ลูกนอนกรน

หมอเตือน! ลูกนอนกรน! เสี่ยงพัฒนาการถดถอย

ลูกนอนกรน! ฟังดูธรรมดา แต่หารู้ไม่ว่า เสี่ยงพัฒนาการถดถอย อีกทั้งยังเสี่ยงต่อการป่วยเป็น 5 โรคร้าย!

 

 

เมื่อไหร่ก็ตามที่ “ลูกนอนกรน” ขอให้คุณพ่อคุณแม่อย่าได้นิ่งนอนใจ เพราะอาการดังกล่าว อาจส่งผลร้ายต่อพัฒนาการของลูก อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในอาการของ 5 โรคร้ายอีกด้วย!

คุณพ่อคุณแม่ทราบกันหรือไม่คะว่า ได้มีการศึกษาพบว่า 20% ของเด็กมีอาการนอนกรนนั้น 7-10% มีอาการนอนกรนทุกคืน และเด็กหลายรายที่นอนกรนนั้นมีสุขภาพดี แต่ประมาณ 2% พบว่ามีปัญหาในขณะหลับ  ส่วนใหญ่แล้วจะพบในเด็กที่มีอายุระหว่าง 2 – 6 ปี เพราะเด็กในวัยนี้จะมีต่อมทอมซิล และต่อมอะดีนอยด์ ที่ทำให้เกิดการอุดกั้นของระบบทางเดินหายใจ จนเกิดเป็นเสียงกรนที่มีผลกระทบโดยตรงทางด้านร่างกาย และพัฒนาการทางสมอง เด็กที่มีอาการหายใจลำบากขณะนอนนั้น อาจมีภาวะหยุดหายใจได้ในขณะหลับ หรือ Obstructive Sleep Apnea (OSA)

 โรคนอนหยุดหายใจชนิดอุดกั้น คืออะไร?

ในขณะที่ลูกกำลังนอนหลับ กล้ามเนื้อที่คอยทำหน้าที่ตึงตัวและช่วยขยายทางเดินหายใจช่องคอจะหย่อนตัวลง ซึ่งภาวะดังกล่าวนี้เองที่ทำให้ทางเดินหายใจนั้นแคบลง แต่ก็ไม่ได้ก่อให้เกิดปัญหากับคนทั่วไป แต่สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคดังกล่าวนั้น ทางเดินหายใจจะตีบแคบลง ทำให้หายใจได้ลำบากขึ้น ซึ่งสมองจะรับรู้ภาวะนี้และสั่งการให้เพิ่มแรงในการหายใจ และเจ้าสิ่งนี้เองที่จะไปกระตุ้นให้สมองตื่นตัวเพื่อกระตุ้นให้กล้ามเนื้อช่องคอกลับมาตึงตัวและเปิดทางเดินหายใจอีกครั้งนึง โดยวงจรดังกล่าวจะเกิดขึ้นซ้ำ ๆ เป็นสิบ ๆ ถึงร้อยครั้งในแต่ละคืน ทำให้รบกวนการนอนหลับและส่งผลให้สมองไม่ได้รับออกซิเจนเพียงพอขณะที่กำลังนอนหลับ
อาการที่น่าสงสัยว่าลูกอาจเป็นโรคดังกล่าวได้แก่
  • ให้ฟังและสังเกตเสียงกรนของลูกว่า เวลาที่เขาหลับแล้ว มีเสียงกรนแบบขาด ๆ หาย ๆ หรือมีการหยุดหายใจไปชั่วขณะบ้างหรือไม่
  • มีอาการสะดุ้งตื่นหลังเสียงกรน หรือเสียงกรนดังเฮื้อก คล้ายกับคนขาดอากาศหายใจ สังเกตว่ารอบริมฝีปากมีสีเขียวคล้ำหรือไม่
  • ตอนช่วงกลางวัน เด็กมีอาการง่วงนอนเหมือนนอนไม่พอ หงุดหงิดง่าย ซนมาก ปัสสาวะรดที่นอนบ่อย ๆ และพฤติกรรมเปลี่ยนไปโดยรวดเร็วบ้างหรือเปล่า
  • เหงื่อออกง่าย และหายใจเหนื่อยหอบตอนหลับ หน้าอกบุ๋ม คอบุ๋ม และท้องโป่ง

อ่านสาเหตุของการเกิดโรคได้ที่หน้าถัดไป


เครดิต: ศูนย์นิทราเวช โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์

    สูตรผัวรักผัวหลง

    10 สูตรผัวรักผัวหลง มัดใจสามีให้ดิ้นไม่หลุด!

    พบกับ 10 สูตรผัวรักผัวหลง จากศรีภรรยาคนสวยของมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของประเทศจีน ที่บอกเลยเจ๋ง! และเด็ดทุกข้อจริง ๆ

     

     

    ก่อนที่เราจะไปดู สูตรผัวรักผัวหลง ที่ว่านี้ เรามาทำความรู้จักกับ “แจ๊ค หม่า” กันก่อนดีกว่าค่ะ

    แจ๊ค หม่า คือใคร?

    แจ๊ค หม่า เป็นคนเชื้อสายจีน เกิดที่เมืองหางโจว ด้วยความที่สมัยเด็ก ๆ เขาให้ความสนใจกับการศึกษาภาษาอังกฤษมากกว่าสิ่งอื่นใด ทำให้เขาสามารถเริ่มต้นอาชีพของเขาเป็นครูสอนภาษาอังกฤษได้ตั้งแต่อายุยังน้อย ในตอนนั้นเขาได้รับเงินเดือนเพียง 500 บาทเท่านั้น 
    ด้วยวิสัยทัศน์ของแจ็ค หม่า เขาเริ่มต้นทุกอย่างด้วยการไปเยี่ยมเพื่อนที่ประเทศสหรัฐอเมริกา และเขาลองให้เพื่อนค้นหาสินค้าเป็นภาษาจีน ปรากฎว่าไม่พบผลการค้นหานั้น และนั่นคือช่องว่างที่ทำให้เขาสามารถก่อตั้งธุรกิจที่ยิ่งใหญ่นปี 1995 เขาก่อตั้งบริษัทไชน่าเยลโล่เพจเจส ซึ่งเชื่อว่าน่าจะเป็นบริษัทอินเตอร์เน็ตแรกสุดในประเทศจีน หลังจากนั้นปี 1999 เขาได้ก่อตั้งบริษัท Alibaba ด้วยวิสัยทัศน์ด้านอีคอมเมิร์ซ ต่อมาได้ขยายเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องออกไปเรื่อย ๆ หนึ่งในนั้นที่คนไทยรู้จักกันดีคือ Taobao.com นั่นเอง
    และในปี 2012 ผลปรากฎว่า ได้มีธุรกรรมซื้อขายผ่าน Alibaba รวมทั้งสิ้น 1 ล้านล้านหยวน หรือประมาณ 5 ล้านล้านบาท โดยแจ็ค หม่านำบริษัท Alibaba เข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กและทำสถิติ IPO ที่ระดมเงินได้สูงสุดในประวัติการณ์ของตลาดหุ้นสหรัฐ ในวันแรกที่ซื้อขายมูลค่าบริษัท Alibaba พุ่งสูงถึงกว่า 200 พันล้านเหรียญ(6 ล้านล้านบาท) แซงหน้ายักษ์ใหญ่อย่าง Amazon และ eBay ส่งผลให้เขากลายเป็นเศรษฐีอันดับหนึ่งคนใหม่ของประเทศจีนในทันที
    แต่ใครจะไปคิดว่า ความสำเร็จของเขานั้น ก็มีภรรยาคนสวยอย่าง “จาง หยิง” คือหนึ่งขวัญและกำลังใจที่คอยสนับสนุนและอยู่เคียงข้างเขาไม่เคยห่าง ทั้งคู่ เป็นเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยด้วยกัน และแต่งงานกันทีที่ศึกษาจบ โดยเธอได้เปิดเผยว่า 
    “แจ็คหม่าไม่ใช่คนรูปหล่อเลย ออกจากขี้เหร่ด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่ฉันประทับใจในตัวเขาก็คือ เขาสามารถทำอะไรได้มากมาย  ในขณะที่ผู้ชายรูปหล่อทั้งหลายไม่สนใจจะทำ  ฉันไม่ได้ตัดสินใจผิด  ธุรกิจอาลีบาบาของเขากลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์ในธุรกิจโลกออนไลน์  ใคร ๆ ก็เรียกเขาว่า “เจ้าพ่อของการก่อตั้งธุรกิจ” สร้างความภูมิใจให้แก่ฉันเป็นอย่างมาก” 

    อ่าน 10 ข้อเตือนใจบอกต่อภรรยาทุกคน ได้ที่นี่!


    เครดิต: MThai

      ป้อนข้าวลูกเวลาไหน

      ป้อนข้าวลูกเวลาไหน เหมาะสมที่สุด!

      ป้อนข้าวลูกเวลาไหน ถึงจะเหมาสมและดีที่สุดกับตัวลูกน้อย ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่คุณแม่มือใหม่ควรรู้ เพราะหากป้อนอาหารเสริมที่นอกเหนือจากนมแม่ ให้ลูกผิดเวลา (ก่อนวัยอันควร) ก็อาจส่งผลร้ายกับลูกน้อยได้

      Continue reading “ป้อนข้าวลูกเวลาไหน เหมาะสมที่สุด!”

        อยากมีลูกเร็ว

        อยากมีลูกเร็ว จังหวะและเวลาในการมีเซ็กส์ คือสิ่งสำคัญ!

        อยากมีลูกเร็ว ๆ ทำไงดี …สำหรับคู่รักที่แต่งงานมาหลายปี แต่กลับไม่มีวี่แววว่าจะได้เป็นพ่อคนแม่คน ซึ่งปัญหาเหล่านี้ถือเป็นเรื่องใหญ่สำหรับบางครอบครัวที่ต้องการจะมีลูกและพยายามทำทุกวิถีทางแล้วแต่ก็ยังไม่สำเร็จ
        Continue reading “อยากมีลูกเร็ว จังหวะและเวลาในการมีเซ็กส์ คือสิ่งสำคัญ!”

          เงินอุดหนุนบุตร

          เงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด กับ เงินสงเคราะห์บุตร ต่างกันอย่างไร?

          เพราะเด็กคนหนึ่งเกิดมาต้องใช้เงินมากมาย ซึ่งรัฐบาลก็มีนโยบาลมอบ เงินอุดหนุนบุตร และเงินสงเคราะห์บุตร เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระคุณแม่คุณพ่อในอีกทางหนึ่ง แล้วต้องทำอย่างไรถึงคุณแม่จะได้เงินนั้นมาใช้เลี้ยงลูก

          Continue reading “เงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด กับ เงินสงเคราะห์บุตร ต่างกันอย่างไร?”

            ลูกติดมือถือ

            พ่อแชร์มาตรการเจ๋ง! รักษา ลูกติดแท็บเล็ต จนหาย

            เมื่อ ลูกติดแท็บเล็ต จนเริ่มแสดงพฤติกรรมก้าวร้าว พ่อจึงต้องงัดไม้เด็ดขึ้นมารักษา จะเด็ดแค่ไหน ไปดูพร้อม ๆ กันค่ะ

             

            คุณพ่อน้องจันทร์เจ้า ถึงขั้นทนไม่ไหว เมือลูกสาววัย 2 ขวบครึ่งเริ่มติดมือถือ จึงได้งัดมาตรการขั้นเด็ดขาดจนลูกหายได้สำเร็จ และนี่คือประสบการณ์ที่คุณพ่อ อยากแชร์ให้กับทุก ๆ ครอบครัว ผ่านเวปพันธิปชื่อดัง
            ลูกติดแท็บเล็ต
            เครดิตภาพ: Pantip
            สาเหตุที่ผมไม่ให้ลูกสาวเล่นสมาร์ทโฟน และแท็บเล็ตนี่ต้องเล่าย้อนไปเมื่อราว 3 ปีก่อน ลูกน้อยยังซุกตัวอยู่ในท้องคุณแม่เป็นเดือนที่ 7 ครั้งนั้นผมมีโอกาสได้ติดรถรุ่นพี่คนหนึ่งไปทำงานที่ต่างจังหวัดด้วยกัน พี่เค้าเลยถือโอกาสพาลูกชายวัย 5 ขวบไปเที่ยวด้วย แต่เนื่องจากเรานัดกันเช้ามากหนูน้อยเลยถูกอุ้มจากเตียงมานอนต่อในรถ
            เวลาผ่านไปราวชั่วโมงนึง เด็กน้อยก็ตื่นมาด้วยสีหน้างง ๆ ว่าตัวเองอยู่ที่ไหนมาทำอะไร แต่คำแรกที่เค้าพูดขึ้นมาก็คือ
            “พ่อ ไอแพดอยู่ไหน”
            พ่อเด็กตอบกลับว่า “สวัสดีอาก่อนสิลูก”
            เด็กน้อยสวนทันควัน “ไม่ เอาแท็บเล็ตมา”
            พ่อเลยเริ่มดุ “เด็กไม่ดี พ่อไม่ให้หรอก”
            แล้วเจ้าหนูน้อยก็เริ่มอาละวาดอยู่ที่เบาะหลัง ร้องไห้โวยวาย ทุบเบาะ พลางตะโกน “เอาแท็บเล็ตมา ๆ หนูเกลียดพ่อแล้ว พ่อไม่รักหนู…จอดรถเดี๋ยวนี้ หนูจะลงตรงนี้”
            อาละวาดอยู่ได้สัก 2 นาที ตัวพ่อก็ใจอ่อนหยิบแท็บเล็ตส่งให้ เท่านั้นแหละกลายเป็นคนละคน นั่งเล่นเกม เปิด Youtube ดูการ์ตูน เงียบกริบจนผมนึกว่าหลานลงจากรถไปแล้ว
            หลังจากที่เด็กน้อยได้แท็บเล็ตไปครอบครองเค้าก็ไม่วางมันอีกเลย ทั้งตอนจอดกินข้าวก็ต้องให้พ่อป้อนเพราะมือไม่ว่าง ทั้งระหว่างรอพ่อประชุมเป็นชั่วโมงก็ไม่มีเสียงบ่นสักแอะ…แท็บเล็ตนี่มันช่างวิเศษจริง ๆ
            หลังเหตุการณ์นั้นไม่กี่วัน ผมมีโอกาสได้พูดคุยกับรุ่นน้องคนหนึ่งซึ่งเป็นแพทย์เฉพาะทางจิตเวชเด็ก ผมเล่าเหตุการณ์ที่เพิ่งพบเจอมาให้เธอฟัง คุณหมอถอนหายใจแล้วพูดกับผมว่า “พี่รู้ป่ะ วัน ๆ นี่หนูไม่ต้องทำอะไร นั่งบำบัดเด็กติดเกม ติดแท็บเล็ต มือถือนี่แหละ”
            ลูกติดแท็บเล็ต
            เครดิต Shutterstock
            ในฐานะที่ผมเป็นว่าที่คุณพ่อผมจึงสนใจฟังเธอเป็นอย่างมาก ขอสรุปให้ฟังสั้น ๆ เท่าที่พอจะจำได้ว่า
            1. เด็กมักจะสมาธิสั้น เพราะแท็บเล็ตสามารถตอบสนองความต้องการได้รวดเร็วดั่งใจ เพียงปลายนิ้วสัมผัส อยากเปลี่ยนเกม อยากเปลี่ยนไปดูการ์ตูนตอนอื่น เรื่องอื่น เพียงลากนิ้วเบา ๆ ก็ได้ดั่งใจแล้ว เด็ก ๆ จึงไม่ได้เรียนรู้การรอ การตั้งใจดูหรือเล่นอะไรตั้งแต่ต้นจนจบ
            2. เด็กมักก้าวร้าว อันนี้ขึ้นกับว่าเล่นเกมที่มีความรุนแรงเกินวุฒิภาวะรึเปล่า เด็กมักจะจดจำสิ่งที่ตัวละครในเกมทำไปเล่นในชีวิตจริงบ้างโดยลืมไปว่า คนจริง ๆ นั้นเจ็บได้ เสียใจได้ ตายได้ และไม่สามารถกดรีเซ็ทได้เหมือนในเกม ส่วนที่ก้าวร้าวอีกแบบคือ ติดเกมมากจนแสดงออกแบบก้าวร้าวเพื่อให้ได้เล่นเกม แล้วผลที่ได้คือพ่อแม่ก็ยอมให้เล่น เด็กจึงจำว่าต้องก้าวร้าวแล้วจะได้เล่น
            3. เด็กมักจะเก็บกด หมกมุ่น และขาดการปฎิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง เข้าหาใครไม่เป็น ผูกสัมพันธ์กับคนอื่นไม่เป็น เพราะขาดการเรียนรู้กระบวนการเหล่านี้ เนื่องจากเกมและแอ็พต่าง ๆ ไม่ได้สอน
            ผมตั้งใจฟังคุณหมอเล่าแล้วก็ตั้งปฎิญาณตนเลยว่าจะไม่ให้เหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นกับครอบครัวเราเด็ดขาด
            แต่เมื่อเวลาผ่านไป ลูกน้อยของเราโตขึ้นทุกวัน ๆ แม้ว่าตัวผมกับภรรยาจะไม่ได้ให้ลูกเล่นมือถือ แท็บเล็ต แต่เรานี่แหละที่ใช้มันให้ลูกเห็นทุกวัน จนวันนึงเค้าก็เอ่ยปากขอว่า “หนูอยากดูเอบีซียูทูปค่ะ” แล้วเราก็เปิดให้เค้าดูเพราะหวังว่าการฟังเพลงภาษาอังกฤษนั้นจะเป็นประโยชน์กับเด็ก
            แล้วเด็กน้อยก็เริ่มขอดูทุกคืนก่อนนอน ยิ่งนับวันยิ่งขอดูบ่อยขึ้นถี่ขึ้น เล่นโทรศัพท์เป็นมากขึ้น เริ่มกดเลือกเพลงเองเป็น กดหยุด กดเปลี่ยนเพลงเป็น จนผมเริ่มรู้สึกว่าเด็กน้อยเริ่มติดมันเข้าแล้ว
            ผมจึงเป็นฝ่ายเริ่มคุยกับภรรยาอย่างจริงจังเพื่อออกมาตรการหักดิบ ด้วยการงดเล่นโทรศัพท์ให้ลูกเห็น ห้ามลูกจับโทรศัพท์และแท็บเล็ตของพ่อกับแม่เด็ดขาด ไม่ว่าลูกจะขอร้อง อ้อนวอน หรือร้องไห้โวยวายก็ห้ามใจอ่อน
                                                                คลิก! อ่านต่อมาตรการของคุณพ่อ

              กินน้ำถูกวิธี ลดความอ้วน

              กินน้ำถูกวิธี ลดความอ้วน ช่วยให้สุขภาพดี

              กินน้ำถูกวิธี ลดความอ้วน การรักษารูปร่างให้สวยแข็งแรง เป็นเรื่องที่คุณแม่หลังคลอดอยากทำกันมาก แต่ติดอยู่ตรงที่ว่าต้องให้นมลูก ซึ่งก็ถูกต้องแล้วช่วงให้นมลูกไม่ควรงดอาหารกันนะคะ แต่ถ้าอยากผอมสวยสุขภาพดีแบบไม่ต้องเสียสุขภาพ ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีคำแนะนำการ กินน้ำถูกวิธี ลดความอ้วน มาฝากคุณแม่กันค่ะ

               

              กินน้ำถูกวิธี ลดความอ้วน : ประโยชน์ของน้ำต่อร่างกาย

              ร่างกายของเราทุกคนประกอบไปด้วยน้ำมากถึง 60-75 % และน้ำก็เป็นสิ่งสำคัญที่ร่างกายจะขาดไม่ได้รองมาจากออกซิเจน หรืออากาศที่เราใช้หายใจกันในทุกๆ วัน  โดยธรรมชาติแล้วร่างกายจะใช้พลังงานจากอาหารที่ร่างกายสะสมไว้ ในกรณีที่เกิดขาดแคลนอาหาร หรืออดอาหาร ทุกคนจะสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้เป็นสัปดาห์ แต่ถ้าไม่ได้ดื่มน้ำแค่ 1-2 วัน ทำเอาร่างกายแย่กันเลยค่ะ

               

              น้ำมีความสำคัญต่อระบบการย่อยอาหาร สารอาหารจากอาหารที่ทานกันในทุกวัน เมื่อเข้าสู่ร่างกาย จะต้องละลายน้ำก่อนจึงจะผ่านเยื่อบุลำไส้เข้าสู่ร่างกายตามกระแสโลหิต และหลอดน้ำเหลืองได้อย่างสมบูรณ์  และน้ำก็ยังช่วยในการขับถ่ายของเสียที่ร่างกายไม่ต้องการใช้ออกจากร่างกาย  แล้วก็ยังช่วยในการรักษาระดับอุณหภูมิของร่างกายด้วยค่ะ  นอกจากนี้น้ำยังมีประโยชน์กับร่างกายอีกหลายอย่าง คือ

              1. ช่วยลดการเกิดกลิ่นปาก
              2. ช่วยในการย่อยอาหาร
              3. ช่วยลดอาการท้องผูก
              4. ช่วยให้สมองทำงานได้ดี
              5. ช่วยรักษาสุขภาพไตให้แข็งแรง
              6. ช่วยป้องกันการเกิดโรคนิ่วในไต
              7. ช่วยให้ดวงตาดูสดใส มีชีวิตชีวา
              8. ช่วยป้องกันการเกิดริ้วรอยก่อนวัย
              9. ช่วยควบคุมอุณหภูมิในร่างกายให้คงที่
              10. ช่วยให้สุขภาพผิวดูมีน้ำมีนวลสดใส
              11. ช่วยเพิ่มความสดชื่นให้แก่ร่างกาย
              12. ช่วยลดอาการการปวดศีรษะและไมเกรน
              13. ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต ปรับสมดุลในร่างกาย
              14. ช่วยให้หัวใจทำงานได้อย่างเป็นปกติและมีประสิทธิภาพ

               

              อ่านต่อ >> “ควรดื่มน้ำเท่าไหร่ถึงจะพอดีกับความต้องการ” หน้า 2

               

               

              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                การโกยนม

                10 เทคนิค ” การโกยนม ” ให้อึ๋ม เด้งดึ๋ง ไม่แพ้สาวแรกรุ่น!

                อยากอึ๋ม อยากเปลี่ยนจากคัพเล็กให้เป็นคัพใหญ่ ต้องนี่เลยกับ 10 เทคนิค “การโกยนม ” ที่แม่ ๆ ไม่ควรพลาด!

                 

                 

                นอกจากผู้หญิงจะต้องมีหน้าตาเป็นอาวุธแล้ว หน้าอกหน้าใจ ก็ต้องอึ๋มใหญชวนให้น่ามอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคุณสามีของเรา ที่ชอบมักจะบ่นว่า ๆ เราเป็นคุณแม่คัพ A บ้าง นมไซส์เด็กอนุบาลบ้าง ทำเอาคุณแม่อย่างเราสูญเสียความมั่นใจกันไป แต่วันนี้นี่แหละค่ะ ที่เราจะมาเนรมิตหน้าอกหน้าใจของเราให้อึ๋มด้วยระยะเวลาเพียงไม่กี่นาที!

                คุณแม่ ๆ เคยสงสัยกันไหมคะว่า ทำไมผู้หญิง ถึงจะต้องมีหน้าอก!กันด้วย

                และนี่คือ คำตอบที่เราได้เตรียมเอาไว้ให้ค่ะ

                เพราะธรรมชาติสร้างเราให้เกิดมาเป็นแม่ของลูก  ภายในหน้าอกของเรานั้น อุดมไปด้วยต่อมและเนื้อเยื่อไขมันมากมายระหว่างชั้นของผิวหนัง และผนังช่องอก โดยเนื้อเยื่อไขมันนี้เองค่ะ ที่เป็นตัวกำหนดขนาดและรูปร่างของหน้าอกผู้หญิงเรา ทั้งนี้ ในเต้านมนั้น ยังประกอบไปด้วยเส้นเลือดมากมาย รวมทั้งต่อมน้ำนมและท่อต่าง ๆ ที่สามารถขยายขึ้นได้ในช่วงที่มีการตั้งครรภ์

                ผิวบริเวณนอกจะทำหน้าที่พยุงกล้ามเนื้อหน้าอกทั้งหมดระหว่างกล้ามเนื้อคอไว้ เพื่อไม่ให้หย่อนคล้อยตามแรงโน้มถ่วงโลก

                เช็ค! ทุกวันนี้ใส่บราถูกขนาดกันอยู่หรือเปล่า?

                1. เริ่มจากการนำสายวัดมาวัดรอบลำตัวเหนือหน้าอก ลอดใต้วงแขนให้แน่นและสามารถหายใจได้ปกติกันก่อน
                2. ให้หน่วยวัดเป็น “นิ้ว” นะคะ ถ้าได้เลขคี่ก็ให้ปัดไปเป็นเลขคู่ และให้ยึดตามตัวเลขนั้นเช่น วัดได้ 31 ก็ให้นับเป็น 32 เป็นต้น
                3. ใช้สายวัด ๆ รอบจุดที่นูนที่สุดของหน้าอก โดยให้วัดหลวม ๆ และหายใจได้ปกติ หน่วยวัดเป็นนิ้วเช่นกัน
                4. หลังจากที่ได้ขนาดของหน้าอกแล้วก็ให้เริ่มหาขนาดของคัพของตัวเองว่า อยู่ในคัพอะไรกันแน่ ยกตัวอย่างเช่น รอบอกวัดได้ 34 นิ้ว รอบลำตัววัดได้ 32 นิ้ว ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ มีขนาดคัพ B โดยการวัดนั้นให้นำเอาผลลัพธ์ของรอบอกกับรอบลำตัวมาลบกัน หากพบว่า
                  • ผลต่างมีค่าต่างกัน 1 นิ้วหรือน้อยกว่านั้น แสดงว่าหน้าอกจัดอยู่ในคัพ A
                  • ผลต่างมีค่าเท่ากับ 2 นิ้ว แสดงว่าหน้าอกจัดอยู่ในคัพ B
                  • ผลต่างมีค่าเท่ากับ 3 นิ้ว แสดงว่าหน้าอกจัดอยู่ในคัพ C
                  • ผลต่างมีค่าเท่ากับ 4 นิ้ว แสดงว่าหน้าอกจัดอยู่ในคัพ D

                อ่านเทคนิคการโกยนมได้ที่หน้าถัดไป


                เครดิต: Pooyingnaka

                  ขมิบก้น

                  อยากฟิต อยากแซ่บเวอร์! การ ” ขมิบก้น ” ช่วยคุณได้

                  อยากเพิ่มความแซ่บให้กับชีวิตรักบนเตียง อย่าลืม “ขมิบก้น” ทุกวัน ๆ ละ 20 นาที!!

                  หนึ่งในปัญหาที่ทำเอาคนเป็นแม่อย่างเราหนักอกหนักใจก็คือ ปัญหาช่องคลอดหลวม ปัสสาวะเล็ด และจิ๋มเรอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะปฏิบัติภารกิจกับสามี เพราะงานนี้นอกจะอายจนเอาหน้ามุดผ้าห่มไม่ทันแล้ว ยังเล่นเอาหมดอารมณ์กันไปตาม ๆ กันอีกด้วย แล้วแบบนี้จะมีวิธีการบริหารหรือช่วยอะไรได้บ้างหรือไม่ อยากรู้ไปอ่านบทความนี้กัน

                  มาทำความรู้จักกับอุ้งเชิงกรานกันก่อน!

                  พื้นอุ้งเชิงกรานนั้นประกอบขึ้นด้วย เส้นใยกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน มีรูปร่างเป็นแผ่นบาง ๆ ที่ขึงอยู่ใต้กระดูกเชิงกราน โดยด้านหน้ายึดติดกับกระดูกหัวหน่าว และด้านหลังยึดติดกับกระดูกสันหลังส่วนใต้กระเบนเหน็บหรือก้นกบ

                  ขมิบก้น
                  เครดิตภาพ: CMU

                   

                  หน้าที่ของกล้ามเนื้อพื้นอุ้งเชิงกราน

                  • หดรัดตัวเมื่อคุณไอ จาม หรือออกแรงเบ่ง เพื่อช่วยป้องกันไม่ให้เกิดปัสสาวะเล็ดโดยไม่ได้ตั้งใจ
                  • ช่วยพยุงอวัยวะในช่องท้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณอยู่ในท่ายืน
                  • ช่วยปกป้องอวัยวะในอุ้งเชิงกรานจากความเสียหายภายนอก
                  • ช่วยยึดอวัยวะในอุ้งเชิงกราน เช่น กระเพาะปัสสาวะ ให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม
                  • ช่วยควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะ ลม และการเคลื่อนไหวของลำไส้
                  • มีบทบาทหน้าที่ทางเพศขณะมีเพศสัมพันธ์ กล้ามเนื้อพื้นอุ้งเชิงกรานจำเป็นต้องแข็งแรงและมีความตึง หรือกำลังที่ เพียงพอเหมือนเช่นกล้ามเนื้อส่วนอื่นๆของร่างกาย จึงจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

                  กล้ามเนื้อพื้นอุ้งเชิงกรานอ่อนแรงเกิดจากสาเหตุใดได้บ้าง

                  1. ใช้งานน้อยเกินไป กล้ามเนื้อพื้นอุ้งเชิงกรานต้องการการบริหารเช่นเดียวกับกล้ามเนื้อส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย เพื่อให้กล้ามเนื้อแข็งแรงและทำงานได้ดี ฉะนั้น หากปราศจากการบริหารก็จะส่งผลให้กล้ามเนื้อบริเวณดังกล่าวนั้นอ่อนล้าได้
                  2. การตั้งครรภ์และการคลอดบุตร อาจส่งผลทำให้กล้ามเนื้อพื้นอุ้งเชิงกรานได้รับความเสียหาย
                  3. การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในสตรีวัยหมดระดู อาจมีส่วนทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแอลงได้ แต่บทบาทด้านนี้ของฮอร์โมนยังคงมีข้อโต้แย้งกันอยู่
                  4. วัยที่สูงมากขึ้น ทำให้ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อลดลง
                  5. กล้ามเนื้อเสียหายจากการออกแรงเบ่งมากเป็นประจำเนื่องจากท้องผูก มีภาวะไอเรื้องรัง หรือโรคอ้วน เป็นต้น

                  จะเกิดอะไรขึ้นหากกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแอ คลิก!

                    ปราบลูกเกรี้ยวกราด

                    บันได 6 ขั้น ช่วยพ่อแม่ ปราบลูกเกรี้ยวกราด

                    ปราบลูกเกรี้ยวกราด อย่างไรดี? ปัญหาหนักใจของพ่อแม่ที่ต้องเจอกันอยู่บ่อยๆ ก็คือเวลาที่ลูกเอาแต่ใจมากไป จนบางครั้งก็แสดงพฤติกรรมไม่น่ารักออกมา ไม่ว่าจะเป็นการกรีดร้อง ชอบโวยวาย ไม่ยอมจะต้องให้ได้เดี๋ยวนี้ตอนนี้ ฯลฯ พ่อแม่เห็นแล้วเครียดเลยใช่ไหมคะ ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญในการปราบลูกมาให้ทราบค่ะ

                     

                    ปราบลูกเกรี้ยวกราด

                    ก่อนที่จะไปพบกับวิธี ปราบลูกเกรี้ยวกราด เราในฐานะพ่อแม่มาทำความเข้าใจกันก่อนว่า พฤติกรรม อารมณ์ร้ายๆ เกรี้ยวกราดที่ลูกแสดงออกมานั้น คืออะไรกัน…

                    อาการเกรี้ยวกราด รุนแรง หรือที่เรียกว่า Tantrum สามารถที่จะเกิดขึ้นได้กับเด็กตั้งแต่อายุ 1-4 ปี ซึ่งถือเป็นช่วงวัยที่ยังควบคุมอารมณ์ ความรู้สึกของตัวเองยังไม่ได้ดีพอ พ่อแม่ ผู้ปกครองเด็กในอีกหลายๆ ครอบครัว อาจกำลังสงสัยว่าถ้าเด็กๆ จะแสดงพฤติกรรมไม่น่ารักออกมานั้น ลักษณะอาการแบบไหนที่ถือว่าใช่อาการของ Tantrum กันบ้าง

                    เพื่อให้เข้าใจกันง่ายมากขึ้น ลองสังเกตอาการที่ลูกแสดงออกมาดังนั้นนี้กันค่ะ นั่นคือ…

                    – ร้องไห้แหกปาก ร้องกรี๊ด หวีดร้อง ตะโกน

                    – ทำหลังแอ่นงอ ตัวแข็งเกร็ง ลงไปนอนดิ้นพราดๆ ชักดิ้นชักงอ ร้องกลั้นหน้าเขียว

                    – เตะ ตี กัด ข่วน ดึงผม ชก เอาหัวโขก ผู้อื่น

                    – กัดตัวเอง ข่วนตัวเอง ดึงผมตัวเอง เอาหัวตัวเองโขกพื้น โขกกำแพง

                    – ทำข้าวของให้เสียหาย โดยตั้งใจ[1]

                     

                    บทความแนะนำ คลิก >> พ่อหนุ่มเผย!“น้องมายู” ดื้อจนรับมือไม่ไหว ต้องพาพบจิตแพทย์ (มีคลิป)

                    เด็กๆ ที่บ้านเป็นอาการแบบนี้กันอยู่บ้างหรือเปล่าคะ ถ้ามีหนึ่งในอาการเหล่านี้ ลูกยังเล็กอยู่ค่ะ ให้รีบปรับแก้ไขพฤติกรรมของพวกกันนะคะ เพราะไม้อ่อนยังดัดง่าย แค่พ่อแม่ต้องรู้วิธีที่จะจัดการกับลูกให้ถูกต้องเหมาะสม ก็จะช่วยให้ลูกๆ กลายเป็นเด็กน่ารักสำหรับพ่อแม่ รวมถึงคนรอบข้างก็จะรักและเอ็นดูค่ะ  

                    อ่านต่อ ลูกเกรี้ยวกราดจัดการด้วยบันได 6 ขั้น หน้า 2

                     

                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                      ละสายตาจากลูก

                      เมื่อแม่ ละสายตาจากลูก ทำให้ของเล่นทับจนเสียชีวิต!

                      อีกหนึ่งอุทาหรณ์เตือนใจ! ของผู้ปกครองหลาย ๆ คน ที่ชอบประมาทด้วยการ ละสายตาจากลูก เป็นเหตุให้เกิดการสูญเสียเพียงแค่เสี้ยววินาที!

                       

                       

                      คุณพ่อคุณแม่คะ ทราบหรือไม่คะ อีกหนึ่งสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุและเสียชีวิตของเด็ก ๆ นั้นเกิดจาก การที่คุณพ่อคุณแม่ ปู่ย่า ตายาย หรือผู้ปกครองนั้นละสายตาจากลูก และวัยที่เกิดเหตุบ่อยที่สุดก็คือ เด็กที่อยู่ในวัยเตาะแตะและวัยกำลังซน

                      จริงอยู่ที่คุณพ่อคุณแม่หรือผู้ปกครองอาจจะคิดว่า ลูกหลานโตแล้ว ดูแลตัวเองได้ หรือแม้แต่ความคิดที่ว่า สถานที่ ๆ ลูกกำลังเดินหรือเล่นอยู่นั้นปลอดภัยแล้ว แต่ความคิดเช่นนั้น ถือเป็นความประมาทที่น่ากลัวและอันตรายต่อชีวิตของเด็ก ๆ มากที่สุดจริงเลยละค่ะ

                      เช่นเดียวกับคลิปที่เรานำมาฝากในวันนี้ เป็นคลิปที่เกิดขึ้นกับครอบครัวหนึ่งในเมืองเฉินตูของประเทศจีน ที่คุณแม่พาลูกไปเที่ยวในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง โดยที่ผู้เป็นแม่นั้นเลือกที่จะให้ความสำคัญกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้ามากกว่าลูกชายของตัวเอง ที่มีอายุประมาณ 1 ปี

                      และด้วยความไร้เดียงสาของหนูน้อย ก็รู้สึกสนใจกับของเล่นที่อยู่ตรงหน้า จึงพยายาบแอบปีนขึ้นไปบนเครื่องเล่นรถไฟหมุนหยอดเหรียญที่กำลังทำงานอยู่นั้น ทับร่างของหนูน้อยจนเสียชีวิต!!

                      และจากคลิปดังกล่าว ก็จะเห็นได้ว่า ผู้เป็นแม่นั้นยังคงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูกชายตัวเองเลยเสียด้วยซ้ำ!

                      ชมคลิปที่ว่านี้ได้ที่หน้าถัดไปเลยค่ะ

                        ท่านวดช่วยลูกสบายท้อง

                        ท่านวดช่วยลูกสบายท้อง

                        ท่านวดช่วยลูกสบายท้อง หลังจากการทานนมอิ่มแล้วเป็นหนึ่งในวิธีที่จะทำให้ลูกเรอเอาลมออกจากท้อง เป็นการช่วยลดอาการแหวะนมได้ค่ะ ซึ่งการที่ลูกแหวะนมก็เพราะระบบการย่อยอาหารยังไม่สมบูรณ์ และเพื่อให้ลูกไม่แหวะนมหลังทานมอิ่ม และเป็นการช่วยให้สบายท้อง คุณแม่สามารถนวดให้ลูกรู้สึกสบายท้องขึ้นได้ค่ะ

                         

                        ท่านวดช่วยลูกสบายท้อง

                        การใช้ ท่านวดช่วยลูกสบายท้อง อาจเป็นวิธีการหนึ่งที่จะช่วยลดอาการแหวะนมให้ลูกได้ แต่การเริ่มต้นที่ดีที่สุดสำหรับลูกก็คือ การให้เขาได้ทานนมแม่ตั้งแต่แรกเกิด นั่นก็เพราะว่าในน้ำนมแม่มีโปรตีนที่ย่อยง่าย และดีต่อสุขภาพลำไส้รวมถึงระบบย่อยของลูกด้วย

                        การที่ลูกทานนมไม่ว่าจะเป็นจากอกแม่ หรือทานจากขวดนั้น บ่อยครั้งที่ลูกอาจกลืนเอาลมเข้าท้องไปพร้อมกับน้ำนมได้ ซึ่งลมที่เข้าไปจะเกิดเป็นฟองอากาศในกระเพาะอาหาร และมักทำให้ลูกร้องไห้งอแง อึดอัดแน่นไม่สบายท้อง จนทำให้ต้องแหวะเอานมออกมา ซึ่งการช่วยให้ลูกสบายท้องมีอยู่หลายวิธี แต่หนึ่งในวิธีที่จะช่วยให้ลูกรู้ผ่อนคลายสบายท้อง ก็คือการนวดท้องนวดตัวให้ลูกค่ะ

                        ท่านวดช่วยลูกสบายท้องสามารถทำได้ง่ายๆ

                        • ให้คุณแม่เริ่มจากการวางมือข้างหนึ่งลงบนหน้าอกของลูก
                        • จากนั้นให้ใช้ฝ่ามือค่อยๆ กดไล่ลงมาจนถึงบริเวณใต้สะดือ
                        • แล้วใช้มือทั้ง 2 ข้างสอดใต้บริเวณสันหลังของลูก แล้วให้หัวแม่มือนวดวนเป็นวงกลมบริเวณท้องลูก เพื่อช่วยไล่ลม

                        การนวดอาจเป็นแค่วิธีการหนึ่งที่จะช่วยให้ลูกสบายท้องได้ แต่การให้ลูกได้ทานนมที่เหมาะสมตั้งแต่แรกเกิดนั้นสำคัญมากกว่าค่ะ เพราะจะช่วยลดอาการไม่สบายท้องต่างๆ ลงได้ และก็อย่างที่ทราบกันดีว่าน้ำนมแม่ดีที่สุดสำหรับลูกตั้งแต่แรกเกิด นมแม่มีโปรตีนที่ย่อยง่าย ทำให้ระบบย่อยอาหารสามารถดูดซึมไปใช้งานได้อย่างสมบูรณ์ ทำให้ช่วยลดอาการไม่สบายท้องที่เกิดขึ้นลงได้

                        ทั้งนี้หากคุณแม่ไม่สามารถเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้ นมแพะก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง  เพราะนมแพะโปรตีนนุ่มที่ย่อยและดูดซึมสารอาหารได้ง่าย และรวดเร็ว นอกจากนี้ นมแพะยังมีระบบการให้น้ำนมแบบเดียวกับนมแม่ คือ Apocrine (อะโพไคร์น) ซึ่งแตกต่างจากนมทั่วๆไป ทำให้มีสารอาหารจากธรรมชิตในปริมาณสูงที่เรียกว่า Bioactive Components (ไบโอแอคทีฟ คอมโพเนนท์) ประกอบด้วย นิวคลีโอไทด์ตามธรรมชาติ (Natural Nucleotide) 5 ชนิด ช่วยส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกัน มีสารโพลีเอมีนส์ (Polyamines) ช่วยส่งเสริมระบบทางเดินอาหารให้สมบูรณ์ มีโกรทแฟคเตอร์ (Growth factor) ชนิดไอจีเอฟวัน (IGF-1) และทีจีเอฟ เบต้า (TGF- β) ช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโต และทอรีน ที่ช่วยให้การทำงานของจอประสาทตาดีขึ้น

                         

                        ที่สำคัญคือ นมแพะ อุดมไปด้วย โปรตีนCPP โปรตีนนุ่ม ย่อยง่าย ร่างกายดูดซึมนำไปใช้ได้รวดเร็ว

                        ซึ่ง CPP (Casein Phosphopeptides) คือ โปรตีนนุ่ม ในนมแพะมีลักษณะที่นุ่ม ย่อยง่าย ช่วยในการดูดซึมแร่ธาตุต่างๆ ที่สำคัญต่อร่างกาย เช่น แคลเซียม เหล็ก สังกะสี และแมกนีเซียม เข้าสู่ร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพ และโปรตีนในนมแพะยังเป็นโปรตีนคุณภาพดีที่เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย นอกจากนี้ในนมแพะมีแอลฟาเอสวันซึ่งย่อยยากในปริมาณที่ต่ำ ทำให้นมแพะถูกย่อยและดูดซึมง่าย ลูกจึงสบายท้อง ห่างไกลจากอาการท้องอืด ทำให้ลูกเจริญเติบโตได้เต็มที่ และเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง ช่วยให้ลูกรักมีพัฒนาการที่ดีสมวัย

                          ลูกดื่มน้ำน้อย

                          ระวัง! ลูกดื่มน้ำน้อย อาจทำให้เป็น “นิ่ว”!

                          การดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสมกับร่างกายควรดื่มอย่างน้อย 8 แก้วต่อวัน แต่เมื่อลูกห่วงทำกิจกรรมต่าง ๆ จนเพลิน ทำให้เกิดปัญหา ” ลูกดื่มน้ำน้อย “ กว่าปกติ

                           

                           

                          คุณพ่อคุณแม่ทราบกันหรือไม่คะว่า ความจำเป็นในส่วนของปริมาณการดื่มน้ำในแต่ละวันนั้น ขึ้นอยู่กับอายุของลูกเป็นสำคัญ จากผลการศึกษาทางการแพทย์ในหลาย ๆ ประเทศนั้นพบว่า “การให้ลูกดื่มน้ำในช่วงอายุก่อน 6 เดือนนั้น อาจทำให้เกิดอันตรายมากกว่าประโยชน์ที่ลูกจะได้รับ” เนื่องจาก ลูกจะเกิดการอิ่มน้ำ ทำให้ดูดนมแม่ได้น้อยลง ส่งผลให้ถ่ายอุจจาระลดลงเช่นกัน นอกจากนี้เมื่อลูกดูดนมแม่ได้น้อย ลูกก็จะได้รับสารอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของร่างกายไม่เพียงพอ ทำให้เป็นโรคขาดสารอาหารตามมา แต่สิ่งที่เป็นอันตรายกับลูกมากที่สุดก็คือ “การเกิดภาวะน้ำในร่างกายผิดปกติ” และระดับของแร่ธาตุโซเดียมในร่างกายมากเกินไป ส่งผลโดยตรงต่อสมอง อุณหภูมิในร่างกาย การทำงานของไต ทำให้เกิดอาการตับบวม ชัก หรือบางรายอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้! ดังนั้น “น้ำ” จึงเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงในเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 6 เดือน

                          คุณแม่ไม่ต้องเป็นกังวลไปนะคะว่า ลูกจะไม่ได้ดื่มน้ำเลย เพราะน้ำนมแม่นั้น มีน้ำเป็นส่วนประกอบมากถึง 88 เปอร์เซ็นเลยละค่ะ และแน่นอนว่า เพียงพอต่อความต้องการของลูก ดังนั้นนี่จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมเด็กแรกเกิดไปจนถึงอายุ 6 เดือนจึงไม่จำเป็นที่จะต้องได้รับน้ำเพิ่มอีก แต่ถ้าหากคุณแม่มีความจำเป็นต้องให้ลูกดื่มนมผง คุณแม่ก็ควรหลีกเลี่ยงการชงนมที่เจือจางมากจนเกินไป เพราะอาจส่งผลให้ความสมดุลของน้ำในร่างกายของลูกเกิดความผิดปกติขึ้นได้

                          ซึ่งอายุที่เหมาะสมของลูกที่จะเริ่มดื่มน้ำนั้นก็คือ อายุตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป แต่ในช่วงแรกคุณแม่ควรจำกัดปริมาณน้ำที่จะให้ลูกดื่มกันด้วยนะคะ โดยเริ่มต้นที่ประมาณไม่เกิน 2 – 4 ออนซ์ต่อวัน และอาจจะให้จิบน้ำหลังจากที่ลูกได้ทานอาหารเสริมเสร็จแล้ว และเมื่อลูกเริ่มโตขึ้น ปริมาณน้ำที่ลูกจะสามารถดื่มได้ก็จะเพิ่มขึ้นไปตามลำดับค่ะ

                          ลูกดื่มน้ำน้อย ส่งผลเสียอย่างไรบ้าง? คลิก! 


                          เครดิต: Dek-D และ www.mathgamecenter.com , www.cloverdrink.com

                            ดูแลสุขภาพลำไส้ลูก ด้วยธรรมชาติ

                            ดูแลสุขภาพลำไส้ลูก ด้วยธรรมชาติ

                            ดูแลสุขภาพลำไส้ให้ลูก ด้วยธรรมชาติ คุณแม่สามารถเริ่มต้นได้ตั้งแต่ลูกแรกคลอดด้วยการให้ทานนมแม่ เพราะในนมแม่มีพรีไบโอติกจากธรรมชาติ ที่ดีต่อสุขภาพลำไส้ของลูกวัยทารก เป็นการช่วยสร้างสมดุลในลำไส้ ทำให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดี และยังช่วยเพิ่มภูมิต้านทานให้ลูกน้อยได้อีกด้วย

                             

                            ดูแลสุขภาพลำไส้ลูก ด้วยธรรมชาติ

                            คุณแม่รู้หรือไม่ว่าการ การดูแลสุขภาพลำไส้ให้ลูกน้อย สามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยการให้ลูกได้ทานนมแม่ตั้งแต่แรกคลอด เพราะลำไส้ไม่ได้ทำหน้าที่แค่เฉพาะการย่อยและดูดซึมสารอาหารเท่านั้น แต่ลำไส้ยังทำหน้าที่เป็นเสมือนศูนย์กลางของพัฒนาการต่างๆ ของร่างกายด้วยเช่นกัน ดังนั้นหากลูกมีสุขภาพลำไส้ที่ดี พัฒนาการทุกด้านของลูกก็ย่อมดีตามไปด้วยอย่างปฏิเสธไม่ได้เลยค่ะ

                            ฉะนั้นจำเป็นอย่างมากที่คุณแม่จะต้องช่วยดูแลสุขภาพลำไส้ให้ลูกด้วยธรรมชาติ ซึ่งธรรมชาติที่ว่านี้ก็คือ การส่งเสริมให้ลูกได้ทานนมแม่นั่นเองค่ะ คืออย่างที่บอกไปว่าในนมแม่นั้นมีสารอาหารอย่าง “พรีไบโอติก” ที่ดีต่อสุขภาพลำไส้ของลูกมากๆ แล้วก็ยังมีสารอาหารที่หลากหลายครบถ้วน รับรองว่าลูกทานแล้วได้ทั้งคุณค่าสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตของร่างกาย และเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรค ช่วยลดการเกิดความเจ็บป่วยต่างๆ ของลูกอีกด้วยค่ะ

                             

                            พรีไบโอติก (Prebiotics) สำคัญต่อลูกน้อยอย่างไร?

                            พรีไบโอติกมีประโยชน์ต่อการเสริมสร้างภูมิต้านทานลูกน้อย ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของ…

                            • การช่วยเพิ่มจำนวนจุลินทรีย์สุขภาพในลำไส้
                            • ลดการเจริญเติบโตของแบคทีเรียก่อโรคในลำไส้
                            • การช่วยส่งเสริมเยื่อบุเมือกของลำไส้ให้แข็งแรงขึ้น
                            • และการลดอุบัติการณ์ของการติดเชื้อต่างๆ

                            นมแม่ดีที่สุดสำหรับลูกค่ะ แต่กับคุณแม่อีกหลายๆ คนที่ไม่สามารถให้นมแม่กับลูกได้ อาจต้องหาตัวช่วยที่ต้องมีสารอาหารธรรมชาติอย่างพรีไบโอติกด้วย ดังนั้นการเลือกนมให้กับลูกวัยทารกจำเป็นที่จะต้องดูในเรื่องของสารอาหารต่างๆ ด้วย อย่าง “นมแพะ” ก็เป็นหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะมีสารอาหารธรรมชาติอย่าง “พรีไบโอติก” นั่นเพราะนมแพะมีระบบการสร้างน้ำนมแบบ “อะโพไครน์” ทำให้มีสารอาหารจากธรรมชาติในปริมาณสูง มีพรีไบโอติก ชนิด Oligosaccharide เช่น Inulin และ Oligofructose ซึ่งเป็นใยอาหารที่ไม่ถูกย่อยในกระเพาะอาหาร เพราะทนต่อน้ำย่อย กรด ด่าง ในกระเพาะและลำไส้ ช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์สุขภาพ เช่น แลคโตบาซิลัส และบิฟิโดแบคทีเรีย จึงช่วยปรับสมดุลของระบบทางเดินอาหาร ลดการอักเสบบริเวณลำไส้ ทำให้ระบบทางเดินอาหารทำงานได้อย่างเป็นปกติ ร่างกายมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง

                            ซึ่งผลที่ตามมาคือ ทำให้ลูกน้อยมีสุขภาพที่ดี นอกจากนี้นมแพะอุดมไปด้วย CPP หรือ Casein Phosphopeptides ที่เป็นโปรตีนนุ่ม ย่อยง่าย ร่างกายดูดซึมนำไปใช้ได้อย่างเต็มที่ จึงเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับคุณแม่ที่มีปัญหาเรื่องน้ำนมแม่ค่ะ

                              เด็กจมน้ำ

                              คลิป! ช่วย “เด็กจมน้ำ” เตือนใจอย่าปล่อยลูกหลานเล่นน้ำลำพัง

                              ชมคลิปดังโลกโซเชียล นาทีช่วยชีวิต “เด็กจมน้ำ” เพื่อเป็นอุทาหรณ์เตือนใจพ่อแม่และผู้ปกครองทุกคน ที่ชอบปล่อยลูกกเล่นน้ำตามลำพัง!!

                              Continue reading “คลิป! ช่วย “เด็กจมน้ำ” เตือนใจอย่าปล่อยลูกหลานเล่นน้ำลำพัง”

                                ออมเพื่อให้ตามรอยพ่อ

                                ศิริราช ปิยมหาราชฯ ชวนคนไทยออมเงินแลก “กระปุกสัญลักษณ์ทรงงาน”

                                โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ เปิดตัวโครงการดี ๆ ชวนพี่น้องชาวไทยออมเงินเพื่อแลก ” กระปุกสัญลักษณ์ทรงงาน ” ร่วมสมทบทุนสร้างอาคารนวมินทรบพิตร 84 พรรษา

                                 

                                 

                                เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคมที่ผ่านมา โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ได้ออกมาเปิดเผยโครงการดี ๆ ชักชวนคนไทยออมเงินเพื่อแลก กระปุกสัญลักษณ์ทรงงาน ร.9 ผ่านเว็บไซต์ http://www.savingforgiving.com/ ว่า

                                ออมเพื่อให้ตามรอยพ่อ
                                เครดิต: โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์

                                เป็นโครงการที่ต้องการรณรงค์ส่งเสริมการออมและการแบ่งปันแก่สังคมไทย โดยออมเงินในกระปุกส่วนตัวนำมาแลกกระปุกที่ระลึกสัญลักษณ์อุปกรณ์ทรงงานของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยจะนำเงินออมร่วมสมทบทุนสร้างอาคารนวมินทรบพิตร 84 พรรษา อาคารศูนย์การแพทย์ของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

                                โดยมีวัตถุประสงค์ 2 ข้อ ดังต่อไปนี้

                                1. เพื่อรำลึกถึงพระราชจริยวัตรและพระราชกรณียกิจของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ที่ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงเป็นแบบอย่างในการออมตั้งแต่ทรงพระเยาว์ และได้พระราชทานปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงแก่ประชาชนเพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต และได้ปลูกฝังให้ประชาชนรู้จักการออมและการใช้จ่ายเงินอย่างพอเพียง เมื่ออยู่อย่างพอเพียงก็สามารถเป็น “ผู้ให้” คืนกลับสู่สังคมและประเทศชาติได้
                                2. เพื่อสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ที่ทรงพระราชทานนามอาคารโรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ หนึ่งในโครงการพัฒนาศิริราชสู่การเป็นสถาบันทางการแพทย์ชั้นเลิศในระดับเอเชียอาคเนย์ ด้วยรูปแบบการบริหารจัดการพิเศษเพื่อให้มีรายได้ที่สามารถเลี้ยงตัวเองได้อย่างยั่งยืน และนำรายได้กลับคืนสู่คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลต่อไป
                                ดูแบบของกระปุกสัญลักษณ์ทรงงานได้ที่หน้าถัดไป
                                  ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ a กับ b

                                  ไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ a กับ b ต่างกันอย่างไร ?

                                  ไขข้อสงสัยของคุณพ่อคุณแม่หลาย ๆ คน ไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ a กับ b ต่างกันอย่างไร ? ทำไมถึงเรียกชื่อ”ไข้หวัดใหญ่” ไปเลยเฉย ๆ ไม่ได้  วันนี้เรามีคำอธิบายมาฝากค่ะ

                                   

                                   

                                  ช่วงหน้าฝนแบบนี้ โรคที่ผู้ปกครองทุกคนรู้สึกหวาดกลัวที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้น “โรคไข้หวัดใหญ่” เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในโรคยอดฮิตติดดาวที่มีผู้ป่วยเด็กครองอันดับสถิติการป่วยกันมากที่สุดแทบจะทุกโรงพยาบาล  แต่คุณพ่อคุณแม่เคยสงสัยกันหรือไม่คะว่า เจ้าไข้หวัดใหญ่ที่ว่านี้ มีทั้งหมดกี่สายพันธุ์กันแน่  และในแต่ละสายพันธ์ุ์นั้น มีความแตกต่างกันอย่างไร แล้วทำไมเราถึงเรียกว่าไข้หวัดใหญ่เฉย ๆ ไม่ได้

                                  ไข้หวัดใหญ่คืออะไร มีกี่สายพันธุ์ ?

                                  ไข้หวัดใหญ่ เป็นอาการหนึ่งที่ร่างกายได้รับการติดเชื้อไวรัสที่ชื่อว่า Influenza ที่ส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจแบบเฉียบพลัน  ไข้หวัดใหญ่สามารถแบ่งออกได้เป็นหลายสายพันธุ์ด้วยกันได้แก่

                                  1. สายพันธุ์ A
                                  2. สายพันธุ์ B
                                  3. สายพันธุ์ C

                                  แต่สำหรับในสายพันธ์ C นั้น ถือว่ามีความรุนแรงน้อย อีกทั้งไม่ได้ทำให้เกิดการระบาดของโรคแต่อย่างใด จึงไม่นับรวมอยู่ในกลุ่มของไข้หวัดใหญ่ค่ะ ผิดกับ ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ a กับ b ที่สามารถแยกย่อยออกได้ดังนี้

                                  • ไวรัส ไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ A (H1N1)
                                  • ไวรัส ไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ A (H3N2)
                                  • ไวรัส ไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ B ตระกูล Victoria
                                  • ไวรัส ไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ B ตระกูล Yamagata

                                  ซึ่งสายพันธุ์ที่พบบ่อยที่สุดจนเป็นเหตุให้มีการเสียชีวิตนั้นก็คือ ไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ A ชนิด H1N1 นั่นเองค่ะ

                                  ใครคือกลุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่?

                                  • เด็ก ที่อายุน้อยกว่า 2 ปี จนถึง 5 ปี
                                  • ผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไป
                                  • หญิงตั้งครรภ์ และผู้หญิงที่อยู่ในระยะ 2 สัปดาห์หลังคลอด
                                  • ผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่ต้องได้รับการดูแลต่อเนื่อง

                                  ทำความรู้จักกับไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ต่าง ๆ เพิ่มเติมคลิก!


                                  เครดิต: Sanook และ สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข, คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล

                                    โรคอุจจาระร่วงในเด็ก

                                    โรคอุจจาระร่วงในเด็ก ประสบการณ์ตรงที่แม่อยากแชร์

                                    โรคอุจจาระร่วงในเด็ก คืออะไร? ทำไมถึงอันตรายต่อชีวิตลูก ทำความเข้าใจไปพร้อม ๆ กัน กับเรื่องจริงที่แม่อยากแชร์!

                                    คุณแม่ท่านนี้ได้โพสต์เรื่องราวของลูกผ่านเว็บไซต์ดังอย่าง Pantip ว่า ลูกเริ่มมีอาการเป็นไข้รุมเมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมา แล้วก็ถ่ายบ่อยมาก พาเขาไปหาหมอ หมอก็ตรวจอาการกลับบ้านมาได้ยาฆ่าเชื้อ ยาแก้ไข้ และยาแก้ท้องเสียมากิน วันต่อมาอาการไม่ดีขึ้นกลับดูยิ่งแย่ลง อึตอนนี้เป็นมูกและมีเลือดปน ไข้ก็ไม่ยอมลดแต่เพิ่มขึ้นเลยพาเข้าไปหาหมออีกทีวันศุกร์ หมอเห็นอาการไม่ดี แบบนี้ค่อนข้างอันตรายเพราะลูกวัดไข้มาได้ 39.2 องศา อาการคือ ไข้ขึ้นสูง ท้องเสียรุนแรง ถ่ายมากกว่าวันละ 6 รอบนอกจากนั้นลักษณะอึเป็นมูกและเลือดปน ข้าวไม่ค่อยยอมกิน หมอเดาว่าคงเกิดอาการติดเชื้อจึงต้องแอดมิดเข้าโรงพยาบาลนอนไปได้วันแรกหมอก็เข้ามาดูอาการเขามีอาการซึมลงไป ยังอึบ่อย ต้องเจาะให้น้ำเกลือน่าสงสารลูกมาก

                                    แต่หมอก็ยังตรวจไม่พบเชื้อเดาว่าเชื้อคงกระจายตัว นอนอยู่โรงพยาบาลสองวันอาการยังไม่โอเค หมอว่ายัง 50-50 เพราะส่วนหนึ่งลูกไม่ค่อยยอมกินยาด้วยทางที่ดีคือให้ยาทางสายน้ำเกลือวันต่อมาในที่สุดก็พบเชื้อจนได้เป็นเชื้ออุจจาระร่วงชนิด salmonella group B

                                    วันที่สามร่าเริงขึ้นมากและยอมกินข้าว คราวนี้กินเยอะมาก ปกติไม่ยอมกินข้าวเละ ๆ พวกข้าวต้มพวกโจ๊ก แต่คราวนี้กินเยอะกินดีมากและระหว่างวันก็ร้องจะอั้ม ๆ ไม่ก็ปัง ๆ (ชอบกินขนมปัง) อันนี้ถือว่าดีเลย ไข้ตอนนี้ไม่มีแล้ว หมอให้กลับบ้านได้ในวันที่3 ก็เก็บข้าวของกลับบ้านเลย อยากกลับบ้านจะแย่ แต่กลับบ้านมาปุ๊บน้ำมูกดันไหล เหมือนจะหวัดต่อ หมอให้ยามากินเหมือนเดิมโดยยาฆ่าเชื้อต้องกินติดต่อกันอีก 1 อาทิตย์ นัดอีกทีก็วันศุกร์หน้า หมดค่ารักษาค่ายาคราวนี้ปาดเหงื่อเลยละคะ

                                    ดังนั้นป้องกันไว้ดีกว่านะคะเอามาแชร์ประสบการณ์กันคะ ไม่เป็นจะดีกว่ามาก ๆ ลูกน่าสงสาร ยิ่งตอนแบ่งอึนี่ทรมานหน้าแดงร้องไห้จ้าเลย เจ็บจริง ๆ ท่าทาง และยังต้องเสียค่าดูแลค่ารักษาอีก

                                    เชื้อโรคนี้มาจากเนื้อสัตว์เป็นส่วนใหญ่แต่ก็มีสาเหตุจากผักได้ด้วย นมที่ชงแล้ววางทิ้งไว้ อาหารที่วางทิ้งไว้ ก็เป็นเหตุให้เกิดเชื้อพวกนี้ได้ ทางที่ดีพยายามรักษาความสะอาด ลูกอายุ 1ขวบ5เดือน กำลังเป็นช่วงหยิบจับมั่วเลย ต้องคอยเช็ดมือ อาหารต้องทำให้ร้อนสุกใหม่ๆน่าจะช่วยได้มาก

                                    ทำความรู้จักกับโรคเพิ่มเติมได้ที่หน้าถัดไป


                                    เครดิต: Pantip