รกค้าง

แม่ท้องต้องรู้! รกค้าง หลังคลอด อันตรายอาจตายได้

รกค้าง ภาวะเสี่ยงเฉียบพลันสำหรับคุณแม่หลังคลอด แม้จะคลอดทารกออกมาแล้ว แต่หากไม่คลอดรก ก็อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ เรามาทราบถึงความเสี่ยง อาการ และความผิดปกติต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น และแนวทางที่จะช่วยให้คุณแม่ปฏิบัติตัวได้อย่างถูกต้อง หากต้องตกอยู่ใน ภาวะรกค้าง

“รก” สายใยแม่และลูก

รกเป็นอวัยวะพิเศษของคุณแม่ในช่วงตั้งครรภ์ ที่ถูกสร้างมาพร้อม ๆ กับทารก โดยหลังจากคุณแม่ตั้งครรภ์ร่างกายจะเริ่มสร้างเซลล์ 2 ส่วนไปพร้อมกัน ส่วนที่  1 คือ เซลล์ที่ประกอบกันเป็นทารก และอีกส่วน คือ  รก ซึ่งเกาะอยู่ด้านในผนังมดลูก โดยรกประกอบด้วย สายสะดือ เยื่อหุ้มรก และเนื้อรก หน้าที่สำคัญของรก ได้แก่ การส่งผ่านเลือด ลำเลียงอาหารและอากาศ ขับถ่ายของเสีย และสร้างฮอร์โมนเพื่อความเหมาะสมกับการเจริญเติบโตของทารก และระบบการตั้งครรภ์ เช่น สารภูมิคุ้มกันและต้านทานโรคต่าง ๆ ฮอร์โมนกระตุ้นการผลิตน้ำนม ฮอร์โมนที่ช่วยลดความเจ็บปวดในการคลอดและลดความเสี่ยงในการแท้งอีกด้วย

รู้หรือไม่? คลอดลูกแล้ว ต้องคลอดรก

ขั้นตอนในการคลอดลูกตามธรรมชาติแล้ว เมื่อครรภ์พร้อมคลอด ปากมดลูกเปิด 10 เซนติเมตร ทารกจะค่อย ๆ เคลื่อนออกมาทางช่องคลอด ตามแรงเบ่งของคุณแม่ หลังจากทารกคลอดออกมาอย่างสมบูรณ์ประมาณ 5-10 นาที จะมีการคลอดรกก็คือ มีรกและเยื่อหุ้มทารกหลุดตามออกมาทางช่องคลอด แต่หากคลอดทารกเกิน 30 นาที แต่รกยังไม่คลอดออกมา นั่นเป็นสัญญาณเตือนที่บ่งบอกถึง ภาวะรกค้าง ซึ่งต้องเข้าสู่กระบวนการทำคลอดรกต่อไป

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

แค่ รกค้าง ถึงตาย จริงหรือ??

ภาวะรกค้างสามารถเกิดขึ้นได้ 2 ลักษณะ คือ รกค้างทั้งรก ที่อาจจะเกิดจากความผิดปกติของมดลูก เช่น รกลอกตัวไม่สมบูรณ์ ความผิดปกติของกล้ามเนื้อปากมดลูก ทำให้รกคลอดออกมาเองไม่ได้ หรือความผิดปกติจากการหดรัดตัวของมดลูกเอง ซึ่งหากรกไม่คลอดออกมา รกนั้นจะไปขัดขวางการหดรัดตัวของมดลูกหลังคลอด ทำให้เลือดไหลไม่หยุด เกิดภาวะตกเลือดจนเสียชีวิตได้ ในการรักษาคุณหมอจะทำการคลอดรกด้วยการฉีดฮอร์โมน เพื่อเร่งรกส่วนที่ค้างอยู่ให้หลุดลอกออกมา แต่หากไม่สำเร็จอาจจะต้องทำการล้วงรกเพื่อให้รกหลุดออกมาอย่างสมบูรณ์

ส่วน รกค้าง เพียงบางส่วน จากเศษรกที่ออกมาไม่หมดแล้วตกค้างอยู่ในโพรงมดลูก ทำให้เกิดการติดเชื้อ และเข้าสู่ภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกอักเสบตามมา คุณหมอจะทำการอัลตร้าซาวน์เพื่อหาเศษรกที่ติดอยู่ภายใน และทำการขูดมดลูก เพื่อกำจัดเศษรก และรักษาการติดเชื้อต่อไป จะเห็นได้ว่าไม่ว่าจะรกค้างทั้งรก หรือเศษรกค้างบางส่วนก็เป็นอันตรายถึงชีวิตได้จริง ๆ

อ่านต่อ คลอดธรรมชาติ หรือ ผ่าคลอด แบบไหนปลอดภัยจากรกค้าง คลิกหน้า 2

    ปากมดลูกสั้น

    ปากมดลูกสั้น เสี่ยงแท้ง เสี่ยงคลอดก่อนกำหนด?

    ปากมดลูกสั้น จัดอยู่ในภาวะครรภ์เสี่ยงสูง ซึ่งหมายถึง การตั้งครรภ์ที่มีโอกาสแท้งหรือคลอดก่อนกำหนดสูงกว่าปกติ เพราะปากมดลูกเป็นเสมือนประตูที่ช่วยป้องกันไม่ให้ทารกคลอดออกมาก่อนครรภ์สมบูรณ์ หากปากมดลูกเกิดความผิดปกติย่อมเป็นอันตรายกับทารกในครรภ์ได้ แล้วเราจะทราบได้อย่างไรว่าอยู่ในภาวะปากมดลูกสั้น และมีวิธีป้องกันความเสี่ยงดังกล่าวอย่างไร เรามีข้อมูลมานำเสนอค่ะ

    ปัจจัยเสี่ยงจากการตั้งครรภ์

    การแท้งหรือการคลอดก่อนกำหนด คือ ภาวะที่ทารกคลอดและเสียชีวิตก่อนอายุครรภ์ครบ 37 สัปดาห์ ด้วยสาเหตุปัจจัยต่าง ๆ ได้แก่

    • คุณแม่ตั้งครรภ์มีอายุน้อยกว่า 18 ปี และอายุมากกว่า 35 ปี ขึ้นไป
    • คุณแม่มีน้ำหนักตัวก่อนและหลังตั้งครรภ์มากหรือน้อยกว่าเกณฑ์น้ำหนักเฉลี่ยจากการตั้งครรภ์
    • คุณแม่เคยมีประวัติการแท้งหรือคลอดก่อนกำหนดมาก่อน
    • คุณแม่มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคไต มะเร็ง และธาลัสซีเมีย
    • คุณแม่มีภาวะผิดปกติของระบบเจริญพันธุ์ เช่น โพรงมดลูกอักเสบ รกผิดปกติ ปากมดลูกสั้น
    • คุณแม่เคยตั้งครรภ์แฝด หรือมีภาวะน้ำคร่ำมาก
    • การใช้ชีวิตประจำวันที่ไม่เหมาะสมของคุณแม่ตั้งครรภ์ เช่น สูบบุหรี่ ดื่มเหล้า ใช้ยาที่อาจเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์

    ปัจจัยเหล่านี้มีความเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ที่อาจเกิดอันตรายต่อทั้งตัวคุณแม่และทารกได้ ซึ่งภาวะปากมดลูกสั้น ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงที่ไม่ควรละเลย เพราะสามารถเกิดขึ้นโดยคาดไม่ถึง แต่หากมีข้อมูลหรือแนวทางป้องกันก็จะช่วยให้ทารกน้อยอยู่ในครรภ์ได้อย่างสมบูรณ์และปลอดภัย

    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

     

    อ่านต่อ ปากมดลูกสั้นเป็นอย่างไร จะรู้ได้อย่างไร คลิกหน้า 2

      ระวัง 7 โรคนี้ ลูกเป็นแล้ว สามารถเป็นซ้ำได้!

      ลูกป่วยบ่อย …เพราะในยุคสมัยนี้ ตัวเชื้อโรค เริ่มมีวิวัฒนาการที่สูง สามารถทนกับสภาพแวดล้อมบ้านเราได้ดี จึงเพาะเชื้อที่มีความแข็งแรงและหลากหลายมากมาย มาเพื่อความอยู่รอดของตัวมันเอง ทำให้เมื่อเข้าสู่ร่างของคนเรา ยิ่งเฉพาะลูกน้อย เด็กตัวเล็กที่ภูมิต้านทานน้อยด้วยแล้วล่ะก็ยิ่งง่ายเลย จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ลูกน้อยป่วยบ่อยนั่นเอง

      ลูกป่วยบ่อย ระวัง 7 โรค แม้เป็นแล้ว ก็สามารถเป็นซ้ำได้อีก

      ลูกป่วยบ่อย

      เมื่อลูกป่วย โดยเฉพาะเด็กเล็ก ๆ พ่อแม่มักจะกังวลใจจนแทบจะป่วยไปกับลูก หรือ บางคนมีอาการหนักมากกว่าลูกเสียอีก เพราะไม่ทราบว่าควรจะดูแลลูกอย่างไรเมื่อมีอาการป่วยเกิดขึ้น   ซึ่งอาการต่าง ๆ ที่พบได้บ่อย และมักเป็นๆ หายๆ หรือ เป็นแล้วหาย ก็กลับมาเป็นหนักได้อีก

      ทั้งนี้ที่ ลูกป่วยบ่อย เพราะระบบภูมิคุ้มกันภูมิต้านทานยังไม่เพียงพอ  ซึ่งระบบภูมิคุ้มกัน คือระบบที่คอยปกป้องร่างกายของลูกน้อยจากเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมต่างๆ ที่อาจเข้ามาทำอันตรายร่างกายเราได้ เช่น แบคทีเรีย ไวรัส ปรสิต พยาธิ รวมถึงสิ่งแปลกปลอมอื่นๆ ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้มีคุณสมบัติเป็นสิ่งแปลกปลอมที่ร่างกายยังไม่รู้จัก เรียกว่าแอนติเจน (antigen)1

      ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ต้องคอยระวังและดูแลลูกเป็น 2 เท่าเพื่อไม่ให้ลูกกลับมาป่วยอีก  จนต้องเสียเงินไปกับค่ารักษาอาการป่วยของลูกอย่างเดียว  มาดูกันค่ะว่ามีโรคอะไรที่คุณพ่อคุณแม่ควรใส่ใจดูแลก่อนที่จะบานปลาย  หรือมีโรคร้ายประเภทไหนที่ต้องวางแผนเพื่อรับมืออย่างมีสติกันบ้าง ไปดูกันค่ะ

      ♦ โรคไข้หวัด

      โรคหวัด เกิดจากการติดเชื้อไวรัส เชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดอาการหวัดมีมากมายหลายชนิด ที่พบบ่อยๆได้แก่พวก Rhinovirus, Adenovirus, Influenza, Parainfluenza virus, Coxachie virus ฯลฯ ทำให้เด็กเล็กอายุน้อยกว่า 4-6 ขวบเป็นหวัดได้บ่อยเนื่องจากยังไม่มีภูมิต้านทานดีพอที่จะป้องกันไม่ให้เป็นโรคได้ บางคนเป็นบ่อยมากแทบจะทุกเดือนเลย ความจริงแล้วการเป็นหวัดบ่อยๆ นั้น นอกจากจะเนื่องจากภูมิต้านทานของเด็กไม่ค่อยจะดีแล้ว ก็อาจเนื่องจากการได้รับเชื้อบ่อยๆ โดยเฉพาะถ้าหากเราพาลูกไปเที่ยวที่มีคนเยอะๆ เช่น ห้างสรรพสินค้าสวนสนุก โรงภาพยนตร์ พอหลังจากไปเที่ยวสัก 1-2 วัน ลูกก็อาจจะมีอาการหวัดได้  ดังนั้นทางที่ดีไม่ควรพาลูกที่ยังเล็กอยู่ไปเที่ยวที่มีคนมากเป็นการหลีกเลี่ยงไม่ให้ลูกได้รับเชื้อบ่อยๆ ซึ่งจะทำให้ลูกมีโอกาสเป็นหวัดน้อยลง2

      อาการโรคหวัด

      มีน้ำมูก คัดจมูก ไอและมีไข้ ลูกยังอาจจะนอนและกินนมไม่ค่อยได้ด้วย (ถ้าคัดจมูก การดูดนมแม่หรือนมขวดก็จะกลายเป็นเรื่องยาก) ซึ่งหากเป็นแล้วก็สามารถเป็นได้อีกเรื่อยๆ เพราะเชื้อไข้หวัดมีมากนั่นเอง

      การรักษาโรคหวัด

      กรณีที่ต้องถึงมือแพทย์ ถ้าเป็นลูกวัยแรกเกิด ให้พาไปพบแพทย์ทันที แต่ถ้าลูกวัยต่ำกว่า 6 เดือน อาการอาจจะรุนแรงจนทำให้เขากินนม หายใจหรือนอนไม่ค่อยได้ ต้องพาไปพบแพทย์เช่นกัน

      ส่วนยาที่ใช้รักษาโรคหวัดโดยตรงนั้นยังไม่มี ที่มีใช้กันอยู่ในตอนนี้ก็เป็นเพียงยารักษาตามอาการเท่านั้น โดยจะช่วยทำให้น้ำมูกลดลง คนไข้โล่งจมูก รู้สึกสบายขึ้นเท่านั้น ไม่ได้เป็นยารักษาหรือแก้หวัดโรคหวัดโดยตรง จึงควรให้ทานเมื่อเวลาต้องการบรรเทาอาการ ให้รู้สึกสบายขึ้นเท่านั้น

      รวมไปถึงการใช้วิธีล้างจมูกให้ลูกหายใจสะดวก  โดยใช้น้ำเกลือและลูกยางแดง และเปิดเครื่องทำความชื้น อากาศในห้องจะได้ไม่แห้งเกินไป แต่อย่าใช้วิธีปรับระดับหัวเตียงให้สูงขึ้นหรือให้ลูกนั่งหลับในคาร์ซีทเด็ดขาด เพราะเป็นวิธีที่อันตราย

      ♦ ไข้เลือดออก (dengue hemorrhagic fever)

      ไข้เลือดออก เกิดจากการติดเชื้อไวรัสไข้เลือดออกเดงกี ซึ่งมีอยู่ 4 สายพันธุ์ จัดอยู่ในกลุ่ม flavivirus และสามารถแพร่ได้โดยมียุงลายเป็นพาหะ อาการของโรคนี้คล้ายคลึงกับโรคไข้หวัด

      อาการโรคไข้เลือดออก

      มีอาการไข้ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ แต่แตกต่างกันที่ ไข้จะสูงกว่ามาก โดยอาจมีไข้สูงกว่า 40 องศาเซลเซียส ผู้ป่วยจะมีหน้าแดง และปวดเมื่อยกล้ามเนื้อค่อนข้างมากกว่า หากทำการทดสอบโดยการรัดต้นแขนด้วยสายรัด จะพบจุดเลือดออก ผู้ป่วยอาจมีเลือดออกผิดปกติ

      ในเด็กที่ป่วยด้วยโรคไข้เลือดออก มักพบว่า มีอาการในระยะเริ่มต้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งหากผู้ปกครองละเลยการพาผู้ป่วยไปรับการรักษาที่โรงพยาบาล ก็มีโอกาสที่ผู้ป่วยเด็กจะเสียชีวิตเนื่องจากการรักษาที่ล่าช้าได้ ดังนั้นผู้ปกครองจึงควรสงสัยไว้ก่อนว่าบุตรหลานที่มีอาการไข้สูงในฤดูฝนอาจเป็นโรคไข้เลือดออก และควรรีบพาบุตรหลานไปรับการรักษา

      การรักษาไข้เลือดออก

      ในส่วนของการรักษา แพทย์จะทำการประเมินอาการของผู้ป่วยบ่อยๆ และทำการตรวจเลือดแบบทั่วไป และดูค่าความเข้มของเม็ดเลือดแดง เพื่อดูว่าผู้ป่วยมีจำนวนเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือดสูงต่ำมากน้อยแค่ไหน รวมถึงตรวจดูความผิดปกติของระดับเอนไซม์ตับ คือ AST และ ALT ซึ่งจะช่วยบ่งบอกถึงความรุนแรงของโรคได้พอสมควร หากผู้ป่วยมีเม็ดเลือดแดงเข้มข้นขึ้น มีจำนวนเกล็ดเลือดลดต่ำลงมาก (จากหลายแสนลดลงเหลือเพียงไม่กี่หมื่น) ร่วมกับมีชีพจรเบาเร็ว ความดันโลหิตต่ำ กระสับกระส่ายหรือซึมลง ปัสสาวะออกน้อยลง นั่นอาจเป็นตัวบ่งชี้ว่าผู้ป่วยมีโอกาสเข้าสู่ระยะช็อกได้ในอีกไม่กี่ชั่วโมงต่อจากนี้ แพทย์จะทำการย้ายผู้ป่วยไปยังห้องไอซียูเพื่อให้การดูแลอย่างใกล้ชิด และเตรียมการให้เลือดหรือสารน้ำเกลือที่จำเป็นเพื่อรักษาอาการช็อกจากการเสียเลือดภายในร่างกายที่เกิดจากภาวะไข้เลือดออกให้ทัน จนกว่าผู้ป่วยจะหายจากภาวะช็อก ซึ่งมักใช้เวลาอย่างน้อย 48-72 ชั่วโมงขึ้นไป3

      สำหรับความเชื่อที่ว่าเด็กที่เคยเป็นไข้เลือดออกแล้วจะไม่เป็นอีก แต่ความจริงแล้วไข้เลือดออกมี 4 สายพันธุ์ (DENV 1-4) แต่ละปีผลัดเปลี่ยนกันระบาดในความชุกที่แตกต่างกัน คนจึงมีโอกาสเป็นซ้ำได้ในช่วงชีวิตถึง 4 ครั้ง

      อ่านต่อ >> ระวังโรคที่ ลูกป่วยบ่อย แล้วสามารถเป็นซ้ำได้อีก” คลิกหน้า 2

      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

        อุทาหรณ์! เด็กชาย 7 ขวบ กางร่มกระโดดตึกจากชั้น 5 เพราะเลียนแบบฉากในการ์ตูน

        เพราะพ่อแม่ปล่อยให้ลูกอยู่คนเดียว และชอบให้ลูกดูโทรทัศน์โดยพ่อแม่ไม่ได้คอยนั่งอธิบายเรื่องราวถูกผิด จึงทำให้มีข่าว เด็กชาย เลียนแบบการ์ตูน กางร่มแล้วกระโดดลงมาจากตึกชั้น 5 ตกกระแทกพื้นคอนกรีต แต่โชคดีที่ยังไม่เสียชีวิต

        ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ของประเทศจีนรายงานว่า ได้มีคลิปวีดิโอเหตุการณ์สุดระทึกหวาดเสียวหนึ่งถูกส่งต่อบนโลกออนไลน์ของจีนอย่างแพร่หลาย โดยเป็นภาพของเด็กชายคนหนึ่งที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นหน้าร้านตัดผม เนื่องจากกระโดดลงมาจากตึกโดยมีร่มคันหนึ่งอยู่ในมือ ซึ่งด้านข้างมีผู้ปกครองคนหนึ่งนั่งคุกเข่าร่ำไห้อยู่ ท่ามกลางฝูงชนจำนวนไม่น้อย

        เด็กชาย เลียนแบบการ์ตูน

        โดยเหตุการณ์นี้ได้พยานหลายคนที่เห็นและได้เผยว่า เด็กชายคนดังกล่าวร่วงตกลงมาจากตึกที่พักชั้น 5 แต่เนื่องจากตึกนั้นเป็นตึกที่พักแบบสองชั้นในชั้นเดียว ดังนั้นบริเวณชั้น 5 จึงมีความสูงเทียบเท่ากับตึกชั้น 10 ของตึกทั่วไป โดยหลังเกิดเหตุก็มีคนรีบแจ้งตำรวจให้เข้าช่วยเหลือ

        เด็กชาย เลียนแบบการ์ตูน

        ซึ่งแพทย์ได้แจ้งว่า ขณะนี้เด็กชายคนดังกล่าวพ้นขีดอันตรายแล้ว ส่วนสาเหตุเกิดจากวันเกิดเหตุเด็กชายอยู่บ้านคนเดียว แล้วเกิดอยากเลียนแบบหนังการ์ตูนที่ดูขึ้นมา จึงได้ถือร่มออกไปกางแล้วกระโดดลงจากตึก ซึ่งขณะที่เด็กกำลังดิ่งลงมา ก็ตกไปเกี่ยวบริเวณเสาไฟฟ้าชั้น 2 พอดี ก่อนร่วงกระแทกลงพื้น

        เด็กชาย เลียนแบบการ์ตูน

        เด็กชาย เลียนแบบการ์ตูนอย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ลักษณะคล้ายกันนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง ซึ่งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 4 มี.ค. ที่ผ่านมา ที่เด็กหญิงวัย 5 ขวบ เลียนแบบตัวการ์ตูนหมีขาว กางร่มกระโดดลงมาจากตึกชั้น 11 กระแทกระเบียงบริเวณชั้น 4 บาดเจ็บสาหัส เช่นกัน

        เมื่อข่าวนี้ถูกเผยแพร่ออกไปก็มีชาวเน็ตมาแสดงความเห็นว่า นี่เคยเป็นความคิดหนึ่งที่ตนอยากทำเช่นกันเมื่อตอนยังเด็กเช่นกัน แต่ไม่กล้าพอ อย่างไรก็ดี เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่า ผู้ปกครองควรแนะนำบุตรหลานของตนขณะดูการ์ตูนหรือดูทีวีเพื่อให้เด็กมีความเข้าใจต่อสิ่งต่างๆ ที่ถูกต้อง จะได้ไม่เกิดเหตุการณ์การเลียนแบบ แบบผิดๆนี้อีก เพราะการเลียนแบบตัวละครการ์ตูนบางฉาก การณ์ตูนไม่ตาย แต่ในชีวิตจริงอาจจะทำให้อันตรายถึงแก่ชีวิตได้

        ⇒ แนะนำบทความน่าอ่าน ก่อนคลิกหน้าถัดไป!

        ขอคุณข้อมูลข่าวและภาพจาก : news.sanook.com , society.qq.com

        อ่านต่อ >> “วิธีจัดการพฤติกรรมการลอกเลียนแบบของลูกน้อย” คลิกหน้า 2

        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

         

          ลูกไม่กินผัก

          ลูกไม่กินผัก วิธีสอนลูกกินผัก ช่วยให้สุขภาพแข็งแรง

          ความสุขของคนเป็นแม่คือการที่ทำกับข้าวแล้วลูกกับสามีกินเกลี้ยงหมดจาน ถึงจะไม่ได้คำชม แต่ถ้าคนกินๆ ข้าวหมดจาน  เมนูกับข้าวเกลี้ยงสำรับ แค่นี้ก็ดีใจยิ้มแก้มแตกแล้วค่ะ แต่บางบ้านแม่ทำเมนูกับข้าวเอาใจลูกสารพัดก็ไม่ยอมกินเลย แถมยิ่ง ถ้าเป็นเมนูผัก ลูกมักเขี่ยทิ้ง!! ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีวิธีทำให้ ลูกไม่กินผัก ค่อยๆ เปิดใจยอมกินผัก มาฝากกันค่ะ

           

          ลูกไม่กินผัก ส่งผลเสียต่อสุขภาพยังไง?

          หากจะถามว่าถ้า ลูกไม่กินผัก เลยจะมีผลเสียต่อสุขภาพบ้างหรือเปล่า ขอตอบเลยว่า “มีค่ะ!!” เพราะผักเป็นหนึ่งในกลุ่มอาหารหลัก 5 หมู่ ที่เด็กควรจะต้องเริ่มกินมาตั้งแต่ช่วงวัยเริ่มอาหารเสริม และทานเรื่อยไปจนตลอดชีวิต “ผัก” จะมีทั้งวิตามิน แร่ธาตุ กรดอะมิโนธรรมชาติที่จำเป็นต่อสุขภาพร่างกาย ที่สำคัญในผักยังอุดมไปด้วย กากใยอาหาร ที่ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานดี ไม่มีอาการท้องผูกด้วยค่ะ

          ในเด็กที่ไม่ได้รับการส่งเสริมให้ทานผักมาตั้งแต่เล็กๆ อาจมีปัญหาสุขภาพทั้งในระยะสั้น และระยะยาวหากยังมีพฤติกรรมไม่ทานผักต่อไปจนเติบโต เพราะการที่เด็กทานแต่อาหารซ้ำๆ เช่นเน้นทานแต่อาหารประเภททอดที่มีไขมันสูง  ทานแป้ง น้ำตาล และเนื้อสัตว์มากเกินไป จะทำให้ระบบการย่อยอาหาร และระบบขับถ่ายทำงานได้ไม่มีประสิทธิภาพเลย จนเกิดการสะสมของอุจจาระในลำไส้ใหญ่ ผลเสียต่อสุขภาพคือ จะไปทำให้บริเวณเยื่อบุลำไส้สัมผัสอยู่กับสารก่อมะเร็งอยู่ตลอด แน่นอนว่าจะต้องมีปัญหาสุขภาพตามมามากมาย ไม่ว่าจะเป็น โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคมะเร็งลำไส้สาเหตุหนึ่งมักมาจากมีอาการท้องผูกสะสมมาเป็นเวลานาน

          แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ ผู้อำนวยการศูนย์สุขภาพจิตที่ 13 กรุงเทพมหานคร แนะนำว่า “พ่อแม่ควรชักชวนให้ลูกกินผัก อย่าปล่อยให้พี่เลี้ยงทำอาหารง่ายๆ แต่ไม่ถูกหลักโภชนาการให้ลูกกิน พ่อแม่ควรใส่ใจ พิถีพิถันในการเลือกปรุงแต่งเมนูผักให้หลากหลาย และถูกใจเด็ก ๆ มากขึ้น เปิดโอกาสให้เด็กมีส่วนร่วมตั้งแต่การเลือกซื้อ การปรุง และมีเทคนิคที่ทำให้เด็กสนุกกับการรับประทานผัก รู้สึกว่าผักอร่อย ไม่ได้เหม็นหรือกินยากอย่างที่คิด และควรรับประทานอาหารร่วมกันในครอบครัวอย่างน้อยวันล ะ 1 มื้อ จะช่วยให้เด็กมีทัศนคติที่ดีและรับประทานผักได้ง่ายขึ้น แล้วจะเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพดีทั้งกายและใจ”[1]

          อ่านต่อ >> ลูกควรเริ่มกินผักตอนไหนดี? หน้า 2

           

          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

            ไม่จดทะเบียนสมรส ลูกเป็นของใคร ถ้าพ่อแม่เลิกกัน?

            การใช้ชีวิตคู่ร่วมกันถือเป็นการตัดสินใจของคนสองคน แต่บางครั้งการใช้ชีวิตคู่ก็ไม่ได้สุขสมดั่งใจหมาย มีทุกข์ มีสุข ปะปนกันไป หากคู่ไหนไปต่อไม่ได้เมื่อเดินมาถึงทางตันก็ต้องโบกมือบอกลากัน  ถามว่าถ้าพ่อกับแม่ ไม่จดทะเบียนสมรส ลูกเป็นของใคร ฝ่ายไหนจะได้สิทธิในการได้ลูกไปอยู่ด้วย ทีมงาน Amarin Baby & Kids จะมาคลายข้อสงสัยนี้ให้ค่ะ

             

            ไม่จดทะเบียนสมรส ลูกเป็นของใคร?

            เมื่อไม่นานมานี้ หลายครอบครัวคงเห็นข่าวดังที่มีคุณพ่อท่านหนึ่งนำตำรวจไปรับลูกที่โรงเรียนมาอยู่ที่บ้าน เรื่องนี้ถูกเป็นที่สนใจจากสังคมอย่างมาก เนื่องจากฝ่ายคุณแม่ได้ออกมาเรียกร้องขอลูกคืน และมีการพูดถึงสิทธิในการดูแลลูกแต่เพียงผู้เดียว

            จากเรื่องนี้มีหลายครอบครัวเลยที่ส่งอีเมลมาสอบถามกรณีนี้ว่าในความเป็นจริงแล้ว ลูกควรได้อยู่กับใคร และใครมีสิทธิในตัวลูก ต้องย้อนกลับไปว่าพ่อกับแม่ได้จดทะเบียนสมรสด้วยกันหรือไม่ เพราะหากเลิกกันจะมีข้อกฎหมายที่ระบุสิทธิว่าใครจะได้ลูกไปอยู่ด้วย ซึ่งในกรณีพ่อแม่เลิกกันแต่ ไม่ได้จดทะเบียนสมรส ลูกเป็นของใคร อยากให้หลายๆ ครอบครัวที่กำลังประสบกับเหตุการณ์ในลักษณะคล้ายกันนี้ได้ศึกษาข้อกฎหมายให้ละเอียด เพื่อจะได้ลดปัญหาที่จะเกิดขึ้นตามมาจากการที่ตกลงเจรจากันไม่ลงตัว

            เพราะอย่าลืมว่าถึงแม้จะไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน แต่ก็ต้องดูแลลูกร่วมกัน ที่ถึงแม้ว่าลูกจะต้องไปอยู่กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็ตามแต่ เพราะท้ายที่สุดแล้วความเป็นพ่อแม่ก็ยังคงต้องทำหน้าที่มอบความรัก ความอบอุ่นให้ลูกกันอยู่ต่อไปค่ะ

            อ่านต่อ >> ลูกเป็นของใคร ถ้าพ่อแม่เลิกกัน หน้า 2

             

            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

              แม่แชร์ประสบการณ์เตือน! ลูกท้องเสียถ่ายเหลว ไม่ใช่ยืดตัว แต่เพราะติดเชื้อในกระแสเลือด

              ลูกยืดตัว ท้องเสีย …คุณแม่มือใหม่หลายคน อาจได้ยินคนฒ่าคนแก่สมัยก่อนบอกว่า หากลูกท้องเสีย หรือถ่ายเหลว นั่นเป็นเพราะเด็กกำลังยืดตัว ซึ่งความจริงแล้วเป็นเช่นนั้นจริงๆ หรือ!

              Continue reading “แม่แชร์ประสบการณ์เตือน! ลูกท้องเสียถ่ายเหลว ไม่ใช่ยืดตัว แต่เพราะติดเชื้อในกระแสเลือด”

                วิธีทำลูกชาย

                ท่าไหนได้ลูกชาย กับสูตรทำลูกชาย ซึ่งว่าที่คุณพ่อคุณแม่ต้องลอง!!

                ท่าไหนได้ลูกชาย หรือทำอย่างไรให้ได้ลูกชาย เพราะการมีลูกชายเป็นความหวังของหลายๆบ้านที่อยากมีลูกชายไว้สืบทายาทวงศ์ตระกูลต่อไปให้ยาวนาน แต่การจะได้ลูกชายสำหรับหลายบ้านอาจเป็นเรื่องยาก เพราะบางครอบครัวก็พยายามปั๊มลูกจน 3-4 คนก็ได้แต่ลูกสาว แล้วจะทำอย่างไรให้ได้ลูกชายสมใจหมาย ทางทีมงาน Amarin Baby & Kids ได้รวบรวมวิธีการทำลูกชาย ด้วยสูตร และท่าทางต่างๆ มาฝากค่ะ ลองไปดูกันดีกว่าว่าจะมีวิธีการอย่างไรบ้าง

                ทำ ท่าไหนได้ลูกชาย กับ สูตรทำลูกชาย ที่คู่รักต้องลอง!!

                ท่าไหนได้ลูกชาย

                ทำความรู้จักกับตัวอสุจิเพศผู้

                อันดับแรกว่าที่คุณพ่อคุณแม่ต้องเข้าใจกลไกของอสุจิเสียก่อน โดยคุณผู้ผู้ชายจะเป็นคนที่ชี้ชะตาเพศของลูก ส่วนคุณผู้หญิงจะผลิตโครโมโซม x เสมอ ในขณะที่อสุจิของคุณผู้ชายจะเป็นโครโมโซม x หรือไม่ก็ y เพราะฉะนั้นเพศของเด็กขึ้นอยู่กับว่าโครโมโซมจากอสุจิของผู้ชายตัวไหน จะสามารถวิ่งว่ายเข้าไปเจาะในรังไข่ได้ก่อน (โครโมโซม xx จะเป็นเพศหญิง ส่วนโครโมโซม xy จะเป็นเพศชาย)

                ดังนั้น ถ้าอยากจะได้ลูกชาย ก็ต้องเพิ่มความน่าจะเป็นที่โครโมโซม y จะต้องไปให้ถึงรังไข่ได้ก่อน โดยนักวิจัยทางการแพทย์หลายคนเชื่อว่า

                ⇒ บทความแนะนำน่าอ่าน : วิธีทำลูกสาว ไม่ใช่เรื่องยาก ต้องลองสูตรนี้!!!

                ท่าไหนได้ลูกชาย

                Y : คือ ตัวอสุจิเพศผู้ สามารถเคลื่อนตัวได้เร็วกว่าตัวอสุจิเพศเมีย และชื่นชอบความเป็นด่างโดยจะว่ายได้เร็วขึ้น แต่ถ้าเจอความเป็นกรดก็จะทำให้ช้าลง และสามารถตายได้ถ้าเจอความเป็นกรดสูงในช่องคลอด

                ดังนั้นคุณผู้หญิงจึงต้องให้ช่องคลอดมีสภาวะเป็นด่างด้วย เพื่อเอื้ออำนวยให้สเปิร์มเพศผู้ตะลุยว่ายไปถึงรังไข่ก่อนสเปิร์มเพศเมีย จึงจะได้ลูกชาย แล้วจะต้องทำอย่างไรให้ช่องคลอดของคุณผู้หญิงเป็นด่าง?

                วิธีการทำให้ช่องคลอดมีสภาวะเป็นด่าง

                คุณผู้หญิงสามารถทำช่องคลอดให้มีสภาวะที่เป็นด่างได้ โดยการสวนล้างช่องคลอด โดยใช้ โซเดียมไบคาร์บอเนต (ผงฟูที่ใช้ทำเค้ก) ปริมาณ 2 ช้อนโต๊ะ ผสมกันน้ำสะอาด 1 ลิตร ก่อนมีเพศสัมพันธ์ 1 ชั่วโมง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นวิธีการนี้เป็นคำแนะนำที่บอกต่อกันมา ซึ่งทาง Amarin Baby & Kids ไม่แนะนำให้ทำตาม แ เพราะทางการแพทย์ได้ทำการวิจัยมาแล้วและพบว่ามันไม่ได้ผล ทั้งยังมีแต่จะก่อให้เกิดอันตรายอีกด้วย เนื่องจากความเป็นกรดหรือด่างบางชนิดอาจทำให้เกิดอันตรายต่อช่องคลอดได้แถมยังเป็นวีที่แสนลำบากอีกต่างหาก จึงเขียนให้ทราบ และอธิบายให้เข้าใจ เพียงแค่นั้น

                อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิก!

                อ่านต่อ > >”วิธีการเลือกเพศลูกชาย กับเรื่องอาหารการกิน” คลิกหน้า 2

                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                 

                  Tags

                  โรคตับอักเสบ

                  โรคตับอักเสบ ภัยเงียบคร่าชีวิตคนในครอบครัว

                  การไม่มีโรคคือลาภอันประเสริฐของชีวิต เพราะเราต่างก็ยังมีอีกหลายเรื่องให้ได้ทำ และเรียนรู้  ยิ่งกับคนที่มีครอบครัวยิ่งอยากมีชีวิตที่แข็งแรงยืนยาวเท่าที่จะมีได้ ทีมงาน Amarin Baby & Kids จะมาชวนให้ทุกครอบครัวได้ตื่นตัวในการดูแลสุขภาพให้ห่างไกล โรคตับอักเสบ ซึ่งที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันนี้กลายเป็นภัยเงียบคร่าชีวิตผู้คนมากที่สุดอีกโรคหนึ่งเลยค่ะ

                   

                  โรคตับอักเสบ เสียงเตือนจากองค์การอนามัยโลก!

                  เมื่อเร็วๆ นี้ องค์การอนามัยโลก ออกแถลงการณ์เรียกร้องรัฐบาลทั่วโลกรับมือโรคตับอักเสบ อย่างเร่งด่วน ยอดตายสูง ต่อเนื่อง ระบุรายงานใหม่ พบทั่วโลกมีผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ ชนิด B หรือ C มากถึง 325 ล้านคน จนถือเป็นเรื่องท้าทายด้านสาธารณสุขครั้งใหญ่

                  Must Read >> โรคมะเร็งในเด็ก ภัยร้ายที่ไม่ควรมองข้าม

                  เว็บไซต์องค์การอนามัยโลก (WHO) ออกแถลงการณ์เมื่อ 21 เม.ย. เรียกร้องให้รัฐบาลทั่วโลกรับมือกับโรคตับอักเสบ หลัง ข้อมูลใหม่ของ WHO ประจำปี 2017 พบว่า มีประชาชนทั่วโลกจำนวนมากถึง 325 ล้านคน ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ ชนิด B  (HBV) หรือไม่ก็ตับอักเสบ ชนิด C (HCV) โดยตามรายงานของ WHO ยังระบุว่า ผู้คนที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเหล่านี้ ไม่ สามารถเข้าถึงการตรวจสอบว่าตนเองติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ และไม่สามารถเข้าถึงการรักษา จึงเป็นผลทำให้ประชาชน หลายล้านคนที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ ตกอยู่ในความเสี่ยงของการพัฒนาอย่างช้าๆ ไปสู่การป่วยด้วยโรคตับเรื้อรัง มะเร็งตับ และเสียชีวิตในที่สุด

                  ข้อมูลข่าวจาก – ข่าวไทยรัฐ www.thairath.co.th

                  อ่านต่อ >> อันตรายจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ หน้า 2

                   

                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                    พ่อพาลูกฝาแฝด พรากไปจากอกยาย น่าสงสาร! หนูน้อยฝาแฝดร้องไห้จ้า.. ต้องจากยายที่เลี้ยงมาตั้งแต่เกิด

                    พ่อพาลูกฝาแฝด พรากไปจากอกยาย  …ด.ญ.ฝาแฝด 2 คน ถูกพ่อแท้ๆ มารับเอาตัวไป ท่ามกลางเสียงร้องไห้อย่างน่าสงสาร เพราะเด็กน้อยทั้ง 2 ไม่ยินยอมไปจากยายและป้า เนื่องจากความผูกพันที่เลี้ยงกันมาตั้งแต่แบเบาะจนอายุ 7 ขวบ

                     

                    เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2560 โลกโซเชียลได้มีการแชร์โพสต์โดยผู้ใช้งานเฟซบุ๊ก Eggnoid Thanapat Boonaree ซึ่งเผยให้เห็นเหตุการณ์คนกลุ่มหนึ่งกำลังรุมแย่งเด็กหญิงไปจากยาย โดยผู้ใช้งานเฟซบุ๊กดังกล่าวระบุว่า แม่ของเด็กเสียชีวิตตั้งแต่คลอด และเด็กก็อาศัยอยู่กับยายมาตลอดจนถึง 7 ขวบ แต่อยู่ดีๆ พ่อของเด็ก ก็พาตำรวจและทนายมารับตัวเด็กเข้าไปอยู่ที่กรุงเทพฯ ด้วย ซึ่งฝ่ายยายก็ต้องยินยอมให้ไป แต่เด็กกลับร้องไห้ออกมาเพราะไม่อยากไปเพราะไม่คุ้นเคยกับพ่อ ทำให้เด็กหญิงทั้ง 2 ต่างร้องไห้เสียงดังลั่นเป็นที่น่าสงสารอย่างมาก

                    ทั้งนี้ ผู้ใช้งานเฟซบุ๊กรายนี้ ยังโพสต์ด้วยว่า

                    “อยากทราบว่าทนายมีสิทธิมาดึงกระชากเด็กขึ้นรถหรือป่าวค่ะ #ขอคำแนะนำจากท่านที่มีความรู้ด้วยค่ะ คือเด็กไม่ยินยอมที่จะไปกับทางฝ่ายพ่อเลยเพราะไม่มีความผูกพันธ์กัน ทางทนายเราก้อไม่ทราบว่าเค้าเป็นทนายจริงหรือป่าวเพราะเค้าไม่เคยแสดงหลักฐานว่าเค้าเป็นทนายให้ทางเราทราบเลย #และทนายไม่มีทางออกที่ดีกว่านี้หรือคะที่จะมาเอาเด็กไปแต่คุณเป็นทนายกลับดึงกระชากเด็กไปขึ้นรถ เด็กร้องไห้แทบจะตาย แต่พวกคุณไม่สงสารเลยหรอค่ะ #ทั้งที่เหตุเกิดขึ้นที่สถานีตำรวจอุทมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษทำไมทางตำรวจจึงยืนดูเฉยๆไม่ช่วยมาไกล่เกลี่ย หรือให้มาเจรจากันใหม่แต่คุณกลับมองดูเฉยๆ ทางเราได้มอบสิทธิให้ฝ่ายพ่อโดยชอบธรรม เพราะฝ่ายพ่อเด็กบอกว่าถ้าไม่มอบสิทธิให้เค้าแสดงว่าทางเรากีดกัน แต่ทางเรายินยอมให้เด็กไปแต่ต้องไปโดยยินยอมไม่ใช่การบังคับใจ”

                    พ่อพาลูกฝาแฝด พรากไปจากอกยาย

                    ชมคลิป >> เหตุการณ์ พ่อพาตัวเด็กน้อย 2 ฝาแฝดไปจากยายและป้า คลิกหน้า 2

                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                     

                      จะเป็นอย่างไร! เมื่อลูกน้อยในครรภ์ได้กลิ่นควันบุหรี่

                      ภัยของกลิ่นบุหรี่กับทารก …แน่นอนว่าการสูบบุหรี่เป็นอันตรายทั้งสุขภาพของผู้สูบเองและบุคคลใกล้ชิด เพราะผู้สูบบุหรี่ไม่ได้สูบควันบุหรี่เข้าไปทั้งหมด แต่เป็นแค่การสูบควันบุหรี่บางส่วนแล้วพ่นควันบุหรี่เกือบทั้งหมดออกมา ซึ่งอันตรายที่มีจากควันบุหรี่นั้นมีมากมาย ยิ่งถ้าคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์นั้นต้องมาสูดดม หรือเพียงแค่ได้กลิ่นควันบุหรี่แล้วละก็ จะมีผลร้ายแรงต่อทารกในครรภ์จนถึงขั้นทำให้ทารกพิการได้เลยทีเดียว

                      ภัยของกลิ่นบุหรี่กับทารก ด้วยภาพอัลตร้าซาวน์ 4D กับปฏิกิริยาเมื่อทารกในครรภ์ได้กลิ่นบุหรี่

                      ภัยของกลิ่นบุหรี่กับทารก

                      มีผลการวิจัยของ Dr Nadja Reissland จากมหาวิทยาลัยเดอรัม (Durham University) เกี่ยวกับผลกระทบของการสูบบุหรี่ในขณะตั้งครรภ์ พร้อมกับเผย ภาพอัลตราซาวน์ 4 มิติ หรือ 4D ที่แสดงถึงภาพของทารกในครรภ์ที่มีลักษณะการเจริญเติบโต รวมไปถึงการหายใจที่ผิดปกติ และพบว่ามีจำนวนหลายรายถึงขั้นเสียชีวิตภายในครรภ์ไปเลยก็มี

                      จะเกิดอะไรขึ้น หากทารกได้รับควันบุหรี่ตั้งแต่อยู่ในท้อง

                      ทารกที่คลอดออกมาจะมีน้ำหนักตัวน้อยกว่าทารกปกติประมาณ 170 – 200 กรัม ความยาวเส้นรอบศีรษะ และช่วงไหล่มักสั้นกว่าทารกปกติ  และอาจมีความผิดปกติทางระบบประสาท และอาจเป็นโรคหัวใจแต่ กำเนิด เพราะนิโคตินจากบุหรี่  จะทำให้เส้นเลือดบริเวณรกหดตัว และก๊าซคาร์บอนมอนนอกไซด์ทำให้ออกซิเจนที่ไปเลี้ยงทารกลดลง ทารกจะได้รับทั้งเลือดและออกซิเจนน้อยกว่าปกติ

                      ยิ่งไปกว่านั้น ทารกอาจมีโครงสร้างของสมองไม่สมบูรณ์ อ่อนแอ และมีปัญหาในพัฒนาการต่อไป ส่วนปอดของทารกจะไม่สมบูรณ์ เพราะสารพิษในบุหรี่จะไปทำลายปอด โดยเฉพาะในช่วง 3 เดือนแรก ซึ่งเป็นช่วงที่มีการพัฒนาของปอด หนำซ้ำพิษของบุหรี่ยังส่งผลให้ทารกมีโอกาสเสี่ยงเกิดโรคไหลตายในเด็กสูงมากขึ้น ซึ่งในปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุของโรคนี้

                      อย่างไรก็ตาม รกคือสายสัมพันธ์ระหว่างแม่และทารกในครรภ์ หากแม่รับประทานอาหารที่ดี มีจิตใจเบิกบานแจ่มใส และได้รับแต่อากาศที่บริสุทธิ์ตลอดอายุครรภ์ เชื่อได้ว่าลูกน้อยจะต้องมีสุขภาพกายและสุขภาพใจที่ดีอย่างแน่นอน

                      แต่หากคุณแม่ตั้งครรภ์ยังคงสูบบุหรี่หรือได้รับควันบุหรี่อย่างต่อเนื่องจากคน ใกล้ชิด โดยเฉพาะคุณพ่อ ลูกก็มีโอกาสเสี่ยงที่จะเจ็บป่วยตั้งแต่ในครรภ์ และอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาวได้ เพราะสารพิษในควันบุหรี่จะสามารถถูกดูดซึมเข้าสู่ทารกในครรภ์โดยผ่านทางรกได้

                      ♥ บทความน่าสนใจ ควรอ่าน : พัฒนาการทารกในครรภ์ 1-9 เดือน (มีคลิป)

                       


                      ขอบคุณข้อมูลข่าวจาก : www2.manager.co.th

                      คลิกดู “ภาพอัลตร้าซาวน์ 4D ของลูกน้อยที่แม่สูบบุหรี่ตอนตั้งครรภ์ และแม่ไม่สูบบุหรี่” หน้า 2

                      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                       

                        ไข้หลังคลอด

                        ไข้หลังคลอด สัญญาณร้ายที่ต้องพบแพทย์ทันที!!

                        ไข้หลังคลอด สามารถเกิดได้กับคุณแม่ทุกคน เพราะช่วงหลังคลอดร่างกายต้องการการฟื้นฟูมากเป็นพิเศษ เนื่องจากสูญเสียสารอาหารที่ถูกดึงไปใช้สร้างทารก เสียพลังงานในการคลอด เสียเลือดระหว่างคลอด และการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนต่าง ๆ มากมาย ร่างกายคุณแม่จึงอ่อนแอมากกว่าปกติ อาจทำให้ป่วยและเกิดโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ ได้ง่าย เพื่อให้กลับมาเป็นคุณแม่วัยสาวสุขภาพแข็งแรงเหมือนเดิม วันนี้เรามีข้อมูลดี ๆ เกี่ยวกับอาการ ไข้หลังคลอด ที่เป็นสัญญาณเตือนให้ต้องรีบพบแพทย์ทันที ก่อนที่จะสายเกินไปมาฝากค่ะ

                        ไข้หลังคลอด เป็นอย่างไร และอันตรายแค่ไหน

                        อาการไข้หลังคลอดเกิดขึ้นได้กับคุณแม่ทุกคน เนื่องจากอวัยวะภายในถูกกระทบกระเทือนจากการคลอด ทำให้เกิดการอักเสบหรือระบม ซึ่งอาการอาจเริ่มตั้งแต่เมื่อยเนื้อตัว ปวดตัว มีไข้ต่ำ ๆ ซึ่งหากมีอาการไม่มาก จะสามารถหายเองใน 1-2 วัน แต่หากอวัยวะภายในหลายส่วนเกิดการอักเสบและติดเชื้อ อาจมีไข้สูงมากกว่า 38 องศาเซลเซียส ต่อเนื่องหลายวัน จนเกิดภาวะแทรกซ้อน และเป็นอันตรายถึงชีวิต ซึ่งอาการไข้หลังคลอดเกิดได้จากหลายสาเหตุ

                        1. ไข้หลังคลอด จากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน

                        คุณแม่ตั้งครรภ์จะมีการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนกับโปรเจสเตอโรนเพิ่มสูงขึ้น จนกระทั่งหลังจากคลอดแล้ว ฮอร์โมน 2 ตัวนี้จะลดต่ำลง จึงทำให้ร่างกายปรับตัวไม่ทัน เป็นเหตุให้เกิดอาการไข้ หนาวสั่นได้ในช่วง 1-2 วันหลังคลอด ฮอร์โมนจะใช้เวลาปรับสภาพประมาณ 6 สัปดาห์ จึงจะกลับมาเป็นปกติ แต่หากไข้ยังไม่ลดลง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อวินิจฉัยต่อไป

                        1. ไข้หลังคลอดจากเยื่อบุโพรงมดลูกอักเสบ

                        เยื่อบุโพรงมดลูกอักเสบ เกิดจากการติดเชื้อภายในมดลูก ซึ่งสามารถติดเชื้อได้ทั้งในช่วงตั้งครรภ์ ระหว่างคลอด และหลังคลอด เช่น การผ่าคลอด ภาวะคลอดยาก ถุงน้ำคร่ำแตกก่อนจะคลอดลูกเป็นเวลานาน โดยจะมีอาการต่าง ๆ หลังติดเชื้อมาแล้ว 3-4 วัน เช่น ไข้สูง 38-39 องศาเซลเซียส อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ปวดท้องน้อย เจ็บช่องคลอด ตกขาวมีสีและกลิ่นผิดปกติคล้ายหนอง หากไม่ได้รับการรักษา หรือปล่อยไว้นาน อาจเกิดอาการแทรกซ้อนอื่น ๆ ซึ่งเป็นผลข้างเคียงได้

                        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                         

                        อ่านต่อ อาการไข้หลังคลอด จากสาเหตุอื่นๆ คลิกหน้า 2

                          แม่จ๋า!! ลูกคันแค่ไหนเมื่อถูกยุงกัด

                          ธรรมชาติผิวของลูกน้อยมีทั้งความอ่อนโยนและบอบบาง  และบางครั้งอาจเกิดการคัน ระคายเคืองจากยุง หรือมดกัดและแมลงต่างๆ เพื่อลดปัญหาเรื่องผิวที่จะตามมา คุณแม่สามารถดูแลผิวลูกง่ายๆ ให้สุขภาพดีได้ นั่นคือ เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่อ่อนโยนต่อผิวลูกน้อย รวมทั้งสามารถปกป้องผิวลูกจากอาการคัน ระคายเคือง อ่อนโยนต่อผิว ช่วยดูแลผิว เพื่อปกป้องการเกิดความระคายเคืองกับผิวของลูก ซึ่งผลิตภัณฑ์นั้นๆ ต้องมีส่วนผสมที่อ่อนโยน ปลอดภัยต่อผิวบอบบางของลูก และไม่แสบร้อน

                          วิธีดูแลผิวที่บอบบางของลูก
                          แม่จ๋ารู้ไหม? เด็กน้อยวัยขวบแรก มีผิวหนังที่บอบบางกว่าผู้ใหญ่ ถึง 3 เท่า ดังนั้นผิวของหนูจึงไวต่อสิ่งเร้าภายนอกเป็นอย่างมาก และยังไม่สามารถปรับตัวให้รับมือกับเชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อไวรัสต่างๆ ได้ แต่เมื่อโตขึ้น ผิวของหนูก็จะปรับสภาพกับสภาวะภายนอกได้เอง

                          ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ต้องใส่ใจดูแลผิวหนูให้มาก เพราะถ้าไม่ดูแล หรือดูแลป้องกันไม่ดีแล้วปัญหาผิวหนังนั้นอาจจะลุกลาม เป็นผด ผื่นแพ้ และโดยทั่วไปเมื่อเด็กๆ อย่างหนูโดนแมลงกัด เช่น มด หรือยุง จะทำให้เกิดเป็นตุ่มบวมแดง และมีอาการคันร่วมด้วย ถ้าอาการแพ้รุนแรงก็อาจเห็นเป็นตุ่มใสได้ ซึ่งนั้นเกิดจากการแยกตัวของผิวหนัง ชั้นบน แต่ถ้ามีอาการหนังหลุดและมีน้ำใสๆ ออกมาด้วย แม่จ๋าก็ต้องคอยระวังเรื่องการติดเชื้อแทรกซ้อนจากเชื้อแบคทีเรีย และรักษาด้วยการทายาฆ่าเชื้อแบคทีเรียด้วยนะจ๊ะ

                          โดยทั่วไปหลังจากถูกยุงกัดจะเกิดเป็นตุ่มสีแดงมีอาการคัน ซึ่งอาการคันนี้อันเนื่องมากจากเมื่อยุงกัดจะปล่อยน้ำลายออกมาซึ่งในน้ำลายนี้เองมีสารโปรตีนที่เป็นสาเหตุของผื่นคันและการแพ้ และหากเด็กคนไหนมีอาการแพ้ยุงจริงๆ หลังถูกกัดจะพบตุ่มนูนแดงคงอยู่นานหลายวัน หรือพบตุ่มนูนแดงขนาดใหญ่ (บางครั้งใหญ่เกิน 5 เซนติเมตร) ตุ่มน้ำพอง จ้ำเลือด ในบริเวณที่โดนกัด เด็กบางคนอาจมีผื่นลมพิษทั่วตัวหรือลมพิษชนิดลึกร่วมกับมีอาการหมดสติได้ แต่ส่วนใหญ่ที่มีปัญหาคือมีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนจากการที่หนูไปเผลอแกะเกาและมีรอยดำตามมาได้บ่อยเลยจ้ะ

                          เมื่อโดนแมลงกัดต่อยไปแล้ว สิ่งที่พ่อแม่ต้องระวังคือเรื่อง การติดเชื้อแทรกซ้อนจากเชื้อแบคทีเรีย การรักษาต้องทายา และรักษาความสะอาดให้ดีที่สุด

                          วิธีการป้องกันลูกจากการถูกยุงกัดเป็นเรื่องสำคัญ แม่จ๋าควรหลีกเลี่ยงที่จะพาหนูไปในสถานที่ซึ่งมียุงมาก หรือในกรณีที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ควรใส่เสื้อแขนยาว ขายาว และทายากันยุงให้หนูก็จะลดโอกาสเกิดผื่นได้มากจ้ะ

                          ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนและเหมาะกับผิวเด็ก
                          การเลือกผลิตภัณฑ์ในการดูแลผิวลูกก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องสำคัญ เพราะผิวของหนูจะมีความอ่อนโยนและบอบบางกว่าผู้ใหญ่มาก ดังนั้น การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความอ่อนโยนต่อผิวลูกเป็นพิเศษ และไม่แสบร้อน ไม่สร้างความระคายเคืองให้แก่ผิว เช่น ยาทากันยุง ควรจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ปลอดสาร DEET อ่อนโยนกับผิว กลิ่นไม่ฉุน ปราศจากสารเคมี Alcohol และน้ำหอม 

                          ยาหรือยาหม่องบรรเทาแมลงกัดต่อยคุณพ่อคุณแม่สามารถเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ยา หรือยาหม่อง เพื่อใช้ทาผิว และรักษาอาการคันของลูกน้อยอันเนื่องจากการถูกแมลงสัตว์กัดต่อยได้ และที่สำคัญควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน ไม่แสบร้อนต่อผิว มีส่วนผสมจากธรรมชาติ ไม่ควรมีกลิ่นฉุน ปลอดภัยกับผิวบอบบางของลูก หรือแม้ผิวแพ้ง่าย

                          ผิวที่บอบบางของลูกจะใสและเนียนนุ่ม รวมทั้งได้รับการปกป้องให้แข็งแรงอยู่เสมอ เพียงแค่คุณพ่อคุณแม่ใส่ใจดูแลและเลือกผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการทดสอบแล้วว่าปลอดภัยต่อผิวลูก ผิวที่สุขภาพดีเป็นอีกหนึ่งปัจจัยในการส่งเสริมพัฒนาการที่ดี ช่วยให้ลูกอารมณ์ดี และสมาธิดี และพร้อมในการเรียนรู้ สิ่งใหม่ๆ และมีพัฒนาการที่ดีสมวัย

                            ท่าโยคะ หลังลูกหย่านม

                            7 ท่าโยคะ หลังลูกหย่านม ช่วยเต้านมแม่หายเหี่ยวกลับมาเต่งตึงอีกครั้ง

                            ผู้หญิงเราตั้งแต่รู้ตัวว่ากำลังจะเป็นแม่คน จากที่รักสวยรักงามกลัวว่าหุ่นเสีย ผิวแตกลาย ก็กลายเป็นคนที่ยอมเสียสละเพื่อลูก ส่วนเรื่องสวย หยุดไว้ก่อนรอได้ ขอแค่ลูกแข็งแรงสมบูรณ์เป็นพอใจ ยิ่งพอลูกคลอดมา มีคนบอกว่าให้ลูกดูดนมจากเต้าแม่นานๆ ระวังนมเหี่ยว นมหย่อนยาน!!   ทีมงาน Amarin Baby & Kids  จึงมีท่าโยคะ หลังลูกหย่านม ช่วยเต้านมแม่กลับมาเต่งตึง มาฝากกันค่ะ

                             

                            ท่าโยคะ หลังลูกหย่านม ช่วยเต้านมแม่หายเหี่ยว ได้จริงหรือ?

                            หลังจากที่ลูกกินนมแม่มาได้ 6 เดือน ถึง 1 ขวบ (หรือมากกว่านี้ยิ่งดี) ก็เริ่มจะมีคุณแม่หลายคนกำลังเข้าสู่ช่วงเวลาให้ลูกหย่านมแม่ แล้วเตรียมลูกให้พร้อมในทักษะด้านอื่นๆ ที่สำคัญกับช่วงวัยของลูกต่อไป

                            แต่ระหว่างที่ลูกเริ่มถอยห่างจะเต้านมแม่ได้แล้ว ก็เป็นช่วงเวลาที่คุณแม่จะกลับมาฟิตสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงมากยิ่งขึ้น เพื่อที่จะได้มีแรงพลังในการดูแลลูกในทุกๆ วัน จากหุ่นที่ยังอวบอั๋น พุงที่หน้าท้องก็ยังไม่กระชับ ส่วนหน้าอกเต้านมทั้งสองข้างก็ยังเหี่ยว หย่อนๆ ยานๆ ไม่กระชับเต่งตึงสักเท่าไหร่ เวลาใส่เสื้อผ้าก็ดูไม่สวยไม่งามเหมือนกับคนอื่นเขา

                             

                            Must Read >> หย่านมแม่ เมื่อไหร่? ยังไงดี?

                             

                             

                            เอาล่ะค่ะ ได้เวลาที่แม่หลังหย่านมลูก จะเรียกคืนหุ่นที่ฟิตแอนด์เฟิร์มอีกครั้ง ยิ่งโดยเฉพาะตรงหน้าอกหน้าใจ ที่ต้องเรียกความมั่นใจ ให้สามีได้ตะลึง และเรียกที่รักจ๋ากันทุกคืน แม่ๆ อย่ารอช้า เพราะโยคะเฉพาะท่า ช่วยคุณแม่ได้ค่ะ

                            ประโยชน์ของโยคะ คือ ช่วยให้เลือดลมภายในร่างกายไหลเวียนไปเลี้ยงอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ดีมากขึ้น โยคะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับข้อพับ ข้อต่อ ข้อเอ็นของร่างกายให้แข็งแรงมากขึ้น โยคะช่วยให้ผิวหนัง รูปร่าง อวัยวะภายนอกอย่างสะโพก ต้นขา เต้านมกระชับเข้ารูปมากขึ้น ที่สำคัญโยคะช่วยให้มีสมาธิ ผ่อนคลายจากความเครียดด้วยค่ะ

                            อ่านต่อ >> 7 ท่าโยคะ ช่วยเต้านมแม่เด้งเต่งตึง หน้า 2

                             

                            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                              สามีนอกใจตอนตั้งครรภ์ จะทำให้ โชคร้าย ทำอะไรไม่เจริญจริงหรือ?

                              สามีนอกใจตอนตั้งครรภ์ …ปัญหานี้อาจเป็นเพราะเมื่อคุณแม่ตั้งท้อง ทำให้ความต้องการทางเพศลดลง และกลัวเป็นอันตรายกับลูกในท้อง ทำให้ไม่ยอมร่วมหลับนอนกับสามีดังเช่นเคย

                              ทำให้ผู้ชายเมื่อไม่ได้รับการตอบสนองภายในบ้านหรือได้รับน้อยกว่าที่ควรได้รับ จะเกิดอาการ อดอยากปากแห้งจนต้องไปพึ่ง ‘หน่วยบรรเทาทุกข์’ นอกบ้านนั่นเอง

                              สาเหตุที่สถาบันครอบครัวมีปัญหาแตกแยกหย่าร้างสูง เนื่องมาจากขาดคุณสมบัติหลักๆ 4 ข้อด้วยกัน1

                              สามีนอกใจตอนตั้งครรภ์

                              1. ขาดความซื่อสัตย์ จริงใจต่อกัน ในช่วงแรกรักต่างก็รักและภักดีต่อกัน พอมาเป็นสถาบันครอบครัว ความรักนั้นจืดจางลงไปตามวันเวลา ต่างฝ่ายต่างมีเรื่องซ่อนเร้นระหว่างกัน แทนที่จะรักเดียวใจเดียว ก็เป็นรักคนเดียว แต่ว่ามีคนอื่นสำรองเอาไว้ มนุษย์เรานั้นทันทีที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อกันเค้าลางแห่งความหายนะมันก็เริ่มต้นแล้ว
                              2. ขาดความอดทนที่จะร่วมสุขร่วมทุกข์ด้วยกัน พอแต่งงานอยู่กินด้วยกัน แล้วมีปัญหาชีวิตคู่ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาที่เกิดจากสาเหตุใดก็ตาม อยู่ร่วมกันแล้วมีแต่ความทุกข์ มีแต่ปัญหา มีแต่ความยุ่งเหยิงวุ่นวายใจ ซึ่งในขณะที่ใช้ชีวิตโสดไม่เป็นอย่างนั้นก็เริ่มรับไม่ได้ พอรับไม่ได้ แล้วสั่งสมมากเข้า ก็เกินขีดอดทน สุดท้ายก็เลิกร้างห่างเหินกันไป ต่างคนต่างไปทางใครทางมัน
                              3. ขาดการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน เมื่ออยู่ด้วยกันแล้วพอมีปัญหาแทนที่จะยืดหยุ่น แทนที่จะมีการปรับตัว แทนที่จะมีการให้โอกาส ต่างฝ่ายต่างก็ถือเอาอัตตาหรือตัวตนของตัวเองเป็นใหญ่ ไม่ยอมเรียนรู้ไม่ยอมฟังกัน เมื่อไม่ยอมยืดหยุ่น ต่างคนก็ต้องต่างไป ทางใครทางมันเช่นเดียวกัน
                              4. ขาดการเข้าใจในการสื่อสารระหว่างกันและกัน เมื่อปัญหา ไม่ยอมเจรจาสันติภาพ ใช้วิธีนิ่ง ใช้วิธีนินทา ใช้วิธีสร้างโลกของตัวเองซ้อนขึ้นมาในโลกของครอบครัว เมื่อไม่สื่อสารกัน ปัญหาก็ยังคงเป็นปัญหา สุดท้ายเมื่อเหตุการณ์รุนแรงถึงที่สุด ก็ต้องเลิกรากันไป หลายคนที่เลิกร้างกันไป ไม่ใช่หมายความว่าไม่รักกัน แต่ขาดการเจรจาหรือขาดการสื่อสารที่ดีระหว่างกัน

                              สามีนอกใจตอนตั้งครรภ์ จะทำให้ โชคร้าย ทำอะไรไม่เจริญจริงหรือ?

                              การที่ สามีนอกใจตอนตั้งครรภ์ จะทำให้ โชคร้าย ทำอะไรไม่เจริญจริงหรือไม่นั้น ลองไปดูผลกรรมที่ทางพระพุทธศาสนาได้สอนไว้ เกี่ยวกับศีลข้อ 3 กาเมสุมิจฉาจาร  หมายถึง ละเว้นจากการประพฤติผิดในกาม ซึ่งการที่จะผิดศีลข้อ 3 หรือ ศีลในข้อนี้ขาดนั้น เราวัดจากองค์ประกอบ 4 ต่อไปนี้ 1. หญิงหรือชายที่ไม่ควรละเมิด 2. มีจิตคิดจะเสพเมถุน (เสพกาม) 3. ประกอบกิจในการเสพเมถุน (กอด จูบ ลูบ คลำ) 4. ยังอวัยวะเพศให้ถึงกัน เมื่อดำเนินการครบองค์ประกอบดังกล่าว ศีลข้อ 3 นั้นก็ได้ขาดทันที

                              โดยส่วนใหญ่การกระทำผิดในข้อนี้ คนส่วนมากมักจะนึกถึงการประพฤติผิดในกามหรือการล่วงประเวณี อันเป็นการกระทำลามก ซึ่งบัณฑิตทั้งหลายพึงติเตียน นั้นคือ การทำผิดลูกเมียเขา ซึ่งเป็นความประพฤติที่สังคมทั่วไปไม่ยอมรับ ผู้ที่กระทำจึงต้องมีพฤติกรรมที่ปิดบังและซ่อนเร้น

                              อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิก!

                              อ่านต่อ >> “ผลกรรมที่ สามีนอกใจตอนตั้งครรภ์ จะได้รับในภายหลังการเกิด” คลิกหน้า 2

                              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                               

                                เทคนิค ลดลูกป่วย จากอากาศร้อน

                                10 เทคนิค ลดลูกป่วย จากอากาศร้อน

                                พอเข้าฤดูร้อน ก็ต้องทนร้อนอบอ้าวแสบผิว เหงื่อไหลไคลย้อยกันไปจนถึงกลางๆ เดือนพฤษภาคมนู่นเลยค่ะ แต่กว่าจะถึงฤดูฝนเย็นชุ่มช่ำกาย สบายใจ เรามาเตรียมสุขภาพของเด็กๆ และทุกคนให้พร้อมรับมือกับอากาศที่ร้อนปรอทแตกของบ้านเรากันก่อนดีกว่า ทีมงาน Amarin Baby & Kids มี เทคนิค ลดลูกป่วย จากอากาศร้อน มาบอกให้ทุกครอบครัวทราบกันค่ะ

                                 

                                เทคนิค ลดลูกป่วย จากอากาศร้อน

                                คุณพ่อคุณแม่เคยสงสัยกันบ้างไหมว่า ในฤดูร้อนตอนนี้เกือบจะ 365 วันเลยก็ว่าได้ที่คนไทยจะได้สัมผัสกับหน้าร้อนมากเสียกว่าฤดูฝน และฤดูหนาว ยิ่งจังหวัดแถบภาคกลางจะได้เจอกับหน้าร้อนมากกว่าหน้าฝน และหน้าหนาวซะเป็นส่วนมาก

                                ซึ่งความร้อนจากอากาศทำให้ไม่ว่าจะผู้ใหญ่ คนชรา และเด็กเล็ก เป็นขอถอยหลบอยู่แต่ในร่มดีเสียกว่าออกไปข้างนอกแล้ว เหงื่อออกเหนียวเหนอะหนะไม่สบายตัว ยิ่งโดยเฉพาะกับเด็กเล็กๆ นี่ป่วยไข้จากอากาศร้อนได้ง่ายมาก เนื่องจากภูมิคุ้ม ร่างกายยังไม่แข็งแรงพอที่จะต่อสู้กับโรคภัยที่แฝงมากับอากาศร้อน

                                และอย่างที่ทุกคนสงสัยค่ะว่า ความร้อนในอากาศแบบไหนที่เรียกว่า ร้อนพอทนได้ หรือ ร้อนแบบทนไม่ได้ ต้องขออาบน้ำคลายร้อนระหว่างวัน

                                กรมอุตุนิยมวิทยาได้แบ่งเกณฑ์อากาศร้อนออกมา ดังนี้ คือ

                                1. อากาศร้อน ที่จะมีอุณหภูมิของวันตั้งแต่ 35.0 – 39.9 องศาเซลเซียส
                                2. อากาศร้อนจัด ที่จะมีอุณหภูมิของวันตั้งแต่ 40 องศาเซลเซียสขึ้นไป

                                แบบนี้พอจะเข้าใจกันแล้วนะคะว่าเวลาที่เห็นข่าวพยากรณ์อากาศแจ้งสภาพอากาศให้ทราบว่าวันนี้ พรุ่งนี้ อุณหภูมิจะสูง จะลดลงประมาณเท่าไหร่ เพราะหากพ่อแม่รู้สภาพอากาศล่วงหน้า จะช่วยให้ง่ายต่อการวางแผนพาลูกๆ ออกไปทำกิจกรรมนอกบ้าน ว่าจะต้องเตรียมเอาร่ม หมวก น้ำ เตรียมยาเพื่อลูกป่วยเพราะอากาศติดใส่กระเป๋าไปด้วยหรือเปล่า

                                อ่านต่อ >> 10 วิธีปกป้องลูกจากอากาศร้อน ช่วยลดเจ็บป่วย หน้า 2 

                                 

                                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                  จิ๋มเด็ก

                                  จิ๋มเด็ก จู๋เด็ก ทำไมลูกถึงชอบจับเล่น?

                                   

                                  เด็กเล็กๆ นี่ทำอะไรก็ดูน่ารักน่าชังไม่ซะหมด ย่า ยาย ป้า น้า นี่เชียร์สุดใจเวลาเห็นลูกหลานทำท่าทะเล้นด้วยความเดียงสา แต่บางทีความไม่รู้เรื่อง อาจจะยิ่งทำให้เด็กสนใจในเรื่องไม่เป็นเรื่อง เอ๊ะ! หรืออาจเพราะพัฒนาการตามวัยของลูกกันนะ! ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีเรื่องสงสัยที่แม่ถามกันเข้ามาว่าทำไม๊ ทำไม จิ๋มเด็ก จู๋เด็ก ลูกถึงชอบจับของตัวเองกันจังเลย

                                   

                                  จิ๋มเด็ก จู๋เด็ก ทำไมลูกถึงชอบจับเล่น?

                                  ความสุขจากการสัมผัสส่วนสงวนนั้นถือเป็นเรื่องปกติสำหรับเด็กทุกคน ดร.ลิซ่านอลล์ ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาพัฒนาการเด็กให้อธิบาย เมื่อความสุขอยู่แค่เอื้อมและเป็นของเขาเองแท้ๆ ทำไมเด็กน้อยจึงไม่อยากสำรวจมันล่ะ ความสนอกสนใจอวัยวะเพศก็ไม่ต่างจากการที่ลูกสนใจนิ้วมือ ใบหู และนิ้วหัวแม่เท้าของตัวเอง เพราะมันสอนให้เขารู้จักร่างกายตัวเองเหมือนๆ กัน

                                   

                                  Must Read >> เช็กพัฒนาการตามวัยของลูก! กับคู่มือสำหรับส่งเสริมพัฒนาการเด็กแรกเกิด -5 ปี

                                   

                                  อันที่จริงสัญชาตญาณการสำรวจอันเป็นธรรมชาติของเด็กทั้งชายและหญิงนี้ เป็นเรื่องธรรมดาที่คุณพ่อคุณแม่ไม่จำเป็นต้องรู้สึกขวยเขินหรือพยายามหาทางให้เขาหยุดสัมผัสมัน (เพียงตัดเล็บของลูกให้สั้นเข้าไว้ จะได้ไม่ไปสะกิด ขีดข่วนเอาจุดบอบบางนั้นจนเกิดเป็นแผลจะดีกว่า) หากคุณไม่สบายใจจริงๆ แม้จะรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องควรวิตก ยิ่งโดยเฉพาะเวลาที่มีเพื่อนหรือญาติโยมมาเยี่ยมละก็ ลองใช้เทคนิคเบี่ยงเบนความสนใจลูกไม่ให้จับสัมผัสอวัยวะเพศของตัวเอง ด้วยวิธีเหล่านี้ค่ะ

                                  อ่านต่อ >> วิธีเบี่ยงเบนให้ลูกสนใจจับจิ๋มและจู๋ หน้า 2

                                   

                                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                    วิธีกระตุ้นให้ลูกดิ้น

                                    10 วิธีกระตุ้นให้ลูกดิ้น ต้องเล่นกับลูกในท้อง

                                    พัฒนาการของทารกน้อยในครรภ์คุณแม่เป็นเรื่องสำคัญมากค่ะ พัฒนาการลูกที่ดีไม่ได้อยู่ขึ้นอยู่กับสารอาหารที่ได้รับจากแม่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังต้องมาจากการใช้ วิธีกระตุ้นให้ลูกดิ้น อย่างเหมาะสม ทีมงาน Amarin Baby & Kids จะชวนคุณแม่ท้องทุกคนให้มาเล่นกับลูกในท้อง เพื่อเป็นการส่งเสริมพัฒนาการที่ดีให้ลูกตั้งแต่ในครรภ์กันค่ะ

                                     

                                    วิธีกระตุ้นให้ลูกดิ้น

                                    มีหลายบทความในเว็บไซต์ต่างประเทศที่มักพูดว่า เด็กๆ เล่นได้ตั้งแต่อยู่ในท้องแล้ว จนอดสงสัยไม่ได้ว่าเป็นเช่นนั้นจริงหรือ ถ้าเล่นได้พวกเขาเล่นอะไรบ้าง แล้วเราจะเล่นกับลูกได้ไหม ซึ่งรองศาสตราจารย์ นายแพทย์ตวงสิทธิ์ วัฒกนารา สูตินรีแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญเวชศาสตร์มารดาและทารกในครรภ์ โรงพยาบาลศิริราช จะมาไขข้อข้องใจให้กระจ่าง ทั้งข้อเท็จจริงต่างๆ และความเชื่อผิดๆ ที่แม่ท้องห้ามพลาด!

                                    “การขยับตัวของเด็กคือการตอบสนองของระบบประสาทขั้นพื้นฐาน”

                                    หากการขยับตัวไปมาของเด็กคือการเล่น ก็คงเป็นการเปรียบเปรยให้มีสีสันในวงสนทนาเท่านั้น เพราะในทางการแพทย์ การขยับตัวของเด็กคือการตอบสนองของระบบประสาทขั้นพื้นฐานตามธรรมชาติ เด็กจะเริ่มบิดตัวไปมาตอนอายุ 8 สัปดาห์ (ขนาดตัวประมาณ 1.5 เซ็นติเมตร เท่าเมล็ดถั่ว) ซึ่งเป็นการขยับแบบไร้จุดหมาย ไร้ทิศทาง พอสัปดาห์ที่ 11 แขนและขาเริ่มงอก เด็กก็จะเริ่มป่ายไปป่ายมาแบบไร้จุดหมายเช่นเดียวกัน ไม่ได้มีการตอบสนองต่อสิ่งเร้าหรือสิ่งกระตุ้นจากภายนอกใดๆ ทั้งสิ้น

                                     

                                    “เด็กในครรภ์สามารถตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายนอกได้แค่แสงและเสียงเท่านั้น”

                                    มีอยู่สองอย่างที่เด็กในครรภ์สามารถตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นภายนอกได้ ได้แก่ ตากับหู โดยเด็กจะเริ่มมองเห็นเมื่ออายุ 27 สัปดาห์ ส่วนหูจะเริ่มได้ยินเมื่ออายุ 30 สัปดาห์ สิ่งที่ทำให้เราทราบว่าเขามีการตอบสนองนั้นก็โดยการใช้ไฟฉายส่อง เมื่อภายในท้องสว่างขึ้น เด็กก็ตื่น เมื่อตื่นก็ขยับตัว เมื่อขยับตัวหัวใจก็จะเต้นเร็วขึ้น ส่วนการได้ยินเสียงก็จะใช้เสียงความถี่ต่ำกระตุ้นสั้นๆ แล้ววัดอัตราการเต้นของหัวใจเช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า เด็กในครรภ์สามารถตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายนอกได้แค่แสงและเสียงเท่านั้น แต่คำว่าตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นไม่ได้หมายความว่า เมื่อเขาถูกกระตุ้นแล้วเขาจะมีพัฒนาการที่ดี ทั้งในแง่สติปัญญาและร่างกาย

                                     

                                    “การกระตุ้นเด็กต้องไม่ทำพร่ำเพรื่อ”

                                    มีการนำเสนอเนื้อหามากมายว่าเราสามารถเสริมสร้างความฉลาดของลูกได้ตั้งแต่ในท้อง เสนอแนะให้คุณแม่คอยกระตุ้นลูกในท้องด้วยวิธีการต่างๆ ด้วยอาหารเสริมบ้าง การฟังเพลงคลาสสิคบ้าง และอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งเรื่องเหล่านี้ไม่เคยได้รับการพิสูจน์มาก่อนว่าได้ผลจริงเลย

                                    การกระตุ้นเด็กในท้องมีจุดประสงค์เดียวเท่านั้นคือ ตรวจดูว่าลูกน้อยยังคงปลอดภัยอยู่ และมักจะกระตุ้นในคุณแม่ท้องที่มีความเสี่ยง เช่น เป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง อายุมาก หรือมีโรคต่างๆ ที่ส่งผลต่อสุขภาพของแม่และเด็ก เหตุที่ต้องคอยกระตุ้นเด็กกลุ่มนี้เป็นพิเศษเพราะหลอดเลือดของแม่ที่คอยส่งออกซิเจนและอาหารให้ลูกมักตีบ และจำเป็นต้องคลอดเร็วกว่าปกติ มิฉะนั้นจะเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้

                                    วิธีการกระตุ้นก็คือใช้แสงหรือเสียงเพื่อเช็คว่าหัวใจยังเต้นปกติไหมดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น และไม่ทำพร่ำเพรื่อเด็ดขาด เพราะถือหลักการที่ว่า ในท้องควรจะต้องมืดและเงียบ ซึ่งถ้าไม่มีสิ่งใดมากระตุ้นเด็กๆเลย เขาก็จะตื่น 2 ชั่วโมง หลับ 2 ชั่วโมง เป็นวงจรเช่นนี้ไปเรื่อยๆ แม้กระทั่งหลังคลอดแล้วก็ตาม

                                    สรุปแล้วการพยายามจะเปิดเพลงให้ลูกฟัง หรือพยายามเอาไฟส่องด้วยจุดประสงค์เพื่อกระตุ้นระบบประสาทให้เจริญเร็วกว่าปกตินั้นคือความฝัน โดยเฉพาะการเปิดเพลงคลาสสิคเพื่อหวังผลให้ลูกฉลาดและอัจฉริยะกว่าเด็กอื่นนั้นไม่เป็นความจริงเลย ขอย้ำว่า ไม่เคยมีใครพิสูจน์ได้ว่าเด็กคนที่ฟังเพลงคลาสสิคตั้งแต่อยู่ในท้องกับเด็กที่ไม่ได้ฟังเลย เมื่อคลอดออกมาแล้วความฉลาดจะแตกต่างกัน แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่เคยมีใครพิสูจน์ได้อีกเหมือนกันว่าเปิดเพลงให้ลูกฟังแล้วแล้วลูกจะโง่ลง ดังนั้น ถ้าการฟังเพลงหรือใช้การกระตุ้นด้วยวิธีอื่นๆแล้วลูกฉลาดได้ผลจริงๆ ก็ต้องบรรจุเป็นมาตรฐานทางการแพทย์แล้ว

                                    สิ่งสำคัญเหนืออื่นใด ขอให้คุณแม่ฟังเพลงเพราะชอบฟัง ฟังแล้วมีความสุข หรือช่วยผ่อนคลาย แต่ไม่ใช่เพราะเหตุผลอื่น เพราะมันไม่ได้ผล และข้อควรระวังคือไม่ควรนำหูฟังหรือลำโพงมาจ่อใกล้ๆท้อง เพราะจะทำให้เด็กตกใจและรบกวนเขาได้

                                    อ่านต่อ >> แม่กินโอเมก้า-3 จะช่วยให้ลูกในท้องฉลาดไหม หน้า 2

                                     

                                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่