Page 194 – AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

เรียนเต้นที่ไหนดี

เรียนเต้นที่ไหนดี 6 พิกัดคลาสสอนเต้นยอดนิยม

เสียงเพลง จังหวะดนตรีประกอบสนุกสนานขึ้นมาเมื่อไหร่ คุณพ่อคุณแม่อาจจะสังเกตลูกรักฉายแววนักเต้นขึ้นมาทันที ได้กล้าแสดงออกไม่ว่าจะงานโรงเรียน หรือเวทีกิจกรรม แถมประโยชน์ของการเต้นมีมากมายเชียวล่ะ ทั้งการได้ออกกำลังกายที่ได้ครบทุกส่วนช่วยให้ร่างกายแข็งแรง การได้เคลื่อนไหวร่างกายได้แบบอิสระ ได้ปลดปล่อยความเครียด และยังได้ความสนุกสนาน ถ้าเห็นว่าลูกชอบมาทางนี้ละก็ พาลูกไป เรียนเต้นที่ไหนดี วันนี้ทีมแม่ ABK เลยมี 6 พิกัดคลาสเต้นยอดนิยม ให้คุณพ่อคุณแม่ได้เลือกสานฝันต่ยอดพัฒนาการลูกกันค่ ลองมองดูคลาสสอนเต้นให้ลูกไปชิมลางกันซักที่ มีที่ไหนน่าสนใจบ้าง มาดูเล้ยยย

เรียนเต้นที่ไหนดี 6 พิกัดคลาสสอนเต้นยอดนิยม ลูกชอบเต้นต้องไปให้สุด!

1.Bangkok Dance Academy

สถาบันบางกอกแดนซ์ (Bangkok Dance Academy) เปิดสอนศิลปะการเต้นทั้งแบบตะวันตกและตะวันออก โดยได้รับการรับรองหลักสูตรจากกระทรวงศึกษาธิการ และสถาบันศิลปะการเต้นชั้นนำที่ใด้รับการยอมรับจากทั่วโลก เปิดรับเด็ก ๆ ที่สนใจและชื่นชอบศิลปะการเต้นตั้งแต่อายุ 2 ขวบครึ่ง (มีและไม่มีประสบการณ์) มีหลายคลาสให้เลือกเรียน อาทิ Jazz, Hiphop, Cover Dance, Thai Dance, Street Dance ฯลฯ  และการเล่นบัตเล่ต์ ที่ถือว่าโดดเด่น แบ่งการสอนเป็น 2 ประเภท คือชั้นเรียนประจำ มุ่งเน้นในการพัฒนาเทคนิคการเต้นตั้งแต่ระดับพื้นฐาน เพื่อให้ได้มาตรฐานตามหลักสากลโดยนักเรียนมีสิทธิได้รับคัดเลือกเพื่อทำการสอบวัดผลจากสถาบันชั้นนำที่ได้รับการยอมรับระดับโลก พร้อมได้รับประกาศนียบัตรรับรองทุกปี และชั้นเรียนแบบเปิดกว้าง (เรียนแบบระยะยาว) ทั้งเฉพาะบุคคลและแบบกลุ่ม เน้นสอนเพื่อการแสดง การแข่งขัน ติวเพื่อสอบ เป็นต้น

Bangkok Dance Academy
Credit photo : www.facebook.com/bangkokdance.academy

Bangkok Dance Academy

Location: สำนักงานใหญ่เลขที่ 4, 4/5 อาคาร ZEN WORLD ชั้น 15 ถนนราชตำริ แขวงปทุมวัน เขตปทุมวัน กรุงเทพ 10330
อัตราค่าเรียน
– ลงทะเบียนแรกเข้า  500  บาท (ชำระครั้งเดียว)
– ค่าบำรุงสถานที่ 300 บาท /ปี
– ค่าเทอม เริ่มต้น 1,700  บาท /เดือน  (ชำระครั้งละ 3 เดือน)
**ระยะเวลาการเรียนเป็น 4 เทอม ต่อปี (หยุดวันนักขัตฤกษ์) โดยมีการเรียน 12 สัปดาห์/เทอม ส่วนสัปดาห์ที่ 13 จะเตรียมไว้สำหรับกิจกรรมสร้างเสริมประสบการณ์ต่าง ๆ ของสถาบันฯ
E-Mail : [email protected]
Phone : 02-255-6189, 090-983-8201
Facebook : bangkokdance.academy
Website: bangkokdanceacademy.com

2.DDance Thailand

อีกหนึ่งสถาบันสอนเต้นที่มีชื่อเสียง DDance Thailand ก่อตั้งโดย ครู อู๋ เปรมจิต อำนรรฆมณี Choreographer แถวหน้าของเมืองไทยผู้ออกแบบท่าเต้นให้กับศิลปินตัวจริงมากที่สุดในประเทศไทยมาเป็นระยะเวลาหลายสิบปี และได้รวบรวม Dancer มืออาชีพที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของศิลปินดาราในวงการมากมายมาเป็นครูฝึกสอนให้กับเด็ก ๆ ที่มีความฝัน ความมุ่งมั่น ความกล้า ความคิด และความเป็นตัวของตัวเองในด้านการเต้น ให้มีพื้นที่ในการพัฒนาศักยภาพ และทักษะการเป็นศิลปินคุณภาพบนพื้นฐานของความเป็นตัวจริง โดยที่นี่มีหลายคลาสที่พัฒนาหลักสูตรต่าง ๆ ของ D Dance School โดยฉพาะให้เลือกเต้น ได้แก่

DDance Thailand
DDance Thailand

ATP – Artist Program ATP หลักสูตรที่มุ่งเน้นการพัฒนาเยาวชนในด้านของทักษะการเป็นศิลปินที่มีความคิดสร้างสรรค์ ระเบียบวินัย และทัศนคติ โดยไม่ได้มุ่งเน้นไปในเชิงการแข่งขัน แต่เป็นการเพิ่มศักยภาพ เสริมสร้างความมั่นใจและความเป็นตัวตนของตนเอง โดยมีทั้งการเรียนกลุ่มและเรียนเดี่ยวแบบตัวต่อตัว (Private Class) และจะมีการจัดกิจกรรมการแสดงประจำแต่ละเทอม (Showcase) การแสดงคอนเสิร์ตประจำปี และกิจกรรมอื่น ๆ ตลอดทั้งปีเพื่อฝึกฝน ความกล้าในการแสดงออกบนเวทีจริงและพัฒนาทักษะการเป็นศิลปินแบบมืออาชีพ Life Style Class เรียนเต้นกับหลักสูตร A.T.O.D (Australian Teacher of Dance) หลักสูตรสอนเต้นระดับโลก สอนโดยครูมืออาชีพระดับประเทศในหลากหลายรูปแบบของการเต้น เช่น Extreme Dance, Pre Dance, Pink a Blink, Hiphop ATOD ที่จะได้ทั้งความสนุกและความสุขควบคู่กันไป

DDance Thailand
Credit photo www.facebook.com/DDanceSchool

DDance Thailand

Location: 19/14-15 อาคารรอยัลซิตื้ อเวนิว ถนนศูนย์วิจัย พระราม 9 ซอย8 แขวง บางกะปี เขตห้วยขวาง
Phone : 084 555 8890
Facebook : DDanceSchool
Website: www.ddancethailand.com

3.Groove Studio

Groove Studio สตูดิโอการเต้นที่เปิดสอนศิลปะการเต้นแบบสไตล์ Street Dance ระดับครบวงจร ซึ่งออกแบบหลักสูตรชัดเจนของตัวเอง โดยใช้ระบบคัดเลือกบุคลากผู้สอนจากด้าน Street Dance และระบบอบรมออดิชันอย่างจริงจัง เช่น Street Hip-hop Jazz Funk Contemporary Popping Locking B-Boy มีคลาส Cover Dance ที่ครูสอนเต้นออกแบบท่าเต้นจากเมโลดี้เพลงฮิตทั้งไทยและสากล โดยเปิดสอนตั้งแต่เด็ก ๆ ระดับเยาวชน 10-16 ปี กลุ่มวัยรุ่น 16-24 ปี และกลุ่มวัยทำงาน 24-40 ปี ใช้เวลาการเต้น 90 นาที/ ชั้นเรียน  และช่วงปิดเทอมมีคลาสสำหรับเด็กเล็ก 5-7 ปี และ 8-14 ปีที่สนใจและมีใจรักการเต้น มาพัฒนาทักษะการเต้นสนุกๆ ได้ออกกำลังกายด้วยนะคะ ขาแดนซ์ที่สนใจต้องลองไปเรียนซักคลาสกันดูนะคะ

Groove Studio
Credit photo www.facebook.com/groovestudiobangkok

Groove Studio

Location: อาคารเอเชีย 294/1 ถ.พญาไท กรุงเทพมหานคร 10400
อัตราค่าเรียน :
สำหรับคอร์สเรียน walk in ผู้ที่ไม่ได้เป็นสมาชิก จำหน่ายเป็นคูปอง 450บาท / ใบ  (ซื้อเป็นคูปองชุด ราคา4,200 บาท/ 10ใบ)
สมาชิก ซื้อคูปองในราคา 350บาท/ใบ (คูปองชุด ราคา 3,500บาท/ 10ใบ)
**ค่าสมาชิกเเรกเข้า 500 บาท (แถมคูปองฟรีทดลองเรียน 2 ใบ)
Phone : 02 611 1598 / 085-188-3304
Line@:
@Groove Studiobkk

Facebook: groovestudiobangkok

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

อ่านต่อ 6 พิกัดคลาสสอนเต้น ต่อยอดพัฒนาการลูก คลิกหน้า 2

    พาลูกเที่ยวโครงการพระราชดำริ

    พาลูกเที่ยวโครงการพระราชดำริ 4 เส้นทางตามรอยพ่อ

    เส้นทางท่องเที่ยวโครงการพระราชดำริของในหลวง รัชกาลที่ 9 ถือว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจไม่น้อย แถมยังมีอยู่หลายแห่งตามจังหวัดทั่วประเทศไทย อีกทั้งการเดินทางไปเที่ยวชมยังมีส่วนช่วยสร้างรายได้และอาชีพให้กับชาวบ้านในแต่ละพื้นที่ ให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นด้วยนะคะ วันหยุดสุดสัปดาห์นี้ พาลูกเที่ยวโครงการพระราชดำริ 4 เส้นทางตามรอยพ่อ ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวและเรียนรู้ที่จะทำให้เจ้าตัวเล็กได้ประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่น่าจดจำ มีที่ไหนบ้างไปดูกันเลย

    พาลูกเที่ยวโครงการพระราชดำริ 4 เส้นทางตามรอยพ่อ

     1.โครงการพัฒนาพื้นที่หนองใหญ่ตามพระราชดำริ จ.ชุมพร

    โครงการพัฒนาพื้นที่หนองใหญ่ เป็นแก้มลิงขนาดใหญ่ หลายคนเรียกพื้นที่ธรรมชาติกว้างใหญ่แห่งนี้ว่า “แก้มลิงหนองใหญ่สร้างขึ้นตามพระราชดำริของในหลวง รัชกาลที่ 9 เพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมในจังหวัดชุมพรที่เกิดขึ้นมาโดยตลอด และเป็นแหล่งน้ำสำรองสำหรับการเกษตรและผลิตน้ำประปาสำหรับชุมชนในอนาคต หลังจากนั้นชาวชุมพรก็ร่วมแรงร่วมใจกันสานต่อพระราชดำริ เกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียงด้วยการสร้างศูนย์ความรู้โครงการหนองใหญ่ขึ้นเพื่อเป็นแนวทางการใช้ชีวิตเรียบง่ายให้กับชาวบ้านและบุคคลที่สนใจ

    โครงการพัฒนาพื้นที่หนองใหญ่ตามพระราชดำริ จ.ชุมพร
    เครดิตภาพจาก www.facebook.com/DeSeaAlmond

    โดยพื้นที่ในโครงการแบ่งออกเป็น 3 ส่วนด้วยกัน คือส่วนของป่าธรรมชาติ ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของหมู่นกต่างๆ หลากหลายพันธุ์ ส่วนของการทำเกษตร แปลงนาทดลอง ที่เป็นศูนย์การเรียนรู้และพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติที่มีชีวิตให้เกษตรกร นักเรียน นักศึกษา และบุคคลทั่วไปมาฟังบรรยายงานอยู่เสมอ และส่วนของเกาะเลข 9 คือ อาคารของหน่วยอนุรักษ์และจัดการต้นน้ำพะโต๊ะ โดยส่วนนี้การจัดโฮมสเตย์ที่พักได้จริงเพื่อสร้างงานให้เกิดขึ้นในชุมชน มีการทำแปลงสมุนไพรพืชผักต่าง ๆ นาข้าว การทำไบโอดีเซล ยังมีการสอนเลี้ยง กบ หมู ไก่ ปลา ทั้งนี้เพื่อสร้างงานให้เกิดขึ้นในชุมชน ให้ชาวบ้านได้มีเทคนิคในการทำมาหากินเพิ่มขึ้น ส่วนนักท่องเที่ยวก็ได้เก็บเกี่ยวเกร็ดความรู้ต่าง ๆ กลับบ้าน

    โครงการพัฒนาพื้นที่หนองใหญ่ตามพระราชดำริ จ.ชุมพร
    เครดิตภาพจาก www.facebook.com/DeSeaAlmond

    ส่วนไฮไลท์ที่เป็นอันซีนของที่นี่คือ “สะพานไม้เคี่ยม” สะพานที่สร้างขึ้นมาจากไม้เคี่ยม ซึ่งเป็นไม้เนื้อแข็งที่มีมากในภาคใต้ มีความแข็งแกร่ง ทนทั้งน้ำจืดน้ำเค็ม ทอดยาวไปเชื่อมต่อกับเกาะขนาดเล็กตรงกลางบ่อน้ำ ยาวประมาณ 1 กิโลเมตร มองจากด้านบนจะเห็นสะพานรูปร่างคล้ายตัว S คดโค้งดูแปลกตา สามารถเดินบนสะพานเพื่อเข้าไปยังเกาะเล็ก ๆ กลางบ่อน้ำได้ บนเกาะเต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ร่มรื่น สามารถเดินเล่นรอบเกาะเพื่อชมทิวทัศน์ของทั้ง 2 ฝั่งสะพานได้ เป็นการมาเที่ยวชมกับธรรมชาติอย่างเต็มที่ ถือว่าเป็นเส้นทางพาลูกเที่ยวตามโครงการพระราชดำริอีกหนึ่งแหล่งที่ต้องห้ามพลาดกันเลย

    สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม www.chppao.go.th

    2.โครงการช่างหัวมันตามพระราชดำริ จ.เพชรบุรี

    โครงการช่างหัวมันตามพระราชดำริ อยู่ในความดูแลของกองทัพภาคที่ 1 ในหลวงรัชกาลที่ 9 มีพระราชดำริให้จัดหาที่ดิน เพื่อทำโครงการด้านเกษตร พัฒนาเป็นศูนย์รวบรวมพืชเศรษฐกิจนานาชนิด เพื่อเป็นแนวทางให้กับเกษตรกร โดยเฉพาะในพื้นที่อำเภอท่ายางจังหวัดเพชรบุรี ที่มีพื้นที่ค่อนข้าง แห้งแล้ง ปัจจุบันภายในโครงการฯ ได้จัดสรรทำการเกษตรเป็นอย่างดี มีทั้งแปลงพืชเศรษฐกิจที่ปลูกหลายชนิด อาทิ สับปะรด มะนาว มะพร้าว รวมทั้งมันเทศ นอกจากนี้ยังมีการปลูกไม้ผล พืชไร่ และพืชผักต่าง ๆ อาทิ แก้วมังกร ชมพู่เพชร กล้วย ฟักทอง กะเพรา โหระพา พริก ฯลฯ  มีแปลงปลูกข้าวทั้งข้าวเจ้าและข้าวเหนียว ปลูกยางพารา โดยทั้งหมดนี้จะเน้นไม่ให้มีการใช้สารเคมี หรือหากต้องใช้ก็ต้องมีในปริมาณที่น้อยที่สุด และมีฟาร์มโคนม ฟาร์มไก่ แปลงเกษตรที่จัดเป็นสวนสวยสำหรับนักท่องเที่ยวที่แวะมาเยี่ยมชม บนพื้นที่ 250 ไร่ จากพื้นดินที่เคยแห้งแล้งกลับมาชุ่มชื่นเต็มไปด้วยพื้นที่สีเขียวอีกครั้ง

    โครงการช่างหัวมันตามพระราชดำริ
    เครดิตภาพจาก www.facebook.com/Triptothailand2017

    ส่วนหนึ่งของโครงการนี้ได้ให้ภาครัฐและชาวบ้านร่วมกันดูแล และได้เปิดเป็นแหล่งเรียนรู้ให้ทุกคนทุกเพศทุกวัยได้เข้ามาศึกษา มีรถรางพาชมทั่วไร่พร้อมวิทยากรบรรยายตามแต่ละจุด เพื่อให้ความรู้ด้านการเกษตร หรือจะปั่นจักรยานชมรอบโครงการ ที่จะได้ชื่มชนกับบรรยากาศธรรมชาติล้อมด้วยภูเขาและพื้นที่การเกษตร ปัจจุบันโครงการช่างหัวมันตามพระราชดำรินี้ได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางการเกษตรที่มีชื่อเสียงของจังหวัดเพชรบุรี

    โครงการชั่งหัวมันตามพระราชดำริ

    เปิด-ปิด : ตั้งแต่เวลา 09.00 น. ถึง 16.30 น.
    ค่าบริการเข้าชม: ผู้ใหญ่ ( อายุ 15 ปีขึ้นไป ) คนละ 20 บาท / เด็ก (สูงไม่เกิน 130 ซม.) นักเรียน นิสิต นักศึกษา ในเครื่องแบบคนละ 10 บาท /พระสงฆ์ สามเณร แม่ชี นักบวช ผู้พิการ และเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 3 ขวบ ได้รับการยกเว้นค่าบริการ
    โทรศัพท์ : 032 472 701
    สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม www.phetchaburi.go.th

     

    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

     

    อ่านต่อ พาลูกเที่ยว 4 เส้นทางตามรอยพ่อ คลิกหน้า 2

      วอลดอร์ฟ

      10 ข้อที่จะทำให้แม่ๆ รู้จักโรงเรียนแนว วอลดอร์ฟ มากขึ้น

      แนวการสอนแบบ วอลดอร์ฟ (Waldorf Method) เป็นรูปแบบการศึกษาในฐานะหลักสูตรโรงเรียนทางเลือกหรือโรงเรียนแนวบูรณาการ เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่คุณพ่อคุณแม่ในยุคนี้เริ่มหันมามอง และศึกษาหาข้อมูล สำหรับเจ้าตัวน้อยที่กำลังจะเข้าเรียน ซึ่งในปัจจุบันโรงเรียนทางเลือกเริ่มเป็นที่ผู้ปกครองนิยมมากขึ้น เพราะมีรูปแบบแนวการสอนที่แตกต่างจากโรงเรียนกระแสหลัก แต่เป็นโรงเรียนที่มีกฎหมายรองรับและจัดการศึกษาที่อิงกับระบบของกระทรวงศึกษาธิการเช่นกัน แตกต่างตรงที่โรงเรียนจะนำการเรียนการสอนมาประยุกต์และปรับใช้ให้เหมาะสม เน้นเรียนรู้ผ่านกิจกรรม การลงมือทำ การเล่น ทั้งในและนอกห้องเรียน ซึ่งโรงเรียนทางเลือกเองก็มีรูปแบบการศึกษาที่หลากหลาย แต่สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่สนใจแนวการสอนแบบวอลดอร์ฟ ว่ามีรูปแบบการเรียนการสอนอย่างไร มาทำความรู้จักกันค่ะ

      10 ข้อที่จะทำให้แม่ๆ รู้จักโรงเรียนแนว วอลดอร์ฟ มากขึ้น

      1.แนวคิดการศึกษาวอลดอร์ฟ เกิดขึ้นในต้นศตวรรษที่ 20 โดยรูดอร์ฟ สไตเนอร์ (Rudolf Steiner) นักปราชญ์ผู้ก่อตั้งการศึกษา วอลดอร์ฟ ที่เชื่อว่า “สิ่งแวดล้อมที่ดีจะช่วยให้เกิดการเรียนรู้ที่ดี” เด็กวัยแรกเกิดถึง 7 ปี เป็นวัยที่เรียนรู้จากการเลียนแบบทั้งท่าทางและคำพูดจนไปถึงการเลียนแบบลึกลงไปถึงอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด ดังนั้นการเรียนรู้ของเด็กจึงเป็นการเรียนผ่านจิตใต้สำนึกซึ่งก็จะส่งผลต่อสุขภาพกาย กริยาท่าทาง อารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด โดยไม่รู้ตัว การจัดการศึกษาจึงต้องคัดเลือกสิ่งที่ดีงามให้แก่เด็กและปกป้องเด็กจากสิ่งที่จะทำลายความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาซึ่งเป็นความดีงามที่ติดตัวเด็กมา

      2.การจัดบรรยากาศการเรียนการสอนทั้งภายในและภายนอกห้องเรียน อาคารเรียนและบริเวณโรงเรียน เป็นองค์ประกอบสำคัญของการศึกษาวอลดอร์ฟ ความงดงามของธรรมชาติจะปรากฎอยู่ทั้งกลางแจ้งและภายในอาคาร เช่น การจัดสีที่นุ่มนวล ที่ช่วยทำให้เด็กรู้สึกถึงความรักความอบอุ่น และช่วยให้ร่างกายสดชื่นแจ่มใส ไม่เคร่งเครียด ภายในห้องเรียนให้ได้รับแสงสว่างจากธรรมชาติที่ไม่จ้าเกินไปหรือมืดทึมเกินไปช่วยให้เด็กปรับตัวให้เรียนรู้ได้โดยไม่ต้องอาศัยสิ่งเร้าเกินจำเป็น ตลอดจนเสียงที่เกิดจากสิ่งแวดล้อม เช่น เสียงนกร้อง ลมพัด ใบไม้ไหว น้ำไหลริน หรือเสียงดนตรีและเพลงที่ไพเราะอ่อนโยน และแม้แต่ความเงียบ จะช่วยสร้างความรู้สึกอบอุ่น อ่อนโยน และสดชื่นในจิตใจเด็ก ช่วยให้เด็กสงบ มีพลัง ตื่นตัว และมีสมาธิต่อจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ในการเรียนรู้ ทั้งหมดนี้เป็นส่วนสำคัญในการจัดบรรยากาศเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ผ่านทั้งจิตใต้สำนึกของเด็กตลอดทั้งวัน

      3.เป้าหมายของการศึกษาวอลดอร์ฟคือ ให้ความสำคัญกับการพัฒนามนุษย์ โดยมุ่งเน้นพัฒนาเด็กให้บรรลุศักยภาพสูงสุดที่ตนมี สามารถกำหนดความมุ่งหมาย และแนวทางแก่ชีวิตได้อย่างอิสระตามกำลังความสามารถของตัวเอง เป็นมนุษย์ที่มีบุคลิกภาพสมดุลกลมกลืนกับโลกและสิ่งแวดล้อม ดังนั้นการศึกษาระบบวอลดอร์ฟจึงเน้นเรื่องของการเชื่อมโยงมนุษย์กับจักรวาล มีมุมมองว่า เด็กควรได้เล่นอย่างอิสระ ชีวิตเรียบง่าย กลมกลืนกับธรรมชาติ สอนให้เด็กได้รู้จักจุดยืนที่สมดุลของตนในการใช้ชีวิตอยู่บนโลก ผ่านกิจกรรม 3 อย่างได้แก่ กิจกรรมทางกาย (การลงมือทำ) อารมณ์ความรู้สึก และการคิด และเน้นให้เด็กได้ใช้พลังทุกด้าน ไม่ว่าจะด้านสติปัญญา ด้านศิลปะ และด้านการปฎิบัติอย่างพอเหมาะ

      แนวคิด ทฤษฎี วอลดอร์ฟ

      4.หลักสูตรวอลดอร์ฟในระดับปฐมวัยจะไม่มีการแบ่งเนื้อหาสาระเป็นวิชา วิชาการจะยังไม่ถูกสอนในช่วงปีแรก ๆ ของการเรียน แต่จะเป็นการจัดเนื้อหาสาระบูรณาการออกมาในรูปของประสบการณ์ผ่านกิจกรรมการเล่นและการดำเนินชีวิต เน้นให้ความสำคัญกับจินตนาการของผู้เรียนและการกลมกลืนกับธรรมชาติเชื่อมโยงกัน ซึ่งก็จะพบว่าเนื้อหาสาระเหล่านี้ถูกบูรณาการรวมกับในแง่วิชาต่าง ๆ ได้อย่างกลมกลืน สร้างสมดุลระหว่างศิลปะ วิทยาการ ดนตรี จริยธรรม และการฝึกฝนทักษะชีวิตประจำวัน เป็นการปูพื้นฐานสำหรับคุณสมบัติที่ดีงามแห่งความเป็นมนุษย์ซึ่งจะติดตัวเด็กไปจนตลอดชีวิต

      5.หลักสูตรวอลดอร์ฟทุกชั้นไม่ว่าจะระดับอนุบาลไปจนถึงประถมจะเป็นเอกภาพต่อเนื่องกัน คือ กำหนดขึ้นโดยมีเด็กอยู่ในใจ สอดคล้องกับพัฒนาการในแต่ละวัย ผ่านทางกาย อารมณ์ ความคิด ตอบสนองต่อศักยภาพในตัวเด็กซึ่งกำลังต้องการพัฒนาไปมากที่สุดในช่วงระยะนั้น เด็กจะเรียนรู้โดยผ่านการปฏิบัติด้วยตนเองในสภาพการณ์ที่เป็นจริง การเรียนการสอนไม่ได้เป็นไปโดยผ่านตำราแบบเรียน แต่ผ่านครูไปสู่นักเรียนโดยตรง โดยครูให้การศึกษาต่อเด็กจากประสบการณ์และความรู้ของตนอย่างมีศิลปะ มีชีวิตชีวา ไม่ใช่เพียงถ่ายทอดข้อมูลในตำรา ในโรงเรียนวอลดอร์ฟครูประจำชั้นจะเลื่อนชั้นตามลูกศิษย์ไปตั้งแต่ป. 1 จนถึงม. 2

       

      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

      อ่านต่อ 10 ข้อที่จะทำให้รู้จักโรงเรียนแนววอลดอร์ฟมากขึ้น คลิกหน้า 2

        วันเด็ก 2563 อพวช.

        วันเด็ก 2563 เด็กเข้าฟรี 4 พิพิธภัณฑ์ อพวช.คลองห้า ปทุมธานี

        ทีมแม่ABK มีข่าวดีมาบอกค่ะ วันเด็ก 2563 ปีนี้ อพวช.เปิดให้เด็กเข้าฟรี จุใจถึง 4 พิพิธภัณฑ์มอบเป็นของขวัญให้กับน้องๆ หนูเนื่องในวันเด็กแห่งชาติ ได้แก่ พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์, พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยา, พิพิธภัณฑ์เทคโนโลยีสารสนเทศ และพิพิธภัณฑ์พระรามเก้า ซึ่งเพิ่งเปิดใหม่สดร้อนๆ ยังไม่ถึงเดือนเลย โดยทั้ง 4 พิพิธภัณฑ์ตั้งอยู่ภายในเทคโนธานี คลอง 5 อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ค่ะ

        สำหรับเด็กๆ ที่เข้าร่วมกิจกรรม วันเด็ก 2563 ณ องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ มีรายละเอียดกิจกรรมที่น่าสนใจ ด้านล่างนี้ค่ะ

        สถานี พวท.

        กิจกรรม

        รายละเอียด

        วิทยาศาสตร์ภูมิปัญญาไทยแมลงปอสมดุลเรียนรู้เรื่องราววิทยาศาสตร์ในของเล่นภูมิปัญญาไทยในเรื่องของสมดุลทั้งยังแทรกเรื่องราวการดำรงชีวิตและธรรมชาติวิทยา เช่นธรรมชาติของแมลงปอในการเกาะบนกิ่งไม้

         

        กำหมุนบินสนุกกับการประดิษฐ์และแข่งขันกำหมุนบิน พร้อมเรียนรู้เรื่องราววิทยาศาสตร์ในของเล่นภูมิปัญญาไทยในเรื่องของแรงยก

         

        Play and Learnหลุมหลอกตา

         

        เรียนรู้เรื่องราวการหักเหของแสงและเล่นเกมส์หลุมหลอกตาสนุกๆพร้อมได้รับของรางวัลต่างๆมากมาย

         

         

         

        ป๊อปคอร์น

         

        อะไรหนอที่ทำให้ป๊อปคอร์นแตกฟู มาเรียนรู้วิทยาศาสตร์ที่อยู่ในป๊อปคอร์น พร้อมได้รับประทานป๊อปคอร์นแสนอร่อยแบบฟรีๆอีกด้วย

         

         

         

        สายไหม

         

        ขนมสายไหมสีสวยๆเป็นปุยนุ่ม และหวานละลายในปาก ทำมาจากอะไรเรียนรู้ผ่านกิจกรรมสนุกๆกับขนมสายไหม

         

         

         

        เติมแร่แก้เหนื่อย

         

        มาเติมแร่แก้เหนื่อยให้กับร่างกายในการทำน้ำหวานสีสวยแสนอร่อยมาเรียนรู้กันว่าในน้ำหวานที่เราทานไปนั้นมีแร่ธาตุอะไรบ้างที่จำเป็นต่อร่างกาย

         

         

         

         

        ไอติม

         

        เรียนรู้เรื่องราวหลักการทางวิทยาศาสตร์ในการทำไอติมว่าไอติมแข็งตัวได้อย่างไร และได้ทดลองทำไอติมแสนอร่อยด้วยตัวเอง

         

        เวทีกลางกิจกรรมเวทีกลางสนุกกับกิจกรรมต่างๆบนเวทีและแจกฟรีของรางวัลมากมาย

         

        FunScience 

        ช็อกโกแลตแปลงกาย

        เรียนรู้เกี่ยวกับส่วนประกอบ ชนิดและประโยขน์ของช็อกโกแลต ผ่านกิจกรรมสนุกๆ ง่ายๆและได้ประโยชน์

         

         

         

        ECO  BAG

         

        ส่งเสริมจินตนาการสร้างสรรค์กับผลงานลายเส้นบนผืนผ้า เพื่อให้เด็กเห็นคุณค่าของการใช้ทรัพยากรและช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมโดยสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้จริง

         

        หน้าผาปีนหน้าผาสนุกท้าทายไปกับการปีนหน้าผาจำลองพร้อมทั้งได้รับรางวัลต่างๆมากมาย

         

        Enjoy maker SpaceEnjoy maker Spaceเป็นกิจกรรมที่เน้นลงมือปฏิบัติจากการประดิษฐ์ ชิ้นงาน อุปกรณ์ หรือของเล่นทางวิทยาศาสตร์ เสริมสร้างการเรียนรู้ด้าน STEAM  โดยใช้เครื่องมือพื้นฐาน ในการประดิษฐ์สิ่งประดิษฐ์ต่างๆ

         

        กิจกรรมในตึกลูกเต๋าScience Dome + ตึกพวท.Science Dome เรียนรู้เรื่องราวของวิทยาศาสตร์และดาราศาสตร์ ผ่านภาพยนตร์สามมิตินรูปแบบ full dome ในโรงภาพยนตร์แบบโดม

        ในส่วนของกิจกรรมบนเวทีกลาง ณ หน้าพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยา ยังมีกิจกรรมประกวดชุดแฟนซี ชุด “ความหลากหลายทางชีวภาพ” ด้วยนะคะ

        ประกวดชุดแฟนซี วันเด็ก 2563
        กิจกรรมประกวดชุดแฟนซี วันเด็ก 2563

        การประกวดแบ่งเป็น 2 รุ่นการประกวด (จำนวนรุ่นละ 50 คน)

        – รุ่นเด็กเล็ก อายุ 3-7 ปี

        – รุ่นเด็กโต อายุ 7-12 ปี

        เกณฑ์การตัดสิน

        • ความสวยงาม
        • ความคิดสร้างสรรค์
        • การตอบคำถาม 1 คำถาม  “ชุดของหนูเกี่ยวข้องกับความหลากหลายทางชีวภาพอย่างไร”

         

        ผู้สนใจสามารถสมัครได้ในงานวันเด็กแห่งชาติ 2563 ณ องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ

        10.00-12.00 น. เปิดรับสมัคร บริเวณด้านหน้าอาคารพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยา

        13.30-15.30 น.ประกวดเดินบนเวทีโชว์ตัวพร้อมตอบคำถาม “ชุดของหนูเกี่ยวข้องกับความหลากหลายทางชีวภาพอย่างไร”

        15.30 -16.30 น. ประกาศผลการตัดสิน (การตัดสินของคณะกรรมถือเป็นที่สิ้นสุด)

         

        วันเด็กปีนี้ หากคุณพ่อคุณแม่ยังไม่รู้จะพาน้องๆ ไปเที่ยวที่ไหน ลองไปเปิดโลกกว้างกับ 4 พิพิธภัณฑ์ของอพวช. รับรองว่าไปแล้วอยากไปอีก เพราะสนุกจุใจแน่นอนค่ะ

        สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ(อพวช.) เทคโนธานี ต.คลองห้า อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี 12120  โทร.0 2577 9999 http://www.nsm.or.th/

          มอนเตสเซอรี่

          6 กิจกรรมเล่นกับลูกสไตล์ มอนเตสเซอรี่ เสริมทักษะให้ลูกง่ายๆ ได้ที่บ้าน

          แนวการสอนแบบ มอนเตสเซอรี่ (Montessori) ถูกริเริ่มคิดและจัดตั้งโดย ดร.มาเรีย มอนเตสซอรี่ จากความเชื่อในการจัดการศึกษาให้แก่เด็กที่ว่า การให้การศึกษาในระยะแรกนั้น ไม่ใช่การเอาความรู้ไปบอกให้เด็ก แต่ควรเป็นการปลูกฝังให้เด็กได้เจริญเติบโตไปตามความต้องการตามธรรมชาติของเขา และการให้เด็กเติบโตไปตามขั้นตอนของความสามารถนั้น ควรจะสอนให้สัมพันธ์กับความต้องการของเด็ก ตลอดจนการจัดสิ่งแวดล้อมรอบตัวจนเกิดความอยากรู้ อยากเห็น และแสวงหาความรู้อย่างมีสมาธิ รวมทั้งเตรียมอุปกรณ์การสอนต่าง ๆ ขึ้นมาใช้ เพื่อให้เด็กเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างอิสระในขอบเขตที่กำหนดไว้ โดยเปิดโอกาสให้เด็กได้ทดลองกับอุปกรณ์จริงหรือสถานการณ์จริง เรียนรู้ผ่านการเล่น โดยผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 มีการใช้สื่ออุปกรณ์ในรูปแบบเฉพาะ ที่ช่วยให้เด็กเข้าใจง่าย

          ซึ่งกิจกรรมแนวมอนเตสเซอรี่ที่ทีมแม่ ABK นำมาฝากคุณพ่อคุณแม่ไว้เล่นกับลูกนั้น เป็นกิจกรรมที่ทำได้ง่าย ๆ ที่จะช่วยให้เด็ก ๆ ได้ผ่อนคลาย สนุกสนาน พร้อมทั้งเสริมทักษะ สามารถจัดหาวัสดุอุปกรณ์มาประยุกต์ทำเองได้ มีกิจกรรมน่าสนใจอะไรบ้าง มาดูกันค่ะ

          6 กิจกรรมเล่นกับลูกสไตล์ มอนเตสเซอรี่ เสริมทักษะให้ลูกง่ายๆ ได้ที่บ้าน

          #1 รีไซเคิลรักษ์โลก

          เพียงแค่เตรียมถังขยะแยกประเภทการทิ้งระหว่างถังขยะทั่วไป ถังรีไซเคิล ถังขยะเปียก แล้วสอนลูกให้ทิ้งขยะลงในภาชนะที่เหมาะสม เท่านี้ก็เป็นการให้ความรู้ด้านสิ่งแวดล้อมและเป็นการช่วยเซฟเดอะเวิลด์ไปด้วยนะจ๊ะ

          #2 จับคู่ถุงเท้า

          ถุงเท้าของลูกหลังจากซักตากแห้งเรียบร้อยแล้ว ก็นำมาให้เด็ก ๆ จับคู่ถุงเท้าที่ตรงกัน กิจกรรมง่าย ๆ แบบนี้เป็นการเสริมทักษะทางคณิตศาสตร์ และทักษะประสานงานของมือและตาให้กับเจ้าตัวน้อยได้อย่างดีเยี่ยม!

          #3 กำหรือหยิบถั่ว

          ใช้เมล็ดถั่วแดงพร้อมกับถ้วย 3 ใบ ให้ลูกใช้มือข้างที่ถนัดกำเมล็ดถั่วจากภาชนะที่ 1 ไปใส่ภาชนะที่ 2 และเมื่อถั่วเต็มภาชนะที่ 2 ให้กำไปใส่ในภาชนะที่ 3 เมื่อเต็มแล้วกำถั่วกลับไปใส่ภาชนะที่ 2 และ 1 อีกตามลำดับ กิจกรรมนี้เด็ก ๆ จะได้เรียนรู้จากการสัมผัสวัตถุที่แตกต่างจากวัตถุอื่น ได้พัฒนากล้ามเนื้อมือมัดเล็ก หรืออาจจะใช้เมล็ดถั่วแค่ 10 เม็ด แล้วเพิ่มทักษะคณิตศาสตร์ด้วยการนับเลข 1-10 ให้เจ้าตัวน้อยได้รู้จักตัวเลขเพิ่มขึ้นก็ได้ค่ะ

          สื่อมอนเตสซอรี่ทําเอง

          #4 เทน้ำใส่แก้ว

          เริ่มต้นด้วยการใช้สีผสมอาหารผสมกับน้ำเปล่าเพิ่มสีสันดึงดูดสำหรับการเล่นกิจกรรมนี้ลงในเหยือก จากนั้นให้ลูกเทน้ำใส่แก้ว 3 ใบ เมื่อเทหมดก็สามารถนำน้ำจากแก้วเทกลับใส่เหยือกให้เด็กเล่นซ้ำไปมาได้ตามความพอใจ กิจกรรมนี้เด็ก ๆ จะได้ทักษะของการประสานงานระหว่างมือและตา นอกจากนี้ทักษะที่ฝึกจนคล่องแคล่ว จะนำไปสู่การช่วยทำงานบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างเช่น การช่วยเทส่วนผสมต่าง ๆ ภายในครัว ไม่ว่าจะเป็นการเทของเหลวหรือสิ่งของต่าง ๆ อย่าง น้ำตาล เกลือ การรองน้ำ เป็นต้น ซึ่งการให้ลูกมีส่วนร่วมในกิจกรรมง่าย ๆ เหล่านี้อย่างอิสระก็จะได้เรียนรู้ทักษะชีวิต ได้เห็นคุณค่าในตัวเอง มีความมั่นใจ เมื่อได้ทำในสภาพแวดล้อมที่ตัวเองเป็นศูนย์กลาง

          กิจกรรมมอนเตสซอรี่ มีอะไรบ้าง

          #5 ตักถั่วลงถ้วย

          ให้เด็กใช้มือที่ถนัดจับช้อนแล้วตักถั่วในถ้วยไปใส่ในถ้วยอีกใบจนหมด เมื่อตักหมดก็สามารถตักกลับใส่ถ้วย เล่นซ้ำไปมาได้ตามความพอใจ เป็นการฝึกทักษะการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก และการทำงานประสานระหว่างมือกับตา

          #6 วางให้ถูกเลข

          เกมนี้คุณพ่อคุณแม่ต้องสร้างบัตรเลข 1-10 ขึ้นมา จากนั้นให้เตรียมกระดุม ลูกปัด หรือฝาเครื่องดื่ม อย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อเป็นเบี้ย จากนั้นคุณแม่ขานเลือกเลขให้ลูกวางเบี้ยในบัตรเลขให้ถูกต้อง ระหว่างเล่มเกมก็อาจจะใช้คำถามเรื่องจำนวนเลขคี่ เลขคู่ เช่น เลข 1 เบี้ยมีคู่ไหมคะ เลข 2 มีคู่ เพราะมีเบี้ย 2 ตัวใช่ไหมคะ ใช้คำถามไปจนครบถึงหมายเลข 10 จากนั้นทบทวนอีกครั้งโดยการชี้ที่ตัวเลขแล้วให้ลูกบอกว่าแต่ละจำนวนอะไรคือจำนวนคู่และคี่ ในเกมนี้เด็ก ๆ จะได้เรียนรู้เรื่องการนับจำนวนตัวเลข 1-10 เรียนรู้จำนวนเลขคู่และจำนวนเลขคี่

           

          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

           

          อ่านต่อ ประโยชน์ที่เด็กจะได้รับจากกิจกรรมแนวมอนเตสเซอรี่ คลิกหน้า 2

            ที่พักรถบ้าน

            8 ที่พักรถบ้าน ถูกใจลูก เนรมิตห้องนอนในรถ ล้อมด้วยธรรมชาติ

            เทรนด์พาลูกท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ ที่เปิดโอกาสให้เด็ก ๆ ได้ใกล้ชิดกับภูเขา ทะเล ต้นไม้ ใบหญ้า สายน้ำ ลำธาร เริ่มเป็นที่สนใจคุณพ่อคุณแม่หลายครอบครัวในยุคนี้เพิ่มมากขึ้น และแน่นอนว่าที่พักสำหรับครอบครัวก็มีรองรับได้หลากหลายสไตล์ขึ้นด้วย วันนี้ทีมแม่ ABK มี ที่พักรถบ้าน เปลี่ยนบรรยากาศที่พักแบบเดิม ๆ ตื่นขึ้นมาก็สัมผัสได้ถึงธรรมชาติที่อยู่ตรงหน้า ส่วนภายในไม่ต้องพูดถึง มีสิ่งอำนวยความสะดวกสบายไม่แพ้ห้องพักกันเลยทีเดียว รับรองว่าถูกใจเจ้าตัวเล็กจะได้นอนฟินอย่างแท้ทรู มีที่ไหนบ้างมาดูกันเลยค่ะ

            8 ที่พักรถบ้าน ถูกใจลูก เนรมิตห้องนอนในรถ ล้อมด้วยธรรมชาติ

            #1 แอร์สตรีม แคมป์ไซต์ ปราณบุรี, จ.ประจวบคีรีขันธ์

            Airstream Campsite Pranburi
            Airstream Campsite Pranburi

            ว่ากันว่าทะเลทางใต้นั้นสวย สะอาด น้ำทะเลใส ไม่แพ้ภาคไหน ๆ แถมได้มานอนพักฟินในบรรยากาศห้องพักรถบ้านที่ แอร์สตรีม แคมป์ไซต์ ปราณบุรี แคมป์กราวดน์สุดพรีเมี่ยมบนธรรมชาติกว่า 6 ไร่ ที่สามารถเลือกห้องพักสำหรับการนอนพักผ่อนธรรมชาติสวย ๆ สร้างบรรยากาศแคมปิ้งในมุมที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน ทั้งในแบบโซนริมทะเลสาป และโซนกลางป่าริมสระว่ายน้ำ บนรถบ้านสไตล์อเมริกัน ที่ทุกคันอิมพอร์ตจากอเมริกา ในแบบ King of caravans มีหลากหลายขนาด ทั้งแบบรถบ้านคันเล็ก (Zone Wyoming) และรถบ้านคันใหญ่ (Zone Colorado) พร้อมอาหารเช้าแบบ A La Carte และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ภายในรถ เช่น เครื่องปรับอากาศ, ตู้เย็น, สบู่, ยาสีฟัน แปรงสีฟัน, แชมพู และชุดโต๊ะเก้าอี้ Camping Snowline เป็นต้น ภายในห้องพักสะอาด สะดวกสบาย ที่นอนนุ่ม ชวนนอนหลับสบาย ส่วนช่วงค่ำก็ปาร์ตี้บาร์บีคิวกันซู่ซ่าหน้ารถบ้านแบบไพรเวทสุด ๆ ถ้าหากมาเที่ยวปราณบุรีที่นี่เป็นตัวเลือกอีกที่ที่น่าบอกต่อกันเลยค่า

            Airstream Campsite Pranburi
            Credit photo www.facebook.com/airstreamcampsitepranburi

            Airstream Campsite Pranburi

            Location: 169/19 หมู่ 3 ต.ปากน้ำปราณ อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์
            Phone: 098 169 8212, 098 169 8393
            Facebook: แอร์สตรีม แคมป์ไซต์ ปราณบุรี

            #2 บรุคไซด์ วัลเล่ย์ รีสอร์ท, จ.ระยอง

            บรุคไซด์ วัลเล่ย์ รีสอร์ท เปิดโซนรถบ้านรอบล้อมทะเลสาป ถึง 13 คัน มาถึงระยองถึงจะไม่ได้ฟีลทะเล แต่ก็ได้บรรยากาศที่โอบล้อมไปด้วยธรรมชาติที่แท้จริงบนพื้นที่กว่า 500 ไร่ แค่ได้มานอนพักสูดอากาศดี ๆ กลางเขาซักคืน ตื่นมาชมวิวสวย ๆ ก็คุ้มแล้วละคะ โดยที่พักรถบ้านแต่ละหลังก็จะมีพื้นที่ส่วนตัวให้ทำกิจกรรม ปาร์ตี้ ปิ้งย่าง ปิกนิกกันริมทะเลสาบ และบริเวณภายในบรุคไซด์ วัลเล่ย์ รีสอร์ท ก็ยังเป็นที่ตั้งของสตรอเบอรี่ ทาวน์ แหล่งท่องเที่ยวสุดฮิตที่โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมยุโรป พร้อมกับสวนดอกไม้นานาพรรณ ที่มีสะพานเดินเชื่อมให้ข้ามไปอีกฝั่งได้ พาเด็ก ๆ ไปเล่น ทำกิจกรรมมากมาย พร้อมกับมุมถ่ายรูปสวย ๆ เพียบถูกใจคุณแม่ด้วยแน่นอนค่ะ

            Brookside Valley Resort
            credit photo www.brookside.co.th

            Brookside Valley Resort

            Location: 6 หมู่ 5 ต.สำนักทอง อ.เมือง จ.ระยอง
            Price: รถบ้านราคาเริ่มต้น 2,000 บาท /พัก 2 คน (ราคารวมอาหารเช้า)
            Phone: 080 554 4477
            Website:  www.brookside.co.th

            #3 คาซ่า เดอ มอนทาน่า เขาใหญ่, จ.นครราชสีมา

            มาถึงเขาใหญ่ หากพูดถึงการพักผ่อนที่ได้ฟีลลิ่งแคมปิ้งนอกจากนอนกางเต็นท์ก็คงเป็นคาราวานแคมป์ นอนในรถบ้านท่ามกลางป่าสีเขียวและขุนเขา ล้อมด้วยธรรมชาติที่หันไปทางไหนก็เจอแต่ท้องฟ้า ต้นไม้ ทำให้สูดโอโซนท่ามกลางอากาศบริสุทธิ์ ตื่นขึ้นมาก็รู้สึกสดชื่น แถมตอนกลางคืนยังได้วิวพระจันทร์สวย มองดาวได้เห็นชัดบนท้องฟ้าอีกด้วย คาซ่า เดอ มอนทาน่า ตอบโจทย์สุดกับรถบ้านสไตล์ Mobi Home ได้ฟีลแคมปิ้ง ซึ่งมีเพียง 5 หลัง แต่ละคันเว้นระยะห่างเพื่อความเป็นส่วนตัว มีพื้นที่ตรงกลางจัดแต่งเป็นแคมป์ไฟ ขนาดของรถมีสองขนาด คือ แบ่งพื้นที่ใช้สอยด้านในของ เป็นไปตามขนาดของตัวรถ คือ ขนาด 20ft. มีห้องนอนแต่ไม่มีส่วนของโซฟานั่งเล่น และขนาด 24ft. มีพื้นที่โซฟาและห้องนอน พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน พร้อมเตาบาร์บีคิวให้ปิ้งทาน ฟิวชั่นกับบรรยากาศดี ๆ บนเขา ให้ฟิลล์ Road Trip แบบแท้ทรูกันเลยค่า

            Casa De Montana Khaoyai
            Credit photo www.facebook.com/casademontana168

            Casa De Montana Khaoyai

            Location: 8/1 หมู่ 3 บ.ท่ามะปรางค์ ต.หมูสี อ.ปากช่อง
            Price: รถบ้านราคาเริ่มต้น 3,000-3,300/ คืน (ราคารวมอาหารเช้า)
            Phone:  088 353 2929
            Facebook: คาซ่า เดอ มอนทาน่า

            #4 แคมป์ เอาท์ โคราช, จ.นครราชสีมา

            แคมป์ เอาท์ โคราช อีกหนึ่งที่พักสไตล์รถบ้านสุดชิคใกล้กรุง ขับรถเพียง 2:30 ชม. ก็พาเจ้าตัวเล็กมาเปิดบรรยากาศที่พักใหม่ ๆ ให้ได้ผ่อนคลายกันทั้งครอบครัวท่ามกลางบรรยากาศกรีน วิวธรรมชาติเรียบง่าย รถบ้านของที่นี่แต่ละคันจะมีสไตล์และขนาดที่แตกต่างกันไปทั้งหมด 7 คัน ด้านในไม่แคบไม่กว้าง แต่ไม่อึดอัด สามารถพักได้ 2-3 คนขึ้นอยู่กับขนาดของแต่ละคัน และที่สำคัญมีแอร์เย็นฉ่ำทุกคัน ทำให้การนอนพักผ่อนสบายมากกว่าที่คิด ภายในสวยด้วยไอเทม และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นที่นอน, เครื่องปรับอากาศ, ตู้เย็น, น้ำดื่ม, โซฟา, โต๊ะ, โทรทัศน์, ตู้เสื้อผ้า, ผ้าขนหนู, แปรงสีฟัน, ยาสีฟัน และสบู่ ฯลฯ ส่วนห้องน้ำนั้นอยู่ภายนอกรถบ้าน เรียกว่าจัดกระเป๋าแค่เสื้อผ้าและของใช่ส่วนตัวมาก็เข้าพักได้สบาย ๆ นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมที่ขนมาเอาใจทุกคนเต็มที่ทั้งปั่นจักรยาน ปั่นเรือเป็ด พายเรือ มีเสื้อชูชีพทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ทั้งหมดนี้เข้าพักแล้วไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมเลยจ้า และกิจกรรมยามเย็นสุดฮิตที่ขาดไม่ได้ก็คงจะเป็นปาร์ตี้บาร์บีคิว ที่จะชวนให้ทุกคนได้สัมผัสการตั้งแคมป์อย่างแท้จริง มาแล้วต้องได้รับความประทับใจกลับบ้านไปกันเลย

            Camp Out Korat
            Credit photo www.facebook.com/campoutkorat

            Camp Out Korat

            Location: 267 หมู่ 11 หมู่บ้านอ่างแก้ว ถ.โชคชัย-เดชอุดม ต.มะเกลือใหม่ อ.สูงเนิน จ.นครราชสีมา
            Price: รถบ้านราคา 2,000 บาท/พัก 2-3 คน (ราคารวมอาหารเช้า + d.i.y ไข่กระทะ)
            Phone: 065 626 9280, 084 103 1098
            Facebook: แคมป์ เอาท์ โคราช

             

            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

             

            อ่านต่อ 8 ที่พักสไตล์รถบ้าน พาลูกไปนอนล้อมด้วยธรรมชาติ คลิกหน้า 2

              วิธีแก้อาการเบื่ออาหาร

              10 วิธีแก้อาการเบื่ออาหาร ทำยังไงให้ลูกกินข้าว?

              เมื่อลูกเบื่ออาหาร ไม่ยอมกินข้าว ทำให้พ่อแม่กังวลใจ มาดูกันว่าเพราะอะไรทำไมลูกถึงเบื่ออาหาร และ วิธีแก้อาการเบื่ออาหาร กันค่ะ

              10 วิธีแก้อาการเบื่ออาหาร ทำยังไงให้ลูกกินข้าว?

              ลูกไม่ยอมกินข้าว เป็นเรื่องที่พบได้บ่อยในทารกและเด็กเล็ก (รวมถึงเด็กโตในบางคน) ซึ่งปัญหาเหล่านี้ สร้างความกังวลใจให้กับคุณพ่อคุณแม่เป็นอย่างมาก ทีมแม่ ABK อยากบอกว่าอาการนี้เป็นเพราะพัฒนาการการเจริญเติบโตทั่วไปของเด็กค่ะ เมื่อทารกอายุประมาณ 9-11 เดือน จะไม่ต้องการให้พ่อแม่คอยป้อนอาหารให้ แต่อยากกินอาหารด้วยตัวเอง โดยเด็กแต่ละคนจะกินข้าวมากน้อยแตกต่างกันไป ในขณะที่เด็กบางคนยังคงอยากให้พ่อแม่ป้อนข้าวอยู่ และโดยทั่วไปแล้ว เมื่อเด็กอายุครบ 1 ปี จะเริ่มเรียนรู้การปฏิเสธหรือคายอาหาร เนื่องจากมีพัฒนาการด้านการเคลื่อนไหวร่างกาย สามารถหาและหยิบอาหารต่าง ๆ มากินได้เอง ลักษณะดังกล่าวจัดเป็นสัญชาตญาณที่ช่วยป้องกันตัวเองไม่ให้รับประทานอาหารที่มีสารพิษหรือเป็นอันตรายต่อร่างกายเข้าไป

              ลูกไม่กินข้าว
              ลูกไม่กินข้าว

              นอกเหนือจากพัฒนาการของเด็กแล้ว ยังมีสาเหตุอื่น ๆ ที่ทำให้ลูกเบื่ออาหาร ไม่ยอมกินข้าว ดังต่อไปนี้

              ทำไมลูกถึงไม่ยอมกิน เลือกกินข้าว?

              1. เคยถูกบังคับให้กิน ผู้ใหญ่ไม่ชอบถูกบังคับ เด็กก็ไม่ชอบถูกบังคับเช่นกัน แต่การบังคับให้กินนั้นอาจจะไม่ได้มาในรูปแบบของการจับยัดเข้าปาก แต่เป็นในรูปแบบของการใช้คำพูด น้ำเสียงต่าง ๆ ก็ได้เช่นกัน ลูกจึงพยายามต่อต้านนั่นเอง
              2. ให้ลูกกินมากจนเกินไป กระเพาะของเด็กและผู้ใหญ่นั้นแตกต่างกันมาก เด็กจะวิ่งเล่นและเผาผลาญพลังงานไปมาก จึงอาจจะมีการหิวระหว่างมื้อบ่อย แต่ในหนึ่งมื้อนั้นจะไม่สามารถทานได้เยอะ หากพ่อแม่กลัวว่าลูกจะไม่อิ่ม พยายามให้ลูกกินเยอะ ๆ จะทำให้ลูกรู้สึกทรมาน อึดอัดเวลาต้องกินอาหาร
              3. การทานอาหารเดิม ๆ ซ้ำ ๆ ผู้ใหญ่ยังเบื่อจะที่จะกินอาหารเดิม ๆ ซ้ำ ๆ เลยค่ะ เด็กก็เช่นกัน พ่อแม่บางคนกลัวว่าลูกจะกินลำบาก กลัวจะกินอาหารใหม่ ๆ ไม่ได้ อาหารบางประเภทที่ดูแล้วกินยาก ก็ไม่ให้ลูกกิน จึงทำแต่เมนูที่ทำแล้วมั่นใจว่าลูกจะกินได้ซ้ำ ๆ เด็กกินไป 2-3 ครั้งก็เริ่มเบื่อ
              4. ลูกเคี้ยวอาหารไม่เป็น สำหรับเด็กวัย 9 เดือนขึ้นไป พ่อแม่ควรจะทำอาหารให้หยาบขึ้นเพื่อฝึกให้ลูกเคี้ยวอาหาร จนเมื่อลูกอายุ 1-1.5 ขวบ ลูกควรจะเคื้ยวข้าว และอาหารทั่ว ๆ ไปได้แล้ว แต่หากพ่อแม่กลัวว่าลูกจะยังเคี้ยวไม่ได้ เลยไม่ฝึกให้ลูกเคี้ยวอาหารเลย ก็จะทำให้ลูกกินเป็นแต่อาหารที่เหลวหรืออาหารที่ต้องบด
              5. ลูกกำลังมีปัญหาสุขภาพ หากลูกไม่สบาย หรือปวดฟัน ความอยากอาหารจะลดน้อยลง ซึ่งพ่อแม่ต้องเข้าใจด้วยว่าเป็นธรรมชาติของเด็กที่ไม่สบายก็มักจะไม่อยากอาหารใด ๆ
              6. กินขนมหรือนมจนอิ่ม การให้ลูกกินขนม นม ระหว่างมื้ออาหาร หากไม่จำกัดปริมาณ จะทำให้ลูกกินเยอะเกินไปจนอิ่ม และไม่อยากทานอาหารเมื่อถึงเวลาอาหารได้
              7. เล่นสนุกจนลืมหิว หรือเล่นจนเหนื่อยเกินไป หลายครั้งที่เด็กเล่นจนเพลินจนไม่รู้สึกหิวเลยก็มี และการปล่อยให้ลูกเล่นมากเกินไปจนลูกเหนื่อย เมื่อเหนื่อยแล้วจะทำให้ไม่อยากอาหารเลยก็มี
              8. พ่อแม่ก็เลือกที่จะกินอาหารเหมือนกัน ปัญหาพ่อแม่ไม่กินผักหรือกินอาหารประเภทใด ลูก ๆ ก็มักจะไม่กินอาหารประเภทนั้นตามไปด้วย เพราะลูกจะจดจำสิ่งที่พ่อแม่ทำ ดังนั้นอย่าแปลกใจว่า ทำไมลูกของเราถึงไม่กินอาหารที่คุณเลือกไว้

               

              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

              อ่านต่อ 10 วิธีแก้อาการเบื่ออาหาร ทำยังไงให้ลูกกินข้าว?

                ชุดหนังสือ เราคืออาเซียน

                ชุดหนังสือเรียนรู้ประเทศ ”อาเซียน” หนึ่งในหนังสือดี ของโครงการส่งความรู้ สร้างความสุขปี 2

                ชุดหนังสือ เราคืออาเซียน เป็นหนึ่งในชุดหนังสือดีที่เราเลือกมาแนะนำจากโครงการส่งความรู้ สร้างความสุข ปี 2 ที่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) และ บริษัทอมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) ร่วมมือกันเพื่อส่งมอบความรู้ด้วยหนังสือ และสนับสนุนให้เด็กไทยมีนิสัยรักการอ่าน โดยได้มอบชั้นหนังสือและหนังสือดีให้แต่ละโรงเรียนกว่า 1,000 เล่ม ใน 57 โรงเรียนทั่วประเทศ  และยังมีการจัดตั้งชมรมรักการอ่าน  ส่งเสริมให้น้องๆ เขียนบันทึกรักการอ่านในทุกโรงเรียนอีกด้วย

                 

                ซึ่งชุดหนังสือ เราคืออาเซียน ชุดนี้ เป็นหนังสืออ่านเสริมความรู้นอกห้องเรียน ที่ได้รวมความรู้สำคัญและน่าสนใจเรื่องประชาคมอาเซียนและ 10 ประเทศสมาชิกมาให้ความรู้และเปิดโลก 10 ประเทศนี้แก่เด็ก  โดยหนังสือในชุดนี้มี 11 เล่ม ประกอบด้วย ประชาคมอาเซียน 1 เล่ม และแยกแต่ละประเทศ 10 เล่ม

                ชุดหนังสือ เราคืออาเซียน

                * ชุดหนังสือเราคืออาเซียน *

                ผู้เขียน : พัชรา โพธิ์กลาง สำนักพิมพ์ : อมรินทร์คอมมิกส์

                ชุดหนังสือเสริมความรู้ ภาพประกอบสี่สีน่ารักสดใส ให้ความรู้เกี่ยวกับประเทศต่างๆ ในอาเซียนแบบเข้าใจง่าย ไม่น่าเบื่อ ปูพื้นฐานการศึกษาให้เด็กได้เตรียมพร้อมเข้าสู่อาเซียน เพื่อรู้จักเรื่องราวหลากหลายของประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งข้อมูลพื้นฐานและเกร็ดความรู้มากมาย และเพื่อให้รู้ว่าอาเซียนคืออะไร มีความสำคัญอย่างไรต่อไปในอนาคต ภาพรวมอาเซียน มีเนื้อหาเกี่ยวกับประชาคมอาเซียน กฎบัตร เช่น อาเซียนคืออะไร สัญลักษณ์อาเซียน เพลงอาเซียน บทบาทของอาเซียนในเวทีโลก ความร่วมมือของประเทศต่างๆ ในอาเซียน

                ชุดหนังสือ เราคืออาเซียน

                ส่วนเล่มรายประเทศ 10 ประเทศ ได้แก่ ประเทศไทย มาเลเซีย พม่า เวียดนาม ลาว กัมพูชา สิงคโปร์ บรูไน อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มีเนื้อหาเกี่ยวกับข้อมูลพื้นฐานของประเทศนั้นๆ ได้แก่

                – ข้อมูลพื้นฐาน คือ ธงชาติ ตราแผ่นดิน ดอกไม้ประจำชาติ
                – ทำเลที่ตั้ง คือ พิกัด ภูมิอากาศ เทือกเขา แม่น้ำ ทรัพยากรธรรมชาติ
                – การเมืองการปกครอง ประวัติศาสตร์ รูปแบบการปกครอง
                – ทำมาค้าขาย คือ เศรษฐกิจการค้า สินค้านำเข้า ส่งออก ระบบเงินตรา
                – วิถีชีวิต เช่น วัฒนธรรมความเป็นอยู่ ภาษา อาหาร การแต่งกาย เทศกาลและประเพณีต่างๆ
                – สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์และสถานที่ท่องเที่ยวโดดเด่นของประเทศ
                – บุคคลสำคัญในประเทศ

                 

                ติดตามข่าวความเคลื่อนไหวและร่วมสนับสนุนโครงการฯ ได้ทาง FB Fanpage : thehappyread และ www.thehappyread.com ร่วมส่งต่อความรู้โดย  ส่งต่อความรู้มอบหนังสือให้เด็กๆกับโครงการ ส่งความรู้สร้างความสุข ปี 2

                ชุดหนังสือ เราคืออาเซียน

                  โครงการส่งความรู้ สร้างความสุขปี 2

                  เพราะโครงการส่งความรู้ สร้างความสุขปี 2 จึงทำให้มีนักอ่านตัวน้อยเพิ่มขึ้นเท่าตัว

                  นี่คือคำบอกเล่าของ คุณครูวิยะดา สืบสุด คุณครูโรงเรียนอนุบาลบ้านเหนือเขมราฐ จ.อุบลราชธานี ที่บอกกับเราว่า หลังจากที่ทางโรงเรียนได้เข้าร่วมโครงการส่งความรู้ สร้างความสุข ปี 2 ที่เป็นความร่วมมือกันระหว่างบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) และบริษัท อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์ พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) แล้ว มีนักเรียนสนใจและรักการอ่านเพิ่มมากขึ้นอีกเท่าตัวและหลากหลายวัย  จากที่ก่อนหน้านี้เด็กสนใจอ่านจะเป็นเด็กเล็ก ป.1-ป.2 ประมาณ 100-200 คน แต่ตอนนี้มีพี่ประถมปลายสนใจเข้ามาอ่านหนังสือเพิ่มมากขึ้น จึงทำให้จำนวนหนูน้อยนักอ่านเพิ่มจำนวนจาก 200 เป็น 500 คนกันเลยทีเดียว เพราะเมื่อก่อนหนังสือยังไม่เยอะมากเด็กมีความสนใจน้อย พอโครงการนี้เข้ามาทำให้หนังสือมีมากขึ้นและหลากหลาย จึงทำให้เด็กๆหันมาสนใจกันมากขึ้น

                  โครงการส่งความรู้ สร้างความสุขปี 2

                  เด็กๆ เหล่านี้มีการบันทึกรักการอ่านกันด้วย โดยคุณครูให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีมีการตรวจและให้คะแนนเสริมกับนักเรียน ทั้งนี้จะมีบันทึกการอ่านระดับชั้น ป.2-ป.6  สำหรับเวลาที่เด็กๆมักสนใจอ่าน คือช่วงเที่ยง หลังจากรับประทานอาหารกลางวันเสร็จ  ผ่านกิจกรรมที่ทางโรงเรียนจัดขึ้น นั่นคือ กิจกรรมอ่านหนังสือก่อนขึ้นเรียนตอนบ่าย โดยเราจะมีตะกร้าหนังสือเคลื่อนที่ไปให้บริการที่ใต้ถุนอาคาร โดยกลุ่มยุวบรรณารักษ์  สำหรับหนังสือที่เด็กๆชอบอ่าน ส่วนใหญ่จะเป็นหนังสือนิทาน นิยาย วรรณกรรมเยาวชน และการ์ตูนความรู้ต่างๆ รวมไปถึงเรื่องราวเกี่ยวกับความรู้รอบตัว

                  โครงการส่งความรู้ สร้างความสุขปี 2

                  ผลการเรียนของเด็กๆ ดีขึ้นได้เพราะการอ่าน

                  ถึงแม้ตอนนี้ทางโรงเรียนจะยังไม่มีการตัดเกรดออกมา แต่ดูจากแนวโน้มแล้วรู้เลยว่าดีขึ้นแน่นอน เพราะนอกจากเด็กจะให้ความสนใจในการเรื่องของการอ่านแล้ว คุณครูในแต่ละระดับชั้นยังมายืมหนังสือจากห้องสมุดไปให้เด็กๆอ่านเสริมกันในห้องเรียนด้วย  ส่วนใหญ่จะยืมเป็นชุดประมาณ 5-10 เล่ม มีทั้งเรื่องทั่วไป และเรื่องเกี่ยวข้องกับเนื้อหาวิชาการ ซึ่งเด็กๆโรงเรียนของเราได้มีโอกาสร่วมแข่งขันในระดับเขตการศึกษาด้วย ซึ่งปีนี้ในส่วนของการแข่งขันเนื้อหาวิชาภาษาไทย คณิตศาสตร์ หรือโครงงานต่างๆ ก็ทำผลงานได้ดี

                  โครงการส่งความรู้ สร้างความสุขปี 2

                  การอ่าน…ยังสำคัญมากขึ้นไปกว่านั้น

                  การอ่าน ถือเป็นผลลัพธ์ทางอ้อมที่ทำให้การเรียนเด็กๆ ดีขึ้น เพราะช่วยสร้างสมาธิให้กับเด็กๆ เมื่อพวกเขาอ่านหนังสือก็ห่างจากโทรศัพท์มือถือไปโดยปริยาย ซึ่งพวกเขาเห็นตัวอย่างนิสัยรักการอ่านมาจาก พี่นุ่น ศิรพันธ์ วัฒนจินดา ที่มาพูดคุยกับเด็กๆในเรื่องเกี่ยวกับการอ่าน จนทำให้เด็กๆได้รับแรงบันดาลใจ ช่วยจุดประกายนิสัยรักการอ่านให้กับพวกเขาได้ พี่นุ่นทำให้พวกเขาอ่านหนังสือสนุกขึ้นเยอะ จากคนที่ไม่เคยจับหนังสือขึ้นมาอ่านจับแต่โทรศัพท์มือถือ ก็ลองมาเปิดอ่านดู ถึงได้รู้ว่าหนังสือมีอะไรน่าสนใจให้อ่านเต็มไปหมด

                  โครงการส่งความรู้ สร้างความสุขปี 2

                  คุณครูก็ขอเป็นตัวแทนของโรงเรียนขอบคุณโครงการส่งความรู้ สร้างความสุขปี 2 ด้วยที่เลือกโรงเรียนของเราเป็น 1 ในโครงการ ซึ่งโครงการนี้ ถือว่าดีมากสำหรับเด็กต่างจังหวัด ที่ทำให้พวกเขามีหนังสือดีๆได้อ่านกัน เพราะก่อนหน้านี้ในห้องสมุดของโรงเรียนเองมีหนังสือไม่มาก เมื่อมีจำนวนเพิ่มจึงทำให้เด็กๆ เกิดความสนใจ ชวนกันมาอ่านอย่างไม่ขาดสาย ซึ่งคุณครูแนะนำให้เด็กๆ บันทึกรักการอ่านด้วย  ซึ่งเขาก็บันทึกได้ใจความที่ดี เด็กคนไหนหากเขียนไม่เก่งก็วาดรูปสื่อสารออกมาให้เราเข้าใจ เมื่อเราถามเขาว่า หนูอ่านเรื่องอะไรทำไมหนูถึงวาดออกมาแบบนี้ เขาก็บอกถึงเรื่องราวที่เขาอ่านได้ สอดคล้องกับรูปภาพที่เขาวาดบันทึกให้เราดู ถือว่าดีมากๆ เลยค่ะ

                  ติดตามข่าวความเคลื่อนไหวและร่วมสนับสนุนโครงการฯ ได้ทาง FB Fanpage : thehappyread และ www.thehappyread.com  ร่วมส่งต่อความรู้โดย  ส่งต่อความรู้มอบหนังสือให้เด็กๆ กับโครงการ ส่งความรู้สร้างความสุข ปี 2

                  โครงการส่งความรู้ สร้างความสุขปี 2

                    นัททิว-ณัฏฐ์ ทิวไผ่งาม

                    “นัททิว” ชวนน้องๆ 11 โรงเรียนเขตพื้นที่บางกระเจ้า เติมอาหารสมอง ด้วยการอ่านหนังสือ

                    โครงการส่งความรู้สร้างความสุข ปีที่ 2 เกิดจากโครงการส่งความรู้ สร้างความสุขปีที่ 1 ซึ่งเป็นการร่วมมือระหว่างบริษัทอมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) โดยมีจุดประสงค์เพื่อปลูกฝังให้เด็กไทยมีนิสัยรักการอ่านผ่านกิจกรรมต่างๆ เช่น กิจกรรม “อ่านกันวันละ 15 นาที” การจัดตั้งชมรม “รักการอ่าน” เป็นต้น โดยมีการติดตามผลอย่างใกล้ชิด และยังส่งมอบหนังสือให้กว่า 1,000 เล่มต่อโรงเรียนพร้อมชั้นวางหนังสือรวมถึง 57 โรงเรียน ทั่วประเทศ

                    นัททิว-ณัฏฐ์ ทิวไผ่งาม

                    ในโครงการนอกจากมีชมรมรักการอ่าน และบันทึกรักการอ่านให้เด็กนักเรียนแล้ว ยังมี School Road show ที่มีพี่ๆ นักแสดงและดาราชื่อดัง มาทำกิจกรรมการอ่านกับเด็ก เช่น กิจกรรม Book Talk  กับทูตรักการอ่านอย่าง “คุณนัททิว-ณัฏฐ์ ทิวไผ่งาม “ที่มาร่วมแชร์ประสบการณ์การอ่านหนังสือและร่วมกิจกรรมร่วมกับน้องๆ 11 โรงเรียนเขตพื้นที่บางกระเจ้า ที่โรงเรียนวัดป่าเกด จังหวัดสมุทรปราการ บรรยากาศเต็มไปด้วยความสนุกสนานของน้องๆ ที่เตรียมการแสดงมาต้อนรับพี่นัททิวอย่างอบอุ่น นอกจากนั้นพี่นัททิวยังอ่านนิทานให้น้องๆฟังและมีเคล็ดลับ มีคำแนะนำดีๆเกี่ยวกับการอ่านหนังสืออีกด้วยว่า

                    นัททิว-ณัฏฐ์ ทิวไผ่งาม

                    “ พี่เป็นนักแสดง เวลาถ่ายละครพี่จะต้องจำบทที่เราจะต้องพูดบางทีเป็นหน้ากระดาษ  วิธีการที่ทำให้พี่สามารถจำข้อความเหล่านั้นได้คือ ตอนที่เราอ่านเราต้องเข้าใจ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น อย่างพี่จะจินตนาการเป็นภาพขึ้นมาว่า วันนั้นมันเกิดอะไรขึ้นมาบ้าง แล้วเราจะเข้าใจว่าสถานการณ์มันมีอะไรเกิดขึ้น หนังสือเรียนมันมีวิธีการในการช่วยจำคือ อย่างแรก อ่านจนเข้าใจหรือปรึกษาคุณครูจนเข้าใจ ความเข้าใจทำให้เราจำได้ไปตลอด แล้วก็สิ่งที่สำคัญมากคือ การตั้งคำถาม เพราะว่าเมื่อไหร่ที่อ่านไม่เข้าใจ และไม่ตั้งคำถาม เราก็จะไม่รู้ แต่ว่าตั้งคำถามมันจะทำให้เราจำได้ บางทีเราตั้งคำถามกับใจตัวเองเราจะจำได้นะ คือตั้งคำถามด้วยแล้วหาคำตอบด้วย  และการอ่านหนังสือสำหรับพี่เหมือนการบริโภคอาหารที่มีประโยชน์ คือบางทีเรากินเยอะมาก กินเยอะเกินไป เราจะอ้วน เพราะเรากินอาหารที่ไม่มีประโยชน์ คราวนี้เวลาเราบริโภคเลือกอ่านหนังสือ เราก็ต้องเลือกอ่านหนังสือที่ดีด้วย และมีปริมาณที่มากพอ ที่จะทำให้เราเก่งและฉลาด”

                    นัททิว-ณัฏฐ์ ทิวไผ่งาม

                    “ฝากไว้สำหรับการอ่าน การอ่านมันทำให้เราเก่งขึ้น มีวิสัยทัศน์กว้างไกลขึ้น แล้วเราก็จะเป็นคนดี คนเก่งในอนาคตแน่นอน อย่าลืม ที่พี่พูดไปว่าการอ่านเหมือนการกิน เพราะฉะนั้นทุกๆวันที่เรากินอาหารที่มีประโยชน์ คุณพ่อคุณแม่หรือคุณครูบอกเราว่า กินเยอะๆนะ เพราะว่าอาหารที่มีประโยชน์ ผักมีประโยชน์  กินข้าวแล้วอย่าลืมนึกว่า เรากินข้าวเข้าตัวแล้ว เราอย่าลืมกินข้าวเข้าสมองด้วย เพราะฉะนั้นกินข้าวให้สมองไม่ได้ยากเลย วันละอย่างน้อยแค่วันละ 15 นาทีเอง เพราะฉะนั้นขอให้น้องๆ ทุกคนอ่าน กันเยอะๆนะครับ แล้วก็ขอให้ทุกคนเก่งๆ แล้วก็มีความสุขทั้งตอนนี้และตลอดไป”

                    เห็นไหมว่า…การอ่านให้ประโยชน์และสร้างดาราคนมีชื่อเสียง และทำให้ชีวิตเราประสบความสำเร็จขนาดไหน ใครสนใจโครงการนี้ และอยากเข้าร่วมชมรมรักการอ่านบ้าง เข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ FB Fanpage : thehappyread และ www.thehappyread.com กันเลยนะจ๊ะ  แล้วอย่าลืมมาติดตามดูว่าจะมีพี่ๆ ดาราคนไหน มาบอกเคล็ดลับความเก่งและความฉลาดจากการอ่านกัน คอยติดตามกันได้ที่นี่เลยค่ะ

                    นัททิว-ณัฏฐ์ ทิวไผ่งาม

                      เลี้ยงลูกอย่างไรให้เป็นโรค “ฮ่องเต้ซินโดรม”?

                      จิตแพทย์ชี้! ผู้ปกครองจอมตามใจ ให้ระวังปัญหา พ่อแม่รังแกฉัน ในสังคมใหม่ยุคดิจิทัล ส่อเกิดภาวะเรียกว่า “ฮ่องเต้ซินโดรม” เต็มสังคม

                      เลี้ยงลูกอย่างไรให้เป็นโรค “ฮ่องเต้ซินโดรม”?

                      นพ.วิทยา นาควัชระ จิตแพทย์  กล่าวถึงอาการของโรคในเด็กไทยยุคใหม่ว่า  เด็กไทยรุ่นใหม่ที่ถูกเลี้ยงดูเป็นเทวดา เมื่อเวลาเจอเรื่องที่ไม่ได้ดังใจ จะเกิดอาการที่เรียกว่า “ฮ่องเต้ซินโดรม”

                      สำหรับ “ฮ่องเต้ซินโดรม” หรือกลุ่มอาการฮ่องเต้ ขณะนี้กลายเป็นภาระของจิตแพทย์ ต้องทำงานหนักมาก เมื่อได้เจอกรณีแบบนี้ พ่อแม่พาลูกมาปรึกษาเต็มไปหมด”  โดยคนรุ่นใหม่ที่กำลังจะเป็นพลังพัฒนาประเทศ กลายเป็นคนที่เปราะบาง รักสบาย ใครขัดใจไม่ได้ ก็พร้อมจะระเบิดอารมณ์ หรือระเบิดอารมณ์ไม่ได้ ก็ระเบิดใส่ตัวเอง กลายเป็นโรคซึมเศร้ากันหมด แล้วประเทศชาติจะเอาใครไปช่วยพัฒนา

                      เหตุการณ์แบบนี้ในประเทศไทยและไต้หวัน เรียก “สตรอเบอรี่เจนเนอเรชั่น” … ดูสวยงามแต่เปราะบาง… ไม่ต่างอะไรกับเด็กในประเทศจีน ที่ลูกชายคนเดียวของครอบครัว เลี้ยงตามอกตามใจ ราวกับเทวดา ไร้มารยาท ไร้ความเกรงใจผู้อื่น ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ สุดท้ายกลายเป็นโรคซึมเศร้ากันหมด เวลาเจอเรื่องที่ผิดหวัง

                      ขอบคุณข่าวจาก : http://thaitribune.org/contents/detail/304?content_id=36503&rand=1569650143
                      เลี้ยงลูกตามใจ
                      เลี้ยงลูกตามใจ

                      ฮ่องเต้ซินโดรม คืออะไร?

                      ฮ่องเต้ซินโดรมหรือ Rich Kid Syndrome คือ โรคที่เกิดในเด็กที่ได้รับการเลี้ยงดูในสภาพแวดล้อมที่ได้รับการปกป้องมากจนเกินไปและได้รับการชดเชยด้วยสิ่งของแทนความรักและความเอาใจใส่จากพ่อแม่หรือผู้ปกครอง ความร่ำรวยของครอบครัวไม่ได้เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคนี้ แต่เป็นวิธีการเลี้ยงดูลูกของแต่ละครอบครัวที่เป็นปัจจัยสำคัญในการเกิดโรคฮ่องเต้ซินโดรม

                      ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโรคนี้มักจะแสดงพฤติกรรมของ “เด็กเอาแต่ใจ” ซึ่งเด็กในกลุ่มนี้เชื่อว่าเขามีสิทธิ์ได้รับทุกสิ่งหากเขาต้องการโดยไม่ต้องขออนุญาตก่อน เด็กที่มีภาวะนี้มักจะเป็นเด็กขี้เกียจ มีความอดทนต่ำมาก ไม่ชอบความยุ่งยาก และไม่รู้วิธีจัดการกับตัวเองหากไม่ได้รับสิ่งที่เขาต้องการ พวกเขามีแนวโน้มที่จะแสดงความรุนแรงและแสดงความโกรธเมื่อพวกเขาไม่ได้สิ่งที่ต้องการ

                      ตามที่ได้กล่าวไว้ว่าภาวะฮ่องเต้ซินโดรมนั้น เกิดจากการเลี้ยงดูเด็กที่ตามใจมากจนเกินไป หากคุณพ่อคุณแม่สงสัยว่าการเลี้ยงดูในแบบที่ทำอยู่นั้นเสี่ยงให้ลูกเกิดภาวะนี้หรือไม่ อ่านต่อได้ที่หน้า 2 ค่ะ

                       

                      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                      อ่านต่อ การเลี้ยงดูแบบใด เสี่ยงลูกเป็นฮ่องเต้ซินโดรม?

                        อาหารธาตุเหล็กสูง

                        5 อาหารธาตุเหล็กสูง ช่วยลูกสุขภาพดี พัฒนาการสมวัย สมองแข็งแรง

                        อาหารธาตุเหล็กสูง มีส่วนสำคัญในการเจริญเติบโตของร่างกาย โดยเฉพาะเด็กที่อยู่ในวัยเริ่มอาหารเสริม จำเป็นที่จะต้องได้รับประทานอาหารที่มีประโยชน์อย่างหลากหลาย ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คืออาหารที่มีธาตุเหล็ก

                         

                        อาหารธาตุเหล็กสูง ได้จากที่ไหนบ้าง

                        ธาตุเหล็กมีส่วนสำคัญต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการสมองของเด็กตั้งแต่ที่อยู่ในครรภ์ของแม่ ในเด็กแรกเกิด-อายุ 5 เดือน  ควรได้รับธาตุเหล็กจากน้ำนมแม่เป็นหลัก และเข้าสู่ช่วงวัยเริ่มอาหารเสริม อายุ 6-11 เดือน ควรได้รับธาตุเหล็กประมาณ 9  มิลลิกรัมต่อวัน และในช่วงวัย 1 ขวบขึ้นไป ควรได้รับธาตุเหล็กประมาณ 5-8 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่ง อาหารธาตุเหล็กสูง ที่ลูกน้อยควรได้รับอย่างเหมาะสมในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย จะมีอยู่ในแหล่งอาหารเหล่านี้…

                        1. น้ำนมแม่ 1 ลิตร มีธาตุเหล็กประมาณ 0.35 มิลลิกรัม
                        2. ไข่แดง 1 ฟอง มีธาตุเหล็กประมาณ 0.4 มิลลิกรัม
                        3. ฟักทอง 13.5 กรัม มีธาตุเหล็กประมาณ 0.09 มิลลิกรัม
                        4. ใบตำลึง 12 กรัม มีธาตุเหล็กประมาณ 0.17 มิลลิกรัม
                        5. ตับไก่ 4.25 กรัม มีธาตุเหล็กประมาณ 0.42 มิลลิกรัม

                        อาหารธาตุเหล็กสูง

                        นอกจากนี้ยังมีแหล่งอาหารที่มีธาตุเหล็กอีกหลากหลายประเภท คุณแม่สามารถปรับเปลี่ยนให้ลูกน้อยได้รับอย่างสมดุล เช่น ใน ผักโขม ผักปวยเล้ง ใบตำลึง แครอท มะเขือเทศ คะน้า เนื้อหมู เนื้อวัว เนื้อไก่  ปลาซาร์ดีน ปลาแซลมอน ปลาทูน่า กุ้ง ข้าวกล้อง ถั่วแดง ถั่วดำ อัลมอนด์ รวมถึงใน ซีรีแล็ค อาหารเสริมสำหรับเด็กที่ระบุบนฉลากว่าเสริมธาตุเหล็ก เป็นต้น

                         

                        ธาตุเหล็ก กับ สมอง อยากให้ลูกฉลาด ห้ามขาด

                        ในช่วงขวบปีแรกของชีวิตร่างกายลูกน้อยมีความต้องการสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อพัฒนาการการเจริญเติบโต และพัฒนาการสมองเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะ “ธาตุเหล็ก” ที่ถือเป็นสารอาหารกลุ่มเกลือแร่ที่มีส่วนเสริมสร้างและพัฒนาสมอง สติปัญญาให้สมบูรณ์แข็งแรง และมีระดับเชาว์ปัญญาดี

                        ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้ลูกน้อยขาดธาตุเหล็ก คุณแม่ต้องดูแลในเรื่องโภชนาการสารอาหารที่เหมาะสมเพียงพอในแต่ละช่วงวัยของลูกน้อย มาดูกันว่าในช่วงวัย 6 – 12 เดือน คุณแม่ควรให้อาหารเสริมลูกน้อยอย่างไรกันบ้าง

                        • ลูกน้อยอายุ 6-8 เดือน ควรกินอาหารเสริมวันละ 1 มื้อ อาจเริ่มด้วยการบดข้าวผสมกับนมแม่ก่อน เพื่อเป็นการปรับร่างกายให้คุ้นเคยกับอาหาร แนะนำว่าต้องบดอาหารที่ให้ลูกกินอย่างละเอียด เพื่อให้กินและกลืนง่าย
                        • ลูกน้อยอายุ 8-10 เดือน ควรกินอาหารเสริมวันละ 2 มื้อ สามารถปรับเปลี่ยนอาหารที่เสริมให้ลูกกินได้หลากหลายมาก ขึ้น เช่น ฟักทอง แครอท บดกับข้าว หรือเนื้อสัตว์ เป็นต้น ช่วงวัยนี้อาหารเสริมที่ให้ลูกกินจะมีลักษณะที่หยาบขึ้นเล็กน้อย
                        • ลูกน้อยอายุ 10 -12 เดือน ควรกินอาหารเสริมวันละ 3 มื้อ และช่วงวัยนี้จะเริ่มมีพัฒนาการบดเคี้ยวอาหารได้ดีมากขึ้น ลูก สามารถที่จะกินอาหารเป็นชิ้นได้ แนะนำว่าให้คุณแม่หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ แต่อาหารยังต้องอ่อนนุ่ม ง่ายต่อการบดเคี้ยวค่ะ

                        ในช่วงวัยเริ่มอาหารเสริม แนะนำให้คุณแม่ปรับเปลี่ยนอาหารเสริมอย่างหลากหลายให้กับลูกน้อย เพื่อป้องกันการแพ้อาหาร และเพื่อให้ได้รับธาตุเหล็กอย่างเพียงพอ และนอกเหนือจากธาตุเหล็กที่มีอยู่ในแหล่งอาหารที่แนะนำไปแล้วนั้น คุณแม่สามารถให้ลูกน้อยได้รับประโยชน์จาก “ ธาตุเหล็ก สารอาหารที่มีอยู่ใน เนสท์เล่ ซีรีโกรวท็อดเลอร์ซีเรียลผสมนม สูตรธัญพืชรวมผสมผักรวม ที่มีธาตุเหล็กสูงถึง 4.4 มก. เท่ากับ 76% ของความต้องการต่อวัน และนอกจากนี้ยังมี DHA วิตามิน  และเกลือแร่ 16 ชนิด”  
                        ฆอ. 2267/2562

                         

                        อาการเมื่อร่างกายขาดธาตุเหล็ก  

                        เด็กที่ขาดธาตุเหล็กสะสมมาอย่างต่อเนื่อง ร่างกายจะสร้างเม็ดเลือดแดงได้ไม่ดีและไม่เพียงพอ ซึ่งจะทำให้เกิดภาวะโลหิตจางตามมา คุณแม่สามารถสังเกตอาการขาดธาตุเหล็กของลูกน้อย หากมีอาการแสดงดังนี้…

                        – ผิวหนังมีลักษณะซีด

                        – งอแง หงุดหงิดง่าย

                        – การนอนไม่ค่อยดี(นอนไม่หลับ)

                        – อ่อนเพลีย ไม่สดใส กระปรี้กระเปร่า

                        – พัฒนาการร่างกาย และสมองไม่เป็นไปตามเกณฑ์ของวัย

                        ส่วนสาเหตุของการขาดธาตุเหล็กในเด็ก อาจมาได้จากหลายสาเหตุ เช่น…

                        1. ไม่ได้กินนมแม่ตั้งแต่แรกคลอด
                        2. ได้รับโภชนาการที่ไม่เหมาะสมที่เริ่มต้นมาจากในช่วงวัยของการเริ่มอาหารเสริม
                        3. ภาวะการเจ็บป่วยต่างๆ ในวัยเด็ก เป็นต้น

                        ธาตุเหล็ก เป็นส่วนประกอบสำคัญของการสร้างเม็ดเลือดแดงในระบบเลือด และเป็นตัวนำออกซิเจนและสารอาหารต่างๆ ไปสู่เซลล์ต่างๆ ในร่างกาย ธาตุเหล็กมีความสำคัญมากต่อพัฒนาการการเจริญเติบโตของร่างกาย และสมอง ดังนั้นเพื่อให้ลูกน้อยมีสุขภาพดี พัฒนาการสมวัย และมีสมองที่แข็งแรง คุณแม่ต้องดูแลลูกน้อยให้ได้รับธาตุเหล็กอย่างเพียงพอ โดยเริ่มได้จากอาหารที่มีธาตุเหล็กสูงค่ะ

                        สนับสนุนข้อมูลโดย :  #เนสท์เล่ซีรีโกรว #Nestleceregrow #ใส่ใจทุกคำ 

                         

                         

                         

                         

                        เครดิต :

                        https://www.dmh.go.th/news-dmh/view.asp?id=29701

                        https://www.pobpad.com/รู้ทันโลหิตจาง-ภัยจากกา

                        https://www.nonthavej.co.th/Iron-in-children.php

                        http://nutrition.anamai.moph.go.th/images/file/filet001.pdf

                         

                          ลูกโดนแกล้ง

                          ลูกโดนแกล้ง พ่อแม่ช่วยได้ ป้องกันก่อนสายใช้กำลัง- ฆ่าตัวตาย

                          ลูกโดนแกล้ง ปัญหาของเด็กในรั้วโรงเรียน ที่พ่อแม่คาดไม่ถึงว่าจะร้ายแรงจนถึงขั้น “ฆ่าให้ตาย” หรือ “ทำลายชีวิตตัวเอง” หมอจิตวิทยาแนะ ตัดไฟแต่ต้นลม หมั่นสังเกตสัญญาณจากลูก ฝึกทักษะสังคม สอนวิธีเอาตัวรอด ช่วยให้ลูกสร้างเกราะป้องกันให้รอดจากเรื่องบูลลี่ (Bully) ได้สำเร็จ

                          จาก 2 เหตุการณ์น่าสลดใจของเด็กชายชั้นมัธยมใช้ปืนบุกยิงเพื่อนร่วมชั้นในโรงเรียนจนเสียชีวิต เพราะคับแค้นใจที่โดนกลั่นแกล้งและล้อเลียนเป็นประจำ และอีกหนึ่งเหตุการณ์เกิดขึ้นกับเด็กหญิงชั้นประถม  พยายามผูกคอตัวเองในห้องน้ำของโรงเรียน เนื่องจากเคยถูกเพื่อนรุมแกล้ง และล้อเลียน ทำร้ายจิตใจอย่างรุนแรง แม้จะไม่เสียชีวิตแต่ต้องกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา ใครจะคิดว่าเรื่องเล่นสนุกของเด็ก จะส่งผลร้ายแรงถึงชีวิต

                           ลูกโดนแกล้ง พ่อแม่ช่วยอย่างไรดี ให้ปลอดภัย ไม่ถูกแกล้งซ้ำ

                          เพราะหลายบ้านรู้สึกว่าเวลา ลูกโดนแกล้ง หรือล้อเลียนเป็นแค่เรื่องเล่นสนุกๆของเด็ก ผู้ใหญ่ไม่ควรเข้าไปยุ่ง และประเมินจากประสบการณ์ส่วนตัวของพ่อแม่เองว่าในวัยเด็กก็เคยผ่านประสบการณ์แบบนี้มา “ใครๆก็โดนแกล้ง เดี๋ยวก็ผ่านไป” ทราบหรือไม่ว่า ความเข้าใจเช่นนี้ทำให้คุณพ่อคุณแม่มองข้ามปัญหาที่ลูกต้องเจอ และเข้าไปช่วยเหลือช้าเกินไป

                           

                          ลูกโดนแกล้ง

                          6 อย่างที่ ลูกโดนแกล้ง พบบ่อยในโรงเรียน

                          กรมสุขภาพจิตระบุว่า การแกล้งกันในโรงเรียน “ไม่ใช่เรื่องเล็ก” เป็นจุดเริ่มต้นของความรุนแรงที่ส่งกระทบต่อร่างกายและจิตใจในระยะยาว รูปแบบการแกล้งที่มักพบบ่อยในโรงเรียนมีดังนี้

                          1. ใช้กำลังทำร้ายร่างกาย

                          มักพบบ่อยและสังเกตได้ง่ายที่สุด เด็กที่โดนแกล้งมักตัวเล็ก ผอม หรือมีท่าทางอ่อนแอกว่าอีกฝ่าย ซึ่งจะใช้กำลังควบคุม ข่มขู่ด้วยการต่อยตี ตบ หรือผลักกัน

                          1. ใช้คำพูดทำร้ายจิตใจ

                          ถึงจะไม่มีบาดแผลให้เห็น แต่คำล้อเลียนจุดอ่อน หรือปมด้อยสร้างแผลลึกในจิตใจ ที่สำคัญคือ พ่อแม่และคุณครูจะสังเกตเห็นได้ยาก ส่วนใหญ่มักโดนกระทำจากกลุ่มเพื่อน หรือรุ่นพี่พูดต่อกันแบบปากต่อปาก เรื่องที่โดนล้อเลียนมีทั้ง รูปร่างหน้าตา สีผิว เพศ ฐานะครอบครัว สถาบันการศึกษา และความสามารถ ซึ่งล้วนเป็นเรื่องทำร้ายจิตใจทั้งสิ้น

                          1. ใช้อำนาจแยกไม่ให้เข้าพวก

                          มักเกิดบ่อยในกลุ่มวัยรุ่นตอนต้น (ประถมปลาย-มัธยมต้น) โดยจะกีดกันไม่ให้เข้ากลุ่ม ปล่อยข่าวลือเสียหาย ทำให้เด็กที่ถูกแกล้งไม่ได้รับการยอมรับจากเพื่อนและสังคมในโรงเรียน เรื่องนี้มีผลกระทบต่อจิตใจของวัยรุ่นมาก และนำไปสู่การตอบโต้ที่รุนแรงได้

                             4.ใช้โซเชียลทำลายชีวิต

                          เกิดขึ้นได้ง่ายและต่อเนื่อง เพราะหลบลี้จากการเผชิญหน้าได้ ขณะที่หาก ลูกโดนแกล้ง ด้วยวิธีนี้อาจได้รับผลที่โหดร้ายและไม่สิ้นสุดง่ายๆ เพราะการโพสต์ลงโซเชียล เช่น รูปภาพ หรือข้อควายเสียหาย จะถูกกระจายในวงกว้างอย่างรวดเร็ว และยากจะกำจัดให้หมดได้

                          นอกจากนี้พบว่า เด็กๆ รุ่นใหม่ที่ถูกแวดล้อมด้วยสื่อความรุนแรงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเกมส์ ภาพยนตร์ และโซเชียลที่เข้าถึงได้ง่าย ส่งผลให้เด็กมีพฤติกรรมก้าวร้าว แรงมาแรงกลับ มองความรุนแรงเป็นเรื่องปกติ สนุกกับการได้แกล้งเพื่อน และขาดความเอื้ออาทร แม้แต่กับคนใกล้ชิด ทั้งหมดนี้จึงยิ่งกระตุ้นให้เวลาที่ ลูกโดนแกล้ง รุนแรงขึ้น

                          อ่าน ช่วยลูกโดนแกล้งแบบไหนไม่ให้โดนแกล้งซ้ำอีก หน้า 2

                            ผิวลูกแห้ง

                            3 สาเหตุทำ “ลูกผิวแห้ง” จะปกป้องอย่างไรดี ?

                            คุณแม่สงสัยกันไหมคะว่าทำไม เด็กทารก เด็กเล็กๆ ถึงมีผิวแห้งกันได้ง่ายมาก ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากโครงสร้างผิวที่ยังไม่ แข็งแรงสมบูรณ์ ผิวที่บอบบางกว่าผู้ใหญ่ถึง 30% จึงทำให้ผิวสูญเสียน้ำ ขาดความชุ่มชื้น จนแห้งกร้าน ดังนั้นเพื่อให้ลูกน้อย มีผิวพรรณที่แข็งแรง สุขภาพดี ไม่ระคายเคือง เรามีคำแนะนำมาฝากคุณแม่มือใหม่กันค่ะ

                             

                            ลูกผิวแห้ง มีสาเหตุมาจากอะไรได้บ้าง ?  

                            ในช่วงหน้าหนาวแบบนี้ทำให้ ลูกผิวแห้ง อย่างเดียวไม่พอ แต่ยังทำให้คุณแม่คุณลูกกอดกันน้อยลงด้วยค่ะ  เพราะเจ้าตัวเล็กมักจะร้องงอแง โยเย จากความไม่สบายผิวนั่นเองค่ะ ก่อนที่จะไปถนอม ผิวแห้ง ของลูกน้อยให้กลับมานุ่มชุ่มชื้น มาดูกันก่อนค่ะ ว่ามีสาเหตุอะไรบ้างที่ทำให้ลูกผิวแห้ง !!

                            1. อากาศเย็นในหน้าหนาว

                            อุณหภูมิความเย็นในช่วงหน้าหนาวจะมีความชื้นต่ำ ทำให้สภาพภายในอากาศต้องปรับสมดุลความชื้น โดยการดูดความชื้นจากในชั้นผิวหนัง แล้วนำไปทดแทนความชื้นในอากาศ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมผิวแห้ง ลอกเป็นขุย ซึ่งไม่ใช่เฉพาะแค่ผิวของเด็กๆ เท่านั้นที่แห้งกร้านได้ง่ายในสภาพอากาศที่เย็น แต่ผิวพรรณของคุณแม่ และผู้ใหญ่ก็มีสภาพผิวแห้งได้ด้วยเช่นกันค่ะ

                            2. อาบน้ำอุ่น

                            ถ้าจะบอกว่าการอาบน้ำอุ่นคือศัตรูตัวร้ายที่ทำลายความชุ่มชื้นของผิวก็คงจะไม่ผิดนักค่ะ เพราะเด็กแรกเกิด รวมถึงเด็กเล็กๆ คุณแม่มักจะผสมน้ำอุ่นอาบน้ำให้ทุกวันๆ ละ 2 ครั้ง ซึ่งอุณหภูมิของน้ำจะทำให้ผิวสูญเสียน้ำมันหล่อเลี้ยงผิว (ต่อมไขมันใต้ผิว) ส่งผลให้ผิวขาดความชุ่มชื้น และแห้งตึง การอาบน้ำอุ่นในช่วงหน้าหนาวอาจจะพออนุโลมให้ได้ เพราะถ้าอาบน้ำเย็น หรือน้ำอุณหภูมิปกติให้ลูกน้อย ลูกอาจจะร้องงอแงไม่ยอมอาบน้ำ แนะนำว่าอากาศเย็นๆ อาบน้ำให้ลูกวันละครั้งพอค่ะ

                            3. ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศ

                            การเปิดใช้เครื่องปรับอากาศอาจจะช่วยให้เย็นกาย สบายใจ แต่รู้ไหมคะว่าการเปิดเอาความเย็นชุ่มฉ่ำจากแอร์ในทุกๆ วันนั้น  มีผลกระทบต่อผิวพรรณของลูกวัยทารก เด็กเล็กๆ หรือแม้แต่ในผิวของคุณแม่เองก็ได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน เวลาที่มีการเปิดใช้เครื่องปรับอากาศจะทำให้อุณหภูมิภายในห้องต่ำลง ไอน้ำที่อยู่ในอากาศก็จะลดลง น้ำที่อยู่ใต้ผิวหนังจะถูกดูดสูญเสีย  ไปให้กับอากาศภายในห้อง สรุปง่ายๆ คือ ถ้าอุณหภูมิในห้องต่ำลง ความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศก็จะต่ำลงด้วย ส่งผลให้ ปริมาณไอน้ำในอากาศลดลง ทำให้อากาศแห้ง ส่งผลกระทบต่อผิว ขาดความชุ่มชื้น ผิวแห้งกร้านได้ง่ายขึ้นนั่นเองค่ะ

                            อยากให้ลูกน้อยมีผิวสุขภาพดี ผิวไม่แห้งกร้าน ผิวนุ่มชุ่มชื้น น่ากอด น่าสัมผัส ทำได้ง่ายๆ แค่…

                            1. เครื่องปรับอากาศที่คุณแม่มักเปิดให้ลูกน้อยได้สบายตัว แต่เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวลูกน้อยแห้ง กร้าน แนะนำว่าให้ปรับอุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศไม่ต่ำกว่า 25 องศา และขณะที่อยู่ในห้องแอร์ควรหมั่นทาผิวลูกน้อยด้วยโลชั่นบำรุงผิวด้วยค่ะ
                            2. ในช่วงหน้าหนาวอาบน้ำให้ลูกวันละครั้งก็พอ แนะนำว่าให้ผสมเบบี้ ออยล์ในน้ำอาบเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว และทุกครั้งที่อาบน้ำให้ลูกเสร็จ ควรดูแลบำรุงถนอมผิวลูกด้วยการทา จอห์นสัน คอตตอน ทัช เฟซ แอนด์ บอดี้โลชั่น ที่เป็นสูตรอ่อนโยน ม้ากมาก เด็กแรกเกิดก็ใช้ได้ค่ะ ฉะนั้น ไม่ต้องกลัวว่าลูกน้อยจะแพ้เลย แถมกลิ่นก็หอมอีกด้วย

                            สำหรับคุณแม่ก็ควรดูแลรักษาผิวพรรณให้นุ่ม ชุ่มชื้นสุขภาพดีในทุกๆ วัน ด้วยการ ทาโลชั่นยอดฮิตของเหล่าแม่ๆ อย่าง จอห์นสัน มิลค์ ไรซ์ โลชั่น ที่กลิ่นหอมไม่แพ้กัน คุณแม่ใช้แล้วก็สามารถกอดลูกน้อยได้อย่างต้องกลัวระคายเคืองกันเลยค่ะ อย่าลืม จิบน้ำบ่อยๆ และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อผิวที่สุขภาพดีทั้งคุณแม่คุณลูก แล้วอย่าลืมกอดเพิ่มความรักในทุกวันกันด้วยนะคะ

                             

                            ลูกผิวแห้ง ใช้อะไรดี ?

                            วิธีดูแลลูกน้อยผิวแห้ง ให้กลับมานุ่ม ชุ่มชื้น ผิวแข็งแรงสุขภาพดี  แนะนำว่าผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับผิวลูกน้อย ต้องไม่ทำให้ผิวเกิดการระคายเคือง ต้องมีความอ่อนโยนต่อผิวลูก และช่วยกักเก็บน้ำในผิวเพื่อป้องกันผิวไม่ให้แห้งกร้านค่ะ

                            • จอนห์สัน เบบี้ ออยล์

                            จอห์นสัน เบบี้ ออยล์ ผลิตจากมิเนอรัลออยล์บริสุทธิ์ เหมาะสำหรับหยดผสมในน้ำอาบให้ลูกน้อย หรือสำหรับใช้นวดสัมผัสลูกน้อยหลังอาบน้ำ ช่วยให้เลือดลมไหลเวียนดี ทำให้ลูกน้อยสบายตัว ผ่อนคลาย ทำให้นอนหลับง่าย และอารมณ์ดี  ความพิเศษของจอห์นสัน เบบี้ ออยล์ คือจะช่วยเก็บกักความชุ่มชื้นไว้ในผิวได้มากถึง 10 เท่า

                            • จอห์นสัน เบบี้ โลชั่น

                            การดูแลถนอมผิวลูกน้อย เพื่อที่ผิวจะได้ไม่แห้งกร้าน คุณแม่ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนต่อผิวลูก สำหรับเบบี้ โลชั่น   จากจอห์นสัน มีให้เลือกใช้หลายสูตร ไม่ว่าจะเป็น…

                            จอห์นสัน เฟซ แอนด์ บอดี้ โลชั่น คอตตอนทัช 

                            • เป็นโลชั่นสูตรบางเบาและอ่อนโยนเป็นพิเศษสำหรับผิวบอบบาง* ของเด็กแรกเกิด
                            • โลชั่นที่มีน้ำเป็นส่วนผสมหลัก ผสานคุณค่าจากคอนตอนแท้ธรรมชาติเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ
                            • เนื้อบางเบา ซึบซาบเร็ว ไม่หนียวเหนอะหนะ
                            • บำรุงผิวทารกตั้งแต่ครั้งแรกที่ใช้
                            • ลดการระคายเคือง เพราะไม่มีส่วนผสมของพาราเบน และสีย้อม ที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองของผิว

                             จอห์นสัน เบบี้ โลชั่น (พิงค์)

                            • จอห์นสัน เบบี้ โลชั่นให้ความชุ่มชื่นและปกป้องผิวลูกน้อยยาวนาน 24 ชั่วโมง*
                            • บำรุงผิวที่อ่อนละมุน เหมาะสำหรับทั้งลูกน้อย และผู้ใหญ่
                            • มีค่า pH ที่เหมาะกับผิว และไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง
                            • ให้ความชุ่มชื่นแก่ผิวบอบบางอย่างอ่อนโยน
                            • ผ่านการทดสอบโดยกุมารแพทย์ (pediatricians)

                            จอห์นสัน มิลค์ + ไรซ์ โลชั่น

                            • โลชั่นผสานคุณค่าน้ำนมธรรมชาติและสารสกัดจากข้าว เพื่อช่วยบำรุงผิวอย่างครบถ้วน โดยให้ความชุ่มชื้นผิวยาวนาน 24 ชั่วโมง*
                            • เพราะผิวลูกน้อยสูญเสียความชุ่มชื้นได้เร็วกว่าผิวของผู้ใหญ่ และต้องการการดูแลที่อ่อนโยน เราจึงได้พัฒนาผลิตภัณฑ์เหล่านี้ขึ้นโดยเฉพาะ ด้วยส่วนผสมของมอยส์เจอร์ไรเซอร์ เพื่อช่วยถนอมผิวของทารกที่กำลังเจริญเติบโต
                            • มีค่า pH ที่เหมาะกับผิวของลูกน้อย และไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง ผ่านการทดสอบแล้วโดยกุมารแพทย์ (pediatricians)
                            • ฟื้นบำรุงผิวของลูกน้อยให้เนียนนุ่มและดูมีสุขภาพดี
                            • มีส่วนผสมของโปรตีนจากน้ำนม สารสกัดจากข้าว รวมถึงวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด

                            การได้ใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลบำรุงถนอมผิวที่เหมาะกับลูกน้อย ผลลัพท์ที่ได้ไม่เพียงแค่ทำให้ลูกน้อยมีผิวสุขภาพดี นุ่ม ชุ่มชื้น แต่ยังทำให้แม่ลูกได้ใช้เวลาด้วยกัน ช่วยเพิ่มความสุข และสายใยรักผูกพันธ์ของครอบครัวอีกด้วยนะคะ

                            บอกลาผิวแห้งกร้านด้วยเบบี้ ออยล์ และ เบบี้ โลชั่นที่อ่อนโยน ช่วยให้ผิวกลับมานุ่ม ชุ่มชื้น ผิวมีสุขภาพดีแบบนี้แล้ว ก็ทำให้ทั้งคุณแม่ และคุณลูกรักกัน กอดกันอย่างอบอุ่นอีกครั้งค่ะ 

                             

                              เสริมพัฒนาการลูก

                              5 เคล็ดลับ เสริมพัฒนาการลูก ให้มีอีคิวและไอคิวสูง

                              เผย 5 เคล็ดลับการ เสริมพัฒนาการลูก อย่างถูกหลัก ซึ่งจะช่วยให้ลูกมีทักษะในการดำเนินชีวิต มีพัฒนาการด้านอารมณ์ที่ดี และรู้จักการมีวินัยในสังคมเมื่อเติบโตขึ้น

                              5 เคล็ดลับ เสริมพัฒนาการลูก ให้มีอีคิวและไอคิวสูง

                              ความสำคัญของการพัฒนาไอคิว (IQ) และอีคิว (EQ)

                              การที่เด็กคนหนึ่งจะเจริญเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่ประสบความสำเร็จและมีชีวิตที่เป็นสุขนั้น ต้องมีความสามารถทางเชาวน์ปัญญาที่ดี (IQ) ควบคู่ไปกับการพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) ที่ดีด้วย  หากขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ย่อมทําให้การพัฒนาเป็นไปอย่างไม่เต็มศักยภาพ

                              ไอคิว = Intelligence Quotient (IQ)

                              คือผลลัพธ์จากการประเมินความสามารถทางเชาวน์ปัญญา ซึ่ง ไอคิว หมายถึง ความสามารถในการเรียนรู้การจํา การคิดอย่างมีเหตุผล การตัดสินใจ ความสามารถทางการสื่อสาร ไอคิวเป็นตัวทํานายความสามารถในการเรียนรู้ของเด็กได้ ไอคิว เป็นสิ่งที่ติดตัวมาแต่กําเนิด แต่สามารถถูกพัฒนาให้ดีขึ้นได้ตามศักยภาพของเด็ก ซึ่งหากได้รับการกระตุ้นอย่างเหมาะสมตามวัยโดยเฉพาะในช่วงขวบปีแรกอย่างถูกต้อง ก็จะทําให้สติปัญญาพัฒนาขึ้นได้อย่างเต็มศักยภาพ

                              องค์ประกอบของไอคิวที่มีความสําคัญต่อเด็กวัยแรกเกิด – 5 ปี ที่พ่อ แม่ควรเสริมสร้างให้กับลูก มีดังต่อไปนี้

                              1. ความช่างสังเกต เป็นความสามารถในการรับรู้ คุณลักษณะของสิ่งของ การพิจารณา เทียบเคียงความเหมือน ความแตกต่าง การจําแนกสิ่งต่าง ๆ เป็นต้น
                              2. การถ่ายทอดจินตนาการ เป็นการนําสิ่งที่คิดเชื่อมโยงจากประสบการณ์ออกมานําเสนอ
                              3. การคิดเชื่อมโยงเหตุผล เป็นความสามารถในการเข้าใจความสัมพันธ์ของสิ่งต่าง ๆ หรือ สถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น รอบ ๆ ตัว
                              4. การทํางานประสานระหว่างมือและตา เป็นองค์ประกอบหนึ่งที่มีความสําคัญทางการแสดงความสามารถทางสติปัญญาด้านการกระทํา ที่ต้องอาศัยการทํางานประสานกันของ ประสาทสัมผัสในการลงมือปฏิบัติ

                              อีคิว = Emotional Quotient (EQ)

                              เป็นผลลัพธ์จากการประเมินความฉลาดทางอารมณ์ ซึ่งความฉลาดทางอารมณ์ หมายถึงความสามารถในการจัดการกับอารมณ์ของตนเอง รู้จักควบคุมและแสดงออกอย่างเหมาะสม เข้าใจตนเองและผู้อื่น สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข

                              องค์ประกอบของอีคิวที่มีความสําคัญต่อเด็กวัยแรกเกิด – 5 ปี ที่พ่อแม่ควรเสริมสร้างให้กับลูก มีดังต่อไปนี้

                              1. การรู้จักและการควบคุมอารมณ์  การส่งเสริมให้เด็กควบคุมอารมณ์ได้ดี เริ่มต้นด้วยการฝึกให้เด็กรู้ว่าเขากําลังมีอารมณ์อย่างไร ให้ลูกรู้จักถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกออกมาเป็นคําพูด เพื่อที่เด็กจะได้รู้เท่าทันอารมณ์ เมื่อรู้เท่าทันอารมณ์ ก็จะสามารถควบคุมอารมณ์ได์
                              2. การเรียนรู้ระเบียบวินัย การเรียนรู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก และการยอมรับผิด การสอนให้เด็กรู้ว่าอะไรควรไม่ควร พ่อแม่ควรกําหนดของเขตเบื้องต้นให้เด็กรู้ว่าอะไร ที่ทําได้ ทำไม่ได้ในเรื่องง่าย ๆ ในชีวิตประจําวัน และที่สําคัญต้องทําเป็นตัวอย่างให้กับเด็กด้วย
                              3. ความสนุกสนานร่าเริง ความสุขของเด็กเป็นความสุขแบบสนุกสนานเพลิดเพลิน คือ สุข สนุกจากการเล่นไม่ว่าจะเป็นการเล่นตามลําพังหรือเล่นกับเพื่อน เด็กที่มีโอกาสได้เล่นสนุกสนาน จะมีจิตใจร่าเริงแจ่มใส มีพื้นฐานทางด้านอารมณ์ที่ดี

                              ความสามารถทางเชาวน์ปัญญา (IQ) และความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) มีความสําคัญต่อกิจกรรมต่าง ๆ ของชีวิตและทั้งสองปัจจัยส่งเสริมซึ่งกันและกันในการทํากิจกรรมต่าง ๆ แต่จะมีบทบาทสําคัญมาก แตกต่างกัน ในแต่ละกิจกรรม ดังนี้

                              ไอคิว อีคิว
                              ไอคิว อีคิว

                              ทั้งไอคิวและอีคิวนั้นมีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิตของคนทุกคนในอนาคต รวมถึงลูก ๆ ของคุณพ่อคุณแม่ด้วย ดังนั้นการฝึกให้ลูกมีพัฒนาการทางด้านไอคิวและอีคิวให้เป็นไปตามวัยจึงมีความสำคัญเช่นกัน การ เสริมพัฒนาการลูก ให้สำเร็จได้ควรทำตามเคล็ดลับ 5 ประการดังนี้

                               

                              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                              อ่านต่อ 5 เคล็ดลับ เสริมพัฒนาการลูก ให้มีอีคิวและไอคิวสูง

                                ที่เที่ยวธรรมชาติใกล้กรุงเทพ

                                เช็กอิน 5 ที่เที่ยวธรรมชาติใกล้กรุงเทพ ปลูกฝังให้ลูกรักสัตว์ รักธรรมชาติตั้งแต่เล็ก

                                หากพูดถึง ที่เที่ยวใกล้กรุงเทพฯ เชื่อเถอะว่ายังมีที่เที่ยวเจ๋ง ๆ ซ่อนอยู่อีกเพียบ โดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวที่แบบสัมผัสธรรมชาติ ทีมแม่ ABK ขออาสาแนะนำ เที่ยวธรรมชาติใกล้กรุงเทพ แบบไปเช้า-เย็นกลับ เอาไว้เป็นโปรแกรมเที่ยวง่าย ๆ พาเจ้าตัวเล็กไปเที่ยว ใช้เวลาไม่เยอะ ถ่ายรูปเพลิน ๆ ตลอดทั้งวัน พาลูกออกไปสร้างประสบการณ์ดี ๆ มาเที่ยวสนุก ๆ และสร้างความสัมพันธ์ความสุขระหว่างครอบครัวกันค่ะ

                                เช็กอิน 5 ที่เที่ยวธรรมชาติใกล้กรุงเทพ ปลูกฝังให้ลูกรักสัตว์ รักธรรมชาติตั้งแต่เล็ก

                                #1 บางกะเจ้า จ.สมุทรปราการ

                                ที่เที่ยวธรรมชาติใกล้กรุงเทพ ยอดนิยมอีกแห่งหนึ่ง ที่ขับรถชั่วโมงนิด ๆ ก็มาถึงสถานที่ฟอกปอดที่เหมาะสำหรับการมาเที่ยวพักผ่อนแบบชิล ๆ “บางกะเจ้า” เป็นพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ที่อยู่ใกล้กรุงเทพฯ มากที่สุด ซึ่งถูกพัฒนาให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ พร้อมกับมีเส้นทางจักรยานให้ได้ไปปั่นชมธรรมชาติให้ได้ขี่ลัดเลาะชมบรรยากาศและจุดท่องเที่ยวในบางกะเจ้า กิจกรรมที่น่าสนใจที่สามารถทำกันได้ทั้งครอบครัวก็คือ ปั่นจักรยานเส้นทางจักรยานเลียบคลอง (ถนนมรกต) เวิร์กช้อปผ้ามัดย้อมที่บ้านธูปหอม ไหว้พระที่วัดบางน้ำผึ้งนอก ช้อปชมชิมของอร่อยที่ตลาดน้ำบางน้ำผึ้ง เข้าดูแหล่งเรียนรู้เรื่องปลาที่พิพิธภัณฑ์ปลากัดไทย ไปเดินสูดโอโซนกันที่สวนศรีนครเขื่อนขันธ์ และยังมีแหล่งท่องเที่ยวเชิงธรรมและวิถีการเกษตรอีกมากมาย เช่น สวนป่าเกดน้อมเกล้า สวนน้ำตาลมะพร้าว บ้านสวนศิลป์ และอื่น ๆ อีกมากมาย ยิ่งเห็นกิจกรรมก็ยิ่งกระตุ้นต่อมให้อยากออกไปสัมผัสบางกะเจ้ามากยิ่งขึ้นกันแล้วใช่มั้ยค่ะ วันหยุดนี้เตรียมพาเจ้าตัวเล็กเดินทางไปฟอกปอดอย่างเต็มที่ใกล้กรุงกันเลย

                                Tip ; สำหรับบ้านไหนที่พาลูกตัวน้อยมาเที่ยวด้วย ที่ร้านเช่าจักรยานจะมีจักรยานที่มีที่นั่งเด็กทั้งด้านหน้าและด้านหลังให้เลือกไว้บริการ สำหรับคนที่เพิ่งมาครั้งแรก อย่าลืมขอแผนที่จากร้านเช่าจักรยานเพื่อดูว่ามีจุดทำกิจกรรมตรงไหนที่สามารถพาเจ้าตัวเล็กไปทำกันได้บ้าง

                                #2 สถานตากอากาศบางปู จ.สมุทรปราการ

                                สถานตากอากาศบางปู จังหวัดสมุทรปราการ
                                เครดิตภาพจาก www.facebook.com/bangpu10280
                                สถานตากอากาศบางปู จังหวัดสมุทรปราการ
                                เครดิตภาพจาก www.facebook.com/bangpu10280

                                ถ้าพูดถึงแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติของจังหวัดสมุทรปราการในอำเภอเมืองก็ต้องนึกถึง “สถานตากอากาศบางปู” ขึ้นมาทันที ภายในมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ศูนย์ศึกษาธรรมชาติเฉลิมพระเกียรติ, พื้นที่สาธิตและนิทรรศการการบรรเทาผลกระทบจากวิกฤติโลกร้อน, อนุสรณ์ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นยกพลขึ้นบก และสะพานสุขตา เป็นต้น

                                ที่นี่เหมาะมากสำหรับคนที่ต้องการมาสัมผัสธรรมชาติแบบชิล ๆ พร้อมวิวสวย ๆ ถ่ายรูปคู่กับนกนางนวลสีขาวที่บินโฉบไปมากลางอากาศ ดังนั้นจุดเช็กอินที่ไม่ว่าใครมาเที่ยวที่นี่ก็คือ สะพานสุขตา สะพานปูนที่สร้างยื่นทอดยาวไปในทะเล เป็นจุดที่จัดว่าวิวสวย ทั้งชมนกและพระอาทิตย์ตกดินที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งเลยทีเดียว และศาลาสุขใจ ที่ปัจจุบันกลายเป็นร้านอาหาร ในบรรยากาศริมทะเล เหมาะสำหรับการได้มาสูดความสดชื่นจากธรรมชาติ ลมพัดเย็นสบาย นั่งทานข้าวกับครอบครัว และกิจกรรมที่ห้ามพลาดเมื่อมาถึงที่นี่ก็คือการให้อาหารนกนางนวลนั่นเอง โดยจะมีร้านค้าในบริเวณนั้นคอยจำหน่ายอาหาร หรือจะเตรียมชุดเพื่อมาลงเลนไปปลูกต้นโกงกาง ต้นลำพู เย็น ๆ หน่อยก็ไปปั่นจักรยานรับลมชมวิว จัดไว้เป็นอีกหนึ่งที่เที่ยวเช็กอินของคนกรุงในวันหยุดช่วงสุดสัปดาห์ที่ไม่อยากมุ่งตรงไปไหนไกล ๆ ให้ได้มาเที่ยวพักผ่อนสบาย ๆ ได้เลยค่า

                                Tips; สำหรับฤดูกาลชมนกนางนวลจำนวนหลายหมื่นตัวที่สถานตากอากาศบางปู จะอยู่ในช่วงตั้งแต่เดือนตุลาคม ถึง เดือน เมษายนของทุกปี ซึ่งจะมีนกนางนวลฝูงใหญ่อพยพจากตอนเหนือของจีนมองโกเลีย มาที่สถานตากอากาศบางปูแห่งนี้  และสำหรับบ้านไหนที่เจ้าตัวเล็กอยากจะให้อาหารนกก็ขอแนะนำว่า การให้อาหารนกนางนวลควรหลีกเลี่ยงการให้อาหารนกจากมือ แล้วใช้วิธีโยนเพื่อให้นกโฉบกินกลางอากาศจะเหมาะกว่า เพื่อป้องกันนกพลาดมาจิกมือหรือเชื้อโรคที่เกิดจากการสัมผัสเอาได้

                                 

                                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                 

                                อ่านต่อ 5 แหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติใกล้กรุง คลิกหน้า 2

                                  พาลูกนั่งรถไฟ

                                  บอกต่อ 6 เส้นทาง พาลูกนั่งรถไฟ ชมวิวสองข้างทาง เที่ยวไปแบบสโลว์ไลฟ์

                                  วันหยุดสุดสัปดาห์ มาลองเปลี่ยนประสบการณ์เดินทาง พาลูกนั่งรถไฟ เที่ยวฉึก ๆ ฉัก ๆ แบบสโลว์ไลฟ์กันค่ะ มีเส้นทางรถไฟที่สามารถเที่ยวใกล้กรุงเทพฯ หลากหลายเส้นทาง แบบ ฯ One day trip ทีมแม่ ABK นำเสนอพิกัดเส้นทางรถไฟ นั่งรถไฟเที่ยวกันประสาพ่อแม่ลูก มีจุดท่องเที่ยวที่น่าสนใจทั้งทางด้านประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม มากมาย มาให้เลือกออกทริปพาลูกไปเรียนรู้ เติมประสบการณ์ กันค่า

                                  บอกต่อ 6 เส้นทาง พาลูกนั่งรถไฟ เที่ยวแบบสโลว์ไลฟ์

                                  #1 เส้นทางรถไฟกรุงเทพฯ-อยุธยา

                                  จังหวัดอยุธยานอกจากจะขับรถไปง่ายแล้ว เดินทางด้วยรถไฟก็ใช้เวลาไม่นาน ประมาณชั่วโมงกว่า ๆ ก็ถึงสถานีอยุธยา พาลูกมาเที่ยวเมืองเก่าที่นี่กันค่ะ โดยรถออกจากสถานีหัวลำโพงเที่ยวแรก เวลา 4.20 น. และขากลับเที่ยวสุดท้าย 21.42 น. มีเวลาเที่ยวได้ทั้งวันเต็ม ๆ กันเลย

                                  เมื่อมาถึงสถานีแล้ว สามารถเช่ารถตุ๊ก ๆ หรือเช่าจักรยานปั่นเที่ยวก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าจะเลือกไปที่ไหน ซึ่งมีแหล่งท่องเที่ยวมากมายโดยเฉพาะวัดวาอาราม โบราณสถานเก่าแก่ ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวประวัติศาสตร์ให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้ อาทิเช่น วัดมหาธาตุ วัดราชบูรณะ วัดพระศรีสรรเพชญ์ วัดพระราม วัดโลกยสุธาราม วัดไชยวัฒนาราม พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติเจ้าสามพระยา อุทยานประวัติศาตร์อยุธยาที่เป็นมรกดโลกของประเทศไทย ที่อยุธยาจึงนับว่าเป็นเมืองเก่าที่ยังคงมีมนต์ขลัง สัมผัสได้ถึงความยิ่งใหญ่ ความรุ่งเรือง และทำให้ซึมซับคุณค่าของประวัติศาสาตร์ในอดีตได้ทีเดียวเชียวค่ะ

                                  เที่ยวรถไฟกรุงเทพ-อยุธยา
                                  เครดิตภาพจาก https://www.facebook.com/สถานีรถไฟอยุธยา

                                  ข้อมูลเพิ่มเติม

                                  ตรวจสอบเวลาการเดินรถ สถานีกรุงเทพ-อยุธยา คลิก

                                  อัตราค่าโดยสาร (ไม่รวมค่าธรรมเนียม) : ชั้นที่ 1 ราคา 66 บาท ชั้นที่ 2 ราคา 35 บาท ชั้นที่ 3 ราคา 15 บาท

                                  #2 เส้นทางรถไฟกรุงเทพฯ-ฉะเชิงเทรา

                                  เส้นทางรถไฟสายตะวันออกที่จะพาเจ้าตัวเล็กนั่งรถไฟแบบระยะสั้น ยังไม่ทันจบความตื่นเต้นบนรถไฟก็ถึงจังหวัดฉะเชิงเทราแล้ว เพราะใช้เวลาเดินทางชั่วโมงครึ่งเท่านั้น โดยรถไฟเที่ยวแรกจากกรุงเทพฯ ออกเวลา 05.55 น. แต่ถ้าไม่รีบร้อนก็สามารถเลือกรอบ 6.55 น. หรือ 8.00 น. ในเที่ยวถัดมาได้ มาถึงฉะเชิงเทราตอนสาย ๆ จากนั้นก็มองหาสองแถวที่จะขับผ่านแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ๆ เช่น วัดหลวงพ่อโสธร ตลาดบ้านใหม่ 100 ปี แล้วก็รอสองแถวนั่งกลับมาที่สถานีซึ่งเที่ยวสุดท้ายเวลา 18.00 น. ถือว่าเป็นทริปเช้าไปเย็นกลับที่ไม่เร่งรีบสำหรับครอบครัวพอดีค่ะ

                                  นั่งรถไฟไปฉะเชิงเทรา
                                  เครดิตภาพจาก https://www.facebook.com/Chachoengsaorailway/

                                  ข้อมูลเพิ่มเติม

                                  ตรวจสอบเวลาการเดินรถ สถานีกรุงเทพ-ชุมทางฉะเชิงเทรา คลิก

                                  อัตราค่าโดยสาร (ไม่รวมค่าธรรมเนียม) : ชั้นที่ 1 ราคา 57 บาท ชั้นที่ 2 ราคา 30 บาท ชั้นที่ 3 ราคา 13 บาท

                                  #3 เส้นทางรถไฟกรุงเทพฯ –กาญจนบุรี

                                  สำหรับเส้นทางรถไฟไปเที่ยวกาญจนุบรี การรถไฟแห่งประเทศไทยมีรถไฟพิเศษนำเที่ยวในแบบไปเช้า-เย็น ที่เหมาะสำหรับครอบครัวพาเจ้าตัวเล็กไปเที่ยว สามารถเลือกเส้นทางได้เลยว่าจะไปเที่ยวแบบผจญภัยหรือแบบ สัมผัสธรรมชาติ น้ำตก โดยผ่านเส้นทางสายประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจและมีเสน่ห์ไม่แพ้ที่อื่นเลย ได้แก่

                                  • เส้นทางสถานีกรุงเทพ-เดอะสวนไทรโยค แอดเวนเจอร์ ปาร์ค แวะเที่ยวชมและถ่ายภาพสะพานข้ามแม่น้ำแคว แวะสถานีถ้ำกระแซ สัมผัสบรรยากาศประวัติศาสตร์ในอดีตตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 จากนั้นเลาะเลียบไปตามเส้นทางรถไฟสายประวัติศาสตร์ และสนุกกับกิจกรรมที่ เดอะสวนไทรโยค แอดเวนเจอร์ ปาร์ค ที่จะได้เล่นเครื่องเล่นแบบแอดเวนเจอร์อย่าง The Flying Train, The Krasae Swing, The Krasae Cliff เป็นต้น
                                  • เส้นทางสถานีกรุงเทพ-น้ำตกไทรน้อย แวะชมทิวทัศน์และถ่ายภาพบนสะพานข้ามแม่น้ำแคว ไปต่อที่สถานีถ้ำกระแซ ชมเส้นทางรถไฟสายประวัติศาสตร์สำคัญซึ่งถูกสร้างโดยเชลยศึกพันธมิตร สมัยสงครามโลกครื้งที่ 2 เป็นเส้นทางที่จัดว่าเป็นสวยที่สุดเส้นหนึ่ง และแวะพักผ่อน เล่นน้ำตก ที่น้ำตกไทรโยคน้อยประมาณ 3 ชั่วโมง แวะชมสุสานทหารพันธมิตร ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพฯ
                                  รถไฟท่องเที่ยวกาญจนบุรี
                                  พาลูกนั่งรถไฟ เที่ยวกาญจนบุรี

                                  ข้อมูลเพิ่มเติม

                                  ท่องเที่ยวรถไฟขบวนพิเศษนำเที่ยวทุกวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ทุกเส้นทางออกเดินทางเวลา 06.30 น. -19.25 น.

                                  อัตราค่าบริการ รถไฟเที่ยวเดอะสวนไทรโยค แอดเวนเจอร์ ปาร์ค รถนั่งธรรมดาชั้น 3 ผู้ใหญ่ 270 บาท / เด็ก 220 บาท อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม คลิก

                                  อัตราค่าบริการ รถไฟเที่ยวน้ำตกไทรโยคน้อย รถนั่งธรรมดาชั้น 3 ผู้ใหญ่/ เด็ก คนละ 120 บาท รถนั่งปรับอากาศชั้น 2 ผู้ใหญ่/ เด็ก คนละ 240 บาท อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม คลิก

                                   

                                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                   

                                  อ่านต่อ 6 เส้นทางรถไฟ น่าพาลูกเที่ยวแบบสโลว์ไลฟ์ คลิกหน้า 2

                                    กฎของการใช้ชีวิตคู่

                                    5 กฎของการใช้ชีวิตคู่ เมื่อมีความเห็นไม่ตรงกันเรื่องลูก

                                    กฎของการใช้ชีวิตคู่ จะช่วยลดการทะเลาะเบาะแว้งกันในครอบครัวได้ โดยหากพ่อและแม่ทำตามกฎ 5 ข้อนี้ ลูกก็จะถูกอบรมสั่งสอนไปในแนวทางที่พ่อและแม่ต้องการได้

                                    5 กฎของการใช้ชีวิตคู่ เมื่อมีความเห็นไม่ตรงกันเรื่องลูก

                                    เมื่อคน 2 คน ตกลงใจที่จะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน คนทั้ง 2 คนย่อมต้องปรับตัวเข้าหากัน เพื่อให้อยู่ด้วยกันได้ยืนยาว แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่มีปัจจัยอื่น ๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง การปรับตัวเข้าหากันก็จะยากยิ่งขึ้นไปอีก โดยปัจจัยที่เข้ามานี้ก็คือลูกน้อยที่น่ารักของคนทั้งคู่นั่นเอง เพราะทั้งพ่อและแม่ต่างก็ต้องการที่จะเลี้ยงลูกให้ได้ดีที่สุด โดยแน่นอนว่าทั้งพ่อและแม่ ต่างก็มีวิธีการเลี้ยงดูลูกที่แตกต่างกันไป ในความเห็นต่างนี้ ก็อาจเป็นชนวนเหตุให้ทะเลาะกันได้ ดังนั้น การตั้งกฎขึ้นมาเพื่อให้ทั้งคู่ทำตาม ก็จะช่วยให้การเลี้ยงดูลูกเป็นไปในแนวทางเดียวกัน และยังช่วยประคองให้ชีวิตคู่มีความสุขอยู่เสมอ ๆ อีกด้วย

                                    5 กฎของการใช้ชีวิตคู่ เมื่อมีความเห็นไม่ตรงกันเรื่องลูก

                                    1. อย่าเถียงกันต่อหน้าลูก

                                    เมื่อมีความเห็นไม่ตรงกัน ไม่ควรจะมาเอาชนะคะคานกันตรงนั้น หากไม่ใช่เรื่องด่วนหรือเรื่องที่ร้ายแรงอะไร คุณพ่อคุณแม่ควรที่จะนำประเด็นที่เกิดขึ้นนี้มาปรึกษากันทีหลัง ว่าต้องการจะสอนลูกในแนวทางใด และอาจจะหาทางออกร่วมกันว่าหากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นมาอีก จะต้องพูดและสอนลูกว่าอะไร เพราะหากทะเลาะกันต่อหน้าลูก แน่นอนว่าทั้ง 2 ฝ่ายจะต้องเริ่มพูดไม่ดีใส่กัน อาจจะพูดกันเสียงดัง เมื่อลูกได้เห็นเหตุการณ์นี้ สิ่งที่ลูกคิด คือ ทำไมพ่อต้องตะคอกใส่แม่ พ่อเป็นคนไม่ดีเลย หรือ ทำไมแม่ต้องตะโกนใส่พ่อ แม่ไม่ดีเลย เป็นต้น แน่นอนว่าคุณพ่อคุณแม่คงไม่อยากดูไม่ดีในสายตาของลูกใช่ไหมล่ะคะ ดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงการทะเลาะกันต่อหน้าลูก ในทุกกรณีนะคะ

                                    กฎการใช้ชีวิตคู่
                                    กฎการใช้ชีวิตคู่

                                    2. ถ้าไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ลองให้อีกฝ่ายเป็นคนจัดการเรื่องนั้น ๆ เอง

                                    คน 2 คนถูกเลี้ยงและเติบโตมาในที่ ๆ ต่างกัน แน่นอนว่าไม่มีทางที่จะมีแนวทางการเลี้ยงลูกที่เหมือนกันไปหมด และเรื่องบางเรื่องก็ไม่ใช่เรื่องที่ใหญ่โตอะไร คุณพ่อคุณแม่ลองปล่อยวางแล้วปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นคนสอนลูกไปในแนวทางของเขา โดยอีกฝ่ายต้องไม่เข้าไปแทรกหรือขัดในขณะที่อีกฝ่ายกำลังสอนลูกอยู่ เช่น ในขณะที่คุณแม่กำลังสอนลูกเรื่องการประหยัดอดออม ไม่ควรซื้อของเล่นทุกครั้งที่อยากได้ หากลูกวิ่งไปขอความช่วยเหลือจากคุณพ่อ ให้ซื้อของเล่นให้ คุณพ่อควรจะบอกลูกว่าให้สิทธิ์ในการตัดสินใจเรื่องนี้กับคุณแม่ ดังนั้น ลูกต้องคุยกับคุณแม่เอง เป็นต้น

                                     

                                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                    อ่านต่อ 5 กฎของการใช้ชีวิตคู่ เมื่อมีความเห็นไม่ตรงกันเรื่องลูก