเหตุกันนะคะ

3. จอมบงการ

หากพ่อแม่ที่มัวแต่ตามใจลูกจนทำให้ทุกอย่าง หรือจ้างพี่เลี้ยงส่วนตัวดูแลทุกฝีก้าว จนลูกไม่สามารถทำอะไรได้เองเลยนั้น เมื่อถึงเวลาที่คุณอยากให้ลูกลองทำสิ่งใหม่ๆ ดูบ้าง ลูกจะไม่ยอมที่จะทำเผลอๆ จะสั่งกลับให้คุณทำให้แทนเสียด้วยซ้ำ

4. ทำพ่อแม่ขายหน้าเมื่ออยู่ในที่สาธารณะ

เมื่อคุณสปอยล์ลูกมากเกินไป อาการเหล่านี้จะตามมาแน่นอน เช่น หากลูกกรีดร้องอยากได้สิ่งของที่ชอบ หรือขนมที่ถูกอกถูกใจ แต่เมื่อไม่ได้จะแสดงอาการร้องไห้ กรีดร้อง ลงไปนอนดิ้นกับพื้น เพื่อเรียกร้องความสนใจทันที แล้วถ้าคุณให้สิ่งของกับลูกทันทีเพื่อตัดปัญหานั้นๆ  จะยิ่งทำให้ลูกเคยชินเข้าไปอีกว่า ถ้าแสดงอาการแบบนี้พ่อแม่จะรีบให้สิ่งที่ตนอยากได้ทันที  อาการนี้เรียกว่าถูกสปอยล์มากไปแล้วค่ะ

อ่านต่อ >> “สัญญาณเตือนลูกเริ่ม ‘นิสัยเสีย’ เพราะพ่อแม่สปอยล์มากเกินไป”
คลิกหน้า 2

keyboard_arrow_up