คลอดก่อนกำหนดเพราะน้ำคร่ำเยอะ

ลูกน้อยคลอดก่อนกำหนด เพราะมีน้ำคร่ำมากไป

จากประสบการณ์ของคุณแม่ที่โพสต์เอาไว้ เมื่อลูกน้อย คลอดก่อนกำหนดเพราะน้ำคร่ำเยอะ คุณแม่ขอกำลังใจจากแม่ๆ เพื่อช่วยให้ลูกน้อยปลอดภัย ลูกน้อยของคุณแม่คลอดเมื่อคุณแม่ท้องได้ 25 สัปดาห์ 5 วันเท่านั้น (ประมาณ 6 เดือน) ด้วยน้ำหนัก 920 กรัม เมื่อวันที่ 10 มีนาคมที่ผ่านมา

Continue reading “ลูกน้อยคลอดก่อนกำหนด เพราะมีน้ำคร่ำมากไป”

    คุณแม่ท้อง ออกกำลังกาย ได้ไหม?

    คุณแม่ท้องออกกำลังกายได้ไหม หากกำลังสงสัยว่า แม่ท้อง ออกกำลังกาย ได้ไหม ออกกำลังกายแบบไหนปลอดภัย และต้องระวังการออกกำลังกายแบบใดบ้าง เรามีคำตอบและคำแนะนำดีๆ ที่คุณแม่ตั้งครรภ์ทุกท่านจะนำไปใช้ได้จริงค่ะ

    แม่ท้อง ออกกำลังกาย ได้ไหม

    แม่ท้อง ออกกำลังกาย

    แม่ท้อง ออกกำลังกาย ได้ประโยชน์

    การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอขณะตั้งครรภ์เป็นสิ่งที่คุณแม่ท่องสามารถทำได้แน่นอนค่ะ แถมยังเป็นสิ่งที่ดีต่อการตั้งครรภ์อีกด้วย เพราะจะช่วยให้คุณแม่มีสุขภาพดีส่งผลต่อสุขภาพและพัฒนาการที่ดีของลูกน้อยในครรภ์อีกด้วย โดยประโยชน์ของการออกกำลังกายกับแม่ท้อง นั่นคือ

    • ช่วยยืดเหยียดกล้ามเนื้อให้มีความยืดหยุ่น รองรับร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไปขณะตั้งครรภ์
    • ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อและข้อต่อต่างๆ จากการที่คุณแม่ต้องรับน้ำหนักตัวที่มากขึ้น และเป็นการเตรียมพร้อมร่างกายเพื่อการคลอด
    • ขณะออกกำลังกาย ระบบการไหลเวียนเลือดและการถ่ายเทออกซิเจนของคุณแม่จะทำงานได้ดีส่งผลให้เจ้าตัวเล็กในท้องคุณแม่เติบโตดีและแข็งแรงไปด้วย
    • ช่วยกระตุ้นพัฒนาการและประสาทสัมผัสของลูกน้อย เนื่องจากการเคลื่อนไหวของคุณแม่จะทำให้ลูกน้อยที่อยู่ในถุงน้ำคร่ำในครรภ์ได้เคลื่อนไหวหรือขยับไปมาด้วย
    • เพิ่มการหลั่ง สารสุข (เอนดอร์ฟิน) เวลาที่คุณแม่ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ทำให้คุณแม่รู้สึกสดชื่นแจ่มใสอารมณ์ดี และลูกน้อยในครรภ์ก็จะรู้สึกดีตามไปด้วย
    • ลดอาการท้องผูกขณะตั้งครรภ์ และลดอาการปวดหลัง หรือปวดเมื่อยต่างๆ ได้
    • ช่วยคุณแม่ในการควบคุมน้ำหนักในระหว่างตั้งครรภ์ให้เพิ่มขึ้นอย่างสมดุล
    • ช่วยให้คุณแม่สามารถลดน้ำหนักกลับคืนสู่สภาพเดิม มีรูปร่างเหมือนกับตอนก่อนท้องได้โดยเร็ว
    • ช่วยให้คุณแม่นอนหลับในช่วงที่ตั้งครรภ์ได้สบายมากขึ้น

    ปรึกษาแพทย์ก่อนออกกำลังกาย

    แม้คุณแม่จะสามารถออกกำลังกายได้ในขณะตั้งครรภ์ แต่ก่อนที่คุณแม่จะเริ่มออกกำลังกาย ควรปรึกษาสูติแพทย์ที่ฝากครรภ์ก่อนค่ะว่า การตั้งครรภ์ครั้งนี้ปกติ ไม่มีความเสี่ยงใดๆ เช่น อายุคุณแม่ยังไม่เกิน 35 ปี ไม่มีประวัติการแท้ง ไม่มีโรคประจำตัว ร่างกายคุณแม่แข็งแรง ไม่มีภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ซึ่งหากปรึกษาคุณหมอแล้ว คุณแม่สามารถออกกำลังกายได้ ก็ควรลงมือออกกำลังกายได้เลยค่ะ

    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

     

    ติดตาม ออกกำลังกายแบบไหน แม่ท้องทำได้ คลิกต่อหน้า 2

      ตั้งครรภ์เกินกำหนด อย่าชะล่าใจ นั่นหมายถึง ครรภ์เสี่ยงสูง

      ตั้งครรภ์เกินกำหนด ใครว่าเป็นเรื่องน่าดีใจ โดยปกติแล้ว กำหนดคลอดของทุกคน หลังจากปฏิสนธิในครรภ์แม่ เมื่อนับจากประจำเดือนครั้งสุดท้าย คือ ตั้งครรภ์ 9 เดือนกับอีก 1 สัปดาห์ หรือ 40 สัปดาห์ หรือ 280 วัน หากใครตั้งครรภ์เกิน 9 เดือน กับ 3 สัปดาห์ หรือ 42 สัปดาห์ หรือ 294 วัน ถือว่าตั้งครรภ์เกินกำหนด

      ครรภ์เกินกำหนด

      ตั้งครรภ์เกินกำหนด อย่าชะล่าใจ นั่นหมายถึง ครรภ์เสี่ยงสูง

      ย้อนกลับไปในสมัยโบราณ คนที่ตั้งครรภ์เกินกำหนด หรือที่เรียกว่า ท้องหนัก นั้นมีมากมาย บางคนอ้างว่าตั้งครรภ์เป็นปี แต่ในความเป็นจริงไม่ได้มีการกำหนดวันคลอดอย่างชัดเจน บางคนประจำเดือนมาไม่ปกติ ปีละครั้งก็มี ด้วยเหตุที่สมัยก่อนไม่มีอัลตราซาวนด์ช่วยตรวจว่าท้องได้กี่เดือน อัตราการ ตั้งครรภ์เกินกำหนด จึงมีสูงมาก

      วกกลับมายังปัจจุบัน หากไม่ได้ตรวจด้วยเครื่องอัลตร้าซาวนด์ จะพบครรภ์เกินกำหนดมากถึงร้อยละ 7 ในขณะที่ตรวจด้วยเครื่องอัลตราซาวนด์จะพบครรภ์เกินกำหนดจริงๆ ไม่เกินร้อยละ 2

      แล้วครรภ์เกินกำหนดส่งผลยังไงบ้าง แต่ที่แน่ๆ ไม่ใช่เรื่องน่าดีใจเลยสักนิด เพราะ ตั้งครรภ์เกินกำหนด คือ ครรภ์เสี่ยงสูงนั่นเอง

      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

       

      หากตั้งครรภ์เกินกำหนด รกจะแก่ น้ำคร่ำจะน้อย

      รกไม่สามารถให้อาหารทารกได้ดี ทารกส่วนใหญ่กว่า ร้อยละ 90 จึงขาดอาหาร ขาดออกซิเจน ผลที่ทารกได้รับ

      • หน้าตาจะเหมือนลูกลิง
      • มีผิวหนังเหี่ยวย่น
      • ผิวหนังลอกเป็นแผ่นๆ เป็นชั้นๆ
      • ผิวแห้งมีขี้เทาฉาบอยู่
      • สะดือเปื่อยจนแทบขาดออกจากตัว

      ติดตาม เหตุใดถึงตั้งครรภ์เกินกำหนด คลิกต่อหน้า 2

        สารพัน ความเชื่อ คนท้อง ที่ควรฟังหูไว้หู

        มีความเชื่อมากมายเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ที่ตกทอดมาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายาย แม้ทุกวันนี้โลกจะพัฒนาไปไกล ความเจริญทางเทคโนโลยีไหลบ่าจนตั้งรับแทบไม่ทัน แต่ความเชื่อเหล่านี้ก็ยังคงอยู่ ซึ่ง ความเชื่อ คนท้อง ที่ว่านี้มีอะไรบ้าง ควรยึดถือปฏิบัติได้มากน้อยแค่ไหน มาคิดวิเคราะห์ไปพร้อมๆ กันค่ะ

        สารพัน ความเชื่อ คนท้อง ที่ควรฟังหูไว้หู

        ความเชื่อ คนท้อง

        ความเชื่อ คนท้อง เรื่องเพศของลูกในท้อง

        มีความเชื่อ ของแม่ท้องเรื่องการทำนายเพศมากมาย หลายข้อก็คงเคยได้ยินกันมาอย่างคุ้นหู ไม่ว่าจะเป็น

        • สะดือคว่ำเป็นลูกชาย สะดือหงายเป็นลูกสาว
        • ท้องเอียงไปด้านขวาเป็นลูกชาย เอียงไปด้านซ้ายเป็นลูกสาว
        • ลูกดิ้นด้านขวาเป็นลูกชาย ลูกดิ้นด้านซ้ายเป็นลูกสาว
        • ท้องแหลมเป็นลูกชาย ท้องกลมเป็นลูกสาว
        • แม่หน้าสวย ผ่อง ได้ลูกสาว แม่หน้าสิวเขรอะ โทรมขั้นสุด ได้ลูกชาย
        • ฝันว่าได้แหวน หรือ ได้พระเป็นลูกชาย ฝันว่าได้ของสวยงาม เป็นลูกสาว

        ความเชื่อ คนท้อง ที่กล่าวมานี้ แทบไม่สัมพันธ์กับความเป็นจริงเลย ยกตัวอย่างเช่น ลักษณะของท้อง ไม่ได้สัมพันธ์กับเพศ ที่ว่าท้องเอียงไปทางนั้นทางนี้จะเป็นเพศชาย เพศหญิง ในความเป็นจริง ท่าของเด็กและขนาดของเด็กเป็นตัวบ่งบอกเพศมากกว่า ส่วนความสดใสของคุณแม่ก็เช่นเดียวกัน ขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในคุณแม่แต่ละคน บางคนสิวเต็มหน้า โผล่ออกมาเป็นลูกสาวก็มีเยอะแยะไป

        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

         

        ติดตาม ความเชื่อ เรื่องการปฏิบัติตัวของคนท้อง คลิกต่อหน้า 2

          เต้านมอักเสบ

          เต้านมอักเสบ ความทรมานที่คนเป็นแม่ไม่อยากเจอ

          เต้านมเป็นแหล่งแรกและแหล่งเดียวที่ผลิตอาหารที่ดีที่สุดสำหรับลูกน้อย โดยธรรมชาติของร่างกายคุณแม่จะสร้างระบบการทำงานของเต้านมให้มีพัฒนาการเตรียมความพร้อมในการผลิตน้ำนมเป็นระยะ ตั้งแต่ตั้งครรภ์ ก่อนคลอด จนกระทั่งหลังคลอด โดยช่วงแรกของการตั้งครรภ์ เต้านมจะเริ่มขยาย และลานนมเริ่มมีสีเข้มขึ้น จากนั้นต่อมน้ำนมจะสร้างสารคัดหลั่ง และเมื่อหลังคลอดที่คุณแม่เริ่มให้ลูกดูดนมได้สัก 2-3 วัน เต้านมก็จะเริ่มผลิตน้ำนมออกมาสมบูรณ์แบบ ซึ่งในแต่ละระยะก็จะมีปัญหาที่แตกต่างกันออกไป อย่างเช่นปัญหา เต้านมอักเสบ ในช่วงหลังคลอด ที่นำมาเสนอในวันนี้

          ก้าวเข้าสู่ภาวะ เต้านมอักเสบ ได้อย่างไร

          ช่วงหลังคลอด ต่อมน้ำนมจะผลิต “หัวน้ำนมหรือน้ำนมเหลือง” ที่อุดมไปด้วยประโยชน์สำหรับลูก และหลังจากคลอด 2-3 วัน จึงจะเริ่มผลิตน้ำนมออกมาอย่างเต็มที่ และช่วงนี้แหละที่คุณแม่อาจเกิดภาวะคัดเต้าจากน้ำนมค้างเต้านานเกินไป หรือบางครั้งผลิตออกมาแต่ถูกระบายออกไม่หมด จึงทำให้เกิดท่อน้ำนมอุดตัน และเป็นสาเหตุของเต้านมอักเสบตามมา

          เต้านมอักเสบติดเชื้อได้อย่างไร

          เต้านมอักเสบ เกิดขึ้นได้หลายสาเหตุ แต่สาเหตุหลัก ๆ ที่มักจะเกิดกับคุณแม่หลังคลอดก็คือ การอุดตันของท่อน้ำนมจนบวม แดง และอักเสบ เนื่องจากต่อมน้ำนมสร้างน้ำนมออกมาเต็มที่ แต่ไม่ได้ถูกระบายออก ทั้งจากที่ลูกไม่ยอมดูด น้ำนมมากแล้วแต่ไม่ได้ปั๊มนมออก หรือการเคลียร์เต้าไม่หมด ทำให้มีน้ำนมค้างเต้าเป็นเวลานานเกินสัปดาห์ จับตัวเป็นก้อนไขมัน จนเต้านมตึงแน่น ส่งผลให้การทำงานภายในท่อน้ำนมเกิดความผิดปกติ เนื้อเยื่อรอบ ๆ เกิดการอักเสบ และหยุดผลิตน้ำนมในที่สุด

          ส่วนอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เต้านมอักเสบก็คือ การติดเชื้อจากผิวหนังบริเวณเต้านม เช่น เป็นแผลที่หัวนมจากการดูดหรือกัด หัวนมแตก แผลจากการกดทับ รอยถลอก เนื่องจากในน้ำนมเป็นแหล่งอาหารที่ดีของเชื้อโรคด้วยเช่นกัน สังเกตได้จากนมแม่เมื่อออกมาเจออากาศภายนอกจะเสีย ดังนั้น หากดูแลทำความสะอาดบริเวณเต้านมไม่ดี เชื้อโรคหรือเชื้อแบคทีเรียก็จะเข้ามาตามหัวนม ท่อน้ำนม และบาดแผลต่าง ๆ ทำให้เกิดการอักเสบได้ง่าย

          เมื่อเป็นเต้านมอักเสบแล้ว หากไม่รีบรักษาอาจลุกลามกลายเป็นฝี ซึ่งอันตรายและรักษายากยิ่งขึ้น โดยอาการฝีที่เต้านมพัฒนามาจากการติดเชื้อเพียงเล็กน้อย แต่ถูกมองข้ามและไม่ได้รักษาอย่างถูกวิธี ทำให้เกิดหนองใต้ผิวหนัง และมีสีคล้ำช้ำเลือดช้ำหนองที่เต้านม หากฝีแตกก็จะมีน้ำเหลืองไหลออกมาจากเต้านมได้ด้วย ดังนั้น หากเริ่มมีอาการเจ็บ ตึง หรือคัดเต้า ควรรีบหาสาเหตุและแก้ไขอย่างเร่งด่วน ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้

          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

           

          อ่านต่อ สัญญาณบอกว่าเต้านมของคุณกำลังอักเสบ คลิกหน้า 2

            ทารกเป็นหวัด

            6 เรื่องที่พ่อแม่ต้องเข้าใจ เมื่อ ทารกเป็นหวัด

            เมื่อ ทารกเป็นหวัด รู้ไหมว่าเด็กแต่ละคนมีโอกาสป่วยเป็นหวัดได้บ่อยครั้งต่างกัน และพ่อแม่มักคิดว่าลูกจะป่วยเป็นหวัดก็แค่ปีละครั้งเฉพาะหน้าฝนเท่านั้น ความจริงคือเด็กทุกคนสามารถป่วยเป็นหวัดได้ตลอดปี ซึ่งที่เป็นแบบนี้ก็เนื่องมาจากเด็กแต่ละคนมีภูมิคุ้มกันโรคไม่เหมือนกัน ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีเรื่องที่พ่อแม่ควรรู้เมื่อ ลูกเป็นหวัด มาให้ทราบกันค่ะ

             

            เมื่อ ทารกเป็นหวัด – โรคหวัดคืออะไร?

            โรคหวัด (Common cold) ที่เราจะพูดกันถึงนี้คือโรคหวัดธรรมดาที่ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ก็สามารถเจ็บป่วยได้เหมือนกันโดยเฉพาะกับเด็กๆ ที่มักพบว่าป่วยเป็นหวัดได้บ่อยถึงปีละ 6-8 ครั้ง ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าเด็กมีภูมิคุ้มกันโรคต่ำกว่าผู้ใหญ่ จึงทำให้ ทารกเป็นหวัด ได้บ่อย และอย่างที่บอกค่ะว่าโรคหวัดสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดทั้งปี ไม่ใช่เฉพาะกับหน้าฝน หรือหน้าหนาวเท่านั้น

             

            Must Read >> ไข้ หรือ ตัวร้อน เรื่องที่พ่อแม่ต้องรู้ และดูอาการลูกให้เป็น!!

             

            โรคหวัดมักเกิดจากการติดเชื้อไวรัส ที่ทำให้เกิดการอักเสบของอวัยวะระบบทางเดินหายใจ ซึ่งไวรัสที่พบว่าก่อโรคหวัด ก็คือ กลุ่มไรโนไวรัส (Rhinoviruses) และ โคโรนาไวรัส(Coronaviruses)

             

            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

            ทารกเป็นหวัด

            ทารกเป็นหวัด มีอาการอย่างไร?

            เมื่อ ทารกเป็นหวัด พ่อแม่มือใหม่มักมีความสับสนปนไม่แน่ใจว่าลูกเป็นหวัดธรรมดา หรือเป็นไข้หวัดใหญ่ สำหรับโรคหวัด สามารถสังเกตอาการได้ดังนี้…

            • เด็กที่ป่วยเป็นหวัดธรรมดา มักจะไม่มีอาการรุนแรงมาก
            • เด็กจะมีไข้ แต่ไม่สูง คือเมื่อวัดไข้อุณหภูมิร่างกายมักจะไม่เกิน 38 องศาเซลเซียส
            • เด็กจะมีอาการปวดศีรษะ ปวดเมื่อยเนื้อตัว
            • เด็กจะมีน้ำมูกใส คัดจมูก และมีการจาม
            • เด็กจะมีอาการไอ และเจ็บคอ
            • เด็กบางคนอาจมีอาการท้องเสียร่วมด้วย

            ไข้หวัดธรรมดา จากการติดเชื้อไวรัส มักจะทำให้ลูกมีไข้ คัดจมูก น้ำมูกไหล เจ็บคอ ส่วนใหญ่เป็นอยู่ประมาณ 5-7 วัน แล้วก็จะค่อยๆ มีอาการดีขึ้นจนหายเป็นปกติ โดยส่วนใหญ่เมื่อ ทารกเป็นหวัด แล้วไปพบคุณหมอหากเป็นไม่มาก อาจได้รับยามาทานต่อที่บ้าน ซึ่งมักจะเป็นยาลดไข้สำหรับเด็กเพื่อช่วยบรรเทาอาการไข้

            สำหรับโรคหวัดที่เกิดขึ้นกับลูกเล็กๆ นั้น พ่อแม่สามารถดูแลรักษาอาการหวัดให้ลูกดีขึ้นจนหายจากหวัดได้ ซึ่ง แพทย์หญิงปุษยบรรพ์ สุวรรณคีรี กุมารแพทย์โรคระบบทางเดินหายใจและเวชบำบัดวิกฤต จากเพจ Dr.Pam book club(1) ได้ให้ความรู้พ่อแม่ในการดูแลลูกเล็กเมื่อ ลูกป่วยเป็นหวัด ให้ได้เข้าใจกันอย่างถูกต้อง มีดังนี้

            6 เรื่องที่พ่อแม่ต้องเข้าใจเมื่อ ทารกเป็นหวัด

            ทารกเป็นหวัด

            1. เด็กเล็กหายใจทางจมูกเท่านั้น

            เด็กเล็กนั้น โดยเฉพาะเด็กที่อายุน้อยกว่า 2 ปี ลิ้นจะมีขนาดใหญ่ เมื่อเทียบกับช่องปาก เพราะฉะนั้น เขาจะหายใจผ่านจมูก มากกว่า 90%  และเหตุนี้แม้เราจะคิดว่าการเป็นหวัด เป็นเพียงการเจ็บป่วยเพียงเล็กน้อยในผู้ใหญ่  แต่สำหรับเด็กเล็กนั้นการเป็นหวัด ทำให้ทรมาณมากทีเดียว เพราะการที่เยื่อบุจมูกบวมขึ้นเพียงแค่ 1 มิลลิเมตรอาจทำให้การต้านทานอากาศเพิ่มขึ้น หายใจเอาลมเข้าไปยากขึ้น ถึง 16 เท่า

            หัวใจสำคัญของการรักษาโรคหวัดในเด็ก ก็คือ nose care  พ่อแม่สามารถช่วยลูกด้วยการหยดน้ำเกลือเพื่อชะล้างน้ำมูกที่อยู่ในโพรงจมูกอันกว้างขวาง และน้ำมูกหลังลำคอที่ทำให้เกิดเสียงครืดคราด

            ควรหยดน้ำเกลือในจมูกตอนไหน ? จริงๆ ทำได้บ่อยเท่าที่ต้องการเพราะไม่ได้มีอันตรายอะไร แต่อย่างน้อย ถ้าแม่ไม่อยากทำ หรือทำยาก ไม่ถนัดคือต้องหยดให้ลูกก่อนนอน

             

            2. ถึงจะมีไข้ แต่ถ้ายังยิ้มได้ กินนมได้ ถือว่าอาการไม่น่าห่วง

            พ่อแม่ส่วนใหญ่มักจะกังวลกับการมีไข้ของลูก หมอจะบอกว่า “ไข้” เป็นกระบวนการตอบสนองต่อเชื้อโรคตามธรรมชาติของร่างกายไม่ว่าติดเชื้อใดๆ ก็จะมีไข้ ซึ่งแปลได้ว่ามีการทำงานของภูมิคุ้มกันเกิดขึ้นแล้ว การมีไข้ ทำให้เด็กไม่สบายตัว พ่อแม่สามารถช่วยลูกได้ด้วยการเช็ดตัว เพราะทำให้สบายตัวได้ทันที การเช็ดตัวที่ถูก คือเอาผ้าชุบน้ำ บิดให้หมาดและถูโดยออกแรงเล็กน้อย เพื่อให้เส้นเลือดใต้ผิวหนังขยายตัว จะได้ระบายความร้อนออกไปเช็ดสวนกับรูขุมขน

            ส่วนยาลดไข้ให้กินได้ตามความเหมาะสม ถ้าให้ดีแม่มือใหม่ควรซื้อปรอทวัดไข้ไว้ที่บ้าน เพราะการจับหน้าผากด้วยมือไม่แม่นยำ ถ้าไข้สูง (>38.2C) ให้กินยาลดไข้ก็จะช่วยให้ไข้ลดเร็วขึ้นค่ะ แต่ถ้าไข้ต่ำๆ แค่เช็ดตัวก็เอาอยู่แล้วค่ะ

             

            3. น้ำเกลือหยดจมูกไม่ทำให้สำลัก และต้องไม่มีน้ำมูกไหลออกจากจมูกอีกฝั่ง เพราะไม่เหมือนการล้างจมูก

            สิ่งที่หมอจะให้คู่กับยาลดไข้ เวลาเด็กเป็นหวัดคือน้ำเกลือเอาไว้หยดจมูก น้ำเกลือหยดจมูกไม่เหมือนเอาน้ำเกลือมาล้างจมูก (nasal irrigation) นะคะ

            น้ำเกลือหยดจมูก มักใช้ในเด็กเล็กที่ยังนั่งเองไม่ได้ ไม่แนะนำให้ “ล้างจมูก” ในเด็กที่อายุน้อยกว่า 6 เดือน เพราะเขายังกลั้นหายใจตามจังหวะการพ่นน้ำเกลือเข้าจมูกไม่ได้ พ่อแม่มักจะถามว่าเด็กจะสำลักมั้ยถ้าเพียงแต่หยดลงไป 2-3 หยดต่อข้าง น้ำเกลือไม่ลงมาถึงกล่องเสียงหรือหลอดลมค่ะ ไม่สำลักหยดได้ค่ะ เด็กอาจจะร้องไห้ปกติอยู่แล้ว แต่หลังจากหยดน้ำเกลือ เขาจะรู้เลยว่าหายใจสบายขึ้น ถ้าพ่อแม่ทำบ่อยๆ ลูกจะเรียนรู้ไปเองค่ะ

            อ่านต่อ >> “6 เรื่องที่พ่อแม่ต้องเข้าใจ เมื่อลูกเป็นหวัด” หน้า 2

             

             

            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

              พาลูกเที่ยวหลบแดดหลบฝน

              รวมสถานที่ พาลูกเที่ยวหลบแดดหลบฝน ทั่วกรุง

              วันหยุดแบบนี้ คุณพ่อ คุณแม่พาลูกน้อยไปเที่ยวที่ไหนกันบ้างคะ หลายครอบครัวอาจจะไปเที่ยวทะเล หลายครอบครัวอาจจะชอบเที่ยวกลางแจ้ง แต่สำหรับแม่น้องเล็กแล้วเที่ยวสู้แดดไม่ไหวจริงๆ ค่ะ เรามาดูที่เที่ยวในร่ม พาลูกเที่ยวหลบแดดหลบฝน ในกรุงเทพกันค่ะไปไหนดีน้า

              Continue reading “รวมสถานที่ พาลูกเที่ยวหลบแดดหลบฝน ทั่วกรุง”

                ภาวะการตั้งครรภ์

                รกเกาะต่ำ ภาวะรุนแรงที่สุดของการตั้งครรภ์

                รกเกาะต่ำ ภาวะรุนแรงที่สุดของการตั้งครรภ์ พบได้ 1 คนในการตั้งครรภ์ประมาณ 200 คน หลายคนคงพอได้ยินภาวะนี้มาบ้าง มาทำความเข้าใจกันก่อนว่า ภาวะรกเกาะต่ำ คืออะไร แล้วเหตุใดถึงเรียกได้ว่าเป็นภาวะที่รุนแรงที่สุด

                ภาวะรกเกาะต่ำ

                รกเกาะต่ำ ภาวะรุนแรงที่สุดของการตั้งครรภ์

                ปกติแล้วรกจะเกาะบริเวณส่วนบนของมดลูก เมื่อคลอดลูกมดลูกส่วนบนซึ่งมีกล้ามเนื้อแข็งแรง จะบีบตัวทำให้เลือดจากแผลที่รกเกาะนั้นหยุด แต่สำหรับ รกเกาะต่ำ คือ รกเกาะบริเวณส่วนล่างของมดลูก หรือเกาะบริเวณปากมดลูก นอกจากทำให้มีเลือดออกตั้งแต่ตั้งครรภ์แล้ว ยังอาจเกิดการตกเลือดหลังคลอดด้วย เพราะเมื่อมดลูกหดรัดตัว ส่วนล่างของมดลูกที่มีกล้ามเนื้อน้อย ก็ไม่สามารถห้ามเลือดจากแผลที่รกเกาะต่ำได้ ซึ่งการเสียเลือดทำให้มีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตของแม่ โดยพบร้อยละ 0.3

                และภาวะรกเกาะต่ำนี้จะเกิดอันตรายมากขึ้น ทำให้แม่เสี่ยงชีวิตมากขึ้น ถ้ามีการฝังตัวของรกที่ผิดปกติร่วมด้วย กับ ภาวะรกติด หรือ รกเกาะมดลูกแน่น (Placenta Accreta, Placenta Increta) ซึ่งในบางรายรกอาจจะกินทะลุออกนอกมดลูก (Placenta Percreta) ทำให้เกิดการตกเลือดอย่างรุนแรง

                หากการตัดมดลูกไม่สามารถห้ามเลือดได้ก็ต้องรักษาโดยการผูกเส้นเลือดแดงอินเทอร์นอลอีลีแอค ที่ไปเลี้ยงบริเวณอุ้งเชิงกราน การผูกเส้นเลือดนั้นอาจเกิดอันตรายถึงชีวิตได้ เพราะเส้นเลือดแดงอินเทอร์นอลอีลีแอค ติดกับเส้นเลือดดำใหญ่ ต้องอาศัยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการผูกเส้นเลือด

                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                 

                สาเหตุการเกิดภาวะ รกเกาะต่ำ คืออะไร

                ไม่มีใครทราบสาเหตุแน่ชัดของภาวะรกเกาะต่ำ แต่มักจะเกิดได้ในกรณีเหล่านี้

                • แม่อายุมาก โดยพบว่าแม่ที่ตั้งครรภ์อายุมาก 30,35 และ 40 ปีขึ้นไป เสี่ยงต่อการเกิดรกเกาะต่ำสูงเป็น 2.5,3.2 และ 4.4 เท่า ตามลำดับ เมื่อเทียบกับแม่ตั้งครรภ์ อายุ 20-29 ปี
                • มีลูกหลายคน แม่ที่มีลูกมากกว่า 5 คนขึ้นไป พบภาวะรกเกาะต่ำร้อยละ 5
                • รกฝังตัวไม่ปกติ โดยมาฝังในส่วนล่างของมดลูก ทั้งนี้อาจเกิดจากเคยทำแท้ง เคยขูดมดลูก สูบบุหรี่ ตั้งครรภ์แฝด หรือ รกมีขนาดใหญ่ผิดปกติ
                • เคยผ่าตัดคลอด ถ้าคุณแม่คนไหน เคยผ่าท้องคลอดหลายท้อง ก็ยิ่งมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดรกเกาะต่ำสูง โดยพบว่าผ่าท้องคลอด 1ท้อง 2 ท้อง 3 ท้อง 4 ท้อง มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดรกเกาะต่ำร้อยละ 0.65,1.5,2.2 และ 10 ตามลำดับ
                • ตั้งครรภ์ครั้งที่แล้วเคยมีรกเกาะต่ำ ตั้งครรภ์นี้จึงมีโอกาสเกิดรกเกาะต่ำร้อยละ 4-8

                ติดตาม ผลกระทบจากภาวะรกเกาะต่ำ ที่มีต่อทารก คลิกต่อหน้า 2

                  ลูกติดเต้า

                  5 วิธีเด็ด! ลูกติดเต้า เรามีทางแก้

                  ลูกติดเต้า ปัญหาใหญ่สำหรับ working mom ที่เมื่อครบกำหนดลาคลอดแล้ว แต่ลูกน้อยยังคงร้องไห้อ้อนคุณแม่เพื่อขอกินนมอุ่น ๆ จากเต้าอยู่ร่ำไป คนเป็นแม่ควรทำเช่นไร วันนี้ Amarin Baby & Kids มีวิธีดี ๆ ที่ช่วยแก้ปัญหาลูกติดเต้าแบบไม่เศร้ามาฝากกันค่ะ

                  ข้อดีเมื่อลูกได้ดูดเต้า

                  หลายคนอาจมองว่า ไม่ควรปล่อยให้ลูกดูดเต้าจนกลายเป็นเด็กติดเต้า แต่หากคุณเป็นคุณแม่ฟูลไทม์ก็อาจสามารถทำได้ เพราะการให้ลูกดูดนมจากเต้ามีข้อดีมากมายทั้งต่อตัวคุณและลูกน้อย ดังนี้

                  1. สร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างแม่กับลูก ซึ่งแพทย์หญิงสุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ ได้กล่าวเสริมไว้ว่า การได้ดูดเต้า เป็นช่วงเวลาที่ลูกมีความสุขและสงบที่สุด เพราะจะมีการหลั่งฮอร์โมนแห่งความสุขใจ ทำให้ลูกนอนหลับสบาย อารมณ์ผ่อนคลาย ทั้งยังส่งผลต่อสายสัมพันธ์ในระยะยาวกับแม่ ทำให้เขารู้ว่า แม่คือคนที่เขาอยู่ด้วยแล้วมีความสุขและปลอดภัยที่สุด
                  2. ไม่ต้องใช้เวลาในการเตรียมนมสต็อก ละลายนม และอุ่นนม สามารถให้นมแม่ได้ทันทีที่ลูกต้องการ
                  3. ไม่ต้องล้าง ต้ม หรือนึ่งขวดนม ยิ่งหากลูกกินบ่อย ก็ยิ่งต้องล้างขวดนมบ่อย ซึ่งหากทำความสะอาดไม่ดี คราบนมที่เกาะอยู่ตามขวด จะกลายเป็นแหล่งสะสมชั้นดีของเชื้อโรคที่เป็นสาเหตุทำให้ลูกท้องเสีย อาเจียน และไม่สบายได้
                  4. ไม่ต้องเตรียมอุปกรณ์สำหรับให้นมลูก เมื่อต้องออกไปทำธุระข้างนอก เช่น ขวดนม คูลแพ็ค กระเป๋าเก็บความเย็น หรือเครื่องปั๊มนม
                  5. คุณแม่ไม่ต้องเร่งปั๊มนม เพราะการดูดจากขวด จะทำให้ลูกดูดเร็ว ดูดสบาย และดูดเยอะ ซึ่งทำให้นมในสต็อกหมดเร็วตามไปด้วย

                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                   

                  ข้อเสียเมื่อ ลูกติดเต้า มากเกินไป

                  เมื่อมีข้อดี ก็ย่อมมีข้อเสียด้วยเช่นกัน หากบ้านไหนที่ลูกติดเต้าแม่มาก ๆ ก็อาจสร้างความลำบากได้ไม่น้อย ซึ่งมีอะไรบ้างนั้น ตามมาดูกันเลยค่ะ

                  1. คุณแม่จะทำธุระส่วนตัวนอกบ้านไม่ค่อยสะดวก ต้องคอยพะวงว่าลูกจะร้องหิวนมหรือไม่
                  2. ไม่มีใครสามารถดูแล หรือพาลูกเข้านอนได้ หากลูกจะต้องดูดเต้าทุกครั้งเพื่อกล่อมนอน
                  3. เมื่อโตขึ้น การเลิกเต้าก็อาจทำได้ยากมากขึ้น

                   

                  อ่านต่อ 5 วิธีแก้ลูกติดเต้า คลิกหน้า 2

                    หวัดแดด โรคหน้าร้อน

                    หวัดแดด โรคหน้าร้อน ที่ต้องระวังในเด็กเล็ก

                    หวัดแดด โรคหน้าร้อน  มีนา  เมษาพาร้อนจนแสบผิวไปจนถึงกลางเดือนพฤษภาคม  คือจริงๆ ต้องบอกว่าบางจังหวัดในประเทศไทยร้อนกันชนิดที่ว่าลืมฝนลืมหนาวกันไปเลยก็ว่าได้  ที่สำคัญแสงแดดร้อนๆ ในหน้าร้อนนี้สามารถทำให้เด็กๆ ป่วยไข้ขึ้นมาได้ง่ายๆ  โดยเฉพาะกับ โรคหวัดแดด  ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีข้อมูล “หวัดแดด  โรคหน้าร้อน” มาให้ทราบกันค่ะ

                     

                     หวัดแดด โรคหน้าร้อน ที่ต้องระวังในเด็กเล็ก

                    โรคหน้าร้อน อย่างหวัดแดดไม่ได้จะเกิดขึ้นแต่กับเฉพาะเด็กๆ เท่านั้นนะคะ เพราผู้ใหญ่อย่างเราๆ ก็เป็นหวัดแดดได้มากเหมือนกัน แต่ที่ผู้เขียนเน้นในเด็กๆ  เนื่องจากร่างกายของพวกเขายังมีภูมิคุ้มโรคไม่แข็งแรงเท่ากับในผู้ใหญ่ จึงทำให้เกิดเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ สุขภาพแย่กันขึ้นมาได้ง่ายค่ะ

                     

                    แล้วยิ่งตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงฤดูร้อน ที่อากาศร้อนอบอ้าวมากขึ้นทุกวัน บางวันอากาศร้อนจัดอุณหภูมิขึ้นสูงถึง 43 อาศาเซียลเซียส ที่ถ้าใครทำงานอยู่กลางแจ้ง หรือเด็กๆ เล่นสนุกอยู่กลางแดดเป็นเวลานาน จะส่งผลให้ร่างกายเสียเหงื่อมาก อ่อนเพลีย และกระหายน้ำมาก อากาศที่ร้อนจัดขึ้นในทุกวันทำให้ร่างกายไม่สามารถปรับตัวได้ทัน จึงทำให้เด็กๆ ไม่สบายขึ้นได้ โดยเฉพาะการเป็น โรคหวัดแดด

                     

                    Good to know… การที่ไข้หวัดแดดเกิดขึ้น เพราะร่างกายปรับตัวรับกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงเร็วไม่ทัน อย่างเช่น ทำงานใช้ชีวิตอยู่กลางแจ้งสัมผัสกับอากาศร้อนอยู่กลางแดดนานๆ หรือบางครั้งอยู่ในอาคาร ห้องทำงานสัมผัสกับอากาศเย็นในอาคาร ฯลฯ สลับไปมาเดี๋ยวร้อน เดี๋ยวเย็นเช่นนี้ทำให้ร่างกายปรับตัวไม่ทันจึงเกิดการป่วยขึ้น – นพ.ประยุทธ อังกูรไกรวิชญ์(1)

                    อ่านต่อ >> “หวัดแดด มีอาการให้สังเกตได้อย่างไร?” หน้า 2

                     

                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                      โอลิโกฟรุคโตส เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกรัก

                       

                      สำหรับคุณพ่อคุณแม่ ที่ต้องการเสริมสร้างพัฒนาการรอบด้านให้กับลูกน้อย สิ่งหนึ่งที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดพัฒนาการรอบด้านที่ดีและมีประสิทธิภาพได้นั้น ขึ้นอยู่กับการบริโภคและการที่ร่างกายของเด็กได้รับสารอาหารจำเป็นในการเสริมสร้างพัฒนาการไปพร้อมๆ กัน

                      ในที่นี้ เราจะมาพูดถึง สารอาหารตัวหนึ่งที่มีประโยชน์ต่อร่างกายของลูก ซึ่งก็มีคุณค่าไม่น้อยไปกว่าสารอาหารตัวอื่น อย่าง โอลิโกฟรุคโตส คุณพ่อคุณแม่บางคนอาจรู้อยู่แล้วว่า โอลิโกฟรุคโตส ดีต่อระบบขับถ่าย แต่จริงๆ แล้วโอลิโกฟรุคโตสมีประโยชน์กับสุขภาพของลูกน้อยเป็นอย่างมาก ซึ่งจะมีประโยชน์อย่างไรบ้าง ไปดูกันค่ะ

                      โอลิโกฟรุคโตส (Oligofructose) เป็นใยอาหารธรรมชาติ ซึ่งเป็นอาหารของจุลินทรีย์ที่ดี ช่วยในการทำงานของระบบย่อยอาหาร ลดอาการท้องเสีย ท้องผูก โอลิโกฟรุคโตส เป็นใยอาหารชนิดละลายน้ำได้ เมื่อลูกทานอาหารหรือนมที่มีโอลิโกฟรุคโตสเข้าไปแล้วจะไม่ถูกย่อยในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก แต่จะผ่านไปที่ลำไส้ใหญ่ ไปเป็นอาหารของจุลินทร์ชนิดดีที่อยู่ในลำไส้ใหญ่ ช่วยเพิ่มจำนวนจุลินทรีย์สุขภาพ เช่น แลคโตบาซีลัส ให้มีความสมดุล ทำให้ระบบขับถ่ายดี และกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับเชื้อโรคต่างๆ ได้ นั้นคือก้าวสำคัญที่จะต่อยอดไปถึงการเรียนรู้อย่างราบรื่นที่ไม่มีสะดุด เพราะลูกน้อยมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงแล้วนั้นเอง

                      สร้างภูมิคุ้มกัน

                      โอลิโกฟรุคโตสกับประโยชน์ที่ลูกได้รับ

                      โอลิโกฟรุคโตส ไม่เพียงแต่คุณประโยชน์ทางด้านภูมิคุ้มกันต่อโรคลำไส้หลายชนิดแล้ว ก็ยังมีงานวิจัยที่พบว่า โอลิโกฟลุคโตส  ช่วยเพิ่มการดูดซึมแร่ธาตุแคลเซียม ทำให้เพิ่มความหนาแน่นของมวลกระดูกได้ โดยสรุป โอลิโกฟรุกโตส มีคุณสมบัติเป็น พรีไบโอติก และมีคุณประโยชน์ดังนี้คือ

                      • ช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายของลูกน้อย
                      • ช่วยควบคุมและกำจัดปริมาณจุลินทรีย์ ที่ก่อให้เกิดโรคในร่างกาย
                      • ช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น และมีกลไกช่วยป้องกันมะเร็งในลำไส้ใหญ่
                      • ช่วยลดสารพิษหลายชนิดที่อาจสะสมตามผนังลำไส้
                      • ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายของลูกน้อยสร้างภูมิคุ้มกันที่ต่อสู้กับเชื้อโรคต่างๆได้
                      • ช่วยป้องกันหรือลดความรุนแรงของโรคติดเชื้อในทางเดินอาหาร เช่น ท้องเสีย
                      • ช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียมของร่างกายได้ดีขึ้น เพื่อสร้างความแข็งแรงให้กระดูก ป้องกันโรคกระดูกพรุน และโรคโลหิตจาง

                      ทั้งนี้ โอลิโกฟรุคโตส สามารถพบได้ในอาหารประเภทข้าวสาลี หัวหอม กล้วย ฯลฯ นอกจากนั้น อุตสาหกรรมอาหารยังนำไปเสริมในผลิตภัณฑ์ต่างๆ และให้เขียนข้างฉลากว่าสารนี้ เป็น “ใยอาหาร” เช่น สารแทนไขมันใน ครีม เนยแข็ง ไอศกรีม สารแทนน้ำตาลในช็อกโกแลต ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และผลิตภัณฑ์นม

                      ซึ่งชนิดของพรีไบโอติกนี้ ก็มีอยู่ในนมแม่ด้วย นั้นคือ โอลิโกแซคคาไรด์ (Oligosaccharide) ที่เป็นส่วนประกอบของน้ำนมที่มีปริมาณสูงเป็นอันดับ 3 รองจากน้ำตาลแลคโตส และไขมัน เพราะเหตุนี้ลูกน้อยจึงควรได้รับนมแม่อย่างน้อยที่สุด 6 เดือน

                      และในนมแพะเอง ก็มีพรีไบโอติก ชนิด Oligosaccharide เช่น Inulin และ Oligofructose อยู่ประมาณ 250 – 300 มิลลิกรัมต่อลิตร ซึ่งมากกว่านมวัว 4-5 เท่า และเป็นแบบเดียวกับนมแม่จึงช่วยป้องกันการติดเชื้อ การอักเสบในทางเดินอาหาร รวมถึงช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย และลดปัญหาท้องผูกได้อีกด้วย ดังประโยชน์ที่กล่าวมาข้างต้น

                      สิ่งสำคัญคุณพ่อคุณแม่ก็ต้องส่งเสริมในเรื่องการเรียนรู้ เปิดโอกาสให้ลูกได้เล่นอย่างอิสระ กล้าคิดกล้าทำ สร้างบรรยากาศที่ส่งเสริมต่อการเรียนรู้ ให้ลูกมีโภชนาการที่ดี เพื่อให้พร้อมต่อการเรียนรู้ต่างๆ ทำให้เป็นเด็กที่เรียนรู้อย่างฉลาดตามธรรมชาติต่อไปในอนาคต

                        7 เคล็ดลับง่ายๆ ส่งเสริมลูกให้ฉลาดสมวัยด้วยวิธีธรรมชาติ พ่อแม่สร้างได้!!!

                        เชื่อว่าพ่อแม่ทุกคน อยากให้ลูก เป็นเด็กเก่ง เด็กฉลาดสมวัย บางคนก็คาดหวังอยากให้ลูกเป็นอัจฉริยะ ซึ่งก็มีคำแนะนำมากมายในหนังสือเกี่ยวกับการเป็นอัจฉริยะที่สามารถสร้างกันได้ หรือบางคนส่งลูกเข้าสถาบันเลี้ยงดูเด็กตั้งแต่ยังไม่ตั้งไข่ แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้ จึงกลายเป็นคำถามว่า “จะทำอย่างไร ให้ลูกเป็นเด็กฉลาด”

                        คำว่า “ฉลาด” ในที่นี้หมายถึง การที่ลูกมีพัฒนาการและการเจริญเติบโต ทั้งด้านร่างกาย ภาษา สติปัญญาที่สมวัย ไม่ช้าเกินเกณฑ์ และได้รับการเลี้ยงดูอย่างเหมาะสม และความฉลาดก็เป็นสิ่งที่พ่อแม่สามารถช่วยกันสร้างขึ้นมาในตัวลูกๆ ได้เองด้วยสองมือ โดยไม่จำเป็นต้องใช้เงินทอง หรือค่าใช้จ่ายอะไรมากมาย แค่ความเอาใจใส่ประกอบกับธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัว ก็สามารถส่งเสริมความฉลาดอย่างเป็นธรรมชาติให้กับลูกน้อยได้แล้วค่ะ โดยมีเคล็ดลับง่ายๆ ดังนี้

                        1. นมแม่ ดีที่สุด

                        นมแม่ เป็นอาหารสมองที่จำเป็นอย่างยิ่ง มีงานวิจัยมากมาย ต่างแสดงตรงกันว่าการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่นั้น มีผลดีกับเด็กทารก เพราะนมแม่ช่วยป้องกันโรคติดเชื้อที่อันตราย และให้สารอาหารที่จำเป็นต่อเด็ก นักวิจัยชาวเดนมาร์กพบว่านมแม่สามารถทำให้เด็กฉลาดขึ้นพร้อม ๆ กับสุขภาพดีขึ้นด้วย พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้าคุณรู้สึกว่านมแม่มีสิ่งดี ๆ อยู่ คุณก็ควรจะลงทุนกับสุขภาพของลูกเสียแต่เนิ่น ๆ เพราะการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่สามารถให้ผลดีอย่างมากในระยะยาวทีเดียว

                        ฉลาดสมวัย DG

                        2. อ่านหนังสือ ฝึกปรือความคิด

                        การอ่านเป็นอีกเรื่องที่พ่อแม่ไม่ควรมองข้าม และต้องถือเป็นข้อปฏิบัติที่ต้องอ่านให้ลูกฟัง หนังสือดีๆ ช่วยให้ลูกเรียนรู้ภาษาได้จริง น้ำเสียงที่พ่อแม่อ่านให้ฟังทุกวัน จะช่วยให้ลูกจดจำคำศัพท์ และประโยคได้ เด็กบางคนสามารถอ่านหนังสือออกตั้งแต่ยังไม่เรียน เพราะได้ยินพ่อแม่อ่านหนังสือให้ฟังทุกวันนั่นเองค่ะ

                        3. ออกกำลังกาย สร้างพลังสมองง่ายและดี

                        การออกกำลังกายโดยตัวของมันเองแล้วไม่ได้ทำให้ลูกฉลาดขึ้นโดยตรง แต่เป็นการทำให้ร่างกายได้เคลื่อนไหว ช่วยให้มีการตื่นตัวในการเรียนมากขึ้น และทำให้สมองของลูกทำงานได้ดีขึ้นอย่างแน่นอน โดยมีงานวิจัยจากหลายแห่งซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างชัดเจนระหว่างความแข็งแรงของร่างกายกับความสำเร็จทางวิชาการ โดยการเข้าร่วมเล่นกีฬาช่วยสร้างความมั่นใจ การร่วมมือทำงาน และความเป็นผู้นำ ซึ่งแทนที่จะให้ลูกนั่งนอนดูทีวีหลังอาหารเย็น ลองเปลี่ยนไปเล่นลูกบอลหรือปั่นจักรยานนอกบ้านดูบ้างก็จะเป็นการดี

                        ฉลาดสมวัย DG

                        4. เดินเล่นนอกบ้าน สนุกสนานสบายอารมณ์

                        เช้าๆ หรือเย็นๆ แดดอ่อนๆ ลมโชยเบาๆ พาลูกน้อยสำรวจรอบบ้าน จะเป็นต้นไม้ใบหญ้า นกบินผ่าน แมวกระโดด เสียงเจ้าหมาเห่า ก็ชี้ให้ลูกมองตาม พ่อแม่ก็อธิบายพูดคุยกับลูกไปสบายๆ เพิ่มคำศัพท์ให้ลูกน้อยทุกวันอย่างเป็นธรรมชาติ

                        5. ให้ลูกหัดช่างสงสัย และหาคำตอบด้วยตัวเอง

                        มีผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า พ่อแม่ที่ชอบแสดงความช่างสงสัยและส่งเสริมให้ลูก ๆ ได้ค้นหาแนวคิดแบบใหม่ ๆ นั้น เป็นการให้บทเรียนกับเด็ก ๆ ที่มีค่ามาก เพราะนั่นทำให้พวกเขาได้รู้ว่าการหาความรู้เป็นสิ่งที่สำคัญ และควรสนับสนุนงานอดิเรกและความสนใจของพวกเขาด้วยการถามคำถามต่าง ๆ สอนลูกให้ทำสิ่งใหม่ ๆ และพาลูกไปท่องเที่ยวเรียนรู้อะไรใหม่ ๆ ในที่ต่าง ๆ ก็จะช่วยพัฒนาความช่างสงสัยที่ดีต่อสติปัญญาได้ต่อไป

                        6. ปล่อยความรักของพ่อแม่ ให้ลอยทั่วบ้าน

                        การสร้างบ้านให้มีบรรยากาศน่าอยู่ ไม่ใช่ความใหญ่โต หรือความสวยงาม แต่เป็นเรื่องที่คนในบ้านต้องสร้าง การยิ้มแย้มแจ่มใส พูดคุยกันด้วยความรักความเข้าใจในธรรมชาติของลูก ความเข้าใจซึ่งกันและกันของสมาชิก ความมีน้ำใจ และอภัยให้กัน สิ่งเหล่านี้เป็นพื้นฐานให้บรรยากาศภายในบ้านเอื้อต่อการเรียนรู้ เมื่อพ่อแม่แสดงความรักกับลูกทุกครั้งที่มีโอกาส ลูกจะอยู่ด้วยความรู้สึกอบอุ่นและมั่นคงในจิตใจ ซึ่งลูกก็จะรู้จักแสดงความรักออกไป และพร้อมที่จะเปิดใจยอมรับในสิ่งใหม่ ๆ ด้วยเช่นกัน

                        ฉลาดสมวัย DG

                        7. เลือกโภชนาการดี ได้รับสารอาหารครบถ้วน

                        “อาหาร” ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยหลักเพื่อการพัฒนาสมอง เด็กที่ได้รับสารอาหารที่ดีทำให้ร่างกายและสมองพร้อมต่อการเรียนรู้ต่างๆ ฉะนั้นการให้ลูกรับประทานอาหารครบ ทั้ง 5 หมู่ในปริมาณที่เพียงพอ จะทำให้พัฒนาการของร่างกาย และการเรียนรู้เป็นไปอย่างสมบูรณ์ ซึ่งสารอาหารหลักที่จำเป็นอย่างยิ่งในการเจริญเติบโตของสมองลูกน้อย มีทั้งโปรตีน กรดไขมันพิเศษ วิตามิน เกลือแร่ และธาตุเหล็ก

                        ซึ่งในนมแพะก็เพียบพร้อมไปด้วยสารอาหารที่ลูกน้อยโดยเฉพาะโปรตีนคุณภาพในนมแพะ เป็นโปรตีน CPP (Casein Phosphopeptides) ที่ย่อยและดูดซึมง่าย ร่างกายจึงนำไปใช้ได้อย่างเต็มที่ ทำให้นมแพะถูกย่อยและดูดซึมได้ง่าย ช่วยดูแลลูกน้อยไม่ให้เกิดอาการท้องอืด หรือท้องผูก ที่สำคัญโปรตีน CPP ในนมแพะยังช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียม เหล็ก สังกะสี แมกนีเซียมเข้าสู่ร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีใยอาหารจากธรรมชาติ คือพรีไบโอติก (Prebiotic) อย่างอินนูลิน (Inulin) และโอลิโกฟรุคโตส (Oligofructose) ที่เป็นอาหารของจุลินทรีย์ที่ดีที่อยู่ในลำไส้ใหญ่ ทำให้การทำงานของระบบย่อยอาหารและการขับถ่ายเป็นไปอย่างดี ลดอาการท้องผูก และช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกายอีกด้วย เมื่อร่างกายของลูกแข็งแรงแล้ว ก็พร้อมที่จะเรียนรู้และรับสิ่งต่างๆเข้าสู่สมอง

                        ดังนั้น เพื่อให้ลูกน้อยฉลาดสมวัยตามธรรมชาติ การใส่ใจกับสารอาหารที่ลูกจะได้รับจึงเป็นสิ่งที่พ่อแม่ควรทำ เนื่องจากเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาสมองและร่างกายของลูกน้อยให้เติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ

                          พัฒนาการทารก

                          พัฒนาการทารก แรกเกิด – 1 ขวบ พร้อมเทคนิคส่งเสริมพัฒนาการ

                          พัฒนาการทารก …คุณพ่อคุณแม่ป้ายแดงส่วนมากจะตื่นเต้นกับการมีสมาชิกใหม่ตัวน้อย จนลืมสังเกตพฤติกรรมลูกในแต่ละช่วงอายุ ยังไม่ทันสังเกตว่าเขาพลิกตัวเมื่อไหร่ เริ่มอ้อแอ้และส่งเสียงเรียกแม่เมื่อไหร่

                          พัฒนาการทารก 1-12 เดือนพัฒนาการทารก

                          เพราะลูกน้อยพร้อมเรียนรู้ได้ตั้งแต่แรกเกิด พร้อมเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ กับทุกสิ่งรอบตัว…คุณพ่อคุณแม่มือใหม่จึงต้องเตรียมความพร้อมอย่างละเอียด แบบก้าวต่อก้าว เดือนต่อเดือน ว่าทำอย่างไรจึงจะเลี้ยงดูลูกให้เติบโตสมบูรณ์ และมีพัฒนาการที่ดีรอบด้านตั้งแต่ก้าวแรกที่เกิดมา…เราจึงได้รวบรวมพัฒนาการทารกตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 1 ขวบ มาฝากตามรายละเอียดนี้เลยค่ะ

                           

                          พัฒนาการทารก วัย 1 เดือน

                          • ยกศีรษะได้ชั่วครู่(นอนคว่ำ)
                          • สบตา
                          • จ้องหน้าแม่

                          วิธีการที่พ่อแม่สามารถส่งเสริมให้ลูกมีพัฒนาการตามวัย
                          – กินนมแม่อย่างเดียว
                          – ยิ้มแย้ม มองสบตา เล่นพูดคุยกับลูก
                          – เอียงหน้าไปมาช้าๆ ให้ลูกมองตาม
                          – อุ้มบ่อยๆ อุ้มพาดบ่าบ้าง

                          เคล็ดลับ : ใช้เวลาอยู่ใกล้ๆลูก ทำไมต้องใกล้ เพราะว่าทารกแรกเกิดสายตาสั้น มองเห็นภาพชัดที่ระยะไม่เกิน 12 นิ้ว วัยนี้ลูกชอบมองใบหน้าคน ดังนั้นถ้าลูกไม่หลับ ให้เอาหน้าคุณไปใกล้ๆลูก และพูดด้วยว่า “อากูๆ”พัฒนาการทารก

                          พัฒนาการเด็กทารก วัย 2 เดือน

                          • ชันคอในท่าคว่ำ
                          • รู้จักยิ้มตอบ
                          • คุยอ้อแอ้ ทำเสียงอือ อา อยู่ในคอ

                          วิธีการที่พ่อแม่สามารถส่งเสริมให้ลูกมีพัฒนาการตามวัย
                          – กินนมแม่อย่างเดียว
                          – เล่นกับลูกโดยแขวนของสีสด ห่างจากหน้าลูกประมาณ 1 ศอกให้ลูกมองตาม
                          – พูดคุยทำเสียงต่างๆ และร้องเพลง
                          – ให้ลูกนอนคว่ำในที่นอนที่ไม่นุ่มเกินไป

                          เคล็ดลับ : ช่วยเสริมพัฒนาการกล้ามเนื้อมัดเล็กที่มือ และ สายตา โดยจับมือลูกตบแปะ และ ร้องเพลง อีกไม่นานเกิน 2-3 ด. ลูกจะทำเองได้ รวมถึงการทำสีหน้าเลียนแบบได้ด้วย เช่น แลบลิ้น อ้าปากกว้าง ยิ้มยิงฟัน

                          พัฒนาการทารก

                          พัฒนาการทารก วัย 3 เดือน

                          • ชันคอได้ตรงเมื่ออุ้มนั่ง
                          • ยกศีรษะได้ 45 องศา
                          • เริ่มพลิกคว่ำ
                          • ส่งเสียงโต้ตอบ

                          วิธีการที่พ่อแม่สามารถส่งเสริมให้ลูกมีพัฒนาการตามวัย
                          – กินนมแม่อย่างเดียว
                          – อุ้มท่านั่ง พูดคุยทำเสียงโต้ตอบกับเด็ก
                          – ให้ลูกนอนเปล หรืออู่ ที่ไม่มืดทึบ

                          *ถ้าลูกอายุ 3 เดือน แล้วลูกไม่สบตา หรือ ยิ้มตอบ ไม่ชูคอในท่านอนคว่ำ ควรปรึกษาแพทย์ หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุข

                          เคล็ดลับ : ลูกเริ่มสนใจมือตัวเองมากขึ้น และ ใช้มือปัดป่ายสิ่งของที่อยู่ข้างหน้า ให้เอาของเล่นสีสันสดใสให้ลูกฝึกจับ คอลูกเริ่มแข็งพยายามผงกศีรษะจากพื้น จับลูกนอนเล่นในท่าคว่ำอยู่หน้ากระจกขณะที่ลูกตื่นอยู่ ลูกจะพยายามผงกหัวขึ้นมามองตัวเองในกระจก

                          พัฒนาการทารก

                           

                          พัฒนาการเด็กทารก วัย 4 เดือน

                          • เริ่มส่งเสียงอ้อแอ้หัวเราะเอิ๊กอ๊าก เสียงดัง
                          • มองตามสิ่งของหรือคนที่เคลื่อนไหวในระยะห่าง 6 นิ้ว
                          • เริ่มไขว่คว้า
                          • ยกศีรษะได้เต็มที่ ชูคอตั้งขึ้นในท่าคว่ำ

                          วิธีการที่พ่อแม่สามารถส่งเสริมให้ลูกมีพัฒนาการตามวัย
                          – กินนมแม่อย่างเดียว
                          – จัดที่ที่ปลอดภัยให้เด็กหัดคว่ำ คืบ
                          – เล่นกับลูกโดยชูของเล่นให้ลูกไขว่คว้า
                          – ชมเชย ให้กำลังใจลูก เมื่อลูกทำได้

                          เคล็ดลับ : วัยนี้ลูกจะทำอะไรได้มากขึ้น ไม่ว่า จะการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน ด้านการเคลื่อนไหว หรือ ด้านการสื่อความหมาย เช่น ทารกจะส่งเสียงออกมาอย่างมีความสุขเมื่อเห็นของเล่นสีสันสดใส หรือ ร้องไห้อย่างมากเวลาที่คุณเดินจากไป และ ตอนนี้ทารกเริ่มสนุกกับการบ้าจี้เป็นแล้ว

                          พัฒนาการทารก

                          อ่านต่อ >> “พัฒนาการเด็กวัย 5-8 เดือน” หน้า 2

                           

                          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                            สัญญาณ ลูกกลับหัว

                            7 สัญญาณ ลูกกลับหัว ที่บอกให้รู้ว่าใกล้คลอดแล้ว!

                            สัญญาณ ลูกกลับหัว การสังเกตความเปลี่ยนของร่างกายของแม่ท้อง เป็นหนึ่งในเรื่องที่ควรต้องให้ความใส่ใจกันอย่างมาก เพราะทุกความเปลี่ยนแปลงนั่นหมายถึงทารกในครรภ์อาจมีปัญหา หรือมีพัฒนาการสมบูรณ์ดีเป็นปกติ  ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงของร่างกายแม่ท้องที่ควรรู้นั่นคือ สัญญาณ ลูกกลับหัว

                             

                            สัญญาณ ลูกกลับหัว ที่บอกให้รู้ว่าใกล้คลอดแล้ว

                            โดยกลไลตามธรรมชาติของร่างกายคนท้อง เมื่ออายุครรภ์ได้ 32 สัปดาห์เป็นต้นไป ร่างกายจะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่งนั่นคือ ทารกในครรภ์จะเริ่มเคลื่อนตัวและกลับศีรษะเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการคลอดที่กำลังจะใกล้เข้ามาในอีกไปกี่สัปดาห์ที่เหลืออยู่ ซึ่งในคนท้องบางรายทารกในครรภ์อาจจะยังไม่เริ่มกลับศีรษะในสัปดาห์นี้ อาจไปกลับหัวเอาตอนสัปดาห์ที่  36  ก็ได้เช่นกันค่ะ

                             

                            ลูกกลับหัว
                            ลูกกลับหัว

                            พัฒนาการครรภ์ สัปดาห์ที่ 32 ความเปลี่ยนแปลงของร่างกายแม่ท้องที่เกิดขึ้น มีดังนี้

                            • แรงดันที่เกิดจากร่างกายทารกที่ใหญ่มากขึ้น จะทำให้คุณแม่รู้สึกเจ็บตรงบริเวณซี่โครง
                            • ข้อนิ้วของนิ้วมือ นิ้วเท้า เริ่มบวมมาก แหวนที่ใส่ที่นิ้วจะรู้สึกคับๆ แนะนำให้ถอดออกก่อนค่ะ
                            • ทารกในครรภ์เริ่มมีการเคลื่อนย้ายร่างกาย โดยที่ศีรษะของทารกจะเคลื่อนมาอยู่ในท่ากลับหัวบ้างแล้ว

                            ลูกในครรภ์ที่ร่างกายเติบโตขยายใหญ่ไปตามพัฒนาการ อาจทำให้คุณแม่รู้สึกได้ว่าลูกดิ้นได้ไม่แรงเหมือนก่อนหน้านี้ นั่นเพราะว่าพื้นที่ในมดลูกมีน้อยลงจากร่างกายลูกที่ขยายจนเกือบเติมพื้นที่ แต่ถึงอย่างไรคุณแม่ก็ควรต้องนับการดิ้นของลูกอยู่เหมือนเดิม และต้องไปพบคุณหมอเพื่อตรวจสุขภาพครรภ์ตามที่คุณหมอนัดด้วยนะคะ โดยในเดือนสุดท้ายของการตั้งครรภ์คุณหมออาจจะนัดคุณแม่ถี่มากขึ้นค่ะ

                            อ่านต่อ >> “7 สัญญาน ลูกกลับหัว ที่แม่ท้องควรรู้” หน้า 2

                             

                            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                              ตั้งชื่อเล่นลูก

                              ตั้งชื่อเล่นลูก 100 ชื่อเล่นไทยๆ ลูกชาย ลูกสาว เพราะดี มีความหมาย

                              การ ตั้งชื่อเล่นลูก มีความสำคัญไม่แพ้ชื่อจริง ถึงแม้ว่าคนเราชื่อจริง จะใช้เป็นชื่อในทางราชการ แต่ในชีวิตประจำวันก็อาจต้องใช้ชื่อเล่นเพื่อเรียกขานกันให้ง่ายขึ้น เพราะบางคนอาจมีชื่อจริงยาวและอ่านยาก มาดู 100 ไอเดีย ตั้งชื่อเล่นลูกสาว ตั้งชื่อเล่นลูกชายแบบไทยๆ เพราะดี มีความหมาย ทันสมัย เรียกง่ายกัน

                              ส่วนมากแล้วพ่อแม่มักจะ ตั้งชื่อเล่นลูก ตามความชอบมากกว่าที่ตั้งชื่อให้ถูกหลักเกณฑ์ ดังนั้นชื่อเล่นบางชื่อ จึงไม่มีความหมาย แต่เน้นออกเสียงที่ดูดี หรือแปลกๆ สะดุดหู บางครั้งก็ ตั้งชื่อเล่นไทยๆ เป็นชื่อสัตว์ เช่น แมว ไก่ ก็มีเช่นกัน

                              ตั้งชื่อเล่นลูก 100 ชื่อเล่นไทยๆ ลูกชาย ลูกสาว

                              ตั้งชื่อเล่นลูก

                              การ ตั้งชื่อเล่นลูก แบบไทย ๆ ถูกลบเลือนหายไป เมื่อชื่ออังกฤษสามารถเรียกทับศัพท์ได้ มีความหมายและทันสมัย ซึ่งคนไทยในปัจจุบันนิยมตั้งชื่อเล่นของลูกหลานเป็นภาษาต่างประเทศกันมากขึ้น ทำให้กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) มีนโยบายอนุรักษ์ภาษาไทย ภาษาถิ่น และจัดโครงการรณรงค์ให้พ่อแม่คนไทยตั้งชื่อเล่นลูกเป็นภาษาไทยและภาษาท้องถิ่น เพื่อสร้างค่านิยมกระตุ้นให้เกิดความภูมิใจในความเป็นไทย อีกทั้งการ ตั้งชื่อเล่นไทยๆ สามารถเลือกความหมายที่ดีและถูกใจเพื่อใช้ ตั้งชื่อเล่นลูกหลานของตนได้

                              ♥ แนะนำบทความน่าอ่าน! : โปรแกรมตั้งชื่อลูก...ตัวช่วยพ่อแม่ยุคใหม่

                              5 ข้อที่ต้องคำนึงก่อนเริ่ม ตั้งชื่อลูก

                              1. การตั้งชื่อลูก ต้องคำนึงช่วงเวลา หรือระยะเวลาที่กำลังดำเนินไป ต้องมองให้รอบว่าชื่อนี้ยังสามารถใช้ได้อยู่หรือไม่เมื่อเข้าสู่วัยชราที่นำหน้าด้วย ตา – ยาย สำหรับชื่อบางชื่อเป็นชื่อที่ดูน่ารักสำหรับเด็กๆ แต่เมื่อโตไปเป็นผู้ใหญ่ มีอายุมากขึ้น พอเรียกชื่อแล้วอาจจะดูไม่เหมาะสม
                              2. การตั้งชื่อลูก ที่เป็นภาษาต่างประเทศ ในบางชื่อออกเสียงยากเกินไปจนทำให้คนอื่นเรียกชื่อผิดๆ ได้ หรืออาจกลายเป็นเรื่องตลก จากที่คิดว่าการตั้งชื่อแบบนี้นั้นโดดเด่น แต่อาจกลับกลายเป็นปมด้อยให้กับเด็กจนขาดความมั่นใจได้โดยไม่รู้ตัว
                              3. การตั้งชื่อลูก จากชื่อผลิตภัณฑ์ หรือชื่อสินค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่ในปัจจุบัน หากเมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า ชื่อที่ตั้งไว้ก็อาจกลายเป็นชื่อเชยๆ ไปเลยก็ได้
                              4. การตั้งชื่อลูก โดยเฉพาะชื่อที่คล้ายกับสัตว์เลี้ยง เมื่อคนอื่นๆ เรียกอาจดูน่าขำ คงจะกลายเป็นเรื่องที่ตลกหากว่าลูกคุณต้องชื่อซ้ำกับเจ้าหมา
                              5. การตั้งชื่อลูก โดยเฉพาะชื่อเล่นซึ่งล้วนแล้วแต่ไม่เป็นที่ยอมรับของบุคคลอื่นๆ ในครอบครัว อย่าง ปู่ ย่า ตา ยาย ก็ควรจะปรึกษากันให้ดี เพื่อความพึงพอใจของทุกๆ ฝ่าย

                              ♥ บทความแนะนำน่าอ่าน :

                              อ่านต่อ >> เทคนิคการตั้งชื่อเล่นให้ลูกที่ได้รับความนิยม และรวม 100 ชื่อเล่นแบบไทยๆ เพราะดี มีความหมาย” คลิกหน้า 2

                                ความเชื่อโบราณ! การไหว้ผีบ้านผีเรือน-แม่ซื้อ และรับขวัญเมื่อพาลูกทารกเข้าบ้าน

                                ความเชื่อในการนับถือ การไหว้ผีบ้านผีเรือน …เป็นวัฒนธรรมส่วนหนึ่งที่ชาวนครไทย (ปัจจุบันคือ อ.นครไทย ตั้งอยู่ใน จ.พิษณุโลก) ซึ่งได้รับสืบทอดกันมาจากปู่ย่าตายายบรรพบุรุษ เป็นเรื่องเกี่ยวกับศาสนาและความเชื่อ เพราะด้วยการเป็นครอบครัวที่มีความผูกพันกันมา สิ่งที่บรรพบุรุษทำไว้ก็จะสืบสาน ทำกันตามมา และเชื่อว่าถ้ากระทำแล้วจะทำให้สังคมหรือบุคคลในครอบครัวมีความสุขสงบ

                                การไหว้ผีบ้านผีเรือน ที่ถูกต้อง เพื่อความสุขของทุกคนในครอบครัว

                                การไหว้ผีบ้านผีเรือน

                                คนไทยเรียก ผีบ้านผีเรือน ว่า “ผีพ่อเฒ่าเจ้าเรือน”, “ผีพ่อเฒ่าใหญ่” หรือ “ผีเหย้าผีเรือน” ซึ่งผีเหล่านี้ เป็นบรรพบุรุษที่เสียชีวิตไปแล้ว และมีความผูกพันใกล้ชิดกับลูกหลาน  เช่น ปู่ย่าตายายทั้งหลาย มีลักษณะต่างจากผีทั่วไป คือจะอยู่ในรูปของวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ลักษณะรูปร่างจะเหมือนคนปกติ ใส่ชุดไทย ซึ่งจะคอยคุ้มครองผู้อยู่อาศัยในบ้านให้ปลอดภัย มีความสุขสงบ

                                วิธีการจัดพิธีกรรมเซ่น การไหว้ผีบ้านผีเรือน

                                1. การจัดพิธีกรรมเซ่นไหว้ผีบ้านผีเรือนจึงมักจะให้ผู้สูงอายุที่มีอาวุโสมากที่สุดในบ้านเป็นผู้ทำพิธีด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ผู้สูงอายุมีความหมายต่อลูกหลานเป็นการให้ความสำคัญแก่ผู้ควรเคารพเป็นการแสดงความกตัญญูต่อทั้งผู้ที่ล่วงลับไปแล้วและผู้ที่ยังอยู่ ผลของการไหว้ผีจะเป็นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเครือญาติทุกคน ความรู้สึกโดดเดี่ยวจึงไม่มี ทำให้ลูกหลานมีความกตัญญูต่อบรรพบุรุษของตน สิ่งนี้น่าจะเป็นจุดประสงค์สำคัญที่สุดของการกราบไหว้

                                2. การเซ่นไหว้ผีบ้านผีเรือนนี้นิยมกระทำในวันตรุษ วันสารท วันเกิดของบรรพบุรุษ วันเอาข้าวขึ้นยุ้ง วันรับขวัญ โดยมีวิธีการทำ นำหิ้งขนาด 1-2 ฟุต วางของใช้ของบรรพบุรุษ เช่นพระห้อยคอ หนังสือ เสื้อผ้า ฯลฯ

                                ผู้ทำพิธีจะเลือกเอาวันใดวันหนึ่งทำการเซ่นไหว้ บางบ้านจะเซ่นด้วยอาหารคาวหวานที่บรรพบุรุษชอบ บางบ้านเซ่นด้วยหัวหมู ไก่ หมาก พลู ขนม บุหรี่ เหล้า ดอกไม้ (นิยมใช้ดอกพุด) บางบ้านจุดตะเกียงบางบ้านจุดเทียน

                                ผู้ทำพิธีจะจุดธูปบอกกล่าวผีบ้านผีเรือนว่า ลูกหลานเอาของ…………(ชื่อบรรพบุรุษ) มาเซ่นไหว้เชิญมารับประทานและขอให้คุ้มครอง………..(ชื่อของคนในบ้าน) ให้อยู่ดีกินดีและร่ำรวย”

                                3. พิธีนี้ชาวนครไทยเชื่อว่า ถ้าปีใดไม่ทำพิธีเซ่นไหว้ผีบ้านผีเรือน ผีจะมารบกวนคนในบ้านให้เจ็บป่วย สามี-ภรรยาจะทะเลาะกัน เด็กเล็กร้องให้ทั้งคืน

                                ♥ บทความแนะนำควรอ่านลูกร้องโคลิค สาเหตุ และวิธีแก้ไข
                                ♥ บทความแนะนำควรอ่านโคลิค หรือ แม่ซื้อ สาเหตุลูกร้องไห้ไม่ยอมหยุด
                                ♥ บทความแนะนำควรอ่านรวม 12 เรื่องของ เด็กแรกเกิด ที่แม่มือใหม่ต้องรู้!

                                4. ถ้าครอบครัวใดทำพิธีเซ่นไหว้จะมีแต่ความสุขความเจริญ

                                กรณีที่บ้านใดมีคนป่วยหรือมีความทุกข์ต้องการให้ผีเรือนมาช่วย ก็อาจเซ่นไหว้ และเมื่อหายทุกข์หรือหายป่วย จะต้องเซ่นไหว้หรือแก้บนตามที่บอกกล่าวผีบ้านผีเรือนไว้

                                แต่สิ่งสำคัญก็คือ การอุทิศโมทนาบุญไปให้ท่านเหล่านั้น คือการบอกให้บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วเหล่านั้นให้ทราบ เมื่อท่านทราบแล้วจะได้โมทนาบุญคุณความดีต่อไป แล้วไปเกิดยังภพใหม่ที่สูงกว่าและมีความสุขมากขึ้นไปกว่านี้นั่นเอง

                                อ่านต่อ >> “พิธีการไหว้แม่ซื้อให้ดูแลลูกน้อย” คลิกหน้า 2

                                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                 

                                  คุณแม่ท้องเป็นโรคหัวใจ

                                  ประสบการณ์จริง เมื่อคุณแม่ท้องเป็นโรคหัวใจ

                                  มีประสบการณ์จากคุณแม่คนหนึ่งที่แม่น้องเล็กอยากจะเล่าให้ฟังเป็นกรณีตัวอย่าง เมื่อคุณแม่รู้สึกไม่สบายใจเกี่ยวกับโรคประจำตัวของคุณแม่เอง คุณแม่ท้องเป็นโรคหัวใจ เป็นเส้นเลือดหัวใจตีบ หัวใจเต้นผิดปกติ เป็นความดัน และครรภ์เป็นพิษ ซึ่งคุณแม่มีความกังวลว่าจะส่งผลกับลูกน้อย

                                  Continue reading “ประสบการณ์จริง เมื่อคุณแม่ท้องเป็นโรคหัวใจ”

                                    ไขข้อข้องใจ แม่ท้องขึ้นเครื่องบินได้ไหม ?

                                    เชื่อว่าคุณแม่ท้องทั้งหลาย ก็ต้องอยากใช้เวลาเดินทางท่องเที่ยวเพื่อผ่อนคลายและใช้เวลาอย่างมีความสุขกับครอบครัว แต่ยังมีคุณแม่หลายท่านที่กังวลใจ อยากรู้ว่า แม่ท้องขึ้นเครื่องบินได้ไหม ขอบอกว่าหากอ่านข้อมูลความรู้ดีๆ นี้แล้วจะสบายใจและเตรียมจัดกระเป๋าได้เลยค่ะ

                                    แม่ท้องขึ้นเครื่องบินได้ไหม

                                    แม่ท้องขึ้นเครื่องบินได้ไหม

                                    อย่ากังวล! คนท้องขึ้นเครื่องบินได้

                                    เพราะการตั้งครรภ์ไม่ใช่ข้อห้ามในการไปเที่ยวและยิ่งคุณแม่เที่ยวอย่างมีความสุข จะยิ่งช่วยให้การตั้งครรภ์ของคุณแม่เปี่ยมคุณภาพตามไปด้วย ดังนั้นหากคุณแม่ท้องอยากเที่ยว แต่กังวลใจกลัวขึ้นเครื่องบินไม่ได้ อย่าทิ้งช่วงโอกาสดีที่คุณแม่จะได้เที่ยวกับคุณพ่อแบบโรแมนติกก่อนคลอดเช่นนี้ (เพราะหลังคลอดจะไม่มีเวลาแน่นอน) มาดูกันว่าแม่ท้อง จะขึ้นเครื่องบินเที่ยวอย่างไรให้ปลอดภัยและมีความสุขค่ะ

                                    คนท้องขึ้นเครื่องบินได้ถึงกี่เดือน

                                    • เช็กการอนุญาตจากสายการบิน

                                    โดยทั่วไปสายการบินแต่ละสายจะมีข้อห้ามและอนุญาตให้คุณแม่ท้องขึ้นเครื่องบินได้แตกต่างกัน ก่อนเดินทางคุณแม่จึงควรเช็กก่อนว่าสายการบินที่ต้องการเดินทางนั้น มีข้อห้ามอย่างไร ซึ่งปกติแล้วสายการบินส่วนใหญ่จะระบุไว้ไม่เกิน 36 สัปดาห์สําหรับท้องเดี่ยวและท้องแฝดอยู่ที่ 32 สัปดาห์แต่ถ้าเป็นการเดินทางระหว่างประเทศจะอนุญาตที่อายุครรภ์ต่ำกว่าคือไม่เกิน 34 สัปดาห์และถ้าเป็นการตั้งครรภ์แฝดต้องไม่เกิน 32 สัปดาห์ และต้องมีใบรับรองแพทย์ด้วย ยกเว้นกรณีที่คุณแม่มีภาวะแทรกซ้อนต้องปรึกษาแพทย์ก่อนเดินทาง

                                    ซึ่งหากคุณแม่ตั้งครรภ์แข็งแรงดีจากการศึกษาวิจัยพบว่าความดันและความชื้นที่เพิ่มขึ้นขณะบินไม่ได้มีผลต่อสุขภาพของแม่และลูกแต่อย่างใด รวมถึงเสียงโซนิกในเครื่องบินหากเดินทางเป็นครั้งคราวก็ไม่มีผลใดๆ เหมือนกัน เช่นไม่ได้เพิ่มเปอร์เซ็นต์แท้ง น้ำเดิน หรือเจ็บท้องคลอด เป็นต้น

                                    อย่างไรก็ตามบางสายการบินอาจต้องการใบรับรองแพทย์ทุกครั้งเพื่อยืนยันว่าคุณแม่แข็งแรงดีและสามารถเดินทางได้ดังนั้น หากเขาต้องการคุณแม่ก็ต้องขอคุณหมอไว้ด้วยนะคะ

                                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                     

                                    ติดตาม แม่ท้องขึ้นเครื่องบินเที่ยวอย่างไรให้ปลอดภัยและมีความสุข คลิกต่อหน้า 2