ทำเด็กหลอดแก้ว

ประสบการณ์การเก็บไข่ ทำเด็กหลอดแก้ว IVF

Alternative Textaccount_circle
event
ทำเด็กหลอดแก้ว
ทำเด็กหลอดแก้ว

สำหรับคุณพ่อ คุณแม่ที่มีบุตรยาก และอยากประสบความสำเร็จที่จะมีลูก สำหรับบทความนี้ Amarin Baby & Kids ขอนำเสนอประสบการณ์ของว่าที่คุณแม่ ในการเก็บไข่ ทำเด็กหลอดแก้ว IVF ที่โรงพยาบาลศิริราช พร้อมอัพเดตอาการ ค่าใช้จ่ายในการทำเด็กหลอดแก้ว และวิธีปฏิบัติ

(more…)

ใหม่ !!! นมโฟร์โมสต์ยูเอชที รสจืด นมโคแท้ 100% เพิ่มปริมาณเป็น 200 มล.

event

นมโฟร์โมสต์ยูเอชที ความคุ้มค่าเพื่อลูกน้อย …

ใหม่ !!! นมโฟร์โมสต์ยูเอชที รสจืด นมโคแท้ 100% มาตรฐานการผลิตเนเธอร์แลนด์ เพิ่มปริมาณเป็น 200 มล. เพื่อความคุ้มค่ายิ่งขึ้น ในราคาเท่าเดิม เพียงกล่องละ 10 บาท และคุ้มสุดๆ เมื่อซื้อยกลัง 1 ลัง มี 36 กล่อง เหมาะสำหรับทุกครอบครัว วางจำหน่ายแล้ววันนี้ที่แม็คโครและร้านค้าปลีกทั่วไป ซื้อเลย วันนี้ !!

(พื้นที่เพื่อการประชาสัมพันธ์)

เลี้ยงลูกแบบโอเว่อร์ ระวังลูกด้อยพัฒนา เสียสุขภาพจิต!

event

เลี้ยงลูก….อย่าเว่อร์นะคะ ^^

ความรักอันบริสุทธิ์ คือ ความรักของพ่อแม่ที่ไม่หวังผลตอบแทน แต่ดูเหมือนความรักของผู้เป็น “พ่อแม่” ในยุคนี้เปลี่ยนแปลงไป มีหลายครอบครัวที่เลี้ยงลูกด้วยความคาดหวัง หวังให้ลูกเป็นคนเก่งเทียบเท่าหรือมากกว่าคนอื่นๆ ในสังคม แต่สิ่งที่ตามมา คือความกดดันที่สะสมอยู่ในตัวผู้เป็นลูกนั่นเอง

 

เลี้ยงลูกแบบโอเว่อร์ คำว่า เว่อร์ นี้ย่อมาจาก โอเว่อร์ (over) แปลว่า “มากเกินไป” และอะไรก็ตามที่น้อยเกินไป หรือ มากเกินไป ย่อมส่งผลเสียได้ทั้งนั้นค่ะ

โดยสิ่งที่คุณหมอ พรพิมล จะเล่าให้ฟัง คือ ลักษณะการเลี้ยงลูกแบบ “มากเกินไป” ที่ส่งผลเสียต่อพัฒนาการของลูก คุณพ่อคุณแม่บางท่านที่เคยศึกษาเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกอาจจะเคยได้ยินมาบ้างแล้วนะคะ

เว่อร์ที่ 1 : Overinvolvement (เกี่ยวข้องกับลูกแบบโอเว่อร์)

หมายถึง คุณพ่อคุณแม่ที่เข้าไปจัดการ เกี่ยวข้อง เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของลูกแทบทุกย่างก้าว เป็นคนระเบียบจัดต้องการให้ทุกอย่าง เรียบร้อย เป็นระเบียบถูกต้อง ทุกอย่างไม่รู้จักผ่อนปรนให้ ต้องคอยชี้แจงซ้ำซาก ตลอดเวลา ถ้าลูกทำไม่ได้ดังใจก็จะโกรธและตำหนิรุนแรงและคอยจุกจิกจู้จี้กับลูก แม้ในเรื่องเล็กๆน้อยๆ  หรือบางเรื่องที่เป็นเรื่องส่วนตัว เป็นเรื่องไม่สำคัญ หรือแม้ว่าเด็กบางคนจะอายุเข้าวัยรุ่น สามารถจัดการชีวิตตัวเองได้แล้วก็ตาม

เลี้ยงลูกแบบโอเว่อร์

X ผลเสียก็คือ  การเลี้ยงลูกแบบนี้จะทำให้เด็กพัฒนาไปเป็นเด็กที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง และมีปมด้อย เพราะรู้สึกว่าตัวเองไม่มีอะไรดี ไม่มีความสามารถเพราะทำอะไรไม่เคยถูกใจพ่อแม่เลย และนั่นจะเป็นสิ่งที่บั่นทอนความรู้สึกความเชื่อมั่นและความพยายามของลูก เพราะปกติลูกต้องการทำให้พ่อแม่พอใจ และต้องการกำลังใจจากพ่อแม่

√ วิธีแก้ไข ความ Overinvolvement

หัวใจสำคัญของการเลี้ยงดูนั้น อยู่ที่พ่อแม่ต้องมีความยืดหยุ่น เพื่อให้ลูกปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ต่างๆ ได้ สามารถสอนให้ลูกอยู่ได้ด้วยตัวเอง ซึ่งการเลี้ยงดูจะเป็นไปตามลำดับ ตามวัย ว่าอายุเท่านี้ควรทำอะไรด้วยตัวเองได้บ้าง ไม่ใช่ว่าพ่อแม่ทำให้จนโต แล้วถ้าวันหนึ่งพ่อแม่เป็นอะไรไปลูกจะลำบาก

อีกทั้งในเรื่องของการเลี้ยงดู พ่อแม่ไม่ควรที่จะบังคับลูกมากมาย ควรถามและคุยกับลูกก่อนว่าต้องการอะไร แล้วสิ่งที่เขาต้องการเหมาะสมกับวัยหรือไม่ หากไม่เหมาะสมควรหาเหตุผลมาอธิบาย ไม่ใช่แค่บอกว่าไม่ดีแต่ไม่มีเหตุผล ลูกจะไม่เข้าใจว่าทำไม จึงอาจเกิดแรงต้านทานขึ้นได้ หากมีเหตุผลมาประกอบเขาจะเข้าใจว่าทำไมทำไม่ได้ ปัญหาความกดดันก็จะไม่เกิดขึ้น

เลี้ยงลูกแบบโอเว่อร์

เว่อร์ที่ 2 : Overprotection (ปกป้องลูกแบบโอเว่อร์)

หมายถึง คุณพ่อคุณแม่ที่ปกป้องลูกประหนึ่งไข่ในหิน มดไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม ด้วยความกลัวว่าลูกจะลำบาก คุณพ่อคุณแม่จะพยายามปกป้องไม่ให้ลูกเผชิญหน้ากับปัญหาใดๆ แม้ว่าจะเป็นปัญหาหรือความไม่สะดวกสบายเพียงเล็กน้อยก็ตาม

X ผลเสียก็คือ  การเลี้ยงดูลูกแบบนี้ ทำให้ทักษะในการช่วยเหลือตัวเองช้า การที่จะพัฒนาไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีความมั่นใจในตัวเองมีน้อยมาก เพราะไม่เคยตัดสินใจอะไรด้วยตัวเองเลย ทำให้เป็นผู้ใหญ่ที่มีลักษณะเหมือนเด็กคือเลี้ยงเท่าไรก็ไม่รู้จักโต และในที่สุด…พ่อแม่ก็รังแกฉัน

เลี้ยงลูกแบบโอเว่อร์

วิธีแก้ไข ความ Overprotection

ลองให้ลูกได้ฝึกคิดแก้ไขปัญหาด้วยตนเองก่อน โดยที่เราคอยเฝ้าดูอยู่ใกล้ๆ ไม่ใช่ทิ้งให้ลูกแก้ปัญหาลำพัง แน่นอนว่าถ้าทำไม่ได้หรือเกินความสามารถเราก็ต้องเข้าไปดูไปช่วยเหลือ ยกตัวอย่าง เช่น ลูกบอกเราว่าหิวน้ำ อยากดื่มน้ำ ให้แม่ไปซื้อให้หน่อย แทนที่เราจะไปซื้อให้ลูกทันที เราลองให้ลูกฝึกไปซื้อเอง ถ้ายังเด็กก็อาจจะพาไป และให้ฝึกจ่ายเงินเอง พูดกับคนขายเอง เป็นต้น
ถ้าลูกทำได้ในเรื่องต่างๆ แม้ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อย ก็อย่าลืมที่จะชมเชย เป็นการให้กำลังใจที่ดีและสำคัญ เด็กจะรู้สึกประสบความสำเร็จแม้จะเป็นเรื่องที่ดูเล็กน้อย ก็จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการเริ่มมีความมั่นใจจะทำเรื่องที่ยากขึ้นเรื่อยๆ และนอกจากนั้นก็เป็นภูมิต้านทานที่เขาจะรู้จักความผิดหวังเล็กๆ น้อยๆ ตั้งแต่เด็ก

เลี้ยงลูกแบบโอเว่อร์

เว่อร์ที่ 3 : Overindulgence (ตามใจแบบโอเว่อร์)

หมายถึง คุณพ่อคุณแม่ที่ตามใจลูกมาก ลูกอยากได้อะไร แม้จะเป็นเรื่องที่สุดโต่งในสายตาคนส่วนใหญ่หรือแม้แต่ตัวคุณพ่อคุณแม่เอง ก็สามารถมีเหตุผลมาปลอบตัวเองให้สบายใจในการที่จะตามใจลูกต่อไปได้ในที่สุด โดยเฉพาะทางวัตถุ ลูกจะได้ทุกอย่างตามที่เขาต้องการเท่าที่ฐานะทางเศรษฐกิจของพ่อแม่จะอำนวย และไม่รู้จักอบรมลูกว่าสิ่งใดผิดสิ่งใดถูก อะไรควรอะไรไม่ควรปฏิบัติ ปล่อยให้ลูกทำตามใจตัวเองตามความพอใจ

fea-overparenting1-m

X ผลเสียก็คือ เมื่อลูกออกสู่สังคมนอกบ้าน ก็จะอยู่ร่วมกันกับผู้อื่นได้ยาก ทำให้เกิดปัญหาในการปรับตัว เอาแต่ใจตัวเองและ ขาดความอดทน มีสัมพันธภาพกับบุคคลอื่นที่ไม่ราบรื่น อันจะเป็นสาเหตุให้เกิดปัญหาอื่นๆตามมาอีกมากมาย

√ วิธีแก้ไข ความ Overindulgence

ควรให้ลูกได้เรียนรู้การช่วยเหลือตนเอง รู้จักแก้ปัญหา รู้จักการให้และการเสียสละ เพื่อให้ลูกสามารถช่วยเหลือตนเองได้ รู้จักปรับตัวและอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข

ผลข้างเคียงของลักษณะการเลี้ยงลูกแบบโอเว่อร์ทั้ง 3 แบบนี้ คือ

1.ลูกอาจมีปัญหาอารมณ์ ไม่ว่าจะ หงุดหงิด ขี้กังวล ขี้กลัว

2.ลูกอาจสูญเสียความมั่นใจในตนเอง

3.ลูกอาจเสียโอกาสในการฝึกฝนทักษะที่สำคัญในชีวิต เช่น การแก้ปัญหา การวางแผน การรับมือกับความผิดหวัง

4.ลูกอาจโตขึ้นเป็นคนที่ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง หรือ เอาแต่ใจตนเอง นั่นแหละค่ะ

สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่เลี้ยงลูกแบบโอเว่อร์ มักจะอยู่ในกลุ่มคนที่มีการศึกษาสูง เมื่อมีลูกจึงออกแบบชีวิตลูกให้มีความเข้มข้นอยากให้เก่งรอบด้าน ให้ลูกเรียนทุกอย่างที่เราอยากจะให้เรียน เมื่อไปเร่งเขามากๆ ตั้งแต่เด็กช่วงเป็นวัยรุ่นตอนต้น เครื่องก็ดับ การกระทำแบบนี้น่าจะเรียกว่าเป็นการฆ่าลูกด้วยรัก ดังนั้นถ้าพ่อแม่เข้าใจ ว่าชีวิตของลูกจะดี ต้องมีความสัมพันธ์ที่ดีก็หยุดฆ่าลูกด้วยรักซะตั้งแต่เนิ่นๆ อย่าเลี้ยงลูกแบบผู้อำนวยการสร้าง คือ จัดฉากให้ลูกทุกฉากแบบนั้นเด็กจะไม่มีเวลาเป็นเด็กเลย

“เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตลูกแบบพอดีๆ ปกป้องลูกเท่าที่จำเป็น และรักลูกแบบมีขอบเขต” น่าจะเป็นทางสายกลางที่ไม่เว่อร์ และช่วยให้การเลี้ยงลูกของคุณพ่อคุณแม่เป็นไปในทิศทางที่ส่งผลดีต่อพัฒนาการและสุขภาพจิตของลูกมากกว่าค่ะ

อ่านต่อบทความน่าสนใจอื่นๆ คลิก!


ขอบคุณเรื่องจาก : พญ.พรพิมล นาคพงศ์พันธุ์ จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น โรงพยาบาลกรุงเทพเชียงใหม่ เจ้าของเพจ “เลี้ยงลูกให้เป็นคนปกติ”

การเตรียมตัวฝากไข่

ฝากไข่ …เรื่องฮิตที่คุณแม่ยุคใหม่ควรรู้ ตอน 2

Alternative Textaccount_circle
event
การเตรียมตัวฝากไข่
การเตรียมตัวฝากไข่

จากเนื้อหาครั้งที่แล้ว คุณพ่อ คุณแม่คงทราบกันแล้วว่า การฝากไข่คืออะไร? ควรฝากตอนอายุเท่าไหร่? และมีข้อจำกัดทางกฎหมายอย่างไร? สำหรับในเนื้อหานี้ จะมาให้ความรู้เรื่อง การเตรียมตัวฝากไข่ ขั้นตอนการฝากไข่ แล้วถ้ามีโรคประจำตัวจะฝากได้หรือไม่ อย่างไรบ้าง?

(more…)

โรคมะเร็งในเด็ก

สัญญาณเตือนโรคมะเร็งในเด็กที่พ่อแม่ควรรู้

Alternative Textaccount_circle
event
โรคมะเร็งในเด็ก
โรคมะเร็งในเด็ก

โรคมะเร็งในเด็ก เป็นโรคที่อาจเกิดขึ้นได้ในเด็กตั้งแต่วัยแรกเกิดไปจนถึง 15 ปี ถึงแม้ว่าโอกาสที่จะเป็นนั้นน้อยกว่าผู้ใหญ่ คือ 1 ใน 10 และมีความแตกต่างจากแบบที่ผู้ใหญ่เป็น โดยแบ่งตามชนิดของเซลล์มะเร็ง โรคมะเร็งในเด็กมีทั้งหมด 12 ชนิดที่พบบ่อยในประเทศไทยที่พ่อแม่ควรรู้

(more…)

ปราบลูกขี้แย

วิธีปราบลูกขี้แย ด้วยเพลงนี้!…รับรองได้ผลแน่นอน

event
ปราบลูกขี้แย
ปราบลูกขี้แย

เชื่อว่า…มีคุณแม่ ๆ หลายคน คงเคยประสบปัญหาที่ลูกน้อย ร้องไห้โดยไม่ทราบสาเหตุ ไม่รู้ว่าหิว หรือปวดท้อง หรือง่วงนอน ซึ่งต่างก็มองหา วิธีปราบลูกขี้แย หรือหาวิธีหยุดอาการร้องไห้ของลูก แต่ว่าทำยังไงลูกก็ไม่หยุดร้องสักที บ้างทีร้องกลั้นจนหน้าแดง แม่เห็นก็กลัวว่าลูกจะเป็นอะไรหรือเปล่า…

วิธีปราบลูกขี้แย

ปัญหาลูกขี้แย คือ อาการที่เด็กร้องไห้บ่อยๆ หรือร้องไห้อย่างไม่มีเหตุผล หรือการที่เด็กร้องไห้จากสาเหตุต่างๆ ไม่ว่าจะจากความรู้สึกเจ็บป่วย จากบาดแผล จากโรคภัยไข้เจ็บ จากความผิดหวัง เสียใจในเรื่องต่างๆ หรือการที่เด็กรู้สึกหงุดหงิด เมื่อไม่ได้รับการตามใจจากพ่อแม่ผู้ และเด็กบางคนอาจจะร้องไห้ เพื่อเรียกร้องให้พ่อแม่หันมาให้ความสนใจในตัวเด็ก

วิธีปราบลูกขี้แย

เด็กที่กำลังเจริญเติบโตจะเรียนรู้ที่จะแสดงความรู้สึกหงุดหงิด โกรธ หรือสับสน โดยไม่ร้องไห้ออกมา พ่อแม่ผู้อาจพบว่ามีความจำเป็นที่จะสร้างตัวชี้นำให้เด็กมีพัฒนาการทางพฤติกรรมที่ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นการชื่นชมความสามารถของเด็ก เพื่อไม่ให้เด็กร้องไห้ หรือเพื่อให้เด็กกลั้นการร้องไห้เอาไว้ จนกว่าจะถึงเวลาและสถานที่ที่เหมาะสม สอนให้เด็กแสดงพฤติกรรมอื่นแทนการร้องไห้ เมื่อรู้สึกเศร้าเสียใจ และพ่อแม่ควรกระตุ้นให้เด็กรู้จักใช้คำพูดเพื่ออธิบายว่าอะไรทำให้เด็กรู้สึกอารมณ์ไม่ดี

อย่างไรก็ตามเมื่อเด็กได้มีพัฒนาการในการแก้ไขปัญหา การที่เด็กมักจะขี้แยก็จะเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก โดยธรรมชาติแล้ว เด็กผู้ชายจะร้องไห้น้อยกว่าเด็กผู้หญิง หลายๆ คนเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้เป็นพฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

การช่วยเหลือ/แก้ไขปัญหาเด็กขี้แย

วิธีแก้ปัญหาลูกขี้แยนั้นถือว่ามีความสำคัญมาก เพราะถ้าปล่อยให้ลูกมีนิสัยขี้แยต่อไปเรื่อยๆ เด็กอาจติดเป็นนิสัย และจะทำให้เด็กเป็นคนเอาแต่ใจตนเอง เมื่อเด็กไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ หรือ หากเจ็บปวดจากบาดแผลเล็กน้อย หรือได้รับสิ่งกระทบกระเทือนใจเพียงเล็กน้อย เด็กอาจร้องไห้ หรืออาละวาดได้ง่าย ซึ่งหากปล่อยให้เด็กเป็นแบบนี้ ก็จะทำให้เด็กเติบโตเป็นคนที่มีความอดทนต่ำ และไม่มีความเข้มแข็งการช่วยให้เด็กไม่ขี้แย เป็นการปรับพฤติกรรมของลูกตั้งแต่ยังเล็ก ที่ไม่เพียงแต่จะช่วยให้พ่อแม่เหน็ดเหนื่อยน้อยลง แต่ยังช่วยพัฒนาวินัย และทักษะในการควบคุมตนเอง รวมถึงทักษะในการสื่อสาร และใช้เหตุผลของเด็กตั้งแต่ยังเล็กด้วย ถือเป็นการเอาใจใส่ลูกอย่างถูกทาง

อ่านต่อ >> “วิธีปราบลูกขี้แย ด้วยเพลงนี้!…รับรองได้ผลแน่นอน” คลิกหน้า 2

ท้องนอกมดลูก

ท้องนอกมดลูก อันตรายไหม ?

Alternative Textaccount_circle
event
ท้องนอกมดลูก
ท้องนอกมดลูก

ท้องนอกมดลูก การตั้งครรภ์ในผู้หญิงใช่ว่าจะราบรื่นเสมอไป เพราะบางครั้งการตั้งครรภ์ก็เกิดความผิดพลาดจากการฝังตัวของไข่ที่ผสมกับเชื้ออสุจิแล้ว ที่จะต้องไปฝังตัวในโพรงมดลูก  แต่กลับไปฝังตัวนอกโพรงมดลูกแทน ซึ่งภาวะนี้เรียกว่าการตั้งครรภ์นอกมดลูก ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในเรื่องนี้มาให้ทราบกันค่ะ

 

ท้องนอกมดลูก คืออะไร ?

ท้องนอกมดลูก หรือ การตั้งครรภ์นอกมดลูก (Ectopic pregnancy) เป็นภาวะแทรกซ้อนของการตั้งครรภ์ที่อันตราย ซึ่งสาเหตุเกิดจากการปฏิสนธิของไข่และเชื้ออสุจิ ที่จะต้องไปฝังตัวในโพรงมดแล้วค่อยๆ เจริญเติบโตเป็นทารกที่สมบูรณ์และคลอดออกมาตามปกติ แต่กลับพบว่าไข่ที่ถูกผสมแล้วนั้นเข้าไปฝังตัวนอกโพรงมดลูก และที่พบบ่อยสุดประมาณ 95% จะไปฝังตัวที่ปีกมดลูกหรือท่อนำไข่ (Tubal pregnancy)1

 

ท้องนอกมดลูกเครดิตภาพ : google

 

Good to know… “ในผู้หญิงร้อยละ 1 พบว่ามีการท้องนอกมดลูก ซึ่งสาเหตุหลักของการท้องนอกมดลูก มักเกิดจากการที่ท่อรังไข่อุดตัน”

 

อาการที่แสดงว่า ตั้งครรภ์นอกมดลูก จะสังเกตได้อย่างไร ?

ผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว หากกำลังเริ่มตั้งท้องอ่อนๆ อยู่ ควรสังเกตอาการผิดปกติของตัวเอง ที่อาจบอกได้ว่าคุณแม่กำลังท้องนอกมดลูก อยู่ก็เป็นได้  ซึ่งอาการเหล่านี้เป็นภาวะฉุกเฉินอันตรายถึงชีวิต !!
1. มักมีอาการปวดท้องน้อย ที่อาการปวดท้องจะหนักอยู่ที่ท้องน้อยด้านใดด้านหนึ่ง (ปวดบีบคล้ายกับการปวดประจำเดือน)
2. มีเลือดออกกะปริดกะปรอยจากช่องคลอด
3. เวียนศีรษะ หน้ามืดเป็นลมเพราะเสียเลือดมาก
4. มีอาการความดันต่ำ หัวใจเต้นเร็ว ซีด ช็อก

อ่านต่อ >> “ท้องนอกมดลูกอันตรายไหม?” คลิกหน้า 2

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

ของเล่นอันตราย ปี 2016

เผยรายชื่อ 10 ของเล่นอันตราย ประจำปี 2016

Alternative Textaccount_circle
event
ของเล่นอันตราย ปี 2016
ของเล่นอันตราย ปี 2016

กลุ่มต่อต้านของเล่นอันตราย หรือ WATCH ในสหรัฐฯ เปิดเผย 10 อันดับของเล่นที่อันตรายที่สุดประจำปี 2016 เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่และเด็กตระหนักว่า ของเล่นที่เรามองว่าปลอดภัยและไม่น่าเป็นอันตรายกับเด็ก ก็อาจมีอันตรายซ่อนอยู่โดยที่เราคาดไม่ถึง ซึ่งสามารถทำให้เกิดการบาดเจ็บเล็กน้อย ไปจนถึงขั้นเสียชีวิต จากการออกแบบและการผลิตที่ไม่ได้มาตรฐาน อยากทราบแล้วใช่ไหมคะว่า ของเล่นอันตราย ที่ว่านั้นมีอะไรบ้าง ไปชมกันเลยค่ะ (more…)

แม่เล่นมือถือ จนลูกสาวโดนรถทับต่อหน้าต่อตา

Alternative Textaccount_circle
event

คลิปสะเทือนใจจากเมืองเย่หยาง มณฑลหูหนาน ซึ่งอยู่ทางตอนกลางของประเทศจีน เมื่อกล้องวงจรปิด CCTV บันทึกเหตุการณ์สุดสะเทือนใจเอาไว้ได้ ในคลิปมีรถยนต์คันหนึ่งวิ่งมาทับร่าง เด็กหญิงวัยเพียง 2 ขวบ จนเสียชีวิต โดยก่อนหน้านั้น แม่เล่นมือถือ และปล่อยลูกน้อยเดินนำ

(more…)

ท่าอุ้มทารกที่ถูกต้อง มีกี่ท่า?

event

สำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่บางคน อาจมีความตื่นเต้นที่จะได้อุ้มลูกเป็นครั้งแรก ซึ่ง ท่าอุ้มทารกที่ถูกต้อง มีกี่ท่า หรือควรจะอุ้มทารกรกแรกเกิดอย่างไร จึงเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่คุณพ่อคุณแม่ควรศึกษา หรือซ้อมอุ้มตุ๊กตาดูก่อน เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายกับลูกน้อยเมื่อถึงเวลาอุ้มจริงๆ

การอุ้มลูกน้อย หรือวิธีอุ้มทารกให้ถูกต้อง มักจะเป็นปัญหากับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่เป็นอย่างมาก เพราะลูกตัวเล็กและพ่อแม่ก็กลัวลูกจะตก หรือ เจ็บ เพราะเด็กทารกยังเบาะบาง คอเด็กยังไม่แข็ง ถ้าอุ้มผิดก็อาจทำให้กระดูกคอเคลื่อนที่ได้ ยิ่งไม่มีคุณยาย หรือว่าผู้ใหญ่อยู่ที่ให้การสอนอยู่ด้วยยิ่งเป็นปัญหาสำหรับพ่อแม่มือใหม่ โดยเฉพาะคุณแม่มือใหม่ที่หลีกเหลี่ยงไม่ได้เลย ในเวลาที่ต้องทำกิจวัตรให้ลูก เช่น อุ้มดูดนม อุ้มจับเร่อ เปลี่ยนผ้าอ้อม หรืออุ้มอาบน้ำ เป็นต้น

ท่าอุ้มทารกที่ถูกต้อง มีกี่ท่า

การอุ้ม คือการแสดงออกถึงความรัก และเป็นวิธีถ่ายทอดความอบอุ่นจากแม่สู่ลูก ที่ลูกน้อยสามารถสัมผัสได้โดยตรง การอุ้มเด็กทารกนั้นจะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก แต่เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย หากคุณแม่และคุณพ่อมือใหม่รู้จักเรียนรู้และมีวิธีอุ้มลูกที่ถูกต้อง แถมยังเป็นการทำความรู้จัก และเพิ่มความสัมพันธ์ระหว่างแม่และลูกได้เป็นอย่างดีอีกด้วย ดังนั้นแล้วลองไปดูท่าอุ้มต่างๆ ที่ควรอุ้มลูกน้อย เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่อุ้มลูกได้อย่างถูกต้อง ถูกวิธี กันค่ะ

1. ท่าเปล

ท่าอุ้มทารกที่ถูกต้อง มีกี่ท่า

วิธีนี้เป็นวิธีทั่วไป และเป็นวิธีที่ดีที่จะดูแววตาของทารก นอกจากนั้นยังเป็นวิธีธรรมชาติที่สุดและง่ายที่สุดสำหรับการอุ้มทารกด้วยเช่นกัน ท่านี้เป็นท่าที่ง่ายที่สุดในการอุ้มทารกที่มีผ้าพันไว้ สิ่งที่คุณควรทำเวลาอุ้มท่านี้ คือ:

  • การอุ้มทารกด้วยท่าเปล อันดับแรกให้ทารกนอนราบและอุ้มขึ้นโดยมือข้างหนึ่งอยู่ใต้คอและศีรษะ อีกข้างอยู่ใต้ก้นและสะโพก
  • กางนิ้วให้มากที่สุดเวลาอุ้มเข้าหาหน้าอกของคุณ เพราะจะทำให้ประคองได้ดีเวลาอุ้มทารก
  • ค่อยๆ เลื่อนมือจากศีรษะและคอไปยังหลังของลูกน้อยอย่างอ่อนโยนศีรษะของทารกจะอยู่ที่แขน ให้งอแขนและข้อศอกเล็กน้อย
  • มืออีกข้างประคองช่วงก้นและสะโพกของทารก
  • อุ้มทารกไว้ใกล้ๆ ตัวของคุณ และสามารถโยกทารกไปมาได้เล็กน้อย

การอุ้มท่าเปลเป็นท่าอุ้มที่คุณแม่สามารถสื่อถึงความรัก ความผูกพันต่อลูกได้มากที่สุด เพราะทั้งคุณแม่และคุณลูกจะมองเห็นหน้ากัน และลูกน้อยจะได้ยินเสียงหัวใจของคุณแม่ได้อย่างชัดเจน ท่านี้สามารถใช้ทั้งให้นมและอุ้มเล่นกับลูกได้ค่ะ

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

2. ท่าอุ้มพาดบ่าหรือทาบลำตัว

ท่าอุ้มทารกที่ถูกต้อง

เป็นท่าอุ้มที่ให้ความอบอุ่นและทำให้ลูกน้อยรู้สึกปลอดภัย และสามารถเหยียดตัวได้ตามสบาย โดยคุณแม่จะรับน้ำหนักลูกด้วยมือที่รองก้นข้างหนึ่ง และอีกมือหนึ่งประคองหลังลูก ท่านี้คุณแม่อาจจะใช้อุ้มลูกน้อยหลังให้นมเสร็จ เพื่อให้ลูกน้อยเรอขณะเดียวกันก็เป็นท่าอุ้มที่ป้องกันอาการท้องอืดในลูกน้อยได้ด้วย โดยมีวิธีดังนี้

  • สอดมือขวาใต้ศีรษะและคอลูก ส่วนมือซ้ายควรจะคอยประคองก้นและกระดูกสันหลัง
  • อุ้มลูกขึ้นมาในระดับหัวไหล่ ศีรษะลูกไม่ควรพับข้ามไหล่ของคุณแม่ไปข้างหลัง แล้วใช้แขนรองรับก้นลูก ขาของลูกควรห้อยต่ำกว่าแขนของคุณแม่
  • เพื่อความมั่นคงยิ่งขึ้นควรประคองศีรษะลูกด้วยมือข้างที่ว่าง และถ้าคุณต้องโน้มตัวไปข้างหน้า ทุกครั้งต้องไม่ลืมใช้
  • มือประคองศีรษะและคอของลูกด้วย

ท่าอุ้มทารกที่ถูกต้อง มีกี่ท่า

3. ท่าอุ้มที่ท้อง

ท่านี้สามารถทำให้ลูกน้อยของคุณสงบลงได้เวลาอยู่ไม่สุข มาดูว่ามีอะไรบ้างที่คุณต้องทำในการอุ้มท่านี้

  • ให้ศีรษะและหน้าอกของทารกอยู่บนแขนของคุณในลักษณะคว่ำ
  • ดูให้ดีว่าหน้าของลูกน้อยหันออกข้างนอกสามารถหายใจได้ และหนุนอยู่บนแขนของคุณ
  • เคาะหรือนวดหลังของทารกเล็กน้อยด้วยมืออีกข้างหนึ่ง
  • คอยดูว่าศีรษะและคอของทารกได้รับการประคองอย่างดีตลอดเวลา

4. อุ้มแบบตาสบตา

ท่าอุ้มทารกที่ถูกต้อง

ท่านี้เป็นท่าที่จะทำให้คุณสื่อสารกับลูกน้อยได้ดีที่สุด มาดูกันว่าวิธีการที่คุณต้องทำมีอะไรบ้าง:

  • วางมือข้างหนึ่งไว้หลังคอและศีรษะของทารก
  • มืออีกข้างประคองก้นของทารกไว้
  • อุ้มทารกไว้ด้านหน้าของคุณในระดับต่ำกว่าหน้าอก
  • ยิ้มและหยอกล้อเจ้าตัวน้อยแสนน่ารักของคุณ

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

5. ท่าถือลูกบอล

ท่าอุ้มทารกที่ถูกต้อง

ท่านี้เหมาะกับการป้อนอาหารให้ลูกน้อย สามารถทำได้ไม่ว่าคุณจะยืนหรือนั่ง มาดูกันว่าคุณต้องทำอะไรบ้าง

  • วางมือไว้ที่หลังศีรษะและคอของทารกให้หลังของทารกนอนอยู่บนแขนข้างเดียวกัน คุณสามารถเปลี่ยนแขนในการอุ้มได้ แค่ต้องมั่นใจว่าศีรษะและคอของลูกน้อยจะถูกประคองไว้ตลอด
  • ทารกมีการบิดตัวด้วยการถีบขาหาคุณมากขึ้น
  • ขยับทารกเข้าใกล้อกหรือเอวของคุณ
  • ใช้มือข้างที่ว่างป้อนอาหารทารก หรือช่วยประคองศีรษะทารกก็ได้

6. ท่า”เปิดโลกกว้าง”

ท่าอุ้มทารกที่ถูกต้อง

หากลูกน้อยของคุณเป็นเด็กที่ช่างอยากรู้อยากเห็นท่านี้เป็นท่าที่เหมาะมากที่จะทำให้ลูกน้อยของคุณมองเห็นว่ามีอะไรรอบๆ ตัวบ้าง ทั้งหมดที่คุณต้องทำก็คือ

  • ให้หลังของทารกแนบกับหน้าอกของคุณ และอย่าลืมต้องมั่นใจว่าหัวของทารกได้รับการดูแลที่ปลอดภัย
  • ให้มือข้างหนึ่งประคองก้นของทารก
  • นำมืออีกข้างประคองอกของทารกไว้โดยพาดมาด้านหน้าของทารก
  • ดูให้ดีว่าศีรษะของทารกได้รับการประคองอย่างปลอดภัยจากหน้าอกของคุณ
  • หากคุณนั่งอยู่ สามารถวางทารกไว้บนตักของคุณได้เลยโดยไม่ต้องเอามือประคองก้นของทารกก็ได้

“วิธีการอุ้มทารกที่ถูกต้อง ท่าที่ 7 และวิธีการส่งต่อทารก”

ท่าอุ้มทารกที่ถูกต้อง

7. อุ้มทารกไว้แนบสะโพกหรือข้างลำตัวเมื่อทารกถึงวัยที่สามารถประคองศีรษะของตัวเองได้แล้ว

สำหรับทารกที่โตขึ้นมาหน่อยประมาณ 4-6 เดือน ทารกสามารถประคองศีรษะของตัวเองได้แล้ว! คุณสามารถอุ้มไว้ข้างลำตัวได้เลย (การอุ้มทั้งหมดนี้สำหรับทารกที่เด็กมากๆ จนกระทั่งถึงวัยหัดเดิน) :

  • อุ้มให้ข้างลำตัวทารก (แนบลำตัว) หรือตรงกลาง (คร่อมตัวคุณ) ไว้ที่ข้างลำตัวหรือสะโพกของคุณ ให้แน่ใจว่าจะอุ้มให้ด้านซ้ายหรือกลางตัวของทารกอยู่ทางด้านขวาของคุณ หรือฝั่งตรงข้ามขึ้นอยู่กับว่าคุณอยากอุ้มทารกไว้ข้างไหน ต้องแน่ใจว่าหากอุ้มทารกไว้ข้างนั้นๆ แล้วจะไม่มีปัญหาอะไร อย่าลืมให้ความปลอดภัยแก่ศีรษะของทารกเป็นพิเศษ และดูให้ดีว่าหน้าของทารกไม่ได้คว่ำอยู่ (จากการอุ้มแบบนี้ เหล่าคุณแม่มักจะอุ้มลูกน้อยไว้ทางขวาแนบกับด้านซ้ายของลูกน้อย (ให้ขาของลูกคร่อมตัวแม่) และให้หน้าของลูกหันไปข้างหน้า)
  • ใช้แขนของคุณ “ประคอง” ขาและหลังของทารก จับให้ถนัดและสบายที่สุดสำหรับคุณและลูกน้อย
  • คุณสามารถใช้มืออีกข้างช่วยประคองขาและหลัง หรือว่าส่วนอื่นๆ ที่คิดว่าต้องการการดูแลมากที่สุดก็ได้ นอกจากนั้นคุณสามารถใช้มือข้างนี้ป้อนอาหาร หรือทำงานที่จำเป็นอื่นๆ (ทารกไม่ได้ต้องการการประคองมากๆ ตลอดเวลา และคุณก็จะรู้สึกอุ้มทารกได้สบายมากขึ้นด้วย)
  • วิธีการอุ้มแบบนี้เป็นท่าทั่วไป สำคัญ และสะดวกสบาย โดยเฉพาะเวลาที่คุณมีงานหลายอย่างต้องทำ ใช้ท่านี้อย่างชำนาญและระมัดระวัง รับรองเลยว่าคุณจะต้องพึงพอใจมากๆ แน่นอน

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

การส่งต่อเด็กทารกแบบถูกวิธี

s1s2

1.ใช้มือข้างที่ถนัดสอดใต้ศีรษะและคอลูก เพื่อช่วยในการประคองน้ำหนัก ส่วนมืออีกข้างคอยประคองก้นและกระดูกสันหลัง

2.ให้คนรอรับไขว้แขนเตรียมไว้ (ดังรูป)

s3

 

 

 

 

3.ประคองศีรษะและคอของลูกด้วยแขนข้างหนึ่ง โดยส่งศีรษะของลูกไปก่อน พร้อมทั้งบอกให้คนรอรับประคองศีรษะลูกไว้

s4

 

 

 

 

4.จากนั้นค่อยวางตัวเด็กลงบนแขนที่ไขว้กันรออยู่ค่ะ

√เคล็ดลับการอุ้มลูก

  • ให้นั่งเมื่ออุ้มทารกครั้งแรกเพราะเป็นการเริ่มต้นที่ง่ายที่สุด
  • ดูจากคนที่มีประสบการณ์ในการอุ้มทารกบ่อยๆ ก่อนที่คุณจะเริ่มอุ้ม
  • พยายามเล่นและสื่อสารกับทารกก่อนอุ้ม เพราะจะทำให้ทารกคุ้นเคยกับคุณ เขาจะจดจำเสียง กลิ่น และหน้าตาของคุณได้
  • หากคุณเห็นศีรษะที่อ่อนโยนและปลอดภัย คุณทำได้ดีแล้ว
  • ทางเลือกอื่นๆ ในการประคองศีรษะของทารกด้วยการใช้ด้านข้างของศอก ให้ใช้มือซ้ายช่วยประคองลำตัวของทารก
  • เด็กทารกชอบถูกอุ้ม คุณอาจเห็นว่าคุณทำแบบนั้นบ่อยๆ เป้สำหรับอุ้มทารกสามารถช่วยคุณได้ ทำให้คุณทำงานต่างๆ ได้ง่ายขึ้น

คำเตือน

  1. ความผิดพลาดในการประคองศีรษะของทารกจะทำให้เกิดการบาดเจ็บในระยะยาวได้
  2. ห้ามอุ้มทารกขณะที่ถือของร้อน อาหาร หรือทำอาหาร
  3. การเขย่าหรือเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วเกินไปจะทำให้ทารกได้รับอันตราย
  4. การอุ้มทารกตรงๆ (บริเวณท้อง) ในลักษณะที่ทารกไม่สามารถนั่งได้เองจะทำให้เกิดความเสียหายต่อกระดูกสันหลังของทารก

ชมคลิป >> “วิธีการอุ้มทารกแบบง่ายๆ 16”

ทั้งนี้นอกเหนือจากวิธีท่าอุ้มที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ยังมีท่าอุ้มเด็กทารกที่แสนง่าย กับวีดีโอสาธิตการอุ้มลูกของคุณพ่อท่านหนึ่ง ลองไปชมวิธีการอุ้มลูกที่หลากหลายและง่ายดายของคุณพ่อท่านนี้กันค่ะ ทั้งนี้ก็หวังว่าคุณแม่ รวมทั้งคุณพ่อมือใหม่ที่ได้ดูเทคนิคและวิธีการอุ้มจากคลิปนี้ ก็คงจะมีความกล้ามากขึ้นในการอุ้มเจ้าตัวเล็กของคุณนะคะ

การอุ้มลูกนับเป็นเรื่องสำคัญมาก ๆ อีกเรื่องหนึ่งที่คุณพ่อคุณแม่จำเป็นจะต้องอุ้มให้ถูกวิธีการต่าง เพราะทารกเกิดมาพร้อมกับหลังที่โค้งงอ ดังนั้นกระดูกสันหลังของลูกจะต้องเหยียดตรงขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนถัดมา ซึ่งกระบวนการดังกล่าวเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป หากคุณพ่อคุณแม่อุ้มลูกอย่างถูกต้อง อย่างวิธีแล้ว ก็ถือว่ากำลังช่วยกระบวนการดังกล่าวนี้ของลูกน้อยได้เป็นอย่างดีเลยล่ะค่ะ และเพื่อพัฒนาการที่ดีและความปลอดภัยของลูกน้อยอีกด้วย

อ่านต่อบทความน่าสนใจ


ขอบคุณข้อมูลจาก : th.wikihow.com , baby.haijai.com

ขอบคุณคลิปวีดีโอจาก :  How to DAD

ผื่นภูมิแพ้ผิวหนังอักเสบ ในเด็ก

ผื่นภูมิแพ้ผิวหนังอักเสบ ในเด็ก โรคที่มาพร้อมหน้าหนาว

event
ผื่นภูมิแพ้ผิวหนังอักเสบ ในเด็ก
ผื่นภูมิแพ้ผิวหนังอักเสบ ในเด็ก

ผื่นภูมิแพ้ผิวหนังอักเสบ ในเด็ก เป็นโรคที่เกิดจากผิวหนังมีการอักเสบเรื้อรังจากปฏิกิริยาทางภูมิแพ้ พบได้บ่อยในผู้ป่วยเด็ก โดยผิวหนังมักมีลักษณะแห้ง ขึ้นผื่น มีอาการคันมาก ในช่วงฤดูหนาวผื่นภูมิแพ้ผิวหนังจะมีโอกาสเกิดมากขึ้นในกลุ่มเด็กเล็ก

โรค ผื่นภูมิแพ้ผิวหนังอักเสบ ในเด็ก

โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง (Atopic Dermatitis) เป็นโรคที่พบได้ทุกฤดู แต่ในช่วงฤดูหนาวผื่นภูมิแพ้ผิวหนังจะมีโอกาสเกิดมากขึ้น เนื่องจากอากาศหนาวผิวจะยิ่งแห้ง เพราะความชื้นในอากาศต่ำ อากาศแห้ง เย็น ทำให้ผู้ป่วยมีอาการคันผิวหนังรุนแรงมากขึ้น เมื่อคันก็จะเกา ซึ่งการเกาอาจทำให้เกิดแผลติดเชื้อตามมา ซึ่งอาจพบบ่อยในเด็ก เพราะยังมีภูมิต้ายทานน้อย ดังนั้นในผู้ป่วยกลุ่มนี้จำเป็นต้องใช้ครีมทาผิวให้ชุ่มชื้นอยู่ตลอด เพื่อป้องกันการเกิดผื่นมากขึ้น ผู้ป่วยที่เป็นผื่นภูมิแพ้ผิวหนังมักจะมีลักษณะผื่นเป็นผื่นแดง แห้งลอก มีอาการคันมาก มักเป็นที่บริเวณข้อพับแขน ข้อพับขา ใบหน้า แขน ขา และซอกคอ

ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง เป็นโรคเรื้อรังที่ไม่ใช่โรคติดต่อ มักเริ่มพบในวัยเด็ก โดยพบประวัติภูมิแพ้ในครอบครัวได้ถึงร้อยละ 70 เช่น ประวัติว่าพ่อแม่เป็นหืดหอบ ลมพิษ หรือน้ำมูกไหลเพราะแพ้อากาศ

เป็นโรคผิวหนังอักเสบที่เป็นๆ หายๆ พบบ่อยในเด็ก ผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้จะมีแนวโน้มทางพันธุกรรมอยู่เป็นพื้นฐาน กล่าวคือ ผู้ป่วยมักมีประวัติเยื่อบุตาอักเสบ แพ้อากาศ ไอ จามบ่อยๆ หรือหอบหืด โดยเฉพาะเวลาที่อากาศรอบตัวเปลี่ยนแปลง เช่น ตอนเช้ามืดคนในครอบครัวผู้ป่วยมักมีประวัติโรคภูมิแพ้ของเยื่อบุต่างๆ เช่น เยื่อบุตาอักเสบภูมิแพ้ แพ้อากาศ ไอจามบ่อยๆ หอบหืด หรือผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ ผู้ป่วยโรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ไม่ได้เกิดจากการแพ้อาหาร หรือสารเคมีอย่างใดอย่างหนึ่งโดยเฉพาะ แต่เกิดจากผิวหนังของผู้ป่วยไวต่อสภาพแวดล้อมรอบตัว ทั้งสภาพร้อน เย็น แห้ง ชื้น เชื้อโรค และสารเคมีที่ระคายผิวหนัง อย่างไรก็ตามผู้ที่ไม่มีประวัติภูมิแพ้ในครอบครัวเลยก็เป็นโรคนี้ได้เช่นเดียวกัน ทั้งนี้เพราะความผิดปกติซ่อนเร้นอยู่ในยีนของครอบครัวผู้ป่วยโดยไม่เกิดอาการก็ได้

ผื่นภูมิแพ้ผิวหนังอักเสบ ในเด็ก

โรคนี้แบ่งลักษณะตามช่วงอายุได้เป็น 3 ช่วง

  • ช่วงวัยทารก เริ่มมีอาการคัน และผื่นขึ้นตั้งแต่อายุประมาณ 6-8 สัปดาห์ อาการคันอาจเป็นมากจนเด็กอายุถึง 2 ขวบ พบเป็นผื่นที่แก้มทั้ง 2 ข้าง หรือตามด้านนอกของแขน ขา ลำตัว ผื่นคันอาจเห่อขึ้นเมื่อเด็กฉีดวัคซีน เมื่อเด็กมีอาการผื่นคันอยู่แล้วจึงต้องระมัดระวังในการฉีดวัคซีน หรือควรปรึกษาแพทย์เสียก่อน
  • ช่วงวัยเด็ก ผื่นผิวหนังในช่วงวัยเด็ก มักเป็นตามข้อแขนข้อพับ และขา ผื่นจะแดง คลำดูได้หนากว่าปกติ อาการคันอาจเป็นรุนแรงมาก จึงทำให้เด็กหงุดหงิดรำคาญ
  • ช่วงวัยรุ่น และวัยผู้ใหญ่พบว่าโรคผิวหนังภูมิแพ้ในวัยทารก และวัยเด็กอาจหายไปเองใน 2-3 ปี แต่กลับมากำเริบอีกครั้งในวัยรุ่น อาจมีอาการคันอย่างมาก อาการคันมักกำเริบตอนกลางคืน ผื่นคันมักเป็นตามข้อพับ แขน ขา ใบหน้า หัวไหล่ และด้านบน

อาการและลักษณะของผื่นแพ้

ผื่นผิวหนังอักเสบในโรคนี้อาการคันมาก ลักษณะเป็นผื่นแดง หรือมีตุ่มแดงนูน ตุ่มน้ำใส ซึ่งเมื่อแตกออกเป็นน้ำเหลืองไหลเยิ้มแล้วกลายเป็นสะเก็ดแข็ง ถ้าผื่นนี้เป็นมานานเข้าสู่ระยะเรื้อรัง จะพบเป็นแผ่นหนาแข็ง มีขุย ตำแหน่งที่พบผื่นแตกต่างกันได้ตามวัยของผู้ป่วยในเด็กเล็ก ช่วงขวบปีแรก ผื่นผิวหนังอักเสบจะพบมากบริเวณใบหน้า ศีรษะ เด็กมักจะเอาแก้ม หรือศีรษะถูกไถกับหมอน ผ้า ที่นอน เพราะผื่นคันมาก

ในเด็กวัยเรียน และผู้ใหญ่ ผื่นผิวหนังอักเสบพบมากในบริเวณข้อพับแขน ข้อพับขา คอ ใบหน้า และผิวหนังตำแหน่งที่มีการเสียดสีแต่ในรายที่เป็นมากๆ ผื่นเกิดทั่วร่างกายได้

โรคภูมิแพ้ทางผิวหนัง เป็นโรคที่มีผิวหนังอักเสบเรื้อรังเป็นๆ หายๆ ในเด็กทารกมักเป็นผื่นคันที่แก้ม รอบปาก หนังศีรษะ ซอกคอ เด็กที่โตขึ้นจะมีผื่นตามข้อพับ แขนขา หรือบริเวณที่มีการเสียดสีบ่อยๆ เช่น ข้อศอก เข่า อาการที่สำคัญคือ “คันมาก” ผื่นจะกำเริบมากขึ้นเมื่อผิวแห้ง หรือมีเหงื่อออกมาก ยุงกัด อาการคันทำให้ผู้ป่วยเกา ส่งเสริมให้ผื่นลามกว้างขึ้น และอาจมีการติดเชื้อแทรกซ้อนด้วย

อ่านต่อ >> ปัจจัยที่ทำให้ผื่นกำเริบมากขึ้น” คลิกหน้า 2

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

เส้นดำกลางท้อง ตั้งครรภ์

ไขปริศนา! เส้นดำกลางท้อง ตั้งครรภ์ คืออะไร ?

Alternative Textaccount_circle
event
เส้นดำกลางท้อง ตั้งครรภ์
เส้นดำกลางท้อง ตั้งครรภ์

เส้นดำกลางท้อง ตั้งครรภ์ คุณแม่ท้องเคยสังเกตพุงกลมๆ ของตัวเองกันบ้างไหมว่า ยิ่งพออายุครรภ์มากขึ้น เส้นดำกลางท้อง ก็ยิ่งชัดเจนขึ้น ในคนท้องจำนวนมากยังเกิดความสงสัยว่าแล้ว เส้นดำกลางท้อง คืออะไร? หลังคลอดลูกแล้วเส้นดำกลางท้องจะหายไปไหม ?  ทีมงาน Amarin Baby & Kids จะมาไขปัญหาคาใจ ในเรื่องนี้ให้ทราบกันค่ะ

 

เส้นดำกลางท้อง ตั้งครรภ์ คืออะไร ?

เส้นดำกลางท้อง หรือเส้นสีดำกลางท้อง คือ เส้น  linea nigra จะพบในผู้หญิงตั้งครรภ์  การปรากฏขึ้นของเส้นดำกลางท้องจะอยู่ในช่วงไตรมาสที่สองของการตั้งครรภ์ไปจนถึงเดือนสุดท้ายของการตั้งครรภ์  เส้นดำกลางท้องจะเป็นเส้นตรงแนวดิ่งกว้างประมาณ 1 ซม. โดยมากแล้วคนท้องจะมีเส้นสีดำเข้มเห็นชัดเจนไม่เหมือนกันทุกคน เพราะคนท้องบางคนก็มีเส้นดำกลางท้องแค่เห็นเป็นเส้นจางๆ เท่านั้น

 

Good to know… “เส้นสีดำกลางท้อง จะพบได้มากถึง 90% ในผู้หญิงตั้งครรภ์  ซึ่งเส้นสีดำจะกว้างราว 1 ซม. เส้นสีดำกลางท้องจะปรากฏเป็นเส้นลายแนวตั้งพาดผ่านบริเวณสะดือไล่ไปจนถึงช่วงสะโพก”

 

เส้นสีดำ เกิดจากอะไร ?

ในผู้หญิงท้องมักเกิดความสงสัยว่า เส้นสีดำกลางท้อง เกิดขึ้นได้อย่างไร ความจริงแล้วเส้นสีดำกลางท้อง หรือเส้น linea nigra ไม่ได้เป็นอันตรายต่อการตั้งครรภ์ ซึ่งเส้นดำกลางท้อง เกิดขึ้นตามธรรมชาติ  เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) และโปรเจสเตอโรน (Progesterone) ระหว่างการตั้งครรภ์ ซึ่งฮอร์โมนทั้งสองตัวนี้จะไปกระตุ้นให้สีผิวเข้มขึ้น ซึ่งฮอร์โมนทั้งสองตัวนี้ยังส่งผลให้บริเวณหัวนม และกระมีสีคล้ำขึ้นด้วยเช่นกัน

 

Good to know… “ผิวพรรณที่เปลี่ยนแปลงหลังคลอดเป็นผลมาจากฮอร์โมน คือในระหว่างที่ตั้งครรภ์จะมีฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนออกมามากขึ้น ทำให้เม็ดสีที่เรียกว่าเมลานินทำงานได้ดี ผิวจะคล้ำขึ้น โดยเฉพาะเส้นที่อยู่กลางตัวจะดำและคล้ำมากขึ้น เมื่อฮอร์โมนกลับสู่ปกติ รอยดำคล้ำนี้จะหายจางไปได้เองโดยไม่ต้องทำการรักษาใดๆ ทั้งสิ้น”1

 

 อ่านต่อ >> “เส้นดำกลางท้อง ตั้งครรภ์ หลังคลอดลูก จะหายหรือไม่ ?” คลิกหน้า 2

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

คนท้อง ต้นคอดำ รักแร้ดำ ขาหนีบดำ

คนท้อง ต้นคอดำ รักแร้ดำ ขาหนีบดำ แก้ไขอย่างไร ?

Alternative Textaccount_circle
event
คนท้อง ต้นคอดำ รักแร้ดำ ขาหนีบดำ
คนท้อง ต้นคอดำ รักแร้ดำ ขาหนีบดำ

“คนท้อง ต้นคอดำ รักแร้ ขาหนีบดำ”…ฮอร์โมนที่ไม่สมดุลขณะตั้งครรภ์ส่งผลให้คนท้องมีผิวพรรณที่เปลี่ยนแปลงไป แม่ท้องส่วนใหญ่ มักจะมีผิวบริเวณ ต้นคอดำ รักแร้ดำ ขาหนีบดำ ซึ่งก่อนหน้านี้สีผิวตรงบริเวณดังกล่าวก็ไม่เคยคล้ำดำ  ปัญหา คนท้อง ต้นคอดำ รักแร้ดำ ขาหนีบดำ ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีวิธีดูแลสุขภาพผิวพรรณด้วยวิธีธรรมชาติง่ายๆ ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์ มาฝากค่ะ

 

คนท้อง ต้นคอดำ รักแร้ดำ ขาหนีบดำ

โอ้ย !!! เห็นสภาพผิวตัวเองตอนท้องแล้วไม่อยากออกบ้านไปเจอหน้าใคร เพราะไหนจะหน้ามัน สิวขึ้น แล้วที่หนักสุดเวลาส่องกระจกยกทีไร ทำไม๊ ทำไม ผิวตรง ต้นคอ รักแร้ และขาหนีบ ถึงได้ด๊ำ ดำ เห็นแบบนี้เป็นใครก็ปวดใจว่าไหมคะ

ก่อนที่จะแม่ท้องจะปวดใจหนักไปกันกว่านี้ เรามาทำความเข้าใจกันหน่อยว่า เพราะอะไร ขณะตั้งครรภ์ ลักษณะผิวพรรณของคนท้องถึงได้เปลี่ยนไป  สาเหตุที่คนท้อง ต้นคอดำ รักแร้ดำ ขาหนีบดำ ดังนี้…

1.ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง ช่วงตั้งครรภ์เป็นช่วงฮอร์โมนว้าวุ่นค่ะ  นั่นเพราะร่างกายของคนท้องจะมีการสร้างฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน และฮอร์โมนเอสโตรเจนมากขึ้น รวมทั้งฮอร์โมนที่สร้างขึ้นมาใหม่จากรก คือ ฮอร์โมนการตั้งครรภ์ hCG

 

Good to know… “ฮอร์โมน human chorionic gonadotropin ( hCG) เป็นฮอร์โมนที่ผลิตจากเซลล์ของรก  ระดับของฮอร์โมนจะเริ่มตรวจพบเมื่อ 11 วันหลังจากการมีปฏิสนธิ และจะตรวจพบในปัสสาวะหลังจากปฏิสนธิ 12-14 วัน ระดับฮอร์โมนจะมีค่าเพิ่มขึ้น 2 เท่าทุก 3 วันระดับฮอร์โมนจะขึ้นสูงสุดที่ 8-11 สัปดาห์ของการตั้งครรภ์ หลังจากนั้นค่าจะลดลงและคงที่ตลอดการตั้งครรภ์1

 

2. การเพิ่มระดับของฮอร์โมน ร่างกายของคนท้องแต่ละคนจะมีการตอบสนองกับฮอร์โมนตั้งครรภ์แตกต่างกัน ซึ่งนั่นจะส่งผลให้ผิวของแม่ท้องเกิดการเปลี่ยนแปลง คือ มีสีผิวเข้มขึ้น ผิวหน้าหมอง มัน เป็นสิว ยิ่งตรงผิวบริเวณต้นคอ รักแร้ ตามข้อพับ ขาหนีบ และผิวตรงหัวนมด้วย

 

แต่เดี๋ยวก่อนแม่ท้องอย่างเพิ่งกลุ้มใจ และเครียดมากไปที่ตัวเองมีผิวพรรณเปลี่ยนแปลงไป นั่นเพราะสีผิวหมองคล้ำ ดำเฉพาะที่ ต้นคอ รักแร้ ขาหนีบ แถมตรงหัวนมให้อีกจุด ^_^ อาการสีผิวที่เข้มขึ้นนี้จะค่อยๆ ดีขึ้นและจางหายไปเป็นปกติ หลังจากที่คุณแม่คลอดลูก และคุณแม่จะกลับมามีผิวพรรณที่สวยสดใส แข็งแรงตามเดิม แต่ต้องเพิ่มการดูแลบำรุงทั้งภายในภายนอกด้วยนะคะ นั่นคือ ต้องทานอาหารที่มีประโยชน์ และหมั่นทาครีมบำรุงหลังอาบน้ำเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวพรรณนั่นเองค่ะ

อ่านต่อ >> “คนท้อง ต้นคอดำ รักแร้ดำ ขาหนีบดำ วิธีดูแลด้วยธรรมชาติ” คลิกหน้า 2

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

ลูกกินน้อย

หมอแนะ! 4 เทคนิค ฝึกลูกกินข้าวเก่ง

Alternative Textaccount_circle
event
ลูกกินน้อย
ลูกกินน้อย

คุณแม่ท่านหนึ่งได้ปรึกษาคุณหมอ ว่าลูกชายวัย 10 เดือนทานอาหารเสริมได้น้อย จะให้ลูกทานขนมสำหรับฝึกเคี้ยวแก้ปัญหา ลูกกินน้อย ดีหรือไม่? คุณหมอได้แนะนำคุณแม่ ดังนี้
(more…)

เลือดออกขณะตั้งครรภ์

เลือดออกขณะตั้งครรภ์ สัญญาณอันตราย บอกอะไร ?

Alternative Textaccount_circle
event
เลือดออกขณะตั้งครรภ์
เลือดออกขณะตั้งครรภ์

“เลือดออกขณะตั้งครรภ์”…ภาวะแทรกซ้อนทางสุขภาพเกิดขึ้นได้เสมอ ยิ่งโดยเฉพาะในคนท้องที่พบว่ามีอาการเลือดออกขณะตั้งครรภ์ !! ทำให้คนท้องกังวลใจกับอาการ เลือดออกขณะตั้งครรภ์ ว่าเกิดขึ้นจากสาเหตุใด แล้วจะเป็นอันตรายมากหรือเปล่า ? …ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีคำตอบที่เป็นประโยชน์กับแม่ท้อง มาบอกต่อให้ทราบกันค่ะ

 

เลือดออกขณะตั้งครรภ์ 

สัญญาณหนึ่งที่เตือนว่าคุณอาจกำลังตั้งครรภ์ คือการมีเลือดออกกะปริบกะปรอยจากช่องคลอด ลักษณะเลือดคือออกมาจางๆ มักเรียกกันว่าเลือดล้างหน้าเด็ก ซึ่งเลือดล้างหน้าเด็ก (Implantation bleeding) คือเลือดที่เกิดจากการที่ตัวอ่อน(ไข่ที่ได้รับการผสมจากตัวอสุจิ) ฝังตัวที่โพรงมดลูก เพื่อเจริญต่อไป และบางครั้งการฝังตัวอาจทำให้หลอดเลือดเล็กๆ ที่อยู่ในโพรงมดลูกแตก ทำให้เห็นว่ามีเป็นเลือดจางๆ จากช่องคลอดออกมา1

 

Good to know… “อาการเลือดออกกะปริดกะปรอยขณะตั้งครรภ์ จะพบในช่วงตั้งท้อง 3 เดือนแรก ขณะที่ร่างกายของคุณแม่กำลังปรับตัวให้เข้ากับระดับฮอร์โมนการตั้งครรภ์

 

เลือดออกขณะตั้งครรภ์ : บ่งชี้ถึงภาวะแทรกซ้อนที่อาจขึ้น

  • ฮอร์โมนไม่คงที่
  • ภาวะการแท้ง
  • การติดเชื้อที่ปากมดลูก
  • ภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนด
  • ภาวะปากมดลูกหลวม
  • ภาวะรกเกาะต่ำ
  • ภาวะเมือกเกาะบริเวณปากมูดลูก

จุดเลือดออกขณะตั้งครรภ์เครดิตภาพ : google

ขณะตั้งครรภ์แนะนำว่าแม่ท้องควรสังเกตการเปลี่ยนแปลงของร่างกายด้วย เพราะเป็นได้ว่าในบางช่วงของการตั้งครรภ์ อาจพบได้ว่ามีเลือดออกแบบที่เป็น SPOTTING คือเลือดที่ออกเป็นสีน้ำตาล หรือสีชมพู และเลือดสดที่ออกมาเป็นสีแดงสด  สำหรับสาเหตุที่มีเลือด SPOTTING ออกมาสามารถแบ่งออกได้เป็น 5 สาหตุ

  1. เลือดล้างหน้าเด็ก (Implantation bleeding) ในช่วงแรกของการตั้งครรภ์หรือช่วงเวลาที่ใกล้กับเวลาที่ประจำเดือนจะมา ตัวอ่อนจะเข้าไปฝังตัวในผนังมดลูก สามารถทำให้มีเลือดออกมาประมาณ 20-30 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณประจำเดือนปกติ
  2. มีเพศสัมพันธ์หรือการตรวจภายใน คนท้องจะมีปากมดลูกบอบบางและมีเลือดคั่ง หากแม่ท้องมีเพศสัมพันธ์หรือการตรวจภายใน อาจจะทำให้เกิดการระคายเคืองและทำให้เลือดออกมาได้
  3. การติดเชื้อทางช่องคลอด เช่น แบคทีเรียในช่องคลอดหรือในบริเวณปากมดลูก หากบริเวณช่องคลอดและปากมดลูกมีการระคายเคืองหรืออักเสบ ก็อาจจะทำให้มีเลือดออกได้
  4. เลือดที่อยู่ในมดลูก เป็นเลือดที่สะสมอยู่ภายใน คอเรียน (chorion คือ เมมเบรนของทารกในครรภ์ที่อยู่ถัดจากรก) หรือเลือดที่อยู่ภายในชั้นของรก โดยปกติแล้วถ้าเลือดที่อยู่นมดลูกออกมา ก็ไม่ได้เป็นปัญหาต่อการตั้งครรภ์
  5. เมือกหลุด ระหว่างที่ตั้งครรภ์ปากมดลูกจะมีเมือกที่เรียกว่า mucus plug มีหน้าที่ปกป้องไม่ให้ติดเชื้อระหว่างการตั้งครรภ์ เมื่อเมือกหลุดออกมาบางทีจะมีเลือดปนออกมาด้วย

 อ่านต่อ >> “เลือดออกขณะตั้งครรภ์อันตรายเสี่ยงแท้ง” คลิกหน้า 2 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

พัฒนาการ แขน ขา ลูกในครรภ์

พัฒนาการ แขน ขา ลูกน้อยในครรภ์

Alternative Textaccount_circle
event
พัฒนาการ แขน ขา ลูกในครรภ์
พัฒนาการ แขน ขา ลูกในครรภ์

“พัฒนาการ แขน ขา ลูกน้อยในครรภ์”…การเฝ้าติดตามดูพัฒนาการของทารกน้อยในครรภ์ เป็นเรื่องที่ไม่ว่าจะแม่ท้องแรก หรือแม่ท้องสอง ต่างก็ตื่นเต้นและอยากที่จะรู้พัฒนาการการเจริญเติบโตของลูกในครรภ์ อยู่ตลอดเวลา  อย่างพัฒนา แขน ขา ลูกในครรภ์ มีคุณแม่ถามกันเข้ามาว่า จะรู้ได้อย่างไรว่าอายุครรภ์ที่เท่าไหร่แขน ขา ลูกถึงเจริญขึ้นมา  ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีมาให้ทราบกันค่ะ

 

พัฒนาการ แขน ขา ลูกน้อยในครรภ์

การตั้งครรภ์แบ่งออกเป็น 3 ไตรมาส  ซึ่งไตรมาสที่ 1 คือการตั้งครรภ์ตั้งแต่เริ่มจนถึงสัปดาห์ที่ 12 และในระยะนี้ทารกน้อยจะมีพัฒนาการในครรภ์อย่างรวดเร็ว และก็เป็นช่วงที่คนท้องเสี่ยงต่อการแท้งมากด้วย  ไตรมาสที่ 2 คือการตั้งครรภ์ที่นับตั้งแต่สัปดาห์ที่ 13-27  และไตรมาสที่ 3 คือการตั้งครรภ์จากสัปดาห์ที่ 28-40

พัฒนาการ แขน ขา ลูกในครรภ์เครดิตภาพ : webmd.com, iosociety.com

Good to know… “รู้ไหมว่า การตั้งครรภ์ประมาณร้อยละ 20-40 จะเกิดการแท้งในช่วง 3 เดือนแรก รวมไปถึงอาการตกเลือดมาก เลือดเป็นลิ่ม และเป็นตะคริว”1

 

พัฒนาการ แขน ขา ลูกน้อยในครรภ์

  • สัปดาห์ที่ 7 ของอายุครรภ์ ตัวอ่อนจะเริ่มพัฒนาใบหน้า ตา รูจมูกเป็นช่องเปิดขนาดเล็ก ปากเป็นรอยเว้า หูก็กำลังพัฒนาอยู่บนด้านข้างของคอทั้ง 2 ด้าน ศีรษะขรุขระใหญ่กว่าส่วนอื่นของร่างกาย และในสัปดาห์นี้เองที่ ตัวอ่อนจะเริ่มพัฒนา ปุ่มแขนและขาเล็กๆ ยื่นออกมา รวมทั้งมีข้อศอก ไหล่ เท้าและมือที่มีรูปร่างแรกเหมือนไม้พาย
Good to know… “ในสัปดาห์ที่ 7 ปุ่มแขนขา และสมองของลูกกำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว ศีรษะของลูกมีส่วนประกอบเฉพาะบางอย่าง เช่น ดวงตา อวัยวะภายในเริ่มแรกยังเติบโตต่อไป รวมถึงตับและปอด”2

 

  • สัปดาห์ที่ 8 ตัวอ่อนเริ่มที่จะมีร่างกายออกเล็กน้อย นั่นเพราะกระดูกสันหลังขยายตรงขึ้น และลำตัวยาวขึ้น แขนและขายาวขึ้น และยื่นไปด้านหน้า เล็บมือและเล็บเท้าพัฒนางอกออกมาตรงส่วนปลายแขนและขา
Good to know… “ในสัปดาห์ที่ 8 ลักษณะเด่นของลูก คือ จะมีศีรษะเป็นส่วนที่ใหญ่ที่สุด ลูกเริ่มที่จะเคลื่อนที่ไปรอบๆ ได้บ้างแล้ว ความยาวจากศีรษะถึงหางจะอยู่ที่ประมาณ 14-20 มม. และน้ำหนักประมาณ 3 กรัม”3

 

  • สัปดาห์ที่ 8 ตัวอ่อนเริ่มพัฒนาร่างกายให้ดูเหมือนทารกมากขึ้น ศีรษะมีขนาดใหญ่ขึ้น และหางที่งอกออกมาตั้งแต่ช่วงสัปดาห์แรกๆ ก็ได้หายไปแล้ว หลังทารกเริ่มพัฒนาให้ตรงมากขึ้น ผิวหนังหนาขึ้น และปุ่มรากขนกำลังพัฒนาขึ้นมา ในสัปดาห์นี้นิ้วมือของทารกแยกออกจากกันจนเกือบสมบูรณ์ ขณะที่แขนและขาก็พัฒนาให้ยืดยาว มีข้อเข่าและข้อศอก
Good to know… “ในสัปดาห์ที่ 8 ลูกเริ่มที่จะขยับแขน (ที่มีมือและนิ้วมือ) และขา (ที่มีเท้าและนิ้วเท้า) ได้แล้ว ลูกมีความยาวจากศีรษะถึงก้นอยู่ที่ประมาณ 22-30 มม. และหนักประมาณ 4 กรัม”4

อ่านต่อ >> “พัฒนาการ แขน ขา ลูกในครรภ์” คลิกหน้า 2 

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

ลูกชันคอได้กี่เดือน

8 เทคนิค ฝึกลูกน้อยชันคอ เพื่อพัฒนาการที่ดีสมวัย

event
ลูกชันคอได้กี่เดือน
ลูกชันคอได้กี่เดือน

“ ลูกชันคอได้ ตอนอายุกี่เดือน ”  … อีกหนึ่งคำถามคาใจของคุณแม่มือใหม่หลายคนที่คอยเฝ้าลุ้นกับพัฒนาการของลูกน้อย โดยการเคลื่อนไหวของทารกน้อย ไม่ว่าจะเป็นการชันคอ พลิกคว่ำ คืบ คลาน ล้วนต้องอาศัยกล้ามเนื้อมัดใหญ่ ช่วยในการเคลื่อนไหวทั้งนั้น ซึ่งเมื่อเข้าเดือนที่ 4 ลูกน้อยจะต้องสามารถชันคอได้ 90 องศา ชันคอได้แข็งแรงขึ้น ใช้แขนน้อยยันยกตัวขึ้น ศีรษะตั้งตรง เริ่มจะพลิกตัวได้บ้างแล้ว

ลูกชันคอได้ตอนอายุกี่เดือน

ภายใน 2 เดือนแรกหลังทารกคลอด จะมีการเคลื่อนไหวที่ทารกพยายามควบคุมได้ดีขึ้น คือ การเคลื่อนไหวของลูกตาที่จ้องมองสบตากับแม่ในขณะให้นมได้ดี, เคลื่อนไหวขยับ ใบหน้าให้เอียงตามองจับจ้องของที่เคลื่อนไหวใกล้ ๆ ได้,กล้ามเนื้อคอจะเริ่มทำงานแข็งขึ้นจากการที่ทารกขยับในหลายทิศทาง จะเห็นว่าความสนใจในสิ่งต่าง ๆ รอบตัวที่อยู่ใกล้ ๆ ทั้งแสง สี เสียง สัมผัส ส่งผลทำให้ทารกเฝ้าติดตามมองเป็นการมาเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อบริเวณคอโดยตรง

ทั้งนี้จุดเริ่มต้นของการเคลื่อนไหวร่างกายของทารกในช่วงขวบปีแรกนั้น มาจาก กล้ามเนื้อคอ  ไม่ว่าจะคว่ำ คลาน นั่ง ยืนไปจนกระทั่งเดินได้ในที่สุด หากคุณพ่อคุณแม่อยากให้ลูกมีพัฒนาการด้านร่างกายที่ดี ก็ต้องใส่ใจพัฒนากล้ามเนื้อคอของลูกแต่เนิ่นๆ เพราะกล้ามเนื้อคอที่แข็งแรง นำมาสู่พัฒนาการด้านการเคลื่อนไหวที่ดีของลูก

การชันคอ ถือเป็นพัฒนาการเริ่มแรกที่เด็กควรทำได้ ซึ่งจะอาศัยการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ ให้มีการทำงานที่สมดุลเพื่อพัฒนาไปสู่การเคลื่อนไหวอื่น ๆ ทารกส่วนใหญ่จะมีกล้ามเนื้อคอที่แข็ง และสามารถตั้งคอได้เมื่อเข้าสู่ช่วงอายุ 3-4 เดือน แต่เด็กบางคนเพียงแค่ 1-2 เดือนก็คอแข็งแล้ว ทั้งนี้หากคุณแม่ต้องการให้ลูกชันคอ ตั้งคอได้ ควรช่วยฝึกลูกด้วยเทคนิคง่ายๆ ดังนี้

ลูกชันคอได้
ลูกชันคอได้ ตอนอายุกี่เดือน

พัฒนาการเด็ก 1-2 เดือน : ยกศีรษะได้แล้ว

กล้ามเนื้อคอของลูกจะเริ่มแข็งแรงขึ้นจนคุณแม่สังเกตได้ว่า เมื่อจับลูกนอนคว่ำสักพัก ลูกจะสามารถชันคอขึ้นได้ประมาณ 45 องศา และเริ่มบังคับศีรษะได้บ้าง การเคลื่อนไหวไม่กระตุก

เหมือนช่วงก่อน คุณแม่ควรเปิดโอกาสให้ลูกนอนคว่ำบ้าง เพื่อจะได้ฝึกหัดชันคอ โดยที่นอนไม่ควรนุ่มเกินไป และไม่จำเป็นต้องมีหมอน เพราะลูกจะหายใจไม่ออกเวลาที่ฟุบหน้าลงไป  ขณะที่ลูกนอนคว่ำ คุณแม่อาจหาของเล่นมาหลอกล่อในระดับที่สูงจากพื้นนิดหนึ่ง เพื่อล่อให้เจ้าหนูยกศีรษะขึ้นมอง

คุณแม่ช่วยได้

  • ออกกำลังกล้ามเนื้อคอ โดยให้ลูกนอนหงาย แล้วจับมือทั้งสองดึงขึ้นช้าๆ สู่ท่านั่ง ลูกจะพยายามเกร็งคอและศีรษะให้ตั้งตรง จะช่วยบริหารกล้ามเนื้อคอ แขน และลำตัวของลูกได้ค่ะ
  • หมั่นส่งเสียงเรียกเพื่อดึงความสนใจให้ลูกหันหาเสียง
  • ยื่นหน้าไปใกล้ๆ ลูกราว 1 ฟุต ขณะลูกนอนคว่ำ พร้อมส่งเสียงพูดคุย ขยับหน้าไปมา ขยับขึ้นบนลงข้างล่างบ้างเพื่อให้ลูกน้อยมองตาม

อ่านต่อ >> “เทคนิคการฝึกลูกน้อยชันคอ” คลิกหน้า 2

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

คุณประโยชน์ของมะละกอ

รวมประโยชน์ของมะละกอที่ไม่ควรพลาด เพื่อแม่ท้อง แม่ให้นม และลูกน้อย โดยเฉพาะ!

event
คุณประโยชน์ของมะละกอ
คุณประโยชน์ของมะละกอ

คนท้องกินมะละกอ ได้หรือไม่? อีกหนึ่งคำถามคาใจของแม่ท้อง เพราะด้วยสรรพคุณเด่นของมะละกอที่เรารู้กันดีอยู่แล้วก็คือ ช่วยในเรื่องการขับถ่ายหรือท้องผูก เพราะกากใยในมะละกอสุกจะช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้นและยังช่วยป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้อีกด้วย

“มะละกอ” ถือเป็นผลไม้ที่อยู่คู่กับคนไทยมาอย่างยาวนาน เป็นผลไม้มากประโยชน์ที่นำมากินได้ทั้งสุกและดิบ มะละกอเป็นผลไม้ที่นำมาทำอะไรได้หลากหลาย ทุกส่วนของมะละกอเป็นยาที่นำมาใช้ในการดูแลรักษาสุขภาพของเราในชีวิตประจำวันได้ เรียกได้ว่ามีประโยชน์ครบเครื่องตั้งแต่รากยันผล ซึ่งนับเป็นผลไม้ชนิดหนึ่งที่คุณแม่ท้อง คุณแม่ให้นม และลูกน้อย ไม่ควรพลาด!  สรรพคุณและประโยชน์ของ มะละกอ จะมีมากมายมหาศาลอย่างไรบ้าง ไปดูกันค่ะ

แม่ท้องกินมะละกอ ช่วยอะไรได้บ้าง

  • มะละกอสุก : อุดมด้วยวิตามินซี สารเบต้าแคโรทีน วิตามินเอ วิตามินบีและแคลเซียม แก้อาการกระหายน้ำ ป้องกันเลือดออกตามไรฟัน บำรุงระบบประสาทและสายตา

หากคุณแม่ท่านใดที่มักมีปัญหาเรื่องการขับถ่ายหรือท้องผูก กากใยในมะละกอสุกจะช่วยให้ขับถ่ายได้ดีขึ้นและยังช่วยป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ ใหญ่ สำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ การ กินมะละกอสุกจะทำให้ร่างกายได้รับสารเบต้าแคโรทีนสูงและช่วยให้ระบบขับถ่าย ดี ซึ่งคุณแม่สามารถกินได้ทุกวัน (อาจกินเป็นผลไม้หลังมื้ออาหาร)

แต่หากจะกินส้มตำ สามารถกินได้ปกติแต่ไม่ควรกินเป็นอาหารหลักทุกมื้อหรือทุกวัน เพราะในส้มตำมักจะมีของหมักของดองเป็นส่วนประกอบ เมื่อกินแล้วจะทำให้ไม่สบายท้อง ท้องเสียและอาจเป็นอันตรายต่อลูกได้ ควรหลีกเลี่ยงการใส่ปูดอง ปลาร้า หลีกเลี่ยงการกินรสจัด เลือกกินร้านที่สะอาด เพียงเท่านี้คุณแม่ก็สามารถกินได้อร่อยอย่างปลอดภัยแล้ว

คนท้องกินมะละกอ

  • มะละกอดิบ มีเอ็นไซม์ปาเปอิน น้ำย่อยที่ช่วยย่อยโปรตีน ลดอาการจุกเสียดในกระเพาะอาหาร เป็นยาระบายอ่อนๆ ขับปัสสาวะ และช่วยให้เลือดแข็งตัวได้เร็ว นิยมนำมาทำเป็นอาหาร เช่น ส้มตำ แกงส้ม แกงป่า เป็นต้น

อีกทั้งสำหรับคุณแม่ให้นมลูก เนื้อมะละกอสุก สามารถช่วยบำรุงร่างกายและกระตุ้นให้ร่างกายผลิตน้ำนมได้เป็นอย่างดี หรือมะละกอดิบ มียางมะละกอบำรุงน้ำนม เอายางมะละกอไปปรุงแต่งรับประทานจะช่วยในการย่อยโปรตีน ส่วนรากนั้นเอาไปต้มน้ำ ดื่มบำรุงน้ำนม ได้อีกด้วย

ประโยชน์ของมะละกอกับลูกน้อย

ถ้าลูก มีอาการท้องผูก มะละกอ เป็นอีกหนึ่งผลไม้ที่ช่วยป้องกัน และแก้ปัญหาท้องผูกอย่างได้ผลเร็วและเหมาะกับเด็ก (คนทุกวัย) เมื่อให้ลูกกินครั้งแรกๆ ควรจะบดมะละกอสุกให้เละ ป้อนแค่ปลายช้อนชา แล้วค่อยเพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อยๆ เมื่อลูกคุ้นเคยแล้ว
เพราะในมะละกอสุกจะมีสารเพ็ตตินอยู่มากเมื่อลูกกินมะละกอเข้าไป สารเพ็ตตินนี้จะดูดน้ำในลำไส้แล้วพองขยายตัวจากเดิมหลายเท่า ทำให้กากอาหารมีมากขึ้น กากอาหารที่มีมากขึ้นนี้จะไปดันผนังลำไส้กระตุ้นให้ลำไส้บีบตัวถ่ายออกมา อาการท้องผูกก็จะทุเลาลง

อีกทั้งมะละกอยังถือเป็นยาแก้ท้องเสียที่ใช้กันมาก โดยเฉพาะในเด็กหรือทารก เพราะอันตรายน้อยมาก จากรายงานการทดลองพบว่าสารเพคตินซึ่งมีมากในมะละกอนี้ จะมีเมือกเหนียวลื่นๆ ไปเคลือบผนังของกระเพาะและลำไส้ ช่วยลดการระคายเคืองและการอักเสบ สารเพคตินนี้ยังช่วยทำให้อุจจาระแข็งขึ้น ถ่ายเป็นก้อนแทนที่จะเหลวเป็นน้ำออกมา และมะละกอยังมีสารที่ทำให้เชื้อแบคทีเรีย ต้นเหตุของท้องเสียหยุดเจริญเติบโตด้วย ดังนั้นเมื่อลูกน้อยของคุณมีอาการท้องเสีย ควรกินมะละกอสุกให้มากๆ ก็สามารถช่วยได้ เรียกได้ว่ามะละกอเป็นผลไม้แบบ 2 in 1 คือช่วยได้ทั้งอาการท้องผูกและท้องเสียนั่นเอง นอกจากนี้มะละกอมีคุณค่าทางอาหารสูงมาก มีทั้งธาตุเหล็ก บำรุงเลือด ธาตุแคลเซียม บำรุงกระดูก วิตามินเอ บำรุงสายตา วิตามินอี บำรุงประสาท วิตามินซี รักษาเลือดออกตามไรฟัน และยังมีสารคาร์แซนทิน ที่ช่วยเร่งการเจริญเติบโตให้ลูกรักของคุณด้วย

อ่านต่อ “ประโยชน์มหาศาลจาก “มะละกอ” ที่คุณแม่ไม่ควรพลาด” คลิกหน้า 2

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

keyboard_arrow_up