โรคตับในแม่ท้อง ภาวะอันตราย ทำให้ครรภ์เสี่ยงสูง

โรคตับในแม่ท้อง ภาวะอันตราย ทำให้ครรภ์เสี่ยงสูง สำหรับอาการของโรคตับ ที่แสดงออกอย่างชัดเจน คือ อาการดีซ่าน มีลักษณะตาขาว มีสีเหลือง ที่เรียกกันว่า ตาเหลือง ส่วนผิวหนัง ฝ่ามือ และฝ่าเท้ามีสีเหลือง เรียกว่า ตัวเหลือง แม้ดีซ่านจะไม่ได้เกิดในคนไข้โรคตับทั้งหมด แต่หากมีดีซ่าน สิ่งที่ควรสงสัยต่อไปคือ เป็นโรคตับหรือไม่ ซึ่งโรคตับส่งผลกับการตั้งครรภ์อย่างไรบ้าง อันตรายขนาดไหน มาดูในรายละเอียดกัน

โรคตับในแม่ท้อง

โรคตับในแม่ท้อง ภาวะอันตราย ทำให้ครรภ์เสี่ยงสูง

สำหรับ โรคตับในแม่ท้อง ที่ทำให้เกิด ภาวะครรภ์เสี่ยงสูงนั้น แบ่งออกได้ 2 ประเภท

  1. โรคตับในแม่ท้อง ที่เกิดจากการตั้งครรภ์ เช่น

– น้ำดีคั่งในตับ (Intrahepatic Cholestasis of Pregnancy)

อาการที่พบ

นอกจากดีซ่านแล้ว ยังมีอาการคันตามตัว

สาเหตุ

เชื่อกันว่า เกิดเพราะพันธุกรรม หรือ ฮอร์โมนจากการตั้งครรภ์ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นๆ ร่วมด้วย ไม่ว่าจะเป็น ครรภ์แฝด ตั้งครรภ์แรก ตั้งครรภ์ตอนอายุมาก โดยโรคนี้มักจะเกิดกับคนที่กินยาคุมกำเนิด ก่อนตั้งครรภ์จนเกิดดีซ่าน ซึ่งถ้าใครเป็นมากในช่วงตั้งครรภ์ อาจทำให้ทารกเสียชีวิตได้

 วิธีการรักษา

ควรให้คลอด พอหลังคลอดได้ 48 ชั่วโมง อาการดีซ่านและอาการคันจะดีขึ้น

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

ติดตาม ภาวะตับวายจากไขมันเข้าไปแทนที่เซลส์ตับ คลิกต่อหน้า 2

    แม่ท้อง ทำสีผม ดัดผม ได้ไหม ?

    คนท้องก็เหมือนกับผู้หญิงทั่วไปที่ยังคงรักสวยรักงามอยู่เสมอค่ะ ฉะนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่แม่ท้องก็ต้องการทำผม มีผมที่สีสวยงาม มีทรงผมเป็นลอนสลวยน่ามอง คุณแม่ท้องที่อยากทำผมเสริมสวยจึงมักมีคำถามบ่อยๆ ว่า แม่ท้อง ทำสีผม ดัดผม ได้ไหม คำตอบจะเป็นอย่างไรลองไปดูคำแนะนำนี้กันค่ะ

    แม่ท้อง ทำสีผม ดัดผม ได้ไหม

    แม่ท้อง ทำสีผม ดัดผม ได้ไหม

    • แม่ท้องทำสีผม ดัดผมได้…แต่ต้องปลอดภัยจริง

    สำหรับคุณแม่ท้องที่ต้องการทําสีผมสามารถทำได้ค่ะ แต่ต้องมั่นใจว่าปลอดภัยต่อตัวเองจริงๆ  เพราะปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะสรุปแน่ชัดเรื่องความปลอดภัยเพียงแค่เชื่อว่าน่าจะปลอดภัยและทําได้ระหว่างตั้งครรภ์แต่อย่างไรก็ตาม “มีคําแนะนําให้เลี่ยงการทําในช่วงไตรมาสแรก” เพื่อป้องกันผลกระทบของสารเคมีที่อาจส่งผลต่อลูกน้อยและสุขภาพคุณแม่เพราะช่วงไตรมาสแรกเป็นช่วงที่ร่างกายของลูกน้อยในครรภ์เริ่มสร้างอวัยวะต่างๆ ดังนั้นให้พ้นจากไตรมาสแรกแล้วจึงค่อยทําสีผม (แต่ความจริงแล้วรอให้ลูกคลอดออกมาก่อนก็ยิ่งปลอดภัยนะ)

    เวลาทําสีผมหรือดัดผมควรให้น้ำยาโดนหนังศีรษะให้น้อยที่สุดเพราะผิวของคุณแม่ช่วงท้องจะบอบบางทําให้แพ้ได้ง่าย รวมถึงการดูดซึมสารต่างๆ จะเกิดที่บริเวณหนังศีรษะไม่ได้เกิดที่เส้นผมดังนั้นหากหลีกเลี่ยงได้ก็ควรระวังไม่ให้โดนหนังศีรษะค่ะ

    • เลือกผลิตภัณฑ์ทำสี ดัดผมแบบไหนดี

    ผลิตภัณฑ์ทำสีผมและดัดผมส่วนใหญ่จะมีสารเคมีที่ใช้กัดสีหรือดัดผมเป็นส่วนผสมโดยจะมีสารไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์เพื่อกัดสี ส่วนสีที่ใช้ย้อมก็เป็นสารเคมีหลายชนิดปนกัน   ซึ่งแม้ว่าจะมีสีปริมาณน้อยมากที่อาจดูดซึมผ่านหนังศีรษะ แต่คุณแม่ตั้งครรภ์ก็ควรระมัดระวัง และถ้าหลีกเลี่ยงได้ก็ไม่ควรทำสีหรือดัดผมในไตรมาสแรก เนื่องจากการใช้สีย้อมผมแบบถาวรมักมีส่วนผสมของแอมโมเนีย และน้ำยาดัดก็อาจไม่ปลอดภัยแท้จริง   แต่หากจำเป็นต้องทำ ควรมีวิธีเลือกผลิตภัณฑ์ดังต่อไปนี้

    เลือกสารสกัดจากธรรมชาติ หากจำเป็นต้องทำสีผม ดัดผม คุณแม่ควรทำในไตรมาสที่สองและควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำสีผม หรือดัดผมที่สกัดจากพืช มีส่วนประกอบจากธรรมชาติจะมีความปลอดภัยมากกว่าสารเคมีสังเคราะห์ที่อาจก่อให้เกิดการแพ้ต่อคุณแม่และเป็นอันตรายได้เพื่อความปลอดภัยควรปรึกษาแพทย์ที่ฝากครรภ์ก่อนค่ะ

    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

     

    ติดตาม เลือกผลิตภัณฑ์ทำสี ดัดผมแบบไหนดี คลิกต่อหน้า 2

      เป็นโรค SLE (โรคเอสแอลอี) มีลูกได้ไหม ?

      เป็นโรค SLE มีลูกได้ไหม ? โรค SLE หรือ เอสแอลอี (Systemic Lupus Erythematosus ; SLE) เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า โรคพุ่มพวง ถือเป็นโรคภูมิแพ้ตัวเองโรคหนึ่งที่มีปัญหากับการตั้งครรภ์ โรคนี้เกิดจากความผิดปกติในภูมิคุ้มกันของร่างกาย แทนที่จะต่อสู้กับเชื้อโรค หรือ สิ่งแปลกปลอมที่เข้ามา กลับทำลายเซลส์ของตัวเอง จนเกิดการอักเสบทั่วร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น ผิวหนัง เยื่อบุช่องปาก เยื่อบุทางเดินอาหาร กระดูกและข้อ ไต หัวใจ ปอด ระบบโลหิต และระบบประสาท เป็นต้น

      เป็นโรค SLE มีลูกได้ไหม

      เป็นโรค SLE มีลูกได้ไหม

      สำหรับสาเหตุการเกิดโรค SLE

      ยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง แต่เชื่อกันว่าเกี่ยวเนื่องกับพันธุกรรม การติดเชื้อไวรัสบางอย่าง ยาบางตัว หรือแสงอัลตราไวโอเลต

      อาการของโรคเอสแอลอี

      มีไข้เรื้อรัง มีผื่นขึ้นที่หน้าพาดผ่านจมูกมาที่แก้มทั้งสองข้าง เรียกกันว่า ผื่นผีเสื้อ (Butterfly Rash) ผื่นเหล่านี้มักเป็นมากขึ้นหากถูกแสงแดด หลังจากนั้นมีอาการผมร่วงบาง ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ เยื่อหุ้มปอดอักเสบ เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ เส้นเลือดทั่วตัวอักเสบ ปลายมือและปลายเท้ากลายเป็นสีเขียวเมื่อถูกความเย็น เส้นประสาทอักเสบ สมองอักเสบ และชัก จนอาการโคม่า

      การรักษา

      – ใช้ยาต้านอักเสบ (Non Steroid Anti-inflammatory Drugs)
      – ยาที่ใช้รักษาโรคมาลาเรีย เช่น คลอโรควิน (Chioroquine)
      – ยาละลายลิ่มเลือด เช่น วาร์ฟาริน (Warfarin)
      – ยากดภูมิต้านทาน เช่น สารสเตียรอยด์ เป็นต้น

      โรคเอสแอลอี ร้ายแรงแค่ไหนต่อการตั้งครรภ์

      ด้วยความที่ โรค SLE มักเกิดในคนอายุยังน้อย โอกาสตั้งครรภ์จึงมีสูงแม้จะกินยารักษาโรคนี้อยู่ก็ตาม ซึ่งผลที่ตามมาทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอย่างรุนแรงขึ้น ทั้งจากโรคและตัวยา หากเป็นโรคเอสแอลอี และกำลังรักษาอยู่ ไม่ควรปล่อยให้ตั้งครรภ์ เพราะทั้งแม่และลูกมีโอกาสเสียชีวิตจากครรภ์เสี่ยงสูง

      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

       

      ติดตาม ห้ามตั้งครรภ์เด็ดขาด หากมีอาการต่อไปนี้ คลิกต่อหน้า 2

        หลัก 3 ดูด + เข้าเต้า สูตรเด็ดให้นมแม่ได้สำเร็จและยาวนาน

        หากคุณแม่กำลังวางแผนให้นมลูก และต้องการให้ลูกน้อยได้รับนมแม่เต็มที่และนานที่สุด เรามี หลัก 3 ดูด และการเข้าเต้าที่ถูกต้องมาฝาก เพื่อให้คุณแม่สามารถให้นมแม่แก่ลูกน้อยได้สำเร็จและยาวนานอย่างมีคุณภาพค่ะ

        หลัก 3 ดูด + เข้าเต้า ให้นมแม่ สำเร็จ

        หลัก 3 ดูด

         

        หลัก 3 ดูด มอบคุณค่านมแม่

        1. ดูดเร็ว

        หมายถึงการให้ลูกน้อยดูดนมแม่ทันทีหรือภายใน 30 นาทีแรกหลังคลอด เรียกว่าเป็นชั่วโมงแรกที่สำคัญในการสร้างน้ำนมแม่แก่ลูกน้อย เพื่อช่วยกระตุ้นให้ฮอร์โมนอ็อกซิโทซิน และโปรแลคติน สร้างน้ำนมจากเต้านมให้คุณแม่ได้เร็วที่สุด และยังช่วยกระตุ้นการหดรัดตัวของมดลูกคุณแม่ ป้องกันไม่ให้คุณแม่ตกเลือดหลังคลอด แถมยังเป็นการสร้างความรักความผูกพันเมื่อแรกพบกันระหว่างคุณแม่และลูกน้อย ลูกน้อยจะได้อยู่ในอ้อมอกคุณแม่ซึมซับความอบอุ่นผูกพัน รวมทั้งการดูดเต้าของลูกน้อยจะช่วยกระตุ้นให้น้ำนมแม่มาเร็วและมามากอีกด้วย

        1. ดูดบ่อย

        ให้ลูกดูดนมแม่ทุก 2-3 ชั่วโมงหรือเมื่อลูกต้องการ ในช่วง 2-3 วันแรกหลังคลอด แม้จะยังไม่มีน้ำนมออกมาก็ตาม เพราะการให้ลูกดูดกระตุ้นบ่อยๆ จะเป็นการสร้างน้ำนมและช่วยระบายน้ำนมออกจากเต้า ให้เต้านมคุณแม่สามารถผลิตน้ำนมใหม่เรื่อยๆ อย่างสม่ำเสมอ รวมถึงช่วยป้องกันเต้านมคุณแม่ไม่ให้คัดหรือเจ็บอีกด้วย

        ที่สำคัญคือการให้ลูกดูดนมแม่บ่อยๆ ในช่วง 2-3 วันแรกหลังคลอด จะทำให้ลูกน้อยได้รับหัวน้ำนม หรือโคลอสตรัม (Colostrum) ซึ่งมีสารภูมิต้านทานมาก แต่ไม่ใช่แค่สารอาหารที่ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้ลูกน้อยเท่านั้นเพราะในหัวน้ำนมยังมีสารอาหารสำคัญที่จะช่วยเสริมสร้างเซลล์ต่างๆในร่างกายของลูกและยังมีพรอสตาแกลนดิน (Prostaglandin) ที่ช่วยกระตุ้นการเคลื่อนตัวของลำไส้ช่วยเร่งการขับขี้เทาของลูกน้อยออก เพื่อช่วยป้องกันลูกน้อยตัวเหลืองให้ลูกขับถ่ายง่ายและอุจจาระนิ่มอีกด้วย

        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

         

        ติดตาม กลยุทธ์ 3 ดูด + เข้าเต้า ให้นมแม่สำเร็จ คลิกต่อหน้า 2

          เด็กจมน้ำ

          เด็กจมน้ำ ช่วงปิดเทอมหน้าร้อน เรื่องใกล้ตัวที่พ่อแม่ต้องระวัง

          คุณพ่อ คุณแม่คงเคยได้ยินข่าว เด็กจมน้ำ กันอยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะในช่วงหน้าร้อนปิดเทอม มักจะมีข่าวนี้ออกมากกว่าปกติ เพราะหลายครอบครัวใช้เวลาในช่วงปิดเทอมหน้าร้อนไปกับท่องเที่ยว ทั้งไปทะเล เที่ยวน้ำตก หรือเล่นน้ำตามแม่น้ำลำคลองเพื่อคลายร้อน ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องงระวังให้มากๆ

          Continue reading “เด็กจมน้ำ ช่วงปิดเทอมหน้าร้อน เรื่องใกล้ตัวที่พ่อแม่ต้องระวัง”

            กินอะไรลูกออกมาขาว

            แม่ท้องต้อง กินอะไรลูกออกมาขาว ผิวสวย ดูดี มีออร่า

            กินอะไรลูกออกมาขาว เพราะเด็กผิวขาวสำหรับคนไทยแล้วถือว่าน่ารัก น่าเอ็นดู คุณพ่อคุณแม่หลายคนจึงอยากให้ลูกของตัวเอง เกิดมามีผิวสวย ขาว ดูดี โดยพยายามสรรหาวิธีและอาหารเพื่อบำรุงผิวลูกกันตั้งแต่อยู่ในท้องซึ่งก็มีความเชื่ออยู่มากมายในการทำให้ลูกผิวขาว เช่น กินน้ำมะพร้าว หรือการหลีกเลี่ยงอาหารที่มีสีดำ

            แม่ท้อง กินอะไรลูกออกมาขาว ผิวสวย

            กินอะไรลูกออกมาขาว

            แต่ความจริงแล้ว  การที่ลูกน้อยจะออกมาตัวขาวหรือตัวดำนั้น ขึ้นอยู่กับ พันธุกรรมจากพ่อแม่ ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดสีผิวของลูก แต่อย่างไรก็ตาม ถึงแม้คุณแม่จะไม่สามารถทำให้ลูกออกมาขาวอย่างใจได้ แต่ก็สามารถบำรุงผิวพรรณลูกน้อยในครรภ์ให้มีสุขภาพดี ดูเปล่งปลั่ง มีน้ำมีนวล เนียนนุ่ม น่าสัมผัสได้ โดยคุณแม่ต้องบำรุงตัวเองตั้งแต่ที่รู้ตัวว่าตั้งครรภ์ ซึ่งก่อนอื่นเรามาดูกันก่อนว่าพัฒนาการผิวหนังของลูก เริ่มขึ้นเมื่อไหร่ แล้วคุณแม่ต้องทำอย่างไรบ้างเพื่อให้ลูกออกมามีผิวขาวสวยดั่งใจ

            ไตรมาสที่ 1 ร่างกายลูกน้อยเริ่มสร้างผิวหนัง

            • สัปดาห์ที่ 8-10 เป็นช่วงที่อวัยวะส่วนต่างๆของร่างกายลูกเริ่มมีการสร้างขึ้นมาไม่ว่าจะเป็น เนื้อเยื่อ ไขมัน กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ และผิวหนัง อีกทั้งยังมีการพัฒนาของนิ้วมือ นิ้วเท้า และเล็บอีกด้วย
            • สัปดาห์ที่ 11-12 ผิวหนังร่างกายบนตัวลูกมีพัฒนาการที่สมบูรณ์ ผิวหนังห่อหุ้มร่างกายและเริ่มมีเส้นขนอ่อนๆ บนชั้นผิวหนัง

            ไตรมาสที่ 3 ผิวลูกสวยแล้วนะ

            • สัปดาห์ที่ 28  ลักษณะผิวหนังของลูกจะเหี่ยวย่น นุ่มนิ่ม และถูกปกคลุมด้วยไข
            • สัปดาห์ที่ 30-36 ลูกน้อยมีพัฒนาร่างกายที่สมบูรณ์ รอยเหี่ยวย่นบริเวณผิวหนังหายไป ผิวหนังมีความเรียบตึงมากขึ้น

            ครบกำหนดคลอด

            สำหรับเด็กที่คลอดออกมาบางคนอาจจะมีไขสีขาวคลุมตัวอยู่ บางคนก็มีมากบางคนก็มีน้อย หรือไม่มีเลยก็ได้ ขณะที่ตั้งครรภ์มักจะมีคำแนะนำให้คุณแม่ดื่มน้ำมะพร้าว เพราะเชื่อว่าจะทำให้เด็กแรกเกิดตัวสะอาด จะได้ไม่มีไข แต่ในความเป็นจริงแล้วไขที่เคลือบตัวเด็กนั้นมีส่วนช่วยปกป้องอุณหภูมิร่างกายจากในท้องแม่มาสู่โลกภายนอก แถมยังช่วยให้เด็กคลอดง่าย และเมื่อเด็กคลอดออกมาแล้ว ไขก็จะหลุดออกไปเองตามธรรมชาติ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดหรือน่ากังวลแต่อย่างใด

            ซึ่งในวันแรกๆ ผิวของลูกน้อยจะดูคล้ำๆกว่าสีผิวจริงๆ เนื่องจากมีเม็ดเลือดแดงจำนวนมาก และมีความเข้มข้นของเลือดสูง จึงทำให้เด็กดูคล้ำกว่าผิวจริงได้  จากนั้นคุณแม่จะเริ่มสังเกตได้ว่าผิวของลูกจะมีความเปลี่ยนแปลง คือ ดูใสและเรียบเนียนขึ้นจนเห็นสีผิวที่ชัดเจนหรือสีผิวจริงภายใน 3-6 เดือนขึ้นไป

            สำหรับเรื่องสีผิวของเด็กแรกเกิดนั้น เด็กทุกคนอาจมีผิวที่เข้มคล้ำขึ้น หรือผิวขาวอมชมพู โดยมีปัจจัยหลักมาจากพันธุกรรมจากคุณพ่อและคุณแม่ รวมถึงปัจจัยอื่น ๆ อย่าง สภาพแวดล้อม การเลี้ยงดู การกินยาบางชนิด ที่มีผลต่อการสร้างเซลล์ผิวในเด็กแตกต่างกันออกไป

            อ่านต่อ >> “วิธีทำให้ลูกผิวขาวตั้งแต่อยู่ในท้อง” คลิกหน้า 2

            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

             

              พี่ไม่รักน้อง

              พี่อิจฉาน้อง ปัญหาใหญ่ แก้ได้ด้วยสติและความรักจากพ่อแม่

              พี่อิจฉาน้อง …อาจเรียกได้ว่าเป็นเรื่องปกติ และมักพบได้บ่อยในเด็กช่วงอายุ 3 – 6 ปี  แต่สิ่งสำคัญของปัญหานี้ก็คือ  คุณพ่อคุณแม่จะช่วยให้ลูกคนโตเป็นพี่ที่น่ารักกับน้องได้อย่างไร 

              สำหรับปัญหานี้ ในเด็กที่อยู่ดีๆ ต้องกลายเป็นพี่  จะพยายามทำอย่างไรก็ได้ ให้ได้รับความสนใจจากพ่อแม่เหมือนเดิม เช่น อาจจะต้องการให้แม่กอดหรืออุ้มมากขึ้น  บางครั้งก็มีพฤติกรรมถดถอย กลับไปเป็นเหมือนเด็กเล็กอีกครั้ง เช่น ดูดนิ้ว, กลับไปดูดขวดนมอีก หลังจากที่เคยเลิกได้แล้ว หรือ อาจจะก้าวร้าวเพิ่มขึ้น เช่น แกล้งน้อง ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ ถือเป็นเรื่องปกติ บางอย่างก็สามารถป้องกันได้ หรือดีขึ้นเองใน 2-3 เดือนหลังจากมีน้อง ที่สำคัญขอให้เข้าใจและอย่าไปดุว่าเด็ก เพราะจะทำให้เขารู้สึกไม่ชอบน้องมากขึ้น

              ♥ บทความแนะนำคุณแม่ควรอ่าน : “ดราม่า” พี่น้อง ต้องระวัง

              พี่อิจฉาน้อง ปัญหาใหญ่ พ่อแม่แก้ได้ด้วยความรัก

              การมีลูก 2 คน (ขึ้นไป) คุณพ่อคุณแม่ก็ต้องเหนื่อย(ใจ) แบบนี้เป็นเรื่องธรรมดา …โดยเฉพาะการเหนื่อยฟังเสียงทะเลาะเบาะแว้งของพี่น้อง รวมไปถึงปัญหาพี่อิจฉาน้อง น้องชอบอ้อนแม่ ซึ่งเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ตลอดเวลาและทุกที่ นั้น  ทำให้คุณแม่หลายคนหงุดหงิดไม่น้อย แถมยังเครียดกับความรู้สึกผิดว่า อาจเป็นเพราะตัวเองเลี้ยงลูกได้ไม่ดีพอ หรือน่าจะมีวิธีดีๆ หรือพยายามมากกว่านี้เพื่อให้สองพี่น้องอยู่ด้วยกันได้โดยสันติ

              แต่จริงๆ แล้วยิ่งทำน้อยก็ยิ่งดี เพราะการตัดสินหรือพยายามทำทุกอย่างให้ยุติธรรม อาจไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นเลย ยิ่งคุณแม่พยายามแบ่งทุกสิ่งในชีวิตลูกให้เท่ากันมากเท่าไร เขาก็จะยิ่งพยายามจับผิดว่าคุณอาจลำเอียงมากเท่านั้น จึงควรพยายามทำให้ลูกรู้สึกว่าความรัก ความสนใจจากคุณเป็นสิ่งที่ไม่ต้องแบ่ง เพราะมีมากเกินพอสำหรับทุกๆ คนดีกว่าค่ะ

              เช่นเดียวกับเรื่องราวของคุณแม่ท่านหนึ่งที่ได้ออกมาแชร์ประสบการณ์ว่า เมื่อพี่สาววัย 7 ขวบ ยังไม่พร้อมจะมีน้อง เรื่องทุกข์ใจจึงเกิดขึ้น โดยคุณแม่เล่าผ่านบน Facebook ว่า….

              ลูกสาวคนโตยังไม่ชินกับการเป็นพี่ค่ะ คือว่าอะไรที่เป็นของน้องนางจะยึดหมดเลยค่ะ เปล แป้ง สบู่ ผ้าห่ม และอีกหลายอย่าง เวลาน้องไอ นางก็จะไอตาม(ประมานให้สนใจนาง)เวลาน้องเป็นอะไรนางก็จะพูดว่านางก็เป็น บางวันตอนดึกนางตื่นมาเห็นเราให้นมคนเล็ก นางก็จะนอนบีบน้ำตากระซิกๆ บางวันน้องฉี่แตกนางก็ฉี่แตกบ้าง คือสรุปไม่ว่าจะทำอะไรนางจะจับตามองตลอด เครียดสุดๆเราพยามนิ่งไว้ข่มใจไว้ต้องเข้าใจนาง แต่บางสิ่งทนแทบไม่ไหว..แม่ๆบ้านไหนมีลูกหลายคนและลูกคนโตอิจฉาน้องบ้างไหมค่ะ??

              พี่อิจฉาน้อง

              พี่อิจฉาน้อง

              จากเหตุการณ์นี้ ก็ถือเป็นเรื่องปกติของเด็กในวัยนี้ที่ยังมีปฏิกิริยา คือ “หวงพ่อแม่” ทำให้เมื่อมีลูกคนเล็ก คนพี่จึงแสดงอาการไม่รักน้อง อิจฉาน้อง   แต่ปัญหานี้แก้ได้ ด้วยการส่งเสริมวินัยเชิงบวกให้ลูก การทำให้ “พี่น้องรักกัน” นั้นไม่ยากเกินเอื้อม เพียงรู้หลักการและใส่ใจทำอย่างสม่ำเสมอค่ะ

              อ่านต่อ >> 7 วิธีเตรียม “พี่มือใหม่” ป้องกันความรู้สึก อิจฉา น้อยใจ ปลูกฝังให้พี่น้องรักกัน คลิกหน้า 2

              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

               

                นั่งเบาะหลังไม่คาดเข็มขัด

                เตือนพ่อแม่ นั่งเบาะหลังไม่คาดเข็มขัดอันตราย

                คุณพ่อ คุณแม่ทราบหรือไม่คะว่าตอนนี้มีคำสั่งใหม่จาก พล.อ.ประยุทธ์ ใช้มาตรา 44 สั่งให้ผู้โดยสารรถยนต์ทุกคนต้องคาดเข็มขัดนิรภัย ถ้าทำผิดไม่จ่ายค่าปรับจะโดนฟ้องศาล ถ้าคุณพ่อ คุณแม่ หรือลูกน้อย นั่งเบาะหลังไม่คาดเข็มขัด ก็อาจจะก่อให้เกิดอันตรายได้ไม่ต่างกับนั่งหน้า

                Continue reading “เตือนพ่อแม่ นั่งเบาะหลังไม่คาดเข็มขัดอันตราย”

                  พฤติกรรมเสี่ยงทำลายรังไข่

                  หยุดพฤติกรรมเสี่ยง ทำลายรังไข่ และมดลูก

                  คุณแม่ทุกคนนอกจากจะใส่ใจและให้ความสำคัญกับลูกน้อยแล้ว อย่าลืมให้ความสำคัญกับสุขภาพของตัวเอง ซึ่งโรคที่ผู้หญิงทุกคนมีความเสี่ยงคือ มะเร็งปากมดลูก มะเร็งรังไข่ และมะเร็งเต้านม การดูแลตัวเองและหยุด พฤติกรรมเสี่ยงทำลายรังไข่ และมดลูก จะช่วยให้คุณแม่อยู่กับลูกน้อยไปได้อีกยาวนาน

                  พฤติกรรมเสี่ยงทำลายรังไข่

                  1.นั่งนานเกินไป

                  ถ้าคุณแม่นั่งอยู่กับที่เป็นเวลานานๆ โดยไม่ลุกยืน ยืดเส้นยืดสาย อาจจะทำให้เลือดลมไม่หมุนเวียน เลือดต่างๆ ไม่สามารถลำเลี้ยงมาหล่อเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะรังไข่

                  พฤติกรรมเสี่ยง
                  พฤติกรรมเสี่ยงทำลายรังไข่

                  2.ตั้งครรภ์ตอนอายุมาก

                  คุณแม่ที่มีการตั้งครรภ์ตอนอายุมากๆ อาจจะทำให้การทำงานของประจำเดือนไม่ปกติ หมดเร็ว หรือช้ากว่าที่ควรจะเป็น

                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                   

                  3.การใช้ชีวิตประจำวัน

                  การที่คุณแม่ชอบรับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ และไม่ชอบออกกำลังกาย รวมถึงการสูดดมควันบุหรี่มือสองอยู่บ่อยๆ ก็อาจจะทำให้คุณแม่ถึงวัยหมดประจำเดือนเร็ว คุณแม่ควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ปลา และกุ้ง สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง และดื่มน้ำบ่อยๆ

                  4.ใส่สเตย์รัดหน้าท้อง

                  แม่น้องเล็กเข้าใจค่ะว่าผู้หญิงทุกคนอยากรูปร่างดี แต่การใส่สเตย์รัดหน้าท้องแน่นๆ นานเกินไป อาจจะทำให้รังไข่ได้รับบาดเจ็บ บางครั้งถึงขั้นเกิดซีสต์ขึ้นมาได้

                  พฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพ
                  พฤติกรรมเสี่ยงทำลายรังไข่

                  5.ภาวะความกดดันสูง

                  เวลาที่คุณแม่เครียด หรือมีความกดดัน นอกจากจะทำให้เกิดความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจแล้ว ยังมีโอกาสที่จะส่งผลต่อประจำเดือนที่มาไม่ปกติได้

                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                  อ่านต่อ “หยุดพฤติกรรมเสี่ยง ทำลายรังไข่ และมดลูก” คลิกหน้า 2

                    20 วิธีแก้ อาการแพ้ท้อง พร้อมเมนูแนะนำแก้อาการแพ้ท้อง

                    วิธีแก้ อาการแพ้ท้อง …เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่แม่ท้องหลายคนต้องพบเจอ กับ อาการแพ้ท้อง ซึ่งมักจะเกิดกับคุณแม่ในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ ซึ่งคุณแม่ท้องจะต้องเผชิญกับอาการคลื่นไส้วิงเวียน อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีวิธีลดอาการเหล่านี้นะคะ

                    วิธีแก้ อาการแพ้ท้อง พร้อมเมนูแนะนำแก้อาการแพ้ท้อง

                    อาการแพ้ท้อง มักเกิดในระยะแรกของการตั้งครรภ์โดยมากจะเกิดในช่วง 28 สัปดาห์ของการตั้งครรภ์ พอเข้าสู่ไตรมาส 2 อาการแพ้ท้องจะหายไป บางท่านอาจจะแพ้กลิ่นหรืออาหารบางประเภท เชื่อว่าอาการแพ้ท้องเกิดจากการที่ร่างกายของหญิงตั้งครรภ์ มีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนที่สูงทำให้กระเพาะอาหารมีการบีบตัวน้อยลง

                    อาการของอาการแพ้ท้อง

                    • คลื่นไส้อาเจียนหลังจากดื่มน้ำหรือรับประทานอาหาร
                    • น้ำหนักลด
                    • ขาดน้ำ
                    • ปัสสาวะสีเข้ม
                    • เกลือแร่ในร่างกายอาจผิดปกติ
                    • การเปลี่ยนแปลงทางเต้านม
                    ♥ บทความแนะนำคุณแม่ควรอ่าน >> Q&A คลายสงสัย อาการแพ้ท้อง ของคุณแม่ทุกไตรมาส

                    วิธีแก้ อาการแพ้ท้องระดับของการแพ้ท้อง

                    • ระดับที่ 1

                    มีอาการคลื่นไส้ เวียนศีรษะเล็กน้อย มักมีอาการในช่วงเช้า รับประทานอาหารได้น้อยลง มีการอาเจียนบ้าง แต่สามารถบรรเทาได้เมื่อปฏิบัติตามคำแนะนำข้างต้น ถ้าคุณแพ้ท้องแบบนี้ก็สบายใจได้ค่ะ ว่าการแพ้ท้องของคุณอยู่ในระดับ Morning Sickness ทั่ว ๆ ไป ไม่น่ากังวลมาก อ้อ…น้ำหนักตัวของคุณแม่ตั้งครรภ์ 3 เดือนแรก ควรเพิ่มขึ้น 1-2 กิโลกรัม ในช่วงที่แพ้ท้องมากจนรับประทานอาหารไม่ค่อยได้ คุณแม่ตั้งครรภ์อาจมีน้ำหนักลดลงเล็กน้อยค่ะ

                    • ระดับที่ 2

                    มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน รับประทานอาหารไม่ได้ พักผ่อนอย่างไรก็ไม่ดีขึ้น และมีปัสสาวะสีเข้ม ต้องรีบพบแพทย์ กรณีที่อาเจียนมากจนรับประทานอาหารไม่ได้ คุณหมออาจให้น้ำเกลือ หรือฉีดกลูโคส เพื่อบรรเทาอาการอ่อนเพลียก่อน แล้วอาจให้รับประทานยาประเภท Dimenhydrinate ซึ่งเป็นยาระงับอาการคลื่นไส้ ซึ่งต้องรับประทานก่อนที่จะเกิดอาการแพ้ รวมทั้งการแนะนำให้ปรับวิธีรับประทานอาหาร เมื่อพบแพทย์และปฏิบัติตามคำแนะนำแล้วอาการแพ้ท้องก็จะบรรเทาลงได้

                    • ระดับที่ 3

                    เป็นการแพ้ท้องขั้นรุนแรง ซึ่งทางการแพทย์ เรียกว่า Hyperemesis Gravidarum (HG) พบประมาณ 0.3 ถึง 2% ในหญิงตั้งครรภ์ อาการจะรุนแรงถึงขั้นที่คุณแม่รับประทานอะไรไม่ได้เลย อาเจียนมากจนร่างกายขาดทั้งน้ำและอาหาร บางคนอาเจียนจนหลอดเลือดที่อยู่บริเวณหลอดอาหารมีการฉีกขาดจนมีเลือดปนมากับ อาเจียน บางคนอาเจียนจนมีเลือดออกใต้เยื่อบุตา ผู้ที่แพ้ท้องขั้นรุนแรง จะเริ่มแพ้เร็วกว่าการแพ้ท้องธรรมดาและมักจะแพ้นาน บางรายอาจแพ้ท้องอย่างหนักไปจนถึงคลอด แต่ส่วนใหญ่จะดีขึ้นเมื่อตั้งครรภ์ได้ 20 สัปดาห์

                    อ่านต่อ >> 20 วิธีแก้ อาการแพ้ท้อง พร้อมเมนูแนะนำแก้อาการแพ้ท้อง” คลิกหน้า 2

                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                     

                      คลินิกนมแม่

                      รวม คลินิกนมแม่ ให้คำปรึกษาและแนะนำการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่

                      คลินิกนมแม่  ผู้เขียนได้รับอีเมลหลายฉบับจากคุณแม่ที่ใกล้คลอด และคุณแม่มือใหม่ที่เพิ่งคลอดลูก ซึ่งส่วนใหญ่จะถามเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ให้ประความสำเร็จต้องทำยังไง? ถ้ามีปัญหาตอนให้นมลูกทำไงดี? และมีคำถามในเรื่องการไปใช้บริการที่คลินิกนมแม่ ว่ามีที่ไหนให้คำแนะนำบ้าง?  ทีมงาน Amarin Baby & Kids ไม่รอช้าเราได้รวบรวม “คลินิกนมแม่” มาให้แล้วค่ะ

                       

                      คลินิกนมแม่ ให้คำปรึกษาและแนะนำการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ มีที่ไหนบ้าง?

                      1. โรงพยาบาลศิริราช ตึกพระศรี ชั้น 2

                      การติดต่อ : เบอร์โทรศัพท์ 02-419- 5994-5 ต่อ คลินิกนมแม่

                      2. สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี

                      การติดต่อ :  เบอร์โทรศัพท์ วันจันทร์-วันเสาร์ (08.00-18.00 น.) 02-354-8945, 02-354-8350 วันจันทร์-วันเสาร์ (16.00-18.00 น.) 08-1627-8008 วันอาทิตย์หรือวันหยุดราชการ (08.00-18.00 น.) 08-1627-8008

                      3. โรงพยาบาลรามาธิบดี

                      การติดต่อ : เบอร์โทรศัพท์ 02-201-2663

                      4. โรงพยาบาลกลาง

                      การติดต่อ :  เบอร์โทรศัพท์ 02-221-6141 # 11321

                      5. โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์

                      การติดต่อ : เบอร์โทรศัพท์ 02-256-4808

                      อ่านต่อ >> รวม สถานที่ปรึกษานมแม่ ทั่วประเทศไทย หน้า 2

                       

                       

                      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                        สัญญาณเตือนสุขภาพผู้หญิง

                        5 อาการเตือนสุขภาพผู้หญิง ที่ไม่ควรมองข้าม!!

                        อาการเตือนสุขภาพผู้หญิง การมีสุขภาพที่ดีเป็นเรื่องที่ผู้หญิงเราทุกคนต้องการมาก ยิ่งโดยเฉพาะกับคนที่เป็นแม่การมีสุขภาพที่แข็งแรงเป็นเรื่องที่ต้องใส่ใจและให้ความสำคัญกันอย่างมาก ดังนั้นเพื่อเป็นการช่วยเตือนให้ผู้หญิงทุกคนหันมาตระหนักถึงสุขภาพตัวเองกันมากขึ้น ทีมงาน Amarin Baby & Kids มี 5 อาการเตือนสุขภาพผู้หญิง ที่ไม่ควรมองข้าม มาให้ได้ทราบกันค่ะ

                         

                        5 อาการเตือนสุขภาพผู้หญิง ที่ไม่ควรมองข้าม!!

                        1. อ่อนเพลียผิดปกติ

                        ผู้หญิง หรือแม่ที่ต้องทำงานนอกบ้านด้วย ที่บางคนอาจทุ่มเท จนทานข้าวไม่เป็นเวลา นอนดึก ตื่นเช้า ไม่มีเวลาออกกำลังกาย ไม่ได้ทานอาหารที่มีประโยชน์ ระหว่างวันมักฝากท้องไว้กับอาหารกล่องกึ่งสำเร็จรูป หรือดื่มน้ำน้อย ฯลฯ เหตุปัจจัยเหล่านี้ล้วนสามารถนำมาซึ่งโรคภัยไข้เจ็บได้ไม่ช้า ก็เร็ว

                        พฤติกรรมที่ทำร้ายสุขภาพทางตรงเหล่านี้ หากมีการทำบ่อยๆ สะสมมากๆ เข้า ร่างกายมักฟ้องออกมาด้วยอาหารเหนื่อยอ่อนเพลีย คือโดยปกติในหนึ่งสัปดาห์ หรือในหนึ่งวันเราทุกคนจะเกิดอาการอ่อนเพลียกันได้เป็นปกติ แต่เมื่อพักผ่อนเต็มที่อาการเหนื่อยเพลียก็จะหายไป ทีนี้สำหรับผู้หญิง หรือคุณแม่ที่มีอาการเหนื่อยเพลียมากกว่าปกติ คือพักผ่อนนอนหลับตื่นมาก็ยังเหนื่อยเพลียอยู่ และมีทีท่าว่าจะไม่หายไปง่ายๆ  นี่อาจเป็นอาการเตือนจากร่างกายว่าคุณกำลังเริ่มมีอาการเจ็บป่วยจาก โรคตับ โรคปลายประสาทอักเสบ หรือโรคภูมิคุ้มกันทำลายตัวเอง เป็นต้น ซึ่งเมื่อภูมิคุ้มกันโรคในร่างกายเริ่มบกพร่อง ก็ทำให้ง่ายต่อการติดเชื้อไวรัสต่างๆ ได้ง่ายมาก หากร้ายแรงหนักถึงขั้นติดเชื้อในกระแสเลือดเฉียบพลัน ก็เสียชีวิตได้ค่ะ

                        อ่านต่อ >> ผมร่วง สัญญาณเตือนสุขภาพในผู้หญิง หน้า 2

                         

                        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                          กิจกรรมเล่นกับลูก เสี่ยงกระทบสมอง

                          กิจกรรมเล่นกับลูก 7 อย่างต้องห้าม เสี่ยงกระทบสมอง อันตรายถึงชีวิต

                          กิจกรรมเล่นกับลูก …เป็นสิ่งที่ช่วยสร้างสัมพันธ์ ความผูกพันที่ดีระหว่างพ่อแม่กับลูกๆ ได้ แต่ก็มีบางเรื่องที่คุณพ่อมักเล่นกับลูกอย่างคึกคักสนุกสนาน ด้วยวิธีแผลงๆ แปลกใหม่ ไม่น่าเบื่อ เช่น ชอบยกลูกขึ้นสูง ๆ แล้วแกว่งไปแกว่งมา หรือ จับลูกห้อยหัวลง ได้ออกแรงได้หัวเราะกันอย่างสุด ๆ จนทำให้ลูกติดใจ เมื่อเจอพ่อทีไรก็มักอ้าแขนหรือโผเข้าใส่

                          และแม้ว่านี่คือช่วงเวลาอันแสนสนุกสำหรับเด็กๆ แต่หากคุณพ่อ เผลอเล่นสนุกจนลืม เรื่องความปลอดภัยไป การเล่นหรือกิจกรรมต่างๆ ที่ทำกับลูกน้อยนั้นอาจกลายเป็นห้วงเวลาที่นำความทุกข์ และความเศร้าตามมาให้ก็ได้เช่นกัน

                          กิจกรรมเล่นกับลูก 7 อย่างต้องห้าม เสี่ยงกระทบสมอง อันตรายถึงชีวิต

                          สำหรับคุณพ่อที่พยายามจะสร้างความผูกพันและความใกล้ชิดกับลูกให้มากขึ้น โดยการช่วยคุณแม่เลี้ยงหรือเล่นกับลูก แต่ด้วยความเป็นผู้ชาย คุณพ่อก็อาจเผลอ “บ้าพลัง” เล่นกับลูกจนเกินเหตุ ออกแรงมาเกินไป โดยหารู้ไม่ว่า นั่นอาจทำให้ลูกรักของคุณได้รับบาดเจ็บ หรือกระทั่งเสียชีวิตได้ เพราะอุบัติเหตุสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เพื่อความปลอดภัยไว้ก่อน Amarin Baby & Kids จึงขอแนะนำสิ่งที่คุณพ่อจะต้อง “ไม่ทำ” หรือ “ห้ามเล่น” กับลูก ในกิจกรรมดังนี้


                          กิจกรรมเล่นกับลูก

                          1. วิ่งไล่จับ ไปมาอย่างรวดเร็ว

                          ลูกอาจติดสไตล์การเล่นที่หนักไปทางบู๊ เร้าใจ ตื่นเต้น มาจากคุณพ่อ ไม่ว่าจะเป็น วิ่งไล่จับ กระโดดสูง ๆ หรือ หกคะเมนตีลังกา ซึ่งจริง ๆ แล้วข้อดีก็คือเป็นการส่งเสริมพัฒนาการของกล้ามเนื้อมัดใหญ่ แต่สิ่งที่ต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่งก็คือ การเผลอเล่นสนุกจนยั้งไม่อยู่ เช่น วิ่งไล่ลูกอย่างเร็วจี๋ จนลูกลื่นล้ม ถลอกปอกเปิก ขาพลิก ข้อเคลื่อน หรือกระดูกหัก หากล้มหน้าคว่ำ ก็อาจฟันหัก เหงือกฉีก ปาก จมูกได้รับบาดเจ็บ หรือหากหัวฟาดพื้นก็เสี่ยงต่อการกระทบกระเทือนถึงสมองได้

                          ทั้งนี้ในลักษณะการลื่นหกล้มหน้าคว่ำของเด็ก ๆ ยังอาจทำให้จมูกและปากได้รับการกระทบกระเทือนด้วย บางคนก็ถึงกับฟันหักหรือเหงือกฉีกขาด การบาดเจ็บในช่องปากพบได้บ่อยครับ หากฟันหักเหงือกฉีก ก็จะส่งผลต่อการกิน พลอยทำให้ขาดสารอาหารน้ำหนักลดไปอีกหลายวันทีเดียว ปัญหาการหกล้มหน้าคว่ำเป็นเรื่องสำคัญ ที่คุณพ่อคุณแม่จะต้องดูแลเป็นพิเศษ ยิ่งฟันคู่แรกของลูกโผล่พ้นเหงือก ยิ่งต้องใกล้ชิดและให้ลูกรักอยู่ในสายตา

                          √ บทความแนะนำน่าอ่าน : ลูกฟันหลุดรักษาได้อย่าทิ้ง! (อาจต่อได้)
                          √ บทความแนะนำน่าอ่าน : ดูแลแผลถลอกคุณหนู แบบ Easy Step

                          กิจกรรมเล่นกับลูก

                          2. การเล่นปล่อยพลัง ต่อสู้ บู๊ล้างผลาญ

                          การเล่นแบบนี้ถือเป้นเรื่องปกติสำหรับคุณพ่อที่จะชวนลูกน้อยเล่นตามประสาของผู้ชาย หรือเด็กผู้หญิงบางคนก็อาจชอบด้วย ไม่ว่าจะเป้นเล่นต่อสู้ ฟันดาบ เตะต่อย หลายครั้งคุณพ่อก็ยอมแพ้ให้ลูกทั้งเตะทั้งต่อย ดู ๆ ไปก็ น่าสนุก แต่คุณพ่อและคุณแม่ก็ต้องคอยระวังเรื่องอุบัติเหตุ การกระทบกระทั่งรุนแรง ที่อาจเกิดขึ้นได้ รวมไปถึงการเล่นแบบนี้อาจทำให้ลูกคิดว่า เมื่อเขารู้สึกว่าเขาต้องชนะคนอื่นด้วยการต่อยตี ก็จะปลูกฝังพฤติกรรมที่ไม่ดีไปในใจของลูกได้อีกด้วย

                          อ่านต่อ >> “กิจกรรมอันตราย ห้ามทำห้ามเล่น กับลูกน้อย เสี่ยงกระทบสมอง” คลิกหน้า 2

                          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                           

                            ท้องเสีย

                            แม่ท้อง ท้องเสีย กินยาอะไรได้บ้าง

                            คุณแม่ท้อง ท้องเสีย กินยาอะไรได้บ้าง ในช่วงตั้งครรภ์ หากคุณแม่มีอาการเจ็บป่วยไม่สบาย คงจะกังวลใจว่าจะดูแลตัวเองอย่างไร กินยาแบบไหนดี ที่ไม่มีผลต่อลูกน้อย วันนี้เราจึงมาให้ความรู้คุณแม่ในเรื่อง แม่ท้อง ท้องเสีย กินยาอะไร เพื่อที่ว่าหากคุณแม่มีอาการท้องเสียขึ้นเมื่อไรจะสามารถดูแลตัวเองได้อย่างถูกต้อง

                            แม่ท้อง ท้องเสีย กินยาอะไร

                            คุณแม่ท้อง ท้องเสีย กินยาอะไร

                            อาการท้องเสียหรืออาเจียนเป็นกลไกของร่างกายที่จะขับของเสียออกมาปกติแล้วอาการเหล่านี้มักจะหายไปภายใน 24 ชั่วโมง หรือเรื้อรังไม่เกิน 3 วัน จึงไม่ก่อให้เกิดปัญหากับการตั้งครรภ์เพียงแต่คุณแม่ต้องระมัดระวังภาวะร่างกายขาดน้ำที่อาจก่อให้เกิดอันตรายและถ้ามีอาการนานกว่า 48 ชั่วโมง มีสัญญาณของอาการขาดน้ำ หรือมีไข้สูงควรไปพบแพทย์ทันที

                            อาการท้องเสียแบ่งได้ 2 กลุ่มได้แก่

                            1) ท้องเสียแบบติดเชื้อ คือจะถ่ายเหลว ถ่ายเป็นน้ำ ถ่ายบ่อย ลักษณะอุจจาระจะมีมูกเลือดหรือฟองปน ร่วมกับมีไข้ ครั่นเนื้อครั่นตัว พะอืดพะอม คลื่นไส้ ต้องไปโรงพยาบาลเท่านั้น และรักษาได้ด้วยการให้ยาฆ่าเชื้อ

                            2) ท้องเสียแบบไม่ติดเชื้อ จะมีอาการแค่ถ่ายเหลวถ่ายบ่อย 3-4 ครั้งขึ้นไป อาจมีอาการคลื่นไส้ร่วมด้วยแต่จะไม่มีไข้ ซึ่งท้องเสียแบบนี้จะหายไปได้เอง และคุณแม่สามารถดูแลตัวเองได้

                            กรณีคุณแม่ท้อง ท้องเสียจากการติดเชื้อซึ่งมักจะมีความรุนแรง และส่งผลต่อคุณแม่และลูกน้อยได้ โดยร่างกายของคุณแม่จะขาดน้ำเกลือแร่และสารอาหารที่จําเป็น หากเป็นนานเกินไปจะทําให้ลูกน้อยขาดสารอาหาร และการเติบโตก็ชะงักตามไปด้วย ยิ่งคุณแม่ติดเชื้อรุนแรงหรืออาหารเป็นพิษ ได้รับพิษรุนแรงจะมีไข้ ซึ่งอาการไข้อาจจะส่งผลต่อพัฒนาการการเจริญเติบโตของลูกน้อยได้ด้วย

                            อาการอาเจียนในคนท้อง 3 เดือนแรกอาจจะแยกอาการท้องเสียจากการแพ้ท้องได้ยาก ซึ่งถ้าไม่เคยมีอาการแพ้มาเลยช่วงก่อนอายุครรภ์ 12สัปดาห์ ก็น่าจะอาเจียนจากโรคท้องร่วงได้ คุณแม่จึงควรสังเกตความผิดปกติของตัวเองก่อนและหากไม่แน่ใจควรไปพบแพทย์

                            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                             

                            ติดตาม คุณแม่ท้อง ท้องเสียกินยา อะไรได้หรือไม่ คลิกต่อหน้า 2

                              ขาดสารอาหาร

                              สัญญาณเตือนภัย เมื่อลูกน้อยขาดสารอาหาร

                              เมื่อคุณแม่ให้กำเนิดลูกน้อย อาหารอย่างแรกที่ลูกน้อยจะได้รับประทานคือนมแม่ และเมื่อถึงวัย 6 เดือนขึ้นไปลูกน้อยก็สามารถรับประทานอาหารเสริมได้แล้ว คุณแม่หลายคนอาจเป็นกังวลว่าลูกน้อยจะได้รับสารอาหารที่ไม่เพียงพอ แม่น้องเล็กจึงมีวิธีสังเกตสัญญาณเตือน เมื่อลูกน้อย ขาดสารอาหาร มาฝากค่ะ

                              Continue reading “สัญญาณเตือนภัย เมื่อลูกน้อยขาดสารอาหาร”

                                แม่ท้อง กินวิตามินเสริมความงามได้ไหม?

                                มีคำถามที่สงสัยกันว่า แม่ท้อง กินวิตามินเสริมความงามได้ไหม เพราะยังอยากกินพวกวิตามิน และคอลลาเจนเสริมความงามต่อเนื่อง เผื่อว่าจะเป็นประโยชน์ต่อลูกน้อย ซึ่งความจริงแล้วเป็นความคิดที่ผิดค่ะ ดังนั้น เรามาดูกันว่าแม่ท้องควรจะกินวิตามินเสริมความงามเหล่านี้หรือไม่ และวิตามินที่ควรกินคืออะไรบ้าง

                                แม่ท้อง กินวิตามินเสริมความงามได้ไหม

                                แม่ท้อง กินวิตามินเสริมความงามได้ไหม

                                • วิตามินเสริมความงาม ไม่เหมาะกับแม่ท้อง

                                ผู้หญิงส่วนใหญ่พอท้องแล้วจะกังวลกลัวว่าความสวยจะลดลง แต่ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารหรือสารเสริมความงามทั้งหลายมีที่มาแตกต่างกัน ดังนั้น การรับรองเรื่องความปลอดภัยในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทุกตัวที่มีในท้องตลาดจึงทําได้ยากสูติแพทย์จึงไม่ค่อยอยากให้คุณแม่ตั้งครรภ์กินผลิตภัณฑ์เหล่านี้ เพราะในอดีตเคยมีรายงานที่อ้างถึงการปนเปื้อนของกระบวนการผลิตในผลิตภัณฑ์จำพวกนี้และหากสิ่งปนเปื้อนเป็นพวกสารโลหะหนักหรือสารพิษ ก็อาจจะส่งผลกระทบต่อการพัฒนาอวัยวะต่างๆ ของลูกน้อยขณะอยู่ในท้องได้ค่ะ ซึ่งแต่ละวิตามินเสริมก็จะส่งผลร้ายต่อลูกในท้อง ดังนี้

                                1. วิตามินเอและวิตามินบี ถ้าใช้ในปริมาณมากจะเกิดความพิการของไต ระบบขับถ่ายปัสสาวะ ระบบประสาทแต่กำเนิดได้ จึงไม่ควรได้รับมากกว่าจำนวนที่แพทย์สั่ง

                                2. วิตามินซี ถ้าได้รับมากเกินไป อาจทำให้เด็กในครรภ์คลอดออกมาเป็นโรคเลือดออกตามไรฟันได้ ในบางรายอาจทำให้เด็กในครรภ์มีโอกาสพิการตั้งแต่กำเนิด

                                3. วิตามินดี ถ้าคุณแม่ได้รับมากเกินไป จะทำให้เกิดความผิดปกติในระบบหลอดเลือดของทารก และอาจทำให้ทารกปัญญาอ่อนได้

                                ดังนั้น สรุปว่าในขณะตั้งครรภ์คุณแม่ควรงดกินวิตามินเสริมความงามทุกชนิด เพราะทุกอย่างไม่ได้มีการรับรองความปลอดภัยที่แน่ชัด ตลอดจนสารอาหารเหล่านั้น กลับจะทำอันตรายต่อสุขภาพของคุณแม่และลูกน้อยได้อีกด้วย ส่วนเรื่องความสวยงามขณะตั้งครรภ์คุณแม่ก็ไม่ควรกังวลใจเกินไป เพราะทุกอย่างเกิดจากการฮอร์โมนในร่างกาย เพียงกินอาหารให้ครบถ้วน ดูแลผิวพรรณ ป้องกันแสงแดด พักผ่อนให้เพียงพอ ทำจิตใจให้แจ่มใส กายใจของคุณแม่ก็สวยงามน่ารักได้ดังเดิมค่ะ

                                ส่วนคุณแม่ที่ตั้งครรภ์มีความจําเป็นต้องได้รับวิตามินเสริมตัวไหนบ้างนั้น ส่วนใหญ่ที่แนะนำและสําคัญที่สุดมีเพียงกรดโฟลิก แคลเซียม และธาตุเหล็กที่จําเป็นต้องได้รับเพิ่มขึ้นมาเท่านั้น เพราะอาหารที่กินแต่ละวันอาจไม่เพียงพอต่อการชดเชยให้คุณแม่ที่ต้องถูกดึงสารอาหารดังกล่าวไปใช้ในกระบวนการพัฒนาอวัยวะที่สําคัญของลูก

                                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                 

                                • คำแนะนำในการกินวิตามิน

                                มีคำแนะนำในการกินวิตามินและสารอาหารสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์มาฝากค่ะ เพื่อที่คุณแม่จะได้สามารถเลือกกินวิตามินที่จําเป็นต่อคุณแม่ตั้งครรภ์ได้ และหลีกเลี่ยงวิตามินที่เป็นอันตรายได้ถูกต้อง

                                1. กรดโฟลิก “จำเป็นมาก”

                                กรดโฟลิกมีความสําคัญในช่วงก่อนการตั้งครรภ์และการตั้งครรภ์ระยะ 3 เดือนแรก เพราะจะช่วยลดการเกิดความพิการที่เกี่ยวกับระบบประสาทและไขสันหลัง การกินกรดโฟลิกเพิ่มเติมสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ควรอยู่ในปริมาณตั้งแต่ 0.4-4 มิลลิกรัม และกรดโฟลิกยังเป็นสารอาหารที่พบได้ในธัญพืช ข้าวกล้อง และผักสด แต่หากได้รับมากเกินไปก็ไม่มีการสะสมในร่างกายเพราะร่างกายสามารถขับออกได้ค่ะ

                                ติดตาม คำแนะนำในการกินวิตามิน คลิกต่อหน้า 2

                                  คุณแม่ท้อง มีเพศสัมพันธ์ได้ไหม

                                  คุณแม่ท้อง มีเพศสัมพันธ์ได้ไหม?

                                  คุณแม่ท้อง มีเพศสัมพันธ์ได้ไหม ? เชื่อไหมคะว่าเรื่องเซ็กซ์เรื่องรักสำหรับแม่ท้องก็สำคัญ ฉะนั้นหากคุณแม่สงสัยว่า คนท้อง มีเพศสัมพันธ์ได้ไหม บทความน่ารู้นี้จะมาคอนเฟิร์มให้คุณแม่มั่นใจว่าแม่ตั้งครรภ์และคุณสามีก็มีเซ็กส์เพื่อกระชับรักได้อย่างปลอดภัยและแฮปปี้ได้แน่นอนค่ะ

                                  คุณแม่ท้อง มี เพศสัมพันธ์ ได้ไหม?

                                  คุณแม่ท้อง มีเพศสัมพันธ์ได้ไหม ?

                                  การมีเพศสัมพันธ์ขณะตั้งครรภ์ ไม่ใช่เรื่องอันตรายใดๆ ต่อสุขภาพคุณแม่และลูกน้อย หากไม่มีข้อบ่งชี้หรือภาวะความเสี่ยงต่างๆ ดังนั้นการแสดงความรักด้วยการมีเพศสัมพันธ์ในช่วงตั้งครรภ์จึงสามารถทำได้ เพราะความสัมพันธ์และความรักที่แนบแน่นระหว่างสามีภรรยา นอกจากจะทำให้ภรรยาที่กำลังตั้งครรภ์รู้สึกอบอุ่น มีความสุขแล้ว คุณสามีว่าที่คุณพ่อยังมีความสุขที่ได้ดูแลทะนุถนอมคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์ ไม่รู้สึกว่าขาดความเอาใจใส่ทางเพศ จนต้องไปมีเล็กมีน้อยนอกบ้านอีกด้วย ดังนั้นเรามาดูกันว่าแม่ท้อง จะมีเซ็กส์แบบไหนที่เหมาะสม และปลอดภัยที่สุดค่ะ

                                   คนท้องมี เพศสัมพันธ์ได้

                                  • เพศสัมพันธ์ขณะตั้งครรภ์ไตรมาส 1 “ถ้าเสี่ยงต้องงดก่อน”

                                  หากคุณแม่ตั้งครรภ์ไตรมาสแรกไปฝากครรภ์แล้ว และได้รับการตรวจวินิจฉัยจากแพทย์ และการตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงแล้วพบว่าการตั้งครรภ์ของคุณแม่ปกติ มีการตั้งครรภ์ในมดลูก ลูกน้อยมีการฝังตัวและมีพัฒนาการช่วงเป็นตัวอ่อนปกติ รูปร่างและการเต้นของหัวใจปกติ ไม่มีภาวะแท้งคุกคาม หรือการแท้งซ้ำซ้อน ไม่มีประวัติความเสี่ยงต่างๆ คุณแม่ก็สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ค่ะ

                                  แต่หากเพิ่งตั้งครรภ์และยังไม่ได้รับการตรวจอย่างละเอียดจากแพทย์ ควรหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ในช่วงไตรมาสแรกไว้ก่อน หากมีภาวะแท้งคุกคามหรือพัฒนาการของตัวอ่อนไม่สมบูรณ์ การมีเพศสัมพันธ์จะทําให้มีเลือดออกทางช่องคลอด และถ้ามีอาการปวดท้องด้วยจะยิ่งเป็นอันตราย อาจจะเกิดการแท้งตามมาได้ค่ะ

                                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                   

                                  • เพศสัมพันธ์ขณะตั้งครรภ์ไตรมาส 2 “ท่าร่วมรักก็สำคัญ”

                                  ในไตรมาสที่สองหรือในช่วงที่คุณแม่กำลังตั้งครรภ์ 4-6 เดือน เมื่อฝากครรภ์และตรวจพบว่าไม่มีภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์ ว่าที่คุณพ่อและคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ก็สามารถมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอดได้ ไม่เกิดอันตรายต่อการตั้งครรภ์ หรือส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของลูกน้อยในครรภ์ค่ะ

                                  ท่วงท่าในการมี เพศสัมพันธ์สำหรับไตรมาสที่ 2 นี้จริงๆ แล้วควรหลีกเลี่ยงท่าที่ฝ่ายชายอยู่ด้านบน เพื่อป้องกันไม่ให้มดลูกถูกแรงกระแทกได้ ดังนั้น ท่าทางในการมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัยที่สุดคือ ท่านอนตะแคง หรือถ้าท้องของคุณแม่ไม่ใหญ่เกินไป ก็สามารถใช้ท่าที่ฝ่ายหญิงอยู่ด้านบนได้

                                  ติดตาม คุณแม่ท้อง มีเพศสัมพันธ์ไตรมาส 3 คลิกต่อหน้า 2

                                    รวมผลิตภัณฑ์ ยาพ่น และ น้ำเกลือล้างจมูก เลือกแบบไหนดี!

                                    ล้างจมูกให้ลูก …เมื่อลูกน้อยอึดอัดแน่นคัดจมูก หายใจไม่สะดวก มีน้ำมูก ทำให้ลูกรู้สึกไม่สุขสบาย ดูดนมได้ไม่ค่อยดี งอแง หงุดหงิด นอนไม่ได้ การระบายน้ำมูกในจมูก ด้วย น้ำเกลือล้างจมูก หรือใช้ยาพ่นจมูก จะช่วยให้เด็กๆสบายขึ้น จมูกสะอาด ลดการแพร่เชื้อและลดการใช้ยาลงได้ด้วย

                                    การ ล้างจมูกให้ลูก เป็นการชะล้างเอาน้ำมูก หนอง  สิ่งสกปรกในจมูก ซึ่งเกิดจากการอักเสบในโพรงจมูกและไซนัส หรือคราบสะเก็ดแข็งของเยื่อบุจมูกหลังการผ่าตัดจมูกและไซนัส หรือหลังการฉายแสงออก ด้วยน้ำเกลืออุ่น ๆ เพื่อให้โพรงจมูกและบริเวณรูเปิดของไซนัสโล่ง ทำให้บรรเทาอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล ทั้งที่ไหลออกมาข้างนอก และไหลลงคอ นอกจากนั้นการล้างจมูก ด้วย น้ำเกลือล้างจมูก ก่อนการพ่นยาในจมูก จะทำให้ยาสัมผัสกับเยื่อบุจมูกได้มากขึ้น ออกฤทธิ์ได้ดีขึ้น

                                    รวมผลิตภัณฑ์ ยาพ่น และ น้ำเกลือล้างจมูก

                                    ล้างจมูกให้ลูก

                                    ซึ่งวิธีการระบายน้ำมูกในจมูกมีหลายวิธี ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับอายุของเด็กด้วย โดยอาการและการอุดตันของรูจมูก ความเหนียวและปริมาณของน้ำมูก ได้แก่

                                    • การสั่งน้ำมูก เหมาะกับเด็กโต ที่น้ำมูกใส ไม่เหนียวข้น ปริมาณไม่มาก
                                    • การเช็ดน้ำมูก เหมาะกับเด็กเล็ก โดยใช้ไม้พันสำลี จุ่มน้ำเกลือแล้วสอดเข้าไปเช็ดรูจมูกทีละข้าง น้ำมูกจะติดปลายไม้พันสำลีออกมา
                                    • การดูดน้ำมูก ใช้เมื่อเด็กสั่งน้ำมูกเองไม่ได้ มี 2 วิธี คือ

                                    √ ดูดด้วยเครื่องดูดต่อกับอุปกรณ์ดูดน้ำมูก ใช้สำหรับเด็กเล็กที่มีน้ำมูกเหนียว ข้น จำนวนมาก คั่งค้างอยู่
                                    ในรูจมูก เด็กไม่สามารถสั่งน้ำมูกออกได้เอง  หรือออกได้ไม่หมด  จนมีอาการแน่น  อึดอัด
                                    หายใจไม่สะดวก

                                    √ ดูดด้วยลูกยางแดง เหมาะกับเด็กเล็กที่มีน้ำมูกใส ไม่เหนียว ปริมาณไม่มาก โดยสามารถใช้น้ำเกลือหยดที่รูจมูก ข้างละ 2 หยด เพื่อช่วยให้น้ำมูกมีความข้นเหนียวลดลง แล้วใช้ลูกยางแดง ดูดทั้งน้ำมูกและน้ำเกลือออกทันที และหากในกรณีที่รู้สึกว่ามีน้ำมูกไหลลงคอ ใช้ลูกยางแดงสอดเข้าทางปากบริเวณคอหอยเพื่อดูดออกได้

                                    • การหยอดน้ำเกลือ เหมาะกับเด็กที่มีน้ำมูกข้นหรือแห้งกรังในจมูก โดยหยอด น้ำเกลือล้างจมูก เข้าในรูจมูกข้างละ 1-2 หยด เพื่อให้น้ำมูกอ่อนตัวและไหลลงคอ ทำให้จมูกโล่งขึ้น อาจให้เด็กสั่งน้ำมูกตามร่วมด้วย ในกรณีเด็กทารก ไม่ควรหยอดน้ำเกลือทิ้งไว้โดยไม่เช็ดน้ำมูกหรือใช้ลูกยางดูดน้ำมูกออก เพราะน้ำมูกที่แห้งจะพองตัวและอุดรูจมูก ทำให้หายใจไม่สะดวก
                                    • การล้างจมูก เป็นการขจัดคราบน้ำมูกที่ติดอยู่ในโพรงจมูก ด้วย น้ำเกลือล้างจมูก ทำให้น้ำมูกเหนียวน้อยลง ทำให้การระบายน้ำมูกในโพรงจมูกดีขึ้น บรรเทาอาการไอ น้ำมูกไหล และระคายคอได้
                                    • การพ่นจมูก ควรทำหลังจากล้างจมูกแล้ว โดยใช้อุปกรณ์พ่นน้ำเกลือแบบสเปรย์ เหมาะกับกรณีปริมาณน้ำมูกน้อย และไม่เหนียว
                                    √ บทความแนะนำน่าอ่าน >> ล้างจมูกลูกอย่างไรให้ปลอดภัย ถูกต้องแต่ละช่วงวัย
                                    √ บทความแนะนำน่าอ่าน >> เคาะปอดขับเสมหะ ให้ลูกน้อย วิธีง่ายๆทำได้เองที่บ้าน

                                    การล้างจมูกมีประโยชน์อย่างไร?

                                    • ช่วยล้างมูกเหนียวข้นที่ไม่สามารถระบายออกได้เอง ทำให้โพรงจมูกสะอาด
                                    • อาการหวัดเรื้อรังดีขึ้น
                                    • ป้องกันการลุกลามของเชื้อโรคจากจมูกและไซนัสไปสู่ปอด
                                    • ช่วยลดจำนวนเชื้อโรค ของเสีย สารก่อภูมิแพ้และสารที่เกิดจากปฏิกิริยาของร่างกายที่มีต่อสารก่อภูมิแพ้
                                    • ให้ความชุ่มชื้นแก่เยื่อบุจมูก
                                    • บรรเทาอาการคัดแน่นจมูก ทำให้หายใจโล่งขึ้น
                                    • บรรเทาอาการระคายเคืองในจมูก
                                    • การล้างจมูกก่อนใช้ยาพ่นจมูกจะทำให้ยาพ่นจมูกมีประสิทธิภาพดีขึ้น

                                    อ่านต่อ >> “รวมผลิตภัณฑ์ยาพ่นและน้ำเกลือล้างจมูก เลือกแบบไหน อย่างไรให้ลูกดี” คลิกหน้า 2

                                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่