อาการข้างเคียงจากการฉีดวัคซีน

อาการข้างเคียงจากการฉีดวัคซีน

เป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้เลยเมื่อเด็กแรกคลอดมาแล้ว จะต้องเริ่มฉีดวัคซีน การฉีดวัคซีนเป็นการเพิ่มภูมิคุ้มกันโรคให้กับร่างกายลูกในวัยทารกตั้งแต่แรกคลอด ซึ่งหลังจากฉีดวัคซีน อาจพบได้ว่าลูกจะมี อาการข้างเคียงจากการฉีดวัคซีน ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีข้อควรสังเกตถึงอาการข้างเคียงหลังจากลูกฉีดวัคซีนแต่ละชนิด มาให้ได้ทราบกันค่ะ

 

อาการข้างเคียงจากการฉีดวัคซีน

การฉีดวัคซีนให้กับเด็กๆ นั้นจะเริ่มกันตั้งแต่แรกเกิดไปจนอายุ 12 ขวบเลยค่ะ แน่นอนว่าลูกจะเจ็บเหมือนถูกมดกัดกันไปอีกประมาณสิบกว่าปี   แน่นอนว่าเด็กๆ ไม่อยากถูกฉีดวัคซีนกันเลยถ้าเลือกได้ แต่พ่อแม่รู้ไหมว่า การให้ลูกได้รับฉีดวัคซีนกันให้ครบทุกเข็มนั้นจะเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพของเด็กๆ เนื่องจากสามารถลดอัตราการเจ็บป่วย และความร้ายแรงของการเกิดโรคต่างๆ ลงได้มาก

 

Must Read >> Update! ตารางวัคซีน ประจำปี 2560 สำหรับเด็กไทย

 

ในเด็กเล็กๆ มักพบว่าหลังจากฉีดวัคซีนป้องกันโรคบางชนิด อาจทำให้เกิดอาการข้างเคียงหลังฉีดวันซีนได้บ้าง ซึ่งเด็กบางคนอาจมีไข้ ร้องกวนงอแง มีรอยบวมตรงบริเวณที่ถูกเข็มฉีดยา เป็นต้น แต่พ่อแม่ไม่ต้องตกใจไปค่ะ เพราะอาการที่เกิดขึ้นเหล่านี้ถือเป็นอาการปกติหลังฉีดวัคซีน ที่เกิดขึ้นได้กับเด็กทุกคน และอาการจะค่อยๆ ดีขึ้นและหายเป็นปกติ ซึ่งส่วนมากจะเป็นไม่เกิน 24 ชั่วโมง ลูกก็กลับมายิ้ม หัวเราะ เล่นได้สบายตัวเป็นปกติแล้วค่ะ

อ่านต่อ >> อาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นกับเด็ก หน้า 2

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

    ของเล่นเด็ก

    ของเล่น เสี่ยงอันตราย 9 ประเภท ที่ไม่เหมาะให้ลูกเล่น

    การเสริมพัฒนาการลูกได้ดีอีกวิธีหนึ่งคือการให้ลูกเล่นของเล่นเสริมพัฒนาการ ที่พ่อแม่ต้องเลือกให้เหมาะสมตามช่วงวัยของลูก เพราะของเล่นเด็กที่ดีจะยิ่งช่วยส่งเสริมให้ลูกมีพัฒนาการรอบด้านอย่างสมวัย แต่รู้ไหมว่าของเล่นที่เล่นสนุกบางประเภทก็อาจก่อให้เกิดอันตรายได้ ทีมงาน Amarin Baby & Kids มี ของเล่น เสี่ยงอันตราย ต่อเด็กๆ มาบอกกันค่ะ

     

    ของเล่นเด็ก มีประโยชน์อย่างไร?

    ตั้งแต่ลูกแรกเกิดในช่วง 1-3 เดือนแรก ลูกอาจเล่นอะไรยังไม่ค่อยได้ เพราะแต่ละวัยจะหมดไปกับการนอน และตื่นขึ้นมากินนมแม่ แต่เมื่อลูกอายุได้ 4 เดือน เขาจะเริ่มมีพัฒนาการร่างกายที่เริ่มจะใช้มือไขว่คว้า เริ่มหัวเราะเวลาที่พ่อกับแม่เล่นด้วย ซึ่งช่วงเวลานี้แหละค่ะที่พ่อแม่สามารถเริ่มหาของเล่นอาจเป็นตุ๊กตาเป็ดตัวเล็ก มาเขย่าแล้วให้ลูกเอามือไขว่คว้าของเล่น

    และจากหลังจาก 4 เดือนเป็นต้นไป ลูกจะมีพัฒนาการทุกด้านที่แข็งแรงสมบูรณ์มากขึ้น สามารถนอนคว่ำ นอนหงาย คืบ คลาน นั่งได้ เริ่มเกาะยืน เดิน และวิ่งได้ ที่จะเป็นไปตามสเต็ปพัฒนาการของลูก  ซึ่งช่วงเวลาเหล่านี้หากเลือกของเล่นที่เป็นประโยชน์ให้ตรงกับวัยของลูก ก็จะยิ่งช่วยส่งเสริมให้พัฒนาการลูกดีขึ้นอย่างก้าวกระโดด

    ของเล่นที่ดีจะให้ประโยชน์ต่อตัวเด็ก คือ…

    1. ช่วยให้เด็กได้ใช้ประสาทสัมผัส ไม่ว่าจะเป็น ตาดู หูฟัง จมูกดมกลิ่น ลิ้นสัมผัสรส ฝ่ามือ ฝ่าเท้าได้รู้ในเรื่องของพื้นผิว เป็นต้น ในการเรียนรู้ได้อย่างเต็มที่
    2. ช่วยให้เด็กมีพัฒนาการด้านอารมณ์ที่ดี การที่เด็กได้เล่นของเล่นที่เหมาะสมและถูกใจ จะช่วยให้เขามีความสุข หัวเราะ ยิ้มอย่งร่าเริง
    3. ช่วยให้เด็กมีสมาธิ ของเล่นอย่างสมุดวาดภาพ ระบายสี สมุดต่อภาพจิ๊กซอว์ หรือเล่นตัวต่อเลโก้ จะทำให้เด็กๆ มีสมาธิจดจ่อ และนิ่งขึ้น
    4. ช่วยให้เด็กมีจินตนาการที่ดี ของเล่นอย่างเล่นหม้อข้าว หม้อแกง หากได้เล่นกันในกลุ่มเพื่อนวัยเดียวกัน เด็กๆ จะได้เล่นบทบามสมมติเปลี่ยนตัวเองเป็นคนขายดอกไม้ คนจ่ายตลาด คนขายขนม ฯลฯ หรือแม้แต่ชุดของเล่นที่เป็นตุ๊กตาเซ็ทต่างๆ ที่สามารถแต่งตัวได้ ล้วนช่วยส่งเสริมให้ลูกมีจินตนาการสร้างสรรค์ที่ดีมาก
    5. ช่วยให้เด็กมีพัฒนาการด้านสังคม เมื่อลูกถึงวัยที่สามารถเล่นกับคนอื่นๆ ได้แล้ว ควรส่งเสริมให้ลูกได้เล่นของเล่นกับเพื่อนๆ แถวบ้าน หรือกับญาติพี่น้องวัยไล่เลี่ยกัน ของเล่นที่ควรส่งเสริมให้เด็กๆ อาจเป็นชุดตัวต่อ ชุดค้นหาซากไดโนเสาร์ หรือการเล่นจับคู่สีที่เหมือนกัน การเล่นแบบไทยๆ อย่างหมากเก็บ ก็ได้ค่ะ การเล่นของเล่นที่ต้องเล่นร่วมกันหลายคน จะฝึกให้ลูกรู้จักแบ่งปัน การเสียสละ การรอคอย ฯลฯ ทำให้ลูกรู้จักการเข้าสังคม รู้จักการทำกิจกรรมร่วมกับคนอื่นๆ ที่นอกเหนือจากคนในครอบครัว

    ของเล่นเด็กหากเลือกให้ลูกเล่นให้เหมาะกับช่วงวัย การเล่นก็จะได้ประโยชน์สูงสุดต่อตัวลูก และพัฒนาการทุกด้าน ดังนั้นหากอยากให้ลูกมีพัฒนาการดีสมวัย พ่อแม่ต้องรู้จักให้ของเล่นที่ดีกับลูกด้วนะคะ

    อ่านต่อ >> ของเล่นที่เสี่ยงเกิดอันตรายต่อตัวลูก หน้า 2

     

    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

      โรคที่มาพร้อมกับการเล่นน้ำสงกรานต์

      5 เสี่ยงสุขภาพแย่จาก โรคที่มาพร้อมกับการเล่นน้ำสงกรานต์

      เข้าเดือนเมษายนของทุกปี ที่นอกจากอากาศจะร้อนสุดๆ เดือนนี้ยังมีวันสำคัญ คือวันมหาสงกรานต์ที่ถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ไทย และทุกครอบครัวจะได้หยุดยาวไปเยี่ยมญาติ ทำบุญสรงน้ำพระ เล่นสาดน้ำสงกรานต์ แต่อย่าสนุกเพลินจนลืมระวังสุขภาพนะคะ  ทีมงาน Amarin Baby & Kids มี โรคที่มาพร้อมกับการเล่นน้ำสงกรานต์ มาฝากพ่อแม่ให้ได้ระวังเด็กๆ กันค่ะ

       

      โรคที่มาพร้อมกับการเล่นน้ำสงกรานต์

      พอบอกว่าเล่นน้ำสงกรานต์แล้วโรคจะตามมา ทำเอาหลายๆ ครอบครัวหมดสนุกไม่อยากจะเปียกน้ำกันซะแล้ว  ความจริงคืออย่างนี้ค่ะ โรคที่มักจะเกิดขึ้นได้บ่อยๆ ในหน้าร้อน หรือบางโรคก็เกิดขึ้นได้ตลอดทั้งปี ถ้าร่างกายของเด็กๆ หรือแม้แต่ของตัวผู้ใหญ่เอง หากอ่อนแอ ก็ทำให้เชื้อโรคที่อาจแฝงมากับน้ำที่เล่นสาดกันเปียก หรือมากับสายลม แสงแดด อากาศ เป็นต้น เมื่อเข้าสู่ร่างกายช่วงที่อ่อนแอ ก็ทำให้เกิดเจ็บป่วยขึ้นมาได้ง่ายๆ เลยค่ะ

      สำหรับช่วงสงกรานต์ที่เราทุกคนมักสนุกอยู่กับการสังสรรค์ และเล่นน้ำกันจนเปียก ไม่เราไปสาดเขา เขาก็มาสาดเรา แต่ใครรู้ว่าน้ำที่นำมาสาดเล่นกันนั้น เป็นน้ำที่สะอาด หรือมีฝุ่น มีแบคทีเรียปนเปื้อนผสมลงไปด้วยหรือไม่  น้ำที่พอสาดแล้วไม่ใช่เปียกแค่ตัว แต่มันไหลเข้าตา จมูก ปาก ไหลลงคอเข้าสู่ร่างกาย แล้วแบบนี้จะไม่ให้ป่วยกันได้ยังไงละค่ะ บวกกับอากาศที่ร้อนอบอ้าว เด็กๆ เล่นน้ำกลางแจ้งนานๆ  สนุกจนลืมกินข้าว กินน้ำ พอตะวันตกดินพักยกกลับเข้าบ้าน เอ๊ะ!! ทำไมตัวรุมๆ ทำท่าจะมีไข้ซะแล้วละ เห็นไหมคะว่าสงกรานต์เล่นน้ำกันจนตัวเปียก แล้วไม่ได้ใส่ใจสุขภาพ แทนที่จะได้เติมพลังกันหลังจากหยุดยาว กลายเป็นว่าป่วยไข้ต้องเข้าแอดมิทที่โรงพยาบาลซะแล้ว แค่คิดก็หมดสนุกกันเลยค่ะ

      เอาเป็นว่าอย่าได้เสียเวลาเราไปดูพร้อมๆ กันดีกว่าว่า โรคที่มาพร้อมกับการเล่นน้ำสงกรานต์ นั้นมีโรคอะไรให้ต้องเฝ้าระวังดูแลป้องกันสุขภาพไม่ให้ป่วยกันบ้างค่ะ

      อ่านต่อ >> เล่นน้ำสงกรานต์เปียก เสี่ยง 5 โรค! หน้า 2

       

      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

        คลอดเอกชน

        จากกระทู้พันทิป! หมอสูติฝากมา.. “เตือนใจคุณแม่ท้อง เรื่องการเข้า รพ.เอกชน”

        “เตือนใจคุณแม่ท้อง เรื่องการเข้า รพ.เอกชน” หากคุณแม่ท้องคิดจะ คลอดลูกไม่ว่าจะ รพ.รัฐ หรือ คลอดเอกชน คุณหมอสูติท่านหนึ่งได้แชร์ความคิดเห็นผ่านกระทู้พันทิปฝากมา ว่าบางโรงพยาบาลเอกชนก็อาจจะไม่ได้พร้อมรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินของคุณแม่ท้องได้เสมอไป

        กระทู้พันทิป! หมอสูติฝากมา.. “เตือนใจคุณแม่ท้อง เรื่อง คลอดเอกชน ”

        สำหรับคุณพ่อและคุณแม่ท้องทุกคน ก็ต้องการอยากคลอดลูกให้ออกมาปลอดภัย สุขภาพดีแข็งแรง ทั้งนี้นอกจากการดูแลตัวเองของคุณแม่ท้องขณะกำลังตั้งครรภ์อยู่นั้น การฝากครรภ์ เพื่อให้คุณหมอช่วยดูแล และกระบวนการทำคลอดที่ดีก็ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งอยู่ภายใต้คำว่า “ลูกเกิดรอด แม่ปลอดภัย” (—> อ่านต่อบทความแนะนำ : ฝากครรภ์ฟรี! คลอดบุตรฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย) ซึ่งการคลอดลูก ไม่ว่าจะเป็นที่ รพ. รัฐ หรือ คลอดเอกชน อาจทำให้คุณแม่หลายคนคิดหนักว่าจะเลือกโรงพยาบาลไหนดี ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความสะดวกของแต่ละบุคคลด้วย

        ซึ่งในกรณีนี้  มีคุณหมอสูติ ท่านหนึ่งออกมาตั้งกระทู้บนเว็บไซต์พันทิปเพื่อเตือนใจ คุณแม่ท้อง เกี่ยวกับการเลือกรพ.เพื่อคลอดลูก ว่า รพ.เอกชน ก็อาจไม่ได้มีพร้อมรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินเสมอไป ถึงแม้ว่าโรงพยาบาลเอกชนจะมีความรวดเร็วและสะดวกสบาย อย่างที่หลายคนรู้กัน   บางครั้งบางโรงพยาบาลก็ไม่ได้อาจมีเครื่องมือหรือคุณหมอที่พร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่ยากได้เสมอไป

        โดยคุณหมอใช้ชื่อ สมาชิกเว็บไซต์พันทิปว่า ฟ้าหมาดฝน ซึ่งได้ออกมาเปิดเผยความในใจว่า ตัวเเองเป็นหมอสูติ ที่ทำงานใน รพ.รัฐเป็นหลัก และทำเอกชนพาร์ทไทม์ โดยคุณหมอเล่าถึงปัญหาที่พบเจอว่า…

        ***หมายเหตุ: ข้อมูลดังต่อไปนี้เป็นการแสดงความคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งนำมาแชร์เพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้รับทราบ ทั้งนี้คุณพ่อคุณแม่จึงต้องใช้วิจารณญาณให้การอ่าน เพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจของตัวท่านเองด้วยนะคะ***

        คนท้อง ที่มีปัญหาแทรกซ้อนโดยเฉพาะกรณีคลอดก่อนกำหนด เวลาเข้ารักษาในรพ.เอกชน จะเจอปัญหา

        1. ศักยภาพไม่ถึง

        เช่น กรณีคลอดก่อนกำหนด รพ.เอกชนส่วนมาก มักจะดูแลเด็กได้ที่อายุครรภ์ราวๆ 34 สัปดาห์ขึ้นไป แต่ถ้าระดับ 28-34 ส่วนมากจะดูแลไม่ได้ นอกจาก รพ.ที่ศักยภาพสูงจริงๆ

        และถ้าต่ำกว่า 28 สัปดาห์ คือเอกชนเลี้ยงไม่รอดหรอกค่ะ ต้องเข้า รพ.รัฐบาลใหญ่ๆ

        เหตุผลเพราะว่า  การลงทุนเพื่อสร้าง NICU สำหรับเด็กอ่อน รวมจึงจ้างหมอพยาบาลระดับพระกาฬ มันสูงมากนะคะ 

        และในที่สุดมันก็จะเป็นต้นทุนค่ารักษาต่อไปค่ะ ดูแล้วคนทั่วไปคงไม่มีกำลังจ่าย เขาจึงไม่พัฒนาในส่วนนี้ค่ะ (ต่างจากรัฐบาลซึ่งการสร้างห้อง คนของ พวกนี้ ไม่ได้คิดเป็นราคาอะไรคือมาเป็นงบประมาณ)

        อีกประเด็นคือ การดูแลแม่ที่มีภาวะแทรกซ้อน

        การสังเกตอาการต่างๆที่เป็นปัญหาวิกฤต พยาบาลและทีมของเอกชนก็มักจะไม่ได้รับการฝึกฝนเท่ารพ.รัฐเช่นกัน

        กรณีคลอดก่อนกำหนด ครรภ์เป็นพิษ อะไรแบบนี้ การนอนในรพ.เอกชนค่อนข้างเสี่ยงค่ะ

         

        2. ต่อเนื่องจากข้อ 1.คือราคาสูง

        สมมติว่า รพ.เอกชนดังกล่าว สามารถดูแลเด็กคลอดก่อนกำหนดได้ประมาณนึง ค่าใช้จ่ายก็มักสูงลิ่วเกินกว่าคนธรรมดาทั่วไปจะฝันถึงนะคะ

        ต่อให้เด็กคลอดก่อนกำหนด แบบธรรมดาๆ ไม่ได้ใช้ยากระตุ้นอะไรพิเศษ อาจจะวิ่งเป็นหลักหมื่นต่อวัน

        ถ้าพูดถึงกรณีคนต่างจังหวัด (แบบจังหวัดที่เราอยู่เนี่ย) ซึ่งบางคนก็เป็นคนทำงานทั่วไป ทำไร่ทำนาก็มี คือไม่ได้เล่นเน็ต ไม่รู้ข้อมูลอะไรมาก

        บางคนประเมินว่าหลักพันก็หรูแล้ว  พอเห็นตัวเลขจริงนี่แทบช็อค (เอาว่าขนาดเราเองเป็นหมอนะคะ เคยมีเหตุจำเป็นพาแม่ไปตรวจ OPD เอกชนที่ต่างจังหวัด เห็นบิลก็ช็อคเหมือนกันค่ะ)

        อ่านต่อ >> กระทู้จากพันทิป หมอสูติฝากมา “เตือนใจคุณแม่ท้อง เรื่องการเข้า รพ.เอกชน” คลิกหน้า 2

         

        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

         

          ลูกเจ็บป่วย

          พ่อแม่ต้องรู้! “9 ข้อห้ามทำ” เมื่อลูกเจ็บป่วย

          ลูกเจ็บป่วย พ่อแม่ต้องระวัง ..สำหรับพ่อแม่มือใหม่ แค่เจ้าตัวเล็กถูกมดกัด ก็ทำให้คุณวิ่งวุ่นทั่วบ้าน แต่คนทุกวัยย่อมเจ็บป่วยได้ด้วยกันทั้งนั้น โดยเฉพาะเด็กทารกก็เช่นกัน แต่หากพ่อแม่เกิดวิตกหรือเครียดจนเกินไปก็ไม่อาจช่วยให้ลูกหายเร็วขึ้น

          Continue reading “พ่อแม่ต้องรู้! “9 ข้อห้ามทำ” เมื่อลูกเจ็บป่วย”

            ฝังเข็ม อยู่ไฟ ดูแลตัวเองหลังคลอด แผนไทย แผนจีน

            การดูแลสุขภาพหลังคลอด เป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้การดูแลในขณะตั้งครรภ์ เพื่อให้คุณแม่มีสุขภาพที่ดีพร้อมในการให้นมลูก เลี้ยงลูก และมีรูปร่างที่สวยงามสมบูรณ์ดังเดิม เราจึงขอแนะนำการดูแลสุขภาพในแบบทางเลือก นั่นคือ ฝังเข็ม อยู่ไฟ ดูแลตัวเองหลังคลอด แผนไทย แผนจีน มาให้รู้จักกันค่ะ

            ดูแลตัวเองหลังคลอด

            ฝังเข็ม อยู่ไฟ ดูแลตัวเองหลังคลอด แผนไทย แผนจีน

            ว่าที่คุณแม่ส่วนใหญ่หรือคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ 9 เดือน มักจะมีน้ำหนักเพิ่มเฉลี่ยประมาณ12-13 กิโลกรัม ซึ่งหลังคลอดน้ำหนักของคุณแม่เฉลี่ยจะหายไปประมาณ 8 กิโลกรัม (นั่นคือน้ำหนักของ น้ำ ทารก รก และน้ำในร่างกาย) และจะยังคงมีน้ำหนักเหลืออยู่กับคุณแม่อีกประมาณ 4 กิโลกรัม ซึ่งน้ำหนักที่ตกค้างอยู่นี้สามารถกําจัดออกไปได้ด้วยการออกกําลังกายอย่างสม่ำเสมอ และการให้นมบุตร

            โดยในช่วงที่คุณแม่ยังให้นมลูกน้อยอยู่ คุณหมอส่วนใหญ่มักแนะนําว่ายังไม่ควรไดเอตหรืออดอาหาร แต่ต้องระวังไม่ให้อ้วนไปกว่านี้ ด้วยการกินอาหารที่มีไขมันน้อย แต่มีสารอาหารสำคัญมากๆ เพื่อให้ในน้ำนมแม่มีไขมันอยู่บ้างพร้อมกับสารอาหารที่มีคุณค่าอยู่สูง ดังนั้น หากคุณแม่อยากเอาไขมันออกจากตัว หรือลดน้ำหนักโดยไม่ต้องอดอาหาร ก็คือการให้นมลูก และงดกินอาหารที่มีไขมันสูง รูปร่างที่ดูเหมือนคนอ้วนก็จะค่อยๆ ยุบลงค่ะ ซึ่งนอกจากเรื่องอาหารเรามาดูกันบ้างว่า การฝังเข็ม อยู่ไฟ ดูแลสุขภาพหลังคลอดแผนไทย แผนจีนหลังคลอด ต้องทำอย่างไรเพื่อให้คุณแม่สามารถดูแลตัวเองได้อย่างถูกต้อง

            ดูแลน้ำหนัก+ ลดเครียดหลังคลอดด้วยแพทย์แผนจีน

            สําหรับคุณแม่ที่มีอุปสรรคในเรื่องการลดน้ำหนัก หรือมีภาวะซึมเศร้า การฝังเข็ม ด้วยแพทย์แผนจีนก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ เพราะนอกจากจะช่วยแก้ปัญหาช่วงหลังคลอดแล้ว ยังแก้ปัญหาในช่วงก่อนตั้งครรภ์ และตอนแพ้ท้องได้ด้วย ซึ่งศูนย์ดูแลสุขภาพชีวจิตโฮมคลินิกเวชกรรมมีข้อแนะนำสำหรับคุณแม่ที่สนใจการ ดูแลตัวเองหลังคลอด ด้วยการฝังเข็มหรือการแพทย์แผนจีน ดังนี้ค่ะ

            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

             

            ติดตาม ข้อปฏิบัติ 6 ประการจากแพทย์แผนจีน คลิกต่อหน้า 2

              ทำความสะอาดเต้านม และขวดนม

              ทำความสะอาดเต้านม และขวดนม แบบ Step by Step

              เพราะเต้านมแม่ และขวดนม คือ อุปกรณ์สำคัญที่นำพา “น้ำนม” อาหารหลักไปจนถึงเบบี๋ คุณแม่ทั้งหลายจึงควรสนใจเรื่องการ ทำความสะอาดเต้านม และขวดนม เพื่อความปลอดภัยของลูกน้อยค่ะ

              ทำความสะอาดเต้านม และขวดนม แบบ Step by Step

              ทั้งนี้แม่มือใหม่ป้ายแดง มักกังวลเป็นพิเศษ เช่น ระหว่างวัน ตัวแม่เองก็มีเหงื่อคาบไคลต่างๆ คงห่วงว่า เต้านมจะไม่สะอาดพอสำหรับลูกน้อย หรือ ขวดนมเอง ถ้าไม่นึ่ง ไม่ต้ม ไม่ควรหยิบขึ้นมาใช้เลย แต่ในความเป็นจริง ถ้าต้องเช็ดเต้านมทุกขั้นตอนตามที่ได้รู้มา หรือ ต้องนึ่งต้องต้มขวดนมกันตลอดเวลา มันคงไม่ทันกาล เราจึงมีวิธีการ ทำความสะอาดเต้านม และการทำความสะอาดขวดนม ระหว่างวัน มาฝาก ซึ่งแต่ละวิธีขั้นตอนง่ายๆ ไม่ยุ่งยาก แถมสะอาดมั่นใจ และทำได้จริงในชีวิตประจำวัน

              ทำความสะอาดเต้านม

              ขั้นตอนการ ทำความสะอาดเต้านม ระหว่างวันก่อนให้เบบี๋กิน และก่อนปั๊มเก็บสต็อก แบบ Step by Step

              • ทำความสะอาดมือทั้งสองข้าง และเช็ดให้แห้ง
              • หากอยู่บ้านใช้สำลี หรือ ผ้าสะอาดชุบน้ำต้มสุกที่เย็นแล้ว แต่ถ้าอยู่นอกบ้าน ความสะดวกรวดเร็วเป็นเรื่องสำคัญ จะใช้น้ำประปา หรือ น้ำดื่มขวดก็ได้ ขอให้สะอาดเป็นพอ จากนั้นบีบให้พอหมาดๆ
              • จากนั้นเช็ดทำความสะอาด หลักสำคัญของการเช็ดเต้านม คือ ทำให้บริเวณปากของลูกน้อย ที่สัมผัสในระหว่างกินนมแม่นั้นสะอาดทั่วถึงทั้งหมด ดังนั้นบริเวณที่ต้องเช็ด คือ ตั้งแต่หัวนมไปจนถึงลานนม และทั่วทั้งเต้านมทั้งด้านหน้า และด้านข้าง โดยเช็ดเป็นวงจากหัวนมวนออกไปให้ทั่วทั้งเต้านม
              • การทำความสะอาดเต้านมไม่ว่าจะตอนอาบน้ำ หรือ ระหว่างวัน ก่อนให้ลูกกิน หรือ ปั๊มสต็อก ควรล้างด้วยน้ำสะอาด ส่วนขณะอาบน้ำให้ใช้สบู่ทำความสะอาดตามปกติก็เพียงพอ ไม่จำเป็นต้องหาน้ำยาล้างเฉพาะส่วน หรือ น้ำยาพิเศษใดๆ มาใช้เพิ่มเติม เพราะน้ำยานั้นอาจไปขจัดไขมันตามธรรมชาติที่ผลิตมาเพื่อหล่อลื่นหัวนม และลานนมออก จะทำให้ผิวบริเวณนั้นแห้ง และแตกง่ายได้

              บทความแนะนำ

              ลูกวัยเตาะแตะ น้ำหนักเกิน แก้ไขอย่างไรดี?

              อยาก ให้นมแม่ สำเร็จ แม่ต้องสตรอง และห้ามท้อ

              สัญญาณมะเร็งเต้านม ก้อนเนื้อที่เต้านมเป็นเพราะอะไร พร้อมวิธีตรวจด้วยตัวเอง

              แม่สงสัย ดูแลเต้านม อย่างไรช่วงให้นมลูก

              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

               

              ติดตาม วิธีทำความสะอาดขวดนม แบบ Step by Step คลิกต่อหน้า 2

                มีลูกยาก ถ้า เยื่อบุโพรงมดลูกหนาผิดปกติ

                เพราะผู้หญิงยุคใหม่มีหลายปัจจัยที่ส่งผลให้ร่างกายผิดปกติจนทำให้มีลูกยาก ทั้งเป็นเรื่องอายุ อาหาร การทำงาน และโรคภัยต่างๆ ด้วยเหตุนี้ เราจึงมาให้ความรู้เรื่อง เยื่อบุโพรงมดลูกหนาผิดปกติ ซึ่งเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้มีลูกยาก และอาจรุนแรงจนกลายเป็นมะเร็งได้อีกด้วย

                เยื่อบุโพรงมดลูกหนาผิดปกติ

                เยื่อบุโพรงมดลูกหนาผิดปกติ มีลูกยาก เพราะอะไร

                ปัจจุบันพบว่า ผู้หญิงมีภาวะผิดปกติทางร่างกายที่ส่งผลให้มีบุตรยาก เพิ่มมากขึ้นกว่าสมัยก่อน ทั้งเรื่องประจำเดือนมาไม่ปกติ เรื่องอายุ สิ่งแวดล้อม และเรื่องอาหาร ดังนั้น นอกจาก การรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงแล้ว การสังเกตความผิดปกติของตัวเอง รวมถึง การตรวจสุขภาพเป็นประจำ จะช่วยป้องกันโรคร้าย และลดภาวะมีบุตรยากได้ ซึ่งหนึ่งในโรคที่คุณผู้หญิงควรรู้จักและเข้าใจ เพราะส่งผลต่อการมีบุตรได้นั่นคือ

                โรคเยื่อบุโพรงมดลูกหนาผิดปกติ ที่นอกจากจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มีลูกยากแล้ว หากปล่อยโรคนี้ทิ้งไว้เรื้อรังไม่รักษาให้หายโดยไว อาจมีอันตรายถึงขนาดเป็นมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก

                เยื่อบุโพรงมดลูกหนาผิดปกติ คืออะไร

                ตามปกติแล้วผู้หญิงมักจะมีรอบเดือนประมาณรอบละ 28-30 วัน และมีการตกไข่ช่วงกลางรอบเดือน โดยช่วงแรกก่อนการตกไข่ ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) หรือฮอร์โมนเพศหญิงเป็นหลัก เพื่อให้มีการเจริญเติบโตของเยื่อบุโพรงมดลูก ส่วนช่วงหลังการตกไข่ ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน(Progesterone) หรือเรียกอีกชื่อว่าฮอร์โมนของการตั้งครรภ์ ฮอร์โมนตัวนี้จะทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกสุก พร้อมรับการฝังตัวของไข่ที่ได้รับการปฏิสนธิ แต่หากไม่มีการปฏิสนธิเกิดขึ้น ทั้งฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนจะค่อยๆ ลดลง และเยื่อบุโพรงมดลูกจะหลุดลอกออกมาทั่วทั้งโพรงมดลูก เป็นเลือดประจำเดือนตามปกติ ดังนั้น หากมีภาวะการตกไข่ผิดปกติ หรือไม่มีการตกไข่ จะทำให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนเพียงอย่างเดียว โดยไม่มีการผลิตฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน ที่เป็นตัวช่วยให้เกิดการสุกของเยื่อบุโพรงมดลูก การลอกตัวของเยื่อบุโพรงมดลูกตามปกติ ก็จะไม่เกิด หรือเกิดเฉพาะบางจุด ดังนั้นเยื่อบุโพรงมดลูกจะยิ่งหนาขึ้นเรื่อยๆ เป็นเหตุทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกหนาตัวผิดปกติและมีเลือดออกผิดปกติได้

                เพราะเหตุใด ? ถึงเป็นโรคนี้

                ปัจจัยหลักที่เป็นสาเหตุของโรคนี้คือ ความอ้วน เบาหวาน ประจำเดือนมาไม่ปกติ หรือกลุ่มอาการถุงน้ำรังไข่ โดยโรค เยื่อบุโพรงมดลูกหนาผิดปกติ มักเกิดกับกลุ่มคุณแม่หรือผู้หญิงสูงอายุช่วงใกล้หมดประจำเดือนและหลังหมดประจำเดือน โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีอายุเกิน 35 ปีขึ้นไป จะมีความเสี่ยงเป็นโรคนี้มากกว่า แต่ไม่ว่าจะอายุมากหรือน้อยก็สามารถเป็นโรคนี้ได้

                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                 

                ติดตาม มีลูกยาก ถ้าเยื่อบุโพรงมดลูกหนาผิดปกติ คลิกต่อหน้า 2

                  อาหารบำรุงน้ำนม สำหรับคุณแม่หลังคลอด

                  อาหารบำรุงน้ำนม สำหรับคุณแม่ คำกล่าวที่ว่าสุดยอดของอาหารทั้งมวลไม่มีอะไรดีเท่า “น้ำนมแม่ ” เห็นจะไม่เกินจริงไปนัก เพราะในน้ำนมแม่นั้นมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ทั้งกาย และใจ ต่อลูกน้อยอย่างมหาศาล

                  อาหารบำรุงน้ำนม

                  อาหารบำรุงน้ำนม สำหรับคุณแม่

                  อย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า หากลูกน้อยได้รับน้ำนมแม่ได้นานเท่าไหร่ยิ่งดี เพราะน้ำนมแม่มีสารอาหารครบถ้วน พร้อมทั้งมีเกราะเป็นภูมิคุ้มกันโรคอย่างดีเยี่ยมช่วยไม่ให้ลูกป่วยง่าย รวมถึงมีพัฒนาการทางการเรียนรู้ด้านต่างๆ ได้ดีนอกจากนี้ยังดีต่อจิตใจลูกน้อยอีกด้วย ทำให้เด็กมีความอ่อนโยนอบอุ่น และรู้สึกปลอดภัย ดังนั้น การที่คุณแม่มีน้ำนมที่มีคุณภาพอย่างเพียงพอจึงเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งสิ่งง่ายๆ ในการมีน้ำนมที่ดีมาจาก อาหารการกินของคุณแม่นั่นเอง

                  มาดูกันดีกว่าว่า อาหารแบบไหนที่มีประโยชน์ต่อน้ำนมแม่ เพื่อต่อยอดอาหารแสนจะล้ำค่านี้ ให้กับลูกน้อยต่อไปในอนาคต

                  อาหารบำรุงน้ำนม ก่อนคลอด

                  การบำรุงน้ำนมนั้น คุณแม่สามารถเตรียมตัวได้ตั้งแต่ก่อนคลอด คือ รับประทาน อาหารที่มีสารอาหารจำเป็นต่อร่างกายคุณแม่ และลูกน้อยที่กำลังเติบโตภายในครรภ์ อันได้แก่

                  • ผัก ผลไม้ เพราะมีกากใย วิตามิน และแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย
                  • ข้าวกล้อง ข้าวที่ไม่ขัดขาว
                  • ขนมปังโฮลวีต ซีเรียล แหล่งคาร์โบไฮเดรตให้พลังงานสูงที่ร่างกายคุณแม่ต้องการ
                  • เนื้อสัตว์ ไข่ และถั่วเหลือง มีโปรตีนสูงที่จำเป็นต่อการเติบโตของลูกน้อย
                  • นม เนย และ โยเกิร์ต ร่างกายคุณแม่และลูกต้องการแคลเซียมมากกว่าปกติในการเสริมสร้างกระดูกและฟัน

                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                   

                  ติดตาม อาหาร บำรุงน้ำนม สำหรับคุณแม่ คลิกต่อหน้า 2

                    ไขข้อสงสัย ท้องนี้ ปัสสาวะผิดปกติ หรือไม่?

                    ในขณะตั้งครรภ์คุณแม่มักจะมีอาการต่างๆ ในร่างกายที่ไม่เหมือนกับปกติ จนทำให้กังวลสงสัยว่าที่เราเป็นอยู่นี้แข็งแรงดีหรือเป็นโรค เช่น การปัสสาวะ เพราะจะมีทั้งปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะเล็ด ดังนั้น เราจึงมาไขข้อสงสัยให้รู้ว่า ท้องนี้ ปัสสาวะผิดปกติ หรือไม่? เพื่อให้คุณแม่สบายใจและพบแพทย์ได้ทันท่วงทีค่ะ

                    ปัสสาวะผิดปกติ

                    ท้องนี้ ปัสสาวะผิดปกติ หรือไม่?

                    แม่ท้อง ปัสสาวะอย่างไร

                    เรื่องเกี่ยวกับการถ่ายปัสสาวะ เป็นคำถามที่คุณแม่ตั้งครรภ์มักถามสูติแพทย์ที่ฝากครรภ์กันแทบทุกคน เพราะไม่มั่นใจว่าทำไมตัวเองปัสสาวะบ่อยจัง ทำไมปัสสาวะแล้วรู้สึกแสบขัด หรือบางครั้งเวลาไอหรือจามแล้วปัสสาวะเล็ดอีก ด้วยอาการเหล่านี้ทำให้คุณแม่สงสัยว่าแบบไหนคือ ปัสสาวะผิดปกติ ของแม่ท้อง อาการที่คุณแม่ตั้งครรภ์เป็นอยู่นี่ปกติดีไม่เป็นโรคใช่หรือไม่ เพราะกลัวส่งผลต่อสุขภาพและการตั้งครรภ์ ดังนั้น เราจึงหาคำตอบมาอธิบายให้เข้าใจกันอย่างถูกต้องว่า ท้องนี้ ปัสสาวะผิดปกติหรือไม่ มาฝาก เนื่องจากอาการ ปัสสาวะผิดปกติต่างๆ ที่กล่าวข้างต้นนั้น บางอย่างเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ตามปกติในคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ ในขณะที่บางอย่างก็เป็นสิ่งผิดปกติที่จำเป็นต้องได้รับการดูแลรักษาโดยเร็ว มิฉะนั้นอาจก่อให้เกิดปัญหารุนแรงตามมาได้

                    ปัสสาวะแบบนี้ ปกติ

                    • ปัสสาวะบ่อย

                    อันดับแรก ต้องให้คุณแม่ทำความเข้าใจอย่างถูกต้องก่อนว่า กระเพาะปัสสาวะเป็นอวัยวะที่วางอยู่ด้านหน้าต่อจากมดลูก ทำหน้าที่ในการรองรับน้ำปัสสาวะที่ไหลมาจากท่อไต โดยกระเพาะปัสสาวะในร่างกายของเรานี้ มีความสามารถในการยืดขยายตัวเอง ให้บรรจุน้ำปัสสาวะได้เกือบครึ่งลิตร ก่อนที่จะปวดปัสสาวะมาก จนเราต้องถ่ายปัสสาวะ ซึ่งอาการปัสสาวะบ่อย เป็นเรื่องปกติของคุณแม่ตั้งครรภ์ ที่เกิดขึ้นได้ใน 2 ช่วงของการตั้งครรภ์ ได้แก่

                    ในช่วงไตรมาสที่ 1(หรือ 12 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์) เพราะมดลูกของคุณแม่จะมีการขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ขนาดของมดลูกที่โตขึ้นจะไปเบียดดันกระเพาะปัสสาวะของคุณแม่ จนทำให้ไม่สามารถขยายตัวได้เต็มที่ เมื่อกระเพาะปัสสาวะรับน้ำปัสสาวะได้เพียงประมาณ 100-200 มิลลิเมตร คุณแม่ก็จะรู้สึกปวดปัสสาวะ และต้องรีบไปถ่าย ทำให้ช่วงนี้คุณแม่จะรู้สึกปวดปัสสาวะบ่อยๆ ได้นั่นเอง

                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                     

                    ติดตาม ท้องนี้ ปัสสาวะผิดปกติหรือไม่ ? คลิกต่อหน้า 2

                      สายสะดือ

                      ฝากสเต็มเซลล์ ให้ลูกหลังคลอดดีไหม?

                      ปัจจุบันคุณแม่หลายท่านรู้จักกับเซลล์ต้นกำเนิดหรือสเต็มเซลล์กันแล้ว แถมยังรู้ว่ามีการ ฝากสเต็มเซลล์ หลังคลอด ไว้เพื่อใช้ในอนาคตอีกด้วย ทำให้มีคำถามว่า ฝากเสต็มเซลล์ให้ลูกหลังคลอดดีไหม เพราะเห็นมีหลายบ้านฝากไว้ เราจึงชวนมาทำความรู้จักกับการ ฝากเสต็มเซลล์ ให้ดียิ่งขึ้นค่ะ

                      ฝากสเต็มเซลล์

                      ฝากสเต็มเซลล์ ให้ลูกหลังคลอดดีไหม

                      สเต็มเซลล์ (StemCell)

                      เมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์คําถามยอดฮิตที่ทําให้ต้องครุ่นคิดอย่างหนักคือสเต็มเซลล์คืออะไร จะเก็บสเต็มเซลล์ดีไหม ขั้นตอนเป็นอย่างไร ราคาแพงไหม และสุดท้ายคุ้มหรือเปล่า ด้วยเหตุนี้ เราจึงขอข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับการ ฝากสเต็มเซลล์ จากสูติแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มาอธิบายให้คุณแม่เข้าใจเพื่อเป็นข้อมูลให้คุณแม่คุณพ่อนำไปตัดสินใจค่ะ

                      สเต็มเซลล์ คืออะไร

                      สเต็มเซลล์ เป็นเซลล์ที่ไม่จําเพาะมีคุณสมบัติพิเศษในการแบ่งตัวเป็นเนื้อเยื่อชนิดต่างๆ ของร่างกาย เช่น เลือดฟันน้ำนมผิวหนัง เป็นต้น สเต็มเซลล์พบได้ในสายสะดือเลือดและไขกระดูกโดยสเต็มเซลล์แบ่งเป็น 2 ชนิดดังนี้

                      1. สเต็มเซลล์จากตัวอ่อน สเต็มเซลล์นี้เก็บจากตัวของมนุษย์หรือสัตว์ที่ยังอยู่ในครรภ์ในระยะแรกของชีวิตมีอายุ 3–5 วัน แต่มีความสามารถในการพัฒนาไปเป็นเซลล์อื่นๆ สูงมาก แต่การนําสเต็มเซลล์ในกลุ่มนี้มาใช้ยังมีข้อถกเถียงในด้านศีลธรรมและจริยธรรมอยู่ จึงอาจมีการนำมาใช้ในกรณีเฉพาะที่มีข้อบ่งชี้ชัดเจนเท่านั้น
                      1. สเต็มเซลล์จากเนื้อเยื่อที่่โตเต็มวัย เช่น ไขกระดูกเลือดจากสายสะดือ ฟันน้ำนม ไขมัน เป็นต้น สเต็มเซลล์ใช้รักษาโรคใดได้บ้างนั้น ปัจจุบันมีการนําสเต็มเซลล์จากเลือดสายสะดือมาใช้ในการรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือด โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง โรคเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันบกพร่องบางชนิด โรคไขกระดูกฝ่อ โรคที่เกิดจากความผิดปกติของเฮโมโกลบิน เช่น ธาลัสซีเมีย และโรคในกลุ่มสําหรับการรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจ พาร์กินสัน เบาหวาน การบาดเจ็บของไขสันหลัง และการรักษาโรคระดับยีน ฯลฯ

                      แต่เมื่อวิทยาศาสตร์ก้าวหน้ามากขึ้นอาจมีอีกหลายโรคในอนาคตที่สามารถรักษาได้ด้วยสเต็มเซลล์ค่ะ

                      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                       

                      ติดตาม ฝากสเต็มเซลล์ให้ลูก หลังคลอดดีไหม คลิกต่อหน้า 2

                        ขอเถอะค่ะ อยากให้มี มุมนมแม่ ในที่ทำงาน บ้าง

                        ปัญหาใหญ่ที่สุดของคุณแม่เวิร์คกิ้งมัม ที่ทำงานนอกบ้านต้องพบเจอ คือ ความยากลำบากในการให้นมลูก เพราะถึงแม้ว่าจะมีการรณรงค์ให้ลูกทุกคนควรได้กินนมแม่ ในช่วง 6 เดือนแรก แต่ด้วยปัจจัยอะไรหลายๆ อย่างทำให้คุณแม่หลายคนต้องล้มพับโครงการนี้ไป และได้แต่โทษตัวเองว่าฉันเป็นแม่ที่ไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย เพียงเพราะไม่มี มุมนมแม่ ในที่ทำงาน

                        ขอเถอะค่ะ อยากให้มี มุมนมแม่ ใน ที่ทำงาน บ้าง

                        มุมนมแม่ ในที่ทำงาน สำคัญอย่างไร

                        Happy Workplace = Happy Together

                        หลายคนอาจไม่เข้าใจว่า ทําไมการให้นมลูกถึง 6 เดือน จึงสําคัญและส่งผลดีต่อการทํางาน เรามีแผนผังอธิบายง่าย ๆ ดังนี้ค่ะ

                        ลูกกินนมแม่นาน 6 เดือนขึ้นไป ลูกแข็งแรง➜พร้อมเรียนรู้ สมองดี อารมณ์ดี➜เด็กมีคุณภาพ = ครอบครัว Happy

                        แม่แข็งแรง (นมไม่คัด)➜แม่ไม่เครียด เพราะลูกไม่ป่วย ไม่มีหนี้➜แม่มีสมาธิทํางาน งานมีประสิทธิภาพ= แม่ Happy

                        ลูกจ้างไม่หยุดบ่อย ไม่ลาออก➜ลูกจ้างซื่อสัตย์ต่อองค์กร➜ลูกจ้างทํางานดี ได้ตามเป้า รายได้เพิ่ม = องค์กร Happy

                        ซึ่งทั้งหมด ทั้งมวลนี้ทำให้ สังคม Happy

                        ทั้งนี้ จากรายงาน การสํารวจสุขภาพประชาชนไทยครั้งที่ 4 พ.ศ. 2551-2552 พบว่า อัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เมื่อแรกเกิดสูงถึง 91.2เปอร์เซ็นต์ แต่เมื่อต้องเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เป็นเวลา 3 เดือน จำนวนกลับลดลงไปกว่าครึ่ง

                        ยิ่ง 6 เดือนด้วยแล้ว ยิ่งน้อยลง โดยเหลือเพียงแค่ 7.1 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น นั่นหมายความว่า มีคุณแม่คนไทยที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่เป็นเวลา 6 เดือนอย่างที่รณรงค์กันนั้นจํานวนน้อยมาก จนน่าใจหาย

                        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                         

                        คําถาม คือ ปัญหาเกิดจากอะไร

                        คงต้องยอมรับว่าประเทศไทยยังไม่มีมาตรการอะไรที่แข็งแรงพอสำหรับการรองรับเรื่องสิทธิของแม่ในการให้นมลูก ถึงแม้ว่าเราจะมีกฎหมายคุ้มครองให้สิทธิลาคลอดได้ไม่เกิน 90 วันก็ตาม แต่ด้วยความจำเป็นคุณแม่หลายคนต้องหยุดการให้นมลูกไปโดยปริยาย ไม่ว่าจะเป็น

                        1. รายได้ครอบครัวหายไป จึงต้องรีบกลับมาทำงาน
                        2. วัฒนธรรมองค์กรบางที่ไม่ยอมรับกับการลาหยุดนานๆ
                        3. ทํางานไกลบ้าน เช่นแม่กับลูก อยู่กันคนละจังหวัด
                        4. ไม่มีสถานที่สําหรับปั๊มนมให้ลูกในที่ทํางาน

                        ติดตาม แม่ลำบากแค่ไหน เวลาปั๊มนมในที่ทำงาน คลิกต่อหน้า 2

                          ลูก 1 เดือนท้องผูก ทารกกินน้ำส้ม ได้หรือไม่?

                          ลูก 1 เดือนท้องผูก กินน้ำส้ม ได้หรือไม่? …คำถามนี้อาจเกิดขึ้นได้กับคุณแม่มือใหม่หลายคน เนื่องจากลูกน้อยที่กินนมแม่เอง หรือกินนมผง มักมีอาการท้องผูก จึงหาวิธีที่จะช่วยแก้อาการท้องผูกนี้ด้วยการให้ลูกกินน้ำส้มเพื่อหวังว่าจะช่วยในการขับถ่ายได้ แต่แท้จริงแล้วนั้น การให้ ทารกกินน้ำส้ม ไม่ได้เป็นการช่วยเรื่องระบบขับถ่ายของทารกน้อย แต่อาจเป็นการทำร้ายลูกโดยตรงอีกด้วย

                          ทารกกินน้ำส้ม ได้หรือไม่?

                           

                          มีหลายบ้านที่คุณย่าคุณยาย ป้อนน้ำส้มให้ทารกวัยไม่ถึง 6 เดือนทาน ทั้งนี้อาจเป็นเพราะสมัยก่อน คนโบราณยังไม่มีความรู้ว่าเด็กทารกยังไม่ควรทานอะไรอกจากนมแม่ เพราะเรื่องระบบการทำงานของลำไส้ยังไม่แข็งแรง พอที่จะรับอาหารอื่น

                          ทารกกินน้ำส้ม

                          สาเหตุที่ทำให้ลูกท้องผูก

                          เด็กอาจมีอาการท้องผูกได้ทุกช่วงวัยที่พบมากที่สุดคืออายุประมาณ 6 เดือน- 4 ปี ซึ่งมีสาเหตุแตกต่างกันไปในเด็กแต่ละคน และการท้องผูกมักเกิดจากปัจจัยหลายอย่างร่วมกัน เช่น เด็กบางคนถูกฝึกให้ขับถ่ายเร็วเกินไป แต่เขายังไม่พร้อมที่จะขับถ่ายเอง  เด็กไม่ชอบกินผักและผลไม้

                          และที่พบบ่อยในช่วงวัยอนุบาล คือ เด็กห่วงเล่นและกลั้นอุจจาระเป็นนิสัย แต่ก็ยังมีเด็กอีกส่วนน้อยที่มีอาการท้องผูกจากโรคร้ายแรง

                          อาการท้องผูกที่แท้จริง

                          ทั้งนี้ก็มีหลายบ้านที่ลูกทารกน้อยกินนมแม่แต่ท้องผูก คุณแม่จึงอยากหาตัวช่วยอย่างน้ำส้มเพื่อช่วยบรรเทาอาการลูกน้อย ซึ่งการท้องผูกสำหรับเด็กที่กินนมแม่นั้น การกินนมแม่ล้วน ไม่ถ่าย 2-3 สัปดาห์ ไม่ถือว่าเป็นอาการท้องผูก แต่สัญญาณความถี่ของการอุจจาระที่บ่งบอกว่าลูกท้องผูก  คือการถ่ายอุจจาระน้อยกว่า 3 ครั้งใน 1 สัปดาห์ หรืออาจถ่ายทุกวันแต่ต้องเบ่งมากและอุจจาระแข็งอาจจะเป็นก้อนเล็ก ๆ คล้ายลูกกระสุนปืนอัดลมหรือก้อนใหญ่ ๆ ที่ทำให้มีอาการเจ็บปวดมากเวลาเบ่งถ่าย หรือบางครั้งอาจมีเลือดติดออกมาด้วยเพราะรูทวารฉีกขาด ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้ลูกจะรู้สึกกลัวการถ่ายอุจจาระจึงพยายามกลั้นเอาไว้ จนทำให้อุจจาระยิ่งมีขนาดใหญ่และแข็งมากขึ้นเรื่อย ๆ และเพิ่มความเจ็บปวดในการขับถ่ายในแต่ละครั้ง

                          ส่วนเด็กทารกปกติช่วงอายุ 1-3 เดือนที่กินนมแม่ ถึงบางคนอาจถ่ายอุจจาระห่างทุก 3-7 วันโดยที่ยังกินนมดี ร่าเริง น้ำหนักขึ้นตามปกติ ไม่อาเจียน เด็กกลุ่มนี้ไม่นับว่ามีอาการท้องผูกถึงแม้ว่าจะถ่ายน้อยกว่า สัปดาห์ละ 3 ครั้ง

                          แต่ขอเน้นว่าเวลาถ่ายแต่ละครั้งต้องถ่ายสะดวก อุจจาระจะดูนิ่มดี  อาจมีส่วนแข็งเล็กน้อยในช่วงต้นๆ ลูกจะอารมณ์ดี โตดี น้ำหนักขึ้นตามเกณฑ์ ก็เพียงพอแล้ว

                          และถ้าลูกโตแล้ว สามารถกินอาหารเสริมได้ แต่มีอาการถ่ายเหนียว  อึดอัดงอแง เบ่งจนหน้าดำหน้าแดง  อุจจาระแข็งในส่วนต้นๆ ถ้าถ่ายแข็งแล้วลูกเจ็บก้น มีเลือดออก ก้นเป็นแผล แบบนี้เรียกว่า ท้องผูกแน่นอน ซึ่งสาเหตุที่พบบ่อยคือการกินอาหารที่ไม่เหมาะสม ปริมาณของอาหารน้อย กินแต่นม จึงได้รับกากใยจากผักผลไม้ไม่เพียงพอ

                          อ่านต่อ >> ลูกท้องผูกกินน้ำส้มช่วยแก้อาการท้องผูกได้จริงหรือ” คลิกหน้า 2

                          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                           

                            5ความเชื่อผิดๆ

                            5 ความเชื่อผิดๆ ของแม่ตั้งครรภ์

                            มีสารพัด ความเชื่อผิดๆ ของแม่ตั้งครรภ์ เกี่ยวกับการใช้ชีวิตของคนท้อง ที่ทำให้คุณแม่สงสัยและกังวลกันมาก ไม่ว่าจะเรื่องห้ามขึ้นเครื่องบิน ห้ามออกกำลังกาย ตั้งครรภ์เกิน 41 สัปดาห์ได้ หรือห้ามนั่งรถที่ช่วงล่างไม่ดี ซึ่งความเชื่อบางอย่างไม่เป็นความจริง ดังนั้นเราจึงนำ 5 ความเชื่อผิดๆ ของแม่ตั้งครรภ์ เหล่านี้มาอธิบายกันค่ะ

                            ความเชื่อผิดๆ ของแม่ตั้งครรภ์

                            ความเชื่อผิดๆ ของแม่ตั้งครรภ์

                            ยังมีอีกหลายความเชื่อที่บอกเล่าต่อกันมาซึ่งหลายๆความเชื่อทําเอาคุณแม่ตั้งครรภ์หลายคนไม่กล้าทําอะไรเพราะกลัวจะเกิดอันตรายกับลูกในท้อง Amarin baby&Kids จึงขอไปสืบเสาะความจริงจากสูติแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมาฝากคุณแม่ เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ค่ะ

                            ความเชื่อผิดๆ ของแม่ตั้งครรภ์ ไตรมาสแรก 0-13 สัปดาห์

                            • ความเชื่อ คุณแม่ตั้งครรภ์ช่วงไตรมาสนี้ไม่ควรขึ้นเครื่องบิน

                            ความจริง : คุณแม่สามารถขึ้นเครื่องบินได้ตามปกติเพราะตามกฎการบินผู้หญิงตั้งครรภ์ขึ้นได้ถึงอายุครรภ์ 36 สัปดาห์เพียงแต่หลังอายุครรภ์ 22-24 สัปดาห์ไปแล้วต้องมีใบรับรองแพทย์ด้วยในกรณีนี้ คือ ตั้งครรภ์ลูกคนเดียว หากเป็นตั้งครรภ์แฝดต้องดูเป็นรายๆไป เพราะครรภ์แฝดเกิดภาวะแทรกซ้อนได้มากกว่า ส่วนที่มีความกังวลว่า การลงจอดแต่ละครั้งจะทําให้เกิดการกระแทก ตรงนี้ไม่มีผลกระทบอะไร เพราะในช่วงไตรมาสนี้ มดลูกยังอยู่ในกระดูกเชิงกรานยังไม่ได้โผล่พ้นออกมาต้องเกิดอุบัติเหตุจนกระดูกเชิงกรานหักถึงจะไปโดนมดลูกและมีผลกระทบกับลูกตามมา นอกจากความกังวลดังกล่าวแล้ว อีกจุดหนึ่งที่ต้องระวังคือเมื่ออายุครรภ์มากขึ้นฮอร์โมนมีมากขึ้น อาจเกิดเส้นเลือดอุดตันและกลัวเจ็บท้องบนเครื่องบินได้

                            บทความแนะนำ  ไขข้อข้องใจ แม่ท้องขึ้นเครื่องบินได้ไหม ?
                            • ความเชื่อ : แม่ท้องไม่ควรนั่งรถยนต์ที่มีช่วงล่างกระด้างและนั่งมอเตอร์ไซค์

                            ความจริง รถยนต์ที่มีช่วงล่างกระด้างขับแล้วกระเทือน หรือมอเตอร์ไซค์ ไม่ได้มีผลกระทบกับคุณแม่เช่นเดียวกัน แต่ที่ต้องเป็นห่วงคือเรื่องของอุบัติเหตุ ในกรณีที่รถมีแอร์แบ็ก เมื่อมันทํางานอาจเกิดแรงกระแทกที่เป็นอันตรายกับคุณแม่ตั้งครรภ์ได้ แนะนําให้คุณแม่นั่งด้านหลังจะปลอดภัยที่สุด และควรรัดเข็มขัดนิรภัยด้วยทุกครั้งซึ่งวิธีการรัดเข็มขัดในช่วงไตรมาสแรกนี้ไม่ค่อยน่าห่วง แต่หากคุณแม่อายุครรภ์มากขึ้นไม่ควรรัดเข็มขัดพาดผ่านมดลูก โดยคุณแม่ควรรัดเข็มขัดนริภัยเส้นบนตามปกติ แต่เส้นล่างให้พาดตรงหน้าขาเพราะถ้าพาดผ่านมดลูกเมื่อเกิดการเบรกกะทันหันอาจทําให้เกิดการกระชากของรกและมดลูกได้ สําหรับการโดยสารมอเตอร์ไซค์หากคุณแม่เลี่ยงได้ควรเลี่ยงเพราะมักเกิดอุบัติเหตุที่รุนแรงกว่ารถยนต์

                            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                             

                            ติดตาม ความเชื่อผิดๆ ของแม่ตั้งครรภ์ไตรมาสสอง คลิกต่อหน้า 2

                              แม่เป็น ไข้หวัดใหญ่ 2009 ให้นมลูก ได้ไหม?

                              แม่เป็น ไข้หวัดใหญ่ 2009 ให้นมลูก ได้ไหม? สำหรับอาการป่วยที่ว่านั้น หมายถึงโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 ที่แม้ตอนนี้กระแสความรุนแรงของการติดเชื้อจะเบาบางลง แต่โรคนี้ก็ยังคงมีอยู่ หากคุณแม่มือใหม่ ติดเชื้อโรคนี้ขึ้นมา จะยังคงให้นมลูกน้อยต่อไปได้หรือไม่ มาหาคำตอบกัน

                              แม่เป็น ไข้หวัดใหญ่ 2009 ให้นมลูก ได้ไหม?

                              ไข้หวัดใหญ่ 2009 ให้นมลูก

                              รู้จักโรคไข้หวัดใหญ่ 2009

                              พบครั้งแรกที่ประเทศเม็กซิโก ย้อนกลับไปเมื่อปี 2552 ถือเป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ที่ไม่เคยพบมาก่อน ซึ่งจากการศึกษาพบว่า มีรหัสพันธุกรรมคล้ายคลึงกับไข้หวัดที่พบในหมู ไข้หวัดในคน และไข้หวัดนก ในครั้งนั้นความที่เป็นโรคค้นพบใหม่ จึงไม่มีความเข้าใจถึงพยาธิสภาพของโรค ความรุนแรง และช่องทางการติดต่อจากแหล่งต้นตอของเชื้อมาสู่คน

                              ช่วงแรกที่เกิดโรคในเม็กซิโก จึงทำให้เกิดความตื่นตระหนกอย่างมาก โดยการแพร่ระบาดของโรคอยู่ระดับ 6 ตามประกาศขององค์การอนามัยโลก คือ มีการแพร่กระจายของเชื้อไปแล้วทั่วโลก แม้ปัจจุบันจะมีเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ๆ พาเหรดออกมาเป็นขบวน แต่ก็ประมาทเจ้าเชื้อโรคชนิดนี้ไม่ได้ เพราะยังคงอยู่

                              ไข้หวัดใหญ่ 2009 : เป็นเชื้อไวรัส อยู่ในเสมหะ น้ำมูก และ น้ำลาย

                              แสดงอาการ : เมื่อติดเชื้อโรคแล้วมักจะมีอาการภายใน 1-3 วัน

                              การแพร่เชื้อ : ผู้ที่เป็นโรคแล้วจะแพร่เชื้อได้ในระยะ 1 วันก่อนมีอาการจนถึง 7 วันหลังวันเริ่มป่วย

                              เชื้ออยู่ในสิ่งแวดล้อมได้นานเท่าไหร่ : เช่นเดียวกับไข้หวัดใหญ่ชนิดอื่นๆ คือ อยู่ในอุณหภูมิห้องได้นานตั้งแต่ไม่กี่วินาที จนถึง 2-3 วัน

                              อาการของโรค ไข้หวัดใหญ่ 2009

                              • อาการโดยทั่วไป มีอาการเหมือนกับไข้หวัดใหญ่ที่ระบาดตามฤดูกาล คือ มีไข้ ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน และท้องเสียร่วมด้วย
                              • อาการแทรกซ้อนที่รุนแรง มีภาวะปอดบวม เกิดการเหนื่อยหอบ ต้องใช้การรักษาด้วยเครื่องช่วยหายใจ

                              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                               

                              ติดตาม ไข้หวัดใหญ่ 2009 แม่จะป้องกันอย่างไร คลิกต่อหน้า 2

                                พังผืดใต้ลิ้น

                                ภาวะพังผืดใต้ลิ้นของลูกแก้ไขได้

                                 

                                ตั้งแต่วินาทีแรกที่ลูกคลอดออกมาพยาบาล กุมารแพทย์ จะเช็กความสมบูรณ์ของลูกว่ามีปัญหาอะไรหลังคลอดหรือไม่ หาก ไม่มีก็สามารถให้ลูกเข้าเต้ากินนมแม่ได้ทันที ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีอาการหนึ่งที่อาจเกิดขึ้นได้กับเด็กทารกทุกคนนั่นคือภาวะ พังผืดใต้ลิ้น ที่หากไม่รักษาตั้งแต่แรก อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อตัวทารกได้ในระยะสั้นและระยะยาว

                                 

                                พังผืดใต้ลิ้น คืออะไร?

                                มีคุณแม่ที่พึ่งคลอดลูกได้ 2 เดือนกว่า และพบว่าว่าลูกมีภาวะพังผืดใต้ลิ้นเกิดขึ้น แต่ไม่ได้ให้คุณหมอตัดออก เนื่องจากกลัวว่าลูกจะเจ็บ แต่ก็กังวลว่าจะมีผลเสียต่อลูกในอนาคต จึงอยากทราบว่าควรที่จะตัดพังผืดใต้ลิ้น ออกไปหรือไม่?

                                เพื่อให้อีกหลายๆ ครอบครัว ที่มีลูกแรกคลอด แล้วพบว่าลูกมีอาการของพังผืดเกิดขึ้นใต้ลิ้น และสงสัยว่าคืออะไร ควรตัดออกดีไหม ไปทำความเข้าใจพร้อมกันดังนี้ค่ะ

                                พังผืดใต้ลิ้น (Ankyloglossia หรือ Tongue-tie) คือเยื่อบางๆ ที่ยึดบริเวณด้านล่างของโคนลิ้นติดไว้กับพื้นล่างของช่องปาก ใกล้ๆ บริเวณนี้จะมีกล้ามเนื้อ เส้นเลือด และระบบน้ำเหลืองที่ส่งไปเลี้ยงที่ลิ้น ถ้าเยื่อดังกล่าวหนาหรือสั้นเกินไป จะทำให้การเคลื่อนไหวของลิ้นไม่ดีเท่าที่ควร ส่งผลให้การดูดนมแม่เป็นไปได้ยาก เพราะการดูดนมแม่ต้องใช้ลิ้นแลบออกมาและรีดน้ำนมจากบริเวณลานนมเข้าปาก

                                แต่ถ้าเป็นการดูดนมขวดจะไม่มีปัญหา เพราะเป็นการขยับเหงือกเท่านั้น เมื่อลูกดูดนมแม่ลำบาก จะส่งผลให้น้ำหนักตัวไม่ขึ้น เด็กไม่ชอบดูดนมแม่ ดูดไปหลับไปเพราะเมื่อยลิ้น หรือขอดูดนมตลอดเวลาเพราะได้น้ำนมไม่พอ แม่มีปัญหาหัวนมแตกและเจ็บมาก

                                ผลของลิ้นติดต่อทารก ปกติภาวะลิ้นติดจะค่อย ๆ หายไปเมื่อเด็กอายุ 2-3 ปี แต่ในเด็กเล็กอาจเกิดปัญหาในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เช่น ดูดนมไม่ได้ดี อมหัวนมแล้วมักหลุด น้ำหนักตัวไม่ค่อยขึ้นจากการได้น้ำนมไม่พอ แม่เจ็บหัวนมหรือหัวนมเป็นแผล แม่สร้างน้ำนมน้อยลงๆ   ซึ่งเด็กกลุ่มนี้อาจจะต้องได้รับการแก้ไขโดยการผ่าตัดที่โดยเเพทย์เฉพาะทาง

                                อ่านต่อ >> ใต้ลิ้นลูกมีพังผืด ต้องได้รับการแก้ไขอย่างไร? หน้า 2

                                 

                                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                  รวม 11 โรค กับวิธีสังเกต ลูกมีปัญหาสุขภาพจิต

                                  เลี้ยงลูกอย่างไรให้ “จิต” ปกติ เมื่อ ลูกมีปัญหาสุขภาพจิต“สุขภาพจิต”  คือ  ภาวะพัฒนาการทางด้านจิตใจของเด็ก  ซึ่งเด็กแต่ละคนมีพัฒนาการช้าเร็วไม่เท่ากัน  เมื่อเกิดพัฒนาการที่ช้าหรือเร็วไปก็อาจเกิดความผิดปกติขึ้นได้  ซึ่งความผิดปกติทางจิตของเด็กมีอยู่มากมายหลายแบบ  บางอาการเป็นเพียง “ปัญหาสุขภาพจิต” เท่านั้น  ยังไม่ใช่โรคและไม่ต้องกินยา  แต่อาศัยการปรับพฤติกรรมเข้าช่วยเหลือ

                                  11 โรค เมื่อ ลูกมีปัญหาสุขภาพจิต

                                  ลูกมีปัญหาสุขภาพจิต

                                  ชีวิตลูกดี๊ดี เพราะมีหัวใจแข็งแรง

                                  เพื่อให้เด็กใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข  เช่น  ปัญหาเด็กปรับตัวช้า  ปัญหาเด็กขี้อาย  ปัญหาเด็กไม่พูด  ปัญหาเด็กงอแง  ปัญหาเด็กไม่กิน  ปัญหาเด็กไม่คุยกับคนแปลกหน้า  ปัญหาเด็กหงุดหงิดง่าย  ฯลฯ  ทั้งหมดนี้ไม่ใช่โรค  อาจดูเหมือนเป็นเพียงปัญหาการเลี้ยงดูที่พ่อแม่ทั่วๆ ไปก็พบเจอ  แต่คุณพ่อคุณแม่ก็ไม่ควรนิ่งนอนใจ  เพราะปัญหาเล็กๆ อาจพัฒนากลายเป็น “โรคจิตเวช” ในอนาคตได้ค่ะ”

                                  คุณหมอวิมลรัตน์ วันเพ็ญ  รองผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์  กล่าวเปิดประเด็น  เพื่อแนะนำให้คุณพ่อคุณแม่ทำความเข้าใจ ใส่ใจ และรับมือกับสุขภาพจิตของลูกน้อยอย่างถูกวิธี  เพื่อให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว ลูกน้อยมีสุขภาพจิตแข็งแรง และส่งเสริมให้เขามีชีวิตดี๊ดีต่อไปในอนาคตค่ะ

                                  ชวนคุณพ่อคุณแม่ทำความรู้จัก “โรคจิตเวช” ในเด็ก

                                  เด็กส่วนใหญ่ในสังคมเพียงแค่มีปัญหาสุขภาพจิตหรือมีปัญหาพัฒนาการเล็กๆ น้อยๆ  ซึ่งหมอแค่สอนพ่อแม่เรื่องการเลี้ยงดูลูกที่ถูกวิธีให้  หรือแนะนำให้คุณพ่อคุณแม่ประสานงานกับโรงเรียน  เพื่อให้ครูดูแลเด็กได้อย่างเหมาะสม  เท่านี้ก็หมดปัญหาแล้ว  ส่วนเด็กในกลุ่มที่ป่วยเป็นโรคจิตเวช  ซึ่งต้องได้รับการรักษาอย่างจริงจังมีเพียงประมาณ 10% จากเด็กทั้งหมดเท่านั้น  แต่ถึงกระนั้นการทำความเข้าใจโรคจิตเวชไว้ก่อนอาจช่วยให้คุณพ่อคุณแม่สังเกตลูกได้ง่ายขึ้น  หากเกิดความผิดปกติจะได้พามาปรึกษาคุณหมอทันท่วงที  ซึ่งโรคจิตเวชที่พบได้ในเด็กมีดังต่อไปนี้

                                  ♥ บทความแนะนำควรอ่าน : ควรรู้! 20 เรื่องสำคัญ ที่พ่อแม่ต้องบอกครู และคุณครูอยากบอกกับพ่อแม่

                                  1. โรคออทิสติก

                                  เด็กเล็กที่มาหาหมอส่วนใหญ่จะเป็นโรคเกี่ยวกับพัฒนาการ  โรคที่หมอเจอบ่อยที่สุดคือ ออทิสติก  แม้ออทิสติกจะเป็นความผิดปกติตั้งแต่กำเนิด  แต่กว่าพ่อแม่จะสังเกตรู้มักจะเข้าช่วงวัยประมาณ 2 ขวบครึ่งแล้ว  เนื่องจากเด็กป่วยโรคออทิสติกมักมีการเจริญเติบโตทางด้านร่างกายปกติดี  บางครั้งบางคราวก็ดูรู้เรื่องและเข้าใจสิ่งต่างๆ ได้ดี  เพียงแต่ไม่สบตา  มีปัญหาเรื่องพูดช้า  และกว่า 75% มีปัญหาเรื่องไอคิว  จึงสังเกตได้ยากในวัยเบบี๋

                                  ♥ บทความแนะนำควรอ่าน : 14 ข้อสำคัญ เพื่อรับมือกับลูกน้อยที่เป็น เด็กออทิสติก

                                  2. โรคสมาธิสั้น

                                  กลุ่มโรคปัญหาด้านพฤติกรรมที่หมอพบบ่อยที่สุดคือ  โรคสมาธิสั้น  อาการของลูกน้อยที่คุณพ่อคุณแม่สังเกตได้ง่ายๆ คือ  เขาจะซนกว่าเด็กปกติ  ทำตัววุ่นวายอยู่ตลอดเวลา  เล่นอะไรไม่เสร็จซักอย่างก็เปลี่ยนของเล่นไปเรื่อยๆ  ไม่ชอบทำงานที่ต้องใช้สมาธิหรืองานที่ไม่สนุก เช่น การเรียน ทำการบ้าน  เด็กบางคนมีประวัติพูดช้ากว่าปกติ  และเมื่อโตขึ้นบางส่วนก็ทั้งดื้อทั้งเกเรอย่างหนัก  หรือมีพฤติกรรมที่เป็นการรบกวนผู้อื่นเสมอ

                                  ♥ บทความแนะนำควรอ่าน : ลูกไฮเปอร์ กับสมาธิสั้น แตกต่างกันอย่างไร?

                                  ลูกมีปัญหาสุขภาพจิต

                                  3. โรคภาวะบกพร่องทางการเรียน 

                                  ภาวะบกพร่องทางการเรียน หรือ LD  (Learning Disability)  คือ  โรคที่ทำให้เด็กมีทักษะความสามารถในการเรียนต่ำ  ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ต้องทำความเข้าใจและทำใจยอมรับว่า  เด็กที่ป่วยเป็นโรคนี้เขาเรียนได้ไม่ดีไม่ใช่เพราะความขี้เกียจหรือเขาไม่ยอมเรียนหนังสือ  แต่เป็นเพราะความผิดปกติของสมอง  และเป็นโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม  เป็นเหตุให้ในสมองไม่มีโปรแกรมสำหรับการอ่านเขียน  ทำให้เขาแยกตัวหนังสือไม่ออก  อ่านไม่ได้  ไม่เข้าใจการสะกดคำ  และเขียนหนังสือไม่ถูก  เขาจึงอ่านและเขียนหนังสือช้ากว่าเพื่อน  เป็นเหตุให้มีผลการเรียนต่ำ  แม้พ่อแม่จะบีบบังคับเขาหนักหนาเพียงใด  หรือแม้ว่าเขาจะมีไอคิวสูงเกิน 140  ผลการเรียนก็อาจไม่ได้ตามที่พ่อแม่คาดหวังอยู่ดี

                                  อ่านต่อ >> “11 โรคจิตเวชในเด็ก ที่พ่อแม่ควรรู้” คลิกหน้า 2

                                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                   

                                    รีวิว โยเกิร์ต ยี่ห้อไหนดี เพื่อลูกน้อยและทุกคนในครอบครัว

                                    รีวิว โยเกิร์ต ยี่ห้อไหนดี …เพราะ โยเกิร์ต เป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากนมซึ่งดีต่อสุขภาพ แต่ในการทานโยเกิร์ตสำหรับเด็กนั้น ยังเป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่หลายคนกังวลว่า ลูกจะสามารถทานโยเกิร์ตได้หรือไม่ และอายุเท่าไหร่จึงจะทานโยเกิร์ตได้  แล้วโยเกิร์ต ยี่ห้อไหนดี สำหรับลูกน้อยของเรา หรือดีสำหรับตัวคุณแม่เองที่กำลังควบคุมน้ำหนัก ทาง Amarin Baby & Kids จึงได้รวบรวม โยเกิร์ต ที่ลูกน้อยกินได้ คุณแม่กินดี มาฝากค่ะ

                                    รีวิว โยเกิร์ต ยี่ห้อไหนดี สำหรับลูกน้อย

                                    รีวิว โยเกิร์ต ยี่ห้อไหนดี

                                    ♦ โยเกิร์ตทำมาจาก?

                                    โยเกิร์ต เป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น นมสด นมพร่องมันเนย หรือ นมถั่วเหลือง โดยการใช้แบคทีเรีย แลคโตบาซิลัส เอซิโดซิส และ สเตรปโตคอคคัส เทอร์โมฟิลลัส เป็นหลักใส่ลงไปหมักผลิตภัณฑ์นมต่างๆ แบคทีเรียเหล่านี้ช่วยย่อยน้ำตาลแลคโตสในนมให้เป็นกรดแลคติค ทำให้มีภาวะกรดและมีรสเปรี้ยว

                                    ♥ ประโยชน์ของโยเกิร์ต

                                    ซึ่งโยเกิร์ตมีประโยชน์เหมือนนมทั่วไป คือ มีแคลเซียมและโปรตีนสูง แต่สิ่งที่โยเกิร์ตพิเศษกว่านมและผลิตภัณฑ์นมประเภทอื่น เพราะมีจุลินทรีย์ แลคโตบาซิลัส ซึ่งเป็นจุลินทรีย์สุขภาพ ที่ช่วยดูแลลำไส้และระบบขับถ่าย ที่สำคัญ คือจุลินทรีย์นี้จะช่วยย่อยน้ำตาลแลคโตสและโปรตีนในนมไปแล้วระดับหนึ่ง เมื่อเด็กทานแล้วร่างกายสามารถดูดซึมสารอาหารไปใช้ได้ง่ายขึ้น

                                    อีกทั้งในเด็กที่มีอาการท้องผูก อันเนื่องมาจากการขาดเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพในลำไส้หรือมีเชื้อจุลินทรีย์เหล่านี้น้อย การกินโยเกิร์ตจะช่วยเพิ่มจุลินทรีย์ในลำไส้เพื่อช่วยในระบบขับถ่ายของเด็กได้   โดยในเด็กวัย 1 ปีขึ้นไป สามารถทานโยเกิร์ตได้ แต่ไม่เหมาะสำหรับเด็กที่มีอาการแพ้โปรตีนนมวัว 

                                    √ บทความแนะนำน่าอ่าน : นมดี 100% ให้ลูกดื่ม ในโครงการตามพระราชดำริของพ่อหลวง
                                    √ บทความแนะนำน่าอ่าน : รีวิวนมวัว 100% (รสจืด) ห้ามพลาด!! สำหรับลูกวัย 1 ขวบขึ้นไป
                                    √ บทความแนะนำน่าอ่าน : เทียบสารอาหาร นมสำหรับเด็กแพ้นมวัว

                                    และสำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักก็สามารถเลือกกินโยเกิร์ตรสธรรมชาติแบบไขมันต่ำ หรือไม่มีไขมัน ก็สามารถช่วยได้ เพราะโยเกิร์ต  ทำมาจากนมที่เกิดจากการหมักระหว่างนมและโปรไบโอติกส์ หรือแบคทีเรียชนิดดีที่ยังมีชีวิต เมื่อรับประทานเข้าไป แบคทีเรียเหล่านี้จะไปสร้างความสมดุลให้จุลินทรีย์ในลำไส้ ทำให้ระบบขับถ่ายดีขึ้นเป็นปกติ ทั้งยังเสริมสร้างสุขภาพโดยรวมให้ดีขึ้นอีกด้วย

                                    ทั้งนี้โยเกิร์ตที่ดีกับสุขภาพที่สุด คือ โยเกิร์ต รสธรรมชาติ แต่เด็กส่วนใหญ่จะไม่ชอบรสชาติที่จืดและเปรี้ยว คุณพ่อคุณแม่สามารถเติมผลไม้ที่ลูกชอบลงไปได้ เช่น ส้ม สตรอเบอรี่ หรือเลือกโยเกิร์ตรสผลไม้แทนได้ แต่ให้เลือกโยเกิร์ตที่มีปริมาณน้ำตาลน้อยเพื่อป้องกันไม่ให้ลูกติดหวานซึ่งอาจจะส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ แต่ก็ควรเลือกแบบที่มีไขมันด้วยนะคะ เพราะเด็กยังต้องการพลังงานจากไขมันอยู่ จึงไม่จำเป็นต้องหลีกเลี่ยง หรือทานโยเกิร์ตแบบไม่มีไขมัน

                                    ดังนั้นแล้ว เพื่อให้คุณแม่ๆ ได้เลือกซื้อโยเกิร์ตที่ดีเหมาะกับลูกน้อยและตัวเองจริง ๆ ทาง Amarin Baby & Kids จึงได้รวบรวมโยเกิร์ตรสธรรมชาติ มาเทียบสารอาหารกันแบบถ้วยต่อถ้วย ให้คุณแม่ได้พิจาณากันก่อนเลยค่ะ แล้ว โยเกิร์ต ยี่ห้อไหนดี สำหรับลูกน้อย และจะมีสารอาหารอะไรบ้าง ตามไปดูกันเลย

                                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                     

                                    อ่านต่อ “รีวิว โยเกิร์ต ยี่ห้อไหนดี สำหรับลูกน้อย” คลิกหน้า 2

                                    รีวิว โยเกิร์ต ยี่ห้อไหนดี

                                    √ ดูโยเกิร์ต รสธรรมชาติ แบบสูตรธรรมดา (เหมาะสำหรับลูกน้อย) คลิก!

                                    √ ดูโยเกิร์ต รสธรรมชาติ แบบไขมันต่ำ คลิก!

                                    √ ดูโยเกิร์ต รสธรรมชาติ แบบไม่มีไขมัน คลิก!