ถึงเป็น เวิร์คกิ้งมัม ก็บริหารจัดการนมแม่ได้

ถึงเป็น เวิร์คกิ้งมัม ก็ บริหารจัดการนมแม่ ได้ เมื่อถึงคราวคุณแม่ต้องกลับไปทำงาน หลายคนคงสงสัยว่าแล้วจะให้นมลูกต่อได้อย่างไรดีล่ะ เรามีเทคนิคแบบ Step-by-step บอกเล่าแต่ละขั้นตอนมาให้ได้เตรียมตัวกันแต่เนิ่นๆ เพื่อการให้นมแม่ จะได้ไม่ต้องสะดุดล้มกลางคัน

 

ถึงเป็น เวิร์คกิ้งมัม ก็บริหารจัดการนมแม่ได้

  1. เตรียมตัว หาข้อมูลเกี่ยวกับที่ทำงาน การลาคลอด คนดูแลลูก สถานรับเลี้ยงเด็ก สถานที่บีบน้ำนม รวมไปถึงตู้เย็นในที่ทำงาน

2. เตรียมบริหารน้ำนม เมื่อลูกอายุครบ 6 สัปดาห์ ทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทาง ขอแนะนำให้คุณแม่ เวิร์คกิ้งมัม เริ่มเก็บสะสมน้ำนมไว้เลย เช่น หากลูกดูดนมข้างขวา ก็ให้บีบนมข้างซ้ายเก็บไว้พร้อมๆ กัน ไม่ก็หลังจากลูกดูดนมจนอิ่มแล้วให้บีบออกจนเกลี้ยงทั้งสองเต้า เพื่อเก็บไว้เป็นทุน จะได้ไม่ต้องมาเร่งเก็บเมื่อใกล้ถึงวันจะกลับไปทำงาน การทำแบบนั้นยิ่งไม่มีน้ำนมสะสมเอาไว้เลย ทีนี้ละความเครียดทบเท่าทวีคูณ

3. มองหาผู้ช่วย ลองตัดสินใจดูว่าจะให้ลูกเราอยู่กับใคร คุณปู่คุณย่า คุณตาคุณยาย พี่เลี้ยง หรือ จะฝากไว้ที่สถานรับเลี้ยงเด็ก เรื่องเหล่านี้ต้องใช้เวลาคิดอย่างรอบคอบว่ามีข้อดีข้อเสียอย่างไรบ้าง คนใกล้ตัวเราถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด แต่ถ้าไม่มีต้องส่งให้คนอื่นดูแล ก็ต้องพิจารณากันให้ดี

4. ให้ความรู้แก่ผู้ช่วย บอกถึงเหตุผล และความสำคัญของการให้นมแม่อย่างละเอียด เน้นเรื่องความสะอาด ถูกสุขอนามัย รวมถึงฝึกฝนวิธีให้นมแม่ด้วยอุปกรณ์ต่างๆ พยายามฝึกล่วงหน้าอย่างน้อย 1 สัปดาห์ก่อนคุณแม่ไปทำงาน โดยในระยะแรกคุณแม่ต้องอยู่ด้วยเพื่อให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด จากนั้นจึงค่อยๆ ถอนตัวออกมาให้คำแนะนำอยู่ห่างๆ อย่าลืมชื่นชมและให้กำลังใจผู้ช่วยคนเก่งของเราด้วยนะคะ เพราะชีวิตลูกเราฝากไว้ในมือพวกเขา

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

5. วิธีการให้นมแม่โดยใช้ผลิตภัณฑ์ต่างๆ

– แก้ว ให้ใช้แก้วยาใบเล็ก และเติมน้ำนมทีละน้อย โดยจัดท่านั่งของผู้ป้อนให้สบาย จับเด็กอยู่ในท่านั่งพิงตัวไว้กับอกของผู้ป้อน หรือ วางเด็กลงบนตัก ยกศีรษะให้สูงขึ้นนำปากแก้วไปแตะที่ริมฝีปากล่าง ปล่อยให้เด็กค่อยๆ ใช้ลิ้นไล้นมเข้าปากเอง อย่าใช้วิธีกระดกแก้วให้เด็กกลืน อาจเกิดการสำลักนมได้

– ช้อน ใช้ช้อนชา ตักน้ำนมแม่ทีละน้อย หรือใช้หลอดป้อนยา ค่อยๆ ฉีดเข้าตรงมุมปากอย่างเบามือ โดยระหว่างป้อนยกศีรษะเด็กทารกให้สูงขึ้นเพื่อป้องกันการสำลัก

– ขวดนม หาขวดและจุกนมที่เหมาะสมกับความชอบของเด็ก วิธีนี้ง่ายและสบาย แต่หากเลี่ยงได้ควรเลี่ยง เพราะอาจเกิดปัญหาในภายหลัง เด็กบางคนอาจสับสนระหว่างหัวนมแม่ กับจุกนมขวด บางคนถืงกับไม่อยากไปดูดนมจากอกแม่ก็มี จนเกิดอาการติดจุกนมไปจนโต ส่งผลให้เกิดฟันผุ และปัญหาในการเลิกนมขวดตามมา

ติดตาม ถึงเป็นเวิร์คกิ้งมัม ก็บริหารจัดการนมแม่ได้ คลิกต่อหน้า 2

    คุณแม่ ตั้งครรภ์ อย่างไร ไม่ให้อ้วน

    คุณแม่ ตั้งครรภ์ อย่างไร ไม่ให้อ้วน สิ่งสำคัญของการตั้งครรภ์คุณภาพ คือการดูแลน้ำหนักอย่างถูกวิธี เพื่อไม่ให้คุณแม่อ้วน หรือมีน้ำหนักขึ้นมากเกินไป เพราะบั่นทอนสุขภาพคุณแม่และลูกน้อยได้ ฉะนั้นรามาดูกันดีกว่าค่ะ ว่าเราจะ ตั้งท้องอย่างไรไม่ให้อ้วน

    คุณแม่ ตั้งท้อง อย่างไร ไม่ให้ อ้วน

    คุณแม่ ตั้งครรภ์ อย่างไร ไม่ให้อ้วน

    หนึ่งในความกังวลของคุณแม่เมื่อทราบว่าตั้งครรภ์ก็คือ น้ำหนักและรูปร่าง น้ำหนักควรขึ้นเท่าไร จะควบคุมน้ำหนักได้ไหม ตั้งครรภ์ อย่างไร ไม่ให้อ้วน และทำอย่างไรให้น้ำหนักขึ้นตามเกณฑ์

    ก่อนอื่นคุณแม่ต้องสำรวจตัวเองก่อนว่า เราอยู่ในกลุ่มที่เรียกว่า “อ้วน” “น้ำหนักเกิน” “สมส่วน” หรือ “ผอม” โดยดูจากดัชนีมวลกาย (BMI-Body Mass Index) ค่ะ ซึ่งคำนวณโดยนำ น้ำหนักหารด้วยส่วนสูงเป็นเมตร ยกกำลัง 2

    เมื่อได้ผลการคำนวณแล้วมาดูกันว่าน้ำหนักคุณแม่อยู่ในเกณฑ์ใ

    BMI ต่ำกว่า 18.5 น้ำหนักน้อยว่าปกติ หรือ ผอม

    BMI 18.5 – 24.9 อยู่ในเกณฑ์ปกติ หรือสมส่วน

    BMI 25 – 29.9 น้ำหนักเกิน

    BMI มากกว่า 30 อ้วน

    ระหว่างท้องน้ำหนักควรขึ้นเท่าไร

    • หาก BMI อยู่ในเกณฑ์ปกติ น้ำหนักตลอดการตั้งครรภ์ ควรเพิ่ม 11-15 กิโลกรัม
    • หาก BMI น้ำหนักเกิน น้ำหนักคุณแม่ควรเพิ่มขึ้น 6.7-11.2 กิโลกรัม
    • หากคุณแม่เป็นคนอ้วน น้ำหนักควรเพิ่มขณะตั้งครรภ์คือ 4.9-9.0 กิโลกรัม เท่านั้น

    ตอนตั้งครรภ์ ควบคุมอาหารหรือกินอาหารเพื่อการลดน้ำหนักได้ไหม

    การจำกัดอาหารและพยายามลดน้ำหนักระหว่างตั้งครรภ์เป็นอันตรายมากค่ะ คุณแม่ควรให้ความสำคัญกับการเลือกชนิดอาหารที่มีประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตของลูกโดยไม่ก่อให้เกิดไขมันสะสมจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เช่น การรับประทานเนื้อสัตว์ที่ไม่มีไขมันแทรก หลีกเลี่ยงการปรุงอาหารด้วยการทอด หลีกเลี่ยงเบเกอรี่ ขนมหวาน และออกกำลังกายสม่ำเสมอ

    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

     

    ติดตาม คุณแม่ท้อง กินอย่างไรให้ลงลูก คลิกต่อหน้า 2

      ประโยชน์ของนมแม่ ข้อดีที่มีต่อสุขภาพทั้งแม่และลูก

      เราเคยรู้อยู่แล้วว่านมแม่เป็นอาหารอันวิเศษของลูก ซึ่งดีต่อสุขภาพทั้งกายและใจของเขา แต่การให้นมแม่ ดีต่อสุขภาพของแม่อย่างไรบ้างนั้น เรามีคำอธิบาย ประโยชน์ของนมแม่ มาฝากกันค่ะ

      ประโยชน์ของนมแม่

      ประโยชน์ของนมแม่ ข้อดีต่อทั้งแม่และลูก

      เพราะการให้นมแม่ แก่เด็กทารก เป็นสิ่งที่ดีทั้งต่อสุขภาพแม่และลูก จึงมีนโยบายของรัฐบาลและความพยายามจากหน่วยงานนานาชาติในการส่งเสริมและสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเลี้ยงทารกในช่วงขวบปีแรก หรือ นานกว่านั้น โดยองค์การอนามัยโลกและกุมารแพทย์ของอเมริกา (American Academy of Pediatrics) ก็มีนโยบายสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เช่นเดียวกัน

      ประโยชน์ของนมแม่ ที่มีต่อทารก

      • ทารกที่กินนมแม่จะลดอัตราเสี่ยงการเป็นโรคไหลตายในเด็ก (Sudden Infant Death Syndrome หรือ SIDS)
      • ทารกจะได้รับภูมิคุ้มกันโรคหลายชนิด
      • การดูดที่อกแม่ช่วยกระตุ้นให้เกิดพัฒนาการของฟันและอวัยวะในการออกเสียงอย่างเหมาะสม
      • การให้ลูกดูดนมจากเต้ายังช่วยให้ลูกน้อยได้ใกล้ชิดกับแม่สร้างความผูกพัน อบอุ่นใจ และ ทำให้ลูกรู้สึกปลอดภัยอีกด้วย

      ประโยชน์ของนมแม่ ที่มีต่อแม่

      • การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ช่วยกระตุ้นการหลั่งของฮอร์โมนออกซิโทซิน และโพรแล็กติน ซึ่งทำให้คุณแม่รู้สึกผ่อนคลาย และเกิดความรักใคร่ทะนุถนอมในตัวลูก
      • นอกจากนี้การให้ลูกกินนมแม่ทันทีหลังคลอดยังช่วยเพิ่มระดับฮอร์โมนออกซิโทซินในร่างกายทำให้มดลูกเข้าอู่ได้เร็ว
      • แถมลดอาการตกเลือดได้อีกด้วย

      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

       

      ติดตาม เรื่องควรรู้เกี่ยวกับ นมแม่ คลิกต่อหน้า 2

        คลิปนาทีชีวิต!! เด็กหนุ่มสำลักอาหารเกือบเสียชีวิต โชคดีเพื่อนใช้วิธีเฮมลิก แมนูเวอร์ ช่วยไว้ทัน

        เด็กหนุ่มสำลักอาหาร …เผยคลิปนาทีชีวิต เด็กหนุ่มนักเรียนชั้น ม.ปลาย สำลักอาหารเกือบเสียชีวิต เพราะอาหารเข้าไปติดคอ โชคดีที่เพื่อนรีบเข้ามาช่วยไว้ได้ทัน โดยทางโรงเรียนเผยเพื่อนคนนี้เคยฝึกหลักสูตรช่วยชีวิตฉุกเฉินมาก่อน

        การสำลักอาหาร อาจฟังดูเป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่ร้ายแรงอะไร แต่แท้จริงแล้ว เรื่องการสำลักอาหารก็สามารถกลายเป็นอันตรายที่ร้ายแรงมากได้ เพราะอาหารที่หลุดเข้าไปในหลอดลม กีดขวางทางเดินทายใจ ทำให้ผู้ที่สำลักพูดไมได้ หายใจไม่ออก จนถึงขั้นเสียชีวิตได้

        นาทีชีวิต!! เด็กหนุ่มสำลักอาหาร เกือบเสียชีวิต
        โชคดีเพื่อนใช้วิธีเฮมลิก แมนูเวอร์ ช่วยไว้ทัน

        เช่นเดียวกับเด็กหนุ่มคนนี้ ที่เกิดสำลักอย่างรุนแรงขณะที่กำลังรับประทานอาหารกลางวัน แต่เขารอดมาได้เพราะไหวพริบของเพื่อนสนิท ที่รีบมาช่วยชีวิตเขาเอาไว้ โดยเว็บไซต์เดลี่เมล รายงานว่า เด็กหนุ่มชั้นเกรด 10 (มัธยมศึกษาปีที่ 4 ) ของโรงเรียนของโรงเรียนลาครอส เซ็นทรัล ในสหรัฐอเมริกา ได้ซื้ออาหารกลางวันมานั่งรับประทานร่วมกับเพื่อน ๆ ที่โรงอาหาร ซึ่งทุกอย่างดูปกติเรียบร้อยดี จนกระทั่งเด็กหนุ่มคนหนึ่งเกิดสำลักขึ้นมา

        เด็กหนุ่มสำลักอาหาร

        ซึ่งจากคิดจะเห็นภาพ ซึ่งตอนแรกเพื่อน ๆ ของเขาไม่ได้ใส่ใจอะไรอย่างจริงจังเพราะคิดว่าเด็กหนุ่มที่กำลังสำลักอยู่แค่แกล้งเล่นแบบขำ ๆ แต่จู่ๆ เขาก็เริ่มไอหนักขึ้น และสำลักรุนแรงจนน่ากลัว จึงทำให้เพื่อน ๆ ตระหนักได้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแล้ว ในตอนนั้นเอง เพื่อนที่นั่งฝั่งตรงข้าม จึงลุกไปหาเด็กหนุ่มที่กำลังสำลัก แล้วเดินอ้อมหลังไปช่วย โดยเอามือกอดตัวเด็กหนุ่มที่กำลังสำลักอาหารอยู่เอาไว้ แล้วใช้วิธีเฮมลิก แมนูเวอร์ ในการช่วยเพื่อน

        เด็กหนุ่มสำลักอาหาร

        จากในคลิปจะเห็นได้ว่า หลังจากที่เพื่อนที่ลุกมาช่วยกดกระแทกหน้าอกเด็กหนุ่มที่สำลักอยู่ 3 ครั้ง เศษอาหารก็หลุดออกมาได้

        ♠ บทความแนะนำน่าอ่าน : วิธีช่วยชีวิตลูก สิ่งแปลกปลอมติดคอ สำลักอาหาร (มีคลิป)

        จึงทำให้เด็กหนุ่มที่ช่วยเหลือเพื่อในครั้งนี้ถูกขนานนามให้เป็นฮีโร่คนเก่ง ซึ่งเขาได้เปิดเผยว่าตอนนั้นเขาคิดว่าเพื่อนที่สำลักอาหารคงแค่แกล้ง เพราะเพื่อนรายนี้เป็นคนมีอารมณ์ขัน ชอบทำทำตัวตลกอยู่เสมอ

        โดยด้านอาจารย์ฝ่ายสุขศึกษาประจำโรงเรียนกล่าวว่า สาเหตุที่เด็กหนุ่มฮีโร่ช่วยเพื่อนแบบนั้นได้ เป็นเพราะเขาเคยเข้าร่วมอบรมโครงการยุวชนตำรวจมาก่อน ที่โครงการนี้ ซึ่งได้รับการฝึกแบบเดียวกับตำรวจ และได้เรียนรู้การปฐมพยาบาลในภาวะฉุกเฉินอีกด้วย

         

        >> ชมคลิป “นาทีชีวิต!! เด็กหนุ่มสำลักอาหารเกือบเสียชีวิต โชคดีเพื่อนใช้วิธีเฮมลิก แมนูเวอร์ ช่วยไว้ทัน” คลิกหน้า 2

         

        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

         

          เป็น โรคซึมเศร้า ตั้งครรภ์ ได้ไหม?

          เป็น โรคซึมเศร้า ตั้งครรภ์ ได้ไหม? หากคุณผู้หญิงเคยมีอาการซึมเศร้า หรือมีโรคซึมเศร้าเป็นโรคประจำตัว คงจะมีข้อสงสัยว่า เป็นโรคซึมเศร้า ตั้งครรภ์ได้ไหม เพราะกลัวว่าโรคนี้จะส่งผลต่อสภาพจิตใจตอนท้องและมีผลต่อลูกน้อย วันนี้เราจึงจะมาให้คำตอบพร้อมคำอธิบายเพื่อให้คุณแม่เข้าใจกันมากยิ่งขึ้นค่ะ

          เป็น โรคซึมเศร้า ตั้งครรภ์ ได้หรือไม่

          เป็น โรคซึมเศร้า ตั้งครรภ์ ได้หรือไม่

          รู้จักและเข้าใจโรคซึมเศร้า

          โรคซึมเศร้า มีความแตกต่างจากภาวะอารมณ์เศร้าตามปกติทั่วไปของคนเรา เพราะภาวะอารมณ์เศร้าเป็นเรื่องของความรู้สึกที่เกิดจากความผิดหวัง เสียใจ จากเรื่องราวต่างๆ แต่เมื่อเหตุการณ์นั้นคลี่คลายลง อารมณ์เศร้านั้นก็จะหายไปได้ แต่โรคซึมเศร้า คือความผิดปกติทางการแพทย์ ซึ่งผู้ป่วยจะมีอาการซึมเศร้าร่วมกับอาการต่างๆ จนทำให้ทำงานหรือการประกอบกิจวัตรประจำวันบกพร่องหรือแย่ลง มีพฤติกรรมและความรู้สึกนึกคิดที่เปลี่ยนแปลงไป ร่วมกับอาการทางร่างกายต่างๆ ประกอบกัน แต่คนที่เป็นโรคซึมเศร้า ไม่ใช่คนอ่อนแอ คิดมา หรือเป็นคนท้อแท้ ไม่สู้ปัญหา แต่ทุกอย่างเกิดขึ้นจากตัวโรค ซึ่งพอรักษาอย่างถูกต้องก็จะทำให้โรคนี้หาย และผู้ป่วยกลับมาเป็นคนที่มีอารมณ์แจ่มใสได้เหมือนเดิม

          แต่อย่างไรก็ตามหากคนเรามีภาวะอารมณ์เศร้าที่ยังไม่ได้ถึงกับเป็นโรคซึมเศร้า แต่อารมณ์เศร้านั้นอยู่นานไม่หาย มีอาการต่อเนื่องที่รุนแรงมากขึ้น เช่น เศร้าจนนอนไม่หลับ น้ำหนักลดลงมาก ไม่สนใจโลก ไม่อยากมีชีวิตอยู่ ก็ถือว่าอาจเข้าข่ายของโรคซึมเศร้าได้ด้วย

          สาเหตุของโรคซึมเศร้า ปัจจุบันเชื่อกันว่าสาเหตุที่ทำให้เป็นโรคนี้นั้นสัมพันธ์กับหลายๆ ปัจจัย ทั้งจากกรรมพันธุ์การพลัดพรากจากพ่อแม่ในวัยเด็ก พัฒนาการของจิตใจ รวมถึงปัจจัยทางชีวภาพเช่น การเปลี่ยนแปลงของระดับสารเคมีในสมอง และลักษณะนิสัยของผู้ป่วยเนื่องจากบางคนมีแนวคิดที่ทำให้ตนเองซึมเศร้า เช่น มองโลกในแง่ร้ายมองตนเองในแง่ลบ มองเห็นแต่ความบกพร่องของตนเอง เมื่ออยู่ในสถานการณ์กดดันต่างๆ เช่น เลิกราหย่าร้าง ผิดหวัง ตกงาน สอบไม่ผ่าน ทำให้คนที่มีลักษณะนิสัยเช่นนี้จะมีอาการซึมเศร้าได้ง่าย จนมีอาการรุนแรงสะสมกลายเป็นโรคซึมเศร้าได้

          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

           

          ติดตาม การสังเกตอาการโรคซึมเศร้าของตัวเอง คลิกต่อหน้า 2

            น้ำนมน้อย อยากให้มาบ่อยๆ ต้องทำแบบนี้

            น้ำนมน้อย อยากให้มาบ่อยๆ ต้องทำแบบนี้ ในช่วงแรกน้ำนมยังมาไม่มาก คุณแม่หลายท่านก็ถอดใจ ยิ่งหันไปเห็นแม่คนนั้น คนนี้ มีน้ำนมเยอะแยะ ใจเลยท้อแท้หนัก ยอมยกธงขาวโบกมือลา แล้วหันไปหานมผงก็มี ทั้งที่จริงๆ แล้ว น้ำนมของแม่น่ะมีเพียงพอสำหรับลูกเสมอ ฉะนั้นอย่าเครียด อย่าถอดใจ แล้วหันมาทำความเข้าใจในกระบวนการของมันกันดีกว่าค่ะ

            น้ำนมน้อย อยากให้มาบ่อยๆ ต้องทำแบบนี้

            น้ำนมน้อย อยากให้มาบ่อยๆ ต้องทำแบบนี้

            น้ำนมน้อย ทำอย่างไรให้มีน้ำนม

            • การให้นมแม่ช่วง 2-3 วันหลังคลอด

            ระยะนี้แม่อาจยังมี น้ำนมน้อย แต่ควรให้เด็กได้ดูดเพื่อกระตุ้นการสร้างน้ำนม และลดปัญหาเต้านมคัด การให้เด็กอยู่ห้องเดียวกันกับแม่ช่วยให้เด็กได้ดูดนมบ่อยเท่าที่ต้องการ เด็กบางคนยอมดูดตามเวลาที่โรงพยาบาลกำหนด แต่บางคนก็ไม่ เวลาพามาดูดมักเอาแต่หลับ พอพากลับไปที่ห้องเด็กอ่อนมักตื่น ก็ต้องพากลับไปกลับมาหลายเที่ยวกว่าจะได้ดูดนมแม่

            หากโรงพยาบาลไหนสนับสนุนการให้นมแม่จะให้ลูกดูดนมแม่ทันทีในห้องคลอด เพราะเป็นเวลาที่ลูกตื่นตัวดีที่สุด ทารกส่วนใหญ่ที่ถูกวางไว้บนหน้าท้อง หรือ หน้าอกแม่ จะหันไปหาหัวนมแม่ได้เองโดยไม่ต้องช่วย หลังคลอด 1 ชั่วโมง เด็กจะเริ่มง่วง และไม่ค่อยหิวในระยะ 2-3 วันแรก ยิ่งถ้าแม่รับยาสลบ หรือยาแก้ปวดอาจผ่านมาทางน้ำนมได้ ทำให้ลูกหลับมากผิดปกติ แต่หลัง 3 วันไปแล้ว เขาจะตื่นบ่อยๆทุกๆ 1-2 ชั่วโมง เป็นอย่างนี้ประมาณ 2-3 วัน ซึ่งทารกบางคนดูดเก่งมาก ต้องดูดวันละ 10-12 ครั้ง ใน 1-2 สัปดาห์แรก แล้วลดเหลือ 8-10 ครั้ง จนอายุประมาณ 1 เดือน

            • น้ำนมช่วงแรก

            ระยะแรกเต้านมจะสร้างสารที่เรียกว่า คอลอสตรัม (Colostrum) เป็นสารเหลวสีเหลืองใสกว่าน้ำนม อุดมด้วยสารอาหารที่มีคุณค่าและสามารถต้านเชื้อโรคได้ โดยมากน้ำนมแม่จะเริ่มมาในวันที่ 3-4 หลังคลอด ถ้าเป็นการตั้งครรภ์ครั้งที่สอง หรือสามจะมาเร็วขึ้น หากเด็กแรกเกิดที่ได้อยู่ห้องเดียวกันกับแม่จะทำให้น้ำนมแม่มาเร็วกว่าการแยกห้อง แต่แม่ที่ยังไม่มีน้ำนมหลังคลอดก็ไม่ต้องกังวล เพราะเด็กไม่ค่อยเดือดร้อน โดยมากเด็กจะเริ่มดูดนมในช่วงหลังของสัปดาห์แรก และจะดูดบ่อยมากถึงวันละ 10-12 ครั้ง จนทำให้แม่บางคนคิดไปเองว่า น้ำนมน้อย กลัวตัวเองจะมีน้ำนมไม่พอ ความจริงเด็กได้รับนมมากแล้ว สังเกตจากอุจจาระปัสสาวะบ่อย

            บทความแนะนำ น้ำนมเหลือง สิ่งมหัศจรรย์ปกป้องลูกจากโรคร้าย

            ยิ่งทารกดูดบ่อยจะกระตุ้นให้น้ำนมผลิตเพิ่มขึ้นตามความต้องการ แม่บางคนอาจเคยได้ยินว่าอย่าให้เด็กดูดนมนาน เพราะจะทำให้แม่เจ็บหัวนม แต่ปัจจุบันมีคำแนะนำว่า ควรให้เด็กดูดนานเท่าที่ต้องการ เพราะการที่เด็กดูดนานไม่ได้เป็นสาเหตุของอาการหัวนมแตก

            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

             

            ติดตาม ลูกควรดูดบ่อยแค่ไหน คลิกต่อหน้า 2

              เลี้ยงลูกแบบญี่ปุ่น อย่างไร? ให้พึ่งพาตัวเองได้ มีวินัย ไม่งอแง

              การ เลี้ยงลูกแบบญี่ปุ่น เบื้องหลังความฉลาดของคนญี่ปุ่น ปัจจัยหลักที่สำคัญมาจากการเลี้ยงดูในวัยเด็กค่ะ เพราะว่าเด็กส่วนใหญ่ในญี่ปุ่นจะโตมาด้วยสองมือของแม่ ทำให้การเติบโตสมวัย มีพัฒนาการที่ดีในทุกด้าน และในรับความรักความใกล้ชิดอย่างเต็มที่

              เลี้ยงลูกแบบญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นเขาเลี้ยงลูกกันอย่างไร

              เลี้ยงลูกแบบญี่ปุ่น

              สำหรับวิธีการเลี้ยงลูกของคนไทย คือ คนไทยส่วนใหญ่เอาใจใส่ลูกทำทุกๆอย่างเพื่อลูกเด็กไทยก็เลยติดพ่อ แม่ หรือผู้ที่เลี้ยงดูใกล้ชิด ทำให้เด็กไทยทำอะไรตัวคนเดียวไม่ได้ แต่การวิธีการเลี้ยงลูกของคนญี่ปุ่น คือ คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่เมื่อรู้ว่าตนเองตั้งครรภ์ก็จะลาออกจากงาน เพื่อทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้ลูก และจะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่จนลูกอายุ2ปีแล้วค่อยปล่อยลูกให้ลูกแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง รับผิดชอบชีวิตด้วยตนเอง ดังนั้นเด็กชาวญี่ปุ่นจึงมีความขยัน อดทน และพึ่งพาตนเองได้

               

              • เพราะเหตุใดจึงแตกต่างกัน

              วิธีการเลี้ยงลูกของคนไทยกับญี่ปุ่น แตกต่างกัน ตรงที่ว่า แม่ชาวญี่ปุ่นจะให้อิสระแก่ลูก ให้ลูกกล้าคิด กล้าทำ กล้าแสดงออกตั้งแต่เล็กๆ หัดให้ลูกช่วยตนเอง รับผิดชอบตนเอง ผิดกับคนไทยที่จะให้ลูกอยู่แต่ในกรอบที่พ่อแม่กำหนดไว้ทำให้ลูกไม่รู้จักโต ต้องขอเงินพ่อ แม่ใช้อยู่ตลอด ไม่แสวงหาความรู้ด้วยตนเอง เด็กไทยจึงขาดความเป็นผู้นำ

              ♥ บทความแนะนำน่าอ่าน : Life grid อย่าเลี้ยงลูกให้โตไปเป็นเด็กอนุบาล

               

              • ผลที่ออกมาลักษณะของเด็กแตกต่างกันหรือไม่ อย่างไร

              จาการเลี้ยงดูนั้นทำให้เด็กไทยและเด็กญี่ปุ่นที่มีอายุเท่ากัน ย่อมมีความแตกต่าง เพราะเด็กไทยโตขึ้นมาถึงจะอายุมากแต่ก็ติดพ่อแม่ และยังขอเงินพ่อแม่ใช้เหมือนเดิม   ส่วนเด็กญี่ปุ่นจะมีความอดทน ความเป็นผู้นำสูง ขยัน และกล้าคิด กล้าทำ กล้าต่อสู้กับปัญหาด้วยตนเอง

              ซึ่งหากคนไทยนำวิธีการเลี้ยงแบบนี้มาเลี้ยงลูก ก็จะทำให้เด็กไทยจะมีความเป็นผู้นำสูง กล้าคิด กล้าทำ กล้าแสดงออกและกล้าเผชิญกับปัญหา

               

              • ผลที่ตามมาดีหรือไม่ดี เหมาะสมกับสังคมไทยหรือไม่ อย่างไร

              ซึ่งผลนั้นย่อมดีและเหมาะสมกับสังคมไทยตอนนี้ เพราะสังคมไทยต้องการความเป็นผู้นำสูงจะได้นำพาประเทศชาติเจริญรุ่งเรือง เนื่องจากคนไทยมีความคิด ความกล้า เป็นของตนเอง

               

              ทั้งนี้ ด้านสื่อของประเทศออสเตรเลีย ได้เผยแพร่สารคดีที่สะท้อนภาพสังคมของญี่ปุ่น ซึ่งฝึกเด็กให้แข็งแกร่ง ปล่อยให้เดินทางไปโรงเรียนเองระยะทางไกลๆ โดยตั้งแต่เริ่มเรียนประถมศึกษา ซึ่งจากคลิปสารคดี ผู้เป็นแม่ชาวญี่ปุ่นชี้ว่า นี่เป็นการฝึกให้เด็กพึ่งพาและแก้ปัญหาด้วยตัวเอง ขณะที่ฝรั่งเผย แม้แต่ชุมชนในเมืองซิดนีย์ที่ว่าปลอดภัยก็ยังไม่กล้า

               

              อ่านต่อ >> “เลี้ยงลูกแบบญี่ปุ่น ให้พึ่งพาตัวเองได้ มีวินัย ไม่งอแง” (มีคลิป) คลิกหน้า 2

               

              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

               

                พาลูกไป ทำพาสปอร์ต

                พาลูกไปทําพาสปอร์ต พ่อแม่ต้องเตรียมอะไรบ้าง?

                สำหรับครอบครัวไหนที่มีวางแผนจะพาลูกน้อยเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ ก็คงต้อง พาลูกไป ทำพาสปอร์ต แล้วถ้าต้องทําพาสปอร์ตให้แก่เด็กทารกตัวน้อย จะต้องใช้เอกสารหรือวิธีการทำอย่างไรบ้าง ดังนั้นแล้ว Amarin Baby & Kids จึงขอแนะนำข้อมูลการ พาลูกไปทําพาสปอร์ต สำหรับครอบครัวที่มีแพลนที่จะพาลูกน้อยไปเที่ยวต่างประเทศ มาฝากค่ะ

                พาลูกไป ทําพาสปอร์ต ครั้งแรก!

                ซึ่งไม่นานมานี้ก็มีภาพพร้อมคลิปน่ารักๆ ของ น้องเป่าเปา สาวน้อย เมื่อวัย 5 เดือน ลูกสาวของแม่กุ๊บกิ๊บและพ่อบี้ ที่มาถ่ายรูปทำพาสปอร์ตเพื่อเตรียมตัวจะไปเที่ยวเมืองนอกนั่นเองค่ะ

                พาลูกไป ทําพาสปอร์ต

                โดยเด็กหญิงพอลลีน่า หรือ น้องเป่าเปา ได้ไปถ่ายรูปทำพาสปอร์ตเล่มแรก นอกจากจะผัดหน้าทาแป้งหน้าผ่องไปแล้ว หนูน้อยเป่าเปา ยังกระโดดโลดเต้น ตื่นเต้นไปกับเสียงกองเชียร์ ที่ลุ้นกันหนักมาก โดยเฉพาะ คุณแม่กุ๊บกิ๊บ ที่ส่งเสียงลุ้นและแซวลูกสาว กับภาพที่ออกมาก็น่ารักน่าชัง … ไปดูข้อความที่คุณแม่สุดแซ่บ แซวลูกสาวตัวน้อยกัน และดูรูปพาสปอร์ต ของน้องเป่าเปา ว่าจะออกมาน่ารักขนาดไหน

                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                 

                “Her first passport picture #ggbbpp @ggbbpaopao.official ทำพาสสปอรต์ครั้งแรก55555555555555 #ประเทศเค้าจะให้เข้าไหมเนี่ยหมู!!! #หน้าไม่ตรงกับเพศ#หมูจิเที่ยวววว” โดยมีแฟนคลับเข้ามากดไลก์ พร้อมบอกว่าน่ารักมากๆ

                พาลูกไป ทําพาสปอร์ต

                 

                พาลูกไป ทําพาสปอร์ต พาลูกไป ทําพาสปอร์ต พาลูกไป ทําพาสปอร์ต พาลูกไป ทําพาสปอร์ต

                อ่านต่อ >> ขั้นตอนการทำพาสปอร์ตสำหรับเด็ก ๆ ที่มีอายุต่ำกว่า 15 ปี” คลิกหน้า 2

                  อุทาหรณ์ เด็กวัย 4 ขวบ เสียชีวิตเพราะ ใส่เสื้อแจ็คเก็ตแบบมีฮู้ด เป็นเหตุ!

                  เด็กผูกคอ อุบัติเหตุ ไม่คาดคิด เพราะปล่อยลูกไว้ลำพังในห้องลองเสื้อผ้า เป็นอุทาหรณ์ให้พ่อแม่ระวัง เมื่อพาลูกน้อยไปเที่ยว อย่าปล่อยลูกไว้ลำพัง ไม่เช่นนั้นอาจเกิดเหตุการณ์อันน่าเศร้าเหมือนครอบครัวนี้ ที่หนูน้อยวัย 4 ขวบ เข้าวิ่งเล่นในห้องลองเสื้อ เผลอผูกคอตัวเองเสียชีวิต

                  เด็กผูกคอ อุบัติเหตุ ไม่คาดคิด เสียชีวิตเพราะพ่อแม่ปล่อยไว้ลำพัง

                  โดยเว็บไซต์จากสำนักข่าว Metro รายงานว่า มีเรื่องน่าเศร้าสลดเกิดขึ้นภายในห้องลองชุด ของร้านเสื้อผ้าแห่งหนึ่ง ในเมืองแมนคาโต รัฐมินนิโซตา ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อเด็กชายวัย 4 ขวบ ซึ่งสวมใส่เสื้อแจ็คเก็ตแบบมีฮู้ด ได้วิ่งไปเข้าเล่นภายในห้องลองชุดตามลำพัง โดยมีผู้ปกครองเลือกเสื้อผ้ากันอยู่ด้านนอก จากนั้นก็พลาดเผลอผูกคอตนเองแขวนติดกับที่แขวนเสื้อบนผนังห้องโดยไม่ตั้งใจ ทำให้เสียชีวิตในเวลาต่อมา

                  เด็กผูกคอ อุบัติเหตุ

                   

                  ซึ่งทันทีที่มีผู้พบเห็นก็ได้รีบพาตัวเด็กชายส่งเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล แต่เป็นโชคร้ายที่เด็กได้เสียชีวิตก่อนจะเดินทางถึงโรงพยาบาล โดยถึงแม้ว่าหน่วยกู้ภัยจะพยายามช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถแล้วก็ตาม

                   

                  เด็กผูกคอ อุบัติเหตุ

                  ด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจ สันนิษฐานว่า เด็กชายอาจจะเข้าไปวิ่งเล่นในห้องลองเสื้อผ้า แล้วเผลอเอาเสื้อของตัวเองที่มีฮู้ดอยู่ข้างหลังขึ้นไปเกี่ยวบนตะขอแขวนเสื้อภายในห้องแต่งตัว และไม่สามารถปลดตัวเองลงได้ ทำให้รัดคอและหายใจไม่ออก เพราะเท้าของเขาไม่สามารถยืนถึงพื้นได้ จึงเป็นเหตุให้เด็กชายเสียชีวิตลงนั่นเอง

                  อ่านต่อ >> ลูกเสียชีวิตเพราะ ใส่เสื้อแจ็คเก็ตแบบมีฮู้ด เป็นเหตุ คลิกหน้า 2

                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                   

                    ท้องไม่รู้ตัว

                    ไขข้อสงสัย ท้องไม่รู้ตัว เป็นไปได้จริงหรือ?

                    ท้องไม่ท้อง เอ๊ะ! ท้องหรือเปล่านะ? ไม่น่าจะใช่แค่พุงใหญ่เฉยๆ อ่านข่าวคุณแม่ยังสาวที่ท้องไม่รู้ตัว ทำเอาหลายๆ คน เกิด  คำถามสงสัยขึ้นมาว่าจะเป็นได้หรือที่จะท้องไม่รู้ตัว เรื่องนี้มีเงื่อนงำอย่างน่าสงสัย ฉะนั้นอย่ารอช้า ทีมงาน Amarin Baby &  Kids หาคำตอบเพื่อให้ทุกครอบครัวได้คลายข้อสงสัยกันค่ะ

                     

                    ท้องไม่รู้ตัว – ว่าด้วยเรื่องการตั้งท้อง  

                    อย่างที่รู้ๆ กันกระบวนการกว่าจะท้องมีลูกได้ ต้องอาศัยไข่กับอสุจิเข้ามาผสมกัน และต้องเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เหมาะสมนั้น  คือช่วงไข่ตกในผู้หญิง ที่หากไข่กับอสุจิได้เจอกันในเวลาอันเหมาะสมนี้ก็จะเกิดการปฏิสนธิขึ้นมาเป็นตัวอ่อนได้ในที่สุด

                    แต่การที่ผู้หญิงจะท้องได้ง่ายหรือไม่นั้น จะต้องมีเพศสัมพันธ์กับสามีอย่างสม่ำเสมอในช่วงเวลาการตกไข่ (Ovulation) โดย  ที่ไข่จะตกเดือนละ 1 ฟอง หลายคนอาจสงสัยและยังไม่เข้าใจในเรื่องการตกไข่ ฉะนั้นจะขอสรุปง่ายๆ เพื่อให้เข้าใจตรงกันดังนี้ค่ะ

                    1. ตามปกติผู้หญิงทุกคนจะมีไข่ตกเดือนละ 1 ฟอง ไข่จะตกทุกๆ 28 วัน
                    2. การหาค่าเฉลี่ยระหว่างรอบเดือน 28 วัน คือ ให้เอา 28-14 จะได้เท่ากับ 14 ซึ่งเป็นวันที่คาดว่าไข่ตก ส่วนไข่ที่ตกจะรอผสมกับอสุจิอยู่ประมาณ 24-36 ชั่วโมง หากไม่มีการผสมกับอสุจิ หลังจากนี้ไข่ที่ตกก็จะกลายเป็นประจำเดือน ที่ส่วนใหญ่จะมาอยู่ที่ 3-5 วัน
                    3. ซึ่งถ้าหากประจำเดือนหายไปหลังจากนี้ 2 สัปดาห์ นั่นอาจเป็นสัญญาณที่บอกว่าคุณกำลังตั้งครรภ์อยู่ก็ได้ค่ะ

                     

                    การที่ผู้หญิงทุกคนทราบว่าร่างกายตัวเองมีการตกไข่ช่วงวันไหนนั้น จะช่วยให้ง่ายต่อการมีลูก และเมื่อเกิดการตั้งครรภ์แล้วไปฝากครรภ์กับคุณหมอก็จะสามารถบอกคุณหมอได้ว่าประจำเดือนที่เพิ่งหมดไปมาวันแรกและวันสุดท้ายวันได้ของเดือน ก็จะช่วยให้หมอสามารถคาดคะเนอายุครรภ์ล่าสุดในเบื้องต้นได้ไม่ยาก

                     

                    อ่านต่อ >> ถ้าไข่ไม่ตก มีผลกระทบต่อสุขภาพผู้หญิงอย่างไร? หน้า 2

                     

                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                      รู้สาเหตุ ลูกไม่ยอมกลับหัว เพราะอะไร?

                      คุณแม่เคยสงสัยกันไหมคะว่า ทำไม ลูกในครรภ์ ถึง ไม่กลับหัว เพราะคงจะมีหลายครั้งที่เคยได้ยิน หรือแม้กระทั่งประสบพบเจอกับตัวเอง มาดูกันค่ะว่า สาเหตุที่ ลูกไม่ยอมกลับหัว เพราะอะไรและจะรู้ได้อย่างไรว่าลูกไม่กลับหัว

                      ลูกไม่ยอมกลับหัว

                      รู้สาเหตุ ลูกไม่ยอมกลับหัว เพราะอะไร?

                      ลูกไม่กลับหัว คืออะไร?

                      โดยธรรมชาติแล้วลูกน้อยที่อยู่ในท้องคุณแม่จะเคลื่อนไหวตลอดเวลาอยู่ในครรภ์ โดยเมื่อใกล้เวลาคลอด ส่วนใหญ่ลูกจะหมุนเอาส่วนศีรษะลงส่วนล่างของมดลูก แล้วเอาส่วนก้นและเท้าไว้ส่วนบนหรือบริเวณยอดมดลูกเพื่อเตรียมพร้อมต่อการคลอด แต่หากลูกไม่เอาส่วนหัวลงสู่มดลูก แต่กลับเอาหัวไว้ที่ส่วนบนของมดลูกแล้วเอาก้นหรือเท้าลงมาด้านล่างของมดลูกเพื่อเตรียมคลอดแทน เราจึงเรียกง่ายๆ ว่า “ลูกไม่กลับหัว” หรือทางวิชาการเรียกว่า ทารกมีส่วนนำเป็นก้น หรือ ทารกท่าก้น (Breech Presentation) ซึ่งการที่ลูกไม่กลับหัวนี้ มักพบได้ประมาณ 3 ใน 100 ของการตั้งครรภ์ครบกำหนดปกติ ส่วนข้อสงสัยที่ว่าทำไมลูกน้อยในครรภ์ส่วนใหญ่จึงเอาหัวลงพร้อมคลอด และส่วนคนที่ไม่เอาส่วนหัวลงแต่เอาขาหรือก้นลง เกิดจากอะไร ไปดูคำอธิบายกันค่ะ

                      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                       

                      ทำไมลูกในท้องจึงเอาหัวลง เพื่อเตรียมคลอด

                      เคยสงสัยไหมคะว่า ทำไมลูกน้อยในท้องแม่จึงมักอยู่ในท่าที่เอาส่วนศีรษะลงเพื่อเตรียมพร้อมกันอยู่เสมอ จนเป็นท่าทางปกติก่อนที่จะคลอด ทั้งหมดมีสาเหตุ 3 ประการดังนี้ค่ะ

                      • รูปร่างของมดลูก เพราะในระยะแรกของการตั้งท้อง โพรงมดลูกจะมีรูปร่างกลมและมีน้ำคร่ำอยู่เต็มไปหมด ลูกน้อยจึงหมุนเปลี่ยนท่าเคลื่อนไหวตลอดเวลา แต่เมื่อคุณแม่อายุครรภ์มากขึ้น รูปร่างของมดลูกก็จะเปลี่ยนจากรูปกลมๆ กลายเป็นยาวรี มีแนวยาวขนานไปกับกระดูกสันหลังของแม่ และลูกน้อยก็ตัวโตมากขึ้นจนคับครรภ์ ประกอบกับปริมาณน้ำคร่ำก็ไม่มาก เมื่อเทียบกับขนาดของตัวลูกลูกจึงขยับไม่สะดวก และจำเป็นต้องปรับตัวให้เข้ากับลักษณะของโพรงมดลูกที่เป็นแนวยาวของคุณแม่
                      • ความตึงตัวของกล้ามเนื้อมดลูก เมื่อคุณแม่ท้องใกล้คลอด กล้ามเนื้อมดลูกของคุณแม่จะมีความตึงตัวคล้ายกับยางยืด โดยความตึงตัวดังกล่าวจะบีบกระชับให้ลูกน้อยอยู่ในโพรงมดลูกโดยไม่สามารถเคลื่อนไหวตามอิสระได้ ลูกน้อยในครรภ์จึงต้องอยู่ในโพรงมดลูกตามพื้นที่อันจำกัด

                      ติดตาม สาเหตุที่ลูกไม่กลับหัว คลิกต่อหน้า 2

                        เตรียมสุขภาพแม่ ให้ดี เมื่อถึงทีต้อง ให้นมลูก

                        ขอบคุณภาพจาก : www.babymonsterphotography.com

                         

                        เตรียมสุขภาพแม่ ให้ดี เมื่อถึงทีต้อง ให้นมลูก การให้นมลูก ถือเป็นอีกหนึ่ง mission สำคัญของคุณแม่ จะมาปล่อยปละละเลย กินอาหารไม่ดี นอนไม่เพียงพอ ไม่ได้ ทุกอย่างที่ทำหรือกินไป ล้วนมีผลกับน้ำนมทั้งนั้น

                        เตรียมสุขภาพแม่ ให้นมลูก

                        เตรียมสุขภาพแม่ ให้ดี เมื่อถึงทีต้อง ให้นมลูก

                        แม่ที่ให้นมลูกควรหมั่นดูแลสุขภาพของตัวเองให้ดี มีเวลาพักผ่อนอย่างเพียงพอ และต้องละมือจากงานบ้านบ้าง ด้วยการหาผู้ช่วยชั่วคราว ปล่อยวางจากความเครียด กินอาหารและเครื่องดื่มที่ดีต่อสุขภาพ แต่ก่อนไปถึงเรื่องของการ เตรียมสุขภาพแม่ มาทำความเข้าใจถึงสรีระของเต้านมตัวเอง ที่เคยกังวลว่า ขนาดเต้านม มีผลต่อการให้น้ำนมน่ะ จริงไหม

                        ปัญหาน่างง เกี่ยวกับเต้านม

                        ขนาดของเต้านม

                        ผู้หญิงหากไม่ได้ตั้งครรภ์ หรือ ให้นมลูก ต่อมผลิตน้ำนมจะไม่ทำงาน และกินพื้นที่ในหน้าอกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่เมื่อไหร่ที่ครรภ์เริ่มแก่ ฮอร์โมนจะกระตุ้นให้ต่อมน้ำนมพัฒนา และโตขึ้น เส้นเลือดใหญ่ และเส้นเลือดฝอยที่หล่อเลี้ยงต่อมนี้ก็ใหญ่ขึ้นเช่นกัน ดังนั้นเราจึงเห็นเส้นเลือดได้อย่างชัดเจนบนผิวของเต้านม

                        แม่ที่เต้านมเล็กอาจกังวลว่าจะมีน้ำนมน้อย ซึ่งไม่เป็นความจริง ที่เต้านมมีขนาดใหญ่เพราะมีไขมันมากกว่าเต้าขนาดเล็ก ส่วนต่อมน้ำนมนั้นไม่ได้แตกต่างกัน แถมคนที่เต้านมใหญ่มากอาจเกิดปัญหาเด็กดูดไม่ถนัดได้

                        หัวนมสั้น หรือ บอด

                        หัวนมเป็นเพียงตำแหน่งให้รู้ว่าตรงนี้มีน้ำนมไหลออกมา แม่ที่มีหัวนมสั้นจึงไม่ต้องกังวลใจไป เพียงแค่คอยดูแลไม่ให้ลานหัวนมแข็งก็พอ ส่วนกรณีที่หัวนมบอดควรแก้ไขตั้งแต่ก่อนคลอด โดยปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งอาจได้รับคำแนะนำให้ใส่ปทุมแก้วไว้ใต้เสื้อชั้นใน ร่วมกับการบริหารเพื่อกระตุ้นให้หัวนมยื่นออกมา ในช่วงเดือนสุดท้ายก่อนคลอด

                        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                         

                        ติดตาม เตรียมสุขภาพแม่ให้ดี เมื่อถึงทีต้อง ให้นมลูก คลิกต่อหน้า 2

                          ระวังลูกนั่งหลังโก่ง-ค่อม เสี่ยงพัฒนาการช้า!

                          ลูกน้อยหลังค่อม โก่ง เป็นการนั่งในท่าไหล่ห่อ นอกจากจะส่งผลเสียต่อบุคลิกภาพเป็นอย่างมาก ยังเป็นการทำร้ายกระดูกสันหลังอีกด้วย  และพฤติกรรมนี้เสี่ยงต่อการทำร้ายกระดูก โดยพบได้ในคนวัยเรียนและวันทำงานเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งส่งผลให้คุณมีบุคลิกภาพกลายเป็นคนแก่ไปเลยก็ได้  ซึ่งถ้าฝึกการนั่งถูกท่าตั้งแต่วัยเด็ก จะส่งผลดีต่อพัฒนาการต่างๆ ของลูกน้อยจนโตเป็นผู้ใหญ่ และยังทำให้ห่างไกลจากโรคกระดูกอีกด้วย

                          ระวัง ลูกน้อยหลังค่อม โก่ง เพราะนั่งผิดท่า เสี่ยงพัฒนาการช้า!

                          ภาวะหลังค่อมแบ่งได้เป็น 2 สาเหตุ คือ

                          • หลังค่อมจากกระดูกสันหลังคดผิดปกติ
                          • หลังค่อมจากความเคยชินในท่าทางและอิริยาบถของตนเอง

                          โดยทั่วไปการเดินหลังค่อมจะทำให้ปวดหลังและปวดกล้ามเนื้อได้ง่าย และหากอยู่ในท่าทางหรืออิริยาบถที่ผิดๆ ต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน จะทำให้น้ำหนักถ่ายเทไม่สมดุล คือถ่ายเทไปในจุดที่ไม่ควรจะลง ทำให้กระดูกเสื่อมได้ง่าย

                          ลูกน้อยหลังค่อม โก่ง

                          ซึ่งปัจจุบันพบว่าวัยเด็กเรียน ไปถึงวัยทำงานมีแนวโน้มที่จะเผชิญกับปัญหาความผิดปกติ อันเกี่ยวเนื่องกับกระดูกเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ นับตั้งแต่อาการปวดหลังและคอ ไปจนถึง โรคกระดูกสันหลังเสื่อม โรคกระดูกสันหลังคดงอผิดปกติ หรือโรคหมอนรองกระดูกสันหลังทับเส้นประสาท ซึ่งสาเหตุสำคัญของอาการเจ็บป่วยก่อนวัยเหล่านี้ มักเกิดจากพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในชีวิตประจำวันนั่นเอง และนี่คือพฤติกรรมที่ควรหลีกเลี่ยง หากคุณไม่อยากเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพกระดูกที่จะตามมา

                          การยืน

                          • ยืนหลังค่อมหรือแอ่นตัวไปข้างหน้า จะทำให้ปวดหลังและเกิดความผิดปกติของแนวกระดูกช่วงล่าง การยืนหลังตรง และเกร็งหน้าท้องเล็กน้อยจะดีที่สุด
                          • ยืนโดยลงน้ำหนักไปที่ขาข้างใดข้างหนึ่ง การยืนในลักษณะนี้จะส่งผลเสียต่อขาข้างที่ได้รับการทิ้งน้ำหนัก และอาจนำไปสู่อาการปวดและเป็นตะคริวได้ ท่ายืนที่ถูกต้องนั้น ควรยืนให้ขากว้างเท่ากับสะโพกโดยลงน้ำหนักไปที่ขาทั้งสองข้างเท่า ๆ กัน เพื่อความสมดุลของร่างกาย

                          แฟชั่นอันตราย

                          • ใส่รองเท้าส้นสูงเกิน 1 นิ้วครึ่ง สำหรับสุภาพสตรีการใส่ส้นสูงอาจช่วยเสริมสร้างบุคลิกให้ดูสง่าขึ้นแต่ข้อเสียก็คือการใส่รองเท้าที่สูงเกินไปอาจส่งผลให้เกิดอาการปวดหลังที่เกิดจากความผิดปกติของแนวกระดูกสันหลังได้
                          • สะพายกระเป๋าหนักเพียงข้างเดียว กระเป๋าสะพายกับผู้หญิงนับเป็นของคู่กัน แต่หากใช้กระเป๋าที่หนักจนเกินไป และสะพายไว้บนไหล่เพียงข้างเดียว อาจทำให้เกิดการเจ็บปวดบริเวณหัวไหล่ เนื่องจากกล้ามเนื้อ และกระดูกต้องรับน้ำหนักมากจนทำให้กระดูกคดงอได้ วิธีที่เหมาะสม คือ เลือกใช้กระเป๋าน้ำหนักเบา บรรจุของในกระเป๋าแต่พอดี และสลับด้านสะพายระหว่างข้างซ้ายและขวาให้เท่า ๆ กัน

                          การนอน

                          • นอนคว่ำ โดยเฉพาะการนอนคว่ำเพื่ออ่านหนังสือ เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง เพราะจะทำให้กระดูกสันหลังแอ่นมากจนผิดปกติ ทั้งยังก่อให้ เกิดอาการปวดคอและปวดหลังอีกด้วย
                          • นอนขดตัวคุดคู้ การนอนหดแขนและขาจะทำให้กระดูกสันหลังบิดงอผิดรูป และเกิดอาการเจ็บที่กล้ามเนื้อได้ ท่านอนที่ถูกต้องนั้น แนะนำให้นอนหงายและใช้หมอนหนุนศีรษะที่ไม่แข็งหรือนิ่มจนเกินไป และหลีกเลี่ยงการนอนบนหมอนที่สูงเกินไป
                          • นอนดูโทรทัศน์หรืออ่านหนังสือ คนทั่วไปมักติดนิสัยนอนเอนหลังดูโทรทัศน์หรืออ่านหนังสือ ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนไถลตัวไปบนโซฟาหรือเตียงนอน ทำให้ต้องงอลำคออันอาจเป็นผลให้กระดูกคอสึก และเกิดอาการปวดหลัง เพราะกระดูกหลังแอ่น

                          อ่านต่อ >> ระวัง ลูกน้อยหลังค่อม โก่ง เพราะนั่งผิดท่า เสี่ยงพัฒนาการช้า” คลิกหน้า 2

                          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                           

                            ตรวจ ลด ภาวะเสี่ยง แม่ท้องวัย 35

                            ตรวจ ลด ภาวะเสี่ยง แม่ท้องวัย 35 เพราะผู้หญิงยุคนี้มีลูกกันเมื่ออายุมากขึ้น ด้วยสภาพเศรษฐกิจ สังคมและอื่นๆ ทำให้การตั้งครรภ์เมื่ออายุมาก เสี่ยงต่อภาวะอันตรายต่างๆ ทั้งต่อคุณแม่และลูกน้อย ดังนั้น เราจึงนำความรู้เรื่องการตรวจ ลดความเสี่ยงแม่ท้องวัย 35 ปีขึ้นไปตามไตรมาส จากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมาฝากคุณแม่ เพื่อให้การท้องวัย 35 อัพครั้งนี้ปลอดภัย ลูกน้อยและคุณแม่แข็งแรงสุขภาพดีได้เสมอ

                            ตรวจ ลด ภาวะเสี่ยง แม่ท้องวัย 35

                            ตรวจ ลด ภาวะเสี่ยง แม่ท้องวัย 35

                            ไตรมาสแรก “ตรวจลดความกังวลดาวน์ซินโดรม”

                            ปัจจุบันมีเทคโนโลยีใหม่ในการตรวจหาภาวะดาวน์ซินโดรมซึ่งเป็นทางเลือกที่ดีของคุณแม่ นั่นคือ

                            • เจาะเลือดแม่ตรวจฮอร์โมนจากรกโดยจะดูความเสี่ยงควบคู่กับการอัลตราซาวนด์เพื่อดูค่าความหนาของต้นคอลูกแม้ความแม่นยําจะไม่เท่าวิธีการอื่นๆแต่วิธีนี้ปลอดภัยเพราะไม่เสี่ยงต่อการแท้งรอผลไม่นานและราคาประหยัด
                            • เจาะเลือดตรวจดีเอ็นเอ วิธีนี้คือการเจาะเลือดคุณแม่แต่ดูความเสี่ยงจากดีเอ็นเอลูกที่อยู่ในเลือดของคุณแม่ซึ่งมีความแม่นยําสูงและปลอดภัยแต่ก็ต้องใช้เวลาและตามด้วยราคาที่สูงเช่นกัน (ประมาณ 18,000-30,000 บาท) วิธีการตรวจคือ เจาะเลือดคุณแม่ 20 ซีซี. แล้วโรงพยาบาลที่มีบริการวิธีนี้จะส่งเลือดคุณแม่ไปตรวจยังบริษัทต่างประเทศที่รับตรวจดีเอ็นเอซึ่งมีให้เลือกหลายแห่ง เช่น panorama(natera), nifty(BGI), materniT21(Sequenom), Harmony(Ariosa)ฯลฯ แต่ละแห่งจะมีจุดเด่นต่างกันไปคุณแม่สามารถปรึกษากับคุณหมอที่ฝากครรภ์ได้เลยค่ะ

                            นอกจากนี้ปัจจุบันโรงพยาบาลใหญ่ๆ ของรัฐที่เป็นโรงเรียนแพทย์ ก็ใช้วิธีการตรวจนี้เป็นอีกทางเลือกให้คุณแม่ได้แล้ว

                            • เจาะน้ำคร่ำ วิธีนี้คุณหมอจะอัลตราซาวนด์ท้องของคุณแม่ เพื่อหาตําแหน่งที่ปลอดภัย และใช้เข็มเจาะผ่านผนังมดลูกเพื่อดูดน้ำคร่ำที่อยู่รอบตัวลูกน้อยมาตรวจ ซึ่งเป็นวิธีที่ให้ผลแม่นยําที่สุด (ค่าใช้จ่ายราว 4,000-10,000บาท) ส่วนมากที่คุณแม่กังวลอาจเพราะได้ข้อมูลมาว่าการตรวจวิธีนี้มีโอกาสเกิดการแท้ง แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้มีความเสี่ยงที่สูงมากจนต้องกังวลเกินไปค่ะ (อัตราเสี่ยงต่อการแท้ง 0.5%)

                            ตรวจอีก 2 เรื่องเพื่อความมั่นใจในไตรมาสแรก

                            เพื่อความมั่นใจในไตรมาสแรกนี้คุณแม่ควรปรึกษาแพทย์เรื่องการตรวจอัลตราซาวนด์สักครั้งเพราะจะช่วยให้รู้โอกาสเสี่ยงเรื่องหลักๆในช่วงไตรมาสแรก ได้แก่

                            • ประเมินอายุครรภ์ในช่วงไตรมาสแรก เพราะการอัลตราซาวนด์จะประเมินอายุครรภ์แม่นยํามากที่สุด
                            • ตรวจสอบตําแหน่งของลูกน้อยว่าอยู่ในตําแหน่งที่เหมาะสมเพื่อให้มั่นใจว่าคุณแม่ไม่ได้มีภาวะตั้งครรภ์นอกมดลูกนอกจากนี้หากคุณแม่มีภาวะแท้งคุกคามหรือมีเลือดออกจากช่องคลอดอย่ารีรอรีบไปพบคุณหมอเพื่อตรวจร่างกายและเช็กดูอีกครั้งว่าลูกน้อยยังแข็งแรงดี

                            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                             

                            ติดตาม ตรวจลดภาวะเสี่ยง แม่ท้องวัย 35 คลิกต่อหน้า 2

                              เลิกขวดนม ก่อน 1 ขวบ

                              5 วิธีช่วยคุณแม่ เลิกขวดนม ให้ลูกตอน 1 ขวบ

                              เด็กตั้งแต่แรกเกิดจะได้กินนมแม่เป็นอาหารหลัก พอลูกอายุได้ 6 เดือนก็จะได้รับอาหารเสริมเป็นข้าวบด  ซึ่งคุณแม่ส่วนใหญ่ที่ต้องกลับไปทำงานอาจจะให้ลูกกินนมแม่จากขวด และเมื่อลูกอายุได้ 1 ขวบขึ้นไป ก็ถึงเวลาที่จะให้ลูกได้ทานนม ดื่มน้ำจากแก้วหัดดื่มกันได้แล้ว ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีเทคนิควิธีช่วยลูก เลิกขวดนม มาฝากค่ะ

                              เลิกขวดนม

                              Must Read >> เทคนิค การเก็บรักษานมสต็อก ให้ลูกได้กินนมแม่นานถึง 2 ขวบ

                              จากเต้าแม่สู่จุกนมขวด ก็ได้เวลาที่จะต้องปรับเปลี่ยนให้เป็นไปตามพัฒนาการของลูกที่เมื่อเขาเติบโตขึ้นเข้าสู่วัยเตาะแตะ นั่นก็คือช่วงอายุ 1-3 ขวบ ที่ลูกเริ่มจะทำอะไรได้เองถนัดมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้มือทั้งสองข้างที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อมัดเล็ก ในการหยิบ จับ และเพื่อเป็นการเตรียมลูกให้พร้อมสำหรับก้าวใหม่ๆ ของชีวิต คุณแม่ส่วนใหญ่เริ่มที่จะให้ลูกเลิกขวดนม เพราะถ้าลูกพร้อมที่จะเข้าสู่วัยอนุบาลในช่วง 3-4 ขวบขึ้นไป คุณแม่คงไม่อยากให้ลูกต้องพกขวดนมใส่กระเป๋าไปโรงเรียนทุกวันด้วยอย่างแน่นอน ฉะนั้นทางแก้ไขที่ดีที่สุดก็คือ การเริ่มฝึกให้ลูกเลิกขวดนม แล้วฝึกให้ลูกได้ดื่มนม ดื่มน้ำจากแก้วกันดูบ้าง ฝึกบ่อยๆ ทำบ่อยๆ ลูกก็จะเลิกขวดนมได้ในที่สุดค่ะ

                               

                              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                              การเตรียมพร้อมลูกให้ เลิกขวดนม มากินจากแก้ว 

                              เป็นที่รู้กันดีว่าถ้าลูกลองได้ติดอะไรไปแล้วสักอย่าง กว่าแม่จะฝึกให้เลิกได้ก็ใช้เวลาอยู่พอสมควร ยิ่งกับเรื่องการเลิกขวดนม แม่หลายๆ คนไม่รู้จะเริ่มต้นฝึกลูกด้วยวิธีใด

                              หากอยากให้ลูกเลิกขวดนมได้สำเร็จและไม่ดูเป็นการทำร้ายใจลูกมากเกินไป แนะนำว่าให้ลูกเลิกขวดนมตอนที่อายุได้ 1 ขวบ โดยที่คุณแม่ต้องค่อยๆ ฝึกอย่างใจเย็น เพราะไม่เช่นนั้นลูกอาจต่อต้านและไม่ยอมลองวิธีใหม่ๆ ในการกินนม กินน้ำขึ้นมาได้ค่ะ

                              อายุ 6   เดือน เป็นช่วงเวลาที่แม่จะเริ่มป้อนอาหารเสริมให้ลูกกันแล้ว หากสังเกตเวลาป้อนข้าวบดให้ลูก เขาจะดันลิ้นเข้าออก เพื่อรับกับอาหารที่แม่ป้อนให้ ช่วงนี้แม่อาจป้อนน้ำจากช้อนให้ลูกทีละนิด หรือให้ลูกกินนมจากช้อน เพื่อที่เขาจะได้เริ่มคุ้นชินว่านมแม่รสชาติที่เคยได้กินจากเต้าแม่ ก็กินได้จากที่อื่นด้วยเหมือนกัน

                              อายุ 8 เดือน พัฒนาการด้านร่างกายลูกแข็งแรงขึ้น และลูกยังนั่งได้เองแล้วด้วย ลูกสามารถที่จะถือของด้วยมือข้างเดียวได้บ้างแล้ว  แนะนำว่าให้คุณแม่ลองหาแก้วหัดดื่มใบเล็กๆ น้ำหนักไม่มากมาให้ลูกลองจับ โดยที่คุณแม่อาจใส่น้ำเปล่า น้ำวส้มลงไปด้วยนิดหน่อยในแก้ว เพื่อที่เมื่อลูกยกแก้วขึ้นจ่อที่ปากเขาจะได้ลองกินน้ำจากแก้วกันค่ะ

                              อายุ 10 เดือน  เป็นวัยเริ่มตั้งไข่ หัดเดินกันแล้วค่ะ เชื่อว่าพ่อแม่ทุกครอบครัวต้องตื่นเต้นกับพัฒนาการอีกหนึ่งสเต็ปใหม่ของลูกนี้กันอย่างแน่นอน และลูกจะมีทักษะการใช้มือทั้งสองข้างที่มั่นคงขึ้นจากเมื่อสองเดือนที่แล้ว ลูกจะสนุกกับการหยิบอาหารเข้าปากเองได้มากขึ้น ถึงจะหกเลอะเทอะมากกว่าจะเข้าไปในปาก คุณแม่ก็ต้องยอมปล่อยให้ลูกได้เลอะแต่ได้เพิ่มทักษะกันนะคะ แนะนำให้คุณแม่เตรียมแก้วน้ำพลาสติกที่ปลอดภัยต่อการสัมผัสกับปากลูกมาใบเล็กๆ เลือกสีที่ทำให้ลูกสะดุดตา เพื่อที่เขาจะได้หยิบแก้วกินนม กินน้ำที่อยู่ในแก้วค่ะ

                              อายุ 1 ขวบ ลูกเข้าสู่วัยเริ่มเตาะแตะกันแล้วค่ะ เขาจะเริ่มเดิน เริ่มวิ่งได้มั่นคงขึ้นมาอีกนิด ที่สำคัญยังเป็นวัยที่ชอบให้คนชม ยิ่งถ้าคุณพ่อคุณแม่ชม เชียร์ว่า “น้องเพลงเก่งจังกินนมจากแก้วด้วย” แล้วตบมือให้กำลังใจลูก เขาจะยิ่งทำเพราะรู้ว่าเป็นสิ่งที่ทำแล้วดีไม่โดนดุ ไม่โดนห้าม ดังนั้นแนะนำว่าคุณแม่ควรฝึกให้ลูกกินนมแม่จากขวด จากเต้า มาเป็นกินจากแก้วให้มากขึ้น  โดยที่ระหว่างวันที่ต้องให้ลูกกินนม ก็เตรียมนมให้ลูกกินจากแก้ว อยากให้ลูกเห็นขวดนม หรือให้กินจากเต้าแม่เด็ดขาด

                              เมื่อลูกกินนมจากแก้วได้ทุกวันๆ เขาก็จะลืมขวดนม ลืมจุกนมไปได้ค่ะ แต่ทั้งนี้ต้อทำไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป และแม่ก็ต้องฝึกอย่างจริงจังด้วยนะคะ

                               

                              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                               

                              5 วิธีช่วยคุณแม่ เลิกขวดนม ให้ลูกตอน 1 ขวบ

                              การดูดขวดนมนานๆ เป็นเหตุของฟันผุได้ โดยเฉพาะการนอนดูด อาจทำให้เกิดการติดเชื้อต่างๆ ในหูอย่างคาดไม่ถึงด้วย

                              คุณแม่หลายคนอาจผ่านเรื่องนี้ได้สบาย เพราะลูกเลิกดูดขวดนมง่าย แต่สำหรับคุณแม่ที่กำลังติดขัดกับเรื่องนี้ เรามีคำแนะนำเพื่อช่วยลูกให้หย่าขาดจากขวดนมได้อย่างไม่ทรมานจนเกินไป ดังนี้ค่ะ

                              เลิกขวดนม
                              Credit Photo : Shutterstock
                              1. อายุที่เหมาะให้ลูกหย่าขวดนม คือตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป
                              2. การค่อยๆ ลดปริมาณนมจะช่วยลดการร้องขอได้ เมื่อจะให้นมมื้อเย็นแก่ลูก ลองใส่นมในขวดให้น้อยลงๆ จนในที่สุดเหลือแค่จิบเล็กๆ และบางมื้อก็งดไปบ้าง
                              3. หาอย่างอื่นมาแทน ส่วนใหญ่เด็กจะติดดูดขวดนมก่อนนอน ลองพยายามเปลี่ยนนิสัยก่อนนอน โดยอาจให้เขาอ่านหนังสือนิทาน หรือร้องเพลงก่อนนอนแทนดูดขวดนม เวลาอื่นๆ ก็ทำได้เหมือนกัน เช่น ชวนกันออกไปเดินเล่น พบปะทักทายต้นไม้ ดอกไม้ ดวงอาทิตย์ สัตว์เลี้ยง พอถึงเวลาเขาร้องจะดูดนมหรือน้ำจากขวดก็ให้ดื่มน้ำหรือน้ำผลไม้จากแก้วแทน
                              4. ร่วมกันเป็นกำลังใจให้ลูกอำลาขวดนม โดยหาโอกาสวันพิเศษ เช่น วันคล้ายวันเกิด มาชักชวนเขาบอกลาขวดนม โดยคุณเป็นผู้ช่วยลูกพาเขาไปทิ้งขวดนมในถังขยะ ตบมือให้เขา และเตรียมตัวเวลาลูกถามหาขวด บอกเขาว่าขวดไม่มีแล้ว เพราะเขาไม่ต้องใช้แล้ว
                              5. อดทน อดทน และอดทน ลูกอาจตกใจบ้าง เพราะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญสำหรับเขา ต้องให้เวลาลูกบ้าง เด็กส่วนมากใช้เวลาไม่นานก็รับรู้ และปรับตัวได้ เพียงแต่ผู้ใหญ่ต้องใจเย็นและอดทนเท่านั้น1

                               

                              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                               

                              เลิกขวดนม
                              Credit Photo : Shutterstock

                               

                              วิธีป้องกันไม่ให้ลูกติดขวดนม 

                              ฝึกลด/เลิกนมมื้อดึก (หมายถึงเวลาประมาณ 24.00-04.00 น.)  ตั้งแต่อายุ 4-6 เดือน  เพราะเด็กเริ่มนอนหลับยาว 6-8 ชั่วโมง สามารถทำได้ ดังนี้

                              1. ให้นมมื้อกลางวันแต่ละมื้อให้อิ่ม นมมื้อดึกกินพอหายหิว ค่อยๆลดจนเลิกได้ ไม่บังคับหรือคะยั้นคะยอให้กินทั้งที่ไม่หิว
                              2. ฝึกกินนมให้อิ่ม ก่อนนอน หลังทำความสะอาดฟันแล้ว ไม่ควรให้ดูดนมอีก ไม่ปลุกเด็กกินนมมื้อดึก
                              3. ฝึกจิบน้ำทุกชนิด-นมจากแก้ว หรือช้อน สลับกับการดูดจากขวด เมื่ออายุ 4-6 เดือน เพื่อให้เริ่มคุ้นเคย
                              4. ฝึกลูกใช้ขวดนมเมื่อเวลาหิว ไม่ใช้เป็นของเล่นเดินถือไปมา
                              5. สร้างบรรยากาศ “กินอาหาร”  อย่างมีความสุข แม้เลิกใช้ขวดนม ก็กินอาหารอื่นได้ อย่างสุขใจ2

                               

                              ความสุขของคนเป็นแม่ไม่มีอะไรมากไปกว่าเห็นลูกมีความสุข ขอแค่ลูกกินอิ่มนอนหลับ มีพัฒนาการที่สมวัยทุกด้าน เพียงเท่านี้แม่ก็อิ่มใจแล้ว ผู้เขียนหวังเป็นที่สุดว่า คุณแม่ที่กำลังอยู่ในช่วงฝึกลูกกินนมจากขวด จะสามารถฝึกลูกกันอย่างได้ผลดีกันทุกคนนะคะ และอย่าลืมลองนำเอาเทคนิคต่างๆ ที่นำมาฝากนี้ไปลองปรับใช้กันค่ะ …ด้วยความใส่ใจและห่วงใย

                               

                              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                              อ่านต่อบทความเรื่องอื่นที่น่าสนใจคลิก

                              วิธีฆ่าเชื้อ ล้างขวดนมลูก ให้สะอาดปลอดเชื้อโรค
                              ทำอย่างไรดี ป่านนี้หนูยังติดขวดนม
                              10 อันดับ ของใช้ใกล้ตัว ที่ซ่อนความสกปรก ถูกใช้บ่อยที่สุด

                               


                              ขอขอบคุณแหล่งข้อมูลจาก
                              1กองบรรณาธิการนิตยสาร Amarin Baby & Kids
                              2th-th.facebook.com , สถาบันสุขภาพแห่งชาติมหาราชินี

                                ลูกดิ้น ลูกสะอึก

                                ลูกดิ้น ลูกสะอึก มีความต่างกันอย่างไร?

                                ลูกดิ้น ลูกสะอึก มีความต่างกันอย่างไร? เชื่อว่าคุณแม่ตั้งครรภ์คงจะเคยมีคำถามสงสัยว่าลูกควรจะดิ้นแค่ไหน สังเกตอย่างไร และในบางครั้งลูกในครรภ์มีอาการสะอึกขึ้นมาคุณแม่ก็อาจจะแยกไม่ได้ รวมทั้งอยากรู้ว่าเมื่อลูกในท้องสะอึกขึ้นมาจะมีอันตรายหรือไม่อย่างไรบ้าง เราจึงมีความรู้เรื่องนี้มาอธิบายให้เข้าใจกันค่ะ

                                ลูกดิ้น ลูกสะอึก มีความต่างกันอย่างไร?

                                ลูกดิ้น ลูกสะอึก มีความต่างกันอย่างไร?

                                ลูกในท้องดิ้นอย่างไร

                                การดิ้น ก็คือการเคลื่อนไหวของลูกน้อยในครรภ์ ซึ่งจะมีทั้งขยับ ถีบ เบาบ้าง แรงบ้าง โดยคุณแม่จะรับรู้การดิ้นของลูกน้อยในครรภ์ได้ตั้งแต่สัปดาห์ที่ 20 เป็นต้นไป โดยในช่วงอายุครรภ์ประมาณ 20–28 สัปดาห์คุณแม่อาจจะยังไม่รู้สึกถึงการดิ้นของลูกทุกวัน บางวันคุณแม่อาจจะไม่รู้สึกว่าลูกดิ้นเลย แต่จริงๆ แล้ว ลูกน้อยมีการเคลื่อนไหวและแข็งแรงปกติ เพราะในช่วงตั้งครรภ์ 20-28 สัปดาห์ ลูกน้อยยังตัวเล็กลอยอยู่ในน้ำคร่ำ ไม่ตัวโตคับครรภ์เหมือนช่วงอายุครรภ์เยอะๆ ทำให้บางวันลูกอาจจะดิ้นเบาเกินกว่าที่คุณแม่จะรับรู้หรือรู้สึกได้ค่ะ

                                ชวนคุณแม่นับลูกดิ้น

                                การนับหรือสังเกตการดิ้นของลูกควรนับหลังอายุครรภ์ 28 สัปดาห์ขึ้นไปหรือนับช่วงท้องเข้าเดือนที่ 7 ค่ะ วิธีนับง่ายๆ คือ สังเกตการดิ้นหลังจากที่คุณแม่รับประทานอาหารเสร็จ จะเป็นมื้อไหนก็ได้ ควรเลือกมื้อที่คุณแม่รู้สึกสบายๆ มีเวลานั่งพักสักครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมง พอคุณแม่รับประทานอาหารเสร็จลูกก็จะได้รับสารอาหารจากที่คุณแม่รับประทานเข้าไป ลูกจะรู้สึกสดชื่นทำให้มีการเคลื่อนไหว จากนั้นจึงให้คุณแม่นับการเคลื่อนไหวช่วงนั้น คืออย่างน้อยลูกจะดิ้น 3 ครั้งใน 1 ชั่วโมงถ้าเวลาผ่านไปสัก10-15นาทีหลังรับประทานอาหารลูกดิ้นเกิน3ครั้งก็หยุดนับได้ค่ะแสดงว่าลูกน้อยแข็งแรงดี

                                การนับลูกดิ้น หากคุณแม่ทําทุกวันได้และในมื้ออาหารเดียวกัน จะช่วยให้คุณแม่เฝ้าระวังอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ เช่น สายสะดือพันคอ ซึ่งเป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นได้น้อย แต่ก็เกิดขึ้นได้โดยที่เราไม่สามารถรู้ได้ล่วงหน้า หากคุณแม่รู้สึกว่าลูกดิ้นน้อยกว่า 3 ครั้งในหนึ่งชั่วโมงหลังรับประทานอาหาร คุณแม่ต้องรีบไปโรงพยาบาลพบสูติแพทย์ทันทีเพราะหากมีอันตรายกับลูก คุณหมอจะได้ให้การช่วยเหลือได้ทันท่วงทีค่ะ

                                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                 

                                ติดตาม ลูกดิ้น ลูกสะอึกมีความต่างกันอย่างไร? คลิกต่อหน้า 2

                                  6 สิ่งที่สกัดกั้นการพัฒนา ความคิดสร้างสรรค์ ของลูก

                                  เด็กที่มี ความคิดสร้างสรรค์ มักเป็นเด็กที่ฉลาดและประสบความสำเร็จได้ง่ายในวันข้างหน้า … ซึ่งการกระตุ้นให้ลูกมีความคิดสร้างสรรค์ที่ดีได้นั้นควรเริ่มตั้งแต่ลูกยังเล็กๆ  ซึ่งพ่อแม่ต้องคอยสนับสนุน และระมัดระวังในการสอน ที่นอกจากจะไม่กระตุ้นความคิดให้ลูกแล้วยังเป็นการปิดกั้นความคิดสร้างสรรค์ของลูกไปอย่างถาวรได้อีกด้วย

                                  สิ่งที่สกัดกั้นการพัฒนา ความคิดสร้างสรรค์ ของลูก

                                  ความคิดสร้างสรรค์ เป็นทักษะที่มีอยู่ในตัวเราทุกคน ติดตัวมาตั้งแต่เกิดเพื่อรอการบ่มเพาะและดูแลให้งอกงาม แต่น่าเสียดายที่คนจำนวนมากเข้าใจผิดเกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์ว่าเป็นเรื่องของ “พรสวรรค์” ที่มีอยู่ในคนบางคนเท่านั้น เป็นเรื่องส่วนบุคคล ซึ่งถือเป็นอุปสรรคขวางกั้นการพัฒนา ฝึกฝนความคิดสร้างสรรค์ในเด็กและเยาวชนให้เป็นไปอย่างเต็มประสิทธิภาพ

                                  ความคิดสร้างสรรค์ มีลักษณะสำคัญ 3 ประการ คือ

                                  1. เป็นความคิด ประดิษฐ์ หรือการทำที่แปลกใหม่ เป็นผลงานที่ริเริ่มเอง ไม่มีตัวอย่างไว้ให้มีประโยชน์มีคุณค่า
                                  2. เป็นความคิดหรือการกระทำที่แก้ปัญหาได้ โดยสามารถมองหาทางเลือกหลายทิศหลายทางในการแก้ปัญหา
                                  3. เป็นความคิดริเริ่มที่แสดงออกอย่างมีหลักเกณฑ์ มีความคงทน และสามารถดัดแปลงพัฒนาไปจนถึงจุดที่สมบูรณ์ได้

                                  หลักการที่เกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์ 

                                  1. การใช้สมองซึกขวาเชื่อมโยงกับสมองซีกซ้าย
                                  2. การฝึกการคิดนอกกรอบ
                                  3. การฝึกการคิดทางบวก
                                  4. การฝึกการคิดแบบริเริ่ม คล่องตัว ยืดหยุ่น และละเอียดลออ

                                  การคิดนั้นอาจคิดได้หลายอย่าง จะคิดให้วัฒนะ คือ คิดแล้วทำให้เจริญงอกงามก็ได้ จะคิดให้หายนะ คือ คิดแล้วทำให้พินาศก็ได้ การคิดให้เจริญจึงต้องมีหลักอาศัย หมายความว่า เมื่อคิดเรื่องใด สิ่งใด ต้องตั้งใจให้มั่นคงในความเป็นกลางไม่ปล่อยให้อคติอย่างหนึ่งอย่างใดครอบงำ ให้มีแต่ความจริงใจตามเหตุผลที่ถูกต้องและเป็นธรรม

                                  ♥ บทความแนะนำน่าอ่าน : 3 หัวใจหลัก เลี้ยงลูกด้วยธรรมะ เสริมภูมิคุ้มกันตลอดชีวิต

                                  ความคิดสร้างสรรค์กับพัฒนาการตามวัย

                                  พัฒนาการความคิดสร้างสรรค์ในเด็ก
                                  • อายุ 0-2 ปี มีพัฒนาการด้านจินตนาการ อายุ 2 ปี มีความพร้อมที่จะสำรวจสิ่งแวดล้อมรอบตัว
                                  • อายุ 2-4 ปี ตื่นตัวกับสิ่งแปลกใหม่ ใช้จินตนาการกับการเล่น มีความเป็นตัวของตัวเองสูง แต่ช่วงความสนใจสั้น
                                  • อายุ 4-6 ปี สนุกกับการวางแผน สนุกกับการเล่น การทำงาน ชอบเล่นสมมติและทดลองเล่นบทบาทต่าง ๆ โดยใช้จินตนาการ มีความสามารถในการเชื่อมโยงสิ่งต่าง ๆ แม้จะเข้าใจในความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผลได้ไม่ดีนักพัฒนาการความคิดสร้างสรรค์ในเด็กวัยเรียน
                                  • อายุ 6-8 ปี จินตนาการสร้างสรรค์เปลี่ยนไปสู่ความจริงมากขึ้นชอบบรรยายถ่ายทอดความคิดออกมาเป็นคำพูดรักการเรียนรู้และต้องการประสบการณ์ที่ท้าทายและสร้างความสนุกสนาน
                                  • อายุ 8-10 ปี สามารถสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ โดยใช้ความสามารถเฉพาะตัว มีความสามารถในการเรียบเรียงคำถาม ความอยากรู้อยากเห็นเพิ่มพูนมากขึ้น
                                  • อายุ 10-12 ปี ชอบการสำรวจค้นคว้า ชอบการทดลอง มีสมาธิหรือช่วงความสนใจนานขึ้น เด็กผู้หญิงชอบเรียนรู้จากหนังสือและการเล่นสมมติ เด็กผู้ชายชอบเรียนรู้จากประสบการณ์ตรงช่วงวัยนี้จะมีพัฒนาการด้านศิลปะและดนตรีจุดอ่อนคือเป็นช่วงวัยที่ขาดความมั่นใจในผลงานของตนเอง ความคิดสร้างสรรค์ลดลงบางช่วง เพราะเป็นช่วงที่พยายามปรับตัวเข้ากับกลุ่มเพื่อน เลียนแบบเพื่อน ลดความคิดอิสระ

                                  อ่านต่อ >> “6 สิ่งที่สกัดกั้นการพัฒนา ความคิดสร้างสรรค์ของลูก” คลิกหน้า 2

                                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                   

                                    ช่วงให้นม ใช้ยาอย่างไร แม่และลูกปลอดภัย ไร้กังวล

                                    ช่วงให้นม ใช้ยาอย่างไร แม่และลูกปลอดภัย ไร้กังวล เรามีวิธีรับมือ กับนานาปัญหาสุขภาพของคุณแม่ลูกอ่อน ทั้งแบบพึ่ง และไม่พึ่งการใช้ยามาบอกเล่าให้ได้อ่านกัน เพื่อให้มั่นใจว่าถึงอยู่ในช่วงให้นม ก็ไม่เป็นอันตรายต่อลูกน้อยๆหรอกนะ

                                    ช่วงให้นม ใช้ยาอย่างไร

                                    ช่วงให้นม ใช้ยาอย่างไร แม่และลูกปลอดภัย ไร้กังวล

                                    1. เต้านมอักเสบ

                                    ยาที่ปลอดภัย : สำหรับแม่ที่เต้านมอักเสบ เกิดจากการติดเชื้อ คุณหมอมักแนะนำให้กินยาปฏิชีวนะอย่าง ไดคลอกซาซิลลิน, คลอกซาซิลลิน, เซฟาเลกซิน หรือ อะมอกซีซิลลิน+คลาวูลาเนต เป็นระยะเวลา 7-14 วัน ทั้งนี้ยาปฏิชีวนะมักจะออกฤทธิ์เร็ว หลังเริ่มใช้ได้ 24-48 ชั่วโมง แม่จะรู้สึกว่าอาการดีขึ้น แต่ก็ต้องกินยาให้ครบตามจำนวนที่แพทย์สั่ง เพื่อจะได้ไม่กลับมาเป็นอีก

                                    ทางเลือกอื่นๆ : ในช่วงที่ต้องรับมือกับความเจ็บปวดเพราะมีการติดเชื้อที่เต้านม แม่อาจจะคิดเลิกให้นมไปเลย แต่ช้าก่อน ถ้าระบายน้ำนมในเต้านมข้างที่มีการติดเชื้อได้มากพอ โดยผ่านการปั๊มนม หรือให้นมลูก ก็จะช่วยป้องกันไม่ให้มีแบคทีเรียสะสมในเต้านมมากขึ้นอีก และอาจช่วยร่นระยะเวลาในการติดเชื้อได้ด้วยซ้ำ

                                    ไม่ต้องกลัวว่าจะทำให้ลูกพลอยติดเชื้อตามไปด้วย เพราะคุณสมบัติด้านการต้านแบคทีเรียของนมแม่จะช่วยป้องกันไม่ให้มีการส่งต่อเชื้อโรคไปยังลูก

                                    1. หัวนมแตกและเจ็บ

                                    ยาที่ปลอดภัย : ขี้ผึ้ง หรือ ครีมลาโนลิน ซึ่งใช้ทาที่หัวนมหลังการให้นม จะช่วยรักษาความชุ่มชื้นของผิวหนัง จึงช่วยให้หายเร็วขึ้น โดยเลือกขี้ผึ้ง หรือ ครีมที่มีส่วนผสมของลาโนลิน 100% อย่าง Purlan กับ Lansinoh จะไม่เป็นอันตรายต่อทารก จึงไม่จำเป็นต้องล้างออกก่อนที่จะให้นม

                                    หลีกเลี่ยงขี้ผึ้ง หรือ ครีมทาหัวนมที่มีส่วนผสมอื่นๆ และ/หรือ ไม่ได้ใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติ เพราะจะทำให้ผิวหนังยิ่งระคายเคือง และอาการเลวร้ายลง เพราะขี้ผึ้ง หรือ ครีมที่มีส่วนผสมหลายอย่างบางยี่ห้ออาจจะเป็นพิษต่อได้ โดยองค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ ได้ออกประกาศเตือนเรื่องครีมทาหัวนมที่มีส่วนผสมซึ่งเป็นอันตรายต่อระบบประสาทที่กำลังพัฒนาของทารก

                                    ทางเลือกอื่นๆ : อาการหัวนมแตก และเจ็บมักเกิดจากวิธีอุ้มลูกเข้าเต้า หรือท่าให้นมที่ไม่ถูกต้อง แม่จึงควรขอคำแนะนำเรื่องเทคนิคในการให้นมลูกจากผู้เชี่ยวชาญ เพราะแค่ปรับเปลี่ยนท่าเล็กน้อย แม่ก็สามารถให้นมได้โดยไม่ทำให้หัวนมแตกและเจ็บอีก

                                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                     

                                    ติดตาม การใช้ยาช่วงให้นมลูก อย่างปลอดภัยไร้กังวล คลิกหน้า 2