ท่านั่งแม่ท้อง

3 ท่านั่งคนท้อง อยากนั่งสบายต้องนั่งแบบนี้

ความอุ้ยอ้ายทำให้คุณแม่ท้องมักนั่งไม่ค่อยสบาย ขอนำเสนอ 3 ท่านั่งคนท้อง ที่แม่ ๆ ทั้งหลายไม่ควรพลาด

 

 

เมื่ออายุครรภ์มากขึ้น สรีระของคุณแม่ท้องก็เริ่มเปลี่ยนไป ท้องเริ่มใหญ่ จะเดิน จะนอน หรือจะนั่งทั้งทีก็ดูอุ้ยอ้าย อึดอัด ไม่สบายเนื้อสบายตัวเหมือนเมื่อก่อน ทำให้แม่ท้องหลาย ๆ อาจจะกำลังตามหาข้อมูลเกี่ยวกับท่านั่งหรืออิริยาบถต่าง ๆ ที่จะทำให้ชีวิตของคุณแม่นั้นง่ายขึ้น และในวันนี้เราก็ได้เตรียมข้อมูลดี ๆ มาฝากแล้วละค่ะ เรียกได้ว่า นอกจากท่านั่งแล้ว ยังมีท่าเดิน ท่านอน และท่ายกของอีกด้วยนะคะ ว่าแล้วก็ไปอ่านบทความนี้พร้อม ๆ กันเลยค่ะ

3 ท่านั่งคนท้อง อยากนั่งสบายต้องนั่งแบบนี้

ท่านั่งทำงาน

ให้คุณแม่นั่งหลังตรง หรือมองหาหมอนอิงใบเล็ก ๆ สักใบมาหนุนช่วงโค้งด้านหลัง หลังจากนั้นให้วางเท้าอยู่บนพื้นราบบนพื้น ข้อเข่าอยู่ในระดับเดียวกัน หรือสูงกว่าสะโพกเล็กน้อย อาจจะมองหาเก้าอี้เล็ก ๆ สักตัวมาไว้ใต้เท้า เพื่อจะได้ปรับระดับของเท้าให้สูงขึ้นบ้างก็ได้นะคะ

ท่านั่งบนเตียง

ก่อนจะนอนคุณแม่ก็อาจจะอยากมีช่วงเวลาได้นั่งบนเตียงเพื่ออ่านหนังสือเกี่ยวกับลูกดี ๆ สักเล่มนึง หรือถ้าไม่ก็อาจจะนั่งดูโทรทัศน์ ก็ควรที่จะนั่งหลังตรงนะคะ หาหมอนมาหนุนหลังและต้นคอดู พร้อมกับเหยียดขาออกไปตรง ๆ พร้อมกับแยกขาเล็กน้อย เอามือยันไว้ข้างหลัง ไม่นั่งพับขาเข้ามานะคะ เพราะเดี๋ยวต้นขาจะไปกดที่ท้องเอา

ท่านั่งขับรถ

สำหรับคุณแม่ที่ขับรถไปทำงาน หรือทำธุระต่าง ๆ ก็สามารถนั่งขับรถได้ตามปกตินะคะ และเมื่อท้องของคุณแม่เริ่มใหญ่ขึ้น ก็ควรที่จะปรับระดับเบาะกับพวงมาลัยให้พอดี ที่สำคัญต้องคาดเข็มขัดนิรภัยทุกครั้ง และควรที่จะให้เข็มขัดอยู่ใต้พุงของคุณแม่ด้วย

อ่าน วิธีคาดเข็มขัดนิรภัยคนท้อง ที่ถูกต้องและปลอดภัย

คลิกดูท่ายืนที่ปลอดภัยและสบายสำหรับแม่ท้อง


เครดิต: Mother and Care

    อาการบวม คนท้อง

    6 อาการบวม คนท้อง ที่อันตราย!!

    อาการบวม คนท้อง ที่เกิดขึ้น ในช่วงตั้งครรภ์ได้14-27 สัปดาห์ ทางการแพทย์เรียกว่า อาการบวมน้ำ ซึ่งอาการบวมที่เกิดขึ้น ระหว่างตั้งครรภ์ จะถือเป็นอาการปกติก็ได้ แต่ก็มีอาการบวมที่บอกถึงอันตรายต่อสุขภาพครรภ์ของคุณแม่ได้ด้วยเช่นกัน ซึ่ง ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีคำตอบในเรื่องนี้มาให้ได้ทราบกันค่ะ

     

    อาการบวม คนท้อง ที่อันตราย!!

    อย่างที่บอกไปคะว่า อาการบวม คนท้อง ถือเป็นอาการหนึ่งที่เกิดขึ้นเป็นปกติกับแม่ท้องอยู่แล้ว แต่อาการบวมที่เกิดขึ้นบ้างครั้งก็เป็นเหมือนสัญญาณบอกว่าสุขภาพครรภ์อาจกำลังมีอันตราย

    เมื่อตั้งครรภ์ได้ 14-27 สัปดาห์ คุณแม่จะเกิดอาการตัวบวม หรือที่ทางการแพทย์เรียกว่า อาการบวมน้ำ(Edema) เกิดจากการที่มี ของเหลวสะสมอยู่ในเนื้อเยื่อ เนื่องจากร่างกายของแม่ตั้งครรภ์มีแนวโน้มที่จะสะสมน้ำมากขึ้น คุณแม่จึงอาจมีอาการบวม ตามเท้าและข้อเท้า ในช่วงกลางของไตรมาสที่สอง และในช่วงไตรมาสสุดท้าย คุณแม่อาจมีอาการบวมตามนิ้วมือเพิ่มขึ้น

     

    บทความแนะนำ คลิก>> กระเจี๊ยบเขียว คนท้อง อาหารสมุนไพรดีต่อสุขภาพ

     

    นอกจากนี้มดลูกที่ขยายตัวขึ้น อาจไปกดทับเส้นเลือดที่ลำเลียงเลือดจากร่างกายส่วนล่างกลับสู่หัวใจ ระบบการไหลเวียน เลือดจึงช้าลง ส่งผลให้มีเลือดคั่งอยู่บริเวณขามากกว่าปกติ และทำให้เกิดอาการตัวบวมได้ อาการนี้มักเกิดในตอนเย็นของ ทุกวัน โดยเฉพาะช่วงที่อากาศร้อน ซึ่งอาการบวมน้ำโดยทั่วไปไม่มีอันตราย ยกเว้นแต่ถ้ามีอาการบวมที่เกิดขึ้นในลักษณะดังนี้ คือ…

    1. เกิดอาการบวมตามใบหน้า หรือบริเวณรอบดวงตา
    2. เกิดพร้อมน้ำหนักขึ้นอย่างรวดเร็ว (มากกว่า 8 กิโลกรัมใน 1 สัปดาห์)
    3. เกิดพร้อมอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรงและเรื้อรัง
    4. เกิดพร้อมอาการสายตาผิดปกติ, มองเห็นภาพซ้อน, ภาพเบลอ, เห็นจุดแสง, ตาไวต่อแสง หรือมองไม่เห็นในบางครั้ง
    5. เกิดพร้อมอาการปวดช่วงท้องด้านบนอย่างรุนแรง หรือกดเจ็บ
    6. เกิดพร้อมอาการคลื่นไส้/อาเจียน

    หากเกิดอาการบวมน้ำร่วมกับอาการเหล่านี้ คุณแม่ควรรีบไปพบแพทย์ เพราะอาจเป็นสัญญาณของภาวะครรภ์เป็นพิษ ซึ่งอาจเป็นอันตรายกับทารกและตัวคุณแม่เองได้

    อ่านต่อ อันตรายจากครรภ์เป็นพิษ หน้า 2

     

    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

      แพ้อาหาร ผ่านไมโครเวฟ แพ้กลิ่นหรือควันอาหาร

      แพ้อาหาร ผ่านไมโครเวฟ เป็นอีกหนึ่งเรื่องจริงจากคุณแม่เบ็ญที่เธอเขียนเล่าประสบการณ์การแพ้อาหารของลูกสาวตัวน้อย ที่สังเกตพบว่ามีอาการแพ้อาหารจากไมโครเวฟ!! เชื่อว่าทุกคนคงจะสงสัยเหมือนกันว่า คืออะไร?  ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีเรื่องราวจากคุณแม่เบ็ญ เพื่อเป็นความรู้กับทุกครอบครัวที่มีลูกแพ้อาหาร มาฝากกันค่ะ

       

      แพ้อาหาร ผ่านไมโครเวฟ แพ้กลิ่นหรือควันอาหาร

      แชร์ประสบการณ์เรื่อง แพ้อาหาร ผ่านไมโครเวฟ ของคุณแม่เบ็ญ ที่ผู้เขียนอยากให้หลายๆ ครอบครัวที่กำลังเจอกับปัญหาสุขภาพของลูกๆ ที่มีอาการแพ้อาหาร ได้อ่านกันค่ะ เพื่อจะได้ระวังในการเตรียมอาหารให้ลูกแพ้อาหารกันมากขึ้นค่ะ

      แพ้อาหารผ่านไมโครเวฟ แพ้กลิ่นหรือควันอาหาร ที่เกิดขึ้นกับลูกสาวของคุณแม่เบ็ญ ซึ่งปัจจุบันนี้อายุ 2.9 ขวบแล้ว มีการแพ้นมวัว ไข่แดง ไข่ขาว ถั่วเหลือง เลซิติน กุ้ง ปลาหมึก แซลมอน

      และนี่คือเรื่องราวที่เป็นประโยชน์ ที่คุณแม่เบ็ญได้เขียนแชร์มาค่ะ

      มี้เบ็ญเป็นคนทำอาหารไม่เก่ง และไม่ชอบทำอาหารเอามากๆ แต่ด้วยความที่ลูกแพ้อาหารเยอะมาก ทำให้ต้องทำกับข้าวให้ลูกทาน ซึ่งปกติก็จะทำครั้งมากๆ  แล้วแช่เก็บที่ช่องฟรีซ ทานได้ 3-7 วัน  ส่วนอาหารของมี้เบ็ญถ้าไม่ทานนอกบ้าน ก็ซื้อมาเก็บไว้แล้วใช้ไมโครเวฟอุ่นทาน ซึ่งเป็นไมโครเวฟเครื่องเดียวกันกับที่ใช้อุ่นอาหารให้ลูก

      การแพ้อาหาร ถ้าร่างกายมีปฏิกิริยาที่ไวต่อสิ่งที่แพ้มากๆ (Sensitive) ก็จะมีอาการแพ้ต่อควัน ละออง กลิ่นด้วย ดังนั้นมี้เบ็ญจึงมีถาด และฝาครอบอาหาร 2 ชุด ใช้แยกกัน ไม่ใช้ร่วมกันกับของลูก แต่ยังใช้ไมโครเวฟเครื่องเดียวกัน ทุกครั้งที่ใช้ไมโครเวฟต้องตรวจดูให้ฝาครอบปิดแนบสนิทกับฝาถาด หากอาหารที่อุ่นมีกลิ่นค่อนข้างรุนแรง จะต้องเช็ดทำความสะอาด และเปิดไมโครเวฟทิ้งไว้ให้กลิ่นหายก่อนใช้อุ่นอาหารของลูก

      อาการแพ้อาหารผ่านไมโครเวฟของลูกมักเป็นอาการที่เกิดในระยะเวลาที่สั้นแล้วหายจากอาการภายใน 1-2 วัน มักจะเกิดอาการหลังลูกทานอาหารทันที หรือ 1-3 ชั่วโมง จะมีอาการคัน หรือลมพิษตามร่างกาย ทำให้เกิดความเข้าใจผิดไปว่าลูกแพ้อาหารที่ลูกกินทดสอบในตอนนั้น

      แต่เมื่อเอาอาหารดังกล่าวไป Skin Test กลับไม่ขึ้นผลอะไร เป็นแบบนี้หลายครั้ง ทำให้มี้เบ็ญเครียด ที่หาสาเหตุอาการแพ้ไม่เจอ  จนกระทั่งวันหนึ่งพบว่าลูกมีลมพิษขึ้นที่มือ มีอาการคันและเกาตลอดเวลา ที่ยิ่งเกาตุ่มก็ยิ่งใหญ่ขึ้น จำนวนตุ่มเยอะขึ้น และลามมากขึ้น ลูกมีอาการหลังจากที่ทานอาหารไป 1 ชั่วโมง โดยทานอาหารบนห้อง และอยู่ในห้องมาโดยตลอดไม่ได้ออกไปไหน อาหารที่ลูกทานคือ ข้าว หมู ตำลึง เป็นอาหารที่เคยทานมานาน และทานมานานหลายครั้งแล้ว และทานมาตลอด 3 วันที่ผ่านมา ทุกครั้งที่ทานไม่เคยเกิดอาการแพ้ใดๆ และส่วนใหญ่มี้เบ็ญจะใช้เมนูนี้เป็นเมนูหลัก แล้วเพิ่มอาหารที่ต้องการทดสอบ

      เวลาลูกเกิดอาการแพ้ในหัวจะแล่นเร็วจี๋ พยายามคิดหาสาเหตุว่ามีอะไรที่แปลกหรือต่างไปจากช่วงที่ไม่เกิดอาการแพ้ ลูกทานอาหารเมนูเดิมมาหลายวัน  แต่ครั้งนี้มี้เบ็ญได้อุ่นกะเพราก่อนจะอุ่นอาหารให้ลูก  ตลอดหลายวันที่ผ่านมามี้เบ็ญไม่ได้ใช้ไมโครเวฟอุ่นอาหารให้ตัวเองเลย

      อาการแพ้อาหารผ่านไมโครเวฟนี้ไม่เหมือนอาการแพ้อาหารครั้งอื่นๆ ลมพิษที่ขึ้นถ้าไม่เกาสักพักก็จะยุบหายไปเอง เหลือทิ้งไว้แต่ความสากๆ ซึ่งเคยให้คุณหมอภูมิแพ้ดู คุณหมอบอกว่าน่าจะที่เกิดจากความร้อน หรือการสัมผัสมากกว่าแพ้อาหาร แต่หลายวันที่ผ่านมาลูกก็อยู่แต่ในห้องห้องที่เปิดแอร์ตลอดเวลา ไม่มีเหงื่อสักหยด และคงไม่ได้สัมผัสอะไรแน่ๆ

       

      บทความแนะนำ คลิก>> แพ้อาหาร ภัยเงียบที่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น

       

      อาการแพ้อาหารผ่านไมโครเวฟมักจะเป็นๆ หายๆ ไม่ได้เกิดขึ้นทุกวัน อาจเป็นเพราะมี้เบ็ญไม่ได้ใช้ไมโครเวฟอุ่นอาหารของตัวเองทุกวัน เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าลูกแพ้อาหารผ่านไมโครเวฟจริง  จึงทำการซื้อไมโครเวฟอีกเครื่องแยกการใช้งาน ใช้ไมโครเวฟกันคนละเครื่องไปเลย “ผลคือลูกไม่เกิดอาการแพ้อาหารแบบระยะสั้นอีกเลย”

      ส่วนอาการแพ้อาหารที่ทานตรงของลูกสาวนั้นต่างจากการแพ้อาหารผ่านไมโครเวฟ  แพ้อาหารแบบทานตรงของลูกสาวจะเป็นแบบแสดงผลล่าช้า และเป็นอาการระยะยาวกว่าจะหาย

      หากทานอาหารที่แพ้ทุกวันจะค่อยๆ ขึ้นผดตามข้อพับแขน คอ ข้อเท้า กินต่อเนื่อง ผดผื่นก็จะขยายพื้นที่ไปเรื่อยๆ ลูกสาวแพ้อาหารหลายชนิด ซึ่งบางชนิดอาการเหมือนกัน บางชนิดแสดงอาการต่างกัน เช่น บางชนิดจะไม่ขึ้นผื่นตามข้อพับ และผิวจะสากเป็นบริเวณกว้าง อาหารบางชนิดแพ้แล้วเกิดผิวสากที่ขา บางชนิดก็สากที่ลำตัว จุดร่วมที่เหมือนกัน คือ หากยังทานอาหารที่แพ้ ผดผื่นจะลามไปเรื่อยๆ จนทั่วทั้งตัวในที่สุด ถ้าหยุดกินจะหยุดลาม แต่ผิวไม่หาย ต้องค่อยๆ บำรุงกันยาวไปค่ะ

      มีอาการแพ้นมวัวของลูกสาวที่ค่อนข้างรุนแรง และแปลกกว่าอาการแพ้อื่น ตรงที่จะมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรงหลังดื่มนมไป 3 ชั่วโมง เวลาเท่าเดิมทุกครั้ง แค่ดื่มบีทาเก้นท์นิดเดียวก็ปวดท้องหนักมาก อาการนั้นสวนทางกับผล skin test เพราะผลจากการทดสอบนั้นมีตุ่มขึ้นเป็นตุ่มเล็กๆ เล็กกว่าตุ่มแพ้อาหารชนิดอื่นๆ

      มี้เบ็ญอยากให้ระวังอาหารที่แพ้ผ่านทางอื่นด้วยค่ะ อย่างล่าสุดลูกสาวไปงานวันเกิดเพื่อน ลูกอยากทานเค้กแบบคนอื่นๆ ด้วยความสงสารลูกเลยให้ลูกเอาเค้กมาป้อนมี้เบ็ญแทน จะได้มีส่วนร่วมในงานบ้าง มือลูกจึงเลอะเค้ก มี้เบ็ญก็รีบพาไปล้างมือ แต่ไม่ทัน คุณลูกเอามือไปแปะหน้าเล่น(ไม่เข้าปาก) แค่นั้นแหละได้เรื่อง สักพักหน้าเห่อแดงขึ้นตุ่มจางๆ แพ้ไม่เยอะอาการไม่ลุกลาม รวมๆ 10-20 นาทีก็หายเหตุเกิดจากลูกแค่เอามือแปะหน้าไม่ถึง 10 วินาที

      อ่านต่อ เทคนิคการเตรียมอาหารสำหรับลูกแพ้อาหาร หน้า 2 

       

      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

        7 วิธีแก้ปัญหา ลูกไม่กินข้าว และป้อนอาหารลูกเล็กอย่างไรให้ปลอดภัย ?

        ลูกไม่กินข้าว สำหรับคุณแม่ที่กำลังหนักอกหนักใจกับการป้อนข้าวลูก หรือให้ลูกกินข้าวเองแล้วเจ้าตัวเล็กเมินหน้าหนีกับอาหารที่อยู่ตรงหน้า ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีคำแนะนำเล็กๆ น้อยๆ มาฝากค่ะ รับรองว่าถ้าแม่ค่อยๆ ปรับ ก็จะช่วยแก้ปัญหาเรื่อง ลูกไม่กินข้าว ได้ไม่ยากค่ะ

         

        ลูกไม่กินข้าว ทำไงดี?

        1. ฝึกให้กินอาหารเป็นเวลา

        การที่พ่อแม่ให้ลูกทานอาหารเป็นเวลา สม่ำเสมอ และควรให้ลูกกินพร้อมๆ กับทุกคนในครอบครัว เพื่อเป็นแบบอย่างและสร้างบรรยากาศการกินอาหารให้ลูก

        2. ขณะมื้ออาหารไม่ดูทีวี

        เมื่อถึงเวลาของมื้ออาหาร พ่อแม่ต้องตัดสิ่งรบกวนการกินของลูกที่จะทำให้ ลูกไม่กินข้าว คือ ไม่เปิดทีวี หรือให้ลูกเล่นของเล่นไปด้วยในขณะที่นั่งทานข้าว เพราจะทำให้เด็กไม่สนใจอาหารที่อยู่ตรงหน้า ทำให้กินช้า อมข้าวและอิ่มเร็วโดยที่กินไปได้นิดเดียว

        3. ทำบรรยากาศขณะมื้ออาหารให้ผ่อนคลาย

        ช่วงเวลาคุณภาพของครอบครัวอีกช่วงเวลาหนึ่งก็คือการที่ทุกคนได้ทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากัน ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกันในทุกเรื่อง การสร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะบนโต๊ะอาหารจะช่วยทำให้บรรยากาศในการทานข้าวเป็นที่น่าจดจำสำหรับเด็ก แต่ไม่ควรใช้ช่วงเวลาทานข้าวมาดุด่ากัน เพราะจะทำให้ทุกคนบนโต๊ะอาหารตึงเครียดเกินไป และลูกก็จะไม่ชอบการทานข้าวในบรรยากาศที่ดูไม่มีความสุข

        4. เปิดโอกาสให้เด็กช่วยเหลือตัวเอง

        ในเด็กอายุน้อยกว่า 3  ขวบ พ่อแม่ควรปล่อยให้ลูกได้มีโอกาสถือหรือหยิบอาหารเข้าปากด้วยตัวเองบ้าง ถึงแม้จะเลอะเทอะไปบ้างก็ต้องยอม ส่วนเด็กที่อยู่ในช่วงวัย 4  ขวบ ส่วนใหญ่จะสามารถตักอาหารเข้าปากได้ด้วยตัวเอง พ่อแม่ควรปล่อยให้ลูกตักอาหารเข้าปากเอง

         

        บทความแนะนำ คลิก>> ฝึกลูกกินข้าวเอง ช่วยพัฒนาการอะไรบ้าง?

         

        5. ให้นั่งกินอาหารบนเก้าอี้

        การฝึกให้ลูกรู้ว่าหากถึงเวลาทานอาหารของทุกคนในบ้าน จะต้องนั่งทานที่โต๊ะอาหารเท่านั้น และต้องทานให้เสร็จเรียบร้อยอิ่มแล้วถึงจะออกจากโต๊ะทานข้าวได้  พ่อแม่ไม่ควรเดินตามป้อนข้าวให้ลูกเด็ดขาด

        6. ไม่ให้นมมากเกินไป

        สำหรับเด็กอายุเกิน 1 ปี ควรกินข้าวเป็นอาหารหลัก วันละ 3 มื้อ ส่วนนมจะเป็นอาหารเสริมเท่านั้น จึงต้องลดปริมาณลง เหลือวันละ 3 – 4 มื้อ และควรให้นมหลังอาหารเท่านั้น เด็กอายุมากกว่า 6 เดือน  ร่างกายไม่ต้องการนมหลังจากหลับไป แล้วจนถึงเช้า  จึงไม่ควรปลุกเด็กขึ้นมากินนม  เพราะเด็กวัยนี้สามารถกินนมก่อนนอนแล้วอยู่ได้ถึงเช้า  หากให้กินกลางดึก จะกลายเป็นความเคยชินและทำให้เด็กเบื่ออาหารเช้าเพราะยังอิ่มนม  หลังอายุ 1 ปี ควรเลิกขวดนม ดังนั้นจึงให้เด็กเริ่มฝึก ดูดจากหลอดหรือดื่มจากแก้วแทนตั้งแต่อายุ 10 เดือน

        7. ให้ลูกรู้สึกหิวก่อนถึงมื้ออาหาร

        ก่อนหน้ามื้ออาหารหลัก ให้งดอาหารหรือขนมจุกจิกระหว่างมื้อ  ไม่ว่าจะเป็นขนมกรุบกรอบ น้ำหวาน  ไอศกรีม  ฯลฯ หากจะให้ ควรให้หลังอาหาร หากเด็กกินได้เหมาะสม ก็จะช่วยลดปัญหา ลูกไม่กินข้าว ได้ค่ะ

        นอกจากปัญหา ลูกไม่กินข้าว ที่พบบ่อยแล้ว การป้อนอาหารลูกเล็ก อย่างไรให้ปลอดภัย เป็นอีกเรื่องที่ถูกถามเข้ามามากจากคุณแม่ที่มีลูกเล็กๆ เพราะกังวลไปหมดว่าถ้าลูก กินเข้าไปแล้วจะดี จะปลอดภัยต่อร่างกายของลูกหรือเปล่า และเพื่อให้คุณแม่ได้สบายใจกับอาหารการกินของลูก ผู้เขียนมีเคล็ดลับที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับเรื่องนี้มาให้ได้ทราบกันค่ะ

        อ่านต่อ ป้อนอาหารลูกอย่างไรให้ปลอดภัย หน้า 2

         

        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

          น้ำจิ้มซีฟู้ด

          พ่อแม่ระวังน้ำจิ้มซีฟู้ด เสี่ยงทำลายช่องปากลูก

          มีกระทู้หนึ่ง ตั้งขึ้นเตือนให้ระวังเป็นแผลในปาก เมื่อรับประทานอาหารกับ น้ำจิ้มซีฟู้ด นอกบ้าน โดยเจ้าของกระทู้เล่าว่า ได้ไปโรงพยาบาลมาเนื่องจากตึ่นขึ้นมามีอาการร้อนในทั้งปาก แสบลิ้น และรับประทานอาหารแทบไม่ได้ จึงพยายามคิดหาจากหลากหลายสาเหตุ จนพบว่าเพราะน้ำจิ้ม

          Continue reading “พ่อแม่ระวังน้ำจิ้มซีฟู้ด เสี่ยงทำลายช่องปากลูก”

            พาลูกออกนอกบ้าน

            5 ข้อท่องให้ขึ้นใจ ก่อน “พาลูกออกนอกบ้าน”

            อยากให้ลูกเที่ยวสนุกและปลอดภัย อย่าลืมท่อง 5 ข้อให้ขึ้นใจก่อน “พาลูกออกนอกบ้าน”

             

             

            สมัยนี้รู้หน้าไม่รู้ใจ คนสนิทใกล้ตัวก็ใช่ว่าจะไว้ใจได้ ออกไปไหนก็ต้องคอยระแวดระวัง ไหนจะคนแปลกหน้า ไหนจะเชื้อโรคและโรคระบาดต่าง ๆ อีก หากมัวแต่กังวลอยู่แบบนี้แล้วการพาลูกไปเที่ยวนอกบ้านจะสนุกไปได้อย่างไรละคะจริงไหม

            ดังนั้น สิ่งที่คนเป็นพ่อเป็นแม่อย่างเราจะทำได้ก็คือ การเตรียมรับมือ รู้เท่าทัน พร้อมทั้งหาวิธีการป้องกันต่างหากละ ซึ่งในวันนี้ทีมงาน Amarin Baby & Kids ก็ได้เตรียมหลักปฏิบัติที่คุณพ่อคุณแม่ทุกคนควรทำทุกครั้งก่อนพาลูกน้อยเที่ยวนอกบ้าน มาฝากกันด้วยนะคะ แต่ก่อนที่เราจะไปดูนั้น คุณพ่อคุณแม่บางคนที่มีลูกเล็ก ๆ ก็อาจจะเกิดข้อสงสัยว่า

            อยากพาลูกไปนอกบ้านแต่จะพาออกไปตอนกี่เดือนดีถึงจะปลอดภัย?

            อย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้วนะคะว่า เด็กเล็ก ๆ มักจะมีภูมิต้านทานต่ำ อาจทำให้เกิดความเสี่ยงกับลูกในการได้รับเชื้อต่าง ๆ ได้ง่าย เพราะตลอดระยะเวลาที่ลูกน้อยอยู่ในครรภ์ของคุณแม่ ลูกจะได้รับภูมิคุ้มกันจากแม่ผ่านทางสายสะดือ โดยภูมิกันที่ว่านี้จะมีค่าสูงเทียบเท่ากับของผู้ใหญ่เลยละค่ะ แต่จะค่อย ๆ ลดลงไปเรื่อย ๆ ภายในสองถึงสามเดือน และจะเริ่มสร้างภูมิคุ้มกันด้วยตัวเอง โดยการได้รับกองทัพเสริมนั่นก็คือ พลังของนมแม่นั่นเอง ส่งผลให้ทารกในช่วงสามเดือนแรกนั้น เป็นช่วงที่มีภูมิคุ้มกันต่ำที่สุด จึงยังไม่ควรพาลูกออกนอกบ้านในช่วงนี้ เพราะเสียงต่อการได้รับเชื้อโรคต่าง ๆ ได้ง่าย

            อ่านการเตรียมตัวก่อนพาลูกน้อยออกจากบ้าน

              เลี้ยงลูกตามใจ

              รักและหวังดีจริง! อย่า! เลี้ยงลูกตามใจ

              รักลูกมาก หวังดีกับลูกจริง ๆ ขออย่างเดียว อย่า!! เลี้ยงลูกตามใจ

               

               

              คุณพ่อคุณแม่หลาย ๆ คนที่ตามใจลูกนั้น ส่วนใหญ่แล้วมีสาเหตุมากจากการกลัวลูกไม่รัก เวลาลูกอยากได้อะไร ก็หามาให้ทุกอย่าง และถึงแม้ว่าจะลูกทำตัวไม่น่ารักอย่างไรก็ไม่เคยว่าติเตือนหรือสอนลูกเลย … โดยที่หารู้ไม่ว่าการกระทำเหล่านี้สามารถส่งผลให้กับลูกได้โดยตรง

              ทราบหรือไมคะว่าร้อยละ 88 ของคุณพ่อคุณแม่นั้นยอมรับว่าตนเองตามใจและให้ท้ายลูก

              มิเชล บอร์บา นักการศึกษาและผู้เขียนหนังสือ Don’t Give Me That Attitude! ให้ข้อสังเกตว่า ทุกวันนี้เด็กก่อนวัยเรียนส่วนใหญ่นั้นไม่รู้จักความอดทนกันเลย “หนูจะเอาตอนนี้ และเดี๋ยวนี้” จนส่งผลให้ร้านค้าหรือร้านอาหารบางแห่งที่มักมีผู้บริหารระดับสูงมารับประทานนั้นปฏิเสธที่จะให้บริการกับเด็กที่มีอายุต่ำกว่าหกขวบเข้าใช้บริการ

              ดร.ซัล ซีเวียร์ ผู้เขียนหนังสือเรื่อง How to Behave So Your Preschooler Will, Too! เผยว่า “พ่อแม่บอกกับผมว่า พวกเขารู้สึกผิดต่อลูก เพราะวัน ๆ มัวแต่ทำงาน ยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นเท่าไร พวกเขาจะยิ่งชดเชยด้วยการเอาใจและไม่เจ้าระเบียบกับลูกมากขึ้นเท่านั้น”

              อะไรบ้างที่เรียกว่าการตามใจลูก

                วีรกรรมสุดแสบ

                รวม 15 วีรกรรมสุดแสบ ที่ลูกๆ ชอบแอบทำ!

                วีรกรรมสุดแสบ เชื่อว่าเด็กๆ ทุกคนต้องผ่านวีรกรรมต่างๆ กันมาบ้าง ต่อให้เป็นเด็กเรียบร้อย ว่านอนสอนง่ายขนาดไหน แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นตามสัญชาตญาณของเด็กๆ ก็ต้องมีแอบคุณพ่อคุณแม่ หรือคุณครูทำบ้างในเรื่องที่ถูกห้ามไว้หรือเรื่องที่เคยเห็นผู้ใหญ่ทำนั่นเอง

                Continue reading “รวม 15 วีรกรรมสุดแสบ ที่ลูกๆ ชอบแอบทำ!”

                  เพลงสําหรับคนท้อง

                  รวม 12 เพลงสําหรับคนท้อง ช่วยพัฒนาสมองของทารกในครรภ์ได้

                  เพลงสําหรับคนท้อง เป็นเพลงที่ให้สำหรับคุณแม่เปิดให้ลูกน้อยในครรภ์ฟัง ซึ่งจะช่วยในเรื่องการพัฒนาการสมองของทารก และใช้เพื่อผ่อนคลายสร้างความสุขให้กับคุณแม่ได้

                  Continue reading “รวม 12 เพลงสําหรับคนท้อง ช่วยพัฒนาสมองของทารกในครรภ์ได้”

                    เตือนพ่อแม่ระวัง ภัยหลอกลวง น้ำผลไม้แผงลอย

                    คุณพ่อ คุณแม่คงเคยซื้อน้ำผลไม้คั้นสดที่ขายกันบนรถเข็นแผงลอยริมถนนกันมาบ้าง แล้วจะมั่นใจได้อย่างไร ว่าน้ำผลไม้ที่ซื้อ สด สะอาด ถูกสุขลักษณะอนามัยจริงๆ เรามาชมคลิปที่ถูกแชร์ต่อกันมาในสื่อโซเชียล ที่แอบถ่ายร้าน น้ำผลไม้แผงลอย ร้านหนึ่งที่จอดขายตรงสถานีรถไฟฟ้า

                    Continue reading “เตือนพ่อแม่ระวัง ภัยหลอกลวง น้ำผลไม้แผงลอย”

                      ลูกไม่สบาย

                      แม่ย้ำ! ลูกไม่สบาย ให้รีบหาหมอ!

                      ลูกไม่สบายแม่ย้ำ! ลูกไม่สบาย อย่ามัวแต่หาข้อมูลผ่านทางออนไลน์ ประสบการณ์ตรงเมื่อลูกเป็น H1N1

                       

                       

                      คุณแม่เหมียวเปิดใจกับทีมงาน Amarin Baby & Kids ถึงเรื่องราวเมื่อลูกป่วย พร้อมกับอยากฝากบอกทุกครอบครัว ลูกไม่สบายอย่านิ่งนอนใจ อย่ามัวแต่หาข้อมูลเกี่ยวกับโรคผ่านสื่อออนไลน์ต่าง ๆ ถ้าหากอยากให้ลูกปลอดภัยละก็ ให้รีบนำตัวส่งโรงพยาบาลทันที! โดยคุณแม่ได้เล่าถึงประสบการณ์พร้อมกับตั้งชื่อเรื่องว่า

                      ประสบการณ์ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A ล้มช้าง!!

                      วันที่ 5 สิงหาคม คุณแม่เริ่มรู้ว่าลูกไม่สบาย เพราะมีอาการตัวรุม ๆ ไอนิดหน่อยพอเป็นพิธี ไม่มีน้ำมูกและเสมหะ แต่กินอะไรอาเจียนออกตลอด ประมาณ 5 ทุ่มครึ่ง ลูกเริ่มมีไข้ 38.3°C จึงรีบพาลูกไปหาหมอ แต่หมอวินิจฉัยว่า ลูกอาจจะเป็นไวรัสลงกระเพาะ จึงสั่งยาให้และกลับไปรับประทานที่บ้าน

                      วันที่ 6 สิงหาคม ลูกตัวร้อนอีกครั้ง จึงได้รีบหาปรอทมาวัดไข้ แต่ปรอทกลับมาเสียอีก ทำให้คุณแม่โมโหมาก ยายบอกว่า ตุ้ยนอนไม่ค่อยหลับ ดิ้นไปมา รอประมาณ 8 โมงเช้าพาไปหาหมออีกรอบ หาที่จอดรถไม่ได้บอกสามีส่งทางประตูเดี๋ยวอุ้มลูกลงไปเอง สามีก็กลัวจะอุ้มไม่ไหว วินาทีนั้นหัวอกแม่หนักกว่านี้ก็ต้องไหวอุ้มลูกวิ่งไปเจอพยาบาลวัดไข้ 39.3 °C พยาบาลพาไปเช็ดตัว กินพาราฯ ทันที พบคุณหมอกำพล คุณหมอถามว่าจะแอดมิทไหม ไข้สูงนะ แม่ตอบตกลง เพราะอาการโรคอะไรไม่เด่นชัดไม่มีน้ำมูก ไอน้อยมาก แต่อาเจียนทุกครั้งที่กิน ลูกนอนซบนิ่งไม่หือไม่อือ กลัวชักมาก อยู่กับหมอน่าจะอุ่นใจกว่า ตอนนั้นแม่กลัวว่าจะเป็น RSV กับ ไข้หวัดใหญ่ แต่ลึก ๆ ก็คิดว่าน่าจะเป็นไข้หวัดใหญ่ เพราะ RSV ต้องไอมากกว่านี้ พยาบาลเอาน้ำมูกไปตรวจ และให้กลับบ้านไปก่อนเพื่อรอห้องว่าง

                      ประมาณเกือบเที่ยง ตุ้ยมีจุดเลือดใต้ผิวหนัง ทั้งที่ตอนเช้ายังไม่มี มือสั่นมากขึ้น แม่ไม่รอห้องว่างแล้ว รีบพาไปโรงพยาบาลอีกรอบนึง คุณหมอให้ตรวจเลือดทั้งหมด 3 ชนิด คือ ไข้เลือดออก ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A และ B รวมถึง RSV ด้วย ผลคือ ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A นอนรักษาอยู่ 3 วัน ให้ยาทางสายน้ำเกลือ และกินยาร่วมด้วย ที่สำคัญ คือ ยาต้านไวรัสต้องกินให้ครบ

                      วันที 7 สิงหาคม ช่วงเช้าไข้ลด เหลือ 38.3°C ตกเย็นอุณหภูมิปกติแล้ว เริ่มกินข้าวได้นิดหน่อย ยืนบ้าง เดินได้บ้าง

                      วันที่ 8 สิงหาคม ทุกอย่างปกติ มีไอนิดหน่อย คุณหมอให้กลับบ้านได้ เย้!! ตุ้ยร่างเริงมาก มีกระโดดโชว์ด้วย ประกัน

                      คุณแม่เหมียวกล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า สาเหตุที่น้องตุ้ยฟื้นตัวได้เร็วนั้นเป็นเพราะตุ้ยฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ไว้ และแม่ไม่นิ่งนอนใจสังเกตอาการลูกตลอด หากพบว่ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นกับลูกละก็ แนะนำให้คุณแม่รีบพาน้องไปหมอในโรงพยาบาลมากกว่ามานั่งหาคุณหมอออนไลน์

                      ทำอย่างไรดีเมื่อลูกเป็นไข้?


                      เครดิตเรื่องและรูปภาพ: คุณแม่เหมียว

                        สีเสื้อประจําวัน

                        แฟชั่นชุดคู่แม่ลูกสุดน่ารัก พร้อมเทคนิคเลือกเสื้อผ้าตามวันเสริมราศี

                        เสื้อคู่ ชุดเหมือน เมื่อคุณแม่ใส่คู่กับลูกๆ หรือจะใส่กันแบบพ่อแม่ลูก เป็นชุดครอบครัว ก็ดูน่ารักดี! …ทั้งนี้การเลือกใส่เสื้อผ้าตาม สีเสื้อประจําวัน ที่ถูกโฉลกนั้น ยังจะช่วยเสริมดวงให้คุณพ่อคุณแม่และลูกน้อยได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ อำนาจ โชคลาภ วาสนา บารมี เงินทอง ความรัก ฯลฯ Continue reading “แฟชั่นชุดคู่แม่ลูกสุดน่ารัก พร้อมเทคนิคเลือกเสื้อผ้าตามวันเสริมราศี”

                          ไข้หวัดใหญ่ระบาด

                          ผู้ว่าฯ กทม. เตือน! ไข้หวัดใหญ่ระบาด หนัก!

                          ผู้ว่าฯ กทม.เตือนประชาชน! ให้เตรียมพร้อมรับมือภายหลังพบว่า ไข้หวัดใหญ่ระบาด หนักในช่วงนี้!

                           

                           

                          ภายหลังจากที่ พล.ต.อ. อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯ กทม. ได้ทราบว่ามีการระบาดอย่างหนักของโรค โดยนับตั้งในช่วงระหว่างเดือนมกราคม – พฤษภาคม 2560 เฉลี่ยนเดือนละ 1,000 ราย ต่อมาในระหว่างเดือนมิถุนายน – กรกฎาคม 2560 นั้นมีผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นเดือนละกว่า 3,000 ราย ทั้งนี้โดยรวมตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมถึงวันที่ 17 กรกฎาคมนั้น มีผู้ป่วยสะสมในกรุงเทพมหานครจำนวน 12,838 ราย แต่โชคดีที่ยังไม่พบว่ามีผู้เสียชีวิตจากโรคดังกล่าวนี้

                          โดยกลุ่มอายุผู้ป่วยที่พบมากที่สุดก็คือ เด็กเล็กตั้งแต่แรกเกิดไปจนถึง 14 ปี!

                          ทำความรู้จักกับ “สายพันธุ์ H3N2”

                          ไข้หวัดใหญ่ชนิดนี้เป็นการแพร่ระบาดจากคนสู่คน เกิดจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิด A (H3N2) สายพันธุ์สวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งผู้ป่วยนั้นจะมีอาการคล้ายกับโรคไข้หวัดใหญ่ทั่วไป แต่จะมีความรุนแรงมากกว่า! 

                          ผู้ว่าฯ กทม.ยังได้กล่าวต่อไปอีกว่าได้จัดให้มีการรณรงค์การฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ในกลุ่มเสี่ยงแล้ว

                          กลุ่มเสียงมีใครบ้าง คลิก!


                          เครดิต: มติชน

                            อยากมีลูก

                            5 ท่าบริหารสำหรับ “คนอยากมีลูก”

                            คนอยากมีลูก แทบทุกคนไม่ว่าใครจะบอกว่าท่าไหนที่ว่าดีก็จัดหมดก็ยังไม่ได้ผล ถ้าอย่างนั้นลอง 5 ท่านี้!

                            สำหรับคู่รักใดที่แต่งงานแล้ว แล้วกำลังพยายามที่จะมีน้องกันอยู่ หรือแต่งงานมาหลายปีแล้ว แต่ก็ยังทำไม่สำเร็จ ทราบหรือไม่คะว่า สาเหตุนั้นนอกจากจะเป็นเพราะการมีอายุมากแล้ว ยังเกิดจากสิ่งเหล่านี้ได้อีก
                            1. มีการทำการบ้านน้อยลง
                            2. ปฏิบัติภารกิจไม่ตรงกับช่วงที่ไข่ตก เพราะไข่ที่ตกแล้วจะมีอายุอยู่ได้เพียง 24 ชั่วโมง
                            3. มีปัญหาเกี่ยวกับมดลูก ท่อนำไข่ และรังไข่ เช่น เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ เนื้องอกมดลูกเป็นต้น
                            4. ฝ่ายชายมีโรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคหัวใจ
                            5. ฝ่ายชายเคยเป็นคางทูมหรือลูกอัณฑะอักเสบ อาจจะทำให้มีอสุจิน้อยลง
                            6. สามีสูบบุหรี่และดื่มสุรามากเกินไป
                            เป็นต้น
                            ซึ่งวันนี้เราจะขอพูดถึงแต่สาเหตุของการไม่มีลูกอันเกิดจาก “มดลูก” กันนะคะ เพราะว่ามดลูกและรังไข่คือ อวัยวะสำคัญของความเป็นผู้หญิงเป็นแหล่งผลิตฮฮร์โมนเพศที่สำคัญต่อสุขภาพของเรา ถ้ามดลูกดี เราก็มีฮอร์โมนที่สมดุล แต่การที่จู่ ๆ จะนั่งเฉย ๆ แล้วให้มดลูกสมดุลเองนั้น คงเป็นไปได้ยาก ดังนั้น ทีมงาน Amarin Baby & Kids จึงอยากจะขอนำเสนอ 5 ท่าโยคะกระชับมดลูกมาฝากกันค่ะ

                            ท่าโยคะ สำหรับใครที่อยากมีลูก คลิก!

                              โรคมือเท้าปาก

                              ทำไมเด็ก ๆ ถึงชอบเป็น โรคมือเท้าปาก

                              โรคมือเท้าปาก โรคร้ายที่มักแพร่ระบาดในเด็กเล็ก โรคที่ไม่มีแม้แต่ยารักษา …

                               

                              คงไม่ต้องพูดอะไรกันมากมายถึงโรคร้ายไหนบ้างที่คุณพ่อคุณแม่หลาย ๆ คนต่างกันหวาดกลัว เพราะถ้าหากจะต้องให้เรียงชื่อของโรคมาจริง ๆ แล้วละก็จะต้องมี โรคไข้หวัดใหญ่ โรคเฮอร์แปงไจน่า และ โรคมือเท้าปาก เป็นแน่ โดยโรคนี้จัดเป็นโรคระบาดร้ายแรงที่มีประวัติการเสียชีวิตของเด็กมาแล้ว สืบเนื่องจากมีอาการทางสมองร่วมด้วย

                              เภสัชกรอุทัย สุขวิวัฒน์ศิริกุล เภสัชกรชื่อดังเจ้าของเพจ สาระสุขภาพยาน่ารู้โดยเภสัชกรอุทัย ก็ได้ชี้แจงถึงสาเหตุที่คุณพ่อคุณแม่หลาย ๆ คนต่างพากันสงสัยว่า ทำไมหนอ!! … เด็กเล็ก ๆ ถึงมักชอบป่วยเป็น โรคมือเท้าปาก

                              ทำไมเด็ก ๆ ถึงชอบเป็น โรคมือเท้าปาก

                              โรคมือเท้าปากเปื่อย หรือ Hand foot mouth syndrome นั้นเกิดจาก เชื้อไวรัสลำไส้หรือไวรัสกลุ่มเอนเทอโรไวรัส ที่บอกเลยค่ะว่า โรคนี้ไม่ได้มีแค่สายพันธุ์เดียว! และในแต่ละสายพันธ์นั้นก็มีความน่ากลัวโดดเด่นไม่แพ้กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เอนเทอโรไวรัส 71 (Enterovirus 71) หรือเรียกกันสั้น ๆ ว่า EV71 ที่วงการแพทย์นั้นจัดให้เป็นสายพันธุ์ที่รุนแรงที่สุด และมีการแพร่ระบาดหนักในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเจ้าสายพันธุ์นี้นี่แหละค่ะ ที่เป็นสาเหตุให้มีเด็กเสียชีวิตเมื่อปีก่อน

                              การระบาดของเชื้อเอนเทอโรไวรัส 71 นั้นพบได้ทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตร้อนและเขตอบอุ่น และพบมากในฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วง มักระบาดในประเทศไต้หวันและประเทศมาเลเซีย เป็นโรคที่พบการแพร่ระบาดได้ตลอดทั้งปี โดยเฉพาะอยากยิ่งในช่วงฤดูฝนซึ่งอากาศมักเย็นและชื้น

                              อ่านวิธีการแพร่ระบาดและอาการของโรคมือเท้าปาก

                                คลอดลูกง่าย ต้องกินอะไร

                                อยาก คลอดลูกง่าย ต้องกินอะไร?

                                คลอดลูกง่าย ต้องกินอะไร เป็นเรื่องที่แม่ท้องมือใหม่ส่วนใหญ่มักจะขอเป็นข้อแรกๆ กันมากที่สุด เพราะต่างก็มีความกังวลปนความกลัว พร้อมกันไปด้วย ยิ่งถ้าเป็นท้องแรกไม่เคยมีประสบการณ์คลอดกันมาก่อนก็ยากที่จะทำใจให้สงบนิ่งได้ค่ะ ดังนั้นเพื่อเป็น กำลังใจ และช่วยให้คุณแม่คลอดลูกกันง่ายๆ ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีเคล็ดลับมาฝากกันค่ะ

                                 

                                คลอดลูกง่าย ต้องกินอะไร

                                ผู้เขียนมีเพื่อนๆ ที่เพิ่งท้องแรกมาถามบ่อยมากว่าอยาก คลอดลูกง่าย ต้องกินอะไร แนะนำกันบ้างไหม เพราะกลัวกับการต้องเข้าห้องคลอด กลัวเจ็บท้องนานแล้วจะทนไม่ไหว ฯลฯ เจอคำถามแล้วรู้เลยว่ากังวลใจกันมาก การตั้งท้องครั้งแรกเป็นประสบการณ์ใหม่ในชีวิต ที่นอกจากจะต้องเจอกับบทพิสูจน์ความเป็นแม่ตลอดการอุ้มท้อง 9 เดือนแล้ว ช่วงวินาทีสำคัญก็คือเวลาของการคลอดลูก ที่เชื่อว่าแม่ๆ หลายคนได้รับรู้เรื่องราววินาทีการคลอดมาจากคนที่เคยมีประสบการณ์มาก่อน ซึ่งก็เป็นธรรมดาที่พอได้ยินได้ฟังแล้วก็เกิดความกลัวขึ้นมา

                                 

                                บทความแนะนำ คลิก>> วางแผนคลอด เตรียมตัวดีมีชัยไปกว่าครึ่ง

                                 

                                จริงๆ การคลอดลูกไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอะไรเลยค่ะ เพราะร่างกายของผู้หญิงถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้สามารถอุ้มท้อง และคลอดลูกได้ตามกลไกธรรมชาติ และปัจจุบันเครื่องไม้เครื่องมือ และบุคลากรทางการแพทย์ก็มีความพร้อมและเชี่ยวชาญในการทำคลอดได้อย่างปลอดภัยค่ะ

                                 

                                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                วิธีคลอดลูกที่ปลอดภัย?

                                วิธีการคลอดลูกมีทั้ง “คลอดธรรมชาติ” และ “ผ่าคลอด” ซึ่งก็จะขึ้นอยู่กับการประเมินสถานการณ์จาก แพทย์ว่าคุณแม่ควรคลอดลูกด้วยวิธีใด ถ้าไม่ได้มีปัญหาสุขภาพ หรือภาวะแทรกซ้อนที่จะส่งผลต่อทารก และแม่ โดยมากแล้วหมอก็จะให้เบ่งคลอดเอง เอาเป็นว่าเราไปดูกันอีกครั้งว่าการคลอดทั้ง 2 วิธีนี้ดีแตกต่างกันตรงไหนบ้าง

                                ข้อดีของการผ่าคลอด

                                • กำหนดเวลาคลอดได้และใช้เวลาไม่นาน
                                • สะดวกและมีเวลาเตรียมตัวแต่เนิ่นๆ
                                • ไม่รู้สึกเจ็บปวดขณะคลอด
                                • เหมาะสำหรับผู้มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ เช่น เด็กตัวใหญ่ น้ำคร่ำน้อย ความดันโลหิตสูง เป็นต้น
                                • ค่อนข้างปลอดภัยเพราะเทคโนโลยีทางการแพทย์ก้าวหน้าขึ้นมาก
                                • ทำหมันได้ทันทีหลังคลอด
                                คลอดลูกง่าย ต้องกินอะไร
                                Credit Photo : Shutterstock

                                ข้อเสียของการผ่าคลอด

                                • อาจเสียเลือดมากขณะผ่าตัด และมีภาวะแทรกซ้อนจากการดมยา
                                • เกิดภาวะแทรกซ้อนในการเจ็บครรภ์ที่สอง เช่น แผลมดลูกปริแตก
                                • เจ็บแผลผ่าคลอดนานหลายสัปดาห์ เพลียและเหนื่อยง่ายกว่า
                                • ไม่สามารถให้นมลูกได้ทันที
                                • ค่าใช้จ่ายในการทำคลอดแพงกว่า
                                • ทารกมีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นภูมิแพ้หรือป่วยง่ายกว่า
                                บทความแนะนำ คลิก>> คลอดไม่ตรง กำหนดคลอด ลูกจะปลอดภัยไหม?

                                ข้อดีของการคลอดธรรมชาติ

                                • ฟื้นตัวหลังคลอดเร็ว ไม่เพลียหรือเหนื่อยเกินไป ปวดแผลน้อยกว่า และสามารถให้นมลูกได้ทันที
                                • ไม่มีภาวะแทรกซ้อนจากการดมยา และเสียเลือดน้อยกว่าการผ่าตัดคลอด
                                • ค่าใช้จ่ายในการทำคลอดถูกกว่า
                                • ไม่มีความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อนในการเจ็บครรภ์ครั้งต่อไป เช่น แผลมดลูกปริแตก
                                • ทารกที่คลอดทางช่องคลอดจะได้รับจุลินทรีย์หรือจุลชีพที่มีประโยชน์ทำให้มีภูมิต้านทาน ร่างกายแข็งแรง และช่วยขับน้ำในปอดออกได้

                                ข้อเสียของการคลอดธรรมชาติ

                                • ใช้เวลาคลอดนาน และกำหนดเวลาไม่ได้ ทำให้ไม่สามารถเตรียมตัวได้
                                • เจ็บปวดขณะคลอดมากและใช้เวลานานกว่าจะคลอด
                                • เจ็บแผลฝีเย็บ
                                • อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนบางอย่างจนต้องผ่าตัดฉุกเฉิน เช่น คลอดติดไหล่
                                • อาจมีปัญหาเกี่ยวกับการปัสสาวะหรืออุจจาระหลังคลอด
                                • กระบังลมอาจหย่อนยาน หากผ่านการตั้งครรภ์หลายครั้ง ต้องรักษาด้วยการผ่าตัด

                                 

                                อ่านต่อ กินอะไรให้คลอดลูกง่าย หน้า 2

                                 

                                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                  แม่ไม่เก่งภาษา ฝึกภาษาลูกให้สำเร็จ

                                  แม่ไม่เก่งภาษา ฝึกภาษาลูกให้สำเร็จ ได้อย่างไร?

                                  แม่ไม่เก่งภาษา ฝึกภาษาลูกให้สำเร็จ ได้นะ พอพูดแบบนี้อาจทำให้คุณแม่หลายๆ คนเกิดคำถามขึ้นในใจว่าจะเป็นไปได้ เหรอ? จะสอนยังไง ขนาดตัวเราไม่เข้าใจ แล้วลูกจะเข้าใจที่เราสอนได้ยังไง? จริงๆ เป็นได้นะคะ เอาเป็นว่าคุณพ่อคุณแม่ลองไปดูวิธีที่จะสอนลูกเก่งภาษาที่เริ่มจากความไม่เก่งภาษาของพ่อแม่ ที่ทีมงาน Amarin Baby & Kids นำมาฝากกันค่ะ

                                   

                                  แม่ไม่เก่งภาษา ฝึกภาษาลูกให้สำเร็จ ไม่ใช่เรื่องยาก

                                  อยากที่บอกไปคะว่าถึงแม้ว่า แม่จะไม่เก่งภาษา ฝึกภาษาลูกให้สำเร็จ ได้ไม่อยากและก็ไม่เกินความสามารถของคนเป็นแม่ได้ค่ะ อย่างพี่สาวของผู้เขียนก็ไม่ได้เก่งภาษา แต่ชอบที่จะให้ลูกได้พูดภาษาอังกฤษกันในชีวิตประจำวันง่ายๆ อย่างเข้าใจ ซึ่งเริ่มต้นจากสิ่งใกล้ตัวก็คือ ทีวี พอหลานๆ อายุเกิน 5 ขวบ ช่วงที่เขาเริ่มเข้าเตรียมอนุบาล ครอบครัวเราให้ดูการ์ตูนภาษาอังกฤษ ให้ดูรายการเด็กของเมืองนอกที่เป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นการพูดสนทนาด้วยคำศัพท์ง่ายๆ ที่เด็กเข้าใจได้ง่าย พ่อแม่ก็ได้รื้อฟื้นความเข้าใจภาษา คำศัพท์ที่เคยลืมๆ กันไปแล้วได้อีกด้วย

                                  ที่พูดอย่างนี้หมายความว่าก็ในเมื่อแม่อ่อนภาษา ก็ดูรายการทีวีสำหรับเด็กที่เป็นโปรแกรมภาษาอังกฤษไปพร้อมกันกับลูกเลย ลูกได้ฝึกภาษาแม่ก็ได้ฝึกด้วย คืออันนี้ได้ผลดีจริงสำหรับครอบครัวของผู้เขียนเอง ลองทำตามได้ค่ะ

                                   

                                  บทความแนะนำ คลิก>> วิธีการปั้นลูกให้เป็นเด็ก 3 ภาษา

                                   

                                  และเพื่อให้การฝึกภาษาให้ลูกที่เริ่มจากการที่แม่ก็ไม่ได้เก่งภาษา ทำแล้วได้ผลลัพธ์ที่ดีต่อตัวของลูก ผู้เขียนมีเคล็ดลับดีๆ จาก คุณหมอภา ทพญ.จีรภา ประพาศพงษ์ ซึ่งคุณหมอได้ให้คำแนะนำในการฝึกภาษาลูกให้สำเร็จได้ แม้แม่จะได้เก่งภาษา ดังนี้ค่ะ

                                  อ่านต่อ เริ่มสอนภาษาให้ลูกอย่างไร ถ้าแม่ไม่เก่งภาษา หน้า 2 

                                   

                                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                    Tags

                                    หมอเตือนการแปรงฟันลูก

                                    แปรงฟันลูก ต้องแปรงแบบนี้สิ! ถึงจะถูก

                                    หลายคนส่วนใหญ่ แปรงฟันลูก ด้วยวิธีการแปรงขึ้นและแปรงลง … ล่าสุดหมอแนะ! แปรงให้ถูกต้องแปรงแบบนี้

                                     

                                     

                                    เพราะเด็กเล็ก ๆ ไม่สามารถแปรงสีฟันได้ ทำให้คุณพ่อคุณแม่ต้องเอื้อมมือเข้าช่วย เพราะอยากให้มีฟันที่ขาวสะอาด ฟสวยและแข็งแรง และการปฏิบัตินั้นก็ควรต้องเริ่มทำตั้งแต่ลูกยังเล็ก … คุณพ่อคุณแม่หลาย ๆ คนอาจจะ แปรงด้วยการแปรงแบบขึ้น ๆ ลง ๆ แต่ไฉนคุณหมอฟันถึงบอกว่า ยังไม่ถูกต้องดี จะแปรงฟันให้ลูกทั้งที ต้องแปรงให้ถูกต้องแบบ Horizontal Scrub !

                                    แปรงฟันลูก แบบ Horizontal Scrub คืออะไร?

                                    อาจารย์ ทันตแพทย์หญิง ฤดี สกุลรัชตะ ได้กล่าวแนะนำถึง วิธีการแปรงฟันที่ถูกต้องสำหรับเด็กเล็กที่มีอายุต่ำกว่า 11 ปีว่า การแปรงฟันที่ง่ายและมีประสิทธิภาพสำหรับเด็กเล็กนั้นคือ คนิคการแปรงที่เรียกว่า Horizontal scrub

                                    ซึ่งวิธีการแปรงนั้น เป็นการแปรงแบบแนวนอน และขยับสั้น ๆ ประมาณสิบครั้งต่อตำแหน่งถึงจะขยับเลื่อนเพื่อไปแปรงฟันซี่ต่อไป โดยทำเป็นลำดับจากซ้ายไปขวา และต้องแปรงทั้งด้านนอกและด้านใน

                                    ส่วนบริเวณฟันกรามนั้น จะต้องแปรงด้านบดเคี้ยวด้วยการวางแปรงลงตรง ๆ ให้ปลายขนแปรงวางอยู่บนด้านบดเคี้ยวของฟัน และขยับแปรงสั้น ๆ ไปมา 20 ครั้ง  จากนั้นให้ลูกแลบลิ้นออกมายาว ๆ และแปรงลิ้นเบา ๆ โดยการลูบออกจากด้านในสู่ด้านนอกหลายๆครั้ง จากนั้นให้เด็กบ้วนปากแต่น้อย เพื่อให้ฟลูออไรด์ของยาสีฟันยังคงเหลืออยู่ในช่องปากมากที่สุด สุดท้ายให้คุณพ่อคุณแม่ใช้ไหมขัดฟัน ทำความสะอาดบริเวณซอกฟันที่ติดกันทั้งฟันหน้าและฟันหลังไล่ไปตามลำดับเหมือนลำดับการแปรงฟันทั่วทั้งช่องปาก

                                    ดูวิธีการลำดับการแปรงฟันลูกให้ถูกต้อง